.
.
.
เจ้าของรีสอร์ทติดต่อมาว่าวันที่ไปนั้นเขาติดธุระเรื่องงานที่ต่างประเทศกระทำหัน ทำให้ผมมีช่องทางในการหว่านล้อมให้ส่งผมไปกับลุงแทน และในเมื่อเป็นเพื่อนที่รู้หัวรู้หางจะขัดลาภกันไปก็ใช่ที่ พ่อดาราจึงปล่อยทางให้ผมแต่ก็ยังกำชับว่าห้ามหิ้วลุงกับบ้านจนกว่างานที่ลุงทำอยู่จะผ่าน
นอกจากเจอหน้ากันในที่ทำงานและโทรคุยกันสั้นๆ บ้าง ผมก็ปฏิบัติตามคำเพื่อนได้อย่างดีเยี่ยม รู้แค่ว่าลุงเอางานกลับไปทำที่บ้านทุกวัน ถึงจะเห็นมันดูลอยชายแต่เวลาที่มีงานด่วนเข้ามามันสามารถทำเสร็จให้ทันได้แบบไม่มีขอยืดเวลา ผมเดาว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาก็คงจะอยู่โต้รุ่งแน่นอน และคงมาหลับเป็นตายเอาในรถแทน เพราะงั้นผมก็เลยตระเตรียมหมอนรองคอนุ่มๆ กับผ้าห่มไว้กันหนาวให้เรียบร้อย รถคันเดิมดูจะนอนไม่สบายผมก็เปลี่ยนเป็นรถโฟร์วีลที่คันใหญ่กว้างขวางกว่าเดิม
ไม่รู้ว่ากรมันบอกไอ้น้องลุงไว้หรือเปล่าว่าเป็นผมที่ต้องไปแทน แต่ดูหน้าตาหลังจากที่รู้แล้วผมเดาว่าคงไม่... มันเดินสะพายกระเป๋ากล้องตามหลังผมมาเงียบๆ หน้าตาอิดโรยแบบที่เป็นเสมอยามต้องเร่งงาน ถึงจะเป็นตาชั้นเดียวแต่ก็โตเอาเรื่องของมันปรือปรอยไม่ถึงครึ่ง ผมต้องเปลี่ยนเป็นเดินจูงมันมาขึ้นรถแทนเพราะกลัวว่าจะล้มหัวฟาดพื้นซะก่อน
“ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาด้วยรึไง” ผมถามไปอย่างนั้นแหละ ก็เห็นอยู่แล้วว่ามันมาตัวเปล่ากับกระเป๋ากล้องเท่านั้น
“ต้องเอามาด้วยเหรอ เช้าไปเย็นกลับเองนี่”
“เฮ้ยๆ เพชรบูรณ์นะเว่ย ไม่ใช่เพชรบุรี” ผมจับมันยัดเข้ารถ ก่อนจะเดินอ้อมมาขึ้นด้านคนขับ พอเปิดประตูขึ้นไปนั่งก็เห็นมันมองนั่นนี่ในรถไปทั่ว “ทำไม?”
“รถใครอ่ะพี่?”
“ของพี่เอง ก็เราเดินทางไกล คันนี้มันนั่งสบายกว่า”
“ของพี่! -- โห...พี่มีรถกี่คันเนี่ย” ลุงทำปากเป็นรูปตัวโอเหมือนเด็กเวลาเห็นอะไรน่าตื่นใจ “พี่ผ่อนรถสองคันเลยเหรอ เดือนเท่าไหร่อ่ะ”
“ทำไมต้องผ่อน?”
“อ้าว? ก็...”
“พี่มีเงิน หล่อด้วยและรวยมาก...ซื้อสดทุกคันเข้าใจนะ” พูดพลางยักคิ้วให้คนมองสักหนึ่งที ไอ้น้องลุงนี่เบ้ปากจนเบี้ยวไปแล้ว “ถ้าง่วงก็นอน ปรับเบาะไปเลย”
“ได้เหรอ? เดี๋ยวพี่ไม่มีคนนั่งเป็นเพื่อน” เสียงลุงอ่อยในทันที มันคงรู้สึกเกรงใจล่ะมั้งถ้าตัวเองนอนสบายคนเดียว
“ก็มีลุงไปด้วยแล้วนี่ไง หรือว่าลุงไม่ใช่คน” ผมเลิกคิ้วถาม ลุงก็แยกเขี้ยวใส่ “แล้วนี่กินข้าวมารึยัง?”
“ผมเพิ่งได้นอนตอนหกโมงเองพี่ เก้าโมงก็ตาลีตาเหลือกมานั่งอยู่ในรถเนี่ย จะเอาเวลาที่ไหนไปกิน” ไอ้น้องลุงหลิ่วตามองผมอย่างกับว่าผมเป็นพวกช่างถามแบบไร้หัวคิด มันน่าตบบ้องหูสักทีจริงๆ
“มันมีคำตอบสั้นๆว่า ‘ยังครับ’ อยู่นะ”
“ผมต้องการอธิบายถึงที่มาที่ไปหรอกน่า” เป็นอีกครั้งที่มันแถแบบยั่วโมโหได้สำเร็จ ผมจำต้องปล่อยไอ้เด็กไม่มีเหล่าเต๊งไปอย่างจำใจ ขืนหาความกับมันต่อผมคงได้ถีบแฟนตัวเองลงจากรถแน่
“ไปกินข้าวก่อนมั้ย? เสร็จแล้วลุงจะได้นอนยาว เดี๋ยวระหว่างทางพี่แวะซื้อของจำเป็นสำหรับค้างคืนให้เอง” ผมลองเสนออย่างใจเย็น ขณะที่ไอ้เด็กกากเกรียนจ้องผมตาปริบๆ มันมองผมนิ่ง กระแสความกดดันอ่อนๆพุ่งใส่จนผมจำต้องหันหน้ากลับไปสบตาลุง
“ทำไมพี่กรถึงให้พี่ไปแทนล่ะ?”
“...มันติดงานน่ะ”
“แต่ผมได้ยินว่าพี่กรเคลียร์คิวไว้แล้วนี่นา”
“หรือลุงไม่อยากไปกับพี่? บอกได้นะ” ปากก็พูดไปแต่มือนี่สตาร์ทรถแล้ว หันไปมองคนขี้สงสัยก็เห็นว่าอมยิ้มอยู่ไม่ตอบอะไร ผมจึงเข้าใจว่านั่นคือการยอมรับแต่โดยดี
รถยนต์คันใหญ่เริ่มขับเคลื่อนออกจากที่จอด สักพักลุงก็เริ่มนั่งเหม่อตาลอยๆ ยังไม่ทันจะพ้นกรุงเทพดี ไอ้เด็กข้างๆ ก็หลับสนิทชนิดที่ได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังลอดออกมา แถมยังมีการบ่นงึมงำไม่ได้ศัพท์ดูท่าว่าลุงจะเหนื่อยจัดจริงๆ ยังดีที่เวลาลุงไม่เมาก็จะนอนนิ่งเรียบร้อย เพราะขืนมันนอนดิ้นแบบที่ผมเจอในคืนแรกร่างกายคงได้สะบักสะบอมเป็นแน่
ผมอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงเอื้อมหยิบผ้าห่มกับหมอนจากเบาะหลังมาให้คนง่วงจัด ยังดีที่ไฟแดงติดยาวนานถึงได้มีเวลาบรรจงยกหัวลุงขึ้นแล้วสอดหมอนรองคอให้อย่างนิ่มนวล ผมยืดตัวอีกครั้งเพื่อเอื้อมปรับเบาะนั่งให้เอนนอนราบก่อนจะห่มผ้าผืนบางคลุมให้จนมิดตัว ลุงหลับนิ่งชนิดที่ผมยังเกรงใจถ้าจะเปิดเพลงฟังแก้เบื่อ นิสัยเสียอย่างหนึ่งของผมคือเป็นพวกนั่งเงียบในรถนานๆ ไม่ได้ เพราะหนังตามันพร้อมจะปิดลงทุกเมื่อจากความเย็น แต่ตอนนี้ถ้าจะให้เปิดเพลงก็กลัวว่าพ่อเจ้าประคุณจะตื่นขึ้นมาแล้วจะทำปากยื่นพ่นคำกวนโมโหเอาให้
ระหว่างทางผมแวะร้านมินิมาร์ทซื้อพวกแปรงสีฟัน ถัดมาก็เป็นร้านขายเสื้อผ้าเพื่อซื้อเสื้อยืดกับกางเกงไว้ให้ใส่นอน แต่ไม่ว่าจะจอดรถหยุดสักกี่ครั้งลุงก็ยังหลับสนิทได้อย่างน่าตกใจ
ทนง่วงมานานจนเข้าเขตจังหวัดสระบุรีไม่เท่าไหร่ คนข้างๆ ที่นอนท่าเดิมมานานก็เริ่มขยุกขยิกตัว ให้เดาว่าไม่ใช่เพราะแดดที่แรงเปรี้ยงจากด้านนอกแน่นอน แต่คงเป็นเพราะเสียงครวญครางจากกระเพาะอาหารต่างหาก มันดังเป็นระรอกให้ผมหลุดขำมาสักพักแล้ว ผมยังคงแสร้งเฉยชากับอาการยุกยิกไปมาของลุง และจากทางหางตาที่คอยเหลือบมองก็เห็นว่าไก่วัดตัวแสบกำลังหยิบๆ จับๆ หมอนกับผ้าห่มด้วยความงุนงง แต่สุดท้ายก็ทิ้งตัวลงนอนท่าเดิมแล้วมองผมตาปริบๆ
“ปุริม~” เสียงเรียกอู้อี้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมหันกลับไปมองแว่บหนึ่งแล้วเลือกที่จะหันกลับไปมองถนนตามเดิม ให้ตายสิ! ผมชอบเวลาลุงเรียกผมแบบนี้จริงๆ
“หิวแล้ว...” คำต่อที่ไม่เหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่หลุดตามออกมาติดๆ เสียงนี่ทั้งอ่อยทั้งอ้อน เนี่ยเหรอวะคนที่มโนตัวเองว่าเป็นผัวของผม
“อยากกินอะไรล่ะ?” ผมถามเสียงเรียบ พยายามทำตัวปกติไม่ให้ออกอาการจนมันรู้ว่าผมพร้อมหักพวงมาลัยเข้าร้านไหนก็ตามที่มันต้องการได้ทุกเมื่อ
“อะไรก็ได้ที่ทำให้อิ่ม”
“ขี้มั้ยล่ะ? กินเข้าไปก็คงอิ่มเหมือนกัน”
“ผมไม่กินอะไรแปลกๆ เหมือนพี่หรอก” ไอ้ไก่กวนโอ๊ยบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนปรับเบาะนั่งให้ตั้งตรงตามเดิม “ปกติพี่กินขี้บ่อยเหรอ?”
วาจาไม่มียอมกั๊กของมันทำเอาผมต้องยื่นมือออกไปผลักหัวมันบ่อยๆ ครั้งนี้ก็ไม่มีละเว้น ลุงแยกเขี้ยวใส่ผมหนึ่งทีแล้วลูบผมตัวเองไปมาอย่างกับว่าไอ้ผมฟูฟ่องของมันจะเข้าที่เข้าทางไปมากกว่าที่เป็น จากนั้นก็เบือนสายตาผ่านกระจกออกไปมองรอบสองข้างทางพลางย่นคิ้วยู่ปากคิดหาของกินไปด้วย
“พี่อยากกินอะไรอ่ะ?” ลุงหันมาถามผมคล้ายจะสรุปความคิดตัวเองไม่ได้
“อะไรก็ได้” ผมตามส่งๆ แต่ทำเอาคนฟังแก้มตูม
“อะไรก็ได้ไม่มี” มันมองผมอย่างกับพูดคำไม่สมควรออกมา “เอางี้นะ พี่พุ่งเข้าใส่ร้านอะไรก็ได้ที่เจอร้านแรกเลย ไม่ต้องตัดสินใจมาก” ลุงพูดขึ้นในที่สุดหลังจากทำท่านึกอยู่สักพัก มันหันมาฉีกยิ้มให้ผมด้วยสีหน้ามาดมั่น
“แล้วถ้าเกิดว่ามันเป็นร้านอาหารป่าล่ะ” ผมหยั่งเชิง เพราะถ้าขืนเป็นงั้นผมคงจอดแล้วยันมันลงไปกินคนเดียว
“อันนั้นผ่านมั้ย? ผมไม่สันทัดเท่าไหร่”
“จัดไป”
“นับถอยหลังที่ 10, 9, 8...” ผมมองเด็กไม่รู้จักโตด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ลุงมีความขี้เล่นในตัวเองสูงมากเพราะงั้นคนอื่นเลยรู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้ๆ “2, 1, 0 -- ชิดซ้ายร้านหน้าเลยพี่ปูน!”
สิ้นคำสั่ง ผมก็หักพวกมาลัยชิดซ้ายทันทีที่ได้จังหวะ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นร้านอะไรแต่ก็ถูกความกระตือรือร้นชักนำไปจนกระทั่งตอนนี้ที่รถถูกดับเครื่องยนต์หน้าร้านที่ไม่รู้ว่าจะเรียก ‘ร้าน’ ได้เต็มปากเต็มคำมั้ย จะอธิบายแบบไม่ให้สะเทือนใจคนมองก็คงจะเป็นร้าน เอ่อ...ซุ้มเพิงไม้สี่ต้นที่มุงหลังคาด้วยจาก มีโต๊ะไม้ยาวที่อายุอานามน่าจะไม่ต่ำกว่าร้อยปีวางหม้อชามรามไหและตู้กระจกเล็กๆ สกปรก ข้างกันมีเตาแก๊ซปิกนิคสีแดงมอซอกับกระทะที่ก้นดำเขรอะ มีโต๊ะไม้ไผ่ผุพังกับเก้าอี้พลาสติกบุโรทั่งสามตัว ส่วนเจ้าของร้านคงหนีไม่พ้นป้าคนหนึ่งที่กำลังยืนโบกตะหลิวตะโกนสนทนา(ด่า)วิน มอเตอร์ไซค์ที่อยู่ใกล้กัน
ผมหันไปมองคนข้างๆ ด้วยตาลุกวาว ไอ้ลุงคงไม่เอาจริงใช่มั้ย? มันคงจะไม่มาดมั่นในคำพูดมันหรอกนะ แต่แทนที่จะเข้าใจการสื่อสารผ่านแววตาของผม ไอ้เด็กกวนกลับยักคิ้วท้าทายแล้วเปิดประตูรถลงไปทันที ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความกล้าหาญ ปกติแล้วผมเป็นคนชอบกินอาหารข้างทางแต่ถ้าจะเจอลักษณะแบบนี้ก็คงต้องเรียกกำลังใจกันบ้าง ผมเปิดประตูออกเดินไปสมทบกับลุงที่ยืนด้อมๆ มองของในตู้กระจก
“พี่จะกินอะไร ป้าแกขายอาหารตามสั่งแหละ” มันหันมามองผมเพื่อขอคำตอบ ในตู้เขลอะๆ นั้นไม่ได้มีอะไรมากมายนักส่วนมากก็เป็นพวกผักเหี่ยวๆ จากอากาศร้อนอบอ้าว “ผมควรจะสั่งเลยหรือว่ารอป้าแกด่าเสร็จก่อนดีวะพี่”
อย่างที่ลุงว่า เพราะป้าแกยังแผดเสียงใส่มอเตอร์ไซค์วินวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง ชนิดที่ไม่รับรู้สักนิดว่าลูกค้าเข้าร้านมาแล้ว ผมแทบอยากจะฉุดลุงกลับขึ้นรถแล้วบึ่งไปร้านอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ร้านนี้ แต่มันคงต้องแซวผมไปตลอดทางแน่ถึงความป๊อด เพราะงั้นผมจึงยืนรอจนกระทั่งป้าแกเสร็จสิ้นภารกิจแล้วหันกลับมาเพื่อตกใจว่ามีลูกค้าสองคนรอคอยอย่างสงบ
“นี่ก็ยืนฟังกันไม่กระดิกเลย” ประโยคทักทายลูกค้าของป้าทำเอาผมสองคนแอบขำ มันคงน่าโมโหกว่านี้ถ้าสีหน้าป้าแกจะไม่ดูขัดเขิน “แต่งตัวกันดีๆ มาร้านอย่างนี้ทำไม?”
ลุงตาโตกับคำพูดถัดมาของป้า มันเม้มปากคล้ายไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี “ผมหิวอ่ะป้า ว่าแต่ผมสั่งเลยได้มั้ย”
“สั่งมาเลย มีทุกอย่างยกเว้นของที่ไม่มี” ป้าแกตอบอย่างมั่นใจแล้วเคาะตะหลิวโป๊กๆ กับกระทะใบเก่า ผมควรจะโมโหกับวาจาและกิริยาที่ไม่ดีของเจ้าของร้าน แต่ผมกลับอมยิ้มกับคำยอกย้อนที่ทำให้คนข้างๆ ผมอ้าปากค้างแทน
“กะเพราหมูสับไข่ดาวครับป้า” ลุงสั่งอาหารกันตายออกมาในที่สุดก่อนจะหันมามองผม
“สองครับป้า” ผมก็สั่งตามมันไปจะได้เร็ว
ป้ารับคำเสร็จสรรพก็ไล่เราไปนั่งที่โต๊ะไม้ไผ่เก่าๆ พลางชี้นิ้วไปยังร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลเพื่อให้ไปหาซื้อน้ำเอาเอง ช่างเป็นร้านที่เปิดขายแบบไม่แคร์อะไรเลยจริงๆ เป็นอีกครั้งที่ลุงอาสาเดินไปซื้อให้แบบไม่เกี่ยงงอน ถ้าจะให้นับก็คงตั้งแต่ที่มันตัดสินใจเป็นผัวผมล่ะนะ เพราะหลังจากนั้นเวลาอยู่ด้วยกันผมแทบไม่ต้องหยิบจับอะไรด้วยตัวเองเลย ลุงบริการทำทุกอย่างสมกับที่มันบอกว่าจะดูแลผมอย่างดี จนผมรู้สึกว่าตัวเองติดสบายไปแล้วซะด้วยซ้ำ
ลุงเดินกลับมาพอดีกับที่ป้าเดินเอาข้าวกะเพราสองจานมาวางบนโต๊ะ จานนึงมีไข่ดาวแห้งๆ โปะอยู่หมิ่นเหม่ กับอีกหนึ่งจานมีไข่ดาวไม่สุกวางอยู่กึ่งกลางอย่างสวยงาม ลุงลงนั่งที่เก้าอี้ หมุนฝาน้ำดื่มวางลงตรงหน้าให้ผมพลางจ้องมองไข่ดาว
“พี่ชอบไข่ดาวแบบไหน”
“ไม่สุก” ผมตอบพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบต่อ “พี่ชอบเดาะไข่แดง”
“เจาะเหอะพี่ ไปลงเรียนภาษาไทยใหม่เถอะนะ” ลุงเบือนหนาหนีไปอีกทางแต่หูมันแดงก่ำไปหมด ไม่รู้ว่าไปนึกถึงช่วงเวลาไหน ผมยังคงยื่นหน้าอยู่ที่เดิมเพื่อรอเวลามันหันมา ลุงเหล่มองก็ยิ่งเขินหนักจนต้องผลักหน้าผมให้พ้นทาง “กินข้าวเหอะนะได้โปรด”
อาหารไม่ได้รสชาติแย่นักเมื่อเทียบกับสภาพร้าน แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นลุงก็ปฏิเสธที่จะสั่งอีกจานแม้จะยังไม่อิ่ม ผมจึงตัดสินใจบอกลาร้านอาหารที่คาดว่าจะไม่แวะมาอีกเพื่อไปแวะปั๊มน้ำมันข้างหน้า ผมเติมน้ำมันและปล่อยลุงลงตรงหน้าร้านสะดวกซื้อหลังจากที่มันย้ำถามผมหลายรอบว่ากินขนมบนรถได้หรือไม่ ผมนั่งรอไม่เท่าไหร่ก็เห็นไก่ตัวเดิมเดินกลับมาพร้อมของถุงเบ้อเริ่มและแก้วกาแฟในมือ
“อันนี้ของพี่แบบที่กินประจำ แต่ไม่รู้อร่อยรึเปล่านะ” มันยื่นแก้วสูงให้ผมถือไว้ ลองชิมไปอึกนึงก็เป็นรสชาติหวานน้อยแบบที่กินปกติแต่ไม่ได้อร่อยเอาซะเลย ผมเลยยื่นหลอดเข้าปากให้ลุงชิม “เป็นไง?”
“จืด! ไม่เห็นอร่อยเหมือนร้านประจำของพี่เลยอะ”
“ทีหลังก็ถามเขาก่อนซื้อว่าพี่ใช้มือหรือตีนชง” ผมดูดกาแฟชืดๆ อีกครั้งแล้ววางลงตรงที่วางแก้ว ถึงไม่อร่อยแต่อย่างน้อยมันก็เป็นคาเฟอีนล่ะนะ
“ผมจะได้โดนขาคู่กระแทกปากอ่ะดิ” มันแยกเขี้ยวให้ผมเสร็จก็หันกลับไปเปิดถุงขนมกินอย่างสบายใจ
หลังจากอิ่มหนำดีแล้วลุงก็อาสาขับแทนจนถึงที่หมายโดยไม่มีการหลงทางให้เสียเวลา ทางเข้ามีป้ายชื่อรีสอร์ทขนาดใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ สองข้างทางร่มรื่นมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงสีเขียว แม้จะไม่ใช่หน้าหนาวแต่ความสวยงามก็ยังมีให้เห็น เมื่อขับเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็พบกับอาคารหลังใหญ่ที่ทำจากไม้ทั้งหลัง มีลานจอดรถกว้างขวาง มีร้านขายของขนาดย่อมไว้บริการ
ผมเดินเข้าไปในอาคารโดยมีลุงหิ้วกระเป๋ากล้องกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กของผมตามมาติดๆ พนักงานที่ฟร้อนต์ยกมือสวัสดีด้วยความสุภาพ เท่าที่สำรวจภายนอกนั้นทุกอย่างดูใหม่ชนิดที่รู้ได้ว่าเพิ่งเปิดบริการก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ลานจอดค่อนข้างโล่ง ภายในก็ไม่พลุกพล่าน
“ผมมาจาก Graphic House ครับ คุณกฤษนัดไว้วันนี้” ผมฉีกยิ้มการค้าให้กับพนักงานสาวที่ยิ้มเอียงอายตอบผมกลับ
“วันนี้คุณกฤษไม่อยู่ค่ะ แต่ได้สั่งความให้ดูแลคุณอย่างดี”
“ขอบคุณครับ งั้นผมขอเปิดห้องหนึ่งคืนครับ” ผมล้วงกระเป๋าหยิบบัตรสีดำยื่นให้พนักงาน “ถ้ายังไงแล้วช่วงที่ต้องถ่ายรูปคงต้องรบกวนให้ช่วยพาไปในจุดที่ต้องการนำเสนอทีนะครับ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
หลังจากนั้นพนักงานชายคนหนึ่งก็ถูกเรียกมาเพื่อนำเราไปยังห้องพักเดี่ยวส่วนการ์เด้นโซน เดินไม่ไกลจากอาคารอำนวยการเท่าไหร่ก็มาถึงบริเวณที่เรียกว่าคงถูกใจคนรักชอบดอกไม้แน่ เพราะผืนหญ้าสีเขียวที่ถูกตัดแต่งอย่างดีมีแผ่นหินหลากหลายรูปทรงวางทอดเป็นทางเดิน สุมทุมพุ่มไม้มากมายถูกปลูกขึ้นอย่างลงตัว มีมุมหลายมุมที่คงถูกใจคนชอบถ่ายรูปไม่น้อย ดูจากสายตาของคนข้างๆ ผมที่จับกระเป๋ากล้องแน่นด้วยแววตาเหมือนเด็กเห็นของเล่น ผมต้องคอยกระตุ้นแผ่นหลังของลุงเป็นระยะไม่ให้เดินออกนอกเส้นทางจนกระทั่งมาถึงห้องพัก
กระท่อมไม้ชั้นเดียวไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งกระจัดกระจายกันไปทั่วบริเวณ ด้านหน้าแต่ละหลังมีระเบียงขนาดกะทัดรัดเพื่อวางชุดโต๊ะไม้ไว้สำหรับจิบชาชมวิว พนักงานเดินนำเราขึ้นไปเปิดระบบไฟฟ้าและแนะนำการใช้งานเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปพร้อมกับเงินค่าทิปที่ผมยื่นให้เป็นทำเนียม
“สวยสุดๆไปเลยเนอะพี่ปูน” ลุงปรี่เข้าไปหาหน้าต่างที่เปิดอ้ารับลมไว้ทันที กลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้ตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ลุงสูดหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่าอย่างกับคนไม่เคยได้ดมดอมความหอมมาก่อน ผมได้แต่ยิ้มกับความไร้เดียงสาในบางทีของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์คนนี้ที่หลายครั้งมันแสดงออกมาในมุมของความซื่อที่ดูจะบื้อไปบ้าง แต่ในอีกหลายครั้งเช่นกันที่มันก็ดูน่าเอื้อเอ็นดูเหลือเกิน
ผมเดินตรงเข้าไปซ้อนแผ่นหลังตรงหน้า โอบแขนรอบตัวอีกฝ่ายพร้อมกับเอาคางเกยบนหัวทุยๆ นั้นได้อย่างพอเหมาะพอดี ไม่เสียทีที่ผมดื้อดึงจะมาแทนกรเสียให้ได้ ทั้งรอยยิ้ม ทั้งเสียงหัวเราะ ทุกสิ่งที่ลุงเป็นมันดูช่างคล้อยไปกับบรรยากาศเหลือเกิน เหมือนตอนนี้ตัวผมได้โอบกอดแสงสว่างอยู่ก็ไม่ปาน
“พี่ปูน? อึ๊!...อื้ม” แม้ขณะที่ผมทาบริมฝีปากลงไป ลุงก็ยังเผยอกลีบหวานเชื้อเชิญผมเข้าไปลิ้มรสง่ายๆ ไร้แววแข็งขืน มีแต่ความโอนอ่อนผ่อนตามอยู่ในทุกอณูที่ผมแตะต้อง ยินยอมพร้อมใจจนกระทั่งลมหายใจขาดตอน ผมละริมฝีปากออกมาเพื่อมองใบหน้าของผู้ชายที่เพิ่งได้รับจูบจากผู้ชายอีกคน มันทั้งดูน่ารักและยั่วยวนเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลมาจากความเข้าใจผิด
“จูบอีกนะ...” และก่อนที่อีกฝ่ายจะทันตั้งตัว ริมฝีปากของผมก็ฉกลงหาความนุ่มอีกครั้ง หากคราวนี้ลึกล้ำและยาวนานกว่าเดิม
เบื้องหน้านอกหน้าต่างคือความงามของธรรมชาติ ในบรรดาดอกไม้หลากหลายพันธุ์ตรงหน้า ผมอยากจะเปรียบความสดใสร่าเริงที่แฝงความมีเสน่ห์ของลุงเป็นดอกไม้สักต้น แต่ลุงก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกบอบบางน่าทะนุถนอมเหมือนพวกนั้นสักนิด ถ้าจะให้เปรียบจริงๆ ก็คงจะเหมือนพืช...พืชกินแมลง
“ขำอะไร?” ลุงเอียงหน้าด้วยความสงสัย ขณะที่ผมละริมฝีปากออกเพื่อกลั้นขำกับความช่างเปรียบเทียบของตัวเอง นั่นสินะทั้งที่ดูแปลกตาแต่กลับไม่ไร้พิษสง ดูน่ารักแต่ก็ประหลาดในคราวเดียวกัน
“เปล่าๆ” แล้วผมก็ประกบปากแนบลงอีกครั้ง
พืชกินแมลงงั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นคงเป็นพวก ‘กาบหอยแครง’ ล่ะนะ ทั้งที่มองดูก็รู้ว่ามันไม่ปลอดภัย แต่แมลงโง่ๆ ก็ยังบินไปเกาะ สุดท้ายก็ถูกขังเอาไว้ในปากด้วยซี่แหลมๆ บินหนีไม่ได้ สุดท้ายก็ขาดอากาศตายอยู่ในนั้น
แล้วแมลงตัวนั้นจะเป็นใครไปได้เล่า...ทั้งที่รู้ว่าจะต้องขาดใจ แต่ก็ยอมบินเข้าไปอย่างยินดี
_________________________________________________________________TBC.
เหมือนเฮียปูนจะเป็นเอามาก เปรียบเมียเป็นพืชกินแมลงได้ยังไง 555
