►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►Get it back ll นี่มึงเป็นแฟนเก่าหรือเจ้ากรรมนายเวร [Chapter 10] 21.10.18 ◣PAGE 5◢  (อ่าน 23678 ครั้ง)

ออฟไลน์ Red_Enchanted

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
CHAPTER TEN

   
- After all, how can you run away from what’s inside you -
   

   { Special Part - Tae }

   ตึก...ตึก...ตึก...

   เสียงฝีเท้าที่สะท้อนอยู่ในทางเดินโถงของคอนโด ณ เวลาเกือบตีหนึ่งเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ เนื่องจากคนที่เดินอยู่ข้างผมถูกน้ำเมาที่เรียกว่าเหล้าล้างสติออกไปจากสมองเสียหมดแล้ว ผมพยายามพยุงพิณที่ตอนนี้ดูเสมือนร่างไร้กระดูกให้ตั้งตัว เมื่อผมทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าห้องของเขา

   “พิณ คีย์การ์ดห้องอยู่ไหน” ผมเอ่ยถาม พลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก

   “…”

   พิณนิ่งสนิท ผมเลื่อนหน้าเข้าใกล้คนเมาขึ้นอีกหน่อย ลดระยะห่าง เพื่อเพิ่มความหวังในการปลุกคนหลับให้มีสติขึ้นมาสักนิด “พิณ ตื่นก่อน”

   “…” คนตรงหน้าผมลืมตา แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

   ผมหายใจผิดจังหวะอย่างกระทันหัน ลมหายใจแผ่วของคนตรงหน้าอาบลดลงบนปลายจมูกของผม เราทั้งสองนิ่งสนิทไปชั่วเสี้ยววินาทีนึงด้วยความรู้สึกประหลาดที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน ความวูบไหวบางอย่างในแววตาของพิณทำให้ผมไม่สามารถละสายตาจากวงหน้าของเขาได้

   ผมเม้มปากเข้าหา กลืนน้ำลายลงคอแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่คล้ายจะหายไปก่อนหน้า “คีย์การ์ดห้องพิณอยู่ไหน”

   สิ้นคำถามของผม พิณก็หลับตาลงอีกครั้ง ไร้ซึ่งคำตอบหรือทางแก้ปัญหาใดๆ ผมนิ่ง แต่ก่อนที่ในหัวผมจะมีเสียงความคิดอะไร เครื่องมือสือสารในกระเป๋าของคนเมาก็ดังขึ้น ผมน้อมตัวเอื้อมหยิบเจ้าเครื่องที่แผดร้องเสียงออกมาอย่างทุลักทุเล

   ~!

   ‘ครูอ้อ’

   จริงสิ...เราเอาพิณออกมาจากร้าน แต่ยังไม่ได้บอกใครเลยนี่หว่า

   ผมกดรับสาย “ฮัลโหลครับ”

   [ ภัทร เราอยู่ไหนเนี่ย ครูหาทั้งร้านแล้วก็หาไม่เจอ ] คนปลายสายฟังดูใจร้อนเพราะความเป็นห่วง

   “ผมเป็นเพื่อนข้างห้องของภัทรเขานะครับ ไม่ใช่ภัทร” ผมเอ่ยในขณะที่ค่อยๆวางคนในอ้อมกอดลงให้นั่งพิงกับกำแพง “พอดีผมเจอเขาเดินเมาไม่ได้สติอยู่ที่ริมถนนน่ะครับ กลัวรถจะชนเข้า เลยพากลับคอนโดมาก่อน”

   [ เดี๋ยวนะ...แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณเป็นเพื่อนข้างห้องของภัทรจริงๆ ]

   “เอาอย่างนี้นะครับ เดี๋ยววางสายแล้ว ผมจะถ่ายรูปตัวเองกับภัทร พร้อมกับรูปบัตรประชาชนของผมส่งไปให้ทางข้อความ ถ้าพรุ่งนี้ตอนสิบโมง ภัทรยังไม่ติดต่อกลับไปหาคุณครู คุณครูก็เอาข้อมูลทั้งหมดไปแจ้งความได้เลยครับ” ผมเสนอทางออกอย่างใจเย็น

   [ แบบนั้นก็ได้ ] ครูอ้อ เธอฟังดูหัวเสียระคนโล่งใจ [ แล้วเธอจะพาภัทรเข้าห้องยังไง ภัทรลืมกระเป๋าตังค์เอาไว้ที่โต๊ะ คีย์การ์ดห้องเขาก็อยู่นี่ ]

   “อ้าวหรอครับ ผมก็หาอยู่ตั้งนาน” ผมเบือนหน้าไปมองคนไร้สติแล้วยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความเอ็นดูผมใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าพิณออกไปเพื่อจะได้ลอบมองวงหน้านั้นให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะพูดต่อ “งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคืนนี้ให้ภัทรค้างห้องผมก่อนก็ได้”

   [ โอเค ] ครูอ้อตอบห้วน ยังคงเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ [ พรุ่งนี้ฉันจะรอสายจากภัทร สิบโมงนะ ]

   “ได้ครับ สวัสดีครับ” ผมตอบแล้วถือสายรอจนคู่สนทนาวางสายไปเอง

   ผมหันกลับไปมองคนที่นั่งพิงกำแพงที่ยังไม่ได้สติ แว่บแรกแล้วผมคิดว่าจะใช้วิธีพยุงร่างเล็กเช่นเคย ทว่าการกระทำที่บางครั้งไว้กว่าความคิดกลับนำให้ผมทำอีกอย่าง

   ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเตรียมคีย์การ์ดห้องของตนเองไว้ในมือ ก่อนจะช้อนอุ้มพิณขึ้นมา

   พิณไม่ใช่คนตัวหนักเลย ออกจะเบาไปเสียด้วยซ้ำในความคิดของผม

   “ไม่เปลี่ยนเลยนะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตอนนี้คิดอะไรอยู่ “ไม่เปลี่ยนเลย”

   ผมพูดย้ำครั้งที่สองด้วยด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม

   มันเต็มไปด้วยคำขอโทษที่ซ่อนอยู่ในนั้น

   แม้ว่าตอนนี้...

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังขอโทษเรื่องอะไร ผมคิดมาตลอดว่าเรื่องที่พิณโกรธผมคือเรื่องที่พิณเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนปล่อยรูปบ้าๆนั่นแต่มันก็ไม่ใช่

   ผมเจ็บที่ผมไม่สามารถขอโทษในเรื่องที่ผมทำให้เขาเสียใจได้

   แต่ที่ผมเจ็บมากไปกว่านั้น...คือการที่ผมปล่อยให้พิณเจ็บโดยที่ตัวผมเองไม่รู้ซ้ำว่าเขาเจ็บเรื่องอะไร

   ผมรักเขา แต่ผมไม่เคยกล้าแสดงออกให้เขารับรู้ได้เลย

   หรืออย่างน้อย....ผมก็ไม่เคยทำได้ในตอนที่เขาต้องการ

   ผมพาร่างไร้สติของพิณเข้าห้อง เดินตรงไปที่เตียงเพื่อวางเขาลงอย่างเบามือ ก่อนจะอ้อมไปที่ปลายเตียงเพื่อถอดรองเท้าออกให้เขา

   “เต...” เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้นเมื่อผมถอดรองเท้าข้างที่สองของพิณออกสำเร็จ คนที่นอนอยู่บนเตียงจัดแจงเปลี่ยนท่าตัวเองมาเป็นนั่ง เขาทอดสายตามองผม

   ผมเดินเข้าไปใกล้ตามเสียงเอ่ยเรียกของพิณ นั่งลงบนเตียงเพื่อจะได้มองหน้าเขาให้ถนัดตาขึ้น “ว่าไงพิณ” ผมรับคำเรียก “มึนหัวมั้ย”

   “เต” พิณเรียกผมอีกครั้ง บางอย่างในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้จะพูดอะไรต่อ ผมจ้องลงไปในนัยน์ตาคู่สวยของพิณเพื่อละเลียดความรู้สึกเปลือยเปล่าไร้กำแพง แววตาของเขาสั่นไหวและดูเปราะบางเกินไปจนผมไม่สามารถทนมองได้นาน

   เพราะถ้าพิณมองตาของผมในตอนนี้ด้วยสติ

   พิณจะพบว่าความรู้สึกข้างในของผมสั่นไหวไม่ต่างไปจากเขาสักนิด

   ผมหลุบตาลง

   “ความรู้สึกของกู...” พิณเอ่ยขึ้น เสียงของเขาฟังดูเลื่อนลอยแต่ก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึกในที “ความรู้สึกของกู มันตรงข้ามกับสิ่งที่กูอยากจะรู้สึกทุกครั้งที่อยู่ใกล้มึง”

   เขาเว้นวรรค

   โลกทั้งโลกเงียบไป เหมือนทุกสรรพสิ่งรอบข้างกำลังตั้งใจฟังเขาเช่นเดียวกับผม

   “กับมึงแล้ว...กูไม่เคยควบคุมได้เลย”

   พิณยิ้ม

   เขาไม่ได้ฝืนยิ้ม แต่เขายิ้มดังเช่นคนยิ้มเยาะตัวเอง “กูควรจะโกรธมึงมากกว่านี้” เขาพูดต่อ “กูควรจะเกลียดมึง...หนีมึง...ผลักไสมึงไปให้ไกลๆ”

   พิณเอื้อมมือมาวางไว้ที่ข้างหน้าของผม ผมไม่เคยคิดว่าไออุ่นจากฝ่ามือของคนตรงหน้าจะเป็นสิ่งที่ผมโหยหาจนกระทั่งผมได้สัมผัสมันอีกครั้ง ผมหลับตาลงเพื่อรับความรู้สึกที่พิณส่งผ่านมาก่อนจะยกมือขึ้นมาวางทับมือบาง

   “พิณ...” ผมจูบลงบนมือของเขา ขยับเข้าใกล้คนร่างบาง “พิณบอกเตได้มั้ยว่าพิณโกรธเตเรื่องอะไร” คนตัวเล็กเงียบไปทันทีที่ผมถามจบ พิณเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างชั่งใจ ผมมองเห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนในดวงตาของคนตรงหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำ

   ความเจ็บปวดที่ถูกส่งผ่านมาในนัยน์ตานั้นมันชัดเจนเสียจนผมเกือบจะบอกให้พิณเพิกเฉยกับคำถามเมื่อครู่

   “มึงไม่มา” ทว่า...พิณกลับตอบขึ้นมาเสียก่อน

   หยดน้ำตาของพิณกระทบลงบนหน้าตักของผม

   “เพราะกูรอ...แต่มึงไม่เคยมา”




   [ สามปีที่แล้ว ]

    “โห น้าจินทำขนมกล้วยได้อร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะคะ” เสียงของเด็กสาวในครัวดังขึ้นพร้อมกับเสียงวิ่งจากเด็กชายที่ดังมาจากตรงบันได หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ขมวดเข้าหากันอย่างอัตโนมัติจากความไม่พอใจของการกระทำไร้มารยาทของลูกชายเจ้าตัว

   “พิณ ม๊าบอกกี่รอบแล้วว่าห้ามวิ่งลงบ้าน” จินตนากล่าวในขณะที่พิณเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าแกล้งสำนึกผิด

   “โถ่...ม๊า” พีรการต์ย่างเข้าหา ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มแม่ของตัวเองเพื่อแทนคำขอโทษ “พิณรีบนี่หน่า ก็พิณกลัวเบลรอนานอ่ะ”

   “ไม่ต้องมาอ้างเบลเลย ถ้าวิ่งลงบันไดแบบนี้บ่อยๆ ม๊าจะเอาไม้เคาะตาตุ่มให้จำแล้วนะ” จินตนายังคงเอ็ดพร้อมชี้หน้าคาดโทษลูกชายต่อไปแม้ว่าใจข้างในจะอ่อนลงแล้วก็ตาม หญิงสาวเอื้อมตัวไปหยิบขนมกล้วยที่จัดใส่จานไว้อย่างดีดิบ ยื่นให้พิณ “เอ้า...เอาไปกินกัน ระวังอย่าให้หกบนเตียงด้วยนะ”

   “ขอบคุณครับ” พีรการต์หอมแก้มแม่ตัวอีกฟอดใหญ่ “ไปกันเถอะเบล”

   พิณว่าก่อนจะเดินนำนภสรไป เด็กสาวกล่าวขอบคุณแม่ของเพื่อนเล็กน้อย หยิบข้าวของที่เตรียมมา แล้วเดินตามพีรการต์ขึ้นห้อง

   เบลกวาดสายตามองสำรวจห้องพีรการต์ดังคนไม่เคยมาเยือน ทั้งที่เมื่อก่อนเธอก็มาคลุกอยู่ที่นี่เช้าจรดเย็นด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเตชภณย่างเท้าเข้ามาในชีวิตของพิณ

   นภสรกัดปากตัวเองจนเธอรู้สึกเจ็บพร้อมกับกำของที่เธอเตรียมไว้ในมือจนแน่น

   เบลไม่ได้อยากทำแบบนี้...แต่เธอทนให้เพื่อนสนิทของเธอโกหกเธอหน้าตายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

   “พิณ” เด็กสาวเปล่งเสียงเรียกเพื่อนตัวเอง เสียงของเธอแหบพร่าด้วยความประหม่าจนหากสังเกตก็จะจับได้

   โชคร้าย...ที่พีรการต์ไม่ได้สังเกต

   “ว่าไง” เจ้าของชื่อขานรับ

   “คือพ่อเราฝากของฝากมาให้อ่ะ เป็นที่ทับกระดาษ” นภสรเอ่ย เธอชูถุงกระดาษขึ้นมาให้พีรการต์ดูแต่เธอไม่ได้ยื่นออกไปให้เขารับ เบลเดินไปที่โต๊ะหนังสือของพิณแล้วจัดการวาง ‘ของฝาก’ ที่เธอบอกไว้บนโต๊ะของพิณก่อนที่เด็กชายจะได้เห็นว่าที่ทับกระดาษนั่นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเสียด้วยซ้ำ

   “วางไว้มุมนี้ เวลาแสงจากหน้าตากระทบลงมา มันจะฉายออกมาเป็นรูปกวางเนี่ย พิณเห็นมั้ย” เบลพยายามอธิบายด้วยความรวดเร็ว เธอกะพริบตาถี่จนเกือบเรียกได้ว่าถี่เกินไป “ชอบมั้ยพิณ”

   พีรการต์เดินเข้าใกล้ เด็กสาวหายใจติดขัดเมื่อคนตรงหน้าเอื้อมหยิบที่ทับกระดาษรูปร่างซับซ้อนนั้นขึ้นมาดูใกล้ “สวยดี ฝากขอบคุณอาเก่งด้วยนะเบล” พิณส่งยิ้มให้เธอ เบลยิ้มตอบ

   หากทว่ารอยยิ้มของทั้งสองนั้นกลับมีความจริงใจที่ต่างค่ากันคนละโยชน์

   พีรการต์วางของฝากในมือลง เด็กสาวตั้งใจมองการกระทำดังกล่าวก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะความโล่ง เมื่อพิณจัดแจงที่ทับกระดาษให้อยู่ในองศาเดียวกันกับที่เขาหยิบขึ้นมา

   “เริ่มทำงานกันเลยมั้ย” พีรการต์ถาม

   นภสรส่งยิ้มหลากอารมณ์

   “อืม”




   เบลกลับไปที่บ้านของพีรการต์อีกครั้งในอาทิตย์ต่อมา นภสรเลือกช่วงเวลาที่เธอคิดว่าพิณไม่อยู่เพื่อกลับไปเก็บ ‘หลักฐาน’ ที่เธอมั่นใจเกินร้อยว่ามันจะต้องถูกบันทึกลงในกล้องขนาดเล็กที่เธอแอบซ่อนไว้ในที่ทับกระดาษรูปร่างประหลาด

   เด็กสาวเร่งฝีเท้าขึ้นด้วยความร้อนใจทันทีที่เธอย่างก้าวพ้นธรณีประตูห้องตนเอง เบลมุ่งไปเปิดคอมพิวเตอร์ของเธอก่อนจัดการเชื่อมอุปกรณ์จากกล้องเข้าไป สัญลักษณ์วงกลมขึ้นรอดาวน์โหลดปรากฏขึ้น แสงจากหน้าจอที่สะท้อนลงมาบนวงหน้าของเด็กสาวทำให้เธอดูซับซ้อนเกินกว่าเด็กวัยมอต้นทั่วไป

   เบลกัดเก็บตัวเอง

   ไม่กี่อึดใจ วิดีโอที่รอเด็กสาวรอก็ปรากฎขึ้น  นภสรพอใจกับมุมกล้องที่ถูกจัดวางไว้ทว่าเธอไม่ได้ยิ้มออกมา หนำซ้ำ...เบลยังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขึ้นกว่าเดิม

   ขอร้องเถอะ...

   …

   เบลหยุดคำภาวนา

   เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยากให้ภาพบนหน้าจอออกมาเป็นแบบไหน

   ถ้าภาพในวิดีโอนั่น แสดงออกมาว่า พีรการต์กับเตชภณมีอะไรปกปิดกันอยู่จริงๆ นั่นก็จะหมายความว่าสิ่งที่เธอคิดมาตลอดนั้นถูก แต่ถ้ามันเป็นไปในทางกลับกัน นั่นก็จะหมายความว่า...

   …พีรการต์โกหกเธอ พิณเลือกที่จะทรยศความไว้ใจของเธอ

   นภสรแทบจะลืมความรู้สึกที่เธอมีให้เตชภณไปหมดแล้วด้วยซ้ำ สิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเจ็บใจกับคำว่าเพื่อนหลอกๆที่พิณมอบให้

   คิดได้แบบนั้น เบลก็กดเล่นวิดีโอแล้วกรอมันไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอประมาณ

   รอไม่นาน ใบหน้าของบุคคลที่นภสรรอก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

   ...เตชภณ...

   เธอขยับนิ้วกดให้ความเร็วบนภาพฉายกลับมาเป็นแบบปกติ

   [ น้องแตงโทรมาตามตัวมึงกับกูอีกแล้วว่ะ ] เสียงคุ้นเคยของพีรการต์ดังออกมาจากลำโพง [ ถามจริงๆเถอะว่าทำไมกูจะบอกน้องสาวมึงไปไม่ได้ว่ากูอยู่กับมึง ] ร่างบางถาม แต่อีกคนกลับไม่ตอบ [ ตั้งแต่แตงขึ้นมาที่นี่มึงก็ดูแปลกๆไปนะเต ]

   [ อย่าไปสนใจเลย ] เตชภณบอกปัด เขาเดินผ่านตัวพิณไปนั่งลงบนเตียง

   [ แต่มึง... ] พีรการต์เดินเข้าไปนั่งข้างเขา

   [ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ] คนตัวสูงขยับเข้าหาลดระยะห่างระหว่างร่างทั้งสอง [ มันไม่มีอะไรที่มึงช่วยได้แล้วมึงยังไม่ได้ทำหรอกพิณ ]

   เตชภณเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบลรู้สึกได้ว่ามันแปลกไปจากปกติ เธอรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากประโยคเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเธอก็สามารถบอกได้จากสัญชาตญาณบางอย่างว่าเตกำลังมีเรื่องหนักใจ

   เตชภณเอื้อมมือไปทาบลงบนแก้มของคนตรงหน้าเขา [ แค่ได้อยู่กับพิณ ] ร่างสูงนิ่งไปเสี้ยววินาทีนึง [ แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว ]

   [ แต่กูเป็นห่วง ] พีรการต์เอ่ย

   [ เป็นห่วงหรอ ] ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยนัยยะ เขาขยับเข้าใกล้พิณมากขึ้นอีก มือหนาจับล็อคใบหน้าของคนร่างบางเอาไว้ไม่ให้หนีออก แล้วเลื่อนตัวหน้าของตัวเองเข้าจนปลายจมูกของทั้งสองชนกัน [ ไหน...ขอดูหน่อยสิ ว่าความเป็นห่วงนี่มันหน้าตาเป็นแบบไหน ]

   นภสรไม่เห็นหน้าตาของความเป็นห่วง...

   …แต่ในวินาทีนั้น เด็กสาวได้รับรู้หน้าตาของคำว่าการโกหก

   การโกหกที่มีชื่อว่า ‘พิณ พีรการต์’

   ภาพของคนทั้งสองยังคงฉายบนจอคอมพิวเตอร์ของเบล เด็กสาวเหม่อมองภาพเคลื่อนไหวนั่นด้วยสายตาที่ไม่ว่าใครก็อ่านความรู้สึกไม่ออก เตกับพิณเปลี่ยนจากการนั่งใกล้ เป็นใกล้มากขึ้น เป็นจากสัมผัสที่แผ่วเบา เป็นสัมผัสที่หนักแน่นมากขึ้น เปลี่ยนการพรมจูบอย่างอ่อนหวาน เป็นจูบที่ลึกซึ้งมากขึ้น

   [ เต... ] พีรการต์ใช้มือดันอกของร่างหนาออก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยคำถาม

   [ พิณ ] เตเลื่อนมือลงมาจับมือบาง เขาจูบย้ำลงไปบนปากเล็กอีกรอบ [ เตขอนะ ]

   ไหวเท่าความคิด เบลกดหยุดภาพวิดีโอบนจอคอมของตัวเอง

   เธอเห็นมามากพอแล้ว...เธอไม่จำเป็นจะต้องเห็นอะไรอีก

   นภสรคิด

   ก๊อกๆๆ!

   นภสรสะดุ้งโหย่ง ทันทีที่เสียงหน้าประตูห้องนอนของเด็กสาวดังขึ้น “พี่เบล มีรุ่นน้องที่โรงเรียนมาหา”  ตามมาด้วยคำบอกกล่าวของน้องสาวคนกลางของเธอ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ลุกขึ้นผุด เบลกดพักหน้าจอทันควัน

   “ใครหรอบัว”

   แอ๊ดดดด...!

   “แตงเองค่ะ” คำตอบของคำถามที่เบลเพิ่งเอ่ยออกไปมาพร้อมกับการมาเยือนของคนที่นภสรเองไม่ได้คาดเอาไว้ว่าเธอจะมาปรากฎตัวถึงที่นี่ เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งอนุญาตให้ตัวเองย่างเข้ามายืนในห้องนอนของเบลอย่างพลการก่อนจะยิ้มปราดให้เจ้าของห้อง

   “น้อง...” เบลประหลาดใจ

   “บัวไปนะ” น้องสาวของเบลกล่าวบอก เธอเดินออกไปแล้วจัดการปิดประตูห้องให้อย่างรู้งาน

   “น้องมาได้ยังไง” นภสรถามหลังจากที่เสียงเดินลงบันไดจากข้างนอกห้องเงียบไป

   “ให้เพื่อนมาส่งค่ะ” ตุลยดาตอบนิ่ง แววตาของเธอแข็งกร้าวจนเบลเลี่ยงที่จะมองตรงๆ

   “เปล่า...พี่หมายถึงว่าน้องมาทำไม แล้วรู้ได้ไงว่าบ้านพี่อยู่ไหน”

   “มาเรื่องพี่เตค่ะ” เด็กสาวเอ่ยพลางถอนหายใจอย่างรำคาญ เธอไม่ได้ตอบคำถามที่สองของเบลอย่างจงใจ แตงกวาดตามองรอบห้องนอนสีครีมด้วยสายตาที่ถือตัว ก่อนที่ตุลยดาจะเดินย่างเท้าเข้าใกล้เบลมากขึ้น จนเด็กสาวอายุมากกว่ารู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

   “ถ้าน้องจะมาหาเต พี่บอกได้เลยว่าเตไม่ได้อยู่ที่นี่” นภสรใช้น้ำเสียงที่พยายามจะข่มความรู้สึกถูกคุกคาม

   “รู้ค่ะว่าไม่อยู่”  ตุลยดาเอ่ยพร้อมเดินกอดอกผ่านเด็กสาวเจ้าของห้องไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ ก่อนที่แตงจะวางสะโพกพิงกับขอบโต๊ะดังกล่าว

   สายตาของนภสรเปลี่ยนความสนใจจากใบหน้าของผู้มาเยือนไปที่คอมเครื่องนั้นโดยอัตโนมัติ ความเปลี่ยนแปลงของจุดมองรวมทั้งความกังวลที่ส่งออกผ่านสายตานั่นมันมีมากพอให้เด็กฉลาดอย่างแตงจับสังเกตได้ เธอหันไปมองที่หน้าจอดำสนิท ก่อนจะไล่สายตาลงไปมองอุปกรณ์หน้าตาประหลาดที่ถูกเชื่อมต่ออยู่

   “น้องมาหาพี่เรื่องเต” นภสรพูดขัด “มีอะไรก็ว่ามา”

   แตงแกล้งละความสนใจ

   “ทีแรกแตงก็ว่าแค่จะโทรบอกนะคะ แต่คิดไปคิดมา ก็อยากมานี่เองเลยมากกว่า เพราะแตงกลัวพี่เบลไม่เข้าใจสิ่งที่แตงกำลังจะพูด” ตุลยดาว่าเสียงกระด้าง “แตงแค่อยากจะมาขอร้องให้พี่เบลเลิกยุ่ง เลิกคุย เลิกติดต่อ เลิกเป็นเพื่อนกับพี่เตน่ะค่ะ”

   “ขอร้อง?” เบลนึกสงสัยกับการเลือกใช้คำของตุลยดา

   “ค่ะ...ขอร้อง” เด็กสาวเน้นคำ

   “แล้วทำไมพี่จะต้องทำตามที่แตงขอร้องด้วย เตก็เพื่อนพี่” นภสรถามกลับ เบลไม่เข้าใจว่าทำไมน้องสาวของเตชภณจะต้องมาหาเธอถึงที่บ้านเพื่อบอกให้เธอเลิกยุ่งกับเด็กหนุ่ม

   แต่ที่แน่ๆ....เบลรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคู่นี้

   “ถามตรงๆนะ แตงกับเตเป็นอะไรกัน”

   นัยน์ตาของตุลยดาแข็งกร้าวขึ้นมาเป็นเท่าตัวหลังจากเบลเอ่ยคำถามนั้นจบประโยค แตงใช้ดวงตาไร้แววของเธอสาดความเกลียดชังที่ปิดไม่มิดมาที่นภสรจนคนถูกมองสะดุ้ง “อย่าถามแบบนี้นะคะ แตงไม่ชอบ” ตุลยดาเดินย่างเข้าหาคู่สนทนาของเธอ “เมื่อกี้พี่เบลพูดว่าเป็นอะไรกับพี่เตนะคะ เพื่อนงั้นหรือ”

   แตงกัดฟันยิ้มแสยะ เธอเค้นขำในลำคอ

   “น้อง...” นภสรรู้สึกกลัวเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอมากขึ้นไปทุกที

   “คิดว่าแตงโง่มากหรอคะ คิดว่าแตงไม่มีปัญญาสืบเรื่องพี่กับพี่เตงั้นหรอ” ตุลยดาไม่กะพริบตา

   “พี่ว่า...” นภสรกลั้นหายใจ “แตงสืบผิดคนแล้วละ”

   แว่บนึงในความคิด เบลคิดจะเดินไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อบอกความจริงกับตุลยดาให้มันจบๆกันไป แต่วินาทีต่อมา นภสรก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นความคิดที่ไร้สติมาก เพราะถึงแม้ว่าเธอจะโกรธพีรการต์อยู่ไม่น้อย เธอก็ไม่อยากให้เด็กสาวที่ดูโรคจิตพิกลตรงหน้าไปตามรังควานเพื่อนของเธอ

   “พี่เบลหมายความว่ายังไงคะ” แตงหรี่ตาลง

   “คือพี่...” นภสรหลุบตาลงต่ำ เธอพยายามหาประโยคมาพูดแก้สิ่งที่เธอเพิ่งเอ่ยออกไป แต่เบลกลับคิดอะไรไม่ออก

   “ช่างมันเถอะค่ะ” แตงตัดบท เบลเห็นว่าเท้าของเธอถอยห่างออกไป เมื่อนภสรเงยหน้าขึ้นมาแตงก็ยืนพิงอยู่ที่โต๊ะคอมฯเช่นเดิม “ต่อให้พี่เบลก็จะโกหกต่อไปยังไง หรือจะคบกับพี่เตในสถานะไหน แตงก็ขอร้องให้พี่เลิกยุ่งกับพี่เตอยู่ดี”

   เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งยืดตัวขึ้น เดินออกห่างจากโต๊ะคอมพิวเตอร์และผ่านตัวนภสรไปที่ประตู เป็นสัญญาณบอกว่าเธอพูดธุระของเธอใกล้จบแล้ว ทว่าก่อนจะออกจากห้อง ตุลยดาก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสบายๆ ที่ดูขัดกับความหมายที่ประโยคนั้นสื่อออกมา “ถ้าไม่ทำตามที่แตงขอร้อง ระวังหน้าสวยๆจะมีรอยกรีดนะคะ”

   นภสรรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

   “ถือว่าแตงเตือนแล้วนะ” ตุลยดาหันมายิ้ม “แฟนเก่าพี่เต ก็โดนไปตั้งหลายแผลแหน่ะ”


......................................................


คนเขียนขอเม้าท์: ขอโทษที่กลับมาช้าไปเกือบปีนะคะ ไม่มีคำแก้ตัวจริงๆค่ะ ขอโทษอีกครั้งจริงๆค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ nbom_pkai

  • รับศีลรับพอร์น
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะกลับมาอีกมั้ยคะ

ออฟไลน์ Blue Bear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด