[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 9# Pie สารภาพรัก
“เออ รู้แล้วๆ จะย้ำอะไรนักหนา กูไม่ใช่เด็กอายุ 3 ขวบนะเว่ย...4 ทุ่มให้ถึงบ้าน? พ่อมึงสิอีกไม่ถึง 10 นาทีจะให้กูวาปกลับรึไง!...เอาเป็นว่าวันนี้กูถึงบ้านแน่ๆ แต่จะกี่ทุ่มกูไม่รู้ บอกพี่ภูด้วยว่าถ้าเกิน 23.59 น. ค่อยด่ากู แค่นี้นะ!”
เสียงคุยโทรศัพท์อย่างหัวเสียทำให้ผมที่กำลังนอนอยู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ถึงแม้ไม่ต้องหันหน้าไปมองแต่ความเกรี้ยวกราดอันเป็นเอกลักษณ์นี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าเป็นใคร
เพลิงกัลป์คนอัณฑะพาลไงจะใครล่ะ!
“อ้าว! ตื่นแล้วหรอ” เพลิงที่สวมแต่กางเกงยีนส์หันมาทางนี้หลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ ซึ่งก็ดูจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าตอนนี้ผมกำลังนั่งพิงตรงหัวเตียงอยู่
“โทษที นี่กูทำให้มึงตื่นใช่มั้ยเนี่ย”
“ไม่เป็นไร นายไม่ต้องขอโทษหรอก ความจริงเราน่าจะตื่นก่อนนี้ตั้งนานแล้ว” นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้นอนหลับไปนานขนาดนี้ ก่อนจะนอน...ไม่สิ ก่อนจะสลบผมก็คิดว่าเย็นๆ คงจะตื่น แต่ไม่คิดเลยว่าจะตื่นเอาตอนดึกจนเกือบข้ามวัน
“ทำไปตั้งขนาดนั้น ถ้ามึงไม่หลับยาวจนถึงตอนนี้คิดว่าจะมีปัญญาลุกขึ้นนั่งรึไง”
“อะไรกันเล่า นายพูดอย่างกับว่าเราเป็นคนผิด คนที่ผิดคือนายที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอต่างหาก”
“แหม แล้วใครล่ะที่ขย่มกูซะมันส์ ครางกระเส่าว่าเอาอีก แถมยังขอลึกๆ แรงๆ อีกต่างหาก” คำพูดของเพลิงทำเอาผมหน้าแดงก่ำและร้อนวาบขึ้นมา เพลิงนี่เป็นคนแบบไหนกันนะถึงได้พูดเรื่องแบบนั้นออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
“เราไม่คุยกับนายแล้ว” ผมยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ก็สิ่งที่เพลิงพูดเมื่อกี้มันเป็นเรื่องจริงนี่นา เวลาเกิดความต้องการขึ้นมาผมมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้ไปซะทุกที
“เวลามึงเขินนี่ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ” เพลิงพูดยิ้มๆ ก่อนจะลงมานั่งที่ขอบเตียงแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผม “แต่ตอนที่น่ารักที่สุดก็คือตอนที่มึงมีอารมณ์ เพราะมึงแม่งโคตร...”
“นายไม่ต้องพูดแล้ว บ้านน่ะไม่กลับรึไง พี่ชายโทรมาตามแล้วไม่ใช่หรอ” ผมเอามือปิดปากเพลิงเอาไว้ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการบอกให้เพลิงรีบกลับบ้าน แต่เพลิงก็ดูไม่ได้ใส่ใจ แถมยังทำหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาอีกต่างหาก
“ยังพอมีเวลาน่า จัดส่งท้ายก่อนกลับทันเหลือๆ” ไม่พูดเปล่าเพลิงยังใช้ลิ้นเลียที่ฝ่ามือของผม ความเสียวซ่านและวูบวาบที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ผมรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ! นี่ล้อเราเล่นใช่มั้ยเพลิง” ถ้าทำอีกรอบผมคงต้องไปนอนหยดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลแน่ๆ!
“กูก็อยากทำจริงอยู่หรอกนะแต่สงสาร ไว้พรุ่งนี้แล้วกันให้มึงพักฟื้นร่างกายก่อน” เพลิงใช้มือขยี้ที่ศีรษะของผมเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อที่กองอยู่ตรงพื้นมาใส่
“เอ่อ...นายเห็นโทรศัพท์ของเรามั้ย” ผมถามเพลิงหลังจากที่มองหารอบตัว ทั้งยังยกหมอนขึ้นมาดูแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“อ้อ แบตมันหมดน่ะกูเลยเอาไปชาร์ตให้แล้ววางไว้บนหลังตู้เย็น” เวรกรรม สงสัยเมื่อคืนผมคงลืมชาร์ตแบตเอาไว้มั้ง
“ป่านนี้อินน์คงเป็นห่วงเราแย่เลย เรียนก็ไม่ได้ไปแถมยังติดต่อไม่ได้อีก” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วพยายามคิดว่าจะโทรไปขอโทษกับอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้อินน์ฟังยังไงดี
“มึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ตอนบ่ายเพื่อนมึงโทรหากูแล้ว กูเลยบอกไปว่ามึงไม่สบาย”
“เอ๊ะ? แล้วอินน์รู้เบอร์นายได้ยังไง” ผมจำได้ว่าผมไม่เคยให้เบอร์เพลิงกับอินน์ไปสักหน่อย แล้วอินน์ก็ไม่เคยขอจากผมเลยด้วย
“กูจะรู้มั้ยล่ะ แต่ว่าเบอร์กูมันก็ไม่ได้หายากขนาดนั้น อย่าลืมสิว่ากูน่ะคนดังไม่ใช่คนจืดจางแบบมึง” ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผมก็พยักหน้าลง ชีวิตคนดังแบบนั้นมันห่างไกลจากผมลิบลับ ผมไม่เข้าใจแล้วก็เข้าไม่ถึงหรอก
“ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว นอนพักผ่อนซะเดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงไปเรียน”
“แต่เราพึ่งตื่นเมื่อกี้เองนะ ก่อนหน้านี้ก็นอนไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วด้วย”
“ห้ามดื้อ ห้ามเถียง นอนต่อเดี๋ยวนี้เลยนี่คือคำสั่ง” เพลิงเดินตรงมาหาผมแล้วจับลงไปนอน แถมยังห่มผ้าจนถึงคอให้อย่างเรียบร้อยอีกต่างหาก
“จอมเผด็จการ”
“มึงว่าไงนะ?” ผมคิดว่าเพลิงได้ยินแหละเพราะผมไม่ได้พูดเสียงเบาขนาดนั้น แต่ที่ถามก็คงอยากให้ผมเปลี่ยนคำพูดมากกว่า
“นายจะกลับแล้วหรอ” ผมก็คิดว่าทำตามใจที่เพลิงต้องการแล้วนะ แต่ทำไมเพลิงถึงได้ดูท่าทางไม่พอใจก็ไม่รู้
“รีบไล่กูจังนะ ใช่ซี้ มึงก็ได้กูแล้วนี่” เพลิงจีบปากจีบคอพูดเสียงสูง ท่าทางที่ตลกแบบนั้นทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“กลับบ้านดีๆ แล้วกัน” ผมพูดทั้งที่ยังขำ เพลิงที่ได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าเซ็งขึ้นมาเลย
“เวลานี้มึงควรง้อให้กูอยู่ต่อ ไม่ใช่บอกให้กูกลับบ้านดีๆ นะเว่ย”
“พี่ชายรอนายกลับบ้านอยู่นะ อย่าให้ผู้ใหญ่ต้องรอนานสิ”
“ยัง...ยังจะไล่กูอีก มึงนี่มัน...” เพลิงที่ไม่รู้จะด่าผมว่าอะไรเลยเอาแต่ชี้นิ้วใส่ ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมอมยิ้มและหัวเราะคิกๆ คักๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีผมก็ถูกเพลิงจูบปิดปากซะแล้ว
ด้วยความตกใจที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันทำให้ผมเบิกตากว้าง ส่วนร่างกายก็แข็งทื่อราวกับขอนไม้ แต่พอพบว่าเพลิงไม่ได้ทำรุนแรงแถมยังติดจะอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ผมเลยหลับตาลงแล้วขยับริมฝีปากจูบตอบ ทั้งยังเปิดทางให้เพลิงสอดลิ้นเข้ามาอีกด้วย
เนิ่นนาน...จนกระทั่งผมเริ่มหายใจติดขัดเพลิงถึงได้ถอนจูบออกไปสักที
“กูกลับบ้านแล้วนะ”
“อืม ขับรถดีๆ” ผมโบกมือลาเพลิง
“เออใช่ กูขอสั่งห้ามเลยนะว่าห้ามเปิดประตูให้ใครเข้ามาในห้องเด็ดขาด โดยเฉพาะไอ้เหี้ยกวี” เพลิงสั่งเสียงเข้ม แต่ถึงไม่ออกคำสั่งผมก็ไม่คิดจะให้กวีเข้ามาในห้องอีกครั้งอยู่แล้ว
“อืม” พอเห็นผมรับปากเพลิงถึงได้วางใจแล้วเดินออกจากห้องไป ส่วนผมที่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลยค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปอาบน้ำ ความสดชื่นที่ร่างกายสัมผัสโดนน้ำเย็นๆ มันก็ทำให้อาการเหนื่อยล้าดีขึ้นมาเยอะเลย
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จตอนแรกผมก็ว่าจะนอน แต่ท้องกลับร้องจนผมต้องไปหาอะไรกิน ถ้าเป็นปกติผมคงจะเดินลงไปเซเว่นที่อยู่ไม่ไกลจากหอ แต่ตอนนี้สังขารผมคงไปไม่ไหวเลยทำแซนด์วิชง่ายๆ ซึ่งขณะที่กินคำสุดท้ายเสียงเคาะประตูห้องผมก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมรู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์มันวนลูปยังไงก็ไม่รู้ เพราะเมื่อวานหลังจากที่เพลิงกลับไปก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแบบนี้เหมือนกัน นี่อย่าบอกนะว่าคนที่เคาะก็คือกวีอีกแล้ว?
“นั่นใครครับ” ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดว่าตาแมวตรงประตูนั้นจำเป็นเลยไม่ได้สนใจว่ามันจะไม่มี แต่ตอนนี้ผมชักเปลี่ยนใจแล้วเพราะมันจำเป็นสุดๆ เลย
“เราเอง” เสียงแบบนี้ วิธีการพูดแบบนี้ เป็นกวีแน่นอน 100%
“มีอะไรรึเปล่ากวี”
“เรามีเรื่องอยากจะพูดกับพาย ช่วยเปิดประตูให้เราหน่อยได้มั้ย” น้ำเสียงของกวีดูมีเรื่องกังวลและร้อนใจ แต่ว่าผมรับปากเพลิงเอาไว้แล้ว ผมไม่อยากให้มันเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเลยตัดสินใจตอบปฏิเสธ
“ขอโทษนะกวี ตอนนี้เราไม่สะดวก”
“แต่เรามีเรื่องด่วนที่ต้องบอกพายจริงๆ นะ”
“งั้นกวีบอกมาตอนนี้เลยก็ได้”
“โธ่พาย...”
“ถ้ากวีไม่มีอะไรเราขอตัวไปนอนก่อนนะ” ผมคิดว่ากวีคงไม่มีเรื่องอะไรด่วนหรอกมั้งเลยตัดบทแล้วจะเดินไปที่เตียง แต่เสียงของกวีก็ทำให้ขาของผมหยุดชะงักไปซะก่อน
“ถ้างั้นเป็นที่ระเบียงก็ได้ พายคงจะออกมาคุยกับเราได้ใช่มั้ย”
ผมรู้สึกลังเล ใจนึงก็อยากรู้ว่ากวีมีเรื่องอะไรจะพูดกันแน่ แต่อีกใจนึงผมก็ไม่อยากมีปัญหากับเพลิง ซึ่งผมพยายามชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจตอบรับคำขอของกวี เพราะคิดว่าแค่คุยกันที่ระเบียงคงไม่เป็นอะไร ถ้าอยากจะปีนข้ามก็ทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะช่องว่างมันกว้างมาก
“อืม ก็ได้”
“ขอบใจนะพาย” น้ำเสียงของกวีดูโอเคขึ้นมาก ส่วนผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเดินตรงไปที่ระเบียง ซึ่งก็รอไม่กี่วินาทีกวีก็ออกมายืนที่ระเบียงของห้องตัวเองเช่นกัน
“พายดูหน้าซีดๆ จังเลยนะ ร่างกายโอเคใช่มั้ย” กวีถามด้วยความเป็นห่วง ผมที่ไม่คิดว่ากวีจะถามเรื่องนี้เลยค่อนข้างตกใจ
“เอ่อ...เราไม่เป็นไร เราสบายดี” ผมก้มหน้าลงนิดหน่อยไม่กล้าสบตากวี แต่ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะว่าผมโกหก แต่เป็นเพราะพอคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าผมก็รู้สึกอายขึ้นมา
หวังว่ากวีคงจะไม่ยืนฟังตั้งแต่ต้นจนจบหรอกนะ!
“ทำไม................................”
“เมื่อกี้กวีพูดว่าอะไรนะ?” ผมไม่ค่อยได้ยินเพราะกวีพูดด้วยเสียงเบามาก แต่หลังจากที่ผมถามกวีก็กำหมัดแน่นแล้วโพล่งออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด
“ทำไมไอ้เพลิงมันทำรุนแรงแบบนี้! ทำไมมันถึงไม่ถนอมร่างกายของพายเลย!” ผมรู้สึกอึ้งและตกใจมากเลยพูดอะไรไม่ออก ตลอดเวลาที่รู้จักกันมาผมไม่เคยเห็นกวีเป็นแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
“ถ้าเป็นเราที่ได้กอดพาย เราจะอ่อนโยนและจะทะนุถนอมพาย เราจะไม่ใช้กำลัง ไม่ทำร้าย แล้วก็ไม่มีวันทำรุนแรงอย่างที่ไอ้เพลิงมันทำกับพายเด็ดขาด!” สีหน้าของกวีในขณะที่พูดดูเกลียดชังและเจ็บแค้นแทนผมมาก แต่ผมว่ากวีดูจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ เพราะเพลิงไม่ได้ใช้กำลังแล้วก็ทำร้ายผมเลย ส่วนเรื่องทำรุนแรงอันนี้ผมไม่เถียง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ชอบสักหน่อย
เพราะรู้ว่าผมชอบเพลิงถึงได้ทำรุนแรงอย่างไม่เกรงใจต่างหาก!
“กวีฟังเรานะ...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรกวีก็พูดขัดขึ้นมาซะแล้ว
“พายไม่ต้องแก้ตัวแทนมัน พายถูกมันข่มขู่ใช่มั้ยถึงต้องยอมมันถึงขนาดนี้!”
“มันไม่ใช่อย่างที่กวีคิดเลยนะ เรา...”
“เราชอบพาย”
“หา?” ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินผิดไปรึเปล่า คำพูดที่จะแก้ความเข้าใจผิดให้กวีฟังเลยถึงกับต้องหยุดชะงักไป
เมื่อกี้กวีไม่ได้บอกชอบผมใช่มั้ย?
แต่ก็ราวกับถูกอ่านใจ กวีใช้สายตาจ้องมองมายังผมอย่างหนักแน่น เพื่อแสดงให้รู้ว่าสิ่งที่กำลังจะพูดออกมาเป็นความรู้สึกจากใจจริงของกวีอย่างแน่นอน
“เราชอบพายมาตั้งนานแล้ว ถึงจะรู้ว่าพายเป็นของไอ้เพลิงเราก็ยังชอบอยู่ดี แล้วเราก็รู้ว่าพายชอบเราเหมือนกัน เพราะงั้นพายเลิกยุ่งกับมันแล้วมาคบกับเราเถอะนะ” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมถึงกับยืนนิ่งด้วยความอึ้งจนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
กวีบอกว่าชอบผมงั้นหรอ?
นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่มั้ย!
“เราพูดจริงๆ นะพาย” กวีพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าผมมีสีหน้างุนงง ตกใจ และสับสนมากแค่ไหน
“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไม...” ผมตั้งใจจะถามเรื่องเดือน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มถามจากตรงไหน กวีที่พอจะเข้าใจเลยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง
สองอาทิตย์ก่อนพ่อกับแม่ของกวีถามถึงเรื่องแต่งงานขึ้นมาเพราะใกล้เรียนจบแล้ว ถ้าไม่มีคนที่คบหาอยู่ก็จะให้ไปดูตัวกับบรรดาลูกสาวของเพื่อนที่มีชื่อแซ่นามสกุลดัง กวีคิดไม่ตกอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน ซึ่งนั่นก็คือผม
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ พวกท่านทั้งสองคนไม่ยอมรับ แถมยังทะเลาะกับกวีใหญ่โตจนขู่ว่าจะไล่ออกจากบ้าน กวีไม่มีทางเลือกเลยต้องยอมคบกับเดือนซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนที่พ่อหามาให้ ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่ในอนาคตกวีก็ต้องมีทายาทอยู่ดี เพราะกวีเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล
“เราคิดว่าพอแนะนำเดือนให้พายรู้จักแล้วพายจะโวยวายใส่เรา ด่าว่าเรา ไม่ก็โกรธเกลียดเราจนเลิกยุ่งเกี่ยวกันตลอดชีวิต เราคิดว่าถ้าหักดิบใจร้ายกับพายไปเลยมันก็น่าจะดีกับเราทั้งคู่ พายจะได้ตัดใจจากเราเร็วขึ้น ส่วนเราก็เหมือนกัน แล้วเราก็จะได้เปิดใจให้เดือนด้วย...” กวีพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปสักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นต่อด้วยสีหน้าอันอมทุกข์เพราะตัดสินใจผิดพลาด
“แต่ทุกอย่างมันไม่เหมือนที่เราคิดไว้ พายก็ยังเป็นพายที่น่ารักและแสนดีเหมือนเดิม คำด่าที่เราเตรียมใจเอาไว้ว่าจะได้รับกลับเป็นคำยินดี แถมเวลาที่เรามีปัญหาพายก็ยังช่วยเหลือ เพราะงั้นความรู้สึกที่มีต่อพายมันเลยยิ่งมากขึ้น ผิดกับเดือนที่จากไม่เคยคิดอะไรด้วยแล้วนับวันยิ่งติดลบมากขึ้นอีกต่างหาก...”
“เรากับเดือนไม่มีอะไรที่เข้ากันได้สักอย่าง ตั้งแต่เรื่องอาหาร ไลฟ์สไตล์ นิสัยที่เอาแต่ใจ แล้วก็การใช้ชีวิตไร้แก่นสารที่เอาแต่ช็อปปิ้งกับปาร์ตี้ไปวันๆ เราสุดจะทนกับผู้หญิงแบบนั้นแล้วพาย แค่อาทิตย์กว่าๆ เราก็ปวดประสาทจะตาย แล้วไหนจะเรื่องของไอ้เพลิงที่มันมายุ่งกับพายอีก...”
ผมจำไม่ได้ว่ากวีพูดเรื่องอะไรต่อ แต่เรื่องที่กวีพูดถึงเดือนยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของผม เพราะผมไม่คิดว่าการที่ผู้ชายเอาเรื่องของผู้หญิงมาพูดลับหลังมันเป็นเรื่องสมควร โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้นคือแฟนที่กำลังคบกันอยู่ เพราะงั้นความรู้สึกสงสารและเห็นใจที่ผมมีให้ในตอนแรกเลยกลายเป็นผิดหวังแทน
“พอเถอะกวี” ผมพูดขัดขึ้นทั้งที่กวียังคงพูดอยู่ เพราะผมไม่อยากจะรู้สึกแย่กับกวีไปมากกว่านี้
“เหมือนกวีจะพยายามโทษเดือนไปซะทุกอย่าง แต่เราคิดว่าเดือนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ อย่าลืมสิว่ากวีนั่นแหละที่เป็นคนตัดสินใจจะคบกับเดือน ซึ่งเดือนก็น่าจะมีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย” กวีหยุดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“ใช่ เราก็พอรู้แหละว่าเดือนเป็นยังไง แต่เราคิดว่าพอคบกันเดือนอาจจะปรับนิสัยให้เข้ากับเราได้ แต่เดือนก็ไม่คิดจะทำ เราเลยอึดอัดแล้วก็เอาแต่คิดถึงพาย เราไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ชีวิตที่ไม่มีพายอยู่ข้างๆ มันไม่มีความสุขเลย เพราะงั้น...เราจะไปบอกเลิกเดือน”
“ว่าไงนะ?” ผมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน กวีที่ผมรู้จักไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ หรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของกวีกันแน่?
“ถึงตอนนั้นพายคงจะยอมคบกับเราได้อย่างสนิทใจใช่มั้ย ส่วนเรื่องที่บ้านเราพายก็ไม่ต้องกังวลนะ เราเป็นลูกชายคนเดียวป๊ากับม้าไม่กล้าตัดเราจริงๆ หรอก แล้วเราก็เชื่อว่าความดีของพายจะเอาชนะใจพวกท่านได้ เหมือนที่พายชนะใจของเราไง”
กวีพูดถึงอนาคตอันสวยงามโดยไม่ได้มองหน้าผมสักนิดว่ากำลังมีสีหน้าแบบไหน หรือบางทีอาจจะเห็นแต่ก็ทำเป็นมองข้ามไป เพราะไม่อยากยอมรับว่าผมไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับความคิดของตัวเอง
“กวีมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่มั้ย ถ้าไม่มีอะไรแล้วเราขอตัวไปนอนก่อนนะ” ผมพูดจบก็รีบหันหลังกลับทันที ขืนยังยืนฟังกวีพูดต่อบางทีความรู้สึกดีๆ ที่ผมเคยมีให้อาจจะหมดลงไปเลยก็ได้
“เดี๋ยวสิพาย! แล้วคำตอบ...”
“เราจะถือว่าเราไม่เคยได้ยินเรื่องที่กวีพูดเมื่อกี้ก็แล้วกัน” หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าห้องไปเลย โดยไม่สนใจเสียงเรียกของกวีและเสียงโทรศัพท์ที่สั่นบนหลังตู้เย็น
แล้วไม่นาน ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจก็ทำให้ผมหลับใหลสู่ห้วงนิทรา...
...................................................
..................................
.................
วันต่อมาเพลิงมาหาผมตั้งแต่เช้า แถมยังเช้ากว่าเมื่อวานคงเพราะจะมาเช็คด้วยล่ะมั้งว่าผมได้ให้กวีมานอนในห้องอีกรึเปล่า แต่แน่นอนว่าเรื่องที่คุยกับกวีตรงระเบียงผมไม่ได้บอก ไม่อย่างนั้นเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะจบแล้วได้ยุ่งยากวุ่นวายคูณสองแน่ๆ
“หวังว่ามึงคงจะไม่ตื่นมาตั้งแต่ 6 โมง แล้วบอกให้มันกลับไปนอนที่ห้องก่อนกูจะมาหรอกนะ” เพลิงหรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“ถ้าจะไม่เชื่อใจเราขนาดนั้นก็ไม่ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยล่ะ” ผมก็พูดไปงั้น แต่ไม่คิดว่าเพลิงจะจริงจังจนเห็นดีเห็นงามด้วย
“เออ ที่มึงพูดก็ดีเหมือนกัน แต่ห้องนี้แม่งแคบไปหน่อย กูว่าเราย้ายไปอยู่คอนโดหน้าม.กันดีกว่า แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องนั้นกูต้องคิดหาข้ออ้างดีๆ ไปพูดกับพี่ภูซะก่อน เอ...แล้วจะอ้างอะไรดีวะ ทำวิจัย โปรเจค หรือว่า...”
“เดี๋ยวๆๆ ไปกันใหญ่แล้วเพลิง เมื่อกี้เราพูดประชดนะ” ผมรีบพูดขัดก่อนที่เพลิงจะคิดไปไกลมากกว่านี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนฉลาดอย่างเพลิงจะไม่เข้าใจความหมายที่ผมจะสื่อ
“เรื่องนั้นกูรู้หรอก แต่ก็เผื่อมึงจะคล้อยตาม” เพลิงยักคิ้ว ผมเลยส่ายหน้าไปมา
“เราไม่คุยกับนายแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า” ผมพูดจบก็เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินตรงไปทางห้องน้ำ แต่ตอนที่จะหันมาปิดประตูก็พบว่าเพลิงได้เอาตัวขวางไว้
“กูอาบให้มั้ย” ทำหน้าเจ้าเล่ห์แถมยังหื่นกาม (กว่าปกติ) แบบนี้ เชื่อสิว่าเพลิงไม่ได้ตั้งใจจะทำแค่อาบน้ำให้ผมอย่างเดียวแน่ๆ
“ไม่เป็นไรเราอาบเองได้” ผมพูดจบก็ดันเพลิงออกไปแล้วรีบปิดประตูทันที ดีที่เพลิงไม่ได้ดึงดันจะเข้ามาข้างใน ไม่อย่างนั้นคงไม่วายต้องออกกำลังกายรอบเช้า เพราะผมคงไม่มีแรงมากพอที่จะสู้เพลิงได้
หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเพลิงก็ชวนผมกินข้าว กับข้าวพวกนี้เพลิงห่อมาจากบ้าน นี่ถ้าไม่บอกว่าแฟนพี่ชายคนโตเป็นคนทำ ผมคงนึกว่าซื้อมาจากร้านอาหารเพราะรสชาติอร่อยมากจริงๆ
“ถ้าติดใจฝีมือของตะวัน งั้นเสาร์หรืออาทิตย์นี้ไปกินข้าวที่บ้านกูมั้ยล่ะ” ในขณะที่พูดเพลิงแทบจะหุบยิ้มไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นดีใจอะไรขนาดนั้น
“ปกตินายชวนเซ็กส์เฟรนด์ไปกินข้าวที่บ้านบ่อยๆ หรอ” แต่พอได้ยินผมถามแบบนั้น จากที่กำลังยิ้มอยู่เพลิงก็แทบจะเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวใส่ผม
“มึงจะบ้ารึไง! ใครมันจะพาเซ็กส์เฟรนด์ไปแนะนำให้คนที่บ้านรู้จักกันเล่า!”
“แต่เมื่อกี้นายชวนเราไปกินข้าวที่บ้านไม่ใช่หรอ” ผมทำหน้างงจริงจัง ถ้าจะว่าผมได้ยินผิดก็ไม่น่าใช่นะ
“แม่งเอ๊ย บทจะโง่ก็โง่ฉิบหายนะมึงนี่” เพลิงเอามือกุมขมับ ส่วนผมก็ยังทำหน้างงเหมือนเดิม เพลิงที่จนปัญญาเลยถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หันหน้าไปอีกทางแล้วพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาราวกับว่ากำลังเขินยังไงยังงั้น
“มึงไม่ใช่แค่เซ็กส์เฟรนด์ แต่ว่า...มึงพิเศษกว่านั้น” พูดจบใบหูของเพลิงก็แดงเถือก ไม่สิ ไม่ใช่เฉพาะหู เพราะหน้าของเพลิงก็แดงเถือกเช่นกัน
“ไม่ใช่เซ็กส์เฟรนด์แต่พิเศษกว่านั้น...................อ๋อ เราเข้าใจแล้ว” ผมพยักหน้าขึ้นลง
“เออ ก็ตามนั้นแหละ อย่าให้กูต้องพูดซ้ำก็แล้วกัน” เพลิงหันมาสบตาผมแว้บหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
ดูเหมือนว่าเพลิงจะยังเขินอยู่นิดๆ นะเนี่ย แต่เรื่องที่พูดเมื่อกี้มันมีอะไรให้เขินงั้นหรอ ผมก็แค่เซ็กส์เฟรนด์ที่พิเศษ หรือก็คือเซ็กส์เฟรนด์ที่เพลิงกำลังติดใจเป็นพิเศษไม่ใช่รึไง ถ้าจะบอกว่าผมเข้าใจผิดก็ไม่น่าใช่นะ เพราะเมื่อกี้เพลิงก็ยืนยันคำพูดของผมแล้วนี่นา
ผมเข้าใจถูกต้องแล้วใช่มั้ย?
2BC
สวัสดีค่า Rabid หัวใจคลั่งรัก ตอนที่ 9 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า ตอนนี้ช่วงต้นๆ เหมือนจะปูทางไปดราม่าเนอะ แต่ไม่จ้า พอทุกอย่างจบลงด้วยดีอีตาเพลิงกับพายก็มุ้งมิ้งกันซะ แต่ถ้าพายเก็ทก็อาจะมุ้งมิ้งกว่านี้ล่ะนะ ซึ่ง...ก็ไม่รู้ว่าชาติไหนอีตาเพลิงมันจะพูดตรงๆ 55555
ส่วนเรื่องของกวีเอาจริงๆนางก็น่าสงสารอยู่น้า แถวนี้มีใครเห็นใจรับอาสาดามใจตี๋น้อยอย่างนางบ้างมั้ยน้อ แต่ก็ไม่รู้นะว่านางจะยอมแพ้เรื่องพายไปรึยัง เอ...จะมีคัมแบคมั้ยน้า? อิอิ
สำหรับตอนหน้าเจอกันวันอาทิตย์นะคะ เรื่องราวของเพลิงกับพายจะเป็นยังไงต่อไป ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาขึ้นอีกมั้ย (หรือจะแย่ลงไปอีก 55555) ยังไงก็มาเอาใจช่วยคู่นี้กันด้วยน้า ค่ำๆเจอกันเหมือนเดิมค่า
ปล.ขอแจ้งข่าวนิดนึงนะคะว่าเสาร์ที่ 23 นี้ตอนเที่ยงตรง เพลิงพายเปิดจองน้า มารับอีตาอัณฑะพาลกับเนิร์ดจืดจางไปเลี้ยงดูกันด้วยนะคะที่รัก กอดดดด
(21 มิ.ย. 61)