[3]
ผมกำลังถูกจีบ
ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ เพราะคนที่จีบผมเขามาบอกด้วยตัวเองเลย ส่วนถ้าถามว่าตกใจหรือเปล่าที่มีผู้ชายมาจีบ ไม่หรอกครับ ผมเป็นเกย์ แถมปิดเผยซะด้วย ถ้ามีผู้หญิงเข้ามาหานี่สิน่าตกใจกว่า
"พี่ป๋ามารอพี่ไนท์อีกแล้วนะครับ"
คำถามจากรุ่นน้องทำให้ผมละความสนใจจากชีทภาษาอังกฤษที่ตนเองทำมาเพื่อติวให้รุ่นน้องปีสองโดยเฉพาะไปมองเขาแล้วแหย่ด้วยคำพูด
"เขามาเพราะตามแฟนใครบางคนมานั่นแหละ"
"เขามาเพราะอยากเจอคนบางคนแถวนี้ต่างหากครับ แฟนผมบอกมา"
จ้าวตอบพร้อมยักคิ้วให้ผม เจ้าเด็กนี่แสบขึ้นทุกวัน
เห็นตอนแรกหงิ๋มๆ แต่พอมาสนิทด้วยแล้วก็กวนประสาทไม่ใช่เล่นเลย พอๆ กับเด็กคนอื่นในก๊วนเขานั่นแหละ
"ไม่เปลี่ยนสถานะสักทีล่ะครับ? ผมเห็นพี่ไปไหนมาไหนด้วยกันออกจะบ่อย แถม... การกระทำของพวกพี่ก็ไม่เหมือนคนกำลังจีบกันเลย"
น้องพึมพำท้ายประโยคพลางเหลือบมองเหมือนกลัวว่าถ้าได้ยินแล้วผมจะโมโห แต่ไม่หรอกครับ ผมแค่ยิ้มแล้วยื่นมือไปดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นแรงนิดหน่อยให้เด็กจ้าวร้องโอดโอยเท่านั้นแหละ
ผมบอกให้น้องๆ เริ่มทำแบบฝึกหัดกันต่อก่อนจะทอดสายตามองไปยังศาลารับลมฝั่งตรงข้าม และก็ได้รับสายตานิ่งๆ มองตอบกลับมาราวกับอีกฝ่ายกำลังบอกว่าถ้าเขาไม่มองตอบอีกเพียงสองสามวิ คนที่ทำหน้านิ่งตรงนั้นจะต้องพุ่งเข้ามาขยำขอเป็นแน่
เหมือนหมาบลูด๊อกหิวตับไก่
เห็นหน้าแล้วแล้วพลันนึกย้อนไปถึงช่วงเทอมก่อนที่เรื่องราวพวกนี้มันเกิดขึ้น
คณะนิเทศมีกิจกรรมคัดเลือกตัวนักแสดงเพื่อหาคนที่เหมาะจะรับบทในละครเวทีของมหาวิทยาลัยซึ่งจัดขึ้นช่วงนี้ของทุกปี และเพื่อให้นักศึกษาปีหนึ่งกับสองต่างคณะได้ร่วมกิจกรรมด้วย ทางอาจารย์เลยให้พวกปีสามอย่างพวกผมเป็นคนจัดการเบื้องหลัง คัดเฉพาะคนที่อยากแสดงจริงๆ ไปขึ้นเวทีกับน้องๆ
ส่วนผมเลือกที่จะทำงานเบื้องหลัง เพราะเป็นงานที่ผมสนใจ และตั้งใจจะต่อยอดอนาคตด้วยเส้นทางนี้อยู่แล้ว
แม้จะถูกคะยั้นคะยอให้ออกไปแสดงผมก็ปฏิเสธไป เพราะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่
"จะไปร้านสะดวกซื้อหน้ามอ ใครเอาอะไรบ้าง?"
เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าหากใครจะออกไปซื้ออะไรต้องถามไถ่สมาชิกที่เหลือด้วย และทุกคนก็จัดเต็มจริงๆ กว่าผมจะได้ไปคิดเงิน ตะกร้าในมือสองใบก็แทบล้นออกมา
"สะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง สวัสดีครับ"
เสียงทักทายของพนักงานแคชเชียร์และเสียงพูดคุยที่ฟังแล้วเป็นนักศึกษากลุ่มใหญ่ ทำให้ผมรีบปรี่ไปต่อแถว ด้วยกลัวว่าคนจะเยอะจนกินเวลาไปมากกว่านี้
"รับคนจีบ เอ้ย ขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับพี่ไนท์?"
ผมขำกับมุขเนียนๆ ของรุ่นน้องแคชเชียร์ตรงหน้า เพราะนี่เป็นโซนมหาวิทยาลัยเลยทำให้มีนิสิตหลายคนทำงานที่ร้านสะดวกซื้อสาขานี้ รวมถึงพาย เด็กอักษรที่รู้จักกันตอนรับน้องด้วย
ผมย่อตัวลงเอาแขนท้าวเคาท์เตอร์แล้วทำหน้ากรุ้มกริ่มเหมือนคาสโนว่า เล่นกับน้องมันสักหน่อยครับ
"ฟุตลองพริกสดไม่มีในตัวเลือกเหรอ?"
"มีครับผม เอาเท่าไหร่ดี?"
"สามดุ้น ขอใหญ่ๆ ไซส์เท่ากระป๋องโค้กนะ"
"หึ"
หืม? ไม่ครับ นั่นไม่ใช่เสียงหัวเราะของผมหรือน้องพายหรอก แต่เป็นเสียงของคนที่ยืนต่อคิวอยู่ข้างหลังต่างหาก ท่าทางจะได้ยินที่ผมเล่นกับน้องพายนั่นแหละ ผมเหลือบมองก็เห็นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่อยู่คนละคณะกัน
ป๋า คนชื่อแปลกที่ชอบอยู่กับเดือนคณะวิศวะบ่อยๆ กำลังมองมาที่ผมนิ่งๆ แต่แอบเห็นว่ามุมปากยกขึ้นเป็นข้อยืนยันแล้วว่าเสียงหัวเราะในลำคอคือเสียงของคนๆนี้นั่นแหละ
ผมยิ้มเขินๆ ให้เขาแล้วเขยิบตัวหลบเพื่อให้คนตัวโตกว่าวางของที่ถือมาเพื่อจ่ายเงินลงบนที่ว่างข้างหน้าเพราะยังไงเสียไส้กรอกที่ผมสั่งก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่งจึงจะได้ หูฟังพายคิดเงินคิวต่อไปเรื่อยๆ ตาก็มองไปเรื่อยทั้งแผงลูกอม แผงบุหรี่ที่วางอยู่ด้านหลัง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกถึงสายตาจากคนที่อยู่ข้างๆ มองมาที่ตัวเองตลอด
พอทำใจกล้าเหลือบมองก็เจอเจ้าของสายตากำลังมองมาทางตัวเองอยู่จริงๆ เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกตีหน้ายักษ์ใส่เขาไป มองหน้าทำไม สนใจเพื่อนไปสิ สะกิดให้จ่ายเงินยิกๆ แล้ว
เห็นผมมองแบบนั้นเขาเลิกคิ้ว รอยยิ้มที่มุมปากยกขึ้นสูงกว่าเดิมคล้ายสงสัยและขบขันไปในที จนจ่ายเงินเสร็จนั่นแหละอีกฝ่ายถึงได้เดินออกไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนชอปแดงเลือดหมู ไม่วายทิ้งสายตาเรี่ยราดไว้ให้ผมอีก
หมั่นไส้จริง
“ฟุตลองพริกสดของพี่ไนท์ได้แล้วครับ”
“ขอบคุณครับ วันนี้เข้ากะถึงกี่โมง? ทัพมันจะมารับเราทันมั้ยเนี่ย?”
“สองทุ่มครับ ทัพบอกแล้วว่าคงมาไม่ทัน แต่ผมอาจจะไปหาที่คณะแทน”
ผมรับถุงไส้กรอกมาแขวนรวมกับถุงขนมถุงอื่นๆ แล้วคุยกับน้องอีกสองสามประโยคจึงเดินออกจากร้านพร้อมของพะรุงพะรัง
ดีหน่อยที่เดินจากหน้ามอเข้าตึกคณะผมไม่ได้ไกลมากนัก เดินแค่ห้านาทีผมก็จะได้เอาของกินไปเซ่นพวกหิวโหยที่รออยู่ในห้องซ้อมได้แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเจอร่างคุ้นหน้าคุ้นตาของคนที่จำได้ว่าเพิ่งมองหน้ากันที่ร้านสะดวกซื้อเมื่อครู่นี้
มายืนสูบบุหรี่หน้าคณะนิเทศเพื่อ คณะวิศวะไม่มีที่ให้สูบหรือไง
อาจเพราะความประทับใจแรกเจอติดลบเลยทำให้ผมพาลคิดเช่นนี้ มันน่าสงสัยจริงๆ นะครับ ตึกวิศวะกับตึกนิเทศไม่ได้ใกล้กันเลยสักนิด อยู่กันคนละฝั่งแบบที่ไม่ต้องเดินผ่านกันเลยแม้แต่น้อย แต่นี่เขามายืนชิลๆ ไม่มีเพื่อนในกลุ่มมาด้วย ดูยังไงก็แปลก แต่ก็นะ ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย
ผมไหวไหล่แล้วตั้งใจจะเดินผ่านคนที่มองกลับมาเหมือนไม่เห็นเขา ถ้าไม่ติดที่มือโดนคว้าเอาไว้ก่อน
“เฮ้ย!"
ผมร้องเพราะเกือบหงายหลังแถมถุงขนมในมือก็เกือบร่วงลงพื้น ในนั้นมันมีขวดแก้วอยู่ด้วยนะ!
“เมินกันง่ายๆ เลยนะ"
“พูดอะไร ปล่อยผมนะคุณ เราไม่รู้จักกันสักหน่อย มาคว้าแขนผมทำไม?”
“ป๋า” คงเห็นผมทำหน้างงใส่ถึงได้ยอมขยายความทั้งประโยคอีกรอบ “ชื่อป๋า วิศวะเครื่องกลปีสาม ส่วนเรา ไนท์ นิเทศภาพยนตร์ปีสาม ถูกต้อง?”
ผมยังคงขมวดคิ้วแม้จะตอบรับด้วยการพยักหน้ารับ
ไม่แปลกใจและไม่ถามกลับหรอกว่ารู้จักผมได้ยังไง ไม่ได้หลงตัวเองแต่เด็กนิเทศที่ทำกิจกรรมเยอะขนาดผมมีไม่กี่คนหรอกที่จะไม่รู้จัก เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเรียก มีแต่คนทักทาย ทำกิจกรรมก็มีแต่คนตามตัว
“มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”
“ทำวิศวะหวั่นไหวแล้วจะปล่อยไปง่ายๆ ได้ไง”
“...ห๊ะ?” พูดบ้าอะไรของเขา ผมไม่เข้าใจเลย
“จะจีบ เลยมาบอกให้รู้ตัวไว้”
“อะไรของคุณเนี่ย? สูบบุหรี่มากแล้วควันไปอุดตันเส้นเลือดสมองหรือไง คลีนิกคณะแพทย์อยู่ฝั่งนู้น ไม่ไปส่งนะ ลาขาด”
ไม่สนแล้วครับคำว่ามารยาทหรืออะไรก็แล้วแต่ จู่ๆ ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนมาเจอพูดแบบนี้ใส่มันจะไม่น่ากลัวเกินไปหรือไง แล้วมือนี่ก็ปล่อยสักทีสิ หนักของจะตายอยู่แล้วเนี่ย!
“หึ”
หึแมวสามสีบ้านมึงสิ
“ปล่อยสักที ผมเหม็นบุหรี่”
“เรื่องจีบพูดจริง”
คนชื่อป๋าว่าพลางทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้รองเท้าไนกี้บี้ ไอ้คนไม่รู้จักรักษาสภาพแวดล้อม
“จะไม่ฟังข้อดีของการเป็นเด็กป๋าหน่อยเหรอ?”
เขาคิดว่าเราอยู่ในรายการอะไรสักรายการหรือเปล่าผมก็ไม่รู้หรอกนะ คนจะจีบเขาต้องเอาข้อดีของตัวเองมาหว่านล้อมอีกฝ่ายขนาดนี้เลยเหรอ โคตรมีความมั่นใจขนาดที่ว่าผมยังทำไม่ได้เลย
ยังไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธคนชื่อประหลาดหน้านิ่งก็คว้าถุงในมือผมไปถือแล้วเริ่มออกเดินพร้อมร่ายข้อดีของการเป็นเด็กป๋าให้ฟัง
“ไม่เจ้าชู้ ไม่นอกใจ ไม่ชอบอะไรแบบนั้น”
ก็ดี ใครมีแฟนแบบนี้ลดเรื่องปวดหัวได้เยอะเลยล่ะ
“เวลามีให้เท่าที่มี อยากได้เวลาส่วนตัวก็ให้ได้ แต่ไม่จำพวกวันสำคัญ ไร้สาระ”
ก็แฟร์ดีเพราะผมก็ไม่จำ ถือคติทำปัจจุบันให้ดีที่สุดครับ
"คบกันแล้วอะไรที่เป็นของกูก็จะเป็นของมึงด้วย โดยเฉพาะของชอบมึง มีพกไว้ทุกที่ทุกเวลา”
“ของชอบ... อะไร?”
ผมถามเมื่อคนตัวสูงกว่าหยุดเดินเมื่อมาถึงลิฟต์ที่จะพาขึ้นไปยังห้องซ้อม ผมเห็นว่าเขายกยิ้มมุมปากอีกครั้งแล้ว คนบ้าอะไรจะยิ้มดีๆ ให้มันเต็มปากไม่ได้เลยหรือไง เห็นแล้วผมล่ะเสียวสันหลัง หนังตากระตุกถี่ๆ ว่าที่มันพูดต่อจะต้องไม่ใช่เรื่องดีและความรู้สึกผมก็ตรงเสียด้วย
“ฟุตลองพริกสดดุ้นใหญ่ไซส์เท่ากระป๋องโค้ก พร้อมบริการ 24 ชั่วโมงแบบนี้ไม่มีที่ไหนแล้วนะ”“เก็บไว้ให้หมาบ้านมึงแดกเหอะ!”
นั่นแหละครับการพบกันซึ่งๆ หน้าครั้งแรกของพวกผมสองคน หลังจากนั้นมาก็อย่างที่หลายคนได้เห็น ป๋าแวะเวียนมาเยี่ยมคณะนิเทศอยู่บ่อยครั้ง หรือถ้าวันไหนไม่เห็นตัวก็จะเห็นรถยุโรปมาจอดเทียบท่าเสมอ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันอยู่บ่อยๆ อาจจะเหมือนการให้ความหวัง แต่ผมเรียกว่าการเปิดโอกาสเสียมากกว่า
มีคนถามเหมือนจ้าวอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมผมไม่ยอมตอบตกลงคบกับป๋าเสียทีทั้งที่การแสดงออกมันชัดเจนขนาดนี้ ยอมรับครับว่ารู้สึกที่ดีที่มีคนมาให้ความสำคัญ ดูแลเอาใจใส่ แต่พอคิดว่าชีวิตจริงไม่เหมือนในละครที่คบกันแล้วจะมีแต่เรื่องราวดีๆ เราทั้งคู่ยังต้องเติบโต ยังต้องเจอเรื่องอะไรอีกเยอะแยะ มันทำให้ผมกลัวการที่จะก้าวต่อ
ไม่ใช่ไม่มั่นใจในตัวเขาแต่ยังไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า
"เสร็จยัง?"
มาแล้วครับ สงสัยจะทนรอต่อไปไม่ได้เพราะวันนี้นัดไว้ว่าจะกินข้างเย็นด้วยกันก่อนที่จะไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์เพราะอีกคนจะไปทำโปเจคกลุ่มอะไรสักอย่าง ผมไม่เข้าใจหรอกครับเรื่องเครื่องยนต์กลไก แค่รับรู้ไว้ว่าจะหายหัวเท่านั้นก็พอ
"เสร็จแล้ว พี่ไปก่อนนะเด็กๆ"
โปรยยิ้มหว่ายเสน่ห์ให้น้องๆ ที่กำลังจะแยกย้ายกัน แล้วคว้ากระเป๋าตามไปขึ้นรถในตำแหน่งประจำ ตุ๊กตาหน้ารถของป๋า
"แรดนะเรา ส่งยิ้มไปทั่ว"
"ตัวเองก็แรดมาอยู่คณะนิเทศทั้งวัน มีสิทธิ์อะไรมาว่าคนอื่นเขา"
"สิทธิ์ของคนตามจีบ แรดแล้วอย่าเถียง คาดเข็มขัดด้วย"
ผมตวัดสายตาไม่พอใจไปให้สารถีส่วนตัวหนึ่งทีแล้วจัดการคาดเข็มขัดให้ตัวเอง พูดจาเอาแต่ได้นี่หว่า แล้วยังมาว่าคนอื่นเขาอีก นิสัยเสียจริงไอ้หน้าบลูด๊อกนี่
รถยุโรปคันสวยขับมายังศูนย์การค้าขนาดใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวมหาวิทยาลัยนัก บางครั้งก็สงสัยว่าถ้ามาแค่นี้นั่งรถชัตเตอร์ฟรีมาก็ได้ ง่ายๆ ทำไมไม่ทำ แต่เจ้าของรถงี่เง่าครับ บอกว่าอากาศมันร้อน คนก็เยอะ ไม่อยากจะใช้รถสาธารณะและไหนๆ ก็มีรถของตัวเองทั้งที ก็จริงของเขา แต่มันเปลืองน้ำมันไม่ใช่หรือไงกัน ไม่เข้าใจพวกคนมีเงินเลย
"งอนอะไร? ทำหน้าเป็นตะพาบโดนรถเหยียบ"
เปรียบเทียบซะน่าเกลียดเลย แล้วใครงอนกัน นี่หน้าตาคนไม่พอใจต่างหาก
"ไม่ได้งอน"
"ไม่ได้งอนแล้วเป็นอะไร?"
"...ป๋าพูดจาไม่ดี เราไม่ชอบ"
เวลาไม่พอใจอะไรให้บอกไปตรงๆ คือกฏของการใช้ชีวิตคู่ตามแบบฉบับของผมครับ ดีหน่อยที่อีกคนก็เป็นพวกตรงๆ เหมือนกัน ตรงจนนับได้ว่าเป็นพวกขวานผ่าซาก แต่เขารู้กาละเทศะนะครับ เพราะเวลาที่ไม่ควรพูดเขาก็ไม่พูด แต่เล่นซัดด้วยสายตาไม่ยั้งเลย
"ขอโทษ ก็ไม่ชอบให้ยิ้มให้ใคร" ป๋าว่าในขณะที่มือก็เลื้อยมากุมมือผมเอาไว้ด้วย ไม่เนียนนะ แต่ทำให้ผมเขินได้อยู่ "หวง เข้าใจหน่อยดิ"
"ทำตัวเป็นเด็กหวงของ"
"พูดมากเดี๋ยวยัดฟุตลองพริกสดเข้าปาก"
"ป๋า! ลามกว่ะ รีบลงไปเลย!"
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแล้วหมั่นไส้อยากจะฝากรอยเท้าเอาไว้บนหน้าหล่อๆ นั่นสักที แต่กลัวจะโดนเอาคืนเลยทำได้แค่ฟาดหลังมือแรงๆ ให้หลุดจากมือแกร่งแล้วลงจากรถนำเข้าห้างแทน
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่คนต่อคิวน้อยเป็นตัวเลือกของวันนี้ เพราะเราทั้งคู่ต่างก็หิวและชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาถึงก็สั่งไม่ยั้ง เหมือนตายอดตายอยากมาสิบปี ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีอาหารที่สั่งก็ทยอยมาเสิร์ฟ ลายตามากครับ ไม่รู้ว่าจะลงมือกับอะไรก่อนดี
"กินยังไงให้มันเลอะแก้ม"
ไม่ว่าเปล่า ป๋ายื่นมือมาหยิบข้าวที่ติดแก้มผมแล้วเอาเข้าปากหน้าตาเฉย คิดเหรอครับว่าผมจะเขิน ไม่หรอก เพราะผมก็เคยทำใส่เขามาแล้ว รายนั้นน่ะเขินจริง หูแดงไปหมดแต่ก็ยังตีหน้านิ่งได้
"ก็กินด้วยปากแล้วมันเลอะไง"
"ยอกย้อน"
โดนหยิกแก้มให้ร้องโอดโอยกันไป เป็นบลูด๊อกแล้วยังแรงควายอีก ศูนย์รวมสรรพสัตว์ในร่างคนชัดๆ
"...วันนี้ตะวันถามอีกแล้ว ว่าเมื่อไหร่จะคบกัน"
หลังนั่งจัดการอาหารในส่วนของตัวเองไปสักพักหนึ่งเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น ผมชะงักตะเกียบในมือไปชั่วครู่ก่อนจะใช้มันตักข้าวเข้าปากอีกครั้ง ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"...เหรอ สมกับเป็นแฟนจ้าวเลย วันนี้จ้าวก็ถาม"
ป๋าทำเสียงตอบรับในลำคอแล้วคีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เขากินจุมากเลยครับ เซ็ตข้าวหน้าปลาดิบ แถมด้วยสลัดทูน่า แล้วยังจัดซาชิมิเซ็ตพิเศษอีก เอาลงท้องไปหมดได้ยังไง ผมแค่ข้าวปลาซาบะก็จะตายอยู่แล้ว
ผมทำทีเป็นโอดครวญเรื่องข้าวเพื่อเปลี่ยนประเด็น แม้จะรู้แต่ป๋าก็ยอมที่จะไหลตามน้ำไปด้วย ใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในห้างประมาณสองชั่วโมงก็ได้เวลาจรลีกลับหอกันเสียที
"แล้วคบกันได้ยัง?"
ยังไม่ทันคาดเข็มขัดเสร็จดีก็โดนถามคำถามเดินเป็นครั้งที่สี่ตั้งแต่รู้จักกัน ใช่ครับ ผมเคยโดนถามมาแล้ว ตั้งแต่เดือนแรกทีรู้จักจนถึงตอนนี้ ไม่ตกใจแล้ว รู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนถาม รู้อีกแหละอีกฝ่ายจริงใจและรอมานานแค่ไหน แต่จะให้คำตอบที่ชัดเจนตอนนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ
"...ขอโทษนะป๋า เรายัง... เราไม่รู้"
และก็เป็นคำตอบเดิมเหมือนที่ผมเคยตอบไป คนได้ฟังเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ ตอบรับอือออในลำคอแล้วจัดการออกรถ
ปกติแล้วระหว่างทางถ้าไม่ผมพูด หรือฮัมเพลง ก็จะเป็นเขาที่หาเรื่องมาชวนตี แต่ในเวลานี้มีเพียงความเงียบที่คั้นกลางระหว่างเรา บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการถามถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของเราเกิดขึ้น นั่นทำให้ระยะเวลาเพียงสิบนาทีจากห้างสรรพสินค้าไปถึงหอเปลี่ยนเป็นนานเป็นวันในความรู้สึกของผม
"ป๋า..."
"ไนท์ กูรักมึง"
ป๋าชิงเอ๋ยตัดคำของคุณของผม คำพูดตรงๆ จากเขาดึงความสนใจของผมให้มองสบตาสีเข้ม ใจพลันเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ปกติเขาทำหน้านิ่งก็จริง แต่แววตาเขาจะเป็นประกายเวลาพอใจที่ได้แกล้งผม ไม่เหมือนตอนนี้ ที่มันเต็มไปด้วยความจริงจัง การตัดสินใจ และการขอร้อง
"กูรู้ว่านี่เป็นการบังคับ เอาแต่ใจที่สุดเท่าที่กูเคยทำกับมึง แต่กูไม่อยากให้ระหว่างเราเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกอีกต่อไปแล้ว"
"....."
"กูอยากให้มึงใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่จะไม่ได้เจอหน้ากันไปคิด คิดให้ดีๆ ถ้ามึงรู้สึกเหมือนกัน ครั้งหน้าที่ถามมึงต้องตอบตกลงคบกับกู แต่ถ้ามึงยังไม่มั่นใจหรือตอบว่าไม่..."
"....."
"กูจะหายไปจากชีวิตมึงเอง"
"เฮ้อ..."
ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่สามร้อยเจ็ดสิบแปดต่อวัน คำพูดของคนตัวสูงที่หายไปจากวงโคจรรอบตัวผมสามวันแล้วยังวนเวียนไม่หายไปไหน ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย มันอึดอัด ชวนให้หายใจไม่ออก ให้ตายเถอะ
"พี่ไนท์ ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะครับ?"
"จ้าว... เฮ้อ~"
ผมเอ่ยทักน้องแล้วหันมาเพิ่มอัตรการถอนหายใจขึ้นอีกหนึ่งครั้ง แย่จริงๆ เลย
"...ทะเลาะกับพี่ป๋าเหรอครับ?"
"ทำไมถึงคิดว่าทะเลาะกันล่ะ?"
"ก็ช่วงนี้ไม่เห็นพี่เขามาเลย แถมพี่ไนท์ยังทำหน้าไม่สดใส พี่ตะวันก็บอกว่าพี่ป๋าหงุดหงิด ใส่อารมณ์กับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ผมเลยคิดว่าพวกพี่น่าจะทะเลาะกัน"
ฟังคำน้องแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ ทำไมต้องมารู้เรื่องของมันจากคนอื่นด้วย ทั้งที่ปกติแล้วมีอะไรผมต้องรู้ก่อนคนแรกแท้ๆ
ใช่ครับ ที่ป๋าบอกว่าจะไม่เจอกันคือมันหมายถึงไม่เจอจริงๆ หน้าไม่เจอ รถไม่เห็น โซเชี่ยลก็ไม่ยุ่ง โทรศัพท์ที่ปกติจะมีก็หม่มี เรียกว่าทำเหมือนไม่เคยมีคนชื่อป๋าโผล่เข้ามาในชีวิตเลยแม้แต่น้อย และนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องมานั่งถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนคนใกล้ตายแบบนี้
"ไม่ถึงกับทะเลาะหรอก แค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย..."
ผมตัดสินใจเล่าเรื่องของตัวเองให้จ้าวฟัง เพราะเห็นว่าสนิทกันด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือน้องเป็นแฟนของตะวัน เดือนคณะวิศวะเพื่อนสนิทของป๋าเขา อาจจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก แต่ผมไม่อยากไปเล่าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง เพราะรู้ดีว่าพวกมันจะไม่เข้าใจ ก็แต่ละคนด่าผมไม่เว้นแต่ละวันว่าทำไมเล่นตัวใส่เขานักนู่นนี่นั่น มันค่อนข้างจะน่ารำคาญเป็นบางครั้งนะครับ
"ผมว่า... ผมเข้าใจพี่ไนท์นะครับ" นั่นไงล่ะ! คิดไว้แล้วว่าน้องต้องเข้าใจ "แต่ผมก็เข้าใจพี่ป๋าด้วย" อ้าว...
"ไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมต้องบังคับกันขนาดนี้ด้วยล่ะ"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเองอีกครั้ง น้องจ้าวก็แสนดีครับ ลูบหัวให้เสร็จสรรพ ถ้าไม่สนิทกันคงด่าว่าปีนเกลียวไปแล้ว
"ตอนที่พี่ตะวันบอกผมว่าจะจีบ ผมตกใจมากเลยนะ เพราะพี่ก็รู้ว่าผมน่ะชอบพี่เขามาก่อนหน้านั้นอีก" ใช่ครับ ผมรู้ และผมนี่แหละที่เป็นหนึ่งในคิวปิดของน้องกับตะวัน "พอรู้จักพี่เขามากขึ้นผมก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองกับพี่เขายังมีอะไรที่เข้ากันได้และเข้ากันไม่ได้อยู่เยอะ เราเคยทะเลาะกันด้วยนะ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมคิดแล้วว่ายังไงก็ไปด้วยกันไม่ไหวแน่ๆ..."
ผมเงยหน้าขึ้นมามองน้องเขาด้วยไม่อยากเชื่อว่าคู่รักแห่งปีคู่นี้เคยทะเลาะอะไรกันจริงจังด้วยเหรอ ก็เห็นตะวันเอาอกเอาใจน้องขนาดนั้น ฝ่ายจ้าวก็แสนน่ารัก ตามอกตามใจ เข้าใจคนแก่กว่าทุกอย่าง
"แต่พอพี่เขาถามว่าจะคบกันมั้ย ผมไม่ลังเลใจที่จะตอบเลยว่าคบ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ?"
"เพราะอะไรเหรอ..."
"เพราะตอนนั้นผมทำตามความรู้สึก ผมรักพี่ตะวัน พี่ตะวันรักผม เรารักกัน เท่านั้นเองครับ"
"....."
"ผมรู้ว่าพี่กลัว ใครๆ ก็กลัวอนาคตครับ ผมเองก็กลัวว่าวันหนึ่งผมกับพี่ตะวันอาจจะจับมือกันไปไม่ตลอดทาง เราอาจจะต้องปล่อยมือ อาจจะหมดรักกัน ความรักเราอาจจะไม่มั่นคงตลอดไป"
"....."
จ้าวมองผมที่เงียบไปพร้อมอมยิ้มจนตาหยี เป็นยิ้มแบบที่ตะวันเคยบอกผมเสมอว่าเจ้าตัวหลงรักน้องเพราะรอยยิ้มนี้ และขออาสาจะดูแลไม่ให้มันหายไปเด็ดขาด
"อนาคตมันน่ากลัวก็จริง แต่ปัจจุบันที่ไม่มีพี่ตะวันน่ากลัวกว่ามากครับ ในเมื่อมีโอกาสที่จะรักและดูแลกันทั้งที ทำไมเราต้องปล่อยให้มันหลุดลอยไปล่ะครับ จริงไหม?"
เจ็ดวันที่ไม่ได้เจอกันจะบอกว่านานก็นาน จะบอกว่าเร็วก็ว่าเร็ว เมื่อเช้าผมได้รับข้อความว่าป๋าจะอยู่รอจนกระทั่งผมเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ ให้มาเจอกันที่ลานจอดรถ เขาจะจอดนอนรอผมอยู่ในรถยุโรปคันโปรดของเขา ผมก็เคยเตือนอยู่หลายครั้งแล้วนะว่าอย่านอนในรถ ไม่เห็นข่าวหรือไงที่มีคนไหลตายกันไปนักต่อนัก แต่เจ้าตัวก็ดื้อครับ บอกว่าเปิดแอร์แล้วไม่เป็นอะไร ผมก็แล้วแต่เขาเลย ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟังเอง
จะว่าไปก็ตื่นเต้นนะครับ ไม่ได้เจอกันมาตั้งสัปดาห์ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยเรื่องอะไรกันดี แล้วเรื่องที่ผมอยากบอกจะบอกจังหวะไหน บลาๆ ตีกันในหัวไปหมดเลยครับ
“สัปดาห์ที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง”
ครับ หลังจากที่กังวลว่าจะเป็นฝ่ายเปิดฉากว่ายังไงดี พอก้าวเข้าตัวรถปุ๊บป๋ามันก็เริ่มต้นก่อนเลย เล่นเอาที่เตรียมตัวมาหายแว้บไปหมด
“เรียน ติวสอบให้น้อง ช่วยกิจกรรมอาจารย์ไปเรื่อยเหมือนปกตินั่นแหละ”
“เออ ไม่มีคิดถึงกูเลยดิ”
ผมหันไปมองเขา ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กันเสียแล้ว มันใช่เรื่องไหมต้องมางอนกันด้วยหรือไง
ตั้งแต่รู้จักเขามีแต่คนบอกว่าป๋าหน้าดุครับ ตาโตแต่ไม่มากเท่าผม ขัดกับจมูกโด่งๆ แถมยังทำปากคว่ำเหมือนไม่พอใจอะไรอยู่ตลอดอีก ถ้ามองเฉยๆ ก็ดูดุจริงๆ นั่นแหละครับ แต่พอมาคลุกคลีถึงได้รู้ว่าความจริงน่ะ
นิสัยดุกว่าหน้าตาอีก...
“ยิ้มอะไร” นั่นไง ดุอีกแล้ว
“ยิ้มป๋านั่นแหละ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ได้ ”
“หึ ปากนี่นะ” หึอีกแล้ว ผมเกลียดเวลาป๋าหึแบบนี้จริงๆ เกลียดความเนียนของเขาด้วย มือไม้อยู่ไม่สุกมาจับมือคนอื่นเขาไปลูบหลังมือเล่นอีก “แล้วยังไง... สรุปคิดถึงหรือเปล่า?”
ใครนะที่เมื่อครู่ทำหน้าดุใส่ผม มาตอนนี้กลับทำหน้าเหมือนบลูด๊อกถูกทิ้งให้เฝ้าบ้านคนเดียวซะแล้ว ผมหลุดหัวเราะออกมาเลยครับทีนี้
“ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
“ล็อกรถปล้ำแม่ง”
“ป๋า!”
ไม่ว่าเปล่า เขากดล็อกรถแล้วทำท่าจะปีนข้ามมาหาผมจริงๆ แต่ผมใช้มือดันอกเขาเอาไว้ก่อน พูดห้ามอะไรม่ทันเลยครับเพราะตกใจ ตอนนี้ป๋าเปลี่ยนจากบลูด๊อกเป็นยักษ์ไปแล้วครับ ตัวก็โตพอทำท่าจะข้ามที่หัวเลยติดกับเพดานรถอย่างช่วยไม่ได้ และต่อให้เป็นรถยุโรปที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะแต่มันก็มีไว้แค่นั่ง ไม่ใช่ให้พาดโพนอะไรขนาดนี้ ท่าทางเขาในตอนนี้เลยดูประหลาดเอามากๆ เลย
“ตอบมาให้ไว ไม่งั้นมึงโดนเอาฟุตลองพริกสดยัดปากจริงๆ แน่”
“ไอ้เหี้ยป๋า! หยุดเลยนะ”
เห็นเขาทำท่าจะปลดหัวเข็มขัดผมก็ด่าไปเต็มๆ หน้า ปกติไม่ค่อยพูดคำหยาบกับคนที่คุยๆ กันอยู่เพราะผมถือว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่นครับ แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ผมไม่ยอมให้ตัวเองโดนปล้ำในรถแบบนี้แน่ๆ ตีหน้ายักษ์ไม่พอใจโคตรๆ ใส่ไปอีกหนึ่งดอก แต่คนที่โดนกลับไปสะทกสะท้าน ยิ้มพอใจใส่อยู่นั่นแหละ
ยิ้มหาอะไหล่รถยนต์มึงเหรอ!?
"ตอบ"
ตอนนี้ป๋างอแงมากครับ ทำตัวเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ แถมยังใช้สายตาดุๆ มองกดดันผมอีกด้วย บวกรอยยิ้มของเขาเข้าไปแล้วผมรู้สึกเหมือนลูกหนูที่โดนงูจ้องจะตะครุบเลยล่ะ ใจนี่สั่นไปหมดเลยครับ กลัวโดนกินจริงๆ
"เออ...คิดถึง จะอะไรมากมายล่ะป๋า"
"มากมายห่าอะไร ไม่เคยหวานใส่กูหรอกมึงน่ะ"
"ป๋าก็ไม่เคยหวานเหมือนกันนั่นแหละ กูมึง ทะลึ่งใส่ตลอด เราเพื่อนเล่นเหรอ"
ไม่พอใจแล้วนะครับ ใส่ไฟคนอื่นตลอด
"ไม่ใช่เพื่อน แต่คนแถวนี้แม่งเล่นตัวอยู่นั่น เลยไม่รู้ต้องพูดด้วยยังไง"
รู้สึกเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางครับ เล่นตัวอะไรกัน เขาเรียกศึกษาดูใจเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในอนาคต ป๋าไม่เข้าใจเราเลย แล้วยังจะมาพูดจาน้อยอกน้อยใจอีก
ในระหว่างที่ผมทำหน้าไม่พอใจ ป๋าก็ยิ้มอีกแล้วครับ แถมยังเลื่อนหน้ามาเสียใกล้ด้วย แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับนอกจากกระเถิบตัวแล้วย่นคอหนี ได้ยินเสียงคนขี้แกล้งหัวเราะหึแบบโคตรน่าหมั่นไส้ด้วย ผมเลยต้องตีหน้ายักษ์ใส่หนักกว่าเดิมถึงจะรู้ว่าเขาไม่มีทางกลัวหรอก
จนกระทั่งปลายจมูกของเราสองคนชนกัน ตาผมประสานเข้ากับตาสีเข้มของเขา สิ่งที่อยู่รอบข้างมันถูกละความสนใจไปหมดเลยครับ ทำได้แค่มองและรู้ถึงลมหายใจที่รดกันอยู่ ใจก็เต้นรัวอยู่ในอก ผมว่าเขาต้องได้ยินแน่เลย เพราะขนาดผม... ยังรู้สึกถึงสิ่งที่เต้นในอกเขาผ่านเสื้อนักศึกษาได้เลย
“กูไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ได้รวยขนาดจะทำให้มึงสบายได้เพราะกูยังเกาะพ่อแม่กินอยู่เลย”
“...อือ”
“ปากก็ไม่หวาน หน้าตาก็กวนตีน ไม่อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้นเหมือนไอ้ตะวันด้วย”
“...ป๋า” ผมครางเรียกชื่อเขาแล้วหัวเราะ นิสัยไม่ดี ไปว่าเพื่อนแบบนั้นได้ยังไง
“คบกับป๋านะไนท์”
แล้วป๋าก็ยิ้ม ไม่ได้ยิ้มแบบกวนตีนแต่ยิ้มจริงๆ ชนิดที่ผมมองแล้วต้องยิ้มตามเขาไปด้วย ใบหน้าของเราขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น สาบานเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเขินเขามากจนกวนกลับไปได้ ทำได้แค่หลับตารอรับริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่ทาบทับลงมา มันเนิ่นนาน ไม่เร่งเร้า ไม่บังคับที่จะสอดแทรก ต่างกับภาพลักษณ์ที่เขาเคยแสดงออกมาตลอด
แล้วแบบนี้ผมจะใจร้ายกับเขาต่อไปได้ยังไงล่ะ?
“...อื้อ คบก็คบสิ”
----------------------------------------------------------------
Talk: สวัสดีค่ะ พาคู่ถัดจากจ้าวตะวันมาเสิร์ฟแล้วล่ะ เป็นคู่ที่โตขึ้นมาและมีความซับซ้อนขึ้นอีกหน่อย คือ... ได้แค่นี้แหละค่ะ เป็นพวกแต่งดราม่าไม่เป็นเอาซะเลย แต่ตอนหน้าๆ อาจจะมี จะเปลี่ยนแนวความรักไปเรื่อยๆ ค่ะ เพราะความรักมันไม่ได้มีแค่หวานแหววเสมอจริงไหมล่ะคะ?

ขอบคุณมากๆ เลยนะคะสำหรับคอนเม้นท์ เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ และเราดีใจมากที่มีคนเขินไปกับเราค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ในพาร์ทหน้าค่ะ