พิมพ์หน้านี้ - ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ANNEW ที่ 10-05-2017 20:29:59

หัวข้อ: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 10-05-2017 20:29:59
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ




สารบัญ
(https://image.dek-d.com/27/0555/2973/124175719)
★ พูดคุยบนทวิตเตอร์รบกวนติดแท๊ก #มหาลัยเดอะซีรีส์ นะคะ
 PART 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3632715#msg3632715)- จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
 PART 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3633196#msg3633196)- จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
 PART 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3635613#msg3635613)- ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
 PART 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3637191#msg3637191)- ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
 PART 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3638760#msg3638760)- ทัพพาย #นิเทศเทใจ
 PART 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3641402#msg3641402)- ทัพพาย #นิเทศเทใจ
 PART 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3644407#msg3644407)- ภพกันต์ #แพทยรักสาส
 PART 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3647810#msg3647810)- ภพกันต์ #แพทยรักสาส
 PART 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3652289#msg3652289)- รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก
 PART 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3656527#msg3656527)- รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก
 PART 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3661562#msg3661562)- กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก
 PART 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3667245#msg3667245)- กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก
 PART 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3672628#msg3672628)- ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว
 PART 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3680537#msg3680537)- ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว
 PART 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3690364#msg3690364)- หมอกชิน #ประมงหลงรัก
 PART 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3695392#msg3695392)- หมอกชิน #ประมงหลงรัก
 PART 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3699310#msg3699310)- ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก
 PART 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3702308#msg3702308)- ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก
 PART 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3705800#msg3705800)- เหลีียงพีซ #นิเทศเทใจ
 PART 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59856.msg3709218#msg3709218)- เหลีียงพีซ #นิเทศเทใจ
 
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 10-05-2017 20:37:44
[1]




ผมติดโซเชี่ยล

อืม... จะว่ายังไงดีล่ะ ความจริงก็ไม่ใช่โซเชี่ยลหรอกที่ผมติด

แต่เป็นคนในโซเชี่ยลต่างหากที่ทำให้ผมต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาบนหน้าล็อกสกรีน

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมกำลังนั่งดูดนมกล่องรอเพื่อนในกลุ่มตอนที่มือถือเด้งขึ้นมาว่าคนที่ผมกดติดตามไว้เพิ่งอัพสเตตัสใหม่บนโปรแกรมนกฟ้าที่ได้ความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของแอพลิเคชั่นโซเชี่ยล



TAWANNN @tawanchai

อวยพรให้วันนี้เป็นวันที่ดี



แคปชั่นสั้นๆ กับรูปถ่ายท้องฟ้ายามยามเช้า ผมไม่รู้เรื่ององค์ประกอบของภาพหรือแสงสีอะไรหรอกเพราะผมไม่ได้สนใจที่จะศึกษา แต่ก็พอจะรู้ว่ารูปถ่ายที่กำลังมองอยู่นี้สวยมากจริงๆ สมกับที่ขึ้นชื่อว่าเป็นช่างภาพมือหนึ่งของคณะและคนที่ผมเฝ้าตามดูผลงานอยู่ตลอด

ใช่ครับ ตะวัน หรือนายตะวันฉาย ที่เป็นเจ้าของแอคเคาท์ยอดฟอลโล่เวอร์นับหมื่นคือต้นเหตุที่ทำให้ผมติดโซเชี่ยล

ผมกดตามแอคเคาท์เขาไว้เท่าที่จะทำได้ ทั้งเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ รวมไปถึงอินสตราแกรมที่เขาสร้างไว้ เพื่อจะดูรูปที่เขาถ่ายไว้ได้แบบทันเหตุการณ์

ถามว่าผมตกหลุมรักเขาหรือเปล่าน่ะหรือครับ?

ผมขอตอบว่าผมตกหลุมรักรูปถ่ายของเขาแล้วกัน

"มาเช้าตลอดเลยว่ะน้องจ้าว ถ้าไม่ติดว่าสนิทกันกูจะคิดว่ามึงเป็นลูกพี่แช่ม"

ไอ้ทัพที่เพิ่งมาถึงโต๊ะคณะใช้ชีทบางๆ สำหรับเรียนวันนี้ตบหัวผมพร้อมเอ่ยทักทายตามประสาคนกวนตีน พี่แช่มคือพี่รปภ.หน้ามหาลัยผมครับ

"แล้วนี่มึงทำอะไร ส่องทวิตเดือนวิศวะอีกแล้วเหรอวะ"

"สู่รู้"

ผมด่ามันแล้วดูดนมกล่องในมือที่ยังเหลืออยู่จนหมด ส่วนไอ้ทัพก็หัวเราะลั่นแล้วทำหน้าทำตาล้อเลียนผม

ครับ ผมกำลังส่องทวิตเตอร์เดือนวิศวะอยู่

ก็ไอ้คนเดียวกับที่ลงรูปภาพท้องฟ้ายามเช้าไว้ในทวิตเตอร์นั่นแหละ ที่ผมบอกว่าเขาเป็นช่างภาพมือหนึ่งของคณะ เพราะดูแล้วคณะเขาไม่น่าจะมีใครถ่ายรูปสวยได้ขนาดนี้แล้ว น่าจะไปทำอะไรอย่างศึกษาเรื่องเครื่องยนต์กลไกมากกว่า และที่คนฟอลทวิตเตอร์เขาเยอะก็ไม่ใช่เพราะเขาถ่ายรูปสวยอย่างเดียว แต่เป็นเพราะหน้าตาและดีกรีเดือนคณะวิศวะด้วย

"ชอบก็จีบดิวะ น้องจ้าวของกูออกจะหน้าตาน่ารัก พี่ตะวันต้องมีหวั่นไหวมั้งอ่ะ" มันว่าพร้อมยื่นมือมาดึงแก้มให้ผมต้องฟาดหลังมือแล้วส่งตาเขียวใส่มันไป

"น่ารักกับพี่มึงเถอะ แล้วก็ไม่ได้ชอบ แค่เขาถ่ายรูปสวยดี"

"คนถ่ายรูปสวยกว่าเขามีตั้งเยอะ อย่ามาสตอเบอรี่กับพี่ครับน้อง"

เกลียดหน้ามันตอนนี้จริงๆ การยักคิ้วลิ่วตาของไอ้ทัพมักจะทำให้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของผมกระตุกอยู่เสมอ และตอนนี้มันก็อยากจะพุ่งไปแนบหน้าใสๆ ตี๋ๆ ของคนตรงหน้าแล้ว

ผมตัดบททำเป็นไม่สนใจมันแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ยังไงเช้านี้เขาก็อัพรูปภาพไปแล้ว คงไม่มาอีกจนกว่าจะถึงช่วงพักนั่นแหละ





 

TAWANNN @tawanchai

รักแรกพบ



TAWANNN @tawanchai

คิดถูกว่ะที่ตามพวกไอ้ป๋ามากินข้าวที่นี่



หืม? ผมมองแอคเคาท์สลับกับข้อความที่เพิ่งเด้งขึ้นมาแล้วต้องขมวดคิ้ว ผมไม่เคยเห็นเขาลงข้อความโดยที่ไม่มีรูปภาพประกอบมาก่อนเลย หรือจะพลาดลืมลงรูปกัน

ผมรอให้เขาลบข้อความหรืออัพทวิตใหม่แบบที่มีรูปแนบ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเพื่อนผมเอาเท้าเขี่ยไล่ให้ไปซื้อข้าวนั่นแหละ ผมถึงได้ยอมเก็บโทรศัพท์มือถือแล้วลุกไปหาร้านข้าวเจ้าประจำ

แอบมองเจ้าของทวิตเตอร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันในโรงอาหารนักศึกษา เห็นครั้งแรกก็ตกใจเพราะไม่เคยเจอเขาเดินเข้ามาที่นี่สักครั้ง ปกติเห็นแต่แวะไปห้างดังที่อยู่แถวนี้แทน ดูจากทวิตเตอร์แล้วคงแอบปิ๊งใครสักคนในโรงอาหารนี่แหละมั้ง แต่ยังนั่งหน้านิ่งสลับกันหัวเราะเล่นหัวกับเพื่อนได้ ผมล่ะสับสนจริงๆ





 

TAWANNN @tawanchai

คนน่ารักจะใจร้ายกันทุกคนเปล่าวะ?

ถ้าเข้าไปทักเขาจะกระทืบหน้ากูมั้ย



TAWANNN @tawanchai

เหี้ยเอ้ย #วิศวะหวั่นไหว



หลังจากวันนั้น กิจวัตรที่เขาจะลงรูปทุกเช้า กลางวัน และเย็นยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือข้อความที่ออกไปในเชิงว่าเขากำลังแอบชอบใครสักคนอยู่ พอทวิตเขาเด้งก็มีแฟนคลับเมนชั่นไปถามรัวๆ ว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร อยู่คณะไหน แต่ก็ไม่ได้คำตอบเลยสักคน เหมือนเขาแค่อยากระบายลงทวิตเตอร์ประมาณนั้น

"พี่เดือนวิศวะเขาแอบชอบใครเหรอวะ?"

ทัพคนเดิมเพิ่มเติมคือเสือกมากขึ้นชะเง้อชะแง้มองหน้าจอโทรศัพท์เขาแล้วพูดไปด้วย

"คนงั้นมั้ง เห็นบ่นๆ มาเป็นอาทิตย์แล้ว"

"แล้วเขาชอบใครวะ?"

"ขี้เสือก"

"เอ้า! ไอ้น้องจ้าว พูดจาน่าโดนดูดปาก ไหนมาให้พี่ทัพดูดที"

ผมเอาเข่ายันพุงเพื่อนรัก หัวเราะกับหน้าตาเหมือนตูดพะยูนก่อนลอบมองคนที่พักนี้ดูจะขยันแวะมาแถวคณะนิเทศศาสตร์เหลือเกิน ได้ยินข่าวลือมาว่าเพื่อนเขา คนที่ชื่อป๋าคนนั้นตามจีบรุ่นพี่ในคณะผมอยู่ ก็ไม่แปลกนะ เพราะพี่ไนท์เป็นคนหน้าตาดี รูปร่างดี แถมนิสัยยังดีอีก ผมคุยกับพี่เขาบ่อยๆ ชอบมองพี่เขายิ้มครับ ยิ้มทีโลกสดใสมาก

 





TAWANNN @tawanchai

นั่นแฟนน้องเขาหรือเปล่าวะ ทำไมถึงเนื้อถึงตัวกันจัง เหี้ยเอ้ย ไม่เอานะ กูยังไม่ทันเริ่มเลย



PAPA @pavidva ถึง @tawanchai

ปอดแหกระวังโดนแย่งไปแดกนะครับ



TAWANNN @tawanchai ถึง @pavidva

สัสป๋า มึงจีบไนท์ให้ได้ก่อนเขาเรียนจบแล้วค่อยมาล้อกู



วันนี้ผมได้ข้อมูลคนที่เขาชอบมาอีกอย่าง เหมือนอีกฝ่ายจะเด็กกว่านะ แสดงว่าถ้าไม่เป็นเฟรชชี่ก็ต้องอยู่ปีสองเหมือนผม ส่วนพี่ป๋าคนนั้นก็ชัดเจนแล้วว่าจีบพี่ไนท์อยู่ สนุกดีครับดูสองคนนี้ทะเลาะกัน เห็นตีหน้าขรึมเวลาอยู่มหาวิทยาลัย ใครจะไปรู้ว่าพออยู่ในทวิตเตอร์แล้วจะตีกันเป็นเด็กขนาดนี้

 





TAWANNN @tawanchai

ผมทรงใหม่ ป๋ามันแนะนำว่าถ้าทำทรงนี้จะจีบน้องติด ถ้าไม่ติดจะเรียกมันว่าไอ้ดุ้นปลากระพงจนจบเทอม



TAWANNN @tawanchai

ว่าแต่ดุ้นปลากระพงมันเป็นยังไงวะ?



ผมเลื่อนดูรูปแล้วรู้สึกเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจที่แปลกไป คือปกติเขาก็หล่ออยู่แล้วนะครับ เป็นคนไว้ผมหางม้าได้ดูดีมาก แต่ผมทรงใหม่ที่เขาทำคือตัดทรงอันเดอร์คัทน่ะครับ ที่ช่วงนี้มีแต่คนชอบทำกัน แล้วให้ตายเถอะ เขาดูดีมาก มากจริงๆ

ผมแอบอิจฉาคนที่เขาชอบอยู่เหมือนกันนะ รู้สึกได้เลยล่ะว่าถ้าเขาสารภาพกับคนนั้นไปยังไงก็ต้องได้จีบ

แล้วนี่ผมจะรู้สึกเศร้าทำไม ผมไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย

อืม... ไม่หรอก ผมแค่ชอบรูปถ่ายเขาเท่านั้นแหละ





 

"น้องจ้าว ทำไมมึงทำหน้าเหมือนลิงป่วยแบบนั้นวะ เสียดายหน้าตาน่ารักๆ"

ไอ้ทัพดึงแก้มผมอีกแล้วครับ ไม่รู้มันเป็นอะไรของมันถึงได้วุ่นวายกับแก้มผมนัก แล้วเพื่อนคนอื่นก็ไม่คิดจะช่วยผมเลยแม้แต่น้อย เอาแต่หัวเราะแล้วลูบหัวลูบหลังผมอยู่นั่นแหละ

"หรืออกหัก? ไม่มั้ง กูว่าไม่ใช่หน่า..."

"เงียบไปหน่า พูดมากอ่ะทัพ ผีเจาะปากมาเกิดเหรอ"

"แม่ะ ปากร้าย"

ผมไม่ต่อปากต่อคำครับ ได้แต่นอนเอาคางเกยแขนตัวเองมองนู่นมองนี่ไปเรื่อย

"แล้วนี่ไม่ตามทวิตพี่เขาต่อแล้วเหรอวะ?"

ทัพเอาโทรศัพท์ผมไปเปิดเล่นแล้วครับ ซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกเพราะปกติมันก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่มันคงสงสัยที่ผมไม่หยิบโทรศัพท์บ่อยเท่าเดิมนั่นแหละ

"ไม่อะ"

ผมเลิกส่องทวิตเตอร์เดือนวิศวะไปแล้วด้วย หลังจากวันที่เขาลงรูปทรงผมใหม่นั่นแหละครับ ก็ประมาณสองอาทิตย์... สองอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นรูปถ่ายของเขากับข้อความที่เขาเพ้อถึงรุ่นน้องที่เขาชอบ

ก็มันไม่อยากเห็น

ไม่รู้สิ ผมหงุดหงิดเวลาที่เห็นเขาคุยทวิตเรื่องพวกนั้น คิดเอาเองว่าเพราะหลังๆ เขาไม่ลงรูปภาพด้วยแหละ เลยไม่อยากดูไม่อยากตามแล้ว แต่ผมยังไม่ลบแอคเคาท์เขาไปนะครับ แค่ไม่เข้าไปตามติดเหมือนแต่ก่อนก็แค่นั้น ไม่ตั้งให้เด้งเตือนบนหน้าล็อกสกรีนแล้วด้วย

แต่ผมไม่ได้อกหักนะ จริงๆ นะครับ

มันแค่หน่วงๆ

"แล้วไม่อยากรู้เหรอวะว่าเขาชอบใคร กูเห็นเขาพูดๆ ถึงอยู่นะ"

"ไม่เอา ไม่ขี้เสือกแบบทัพ"

"ไอ้น้องจ้าว เดี๋ยวโดนจูบ"



"ไม่ให้จูบ"



ใช่ครับ ไม่ให้จูบ แต่นั่นผมยังไม่ได้พูดนะ แล้วใครเป็นคนพูดแทนวะ?

ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียง ได้ยินคนขี้เสือกผิวปากเบาๆ คล้ายกำลังพึงใจอะไรสักอย่าง อยากหันไปกระทืบหน้าจะได้มั้ย

ว่าแต่พี่ตะวันกับพี่ป๋า มาทำอะไรที่โต๊ะคณะผมกันล่ะเนี่ย

"น้องจ้าว"

".....ครับ"

ผมตอบรับทั้งที่สมองก็ยังประมวลผลไม่ได้ ยอมรับแล้วกันว่าความหล่อของเขาทำให้ผมอึ้งไปเลย คือเห็นในรูปว่าหล่อแล้ว ตัวจริงแม่งยิ่งหล่อ อยากจะทาบทามให้ย้ายมาเรียนคณะผมเหลือเกิน

พี่ตะวันเป็นคนตัวสูง หุ่นดีแบบนักกีฬา ผิวก็เหมือนนะเพราะออกแทนๆ หน้าตาก็หล่อครับ ตาโต จมูกโด่ง ปากหยักสวย ยิ่งมายืนให้พิจารณาตรงหน้าแล้วยิ่งไม่มีคำจำกัดความอื่นแล้ว

ว่าแต่หูพี่ดูแดงๆ นะครับ เจาะหูมาใหม่เหรอ?

"น้องจ้าว"

"ครับ พี่เรียกมาสองรอบแล้วครับ"

ไม่ได้กวนตีนนะ ก็พี่เขาเรียกสองรอบจริงๆ แล้วไอ้ทัพกับพี่ป๋าจะขำทำต้นหน้าวัวอะไร แล้วพี่ตะวันจะจับมือผมทำไมครับนั่น

"ชอบ"

"ครับ?"

"ขอจีบนะ"

"ครับ?"

"เท่ากับตกลงแล้ว เอาเบอร์มาด้วย ไลน์ เฟสบุ๊ค มีอะไรเอามาให้หมด"

อะไรวะ โคตรเผด็จการ ไม่ได้ยินหางเสียงที่สูงขึ้นหรือไง ตอนเด็กๆ ไม่เรียนวิชาภาษาไทยเหรอถึงไม่รู้ว่ามันคือการถามคำถาม แล้วผมเนี่ยอะไร ถึงได้รับโทรศัพท์เครื่องหรูของเขามาพิมพ์แล้วจัดการแอดให้เสียเรียบร้อย แบบนี้หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าใจง่าย

ว่าแต่พิมพ์มือเดียวมันยาก พี่จะจับมือผมไปถึงไหน

"ฟอลทวิตพี่ไว้ด้วย?"

"ก็ครับ... พี่ถ่ายรูปสวยดี"

ผมตอบไปตามความจริงเมื่อพี่เขาเห็นแล้วว่าผมเป็นหนึ่งในฟอลโลเวอร์นับหมื่นของเขา

"แล้วทำไมไม่ทักมา เห็นหมดเลยดิว่าขี้เพ้อ"

"ไม่รู้สักหน่อยว่าพี่เพ้อถึงใคร"

"เออ งั้นรู้ไว้ตั้งแต่นี้เลยว่าเพ้อถึงจ้าวอยู่"

"ก็... ครับ"

"ตอบเป็นอย่างเดียวดิ?"

ไม่รู้จะตอบอะไรนี่หว่า ไม่กล้ามองหน้าด้วย คนบ้าอะไรสายตาวิบวับขนาดนั้น แล้วพวกไอ้ทัพเงียบๆ ไม่ได้หรือไงนะ ผิวปากเป็นเปรตกันอยู่นั่น ขอให้ปากเท่ารูเข็ม!

"พี่ตะวันทำอะไร?"

ผมถามเมื่อพี่เขายกมือถือขึ้นตรงหน้าผม แล้วก้มลงไปพิมพ์อะไรบนมือถือ ก่อนจะส่งยิ้มหล่อวัวตายความล้มมาให้

"ถ่ายรูปแฟนในอนาคต"

เพิ่งรู้วันนี้ว่านอกจากพี่ตะวันจะหน้าตาดี ถ่ายรูปสวย กวนตีนเพื่อน นิสัยเด็ก แล้วยังจะขี้หยอดอีก!

"ไม่เอา ลบเถอะครับ"

"ไม่ลบ จองตัวแล้ว"

"พี่ตะวัน"

"ครับน้องจ้าวของพี่ตะวัน"

หึ้ย! ไม่คุยด้วยแล้ว





 

TAWANNN @tawanchai

คนเหี้ยอะไรน่ารักชิบหาย รู้ตัวมั้ยว่าทำคนอื่นเขาเพ้อ ยิ้มทีออร่ากระจายตายห่ากันหมด

ว่าแต่ไอ้นั่นมันใครวะ ลวนลามเด็กกูจัง



TAWANNN @tawanchai

ขอบคุณไนท์ที่ทำให้รู้จักชื่อน้อง ชื่อไม่สมตัวแต่พอเอามาต่อกับชื่อตัวเองแล้วละมุนดีวะ จ้าวตะวัน

โคตรตุ๊ดเลยกู



TAWANNN @tawanchai

น้องดูไม่สดใสเลยว่ะ เป็นอะไรหรือเปล่าวะ?



TAWANNN @tawanchai

เหี้ยเอ้ย ไม่ไหวละ กูเห็นเขาเล่นกับคนอื่นไม่ไหวละ กูต้องแสดงตัว จีบเท่านั้นที่ครองโลก



TAWANNN @tawanchai

ขอให้เขาไม่ปฏิเสธกูเถอะ...



ผมเลื่อนทวิตเตอร์พี่ตะวันดูอีกครั้งในเย็นวันนั้น แล้วก็เจอข้อความที่พี่เขาเคยทวิตเอาไว้ในระหว่างที่ผมยกเลิกการแจ้งเตือน คือเอาจริงๆ นะ ต่อให้ไม่เลิกตามก็เดาไม่ออกอยู่ดี ใครมันจะไปคิดวะว่าพี่เขาจะหมายถึงตัวเอง

แต่ก็ดีใจอยู่แหละ

ข้อความแจ้งเตือนขึ้นอีกครั้ง ผมเห็นชื่อคนที่เพิ่งฟอลผมมาเมื่อเที่ยง พร้อมข้อความว่าเขาแท๊กรูปมา



TAWANNN @tawanchai ได้แท๊กรูปคุณ

เจ้าของแท๊ก #วิศวะหวั่นไหว แต่ตอนนี้กูหวั่นไหวได้คนเดียว คนอื่นห้าม



PAPA @pavidva ถึง @tawanchai

"น้องจ้าวของพี่ตะวัน" กูได้ยินนะ เสียงตอแหลเหี้ยๆ



TAWANNN @tawanchai ถึง @pavidva

เขาเรียกอ่อนโยนต่อจิตใจ



PAPA @pavidva ถึง @tawanchai

อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้นก็พอมึงน่ะ



ผมขำลั่นเมื่อเห็นเมนชั่นจากพี่ป๋าถึงพี่ตะวัน คู่นี้ถ้าไม่บอกว่าซี้กันผมจะนึกว่าเกลียดกันนะครับ

ผมมองรูปที่ถูกแท๊กมาแล้วอมยิ้ม พี่เขาถ่ายรูปเก่งจริงๆ นั่นแหละ เด็กหน้าตี๋ทำหน้าเอ๋อหน่อยๆ ตอนมองกล้อง ผมที่ปกติดูหน้าตาตัวเองแล้วเฉยๆ ยังชอบรูปนั้นเลย

ไม่สิ ต้องบอกว่าชอบคนถ่ายรูปมากกว่า

ยอมรับแล้วก็ได้ พอใจหรือยัง

ว่าแล้วผมก็จัดการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ให้เป็นรูปที่เขาแท๊กมา พร้อมพิมพ์ข้อความส่งรูปตอนพี่เขาจับมือบอกชอบ ทัพแอบถ่ายไว้ครับ แล้วแชร์หราลงหน้าเฟสบุ๊ค มันบอกต้องฉลองที่ผมจะมีผัว

ผัวพี่มึงสิ

นี่เป็นข้อความและรูปแรกที่ผมส่งถึงพี่ตะวัน ข้อความแรกของทวิตเตอร์ผม และข้อความแรกที่ได้รับการกดหัวใจพร้อมรีทวิตอย่างรวดเร็ว ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยล่ะ



JAOJAO @jaojaonitade แท๊กรูปถึง @tawanchai

ถ้า #วิศวะหวั่นไหว แล้ว #นิเทศเทใจ ก็เข้าท่าเหมือนกันนะครับพี่ตะวัน





----------------------------------------------------------------





     Talk: สวัสดีค่ะ มาเปิดนิยายเรื่องใหม่ทั้งที่เรื่องเก่ายังไม่ได้ครึ่งแท้ๆ ก็พล็อตมันมา และใจมันอยากแต่งให้ทำยังไงล่ะเนอะ (โดนตี)

สำหรับเรื่องนี้เราจะมาเป็นคู่ๆ ค่ะ คู่ละกี่ตอนไม่มีตายตัว จะแต่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีอะไรให้แต่งน่ะค่ะ ถึงได้เป็นซีรี่ย์ไง! 5555555

     เราเพิ่งเคยลองแต่งแนวบุคคลที่หนึ่งเป็นครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าสื่อออกมาได้ดีหรือเปล่า หากมีข้อติชมสามารถเม้นบอกได้เลยนะคะ เรายินดีมากๆ กับทุกความเห็น

     สุดท้ายนี้ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้อีกเรื่องนะคะ

     ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: NuNam ที่ 10-05-2017 21:00:02
รอจร้า ^^
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Arzumi ที่ 10-05-2017 21:09:56
อ่านไปเขินไป :-[บิดจนผ้าห่มพันตัวหมดและ #คนอ่านก็หวั่นไหว :o8: แบ่งใจมาให้บ้างนร้าาาา :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 10-05-2017 21:49:47
น่ารักดีค่ะ  รอตอนต่อไป :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 10-05-2017 22:16:23
เนื้อเรื่องน่ารักมาก ฟินนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-05-2017 22:27:22
อื้อหือ ประโยคเด็ด
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: benzdekba ที่ 10-05-2017 22:37:38
รอ ติดตาม ค่ะ  ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 11-05-2017 06:14:28
อื้อหื้ม น่ารัก กรี๊ดเลยคะ พี่ตะวันคนเพ้อเจ้อ คิคิ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Snappy ที่ 11-05-2017 07:59:14
 :-[    ฮือออออออออออ

เขินอ่ะ อ่านไปบิดไป >//<

รอจ้า
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 1 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 11-05-2017 09:57:14
น่ารักใช่เล่นเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 2 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 11-05-2017 18:34:15
[2]






                ผมชอบถ่ายรูป

                ถึงจะเรียนคณะวิศวะแต่เลือดช่างภาพที่อยู่ในตัวมันกู่ร้องให้ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นเก็บภาพทิวทัศน์และบรรยากาศที่ชอบทุกครั้งที่ได้เห็น อ๋อ ผมไม่มีกล้องโปรอะไรเหมือนใครเขาหรอก ไม่มีเงิน ใช้ไม่เป็น เคยไปลองเล่นแล้วแทบทำของเขาพัง เลยตัดสินใจใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังต่อไปนั่นแหละซึ่งมันก็ไม่ได้แย่อะไร

                ผมมีทวิตเตอร์ด้วยนะ เอาไว้ใช้ลงรูปภาพที่ผมถ่าย อันที่จริงก็มีตั้งแต่เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ ไปจนถึงอินสตาแกรม แต่ละที่ก็เอาไว้ใช้งานต่างกันไป เฟสบุ๊คก็เอาไว้คุย ลงรูปให้เพื่อนแท๊ก อินสตาแกรมก็เอาไว้อวดรูปถ่ายไม่ได้อะไรมาก แต่ทวิตเตอร์นี่นับว่าเป็นที่ๆ เปิดกว้างมากทีเดียว เพราะนอกจากจะลงรูปแล้วยังได้เห็นรูปและทริคอื่นๆ ที่คนเอามาแชร์กันไว้เยอะแยะในจำนวนหนึ่งทวิต คือแม่งอลังการ ก็เลยประทับใจเป็นพิเศษ แถมแฟนคลับยังเยอะด้วย ถ้าเรียนจบแล้วหางานทำไม่ได้ก็จะผันตัวไปรับจ้างถ่ายรูป หาลูกค้าในโซเชี่ยลนี่แหละง่ายๆ

                คิดโคตรตื้น

                ไม่ทำจริงๆ หรอก เดี๋ยวพ่อแม่ด่าตายห่า ส่งเสียมาเรียนตั้งเยอะสุดท้ายไปถ่ายรูป ไม่ใช่มันไม่ดี แต่ถ้ามีโอกาสก็ใช้สิ่งที่เรียนทำงานน่าจะดีใช่หรือเปล่าล่ะ คิดแล้วผมเลยตั้งใจจะเก็บการถ่ายรูปไว้เป็นงานอดิเรกต่อไป

                แต่เพิ่งมารู้สึกว่างานอดิเรกของตัวเองเปลี่ยนไป จากที่ชอบถ่ายรูปทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนมาเป็นรูปคน แถมต้องเป็นคนๆ นั้นคนเดียวซะด้วย

                เจอโดยบังเอิญก็มองตามจนละสายตาไม่ได้ ไม่เจอก็ยังมองหาอีก ยังไงดี

                สายตาตอแหลชิบหาย

               


               
                มันเริ่มที่ไอ้ป๋าลากผมไปตึกนิเทศเพื่อจีบเด็กมันนั่นแหละ เห็นว่าประทับใจตอนสั่งฟุตลองพริกสดที่ร้านสะดวกซื้อหน้ามอ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการสั่งฟุตลองพริกสดมันทำให้คนตกหลุมรักกันได้ยังไง แต่ป๋ามันชอบของมันครับ และผมก็เป็นเพื่อนที่ดี ไม่ขัดศรัทธาเพื่อนอยู่แล้ว เลยยอมปล่อยให้ลากไปด้วย

                ระหว่างที่นั่งกินข้าวรอเด็กมันนั่นแหละที่ผมได้เจอน้อง เดินมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนเขาที่มีกันประมาณห้า-หกคน แต่เจ้าตัวเด่นเป็นสง่ามาเลยครับ เพราะตัวเขาขาวมาก ขาวโอโม่ ขาวแบบที่ผมสงสัยว่าพ่อแม่ยัดแป้งให้กินตั้งแต่เด็กหรือเปล่า แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ พอเดินมาใกล้ๆ นี่สิของจริง

                อยากโทรบอกแม่ว่าเจอเนื้อคู่แล้ว

                น้องไม่ใช่ผู้ชายหน้าสวย หน้าหวาน หรืออะไรหรอกครับ เขาเป็นคนตัวขาว สูงตามมาตรฐานชายไทยวัยยี่สิบ มีกล้ามเนื้อน้อยๆ ตามประสาคนออกกำลัง แต่ตา จมูก ปาก ของเขามันดันวางแบบโคตรเหมาะเจาะบนใบหน้า รวมกันแล้วผมอดจะมองตามไม่ได้ ที่สำคัญคือตอนน้องยิ้มครับ ยิ่งเวลายิ้มทั้งตาทั้งปากนะ วิศวะหวั่นไหวเหลือเกิน



                TAWANNN @tawanchai

                รักแรกพบ



                TAWANNN @tawanchai

                คิดถูกว่ะที่ตามพวกไอ้ป๋ามากินข้าวที่นี่

             

                นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมทวิตถึงเรื่องอื่นนอกจากรูปถ่ายและแคปชั่นเก๋ๆ ตามประสาเด็กวิศวะใจรักการถ่ายภาพ

 





                “พี่ตะวันเหม่ออะไรครับ ไม่ไปซื้อข้าวเหรอ?”

                 มาแล้วครับแป้งเด็กเดินได้ ตั้งแต่ตกลงปลงใจ หน้าด้านเดินเข้าไปขอจีบน้องแล้วผมก็มาหาข้าวกลางวันกินที่ตึกนิเทศให้บ่อยเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่ช่วงเรียกคะแนนด้วยครับ เพราะเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าไม่จำเป็นต้องเรียกคะแนนอะไรแล้ว ตอนนี้มันมาถึงจุดที่ใช้เวลาด้วยกันเพื่อเรียนรู้กันและกันมากกว่า

                ช่วงแรกก็แอบหวั่นนะครับว่าน้องจะโอเคหรือเปล่า เพราะเวลาไปไหนมาไหนก็เจอคนมอง ขนาดอยู่ในโซเชี่ยลยังมีทั้งแฟนคลับ และคนที่ไม่พอใจพูดจาเสียๆ หายๆ กับน้องอยู่บ่อยๆ แต่พอได้คุยกันเรื่องนี้แล้ว คนที่เด็กกว่าผมก็ออกความเห็นง่ายๆ ว่า

                “ก็บอกไปว่าไม่ขี้เสือก”

                สมกับเป็นน้องจ้าวของพี่ตะวัน หมาในปากไม่น้อยหน้าผมเลยจริงๆ

                “กินข้าวขาหมูอีกแล้ว เดี๋ยวก็อ้วนหรอก”

                ตอนนั้นป๋ามันซื้อมากินครับ พอจ้าวเห็นก็บอกว่าอยากกินบ้าง และตั้งแต่นั้นมาผมก็เห็นน้องกินข้าวขาหมูบ่อยกว่าเมนูอื่นๆ ในโรงอาหาร

                “ไม่อ้วนหรอก เดี๋ยวผมออกกำลังก็ได้”

                “เราจะไปออกที่ไหน?”

                “ฟิตเนสในร่มของมอครับ พวกทัพก็ไปนะ พี่ตะวันจะไปกับผมไหม?”

                “มึงไม่ต้องเข้าฟิตเนสในร่มหรอกน้องจ้าว ไปทำอย่างอื่นในร่มกับพี่ตะวันก็ลดได้”

                ทัพเริ่มแซวเพื่อนตัวเองโดยมีลูกคู่เป็นเพื่อนๆ คนอื่นในกลุ่ม ตอนแรกผมก็ไม่ชอบหน้ามันเท่าไหร่หรอกเพราะเห็นอยู่กับจ้าวแถมลวนลามเด็กผมบ่อย แต่พอรู้ว่าคู่นี้เขาซี้กันตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยเบาใจ แถมไอ้นี่มันกวนครับ ห้าวเป้งจนนึกว่าเป็นวิศวะมากกว่าเด็กนิเทศ เลยเข้ากันได้เร็วหน่อย

                “ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้นะทัพ”

                เด็กผมก็โหดครับ ไม่ยอมใครพอกันเลยโดนทัพมันดึงแก้มเอา แล้วผมก็แกล้งตีหน้ายักษ์ชี้หน้าไอ้ทัพอีกทีให้มันหัวเราะกัน แต่นี่หวงจริงนะมาแตะเนื้อต้องตัวง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง

                “พี่ทัพไปซื้อข้าว เดี๋ยวไม่ทันเรียนรอบบ่ายหรอก”

                น้องมองหน้าผมนิ่งๆ เวลาจะให้ใครทำอะไรชอบใช้เสียงหนึ่งกับหน้านิ่งๆ ครับ คงคิดว่าน่ากลัวมากมั้ง ตาโตเป็นลูกกวางขนาดนั้นมองแล้วอยากจับมาปั้นเป็นก้อนแล้วแดกแม่ง

                “อยากกินด้วย”

                “ก็ไปซื้อสิครับ ร้านป้าติ๋มหัวมุมนู้น คนยังไม่เยอะเท่าไหร่”

                “อยากกินจานจ้าว ป้อนหน่อย”

                ขอทำตัวง่อยอ้อนเด็กก่อนครับ เวลาโดนอ้อนน้องจะชอบทำหน้านิ่งแต่แก้มจะแดงเป็นลูกมะเขือเทศเลย นี่ไง... แบบนี้เลย อยากยกกล้องมาถ่ายรูปจริงๆ ให้ตายเถอะ

                ว่าแต่ข้าวขาหมูมันหวานขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย

 





                “ทำไมพี่ตะวันชอบถ่ายรูปล่ะครับ?”

                ผมกดปุ่มถ่ายภาพอีกครั้งเพื่อเก็บภาพแบบแนวนอน วันนี้ชอปเลิกไว้ผมเลยพาน้องมาเดินตลาดเย็นแถวมหาลัย ช่วงนี้มีงานนิทรรศกาลของกินด้วยครับ คนขายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนร่วมสถาบันกันเองทั้งนั้น เรียกว่าอยู่ใกล้มหาลัยเงินจะไหลไปไหนเสียประมาณนั้นเลยครับ

                “จ้าวเคยเป็นไหม เวลาที่ไปเที่ยวไหนสักที่แล้วพอกลับมาโดนถามว่าไปทำอะไรมาบ้างแล้วจ้าวจำไม่ได้” มองน้องพยักหน้าหงึกหงักพร้อมอ้าปากรับลูกชิ้นหมูกลมๆ เข้าไปเคี้ยวตุ่ยๆ แต่สายตาก็ไม่ละความสนใจจากหน้าผม น่ารักจริง “พี่ก็เป็น แล้วพี่ก็มานั่งถามตัวเองว่าทำไมเราจำไม่ได้ แล้วเราจะทำยังไงให้จำได้”

                “พี่ก็เลยเลือกถ่ายรูป”

                “อือหึ”

                ผมตอบรับแล้วกดถ่ายบริเวณงานโดยรวมอีกครั้ง ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีครามมีแต้มแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้า แถมยังมีประกายสีชมพูจางๆ ด้วย ผมชอบธรรมชาติแบบนี้ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยหันไปถ่ายรูปเด็กโอโม่กินลูกชิ้นแทน อืม... ถ่ายรูปขึ้นจริงๆ ด้วย คิดไว้ตั้งแต่รูปแรกที่ถ่ายรูปน้องลงทวิตเตอร์แล้ว

                “พี่ตะวันไม่แอบถ่าย”

                “แลกกันไง เราเคยแอบถ่ายรูปพี่เหมือนกัน”

                “นั่นรูปคู่หรอก ทัพเป็นคนถ่ายด้วย”

                “งั้นถ่ายรูปพี่ ให้สามรูปเลย แลกกัน”

                จ้าวมุ่ยหน้า เพราะลูกชิ้นยังคาอยู่ในปากเลยทำให้แก้มเจ้าตัวป่องตามไปด้วย ผมอยากจะจิ้มใจจะขาดแต่ถ้าน้องทำลูกชิ้นพุ่งออกมานี่หมดเลยนะอารมณ์ละมุนที่ลอยอยู่รอบตัว

                “ถ่ายรูปต่อไปเลยไป...”

                ผมหัวเราะแล้วตีเนียนเอื้อมไปจับมือจ้าวให้หลบคนที่เดินสวนมาแต่ไม่ยอมปล่อย และน้องก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะปราม ผมจะถือเสียว่าเป็นการอนุญาตกลายๆ กับการจับมือเดินตลาดนัดแล้วกัน

                จ้าวกินเก่งมากครับ หลังลูกชิ้นปิ้งสองไม้หมดไปเขาก็เดินหาบาร์บีคิวกับขนมสายไหมต่ออีก ผมก็ไม่อยากห้าม เอาเวลาไปถ่ายรูปน้องตอนกินกับตอนเลือกซื้อของดีกว่าอีก เราเดินเล่นกันอีกสักพักก็ไปจบที่ซุ้มขายเครื่องประดับที่คุ้นมากว่าคนขายเป็นเด็กคณะเดียวกับผม ภาคเดียวกันด้วยเลยดีกว่า แก๊งค์ปากหมาแห่งวิศวะเครื่องกลหรือง่ายๆ ก็คือพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มผมนี่เองล่ะครับ

                “นั่นแหน่ะ จับมือกันมาเลย มาเลยไอ้ตะวัน มาอุดหนุนพวกกูเลย”

                “ถ้ารู้ว่าพวกมึงมาตั้งซุ้มตรงนี้กูไม่เดินมาหรอก”

                “ชะช่า! ไม่คุยกับมึงละ น้องจ้าวครับ อยากได้อะไรลองดูได้ พวกพี่รับทำด้วยนะ บริการครั้งแรกฟรี พี่ไปคิดเงินกับไอ้ตะวันทีหลัง”

                ไอ้เป้เริ่มแล้วครับ มาเนียนลากน้องเข้าซุ้มแถมยังตะโกนให้คนอื่นมาดูหน้าน้องจ้าวอีก นิสัยพวกมันนี่จริงๆ เลย มาอีหรอบนี้ผมก็ได้แต่ปล่อยมือน้องให้เดินตามเพื่อนผมไป ส่วนตัวเองก็ทำสิ่งที่อยากทำครับ... ถ่ายรูปน้องเก็บเข้าคอลเลคชั่น

                จ้าวเป็นคนถ่ายรูปขึ้นมากจริงๆ ไม่ว่าจะมุมก้ม มุมเงย หรือจะด้านข้าง รูปออกมาไม่น่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย แถมเวลาหัวเราะกับมุขเสี่ยวๆ ของเพื่อนผมก็ไปทั้งตาทั้งปากเลย ดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม ผมตั้งใจจะลงรูปไว้ในทวิตเตอร์ด้วย อารมณ์อยากอวดว่าที่แฟนมาเต็มมาก แต่เดี๋ยวขอเลือกก่อนว่าจะเอารูปไหนดี แต่ไม่ให้จ้าวเลือกหรอกนะ ผมจะเลือกด้วยตัวของผมเอง

                ก็อยากให้คนอื่นๆ ได้เห็นเขาในมุมที่ผมมองบ้าง

                จักจี้หัวใจชิบหาย

                “พี่ตะวัน”

                พอเงยหน้าตามเสียงเรียกก็พบจ้าวกำลังถือโทรศัพท์ยกมาจ่อหน้าผมอยู่ เขาเลื่อนดูสักพักก่อนจะหัวเราะอย่างพอใจแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า หน้าผมในนั้นคงดูตลกมาก ยิ่งตอนนี้ไม่มั่นใจผมทรงใหม่อยู่เลยอดตีหน้ายักษ์ใส่น้องไม่ได้

                ป๋ามันเป็นคนแนะนำให้ผมทำผมทรงนี้ครับ มันบอกว่าช่วงนี้เขาฮิตทรงอันเดอร์คัทกัน แถมทรงหางม้าของผมก็ไม่ได้ดูดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว เสียมาดเดือนคณะหมด แถมยังมีการมาขู่ ว่าถ้าจีบไม่ติดก็เป็นเพราะทรงผมผมนั่นแหละ พาลหมดกำลังใจต้องรีบไปตัดซะเย็นวันนั้นเลย

                “ไหนดูหน่อย”

                “ไม่เอา ผมจะเก็บไว้ดูคนเดียว”

                “เอาไว้ดูหรือเอาไว้ทำอะไร? จ้าวพูดแบบนี้พี่คิดนะ”

                “พี่ตะวันอย่าหื่นตามสภาพหน้าสิ เดี๋ยวคนผ่านไปมาเขาตกใจ”

                มันน่าจับแดกนัก!

                ผมยีหัวทุยๆ ของจ้าวจนยุ่งไม่เป็นทรง แต่มีหรือที่เด็กแสบจะเกรงกลัว จ้าวหัวเราะ หันไปสนใจข้อมือหนังที่วางอยู่หน้าซุ้มแทนแล้ว แถมไอ้เป้กับพวกเพื่อนตัวประกอบที่นั่งประจำการอยู่ก็ส่งสายตาล้อเลียนมาใหญ่ อยากเอาไนกี้ทาบหน้าพวกมันจริงๆ

                “อันนี้เหมาะ”

                เห็นน้องมองอยู่นานเหมือนจะเลือกไม่ได้ ผมเลยลองหยิบเส้นที่เตะตาที่สุดมาทาบข้อมือให้ดู ด้วยความที่เขาขาว ใส่แค่อะไรเรียบๆ ก็ดูดี คิดแล้วผมก็ทำการยัดเยียดความเป็นเจ้าของด้วยการจ่ายเงินให้พวกไอ้เป้ทั้งที่จ้าวยังไม่ตกลง แต่เห็นน้องอมยิ้มนะ ผมตีความไปเองว่าเขาชอบนั่นแหละ

                ซื้อของเสร็จสรรพก็บอกลาเพื่อน เริ่มค่ำเริ่มมียุงชุม ขนาดผมยังทนไม่ไหวแล้วนับประสาอะไรกับคนตัวขาวแบบคนข้างๆ ยุงที่มหาลัยก็ตัวโคตรใหญ่ ยิ่งเวลามันรวมกลุ่มกันนะครับ ยากันยุงสิบซองโปะตามตัวมันก็กัด แถมเจ็บอีกต่างหาก

                “สนุกมั้ย?”

                ได้ยินเสียงทุ้มๆ ฮัมเพลงอยู่ข้างๆ เลยถามเขาไป ตอนนี้ในมือน้องมีของกินอีกแล้วครับ น้ำเฉาก๊วยร้านดัง กินเก่งจริงๆ เด็กคนนี้

                “สนุกครับ อร่อยดี”

                “สนุกเพราะอยู่กับพี่หรือของกิน?”

                “ขี้หยอด เดินไปเฉยๆ เลยพี่ตะวัน”

                ผมหัวเราะ มุมด้านข้างน้องจ้าวดูดีมากจริงๆ ผมอยากยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีกแล้วถ้าไม่ติดว่ามันมืดจนถ่ายออกมาแล้วมองอะไรไม่เห็นล่ะก็นะ ส่วนแฟลชผมก็ไม่อยากใช้ มันลอยครับ จากน้องจ้าวอาจจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางได้ แต่เรื่องนี้ไม่บอกน้องเขาหรอกนะครับ

                “ผมอยากถ่ายรูปพี่บ้าง”

                “หืม? คิดยังไง เมื่อกี้ยังงอแงแง้วๆ ใส่พี่อยู่เลย”

                “แง้วก็บ้าแล้ว” ตาเขียวใส่ผมเลยครับ “ผมอยากถ่ายรูปพี่... ก็เหตุผลเดียวกับที่พี่อยากถ่ายรูปนั่นแหละ”

                หืม อะไรนะ

                ผมหยุดในขณะที่จ้าวยังเดินช้าๆ เยื้องหน้าผมไป แผ่นหลังกว้างแต่ดูยังไงก็ไม่เกินอ้อมกอดแน่ๆ ไม่มีอาการของความสั่นไหวแม้แต่น้อย ในใจมันร้องว่าปล่อยคนๆ นี้ไปไม่ได้แล้ว แต่ไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยได้แต่เอื้อมไปคว้าแขนเขาเอาไว้ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับน้องแบบนั้น

                “...ขออีกรอบ”

                “ของดีมีรอบเดียวสิ”

                “แต่ของดีพี่ให้เราได้หลายรอบเลยนะ สนใจพิสูจน์ไหม?”

                “ทะลึ่งอีกทีผมถีบตกขอบถนนเลยนะ”

                ไม่ไหวครับ ตบมุกใต้สะดือผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ กับหน้าตายๆ ตลอด แต่แอบเห็นนะว่าจ้าวยิ้มตอนมองผมหัวเราะด้วยน่ะ อืม... อยากเก็บรูปไว้เป็นคอลเลคชั่น

                จะว่าไปมันก็มีอีกวิธีนี่หน่าที่ทำให้ผมกับเขาเก็บรูปของกันและกันได้โดยที่ไม่มีใครเสียเปรียบ

                “รูปคู่ไหมล่ะ?”

                จ้าวมองผมด้วยตาโตๆ คู่นั้นก่อนจะพยักหน้าให้ เชื่อเลยว่าถ้าแสงปกติต้องได้เห็นแก้มของเขาแดงเป็นลูกมะเขือเทศแน่นอน เสียดายนิดหน่อยแหะ

                มันตลกดีนะครับที่ผู้ชายสองคนยืนเก้ๆ กังๆ แล้วพากันเดินหาที่ๆ แสงสว่างพอจะถ่ายรูปเราทั้งคู่ชัด จะว่าไปนี่เป็นรูปแรกที่เราถ่ายด้วยกันเลยสินะ หากไม่นับรูปที่ทัพถ่ายให้ ผมยิ้ม มองรูปในโทรศัพท์มือถือตัวเองแล้วอยากให้มันมีเพิ่มขึ้นมาอีก รูปของเขา รูปของผม รูปของเรา

                นี่มันอาการหลงเด็กชัดๆ นี่หว่า

                “อย่าลืมส่งรูปให้ผมด้วยนะ” จ้าวว่าตอนชะโงกมองหน้าจอ “พี่ตะวันไม่เห็นหล่อเหมือนตัวจริง”

                “เก็บไว้หล่อให้คนแถวนี้ดูก็พอ”

                “แถวนี้นี่หมายถึงผู้หญิงสองคนตรงร้านน้ำปั่น หรือเด็กคณะบัญชีตรงนั้น หรือพวกพี่เป้ที่กำลังเดินมาตรงนี้ อ้ะ หรือหมายถึงพี่ป๋ากับพี่ไนท์ ผมเห็นหันหลังอยู่ร้านบาร์บีคิวนู้น หรือ...”

                สักวันผมจะปั้นแล้วจับแดก ให้ตายเถอะ!

               

               JAOJAO @jaojaonitade ได้แท๊กรูปคุณ

                ตะวันของจ้าว

 

                TAWANNN @tawanchai แท๊กรูปถึง @jaojaonitade

                จ้าวของตะวัน








----------------------------------------------------------------




     Talk: สวัสดีค่ะ มาเปิดนิยายเรื่องใหม่ทั้งที่เรื่องเก่ายังไม่ได้ครึ่งแท้ๆ ก็พล็อตมันมา และใจมันอยากแต่งให้ทำยังไงล่ะเนอะ (โดนตี)

สำหรับเรื่องนี้เราจะมาเป็นคู่ๆ ค่ะ คู่ละกี่ตอนไม่มีตายตัว จะแต่งไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีอะไรให้แต่งน่ะค่ะ ถึงได้เป็นซีรี่ย์ไง! 5555555

     เราเพิ่งเคยลองแต่งแนวบุคคลที่หนึ่งเป็นครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าสื่อออกมาได้ดีหรือเปล่า หากมีข้อติชมสามารถเม้นบอกได้เลยนะคะ เรายินดีมากๆ กับทุกความเห็น

     สุดท้ายนี้ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้อีกเรื่องนะคะ

     ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 2 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: temaripik ที่ 11-05-2017 20:36:44
ชอบบบบบบเนื้อเรื่องน่ารักดี
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 2 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 12-05-2017 02:27:21
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 2 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Snappy ที่ 12-05-2017 08:10:16
ฮืออออออออ

เขินเว้ย!! 

 :hao7:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 2 จ้าวตะวัน #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-05-2017 21:42:33
 :m1: :m3: :m1: :m3: :m1: :m3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 15-05-2017 19:57:56
[3]





ผมกำลังถูกจีบ

ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ เพราะคนที่จีบผมเขามาบอกด้วยตัวเองเลย ส่วนถ้าถามว่าตกใจหรือเปล่าที่มีผู้ชายมาจีบ ไม่หรอกครับ ผมเป็นเกย์ แถมปิดเผยซะด้วย ถ้ามีผู้หญิงเข้ามาหานี่สิน่าตกใจกว่า

"พี่ป๋ามารอพี่ไนท์อีกแล้วนะครับ"

คำถามจากรุ่นน้องทำให้ผมละความสนใจจากชีทภาษาอังกฤษที่ตนเองทำมาเพื่อติวให้รุ่นน้องปีสองโดยเฉพาะไปมองเขาแล้วแหย่ด้วยคำพูด

"เขามาเพราะตามแฟนใครบางคนมานั่นแหละ"

"เขามาเพราะอยากเจอคนบางคนแถวนี้ต่างหากครับ แฟนผมบอกมา"

จ้าวตอบพร้อมยักคิ้วให้ผม เจ้าเด็กนี่แสบขึ้นทุกวัน

เห็นตอนแรกหงิ๋มๆ แต่พอมาสนิทด้วยแล้วก็กวนประสาทไม่ใช่เล่นเลย พอๆ กับเด็กคนอื่นในก๊วนเขานั่นแหละ

"ไม่เปลี่ยนสถานะสักทีล่ะครับ? ผมเห็นพี่ไปไหนมาไหนด้วยกันออกจะบ่อย แถม... การกระทำของพวกพี่ก็ไม่เหมือนคนกำลังจีบกันเลย"

น้องพึมพำท้ายประโยคพลางเหลือบมองเหมือนกลัวว่าถ้าได้ยินแล้วผมจะโมโห แต่ไม่หรอกครับ ผมแค่ยิ้มแล้วยื่นมือไปดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นแรงนิดหน่อยให้เด็กจ้าวร้องโอดโอยเท่านั้นแหละ

ผมบอกให้น้องๆ เริ่มทำแบบฝึกหัดกันต่อก่อนจะทอดสายตามองไปยังศาลารับลมฝั่งตรงข้าม และก็ได้รับสายตานิ่งๆ มองตอบกลับมาราวกับอีกฝ่ายกำลังบอกว่าถ้าเขาไม่มองตอบอีกเพียงสองสามวิ คนที่ทำหน้านิ่งตรงนั้นจะต้องพุ่งเข้ามาขยำขอเป็นแน่

เหมือนหมาบลูด๊อกหิวตับไก่

เห็นหน้าแล้วแล้วพลันนึกย้อนไปถึงช่วงเทอมก่อนที่เรื่องราวพวกนี้มันเกิดขึ้น

 







คณะนิเทศมีกิจกรรมคัดเลือกตัวนักแสดงเพื่อหาคนที่เหมาะจะรับบทในละครเวทีของมหาวิทยาลัยซึ่งจัดขึ้นช่วงนี้ของทุกปี และเพื่อให้นักศึกษาปีหนึ่งกับสองต่างคณะได้ร่วมกิจกรรมด้วย ทางอาจารย์เลยให้พวกปีสามอย่างพวกผมเป็นคนจัดการเบื้องหลัง คัดเฉพาะคนที่อยากแสดงจริงๆ ไปขึ้นเวทีกับน้องๆ

ส่วนผมเลือกที่จะทำงานเบื้องหลัง เพราะเป็นงานที่ผมสนใจ และตั้งใจจะต่อยอดอนาคตด้วยเส้นทางนี้อยู่แล้ว

แม้จะถูกคะยั้นคะยอให้ออกไปแสดงผมก็ปฏิเสธไป เพราะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่

"จะไปร้านสะดวกซื้อหน้ามอ ใครเอาอะไรบ้าง?"

เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าหากใครจะออกไปซื้ออะไรต้องถามไถ่สมาชิกที่เหลือด้วย และทุกคนก็จัดเต็มจริงๆ กว่าผมจะได้ไปคิดเงิน ตะกร้าในมือสองใบก็แทบล้นออกมา

"สะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง สวัสดีครับ"

เสียงทักทายของพนักงานแคชเชียร์และเสียงพูดคุยที่ฟังแล้วเป็นนักศึกษากลุ่มใหญ่ ทำให้ผมรีบปรี่ไปต่อแถว ด้วยกลัวว่าคนจะเยอะจนกินเวลาไปมากกว่านี้

"รับคนจีบ เอ้ย ขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับพี่ไนท์?"

ผมขำกับมุขเนียนๆ ของรุ่นน้องแคชเชียร์ตรงหน้า เพราะนี่เป็นโซนมหาวิทยาลัยเลยทำให้มีนิสิตหลายคนทำงานที่ร้านสะดวกซื้อสาขานี้ รวมถึงพาย เด็กอักษรที่รู้จักกันตอนรับน้องด้วย

ผมย่อตัวลงเอาแขนท้าวเคาท์เตอร์แล้วทำหน้ากรุ้มกริ่มเหมือนคาสโนว่า เล่นกับน้องมันสักหน่อยครับ

"ฟุตลองพริกสดไม่มีในตัวเลือกเหรอ?"

"มีครับผม เอาเท่าไหร่ดี?"

"สามดุ้น ขอใหญ่ๆ ไซส์เท่ากระป๋องโค้กนะ"

"หึ"

หืม? ไม่ครับ นั่นไม่ใช่เสียงหัวเราะของผมหรือน้องพายหรอก แต่เป็นเสียงของคนที่ยืนต่อคิวอยู่ข้างหลังต่างหาก ท่าทางจะได้ยินที่ผมเล่นกับน้องพายนั่นแหละ ผมเหลือบมองก็เห็นเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่อยู่คนละคณะกัน

ป๋า คนชื่อแปลกที่ชอบอยู่กับเดือนคณะวิศวะบ่อยๆ กำลังมองมาที่ผมนิ่งๆ แต่แอบเห็นว่ามุมปากยกขึ้นเป็นข้อยืนยันแล้วว่าเสียงหัวเราะในลำคอคือเสียงของคนๆนี้นั่นแหละ

ผมยิ้มเขินๆ ให้เขาแล้วเขยิบตัวหลบเพื่อให้คนตัวโตกว่าวางของที่ถือมาเพื่อจ่ายเงินลงบนที่ว่างข้างหน้าเพราะยังไงเสียไส้กรอกที่ผมสั่งก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่งจึงจะได้ หูฟังพายคิดเงินคิวต่อไปเรื่อยๆ ตาก็มองไปเรื่อยทั้งแผงลูกอม แผงบุหรี่ที่วางอยู่ด้านหลัง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกถึงสายตาจากคนที่อยู่ข้างๆ มองมาที่ตัวเองตลอด

พอทำใจกล้าเหลือบมองก็เจอเจ้าของสายตากำลังมองมาทางตัวเองอยู่จริงๆ เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูกตีหน้ายักษ์ใส่เขาไป มองหน้าทำไม สนใจเพื่อนไปสิ สะกิดให้จ่ายเงินยิกๆ แล้ว

เห็นผมมองแบบนั้นเขาเลิกคิ้ว รอยยิ้มที่มุมปากยกขึ้นสูงกว่าเดิมคล้ายสงสัยและขบขันไปในที จนจ่ายเงินเสร็จนั่นแหละอีกฝ่ายถึงได้เดินออกไปพร้อมกับกลุ่มเพื่อนชอปแดงเลือดหมู ไม่วายทิ้งสายตาเรี่ยราดไว้ให้ผมอีก

หมั่นไส้จริง

“ฟุตลองพริกสดของพี่ไนท์ได้แล้วครับ”

“ขอบคุณครับ  วันนี้เข้ากะถึงกี่โมง? ทัพมันจะมารับเราทันมั้ยเนี่ย?”

“สองทุ่มครับ ทัพบอกแล้วว่าคงมาไม่ทัน แต่ผมอาจจะไปหาที่คณะแทน”

ผมรับถุงไส้กรอกมาแขวนรวมกับถุงขนมถุงอื่นๆ แล้วคุยกับน้องอีกสองสามประโยคจึงเดินออกจากร้านพร้อมของพะรุงพะรัง

ดีหน่อยที่เดินจากหน้ามอเข้าตึกคณะผมไม่ได้ไกลมากนัก เดินแค่ห้านาทีผมก็จะได้เอาของกินไปเซ่นพวกหิวโหยที่รออยู่ในห้องซ้อมได้แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเจอร่างคุ้นหน้าคุ้นตาของคนที่จำได้ว่าเพิ่งมองหน้ากันที่ร้านสะดวกซื้อเมื่อครู่นี้

มายืนสูบบุหรี่หน้าคณะนิเทศเพื่อ คณะวิศวะไม่มีที่ให้สูบหรือไง

อาจเพราะความประทับใจแรกเจอติดลบเลยทำให้ผมพาลคิดเช่นนี้ มันน่าสงสัยจริงๆ นะครับ ตึกวิศวะกับตึกนิเทศไม่ได้ใกล้กันเลยสักนิด อยู่กันคนละฝั่งแบบที่ไม่ต้องเดินผ่านกันเลยแม้แต่น้อย แต่นี่เขามายืนชิลๆ ไม่มีเพื่อนในกลุ่มมาด้วย ดูยังไงก็แปลก แต่ก็นะ ไม่ใช่เรื่องของผมสักหน่อย

ผมไหวไหล่แล้วตั้งใจจะเดินผ่านคนที่มองกลับมาเหมือนไม่เห็นเขา ถ้าไม่ติดที่มือโดนคว้าเอาไว้ก่อน

“เฮ้ย!"

ผมร้องเพราะเกือบหงายหลังแถมถุงขนมในมือก็เกือบร่วงลงพื้น ในนั้นมันมีขวดแก้วอยู่ด้วยนะ!

“เมินกันง่ายๆ เลยนะ"

“พูดอะไร ปล่อยผมนะคุณ เราไม่รู้จักกันสักหน่อย มาคว้าแขนผมทำไม?”

“ป๋า”  คงเห็นผมทำหน้างงใส่ถึงได้ยอมขยายความทั้งประโยคอีกรอบ “ชื่อป๋า วิศวะเครื่องกลปีสาม ส่วนเรา ไนท์ นิเทศภาพยนตร์ปีสาม ถูกต้อง?”

ผมยังคงขมวดคิ้วแม้จะตอบรับด้วยการพยักหน้ารับ

ไม่แปลกใจและไม่ถามกลับหรอกว่ารู้จักผมได้ยังไง ไม่ได้หลงตัวเองแต่เด็กนิเทศที่ทำกิจกรรมเยอะขนาดผมมีไม่กี่คนหรอกที่จะไม่รู้จัก เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนเรียก มีแต่คนทักทาย ทำกิจกรรมก็มีแต่คนตามตัว

“มีอะไรกับผมหรือเปล่า?”

“ทำวิศวะหวั่นไหวแล้วจะปล่อยไปง่ายๆ ได้ไง”

“...ห๊ะ?” พูดบ้าอะไรของเขา ผมไม่เข้าใจเลย

“จะจีบ เลยมาบอกให้รู้ตัวไว้”

“อะไรของคุณเนี่ย? สูบบุหรี่มากแล้วควันไปอุดตันเส้นเลือดสมองหรือไง คลีนิกคณะแพทย์อยู่ฝั่งนู้น ไม่ไปส่งนะ ลาขาด”

ไม่สนแล้วครับคำว่ามารยาทหรืออะไรก็แล้วแต่ จู่ๆ ไม่รู้จักมักจี่กันมาก่อนมาเจอพูดแบบนี้ใส่มันจะไม่น่ากลัวเกินไปหรือไง แล้วมือนี่ก็ปล่อยสักทีสิ หนักของจะตายอยู่แล้วเนี่ย!

“หึ”

หึแมวสามสีบ้านมึงสิ

“ปล่อยสักที ผมเหม็นบุหรี่”

“เรื่องจีบพูดจริง”

คนชื่อป๋าว่าพลางทิ้งบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้รองเท้าไนกี้บี้ ไอ้คนไม่รู้จักรักษาสภาพแวดล้อม

“จะไม่ฟังข้อดีของการเป็นเด็กป๋าหน่อยเหรอ?”

เขาคิดว่าเราอยู่ในรายการอะไรสักรายการหรือเปล่าผมก็ไม่รู้หรอกนะ คนจะจีบเขาต้องเอาข้อดีของตัวเองมาหว่านล้อมอีกฝ่ายขนาดนี้เลยเหรอ โคตรมีความมั่นใจขนาดที่ว่าผมยังทำไม่ได้เลย

ยังไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธคนชื่อประหลาดหน้านิ่งก็คว้าถุงในมือผมไปถือแล้วเริ่มออกเดินพร้อมร่ายข้อดีของการเป็นเด็กป๋าให้ฟัง

“ไม่เจ้าชู้ ไม่นอกใจ ไม่ชอบอะไรแบบนั้น”

ก็ดี ใครมีแฟนแบบนี้ลดเรื่องปวดหัวได้เยอะเลยล่ะ

“เวลามีให้เท่าที่มี อยากได้เวลาส่วนตัวก็ให้ได้ แต่ไม่จำพวกวันสำคัญ ไร้สาระ”

ก็แฟร์ดีเพราะผมก็ไม่จำ ถือคติทำปัจจุบันให้ดีที่สุดครับ

"คบกันแล้วอะไรที่เป็นของกูก็จะเป็นของมึงด้วย โดยเฉพาะของชอบมึง มีพกไว้ทุกที่ทุกเวลา”

“ของชอบ... อะไร?”

ผมถามเมื่อคนตัวสูงกว่าหยุดเดินเมื่อมาถึงลิฟต์ที่จะพาขึ้นไปยังห้องซ้อม ผมเห็นว่าเขายกยิ้มมุมปากอีกครั้งแล้ว คนบ้าอะไรจะยิ้มดีๆ ให้มันเต็มปากไม่ได้เลยหรือไง เห็นแล้วผมล่ะเสียวสันหลัง หนังตากระตุกถี่ๆ ว่าที่มันพูดต่อจะต้องไม่ใช่เรื่องดีและความรู้สึกผมก็ตรงเสียด้วย

“ฟุตลองพริกสดดุ้นใหญ่ไซส์เท่ากระป๋องโค้ก พร้อมบริการ 24 ชั่วโมงแบบนี้ไม่มีที่ไหนแล้วนะ”

“เก็บไว้ให้หมาบ้านมึงแดกเหอะ!”







 

นั่นแหละครับการพบกันซึ่งๆ หน้าครั้งแรกของพวกผมสองคน หลังจากนั้นมาก็อย่างที่หลายคนได้เห็น ป๋าแวะเวียนมาเยี่ยมคณะนิเทศอยู่บ่อยครั้ง หรือถ้าวันไหนไม่เห็นตัวก็จะเห็นรถยุโรปมาจอดเทียบท่าเสมอ เราไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันอยู่บ่อยๆ อาจจะเหมือนการให้ความหวัง แต่ผมเรียกว่าการเปิดโอกาสเสียมากกว่า

มีคนถามเหมือนจ้าวอยู่บ่อยครั้งว่าทำไมผมไม่ยอมตอบตกลงคบกับป๋าเสียทีทั้งที่การแสดงออกมันชัดเจนขนาดนี้ ยอมรับครับว่ารู้สึกที่ดีที่มีคนมาให้ความสำคัญ ดูแลเอาใจใส่ แต่พอคิดว่าชีวิตจริงไม่เหมือนในละครที่คบกันแล้วจะมีแต่เรื่องราวดีๆ เราทั้งคู่ยังต้องเติบโต ยังต้องเจอเรื่องอะไรอีกเยอะแยะ มันทำให้ผมกลัวการที่จะก้าวต่อ

ไม่ใช่ไม่มั่นใจในตัวเขาแต่ยังไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า

"เสร็จยัง?"

มาแล้วครับ สงสัยจะทนรอต่อไปไม่ได้เพราะวันนี้นัดไว้ว่าจะกินข้างเย็นด้วยกันก่อนที่จะไม่ได้เจอกันเป็นอาทิตย์เพราะอีกคนจะไปทำโปเจคกลุ่มอะไรสักอย่าง ผมไม่เข้าใจหรอกครับเรื่องเครื่องยนต์กลไก แค่รับรู้ไว้ว่าจะหายหัวเท่านั้นก็พอ

"เสร็จแล้ว พี่ไปก่อนนะเด็กๆ"

โปรยยิ้มหว่ายเสน่ห์ให้น้องๆ ที่กำลังจะแยกย้ายกัน แล้วคว้ากระเป๋าตามไปขึ้นรถในตำแหน่งประจำ ตุ๊กตาหน้ารถของป๋า

"แรดนะเรา ส่งยิ้มไปทั่ว"

"ตัวเองก็แรดมาอยู่คณะนิเทศทั้งวัน มีสิทธิ์อะไรมาว่าคนอื่นเขา"

"สิทธิ์ของคนตามจีบ แรดแล้วอย่าเถียง คาดเข็มขัดด้วย"

ผมตวัดสายตาไม่พอใจไปให้สารถีส่วนตัวหนึ่งทีแล้วจัดการคาดเข็มขัดให้ตัวเอง พูดจาเอาแต่ได้นี่หว่า แล้วยังมาว่าคนอื่นเขาอีก นิสัยเสียจริงไอ้หน้าบลูด๊อกนี่

รถยุโรปคันสวยขับมายังศูนย์การค้าขนาดใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวมหาวิทยาลัยนัก บางครั้งก็สงสัยว่าถ้ามาแค่นี้นั่งรถชัตเตอร์ฟรีมาก็ได้ ง่ายๆ ทำไมไม่ทำ แต่เจ้าของรถงี่เง่าครับ บอกว่าอากาศมันร้อน คนก็เยอะ ไม่อยากจะใช้รถสาธารณะและไหนๆ ก็มีรถของตัวเองทั้งที ก็จริงของเขา แต่มันเปลืองน้ำมันไม่ใช่หรือไงกัน ไม่เข้าใจพวกคนมีเงินเลย

"งอนอะไร? ทำหน้าเป็นตะพาบโดนรถเหยียบ"

เปรียบเทียบซะน่าเกลียดเลย แล้วใครงอนกัน นี่หน้าตาคนไม่พอใจต่างหาก

"ไม่ได้งอน"

"ไม่ได้งอนแล้วเป็นอะไร?"

"...ป๋าพูดจาไม่ดี เราไม่ชอบ"

เวลาไม่พอใจอะไรให้บอกไปตรงๆ คือกฏของการใช้ชีวิตคู่ตามแบบฉบับของผมครับ ดีหน่อยที่อีกคนก็เป็นพวกตรงๆ เหมือนกัน ตรงจนนับได้ว่าเป็นพวกขวานผ่าซาก แต่เขารู้กาละเทศะนะครับ เพราะเวลาที่ไม่ควรพูดเขาก็ไม่พูด แต่เล่นซัดด้วยสายตาไม่ยั้งเลย

"ขอโทษ ก็ไม่ชอบให้ยิ้มให้ใคร" ป๋าว่าในขณะที่มือก็เลื้อยมากุมมือผมเอาไว้ด้วย ไม่เนียนนะ แต่ทำให้ผมเขินได้อยู่ "หวง เข้าใจหน่อยดิ"

"ทำตัวเป็นเด็กหวงของ"

"พูดมากเดี๋ยวยัดฟุตลองพริกสดเข้าปาก"

"ป๋า! ลามกว่ะ รีบลงไปเลย!"

ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอแล้วหมั่นไส้อยากจะฝากรอยเท้าเอาไว้บนหน้าหล่อๆ นั่นสักที แต่กลัวจะโดนเอาคืนเลยทำได้แค่ฟาดหลังมือแรงๆ ให้หลุดจากมือแกร่งแล้วลงจากรถนำเข้าห้างแทน

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่คนต่อคิวน้อยเป็นตัวเลือกของวันนี้ เพราะเราทั้งคู่ต่างก็หิวและชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาถึงก็สั่งไม่ยั้ง เหมือนตายอดตายอยากมาสิบปี ใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีอาหารที่สั่งก็ทยอยมาเสิร์ฟ ลายตามากครับ ไม่รู้ว่าจะลงมือกับอะไรก่อนดี

"กินยังไงให้มันเลอะแก้ม"

ไม่ว่าเปล่า ป๋ายื่นมือมาหยิบข้าวที่ติดแก้มผมแล้วเอาเข้าปากหน้าตาเฉย คิดเหรอครับว่าผมจะเขิน ไม่หรอก เพราะผมก็เคยทำใส่เขามาแล้ว รายนั้นน่ะเขินจริง หูแดงไปหมดแต่ก็ยังตีหน้านิ่งได้

"ก็กินด้วยปากแล้วมันเลอะไง"

"ยอกย้อน"

โดนหยิกแก้มให้ร้องโอดโอยกันไป เป็นบลูด๊อกแล้วยังแรงควายอีก ศูนย์รวมสรรพสัตว์ในร่างคนชัดๆ

"...วันนี้ตะวันถามอีกแล้ว ว่าเมื่อไหร่จะคบกัน"

หลังนั่งจัดการอาหารในส่วนของตัวเองไปสักพักหนึ่งเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้น ผมชะงักตะเกียบในมือไปชั่วครู่ก่อนจะใช้มันตักข้าวเข้าปากอีกครั้ง ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"...เหรอ สมกับเป็นแฟนจ้าวเลย วันนี้จ้าวก็ถาม"

ป๋าทำเสียงตอบรับในลำคอแล้วคีบข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เขากินจุมากเลยครับ เซ็ตข้าวหน้าปลาดิบ แถมด้วยสลัดทูน่า แล้วยังจัดซาชิมิเซ็ตพิเศษอีก เอาลงท้องไปหมดได้ยังไง ผมแค่ข้าวปลาซาบะก็จะตายอยู่แล้ว

ผมทำทีเป็นโอดครวญเรื่องข้าวเพื่อเปลี่ยนประเด็น แม้จะรู้แต่ป๋าก็ยอมที่จะไหลตามน้ำไปด้วย ใช้เวลาเดินเล่นอยู่ในห้างประมาณสองชั่วโมงก็ได้เวลาจรลีกลับหอกันเสียที

"แล้วคบกันได้ยัง?"

ยังไม่ทันคาดเข็มขัดเสร็จดีก็โดนถามคำถามเดินเป็นครั้งที่สี่ตั้งแต่รู้จักกัน ใช่ครับ ผมเคยโดนถามมาแล้ว ตั้งแต่เดือนแรกทีรู้จักจนถึงตอนนี้ ไม่ตกใจแล้ว รู้อยู่แล้วว่าจะต้องโดนถาม รู้อีกแหละอีกฝ่ายจริงใจและรอมานานแค่ไหน แต่จะให้คำตอบที่ชัดเจนตอนนี้ผมทำไม่ได้จริงๆ

"...ขอโทษนะป๋า เรายัง... เราไม่รู้"

และก็เป็นคำตอบเดิมเหมือนที่ผมเคยตอบไป คนได้ฟังเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ ตอบรับอือออในลำคอแล้วจัดการออกรถ

ปกติแล้วระหว่างทางถ้าไม่ผมพูด หรือฮัมเพลง ก็จะเป็นเขาที่หาเรื่องมาชวนตี แต่ในเวลานี้มีเพียงความเงียบที่คั้นกลางระหว่างเรา บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการถามถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของเราเกิดขึ้น นั่นทำให้ระยะเวลาเพียงสิบนาทีจากห้างสรรพสินค้าไปถึงหอเปลี่ยนเป็นนานเป็นวันในความรู้สึกของผม

"ป๋า..."

"ไนท์ กูรักมึง"

ป๋าชิงเอ๋ยตัดคำของคุณของผม คำพูดตรงๆ จากเขาดึงความสนใจของผมให้มองสบตาสีเข้ม ใจพลันเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ปกติเขาทำหน้านิ่งก็จริง แต่แววตาเขาจะเป็นประกายเวลาพอใจที่ได้แกล้งผม ไม่เหมือนตอนนี้ ที่มันเต็มไปด้วยความจริงจัง การตัดสินใจ และการขอร้อง

"กูรู้ว่านี่เป็นการบังคับ เอาแต่ใจที่สุดเท่าที่กูเคยทำกับมึง แต่กูไม่อยากให้ระหว่างเราเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกอีกต่อไปแล้ว"

"....."

"กูอยากให้มึงใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่จะไม่ได้เจอหน้ากันไปคิด คิดให้ดีๆ ถ้ามึงรู้สึกเหมือนกัน ครั้งหน้าที่ถามมึงต้องตอบตกลงคบกับกู แต่ถ้ามึงยังไม่มั่นใจหรือตอบว่าไม่..."

"....."

"กูจะหายไปจากชีวิตมึงเอง"

 







"เฮ้อ..."

ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่สามร้อยเจ็ดสิบแปดต่อวัน คำพูดของคนตัวสูงที่หายไปจากวงโคจรรอบตัวผมสามวันแล้วยังวนเวียนไม่หายไปไหน ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย มันอึดอัด ชวนให้หายใจไม่ออก ให้ตายเถอะ

"พี่ไนท์ ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะครับ?"

"จ้าว... เฮ้อ~"

ผมเอ่ยทักน้องแล้วหันมาเพิ่มอัตรการถอนหายใจขึ้นอีกหนึ่งครั้ง แย่จริงๆ เลย

"...ทะเลาะกับพี่ป๋าเหรอครับ?"

"ทำไมถึงคิดว่าทะเลาะกันล่ะ?"

"ก็ช่วงนี้ไม่เห็นพี่เขามาเลย แถมพี่ไนท์ยังทำหน้าไม่สดใส พี่ตะวันก็บอกว่าพี่ป๋าหงุดหงิด ใส่อารมณ์กับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ผมเลยคิดว่าพวกพี่น่าจะทะเลาะกัน"

ฟังคำน้องแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจอีกรอบ ทำไมต้องมารู้เรื่องของมันจากคนอื่นด้วย ทั้งที่ปกติแล้วมีอะไรผมต้องรู้ก่อนคนแรกแท้ๆ

ใช่ครับ ที่ป๋าบอกว่าจะไม่เจอกันคือมันหมายถึงไม่เจอจริงๆ หน้าไม่เจอ รถไม่เห็น โซเชี่ยลก็ไม่ยุ่ง โทรศัพท์ที่ปกติจะมีก็หม่มี เรียกว่าทำเหมือนไม่เคยมีคนชื่อป๋าโผล่เข้ามาในชีวิตเลยแม้แต่น้อย และนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องมานั่งถอนหายใจเฮือกๆ เหมือนคนใกล้ตายแบบนี้

"ไม่ถึงกับทะเลาะหรอก แค่มีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย..."

ผมตัดสินใจเล่าเรื่องของตัวเองให้จ้าวฟัง เพราะเห็นว่าสนิทกันด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคือน้องเป็นแฟนของตะวัน เดือนคณะวิศวะเพื่อนสนิทของป๋าเขา อาจจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก แต่ผมไม่อยากไปเล่าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง เพราะรู้ดีว่าพวกมันจะไม่เข้าใจ ก็แต่ละคนด่าผมไม่เว้นแต่ละวันว่าทำไมเล่นตัวใส่เขานักนู่นนี่นั่น มันค่อนข้างจะน่ารำคาญเป็นบางครั้งนะครับ

"ผมว่า... ผมเข้าใจพี่ไนท์นะครับ" นั่นไงล่ะ! คิดไว้แล้วว่าน้องต้องเข้าใจ "แต่ผมก็เข้าใจพี่ป๋าด้วย" อ้าว...

"ไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมต้องบังคับกันขนาดนี้ด้วยล่ะ"

ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วซบหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเองอีกครั้ง น้องจ้าวก็แสนดีครับ ลูบหัวให้เสร็จสรรพ ถ้าไม่สนิทกันคงด่าว่าปีนเกลียวไปแล้ว

"ตอนที่พี่ตะวันบอกผมว่าจะจีบ ผมตกใจมากเลยนะ เพราะพี่ก็รู้ว่าผมน่ะชอบพี่เขามาก่อนหน้านั้นอีก" ใช่ครับ ผมรู้ และผมนี่แหละที่เป็นหนึ่งในคิวปิดของน้องกับตะวัน "พอรู้จักพี่เขามากขึ้นผมก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองกับพี่เขายังมีอะไรที่เข้ากันได้และเข้ากันไม่ได้อยู่เยอะ เราเคยทะเลาะกันด้วยนะ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมคิดแล้วว่ายังไงก็ไปด้วยกันไม่ไหวแน่ๆ..."

ผมเงยหน้าขึ้นมามองน้องเขาด้วยไม่อยากเชื่อว่าคู่รักแห่งปีคู่นี้เคยทะเลาะอะไรกันจริงจังด้วยเหรอ ก็เห็นตะวันเอาอกเอาใจน้องขนาดนั้น ฝ่ายจ้าวก็แสนน่ารัก ตามอกตามใจ เข้าใจคนแก่กว่าทุกอย่าง

"แต่พอพี่เขาถามว่าจะคบกันมั้ย ผมไม่ลังเลใจที่จะตอบเลยว่าคบ เพราะอะไรรู้มั้ยครับ?"

"เพราะอะไรเหรอ..."

"เพราะตอนนั้นผมทำตามความรู้สึก ผมรักพี่ตะวัน พี่ตะวันรักผม เรารักกัน เท่านั้นเองครับ"

"....."

"ผมรู้ว่าพี่กลัว ใครๆ ก็กลัวอนาคตครับ ผมเองก็กลัวว่าวันหนึ่งผมกับพี่ตะวันอาจจะจับมือกันไปไม่ตลอดทาง เราอาจจะต้องปล่อยมือ อาจจะหมดรักกัน ความรักเราอาจจะไม่มั่นคงตลอดไป"

"....."

จ้าวมองผมที่เงียบไปพร้อมอมยิ้มจนตาหยี เป็นยิ้มแบบที่ตะวันเคยบอกผมเสมอว่าเจ้าตัวหลงรักน้องเพราะรอยยิ้มนี้ และขออาสาจะดูแลไม่ให้มันหายไปเด็ดขาด

"อนาคตมันน่ากลัวก็จริง แต่ปัจจุบันที่ไม่มีพี่ตะวันน่ากลัวกว่ามากครับ ในเมื่อมีโอกาสที่จะรักและดูแลกันทั้งที ทำไมเราต้องปล่อยให้มันหลุดลอยไปล่ะครับ จริงไหม?"







 

เจ็ดวันที่ไม่ได้เจอกันจะบอกว่านานก็นาน จะบอกว่าเร็วก็ว่าเร็ว เมื่อเช้าผมได้รับข้อความว่าป๋าจะอยู่รอจนกระทั่งผมเรียนวิชาสุดท้ายเสร็จ ให้มาเจอกันที่ลานจอดรถ เขาจะจอดนอนรอผมอยู่ในรถยุโรปคันโปรดของเขา ผมก็เคยเตือนอยู่หลายครั้งแล้วนะว่าอย่านอนในรถ ไม่เห็นข่าวหรือไงที่มีคนไหลตายกันไปนักต่อนัก แต่เจ้าตัวก็ดื้อครับ บอกว่าเปิดแอร์แล้วไม่เป็นอะไร ผมก็แล้วแต่เขาเลย ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟังเอง

จะว่าไปก็ตื่นเต้นนะครับ ไม่ได้เจอกันมาตั้งสัปดาห์ ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยเรื่องอะไรกันดี แล้วเรื่องที่ผมอยากบอกจะบอกจังหวะไหน บลาๆ ตีกันในหัวไปหมดเลยครับ

“สัปดาห์ที่ผ่านมาทำอะไรบ้าง”

ครับ หลังจากที่กังวลว่าจะเป็นฝ่ายเปิดฉากว่ายังไงดี พอก้าวเข้าตัวรถปุ๊บป๋ามันก็เริ่มต้นก่อนเลย เล่นเอาที่เตรียมตัวมาหายแว้บไปหมด

“เรียน ติวสอบให้น้อง ช่วยกิจกรรมอาจารย์ไปเรื่อยเหมือนปกตินั่นแหละ”

“เออ ไม่มีคิดถึงกูเลยดิ”

ผมหันไปมองเขา ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กันเสียแล้ว มันใช่เรื่องไหมต้องมางอนกันด้วยหรือไง

ตั้งแต่รู้จักเขามีแต่คนบอกว่าป๋าหน้าดุครับ ตาโตแต่ไม่มากเท่าผม ขัดกับจมูกโด่งๆ แถมยังทำปากคว่ำเหมือนไม่พอใจอะไรอยู่ตลอดอีก ถ้ามองเฉยๆ ก็ดูดุจริงๆ นั่นแหละครับ แต่พอมาคลุกคลีถึงได้รู้ว่าความจริงน่ะ

นิสัยดุกว่าหน้าตาอีก...

“ยิ้มอะไร” นั่นไง ดุอีกแล้ว

“ยิ้มป๋านั่นแหละ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ได้ ”

“หึ ปากนี่นะ” หึอีกแล้ว ผมเกลียดเวลาป๋าหึแบบนี้จริงๆ เกลียดความเนียนของเขาด้วย มือไม้อยู่ไม่สุกมาจับมือคนอื่นเขาไปลูบหลังมือเล่นอีก “แล้วยังไง... สรุปคิดถึงหรือเปล่า?”

ใครนะที่เมื่อครู่ทำหน้าดุใส่ผม มาตอนนี้กลับทำหน้าเหมือนบลูด๊อกถูกทิ้งให้เฝ้าบ้านคนเดียวซะแล้ว ผมหลุดหัวเราะออกมาเลยครับทีนี้

“ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ?”

“ล็อกรถปล้ำแม่ง”

“ป๋า!”

ไม่ว่าเปล่า เขากดล็อกรถแล้วทำท่าจะปีนข้ามมาหาผมจริงๆ แต่ผมใช้มือดันอกเขาเอาไว้ก่อน พูดห้ามอะไรม่ทันเลยครับเพราะตกใจ ตอนนี้ป๋าเปลี่ยนจากบลูด๊อกเป็นยักษ์ไปแล้วครับ ตัวก็โตพอทำท่าจะข้ามที่หัวเลยติดกับเพดานรถอย่างช่วยไม่ได้ และต่อให้เป็นรถยุโรปที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะแต่มันก็มีไว้แค่นั่ง ไม่ใช่ให้พาดโพนอะไรขนาดนี้ ท่าทางเขาในตอนนี้เลยดูประหลาดเอามากๆ เลย

“ตอบมาให้ไว ไม่งั้นมึงโดนเอาฟุตลองพริกสดยัดปากจริงๆ แน่”

“ไอ้เหี้ยป๋า! หยุดเลยนะ”

เห็นเขาทำท่าจะปลดหัวเข็มขัดผมก็ด่าไปเต็มๆ หน้า ปกติไม่ค่อยพูดคำหยาบกับคนที่คุยๆ กันอยู่เพราะผมถือว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่นครับ แต่ครั้งนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ผมไม่ยอมให้ตัวเองโดนปล้ำในรถแบบนี้แน่ๆ ตีหน้ายักษ์ไม่พอใจโคตรๆ ใส่ไปอีกหนึ่งดอก แต่คนที่โดนกลับไปสะทกสะท้าน ยิ้มพอใจใส่อยู่นั่นแหละ

ยิ้มหาอะไหล่รถยนต์มึงเหรอ!?

"ตอบ"

ตอนนี้ป๋างอแงมากครับ ทำตัวเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ แถมยังใช้สายตาดุๆ มองกดดันผมอีกด้วย บวกรอยยิ้มของเขาเข้าไปแล้วผมรู้สึกเหมือนลูกหนูที่โดนงูจ้องจะตะครุบเลยล่ะ ใจนี่สั่นไปหมดเลยครับ กลัวโดนกินจริงๆ

"เออ...คิดถึง จะอะไรมากมายล่ะป๋า"

"มากมายห่าอะไร ไม่เคยหวานใส่กูหรอกมึงน่ะ"

"ป๋าก็ไม่เคยหวานเหมือนกันนั่นแหละ กูมึง ทะลึ่งใส่ตลอด เราเพื่อนเล่นเหรอ"

ไม่พอใจแล้วนะครับ ใส่ไฟคนอื่นตลอด

"ไม่ใช่เพื่อน แต่คนแถวนี้แม่งเล่นตัวอยู่นั่น เลยไม่รู้ต้องพูดด้วยยังไง"

รู้สึกเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางครับ เล่นตัวอะไรกัน เขาเรียกศึกษาดูใจเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในอนาคต ป๋าไม่เข้าใจเราเลย แล้วยังจะมาพูดจาน้อยอกน้อยใจอีก

ในระหว่างที่ผมทำหน้าไม่พอใจ ป๋าก็ยิ้มอีกแล้วครับ แถมยังเลื่อนหน้ามาเสียใกล้ด้วย แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับนอกจากกระเถิบตัวแล้วย่นคอหนี ได้ยินเสียงคนขี้แกล้งหัวเราะหึแบบโคตรน่าหมั่นไส้ด้วย ผมเลยต้องตีหน้ายักษ์ใส่หนักกว่าเดิมถึงจะรู้ว่าเขาไม่มีทางกลัวหรอก

จนกระทั่งปลายจมูกของเราสองคนชนกัน ตาผมประสานเข้ากับตาสีเข้มของเขา สิ่งที่อยู่รอบข้างมันถูกละความสนใจไปหมดเลยครับ ทำได้แค่มองและรู้ถึงลมหายใจที่รดกันอยู่ ใจก็เต้นรัวอยู่ในอก ผมว่าเขาต้องได้ยินแน่เลย เพราะขนาดผม... ยังรู้สึกถึงสิ่งที่เต้นในอกเขาผ่านเสื้อนักศึกษาได้เลย

“กูไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ได้รวยขนาดจะทำให้มึงสบายได้เพราะกูยังเกาะพ่อแม่กินอยู่เลย”

“...อือ”

“ปากก็ไม่หวาน หน้าตาก็กวนตีน ไม่อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้นเหมือนไอ้ตะวันด้วย”

“...ป๋า” ผมครางเรียกชื่อเขาแล้วหัวเราะ นิสัยไม่ดี ไปว่าเพื่อนแบบนั้นได้ยังไง

 “คบกับป๋านะไนท์”

แล้วป๋าก็ยิ้ม ไม่ได้ยิ้มแบบกวนตีนแต่ยิ้มจริงๆ ชนิดที่ผมมองแล้วต้องยิ้มตามเขาไปด้วย ใบหน้าของเราขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น สาบานเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเขินเขามากจนกวนกลับไปได้ ทำได้แค่หลับตารอรับริมฝีปากนุ่มหยุ่นที่ทาบทับลงมา มันเนิ่นนาน ไม่เร่งเร้า ไม่บังคับที่จะสอดแทรก ต่างกับภาพลักษณ์ที่เขาเคยแสดงออกมาตลอด

แล้วแบบนี้ผมจะใจร้ายกับเขาต่อไปได้ยังไงล่ะ?

“...อื้อ คบก็คบสิ”







----------------------------------------------------------------




Talk: สวัสดีค่ะ พาคู่ถัดจากจ้าวตะวันมาเสิร์ฟแล้วล่ะ เป็นคู่ที่โตขึ้นมาและมีความซับซ้อนขึ้นอีกหน่อย คือ... ได้แค่นี้แหละค่ะ เป็นพวกแต่งดราม่าไม่เป็นเอาซะเลย แต่ตอนหน้าๆ อาจจะมี จะเปลี่ยนแนวความรักไปเรื่อยๆ ค่ะ เพราะความรักมันไม่ได้มีแค่หวานแหววเสมอจริงไหมล่ะคะ? :katai2-1:

ขอบคุณมากๆ เลยนะคะสำหรับคอนเม้นท์ เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ และเราดีใจมากที่มีคนเขินไปกับเราค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในพาร์ทหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 15-05-2017 21:50:04
สองคู่ชู้ชื่น คู่จ้าวตะวัน น่ารัก น้องเจ้าใสใส พี่ตะวันจะจับปั้นกินอย่างเดียว ส่วนคู่ไนท์ป๋า ป๋าเอะอะก็จะจับฟุตลองพริกสดยัดปากตลอด :laugh: สนุกดี รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-05-2017 23:54:18
อยากเห็นฟุตลองพริกสด
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 16-05-2017 17:55:33
ชอบมากทุกตอนเลย
ทั้งตะวันจ้าว คู่นี้ละมุนๆ หวาน ฟิลกู๊ดดีต่อใจ
ส่วนป๋าไนท์ ฮาร์ดคอร์ แต่จริงใจ

ดีงามทั้งสองคู่เลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 17-05-2017 09:15:20
น่ารักจังเลย  :mew3:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 17-05-2017 09:50:51
น่ารักทั้งสองคู่เลย //อย่าดราม่ามากนะครับ หัวใจมันปวดหนึบ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 17-05-2017 19:58:13
โอ้ย น่ารัก ชอบคู่ป๋าไนท์มาก อยากเจอฟุตลองพริกบ้าง >//////<
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 17-05-2017 20:47:52
คู่ป๋าไนท์ นี่แบบบบบ... โอ๊ยย ฟินอ่ะ งือออออออ :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 3 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 17-05-2017 21:13:36
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 18-05-2017 19:02:02
[4]






ป๋ากำลังหลงเมีย

ไม่ต้องรอให้เพื่อนมากระแนะกระแหนเช้า กลางวัน เย็น จนต้องส่งรองเท้าไนกี้คู่เก่งไปแนบหลังมันด้วยความหมั่นไส้ก็รู้ตัวดีว่ากำลังหลงเมียขนาดหนัก แถมไม่ได้หลงเพราะเพิ่งได้มันมาเป็นเมีย แต่หลงมาก่อนหน้านี้ที่เจอมันยืนแอ่นตูดทำหน้าตากรุ้มกริ่ม เล่นมุกใต้สะดือตอนสั่งฟุตลองพริกสดสามดุ้นที่ร้านสะดวกซื้อ

แล้วดู ไอ้คนทำตัวให้เขาหลงยังแรดไปยิ้มให้คนอื่นอีก พอว่าเข้าหน่อยก็ทำหน้าเป็นตูด รู้แล้วว่าเสน่ห์แรง แต่ไม่ต้องยิ้มโปรยเสน่ห์ให้คนอื่นเรี่ยราดก็ได้ มันทำให้คันไม้คันมืออยากจะจับยัดใส่กล่องตั้งโชว์บนหัวนอน

"ทำหน้าบึ้งทำไม คิ้วชนกันจนหน้าเป็นบลูด๊อกแล้วนะป๋า"

ว่าแล้วก็เอานิ้วมาจิ้มตรงหว่างคิ้ว ไม่สิ ไม่ได้เรียกว่าจิ้ม เรียกว่ากระแทกเข้ามาเน้นๆ เลยดีกว่า พอขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมก็หัวเราะซะตาหาย อะไรจะตลกขนาดนั้น

หมั่นเขี้ยว หยิกแก้มแม่ง

"โอ้ย! ป๋า นั่นมือหรืออะไร หยิกมาได้ โคตรเจ็บเลย"

"สมควร ยิ้มแม่งอยู่นั่น เค้กตรงหน้าเมื่อไหร่จะหมด"

ได้ยินมันบ่นพึมพำเบาๆ แล้วเอาส้อมตักเค้กเข้าปาก เด็กชะมัด กินแค่นี้ยังเลอะเลย สุดท้ายก็ต้องเอานิ้วเช็ดให้แล้วส่งเข้าปากตัวเองแทน หวานว่ะ สงสัยคนตรงหน้าก็คงจะหวานจนน้ำตาลขึ้นแก้มเหมือนกันเลยแดงเป็นลูกตำลึงแบบนั้น

"หึ"

เผลอหัวเราะแบบที่มันไม่ชอบ เลยโดนส่งตาเขียวๆ มาให้ น่ากลัวตายชักไอ้ลูกแมว

"ป๋าช่วยกินหน่อยดิ อิ่มไปครึ่งท้องแล้ว"

ส่งส้อมที่ยังไม่ใช้มาให้อีก ไม่ไหว ไม่ใช่พวกชอบอะไรหวานๆ แค่เดินผ่านหน้าร้านก็ทนมองแทบไม่ได้แล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะคนตรงหน้าบ่นอยากกินประกอบกับโดนมองนิ่งๆ จนต้องใจอ่อนก็คงไม่เดินเข้ามาหรอก ผู้ชายสองคนเข้าร้านเค้ก หนักกว่าคือหนึ่งในนั้นใส่เสื้อชอปสีแดงเลือดหมูของคณะวิศวะอีก ตลกตายชัก

"ไม่ชอบกินเค้ก เราสั่งมาเองก็กินให้หมด"

"แต่มันเยอะนะ... กินไปสองชิ้นแล้วด้วย"

แต่มึงสั่งมาห้า... แค่คิดไม่พูดดัง เดี๋ยวโดนต่อย ไม่ได้กลัวเจ็บแต่กลัวไอ้คนต่อยนั่นแหละจะเจ็บ นิ้วเรียวซะขนาดนั้น

"บอกแล้วให้กินอย่างอื่น ดื้อ"

"ในร้านมันก็มีแต่เค้ก ป๋าจะให้เรากินอะไร"

"ฟุตลองพริกสด..."

"แดกเค้กไปนะมึงอ่ะ"

ยังพูดไม่จบก็โดนยัดเค้กเข้าปาก ทำไมเวลาเขินแล้วชอบทำตัวหยาบคายใส่ แถมยังใช้กำลังเหยียบลงมาบนไนกี้คู่ใหม่อีก ถ้าเป็นเพื่อนป่านนี้โดนถีบยอดหน้าไปแล้ว แต่นี่เมีย เมียกำลังเขินด้วย แล้วใครที่ไหนจะไปกล้าเอารองเท้าเบอร์ 46 ไปวัดหน้าได้

"เขินอะไรเยอะแยะ ก็กินออกจะบ่อย...”

“ป๋า! หุบปากไปเลย”

เขาเรียกว่าหาเรื่องเจ็บตัว เพราะโดนรัวเท้ามากระทืบไนกี้ใต้โต๊ะเสียระบมจนต้องเขยิบหนี แค่พูดเรื่องจริงทำไมต้องใช้กำลังด้วย ยอมรับว่ากวนตีนแต่ผู้ชายทุกคนก็ชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง ยิ่งกับคนตรงหน้าตอนเขินมันยิ่งหน้ามอง พยายามทำตาโตๆ เหมือนจะดุแต่แดงเห่อไปทั้งหน้าทั้งหู เห็นแล้วของขึ้น อยากจะพาแมวดุกลับบ้านไปปีนเสาเล่นถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ในร้านเค้ก

“กินไปดีๆ”

เอื้อมมือไปเช็ดปากให้อีกรอบเลยโดนกัดนิ้วเข้าอีกที สรุปว่าจะกลายเป็นแมวพยศจริงๆ ใช่ไหม? คนอยากป๋าพอโดนทำร้ายร่างกายก็ต้องเอาคืน เลยจัดการยีขนแมวที่เพิ่งเปลี่ยนไปย้อมสีเทาเขียวที่เรียกว่าว่าแอชอะไรสักอย่างจนยุ่ง ไม่เข้าใจเทรนด์เด็กนิเทศว่าผมที่สีดูเหมือนหงอกนั่นมันดูดียังไง แต่ก็ไม่ได้ห้ามเพราะเข้ากับผิวขาวๆ ของเจ้าตัวดี

นั่งรอจนกระทั่งเจ้าของเค้กห้าชิ้นบ่นอุบว่ากินต่อไปไม่ไหวแล้วถึงได้วานให้พนักงานเอาชิ้นที่เหลือใส่กล่องกลับไปให้รุ่นน้องที่หอ ต่อด้วยโดนคนอยากเที่ยวเต็มที่ลากไปตลาดนัดเดินดูต้นไม้ ไนท์มันเป็นวัยรุ่นที่ไม่ชอบเข้าห้างแต่ชอบเดินตามตลาดอินดี้ทั้งที่ทนความร้อนจากสภาพอากาศของประเทศบ้านเกิดไม่ค่อยได้ อย่างตอนนี้ก็หน้าแดงหูแดงจนต้องเอาใบปลิวที่ได้รับแจกมาพัดให้หายร้อน เห็นเหงื่อชื้อตามไรผมและใบหน้าแล้วอยากจะลากกลับไปเดินห้าง แต่ถ้าไม่ตามใจจะโดนไม่พอใจใส่อีก






​                “เราว่าจะเลี้ยงแคคตัส ป๋าว่าดีมั้ย?”

​                “อะไรคือแคคตัส?”

​                “ต้นกระบองเพชรไง กับพืชอวบน้ำที่มันต้นเล็กๆ น่ารักดี เพื่อนที่คณะก็เลี้ยงกันเยอะ”

​                “เลี้ยงเพราะอยากจริงหรือตามกระแส ถ้าจะตามกระแสก็ไม่ต้องเลี้ยง”

​                ป๋าชอบตามใจเมีย แต่ไม่ใช่ตามใจทุกเรื่อง และส่วนตัวก็ไม่ใช่พวกชอบอะไรตามกระแสสักเท่าไหร่ หากเอามาเลี้ยงแล้วมันตายหรือไม่อยากเลี้ยงต่อแล้วก็ต้องหาวิธีจัดการกันอีก สู้ห้ามไปเลยจะดีกว่า

​                “อืม... จริงๆ ตอนนี้ก็อยากเลี้ยงเพราะคนเลี้ยงเยอะ แต่เราขอเดินดูก่อนได้มั้ย? ถ้าเดินแล้วยังเฉยๆ ไม่ได้อยากได้อะไรมากเราก็จะไม่ซื้อ นะ?”

​                ชอบมันอีกอย่างก็ตรงนี้ ไม่งี่เง่า ตรงไปตรงมา แล้วชอบไม่รู้ตัวว่ากำลังอ้อนด้วยการลงท้ายคำว่า นะ

พอพยักหน้าเข้าหน่อยก็ฉีกยิ้มตาหาย เห็นยิ้มแบบนี้แล้วนึกไปถึงรุ่นน้องที่ชื่อจ้าว แฟนเพื่อนสนิท อีกคนก็ยิ้มแบบนี้แหละ ยิ้มทั้งตาทั้งปาก พอไอ้ตะวันเห็นก็จะมานั่งเพ้อรอยยิ้มเมียตัวเองให้ฟังเป็นวันๆ เพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้ สงสัยอาการหลงเมียจะติดต่อทางอากาศได้

​               





“อันนี้เหมือนป๋า”

มองไอ้ต้นกระบองเพชรรูปทรงเหมือนปากจระเข้มีฟันแล้วขมวดคิ้ว มันเหมือนตรงไหน? ท่าทางจะเจอแดดจนเพ้อไปหมดแล้วล่ะมั้ง

"ยังไง?"

"ดูภายนอกโคตรดุแต่ความจริงน่ารักชิบหายเลย"

ฟังแล้วยิ่งย่นคิ้วหนักกว่าเดิม นี่ก็ซนจริงมาหยิกแก้มทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ เป็นเด็กประถมหรือไง สงสัยจะไม่ใช่แค่เพ้อแดดแต่น้ำตาลที่กินเข้าไปแล่นขึ้นสมองด้วย

"ไร้สาระ สรุปจะเอายังไง?"

"อยากเลี้ยง เราจะลองเลี้ยงจากต้นนี้แหละ"

แล้วมันก็กระวีกระวาดไปบอกเจ้าของร้านว่าจะเอาเซ็ตสำหรับปลูกไอ้ต้นจิ๋วนั่นยกเซ็ต แถมหนังสือเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูอีกหนึ่งเล่มหมดไปไม่มากเท่าไหร่แต่หิ้วของกลับมาพะรุงพะรังจนต้องแย่งมาหิ้วด้วย ไนท์ไม่ชอบให้ช่วย ชอบบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันทำไมต้องมาทำเรื่องพวกนี้ แต่ก็แย่งมาถือได้ตลอด

ป๋าไม่ได้กลัวเมีย มันนั่นแหละกลัวผัว พอโดนทำตาดุใส่ก็ยอมให้ถือแล้ว ทำได้แค่บ่นอุบเสียงเบาไปเรื่อย น่าจับมาขยี้จูบหนักๆ

"ป๋าๆ ขอดูร้านนั้นก่อน"

สะกิดยิกๆ แล้วเดินปรี่ทิ้งให้ถือของเดินตามหลัง ครั้งนี้ร้านที่ดึงดูดความสนใจเป็นร้านสกรีนข้าวของเครื่องใช้ร้านดังที่เห็นผ่านโซเชี่ยลอยู่บ่อยๆ แต่เดาว่าคงไม่ได้ร้านดังหรือไม่ดัง แต่เพราะโปรโมชั่นร้านต่างหากที่จะดึงดูดความสนใจจากคนอย่างไนท์ได้

ลด 50% เมื่อซื้อสองชิ้น, โปรโมชั่นคู่รัก, โปรโมชั่นไฟไหม้...

"…เอาโปรคู่ ใช้อะไรเหมือนกันเวลาไปไหนเขาจะได้รู้ว่ามีผัวแล้ว"

"ป๋า เดี๋ยวโดนฟาดปาก"

"เออ ถ้าจะทำก็เอาโปรคู่ หมวก เสื้อ อะไรก็เอามา เราเลือกเลย"

ถึงจะทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจเพราะโดนบังคับให้ต้องเลือก แต่บอกแล้วว่ามันไม่งี่เง่า ปล่อยให้เลือกของอยู่หน้าร้านได้สักพักก็ตัดสินใจที่จะทำเสื้อคู่สกีนชื่อเอา จะเรียกว่าเสื้อคู่ก็ไม่เหมือนคู่เท่าไหร่เพราะแค่ให้สกรีนชื่อของแต่ละคนเป็นสีดำเรียบๆ บนเสื้อพื้นขาวเท่านั้น

และระหว่างรอก็มีการถล่มเงินในกระเป๋าเกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะได้ยินเสียงมันร้องเรียกแล้วสะกิดยิกๆ ตลอด

"ป๋าๆ ไปร้านนั้นก่อน"

"ขอเข้าร้านนั้นแป๊บนึงนะ ทัพฝากดูของให้ตะวัน"

"เฮ้ย! ไอ้นั่นน่ากิน"

และอื่นๆ อีกมากมายที่ถูกใจคุณชายคณะนิเทศเขา

กว่าจะถึงเวลารับเสื้อก็ตะลอนไปทั่วจนได้ของฝากติดไม้ติดมือเพื่อนอีกเซ็ตใหญ่ พอกลับมาเอาของเสร็จก็เห็นว่าทางเดินที่เคยเดินได้อย่างสบายๆ ก็เริ่มมีคนมากขึ้นแล้ว แบบนี้ต้องรีบพากลับ เดี๋ยวคนเยอะๆ อากาศยิ่งไม่พอหายใจจะทำเสียสุขภาพจิตเอาเปล่าๆ

 





"อยากกลับหอหรือไปไหนต่อ?"

ขึ้นรถเปิดแอร์ได้แล้วต้องรีบถามจุดหมายปลายทางเอาไว้ก่อน เพราะมันเป็นพวกนั่งอะไรที่เคลื่อนที่นานๆ แล้วจะหลับคอพับคออ่อน เรียกยังไงก็ไม่ได้ยิน

"กลับหอเถอะเย็นมากแล้ว ป๋าพาเรามาตะลอนทั้งวันคงเหนื่อยแย่"

"รู้ว่าเหนื่อยแล้วรางวัลล่ะ"

"ก็นี่ไงเสื้อคู่"

หยิบเสื้อในถุงออกมาโชว์ ทำท่าภูมิใจอย่างกับเป็นคนสกรีนลายเสื้อออกมาเองอีก วันนี้คงให้กินน้ำตาลมากไปจริงๆ ถึงได้ดีดหนักขนาดนี้

"คู่เหี้ยอะไร นี่มันเสื้อสกรีนชื่อตัวเอง"

"แกล้งโง่อีกแล้วป๋า ใครเขาให้ใส่ชื่อตัวเอง เขาให้สลับกันใส่ อะ เอาไป"

อย่าเรียกว่ายื่น เพราะสิ่งที่มันทำคือปาเสื้อให้เลยต้องรับมากางๆ ดู ลายสกรีนชื่อก็สวยดีหรอก ไม่เสียชื่อที่เป็นร้านดัง แต่ไซส์มันไม่เล็กไปหน่อยเหรอวะ

"ตัวมันเล็ก"

"ลองใส่ก่อนแล้วค่อยบ่น นี่มันไซส์ใหญ่สุดแล้ว มากกว่านี้ไปผลิตใส่เองเลยไป"

"หึ"

ช่างยอกย้อน แถมยังลอยหน้าลอยพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรอีก ดี กล้าๆ แบบนี้สมกับเป็นเมียป๋า เล่นไม้นี้มาก็ต้องโดนเล่นกลับเหมือนกัน

"ไอ้นั่นน่ะ ถ้าเลี้ยงแล้วตายจะโดน"

"ไม่ตายหรอกหน่า"

"เออ ราคาทั้งหมดเท่าไหร่ทบไว้ได้เลย"

"ทำไม ป๋าจะทำอะไ---"

ทำหน้าตากวนมากนักเลยเปลี่ยนใจจากที่จะไม่เอาความข้อหากวนตีนเป็นจูบปิดปากแม่งซะเลย กว่าจะปล่อยก็นู้นโดนทุบอักๆ เข้าให้ที่หลัง เจ็บแต่ได้เห็นคนถลึงตาหน้าแดงไปถึงหูใส่อีกรอบของวันก็ไม่แย่นัก ทำตัวน่าหมั่นเขี้ยวเองทำไมล่ะวะ

"จะทำแบบที่ทำกับเมื่อกี้ และที่อยากจะทำตามจำนวนเงินจ่ายไป ไม่เชื่อก็ลอง"

"ไอ้ป๋า! นิสัยไม่ดี! ลามกว่ะ ฮึ้ย!"

หึ โดนเมียด่าแล้วสุขใจจริงๆ

 





PAPA @pavidva ลงรูปภาพใหม่

เสื้อใหม่



TAWANNN @tawanchai ถึง @pavidva

เบื่อพวกขี้อวด ต้องประกาศตัวว่าได้กันแล้วด้วยการใส่เสื้อสกรีนชื่ออีกคน



PAPA @pavidva ถึง @tawanchai

หึ พวกได้แค่จับมือแม่งขี้อิจฉา



TAWANNN @tawanchai ถึง @pavidva

ไอ้สัสป๋า กูจะประกาศให้ทั่วมหาลัยว่ามึงหลงเมีย



PAPA @pavidva ถึง @tawanchai

เออ #คนหลงเมีย2017



MR.NIGHT @mrgoodnight กดถูกใจทวิตคุณ








----------------------------------------------------------------





Talk: สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่วงคนอวดเมียประจำสัปดาห์ 55555555555555555555555555
เบื่อหน้าพี่ป๋าอ่ะค่ะ ทำไมหลงเมีย ทำไมขี้อวด รู้ไหมว่ามีใครคอยมองอยู่ตรงนี้ #ผิดมาก

สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนของป๋า ตอนหน้าก็จะขึ้นคู่ใหม่แล้วเนอะ จะยังคงความอ่านง่ายย่อยง่ายเช่นเคยค่ะ แล้วเราจะค่อยๆ ลองแต่งแนวอื่นดูบ้าง จะได้ไม่เบื่อกันเนอะคะ  :mew3:
ส่วนคนที่ถามเรื่องฝนดาวตกมาก อดใจรอกันหน่อยนะ เราติดแต่งเรื่องสั้นอยู่ อย่าเพิ่งโกรธเรา (กราบ)
ขอบคุณสำหรับทุกคอนเม้นแล้วกำลังใจนะคะ
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 18-05-2017 19:22:35
ป้าหลงเมียมากจิมๆ
ก็เมียป๋าน่ารักเนอะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 18-05-2017 22:48:59
น่าร้ากกกกก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-05-2017 23:29:07
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 19-05-2017 13:15:46
 :katai3: เอาเถอะหลงเมียกันทั้งคู่อะแหละไม่ได้น้อยไปกว่ากันหรอก  :katai2-1:


  :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 19-05-2017 13:30:36
ป๋าไนท์คือชอบมาก ตะวันจ้าวคือน่ารักใสๆ อยากให้เรื่องยาวกว่านี้จุง >< จะเปลี่ยนพาร์ทแล้วหรอ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 19-05-2017 20:22:27
หลงสุดอะไรสุด ชอบแกล้งคนที่ชอบนี่นิสัยเด็กชัดๆ พอๆกับตอนอยู่กับตะวัน ทะเลาะกันเป็นเด็ก :laugh:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-05-2017 23:11:19
 #วิศวะหวั่นไหว #นิเทศเทใจ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

น่ารัก ดีงามต่อใจจริงๆ

ตะวัน จ้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ป๋า ไนท์  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 20-05-2017 08:02:12
ชอบป๋ามากกกกก เป็นคบดิบๆง่ายๆดี ชอบอ่ะ อยากอ่านป๋าไนท์อีกเยอะๆ ฮืออออออ :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: J029 ที่ 20-05-2017 08:28:15
น่ารักทั้งสองคู่เลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 4 ป๋าไนท์ #วิศวะหวั่นไหว (18.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-05-2017 09:22:48
อ้าว แล้วเค้าไปได้กันตอนไหนอะคะ แหมมีเรียกเมีย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 21-05-2017 10:52:57
[5]




ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง

เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อน่ะนะ

เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ทำรายงานกลุ่มก็ชอบจับมาอยู่กลุ่มเดียวกัน ไปไหนทำอะไรเราก็ทำด้วยกัน ขนาดเข้าเรียนมหาวิทยาลัยยังตามมาเรียนด้วยกัน เพียงแค่เข้าคนละคณะเท่านั้นเอง

"กินอะไรวะมึง?"

ทำทีเป็นชะโงกหน้ามองชามที่วางอยู่ตรงหน้ามัน พายเป็นพวกชอบกินอะไรที่เป็นเส้นๆ รอบนี้คงไม่แคล้วอะไรจำพวกนั้นนั่นแหละ

"เส้นใหญ่'โฟ กินมั้ย?"

ทำเสียงตื่นเต้นถามพร้อมเลื่อนชามมาให้ผมด้วย เพิ่งเลิกเรียนคาบเช้ามากำลังหิวได้ที่ พอมีคนเสนอมาก็ไม่มีปฏิเสธ ผมจัดการส่งเส้นเย็นตาโฟเข้าปาก แต่ไม่ใช่เส้นจากในจานนะครับ จากในมือมันนี่แหละ พอมันยื่นช้อนจะเอาเข้าปากผมก็ปาดหน้าเค้ก จับมือมันส่งเข้าปากตัวเองแทนซะเลย

เส้นเนียน เอ้ย นุ่มดี

"ไอ้ทัพ! นิสัยเสีย!"

พายทำตาถลนใส่พร้อมทุบอั่กๆ เข้าให้ที่กลางหลัง เป็นแบบนี้ประจำ เวลาไม่พอใจก็มาลงไม้ลงมือใส่อยู่เรื่อย แต่ผมก็ทำตัวเองด้วยนั่นแหละครับ ดังนั้นก็นับว่าเท่าเทียมกันดี?

"อย่างกไปหน่อยเลยหน่า กินไปก็ไม่สูงขึ้นหรอก ให้กูกินแหละดีแล้ว" ผมยีหัวจนเส้นผมเล็กๆ กระจายเสียไม่เป็นทรง "วันนี้เดี๋ยวไปรับ"

"เฮ้ย ไม่เป็นไร กลับเองได้"

"ไม่ต้องอะ เดี๋ยวไปหลงที่ไหน มึงยิ่งเอ๋อๆ อยู่"

หัวเราะตอนเห็นมันทำหน้ามุ่ยใส่ ตั้งท่าจะแย่งกินอีกคำก็โดนเข่มนมองแล้วยกชามหนี ขี้งกจังเว้ย นี่ว่าที่แฟนในอนาคตเลยนะ ไม่รู้หรือไงไอ้น้องพาย

 






"สรุปมึงคิดยังไงกับพาย?"

หลังหาข้าวเที่ยงลงท้องเสร็จก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปเรียนรอบบ่ายต่อ ตัวตึกของคณะนิเทศกับคณะอักษรอยู่ห่างกันค่อนข้างไกลผมเลยต้องกะเวลาออกมาก่อนสัก 15 นาที ส่วนไอ้พายก็ชิลเลยครับเพราะโรงอาหารโรงนั่นติดกับคณะมันมากกว่า เห็นว่าจะนั่งเล่นเกมอีกสักหน่อยค่อยเดินไปเรียน ส่วนผมก็ต้องรีบจ้ำมานั่งลิ้นห้อยเป็นหมาหอบแดดตากแอร์ในห้องเรียนต่อ

ผมทำทีเป็นขมวดคิ้วให้จ้าวที่นั่งท้าวคาง พิงผนังห้องอย่างสบายใจ ไอ้นี่มันชอบไปนั่งกินข้าวที่ศาลารับลมหรือไม่ก็โรงอาหารของคณะครับเลยไม่ต้องมาวิ่งแข่งกับเวลาแบบผม

"เพื่อนกันไง มึงก็ถามแปลกๆ"

จ้าวเป็นพวกรักเพื่อน เพราะรู้มันถึงได้ถาม แต่ผมไม่เคยบอกมันไปตรงๆ หรอก ไอ้นี่มันชอบแกล้งหน้านิ่ง ดีหน่อยที่เวลามีพายอยู่ด้วยมันไม่เคยพูดให้ไอ้ตัวเล็กรู้สึกอึดอัดใจเลย

หรืออาจจะเพราะพายมันซื่อจนไม่รู้ตัวก็ไม่รู้

"เพื่อนกันไม่ทำแบบนี้นะทัพ ให้ตอบใหม่"

โทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังรูปผลไม้โดนกัดถูกยื่นมาตรงหน้า บนจอฉายภาพเฟสบุ๊คของผมที่ถูกแท๊กรูปภาพมาจากเพจชื่อดังที่มีคนกดไลค์เป็นหมื่น เพจนี้ชอบแท๊กรูปเข้าเฟสบุ๊คผม ส่วนตัวไม่ใช่พวกติดโซเชี่ยลเท่าไหร่เลยไม่ค่อยสนใจ ขนาดคำขอเป็นเพื่อนที่ครอยู่จำนวนมากยังไม่เข้าไปกดรับเลย ผมมองอยู่สักพักก็ยักไหล่ แค่รูปคู่ผมกับพายมีอะไรน่าตื่นเต้นกัน

"ก็เพื่อนกัน"

"ก็แล้วแต่ละกัน" จ้าวว่าหลังจากเอามือถือคืนไปแล้วไล่หน้าจอเลื่อนดูรูปอื่น "หลอกใครก็หลอกได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะทัพ"

จุกเลยครับ รู้สึกเหมือนถูกด่าด้วยคำพูดเรียบง่าย จ้าวกับผมสนิทกันที่สุดในคณะนี้แล้ว เรารู้จักกันตั้งแต่ตอนรับน้องยาวมาจนตอนนี้ แถมมันยังเป็นพวกความคิดโตกว่าวัย เวลาพูดเตือนอะไรทีผมเลยรู้สึกเหมือนโดนเด็กที่โดนพี่ชายดุ ทั้งที่อายุจ้าวเป็นน้องผมแท้ๆ

"อะไรน้องจ้าว พูดมากเดี๋ยวโดนจูบปิดปาก"

"หึ เก็บไว้จูบพายเถอะ ในรูปก็แทบจะกินเขาเข้าไปอยู่แล้ว"

ว่าแล้วมันก็ชูมือถือมาจ่อหน้าผมอีกทีรอบครับ จากตอนแรกที่เป็นรูปผมกับพายดื่มน้ำจากแก้วเดียวกันในวันงานกีฬาสีของมหาลัย ตอนนั้นโดนคนตัวเล็กบ่นครับเลยหยิกแก้มมันไปหลายที เปลี่ยนมาเป็นรูปผมนอนซบไหล่พายที่ห้องสมุดแล้วเงยหน้าหัวเราะให้หมอนจำเป็นที่ทำหน้าบูดอยู่ เชื่อไหมครับว่าผมไม่เคยรู้ตัวเลยที่โดนแอบถ่ายรูปแล้วเอาไปโพสลงโซเชี่ยลจนกระทั่งมีคนแท๊กมาหรือมาเล่าให้ฟัง ตัวพายเองก็ไม่รู้ครับ รายนั้นมีเฟสบุ๊คเอาไว้ตามหนังสือออกใหม่เท่านั้น

อยากรู้เหมือนกันว่าคนถ่ายรูปพวกนั้นเป็นใคร จะได้ขอไฟล์รูปแบบไม่มีลายน้ำมาเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ

"ชอบเขาแต่ไม่บอกเขาไป ระวังจะโดนแมวคาบปลาย่างไปกิน"

ไอ้นี่ก็ชงจังเลย จ้าวกับพายเป็นคู่ซี้กันตั้งแต่วันแรกที่ผมแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน หลังๆ มานี่พายก็ถามหาจ้าวมากกว่าผมแล้วครับ เวลาจะแวะมาคณะนิเทศทีก็ไม่ใช่เพราะผมแล้ว แต่เป็นเพราะอยากมาเจอจ้าว จนทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจในบางครั้ง

"คิดว่าบอกง่ายมากหรือไง กูไม่ใช่พี่ตะวันของมึงนะครับที่จะเดินดุ่มๆ เข้ามาขอจีบ"

"แต่เพราะเขาทำเลยรู้ว่าคิดเหมือนกัน หรือไม่จริง?"

เออ ก็จริงอย่างที่จ้าวมันพูด

"...เออหน่า เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปสิวะน้องจ้าว"

"รอแก่จนขนร่วงหมดตัวก็ไม่คงไม่กล้า เรื่องคนอื่นล่ะเสือกจัง เรื่องตัวเองเอาไม่รอด"

ด่ากูขนาดนี้ไม่เอามีดมาแทงกูเลยล่ะครับไอ้ห่าจ้าว!

ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองหน้าเพื่อนสนิทอีกคน ไม่ยักกะเห็นว่ามันจะเดือดเนื้อร้อนใจตรงไหน มีแต่ผมคนเดียวนี่แหละ แต่ยังไม่ทันได้ต่อปากต่อคำอะไรต่อ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็สั่น โปรแกรมแชทที่ไม่ค่อยได้ดังนักดึงความสนใจของผมจากการโต้เถียง



PIE PIE : วันนี้ต้องนับสต๊อก ถ้าจะมาก็มาดึกหน่อยนะ



MR.THAP : มีของอย่าลืมเก็บไว้ให้ด้วย



PIE PIE : เห็นแก่กิน



PIE PIE : ส่งสติ๊กเกอร์ให้คุณ



พายส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์กินแฮมเบอร์เกอร์มาให้ผมผิดท้าย เห็นแล้วก็ขำ คนตัวเล็กคนนั้นชอบหมีบราวน์มากเลยครับ มีครบทุกเซ็ตทั้งที่ซื้อมาแล้วก็ใช้ไม่หมด พอบ่นเข้าหน่อยก็บอกว่าซื้อมาเพื่อส่งให้ผมโดยเฉพาะอีก แล้วใครจะไปทำอะไรได้อีกล่ะทีนี้

"แค่ได้ข้อความก็ทำหน้าตอแหลแล้ว ยังจะบอกว่าเพื่อนกัน"

"ตั้งใจเรียนไปเถอะมึงน่ะ"

ผมผลักหัวจ้าวไปอีกที ตอบข้อความกับพายอีกหน่อย แล้วจึงตั้งใจเรียนวิชามหาโหดต่อไปแม้ไม่นานหลังจากนั้นผมจะสลบสไลกับโต๊ะเรียนก็ตาม

 






ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง

สถานที่ที่ผมมาบ่อยรองจากหอและตึกเรียน ต้องขอบคุณมหาวิทยาลัยที่นอกจากจะกว้างขวาง มีหอพักราคาถูกให้กับนักเรียนจนกระทั่งจบ ยังมีร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่บริเวณใจกลางระหว่างตึกเรียนบางคณะด้วย ส่วนที่ที่ผมมาบ่อยก็เป็นสาขาที่ตั้งอยู่ระหว่างคณะแพทย์และคณะสถาปัตย์ เหตุผลที่มาหลักๆ ก็เพราะหาอะไรกิน ส่วนอีกเหตุผลคือคนที่ปกติต้องมายืนต้อนรับลูกค้า แต่วันนี้ดันโดนเวรเช็กสต๊อกหลังร้านนั่นแหละครับ

"สะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง สวัสดีครับ"

คำทักทายที่ได้ยินจนชินหูของรุ่นพี่ร่วมสถาบันทำให้ผมต้องโค้งทักทายเขาเล็กน้อยก่อนจะเดินเตร่อยู่ในตัวร้าน ใครๆ ในนี้ก็รู้จักผมกันทั้งนั้นครับ เพราะมารับพายแทบทุกครั้งที่มีโอกาส

"พี่สาน ผมนับสต๊อกเสร็จแล้วครับ"

รอไม่นานเสียงที่คุ้นเคยก็แว่วมาให้ได้ยิน ผมเลยได้โอกาสแสดงตัวบ้าง แต่ไม่ได้เร่งอะไรหรอกครับ เขามีหน้าที่ของเขา ผมก็มีหน้าที่รอให้ไอ้ตัวเล็กทำงานเสร็จก็รอไป

"เดี๋ยวพายมาแทนที่พี่แป๊บนะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อน"

"ได้เลยครับพี่ เดี๋ยวผมดูแลให้อย่างดี"

พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นจนคนแก่กว่าหลุดหัวเราะ พายเป็นพวกชอบทำงานบริการ เห็นมันเทียวไปสมัครงานที่ร้านอาหารบ่อย จนสุดท้ายก็มาตายที่นี่

"ไงจ้ะน้องพาย วันนี้มีอะไรมานำเสนอมั้ย?"

เห็นร้านว่างๆ ก็เดินเข้าไปชันศอกกับเคาท์เตอร์แล้วทำเสียงเหมือนจิ๊กโก๋เวลากวนสาวใส่ แถมด้วยการยักคิ้วเบาๆ อีกหนึ่งที

"ยังจะมีอะไรเสนอได้เท่าหน้ามึงอีกเหรอครับพี่ทัพ"

แอบเห็นมันเบะปากด้วย กวนตีนจริง

"จุ๊ๆ พูดจาไม่ไพเราะเสนาะหู" ผมทำเสียงจุ๊ๆ แล้วส่ายนิ้วไปมา "เดี๋ยวจะฟ้องหัวหน้าให้ไล่ออก จะได้ตกงานไปเลย"

"กวนตีนละครับไอ้พี่ทัพ ไปยืนที่อื่นไป๊... สะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง สวัสดีครับ"

พายเลิกสนใจผมแล้วหันไปทักทายลูกค้าใหม่ที่มาในชุดกราวด์สีขาว น่าจะเป็นคณะแพทย์แหละครับ เพราะที่นี่ใกล้กับคณะแพทย์อยู่เหมือนกัน ดูท่าทางจะสนิทกับไอ้ตัวเล็กด้วย แต่ก็ไม่แปลกครับ เจ้านั้นเขาสนิทกับคนง่าย เจอใครก็ยิ้มใส่เขาไปทั่ว ผิดกับผมที่จะเล่นหูเล่นตาได้ก็กับคนที่สนิทในระดับหนึ่งแล้ว

แต่เดี๋ยว... ต่อให้จะเข้ากับคนง่ายแค่ไหนก็ไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมาแตะเนื้อต้องตัวมากเกินความจำเป็นหรือเปล่า?

แล้วคนที่ยืนส่งยิ้มให้สาวๆ เขาจับแก้มจับหัวตรงแคชเชียร์นั่นมันอะไรกัน

ใครมาเห็นตอนนี้คงตกใจว่าผู้ชายคนนี้เป็นอะไรถึงได้มายืนทำหน้านิ่งคิ้วขมวดตรงโซนขายขนมปังสำเร็จรูป ผมขมวดคิ้วมองภาพนั้นด้วยความไม่พอใจนัก ขนมปังที่ถืออยู่ในมือคงเละหากผมมีสติไม่มากพอที่จะห้ามตัวเองและสำนึกตัวถึงสถานะของตัวเอง

เพราะรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึก

เพราะรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์เดินเข้าไปห้าม

เพราะรู้ดีว่าพวกเรา... เป็นเพื่อนกัน

แต่ไม่พอใจว่ะแม่ง









"เป็นอะไรทัพ ทำไมทำหน้าบูดงั้น แค่ไม่มีของกินมึงงอแงแบบนี้เลยเหรอ"

กูไม่ได้เห็นแก่กินแบบนั้น!

"ไม่ใช่สักหน่อย มึงบ้าละ"

ดันหัวมันไปทีจนเจ้าของหัวกลมๆ เรียกหาแม่ที่บ้าน ใครมันจะไปพูดลีะว่าไม่พอใจเพราะเห็นเพื่อนตัวเองโดนคนแตะเนื้อตัองตัวแบบนั้น

หลังจากแก๊งค์แพทย์สาวกลุ่มนั้นออกไปแล้วก็ยังมีนักศึกษาจากคณะอื่นเข้ามาในร้านอีก และแต่ละคนก็ดูจะสนิทสนมกับพายเสียเหลือเกิน ทั้งหยอกล้อ ทั้งคุยเล่น ดูสนุกเสียจนคนที่ยืนมองอย่างผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน เลือกเดินออกมานั่งรอตรงที่สูบบุหรี่แทนจนมันหมดกะ

"แล้วมึงเป็นอะไรล่ะ หน้าบูดไปหมดแล้ว ไม่ใช่พี่ทัพคนหล่อแล้วนะมึง"

"นั่นฉายากูเหรอ? สมกับความดีของหน้าตาแต่เสร่อชิบหาย" ผมพยายามเลี่ยงคำถามของพายด้วยการกวนตีนมันอีกครั้ง

"จริงๆ ก็เสร่อตามหน้า"

"ไอ้พาย" เขกหัวคนกวนตีนไปอีกที "ทะลึ่งละ นี่ใครรู้ไว้ด้วย"

"แล้วใคร?"

ว่าที่แฟนมึงในอนาคตไง

อยากจะตอบไปแต่ก็กลัวโดนด่าว่าเสร่ออีก "พี่ทัพ คิ้วท์บอย ไปไหนใครก็รู้"

"คิ้วท์ตาย หน้าอย่างกับปลาทู"

แปลกดีที่เมื่อครู่ยังหงุดหงิด แต่ตอนนี้กลับอารมณ์ดีที่ได้ต่อปากต่อคำกับคนข้างๆ ผมล็อกคอพายให้เข้ามาใกล้แล้วยีหัวจนยุ่งไม่เป็นทรงด้วยความหมั่นเขี้ยว มันโวยวายครับ แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมอยากทำอะไรมันก็ได้เพราะผมอยากจะทำ ไม่เห็นยากเลยใช่มั้ยครับตรรกะของผม

เห็นหน้ามุ่ยๆ ในวงแขนตัวเองแล้วก็เผลอยิ้มอีก พายมันเป็นคนน่ารักครับ ทั้งหน้าตาทั้งนิสัย ตอนมันทำหน้ามุ่ยๆ อย่างนี้ก็น่ารัก มันก็ซื่อเหลือเกินที่ไม่รู้ว่ายิ่งงอแงก็ยิ่งโดนแกล้ง ผมเลยชอบแกล้งอยู่บ่อยๆ และไม่ใช่ผมด้วยสิ คนอื่นๆ ก็ดันคิดเหมือนกัน ผมเลยคิดอยู่บ่อยครั้งว่าอยากจะขยับความสัมพันธ์ให้มันยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นสักที

“พาย กู... มีอะไรจะบอกว่ะ”

“หือ? อะไรมึงอะ อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วจะบอกอะไร?”

ทำหน้ามุ่ยแต่ก็รอรับฟัง นี่แหละครับอีกนิสัยของพายที่ทำให้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจเอามากๆ

มาก... จนผมกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

“...กูว่าจะลงคัดตัวนักแสดงด้วยว่ะ มึงว่าไง”

“นักแสดงเหรอ? งานประจำปีของมหา’ลัยใช่มั้ย?”

“ก็งานนั้นแหละ ไอ้จ้าวมันไม่ลงเพราะอยากไปทำเบื้องหลังที่มันชอบ แต่กูอยากลองพิสูจน์ตัวเองบ้างว่ะ”

จากที่ตั้งใจจะพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ผมเลือกที่จะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องคัดนักแสดงของคณะแทน ความจริงผมคิดไว้แล้วว่าจะลงแน่ๆ เพราะยังไงก็มีโอกาสได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำสักที ไม่อยากให้พลาดโอกาส แต่ก็ถือว่าเป็นการบอกกล่าวพายไปด้วยในตัว

“ก็เอาสิ ทัพแสดงได้อยู่แล้ว อย่าทำให้โอกาสที่เข้ามามันเสียเปล่าดิ”

เจอคำพูดพร้อมรอยยิ้มกว้างๆ เขาไป คุณคิดว่าผมจะยังอยากเสี่ยงให้มันหายไปจากข้างตัวหรือเปล่าล่ะ?

ผมขอยืดเวลาการทำใจออกไปอีกสักนิดแล้วกัน อีกนิดเดียว ผมขอเวลาและความกล้าก่อน แล้วไอ้ทัพคนนี้จะพุ่งใส่น้องพาย เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนี้แน่นอน

อยากติดแฮชแท๊กที่ไอ้พายคิดมาใส่กลางหน้าผากชิบหาย คนอะไรวะแม่ง ทำ #นิเทศเทใจ ใส่จนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!

 





THANTHAP THAP

เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยบอก เพราะยังคงกลัวในคำตอบ ー สิ่งที่ไม่เคยบอก Moderndog #นิเทศเทใจ



JAONAI SIRIVEJPIPAT

ฟังเพลงสมกับนิสัย "ป๊อด"

 แล้วนั่นมันแท๊กที่กูคิดนะ ขอหรือยัง



THANTHAP THAP

มึงว่าใคร กูแค่แชร์เพราะเพลงมันดี

เออ ยืมหน่อยน่ะ



JAONAI SIRIVEJPIPAT

ขี้ป๊อดแล้วยังร้อนตัว



THANTHAP THAP

ไอ้น้องจ้าว!



TAWANNCHAI BHUMIVITAYA

น้องจ้าวแฟนพี่ตะวัน ไม่แกล้งเพื่อนครับ มาอ่านหนังสือต่อเร็ว ปล. #ไม่ป๊อดนะน้องทัพ



THANTHAP THAP

.....คอยดูแล้วกัน!






----------------------------------------------------------------





     Talk: สวัสดีค่ะ เอาคู่ใหม่มาเสิร์ฟล่ะ เป็นคู่ที่เกี่ยวพันกับอีกสองคู่ที่ผ่านมาเนอะ วนเวียนอยู่แถวๆ นี้ตลอดแหละค่ะช่วงนี้ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนคณะใหม่แล้วเราจะติดแท๊กไว้ว่าเป็นคณะไหนนะคะ

เม้าท์นิยายเรื่องนี้หน่อย มันเริ่มจากความคิดว่า อยากย้อนกลับไปวัยมหาลัยจังเลยเนอะ บวกกับการอยากลองแต่งแนวบุคคลที่หนึ่งด้วย เลยได้ผลจากการมโนมาเป็นนิยายรายคู่แบบนี้ค่ะ ในส่วนของเนื้อหาหลักๆ บอกเลยว่า "ไม่มี" เราตั้งใจเองค่ะว่าอยากแต่งออกมาเป็นมุมมองของแต่ละคน และปล่อยปลายเปิดเนื้อหาไว้เพื่อให้ไปจิ้นกันต่อเอง อยากให้เนื้อเรื่องเป็นแบบไหนก่อนหน้านี้คู่นั้นจีบกันยังไง หรือเนื้อหานี่นั่นก็สามารถจินตนาการได้เลยค่ะ :mew1:

แม้เรื่องนี้จะมาแบบแต่ละคู่สั้นๆ แต่อนาคตจะมีนิยายเนื้อหามหาลัยออกมาอีกแน่นอนค่ะ เพราะคิดได้แล้ว #แตยังไม่งอกนะขอเคลียร์สองเรื่องตอนนี้ก่อนค่ะ

ปล. เหลือสต๊อกมหาลัยอีกหนึ่งตอนเอง ขอไปปั่นก่อนค่ะ
ปล2 ฝนดาวตกกำลังจะมา อัพไม่ถี่เท่ามหาลัย แต่เราไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ

ขอบคุณทุกความฟิน คำแนะนำ คำติชม ทุกความเห็นทำให้เราพัฒนาตัวเองได้เรื่อยๆ ขอบคุณจริงๆ นะคะ

แ้ลวเจอกันนะพวกยู :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 21-05-2017 11:42:37
 :3123: :3123: :3123: :3123:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 21-05-2017 12:19:49
แต่ละคู่แต่ละคนก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ทำให้ดูน่าสนใจน่าติดตามมากๆเลยค่ะ

รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 21-05-2017 13:00:07
 ถถถ พี่ทัพ เรื่องน้องจ้าว นี้แนะนำดีจัง
เรื่องตัวเองทำไมป๊อด 5555

ชอบทุกคู่เลย ทุกคู่มีคาแรกเตอร์ชวนฟินหมดเลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 21-05-2017 13:41:18
ปากดีไม่ขี้ป๊อดนะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 21-05-2017 16:56:29
พี่ตะวันนี่แย่งซีนสุดๆ หวานน้ำตาลขึ้นมาเลย 55555
น่ารักทุกคู่ เอร๊ยยยย เอาอีกกกกก
ขอบคุณนะคะ
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 25-05-2017 00:48:57
น่ารักทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 25-05-2017 13:20:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรี่ย์ ll ตอนที่ 5 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (21.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: NOPKAN ที่ 25-05-2017 14:45:09
มาตามอ่านด้วยคน~~~

ปล. ซีรีส์ ต้องใช้ ส์ นะคะ ^_^
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 25-05-2017 19:05:18
[6]





ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึง

สนิทกันจนผมคิดถึงวันที่เราแยกจากกันไม่ออก

"พาย เย็นนี้คัดตัว คงไปช้าหน่อย รอที่ร้านเดี๋ยวไปรับแล้วกลับพร้อมกัน"

"ไม่เป็นไร น่าจะช้าเหมือนกัน วันนี้ต้องเช็คสต๊อกหลังร้านด้วย"

พวกเราสนิทชนิดไปไหนไปกัน เรียนก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม เข้ามัธยมก็ตามกันมา ขึ้นมหาวิทยาลัยแม้จะคนละคณะแต่ก็โคจรมาเจอกันจนได้ แถมยังได้เป็นรูมเมทกันอีก ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋จนแยกกันได้นานไม่เคยเกินหนึ่งวัน

"เออ รอที่ร้านนั่นแหละ เดี๋ยวไปเอาของกินฟรีด้วย"

"แย่ว่ะ ของซื้อของขายร้านกูนะ"

ผมตีหน้ายุ่งใส่มัน แต่ไอ้ทัพมันไม่สนใจหรอกครับ ชอบแกล้งผมจะตาย นี่มันยังหัวเราะแล้วยีหัวผมจนยุ่งไปหมด อุตส่าห์ลูบให้ผมมันเรียบตั้งนาน!

นั่นแหละครับชีวิตประจำวันยามเช้าก่อนแยกย้ายไปคณะใครคณะมัน ทัพเรียนนิเทศ ส่วนผมเรียนอักษร ตึกคณะของพวกเราอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล แต่ก็ยังมีที่นัดเจอประจำครับ ตั้งอยู่ระหว่างตึกเรียนของเราทั้งสองคนพอดีเลย

 





"สะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง สวัสดีครับ"

ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง

สถานที่ที่เหล่านักศึกษามักจะแวะเวียนมาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือแม้กระทั่งดึกดื่นค่ำคืนก็ไม่เคยเงียบเหงา เรียกว่าแต่ละคนแวะเวียนมาที่นี่พอๆ กับตึกคณะตัวเองเลยก็ว่าได้ และผมทำงานอยู่ที่นี่ครับ

ผมละสายตาจากการจัดสินค้าบนชั้นวางไปมองลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เดินเข้ามาในตัวร้าน พี่ๆ คณะแพทย์ที่อยู่ห่างจากร้านสะดวกซื้อไปสองช่วงตึกนี่เอง ผมโค้งให้พวกเขาเล็กน้อยเมื่อสายตาประสานกัน เป็นมารยาทที่ดีของคนทำงานบริการล่ะครับ

"พาย มาเฝ้าแคชเชียร์แทนพี่หน่อย เดี๋ยวพี่เข้าไปเช็คสต็อกก่อน"

"รับทราบครับผม"

เพราะตอนนี้เป็นกะช่วงหัวค่ำแล้ว และคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ต้องเช็คสต๊อกสินค้าเพื่อจะได้สั่งของมาตุนเอาไว้ขายในวันต่อๆ ไป ผมเลยมักจะได้เฝ้าเครื่องแคชเชียร์แทนรุ่นพี่เสมอ

"ทั้งหมด 213 บาท พี่ไม่รับชอคโกแลตแท่งไปด้วยเหรอครับ โปรซื้อสองแถมหนึ่งด้วยนะ มากันสามคนพอดี คุ้มสุดๆ"

"โหย ฮาร์ดเซลล์ใส่พี่ตลอดเลยนะพาย ไหนคะ อันไหนที่จัดโปร รวมมาด้วยเลยก็ได้"

ผมยิ้มกว้างพร้อมหยิบชอคโกแลตที่จัดโปรโมชั่นมาคิดเงินรวมและใส่ถุง ไม่ลืมขอบคุณพี่เขาไปด้วยแล้วก็ได้โดนหยิกแก้มเช่นปกติไปอีกสองสามที พี่ๆ คณะแพทย์น่ารักครับ ชอบแวะมาเวลานี้บ่อยๆ เพราะทำการทดลองกันเวลานี้ เจอหน้ากันจนกลายเป็นสนิทสนมพอจะคุยเล่นกันได้แล้ว

"แล้วนี่แฟนเรายังไม่มาเหรอ?"

"หืม? แฟน? ผมยังไม่มีแฟนนะครับ"

"คนนั้นไง ที่สูงๆ ผมสีอ่อนๆ ใส่ต่างหูหลายๆ รู เด็กนิเทศ"

พอได้ยินรูปร่างลักษณะก็ถึงบางอ้อเลยครับ ผมหัวเราะรวนให้พวกพี่ๆ แล้วโบกมือไปมาแทนการปฏิเสธ

"ไม่ใช่แฟนครับ ทัพกับผมเป็นรูมเมทกัน แล้วเราก็สนิทกันตั้งแต่เรียนประถมแล้ว"

เห็นพี่ๆ ทำหน้าไม่เชื่อผมก็ยืนยันหนักแน่นอีกรอบพร้อมกระพริบตาถี่ๆ เหมือนเวลาอ้อนให้พวกเขาซื้อขนมจัดโปรโมชั่น จนคนมองใจอ่อนยอมเชื่อคำพูดผมแล้วรับถุงสินค้าเดินคุยกันออกไปจากตัวร้าน

เป็นแบบนี้ประจำครับ ใครๆ ก็มักจะเข้าใจผิดว่าผมกับทัพเป็นแฟนกัน รู้สึกเขินนิดหน่อยครับ ก็เราสนิทกันมากเลยนะ พอให้มาคิดว่าเราจะขยิบความสัมพันธ์มันก็จักจี้หัวใจอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่หรอกครับ มันไม่ได้คิดอะไรเหมือนที่ชอบทำให้ผมคิดหรอก

คิดแล้วก็หน่วงนิดหน่อยแหะไม่เอาล่ะ ทำงานดีกว่า

กะของผมเลิกตอนสี่ทุ่ม พอมีรุ่นพี่อีกคนเข้ามาเปลี่ยนกะผมก็สามารถคว้ากระเป๋าร่อนออกจากร้านไปโดยไม่มีใครว่า วันนี้ได้ขนมปังที่จะหมดอายุมาด้วยครับ ขนมปังเนยนมของโปรดทัพ กับเฉาก๊วย ผมว่าจะให้มันแทนค่าจ้างที่อุตส่าห์จะเดินมารับผมกลับหอ

บอกลาพี่ๆ เสร็จผมก็มายืนแกร่วรอเพื่อนที่หน้าร้าน พอยืนนานแล้วเมื่อยก็นั่งมันแถวๆ นั้นที่มีเกาอี้หินอ่อนสำหรับนั่งสูบบุหรี่วางอยู่ แต่รอแล้วรอเล่าเพื่อนที่บอกว่าจะมาก็ยังไม่มาเสียที จนผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงนั่นแหละครับถึงได้เห็นไอ้คนผมทองวิ่งหน้าตั้ง เสื้อหลุดรุ่ยออกนอกกางเกงมาแต่ไกล

"โอย... โทษ... โทษทีมึง"

"ไม่เป็นไร เช็ดหน้าเช็ดตาก่อน... เหี้ย! เช็ดเสื้อกูทำไม!"

ผมด่ามันครับ ก็ใครใช้ให้เอาหน้ามาเช็ดกับบ่าล่ะเฮ้ย!

"แล้วมึงมีทิชชู่มั้ย?"

"ไม่มี"

"เออ มึงบอกให้เช็ดหน้าแต่ไม่มีทิชชู่ละกูจะเช็ดไงถ้าไม่ใช่เสื้อมึง"

"ก็เอาเสื้อตัวเองเช็ดไปดิวะ สกปรกไอ้ทัพ!"

มันหัวเราะเสียงดังแล้วขยี้หัวที่เรียบจนถึงเมื่อครู่ให้มันฟูฟ่องทั้งที่อุตส่าห์เรียบมานาน ผมทำเสียงฮึดฮัด ไม่ชอบให้คนมาเล่นหัวเท่าไหร่เพราะเป็นพวกผมจัดทรงยาก แต่ทัพไม่เคยสนหรอกครับ เอะอะยีหัว เอะอะเอาหัวผมไปลองทำผมทรงใหม่ เห็นผมเป็นอะไรก็ไม่รู้

เถียงกันอยู่อีกพักนึง ทัพก็ขโมยถุงไปถือแทน ไอ้คนหน้าเถื่อนทำตาวาวตอนเห็นว่าในถุงนั่นเป็นของชอบ รีบล้วงขึ้นมากินจนผมต้องช่วยเปิดฝาขวดน้ำเปล่าของตัวเองส่งให้

"แล้วคัดนักแสดงเป็นไง? มึงได้เป็นต้นไม้อ่ะดิ"

คณะนิเทศเขาก็มีกิจกรรมสร้างสรรค์เยอะดีนะครับ เดี๋ยวแสดงหนัง เดี๋ยวทำกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัย ของคณะผมนี่สิ มีแต่งานวิชาการตามความจริงจังของอาจารย์ที่ปรึกษาอะไรพวกนั้น

"ตลก หล่ออย่างกูแน่นอนอยู่แล้วว่าบทเด่น"

"พระเอก?"

"พระธุดงค์ตามป่า" ผมถลึงตามองทัน มีบทนั้นจริงดิ? "กูหลอก พระรองก็พอ ไม่ต้องมาทำหน้าเอ๋อขนาดนั้น"

เอ้า! ใครมันจะไปรู้ล่ะครับ ผมไม่ได้ไปคัดตัวกับมันนี่จริงไหม?

"เอาดีๆ"

"พาย... มึงแม่งทะลึ่งว่ะ มาองมาเอาอะไร กูยังบริสุทธิ์นะเว้ย!"

ไม่คุยกับแม่งละ

ผมเบ้ปาก พยายามไม่ให้ทัพรู้ว่าผมแอบยิ้มกับถ้อยคำทะลึ่งตึงตังของมัน พร้อมปาขวดน้ำใส่มัน ทัพหัวเราะใหญ่ เป็นคนแบบนี้แหละครับเพื่อนผม กวนตีนไม่มีใครเกิน ผมไม่ขอสู้ด้วยครับ ไม่อยากให้คนมองว่าเป็นประเภทเดียวกัน เชื้อเกรียนจะติดเอา

"…กูได้บทพระรอง แม่งมีฉากเลิฟซีนด้วย ให้มึงทายได้เล่นกับใคร"

เห็นท่าระริกระรี้ของเพื่อนสนิทแบบนี้แล้วเดาได้ไม่ยากหรอกครับ จะมีสักกี่คนกันที่ทำให้มันเป็นแบบนี้ได้

"พี่แตงโม ที่เป็นอดีตดาวคณะมึง?"

"ถูก! พี่เขาได้บทนางเอกเว้ย เล่นกับรุ่นพี่ปีเดียวกัน แต่มีคนบอกว่าพวกเขากิ๊กกันจริงๆ มันจะจริงเปล่าวะพาย กูชอบพี่เขามากเลยนะเว้ย คนอะไร สวย นิสัยดี รวยอีก โคตรครบ"

ครับ ไอ้ทัพคนนี้มันชื่นชมจนลามไปเป็นชื่อชอบพี่แตงโม ที่เป็นอดีตดาวคณะปีสามตั้งแต่เข้ามาแล้ว เพ้อตลอดว่าพี่เขาเป็นนางฟ้า เป็นอนาคตแม่ของลูกอะไรของมันก็ไม่รู้ พอพี่เขาทักเข้าหน่อยก็ทำตาเยิ้มตัวลอย เห็นกี่ครั้งก็หมั่นไส้ครับ อยากเอาเท้ายันเบาๆ ให้กระเด็นไปสักสิบเมตร

"ก็ดีแล้วป่ะ แล้วมึงต้องซ้อมเลยหรือเปล่า ไม่ต้องมารับก็ได้นะแบบนั้น เหนื่อยตาย"

"แหม ห่วงผัวเหรอจ้ะน้องพาย น่ารักจริงๆ นะมีง"

ขี้อ่อยสัส คิดแล้วผมฟาดหลังมือจนมันร้องโอดโอย นอกจากยีหัวไอ้นี่ชอบหยิกแก้มครับ แล้วมืออย่างหนัก แก้มผมแดงหมด ดีหน่อยที่มันมืด ไม่งั้นโดนล้อตายแน่

"ซ้อมอาทิตย์หน้าว่ะ แต่ไม่ต้องห่วง มารับมึงได้ตลอดเพราะมึงต้องช่วยซ้อมบทให้กู"

"ห๊ะ? กูเรียนอักษรไง"

"เออ มึงยืนเป็นต้นไม้ให้กูท่องบทใส่ก็ได้ ไม่ก็อ่านบทแบบที่เคยทำแต่ก่อนอะ ไม่ยากหรอก กูนี่ต้องแสดง ยากกว่าเยอะ"

ตอนเรียนชั้นม.ปลายทัพมันก็เป็นตัวนำแสดงบ่อยๆ ครับ และผมที่มีหน้าที่จัดฉากก็เป็นคนช่วยต่อบทกับมันเสมอ แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาทำตอนมหาลัยด้วยนี่สิ แต่พอเห็นหน้าอ้อนตีนของทัพก็ต้องยอมพยักหน้าครับ ยังไงเราก็เพื่อนกัน จะช่วยกันสักหน่อยก็ไม่เห็นแปลกเลยจริงไหม





 

หลังตกลงแล้วว่าจะช่วยทัพเรื่องซ้อมบท กิจวัตรประจำวันของผมก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย โดยเพิ่มมาในช่วงหลังกลับจากงานพิเศษนั่นแหละครับ

ตกใจจริงๆ ที่รอบนี้มันไม่โกหก ทัพได้เล่นเป็นพระรองนิสัยดีที่ตกหลุมรักนางเอกมาตลอดแต่ทำได้แค่มองอยู่ห่างๆ เพราะนางเอกรักเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่ ก็พระเอกนั่นแหละครับ บทที่ได้ทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยนะ เพราะทัพเป็นคนห่ามๆ ไง พอให้มันมาเล่นบทละมุนแล้วรู้สึกแปลกๆ

"รู้ไหมว่าผมไม่เคยเจอใครเหมือนคุณเลย..."

"คึ..."

"พาย! มึงทำกูหลุดบทอีกแล้วนะ"

คือหลุดหัวเราะทุกครั้งที่มันทำเสียงหล่อแล้วเก๊กหน้านิ่งๆ น่ะครับ เลยโดนโบกด้วยสมุดบทไปหลายรอบ

"ขอโทษๆ เอาใหม่อีกรอบนะมึง"

ผมพยายามกลั้นหัวเราะขณะขอโทษขอโพยมัน ก็ให้ทำยังไงได้ล่ะวะ มันตลกนี่หน่า ไม่เคยเห็นเพื่อนตัวเองในมุมแบบนี้ เพราะปกติมันจะรับบทตัวประกอบพูดน้อยครับ

"มึงนี่แม่ง... แล้วกูจะบิ้วท์อารมณ์ใหม่ยังไง"

"งั้นเปลี่ยนฉากก่อนก็ได้ ไม่เอาดิวะพี่ทัพ หน้าบูดเป็นตูดไก่แล้ว"

ผมทำปากจู๋แกล้งก่อนจะเอานิ้วจิ้มแก้มมันแล้วยกขึ้นให้ดูเหมือนคนยิ้ม แต่ทำไมทำแล้วไม่น่ารักดันเหมือนหมาแยกเขี้ยวเสียอย่างนั้น พอหัวเราะอีกก็โดนตีหน้ายักษ์ใส่หนักกว่าเดิม แล้วมันก็ทำในสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงครับ ทัพมองหน้านิ่งก่อนจะเดินตรงเข้ามาจนแขนผมงอเข้าหาตัว ตามันจ้องผมนิ่งเลยครับ รู้สึกได้ว่ามันไม่พอใจจริงๆ

"ทัพ เฮ้ย อย่าเดินมาใกล้งี้ดิ"

ยังอีก ยังไม่หยุดอีก ผมก็รีบปล่อยมือเดินถอยหลังสิครับ ทัพมันเป็นอะไรน่ะ

ชิบหายแล้ว เวลามันโกรธจริงน่ากลัวมากเลยครับ ไม่พูดไม่จาเอาแต่มองหน้ากดดันอย่างเดียว ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เลยตั้งใจจะเบี่ยงตัวออกเมื่อหลังชนผนัง ทำไงดี มันเอามือมากั้นไม่ให้ผมออกแล้วครับ ตัวมึงก็โตเนี่ย!

"ทัพ มึงเป็นอะไร..."

"มึงซน รู้มั้ยว่าซนต้องโดนอะไร"

เสียงเข้มด้วยครับ มันจ้องตาผมแบบไม่กระพริบเลย ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะว่าเวลาหนูโดนงูจ้องมันเป็นยังไง

"ทัพ กูขอโทษ จะตั้งใจซ้อมแล้ว ไม่เล่นแล้วครับ"

ใช้ไม้แข็งไม่ได้ก็ใช้ไม่อ่อนยอมแพ้สิครับเขาถึงจะเรียกว่ารู้จักเอาตัวรอดเป็นยอดดี ผมใช้วิธีที่ทำกับพวกพี่ๆ ตอนขายตรงโปรโมชั่นในร้านสะดวกซื้อด้วยการทำคิ้วตก กระพริบตาปริบๆ ใส่ไปด้วย

มองการกระทำของผมอยู่อีกพักใหญ่ ใบหน้าที่ประดับด้วยคิ้วเข้มๆ ตาคมๆ จมูกโด่งๆ และปากเป็นกระจับของมันก็เขยิบเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ นี่มันสถานการณ์บ้าอะไรกันเนี่ย แล้วใจผมจะเต้นอะไรหนักหนา

"...พาย"

"คะ... ครับ"

เสียงกระเส่าไปแล้วไอ้ทัพ เล่นอะไรของมัน ผมเลยเผลอพูดจาสุภาพอย่างที่ไม่ค่อยทำถ้าไม่ใช่เวลาอ้อนหรือเวลารู้ตัวว่าทำผิดแล้วอีกฝ่ายโกรธออกไป เรามองตากัน ยืนใกล้กันกว่าที่เคยจนผมกลัวว่ามันจะได้ยินเสียงก้อนเนื้อในอกซ้ายที่เต้นรัว ผมไม่ค่อยชอบเข้าไปใกล้ๆ มันในสถานการณ์แบบนี้เพราะผมมักจะทำอะไรไม่ถูก

"มึงทำหน้าแดงทำไม แล้วจะพูดสุภาพเพื่อ ในบทมันต้องผลักกูออกสิ"

พูดเสียงนิ่งจนจบแล้วมันก็ผละออกไปขำครับ ขำในขณะที่ผมยืนหน้าเหวออยู่เนี่ย บท? สรุปเมื่อกี้คือโดนแกล้งสินะ? โดนแกล้งใช่มั้ย? อืม... สงสัยจะใช่

"ไอ้ทัพ! ไอ้หน้าปลาทู! เล่นบ้าอะไรของมึงเนี่ย"

"กิ๊วๆ น้องพายทำหน้าแดงที พี่ทัพงี้ใจสั่นไปหมด"

สั่นกับเตี่ยมึงคนเดียวเถอะ!

"ไม่เอาแล้ว วันนี้ซ้อมคนเดียวไปเลยมึงน่ะ!"

ผมโวยวายแล้ววางบทแรงๆ ลงบนโต๊ะไอ้คนที่ยังหัวร่องอหายอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สนุกมากนัก นิสัยขี้แกล้งของมันนี่ชักจะแย่ขึ้นทุกวัน วันนี้ให้มันซ้อมคนเดียวซะให้เข็ด

"ครั้งหน้ามีบทจูบนะจ้ะ พี่ให้เวลาน้องทำใจ พร้อมเมื่อไหร่ถลามาซบอกพี่เลยนะน้องพาย"

ยังจะกวนตีน ผมเลยหันไปมองหน้ามันแล้วยกนิ้วกลางให้เน้นๆ ทั้งสองข้าง แต่มีหรือจะกระเทือนหนังหน้าชายทัพ จากที่ขำไม่หยุดมันขำหนักกว่าเดิมจนผมกลัวว่าคนห้องข้างล่างจะขึ้นมาด่าในอีกไม่กี่วินาที

มึงนั่นแหละจะถลา ถลาหน้าไปซบส้นตีนกูนี่!





 

"อ่านอะไรอยู่เหรอพาย?"

ผมเงยหน้ามองก็เห็นจ้าว เพื่อนในคณะของไอ้ทัพส่งยิ้มมาให้พร้อมข้าวมันไก่จานใหญ่ในมือ วันนี้ผมไม่มีเข้ากะครับแล้วคาบเรียกก็มีแค่ช่วงเช้า เลยมาฝากท้องที่ตึกคณะนิเทศ แม้จะไกลกว่าตึกเรียนของผมอยู่มาก แต่อาหารใต้ตึกเขาอร่อยจริงๆ ครับ ก๋วยเตี๋ยวแคระที่ผมเพิ่งจัดการหมดไปนี่อร่อยจนผมตั้งใจว่าต้องฝากทัพมาซื้ออีกให้ได้

"บทหนังที่ทัพแสดงด้วย เสียดายพายไม่ได้เล่น เราจะเชียร์เต็มที่เลย"

"หึ ไม่ล่ะ เราชอบดูมากกว่าแสดง รอบนี้ทำแค่ช่วยจัดฉากหลังน่ะ บทนี่เราก็เพิ่งได้เห็นนี่แหละ ละครรักสามเส้าใช่มั้ย?"

"อือ รักสามเส้าของสาวสวยอะไรพวกนั้น"

จ้าวพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะขอไปดูบ้าง จะว่าไปเด็กนิเทศนี่มีแต่คนหน้าตาดีจริงๆ นะครับ มาเจอจ้าวถึงได้รู้ วงหน้ารูปไข่ ตาโต จมูกโด่ง เครื่องหน้าเป๊ะมาก คนละแบบกับทัพเลยครับ อาจเพราะเห็นหน้าทัพทุกวันด้วยล่ะมั้ง ที่คนบอกว่าหล่อๆ เลยรู้สึกว่าเหรอแทน

ผมไม่เคยชมทัพหรอกครับ เดี๋ยวได้ใจล่ะแย่เอา

"อยากให้พายได้มาเห็นมากเลยว่าตอนคัดบททัพตลกขนาดไหน ไม่แปลกที่จะได้บทนั้นไป"

หืม? ตลกเหรอครับ แต่จากที่ดูมันแสดงมาบทนี้ไม่ตลกเลยนะ บทตลกน่าจะเป็นบทสาวประเภทสองเพื่อนนางเอกมากกว่า ผมเห็นผ่านตาอยู่ช่วงแรกๆ ของเรื่อง

"พระรองมีบทตลกด้วยเหรอ? เราเห็นทัพมันซ้อมฉากละมุนๆ ไม่เคยเห็นมันเล่นบทตลกเลย"

"...? บทพระรองเหรอ?"

"อือ ก็ทัพมันได้บทพระรองนี่ เห็นมันบอกเราอยู่ ที่เรามานั่งๆ อ่านก็เพราะช่วยมันต่อบทนั่นแหละ"

จ้าวทำหน้างง ผมก็ทำหน้างง งงกันอยู่ได้พักหนึ่งจ้าวก็เปิดบทดูผ่านอีกรอบแล้วเงยหน้ามายิ้มตาหยีใส่ผม เป็นคนที่ยิ้มแล้วโลกจ้าเชียวครับ สว่างจ้าจนต้องหยีตา

"อืมๆ พระรองแหละ อาจจะได้เป็นพระเอกด้วยถ้าทำได้ดี"

"ขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เด็กนิเทศยักคิ้วใส่ผมแล้วคืนบทให้เพราะเจ้าตัวจะได้หันไปสนใจข้าวมันไก่ที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างสะดวกแทน ส่วนผมก็ไม่อยากกวนคนทานข้าว เลยเปิดบทอ่านไปเรื่อยครับ อืม... บทพระรองมันไม่ตลกจริงๆ นะ หรือมันไปตลกท้ายเรื่องกัน?

“คุยอะไรกัน?”

คนที่ลงมาทีหลังขมวดคิ้วมองผมที่มองพายที่ อะไรจะสงสัยขนาดนั้น ไม่แปลกเลยที่พายจะชอบอ่าทัพว่าขี้เสือก ก็ดูมันสิครับ นิสัยได้ขนาดนี้ก็สมควรแล้วไหมล่ะ

“เรื่องบท” พายเป็นคนชิงตอบก่อน “แต่ไม่ต้องห่วงนะ กูว่าบทพระรองก็เหมาะกับพวกขอบฟังเพลงโมเดิร์นด็อกดี”

“ไอ้น้องพาย ไปหาแฟนมึงเลย ตรงนู้นอ่ะ ไปๆ”

“หึ รอดูอยู่นะ บอกไว้แค่นี้แหละ เราไปก่อนนะพาย เจอกันครับ”

“อื้อ เจอกันนะพาย”

พายนี่น่ารักจริงๆ นะครับ ยังมายิ้มตาหยีโบกมือให้แล้ววิ่งไปหาพี่ตะวันที่เดินมาแต่ไกล พูดถึงคู่นี้แล้วน่ารักไม่หยอก พี่ตะวันเอาใจใส่ดีมาก แถมยังหวานออกสื่อแบบไม่เกรงใจใครตลอด แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ เป็นผมก็คงทำเหมือนกัน

“มองอยู่นั่น ชอบมันมากหรือไงไอ้พายน่ะ”

มือใหญ่ๆ ยีลงบนหัวผมเน้นๆ ไอ้นี่ชอบมายุ่งกับหัวจัง! ผมปัดมือมันทำเสียงฮึมๆ ขู่ในลำคอ แต่ไอ้ทัพก็แค่หัวเราะครับ ไอ้นี่มันบ้าจริงๆ เลย เอะอะก็มาหัวเราะ มายีหัว แต่ผมน่าจะบ้ากว่าแน่ๆ ที่ชอบเวลามันทำแบบนี้

รู้สึกพิเศษยังไงก็ไม่รู้





 

"วันนี้ซ้อมหน้ายี่สิบสองนะ"

"โอเค จัดมาเลยคุณชาย"

ผมยังคงซ้อมบทเป็นเพื่อนทัพเหมือนเคยครับ เหลืออีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะแสดงจริงแล้ว ช่วงนี้เลยต้องฟิตกันหน่อย

จะว่าไปผมเพิ่งมาสังเกตเอาช่วงหลังๆ นี่เองครับว่าบทพระรองของไอ้ทัพมันแปลกๆ ดูไม่เหมือนพระรองตามที่ผมเคยเห็นในหนังเกาหลีเท่าไหร่ เพราะปกติจะเจอแต่พระรองนิสัยดี ละมุน เป็นคนดีถูกมั้ยครับ แต่บทของทัพเป็นพระรองนิสัยดี ละมุนก็จริง แต่มืองี้เป็นปลาหมึกเลยครับ เอะอะกอด เอะอะดึงจมูก เอะอะหยิกแก้ม แถมบทยังเปลี่ยนบ่อยจนกลายเป็นบทด้นสดแล้ว นี่ถ้ามาทำในชีวิตจริงผมว่าโดนนางเอกแจ้งจับข้อหาลวนลามทางเพศได้เลยล่ะ

แต่ทัพคงชอบ เพราะจะได้แตะตัวพี่แตงโมบ่อยๆ คิดแล้วก็อยากเบ้ปากใส่มันอีกรอบ หมั่นไส้จริงๆ ครับ

"3 2 1 แอคชั่น!"

ผมให้สัญญาณทัพตามแบบที่เคยเห็นในทีวี มันกระแอมเล็กน้อยครับก่อนจะตีมาดขรึม แอบเห็นว่ามันหน้าแดงหูแดงนิดหน่อยครับ เพราะครั้งนี้พูดมันต้องบอกรักนางเอก แม้จะรู้แน่แล้วว่าตัวเองไม่มีหวังจะตีคะแนนให้เทียบเท่าเพื่อตัวเองก็ตาม

"ผมมีเรื่องอยากจะบอกกับคุณ..."

ทัพทำหน้าเศร้า ค่อยๆ เดินเข้ามาหาผมช้าๆ ก่อนจะจับมือที่ว่างอยู่ของผมขึ้นมาแล้วมองด้วยสายตาเจ็บปวด เหมือนที่เขียนไว้ในสคริปเลยครับ

"เรื่องที่อยากจะบอก ทุกการกระทำที่ผ่านมา ที่ผมคอยอยู่ข้างคุณเสมอ วนเวียนมาหา และทำทุกอย่างที่พิเศษ นั่นเป็นเพราะ..."

ฉากตรงนี้มันต้องร้องไห้แบบน้ำตาไหลข้างเดียว ส่วนนางเอกจะร้องไห้ยังไงไม่ได้เขียนไว้ครับ เป็นซีนที่ต้องใช้อารมณ์มากจริงๆ

ทัพทำสีหน้าเจ็บปวดพร้อมยกมือผมขึ้นมา ผมคิดว่ามันจะจับไว้แล้วมองหน้านางเอก แต่มันดันยกแล้วกดจูบที่หลังมือ ตกใจมาก ผมอ้าปากจะด่าพร้อมกระตุกมือหนีแต่ทัพไม่ยอมปล่อย มันกำแน่นกว่าเดิมแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ มึงจะเข้าถึงบทมากไปแล้ว

และผมคงจะอินตามมันไปด้วย เพราะอกด้านซ้ายของผมมันดันเต้นไม่เป็นส่ำ เช่นที่มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งเวลาที่อยู่กับคนกวนตีนตรงหน้านี่

"...ผมรักคุณ"

วูบเลย หน้าผมเนี่ยวูบเลย จากที่จะอ้าปากด่าได้แต่ทำหน้าพะงาบๆ แทน แล้วสายตานี่จะร้อนแรงไปไหน ในบทมันให้ทำหน้าเว้าวอนไม่ใช่ให้ทำหน้าเหมือนจะตีหัวแล้วลากนางเอกเข้าป่าแบบนี้นะ

"แล้วคุณล่ะ..."

ใจผมกระตุกเพราะดันไปรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนถาม มันเป็นอาการเดียวกับทุกครั้งที่เราซ้อมเข้าฉากถึงเนื้อถึงตัว หน้าเริ่มเห่อร้อนเหมือนจะเป็นไข้ และผมว่าต้องใช่แล้วล่ะ ผมต้องไม่สบายแน่ๆ ถึงจะแปลกที่มันมักจะเป็นเฉพาะช่วงเวลาแบบนี้ก็เถอะ

ผมมองสบตาคนที่ยังไม่ถอนสายตาออกจากใบหน้าผม รู้ว่าทัพเลื่อนสายตามองไปทั่วใบหน้า ก่อนจะปล่อยมือแล้วเขยิบร่างกายเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ใกล้... จนผมสัมผัสถึงลมหายใจของคนตัวสูงกว่าที่รดเบาๆ อยู่ตรงหน้า

แย่มากเลย แย่มาก แย่จริงๆ

สถานการณ์ตอนนี้แย่สุดๆ

แย่กว่าคือทำไมผมที่โดนมันประกบปากลงมาถึงไม่มีทีท่าว่าอยากต่อต้าน แถมยังหลับตารอรับจูบแบบเด็กๆ จากทัพอีก

จูบจากเพื่อนสนิท... ที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

"...กูบอกแล้วว่าจะมีบทจูบ"

"...ก็รู้แล้ว แต่แบบ..."

"......มึง"

เงียบกันอยู่นานจนคนที่ลักจูบผมเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน แต่ไม่รู้สิ ผมไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ กลัวว่าสิ่งที่มันพูดจะเป็นว่ามันขอโทษ อารมณ์พาไป เข้าใจผิดอะไรแบบนั้น

"...ซ้อมเสร็จแล้วใช่ป่ะ คือกูนึกได้ว่าต้องเข้ากะแทนพี่ท็อปว่ะ"

ความจริงไม่มีหรอกครับ แต่ถ้ายังอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่ สู้ออกไปทำหัวให้เย็นแล้วค่อยกลับมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นคงจะสบายใจกว่า

"มึงไม่เคยเข้ากะแทน พี่ๆ เขาไม่ให้ทำ อย่ามาโกหก"

ข้อเสียของการมีเพื่อนสนิทคือเราจะเล่าทุกอย่างให้มันฟัง แล้วมันจะจับไต๋ได้เวลาเราจะโกหกครับ

"ก็... วันนี้มันดันมีไง"

"โกหก"

"เปล่า..." แต่เสียงละห้อยแล้วครับผม

"...แต่กูก็โกหกมึง"

หูผึ่งทันทีที่ได้ยินมันพูดแบบนั้น จากที่เขินๆ อยากหนีหน้าเลยกลายเป็นต่อมความอยากรู้พุ่งสูงแทน ผมเลิกคิ้วมองมันที่ตอนนี้ก็ยังคงสบตากับผมอยู่ นั่นหน้าแดงหรือเปล่า หรือแสงตกกระทบจากสีผ้าม่าน

"เรื่อง...?"

“บทละคร...”

“ก็เรื่องอะไรล่ะ?”

"กูไม่ได้เล่นบทพระรอง กูเล่นบทเพื่อนนางเอก"

อะไรนะ?

เหมือนสมองจูนเนื้อหาไม่ติดไปครู่หนึ่ง ผมกระพริบตาปริบๆ พยายามเรียบเรียงคำพูดที่ได้ยินในหัว ไม่ได้เล่นยทพระรอง เล่นบทเพื่อนนางเอก เพื่อนนางเอกมีคนเดียวคือพี่สาวเสียงแมนเพราะยังไม่ได้ผ้ากล่องเสียงคนนั้น

เคยเป็นไหมครับเวลาที่เราคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วในหัวมันจะเรียงออกมาเป็นภาพ ผมกำลังเป็นแบบนั้นเลย ภาพวันที่คุยกับจ้าวผุดขึ้นมา ทำไมจ้าวถึงบอกว่าตอนคัดนักแสงทักตลกมาก แถมยังทำหน้างงตอนผมบอกว่าทัพได้บทพระรอง ที่แท้คนที่ไม่รู้อะไรเลยมันก็ผมนี่แหละ

โดนหลอกมาเป็นเดือนๆ เลยไอ้พาย

"มึง... มึงไม่ได้เล่นบทพระรองเหรอ?"

"ก็เปล่า..."

กวนตีนแล้วไง แล้วที่ให้ผมช่วยซ้อมบทให้เป็นเดือนๆ นั่นมันอะไรกันวะ!?

"แล้วบทนั่น... มึงให้กูซ้อม... มึงลวนลามกูเป็นเดือนๆ เพื่อ!?"

"ก็มีโอกาส เลยอยากลองทำอะไรที่อยากทำ"

ชกหน้ามันสักทีน่าจะดีเหมือนกัน ผมกำมือแน่น ทำหน้าบึ้งมองคนตัวโตที่ยกมือเกาท้ายทอยตัวเองเหมือนอับจนคำพูด ผมไม่ชอบการโกหกเท่าไหร่ อีกนิดนะ ถ้ามันกวนด้วยการพูดจากำกวมอีกนิดคงได้มีการฟาดปากระหว่างเด็กอักษรกับเด็กนิเทศแน่ เพื่อนก็เพื่อนเถอะ

"กูอยากซ้อมบทรัก พอใจยัง"

ไม่พอใจ ผมหรี่ตามองทัพเพื่อให้รู้ว่าขีดความอดทนของผมเริ่มจะหมดลงเรื่อยๆ แล้ว

"เออ กูซ้อมบทบอกรักกับมึงเพราะกูอยากบอกรักมึงแต่กูมันป๊อด ที่ไม่บอกบทแสดงจริงๆ เพราะไม่อยากให้มึงมาเห็นภาพกูแสดงตุ๊ดแตกแล้วหมดศรัทธา แล้วเมื่อกี้กูจูบเพราะมึงแม่งทำแก้มแดงมองกูแบบนั้นเอง พอใจยัง สัส"

ด่าปิดท้ายอีก มันน่านัก

ตอนแรกก็ว่าจะไม่พอใจ แต่เห็นมันหน้าแดงหูแดงขนาดนั้นแล้วก็อดใจร้ายไม่ลง และต้องยอมรับแบบง่ายๆ เลยว่าพอมันสารภาพออกมาหมดแล้ว ความอึดอัดที่มวลอยู่ในอกผมมันหายไปเยอะมาก ไม่ได้หายโกรธเรื่องที่โดนหลอกนะครับ ยังกรุ่นๆ แต่มันมีอารมณ์อื่นที่แทรกเข้ามาแทนที่ก่อน

เขินว่ะครับ

"แล้วไง?"

"แล้วไงอะไร?"

"จะเปลี่ยนสถานะมั้ย?"

"เห็นหน้ากูเป็นเฟสบุ๊คเหรอทัพ คิดอยากเปลี่ยนสถานะก็เปลี่ยนงี้"

"กวนตีนนะมึง"

"...เออ"

"เอออะไร"

"ก็เออไง เรื่องโกหกล่ะฉลาด พอเรื่องนี้มาโง่เลยนะ โอ้ย! ตบอีกแล้ว นิสัยแย่!"

"โทษๆ ไม่ตบแล้ว มาจูบแทนมา"

แล้วผมก็โดนจูบข้างขมับ ระยะความสูงที่พอดีปากมัน

แย่แล้วครับ ผมหยุดยิ้มไม่ได้เลย ทั้งรู้สึกดีใจ ทั้งเขิน อารมณ์ทั้งหลายแหล่มันตีกันในอกไปหมด

เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ประถม ใครจะไปรู้ว่าจะมาสปาร์คกันตอนอยู่มหาวิทยาลัย แถมไม่รู้ด้วยว่าความรู้สึกมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อาจจะค่อยๆ สะสม หรืออาจจะเพราะความผูกพันของเราทั้งคู่ที่มีมากขึ้นก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกดีๆ ก็ให้มันดีๆ ต่อไปก่อนแล้วกัน

เพราะผมชอบอะไรที่มันละมุน ฟุ้งๆ แบบนี้เหมือนกันแหละ

 

PIE PATIPAT คบหาดูใจกับ THANTHAP THAP



JAONAI SIRIVEJPIPAT

เลิกฟังเพลงโมเดิร์นด็อกแล้วดิมึง  ยินดีด้วย เพื่อนสนิทคิด(ไม่)ซื่อ :)



THANTHAP THAP

กูบอกแล้วว่ารอดู คนหล่ออย่างกูยังไงพายก็ใจอ่อน ขอบใจมากเว้ยจ้าว



PIE PATIPAT

ขี้โม้อ่ะทัพ ฉวยโอกาสด้วย นิสัยแย่จริงๆ



THANTHAP THAP

พายอย่ามาแกล้งทัพถึงในนี้ดิ เนอะ ไม่แกล้งเนอะ



PIE PATIPAT

:)



TAWANNCHAI BHUMIVITAYA
พี่ว่าต้องเปลี่ยนจาก #นิเทศเทใจ เป็น #นิเทศกลัวเมีย แล้วล่ะที่นี้ ยินดีด้วยครับ



PIE PATIPAT, JAONAI SIRIVEJPIPAT, GOODNIGHT NIGHT, PA KAWIN และอีก 324 คนได้กดไลค์







--------------------------------------------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ เอาตอนต่อมาลงเรียบร้อยค่ะ

คู่เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนี่มันสนุกมากๆ เลยนะคะ สำหรับคนเชียร์ก็สนุกไปด้วย (นี่คือหนึ่งคนในนั้นที่ชอบเชียร์แบบอ้อมๆ เวลาที่รู้ว่าเพื่อนตัวเองใจตรงกันค่ะ) ถ้้าหากทุกคนสนุกไปด้วยเราจะดีใจมากเลยค่ะ

เนื่องจากมีคอนเม้นแนะนำมาว่าเขียนคำว่าซีรี่ย์ผิดมาตลอด ตั้งแต่นี้จะขอใช้ให้ถูกต้องเป็น มหา'ลัยเดอะซีรีส์ นะคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆ เลยค่ะ

ช่วงนี้อาจจะมาต่อช้าไปบ้าง เพราะงานหลักค่อนข้างยุ่งค่ะ จะพยายามทำสต๊อกไว้ในช่วงที้หายไปเอาไว้ และจะพยายามไม่หายนานนะคะ

ไว้เจอกันใหม่ค่ะ

หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-05-2017 22:40:31
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 25-05-2017 23:16:28
น่ารักก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 25-05-2017 23:28:35
น่ารักมากเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-05-2017 23:51:25
 :mc4:   เย้. ในที่สุด
อ้าวแปปๆกลัวเมียเลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-05-2017 23:49:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 6 ทัพพาย #นิเทศเทใจ (25.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 28-05-2017 01:09:12
#นิเทศกลัวเมีย 555555 น่ารักกกกกก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 30-05-2017 19:19:13
[7]






ผมโดนหักหลัง

จากคนสองคนที่หนึ่งในนั้นคือเพื่อนสนิท และอีกหนึ่งคือคนรักที่ผมไว้ใจ

"...ทำแบบนี้ได้ยังไง?"

มองพวกเขาทั้งคู่ด้วยสายตาว่างเปล่า รับรู้ได้ว่าเสียงของตัวเองมันอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนขั้วใบไม้ที่กำลังจะหลุดร่วงลงบนพื้น

"กูถาม ว่าพวกมึงทำแบบนี้กันได้ยังไง?"

เห็นทั้งคู่มองหน้ากันทว่าไม่กล้าเงยมาสบตาแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม น่าประทับใจมาก มิตรภาพที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานนับหลายปีที่ถูกทำลายลงด้วยความเห็นแก่ตัวของคนเพียงสองคน

"กัตน์มันถาม พวกมึงก็ตอบดิวะ!"

ไอ้ยาที่ยืนเงียบอยู่ข้างผมมานานตวาดพร้อมยกขาถีบตู้วางของที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากขามันนักอย่างแรงจนตู้เล็กๆ นั่นล้มลง อยากจะบอกมันเหลือเกินว่าอย่าทำลายข้าวของ หรือถ้าจะทำก็ไปทำของคนที่นั่งอยู่ตรงนู้น ไม่ใช่ตู้ใส่ของที่กูเอามาจากบ้าน

"กันต์... นิ่มขอโทษ"

"เก็บคำนั้นไว้ขอโทษพ่อแม่ตัวเองเถอะ"

สวนกลับไปอย่างไม่ไว้หน้าพร้อมตวัดสายตามองชายหญิงทั้งคู่ที่รวมหัวกันทำร้ายความรู้สึกของตัวเองอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

เมื่อชั่วโมงที่ผ่านมากลุ่มของผมตั้งใจจะไปหาอะไรกินหลังออกจากช็อปวิศวะซึ่งเป็นคณะที่พวกเราทั้งหมดเรียน แต่เพราะสองคนตรงหน้าบอกว่ามีธุระด่วนเลยต้องขอตัวไปก่อนก็ยอมตามใจ น่าเสียดายที่ร้านอาหารซึ่งเป็นเป้าหมายของวันหยุดเสียก่อน พวกเราเลยเฮละโรกันซื้อของสดมาตั้งใจจะเอามาทำกินกันเองที่ห้อง ไม่คิดเลยว่าจะเจอทั้งคู่กำลังพลอดรักกันในห้องของเรา บนเตียงของเรา ที่เราเคยใช้แสดงความรักกันมาหลายต่อหลายครั้ง

หึ แทนที่จะได้กินสุกี้ดันมาเจอเพื่อนกับแฟนตัวเองกินกันเอง ชีวิตต้องเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ขนาดนี้เลยเหรอ

"กันต์ กูกับนิ่มไม่ได้คิดอะไรกันนะเว้ย มันก็แค่... ชั่วครั้งชั่วคราว"

"ถ้ากูชั่วครั้งชั่วคราวกับเมียมึงบ้างจะโอเคมั้ยล่ะว่าน?"

ไม่ใช่ผมหรอกที่พูด แต่เป็นไอ้พงศ์ที่ยืนเงียบอยู่นานต่างหาก อาจจะเพราะมันช็อกที่เห็นสถานการณ์หรือไม่ก็เพราะมันไม่รู้ว่าควรจะแทรกบทให้ตัวเองตรงไหนดี

"ไม่ตอบ สงสัยความเหี้ยจะติดคอ"

และนี่ก็ไม่ใช่ผมอีก แต่เป็นไอ้สานที่ปกติมักจะช่วยไอ้ยากับพงศ์ตบมุกเสมอเป็นคนต่อ ต้องขอบคุณพวกมันทั้งสามคนที่ยังมีปากมีเสียงแทนบ้าง ไม่อย่างนั้นทั้งห้องคงมีเพียงแค่ผมยืนเงียบมองภาพตรงหน้าโดยไม่รู้จะทำยังไงดี

คนหนึ่งคือเพื่อนที่คบกันมาหลายปี ส่วนอีกคนคือคนรักที่คบมาไม่นานเท่าแต่ผูกพันไม่แพ้กัน

ไม่อยากจะรู้เลยว่าครั้งคราวที่มันพูดถึงนับจำนวนรอบได้เท่าไหร่

รู้สึกเหมือนตัวเองมีเขา ความโง่ที่พอกพูดยิ่งทับถมกันจนไม่รู้จะด่าตัวเองว่าอะไรบนโลกใบนี้ดี ยอมรับว่าโกรธ โกรธมากจนพูดไม่ออก แต่ก็ไม่ขาดสติจนจะเข้าไปใช้กำลัง เพราะถ้าพุ่งเข้าไปเมื่อไหร่ อีกสามคนก็คงไม่ห้ามและมันอาจจะทำให้เกิดข่าวหน้าหนึ่งทำนองว่าเด็กวิศวะตีกันเกิดขึ้นได้

ไม่อยากให้ห้องมีคราบเลือดด้วย เดี๋ยวคืนห้องแล้วไม่ได้มัดจำคืนจะแย่เอา

"เก็บของแล้วไสหัวออกไปจากห้องภายในห้านาที ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน"

"กันต์... ฟังนิ่มก่อน"

"ไม่มีอะไรต้องฟัง ถ้าไม่ออกไปภายในห้านาที รูปพวกมึงหราลงหน้าบอร์ดคณะแน่"

ไม่ต้องรอให้ส่งสัญญาณอะไร ยาก็คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนจำเลยที่นั่งนิ่งจนถึงเมื่อครู่ก็รีบคว้าเอาเสื้อผ้ามาใส่พลางกร่นด่าคนที่กดชัตเตอร์ไปด้วย ผมก็ไม่ทิ้งเวลาให้เสียเปล่า อะไรที่เคยเป็นของอีกคนผมใช้มือ ของตัวเองกวาดลงมาลงพื้นพร้อมโยนกระเป๋าของอีกฝ่ายทิ้งไปด้วยกัน รอให้เก็บเสร็จก็พยักเพยิกใบหน้าไปทางประตูคล้ายจะบอกว่าถึงเวลาแล้ว

"กันต์ นิ่มรักกันต์นะ"

"....."

"มันแค่ชั่วครั้งชั่วคราวจริงๆ"

"....."

"รอให้กันต์ใจเย็นก่อนก็ได---"

ไม่รอให้จบประโยคเท้าก็เผลอยันเข้าไปเต็มๆ ผนังห้องข้างกับที่หญิงสาวที่ผมเคยให้ความทะนุถนอมมาก่อน แย่ล่ะ เผลอโมโหจนออกแรงเสียแล้ว สงสัยงานนี้ก่อนคืนห้องต้องเอาสีมาทากลบจริงๆ เสียแล้ว

"เก็บไว้บอกผู้ชายคนอื่นเหอะ ออกไป"

นาทีนี้ต่อให้โดนหาว่าพูดจาทำร้ายจิตใจหรือข่มขู่ผู้หญิงผมก็ไม่สนใจแล้ว ความรู้สึกที่เสียไปมันมีมากกว่า เมื่อเห็นว่าครั้งนี้ผมเอาจริง ว่านก็รีบดึงแขนนิ่มพร้อมสะพายกระเป๋าของเจ้าหล่อนไปด้วย ก่อนที่จะเกิดเรื่องที่หนักหนายิ่งกว่านี้ขึ้น

"....ลงขวดมั้ย? กูเลี้ยงเอง"

สานเอ่ยขึ้นหลังจากแผ่นหลังของคนทั้งคู่หายลงบันไดไปแล้ว อีกสองคนที่เหลือมองหน้ากันก่อนมองมาทางผมราวกับจะบอกว่าให้ผมเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้แทน

"กินที่ห้องไม่ง่ายกว่าเหรอวะ?"

"มึงว่ามันควรกินในห้องตอนนี้มั้ยล่ะ ถามไม่ดูเวร่ำเวลาเลยไอ้ห่า"

ได้ยินคำพูดพงศ์ก็อดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตามองห้องที่เมื่อครู่เกิดเรื่องไม่เคยคาดคิดมาก่อนอีกครั้ง ผมอาศัยอยู่ห้องนี้มานาน เพราะราคาถูกและใกล้ตึกคณะ แน่นอนล่ะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันแย่มาก แต่ไม่มากพอที่จะทิ้งชีวิตที่เคยมีไปเสียหน่อย อาจจะต้องมาโล๊ะเสื้อผ้าที่เหลืออกจากตู้ อะไรที่เป็นของคู่กันก็ทิ้งให้หมด ส่วนเตียงก็คงต้องหาผ้าปูใหม่ ไม่งั้นคงรู้สึกแย่จนนอนไม่ได้

"...ร้านเหล้าหลังมอดีกว่า"

 





ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยถือเป็นร้านศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่านักศึกษา จึงไม่แปลกเลยว่าแม้จะเป็นคืนวันปกติก็ยังมีคนคุ้นหน้าคุ้นตานั่งกันอยู่เต็ม พวกผมเลือกโต๊ะตัวที่อยู่ริมซ้ายสุดของร้านเพราะที่นั่งประจำดันมีคนจองเอาไว้ก่อนแล้ว

หูก็ฟังเสียงไอ้ยาสั่งของกินและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มันสั่งประจำมาอย่างรวดเร็ว ใจหนึ่งก็รีบอยากให้ของที่สั่งมาจะได้รีบกรอกลงคอแล้วเมาๆ ไป แต่อีกใจก็ไม่รู้สึกอยากอะไร เพียงแค่มานั่งฟังเพลงกับเพื่อนเฉยๆ เท่านั้น

รอเพียงไม่นานของที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ คนมีหน้าที่ชงเหล้าก็ชงไป ส่วนผมที่ไม่มีอะไรลงท้องตั้งแต่ตอนเที่ยงก็นั่งเล็มอาหารเล็กๆ น้อยๆ มือก็รับแก้วเหล้าผสมโซดาจากเพื่อน แต่ยังไม่ทันจะได้กระดกเข้าปาก เสียงที่ทำให้อารมณ์ซึ่งเกือบจะดีขึ้นยิ่งแย่ลงกลับดังเข้าหูเสียก่อน

"สภาพแบบนี้แสดงว่าข่าววงในคงไม่ผิดซะล่ะมั้ง?"

"...จะมาหาเรื่องหรือไงไอ้หมาภพ"

"พูดจาไม่เพราะ เรียนหมอให้เรียกหมอ ไม่ใช่หมา"

"แต่หมอปากหมา ก็นับว่าเป็นหมาล่ะวะ"

สวนกลับไปก็ได้รับเสียงหัวเราะกลับมา แถมคนที่มาใหม่ยังทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวว่างข้างๆ ผมอีกด้วย ไม่ทราบว่าใครเชิญ ไอ้คนไม่มีมารยาท

"ไงภพ วันนี้ก็มาสิงอยู่นี่อีกแล้ว น.ศ.แพทย์ต้องยุ่งมากกว่านี้ไม่ใช่หรือไงวะ?"

ตรงข้ามกับผมที่ทำหน้างอง้ำด้วยความไม่พอใจ เพื่อนในกลุ่มกลับยินดีต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยไมตรีจิต ทั้งเหล้าทั้งอาหารประเคนให้มันพร้อม ไม่รู้ไปถูกอถูกใจกันตอนไหน ทั้งที่เจอหน้ากันทีไรผมกับไอ้ภพจะต่อล้อต่อเถียงกันตลอดแท้ๆ ผมนะที่เป็นฝ่ายต่อล้อต่อเถียง ส่วนอีกคนเพียงแต่นั่งยิ้มเหมือนมีความสุขแล้วตอกกับมาบ้างเป็นจังหวะ

“ก็มาผ่อนคลาย... แล้วบังเอิญได้ยินอะไรมานิดหน่อยเลยแวะมาคุยดู อยากพิสูจน์ข่าวล่ามาเร็ว”

พูดพลางเหล่มองหน้าผม ท่าทางที่ผมเกลียดหนักหนาจนพาลไม่ถูกชะตามันตั้งแต่แรกเจอที่งานรับน้องของมหาวิทยาลัย วัยที่เพิ่งก้าวผ่านระดับขั้นของความเป็นเด็กขึ้นมาเป็นเด็กที่โตกว่าเดิมเล็กน้อย

จำได้ว่าผมตื่นเต้นมากจากที่ได้ฟังรุ่นพี่ที่รู้จักกันเล่าไว้ งานรับน้องถือเป็นกิจกรรมที่ทำให้เรารู้จักคนมากหน้าหลายตา แถมยังอาจเป็นที่ถูกใจของรุ่นพี่หากความประทับใจแรกมากพอ ตอนนั้นยังเด็ก การได้รับความสนใจเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็คาดหวังและผมก็เป็นหนึ่งคนในนั้น

ผมเจอกับไอ้ภพตอนที่เข้าไปในซุ้มของคณะแพทยศาสตร์ มันนั่งอยู่แถวข้างกันกับผม เป็นทีมที่ถูกวนมาให้เจอกันพอดี และพี่ๆ ก็ให้แนะนำตัวกัน แน่ล่ะว่าผมหันไปหามัน พูดคุยกันเล็กน้อยตามมารยาท จนถึงช่วงที่ต้องรวมกลุ่มทำกิจกรรม

ตอนนั้นเกมปิดตาจับงูถูกเลือกมาเล่น คนถูกเลือกจะถูกปิดตา คนที่เหลือก็วิ่งไปวิ่งมาจนกว่าจะถูกสั่งให้หยุด พวกรุ่นพี่ก็จะตะโกนบอกทาง คงเดาได้ไม่ยากว่าไอ้ภพเป็นคนถูกผิดตา และผมนี่แหละที่เป็นเป้าหมายให้มันมาจับแล้วต้องบอกให้ถูกว่าคนที่มันจับคือใคร ตอนแรกก็สนุกดีหรอกครับ ทุกคนรวมถึงผมหัวเราะด้วยความสนุกสนานและพยายามไม่ขำเมื่อภพยื่นมือมาแตะๆ ที่แขนผม จนกระทั่งความชิบหายมาเยือน เมื่อรุ่นพี่บอกให้มันนั่งแล้วจับอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้า เดาได้ไม่ยากอีกใช่ไหม นั่งต่ำเสียขนาดนั้น พอยื่นมือมาจับก็โดนเข้าเต็มๆ กล่องข้าวน้อยกลอยใจที่พ่อให้ผมมาเต็มที่

ที่สำคัญมือแม่งหนักด้วย

ผมจุกจนร้องออกมา ส่วนมันก็ชักมือกลับในขณะที่คนอื่นยังหัวเราะด้วยความขบขัน แถมไอ้ภพยังมีแก่ใจจะทายชื่อผมออกมาให้ถูกแซวอีกว่าจับกันบ่อยล่ะสิถึงได้รู้อยากจะเถียงหลับไปว่ากูร้องดังขนาดนั้นแม่งไม่รู้ก็หูหนวกแล้ว แต่เพราะความหน่วงผมเลยได้แต่นั่งงอตัวมองหน้าคนที่ถอดผ้าผูกตาออกแล้วมองผมด้วยใบหน้าติดสนุกไม่น้อย แล้วรู้ไหมครับว่าหลังจากนั้นมันทำลายความประทับใจแรกของผมด้วยคำว่าอะไร

มันบอกว่า…

“ไม่คิดว่าจะเล็กขนาดนี้”

“ไอ้สัสภพ!”

หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยญาติดีกับมันอีกเลย

คิดแล้วก็อดไม่ได้ ผมวางแก้วด้วยความเบาระดับก้นแก้วแทบร้าวเพื่อแสดงให้รู้ว่าผมประทับใจมากที่ได้มาเจอมันในวันนี้ ส่วนไอ้ภพที่โดนพวกเพื่อนๆ ผมรินเหล้าให้ก็ยกซดอย่างไม่ไว้ใจ แถมยังหยุดเลิกคิ้วมองผมเหมือนจะให้ตอบคำถามเรื่องข่าวล่ามาไวของมันอีก

“เพิ่งรู้ว่านอกจากจะเป็นหมาแล้วยังขี้เสือก”

“พูดจาไม่เพราะอีกแล้ว เขาเรียกว่าสนใจใคร่รู้ความเป็นไปในตัวบุคคล”

"ไม่ตั้งชื่อให้ยาวสองบรรทัดไปเลยล่ะ”

พวกไอ้ยาหัวเราะลั่นกับคำโต้ตอบแล้วยกแก้วชนกันเองสามคน พวกมันสนุกครับแต่ผมเนี่ยอยากจะยกโต๊ะให้ล้มทับให้หมด สนุกบนความทุกข์ของคนอื่นชัดๆ

เห็นผมไม่ตอบคำถาม เด็กคณะแพทย์เพียงคนเดียวในกลุ่มก็หันไปให้ความสนใจกับเพื่อนผมแทน ยกแก้วชนเอาๆ เหมือนที่ถืออยู่เป็นน้ำเปล่า ไอ้นี่มันคอแข็ง ขนาดว่าพวกผมที่จัดว่าคอทองแดงยังสู้มันไม่ได้ ส่วนผมก็ยกดื่มพร้อมพูดคุยกับเพื่อนๆ พ่วงต่อปากต่อคำกับไอ้ภพเป็นพักๆ สลับกับฟังเพลงร็อกอกหักที่มักจะเปิดเป็นประจำในร้านเหล้าไปด้วย ปกติผมเป็นพวกไม่ค่อยฟังเพลงอะไรจริงจัง แต่มาวันนี้กลับรู้สึกได้ว่าตัวเองเข้าใจความหมายแถมร้องต่อได้ทุกเพลง คงเป็นความสามารถพิเศษของคนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์แบบผมล่ะมั้ง

"สานมันเลี้ยงทั้งที่ ทำไมมึงจัดน้อยกว่าปกติ?"

ผมเหลือบมองคนที่เจ๋อมาคุยด้วยอีกครั้งทั้งที่กำลังทำตัวเหมือนพระเอกในเอ็มวีเพลงอกหักแท้ๆ จะปล่อยให้อยู่ในโลกส่วนตัวเลยไม่ได้หรือไง

ส่งสายตาไปให้มันหนึ่งที่ว่า เสือก

"โอ้ย ให้มันเล่นเอ็มวีของมันไปเหอะภพ นี่ยังดีนะที่มันไม่เมาอาละวาด ไม่งั้นรับมือไม่ถูกยิ่งกว่านี้อีก"

"ถ้ามึงอยากระบาย มึงจะระบายก็ได้ เพื่อนก็พร้อมรับฟัง"

"เออ ให้มันนั่งเงียบๆ ไปก็ได้ไอ้ภพ"

"ถ้ามึงทำตัวเองเงียบๆ แบบนี้ มึงจะเก็บกด แล้วมึงจะซึมเศร้า พอเก็บมากๆ ผลสุดท้ายมึงก็จะคิดแต่เรื่องแย่ๆ วนไปมาไม่มีหยุด มีเพื่อนทั้งทีทำไมไม่ระบาย"

"กูไปดูดบุหรี่ละ รำคาญหมาเห่า"

ผมยันตัวลุกจากโต๊ะเพราะไม่อยากได้ยินคำพูดไม่เข้าหูของไอ้ภพต่อ คนอย่างมันไม่เข้าใจหรอกว่าความรู้สึกและอารมณ์ตอนนี้เป็นยังไง ใช้แต่คำพูดคำจาเข้าข้างตัวเอง ปกติถ้าเจอแบบนี่เข้าไปก็คงจะต่อปากต่อคำต่อ แต่วันนี้อารมณ์ไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา เจอกวนตีนมากๆ ก็อาจจะพลั้งมือเอาเลือดมาล้างหน้าตัวเองได้

ไม่ได้ยินเสียงเพื่อนร้องห้าม พวกมันคงรู้ว่าเวลาแบบนี้ปล่อยให้อยู่คนเดียวกับความคิดตัวเองเป็นสิ่งที่ผมต้องการที่สุด อยากอยู่คนเดียว อยากจะเดินเล่นรับลมเย็นตอนกลางคืนทำเอ็มวีเงียบๆ ปิดกั้นตัวเองออกจากผู้คนรอบข้างให้หมด พอคิดได้อย่างนั้นขาทั้งสองก็พาร่างตัวเองให้มาเดินเลียบสะพานข้ามฝั่งที่อยู่เยื้องจากหลังร้านเหล้ามาอีกเล็กน้อยแทนมุมสูบบุหรี่ประจำที่อยู่ข้างตัวร้าน

"ต่อไฟหน่อย"

โว๊ะ! แม่งตามมาอีกละ

มองบุหรี่ที่ถูกยื่นมาชนกับแท่งที่อยู่ในปากแล้วได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจอยู่ในลำคอ ไม่เข้าใจหรือไงวะว่าที่หนีออกมาเพราะรำคาญมันด้วยนั่นแหละ พูดมาก

"หมาสูบบุหรี่ได้ด้วย?"

"ห่วงก็บอกว่าห่วง มาทำปากไม่ตรงกับใจ"

"ขนลุกสัส!"

ไอ้ภพหัวเราะ ผมมองมันแล้วก็คิดเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก คนข้างๆ ผมไม่มีอะไรที่เหมาะกับการเป็นหมอเลยนอกจากสีผิวกับแว่นกรอบสี่เหลี่ยมที่ประดับบนใบหน้า แถมยังมาขลุกอยู่กับเด็กวิศวะบ่อยๆ อีก เพราะเพื่อนมันเรียนคณะนี้กันหมด แต่ไอ้ภพอยากเรียนหมอตามกิจการทางบ้านหรือยังไงนี่แหละจากที่ได้ยินมา

"สรุปเลิก?"

"รู้แล้วถามทำห่าอะไร"

"ยืนยันอาการแล้วจะได้ดูว่าต้องรักษายังไง เรื่องพวกนี้เป็นขั้นตอนพื้นฐานของหมอ"

"ถามกูยังว่าอยากเป็นคนไข้มึงหรือเปล่า"

หัวเราะ หัวเราะเข้าไป ขอให้ควันอัดปอดมึงตายไปเลย

เมื่อเบื่อจะต่อปากต่อคำ และข่าววงในที่มันได้ยินมาก็มาจากเพื่อนๆ มันที่อยู่ร่วมหอแน่นอนอยู่แล้ว เสียงดังโหวกเหวกขนาดนั้นก็ไม่แปลกหรอก ผมถอนหายใจแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ไม่มีดาวแม้เพียงดวงเดียวแต่มีควันสีเทาลอยคลุ้งทั่วบริเวณแทน รู้ว่าการสูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องดี แต่พอเวลาที่บ่ามันหนัก การทำหัวให้โล่งก็ช่วยได้ไม่น้อย

พลันภาพช่วงเวลาแห่งความสุขที่เคยมีกับคนรักเก่าและความสนิทสนมของพวกเราทั้งสามคนก็ผุดขึ้นมาในหัว ความสัมพันธ์ของนิ่มกับผมเริ่มขึ้นใกล้เคียงกับเวลาที่มิตรภาพของผมกับว่านผูกมัดกันแน่นขึ้น เพราะกลุ่มเรามีกันอยู่หกคน ชายห้าหญิงหนึ่ง ไปไหนไปกัน ช่วยเหลือกันและกัน ใกล้ชิดกันมากเท่าที่เพื่อนจะเป็นได้ สานความรู้สึกกันทีละเล็กละน้อย จึงไม่แปลกที่จะมีใครสักคู่ผูกพันกันเกินความเป็นเพื่อน

แต่มันก็พังทลายไปพร้อมกับความเชื่อใจของผมเอง

ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าโกรธไหม โกรธมาก แต่ไม่ได้โกรธเพราะการกระทำของสองคนนั้นเพียงอย่างเดียว ผมโกรธที่ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนมันถูกเหวี่ยงลงพื้นแล้วเหยียบซ้ำอย่างไม่มีดีเสียมากกว่า

“...กูเริ่มสนิทกับว่านตอนปีสอง เพราะลงเล่นกีฬาทีมเดียวกัน นิสัยมันโอเคนะเข้ากับพวกไอ้พงศ์ได้ ตอนรู้ว่าคบกับนิ่มมันยังแซวแถมอวยพรให้มีความสุขอีก แล้วอะไรคือการที่มันทำแบบนี้วะ” อาจเพราะความมืดและอาการมึนเล็กน้อยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผมจึงเริ่มระบายเรื่องที่อยู่ในใจออกมา “กับนิ่มก็อีก เป็นคนขอกูคบแท้ๆ ก็เอาใจใส่ดีทุกอย่าง อยากไปไหนก็ไป อยากมาอยู่ด้วยก็อยู่ หรือเพราะมันมากไปวะ ส่วนกูก็โง่เป็นควาย ขนาดไปแอบสปาร์คกันตอนไหนกูยังไม่เอะใจเลย”

“.....”

“ถ้าไม่รักกันแล้วก็เลิกไปดิวะ ไม่ใช่มาทำแบบนี้!”

ตะโกนเสียงดังจนได้ยินหมาเห่าตอบมาจากซอยใกล้ๆ บุหรี่ในมือถูกทิ้งลงพื้นพร้อมใช้รองเท้าไนกี้คู่ละหลายพันกระทืบจนมันบี้แบน คนที่ยืนข้างๆ ไม่แม้แต่จะเอ่ยห้าม ไอ้ภพสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วเป่าควันสีเทาจางออกมาช้าๆ

ความเงียบโรยตัวอยู่รอบด้านอีกครั้งกระทั่งบุหรี่ของอีกฝ่ายหมดลง ไฟด้านหลังร้านถูกดับลงแล้วเหลือเพียงแสงจางๆ จากด้านในเลยทำให้บริเวณโดยรอบมืดสนิทจนมองอะไรแทบไม่เห็น เจ้าของส่วนสูงกว่าผมกว่าช่วงหัวย่อตัวลงนั่งข้างๆ แขนของเราแตะกันก่อนที่มันยื่นมือมายีหัวกบาลซะจนเสียทรง ไอ้นี่เอาใหญ่ เห็นมืดเข้าหน่อยมาลามปาม เห็นแบบนี้ผมก็แก่เดือนกว่านะเว้ย

“เสียใจอยู่ป่ะ?”

“...เป็นมึงจะเสียใจป่ะล่ะ?”

“ไม่ จะหาเมียใหม่มาเย้ย แล่นไปบอกเมียมันด้วยว่าโดนสวมเขาให้โดนตบสักทีสองที”

โอ้โห มึงเป็นว่าที่หมอที่ดีมีศีลธรรมมาก

“คนมักมากสองคนหายไปจากชีวิต ก็คิดซะว่าคนแย่ๆ ผ่านไป คนดีๆ จะได้เข้ามา”

“หึ พูดเหมือนง่าย”

“...ก็ง่ายอยู่ อยู่ที่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็น”

“มองไม่เห็นเว้ย มืดจะตายห่าอยู่ละ ขนาดมองหน้ามึงยังเป็นแค่สีดำป้านๆ เลย”

เพราะสายตาเริ่มชินกับความมืดขึ้นมาบ้างแล้วเลยทำให้ทิ้งสายตาบนใบหน้ามันได้เร็วขึ้น แต่เห็นเพียงแค่สีดำป้านๆ เท่านั้นจริงๆ

“ไม่เห็นจะรู้ได้ไงว่าป้าน นี่มันออร่าความดีของกูชัดๆ”

“มึงไปเล่นที่เสาตรงนู้นนะ”

ไอ้ภพหัวเราะในลำคอแล้วยีหัวผมอีกครั้ง เดี๋ยวนะ มึงชักจะลามปามมากเกินไปแล้ว ผมชกมันเข้าให้ที่กลางลำตัวแต่ไอ้ภพกลับไม่สะดุ้งสะเทือนสักนิด ผมย้ำอีกครั้งนะครับว่าไอ้นี่มันไม่ควรเรียนหมอ มันควรมาเรียนวิศวะแบบพวกผมมากกว่า ทั้งความถึกทน คอทองแดง แถมปากเสียๆ นั่นให้ด้วย คือสงสารคนไข้ในอนาคต ปากแบบนี้ไม่น่าจะรักษาอย่างเดียวน่าจะไล่คนไข้ไปด้วยในตัว

“กูพูดจริง ถ้ามึงมองเห็น มึงจะรู้ว่ามีคนรออยู่”

ไอ้ภพยังย้ำคำเดิม แถมไม่ละมือออกจากหัวผมลามมาจับปอยข้างแก้มด้วย จะจับอะไรหนักหนา ถ้าไปส่องไฟแล้วสีที่ย้อมหลุดจะมาเก็บค่าเสียหายจากมันแล้วไปทำใหม่ทั้งหัวเลยคอยดู

“เอาง่ายๆ ที่พูดมาทั้งหมดคือจะบอกว่ารอกูอยู่ว่างั้น?”

เย้ามันกลับ เหมือนว่าไอ้ภพจะชะงักไปครู่หนึ่ง หึ เป็นไงล่ะเล่นมากนัก โดนเอากลับถึงกับไปไม่เป็น ผมชักอยากจะให้ไฟสว่างกว่านี้สักหน่อยแล้ว อยากจะยักคิ้วกวนๆ ให้มันเหมือนเวลาที่เถียงกันแล้วผมเป็นต่อ

“...ก็แล้วถ้าใช่?”

“เสื้อกราวด์หมออุ่นเท่าเสื้อช็อปวิศวะก่อนแล้วค่อยมาคุย”

“เสื้อกราวด์ไม่อุ่นแต่กูละมุนนะมึง”

“ละมุดก็พอมึงน่ะ”

ผมเกาแขนด้วยความรู้สึกคันจากแรงกัดของยุงที่บินวนไปมา ความจริงมันก็กัดมาสักพักแล้วล่ะ แต่เพราะยังสนุกกับการต่อปากต่อคำของไอ้ภพอยู่เลยไม่ลุกไปไหน แปลกดีปกติเกลียดขี้หน้าแทบเป็นแทบตาย แต่พอเวลานี้ได้ต่อปากต่อคำกับมันแล้วจากที่เคยรู้สึกแย่ๆ ก็เหมือนจะคลายไปได้เยอะ และด้วยรู้ว่ามันมองไม่เห็นแน่ๆ ผมเลยสามารถยิ้มบางๆ ออกมาได้ มอบความดีความชอบให้สักครั้งหนึ่งคงไม่เสียหายอะไร

“ไปเหอะ ยุงแม่งกัดจนตัวกูเป็นตุ่มแล้วเนี่ย”

ผมหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง แต่ไอ้คนข้างๆ กลับไม่ลุกตามมาด้วย แถมยังจับข้อมือไว้แน่นแล้วนั่งเฉยอยู่อย่างนั้นจนต้องจิ๊ปากแล้วเอาเข่าชนไหล่มันแรงๆ

"ปล่อยแล้วรีบๆ ลุกให้ไว"

"อย่ากระแทกแรง เดี๋ยวอะไรเล็กๆ มาโดนหน้ากู"

"ไอ้ภพ!"

"ดึงหน่อย"

ย้อนความหลังแล้วยังมาสั่งอีก คิดว่าตัวเองเป็นเด็กห้าขวบเหรอ?

"มีขาก็ลุกเอง ไอ้หมาภพ ลุก!"

ตะคอกไปอีกทีมันก็ยังอิดออดนั่งอยู่อย่างนั้น ความที่ตัวใหญ่กว่าแถมหนักกว่าทำให้ผมสะบัดแขนทิ้งไม่ได้ กลายเป็นต้องดึงมันขึ้นขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ไอ้ภพก็ยังจะกวนตีนด้วยการทิ้งน้ำหนักตัวใส่มาด้วย เลยเจอเตะอัดเอวไปหนึ่งที มันก็ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น แม่งประสาท!





 

[ต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 30-05-2017 19:19:51
คณะมึงอยู่นู่น มาลอยหน้าลอยตาอยู่นี่ทำไมทุกวี่ทุกวัน"

"ใจสั่งมา"

"ฮู้ย~ หนึ่งดอก"

ดอกหน้าวัวพวกมึงสิ

ขมวดคิ้วทำหน้าไม่พอใจแต่มีหรือไอ้พวกที่นั่งทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยจะกลัว นอกจากจะไม่หยุดแล้ว ยังมาทำหน้าบานชี้ไม้ชี้มือไปทางคนนอกคณะที่ช่วงนี้แวะเวียนมานั่งร่วมกลุ่มบ่อยเหลือเกิน ไม่มาเปล่า มันเอาทั้งตำราเรียน ทั้งของกินมากองเต็มโต๊ะหินอ่อนประจำของพวกผมไปหมด รู้สึกเหมือนโดนยึดที่โดยละม่อม แถมยังหน้าหนาไล่แล้วไม่ไปอีกด้วย

"มีคนดามใจโคตรไวเลยนะครับพี่กันต์ ไหนๆ ใช้คาถาอะไรมาขอบ้าง"

"กูก็ว่าไอ้ภพมากวนตีนไอ้กันต์ทำไมบ่อยๆ ที่แท้มึงรอโอกาสเสียบนี่เอง ร้ายว่ะเพื่อน กูซูฮกมึงเป็นลูกพี่เลย"

"เออ เดี๋ยวกูสอนวิธีให้"

แทนที่จะปฏิเสธยังจะไปเออออห่อหมกกับพวกไอ้ยาอีก ผมเลยจัดการบรรจงวางไนกี้รุ่นใหม่ลงบนรองเท้าหนังราคาแพงของมันแล้วกดแรงลงไปเน้นๆ จนได้ยินเสียงด่าจากเจ้าของนั่นแหละถึงได้สบายใจและยกเท้าออก

"เฮ้ย! เหยียบตีนหมาว่ะ"

"เฮ้ย! โดนควายเหยียบตีนว่ะ"

"ไอ้ภพ มึงจะเอาใช่มั้ย?"

"ใครเริ่มก่อนไอ้กันต์ เขินเพื่อนแล้วมาลงที่ผัว มันใช่เรื่อง?"

"ผัวกับง้าวมึงสิ! รีบกลับตึกคณะมึงไปเลยไป"

"แต่พวกมึงเหมือนผัวเมียตีกันจริงๆ นะ"

ผมตวัดสายตามองหน้าไอ้ยาที่กำลังเอามือท้าวคางมองผมสลับกับเด็กแพทย์แต่ดันสถาปนาตัวมายึดโต๊ะในคณะวิศวะไปเป็นของตัวเอง นี่มันใช้อะไรคิดถึงได้พูดประโยคนั้นออกมากัน ผมกับไอ้ภพเนี่ยนะ? ถ้าบอกว่ากำลังกัดกันเป็นหมายังจะน่าเชื่อกว่าอีก

"เออ ไอ้ภพ มึงตอบพวกกูมาตามตรง ที่มานั่งเนียนๆ กับพวกกูบ่อยๆ เพราะจะจีบไอ้กันต์ใช่มั้ย? ริจะเอาเสื้อกราวด์มาคลุมเสื้อช็อป ทำใจไว้แล้วยังครับว่าที่คุณหมอ"

ตามมาด้วยไอ้พงศ์ที่ตีสีหน้าจริงจังอีกหนึ่งคำรบ แต่อย่าได้คิดว่ามันจริงจังตามหน้าตาเชียว ที่ทำนี่มันเสแสร้งทั้งนั้น

"กูว่าเผลอๆ ไอ้ภพมันตามจีบตั้งแต่นู้น วันแรกที่เจอกัน พอได้จับหนอนน้อยของไอ้กันต์เข้าไป บะจะเฮ้ย! ประทับใจไซส์ถนัดมือ แต่ไอ้กันต์เสือกโง่ไม่รู้ตัวจนบัดนี้"

"เออว่ะ มีส่วน"

แล้วพวกมันสามคนก็ส่งเสียงแสดงความเห็นกันไม่หยุด มีการแท๊กมงแท๊กมือกันอีกต่างหาก ไม่คิดจะหันมามองหน้าผมหรือแม้แต่คู่กรณีที่ยกหนังสือกายภาพอะไรสักอย่างที่หน้าปกเป็นรูปกล้ามเนื้อมาบังหน้าแล้วหัวเราะตัวสั่นอยู่ด้านหลัง ไอ้พวกความคิดบรรเจิดไม่เคยบังเกิดเวลาสอบ ที่แบบนี้ล่ะเดาสุ่มกันนัก ขี้มโนสุดๆ

"...เพราะมึงเลย มึง ทำให้พวกมันเข้าใจผิด"

"กูก็เห็นพวกมันเข้าใจถูกอยู่นะ"

"ห๊ะ"

เผลอส่งเสียงแปลกๆ ออกไปตอนได้ยินประโยคนั้นของไอ้ภพ ส่วนเจ้าของคำพูดเพียงกระแอมแล้วไหวไหล่ทำเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วดันแว่นตาให้เข้าที่ก่อนก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือสลับกับส่งขนมเข้าปากตัวเองต่อ ส่วนผมเหรอ ก็กำลังงง สับสนกับคำพูดที่ได้ยิน ช่วงนี้เหมือนอีกคนจะชอบพูดจาทำนองชวนให้คิดไปว่ามันกำลังทีเล่นทีจริงใส่ตัวเองอยู่หรือเปล่า

ที่แปลกกว่าก็คือตัวผมเอง พอได้ยินประโยคพวกนั้นดันรู้สึกแปลกๆ เหมือนมันวูบแล้วเปลี่ยนมาสั่นอยู่ในอก อธิบายความรู้สึกไม่ถูก

"เอ่อ... กันต์คะ..."

แต่ก่อนจะได้ไขข้อข้องใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เสียงเบาๆ อันคุ้นเคยก็ดึงความสนใจผมไปอีกครั้ง เสียงจากอีกสี่คนที่นั่งอยู่ด้วยกันเงียบลงทันที สายตาทุกคู่ไม่เว้นไอ้ภพที่นั่งอยู่ข้างๆ พากันจ้องข้ามหลังผมไป ไม่ต้องเดาให้ยากหรอก เพราะนั่นคือเสียงนิ่ม อดีตคนรักหลังจากที่แยกกันได้กว่าสัปดาห์แล้ว ไม่ค่อยอยากจะหันไปเท่าไหร่ แต่ไอ้ตัวข้างๆ มันดันสะกิดยิกๆ แล้วมองตาผมคล้ายจะบังคับ เลยได้แต่ถอนหายใจแล้วหันไปสบตากับคนด้านหลังบ้าง

อืม ตัวกลั่นอารมณ์โกรธมาด้วยกันทั้งคู่เลย

"...มีอะไรอีก?"

"นิ่มกับว่านมาขอโทษกันต์"

"เออ รับแล้ว จะไปไหนก็ไป"

ไม่อยากเห็นหน้า ไม่ใช่ว่ายังรักอยู่จนรู้สึกเจ็บเหมือนในหนังหรอก หากใครเคยเจอเรื่องแบบผมน่าจะเข้าใจ ความรู้สึกรักพวกนั้นมันหมดไปตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าให้ความเชื่อใจกับคนผิดแล้ว แต่ผมกลัวว่าตัวเองจะตอกหน้าเธอไปแรงๆ เสียมากกว่า ยังไงก็ปากผู้ชาย และยิ่งเวลาไม่พอใจ คำพูดคำจามันยิ่งต้องเพิ่มดีกรีความห่ามมากขึ้นอยู่แล้ว ไม่อยากจะโดนหาว่ารังแกผู้หญิง หลังจากนี้ยังต้องเรียนด้วยกันอีกพักใหญ่ ขี้เกียจมานั่งตอบคำถามเรื่องการกระทำของตัวเองทีหลัง

"กันต์ อย่าไล่นิ่มแบบนี้สิ นิ่มรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้นะ ว่านก็เหมือนกัน..."

ฝ่ายหญิงเสสายตามองผู้ชายข้างตัวที่ยืนเงียบมาตลอด ผมเพียงเลื่อนมองเล็กน้อยแล้วหลบไปด้านข้างแทน ยิ่งเห็นหน้ายิ่งอารมณ์เสียว่ะแม่ง

"กันต์กูขอโทษจริงๆ กูไม่ควรทำเรื่องแบบนี้..."

"ก็บอกว่ารับแล้ว จะไปไหนก็ไป"

"ไอ้กันต์ กูพูดจริงนะเว้ย"

"กันต์ก็บอกว่ารับแล้วก็น่าจะจบหรือไม่ใช่? รีบๆ ไปเหอะ เอาจริงๆ พวกกูก็ไม่อยากเห็นหน้าว่ะ รังเกียจการกระทำ"

อยากจะจูบขอบคุณคนตัวเล็กประจำกลุ่มที่ตอกกลับไปพร้อมทำหน้าเหม็นเบื่อสุดๆ ใส่ ไอ้ยาเป็นคนแบบนี้แหละครับ บทจะเล่นก็เล่น บทจะจริงจังมันก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน หากผมโมโหเท่าไหร่ มันก็จะแรงยิ่งกว่าผมเกือบสิบเท่า นี่แหละคือเหตุผลที่ไม่ค่อยมีใครกล้าแหยมกับมันมานัก

"แล้วก็นะ ไอ้กันต์มันก็ได้แฟนใหม่แล้ว ถือว่าเลิกกันจังหวะโคตรดีจะได้ไปเจอคนดีๆ ที่คู่ควร ไม่งั้นเขาโง้งยาวชนกันสองข้างนี่แย่เลยนะเว้ย"

...เดี๋ยว มึงพูดอะไรนะไอ้ยา กูว่าไม่ใช่

ผมหันควับไปมองไอ้คนที่เจื้อยแจ้วอะไรมากมายออกมาทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริงเลยแม้แต่น้อย แล้วไอ้คนข้างๆ นี่อะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทำตาหวานใส่ให้รู้สึกแปลกๆ อีก จะเล่นใหญ่กันไปถึงไหนไม่ทราบ

"กันต์มีแฟนใหม่แล้วจริงเหรอ..."

"มะ..."

"มีแล้ว กูเอง"

ห๊ะ? อะไรนะสัญญาณไม่ค่อยดี

ไอ้ภพไม่รอให้นิ่มได้ถามอะไรต่อ มันสอดมือตัวเองเข้ามาใต้มือผม แทรกนิ้วยาวเรียวเข้ามากุมไว้ กลายเป็นสอดประสานกันแล้วยกขึ้นมาโชว์คนตรงหน้า สามคนนี้เคยเจอกันมาก่อนแต่ไม่ค่อยได้คุยกันนานเพราะส่วนมากจะเป็นพวกผมที่ไม่เถียงกัน ไอ้ภพก็จะไปตบมุกยิงมุกกับพวกไอ้ยาแทน แถมไอ้สานก็สนิทกับเพื่อนของเด็กแพทย์ผ่าเหล่าคนนี้ด้วย

"ต้องขอบคุณนะที่ทำเรื่องพวกนั้น ไม่งั้นกันต์ไม่ยอมตกลงทั้งที จีบมาตั้งแต่ไม่มีเขาจนโง้งฟาดหน้าแล้วดูสิ"

ยังตอแหลด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แถมคำพูดคำจากก็น่าโดนฟาดปากด้วยอีก ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากนิ่มแต่ผมกลับไม่คิดจะหันไปมองเพราะมัวแต่พยายามดึงมือที่ถูกกุมของตัวเองอยู่ จนว่านอ้อมแอ้มขอตัวพานิ่มเดินออกไปจากกลุ่มผมก็ยังแงะมือตัวเองออกมาไม่ได้ แรงควายจังวะ!

กว่าจะดึงออกมาได้ก็โน้น สองคนนั้นหายลับตาไปแล้ว ผมสะบัดมือตัวเองแรงๆ และด่ามันด้วยความไม่พอใจ

"เล่นอะไรของมึง คนเขาเข้าใจผิดหมดไอ้ภพ!"

"แล้วอยากกลับไป?"

"มันไม่ใช่เรื่องนั้นเลยเว้ย!"

"เออน่ะ ก็พูดไปแล้ว มึงก็เป็นเมียหลอกๆ ของกูต่อไปนั่นแหละ"

"เพื่อ!?"

"อุตส่าห์ให้เป็นหลอกๆ ไม่เอา งั้นเป็นเมียจริงๆ เลยก็ได้"

สรุปผมพูดไม่รู้เรื่อง หรือสมองมันเกินขีดความเป็นคนไปแล้วก็ไม่รู้ แล้วดูมัน พูดเสร็จก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อไม่สนใจผม มึงควรจะกลับไปขยันที่คณะ ไม่ใช่มาขยันหลังทำคนเข้าใจผิดไปแล้วไม่ใช่หรือไง

"เออ กูว่ามึงก็ยอมๆ มันไปเหอะกันต์ ไอ้ภพมันก็รอมึงมาตั้งนานแล้วนะ เนี่ยได้มันไปเท่ากับได้ทั้งผัวทั้งหมอ สบายเลยนะมึง โอ้ย!"

ผมส่งมะเหงกลงกลางกบาลไอ้พงศ์ที่ดันเจ๋อออกความเห็นทันที อีกสองคนที่เหลือหัวเราะใหญ่ ไอ้พวกนี้มันต้องประสาทกันไปหมดแล้วแน่ๆ

"เคมีก็เข้ากันดี กูแอบเชียร์ตั้งแต่มึงยังคบกับนิ่มอ่ะที่จริง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คบกันไปเหอะกูอนุญาต"

"กูด้วย ฝากเพื่อนกูด้วยนะไอ้หมอภพ มันเป็นคนดีแค่ปากหมาไปหน่อย ต้องการการดูแลมากๆ แล้วมึงจะได้เห็นความมีเสน่ห์ของมัน"

"ได้ หลังจากนี้กูดูแลให้"

ตกลงกันเองเสร็จสรรพแถมยังจับมือกันกลางโต๊ะหินอ่อนด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนทหารที่กำลังจะออกรบ มือไม้ผมเริ่มสั่น คิ้วและกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก สุดท้ายผมก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะโกนด่าไอ้พวกที่อยู่ตรงหน้าด้วยประโยคเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้

“ไอ้สัสภพ!"

"เออ รักเหมือนกัน รักสัสๆ เลย”

ไอ้คนกวนตีน!





--------------------------------------------------------------------------------------------





TALK: สวัสดีค่ะ คิดถึงถึนไหมเอ่ย? ;D

เอาคู่ใหม่ที่อยากจะแต่งเป็นเรื่องนาวเหลือเกินมาให้อ่านกันค่ะ ชอบทั้งชื่อ ทั้งคาร์แรคเตอร์ เลยจัดเต็มมาเชียว หวังว่าทุกคนจะชอบเหมือนกันนะคะ

ช่วงนี้เรากำลังปั่นฝนดาวตกอยู่ เลยอาจจะหายๆ ไปบ้าง ถ้าคิดถึงก็ไปคุยกันได้ที่เพจหรือทวิตเตอร์ก่อนก็ได้นะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำติชมที่ทำให้เราเขียนนิยายด้วยความสนุกเสมอ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ!
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-05-2017 19:30:59
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 30-05-2017 20:00:46
 o13
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 30-05-2017 20:04:43
มึนมาก แต่น่ารักกกกก 55555
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: maemix ที่ 30-05-2017 20:17:52
กันต์ใจอ่อนเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 31-05-2017 20:41:00
คู่กัดจะเป็นคู่รักยังไง สนุกดี
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Destiny ที่ 31-05-2017 21:20:21
เสื้อกาวน์ สะกดงี้ มาจาก Gown เห็นนิยายแพทย์หลายเรื่องสะกดผิด ทั้งๆที่เป็นศัพท์พื้นฐานของวิชาชีพนี้
ระวังๆ หน่อยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 01-06-2017 01:18:11
น่ารักจัง มีความชอบแกล้งคนที่ชอบ อิอิ :hao3:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 01-06-2017 11:59:36
มาบอกว่าชอบเรื่องนี้ฮะ น่ารักทุกคู่เลย
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกให้ได้อ่านนะคร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 7 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (30.05.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 01-06-2017 14:02:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 05-06-2017 19:37:33
[8]







ผมโดนทำเสน่ห์

โดยผู้ชายที่กำลังทำหน้าทำตาเหมือนมั่นใจว่าตัวเองกวนตีนเต็มที่ แต่สำหรับคนมองอย่างผมมันโคตรน่าหมั่นเขี้ยว

"หึ ไงล่ะไอ้หมาภพ ไม่คิดล่ะสิว่าจะมาเจอคนหล่อๆ แบบกูที่นี่"

ไม่พูดเปล่า ผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองเกินร้อยอย่างกันต์ยังกอดอก ยกยิ้มมุมปาก แถมยักคิ้วใส่ผมอีกด้วย ดูท่าทางจะพอใจในการกระทำของตัวเองมากทั้งที่ยังไม่รู้แม้แต่น้อยว่าการที่มันมายืนอยู่ตรงนี้ก็เท่ากับแพ้ให้คำยุยงโดยอ้อมของผมแล้ว

"ท้าดีนัก บอกเลยว่าสร้างห้องสมุดแค่นี้ไม่คณามือเด็กวิศวะแบบพวกกูหรอก

เดี๋ยวจัดให้สวยเนี้ยบแถมสว่างจนเห็นไปหมู่บ้านข้างๆ"

"ให้มันจริง ตัวแค่นี้แบกปูนนิดหน่อยก็ลมจับแล้วมั้ง"

"กวนตีน รอเรียกกูว่าพี่กันต์ได้เลย"

พูดจากระฟัดกระเฟียดไม่พอใจก่อนจะย้ายมวลสารของตัวเองกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ดูเอา หยอกนิดหยอกหน่อยก็อารมณ์เสีย สงสัยจะขาดแคลเซียมไปบำรุงร่างกาย

ผมขยับแว่นที่เลื่อนลงมาบนสันจมูกก่อนก้มไปดูตารางกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมเอาไว้ต่อวันนี้เป็นวันแรกของกิจกรรมค่ายอาสา สร้างห้องสมุดให้เด็กๆ ในพื้นที่ทุรกันดาร ผมร่วมกิจกรรมมาตั้งแต่ปีหนึ่งแม้กระทั่งตอนนี้ที่ตารางเรียนแน่นขนัดแต่เพราะความชอบและความประทับใจจากกิจกรรมเมื่อปีก่อนๆ ยังอยู่ จึงไม่พลาดที่จะลงชื่อร่วมด้วยเมื่อเห็นใบรับสมัครบนบอร์ดคณะ เพียงแต่ไม่คิดว่าคนที่ผมเพิ่งจะต่อปากต่อคำด้วยจะยอมลงสมัครเพียงเพราะโดนผมท้าทายไว้







วันนั้นผมแวะไปหากันต์ที่คณะวิศวะให้มันกัดด้วยข้ออ้างว่ามารอเพื่อนและที่นั่งตรงกลุ่มมันก็ว่างพอดีเหมือนที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ทันได้ยินอีกฝ่ายคุยกับพวกสานว่าไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมเลยสักครั้งเพราะมีเหตุให้ไม่สามารถไปร่วมได้ตลอด พอย้อนคิดดูแล้วก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะตอนปีหนึ่งมันชวดโอกาสไปด้วยติดธุระกับทางครอบครัว พอมาปีสองก็ไปคบกับคนชื่อนิ่มและผู้หญิงคนนั้นก็ไม่อยากให้มันมา เห็นว่าเพราะเธอไม่อยากมาลำบากและไม่อยากอยู่ห่างแฟนหรือยังไงนี่แหละ ช่วงนั้นกันต์มันก็หลงเลยยอมตามใจไม่มาตามไปด้วย

แต่มาปีนี้พ่อแม่ก็ไม่เรียกกลับบ้าน แถมเพิ่งเลิกกับแฟนด้วยเหตุผลโคตรบัดซบอีก ทำให้กันต์เริ่มคิดถึงการมาค่ายจริงจัง แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ว่าไอ้ค่ายอาสานี่ทำอะไรบ้าง แถมทางมหาวิทยาลัยยังให้ร่วมด้วยตั้งสองอาทิตย์ ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมก็ปากหมาแซวมันไป ใจหนึ่งแซวเพราะอยากแซวจริงๆ แต่อีกใจก็รู้ว่าถ้าพูดจากวนตีนไปแล้วคนไม่ชอบความพ่ายแพ้ต้องมีปฏิกิริยาเป็นแน่

"กลัวลำบากก็บอก แต่ไม่เป็นไร เรียนจบไปมึงก็ไม่ลำบากเหมือนไปค่ายหรอก เมียคนเดียว กูเลี้ยงได้"

"ละเมอแทะโต๊ะไปเถอะมึงน่ะ!"

            ไม่ผิดจากที่คาด ไอ้กันต์หน้าดำหน้าแดงด่าที่ผมไปเรียกมันว่าเมียแล้วบดส้นเท้าลงรองเท้าหนังแท้ราคาสูงของผมเสียเจ็บไปหมด ยอมให้ไปก่อน รอก่อนเถอะ... จีบติดเมื่อไหร่พ่อจะเอาคืนทีเดียวทั้งต้นทั้งดอก







"อืม... ก็ไม่คิดจริงๆ นั่นแหละ"

ผมพึมพำมองมันหัวเราะอยู่ในกลุ่มเพื่อน ไม่เคยคิดจริงๆ ว่าตัวเองจะมาชอบผู้ชายด้วยกันจนมาเจอมัน

พวกยาชอบแซวว่าผมชอบกันต์เพราะความประทับใจแรกพบของพวกเรา เหตุการณ์ที่จะตราตรึงใจอีกฝ่ายไปตลอดชีวิต เพราะแทนที่ผมจะจับตัวจับหน้าเดาชื่อเพื่อนในกลุ่ม ดันพลาดไปจับหนอนน้อยมันเต็มๆ แถมตอนนั้นยังตกใจเลยพูดจาทำลายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายทำให้มันเกลียดขี้หน้าเอาเสียอีก แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วเรื่องนั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นต่างหาก มารู้ตัวว่าชอบจริงๆ ก็นู่น ตอนกันต์คบนิ่ม เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ผมไม่ค่อยถูกชะตา เลยทำให้ห่างๆ กันไปและยิ่งห่างก็ยิ่งรู้ว่าที่คิดกับกันต์ ที่คอยตามแกล้ง ตามกวนตีน เดินมาหาที่คณะทั้งที่ไม่ได้นัดกับเพื่อนไว้ก็เพราะร่างกายกำลังทำตามคำเรียกร้องของหัวใจนั่นแหละ

เสี่ยวแดกมาก อย่าให้มันรู้ความลับนี้เชียว ล้อยันเป็นผัวเมียกันร้อยรอบก็ไม่เลิกแซวแน่

"เฮ้ยภพ! มึงยังไม่มีกลุ่มใช่ป่ะ? พวกไอ้ปอนด์มันจับกันเองไปแล้วว่ะ มึงมาเติมกลุ่มกูให้ครบห้าหน่อยดิ จะได้พอดี"

เงยมองตามเสียงยา  เพื่อนสนิทในกลุ่มของคนที่ผมกำลังนินทาอยู่ในใจ กูเห็นนะครับว่าดึงชายเสื้อเพื่อนยิกๆ พยายามห้ามเต็มที่ แต่หึ... กลุ่มมันก็คนกันเองกับผมทั้งนั้น ไม่รู้หรอกว่าเชื่อเรื่องที่แซวหรือเปล่า แต่ชงมาขนาดนี้จะไม่ให้แล้วไม่ยกดื่มก็จะกระไร มีโอกาสทั้งที

"ได้ จะมาเฝ้าเมียด้วย"

"ใครเมียมึง?"

"ก็ไม่ได้พูดชื่อนะ แต่ร้อนตัวแบบนี้แสดงว่าอยากเป็น"

"ไอ้หมา!"

"พูดจาไม่สุภาพ นี่หมอ หรืออยากเรียกผัวก็ย่อมได้"

"พวกมึงไม่น่าเรียกแม่งมาเลย"

ดูเอานะคนเรา พอเถียงไม่ได้ก็เริ่มไปลงที่เพื่อน พงศ์ก็ขำใหญ่เลยโดนตวัดสายตาดุๆ มองเสียหนึ่งที แต่อย่าลืมนะครับต่อให้มันเป็นเด็กวิศวะสุดเถื่อน เพื่อนมันก็พวกเดียวกัน มีหรือที่เขาจะกลัว ขู่ได้ขู่ไป เพื่อนๆ ก็ไม่เลิกล้อหรอก

"แล้วนี่มึงต้องไปทำอะไรก่อนป่ะ? เห็นว่าพวกคณะแพทย์ต้องให้บริการตรวจสุขภาพอะไรด้วยนี่ เหมือนที่ทำตลอด"

สานถาม รายนี้มากับผมทุกปีแถมเพื่อนสนิทผมที่เรียนอยู่วิศวะก็รู้จักมันด้วย พยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วชี้ไปยังกระเป๋าใส่อุปกรณ์จำเป็นที่สะพายไว้บนบ่า ทีมน.ศ.แพทย์มีบริการตรวจสุขภาพฟรี แต่ไม่มีการจ่ายยา หากเจอคนป่วยก็ทำการส่งให้ทางอนามัยเป็นผู้ดูแลเพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้ใบอนุญาตจะให้มาจ่ายยาผู้ป่วยง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณ แต่ถ้าพูดถึงตรวจที่คลินิกก็เปิดโอกาสให้ผมพอดี

"ก็มีไปช่วยตรวจที่คลินิก แต่ยังขาดผู้ช่วยอยู่ คนที่อยากให้ไปด้วยก็ดันไม่อาสาตัว"

พูดพลางมองคนที่ยืนลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่ได้ยินใส่ผมอยู่ ครับ นั่นแหละความกวนตีน

"นี่ไง เอาไอ้กันต์ไปดิ เดี๋ยวพวกกูไปช่วยน้องๆ ยกอิฐ"

"ตลก กูก็จะไปยกอิฐ หน้าที่นั้นกูจองแล้ว"

"มึงไปกับไอ้หมอแล้วค่อยกลับมา เพิ่งมาปีแรกทำอะไรไม่เป็นหรอก อยู่แล้วเกะกะสัส"

ทำหน้าขัดใจเชียว น่าสงสารเหมือนกันนะที่โดนเพื่อนปฏิเสธแถมยังใส่พานถวายให้ผมขนาดนี้ ทั้งที่คนทำหน้าที่ยกอิฐก็รุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งมาทั้งนั้นแต่ตัวเองที่เป็นพี่ปีสามดันถูกหาว่าเกะกะ แต่อย่าคิดครับว่าพวกยาจะเปลี่ยนใจ นู่น เดินกอดคอนำลิ่วไปนู่นแล้ว เหลือผมกับกันต์ที่ยังทำหน้าสับสนอยู่ตรงนี้

“...จะไปไหนก็ไปดิวะ จะยืนให้รากมันงอกหรือไง”

“ครับๆ เมียหรือแม่วะดุจัง”

หยิกแก้มมันไปหนึ่งทีแล้วรีบสาวเท้าหนีก่อนจะโดนถีบ กันต์มันคงอึ้งไปเลยครับ กว่าจะเดินตามมาก็ตอนผมหันไปกระตุ้นด้วยการกวนตีน แม้หน้าจะงอง้ำด้วยความไม่พอใจแต่แอบเห็นหูที่พ้นเส้นผมมามีสีแดงจางๆ ระบายอยู่ เห็นแล้วก็ยังใจชื้น ดูท่าวิธีจีบแบบนี้จะไม่แย่เท่าไหร่

แม้จะบอกว่ามาช่วยที่คลินิก แต่สำหรับพื้นที่ทุรกันดารแบบนี้สิ่งที่พอจะให้หมอสมัครเล่นอย่างผมมาทำหน้าที่ก็บ้านไม้ขนาดกลางที่มีใต้ถุนบ้านไว้สำหรับวางแคร่ของผู้ป่วยหนัก จากที่ฟังแล้วไม่มีใครมาใช้บริการบ่อยนักเพราะคนต่างจังหวัดที่สัมผัสธรรมชาติมาตลอด ร่างกายย่อมแข็งแรงกว่าคนเมืองกรุงอย่างเราๆ กันอยู่แล้ว  จะมีก็แต่เด็กตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่เคยได้รับการตรวจสุขภาพจริงจังนั่นแหละที่จะถูกเกณฑ์มารวมตัวกันในช่วงเวลานี้เพื่อให้น.ศ.แพทย์ตรวจกัน

"ทำไมคนอื่นเขาไม่เห็นมีผู้ช่วยเลย มีมึงคนเดียวเนี่ยพากูมา ตอแหลเหรอไอ้หมา"

ผู้ช่วยจำเป็นเอ่ยถามเมื่อมองไปรอบคลินิกไม้แล้วพบเพียงเด็กคณะแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมคณะของผมเองเพียงสี่ห้าคนและแต่ละคนก็หันมาทักทายกันก่อนหลับไปจัดการอุปกรณ์ตรวจของตัวเอง แน่ล่ะว่าของแค่นี้ทำเองได้ ผู้ช่วยอะไรไม่จำเป็นต้องมีหรอก

"ตอแหลที่ไหน ก็ให้มาช่วยนี่ไง"

"ช่วยอะไร ไหนมึงบอกมาสิ"

"ช่วยนั่งข้างๆ แล้วให้กำลังใจผัวด้วยนะครับที่รัก"

"ไอ้หมาภพ!"

"ชู่ว เด็กๆ มาแล้ว อย่าพูดจาไม่สุภาพครับ"

ผมยกนิ้วแตะปากปรามก่อนหันไปมองเด็กหัวเล็กๆ ที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาสวัสดี หน้าที่ของผมเริ่มแล้วครับ ปล่อยให้คนหลงกลตามมานั่งทำปากยื่นอยู่ข้างๆ ต่อไปนั่นแหละ

“เอ้าเจ้าหนู อย่าเพิ่งตีกันดิ มาให้หมอตรวจก่อนเร็ว”

“พี่ชายเป็นหมอเหรอ? ทำไม่ไม่ใส่เสื้อสีขาวๆ อ่ะ ไม่มีหูฟังด้วย?”

“ฉลาดนะเนี่ยรู้ว่าหมอต้องใส่เสื้อขาว แต่ไม่อะ พี่ไม่ใช่หมอ เป็นนายช่างมากกว่า”

“ที่ซ่อมนี่นั่นเหมือนพ่อผมอ่ะเหรอ?”

“ใช่ๆ นายช่างแบบนั้น ซ่อมได้โดยเฉพาะเรื่องไฟ”

ผมถอดหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อให้ได้ยินว่าคนที่นั่งข้างๆ กำลังคุยอะไรกับเด็กๆ ที่กำลังต่อแถวรออยู่บ้าง กันต์มันเข้ากับเด็กได้ไวนะครับ ถึงปกติจะชอบตีหน้านิ่งให้ดูดุข่มขวัญตามประสาคนยึดมั่นว่าคณะวิศวะต้องมาดเข้มทั้งที่จริงแล้วหน้าตาไม่ได้กระเดียดไปทางนั้นด้วยซ้ำ หากจะบอกว่าผมไม่เหมือนคนเป็นหมอนอกจากผิวขาวกับใส่แว่น กันต์มันก็ไม่เหมาะกับการเป็นวิศวะนอกจากผิวสีแทนที่เกิดขึ้นเพราะชอบเฮละโรไปเตะบอลกับเพื่อน ถ้าขาวเท่าผมมันคงเป็นประเภทตี๋ขาวตาเฉี่ยวแบบที่สาวๆ ชอบเรียกกันประมาณนั้น

ดูท่าว่าเด็กคนถัดไปที่เมื่อครู่ยังยืนตีกับเพื่อนจะไม่ทันรู้ตัวว่าถึงตาตัวเองแล้ว เพราะเอาแต่ทำตาโตปากกลมมองหน้านายช่างอยู่ ดูท่าจะประทับใจไม่น้อยที่มีคนทำอาชีพเดียวกับคุณพ่อของตัวเอง จนกันต์ต้องอุ้มร่างผอมๆ มานั่งบนเก้าอี้แล้วส่งสายตาดุๆ มาสั่งให้ผมตรวจต่อไป

“แล้วพี่ทำหุ่นยนต์ได้ป่ะ?”

“ก็ทำได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย”

“ตอนอยู่นี่พี่ทำให้หน่อยดิ”

“ถ้ามีเวลาจะทำให้แล้วกัน ไม่สัญญานะ เคป่ะ?”

เด็กตัวเล็กพยักหน้าใหญ่ เขาเป็นเด็กสุขภาพดีทีเดียวเมื่อได้ฟังอัตราการเต้นของหัวใจและตรวจสภาพช่องปากช่องหู

แต่ติดที่น้ำหนักนี่สิ ค่าเฉลี่ยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องเขียนบอกผู้ปกครองให้ดูแลเรื่องอาหารการกินเสียหน่อย





 

“ชอบเด็กเหรอ?”

การตรวจสุขภาพเด็กๆ ในหมู่บ้านใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก พอเกือบเที่ยงก็ตรวจได้ครบทุกคนแล้วผมกับผู้ช่วยจำเป็นที่เดินตัวปลิวฮัมเพลงสบายใจอยู่ข้างๆ ก็ย้ายจากคลินิกบ้านไม้เพื่อไปรวมตัวกลับกลุ่มสมาชิกคนอื่นๆ รอเวลามื้อกลางวันที่กำลังจะถึง

“เด็กๆ ก็น่ารักดี”

รอยยิ้มอย่างเต็มใจที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นจากกันต์ถูกส่งให้ผม ดูท่าจะอารมณ์ดีมากจนลืมว่าปกติเราต้องตีกันมากกว่านี้

“แล้วอยากมีเป็นของตัวเองป่ะ?”

“ไม่อะ ไม่มั่นใจว่าจะเลี้ยงให้โตมาเป็นคนดีได้เลยไม่อยากมี เล่นกับลูกคนอื่นก็สนุกดีอยู่แล้ว”

“เสียดาย คิดว่าถ้าอยากมีจะได้ช่วยทำสักหน่อย”

“เก็บปากไว้แดกข้าวเหอะ”

บ่นเสร็จก็เดินชนไหล่กลับไปหากลุ่มเพื่อนที่โบกมือเรียกหยอยๆ จากโต๊ะไม้อีกฝั่ง จำได้ว่าหลังทานข้าวเสร็จจะเริ่มทำการก่อสร้างห้องสมุดที่เป็นเป้าหมายจริงของการมาค่ายอาสาแล้ว น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เมื่อตอนปีหนึ่งได้ทำห้องน้ำ ตอนปีสองมาได้ทำสนามฟุตบอลให้พวกเด็กๆ มาปีนี้ได้สร้างห้องสมุด รู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยคนที่ไม่มีให้มีได้

ขั้นตอนการทำงานของพวกเราเป็นไปตามแพลนที่ทางประธานค่ายเป็นคนจัดเตรียมไว้ เพราะมีเวลาเพียงสองอาทิตย์กับการจัดการเลยต้องทำให้ไร้ข้อบกพร่องมากที่สุด เมื่อช่วงเช้าของที่จำเป็นต้องใช้ยังขนลงจากรถได้ไม่เท่าไหร่มาตอนบ่ายเลยต้องจัดการในส่วนที่เหลือให้หมด ยังดีที่มีชาวบ้านมาช่วยด้วยอีกแรงการทำงานที่ได้ความร่วมมือจากคนหมู่มากเลยยิ่งสนุกยิ่งขึ้น ดูท่าว่ากันต์ก็คงสนุกไม่แพ้กัน เพราะมองไปทีไรก็เห็นอีกคนวิ่งไปช่วยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว น่าจะเหนื่อยเหมือนกันเพราะอากาศก็ร้อนไม่ใช่เล่น แถมเหงื่อยังชุ่มหลังขนาดนั้น

กว่าจะจัดการสิ่งของทั้งหมดได้ก็กินเวลาเกินสองโมงไปแล้ว หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่บริษัทรับเหมามาลงเสาเข็มให้เพื่อใช้สำหรับขึ้นโครงห้องสมุด ตัวไม้และผู้รับเหมามาทำเป็นส่วนที่ทางโรงเรียนจัดการเลยไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ หลังจากนั้นพวกรุ่นพี่ปีสี่ก็จัดการทำในส่วนของหลังคา และปล่อยให้รุ่นน้องรองลงมาที่จัดแจงแยกกลุ่มกันเรียบร้อยแล้วทำตามหน้าที่กันเอง

กลุ่มของผมรับหน้าที่ในการขนถ่ายสิ่งของที่แต่ละกลุ่มต้องใช้และรับหน้าที่ผสมปูนให้สามารถใช้ได้ตามจำนวนของผู้ร่วมงานฟังเหมือนง่ายใช่ไหมล่ะแค่ผสมปูน แต่ความจริงโคตรยากและโคตรวุ่นวายเลยครับ ต้องขอบคุณไอ้พงศ์ที่มีประสบการณ์จากการช่วยที่บ้านมาอธิบายทีละขั้นตอน ไม่อย่างนั้นจำนวนปูนกับจำนวนน้ำที่ใช้ผสมต้องเหลวเกินกว่าจะเอาไปใช้ฉาบได้แน่

"ยากว่ะ กูนึกว่าแค่เอาน้ำผสมๆ กับปูนก็ใช้ได้เลย นี่อะไร มีทรายมีปูน มีน้ำ แล้วไอ้ถุงๆ นั่นอีก เยอะแยะชิบหาย"

"เออ เนี่ยแหละ มึงทำไปจะได้รู้ว่ากว่าบ้านแต่ละหลังจะได้มามันลำบากแค่ไหน พอทำสำเร็จมึงจะโคตรฟินและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า"

"หลวงพ่อเทศน์แล้วพวกมึงยังไม่รีบอีก สาธุสิวะ!"

"สาธุ~"

พวกผมสี่คนยืนเรียงกันพร้อมยกมือไหว้ไอ้สานที่เล่นตามด้วยการตบลงมาที่หัวแต่ละคนไม่แรงนัก นี่ล่ะครับ ไม่ได้บุญก็ต้องได้บาปกลับไปบ้างล่ะ

 





ช่วงเวลาในค่ายอาสาผ่านไปรวดเร็วมาก อีกเพียงสองวันพวกผมก็จะปิดกิจกรรมลงอย่างสมบูรณ์แบบ

และห้องสมุดหลังเล็กที่กว่าร้อยชีวิตช่วยกันสร้างก็จะใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา ตอนนี้เหลือเพียงทาสีเก็บรายละเอียดและขนชั้นหนังสือมาตั้งพร้อมจัดหนังสือเข้าหมวดหมู่เท่านั้น แค่คิดถึงความสำเร็จที่จะได้เห็นก็ดีใจแล้วล่ะครับ ที่ลงทุกลงแรงกันมาไม่เสียเปล่าแน่นอน

"ทิชชู่"

ทิชชู่เนื้อดีถูกยื่นให้ขณะที่ผมกำลังลากแปรงทาสีลงบริเวณกรอบหน้าต่างไม้ แต่มีหรือที่ผมจะทิ้งโอกาสดีๆ นี้ไป ไม่รอช้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พยักเพยิกให้อีกฝ่ายรู้หน้าที่ของตัวเอง

"มีมือก็เช็ดเอง"

"มีมือแต่มือไม่ว่าง ช่วยเช็ดให้หน่อย"

แม้จะทำเสียงจิ๊จ้ะไม่พอใจเพราะโดนเพื่อนๆ ส่งเสียงแซว แต่ด้วยความใจดี ไอ้กันต์เลยบรรจงปาด ย้ำนะครับว่าปาดทิชชู่ลงบนหน้าผมแรงจนกระดาษขาด แถมยังทำหน้าสะใจจัดอีกด้วย รู้เลยว่าถ้าส่องกระจกจะเห็นหน้าตัวเองแดงเป็นปื้นแถมมีเศษกระดาษติดเป็นหย่อมๆ ด้วย

“มดขึ้นหมดแล้วครับ สองผัวเมียตรงนั้นนะ”

“ไม่ใช่ผัวเมียเว้ย!”

“แหมๆ พวกมึงสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน

แถมยังหวานใส่กันตลอดยังจะมาทำปากแข็ง ไม่ดี๊ไม่ดีนะครับคุณกันต์ ภพไม่สั่งสอนเมียเลย”

ผมทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจราวกับเป็นพ่อบ้านใจกล้าเหมือนไม่สนสายตาเคืองๆ จากคนที่บรรจงปาดทิชชู่อย่างแรงจนแสบหน้าอีกครั้ง แน่ล่ะว่าทุกเรื่องที่พวกไอ้ยาพูดมาเป็นเพียงคำพูดจากฝ่ายคนที่เห็น ไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง เรื่องที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอาจจะใช่อยู่ แต่เรื่องผัวเมียนี่ยังไม่ใช่ และเรื่องที่ว่าหวานกันตลอดก็... เรียกว่าเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก เพราะกันต์ก็ยังคงเป็นกันต์ที่ด่ากลับมาทันทีเวลาผมแซว หรือเอ่ยแกล้ง จะมีก็แต่เรื่องที่เราคุยกันมากขึ้นเพราะสถานการณ์เป็นใจให้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ และช่วงนี้ยังใจดีมากพอจะทำอะไรที่ผมขอบ้างเป็นบางครั้งด้วย

“เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วไปดูน้ำตกที่ชาวบ้านบอกกัน”

เอ่ยชวนคนที่เพิ่งยกนิ้วกลางให้เพื่อน เมื่อตอนกลางวันค่ายของเราได้ร่วมทานข้าวกับพวกชาวบ้านที่ศาลาการเปรียญ เห็นเด็กๆ ที่ช่วงหลังมาสนิทกับกันต์เพราะเจ้าตัวทำหุ่นจากเศษไม้ไปให้แทนหุ่นยนต์ของจริงที่หาอุปกรณ์ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าท้ายหมู่บ้านมีน้ำตกเพียงเดินเข้าป่าไปร้อยเมตรเท่านั้น กันต์มันตื่นเต้นใหญ่เลยตั้งใจจะพาไปให้ได้ก่อนจะกลับกรุงเทพกัน

“พวกมึงไปด้วยกันเปล่า?”

ทำหน้าคิดแล้วมันก็หันไปถามสามหนุ่มสามมุมที่ยืนเงี่ยหูฟังด้วยรอยยิ้ม แต่พวกนั้นก็รู้หน้าที่ดีครับ ส่ายหน้ากันโดยพร้อมเพรียงแล้วบอกว่านัดเตะบอลกับพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านไว้ นั่นหมายความว่าทริปนี้จะมีเพียงผมกับกันต์สองคนเหมือนเดิม

การเก็บรายละเอียดสีไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลานานมากนัก ยิ่งเมื่อมีคนช่วยกว่ายี่สิบคนโดยรอบ เพียงสองชั่วโมงพวกผมก็ปาดเหงื่อ เก็บอุปกรณ์แล้วแยกย้ายกันไปใช้เวลาส่วนตัวของตัวเองแล้ว แม้ตอนแรกตั้งใจจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไป แต่เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียจะไปน้ำตกแล้ว ละอองน้ำคงทำให้ต้องกลับมาชำระคราบไคล้กันอีกครั้งเป็นแน่ เลยเลือกจะตรงไปยังจุดหมายแทนที่จะเสียเวลาไปกลับหลายเที่ยว เพราะปกติชาวบ้านต้องใช้เส้นทางในป่าเพื่อหาของดำรงชีพอยู่แล้ว เส้นทางเลยไม่ซับซ้อนแถมยังมีทางธรรมชาติเบิกเป็นเส้นไว้ให้ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวพวกเราก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมายิ่งทำให้ง่ายต่อการค้นหาเส้นทางยิ่งกว่าเดิมอีก


[มีต่อด้านล่างค่ะ]

หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 05-06-2017 19:39:47
“สวยโคตร...”

ได้ยินเสียงกันต์แทรกมากับเสียงน้ำตก แม้จะเรียกว่าน้ำตกแต่ก็เป็นเพียงน้ำตกขนาดเล็ก ไม่ได้แรงอะไรมากมายนัก

เดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ เส้นทางน้ำก็ยิ่งช้าลง พวกเราเดินมายังสะพานไม้เล็กๆ ที่ยื่นลงไปกลางแม่น้ำ ดูแล้วคงจะเป็นสะพานที่ชาวบ้านมาทำไว้สำหรับให้พวกเด็กๆ มานั่งเล่นนี่แหละ ไม่รอช้า กันต์สาวเท้าด้วยความรวดเร็วแล้วทิ้งตัวนั่งตรงริมขอบ

ห้อยเท้าลงไปเตะน้ำด้วยความสบายใจ ผมยิ้มกับแผ่นหลังที่ดูผ่อนคลายก่อนจะเดินตามมาทิ้งตัวข้างๆ ให้ไหล่เราชนกัน

“ที่นั่งมีตั้งเยอะแยะ จะมานั่งชิดๆ เพื่อ เขยิบไป”

“อยากนั่งใกล้ๆ มึง ไม่ได้หรือไง?”

“...แม่งงี่เง่า!”

ถึงจะบ่น จะด่าแต่ก็ยอมให้นั่งด้วยนะครับ แบบนี้เขาเรียกว่าใจอ่อนได้หรือเปล่า? ตอนมีโอกาสก็ชอบแกล้ง ชอบหยอดใส่มันไปเรื่อยนั่นแหละ ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ที่หอมหวานอะไรหรอกเพราะรู้ว่ากันต์มันเป็นผู้ชายแท้ๆ และผมก็เป็นผู้ชายแท้ๆ อีกคนที่ดันไปชอบมัน เวลาจีบเลยดูแปลกๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำเหมือนเวลาจีบผู้หญิงทั่วไปหรือยังไง แต่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นคงไม่ได้อยู่กวนมือกวนเท้ามันมานานขนาดนี้หรอก และให้คิดว่าตัวเองทำแบบนั้นใส่มันก็ค่อนข้างจะชวนขนลุกอยู่ ให้หยอดแบบกวนตีนกันไปมาแบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะ แต่ยอมรับว่าผมชอบการนั่งข้างกันเงียบๆ โดยไม่ต้องพูดจากวนประสาทกันไปมาเหมือนเวลานี้ด้วยเช่นกัน

“ทำไมมึงชอบร่วมกิจกรรมค่ายอาสาวะ?”

คนข้างๆ เริ่มเปิดปากพูดก่อน แต่สายตาเขายังไม่ละจากการเก็บวิวทิวทัศน์รอบด้าน

“เพราะอยากมาสัมผัสสิ่งที่หาไม่ได้ในกรุงเทพล่ะมั้ง”

ตอบพลางมองตามสายตาอีกคนไปด้วย มันสวยมากครับ ต้นไม้สีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้า กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า เสียงน้ำ เสียงลม ทุกอย่างคือธรรมชาติของจริง

“ถ้าเราอยู่กทม.เราจะไม่เห็นท้องฟ้าสีนี้ ต้นไม้ไม่เยอะเท่านี้ ได้แต่กลิ่นควันรถ มีแต่ฝุ่น แถมนิสัยคนที่แตกต่างไปจากที่นี่”

“อ่าฮะ”

ผมยิ้มเมื่อเขาตอบรับเป็นทำนองว่าฟังอยู่

“ยิ่งกว่านั้นคือมีโอกาสแล้วที่จะทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง เรามีในสิ่งที่พวกเขาไม่มี เราสามารถให้สิ่งที่พวกเขาต้องการได้ เรานำความรู้ ความสามารถ และเงินที่ใช้กับของฟุ่มเฟือยมาช่วยพวกเขาในสิ่งที่ขาดได้ พอคิดแบบนั้นก็เลยมาอยู่ตรงนี้”

“เพิ่งเคยได้ยินมึงพูดจาสมกับคนที่กำลังจะเป็นหมอก็วันนี้แหละ”

อ่า... รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยได้เลยแหะ

คงเพราะบรรยากาศสบายๆ ที่ห้อมล้อมเราทั้งคู่ไว้ทำให้กันต์ลืมตั้งแง่กับผมไปเสียสนิทรอยยิ้มที่ปกติเคยทำได้แต่มองจากที่ใกล้ๆ เวลานี้มันใกล้มากจนผมนึกอยากจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาเก็บภาพไว้ แต่น่าเสียดาย เพราะรู้ว่ามาน้ำตกเลยไม่พกมาให้เปียก

"กูคิดมาตลอดว่ามึงยิ้มน่ารัก แต่พอมาเห็นใกล้ๆ แล้วหัวใจจะวายเลยว่ะกันต์"


พลาดครับ พอผมชมทีหน้าหุบเลย มันเปลี่ยนสีหน้าไวมาก มาตอนนี้ก็มุ่นคิ้วแถมยังขบปากตัวเองเหมือนที่ชอบทำเวลาคิดอะไรมากมายในหัวอีก

“...มึงหยอดบ่อยๆ แบบนี้คิดอะไรกับกูป่ะเนี่ย?”

ความรู้สึกช้าสัส

อยากจะด่าแต่คงไม่ดี ไหนๆ มันก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ

ได้มากขึ้นเท่าที่สมองไซส์เท่าเด็กของมันจะสามารถทำได้ ก็ลองคิดดู ใครมาเจอลูกหยอดแบบนี้ การกระทำชัดเจนแบบนี้ เขาต้องดูออกกันตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไงว่าตัวเองกำลังโดนขายขนมจีบ แต่นี่อะไร โดนไปขนาดนี้แล้ว แถมเพื่อนยังแซวจนไม่รู้จะแซวยังไง ยังจะไม่รู้ตัวแล้วมีหน้ามาถามคนจีบอย่างผมอีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่นิ่มขอคบทั้งที่ตัวมันยังไม่แน่ใจก็ตอบเขาไป แล้วเป็นยังไงล่ะ โดนจัดหนักเสียสะบักสะบอม แต่ก็ใช่ว่ากันต์จะเจ็บจากการโดนแฟนนอกใจขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมรู้ว่าที่อีกคนเสียใจและโมโหมากเป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองโดนทำลายความเชื่อใจต่างหาก ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พอเวลาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ กันต์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่ใครต่อใครมาแซวว่าโดนเมียทิ้งอีกแล้ว

“ก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“...กูนึกว่ามึงล้อเล่น ผู้ชายเหมือนกันจะมาคิดอะไรแบบนี้ได้ไงล่ะวะ”

“ทำไมจะไม่ได้ ก็กูคิดไปแล้ว"

มันทำหน้า เออว่ะ ใส่ผมอีกที หมั่นเขี้ยวจนต้องหยิกแก้มมันให้โวยวายเหมือนที่ทำบ่อยๆ โดนฟาดหลังมืออย่างแรง เจ็บไม่ใช่น้อยแต่ก็คุ้มดีที่ได้เห็นมันเอามือลูบแก้มจนแดงเป็นปื้น

"นิสัยเสีย คนจะเป็นหมอห่าอะไรมือหนักขนาดนี้"

"ทีมึงตีเข้ามาเน้นๆ กูยังไม่บ่น"

"ก็มึงสมควรโดน"

ผมหัวเราะกับคำครหาก่อนจะเปลี่ยนจากการดึงแก้มเป็นยีหัวทุยๆ ของอีกคนแทน คนห่าอะไรขยับตัวแต่ละทีกระตุ้นต่อมอยากแกล้งคนอื่นเขาตลอด

“แล้วยังไง? สนใจเป็นเมียหมอบ้างมั้ย? มีโปรโมชั่นดูแลสุขภาพกายและใจฟรีตลอดชีวิต”

"โปรโมชั่นห่าอะไรอย่างกับขายตรง"

"เออ ขายมันตรงๆ นี่แหละ จะเอาหรือไม่เอา"

"แล้วถ้ากูไม่เอา?"

"ปล้ำแม่งตรงนี้นี่แหละ ไม่มีใครช่วยด้วย"

"ไอ้สัสภพ! ถอยไปเลย!"

โดนดันที่กลางอกเมื่อทำท่าจะโถมเข้าใส่มัน กันต์แยกเขี้ยว ทำหน้าเหมือนจะกัดหากผมกล้าจะเข้าใกล้เขาอีก ตาชั้นเดียวเบิกกว้างสุดความสามารถ ทำให้ผมนึกไปถึงภาพสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังจะโดนกินมากขึ้นไปอีก

"คำตอบล่ะ?"

"กู... ไม่รู้ว่ะ... กูเพิ่งเลิกกับแฟนไปนะเว้ย ถึงจะไม่ได้รู้สึกรักหรืออะไรแล้วก็เหอะ แถมมึงยังเป็นผู้ชายที่เจอหน้าทีไรก็หาเรื่องกันตลอดอีก จะให้คบกันมันก็แปลกๆ ป่ะวะ คนอื่นจะมองยังไงก็ไม่รู้ ไหนจะเพื่อน จะพ่อแม่อีก..."

ผมใช้นิ้วชี้แตะปากมันให้หยุดแล้วพูดขึ้นก่อน รู้ครับว่าสับสน ตอนผมรู้ใจตัวเองก็โคตรสับสน ทั้งที่เป็นผู้ชาย ทั้งที่เป็นเพื่อน คิดสะระตะไปหมด แต่สุดท้ายก็มาลงเอ่ยที่ชอบมันจริงๆ แล้วทำยังไงน่ะเหรอ? ก็เห็นๆ กันอยู่

"นี่มันเรื่องของเราสองคน กูรู้ว่ามึงคิดมากหลายเรื่อง กูก็คิด แต่ถ้ามึงลองตัดทุกอย่างออกล่ะ เหลือแค่ความรู้สึกของมึงกับความรู้สึกของกู..."

".........."

"ความเป็นไปได้ของคำว่าเรา มันพอจะมีหวังมั้ยวะ?"

เราสบตากัน ตั้งใจจะส่งผ่านทุกความรู้สึกไปให้มันเข้าใจว่าสิ่งที่พูดออกไปผมกลั่นกรองมาแล้ว ไม่ใช่เพียงคำพูดลอยลม หรือหยอดตามประสาเหมือนที่ผ่านมา

กันต์ไม่หลบตา ไม่โวยวาย ครั้งนี้เขาทำเพียงแต่เงียบ นิ่งสนิทและมองตอบผมอยู่แบบนั้น เริ่มรู้สึกใจแป้วขึ้นมาแล้วครับ สงสัยว่าที่หมออย่างผมคงได้รักษาไข้ใจของตัวเองเป็นเคสแรกเสียแล้ว

"...ไม่ลองก็ไม่รู้"

หืม? อะไรนะ เหมือนได้ยินว่าอะไรลองๆ

"อะไรนะ ขออีกที"

"กวนตีนกูเหรอไอ้ภพ"

เอาแล้ว ทำหน้าดุอีกแล้ว ไม่ได้กวนตีนเลย เปล่าเลย แค่มันตกใจ เห็นเงียบไปนานแบบนั้นเลยคิดว่าจะโดนถีบตกน้ำเข้าให้แล้วต่างหาก

"เปล่าๆ คือตกใจ เฮ้ย... แม่งไม่คิดว่าจะตอบตกลงดีๆ"

"ประสาท กูยังไม่ได้ตกลง กูแค่ให้ลอง"

"ก็นั่นแหละ นับว่าตกลงเป็นว่าที่เมียหมอแล้ว"

"เมียเหี้ยอะไร! ถ้าพูดคำนั้นอีกกูถีบตกน้ำแน่!"

ดุชิบ แน่ใจเลยว่าในอนาคตผมต้องได้เข้าสมาคมพ่อบ้านใจกล้าที่เพื่อนๆ คนไม่โสดได้ตั้งกลุ่มเตรียมไว้แล้วเป็นแน่

"โอเคๆ ไม่เป็นเมียเนอะ แค่เด็กวิศวะที่กำลังจะมีผัวเป็นหมอเนอะ"

"เนอะกับผีมึงสิ ไอ้สัสภพ!"

ให้ตาย โดนด่าแล้วยังยิ้มได้ขนาดนี้ ผมคงโดนกันต์มันทำเสน่ห์เข้าให้จริงๆ แล้วละ

"ครับๆ รู้แล้วครับว่ารัก ภพก็รักกันต์สัสๆ เลยครับ"

 

PHANPHOP PHOP
กวนตีนเข้าไว้จะได้ใจเด็กวิศวะมานะครับ
ว่าที่ผัววิศวะได้กล่าวไว้ :) GUN VISAWA

 

GUN VISAWA
ไม่ต้องมาแท๊กชื่อกู ไอ้สัสภพ!

 

PHANPHOP PHOP
ครับๆ #แพทยรักสาส เลยครับ

 

NAWAPHOL YAAA
กูว่าแล้ว คู่นี้ไม่แคล้วได้กัน แทงหวยไม่สู้ลุ้นให้เพื่อนแทงกัน

 

SAN RUJANONTAWAN
ไอ้หมอ มึงซิ่วมาเรียนคณะกูมา กูชอบว่ะ เพื่อนเขยเถื่อนๆ แบบนี้

 

THOSSAPHONG PHONG
สินสอดไม่ต้อง พวกกูแถมเหล้าให้ด้วย

 

GUN VISAWA
.......กลับกรุพวกมึงไปเลยไป!







--------------------------------------------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ คู่แพทย์วิศวะมาอีกตอนแล้ว :D

พอแต่งมาจนถึงตอนนี้แล้วก็อยากแต่งคู่หนุ่มๆ แบบเรื่องยาวดูบ้าง แต่คงไม่ใช่ในระยะใกล้นี้แน่ๆ เพราะฝนดาวตกยังรอเราอยู่ แถมมีความคิดว่าอยากจะเอางานเก่ามารีไรท์ด้วยค่ะ ไหนๆ ก็แต่งจนจบแล้วไม่อยากให้เสียเปล่า ต้องขอฝากไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ --> เราเคยลงในเล้าโดยใช้แอคเก่าที่ลืมรหัสและอีเมล... http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43034.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43034.0)

สำหรับคู่นี้ มีบางส่วนที่เอามาจากเหตุการณ์จริงกับเพื่อนๆ ในกลุ่มด้วยค่ะ พอมาลองคิดย้อนไป เหตุการณ์นั้นทำให้โตขึ้นและมองโลกกว้างขึ้นมากเลย นับว่าเป็นเรื่องแย่ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องดีก็ได้นะคะ อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าคนเราแข็งแกร่งได้มากแค่ไหน #เบ่งกล้ามโชว์

บ่นเยอะแล้ว หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับตอนนี้ด้วยเหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกเม้น ทุกการหวีดร้อง จัดมาได้เต็มที่เลยค่ะ!

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 05-06-2017 20:29:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-06-2017 21:33:26
 :mew1:   :-[. เถื่อนจุง แต่ชอบ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-06-2017 23:33:14
 :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-06-2017 23:51:07
 :laugh:

หมอมั่นใจมากว่าจะเป็นผัว
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 8 ภพกันต์ #แพทยรักสาส (05.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 07-06-2017 21:01:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 12-06-2017 18:42:49
[9]






ผมชื่อรักษ์

พ่อแม่ตั้งชื่อนี้ให้เพื่อสอนให้ผมรู้จักที่จะรักและทะนุถนอมสิ่งสำคัญในชีวิตผมให้เป็นดั่งความหมายของชื่อ และผมคิดว่าผมทำได้ดีทีเดียว

"คุณ... คุณตื่นได้แล้ว"

"...อือออ"

"คุณครับ ตื่นเร็ว เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน"

ผมเอื้อมมือไปเขย่าไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มเบาๆ หมายจะปลุกเจ้าของร่างที่ดื้อดึงซุกใบหน้าลงกับหมอนมากกว่าเดิม เป็นพวกตื่นยากไม่มีเปลี่ยน

"เราขออีกห้านาที..."

"ไม่ได้ วันนี้มีพรีเซนต์งานไม่ใช่เหรอ? ตื่นเร็ว"

"อือ... มีงาน... งาน..."

บ่นงึมงำอยู่สองสามคำแล้วพลิกตัวกลับไปอีกด้าน ผมปล่อยให้ความนิ่งเงียบแผ่ไปทั่วบรรยากาศครู่หนึ่งพลางยืนกอดอกมองปฏิกิริยาต่อไปของคนบนเตียง

"เหี้ย! ตอนนี้กี่โมงแล้วรักษ์!?"

"หกโมงครึ่ง คุณมีเวลาอีกชั่วโมงก่อนถึงเวลารวมตัวที่ตึกสถาปัตย์"

หัวเราะกับท่าทีแตกตื่นของคนตรงหน้าพร้อมเอื้อมมือไปลูบทรงผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่นนอนด้วย

"โอเค ขอบคุณนะ ถ้ารีบไปก่อนก็ได้เราอาบน้ำก่อน"

"ไม่เป็นไร รอไปด้วยกัน"

ส่งยิ้มให้คนที่คงไม่ทันมองเพราะเจ้าตัวพยายามข้ามกองกระดาษที่กระจายอยู่เต็มพื้นไปคว้าผ้าขนหนูกับชุดนักศึกษาแล้วเดินเขย่งขาเป็นนักบัลเล่ต์หายไปทางห้องน้ำ ตัวผมเองก็ต้องใช้ความพยายามที่จะก้าวผ่านอุปกรณ์ต่างๆ บนพื้นไปเหมือนกัน ไม่กล้าไปเก็บหรือยุ่งกับอะไรของเขา เดี๋ยวเกิดทำอะไรพังแล้วจะซวยเอา

ปกติข้าวเช้าเราจะสลับกันทำ แต่หากวันไหนที่คุณมีงานต้องทำจนต้องโต้รุ่งเหมือนวันนี้ผมก็จะเป็นฝ่ายรับหน้าที่ลงไปซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้ให้ เห็นใจเขาครับ นั่งตัดโมตั้งแต่เมื่อวานจนมาประกอบงานเสร็จตอนตีสี่กว่า ได้นอนไปไม่ถึงสองชั่วโมงก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวไปพรีเซนต์งานต่อ คงจะเหนื่อยมากทีเดียว





"เดี๋ยวเราแบกไปเอง รักษ์วางไว้ตรงนี้ก็ได้"

คนที่แบกข้าวของเต็มไม้เต็มมือเอ่ยด้วยความเกรงใจ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขามาส่ง ทั้งที่แบบจำลองในมือก็ใหญ่จนจะถือไม่ได้อยู่แล้วยังจะดันทุรังอีก หากหล่นพังไปต้องเดือดร้อนแน่นอน ผมเลยปฏิเสธด้วยการกดลิฟท์สำหรับนักศึกษาให้เขาแทน

"ส่งถึงที่ได้ บริการฟรีสำหรับว่าที่สถาปนิกคนเก่ง"

"โอ้โห พูดจาดี เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงข้าว"

"พูดแล้วนะ ขอบุฟเฟ่ต์แซลมอนเลย"

"บอกมาตรงๆ ก็ได้ว่ารักษ์เกลียดเรา"

ผมหัวเราะขณะที่ก้าวเข้าลิฟท์ไปด้วย ความจริงเราสองคนสลับกันเลี้ยงข้าวอยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว หากใครมีเงินก่อนก็เลี้ยง ใครช่วยงานใครก็เลี้ยง สลับๆ กันไป

"ไอ้รักษ์! กูไปด้วยๆ!"

ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองผมก็ต้องเอาเท้าขัดลิฟท์ไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนมือข้างที่ว่างก็รีบกดปุ่มเปิดรอ ไม่อย่างนั้นคนที่วิ่งตรงมาต้องเอาหน้าและโมเดลในมือกระแทกประตูลิฟท์แทนแน่ๆ แค่คิดก็เจ็บแทนแล้ว

"ยังมีเวลา ทำไมมึงไม่ไปรอบอื่นวะ"

"ก็กูจะไปรอบนี้ด้วย จะทำไมล่ะไอ้คุณ?"

"เหม็นอากาศที่ต้องใช้ร่วมกับมึงไง"

"ดูมันพูดนะไอ้รักษ์ ทีกับมึงล่ะเพราะเชียว ทีกับเพื่อนแม่งเห่าเป็นหมาชิวาว่าเลย"

"กูไม่ใช่หมา!"

มองคุณทะเลาะกับเพื่อนแล้วก็ได้แต่หัวเราะตามไปด้วย ภีมชอบแกล้งเพื่อนครับ ชอบไปแหย่ชอบไปแกล้งให้คุณอารมณ์เสียแล้วพอโดนด่ากลับก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ จนบางครั้งผมแอบคิดนะว่าเขาเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า ถึงได้มีความสุขนักเวลาเจออะไรแบบนี้

ดีที่ลิฟท์มาถึงชั้นที่ต้องการทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงมีวางมวยกันสักยก

"ขอบคุณมากนะรักษ์ เดี๋ยวนัดกันหลังเลิกเรียนอีกทีเนอะ"

"ได้ ตั้งใจพรีเซนต์ล่ะ"

"รับทราบครับคุณพ่อ~"

ลากเสียงยาวแถมยังตะเบ๊ะใส่อย่างน่าหมั่นเขี้ยวเลยจัดการหยิกแก้มไปหนึ่งที ได้ยินเสียงคนกระแอมเบาๆ เลยหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นภีม นี่ยังไม่เข้าห้องไปอีกเหรอ?

"เอาจริงๆ พวกมึงสองคนมีซัมติงกันป่ะวะ?"

"ซัมติงห่าอะไร พวกูเป็นรูมเมทกัน"

"รูมเมทเขาไม่ทำแบบนี้อะ" ภีมส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย ไม่ปวดหัวหรือไงกัน "กูกับไอ้หยกเป็นรูมเมทกันยังไม่ทำเลย ขนลุกตายชัก บอกมา พวกมึงคบกันใช่มั้ย?"

"ประสาทว่ะภีม มึงคิดมากไปละ รักษ์ไปเรียนเถอะ ไอ้โรคจิตนี่เราดูแลเอง"

คุณถอนหายใจพร้อมรับข้าวของไปจากมือผมแล้วเตะขาเพื่อนเร่งให้เดินนำไปก่อน ภีมทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นอาจารย์ประจำคลาสที่ตนต้องพรีเซนต์งานด้วยเดินมาจากอีกฝั่งของระเบียงเลยต้องยอมแพ้ นำหน้าเพื่อนเข้าห้องไปแต่โดยดี ส่วนคุณก็หันมาหาผมอีกครั้งพร้อมยิ้มให้แล้วขยิบตาอีกทีเป็นสัญญาณระหว่างเรา ก่อนจะหายเข้าตัวตามไป

หลังจากนั้นก็เป็นตัวผมเองต้องรีบวิ่งหน้าตั้งไปให้ทันเวลาเข้าเรียน เหยียบเข้ามาที่ตัวอาคารปุ๊บ สัญญานเตือนเข้าคาบก็ดังปั๊บ ดีนะที่เพื่อนจองที่ไว้ให้และอาจารย์ยังไม่เข้าคาบ ไม่อย่างนั้นคงโดนหักคะแนนที่เข้าคลาสสายแน่ๆ อยากให้ตึกมนุษย์ไปรวมอยู่กับตึกสถาปัตย์ชะมัด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินสลับระหว่างสองตึกเวลารีบๆ อย่างนี้

"ไปส่งคุณมาล่ะสิมึง"

"อือ วันนี้คุณมีพรีเซนต์งาน"

ผมตอบเพื่อนร่วมกลุ่มพร้อมรับส่งชีทการบ้านให้ด้วย วันนี้เป็นคิวของต้าที่รับรวบรวมชีทส่ง แต่ผมว่ามันยังไม่ส่งหรอก น่าจะเอาไปเช็คคำตอบกันก่อนมากกว่า

"เด็ก'ถาปัตย์มีพรีงานบ่อยว่ะ กูเห็นอาทิตย์นี้สองรอบแล้วป่ะ?"

ลองนึกดูแล้วก็จริงนะครับ อาทิตย์นี้มีพรีเซนต์งานไปสองตัวแล้ว แต่เห็นบอกว่าสองอาทิตย์หน้ามีงานอีกตัว ช่วงนี้คงนอนน้อยต่อกันเป็นอาทิตย์แน่ๆ

"จะมีอีกสองอาทิตย์หน้า"

"โหย... เห็นใจว่ะ มึงก็ช่วยเขาทำล่ะสิ"

"คุณไม่ยอมให้ช่วย ถ้าอันไหนทำไม่ทันจะไปนอนที่คณะให้เพื่อนๆ ช่วย"

"เอ้า! แล้วทำไมตามึงคล้ำงั้นวะรักษ์ เหมือนคนอดนอนติดกันหลายคืน"

คราวนี้เป็นเผือกที่เผือกเสนอหน้ามาถาม ทำหน้าที่ตามชื่อจริงๆ จนผมนึกอยากบอกให้ที่บ้านมันช่วยเอาไปเปลี่ยนชื่อที

"คุณไม่ยอมนอน"

"?"

"คุณไม่ยอมนอนสักที เลยนอนไม่หลับ"

".....ง่ายๆ คือมันติดเมีย พวกมึงก็เลิกถามได้แล้ว อาจารย์มาแล้วสัส!"

ภูมิเป็นฝ่ายตัดบทพร้อมเตะเก้าอี้ให้เผือกกับต้าหันกลับไปหน้าห้องเมื่อโดนสายตาพิฆาตมองมาทางกลุ่มพวกผม เห็นสีหน้าแล้วกลัวว่าหากพูดอีกคำเดียวคงโดนไล่ไปยืนคุยนอกห้อง เลยได้แต่เก็บคำแก้ตัวเรื่องคุณกลับลงคอไป
คุณไม่ใช่เมียสักหน่อย พวกเขาเป็นรูมเมทกันเฉยๆ




"เฮ้ย รักษ์ ไปเตะบอลกัน วันนี้พวกกูลงทั้งทีมเลยนะเว้ย"

เผือกพาดแขนลงกับบ่าผมพร้อมใช้แรงบังคับให้เดินตามไปยังสนามบอลของมหาวิทยาลัยด้วย แน่ล่ะว่าเรื่องออกกำลังผมไม่เกี่ยง

"เอาดิ เดี๋ยวบอกให้คุณกลับไปก่อน"

"ให้คุณมารอนี่เลยดิ มาให้กำลังใจมึงด้วย ทีมเราจะได้ชนะ"

ภูมิหัวเราะแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือผมไปพิมพ์ด้วยตัวเองก่อนจะโชว์ให้ดูว่าได้รับคำตอบตกลงจากคู่สนทนาแล้ว ทำอะไรรวดเร็วสมเป็นมันจริงๆ

พวกเราทิ้งกระเป๋าไว้ตรงที่นั่งข้างสนามแล้วเฮละโลลงไปเล่นฟุตบอลกันโดยไม่ใส่ใจจะเปลี่ยนเสื้อกันแม้แต่น้อย แค่เปลี่ยนรองเท้าที่เป็นส่วนกลางก็พอ เล่นเอามันนี่ครับ ไม่ได้เล่นจริงจังชนิดต้องไปแข่งกับใคร เผลอแป๊บๆ เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ ก็ถอดเสื้อนักศึกษาวิ่งกันแล้ว

"ต้า! ส่งมาทางนี้!"

คนโดนเรียกเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นเด็กคณะบริหารขาประจำที่เล่นด้วยกันบ่อยๆ ก่อนจะส่งบอลให้เพื่อนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ขายาวๆ ของภูมิเลี้ยงลูกไปมาหลอกล่อนักเตะฝ่ายตรงข้าม เห็นสายตาที่ส่งมา เป็นสัญญาณที่เขาชอบใช้เมื่อต้องการจะบอกให้ผมวิ่งไปจ่อเป็นกองหน้าเตรียมยิงลูกเข้าประตู

พยายามวิ่งตัดสลับไปมากับฝ่ายตรงข้าม ลูกบอลถูกส่งมาทันทีที่อยู่ในจุดพอเหมาะ ผมเลี้ยงสลับไปมาจนหาช่องว่างเจอแล้วจึงอัดแรงเต็มที่ ส่งลูกบอลทะลุมือโกลด์ข้าประตูไปอยางสวยงาม

"ฟอร์มไม่ตกเลยว่ะรักษ์ มึงไม่ได้ไปแอบเล่นที่ไหนมาใช่มั้ยวะ?"

ผมแท๊กมือกับเพื่อนๆ แล้วสะบัดเสื้อนักศึกษาที่เริ่มชุ่มเหงื่อพลางส่ายหน้าไปมา ปกติก็เล่นแต่กับพวกมันนี่แหละ นอกนั้นก็ใช้เวลากับคุณ ไม่ได้ไปเฮฮาอะไรกับคนอื่น

"กูว่ามันฟอร์มดีเพราะอะไรขาวๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมากกว่า ตอนมันยิ่งเข้าประตูรายนั้นเฮซะดังจนกูต้องหันไปมอง"

มองตามการพยักเพยิกของต้าไปก็เจอเจ้าของอะไรขาวๆ นั่งอยู่ข้างๆ กองกระเป๋าของพวกเราจึงขอเวลานอกเพื่อแวะมาหาคนข้างสนามก่อน พอคุณเห็นผมวิ่งเข้าไปใกล้ก็ไม่รอช้ายื่นขวดน้ำแร่กับผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตาที่เขาชอบพกมาใช้ห่มตัวให้ ผมไม่รับน้ำเพราะกลัวกลับไปวิ่งต่อแล้วจุก แต่เลือกจะยื่นหน้าไปให้เขาซับเหงื่อแทน

"เหงื่อออกเยอะมาก รักษ์จะไม่เป็นลมใช่มั้ย?"

"ไม่หรอก แค่ร้อนๆ ไม่ได้มาเล่นสักพักแล้วไง"

"คราวหลังก็มาบ่อยๆ สิ เดี๋ยวเรามานั่งดูด้วย รักษ์เท่มากเลยตอนยิงบอลเข้าประตู สาวๆ ฝั่งนู้นกรี๊ดกันใหญ่"

ว่าพลางชี้ไปทางที่นั่งฝั่งนู้นที่ยังมีเสียงกรี๊ดมาเป็นละรอกแล้วทำหน้าทำตาเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่นจนผมหลุดขำ ยีหัวที่ไม่เป็นทรงเพราะโดนลมพัดให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิมอีกที

"ต้าบอกว่าคนแถวนี้เฮเสียงดังจนมันตกใจ คนแถวนี้ใช่คนชื่อคุณหรือเปล่า?"

คุณทำหน้าเหรอหราใหญ่ เท่ากับว่าคำตอบคือใช่ เพราะเวลาหาข้ออ้างไม่ทันเขาจะเผลอแสดงหน้าตาแบบนี้ออกมาอยู่บ่อยครั้ง

"เราแค่ดีใจที่มีคนเตะเข้าไง เราไม่รู้หรอกว่าเป็นรักษ์"

"เหรอ เสียใจได้มั้ย?"

"ไม่ได้สิ รักษ์จะเสียใจทำไมล่ะ?"

มุ่ยหน้าใส่แล้วถามผมกลับ ตอบคำถามด้วยคำถามอย่างนี้มันน่าโดนแกล้งให้โวยวายซะจริง

"ไม่มีคนเชียร์ เสียใจมาก ไม่มีแรงลงไปเตะต่อแล้วเนี่ย"

"เวอร์ ไปเลย เดี๋ยวเล่นเสร็จไปหาอะไรกินกัน ชวนพวกภูมิไปด้วยนะ ภีมน่าจะดีใจได้เจอพี่ชายฝาแฝด"

ผมขำออกมาอีกครั้งกับคำพูดของเขา ภูมิเพื่อนผมกับภีมเพื่อนเขาไม่ใช่ฝาแฝดกันจริงๆ หรอก แต่พอเจอกันทีไรสองคนนั้นเข้าขากันได้ดีทุกที แถมชื่อยังคล้ายกันอีก คนอื่นๆ เลยให้ฉายาคู่นี้ว่าแฝดนรก

"อืม ถ้าร้อนไปนั่งรอในห้องแอร์ก่อนก็ได้"

"ไม่เอา เราจะเชียร์รักษ์ตรงนี้แหละ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจทีมแพ้แล้วมาโทษเราทีหลังอีก"

พยักหน้ารับคำแล้วจึงแกล้งเอาผ้าชื้นเหงื่อของตัวเองไปป้ายหน้าคุณให้โดนว่าเล่นๆ ก่อนวิ่งกลับมาลงสนามอีกรอบ ทีมผมโดนตีเสมอ 1-1 แล้ว มีโอกาสให้ทำแต้มอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะจบเกม ดูท่าจะต้องเล่นกันจริงจังเสียหน่อย

"กำลังใจมาแน่นเลยสิมึง กูขอสักลูกคงได้นะ"

"อืม ให้สองเลย"

ได้ยินแว่วๆ ว่าใครตะโกนอะไรหมั่นหน้าสักอย่างแต่ไม่สนใจหรอกครับ ลูกบอลส่งมาแล้วผมก็ต้องวิ่งสิ เดี๋ยวหามุมเตะให้เพื่อนส่งลูกอีกให้อีกสักสองครั้งตามที่พูดไว้แล้วจะได้ไปหาอะไรกินกับกำลังใจข้างสนามเสียที





"เอ้าชน~"

แก้วที่ชนกันส่งเสียงเป็นเอกลักษณ์แล้วพวกผมก็จัดการกระดกน้ำเมาเข้าปาก วันนี้เป็นวันปล่อยผีของเด็กมนุษย์อิงค์อย่างพวกผมครับ เพราะเป็นวันสุดท้ายของการส่งรายงานวิจัยที่อาจารย์แบ่งหัวข้อเรื่องแยกกัน เป็นงานหินมากเนื่องจากไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ แถมต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ถึงจะบอกว่าเอกอิงค์ก็จริง แต่เราไม่ใช่เจ้าของภาษา พอเจอคำศัพท์เฉพาะเข้าไปก็มีตายเหมือนกัน เมื่อจบสิ้นงานแล้วเราก็ต้องมาลงร้านเหล้าญี่ปุ่นที่นานๆ จะมากันสักทีเพราะมันแพงอย่างนี้แหละ

"วันนี้'ถาปัตย์ก็พรีงานตัวสุดท้ายของเทอมแล้วสิ?"

"ใช่ แต่กว่าจะสบายจริงๆ ก็หลังมิดเทอม ถ้าอาจารย์ไม่เฮี้ยนอยากให้โปรเจคไปทำน่ะนะ"

"ลำบากว่ะ วันหยุดยังไม่ได้พัก"

"มาก นี่ห่างกับแฟนเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน"

ภีมยกแก้วเหล้ากรอกเข้าปากอย่างเร็วจนเพื่อนต้องเตือนให้เพลาๆ ลง

"มึงช้าๆ"

"แล้วเสือกเรียน'ถาปัตย์เหมือนกันไง ต่างคนต่างต้องปั่นงาน พอกูว่างแม่งทำงาน วันนี้ชวนมาแม่งก็บอกปั่นงาน เหมือนไม่มีเวลาให้กันแล้วจริงๆ กูเลยน็อตหลุด บอกมันไปว่าถ้าไม่มีเวลาให้แบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"

"เหี้ย! นั่นก็แรงไป"

ฟังแล้วก็เห็นใจภีมอยู่ไม่น้อย มิน่าล่ะวันนี้พอถามว่าอยากไปลงร้านไหนเจ้าตัวรีบเสนอเลยว่าร้านเหล้าหลังม. ผมได้ยินว่าเขาคบกับแฟนมาตั้งแต่ช่วงม.ปลาย ไม่เคยห่างกันจนมาเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละ ดันสอบได้คณะเดียวกันแต่คนละที่เลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนแต่ก่อน มาได้ยินว่าภีมขอเลิกผมว่าแฟนเขาก็น่าจะตกใจไม่น้อยไปกว่าที่พวกผมได้ยินหรอก

"กูว่ามึงโทรไปปรับความเข้าใจเถอะภีม มึงก็รู้ว่าคณะเรางานมันเยอะ เขาอาจจะหายไปทำงานก็ได้"

มาแล้วครับโหมดพ่อพระของคุณ ถึงปกติจะตีกันแทบเป็นแทบตาย แต่พอเพื่อนมีปัญหารายนี้จะเปลี่ยนโหมดเป็นศิลาณีทันที ผมเคยเห็นมาสองสามครั้งตอนเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ

"ไม่รู้ว่ะคุณ ช่วงนี้มันดูแปลกๆ คุยกันแป๊บๆ ก็ขอวางสาย หายไปเป็นวันๆ ไม่บอกกูแต่เสือกลงรูปว่าไปร้านเหล้ากับเพื่อน..." ภีมมุมนี้ทำเอาผมกับเพื่อนๆ แสดงความเห็นไม่ถูกเลยครับ เลยได้แต่นั่งฟังเงียบๆ "ไม่ได้อยากงี่เง่านะเว้ย แต่มันน้อยใจ... ถ้ามีแฟนเหมือนไม่มีแบบนี้ สู้ไม่มีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอวะ?"

"กูว่าไม่ดีนะ... ตอนนี้มึงแค่น้อยใจ แต่หลังจากนี้มึงจะต้องเสียใจแน่ๆ เว้ยแฝดกู"

ภูมิตบบ่าคนที่ถูกนับว่าเป็นแฝดมันแล้วพูดปลอบ อันที่จริงผมคิดเหมือนเขานะครับ เวลาคนเราทำอะไรเพราะความไม่ตั้งใจจะต้องย้อนคิดว่าตัวเองไม่น่าทำอะไรแบบนั้นกันแทบทุกคน ตัวผมเองยังเคยเลย

"ไว้มึงใจเย็นก็โทรไปหาเขาดิ บอกเขาว่าขอโทษ ง้อๆ หน่อยกูว่าเดี๋ยวก็ปรับจูนกันได้"

"จริง กูว่าเขาต้องใจอ่อนแน่ๆ"

นี่เป็นคำแนะนำของเผือกกับต้าครับ ผมว่าพวกมันเอามาจากชีวิตจริงนั่นแหละ เผือกเคยง้อน้องก้อยหรือใครสักคนนี่แหละผ่านโทรศัพท์เพราะดันไปลืมวันเกิดเขา ส่วนต้าเคยง้อดาวคณะนิเทศเรื่องซื้อของอะไรสักอย่าง นี่ไม่ใช่แฟนด้วยนะครับ พวกมันเรียกว่ากิ๊ก

"ไม่รู้ว่ะ กูบอกเลิกไปแล้ว เท่ากับว่าเลิกกันแล้วป่ะวะ"

"แต่กูไม่เลิก"

หืม? ไม่นะครับ เสียงนั่นไม่ใช่เสียงพวกผมเลย

"กวิน มาพอดีเลย"

"ขอบใจมากคุณที่บอกชื่อร้าน ขอบใจพวกมึงด้วย ค่าเหล้าส่วนของมันเท่าไหร่มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวจ่ายให้"

"ไม่เป็นไร เอามันไปปรับความเข้าใจก่อนเถอะ งอแงชิบหายเลย เหมือนจะเมาแล้วด้วย"

"อืม... ไปเตี้ย กลับห้องกู"

"ไม่เอา! กูไม่ไป เลิกกันแล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย!?"

"เลือกว่าจะให้ทำที่ห้องหรือที่นี่ ต่อหน้าเพื่อนมึง"

"ไอ้วิน!"

ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปสักพัก สุดท้ายภีมก็โดนหนุ่มแว่นหน้าหล่อแบกขึ้นบ่าหายไปที่ทางออก พวกผมมองหน้ากันไปมาแล้วหันไปมองคุณที่ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบในจานใส่ปากเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับรอให้เขาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ถึงสายตา จนกระทั่งเพื่อนๆ ต้องหันมามองผม ใช้ให้ผมกระตุ้นเอาคำตอบจากคุณนี้แหละ

"คุณครับ คนเมื่อกี้...?"

"หือ? อ๋อ แฟนภีมไง ชื่อกวิน" พูดแล้วก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ คุณทำคิ้วตกตาละห้อยมองพวกผม "พวกนายไม่ได้รังเกียจใช่มั้ยที่เพื่อนเราคบกวิน..."

"ไม่นี่ แค่อยากรู้จักไว้ว่าเป็นใคร จะได้ทักทายเผื่อครั้งหน้าเจอกัน"

"เพื่อนกัน จะรังเกียจความเป็นมันทำไม"

"ครั้งหน้าชวนมันมาด้วยดิคุณ หลายๆ คนน่าจะสนุก มีคนตบมุกคู่กับฝาแฝดนรกแน่"

คุณยิ้มแล้วรีบพยักหน้าใหญ่ คงดีใจแทนเพื่อนตัวเองมาก ส่วนผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเพื่อนแต่ละคนไม่น้อยไปกว่ากัน พลันคุณเปลี่ยนสายตามามองหน้าผมพร้อมสีหน้าเหมือนคนรอคำตอบจนผมต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"รักษ์ล่ะ... รังเกียจเรื่องพวกนี้มั้ย?"

เพราะผมไม่ตอบออกไปนี่เองเขาถึงได้ทำหน้าแบบนี้ใส่ ผมส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปเช็ดเศษที่เปื้อนมุมปากให้เขา

"ไม่หรอก ความรักก็คือความรัก ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศหรือตัวแปรอะไรเสียหน่อย"

ผมเห็นบ่อยไปครับ เพื่อนสมัยม.ปลายที่จบมาด้วยกันหรือแม้แต่เพื่อนที่คณะตอนนี้ก็มีหลายคนที่เลือกจะรักโดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ พวกนั้น สำหรับผมแล้วความรักเป็นสิ่งสวยงามไม่ว่ามันจะเป็นความรักรูปแบบไหนก็ตาม ต้องขอบคุณครอบครัวที่ปลูกฝั่งความคิดด้านบวกให้ผมตั้งแต่ยังเด็ก

"เออ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว แล้วพวกคุณสองคนล่ะครับ อะไรยังไง? ไหนเล่ามาสิ"

ไอ้เผือกที่วันนี้ทำหน้าที่เผือกสมชื่ออีกรอบทำหน้าตาขึงขังแถมยังทำท่าเหมือนขยับแว่นตาให้ดูมีชาติตระกูลเหมือนการ์ตูนนักสืบบางเรื่องเปิดประเด็นขึ้น แน่ล่ะว่าอีกสองคนที่เหลือไม่รอช้า ร่วมวงกันใหญ่

"อะไรยังไงคือ?"

"คบกันอยู่หรือเปล่า?"

เจอคำถามเข้าไปผมกับคุณก็มองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะใส่ประโยคคำถามของเพื่อน หัวกลมๆ ของคนข้างตัวเลื่อนมาซบไหล่พร้อมควงแขนผมแล้วกอดแน่น มีการแทรกนิ้วเข้ามาประสานกันกับผมแล้วชูขึ้นให้คนรอบโต๊ะดูด้วย

"คบสิ"

"กูว่าแล้ว!"

"ก็เป็นรูมเมทกันนี่หน่า เนอะ?"

หน้าเหวอๆ ของเพื่อนทำให้ผมหลุดขำออกมาอีกรอบจนได้ ส่วนคุณก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้แกล้งตอบคำถามกำกวมไป มิวายหันมายักคิ้วใส่ผมด้วยสีหน้าสนุกสนานเต็มที่อีก สมกับเป็นคุณจริงๆ

"กูว่ากวนตีน ไอ้คู่นี้กวนตีนแน่ๆ"

"งั้นมึงก็เลิกสนใจเหอะ มันจะเป็วผัวเมีย เป็นรูมเมท เป็นอะไรก็ให้มันรู้กันสองคนก็พอ"

"กูก็ว่างั้น กว่าจะเปิดตัวก็นู่น ร่อนซองแดงแจกอ่ะกูว่า"

ก็ว่าไปนั่น เสียงบ่นกระปอดกระแปดของสามคนยังดังต่อไปอีกสักพักก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันแทน ผมกับคุณมองหน้ากันแล้วส่งยิ้มให้กันอีกครั้ง โดยที่มือของเรายังประสานกันไว้อยู่อย่างนั้น หรือถึงปล่อยเราก็จะกลับมาจับกันใหม่อีกครั้ง จนสามคนนั้นเริ่มทำเหมือนไม่เห็นอะไรแล้ว

จนกระทั่งตอนนี้ที่แยกกับเพื่อนๆ เพื่อกลับหอแล้ว มือของเราทั้งคู่ก็ยังประสานกันอยู่ สนุกดีเหมือนกันนะครับทำเรื่องแบบนี้ตอนเดินอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้คงเริ่มเดินจับมือกันบ่อยๆ แล้วล่ะผมว่า

"ไม่ปล่อยมือเราเหรอ?"

คุณถามขึ้นก่อน แต่ไม่มีท่าทางว่าอยากจะปล่อยแต่อย่างใด

"ไม่ปล่อยหรอก"

"ทำไมไม่ปล่อยล่ะ?"

"ชื่อรักษ์ที่มี ษ.บอรึษี การันต์ แปลว่าอะไรรู้มั้ย?"

เลือกจะตอบคำถามด้วยคำถาม แม้รอบข้างจะมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าแต่ก็พอจะเห็นว่าคุณทำหน้าจริงจังในการคิดหาคำตอบเหลือเกิน คล้ายกับสีหน้าเวลาที่เขาทำงานแล้วผมลอบมองอยู่บ่อยๆ

"อืม... แปลว่า... ดูแล รักษา ปกป้อง ให้ความสำคัญ?"

"นั่นแหละคำตอบที่คุณถามเมื่อกี้"

"...อย่ามาหยอดนะ แค่นี้เราก็เขินจะตายอยู่แล้ว"

อยากขอบคุณแสงจากเสาไฟที่สว่างมากพอทำให้ผมเห็นคุณหน้าแดงยืนยันคำพูด ครั้งหน้าจะขอปีนไปติดเป็นไฟขาวจะได้เห็นชัดกว่านี้

"ไม่ให้ตาย ก็รักษ์คุณอยู่ จะตายได้ไง"

"...อีกนิดเราจะไม่ให้รักษ์แล้วจริงๆ นะ"

"ไม่รักษ์คุณแบบนี้แต่จะรักคุณอีกแบบก็ได้อยู่นะ"

"ฮื่อออ... ไม่เอาแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว"

หน้าเน้อหูเหอแดงกว่าเมื่อครู่เสียอีก แถมยังทำทีจะเป็นฝ่ายสะบัดมือทิ้งก่อนจนผมต้องล็อกแน่นกว่าเดิมไม่ให้หลุดไปได้ ดูท่าคงจะแกล้... พูดมากเกินไปหน่อยจนทำให้เขาเขินเสียขนาดนี้

เล่นมีรูมเมทแบบนี้จะไม่ให้ผมรัก(ษ์)ได้ยังไงไหว จริงไหมล่ะครับ?








--------------------------------------------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ หายไปนานทีเดียว เพราะช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายม๊ากมากเลย

มาต่อตอนนี้แล้วเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ขอเคลียร์ชีวิตหน้าที่การงานก่อน 55555555555

ไม่รู้จะเม้าท์อะไร เอาเป็นขอให้ทุกคนอ่านเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มเช่นเคย และขอบคุณสำหรับคอนเม้นท์มากๆ นะคะ

แล้วเจอกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 12-06-2017 19:57:04
น่ารัก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 12-06-2017 20:53:15
คู่นี้ก็ชอบ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-06-2017 20:57:02
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 12-06-2017 21:20:48
่ :mew3:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-06-2017 22:21:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 14-06-2017 06:13:08
น่ารักดี :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 14-06-2017 09:57:23
เพิ่งได้อ่าน ชอบทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 9 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (12.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: zabzebra ที่ 14-06-2017 11:27:25
รออ่านคู่ กวิน ภีม ต่อนะเคอะๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 19-06-2017 20:14:13
[10]






ผมชื่อคุณ

พ่อแม่ตั้งชื่อนี้ให้เพราะท่านต้องการแสดงถึงความรักที่เต็มเปี่ยมทั้งยังสอนให้ผมรู้จักการให้เกียรติบุคคลอื่นผ่านชื่อของตัวเอง

และผมชอบเวลาได้ยินตัวเองถูกเรียกด้วยชื่อนี้สุดๆ เลยล่ะ

"คุณ~ กูหิวข้าวแล้ว"

ผมหันไปมองคนที่เริ่มเลื้อยลงไปนอนกับโต๊ะพร้อมบ่นอุบไม่หยุดเมื่อตอนนี้เลยเวลาพักกลางวันไปกว่าห้านาทีแล้วแต่อาจารย์ประจำวิชาที่อยู่หน้าห้องยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคลาสเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่ภีมคนเดียวหรอกที่หิว คนอื่นๆ ในคลาสก็กระวนกระวายนั่งกันแทบไม่ติดแล้ว ในนั้นก็รวมตัวผมด้วยอีกคน ไม่ใช่ว่าหิวอะไรขนาดนั้น แต่กลัวคนที่กำลังรออยู่จะนั่งหิ้วท้องรอมากกว่า

เครื่องมือสื่อสารที่ปกติจะใส่ไว้ในกางเกงนักศึกษาบัดนี้เปลี่ยนมาวางอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์แทน ผมส่งข้อความไปบอกคนที่ไลน์มาหาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วว่าให้หาอะไรกินไปก่อนเลยเพราะรู้ว่าต้องช้าแน่ แต่คำตอบจากปลายสายมีเพียงสองคำสั้นๆ ว่า จะรอ

นั่นทำให้ผมกังวลมาจนถึงตอนนี้ว่ารักษ์ต้องหิวมากแน่ๆ เมื่อเช้าตอนออกมาก็ไม่มีอะไรลงท้องเพราะกำลังจะสายทั้งคู่ แถมยังเสียเวลามาส่งอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมาจนอยากออกจากห้องมันเสียตอนนี้เลย

"เอาล่ะ อาจารย์สั่งงานไว้ให้สองชิ้น กำหนดระยะเวลาสองอาทิตย์ ถ้าลืมคงรู้นะครับว่าคะแนนที่จะช่วยพวกคุณมันหายไปไหน"

ร่วมโห่ไปกับเพื่อนร่วมคลาสแล้วรีบลากภีมออกจากห้องทันทีที่โดนปล่อย ผมวิ่งห้อไปยังโรงอาหารของตึกคณะทันทีด้วยรู้อยู่แล้วว่าใครอีกคนนั้นอยู่ที่ไหน

"คุณวิ่งทำไม เดี๋ยวก็หกล้มหน้าคว่ำหรอก"

"ก็... ก็กลัวรักษ์รอนาน"

กดมือบนท้องที่จุกจากการวิ่งแล้วพยายามตอบ ภีมที่ตามมาก็สภาพไม่แพ้กันแถมยังจะทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว ถ้าไม่ติดเสียงเรียกของเพื่อนคนอื่นๆ

"ภีมมานั่งฝั่งนี้เว้ย อย่าไปนั่งแทรกสองคนนั้น เดี๋ยวเบาหวานขึ้นตา"

"เออ กูก็ว่างั้นอ่ะ เขยิบดิ๊มึง"

เจอกันก็กลายร่างทันทีเลยนะ ผมตวัดสายตามองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้ไปนั่งเบียดกับพวกเผือกแล้ว เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ พวกนี้

"มึงกิน'ไรอะ? วันนี้กูอยากกินก๋วยเตี๋ยวว่ะ"

ภีมฉกเฟรนฟรายที่น่าจะเป็นของเผือกเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ ตาก็มองไปตรงร้านที่หมายตาไว้ด้วย ยังดีที่มีแก่ใจจะถามผมอยู่บ้าง

"อยากกินข้าวมันไก่ รักษ์ล่ะ อยากกินอะไร?"

"อยากกิ..."

"อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัวไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น~"

"ฮิ้ววว~"

ครับ... ตอนนี้ผมอยากกินพวกเขาแทนแล้ว เสียงดังจนคนโต๊ะอื่นหันมามองหมดเลย ภีมก็เอากับเขาด้วย จะรัวตีโต๊ะทำเพื่อ ผมกับรักษ์เพียงมองนิ่งๆ ทำเหมือนไม่สนใจอะไรแล้วปรึกษากันต่อว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายมื้อกลางวันนั้นเราทั้งคู่ก็จบลงที่ร้านข้าวมันไก่ เพียงแต่ของผมเป็นไก่ทอดแล้วรูมเมทเป็นไก่ต้ม จะได้เอามาแบ่งกันเพื่อให้ได้กินสองแบบในจานเดียว

"...ละทำไมพวกมึงไม่สั่งข้าวไก่ผสมกันมาคนละจานเลยวะ?"

ภีมถามผม บางครั้งก็อยากถามนะว่าเพื่อนตัวเองเป็นเจ้าหนูจำไมหรือเปล่า เห็นสงสัยไปเสียเกือบทุกเรื่องเลย หรือเพราะอยู่กับเผือกมากเกินไปแบบที่รักษ์บอกจริงๆ

"สั่งแบบนั้นมาก็ได้น้อยอะดิ" ผมว่าพร้อมตักข้าวเข้าปาก "สั่งแบบนี้ได้เยอะกว่าตั้งเยอะ"

"แล้วมึงก็ไปแย่งรักษ์มันอ่ะนะ?"

"เขาเรียกแบ่ง กูก็ให้รักษ์ด้วยไง"

ไม่ว่าเปล่าผมยังตั้งไก่ทอดของตัวเองไปวางไว้ในจานของรักษ์ด้วย ส่วนเขาก็แบ่งไก่ต้มของตัวเองมาให้ เห็นมั้ยล่ะ สั่งสองคนสองแบบก็ได้กินทั้งสองคนสองแบบ แถมเยอะกว่าสั่งเดี่ยวด้วย ง่ายจะตาย

 "มึงก็ตรรกะเดียวกับคุณป่ะไอ้รักษ์?"

ภูมิถามเพื่อนเขาบ้าง คนถูกถามเงยหน้ามองเพื่อนแล้วหันมามองจานข้าวของตัวเองสลับกับผมพลางส่ายหน้า

"เปล่าหรอก"

"เอ้า แล้วทำไมมึงไม่สั่งผสม"

"สั่งแบบนั้นมาต้องแยกกันกิน แต่ถ้าสั่งแบบนี้คุณจะตักมาให้ แล้วก็ได้ตักให้คุณด้วย"

เงียบครับ เงียบกันทั้งโต๊ะ แถมแต่ละคนยังทำหน้าเหมือนเหนื่อยใจจัดใส่คู่พวกผมอีก ทำไมล่ะ ไม่เห็นแปลกเลยในเมื่อเราเป็นรูมเมทกันนี่ เนอะ?

 





RUK

คุณ นี่ภูมินะ

วันนี้กลุ่มเราจะไปเตะบอลกัน คุณไปด้วยกันมั้ย ไปนั่งข้างๆ สนามให้กำลังไอ้รักษ์ไง

*ส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีบราวน์ถือหัวใจ*

 

ผมหัวเราะสติ๊กเกอร์ที่หนึ่งในกลุ่มของรักษ์ส่งมา ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์แซลลี่ที่มีคำว่าโอเคตอบกลับไป ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นรักษ์เตะบอลกับเพื่อนๆ เท่าไหร่เพราะอีกคนคอยตามรับตามส่งและช่วยอุ้มโมเดลสำหรับพรีเซนต์มาให้ถึงคณะ มีโอกาสทั้งทีจะพลาดได้ยังไงกัน

"ภีม วันนี้พวกรักษ์จะไปเตะบอลกัน ไปมั้ย?"

"ที่ไหนอ่ะ?"

ถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากโทรศัพท์มือถือ ช่วงนี้เพื่อนผมติดมันเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่องทางเดียวที่จะได้คุยกับคนรัก เห็นว่างานยุ่งทั้งคู่ซึ่งก็เข้าใจได้ครับว่าคณะเรางานเยอะมากจริงๆ มีเวลาแว้บไปไหนมาไหนอย่างละหน่อยก็ดีมากแล้ว

"สนามม.เรานี่แหละ"

"เออ น่าสนใจอยู่"

ภีมทำท่าทีสนใจ และผมคิดว่าเขาคงตอบตกลงแน่นอนถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์แทรกขึ้นมาเสียก่อน พอเห็นชื่อบนหน้าจอก็หน้าซีดเลยครับ เพราะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำโปรเจคของเขาครั้งนี้

"สงสัยจะไปไม่ได้แล้วมั้ง?"

"เซ็งว่ะ... เดี๋ยวไงถ้าเสร็จแล้วจะไลน์หาแล้วกัน"

มองตามหลังเพื่อนที่เหี่ยวเหมือนลูกโป่งถูกเจาะแล้วก็เห็นใจ ถ้าถึงทีผมบ้างสภาพก็คงไม่ต่างกัน การไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาก็เหมือนการไปขึ้นเขียงแหละครับ เราจะโดนเฉือนโดนแทงจากคำพูดไม่ยั้ง แลกกับการได้คำแนะนำที่ดีมาเยอะ

ปกติแล้วสนามจะแบ่งไว้อย่างละครึ่งเพื่อให้นักศึกษาได้เข้ามาใช้และไว้ให้นักกีฬาฝึกฝนไปด้วย แค่เหยียบเข้ามาในบริเวณก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกสลับกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ที่มานั่งรอคนรู้ใจรวมถึงพวกที่มาบริหารเสน่ห์โดยเฉพาะ ผมไม่ไปนั่งบนอัฐจันทร์เหมือนพวกเขาหรอกครับ มานั่งตรงที่นั่งตัวสำรองข้างๆ กองกระเป๋าของกลุ่มรักษ์ดีกว่า กันแดดไปด้วยในตัว

กลางสนามฝั่งสำหรับนักศึกษามีคนตัวสูงๆ ขายาวๆ กลุ่มนึงวิ่งไปมารับส่งบอลให้กัน เล่นกันดูน่าสนุกดีครับ ผมก็เคยอยากเล่นกับพวกเขานะ แต่ไม่เข้าใจกติกาของมันเลย เลยขอลุ้นอยู่ริมสนามแบบนี้ดีกว่า นั่งมองอยู่ไม่นานก็หารักษ์เจอ วันนี้ใส่เสื้อสีทึบกว่าคนอื่นเลยเด่นพอตัว ได้ยินเสียงสาวๆ เรียกชื่อเสียด้วยถึงจะน้อยกว่าคนอื่นในกลุ่มก็เถอะ แต่นับว่าเนื้อหอมไม่หยอกเลยครับ

รักษ์วิ่งวนไปมาสลับกับฝ่ายตรงข้าม เขารับลูกบอลที่เพื่อนส่งให้แล้วเลี้ยงไปอีกระยะก่อนจะเตะส่งลูกบอลทะลุมือโกลด์แบบเท่ๆ จนผมลืมตัวลุกขึ้นมาเฮด้วย แต่ก็รีบเงียบแล้วทรุดตัวนั่งลงตรงที่เดิมเมื่อเห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีคนหันมามอง

เห็นต้าเดินเข้าไปคุยกับรักษ์สักพักก็พยักเพยิกมาทางผม หลังจากนั้นคนตัวสูงก็ทำไม้ทำมืออะไรสักอย่างแล้ววิ่งตรงมาทางผม เห็นแบบนี้ก็รอช้าไม่ได้ รีบเปิดฝาน้ำแร่ที่ซื้อระหว่างมากับถือผ้าขนหนูส่วนตัวที่ชอบพกมาห่มรอเขา แต่นอกจากรักษ์จะไม่เอาน้ำยังจะยื่นหน้ามาให้ผมบริการซับหน้าให้อีก เหงื่อชุ่มไปทั้งหน้าทั้งเสื้อเพราะอากาศอันเป็นเอกลักษณ์สุดๆ ของประเทศเราจนผมกลัวว่าเขาจะเป็นลมเอา

"เหงื่อออกเยอะมาก รักษ์จะไม่เป็นลมใช่มั้ย?"

"ไม่หรอก แค่ร้อนๆ ไม่ได้มาเล่นสักพักแล้วไง"

"คราวหลังก็มาบ่อยๆ สิ เดี๋ยวเรามานั่งดูด้วย รักษ์เท่มากเลยตอนยิงบอลเข้าประตู สาวๆ ฝั่งนู้นกรี๊ดกันใหญ่"

ผมว่าพลางชี้ไปทางที่นั่งอีกฝั่งที่ยังมีเสียงกรี๊ดมาเป็นละรอกแล้วทำหน้าทำตาหมั่นไส้สุดๆ ใส่เขาจนโดนยีหัว จากที่ยุ่งเพราะลมอยู่แล้วยิ่งยุ่งมากกว่าเดิมอีก

"ต้าบอกว่าคนแถวนี้เฮเสียงดังจนมันตกใจ คนแถวนี้ใช่คนชื่อคุณหรือเปล่า?"

"เราแค่ดีใจที่มีคนเตะเข้าไง เราไม่รู้หรอกว่าเป็นรักษ์"

"เหรอ เสียใจได้มั้ย?"

"ไม่ได้สิ รักษ์จะเสียใจทำไมล่ะ?"

พูดจาประหลาดจนผมต้องมุ่ยหน้าใส่แล้วถามกลับไป กวนมากวนกลับคือหลักประจำใจของผมเลยครับ

"ไม่มีคนเชียร์ เสียใจมาก ไม่มีแรงลงไปเตะต่อแล้วเนี่ย"

"เวอร์ ไปเลย เดี๋ยวเล่นเสร็จไปหาอะไรกินกัน ชวนพวกภูมิไปด้วยนะ ภีมน่าจะดีใจได้เจอพี่ชายฝาแฝด"

เมื่อครู่ผมได้รับข้อความจากภีมบอกว่าปรึกษาเรียบร้อยและกำลังตามมา เลยคิดว่าถ้ามารวมกลุ่มกันหน่อยก็น่าจะช่วยให้เรื่องเครียดๆ ลดลงไปได้เยอะ ยิ่งถ้ามีภูมิคนที่พวกผมแซวว่าเป็นฝาแฝดคงได้ตบมุกกันสนุกน่าดู

"อืม ถ้าร้อนไปนั่งรอในห้องแอร์ก่อนก็ได้"

"ไม่เอา เราจะเชียร์รักษ์ตรงนี้แหละ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจทีมแพ้แล้วมาโทษเราทีหลังอีก"

เมื่อครู่ยังงอแงใส่อยู่เลยมาทำเป็นลืม รักษ์หัวเราะรับคำครหาก่อนวิ่งกลับเข้าสนามไป ส่วนผมก็ทำหน้าที่กองเชียร์ที่ดี นั่งเชียร์เขาไปด้วยเฝ้ากองกระเป๋าที่ว่างอยู่ข้างๆ ต่อไปด้วย สุดท้ายผลก็เป็นไปตามคาด ทีมรักษ์ชนะพร้อมเสียงแซวว่าเพราะได้กำลังใจดีๆ อย่างผมจนต้องตีหน้านิ่งเหมือนเคย

ฮึ้ย... ผมจะแซวตอนพวกเขาพาแฟนมานั่งดูบ้าง คอยดูเถอะ





 

เกือบเที่ยงคืนแล้วตอนที่ผมตัดสินใจว่าต้องจัดการตัวเองเสียที เพราะทั้งตัวมีแต่เศษชานอ้อยสำหรับทำโปรเจคครั้งนี้ติดอยู่ ไม่รู้อาจารย์โกรธอะไรนักศึกษาอย่างผมหนักหนาถึงสั่งงานต่อกันไม่หยุดให้หายใจทั้งที่เพิ่งผ่านช่วงสอบมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยแถมงานยังไม่เสร็จ สู้รีบๆ เคลียร์ให้มันจบๆ ดีกว่าเยอะ

"หายไปไหนของเขานะ?"

ผมคล้องผ้าขนหนูไว้ที่คอพลางมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมห้องที่ตอนแรกเห็นว่านอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงแต่ตอนนี้ไม่อยู่เสียแล้ว ไม่ได้ยินเสียงบอกว่าจะออกไปไหนด้วย ทำให้ผมต้องมานั่งตัดโมของตัวเองต่อเงียบๆ

"คุณ ไม่เช็ดหัวเดี๋ยวก็ไม่สบาย"

"ตกใจหมด!"

สะดุ้งเลยครับเมื่อคนที่คิดว่าหายไปโผล่มาด้านหลัง ชอบแว้บไปแว้บมาเงียบๆ เหมือนตัวเองเป็นผี พอคนเขาตกใจก็หัวเราะอีกแน่ะ

"มา เช็ดให้"

มือใหญ่ของรักษ์คว้าเข้าที่ผ้าเช็ดตัว ตอนนั้นเองที่ผมได้กลิ่นจางๆ ของบุหรี่ที่ไม่ชอบเอาเสียเลยลอยมาแตะจมูกจนต้องทำหน้ายู่ทั้งที่มือก็ไม่หยุดตัดไม้แผ่นบางตรงหน้าด้วย

"ไประเบียงมาใช่มั้ยเนี่ย? กลิ่นติดเลย"

เพราะหอพักเราเป็นหอในทำให้ไม่ใหญ่โตเหมือนหอหักด้านนอก หากอยากสูบบุหรี่มีสองวิธีที่ทำได้คือต้องลงไปชั้นหนึ่งในโซนที่มีไว้สำหรับสูบบุหรี่ หรือไม่ก็อีกวิธีคือพ่นควันในห้องเอา แน่ล่ะว่าคนที่อยู่ห้องชั้นห้าแบบรักษ์ย่อมต้องใช้วิธีหลังอยู่แล้ว แต่เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบกลิ่นเหม็นๆ นั่น เขาเลยยอมออกไปสูบบุหรี่ตรงระเบียงแล้วปิดประตูกระจกทึบกั้นไว้แทน

"อือ ขอโทษที มันอยากขึ้นมา"

"ไม่เป็นไร แต่ไม่อยากให้รักษ์สูบเลย มันไม่ดี กลิ่นก็เหม็นติดเสื้อ ไม่ชอบ เราชอบกลิ่นปกติของรักษ์มากกว่า"

อีกคนเป็นพวกติดโคโลญกลิ่นสบายๆ พอใช้ไปนานๆ มันเลยติดเป็นกลิ่นประจำตัว พออยู่กับเขานานเข้าผมเลยชินกลิ่นขึ้นจนกลายเป็นชอบดมไปโดยปริยาย

"ชอบขนาดนั้นเลย?"

"อือ ชอบมาก มากๆ เลย"

"งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำแล้วมาให้คุณกอด"

ผมหยุดมือที่กรีดคัทเตอร์ลงแล้วแหงนหน้ามองเขา เห็นรอยยิ้มมุมปากแล้วคันไม้คันมืออยากจะเอาของมีคมจ้วงใส่ชะมัด

"ทำไมเราต้องกอด ไม่เอาอ่ะ"

"แล้วทำไมคุณต้องไม่กอด ไม่เอาเหมือนกัน"

แน่ะ ยังจะมากวนกันอีก

"ไปอาบน้ำเลยไป!”

"ถ้าออกมาแล้วยังไม่แห้งจะจับขยี้หัว"

มือใหญ่ยีหัวที่ยังชื้นจนผมต้องร้องฮื่อใส่เบาๆ แล้วเดินหัวเราะหายไปทางห้องน้ำ ทำไมขี้แกล้งได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

ปกติคนอื่นๆ จะเห็นว่าเขาชอบดูแลเอาใจใส่ผม แต่ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าเวลาอยู่ด้วยกันสองคนผู้ชายอบอุ่นอย่างรักษ์ก็มีมุมขี้แกล้งอยู่เหมือนกัน เคยเล่าให้ภีมฟังมันยังไม่เชื่อเลย หาว่าผมนี่แหละเป็นคนไปงอแงใส่รักษ์เอง ทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย

มือซ้ายขยี้ผม มือขวาจับชิ้นส่วนนั้นนี้มาทาบกับแบบที่เป็นคนร่างเอง อยากเปิดพัดลมจ่อแต่ของที่ตัดไว้แล้วจะปลิวเอาผมจึงยอมเปิดแอร์เวลาทำงาน

พอเวลาเพลินกับงานแล้วเรื่องรอบข้างก็หายไปจากความสนใจจนหมด จากตอนแรกที่นั่งเช็ดหัวไปด้วยประกอบชิ้นส่วนไปด้วย แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผ้าบนหัวก็ถูกเขวี้ยงไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้เพราะมันเกะกะตอนทำงาน มารู้อีกทีก็ตอนได้ยินเสียงดุๆ ของคนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำนั่นแหละ

“ผมแห้งหรือยังคุณ?”

ผมเงยหน้าพร้อมฉีกยิ้มให้เขาจนตาหยีด้วยรู้ว่าหลักฐานตำตาขนาดนี้คคงไม่สามารถโกหกได้แล้ว รักษ์ตีหน้ายักษ์ยกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวนั่งซ้อนหลังแล้วใช้ผ้าเช็ดหัวของเขามาจัดการกับหัวผมให้แทน เลยแกล้งหงายตัวพิงกับอกเขาในขณะที่มือก็จัดทรงโมเดลชิ้นเล็กในมือไปด้วย

“ใกล้เสร็จยัง?”

“อืม... อีกสองสามวันมั้ง เราต้องทำส่วนหน้ากับแก้รายละเอียดอีกหน่อย”

“แล้วส่งเมื่อไหร่?”

“อีกสามวัน”

“...เท่ากับต้องปั่นไปจนถึงวันส่งเลยไม่ใช่หรือไง ทำไมมีอะไรไม่ยอมให้ช่วยล่ะ”

ความจริงรักษ์ก็เสนอตัวช่วยอยู่ตลอด แต่ผมยังทำงานทันอยู่จึงไม่อยากให้อีกคนที่ก่อนหน้านี้ต้องทำงานวิจัยเรื่องภาษาอะไรสักอย่างมารับงานเพิ่มแล้ว เห็นเขาแบกหนังสือตั้งใหญ่มากองไว้บนโต๊ะอยู่ทุกวัน เด็กภาษานี่ก็ไม่ใช่ว่าจะสบายอย่างที่คิดเอาไว้ ผมเพิ่งมาประสบด้วยตัวเองก็ตอนเห็นเขาทำงานวิจัยแต่ละชิ้นนี่แหละ

"รักษ์ก็ช่วยเราตลอดอยู่แล้ว ยังจะให้ช่วยอะไรอีกล่ะ"

ผมยิ้ม เป็นเรื่องจริงที่เขาคอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอไม่ว่าจะเพราะผมขอหรือรักษ์เสนอตัวช่วยเอง แต่เพราะสิ่งที่อีกคนทำเลยทำให้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยสนุกขึ้นเป็นกอง แม้ช่วงเวลาเคร่งเครียดจนเกือบจะท้อก็ยังมีคนตัวโตคนนี้อยู่ด้วยเสมอ

พอโดนเถียงเข้าไปแบบนั้นคนที่กลายเป็นหมอนอิงจำเป็นก็ถอนหายใจใส่ แล้วเปลี่ยนมาวางคางบนหัวผมแทน มือก็โยนผ้าขนหนูไปที่เก้าอี้สำหรับนั่งเล่นคอมแล้วเปลี่ยนมาโอบเอวผมแทน แอบเขินกับท่าทางแบบนี้ทุกทีแต่อย่ากระโตกกระตากครับ เดี๋ยวคนขี้แกลงจะได้ใจ

"ดื้อ"

"รักษ์นั่นแหละดื้อ ว่างแล้วมาก่อกวนคนอื่นเขา ไม่ยอมหลับยอมนอน"

รักษ์ชอบนอนดึก คืนก่อนมีควิซก็เข้าใจได้อยู่ว่าต้องอ่านหนังสือ แต่พอสังเกตแล้วถึงได้รู้ว่าแม้จะไม่มีควิซ แต่หากผมอยู่โยงทำงานเขาก็จะตื่นรออยู่ด้วยจนต้องขู่ว่าจะหนีไปนอนกับภีมจึงยอมไปนอนแต่โดยดี ดูเอาสิว่าใครกันแน่ที่ดื้อ

"ให้นอนตอนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก"

"เราไม่เสียงดังหรอก "

"เงียบขนาดไหนก็นอนไม่หลับอยู่ดี"

"ทำไมงั้น? ไหนอธิบายเราดิ๊"

"ก็คุณไม่มานอนด้วย"

ดูสิครับ พูดจาน่าจัดศอกใส่สุดๆ

"......."

"ไม่มีคุณให้กอดแล้วไม่สบายใจ นอนไม่หลับเลย"

ใครก็ได้บอกรักษ์ทีว่าผู้ชายอายุยี่สิบทำเสียงอ้อนๆ ไป กอดเอวผมไปไม่ได้น่ารักสักนิด แถมยังทำให้อากาศรอบๆ ตัวร้อนจนกลายเป็นว่าผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาทากาวกับชิ้นส่วนในมือไป

อืม... อันนี้มันส่วนไหนของโมเดลนะ เริ่มเบลอๆ แล้ว

เรานอนเตียงเดียวกันมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ย้ายเข้าหอ เพราะตอนนั้นเราไม่มีที่วางเสื้อผ้าเนื่องจากนักศึกษาคนก่อนหน้าทำให้มันพังจนประตูปิดไม่ได้ พวกเราเลยต้องสละเตียงหนึ่งหลังเพื่อไว้วางเสื้อผ้าไปก่อนจนกว่าหอจะนำตู้ใหม่มา และนั่นใช้เวลาเป็นอาทิตย์ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้กลับไปนอนเตียงตัวเองอยู่ดีเพราะมันเอาไว้ใช้กองอะไรต่อมิอะไรมากมายไปหมด และตัวเองก็ต้องระหกระเหินไปนอนเตียงเดียวกับรักษ์

"...อย่ามาพูดจางุ้งงิ้งสิ"

"ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็เรื่องจริง อยากนอนกอดคุณแต่คุณไม่ยอมมานอนแล้วรักษ์จะนอนได้ยังไง"

แทนตัวเองด้วยชื่ออย่างที่นานๆ จะทำสักทีเพราะรู้ว่าผมชอบ นิสัยไม่ดีเลยนะรักษ์! ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวแบบนี้กัน

"ฮื่อออ... รักษ์ขี้โกง"

"อือ รักษ์ขี้โกง แต่แค่กับคุณนะ" ฟาดมือไปแรงๆ หนึ่งทีแก้หมั่นเขี้ยว "ไหนหันมาหน่อยเร็ว"

"ไม่เอา เราไม่หัน"

ผมส่ายหน้ารัวๆ ใครมันจะไปหันตอนนี้ล่ะครับ เดี๋ยวรักษ์รู้หมดว่าผมทำหน้าแบบไหนอยู่ ถึงต้นคอและใบหูจะร้อนจนผมรู้ตัวว่ามันแดงมากแน่ๆ ก็เถอะ

"ไม่หันก็นั่งฟังไปแบบนี้แล้วกัน"

คำพูดของคนด้านหลังมาพร้อมอ้อมกอดที่แน่นขึ้น รักษ์เปลี่ยนมาวางคางบนบ่าทำให้ริมฝีปากเขาอยู่ใกล้หูจนกลัวว่าหันไปแล้วจะโดนงับหูได้ จักจี้นิดหน่อยผมเลยไม่กล้าขยับตัว

"จำวันนั้นได้มั้ย? ที่ภีมเมาแล้วกวินมารับ"

"อื้อ จำได้สิ"

วันนั้นเราไปนั่งร้านเหล้าหลังมหาลัยกันเพราะแก๊งค์ของรักษ์อยากฉลองที่ส่งวิจัยเสร็จ ไม่ลืมชวนผมกับภีมไปด้วย แล้ววันนั้นเพื่อนสนิทผมดันทะเลาะกับคนรักพอดีเลยจัดหนักจัดเต็ม จนกวินมารับพลางลากกลับนั่นแหละ ทุกคนเลยรู้ว่าคู่นั้นเขาคบกัน ผมที่รู้มาก่อนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เพื่อนคนอื่นๆ นี่สิ ผมกลัวว่าคนจะมองภีมในแง่ไม่ดีเลยถามความเห็นพวกเขาไปตรงๆ และคำตอบที่ได้มาก็ทำให้ตัวเองรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเจอเพื่อนแบบพวกเขา

"แล้วจำที่พวกเผือกมันเผือกสมชื่อได้มั้ย?"

"ว่าเพื่อน นิสัย" ผมขำเพราะชอบฉายานั้นมากจริงๆ "จำได้เหมือนกัน ถามว่าเราเป็นอะไรกัน ทำไมอยากรู้กันจัง"

"ก็ไม่ยอมบอกพวกมันสักที มันก็อยากรู้สิ"

"เราบอกแล้วเถอะว่าเป็นรูมเมทกัน"

เอียงใบหน้ากลับไปมองเขาแล้วยักคิ้ว ผมก็ตอบตามความจริงนี่หน่าว่าเป็นรูมเมทกัน ไม่ได้โกหกเสียหน่อย ยังอยากรู้อะไรกันเยอะแยะ พอไม่บอกก็มางอนกันอีก พวกผู้ชายใจน้อย

"ลืมบอกอีกสถานะหรือเปล่าล่ะ"

"อะไร สถานะอะไรอีก ไม่มีอะ"

"เดี๋ยวจะโดนนะคุณ"

"โอ๊ะ! อย่าทำร้ายเรานะ!"

โวยวายสิครับ เล่นหยิกแก้มมาได้ เห็นมั้ยล่ะว่ารักษ์ชอบแกล้งผมขนาดไหน ยู่หน้าใส่เลยหนึ่งที

"เป็นแฟนกันมาตั้งนานแล้วนะ ไม่รู้ตัวเลยหรือไง?"

คำพูดของรักษ์ทำให้ผมต้องรีบกลั้นยิ้มไว้ แต่ไม่รอดสายตาเขาหรอกครับ คนตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆ ข้างหูให้ลมหายใจเขารดผมเล่น

"ใครเป็นแฟนรักษ์กัน รักษ์ไม่เคยขอและเราไม่เคยตอบตกลงด้วย"

"ยังต้องขออีกเหรอ อะไรๆ ก็ทำมาหมดแล้วนะ"

"อย่าพูดจาสองแง่สองง่ามสิ!"

หันไปเหวใส่แล้วทุบแขนไปอีกที ใครมาได้ยินตกใจหมด

"อะเอาใหม่ อะไรๆ ก็ทำมาหมดแล้วนะ ยกเว้นจูบกับ..."

"พูดอีกคำเราเอาโมทุ่มหัวเลยนะ"

หัวเราครับ หัวเราะจนตัวสั่นไปหมดและผมในอ้อมกอดก็สั่นตามไปด้วย ตอนนี้โมเดลตรงหน้าก็ไม่สามารถใช้หันเหความสนใจจากผมได้อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายเลยขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งหันไปทางเขาแล้วเอาขาของตัวเองพาดขาของอีกคนแทน รักษ์ไม่ว่าอะไรกลับทำหน้าพอใจพลางรั้งผมให้ขยับเข้าไปใกล้อีก

"คบกันแล้วนะ"

คนตรงหน้าพูดพร้อมรอยยิ้ม รักษ์เป็นคนหน้าตาดีแม้จะไม่ถึงกับเด่นจนใครต่อใครต้องเหลียวหลังแต่มีเสน่ห์แบบที่ผมชอบ ตาสีดำสนิทที่มองไปเมื่อใดก็จะสบกลับมา จมูกโด่งที่ชอบเนียนเอามาเกลี่ยแก้มเกลี่ยคอเวลากอด ปากได้รูปที่มักเอ่ยชื่อผมอยู่เสมอ ยิ่งมองยิ่งอดไม่ได้ต้องยกยิ้มตาม

"ถามแบบนี้ไม่โรแมนติกเลย"

"ไม่ใช่ประโยคคำถามสักหน่อย นี่ประโยคบอกเล่า"

"รักษ์"

"คุณ"

จะมาต่อชื่อกันให้เขินเล่นทำไมเล่า! ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจให้คนที่เอาแต่ยิ้ม แต่ยังไงซะผมก็สู้อะไรเขาไม่ได้หรอก

"คบกันแล้วนะคุณ"

ย้ำคำเดิมกับผมแล้วมองอย่างไม่หลบตา โดนเข้าไปแบบนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ สุดท้ายก็ยอมให้เขาทำตามใจแล้วรับมือเขาให้ได้ เหมือนตอนนี้ที่ผมปล่อยให้เขาเคลื่อนใบหน้ามาใกล้ๆ นี่แหละ

"คบกันนานแล้วนะต่างหากล่ะคุณ"

ผมใช้สรรพนามบุรษที่สองกับเขา ดูท่ารักษ์จะชอบถึงได้ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วทาบริมฝีปากของเขาเข้ากับของผม

จูบแรกระหว่างเรา มีเสียงแอร์เบาๆ ประกอบ กลิ่นสบู่จางๆ ชวนให้สบายใจ ผมที่ยังชื้นอยู่หน่อยๆ ชวนจักจี้ แถมยังมีโมเดลที่เกือบจะเสร็จแล้วกองอยู่ด้านหลังอีก

แต่ผมว่ามันโรแมนติกไม่หยอกเลยล่ะ





-----------------------------------------------------------


TALK: สวัสดีค่ะ มาต่อกับคู่หวานคู่นี้อีกตอน แล้วก็มาถึงครึ่งทางของนิยายเรื่องนี้แล้วด้วย ฮูเร่!

ไม่คิดว่าจะแต่งแล้วเพลินจนมาได้เยอะขนาดนี้เลย เราชอบการแต่งให้ทุกคนเห็นมุมมองของตัวละคนหลายๆ ด้านค่ะ สนุกดีที่เห็นแต่ละตัวละครแสดงออกในมุมต่างๆ กัน หลายๆ ความคิด หวังว่าผู้อ่านจะชอบเรื่องราวพวกนี้เฟมือนกันนะคะ

สำหรับตอนหน้าก็มีคู่ที่รอไว้อยู่แล้ว เหลือแต่ตบๆ บทแล้วแต่งให้จบล่ะค่ะ วันจันทร์หน้าคงได้เจอกันนะ

ขอบคุณทุกำลังใจที่มอบให้มาตลอดค่ะ แล้วเจอกัน
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Kkfu ที่ 19-06-2017 23:14:13
ทำไมมันหวานไปหมดงี้ละ งุ้ยยยยยยยบ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Noah ที่ 20-06-2017 02:12:54
คอมเราคงใกล้จะเสียแล้วละค่ะ มดคงเข้าไปทำรังเต็มเลยจากตอนนี้ :katai5:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-06-2017 07:16:51
 :-[ :-[ :-[ :-[

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 21-06-2017 07:15:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 21-06-2017 07:59:00
คู่นี้ละมุนน่ารักสุดๆ
รักษ์ คุณ
คู่กวินภีม น่าจะแซ่บ อยากอ่านคู่นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-06-2017 09:39:08
หวานๆ มุ้งมิ้ง ละมุนละไม  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 24-06-2017 00:11:51
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ด รอคู่ถัดไปค่ะ ท่าจะแซ่บ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 10 รักษ์คุณ #ถาปัตย์จัดรัก (19.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-06-2017 11:33:00
ขอบคุณค่ะ  น่ารักทุกคู่เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 27-06-2017 19:14:38
[11]







คุณเชื่อเรื่องความรักระยะไกลไหมครับ?

ความรักแบบที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ไม่ค่อยมีเวลาให้กัน แต่สามารถประคับประคองกันได้ด้วยความเชื่อใจ

เมื่อก่อนผมเคยเชื่อว่าคนเราคงทำแบบนั้นได้ เพราะทุกคนมีความอดทน มีความเชื่อใจ แต่หากวันหนึ่งความอดทนมันหมดลง และความเชื่อที่เคยมีมันสั่นคลอน ความรักระหว่างคนสองคนจะยังคงอยู่ได้อีกหรือ ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจในคำตอบเสียแล้ว







"ทำไมทำหน้างอแบบนั้นล่ะภีม"

"วินไม่รับโทรศัพท์อีกแล้วว่ะ"

ผมถอนหายใจก่อนจะวางอุปกรณ์สื่อสารในมือลงกับพื้น เรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นติดกันในช่วงนี้ชวนให้ความคิดของผมมันตีกันในหัวจนเหนื่อยไปหมด มองโมเดลที่ยังทำไปได้ไม่ถึงไหนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกอยากถอนหายใจออกมาอีกรอบ
งานก็ไม่เสร็จ แฟนก็หาย ชีวิตดีจริงๆ เลยนายภีมรภัทร

"...ไปกินข้าวห้องกูมั้ย? วันนี้เมทมึงไม่อยู่ เดี๋ยวกูทำของชอบให้กินเองจะได้ไม่ต้องทำหน้าหมาหงอยแบบนี้"

"เอาไข่ยัดไส้ ผัดวุ้นเส้น ต้มยำรสจัด แล้วก็น้ำพริกกะปิพร้อมปลาทูนะ"

"กลับหอมึงไปแล้วทำเหมือนเมื่อกี้กูไม่ได้พูดอะไร"

หลุดหัวเราะเมื่อคุณมันตีหน้าตายพูดประโยคห่ามๆ เมื่อครู่ออกมา ก่อนจะคว้าคอเพื่อนสนิทมายีหัวด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วพลันคิดถึงใครอีกคนที่มักจะทำแบบนี้กับเขาเสมอเวลาที่พูดจากวนประสาท

ผมกับกวินเป็นเพื่อนกันตอนม.ปลาย พวกเราเป็นประเภทไปไหนไปด้วยช่วยหารตามจำนวนคนในกลุ่ม นานวันเข้าความสนิทยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเราเป็นพวกชอบอะไรคล้ายๆ กันและไม่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน จนในที่สุดความเป็นเพื่อนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้น และจบท้ายลงด้วยการที่เราทั้งคู่ตกลงจะคบกัน เปลี่ยนสถานะเป็นอะไรที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ที่มากกว่าคำว่าเพื่อนจนตอนนี้ก็กว่าห้าปีแล้วกับตำแหน่งเพื่อน และอีกสี่ปีกับตำแหน่งคนรัก

...ที่ผมไม่รู้ว่ามันจะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่

"วันนี้รักษ์จะมารับมั้ยเนี่ย?"

ถามถึงคนสนิทที่ดูจะมากกว่าตำแหน่งรูมเมทของคุณพลางชะเง้อมองคนที่หยิบมือถือขึ้นมาจิ้มหน้าจอไปมาเมื่อเห็นชื่อคุ้นตาปรากฏขึ้น

"ไม่แน่ใจเหมือนกัน เห็นว่ามีตรวจเล่ม อาจจะกลับช้าถ้าอาจารย์คุยนาน"

"อยากให้มารับล่ะสิ"

ผมแซวเมื่อเห็นอีกคนทำหน้ายู่ ปากก็บอกว่าเป็นรูมเมทกันแต่การกระทำไม่ใช่สักนิด ขนาดผมกับกวินเป็นแฟนกันยังไม่ดูแลเอาใจใส่เท่าที่รักษ์ทำให้คุณเลยด้วยซ้ำ คู่นี้ทั้งปลุกตอนเช้า ทำกับข้าวให้ ไปรับไปส่งคอยตามใจ ดูแลเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน บอกว่าเป็นแค่เพื่อนกันใครมันจะไปเชื่อ

"ก็อยาก จะได้ไปเดินเลือกของทำกับข้าวด้วย... แต่ช่างก่อน เอางานให้เสร็จก่อน มึงอะมาทำสักที มัวแต่รอแฟนงานการไม่เดิน นิสัยเสียจริง!"

ไอ้คนที่เอะอะจับมือถือมาดูทุกห้านาทีมันมีสิทธิ์มาว่าผมแบบนี้เหรอครับ?

มองคุณที่ใช้นิ้วเท้าเขี่ยกองโมเดลให้เขยิบออกเพื่อสร้างพื้นที่นั่งของตนแล้วตีขาไปหนึ่งทีจนมันร้อง ใครสั่งใครสอนให้เอาขาเขี่ยงานแบบนั้น ดูท่าว่าต้องฝากให้ไอ้รักษ์อบรมใหม่เสียแล้ว





 

KAWIN

เตี้ยโทรหากูเหรอ?

โทษที กูลืมเอาโทรศัพท์ไป

ไว้โทรหา ขอนอนก่อน ตาลืมไม่ขึ้นแล้ว



นั่งต่อโมเดลกับคุณอยู่อีกพักใหญ่เสียงเตือนจากเครื่องมือสื่อสารก็ดึงความสนใจของผมจนต้องวางกระดาษชานอ้อยในมือไปคว้าเอามาดูอย่างรวดเร็ว แต่ข้อความที่เห็นก็ทำให้ผมได้แต่อ่านมันนิ่งๆ อยากจะพิมพ์ตอบกลับไปแต่ก็ปล่อยนิ้วอยู่ที่เดิมก่อนที่ผมจะปิดหน้าจอแอพลิเคชั่นไลน์ทิ้งด้วยความเซ็งสุดขีด

รู้ว่ากวินเป็นพวกขี้ลืม เคยมีครั้งหนึ่งที่มันไม่ได้พกโทรศัพท์ไปเรียนด้วยและวันนั้นอาจารย์สั่งงานด่วน เลิกเรียนปุ๊บอีกคนก็ไปซื้อของมาจัดการงานที่คณะโดยไม่ได้กลับหอเกือบสัปดาห์ทำให้ไม่มีใครติดต่อได้สักคน พ่อแม่มันร้อนใจโทรมาหาผม ส่วนผมก็ร้อนใจจนต้องถ่อไปหามันถึงมหาวิทยาลัยที่อยู่คนละฟากของจังหวัดพื่อพบซากมันกับกองงานที่ยังไม่เสร็จสิ้นดี
นับว่ายังดีที่ครั้งนี้ติดต่อไม่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ความจริงก็ยังไม่ทำให้ความรู้สึกที่แย่ลงถูกเยียวยาอยู่ดี

"...คู่ที่ไม่มีเวลาให้กันแต่คบกันยืดนี่เขาทำได้ยังไงวะ"

เปรยกับตัวเองด้วยความสงสัยจากใจจริง พวกเขาทำได้อย่างไรในการประคับประคองความรักของตัวเองแม้จะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้พูดคุยกันเป็นระยะเวลานานๆ เพราะขนาดเขาแค่นี้ยังรู้สึกแปลกๆ เสียจนทนไม่ได้

ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ เพียงแต่สิ่งที่เคยได้ทำอยู่ตลอดแล้ววันหนึ่งกลับไม่ได้ทำมันชวนให้เกิดความรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นช่างน่ากลัว

"เขาคงยุ่งจริงๆ แหละมึง เหมือนพวกเราตอนนี้ไง"

"แต่เราก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นกันนะมีง ไม่ใช่เอะอะก้มหน้ามองแต่ดราฟกับโมเดล"

รู้ดีว่าต่างคนต่างยุ่ง การเรียนคณะสถาปัตย์ไม่ใช่งานง่าย เพราะนอกจากตารางเรียนที่อัดแน่นแล้ว ยังพ่วงด้วยงานที่เข้ามาเกือบทุกอาทิตย์ซ้อนไลน์เก่าซึ่งยังไม่เสร็จอยู่เรื่อยๆ ตอนปีหนึ่งสมัยยังเป็นน้องเฟรชชี่ก็พอจะมีรุ่นพี่มาช่วยทำอยู่หรอก แต่พอเริ่มเป็นพี่คนบ้างแล้วอย่าว่าแต่รุ่นพี่เลย ขนาดเพื่อนยังต้องทำงานตัวเองให้รอดแล้วค่อยเจียดมาช่วย

แต่แม้งานจะยุ่งแค่ไหนผมก็ไม่คิดว่าจะยุ่งจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย คนเราต้องมีเวลาผ่อนคลายบ้าง ผมกับคุณยังแวะไปเที่ยวกัน กับกลุ่มรักษ์ก็แวะไปเตะบอล หาอะไรกินด้วยกันบ่อยๆ แต่อีกฝ่ายเล่นหายไปไม่ติดต่อ ต่อให้มาก็ไม่ค่อยได้คุย อย่าว่าแต่การพิมพ์ข้อความหา ผมไม่ได้ยินเสียงมันมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

"ไม่เศร้านะ เดี๋ยวกูไปค้างเป็นเพื่อนเวลามึงเหงา"

"แล้วก็ลากพวกไอ้รักษ์กับไอ้ภูมิไปทำเสียงดังในห้องให้กูโดนผู้ดูแลหอด่าเล่นว่างั้น?"

"โหย... ก็แค่นิดๆ หน่อยๆ เอง"

นึกถึงวีรกรรมครั้งล่าสุดที่พวกมันมาพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องของผมกับหยก รูมเมทที่เรียนคนละคณะแล้วรู้สึกว่าขมับปวดตุ้บๆ ครั้งนั้นพวกไอ้ภูมิเพื่อนที่ทุกคนตั้งฉายาให้ว่าเป็นแฝดนรกของผมจัดหนักจัดเต็มด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งดสียงดังจนชั้นล่างสุดได้ยินเลยโดนเคาะห้องด่าเปิง ผมยังหลอนเรื่องวันนั้นมาถึงทุกวันนี้

"นิดๆ หน่อยๆ อะไรมึงล่ะ ไม่เอาหรอก ไว้กูไปห้องมึงเองนี่แหละ ถุงยงถุงยางอะไรที่ซื้อมาก็ซ่อนให้มันดีๆ ล่ะ ถ้าเจอจะเอามาล้อให้อายไปสามวันเจ็ดวัน"

"ไม่มีของพวกนั้นเว้ย! กูกับรักษ์ไม่พาผู้หญิงเข้าห้อง"

"แน่สิ กูไม่ได้หมายถึงของที่พวกมึงใช้กับผู้หญิง กูหมายถึงที่พวกมึงใช้กันเอง"

"ไอ้ภีม! ไม่ต้องกินแล้วกับข้าววันนี้ ไม่ทำให้มึงแล้ว!"

เห็นเพื่อนคนดีทำหน้าเหมือนจะงอนกันจริงจังแล้วผมก็ยอมถอยทัพแต่โดยดี ไม่แกล้งอะไรอีกแถมยังง้อมันด้วยการทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ด้วยซ้ำ ไหนๆ วันนี้ต่อให้ทำงานไปมันก็ไม่เสร็จง่ายๆ สู้เอาเวลามาเล่นกับเพื่อนแก้เซ็งจะดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นผมก็ปล่อยโมเดลที่ยังคาอยู่กองไว้กับพื้นห้องส่วนร่วมของคณะแล้วเย้าแหย่ไอ้คุณที่เริ่มจะอารมณ์ดีขึ้นต่อด้วยรู้ว่าไม่มีทางที่คนใจอ่อนอย่างมันจะโกรธผมได้ลงจริงๆ

 





PEAM

อยู่กับพวกไอ้เหยิน

จะมามั้ย?



ผมได้รับคำชวนจากเพื่อนสมัยมัธยมปลายให้ไปเป็นหนึ่งในศึกชิงแข้งรียูเนี่ยน สมัยม.ปลายพวกเราชอบเล่นเตะฟุตบอลกันถึงแม้การลงสนามของเราจะได้รับเสียงกล่าวขานว่าลงไปเแล้วเหมือนควายไล่ลูกกันมากกว่า แต่คนมันชอบเล่นกีฬานี่ครับ ให้ทำอย่างไรได้

ตอนนี้ผมเลยมาอยู่ที่สนามกีฬาในร่ม สถานที่ที่มักจะมาเสมอเมื่อครั้งยังเรียนชั้นมัธยมปลาย พร้อมเพื่อนๆ ร่วมกลุ่มอีกกว่าสิบคน เห็นพวกมันถามถึงกวินผมเลยลองชวนดู



KAWIN

ไปไม่ได้ว่ะ โทษที

เพื่อนมันนัดทำงานด่วน



คำตอบไม่ผิดไปจากที่ผมคาด ช่วงนี้ไม่เคยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสียที บางครั้งก็ไม่ได้คุยกันเพราะกิจกรรมของคณะเยอะเหลือเกิน จนบางครั้งผมก็คิดนะว่ามหาวิทยาลัยเขาจะเน้นเรียนหรือเน้นกิจกรรมกันแน่

"สรุปมันมาป่ะวะมึง?

เหยินตะโกนถามจากอีกฝั่ง ผมจึงเลือกจะส่ายหน้าพร้อมยกโทรศัพท์ให้มันดูเป็นคำตอบ

"เพื่อนนัดทำงานว่ะ เลยมาไม่ได้"

"กูเห็นแม่งไม่เคยมาได้"

"เอาหน่า ก็มันเรียนเยอะ กิจกรรมมันก็เยอะ"

"ไม่ใช่ว่ามันนอกใจมึงไปมีสาวที่คณะนะเว้ย"

คำพูดของเพื่อนทำผมกระตุกก่อนจะเลิกคิ้วมองหน้ามันไปหนึ่งที ไอ้เหยินก็ดูจะพอใจกับปฏิกิรยาของผมอยู่ไม่น้อย เห็นรอยยิ้มกวนตีนฉายชัดบนใบหน้าแล้วมันก็เดินมาคล้องคอผม

"ไม่เป็นไรนะเว้ยภีม กูมั่นใจว่าหนุ่มๆ ที่รอดามใจมึงเยอะแน่นอน ถ้ามันทิ้งมึงเดี๋ยวกูแนะนำให้"

"แนะนำให้ตัวมึงเองเถอะไอ้เหยิน"

หัวเราะเสียงดังเลยครับทีนี้ เลยได้ฤกษ์วอร์มอัพร่างกายด้วยการไล่เตะเพื่อนครึ่งรอบสนามก่อนเลย ไอ้นี่มันชอบกวนประสาทแบบนี้เสมอ ชอบยุชอบชงผมกับคนนั้นคนนี้ที่ไม่ใช่กวิน แต่ก็เป็นคนแรกที่ดีใจเมื่อเห็นพวกผมคบกัน บางครั้งผมก็สงสัยว่ามันเป็นพวกอารมณ์สองขั้วหรือเปล่า

วิ่งไล่บอลสองชั่วโมงบนพื้นหญ้า แม้จะไม่ใช่กลางแดดแต่ก็ทำให้เหนื่อยไม่น้อย เสื้อบอลตัวโคร่งชุ่มเหงื่อไปหมดแนบติดแผ่นหลัง ผมยิงประตูให้ทีมได้สองลูกทำให้เป็นฮีโร่ประจำเกมส์นี้ไปเลย ส่วนไอ้เหยินเหรอ นู้นครับ นอนเป็นหมาหอบแดดทั้งที่ทำหน้าที่ประตูแท้ๆ มันเหนื่อยอะไรของมันนักหนาวะ

ผมเช็ดเหงื่อออกจากหลังคออยู่ตอนที่โทรศัพท์ส่งเสียงเตือนว่ามีคนติดแท็กรูปของกวินมา ที่ขึ้นเตือนเครื่องนี้ด้วยเพราะเจ้าของแอคเคาท์บังคับให้ผมเปิดแจ้งเตือนเอาไว้ นิ้วเลื่อนดูรูปที่เด้งเตือนขึ้นมาแล้วต้องมุ่นคิ้ว ไหนบอกว่าเพื่อนนัดทำงานแล้วรูปเหล้ายี่ห้อต่างๆ มันคืออะไรวะ แถมยังรูปเจ้าของแอคเคาท์นั่งชูแก้วหน้าตามีความสุขอีก ยิ่งเห็นคอนเม้นท์ด้านล่างยิ่งต่างกับคำว่าทำงานไปมากโข เหมือนนัดกันมาก๊งยันเช้ามากกว่า

"โอ้โห งานคงหนักน่าดูว่ะกูว่า"

เหยินที่เดินมากอดคอผมว่าเบาๆ แล้วจะให้ผมตอบว่าอะไรได้ล่ะครับ มันก็ต้องสนุกอยู่แล้วล่ะถ้าแอลกอฮอลขนาดนั้นไหลลงคอ สนุกกว่าเตะบอลในร่มกับพวกผมด้วย

"ก็คงงั้น"

กดไลค์รูปแล้วปิดหน้าจอลงก่อนจัดการข้าวของของตัวเองไปด้วย ในอกเกิดความรู้สึกแปลกๆ ทั้งจากความเหนื่อยและการเห็นรูปที่ขัดกับคำพูดของคนที่ไม่อยู่ในที่นี้

"...มันอาจจะทำงานเสร็จแล้ว หรือไม่ก็เอาเหล้าย้อมใจก่อนทำงานก็ได้นะมึง" คงเห็นว่าอารมณ์ที่เคยดีมันหายไปเลยเอ่ยแก้ตัวแทน มือมันก็คว้ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าผมไปหิ้วไว้เองแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องด้วยความรวดเร็ว "ไปกินข้าวกับพวกกูก่อนไปแล้วค่อยกลับหอ เดี๋ยวไปส่ง"

มองหน้าเพื่อนที่คะยั้นคะยอด้วยคำพูดแล้วก็พยักหน้าตอบรับไป ไหนๆ ก็ไม่มีที่จะให้ไปต่ออยู่แล้ว แถมกลับไปตอนนี้ก็คงฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว สู้ไปกับพวกมันน่าจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ





 

[มีต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 27-06-2017 19:15:18
"เตี้ย เสาร์นี้ไปดูหนังกัน"

คำชวนจากคนที่ไม่ยินเสียงกันมานานนั้นทำให้ผมประหลาดใจมากถึงมากที่สุด ตอนแรกนึกว่าจะโทรมาเพราะรู้ว่ามีชนักติดหลังเรื่องประชุมด่วนตอนนั้น แต่กลับกลายเป็นคำชวนไปดูหนังเสียนี่

ผมชอบดูหนัง ยิ่งหนังผี หนังแอคชั่นจะชอบมากเป็นพิเศษ เวลามีเรื่องที่อยากดูเข้าทีถ้าไม่ชวนกวินหรือชวนเพื่อนคนอื่นๆ ผมก็สามารถไปดูเองได้อยู่แล้ว อันที่จริงเรื่องที่อีกฝ่ายชวนไปดูผมก็ได้ท้าพิสูจน์เสียเงินเต็มราคาตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉายแล้วเรียบร้อย แต่การดูหนังเรื่องเดิมในโรงซ้ำสองสามรอบไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับผม และหนังคงสนุกขึ้นกว่าเดิมถ้าได้ดูด้วยกันกับเขา

"เสาร์นี้เหรอ?"

"ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนะ"

"แบบนี้มันไม่เรียกชวนแล้วนะโย่ง นี่เรียกบังคับ"

คนปลายสายหัวเราะส่วนผมก็พูดไปยิ้มไป อารมณ์ครุกรุ่นที่เคยมีจนถึงเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ใจง่ายจริงๆ เลยครับผมเนี่ย

"ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง? ยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลย"

"ช่วงนี้ก็ตัวติดกับคุณปกติ กินข้าว เตะบอล จนคนคิดว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นละ อ่อ พ่วงกลุ่มก้อนของรักษ์ด้วยเพราะใกล้จะดองกันเต็มที... สองคนนั้นมันต้องมีซัมติงอ่ะมึง อยากให้ได้เจอ"

"ไปยุ่งกับเขาอีกนะ"

"คู่นี้ไม่ต้องยุ่งก็มีมาให้เห็นเถอะ" พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ไว้วันไหนมาด้วยกันดิ อยากแนะนำให้รู้จัก"

"ช่วงพาแฟนพบประชาชน?"

"พูดจาแบบนี้สงสัยจะอยากโดนเรียกไปปรับทัศนคติ"

กวินชอบแซวด้วยคำว่าแฟน ไม่รู้ว่าเจ้าแว่นนี่ติดใจอะไรหนักหนากับการที่พูดครั้งแรกแล้วผมเขินจนหน้าแดงหลังจากนั้นก็พูดเอาๆ ไม่หยุด ช่วงแรกก็เขินครับ แต่หลังจากฝึกสกิลมาอย่างดีอย่าว่าแต่อาการเขิน นอกจากจะทำอะไรไม่ได้แล้วยังโดนต่อปากต่อคำกลับให้ด้วย ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนอย่างภีมไม่ยอมแพ้กับเรื่องพวกนี้หรอก

แม้จะเป็นเวลาไม่นานนักเพราะกวินขอตัวไปทำงานต่อ แต่เราได้คุยเรื่องสัพเพเหระกันได้หลายเรื่องอยู่ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเพื่อน นานมากแล้วที่เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันแบบนี้ เหตุผลก็อย่างที่บอก อีกคนติดงานจนลืมโทรศัพท์มือถือไปเลย กว่าจะมีเวลาจับอีกทีก็วันที่ส่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้จะมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนที่มันเกิดขึ้นและจางหายไปแล้วเลยได้แต่ขุดเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมาคุยกัน เหงาเหมือนกันที่เวลาเขาพูดบางเรื่องเราก็ไม่อินตามไปด้วยเพราะไม่ได้สัมผัสเอง มาฟังเอาแบบนี้เลยเหมือนเป็นเรื่องราวของคนอื่นที่เราได้เพียงแค่รับฟัง

แต่ไม่เป็นไรเพราะอีกไม่กี่วันผมกับกวินจะได้มีประสบการณ์เดียวกันหลังจากที่ไม่มีมานานเสียที





 

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมคงแสดงออกนอกหน้าว่าตัวเองแฮปปี้สุดๆ ถึงได้โดนคุณแซวอยู่บ่อยๆ ให้ผมทำอย่างไรได้ล่ะครับ ก็คนมันดีใจนี่ ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกันมากเพราะสาเหตุเดิมๆ ก็ตาม

เรานัดกันที่ห้างใกล้มหาวิทยาลัยของผมเอง ผมจึงไม่รีบเท่าใดนัก อยากจะจองตั๋วหนังล่วงหน้าเผื่อคนชวนด้วย แต่คิดว่าเวลาอย่างนี้ไม่น่าจะมีคนมาแย่งดูเท่าไหร่จึงตัดสินใจว่าจะไปซื้อเอาที่เคาท์เตอร์หน้าโรงหนังแทน

"อยู่ไหนหว่า..."

แม้จะบอกว่าไม่รีบแต่ตัวผมมาถึงห้างตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลานัดแล้ว เดินเข้าเดินออกหลายร้าน รู้สึกตื่นเต้นกับการเจอกันในครั้งนี้จนผมต้องจัดตารางไว้เลยว่านอกจากดูหนังแล้วจะทำอะไรที่ไหนต่อทั้งที่ไม่ใช่คนชวนแท้ๆ อยากจะรู้ด้วยว่าระหว่างไม่เจอกันกวินจะเป็นอย่างไรบ้าง ผอมลงมั้ย ขาวขึ้นหรือเปล่า ผมจะยาวขึ้นมากไหม เห็นว่าตัดแว่นใหม่ด้วยแต่แค่ในรูปเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นยังไง

ผมมองนาฬิกาแล้วพบว่าใกล้จะถึงเวลานัดแล้ว แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่ายจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หาขณะขึ้นบันไดเลื่อนไปรอที่ชั้นโรงหนังก่อนเผื่อต้องจองตั๋วในกรณีที่เขามากระชั้นชิดรอบที่ตั้งใจจะดูกันไว้

แต่เขาไม่รับสายและไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงจะเลยเวลานัดไปกว่าสิบนาทีแล้ว

นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนใจ ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แล้วป่านนี้ไปอยู่ที่ไหน จะว่าหลงก็ไม่ใช่หรอกเพราะหากหลงเขาจะต้องโทรมาหาแล้ว ใจเริ่มคิดไปถึงเรื่องไม่ดี ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากการกดโทรศัพท์หาเขาไปเรื่อยๆ ยิ่งเสียงรอสายนานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงบีบรัดในอกด้านซ้าย ตอนแรกก็ตื่นเต้นเพราะจะเจอกัน แต่ครานี้มันเปลี่ยนไปในรูปแบบของความตื่นตระหนกแล้ว

"ฮัลโหลโย่ง! ทำไมเพิ่งรับโทรศัพท์วะ? เป็นอะไรเปล่า? นี่มันเลยเวลานัดมานะ..."

ผมรัวคำถามลงไปเมื่อโทรศัพท์ถูกรับสาย แต่เสียงที่ตอบกลับมากลับไม่ใช่คนที่ผมต้องการจะคุยด้วย แต่เป็นเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย

"เอ่อ ขอโทษที เราเป็นเมทมัน รายนั้นน่าจะมารับโทรศัพท์ไม่ไหวแต่เราเห็นมันดังแล้วตัดนานมากแล้วเลยถือวิสาสะรับแทน"

"รับไม่ไหว? เขาเป็นอะไรครับ ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไรใช่มั้ย?"

"เปล่าๆ คงแค่แฮงค์นะ เห็นเพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ตัวนี่เหม็นเหล้ามาเลย"

ฟังคำตอบแล้วผมก็เบาใจที่เขาไม่ได้เป็นอะไร แต่อีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ทั้งที่เขามีนัดกับผมวันนี้ รู้ทั้งรู้ว่านัดกันตั้งปต่ตอนเช้าแต่กลับออกไปดื่มเหล้าจนสลบสไลไม่โทรบอก ไม่มาหา แม้แต่ไลน์สักข้อความยังไม่มี เรื่องที่เขาไปดื่มเหล้าเมื่อคืนวานผมก็ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

ความจริงข้อนั้นยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกแย่หนักขึ้นไปอีก ครั้งก่อนที่มีปัญหากันก็เพราะเรื่องนี้ ครั้งนี้ก็อีกแล้วหรือ

"ให้ปลุกให้มั้ย เห็นว่าเลยเวลานัดแล้ว..."

ต่อให้ปลุกก็มาไม่ไหว และรอบหนังที่ผมตั้งใจจะดูมันก็ผ่านไปแล้ว แถมความรู้สึกที่เสียไปมันทำให้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรต่ออีก จึงเลือกปฏิเสธไปด้วยความสุภาพก่อนจะวางสาย

"...ไม่เป็นไร ไม่ใช่นัดสำคัญอะไร ขอบคุณนะ"

ใช่ มันไม่สำคัญอะไรหรอก

เพราะถ้ามันสำคัญจริงกวินก็คงไม่ลืม จริงไหม?





 

"ขอโทษจริงๆ กูโดนรุ่นพี่ลากไป"

คำขอโทษอีกครั้งจากกวินคือสิ่งที่ผมได้รับในวันรุ่งขึ้น อีกฝ่ายโทรมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ที่ฟังก็รู้ว่ายังไม่หายจากอาการแฮงค์เท่าไหร่นัก ก็แน่ล่ะว่าต้องเป็นแบบนั้น ผมยังจำได้ดีว่าครั้งก่อนหน้าและก่อนหน้านั้นอีก เวลาไปเมาแต่ละทีแอลกอฮอลแรงๆ ทั้งนั้นที่พวกเขาเลือกมา

"...อืม"

"โกรธมากใช่มั้ย?"

"เป็นมึงจะโกรธหรือเปล่าล่ะ? ผิดนัด ติดต่อไม่ได้ มีคนอื่นรับสายแทน แล้วมารู้ว่าที่ผิดนัดเพราะแฮงค์ เออ เรื่องไปกินเหล้ารอบนี้กูก็ไม่รู้นะเพราะไม่ได้คุยกันเลยวันนั้น"

"....."

กวินเงียบไปเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้น ส่วนผมหลังพูดไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

"วันนี้พวกคุณนัดไปหาร้านกินตอนเย็น ไปมั้ย?"

"ถ้าวันนี้คงไม่ได้ เมื่อวันศุกร์อาจารย์ให้งานใหม่มาแล้ว..."

"หึ ก็คิดไว้แล้วล่ะ"

ไม่ได้คาดหวังอะไรกับคำตอบของอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่พอได้ฟังและได้ยินเองยิ่งรู้สึกแย่ ความอึดอัด ความน้อยใจรวมไปถึงความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เคยสุ่มอยู่ในอกเวลานี้มันตีตื้นขึ้นมาจนห้ามไม่ให้มันระเบิดออกมาไม่ไหว

"เราไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้ว เคยนับมั้ย? สองเดือนเว้ย สองเดือนแล้ว"

"....."         

"ไม่ได้เจอกันกูไม่ว่า บางครั้งมึงหาเวลามารับสายกูยังไม่ได้เลย กว่าจะได้คุยกันก็นู้น กูลืมไปละว่าจะคุยอะไรบ้าง"

คู่ที่ไม่มีเวลาให้กันแต่คบกันยืดนี่เขาทำได้ยังไงวะ?

คำถามที่ผมเคยถามกับคุณผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้งยามที่ผมเอื้อนเอ่ยถ้อยคำทั้งหมดให้ผู้ที่อยู่ปลายสายฟัง

"เข้าใจว่างานเร่ง โปรเจคเยอะ เราเรียนคณะเดียวกันกูรู้ดี แต่มันไม่ได้เยอะขนาดที่จะไม่มีเวลาพักติดๆ กันแบบนั้นไม่ใช่หรือไง เพราะกูยังหาเวลาโทรหามึงได้อยู่เลย"

หัวตาเริ่มร้อนผ่าว ผมเป็นพวกมีความอดทน ทนได้จนกว่าจะทนไม่ไหวและเวลานี้ก็ถึงขีดสุดของความอดทนแล้ว ไม่ใช่ไม่มีความเชื่อใจ ผมเชื่อในตัวกวินทว่าความเชื่อใจกับความอดทนมันเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

"มึงมีเวลาให้ทุกอย่างที่ไม่ใช่กู มึงไปกับรุ่นพี่กับเพื่อนในคณะได้แต่ไม่ใช่กู ไปฉลอง ไปลงขวดได้ แต่ไม่ใช่การทำอะไรก็ตามกับกู ความทรงจำใหม่ที่มึงสร้างขึ้นไม่จำเป็นต้องมีกูอยู่ในนั้นเลย..."

การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง ผมรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้ดี รู้ด้วยว่าเราจำเป็นต้องเสียสละในบางสิ่ง อย่างแรกคือความเป็นไร้เดียงสา อย่างที่สองคือความทรงจำที่เคยผ่านมา เช่นครั้งนี้ที่ผมตัดสินใจแล้วว่าตัวเองก็ควรต้องเสียสละบ้างเพื่อจะได้โตขึ้น

"ภีม... กูรู้ว่ากูผิด แต่ช่วยใจเย็นก่อน..."

"ถ้าไม่มีเวลาให้กันแบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"

ความสัมพันธ์ระยะไกลคงไม่เหมาะกับผมจริงๆ





 

"เหี้ย! นั่นก็แรงไป”

ภูมิร้องลั่นเมื่อผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ให้ฟัง ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งอยู่ในร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยที่ผมเป็นคนเสนอเอง ไม่ใช่พวกชอบเครื่องดื่นมึนเมาแบบนี้เท่าไหร่ แต่วันนี้กลับอยากลอง และเริ่มจะมึนหัวหน่อยๆ แล้วด้วย

"กูว่ามึงโทรไปปรับความเข้าใจเถอะภีม มึงก็รู้ว่าคณะเรางานมันเยอะ เขาอาจจะหายไปทำงานก็ได้"

"ไม่รู้ว่ะคุณ ช่วงนี้มันดูแปลกๆ คุยกันแป๊บๆ ก็ขอวางสาย หายไปเป็นวันๆ ไม่บอกกูแต่เสือกลงรูปว่าไปร้านเหล้ากับเพื่อน..." รู้ว่าคุณเป็นห่วงเพราะได้ยินเรื่องราวของพวกผมมาตลอด แต่ครั้งนี้ผมไม่อยากทำตามที่เขาพูดเลย จะว่าทิฐิก็ได้ที่ถือว่าตัวเองตัดสินใจไปแล้ว "ไม่ได้อยากงี่เง่านะเว้ย แต่มันน้อยใจ... ถ้ามีแฟนเหมือนไม่มีแบบนี้ สู้ไม่มีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอวะ?"

ใช่ ผมน้อยใจ เพราะแต่ก่อนไม่ว่าจะทำอะไรผมกับกวินก็จะทำด้วยกันเสมอ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ไม่มีเสียหรอกที่จะห่างกันนานขนาดนี้ ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนติดแฟนในระดับหนึ่ง และเพราะติดนั่นแหละ สองเดือนที่ผ่านมาจึงนับว่าเป็นความอดทนระยะยาวสุดๆ ของตัวเองแล้ว

เพื่อนร่วมก๊วนของรักษ์ได้ยินแบบนั้นก็รีบให้คำแนะนำกันใหญ่ แต่ละอย่างก็ดีๆ ทั้งนั้นจนอดคิดไม่ได้ว่าพวกมันต้องเคยทำมาแล้วแน่ๆ แต่ผมเพียงแค่ส่ายหน้ามองน้ำเมาที่อยู่ในแก้วตัวเองเท่านั้น

"ไม่รู้ว่ะ กูบอกเลิกไปแล้ว เท่ากับว่าเลิกกันแล้วป่ะวะ"

"แต่กูไม่เลิก"

สงสัยแอลกอฮอลจะออกฤทธิ์เสียแล้วมั้ง นอกจากจะมึนหัวแล้วยังได้ยินเสียงของคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้อีก ผมมุ่ยหน้าก่อนจะกระดกแก้วเหล้าในมืออีกครั้งแต่ใครบางคนดันมาคว้ามันออกไปก่อน อยากกินไปรินเองวะ มาวุ่นวายอะไรกับของคนอื่นเขา

"กวิน มาพอดีเลย"

หืม... เดี๋ยวนะ กวินงั้นเหรอ?

ผมหันควับตามสายตาของคุณไป จึงพบกับหนุ่มแว่นตัวสูงที่ตอนนี้ทำหน้าถมึงทึงพร้อมอากาศหายใจหนักๆ ยืนอยู่พร้อมวางแก้วเหล้าที่เคยเป็นของผมลงบนโต๊ะไกลเกินกว่าที่มือจะเอื้อมถึง มาอยู่นี่ได้ยังไงกัน

"ขอบใจมากคุณที่บอกชื่อร้าน ขอบใจพวกมึงด้วย ค่าเหล้าส่วนของมันเท่าไหร่มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวจ่ายให้"

"ไม่เป็นไร เอามันไปปรับความเข้าใจก่อนเถอะ งอแงชิบหายเลย เหมือนจะเมาแล้วด้วย"

"อืม... ไปเตี้ย กลับห้องกู"

คุยกันเองอยู่สองคนแล้วหันมาดึงแขน แต่มีหรือที่จะยอมกันง่ายๆ ผมสะบัดแขนทิ้งพร้อมขมวดคิ้วใส่ด้วยความไม่พอใจ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งกัน ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด บวกกับความกรึ่มได้ที่เลยส่งเสียงดังลั่น

"ไม่เอา! กูไม่ไป เลิกกันแล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย!?"

"เลือกว่าจะให้ทำที่ห้องหรือที่นี่ ต่อหน้าเพื่อนมึง"

"ไอ้วิน!"

ตะโกนเรียกชื่อมันก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือยื้อให้ลุกขึ้น ถ้าไม่ลุกก็จะเจ็บเอาอีก แต่เหมือนจะเข้าทางอีกฝ่ายเมื่อคนตัวสูงกว่าเห็นผมลุกเขาก็จัดการตวัดแขนแบกผมขึ้นบ่าเดินห่างจากกลุ่มอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครห้ามทัน ยิ่งกับคุณนะ มันโบกมือให้ผมไหวๆ ถึงจะกรึ่มแต่ตาไม่บอดนะเว้ย! คอยดูเถอะ จะให้รักษ์ทำโทษเสียให้เข็ด

คาดโทษเพื่อนไว้ในใจแต่ตอนนี้ต้องจัดการเรื่องของตัวเองก่อน ผมออกแรงดิ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ใช้แขนทุบเข้าที่หลังอีกคนดังอั่กๆ เพื่อจะให้ปล่อยเสียทีแต่นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วยังโดนล็อกขาไว้แน่นกว่าเดิม สภาพเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่กำลังจะโดนจับไปเชือดเลยครับ

"ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง วิน!"

"อยากให้ปล่อยก็เงียบ เรามีเรื่องต้องคุยกัน"

"ไม่คุย ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ปล่อย!"

กว่าจะถูกปล่อยตัวก็ตอนที่เขาพยายามยัดผมขึ้นเบาะหลังรถแล้วตัวเองตามเข้ามาด้วย ผมเคยนั่งรถคันนี้อยู่บ่อยๆ สมัยยังเป็นนักเรียนชั้นม.ปลาย แต่นั่นด้วยความเต็มใจไม่ใช่การถูกจับยัดเข้ามา มองซ้ายมองขวาพยายามหาทางหนีไปออกประตูอีกฝั่ง แต่เจ้าของรถก็ไวนัก กวินกดล็อครถแล้วเก็บกุญแจเข้าประเป๋ากางเกงก่อนนั่งมองผมนิ่งๆ ใช้ความเงียบกดดันแล้ว

จากที่ความน้อยใจมีมากอยู่แล้ว มาเจอการกระทำของอีกฝ่ายเข้าไปพ่วงฤทธิ์แอลกอฮอลในเส้นเลือดขับให้น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลลงแก้มโดยที่ผมห้ามเอาไว้ไม่ทัน ดูท่ากวินจะตกใจไม่แพ้กันดวงตากลับกรอบแว่นถึงได้เบิกกว้างพร้อมทำท่าจะโผเข้ามาหาแต่ผมเลือกจะเขยิบตัวถอยห่างเสียก่อนเขาจึงได้ชะงักไป

“...ฟังวินหน่อยเถอะนะภีม”

สรรพนามที่ใช้แทนตัวเปลี่ยนไปพร้อมกับโทนเสียงที่ไม่กระโชกโฮกฮากและไม่กดดัน ติดจะเว้าวอนเสียด้วยซ้ำ หากผมก็ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแต่นั่งเงียบมองพื้นที่ว่างระหว่างเราสองคนราวกับมันเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งนัก

“รู้แล้วครับว่าผิดไปแล้ว ผิดมากๆ ที่ทำให้ผิดหวัง ทำให้เสียใจ บ้างาน กินเหล้าเยอะ แถมไม่ให้เวลากับแฟนเท่าที่ควร...”

“ไม่ใช่แฟนสักหน่อย...” พูดเสียงเบาพร้อมปล่อยเสียงสะอื้นออกมา “เลิกกันแล้วเมื่อเช้า”

“แต่วินไม่เลิก ตอนได้ยินคำนี้จากภีมมันเจ็บเหมือนจะขาดใจเลยนะ”

มือใหญ่ประคองข้างแก้มก่อนใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำใส ผมชอบความอุ่นจากมือของเขานะ แต่ก่อนเวลาอยากอ้อนหรืออยากเรียกร้องความสนใจก็มักจะเอามือเขามาแนบแก้มแล้วมองหน้าอยู่บ่อยๆ มาเจอแบบนี้เข้าไปใจอ่อนยวบเลย แต่ไม่อ่อนขนาดจะทิ้งความโมโหที่มีได้เลยจัดการเขาเข้าให้ด้วยการคว้ามือมาทิ้งรอยฟันเอาไว้เสียเลย แต่นอกจากจะไม่ร้องโอดโอยกวินยังมีหน้ามายิ้มให้แถมพึมพำเบาๆ ว่าผมเป็นลูกหมายังไม่โตอีก

“ดีกันได้มั้ย? สัญญาว่าหลังจากนี้จะปรับปรุงตัว”

ผมมองหน้าเขา แม้จะมีแว่นบังอยู่แต่ก็รับรู้ถึงความจริงใจที่ส่งมาให้ จะว่าไปกวินเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เห็นอยู่ไม่มากนัก ดูผอมลง ผมยาวขึ้นจนอยากจะจับไปไถให้กลับมาเป็นทรงเดิมที่ผมชอบและเป็นคนแนะนำให้ทำ

“...จะไปเตะบอลด้วยกันมั้ย?”

“ตอนนี้เลยมั้ยล่ะ เดี๋ยวโทรหาสนามในร่ม”

“ตลก โทรไปป่านนี้โดนด่าลืมบ้านพอดี”

นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้วใครเขาจะมาเปิดสนามให้เตะ เวลาแบบนี้มาตามน้ำไม่คิดจะห้ามกันบ้างเลย

“จะไปเตะบอล ดูหนัง กินข้าวกับเพื่อน จะไปไหนก็จะหาเวลามาเท่าที่ทำได้ เหล้าก็จะกินให้น้อยลงจะได้ไม่ลืมตื่นอีก”

“รู้ใช่มั้ยว่าไม่ได้ห้ามเลยถ้าจะไปกับเพื่อนหรือยุ่งกับโปรเจค... แต่เล่นไม่มีเวลาให้กันแบบนี้ก็น้อยใจเหมือนกัน”

“อืม ระหว่างขับรถมาก็สำนึกแล้ว ถ้าโดนเองวินก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

“วินอย่างนั้น วินอย่างนี้ ไม่ต้องมาทำตัวใสเลย”

“งั้นกลับห้องไปทำเรื่องไม่ใสแทน”

“ลงรถไปเลยไป”

ได้ยินผมว่าแบบนั้นเขาก็หัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ผมชอบแต่ช่วงหลังมานี้ได้ยินจากปลายสายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ก่อนอีกคนจะเนียน เขยิบเข้ามาใกล้กันมาขึ้นแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น

“ดีกันนะภีม ขาดมึงไม่ได้จริงๆ ว่ะ”

คำพูดคำจาไม่หวาน ผิดกับภาพลักษณ์หนุ่มแว่นในละครที่ต้องเป็นคนสุภาพ แถมยังทำอะไรลืมนึกถึงความรู้สึกกันไปบ้าง แต่พอเจอประโยคแบบนี้เข้าไปกลับทำให้ผมยิ้ม ยอมรับก็ได้ว่าเป็นคนใจง่าย แต่ใจง่ายแค่กับบางคน และตอนนี้บางคนๆ นั้นก็เป็นผู้ชายที่ชื่อกวินผู้มีตำแหน่งแฟนที่เกือบเป็นแฟนเก่าแต่เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเลยมานั่งง้อกันอยู่แบบนี้

เอาเข้าจริงถ้าวันนี้เขาไม่มาง้อ คนที่ต้องถ่อข้ามไปอีกฟากของจังหวัดอาจจะเป็นผมก็ได้ เพราะตอนนี้ผมคิดถึงวันที่ไม่มีเขาอยู่ในชีวิตไม่ออกเลยจริงๆ

“...ก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน”

ดูท่าว่าเราสองคนต้องช่วยกันแชร์ประสบการณ์รักระยะไกลไปอีกนานเลยล่ะ





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีแบบเลทๆ ค่ะ ตั้งใจจะเอามาลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่งานเยอะมาก กลับมาก็สลบเลย... มาแก้ตัววันนี้แทน

ธีมของตอนนี้คือการไม่มีเวลาให้กันค่ะ หลายๆ คู่ที่เรารู้จัก พอโตขึ้น กิจกรรมเยอะขึ้น จนบางครั้งก็ไม่มีเวลาให้กัน ยิ่งถ้ามีแฟนสายเฮาฮาเคล้าเครื่องดื่มของมึนเมามันยิ่งเป็นฉนวนให้อารมณ์ประทุได้เลยล่ะ

แต่ของแบบนี้จะมองมุมเดียวก็ไม่ได้อีก เราต้องมองสองมุม เพราะงั้นอาทิตย์หน้ามาดูฝั่งกวินกันบ้างเนอะ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ติชม และกำลังใจเสมอมาค่ะ

แล้วเจอกันนะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 27-06-2017 19:52:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-06-2017 21:54:00
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 28-06-2017 14:01:42
น่ารักทุกคู่เลยค่ะ ชอบมาก

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 29-06-2017 12:45:18
รักทางไกล
ยิ่งไกลยิ่งผูกพัน
น่ารัก
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 11 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (27.06.17)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-07-2017 01:57:58
next episode please!

 :call:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 06-07-2017 18:37:37
[12]





คุณเคยกลัวการปล่อยมือใครสักคนไหม?

เริ่มความสัมพันธ์จากการกุมมือกันอย่างแผ่วเบา สอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกันก่อนเปลี่ยนเป็นกอบกุมกันแน่น และบางครั้งก็แน่นขนาดรับรู้ถึงหยาดเหงื่อที่ซึมออกมาจากอีกฝ่าย จนต้องคลายมือออกจากกัน โดยลืมไปว่าระยะห่างจากการคลายมือที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้เราต้องปล่อยมือกันไม่วันใดก็วันหนึ่ง







เสียงดินสอดราฟที่ร่วงลงพื้นดึงสติที่ล่องลอยให้กลับเข้าร่าง ผมถอดแว่นตาที่มัวไปแล้วเพราะเพราะทำเป็นรอยตอนกำลังสัปหงกก่อนเช็ดมันเข้ากับเสื้ออย่างลวกๆ คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะเห็นว่าเมื่อห้าชั่วโมงก่อนระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาร่างแบบอยู่นั้นมีคนส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นยอดฮิตทิ้งไว้ให้



PEAM

ตื่นแล้วอย่าลืมหาอะไรกินด้วย ถ้ามัวแต่ลงขวดสักวันจะให้กินขวดแทนข้าว

คิดถึงโย่งเท่านี้



ยกยิ้มให้กับประโยคคำสั่งที่แฝงด้วยความเป็นห่วงจากคนที่อยู่อีกด้านของหน้าจอ ยิ่งเลื่อนมาเจอรูปนิ้วโป้งนิ้วชี้ไขว้กันอย่างที่เจ้าตัวออกปากว่าเป็นเทรนด์นิ้วรูปหัวใจจากแดนโสมยิ่งฉุดให้หลุดจากภวังค์ความง่วงมานั่งยิ้มให้กับโทรศัพท์ชนิดถ้าเพื่อนมาเห็นคงเข้าใจผิดว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำจนกลายเป็นบ้าไปแล้ว

แฟนใครวะ โคตรน่าหมั่นเขี้ยว



KAWIN

อยากกินเจ้าของรูปแทนข้าว



มองข้อความที่ส่งกลับไปจนแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีคนเปิดอ่านในตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนต่างก็เข้านอนกันแล้ว ยิ่งภีมเพิ่งได้พักหลังส่งโปรเจคไป ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงนอนเอาแรงข้ามวันข้ามคืนให้สมกับที่ไม่ได้นอนเต็มตามานานกว่าสัปดาห์แน่ๆ ผมยิ้มให้กับหน้าจออีกครั้งแล้วกลับไปให้ความสนใจกับแบบร้านกาแฟที่เป็นหัวข้อของงานครั้งนี้

เราเริ่มคบกันตอนเรียนม.ปลาย มันเป็นความสัมพันธ์เรียบง่ายที่สร้างขึ้นจากการเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ากันได้ดีมากกว่าคนอื่นๆ จนวันหนึ่งความรู้สึกอันพัฒนาเกินไปกว่านั้นเริ่มผลักดันให้เราทั้งสองคนแสดงความพิเศษให้แก่กัน และในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหว ต้องเอ่ยสิ่งที่คิดให้เขาฟังด้วยรู้ดีว่าหลังจากนี้คงมองใครสำคัญไปมากกว่าภีมไม่ได้อีกแล้ว

ดีใจแทบบ้าตอนได้รับคำตอบว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน

น่าเสียดายที่เราเรียนคนละมหาวิทยาลัย ไม่อย่างนั้นคงได้ใช้เวลาในการทำอะไรร่วมกันได้มากกว่านี้ ได้เรียนด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน อยู่หอเดียวกัน ไปซื้อของ หรือใช้เวลาตัดโมในสตูดิโอด้วยกันตามประสาเด็กสถาปัตย์อย่างที่เคยนึกฝันไว้ ทว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้คือเวลาที่สวนทางกัน เขาว่างผมไม่ว่าง พอผมว่างเขาก็มีนัดหรือไม่ก็ต้องทำงานส่งอีกครั้งแล้ว แต่ผมเข้าใจดีและคิดเสียว่าเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเราจะมีเวลาให้ได้คิดถึงกันบ้างเพื่อจะได้เติบโตขึ้นไปในอีกระยะของความสัมพันธ์

ห้าปีกับการเป็นเพื่อนและสี่ปีกับการเป็นคนรัก ผมหวังให้เราอยู่นับจำนวนปีไปด้วยกันนานๆ

โดยที่ตอนนั้นผมไม่ทันคิดเลยว่าเราจะมีเวลาให้กันน้อยลงไปทุกที

 





"กูจะไปซื้อของเพิ่ม ใครจะเอาอะไรบ้าง?"

"กูไปซื้อข้าวด้วย พวกมึงเอาอะไรเดี๋ยวกูไล่จดให้"

"กูเอาชานอ้อยเพิ่มกับข้าวผัดหมูสอง"

"กูเอาโฟมอัดแข็ง ยำมาม่าแซ่บๆ"

"สั่งแล้วเอาเงินมาให้พวกกูด้วย ไอ้ห่า!"

เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นหลังจากที่แต่ละคนเงียบหายไปหลังกองงานของตัวเอง บางคนที่ยังนอนอยู่ก็ถูกปลุกขึ้นมาถาม เป็นแบบนี้เสมอเมื่อมารวมตัวกันทำงานในห้องสตูดิโอของคณะที่สร้างเพื่อให้พวกผมได้ใช้ หากใครคนหนึ่งของหมดและจะออกไปซื้อก็จะไหว้วานกันไปเสมอเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาเฮละโลไปด้วยกัน แลกกับการช่วยคนอาสาไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่จะทำได้ในส่วนของมันเป็นการตอบแทน

"ไม้สามเหลี่ยมกูอยู่ไหนวะ? ใครเอาของกูไป"

ผมโยนไม้สามเหลี่ยมข้างตัวให้คนที่ตะโกนถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากงานตรงหน้า ไม่ใช่ของมันหรอกแต่ตอนนี้ยังไม่ต้องใช้เพราะตัวเองกำลังติดกาวเข้ากับผนังด้านในของร้านกาแฟอยู่

ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งปั่นโปรเจคด้วยสที่ติดพันกันมาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนกันอยู่ ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเดดไลน์ไฟยิ่งลนก้น แต่ละคนต้องจรลีมานอนที่ห้องสตูดิโอเพื่อจะได้มีคนช่วยกันปลุกให้ทำงานและสุมหัวช่วยงานของแต่ละคนไปด้วย นี่ก็มาขลุกตั้งแต่หัวค่ำของเมื่อคืนวานจนตอนนี้ก็ปาไปเกือบสิบโมงเช้าของอีกวันแล้ว สภาพไม่ต่างอะไรจากซอมบี้นักแต่หน้าตาดีกว่ามาก

"เฮ้ยกวิน กูยืมโทรศัพท์หน่อยดิ ลืมบอกให้ไอ้ต้อมซื้อสีมาด้วย"

"ในกระเป๋าอ่ะ มึงค้นเอา"

เพราะไม่รู้สึกว่าโทรศัพท์อยู่กับตัวจึงยอมเงยหน้าง่วงๆ จากงานขยับแว่นแล้วพยักเพยิกไปทางกระเป๋าที่กองรวมไว้กับเพื่อนคนอื่นๆ ตรงมุมห้อง ปกติก็ไม่ใช่พวกติดเครื่องมือสื่อสารอยู่แล้ว ยิ่งเวลาทำงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง

"ไม่มีว่ะมึง ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูยืมของคนอื่นก็ได้ เฮ้ย! ใครมีโทรศัพท์ติดตัวกูขอยืมหน่อย"

ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นก็พลันขมวดคิ้ว จะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่ได้พกติดตัวมาด้วย เลยใช้มือตบๆ ไปตามกระเป๋าเสื้อนักศึกษาและกระเป๋ากางเกงอีกครั้งเผื่อจะเข้าใจผิดทว่าความหวังก็ไม่เป็นผล พอย้อนคิดดูก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลยสักครั้ง ดูท่าคงจะลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่หอจริงๆ เสียแล้ว

พอคิดได้แบบนั้นก็ยิ่งอยากทำงานให้เสร็จและกลับหอเสียที ง่วงก็ง่วงแถมป่านนี้คงมีคนเป็นห่วงแย่แล้ว เพราะเคยมีเหตุการณ์ที่ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่หอแบบนี้นี่แหละ แต่ตอนนั้นลืมเกือบอาทิตย์ ครอบครัวและคนรักติดต่อไม่ได้เลยต้องเดินทางมาหากันด้วยตัวเอง ตอนนั้นเลยที่รู้ว่าแฟนตัวเองดุขนาดไหน ก็เขาเล่นสั่งสอนผมชนิดที่อยากจะยกมือไหว้ด้วยความสำนึกผิดกันเลยทีเดียว

เพราะมีแรงกระตุ้นที่ไม่ใช่เสียงเพลงซึ่งวนกลับมาอีกครั้งแล้ว ผมจึงเร่งทำงานในส่วนที่ตั้งใจให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้อย่างรวดเร็วและบึ่งกลับหอโดยบอกเพื่อนไว้ว่าจะกลับอีกทีในตอนเช้าวันพรุ่งนี้

ผมถึงห้องตอนเกือบห้าโมงด้วยสภาพเบลอๆ ไม่ต้องหานานก็เจอโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะข้างเตียง เพียงหยิบขึ้นมาดูหน้าจอก็ขึ้นข้อความแจ้งเตือนในระหว่างที่ไม่อยู่ในทันที



10 สายที่ไม่ได้รับจาก โย่ง's



โย่ง's คือชื่อที่ใช้สำหรับเมมเบอร์ภีม อีกฝ่ายเป็นคนเลือกชื่อนี้ให้ด้วยตัวเองเพราะเห็นว่ามันตลกดี และผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะตอนที่ภีมแล้วยิ้มจนตาหยีไปด้วยมันทำให้ปฏิเสธลงเสียที่ไหน

มองเวลาที่โชว์อยู่บนเครื่องแล้วจึงเลือกจะขอพักผ่อนก่อนแล้วจะโทรกลับหาเขา อันที่จริงอยากโทรหาเลยแต่ตัวเองก็ไม่ชอบคุยตอนที่กำลังง่วงเพราะเสียงของอีกคนจะยิ่งเป็นเหมือนเครื่องดนตรีกล่อมให้หลับหนักเข้าไปอีด แต่ก่อนจะนอนก็ไม่ลืมจะส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นสีเขียวไว้ด้วย



KAWIN

เตี้ยโทรหากูเหรอ?



เบลอไปถามเขาอีกทั้งที่เห็นๆ กันอยู่ หากมาอ่านภีมคงด่าผมแน่ๆ เลยรีบส่งข้อความที่ตั้งใจจะบอกอย่างรวดเร็ว



KAWIN

โทษที กูลืมเอาโทรศัพท์ไป

ไว้โทรหา ขอนอนก่อน ตาลืมไม่ขึ้นแล้ว



ไม่ทันดูว่าภีมตอบกลับหรือเปล่าเพราะพอจบประโยคก็รีบล้มตัวนอน หวังจะพักผ่อนให้เพียงพอแล้วโทรไปคุยกับคนตัวเล็กกว่าให้หายคิดถึงและเติมเต็มกำลังใจในการปั่นงานวันพรุ่งนี้

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าคนอีกฝั่งหนึ่งกำลังรอการตอบกลับของผมด้วยความรู้สึกแบบไหน





 

"เตี้ย เสาร์นี้ไปดูหนังกัน"

ทันทีที่เขารับสายผมก็บอกความต้องการของตัวเองออกไป งานมนมือกำลังจะเสร็จแล้ว และหลังจากส่งโปรเจคที่เร่งทำจนเสร็จสิ้นพวกผมก็จะมีเวลาว่างอย่างน้อยๆ ก็พอให้ได้เที่ยวผ่อนคลย และแน่ล่ะว่าพอมีเวลาเราก็ต้องตักตวงให้เต็มที่

ด้วยรู้แน่ว่าภีมไม่พอใจนักที่ผมปฏิเสธไปเตะบอลกับเขาและพวกไอ้เหยิน เพื่อนสมัยมัธยมปลายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เพราะพวกเพื่อนๆ ที่คณะดันหลอกพาไปร้านเหล้าตั้งแต่ช่วงเย็นทั้งที่มันบอกว่าจะไปทำงานด่วน ตับแข็งโดยด่วนล่ะสิไม่ว่า แต่ครั้งนั้นแค่จัดไปสองสามแก้วเพราะไม่อยากเสียมารยาทแล้วทำหน้าที่แบกเพื่อนกลับไปส่งหอ พอมาคราวนี้หาเวลาว่างได้เลยรีบชวนไว้ก่อน อยากให้เวลากับคนรักบ้างนี่ ไม่ได้เจอหน้ากันนานๆ ดูแต่รูปที่อยู่ในเครื่องกับที่อีกคนส่งให้ยังไงก็ไม่เท่ากับการได้เจอหน้าและพูดคุยกันอยู่แล้ว

"เสาร์นี้เหรอ?"

"ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนะ"

เพราะน้ำเสียงของภีมเหมือนไม่แน่ใจผมเลยรีบดักทางเขาเอาไว้ก่อน เอาแต่ใจนิดหน่อยให้รู้ว่าผมอยากไปด้วยจริงๆ

ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเล็กน้อยและก็ได้ยินเรื่องของคุณกับคนที่ชื่อรักษ์อีกครั้ง ภีมสนิทกับคุณมากเพราะนิสัยหลายๆ อย่างคล้ายกันแม้จะไม่เคยเจอหน้าแค่ได้คุยด้วยบางครั้งระหว่างที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ให้ภีม ฟังจากการพูดจาและความสนิทสนมแล้วก็พอจะไว้วางใจได้ว่าระหว่างนี้คนรักของตนจะไม่ออกนอกลู่นอกทางแน่

"ไว้วันไหนมาด้วยกันดิ อยากแนะนำให้รู้จัก"

"ช่วงพาแฟนพบประชาชน?"

"พูดจาแบบนี้สงสัยจะอยากโดนเรียกไปปรับทัศนคติ"

หัวเราะกับคำขู่ของคนปลายสายไปอีกรอบ แต่ก่อนภัมจะเขินหน้าแดงไปถึงหูตอนที่ผมย้ำถึงสถานะของเราทั้งสองคน แต่พอเริ่มเข้าสู่ปีที่สามของการคบกัน เขาก็ปีกกล้าขาแข็ง ตอกกลับคำพูดของผมได้แล้วแถมตอนนี้ยังขู่กลับอีก นับว่ามีการพัฒนาจริงๆ

"คิดถึงนะเตี้ย มากๆ"

"ก็ไม่ต่างกันหรอก"

"จะไม่บอกคิดถึงกันหน่อยเหรอ?"

"เอ๊ะ ก็ที่พูดอยู่นี่ไม่ใช่หรือไงล่ะ?"

น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูขัดใจและนั่นทำให้ผมหัวเราะ รับมือกับคำว่าแฟนได้แต่รับมือกับคำว่าคิดถึงไม่ได้สมกับเป็นเขาล่ะ

"เอาหน่าบอกหน่อย เดี๋ยวจะไปทำงานต่อแล้วนะ"

เย้าไปด้วยรู้ว่าถ้าเป็นตัวอักษรล่ะก็ภีมไม่มีทางเกี่ยง แต่หากอยากให้พูดล่ะก็ต้องใช้วิธีหลอกล่อ หรือไม่ก็อ้อนเอาตรงๆ จะเร็วกว่าให้อีกฝ่ายพูดเอง

"เออ... คิดถึง"

แม้จะเป็นเสียงที่แผ่วเบาขนาดไหนแต่คนหูดีแถมยังเอามือถือแนบติดกับหูอย่างผมก็ยังได้ยินอยู่ดี อมยิ้มกับตัวเองก่อนจะขอตัววางสายเพื่อจัดการงานตรงหน้าต่อเสียที พลางคิดไปถึงสิ่งที่อยากทำกับเขาในวันที่เราเจอหน้ากันด้วย





 

“เอ้า ชน!”

สุดสัปดาห์ที่ผมรอคอยมาถึง แต่แทนที่จะได้พักผ่อนและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางข้ามฝั่งไปหาใครอีกคนตามนัดกลับต้องมานั่งแกร่วอยู่ในวงเหล้าพร้อมยกแก้วชนกับเพื่อนและรุ่นพี่เจ้าของเงินที่เลี้ยงพวกผมในวันนี้ ไม่อยากมานักแต่ก็เกรงใจเพราะเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของพี่เขา

“แล้วว่าไง โปรเจคใหม่ของอ.อนุภาพ สำแดงฤทธิ์เกรียงไกรมั้ยล่ะพวกมึง”

พวกผมโอดครวญเมื่อรุ่นพี่คนสนิทพูดชื่อของคนที่สั่งงานให้โหดที่สุด แถมยังให้คะแนนยากสุดๆ อีก เห็นปฏิกิริยาแบบนั้นจากรุ่นน้องแกก็ดูจะพอใจ หัวเราะเสียงดังแถมยังรินเหล้าให้พวกผมเองอีก มีคนบริการมันดีแบบนี้

“แกสั่งโปรเจคให้นักศึกษาเหมือนง่ายนะพี่ แต่จริงๆ งานหินโคตรๆ”

“เออ แกก็แบบนี้แหละ แต่มึงจำไว้ ได้คำปรึกษาจากแกยิ่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งได้ดีนะเว้ย”

พี่เขาพูดไม่ผิดหรอกครับ ในเมื่ออาจาร์ยสุดโหดท่านนี้คือหนึ่งในผู้ที่เคยได้รับรางวัลสาขาออกแบบอาคารติดกันสามปี แถมยังโชว์ฝีไม้ลายมือในการออกแบบตึกดังๆ อีกหลายที่ ได้คำแนะนำมากเท่าไหร่ยิ่งดีกับตัวเองในอนาคต

“อาจารย์ก็เขี้ยวเกินว่ะพี่ ทำงานจนผมไม่มีเวลาหาแฟนแล้วเนี่ย”

“มึงก็ว่าแบบนี้ทุกทีไอ้โอ๊ต ต่อให้ไม่มีงานมึงก็หาไม่ได้หรอก!”

ทั้งกลุ่มเฮละโรชนแก้วกันอีกหนึ่งยกก่อนที่ไอ้โอ๊ตจะรินเหล้าให้ชนิดเรียงตัว

ผมยกแก้วขึ้นแนบริมฝีปากอีกครั้งเพื่อบังรอยยิ้มจากอาการหยามใจของตัวเอง พลันนึกไปถึงข้อความจากคนไกลที่มีนัดกันในวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ตอบตั้งแต่เช้าเพราะตื่นสายกว่าจะไปเรียนก็ไม่สามารถตอบได้แล้ว แถมเรียนเสร็จก็โดนล็อกตัวมาที่ร้านนี้เลย

“แล้วมึงล่ะกวิน ช่วงนี้ดูมีความสุขเหลือเกิน"

เป้าความสนใจก็ถูกส่งมาที่ผม ขยับแว่นให้เข้าที่เล็กน้อยจนโดนเพื่อนถ่องศอกใส่แล้วแซวว่าทำไมต้องทำมาดเข้ม เข้มห่าอะไรครับ แว่นมันร่วงเดี๋ยวกูมองไม่เห็น

“พรุ่งนี้มีนัดกับแฟนน่ะพี่"

“โว๊ะ! หมั่นไส้เว้ย ชนแก้วต่อเลย ชนๆ!"

แก้วต่อแก้วที่ถูกชนและส่งเข้าปากค่อยๆ เพิ่มระดับแอลกอฮอลในเส้นเลือดมากขึ้นจนหัวหมุนไปหมด แม้จะเอ่ยขอหยุดเพราะสำนึกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเดินทางไปอีกฟากฝั่งของจังหวัดเพื่อพบคนที่คิดถึง หากเมื่อโดนน้ำเมากรอกปากอยู่ตลอดก็ได้แต่คิดว่าต้องโทรบอกภีมว่าผมเมาและอาจจะไปสาย ให้โทรมาปลุกด้วย

แต่ผมก็ไม่ได้โทร และมันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายเกินจะบรรยาย





 

ปวดหัว...

คืออาการแรกที่พุ่งเข้าหาเมื่อลืมตาตื่นมาเจอเพดานห้องของตัวเองจนต้องนอนหลับตาด้วยความอึดอัดอยู่บนเตียงครู่ใหญ่ก่อนจะสามารถขยับตัวขึ้นมานั่งพิงดีๆ ได้

โดนรินเหล้าแก้วต่อแก้วชนิดที่ไม่สามารถขอแยกตัวกลับออกมาก่อนได้ กลิ่นเหล้ายังคลุ้งเต็มกายจนขนาดตัวเองยังต้องย่นจมูกหนี จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่ากลับมาได้เพราะมีคนเรียกแท๊กซี่ให้มาส่งและพอมาถึงก็ตั้งใจจะนอนสักสิบนาทีก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะได้ออกเดินทางไปหาภีมเสียที

ใช่ ต้องไปหาภีม

แต่ยังไม่ทันลุกจากเตียงเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นตามมาด้วยร่างของเพื่อนร่วมห้องที่เดินเข้ามาพร้อมกับขวดยาแก้แฮงค์ในมือ

"อ้าว ไอ้กวิน ตื่นแล้วเหรอ กูกำลังจะมาปลุกมึงอีกรอบเลย"

"อืม... กี่โมงแล้ววะ? กูมีนัด..."

"แปดโมงแล้ว"

"โอ้ย... ยังทันนัด"

ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะกว่าจะออกมาจากร้านเหล้าได้ก็ปาไปตีสี่กว่าแล้ว มาถึงนี่ต้องไม่ต่ำกว่าตีห้าครึ่ง ได้นอนไปนิดหน่อยก็ยังดีกว่าไปทั้งที่ยังงัวเงีย

"แปดโมงของวันอาทิตย์นะมึง"

"...หา?"

"แปดโมงของวันอาทิตย์ วันที่มึงมีนัดคือเมื่อวาน" เมื่อเห็นผมนิ่งไปด้วยความสับสนมันก็พูดต่อ "เมื่อวานคนชื่อโย่งโทรมาตั้งหลายสายแต่มึงไม่รับกูเลยถือวิสาสะรับแทน พอถามว่าจะให้ปลุกมั้ยเขาบอกแค่ปล่อยให้มึงนอนต่อไป กูเลยไม่ปลุก"

คนชื่อโย่ง... โย่ง's มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ

ชิบหาย ชิบหายมากๆ

นอกจากจะหายไปทั้งวันไม่บอกกล่าวยังเมาหนักขนาดนอนหลับข้ามวันจนไม่ได้ไปตามนัดแบบนี้ หากไม่เรียกว่าหายนะก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี

เอ่ยขอบคุณเพื่อนแล้วผมก็รีบต่อสายหาคนที่ผมผิดนัดอย่างรวดเร็ว เห็นจำสวนสายโทรเข้าแล้วยิ่งปวดในอก นับสิบสายที่โทรมา และข้อความอีกมากที่ไหลมาแจ้งว่าเขากำลังออกจากหอ ถึงสถานที่นัดแล้ว และกำลังรอผมอยู่แม้จะเลยเวลานัดไปแล้วยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก

"ขอโทษจริงๆ กูโดนรุ่นพี่ลากไป"

ไม่มีแม้แต่ข้อแก้ตัวที่ดีกว่านั้น ทันทีที่ภีมรับสายผมก็รีบเอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง ทว่าปลายสายกลับนิ่งและตอบรับเพียงคำสั้นๆ และนั่นมากพอจะทำให้รู้ว่าผมทำผิดพลาดไปมากแค่ไหน

"โกรธมากใช่มั้ย?"

ถามไปโง่ๆ เพราะไม่รู้ควรจะเริ่มด้วยอะไรดี ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้มันเป็นวันที่ดีของเขาหลังจากที่ไม่มีเวลาตรงกันมานาน แต่กลับผิดพลาดไปหมด

"เป็นมึงจะโกรธหรือเปล่าล่ะ? ผิดนัด ติดต่อไม่ได้ มีคนอื่นรับสายแทน แล้วมารู้ว่าที่ผิดนัดเพราะแฮงค์ เออ เรื่องไปกินเหล้ารอบนี้กูก็ไม่รู้นะเพราะไม่ได้คุยกันเลยวันนั้น"

ผมเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร รู้ตัวว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตัวเองล้วนๆ

"วันนี้พวกคุณนัดไปหาร้านกินตอนเย็น ไปมั้ย?"

"ถ้าวันนี้คงไม่ได้ เมื่อวันศุกร์อาจารญ์ให้งานใหม่มาแล้ว..."

"หึ ก็คิดเอาไว้แล้วล่ะ"

ยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีกกับเสียงพ่นลมหายใจของเขา แต่ผมไม่สามารถไปได้ด้วยแพลนไว้แล้วว่าจะไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำสำหรับงานใหม่ที่ท่านได้ให้มา แถมอาจารย์อนุภาพแกดักทางไว้ด้วยว่ามีแค่วันนี้ที่จะว่างหลังสอนคลาสปริญญาโทเสร็จ

เราคุยกัน... เรียกว่าผมปล่อยให้เขาได้ระบายในสิ่งที่รู้สึกให้ฟังจะดีกว่า ยิ่งฟังยิ่งหน่วงในหัวใจ ไม่เคยรู้เลยว่าภีมเฝ้ารอสายแต่ละสาย ข้อความแต่ละข้อความด้วยความรู้สึกเช่นไร

"เราไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้ว เคยนับมั้ย? สองเดือนเว้ย สองเดือนแล้ว"

"....."

รู้สิ นับอยู่ตลอดว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกัน แต่ถ้าพูดไปตอนนี้ยิ่งฟังเหมือนแก้ตัวจึงเลือกที่จะเงียบให้เขาได้ระบายความรู้สึกออกมาทั้งหมด หากยิ่งฟังก็ยิ่งรู้ว่าการทำสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติและเล็กน้อยมากสำหรับตัวผมเองทำให้ภีมรู้สึกน้อยใจและเก็บกักอารมณ์ไว้มากมายขนาดนี้

"มึงมีเวลาให้ทุกอย่างที่ไม่ใช่กู มึงไปกับรุ่นพี่กับเพื่อนในคณะได้แต่ไม่ใช่กู ไปฉลอง ไปลงขวดได้ แต่ไม่ใช่การทำอะไรก็ตามกับกู ความทรงจำใหม่ที่มึงสร้างขึ้นไม่จำเป็นต้องมีกูอยู่ในนั้นเลย..."

ไม่จริงเลยแม้แต่น้อย เพราะผมมั่นใจว่าเมื่อไหร่เขาก็จะยังอยู่เสมอ เรามีเวลาที่จะทำอะไรๆ ด้วยกันได้อีกมากมายในขณะที่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมีเพียงแค่สี่ปีเท่านั้น

เสียงของภีมสั่น ยิ่งพูดก็ยิ่งสั่น ใจผมก็สั่นตามเขาไปด้วย ยิ่งประโยคลงท้ายแปลกๆ เหมือนเขาได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้วนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับผมเลย

"ภีม... กูรู้ว่ากูผิด แต่ช่วยใจเย็นก่อน..."

อยากจะอธิบาย อยากจะปลอบโยนด้วยคำที่ติดอยู่ในลำคอ แต่ประโยคถัดไปจากนั้นมันทำให้ผมได้เพียงชะงักงันรู้สึกราวกับตัวเองหลุดไปยังโลกต่างมิติ

"ถ้าไม่มีเวลาให้กันแบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"

เพราะเชื่อมาตลอดว่าจะไม่มีวันได้ยินคำนั้นและไม่มีวันพูดมันเด็ดขาด พอได้ยินประโยคบอกเลิกและสายที่ตัดไปแทบจะในทันทีทำให้สมองขาวโพลนไปหมด ใจที่เคยปวดหนึบบัดนี้มันชาก่อนความเจ็บจะเสียดแทงเข้ามาจนตั้งรับเอาไว้ไม่ทัน ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้ทุกคำพูดไหลผ่านเข้ามาในสมองอย่างช้าๆ

...ภีมเลือกที่จะปล่อยมือกันแล้ว และนั่นเป็นความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียว





 

"...โย่ง ...วิน วิน ตื่นได้แล้ว"

เสียงเรียกชื่อตัวเองพร้อมแรงกระทบไม่เบานักที่อกดึงสติของผมให้กลับมาจากภาพที่ฉายชัดอยู่ในสมอง ก่อนที่จะค่อยๆ บิดเบี้ยวและจางลงคล้ายหมอกควันยามต้องลม ผมกระพริบตาช้าๆ รู้สึกเหมือนสมองยังปรับจูนไม่ทันว่าภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่นั้นคือความฝันหรือความจริง

"ทำหน้าเป็นหมางงเลย ยังแฮ้งค์อยู่เหรอโย่ง?"

"...ภีม"

เอ่ยเรียกชื่อเขาคล้ายคนละเมอ เสียงของภีมแจ่มชัดพอๆ กับภาพของเขาที่อยู่ใกล้ ไม่ต้องใส่แว่นก็ยังมองเห็น

"แฮ้งค์อยู่แน่ๆ ปล่อยก่อน จะไปเอายาแก้แฮงค์มาให้"

คนตัวเล็กกว่าตัดสินใจเองเสร็จสรรพแล้วพยายามแงะตัวออกจากอ้อมแขน แต่เป็นผมเองที่รั้งเขาให้อยู่กับที่ด้วยการกระชับอ้อมกอด เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติและต้องการจะทำผสมกัน ภีมชะงักเล็กน้อยแล้วเลิกคิ้วมองผมราวกับสงสัยจัดว่ากำลังทำอะไร

"ยังไม่อยากปล่อย กลัวจะหนีไปอีก"

เมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อน หลังการบอกเลิกสายฟ้าแลบผ่านโทรศัพท์กว่าจะหาทางติดต่ออีกฝ่ายได้ก็ใช้เวลาอยู่ค่อนวัน จากที่ตั้งใจจะไปหาอาจารย์เพื่อขอคำปรึกษาก็ไม่ได้เรื่องอะไรเพราะไม่มีใจจะฟังเอาแต่ขอว่าให้อาจารย์พูดจบไวๆ ตนจะได้บึ่งรถไปปรับความเข้าใจกับคนรักเสียที

แต่พอไปถึงนอกจากจะไม่เจอใครแล้วยังโดนตัดหนทางติดต่อทุกครั้งที่โทรหาอีก สุดท้ายเลยต้องทักแชทเฟสบุ๊คของเพื่อนที่ชื่อคุณไปทั้งที่ไม่เคยแม้แต่จะกดขอแอดเฟรนด์กัน โชคยังดีที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ล็อคแชทและได้รู้ว่าภีมอยู่ร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยทั้งที่ปกติไม่ค่อยชอบของมึนเมาพวกนั้นเท่าไหร่

"จะรื้อฟื้นอีกใช่มั้ย?"

เจอถามแบบนั้นจะให้ตอบว่าอยากหรืออย่างไรกัน ผมรีบส่ายหน้าไวๆ แบบที่เขาเห็นแล้วจะหัวเราะบอกว่าทำตีวเหมือนหมางงที่ประจำอยู่ในคณะเขา

"ไม่ครับ ไม่เอาแล้ว ไม่ทะเลาะกันแล้ว"

"ก็ดี"

ภีมยักไหล่อย่างน่าหมั่นเขี้ยว ผมเลยกดจูบเข้าที่หน้าผากบางไปแรงๆ หนึ่งที แต่ยังไม่คิดจะคลายกอดของตัวเองออก ไม่ได้เจอ ไม่ได้แตะตัวตั้งนาน แถมเพิ่งคืนดีกัน ขอหาเศษหาเลยให้ชุ่มปอดหน่อยเถอะ

"ปล่อยได้แล้วมั้ง ชักจะเยอะเกินไปแล้วนะโย่ง"

"ขออีกหน่อยน่ะ นานๆ ที"

"ต้องเตรียมตัวไปเรียน มึงก็รีบๆ กลับหอไป มีเรียนบ่ายไม่ใช่หรือไง?"

จากตอนแรกที่ตั้งใจจะลากตัวอีกคนไปที่ห้องตัวเอง แต่เพราะคุยกันรู้เรื่องแถมรูมเมทของภีมก็ไม่กลับหอพอดี เลยได้มาขลุกอยู่ที่ห้องตั้งแต่เมื่อคืน

พอได้เจอหน้าก็รู้เลยว่าตัวเองคิดถึงอีกคนมากขนาดไหน พอได้กอดก็ไม่อยากปล่อย ได้มองหน้าก็ไม่อยากละสายตา เราสองคนไม่ได้เจอกันนานมากแล้วจริงๆ นานเสียจนหลังจากนี้ผมจะไม่มีวันให้มันเป็นแบบนั้นอีก ผ่ายภีมก็คงรู้สึกเหมือนกันเลยตกลงกันไว้ว่าจะพยายามเจอกันให้ได้อาทิตย์ละครั้ง หรือหากจำเป็นจริงๆ ก็จะเพิ่มจำนวนการห่างได้ แต่เปลี่ยนเป็นการพูดคุยที่มากขึ้น มีอะไรอึดอัดใจก็จะบอกกัน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะมาสั่นคลอนความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่อีก

ความรักทางไกลไม่ง่ายแต่ไม่ยากหรอกสำหรับคนที่พร้อมจะผ่านมันไปด้วยกัน

"ไม่อยากกลับ... วันนี้จะโดดอยู่กับมึงต่อ"

"ปกติเห็นขยันจะตาย ขยันจนไม่มีเวลา"

"จะรื้อฟื้นอีกใช่มั้ย?"

เลียนแบบคำถามที่คนตัวเล็กพูดไว้เมื่อครู่พร้อมดึงจมูกรั้นเบาๆ ไปหนึ่งที ภีมหัวเราะเสียงใส นี่สิใบหน้าที่ผมชอบมองและเสียงที่ผมชอบได้ยิน ไม่ใช่หน้าตายามเปื้อนน้ำตา เสียงสั่นระริกตอนเอ่ยเล่าความอัดอั้นตันใจของเขา หรือคำพูดจาโหดร้ายอย่างอยากจะเลิกกันอะไรพวกนั้น

ผมจับมือภีมก่อนจะสอดนิ้วทั้งห้าเข้ากับนิ้วของเขาไว้แน่น มองมันสักพักแล้วเอ่ยคำที่มั่นใจว่าจะไม่มีวันผิดสัญญาอีกแล้วให้เขาฟัง

"จะไม่ปล่อยแล้วนะ จะจับเอาไว้ให้แน่นๆ เลย"

มั่นใจว่าเลือกคำพูดได้ดีที่สุดสำหรับเวลานี้แล้ว ทว่าเจ้าของมือที่จับกับผมอยู่กลับคลายมือออก เปลี่ยนเป็นประสานกันไว้ไม่แน่นนัก แต่เป็นแรงระดับกำลังดีมากพอให้รู้สึกถึงแรงเต้นบนฝ่ามือ ก่อนจะยื่นข้อเสนอกลับมา

"เปลี่ยนเป็นไม่ต้องแน่นแต่อย่าให้มันหลวมไปจนหลุดจากกันง่ายๆ ดีกว่านะมึง"

การได้จับมือกับเขาก็เป็นความสุขอันดับต้นๆ ของผมอยู่แล้ว ยังเล่นพูดจาน่ารักขนาดนี้แล้วผมจะไม่ทำตามได้ยังไงกันล่ะ จริงไหม?







-----------------------------------------------------------



TALK: สวัสดีกลางสัปดาห์ค่ะ รอบนี้มาช้าหน่อยเพราะติดงานหลวง ตอนหน้าก็จะมาช้าเหมือนกันเพราะเราต้องเดินทางไปต่างจังหวัดค่ะ แต่จะไม่หายไปนาน ระหว่างนี้ก็จะแต่งสต๊อกเก็บไว้เนอะ จะได้มีมาให้อ่านกันเรื่อยๆ

สำหรับตอนนี้ไม่ได้มาเพื่อโก๊ดดัน(?)นะคะ ไม่ได้เข้าข้างกวินด้วย เจ้าหนุ่มขี้ลืมแถมหัวอ่อนติดเพื่อนแบบนี้โดนโกรธสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร แต่หลังจากนี้เขาจะดีขึ้นค่ะ และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ต้องดีขึ้นด้วย ในเมื่อพวกเขาเข้าใจกันนี่เนอะ

เราเชื่อว่าทุกความสัมพันธ์จะไปไม่รอดหากไม่เข้าใจกันค่ะ แต่เข้าใจกับตามน้ำไปทุกเรื่องมันคนละเรื่องกันเนอะ ต้องมองถึงด้านของเขาเทียบกับด้านของเรา แล้วจะรู้ว่าบางครั้งเราก็มองข้ามอะไรไปและลืมใส่ใจในเรื่องอะไรไปค่ะ

ฝากไว้เพียงเท่านี้ และกำลังนับถอยหลังเบาๆ ค่ะ เหลืออีกไม่กี่คู่แล้วนะ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :)
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-07-2017 19:00:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 06-07-2017 19:13:14
เจอคำผิด
เฮละโร ต้องเป็น เฮละโล หรือ เฮโล
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-07-2017 20:56:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 06-07-2017 21:08:03
เกือบไปแล้ววววววว เกือบเลิกกันเพราะไม่มีเวลาให้กัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ichiichi ที่ 07-07-2017 00:48:55
เคยเป็นแบบนี้ตอนติดเกมใหม่ๆ หวิดเลิกตลอด แต่เราง้อเก่ง อิๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 07-07-2017 22:07:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 07-07-2017 22:44:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 12 กวินภีม #ถาปัตย์จัดรัก (06.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 08-07-2017 06:35:22
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 13 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (15.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 15-07-2017 18:35:36
[13]





คุณเคยได้ยินคำว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลกไหมครับ?

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยึดคำนั้นในการดำเนินชีวิต เรียกว่าเป็นคนที่ไม่ชอบทำและไม่ชอบโดนใครตื้อเลยเพราะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ชวนวุ่นวายและน่ารำคาญใจอยู่

แต่ติดที่ใครอีกคนกลับไม่คิดแบบผมนี่สิ

"หมอฐา วันนี้กลับด้วยกันมั้ย?"

"ไม่ครับ"

"งั้นพรุ่งนี้?"

"ก็ไม่ครับ"

"มะรืนก็ได้"

"จะวันไหนก็ไม่ครับ หลีกทางด้วย ผมรีบ"

ผมเบียดตัวหลบตรงพื้นที่ว่างข้างร่างสูงใหญ่ที่มายืนปิดทางเข้าออกก่อนเดินไปยังแล็ปทดลองที่อยู่อีกด้านของตัวตึก แม้จะรู้ดีว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้ห้ามให้นักศึกษาแต่ละคณะไปมาหาสู่กัน แต่บางครั้งผมก็อยากจะติดป้ายกันไม่ให้ชายคนนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวคณะเหลือเกิน แต่ก็อีกนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใช่ที่นี่เขาก็ตามหาผมเจอที่อื่นอยู่ดี

"หมอฐาทำตัวเย็นชาอีกแล้ว ต้องให้ผมป่วยก่อนใช่มั้ยหมอถึงสนใจ"

เขาบ่นกระปอดกระแปด คำบ่นเดิมๆ ที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ผมเลยเอี้ยวหน้ากลับไปมองคนที่กำลังทำหน้าหงอยอยู่ด้านหลังด้วยสายตาจริงจัง

"ไม่ใช่เสียหน่อย คุณต้องป่วยและเป็นสัตว์สักประเภทก่อนต่างหากผมถึงจะสนใจ"

"ใจร้ายจริง หมออะไรเนี่ย"

"หมอสัตว์ครับ หรือที่เรียกว่าสัตวแพทย์"

"แน่ะ กวนใช่เล่นนะครับหมอ"

ไหวไหล่ไม่สนใจคำต่อล้อต่อเถียงของอีกคนแล้วเลือกจะก้าวขาให้ไวขึ้นเพื่อจะได้ถึงที่หมายเสียที ตลอดทางเจอเพื่อนร่วมคณะมองมาพร้อมยิ้มน้อยๆ ผมก็ได้แต่ทำเหมือนมองไม่เห็นความหมายที่แท้จริงของรอยยิ้มนั้นแล้วเอ่ยทักพวกเขาไปตามปกติ

ผมยอมให้เขาเดินตามจนกระทั่งถึงห้องเพาะเชื้อ เพราะส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องระวัง เนื่องจากหากมีอะไรผิดพลาดอาจทำให้โรคติดต่อในสัตว์ที่นักศึกษาอย่างพวกผมวิจัยอยู่หลุดรอดออกมาได้ ทางมหาวิทยาลัยจึงสั่งห้ามไม่ให้คนภายนอกซึ่งไม่รู้วิธีรับมือเข้าโดยเด็ดขาด เลยหันไปหาคนด้านหลังอีกครั้ง

"คุณตามเข้าไปไม่ได้แล้ว กลับคณะไปเถอะ"

"ผมรอหมออยู่แถวนี้ได้"

"กลับไปเรียนครับ"

"งั้นเรียกชื่อก่อน เรียกแต่คุณๆ เด็กวิศวะแบบผมไม่ชินหรอก"

"หยาบกร้าน"

"น้อยกว่าส้นเท้าแตกนิดหน่อย"

อดไม่ได้ต้องกรอกตาใส่ไปอย่างไม่สนใจมารยาทที่พึงมี ได้ยินเสียงทุ้มห้าวหัวเราะน้อยๆ ในลำคอพาให้สมุดสังเกตการณ์เชื้อในมือสั่นไปหมด

สั่นเพราะอยากจะเอาไปฟาดหน้าเขานี่แหละ

"กลับคณะไปคราม แล้วไม่ต้องมาอีกจะดีมาก"

คนตัวสูงทำหน้าพอใจ มุมปากยกยิ้มจนใบหน้าหล่อๆ ที่สาวในคณะผมชื่นชอบดูดีมากขึ้นไปอีก ก่อนจะวางมือใหญ่ลงมาที่หัวแล้วขยี้เบาๆ ไม่สนใจอายุที่มากกว่าและสายตาไม่พอใจจากผมเลยแม้แต่น้อย

"เจอกันตอนค่ำๆ ผมจะเอาไอ้เตี้ยไปให้ตรวจ"

ไม่รอให้ปฏิเสธเขาก็หันหลังเดินเสื้อช้อปปลิวไปแล้ว มองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ประกาศกร้าวขนาดนี้ยังไงก็ต้องได้เจอกันแน่นอน และตัวเองก็ไม่ใช่พวกชอบหนีหน้าใครด้วยดังนั้นก็ได้แต่รอเวลาเจอกันเท่านั้น

"ไงฐา มาช้าแบบนี้แสดงว่าน้องครามตามมาอีกแล้ว"

เดินเข้าห้องไปไม่ทันไรก็โดนทัก ผมเงยหน้ามองหญิงสาวที่กำลังถือบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายแกว่งไปมาแล้วพยักหน้ารับ วันนี้เป็นหน้าที่ของเราสองคนที่ต้องมาสังเกตการณ์ทั้งในส่วนของเราและของเพื่อนๆ ที่ทำค้างเอาไว้

"กี่เดือนแล้วนะ?"

"สองเดือน"

"น้องครามนี่เสมอต้นเสมอปลายดีแหะ ถ้าเป็นเราคงคบไปแล้วล่ะ"

"อย่าให้หนุ่มแพทย์คนนั้นได้ยินเชียวล่ะหมวย เดี๋ยวมีเรื่องเอา"

หล่อนหัวเราะก่อนจะวางของในมือลงแล้วแบมือรอสมุดบันทึกจากผม ตอนนี้เรากำลังสังเกตการณ์ระยะเวลาการฟักเชื้อในสภาพอากาศต่างๆ ตามที่อาจารย์ได้แจกจ่ายงานให้ เป็นงานที่สนุกสำหรับคนที่ชอบ แต่ก็ค่อนข้างน่าเบื่อที่ต้องมาส่องกล้องเป็นเวลานานๆ ส่วนผมน่ะเหรอ อยู่ในระดับกลางๆ ให้ทำก็ได้ไม่ให้ทำก็ไม่เกี่ยง

"เราว่าเขาก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ออกจะ... เหมือนไซบีเรียนตัวใหญ่ๆ เสียด้วยซ้ำ"

ผมเผลอหัวเราะเมื่อได้ยินหมวยว่าอย่างนั้น พลันนึกไปถึงข่าวลือที่ได้ยินเข้าหูมาสักพักแล้ว

ช่วงแรกที่มีครามเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต เพื่อนๆ ต่างกังวลกันว่าผมจะถูกเด็กวิศวะมาหาเรื่องถึงที่ แต่พอรู้จุดประสงค์แท้จริงที่เขามักแวะเวียนมาเสมอๆ แต่ละคนต่างก็พากันหัวเราะ คำแซวที่บอกว่าผมไปเหยียบเท้าเขากลายเป็นแซวว่าผมมีไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวเขื่องมาคอยเฝ้าแทน แถมยังทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย

 



ไซบีเรียน ฮัสกี้ตัวนั้นก็มาหาผมตอนเย็นตามที่เจ้าตัวลั่นวาจาไว้ พร้อมอุ้มลูกรักของตัวเองมาด้วย

มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่มีคลีนิกรักษาสัตว์สำหรับนักศึกษา เพียงแค่ยื่นบัตรประจำตัวก็สามารถรับบริการครบวงจรโดยคิดเพียงหนึ่งในสามของค่ารักษา และมีบริการรับฉีดยาให้ตามที่พึงจะมี ส่วนสัตวแพทย์ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นักศึกษาชั้นปีสูงๆ ที่กำลังเตรียมตัวจบและสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแล้วอย่างพวกผมและอาจารย์ประจำภาควิชานี่แหละที่จะสลับกันมาอยู่เวรให้

"แผลหายดีแล้ว ขาก็ขยับได้เป็นปกติ หลังจากนี้ถ้าไม่มีอาการแปลกๆ ก็ไม่ต้องมาหาหมอแล้วล่ะ"

ผมเกาคางลูกหมาพันธุ์ผสมที่ตอนนี้ตัวโตขึ้นจากครั้งแรกที่เห็นประมาณหนึ่งเท่าพลางบอกกับเจ้าของมันไปด้วย ได้ยินเสียงร้องงี๊ดง๊าดก็ยิ่งชอบใจ อยากจะเกาพุงแถมให้เสียด้วยหากเจ้าหนูนี่จะยอมหงายพุงให้

"ไอ้เตี้ยไม่ต้องมาแล้ว แต่ผมมาได้ใช่มั้ยหมอฐา?"

"...ไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา เอาเวลาไปตั้งใจเรียนสิคุณ"

"ปีสองยังไม่ต้องเรียนอะไรมาก มีเวลามาจีบหมอเยอะแยะไป เนอะไอ้เตี้ยลูกพ่อ"

อยากจะเอายาสลบโปะแล้วลากเขาออกนอกคลีนิกเสียเดี๋ยวนี้ พูดจาทำเป็นเรื่องเล่นๆ ได้ตลอด สมัยเป็นนักเรียนปีสองมีอะไรให้ผมทำตั้งเยอะแยะ ไม่มีเวลาว่างอย่างที่อีกฝ่ายว่าไว้หรอก

"วันนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เสร็จแล้วก็กลับได้เลยครับ"

"เดี๋ยวผมรอหมอข้างนอก กลับด้วยกัน"

"เมื่อเที่ยงก็บอกแล้วว่าไม่..."

"ผมจะรอหมออยู่ข้างนอกเหมือนเดิมนะครับ"

ไอ้เด็กขี้ตื้อ!

จิ๊ปากพอให้เขาได้ยินโดยไม่เอ่ยอะไรต่อ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคราม เขาอุ้มลูกหมาที่ถูกยัดเยียดชื่อว่าเตี้ยออกจากห้องตรวจไป ปล่อยให้คนในห้องอย่างผมได้แต่ถอนหายใจอยู่คนเดียว

วันนี้ก็แพ้อีกแล้ว

สองเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่ครามวิ่งเข้ามาในคลีนิกพร้อมลูกหมาตัวเล็กในอ้อมกอด สภาพตอนนั้นเหมือนพวกเขาไปผ่านสงครามมา ตัวเปียกปอน เปื้อนคราบโคลนและคราบเลือดจนผมยังตกใจ ดูเหมือนเขาจะไปเจอลูกหมาตัวนี้นอนอยู่ข้างถนนระหว่างที่ขับมอเตอร์ไซค์มาเรียน เลยลงไปอุ้มมาส่งที่คลีนิกแม้ฝนจะตกลงมาหนักมากก็ตาม ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่เวรพอดีและได้กลายเป็นเจ้าของไข้ไปโดยปริยาย

หลังจากวันนั้นเขาก็เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตผม แถมไม่มีทีท่าว่าจะออกไปง่ายๆ ด้วย ซึ่งมันทำให้ผมลำบากใจอยู่ไม่น้อย ทั้งรำคาญความช่างตื้อของเขาด้วย และเหนื่อยใจกับความใจอ่อนของตัวเองด้วย ที่แม้ภายนอกจะบอกปฏิเสธไปแต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนให้เขาอยู่ดี

 



"พี่ๆ ผมเอาขนมมาฝากครับ เจ้าเด็ดแถวบ้านเลย"

"ขอบคุณนะคะน้องคราม"

"เฮ้ย เจ้านี้นานๆ จะได้ไปซื้อที ขอบคุณมากไอ้น้อง"

"ไม่เป็นไรพี่ แค่เป่าหูให้เพื่อนพี่คนนั้นใจอ่อนรับรักผมสักทีก็พอ"

ผมทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มพูดคุยกับคนที่แวะเวียนมาเยี่ยมทั้งที่ไม่มีธุระจำเป็นกับคณะผมอีกครั้ง ได้ยินพวกเขาหัวเราะและพูดคุยกันเรื่องขนมนั่นแหละ ก่อนที่ร่างสูงไม่เข้ากับอายุจะเดินมาทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้หน้าผมแล้วยื่นถุงขนมให้

"เสบียงสำหรับหมอฐาโดยเฉพาะ เต้าฮวยนมสด"

"...วางไว้ก่อนครับ งานยังไม่เสร็จ"

ไม่ถามหรอกว่าทำไมถึงรู้ของชอบของผม ก็ถือหางกันเสียขนาดนั้น ไม่คนใดคนนึงในกลุ่มก็ทั้งกลุ่มนั่นแหละที่ถวายพานข้อมูลส่วนตัวผมให้ครามไป

จำไว้นะครับว่าของหวานถือเป็นสินบนที่หาง่ายและได้ผลที่สุดหากคุณมีเพื่อนสายกิน

ถือว่ายังดีที่ครามเป็นพวกพูดรู้เรื่อง นอกจากเรื่องให้เลิกตื้อที่เขาไม่ทำตามแล้ว หากบอกให้อยู่เงียบๆ หรือพูดว่างานยังไม่เสร็จเขาก็จะไม่วุ่นวาย เพียงแค่นั่งมองผมทำงานแล้วชวนคุยบ้าง หรือไม่ก็หายไปอยู่กับเพื่อนผมที่บางครั้งก็ตั้งวงคุยกันในห้องเรียนแทน

"ทำไมหมอฐาถึงอยากเป็นสัตวแพทย์ล่ะ?"

"...ชอบสัตว์ ที่บ้านเลี้ยงเยอะด้วย เป็นหมอเองจะได้ไม่ต้องไปรักษาที่อื่น"

ตอบเขาไปทั้งที่มือก็ยังไม่หยุดจดโน้ตย่อการเรียนวันนี้ เพราะไม่ใช่พวกชอบทวนบทเรียนตอนกลางคืน เลยเลือกจะทำความเข้าใจเสียตั้งแต่ระหว่างรอเข้ากะที่คลินิกเลย มีอะไรก็ไปถามอาจารย์หรือไม่ก็เพื่อนเสียจะได้จบๆ ไป

"ไว้วันไหนผมไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงบ้านหมอได้มั้ย?"

"ไม่เนียนครับ ไปเรียนมาใหม่"

ครามหัวเราะกับคำพูดของผม เขาเองก็รู้อยู่แล้วแท้ๆ ว่าไม่มีทางที่มุกกากๆ จะเอาชนะผมได้ แต่ก็ชอบที่จะหยอดใส่ทุกครั้งที่มีโอกาส สงสัยจะเป็นพวกมาโซคิสต์ที่ชอบโดนด่า

"เห็นหน้าตึกมีป้ายกิจกรรมของเดือนหน้าติดอยู่ คณะหมอจะไปช่วยสัตว์หาบ้านสินะ?"

"อืม ไปทุกปีอยู่แล้ว"

"งั้นไปด้วย"

ผมละความสนใจจากตัวหนังสือมามองคนที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ สีหน้าเขาดูจริงจัง เป็นประเภทหากตัดสินใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้ได้ประมาณนั้น

"อ้ะๆ อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมไปเพราะอยากจะช่วย หมอฐาก็น่าจะดูออกว่าผมเป็นประเภทรักสัตว์ ส่วนอีกเหตุผลก็นั่นแหละ..." ครามไหวไหล่ "ตามตื้อคนใจแข็ง"

"เหตุผลแรกโอเคอยู่ แต่อันหลังเก็บไปเลย"

ครามหัวเราะ และเมื่อเห็นว่าผมยอมวางปากกาลงเขาก็รีบคะยั้นคะยอให้ผมลองเต้าฮวยนมสดเจ้าที่เขาซื้อมาให้ทันที ความจริงก็อยากเก็บท้องไปกินมื้อเย็นที่เดียว แต่คนขี้ตื้อคงไม่ยอมแน่

ระหว่างกำลังนั่งกินเต้าฮวยพลางมองครามคุยกับเพื่อนตัวเองไปด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้น คนที่กำลังนัดแนะเวลามาช่วยงานแบบเนียนๆ คว้ามาดูแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่ สงสัยจะเป็นสายสำคัญ แต่ผมไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน การที่เขาจะหายไปคุยโทรศัพท์นานสองนานแล้วกลับมาพร้อมหน้ายับๆ ก็ไม่ทำให้ผมถามถึงสาเหตุหรอก

"ต้องไปก่อนนะหมอฐา เพื่อนให้ไปช่วย"

...เพราะต่อให้ไม่ถามก็รู้เรื่องอยู่ดี

"อืม ขอบใจสำหรับนี่"

ยกถ้วยที่อยู่ในมือให้เขาดู อย่างไรเสียผมก็เป็นคนมีมารยาท หากใครทำอะไรให้ก็ต้องขอบคุณเขาด้วย

"ยินดีครับ ไว้ผมมาช่วยเรื่องกิจกรรม"

"ไปตั้งใจเรียนเถอะคุณ"

"ไว้มาช่วยครับ"

พูดย้ำพร้อมทำหน้ายิ้มๆ ใส่ สีหน้านี้เห็นที่ไรก็ต้องจิ๊ปากทุกที แถมยังเอามือใหญ่ๆ ของตัวเองมาขยี้หัวคนอื่นเขาเสียอีก

"ปีนเกลียว"

"ก็ปีนออกบ่อย หมอฐาน่าจะชินได้แล้ว"

"อุ้ย... ปีนบ่อยว่ะ"

ได้ยินเสียงเพื่อนที่ทำทีเป็นกระซิบแต่จริงๆ อยากให้ได้ยินอยู่แล้วก็ยิ่งต้องขมวดคิ้วหนักมากขึ้นอีก ครามก็ดูจะรู้เพราะคนตัวสูงยิ้มกว้าง ไม่วายมาดึงแก้มผมอีกหนึ่งคำรบให้พวกที่มองอยู่ทำเสียงโฮ่ฮากันอีกรอบก่อนจะขอตัวออกจากห้องเรียนประจำของพวกผมไป

"...อะไร"

เพราะเห็นสายตาที่เพื่อนส่งมาให้เลยเอ่ยถามออกไป หมวยเป็นคนแรกที่พุ่งตรงเข้ามา เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่ผม

"มีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าป่ะ?"

"ไม่มีนี่"

"ช่วงนี้กลับพร้อมน้องครามไม่ใช่หรือไง?"

"ก็เขาตื้อ"

"แหม... คนอื่นตื้อไม่ยักกะยอมนะ"

ผมไหวไหล่ไม่ตอบอะไรอีก หญิงสาวเพียงคนเดียวในตอนนี้ยิ้มก่อนจะกลับไปคุยกับเดอะแก๊งค์ที่ยังนั่งจัดการขนมที่ใครบางคนซื้อมาไม่หยุด จะว่ายังไงดี ตะกละอาจจะไม่เพียงพอที่จะใช้เรียกเพื่อนผมก็ได้

หันกลับมามองถ้วยขนมในมือแล้วย้อนนึกไปถึงคนที่ซื้อมาให้ ไม่รู้จะต้องรับมือกับความช่างตื้อของครามอีกเท่าไหร่ และแม้จะไม่อยากยอมรับแต่คำพูดของหมวยก็วนอยู่ในหัว ผมยอมเขามากกว่าคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ



 

จู่ๆ ครามก็หายไปจากชีวิตผม

หลังจากครั้งสุดท้ายที่เขาแวะมาหาพร้อมขนมมากมายผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ปกติหากมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่เกินครึ่งชั่วโมงผู้ชายในชุดช้อปก็จะเดินยิ้มแป้นแล้นเข้ามาหา พักกลางวันก็จะมีคนมาก่อกวนถึงหน้าห้องแล็ป หรือหากตัวไม่มาก็มีห่อข้าวหรืออะไรฝากมาให้แทน ส่วนตอนเย็นน่ะหรือ นู้น... มาทั้งมอเตอร์ไซค์ทั้งตัวคนขับ พ่วงมาด้วยลูกหมาตัวน้อยที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าคลินิก

แต่ทุกอย่างที่ว่ามาหายไปจากชีวิตผมกว่าสัปดาห์แล้ว ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ราวกับครามไม่เคยมีตัวตนมาก่อน และคนที่รู้สึกแบบเดียวกันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนๆ ในกลุ่มผมที่ถือหางเขานั่นแหละ

"ช่วงนี้น้องมันหายไปเลยเนอะ"

แชมป์ทำทีเป็นเปิดกระดานคนไข้ของเจ้าตัวอ่านตอนพูดกับผม แต่อยากจะบอกมันอีกคนจังว่าไม่เนียน เพราะนั่นมันกระดานของเพื่อนอีกคนที่อยู่เวรก่อนหน้าต่างหาก

"เรียนหนักมั้ง"

"เหรอ..."

เหลือบตามองเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแล้วทำท่าส่ายหัว ก่อนจะยอมวางกระดานที่อยู่ในมือลงแล้วถอนหายใจหนักๆ ท่าทางเหมือนมีเรื่องหนักใจนั้นทำให้ผมสงสัยและเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

"มีอะไรหรือเปล่า?"

เอ่ยถามไปเพราะอดทนรอให้เขาเล่าเองไม่ไหว

"คือ... เพื่อนที่เรียนอยู่ใกล้ตึกคณะวิศวะบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนตีกัน บุกเข้ามาในมหาวิทยาลัยเลยแหละ เห็นว่ามีคนเจ็บด้วย"

แม้ชื่อเสียงของคณะวิศวะจะมาพร้อมกับเรื่องเล่าของนักเลงหัวไม้ แต่สำหรับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้มากเท่าที่อื่น พอมาได้ยินแบบนี้จึงตกใจเช่นกัน ยิ่งที่อีกฝ่ายสามารถเข้าถึงภายในที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงว่าคงมีเรื่องผิดใจกันชนิดที่รอไม่ได้แน่ๆ

บวกกับการเห็นครามรับโทรศัพท์แล้วรีบร้อนออกไปเมื่อวันนั้นมันก็ค่อนข้างจะพอดีกันอยู่ เขาอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ไปร่วมวงด้วย และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหายไป

"แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นหมอฐา"

"...เปล่าเสียหน่อย แค่คิดถึงลูกหมาที่จะเข้ามาตรวจวันนี้ เจ้านั่นชอบกินของเค็มไตเลยไม่ค่อยดี"

มือที่กำลังตบบ่าผมชะงักไปก่อนที่เขาจะยิ้มคล้ายเหนื่อยใจกับคำพูดของผมเหลือเกิน

"ถ้าน้องมันมาได้ยินคงเสียใจแย่"

"ให้มาก่อนเถอะ"

หลุดปากพูดออกไปแบบนั้นแล้วจึงเห็นรอยยิ้มล้อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนตัวเอง รู้สึกพลาดไปแล้วเลยได้แต่ขอตัวเดินออกมาจากห้องพักเพื่อเข้ากะของตัวเองให้เร็วมากขึ้น

แอบรู้สึกว่าไม่น่าไปถามเพื่อนเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องมานั่งชะเง้อคอมองทุกครั้งที่ประตูคลินิกเปิด ว่าคนที่เข้ามาจะใช่คนที่อาจไปมีเรื่องจนหน้าแหกมาหรือเปล่า



 

หอพักที่ผมอยู่เป็นหอพักใน ไม่ไกลจากคณะและจากคลินิก ดังนั้นผมจึงอาสาเป็นคนที่อยู่ดึกเกือบทุกครั้งที่เข้ากะ และเลือกใช้เส้นทางลัดเดินจากด้านหลัง ลัดเลาะตามทางเพื่อหลีกเลี่ยงถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่งชวนให้หงุดหงิดกลิ่นควันรถและต้องหลบมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นมาขับบนเส้นทางคนเดิน

แม้จะปาเข้าไปกว่าสองทุ่มแล้วแต่ผมไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้มีคนนำสัตว์เข้ามาตรวจเยอะจนลืมหิวหรือเป็นเพราะเรื่องของใครบางคนที่เพื่อนเอามาพูดใส่ให้ผมต้องคิดตาม ยิ่งพอคิดก็ยิ่งต้องถอนหายใจ ตัวผมเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียว เพียงแค่อะไรๆ รอบตัวมันไม่เหมือนเดิมก็เท่านั้น

"หมอฐา ระวัง!"

เพราะมัวแต่เดินคิดอะไรเพลินๆ กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบรับกับเสียงร้องเตือนก็ไม่ทันแล้วเพราะแรงกระแทกจากด้านหลังทำให้เกือบจะล้มหน้าคว่ำเอาเสียก่อน ดีที่พลิกตัวทันทำให้ไม่ใช่หน้าที่กระแทกแต่เป็นก้นกบต่างหาก

"ไอ้ยักษ์! หยุด ห้ามเล่น ไปนั่งเฉยๆ เลย!"

ขณะที่ผมเบี่ยงหน้าหลบลิ้นเปียกชื้นของสุนัขตัวใหญ่ คนตัวสูงเจ้าของเสียงคุ้นเคยก็วิ่งมาคว้าเชือกจูงสุนัขดึงสัตว์ตัวใหญ่ออกจากร่างผม พร้อมดึงแขนให้ลุกขึ้นยืน แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไปจากรอยแผลแตกยับแต่ผมมั่นใจว่านี่คือคนคนเดียวกับเด็กขี้ตื้อที่ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปจากชีวิตผมแน่ๆ

"หมอเป็นยังไงบ้าง? เจ็บมากมั้ย ขอโทษนะ ดึงไว้ไม่อยู่จริงๆ ไอ้ยักษ์นี่แรงเยอะเป็นบ้า"

ครามตรงเข้ามาพลิกแขนผมซ้ายขวา แถมยังจับหมุนตัวดูจนเวียนหัวไปหมด ทั้งที่หน้าตัวเองนั่นแหละที่มีแผลเยอะจนดูน่าเป็นห่วงแท้ๆ

"...ไม่เป็นไร"

"เดี๋ยวเดินไปส่งที่หอ"

ไม่ใช่ประโยคคำถาม เพราะเมื่อพูดจบเขาก็คว้าข้อมือผมด้วยมือข้างที่ว่างเป็นฝ่ายเดินนำไปตามทางเงียบสงบแทน ราวกับหากไม่มีเขาแล้วผมจะต้องเดินหลงทางยังไงอย่างนั้น

ระหว่างทางมีเพียงความเงียบและเสียงจิ้งหรีดร้องเบาๆ ตามทาง ไม่มีใครพูดอะไรและน่าแปลกที่ผมไม่เอ่ยปรามการกระทำของเขาด้วย ท่าทางการหายตัวไปร่วมสัปดาห์ของครามจะส่งผลกระทบกับความคิดบางส่วนของผมจริงๆ

"ขอโทษครับที่ช่วงนี้ไม่ได้ไปหาเลย"

เมื่อเห็นปลายทางซึ่งเป็นตึกหอพักอยู่ไม่ไกลนักเขาก็หยุดเดินแล้วเหลือบมามองผม เสียงทุ้มห้าวติดจะสำนึกผิดเอ่ยขึ้นก่อนจะกระตุกแขนให้ผมเดินตามเขาไปนั่งบริเวณรั้วเตี้ยที่ทำขึ้นเพื่อให้นักศึกษาเอาไว้ใช้จอดรถจักรยาน

"ก็ไม่จำเป็นต้องมาหาทุกวันสักหน่อย"

ครามหัวเราะก่อนจะตบลงไปไม่เบานักที่ข้างลำตัวของสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนตัวใหญ่ที่นั่งลิ้นห้อยอยู่ข้างๆ มันทำท่าเหมือนจะลุกเข้ามาหาผมอีรอบ แต่โดนดุเลยนั่งจ๋องอยู่ที่เดิมเสียก่อน

...เหมือนเจ้าของตอนโดนผมดุชะมัด

"ช่วงนี้พี่ชายเอาไอ้ยักษ์มาฝากไว้ที่บ้านเพราะเขาไปทำงานต่างประเทศ"

"ตัวนี้?"

จำได้ว่าเขาเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังอยู่ บ้านของครามอยู่ในหมู่บ้านราคาแพงไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ หากเดินจากหอผมที่เป็นทางผ่านก็ไม่เกินยี่สิบนาที ส่วนพี่ชายทำงานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ มีบ้านแยกไปในหมู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ งงใจกับคนรวย จะแยกบ้านกันอยู่ทั้งทียังแยกอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน

"อืม... แต่ไม่มีคนเอามันอยู่เลยเพราะมันซนมาก" เขาเล่าพลางเกาหัวเจ้าตัวโตไปด้วย "พอกลางวันก็ต้องกลับบ้านไปดูรอบนึง กลัวไปกัดไอ้เตี้ยตาย ตอนเย็นก็ต้องพามาเดินเป็นชั่วโมงๆ พลังงานโคตรเยอะ จะแวะไปหาที่คลีนิกมันก็วิ่งหนีไปอีกทาง สงสัยจะได้กลิ่นยา"

ฉลาดแต่เสือกไม่รู้ใจเจ้าของ... ครามด่าหมาไปหนึ่งที แต่เจ้าตัวที่โดนด่าไม่รู้เรื่องหรอก นอนงับเชือกรองเท้าผ้าใบแล้วดึงจนหลุดแล้วนั่น

"ดูหมาจนไม่ได้มาดูหมอเลย โคตรคิดถึงรู้ตัวมั้ยเนี่ย?"

"...เสี่ยว"

ผมเริ่มเกลียดเสียงเวลาเขาหัวเราะในลำคอแล้วจริงๆ นะ แถมยังทำหน้าราวกับไม่รู้ว่าผมไปว่าเขาเรื่องอะไรอีก

"ช่วงที่ผมไม่อยู่มีคนมาจีบป่ะ?"

"คิดว่าจะมีใครเขาว่างเหมือนตัวเองไหมล่ะ?"

ย้อนกลับเขาไป เอาเข้าจริงยังสงสัยว่าครามมาติดใจอะไรในตัวผู้ชายอย่างผมนักทั้งที่หน้าตาอย่างเขาก็ดูไม่น่าจะขาดแคลนคนรู้ใจจนต้องใช้เวลาว่างกับผมขนาดนี้

"ไม่มีแหละดีแล้ว หมอใจแข็ง สงสารเขา"

"สงสารตัวเองอยู่งั้นสิ?"

"ไม่เคยสงสารหรอก กับคนอื่นหมอใจแข็งจริงแต่กับผมหมอทำไปงั้นแหละ สงสัยว่าจะเขิน"

เหมือนโดนแทงใจดำแล้วลูบหลังด้วยรอยยิ้ม ใช้ขาเตะหน้าแข้งไปหนักๆ ให้ร้องโอดโอยแถมไม่อยากมองหน้าเขาให้ต้องจิ๊ปากอีกหนเลยเลือกจะตบหน้าขาเรียกเจ้าหมายักษ์ให้มาใกล้ๆ แล้วนวดหน้าให้มันแทน ดูท่าจะชอบเพราะถึงขนาดนั่งนิ่งทำหน้าเคลิ้มใส่เสียด้วย

"แล้วหน้าไปโดนอะไรมา?"

"คิดว่าผมไปตีกับคนที่ยกพวกมาแน่เลยถ้าถามแบบนี้"

"แล้วใช่ไหมล่ะ?"

"หึ อันนี้มอเตอร์ไซค์ล้มเพราะไอ้ยักษ์นั่นแหละ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกก็ตื่นเต้นจนอยู่เฉยไม่ได้ ทำล้มหน้าคว่ำทั้งคนทั้งรถ"

ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่ครามจะไปถือไม้หน้าสามไล่ตีกับคนอื่นอยู่แล้ว

เขาเล่าให้ฟังต่ออีกว่าคนที่มีเรื่องกันคือพวกรุ่นพี่ที่โตกว่า เหมือนจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรืออย่างไรนี่แหละ แล้วก็เคลียร์กันไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันนั้น ส่วนเพื่อนเขาที่ว่ามีปัญหาจนต้องโทรมาตามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่รถดับเลยให้ไปช่วยดูเฉยๆ

ตลกดีที่พอได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นช่วงนี้หายไปจนหมด ราวกับยกภูเขาออกจากอกตัวเองไปโยนทิ้งที่ไหนก็ไม่รู้

"หมอ... ฐาเริ่มใจอ่อนกับผมบ้างยัง?"

มือที่กำลังลูบขนแน่นๆ ของเจ้ายักษ์ชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำถามของเขา น้ำเสียงและใบหน้าของคนที่กำลังมองผมเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองดูตลกไม่น้อย ท่าทางหลุบต่ำแล้วมองแบบนั้นทำให้ต้องเหลือบไปมองไซบีเรียนที่นั่งอยู่ข้างกัน รู้สึกเหมือนเห็นภาพซ้อน... ครามกลายร่างเป็นสุนัขตัวโตที่กำลังหงอ หูลู่หางตกเพราะไม่มั่นใจอย่างหนัก

"...เอาโทรศัพท์มา"

"ครับ?"

"จะเอาหรือไม่เอา เบอร์น่ะ"

ดูเหมือนผมเป็นคนใจร้ายเลยใช่ไหมล่ะ ขนาดเบอร์โทรศัพท์ก็ยังไม่ให้ทั้งที่ผ่านมาเกือบสองเดือนแล้วที่เขาตามเทียวไล้เทียวขื่อ ตัวเองยังแปลกใจที่ครามไม่เคยตื้อขอเบอร์เลยหลังจากที่ปฏิเสธไป ทว่ากับเรื่องอื่นดันไม่ยอมแพ้ ตื้อจนไม่รู้ว่าผมจะรับมือยังไงนอกจากโอนอ่อนผ่อนตามเท่าที่จะทำได้

คนตัวโตรีบยื่นโทรศัพท์ให้ทั้งที่ยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ พอรับโทรศัพท์คืนยังมองซ้ำหลายๆ รอบสลับกับมองหน้าผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ก็ทำไมกันล่ะ...

"แบบนี้... หมายถึงหมอใจอ่อนกับผมแล้วใช่ป่ะ?"

"...จะถามมากเพื่อ"

ก็ได้ ผมยอมรับว่าแพ้คนขี้ตื้อชื่อครามเข้าให้แล้ว พอใจหรือยัง?

 





-----------------------------------------------------------





TALK: กลับมาแล้วค่ะ! กลับมาพร้อมคู่ใหม่หลังจากที่เลทไปหลายวัน มีข้อแก้ตัวนะเออ อาทิตย์นี้งานเยอะมากจริงๆ บวกกับเราต้องไปต่างจังหวัดเพราะเรื่องงานด้วยเลยทำให้ไม่มีเวลามาลงเลยค่ะ กลับมาเล่นแป๊บๆ ก็ต้องนอนแล้ว (เรียกว่าน็อคเองดีกว่า) อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ก็คงจะยุ่งๆ เหมือนเดิม มาช้าไปบ้างอย่าโกรธกันนะ

สำหรับตอนนี้เป็นแนวคนที่เราชอบทั้งสองคนมาเจอกันค่ะ คนขี้ตื้อกับคนใจอ่อน แต่เป็นการตื้อในระดับที่พอดีกับใจ และใจอ่อนในแบบนี้เฮ้ย เรารู้ว่านายแค่เขิน 555555555555 เป็นอะไรที่เราชอบมากๆ เลย และแน่นอนว่าคนแบบนี้จะมาโผล่ในนิยายอีกแน่นอนค่ะ

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงชนิดสามฤดูในวันเดียว อย่าลืมรักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจและการตามติดในทุกช่องทาง (ไม่ใช่หนังผีนะ ไม่ใช่) แถมแก้คำผิดให้ด้วย ขอบคุณมากๆ ค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ในวันที่แวะมาได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 13 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (15.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-07-2017 19:00:42
น่ารักอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 13 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (15.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-07-2017 21:47:54
 :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 13 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (15.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 16-07-2017 00:23:11
น่ารักมาก :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 14 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (29.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 29-07-2017 20:45:07
[14]





คุณรู้จักคนประเภทแข็งนอกอ่อนในไหมครับ?

ดูภายนอกเป็นพวกหัวรั้น ชอบพูดจาตัดรอนราวกับไม่อยากจะเสวนาด้วย แถมยังชอบไล่ให้ไปไกลๆ แต่เพียงแค่ยิ้มอ้อนแล้วทำตัวขี้ตื้อเข้าหน่อยก็ใจอ่อนยวบเหมือนฟองน้ำนุ่มๆ

ผมตกหลุมรักคนประเภทนี้เข้าเต็มเปา

 





"ยังไม่หยุดตกอีกเหรอวะเนี่ย..."

ผมมองสายฝนที่โปรยลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วอดไม่ได้ต้องระบายความในใจแบบออกเสียง ตอนมาเรียนก็หวุดหวิดจะเปียกไปรอบดีที่เหยียบเท้าเข้าอาคารเรียนได้ทัน แต่ดูท่ารอบเย็นนี่จะไม่แคล้วกลายเป็นลูกหมาตกน้ำกลับบ้านแน่ๆ

ถอนหายใจหนึ่งรอบก่อนตัดสินใจวิ่งออกจากใต้ตึกไปยังลานจอดรถ สตาร์ทเครื่องขับฝ่าสายฝนด้วยความระมัดระวังในแบบของตัวเอง โชคยังดีที่เป็นพวกใส่หมวกกันน็อคเวลาขับมอเตอร์ไซค์เลยช่วยกันกระหม่อมได้บ้างแม้รู้ดีว่าหัวเปียกๆ กับการใส่หมวกจะทำให้รู้สึกเหนอะหนะหนักกว่าเดิมก็ตาม

ทว่าฟ้าฝนก็ช่างไม่เป็นใจ ปล่อยฝนห่าใหญ่ลงมาอีกระลอกจนผมต้องยอมแพ้เลี้ยวรถเข้าปั้มร้างข้างทาง ที่จำได้ว่ามีเพราะชอบขับมาทางลัดตรงนี้บ่อยๆ เวลาอยากกลับให้ถึงบ้านไวๆ แถมที่นี่ยังมีหลังคาผุๆ ของหน้าร้านซึ่งเคยทำเป็นร้านสะดวกซื้อบังฝนยามจำเป็นเช่นตอนนี้ด้วย

"...เหนอะหนะไปหมด เซ็งชะมัด!"

ถอดหมวกกันน็อควางไว้บนลังข้างตัว ไม่รู้ใครเอามาวางไว้แต่ก็พอเหมาะพอเจาะดี เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกรอบพลางกร่นด่าฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจเอาเสียเลยก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ สายฟ้าก็ฟาดลงมา ไม่ได้กลัวฟ้าผ่า แต่กลัวสิ่งที่จะตามมามากกว่า

ครืนนน

ต่อให้เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่แต่กับเสียงฟ้าร้องก็ไม่ไหวเหมือนกันนะครับ ผมยกมือขึ้นปิดหูสองข้างพร้อมนิ่วหน้าไปด้วย และอีกครั้งที่ย่นคิ้วจนจะมาชนกันเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากในกล่องข้างตัว แถมยังมีแรงกระแทกจนหมวกกันน็อคสั่นไปหมดอีก ไม่เชื่อเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่เสียงฟ้าร้องจากธรรมชาติเมื่อกี้ฉุดขวัญไปเกือบหมดแล้ว แถมไอ้กล่องนี่เดี๋ยวก็ขยับเดี๋ยวก็หยุดยิ่งชวนให้สงสัยหนักกว่าเดิมว่าในนั้นเป็นอะไร ก็ตอนแรกมันยังไม่มีเสียงแบบนี้เลยนี่หว่า

...ผีไม่ออกมาตอนบ่ายหรอกมั้ง ต่อให้เมฆมันจะครึ้มขนาดนี้ก็เหอะ

ให้กำลังใจตัวเองแล้วยื่นมือเข้าไปใกล้ สิ่งที่อยู่ในนั้นชนกล่องจนสั่นอีกรอบเล่นเอาเกือบต้องหดแขนกลับ แต่ก็เลือกจะคว้าหมวกกันน็อคมากอดไว้ มองสำรวจเจ้ากล่องปริศนาอย่างชั่งใจว่าจะเปิดดีหรือไม่ จนกระทั้งเห็นอะไรบางอย่างที่คุ้นตาเหลือเกินพยายามกระแทกฝากล่องออกมาคล้ายพยายามหาอากาศหายใจถึงได้รู้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาในกล่องนั้นคืออะไร

"ใครแม่งเอาหมามาใส่กล่องลังปิดไว้แบบนี้วะเนี่ย!?"

สบถเสียงดังลั่นแทบจะขว้างของในมือทิ้งถ้าไม่สำเหนียกได้เสียก่อนว่าราคาต่อชิ้นเกินกว่าจะเก็บเงินซื้อเองไหว วางมันไว้ข้างกายแล้วอุ้มเจ้าลูกหมาที่เริ่มส่งเสียงงี๊ดง้าดอย่างน่าสงสารออกมาจากในลัง ตัวมันเล็กนิดเดียว อายุไม่มีทางเกินแปดเดือนแน่ ดูจากทรงแล้วคงเป็นหมาพันธุ์ผสมที่คนไม่อยากเลี้ยงหรือตัวแม่ไปพลาดเอาตอนหลุดออกมาจากรั้วบ้าน พอลูกออกมาไม่ได้ตามมาตรฐานเลยเอามาทิ้ง

"เฮ้ย! บาดเจ็บหนักเลยนี่หว่า ต้องพาไปหาหมอก่อน หมอๆ"

ตาลีตาเหลือกไล่หาเบอร์โทรศัพท์เพราะที่บ้านใช้บริการโรงพยาบาลสัตว์บ่อย แต่ก็มานึกขึ้นได้ว่าต่อให้โทรไปก็พาตากฝนไปไม่ได้อยู่ดี เพราะที่ไปประจำต้องขับจากบ้านกว่ายี่สิบนาที กว่าจะไปถึงตรงนั้นนอกจากจะเปียกทั้งคนทั่งหมาแล้วอาจจะทำให้แผลที่ขาเจ้าหนูนี่แย่ลงไปอีก

แต่ระหว่างที่ไม่รู้ว่าควรเลือกหนทางไหนความทรงจำรางๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว เมื่อสองวันก่อนมั้งที่เดินผ่านคณะสัตวแพทย์แล้วเห็นเขาติดป้ายคลีนิกสัตวแพทย์อาสาอะไรนี่แหละ ถ้าที่นั่นคงพอมีคนดูอาการให้ได้อยู่ถ้าไม่กลับกันหมดแล้ว หวังว่าไอ้ตัวเล็กนี่พอจะมีโชคอยู่บ้างแล้วกันไหนๆ ก็โคจรมาเจอกันแล้วทั้งที

"ไปกันไอ้เตี้ย หวังว่าแกจะมีโชคมากพอ"

พูดไปก็ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจแค่ไหน แต่สุดท้ายผมก็ต้องซุกหมาที่เก็บมาได้ข้างทางเข้าในตัวเสื้อนักศึกษาแล้วสวมหมวกกันน็อคขับตากฝนออกมาทั้งอย่างนั้น แม่งเอ้ย... หนีฝนให้ตายสุดท้ายก็ต้องมาโดนอยู่ดี ดีจริงๆ ไอ้คราม!





 

"ยังมีหมออยู่มั้ยครับ!? มาดูเจ้านี่หน่อย มันโดนอะไรมาไม่รู้"

พอเข้ามาในตัวคลีนิกได้ผมก็โวยวายลั่นเพราะเห็นเลือดซึมออกมาจากตัวเสื้อเยอะเลยคิดว่าไอ้ตัวใต้เสื้อน่าจะเสียเลือดไปไม่น้อย

"ใจเย็นๆ นะครับคุณ... พาสัตว์เลี้ยงมาด้านนี้เลยครับ"

แต่นอกจากคนที่ดูเหมือนหมอจะดูไม่ตื่นเต้นด้วยแล้วยังเดินนำพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นบริกรเยี่ยมชมโรงแรมอีก อยากจะจับมาเขย่าแล้วบอกว่ามันไม่ใช่เวลามาสบายใจขนาดนี้แต่ก็ถึงห้องตรวจก่อนพอดี แต่แทนที่เขาจะเดินเข้าไป กลับหันมาแล้วแบมือมาตรงหน้าแทนคล้ายกับจะเป็นคนอุ้มเจ้าหนูในมือแทนให้

"เดี๋ยวผมอุ้มมันเข้าไปเอง หมอนำเข้าไปเหอะ"

รีบเอ่ยตัดบทไป ผมพามาผมก็ต้องอยู่ได้ตลอดสิ เป็นคนมีความรับผิดชอบนะครับ ไม่ใช่พามาแล้วทิ้งๆ ขว้างๆ

แม้เขาจะทำหน้าเหมือนไม่เห็นด้วยพร้อมมองสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนไม่อยากให้เข้าไปในสภาพนี้ แต่พอได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของเจ้าหมาที่เริ่มสั่นอยู่ในอ้อมกอดก็เปิดประตูให้เข้าห้องแต่โดยดี

"คุณเช็ดให้แห้งก่อน"

ผ้าขนหนูหนานุ่มถูกยื่นให้ ผมรับมามองด้วยสายตาไม่เข้าใจ

"ใช่เวลาเช็ดขนมันที่ไหนล่ะหมอ หมอดูแผลมันก่อนเถอะ"

แอบเห็นว่าคิ้วของคนตรงหน้ากระตุกเบาๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองผมเหมือนเมื่อครู่ผมพูดอะไรที่แปลกประหลาดมากออกมา

"ผมให้คุณเช็ดผมตัวเองครับไม่ใช่ขนหมา แต่ถ้าจะเรียกว่าขนก็แล้วแต่คุณนะ"

...หมอเล่นกูละไง

จะตอกกลับไปแต่อีกฝ่ายก็ละความสนใจไปเสียแล้ว เขาห่อเจ้าหมาตัวเล็กบนเตียงด้วยผ้าขนหนูอีกผืนที่ดูจะสั้นกว่า ก่อนสวมถุงมือกับผ้าปิดปากแล้วจับขาเล็กๆ ที่เหมือนจะกระตุกหนีด้วยความเบามือก่อนจะพิจารณาแผลบนขาของไอ้เตี้ยพลางบอกอาการไปด้วย

"แผลใหญ่เหมือนกัน น่าจะไปติดรั้วเหล็กที่กั้นขอบทางมา..."

"รักษาได้มั้ยหมอ หรือผมต้องเอาไปโรงพยาบาลใหญ่กว่านี้อ่ะ?"

"...ผมจะห้ามเลือดแล้วเย็บปิดปากแผลให้ คุณไปรออยู่ข้างนอกก็ได้ครับ"

"ไม่เอาอะ ผมนั่งดูในนี้ดีกว่า อุ่นกว่าข้างนอกด้วย"

เขาเหลือบตามองผมแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะลงมือจัดการงานของเขาต่อไป เอาจริงๆ นะ ต่อให้บอกว่านั่งดูอยู่ในนี้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการดูหมอเย็บแผลให้หมา

เริ่มครอบอะไรสักอยากให้เจ้าหนูบนเตียง ก่อนจะลงมือฉีดยาชาหรืออะไรนี่แหละให้ ไอ้เตี้ยร้องครางเบาๆ แต่ก็ไม่สู้อะไร แล้วหลังจากนั้นคือพิธีกรรมเย็บสภาพขาให้มันกลับมาติดกัน พอถึงตอนนี้ผมก็เลือกจะมองไปที่อื่นแทนเข็มที่ร้อยด้ายแทน แต่ในนั้นมันมีอะไรน่ามองเสียเมื่อไหร่ แถมไม่อยากเสียฟอร์มที่บอกว่าจะนั่งในนี้ด้วย เลยเลือกที่จะมองสิ่งที่ดูน่ามองที่สุดในห้อง... หน้าหมอนี่แหละ

เคยได้ยินว่าคณะแพทย์มีคนหน้าตาดีเยอะ แต่ไม่คิดว่าแพทย์ที่ว่านั่นรวมถึงสัตวแพทย์ด้วย อย่างหมอคนนี้ถ้าเดินผ่านกันหน้าคณะนิเทศก็คงคิดว่าเป็นเด็กนิเทศไปแล้ว ตาเรียว จมูกโด่ง ปากสีอะไรนะ? น่าจะอมชมพูดูสุภาพดี เป็นประเภทที่สาวเห็นสาวหลง เจริญหูเจริญตาดี

ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีกับการมองหมอเย็บแผลให้หมา เสียดายอยู่หน่อยๆ ตอนที่เขาพูดขึ้นมาว่าเสร็จแล้ว บอกตรงๆ ว่ายังเพลินกับการมองหน้าหมออยู่เลย

"ฝนยังตกอยู่ ผมแนะนำให้ดูอาการอยู่ที่นี่ก่อนจะดีกว่านะครับ"

ปากหมอสีชมพูจริงๆ ด้วยว่ะ...

"ก็ได้นะ เอาที่หมอสะดวก ไว้มันดีขึ้นผมจะมารับมันไปหาบ้านใหม่"

"...ถ้าไม่อยากเลี้ยงแล้วเอามาไว้ที่นี่ตลอดเลยก็ได้ครับ เรามีโครงการหาบ้านให้หมาทุกปี"

เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเหมือนเดิมแต่ฟังแล้วติดจะไม่พอใจ ชิบหาย... หมอจะคิดว่าผมใจไม้ไส้ระกำกับหมาขนาดเอามันไปทิ้งหรือเปล่าเนี่ย

"เปล่าๆ ไม่ใช่หมาผม ยังไงดี ผมไปเจอตอนหลบฝน มันถูกทิ้งไว้ในกล่อง เห็นว่าบาดเจ็บเลยพามาที่นี่เพราะใกล้สุดแล้ว"

สายตาที่มองมาเหมือนมีแววไม่เชื่อ ทำเอาผมต้องอธิบายไปว่าที่บ้านไม่รังเกียจจะรับมันไปดูแลเพราะเลี้ยงไว้อยู่แล้ว เป็นสายพันธุ์แชมป์กับพวกที่ได้มาจากวัดเหมือนกัน ครอบครัวผมเป็นพวกรักสัตว์แถมยังมีที่ทาง เลยเอามาเลี้ยงจนผูกพันกันตั้งแต่ยังเด็ก การจะทิ้งไอ้เตี้ยไว้ที่นี่ไม่มีอยู่ในหัวสมองเลย

"ทำดีแล้วครับ แล้วจะตั้งชื่อมันว่าอะไร ผมจะเขียนติดหน้ากรงไว้ให้"

"ไอ้เตี้ย"

"ครับ?"

"ไอ้เตี้ย ตัวเตี้ยๆ ต้องชื่อนี้แหละ"

เขาดูจะอึ้งๆ ไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา และให้ตาย การได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ตีมาดนิ่งมาตลอดตั้งแต่ที่ผมเยียบเข้ามาในคลีนิกนี้มันทำให้ในอกเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ ชื่นใจยังไงก็ไม่รู้

รู้ตัวอีกทีก็จำชื่อเขาไว้แล้ว ว่าที่สัตวแพทย์หนุ่มคนนี้คือหมอฐา คนที่ผมมาดหมายว่าจะให้มาเป็นสัตวแพทย์ประจำบ้านในอนาคต





 

"เดี๋ยวนี้เอะอะดูแต่หน้าจอมือถือ เลิกเรียนก็แจ้นไปคณะแพทย์ พ้งเพื่อนนี่ไม่มีสนใจเลยนะไอ้คราม"

ท่อนแขนหนักๆ พาดบนไหล่แบบนี้รู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครที่ไหนไปไม่ได้นอกจากทิม เพื่อนร่วมคลาสที่ช่วงหลังตัวไม่ค่อยติดกันเท่าไหร่ สาเหตุก็อย่างที่มันเพิ่งจะปรามาสไปนั่นแหละ

"ของแบบนี้ต้องสม่ำเสมอสิวะ"

ยักคิ้วลิ่วตาใส่มันไปแล้วก็ต้องร้องโอดโอย ลืมไปว่าแผลที่หางคิ้วยังไม่สมานกันดีนัก ทิมมองแล้วส่ายหัวไปมา

"ไอ้ยักษ์ก็ทำซะแสบ เห็นตอนแรกทำตกใจกันไปหมด นึกว่าไปโดนลูกหลงพวกพี่ๆ เขาเข้า"

"อย่าว่าแต่เอ็งเลย หมอฐาก็ตกใจ"

เมื่อสัปดาห์ก่อนเกิดเหตุการณ์ยกพวกตีกันในคณะวิศวะที่ผมประจำอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะอุกอาจขนาดกล้าเข้ามาตีกันในตัวมหาวิทยาลัย เจ็บกันไปก็หลายคนอยู่ และบังเอิญกับที่ตัวเองซึ่งลาหยุดไปรถล้มเข้าพอดี ไม่ใช่เพราะประมาทหรืออะไร แต่ไอ้ยักษ์ หมาตัวยักษ์สมชื่อที่ตื่นเต้นกับการขึ้นมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกพาหน้าแหกกันไปเป็นแถบต่างหาก

พอหน้าแหกก็ไม่กล้าไปเจอหน้าหมอฐา มารู้จากเพื่อนว่าเขาลือกันไปหมดแล้วเรื่องแผลบนหน้า เลยแอบแวะเวียน พาหมาไปเดินเล่นแถวทางที่อีกคนใช้เวลาเดินกลับเป็นบางครั้ง โชคดีไม่น้อยที่เจอกันและได้พูดคุย และโชคดีมากกว่าที่ได้รู้ว่าหมอใจอ่อนให้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

"แค่พูดถึงก็ยิ้มแล้ว เป็นเอามากนะเอ็ง"

ไม่รู้ตัวว่ายิ้มแต่เพราะเพื่อนบอกก็เลยทำทีเป็นยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วก้มลงไปพิมพ์ข้อความหาคนที่น่าจะกำลังเตรียมตัวเข้าเรียนคาบบ่ายอยู่



MR.KRAM

อยู่ไหนครับ?



THA

ที่เดิมครับ

มีอะไรหรือเปล่า?



MR.KRAM

คิดถึงครับ

เดี๋ยวเดินไปหานะ



THA

ไม่ต้องมาก็ได้ ผมทำงานอยู่



MR.KRAM

อีกสิบนาทีเจอกันครับผม



THA

.........

ถ้าถามแล้วไม่เอาคำตอบคราวหลังก็ไม่ต้องถามนะครับ

เสียดายแรงพิมพ์ตอบ



ให้ตาย หมอฐานี่ปากคอเราะร้ายไม่เว้นตัวหนังสือเลย!

 





ผมยื่นถุงพลาสติกใส่กล่องนมส่งให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดอะไรบางอย่างลงสมุดอยู่ หมอฐาเงยหน้ามองพร้อมเลิกคิ้ว คล้ายกำลังถามว่าวันนี้ผมจะมาเล่นลูกไม้อะไรกับเขาอีก

"นมครับหมอฐา"

“เอามาทำไม?"

"เอามาให้เจาะแล้วดูดเข้าไป เรียนหมอเรื่องแค่นี้ไม่รู้ได้ไง"

เกร็งมือจับปากกาแน่นเชียว สงสัยจะกลัวปากกาหลุดมือ

เขามองอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วก้มลงไปจดงานต่อ เป็นอย่างนี้ทุกที เอาอะไรมาให้ก็ไม่ค่อยรับจนต้องเป็นฝ่ายบังคับเสียเอง

หลอดที่ติดกับตัวกล่องถูกแกะออกมาแล้วเสียบเข้าที่พร้อมยื่นส่งให้ หากหมอฐาก็ไม่คิดจะส่งมือมารับ ถือค้างอย่างนั้นอยู่นานจนสุดท้ายต้องเปลี่ยนทิศทางจากมือเขาเป็นกะให้ปลายหลอดไปแตะบริเวณปากอิ่มอมชมพูที่ชอบแอบมองแทน ครั้งแรกไม่สนใจ ครั้งที่สองคิ้วมุ่นชนกัน และครั้งที่สาม... อ่า หมอฐาดูจะอารมณ์เสียแล้วแหะ

"ถ้าหมอไม่ยอมดื่มเท่ากับอยากจูบทางอ้อมนะ"

"...อะไร"

"ก็เนี่ย หลอดแตะปากหมอไปหลายรอบแล้ว ถ้าเอามาดูดเท่ากับปากแตะที่เดียวกับหมอ จูบทางอ้อมชัดๆ"

สงสัยจะตกใจจนลืมประชดประชันเลยได้แต่ทำตาโตมองแบบนั้น ได้ทีผมก็เผยยิ้มพร้อมยื่นกล่องนมไปให้อีกรอบ

"ไม่ได้ใส่อะไรแปลกๆ ลงไปแน่นอน หมอฐาไม่ต้องกลัว"

"คิดว่ากำลังหลอกเด็กอยู่หรือไงครับ?"

แม้จะพูดแบบนั้นแต่ก็ยอมรับกล่องนมไปและให้ความสนใจกับการจดเนื้อหาลงสมุดต่อ หมอฐาเป็นคนขยันเรียนสมกับที่พวกเพื่อนๆ บอกว่าเป็นหัวกะทิของชั้นปี

"กลับคณะไปเรียนสิคุณ มานั่งอยู่นี่จะไปได้ความรู้อะไร"

เอาแล้ว เปิดโหมดเด็กเรียนมาใช้อีกแล้ว ผมหัวเราะแล้วส่ายหน้าไม่วายทิ้งตัวนั่งกระแซะให้คนขี้รำคาญจิ๊ปากเล่นอีกรอบด้วย อ้ะๆ เห็นแบบนี้แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมเป็นพวกไม่เอาอ่าวอยากเด็ดดอกฟ้าเชียว นายครามคนนี้ก็ดีกรีหัวกะทิของภาควิศวะไฟฟ้าเหมือนกัน สมกันเหมือนกิ่งทองใบหยกจะตาย

"วันนี้กลับด้วยกัน"

"ไม่ได้ครับ จะเข้าคลีนิก"

"งั้นไปส่งที่คลีนิก"

“เดินไปเองก็ได้ ห่างกันแค่สองตึกกั้น"

"ไม่เอา เดี๋ยวหมอฐาไปหากิ๊กก็แย่สิ"

วันแรกที่เจอก็คิดว่าเขาเป็นพวกไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าเท่าไหร่ แต่พอสนิทกันแล้วก็ได้เห็นสีหน้าหลากหลายขึ้น ยิ่งหน้าบึ้งๆ กับเสียงจิ๊ปากนี่อย่างบ่อย โคตรประทับใจ คนห่าอะไรทำหน้าดุได้น่ามองขนาดนี้วะ

"ล้อเล่น จะได้ช่วยหมอเตรียมงานด้วยไง"

เพราะรู้ว่าถ้าเอาเรื่องสัตว์มาอ้าง ร้อยทั้งร้อยว่าที่สัตวแพทย์หนุ่มคนนี้ต้องยอมเป็นแน่เลยงัดเอามุขนี้มาใช้อีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะเอามาอ้างลอยๆ ผมตั้งใจจะไปช่วยจริงๆ กับกิจกรรมหาบ้านให้สุนัขครั้งนี้ เพราะตัวเองก็รักสัตว์เป็นทุนเดิม และอยากให้หมาไร้บ้านแต่ละตัวได้เจอกับเจ้าของที่อยากรับเลี้ยงมันจริงๆ

มองหมอฐาที่ทำหน้าเหมือนชั่งใจได้ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถอนหายใจ แน่ล่ะว่าท่าทางแบบนี้คำตอบมีแค่อย่างเดียว เหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา

"...เจอกันใต้ตึกสี่โมง"





 

ไม่คิดเลยว่าคนจะเยอะขนาดนี้

เพราะได้ยินว่าเป็นกิจกรรมของคณะเลยนึกว่าจะกระจายข่าวเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา แต่นี่กลับมีคนมามากจนเกือบเข้าใจผิดว่าเป็นงานที่จัดขึ้นตามฮอลใหญ่ๆ ในห้างแล้ว

"คนเยอะกว่าที่คิดแหะ"

"อืม... ครั้งนี้เยอะกว่าปกติจริงๆ แหละ"

ขนาดหมอฐายังตกใจตามไปด้วย คนตัวเล็กกว่ากระชับสายจูงของไอ้เตี้ยแล้วออกเดินนำ ส่วนผมก็กระตุกไอ้ยักษ์ที่ทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็นเหมือนเกิดมาไม่เคยออกนอกบ้านตามเขาไปด้วย

หลังยกมือไหว้เพื่อนๆ ของหมอฐาเสร็จ ผมก็โดนแยกให้มานั่งเขียนรายชื่อผู้ร่วมรับเลี้ยงสุนัขที่ทางโครงการจัดหามา มีผู้ช่วยเป็นเหล่าสุนัขหน้าตาดีที่แม้บางตัวจะเป็นพันธุ์ทางแต่ก็มารยาทดี เข้ากับคนได้มานั่งหน้าสลอนอยู่ อย่างไอ้หางดาบตัวเล็กที่เอาแต่ส่ายหางไม่หยุดเวลาคนเข้ามาเล่นด้วย กับพุดเดิ้ลทอยตัวเล็กนั่นสิ คนรับไปเลี้ยงเป็นตัวแรกๆ ของกลุ่มเลย

"ใครที่พาสุนัขมาตรวจสุขภาพเชิญที่ด้านขวาเลยนะครับ ส่วนใครที่สนใจรับสัตว์เลี้ยงเข้าบ้านเชิญทางซุ้มซ้ายมือได้เลย"

ได้ยินเสียงประกาศก็อดไม่ได้ต้องชะเง้อหน้ามองไปทางโซนรับตรวจสุขภาพ ไม่ต้องหาให้ยากก็เห็นหมอฐากำลังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ เขาดูมีความสุขทุกครั้งที่ได้ช่วยเหลือสัตว์ที่เข้ามาหา ถึงหน้าตาจะไม่บ่งบอกแบบนั้น แต่ทุกครั้งที่พาไอ้เตี้ยไปหาแล้วอาการมันดีขึ้น รอยยิ้มน้อยๆ จะฉายบนใบหน้า และตาเขาจะเป็นประกายเหมือนเด็กๆ ที่ได้รางวัล

“เจ้าหนูนี่น่ารักจัง มีคนรับไปหรือยังคะ?"

ละสายตาจากคนที่อยู่อีกฝั่งเพื่อมองเจ้าของเสียง หญิงสาวที่เข้ามาถามจูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่กำลังก้มลงไปเล่กับไอ้ยักษ์ซึ่งกำลังนอนหมอบอยู่หน้าซุ้ม

"ขอโทษด้วยนะครับ นี่สุนัขของผมเอง"

"อ้าวเหรอคะ ขอโทษด้วยค่ะก็ว่าทำไมขนสวยเชียว"

เธอว่าพร้อมหัวเราะก่อนจะลูบหัวกลมๆ ของเด็กชายไปด้วย

"แม่คะ หนูอยากได้มะหมา"

"ตัวนั้นของพี่เขาค่ะลูก ลองดูตัวอื่นมั้ย?"

หญิงสาวถามพร้อมชี้ไปที่หมาตัวอื่นซึ่งนอนหมอบอยู่ไม่ไกล เด็กน้อยเหลือบตามองเขาก่อนจะเขยิบเข้าไปซ่อนตัวหลังผู้เป็นแม่แล้วพยักหน้า ท่าทางน่ารักจนคิดไปว่าถ้าเกิดพี่ชายตัวดีแต่งงานมีลูกก็อยากให้ได้น่ารักแบบนี้

"หนูชอบแบบไหนคะ ตัวใหญ่ๆ เหรอ?" เอ่ยถามกับเด็กน้อยไปแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าอีกที "ตัวเท่าพี่ชาร์ลีใหญ่พอมั้ยคะ? ชาร์ลีมาโชว์ตัวเร็ว"

เห็นแบบนี้ผมเลยเลือกจะแนะนำสุนัขพันธุ์โกลเด้นที่นอนหมอบอยู่อีกฝั่งแทนเสีย ดูท่าว่าเธอจะติดใจเจ้ายักษ์จนเผลอมองข้ามไป เด็กหญิงคนนั้นมองตาสุนัขที่เงยหน้าเมื่อได้ยินชื่อตัวเองด้วยตากลมโต ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปแตะจมูกดำที่ขยับไปมาใต้มือเธอ

อธิบายประวัติตามที่อ่านในแฟ้มให้เธอฟัง ชาร์ลีเพิ่งจะอายุได้สามขวบ มาอยู่ที่นี่ได้เพราะเจ้าของนำมาฝากรักษาไว้แล้วไม่มารับกลับอีกเลยแม้มันจะหายดีแล้ว เรียกว่าขาดความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

"ที่บ้านผมเลี้ยงโกลเด้นไว้เหมือนกัน มันเข้ากับเด็กได้ดีมากเลยครับ"

“นั่นสินะคะ... ยัยหนูก็ดูจะชอบด้วย"

จากที่แอบอยู่หลังผู้เป็นแม่ ตอนนี้เธอยื่นลูบหัวชาร์ลีแถมเรียกชื่อไปด้วย ท่าทางจะถูกใจไม่น้อย และท้ายที่สุดชาร์ลีก็เป็นอีกตัวที่ถูกรับเลี้ยงไป ก่อนจะตามด้วยอีกสามสี่ตัวที่นั่งรอนอนรอเจ้าของใหม่

การได้เห็นชื่อและนามสกุลของผู้เลี้ยงเพิ่มขึ้นมาอีกชื่อ เรียกรอยยิ้มบนหน้าผมได้กว้างขึ้นอีกระดับ คนรักสัตว์น่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมว่าการเห็นพวกมันถูกทอดทิ้งอยู่ข้างทาง กลายเป็นภาระให้ผู้คนถกเถียงกันทั้งที่คนเรานี่แหละที่รับพวกมันเข้ามาในชีวิตและผลักไสออกไปเองเป็นเรื่องน่าเศร้า และหากช่วยได้ก็อยากให้พวกมันได้ที่อยู่ที่ดีกว่าที่เคยผ่านมา

ยิ่งไปกว่าเรื่องรายชื่อก็เรื่องที่ได้สบตากับคนที่ชอบแอบมองมาจากอีกซุ้มบ่อยๆ นั่นแหละที่ทำให้ผมอารมณ์ดีจนต้องฮัมเพลงกับเหล้าเจ้าตูบทั้งวัน

 





[มีต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 14 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (29.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 29-07-2017 20:45:44
"ขอบคุณทุกคนมากสำหรับความร่วมมือในวันนี้ เก็บของกลับบ้านได้!"

เสียงเฮดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือของคนที่อยู่ในชุดกราวน์รวมไปถึงเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างผม กิจกรรมหาบ้านให้สุนัขรวมไปถึงตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงเสร็จสิ้นลงอย่างสวยงาม แม้สุนัขบางตัวจะยังหาบ้านไม่ได้และต้องอยู่ที่คลีนิกต่อไปก็ตาม แต่แค่ได้ช่วยให้ส่วนนึงได้บ้านใหม่ก็นับเป็นเรื่องดีๆ ของวันแล้ว

หลังจบกิจกรรมก็ไม่แคล้วงานกรรมกรแบกหาม เด็กสายวิศวะไฟฟ้าที่เสนอตัวอย่างผมก็ร่วมเป็นหนึ่งในคนใช้แรงงานด้วยเหมือนกัน รีบเสร็จจะได้พาหมอกลับบ้าน

"อ่ะ"

ผมค้างอยู่ในท่ายกเก้าอี้ตอนที่หมอฐายื่นห่อทิชชู่เปียกพร้อมขวดน้ำมาให้  คือห่อมันก็แกะแล้วล่ะ พลาสติกครอบฝาก็ไม่มีแล้ว พร้อมหยิบใช้ได้ทันทีแต่มีหรือที่จะปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดลอยไป ผมพยักเพยิกไปทางมือตัวเองก่อนเอียงหน้าไปทางเขามากขึ้น

“เช็ดให้หน่อยสิหมอ"

"วางเก้าอี้แล้วหยิบสิ"

"มือเลอะไปแล้ว เดี๋ยวสิวขึ้นทำไงล่ะหมอฐา นะ"

"...หน้าบางเหลือเกินพ่อคุณ"

ผมหัวเราะกับคำปรามาสของเขา แม้ปากจะจิกกัดแต่หมอฐาก็ยังเป็นหมอฐาที่ เขาหยิบทิชชู่จากห่อมาซับหน้าให้ กดลงไปไม่เบานักคล้ายจะเอาคืน

"น้ำด้วยสิหมอ"

"ก็บอกให้วางเก้าอี้ลงก่อน"

"ให้หมอป้อนอร่อยกว่า"

"เรื่องมากจริง"

มาแล้วสายตาพิฆาตตามเสต๊ป แต่สุดท้ายก็เปิดฝาขวดจุ่มหลอดแล้วยื่นมาให้ดูด ได้แค่นี้ก็มีแรงยกเก่าอี้เก็บต่อแล้ว

"ครับๆ คู่นั้นอ่ะครับ มัวแต่สวีทกันเมื่อไหร่มันจะเสร็จ"

"อยากจะถ่ายรูปลงเพจเหลือเกินค่ะ แหมๆ"

"หมอฐาไม่มาป้อนน้ำเพื่อนบ้างเหรอครับ~ เพื่อนจะคอแห้งตายแล้ว"

ใครว่าเด็กคณะนี้ไม่กวนผมเถียงสุดใจ ขนาดพี่หมวยที่ว่าเป็นสาวเรียบร้อยประจำกลุ่มยังตะโกนแซวมาแต่ไกลเลย ผมหัวเราะพร้อมโค้งเบาๆ ให้พวกพี่ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก ส่วนคนที่ตกเป็นเป้าหมายเหมือนผมน่ะเหรอ นู่นครับ เดินลิ่วไปนู่นตั้งแต่เพื่อนเอ่ยแซวแล้ว คาดว่าพวกพี่ๆ จะได้สายตาดุๆ กันไปคนละทีสองทีแน่ๆ หลังจากนี้

ก็เล่นแซวดังซะหมอไปไม่เป็นขนาดนั้น จะไม่โดนได้ยังไงล่ะ จริงไหม?




"ขอบคุณนะหมอที่ให้ผมมาร่วมงานด้วย"

"อืม ขอบคุณเหมือนกันที่มาช่วย"

เรากำลังเดินกลับบ้านกันเหมือนขามา เพียงแต่สลับเป็นหมอจูงไอ้ยักษ์ ส่วนผมจูงไอ้เตี้ย เพราะอยู่ดีๆ พี่เบิ้มก็ไม่อยากเดินกับผมเสียอย่างนั้น เอาแต่ออดอ้อนออเซาะจนหมอฐาต้องเสนอตัวไปเชือกไปถือเอง เรียกร้องความสนใจจริงๆ แถมเขาก็สนใจซะด้วยนะ รู้สึกอิจฉาหมาขึ้นมานิหน่อย...

"แล้วพวกที่ไม่ได้บ้านจะทำยังไงล่ะหมอ?"

ถามในเรื่องที่สงสัยเพราะได้ช่วยพาตัวที่เหลือกลับไปอยู่ในศูนย์พักฟื้นที่คลีนิกเหมือนเดิม

"ก็จะเลี้ยงกันเองเหมือนเดิม มีเคสที่ถ้าใครเรียนจบแล้วแวะมารับตัวที่สนิทกันไปเลี้ยงเหมือนกัน"

"หมอคิดจะรับไปบ้างมั้ย?"

“มีอยู่นะ แต่ต้องดูหมาที่บ้านก่อนว่าพร้อมรับสมาชิกใหม่หรือยัง"

"แสดงว่าขี้หวงมากเลยนะนั่น"

เข้าใจเพราะตอนแรกๆ ก็ศึกษาอยู่ ด้วยกลัวว่าหมาที่บ้านจะไม่โอเคกับการรับสมาชิกใหม่ ดีที่หมาแต่ละตัวของที่บ้านยอมรับว่าเจ้าของเป็นหัวหน้าฝูงแล้วเลยไม่หือไม่อือเท่าไหร่ จะมีทะเลาะกันบ้างก็แค่บางครั้งเท่านั้น

ส่วนหมอฐาพอได้ยินแบบนั้นหัวเราะ หัวข้อเกี่ยวกับสัตว์ทำให้เขามีรอยยิ้มง่ายกว่าปกติร้อยเท่าจริงๆ

"อือ ขี้หวง หวงที่ หวงเจ้าของ"

"พูดแบบนี้อยากช่วยหวงเลย"

“ไม่เบื่อหรือไงคุณ เล่นมุกแบบนี้น่ะ"

"เล่นมุกที่ไหน นี่เรื่องจริงทั้งนั้น"

"ทำไมชอบเถียง... อ้ะ!"

จู่ๆ คนที่กำลังจะดุก็ถลาตัวพุ่งไปข้างหน้าเสียอย่างนั้นจนต้องรีบคว้าแขนแล้วดึงกลับให้มาอย่ที่เดิม แต่แรงคงจะเยอะไปหน่อยเลยดึงเขาเข้ามากระแทกอกตัวเองเฉย หัวกลมๆ ของหมอโหม่งเข้าจมูกเต็มๆ จนต้องร้องโอ้ยดังๆ

"ขะ... ขอโทษ! เป็นอะไรมากมั้ย เลือดไหลหรือเปล่า?"

หมอฐาละล่ำละลักพร้อมหันกลับมาดู คงกลัวจะเลือดไหลเพราะกระแทกแรงจริงๆ

"ไม่เป็นไรหรอกหมอ แค่นี้เอง เลือดไม่ออกแน่นอน"

“ขอโทษจริงๆ ไม่คิดว่ายักษ์จะพุ่งแบบนั้น"

"ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ"

มองตามปลายสายจูงไปเห็นตัวต้นเหตุกำลังขุดดินข้างทางอย่างเมามัน สงสัยจะเจอขุนทรัพย์ ไม่แปลกที่หมอจะถลาเพราะไม่ทันตั้งตัวแถมแรงไอ้นี่ก็เยอะ ขนาดมอเตอร์ไซค์ก็ล้มมาแล้ว

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องหมาที่ต้องสนใจ เพราะคนตรงหน้าน่าสนใจกว่าเยอะ ถึงจะทำหน้าตากังวลก็ยังดูดี รับประกันด้วยอาการมองค้างของตัวเองนี่แหละ

"มีร้านสะดวกซื้อข้างหน้านี้ ผมไปซื้อน้ำแข็งมาให้ประคบดีกว่าก่อนมันจะช้ำ"

เขาว่าแล้วทำท่าจะผละออกไป แต่เป็นผมเองที่คว้าตัวเขาเอาไว้ก่อน คนตรงหน้าทำหน้าสงสัยใส่ ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าไม่อยากปล่อยไปตอนนี้

"เรื่องจริงนะที่บอกว่าอยากหวงหมอด้วย"

"มันใช่เวลามั้ยคุณ..."

"ให้ผมหวงได้มั้ย?"

หมอฐาทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด แต่เขาเป็นพวกหน้านิ่งที่เก็บสีหน้าไม่เป็นเวลาลืมตัว เลยทำให้ผมเห็นริ้วแดงๆ ที่เริ่มชัดขึ้นทีละนิดบนแก้มของเขา ยิ่งมองก็ยิ่งแดง แบบนี้เขาเรียกว่ามีความหวังใช่ไหมนะ?

"นะหมอ ถ้าตกลงนี่ได้ทั้งคนช่วยเลี้ยงหมา คนไปรับไปส่ง คอยหาข้าวหาน้ำ แถมแฟนดีๆ อีกคนเลยนะ"

"ใครเขาอยากได้กัน..."

"ผมเชื่อว่าหมอคนนึงล่ะ ไม่งั้นคงไม่สบตากันบ่อยๆ หรอก เนอะ?"

โดนถลึงตาใส่ไปหนึ่งทีก็เอารอยยิ้มเข้าสู้ เปิดโหมดจ้องตากันอยู่สักพักก็เป็นหมอแก้มแดงที่ยอมแพ้ก่อน คนตัวเล็กกว่าเสมองด้านข้างสลับกับใบหน้าผมก่อนจะเริ่มต้นพูดเสียงเบา

"ก็...แล้ว...คราม..."

"ครับ? อะไรนะหมอ ได้ยินไม่ค่อยชัดเลย"

คำพูดขาดๆ เกินๆ ทำให้ประติดประต่อไม่ค่อยได้เลยยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น และก็ได้รับคำตอบที่เสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยแต่กลับเหมือนโดนเปิดลำโพงกระหึ่มใส่สองข้างหู

"...บอกว่าแล้วแต่ครามไง ขี้ตื้อจริง!"

เจอคำตอบแบบนี้จะให้ทำอะไรได้นอกจากหัวเราะแล้วคว้าเขามากอดแน่น ตอนเขินหมอไม่มีแรงทำร้ายร่างกายเท่าไหร่หรอก ได้แต่หน้าแดง หูร้อนอย่างเดียวเท่านั้นแหละ อ๋อ เพิ่มอาการบ่นอุบให้ปล่อยเจ้าตัวไปซื้อน้ำแข็งสักที ไม่ก็ขอให้จมูกโตตาย แต่ใครจะไปตายเพราะเรื่องแค่นี้กันล่ะ

ผมสบตากับไอ้ยักษ์ตัวตนเรื่องที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เห็นมันเปลี่ยนจากการขุดดินเป็นนอนหาวเหมือนไม่สนใจแล้วหันไปเล่นกับไอ้เตี้ยก็ไม่ลืมทดเอาไว้ในใจว่าจะต้องให้รางวัลกับความดีความชอบในครั้งนี้ด้วย ที่ช่วยเปิดโอกาสระหว่างผมกับคนปากหนักตรงหน้านี้

เดี๋ยวพ่อซื้อกระดูกให้แทะเล่นสักสามลังนะไอ้ลูกชาย!




-----------------------------------------------------------





TALK: สวัสดีค่ะ กลับมาแล้วหลังจากหายไปนาน หวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะ :mew3:

ช่วงนี้งานยุ่งมากมายมหาศาลเลยทำให้แวะมาต่อได้ไม่บ่อยนักค่ะ แต่ไม่หายไปไหนนานแน่นอน เพราะอีกแค่ไม่กี่ตอนก็จะจบครบทุกคู่ที่ตั้งใจไว้แล้วล่ะค่ะ

หวังว่าตอนนี้ก็จะทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มเช่นเคย

ขอบคุณทุกกำลังใจและการติดตามค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 14 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (29.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-07-2017 21:05:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 14 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (29.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 29-07-2017 21:41:50
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 14 ครามฐา #วิศวะหวั่นไหว (29.07.17)
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 03-08-2017 01:24:48
ชอบพี่ยักษ์  :z2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 17-08-2017 19:02:05
[15]





คุณเคยเจอคนกวนประสาทไหมครับ?

คนประเภทที่ชอบเข้ามาหาเรื่อง พูดจาก่อกวนจนทำให้อารมณ์คนฟังไม่คงที่ แถมบางทียังท้าตีท้าต่อยจนเกือบจะทนไม่ไหวถอดรองเท้ามาฟาดปากให้เสียเลือดกันสักรอบสองรอบ

คนประเภทที่ว่ากำลังวนเวียนอยู่รอบตัวผมได้สักพักใหญ่แล้ว

 





"เอ้า คนตัวเท่าหลักกิโลหลบทางหน่อยดิครับ เดี๋ยวคนตัวเท่าเสาไฟฟ้าเดินชนแล้วจะหาว่าไม่เตือนเอา"

พูดถึงก็มา... แค่ได้ยินเสียงก็รู้ว่าความวุ่นวายกำลังจะมาเยือน วันนี้ทั้งวันชีวิตคงต้องตกอยู่ในวัฒจักรของความปวดเศียรเวียนเกล้าไปตลอดจนกว่าจะกลับถึงห้องแน่นอน

ตวัดสายตาไปทางเจ้าของเสียงพร้อมเอียงคออีกหน่อยก็พบกับวงหน้าที่สาวๆ ส่วนใหญ่คงจะกรีดร้องอยู่ในใจหากได้พบเห็น แต่หากเป็นผู้ชายตามมาตรฐานทั่วไปคงต้องหักห้ามไม่ให้คว้าอะไรมาทำร้ายหน้าหล่อๆ นั่นให้เสียโฉม เพราะพ่อเจ้าประคุณเล่นยิ้มมุมปากยักคิ้วคมๆ ใส่ด้วยมาดกวนเหลือเชื่อ

"น่ะ มองๆ มองแบบนี้จะหาเรื่องกันหรือไง?"

"ใครกันแน่ที่หาเรื่อง"

"ไปหาเรื่องตอนไหน"

"เมื่อกี้นายว่าเราเป็นเสาหลักกิโล"

"อะไร พูดชื่อหรือไงว่าเป็นใคร? ร้อนตัวว่ะ"

ร้อนตัวกับผีเถอะ!

ก็เห็นอยู่ว่านอกจากผมกับเขาสองคนที่หยุดยืนอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างตึกแล้วก็ไม่มีใครอีกแล้ว สำนึกได้ว่าไม่ใช่เวลามายืนเถียงกันเรื่องไร้สาระเลยหันควับย้ำเท้าไปตามทางเดินที่ตั้งใจไว้ ได้ยินเสียงหัวเราะตามหลังมาแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายก็ลงเรียนคลาสนี้เหมือนกัน ทั้งที่ภาวนาให้ไม่เจอแท้ๆ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเอาเสียเลย

“ขาสั้นแค่นั้นก้าวยาวไปก็ไม่ทำให้เร็วขึ้นหรอก ป่านนี้คนจองที่นั่งดีๆ ไปหมดแล้ว”

แล้วมันไปสั้นบนหัวนายหรือไงล่ะ...

หน้าบูดบึ้งเข้าไปอีกเมื่อเจอคำกระทบจิตใจเข้าไปเต็มๆ รู้อยู่แล้วว่าสถานการณ์ต้องเป็นแบบที่คนตัวสูงกว่าว่าไว้ เพราะยิ่งเข้าใกล้เวลาเข้าคลาสบ่ายซึ่งต้องเรียนรวมกับคณะอื่นยิ่งต้องรีบ ไม่อย่างนั้นที่นั่งที่หมายตาเอาไว้จะโดนชิงไปเสียก่อน แล้วนี่มันก็เหลืออีกแค่ห้านาทีเท่านั้น ใครต่อใครเขาก็วิ่งไปจองโต๊ะกันหมดแล้ว มีแต่ผมที่พลาดมัวแต่นั่งอยู่ในห้องแล็ปดูการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ลงดินใหม่ไปเท่านั้นแหละที่ชักช้าไม่ทันการ อ๋อ นับคนกวนประสาทที่คงไปหาเรื่องกวนใครเขามาถึงได้ช้าพอกัน

เลื่อนเปิดประตูห้องเรียนได้ผมก็ไม่รอช้าปรี่ไปนั่งที่แรกสุดที่เห็นว่าว่างอยู่ทันที มั่นใจเต็มที่ว่าจะไม่มีคนมาก่อกวน ก็เล่นนั่งมันเสียหน้าสุดตรงที่ๆ ไม่มีใครเขาอยากจะนั่งกันเพราะมีโอกาสโดนอาจารย์เรียกแถมยังแอบเล่นโทรศัพท์ไม่ได้อีกต่างหาก

ทีนี้ก็จะได้นั่งเงียบๆ สักท...

"นั่งมันซะหน้าเลย นอกจากขาจะสั้นแล้วยังสายตาสั้นอีกเหรอ?"

"......"

เผลอถลึงตามใส่เมื่อคนที่ตั้งใจจะหนีดันทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างข้างกัน ทั้งที่มีตรงอื่นว่างอีกพอประมาณ จะมานั่งตรงนี้ทำไมเนี่ย

แต่ยังไม่ทันได้ต่อล้อต่อเถียงอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาพร้อมสั่งให้หยิบชีทที่แจกเมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมา แน่ล่ะว่าผมเตรียมพร้อมแล้ว เพราะนี่ไม่ใช่วิชาที่ถนัด แถมเวลาสอบก็เป็นข้อเขียนทั้งหมด ถ้าไม่ทำความเข้าใจต้องไปเสียเวลาอ่านทีหลังเองอีก ซึ่งคนขี้เกียจและอยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแบบผมไม่อยากทำแบบนั้นหรอก

"ไม่ได้เอาชีทมา ยืมดูด้วยดิ"

อย่าเรียกว่าขอเพราะพอเขาพูดจบก็กระเถิบมาชิดแถมยังท้าวลงบนโต๊ะกินพื้นที่แขนผมไปอีก รู้สึกถึงแรงสะกิดยิกๆ จากข้อศอกเลยยอมเอาแขนลงแนบกับตัวโต๊ะแทน ให้มันได้อย่างนี้สิ เขาจะมายุ่งอะไรกับผมมากมายนักก็ไม่รู้ แล้วนี่มันเป็นวิชาหลักของคณะเขาแท้ๆ ทำไมถึงลืมได้แม้กระทั่งของสำคัญอย่างชีทเรียนกัน

ถอนหายใจแรงๆ ใส่ ฟึดฟัดอีกสองสามทีให้รู้ว่าไม่พอใจนักแต่ก็ปล่อยให้เขาใช้ชีทเรียนด้วยกัน เพราะว่าผมเป็นคนใจดีมากยังไงล่ะ

เสียงของอาจารย์รั้งความสนใจผมกลับไปเมื่อท่านเริ่มบรรยาย คาบเรียนนี้ความจริงไม่เกี่ยวเนื่องกับภาควิชาที่กำลังศึกษาเท่าไหร่แต่เพราะความสนใจส่วนตัวเลยเลือกที่จะลงเอาไว้ด้วย พอได้เรียนจริงๆ จึงได้รู้ว่าสัตว์น้ำจืดมีหลายสายพันธุ์กว่าที่คิด ทั้งรู้จักและไม่รู้จักปะปนกันไป แต่ก็อย่างว่า คนที่วันๆ เอาหัวไปคิดเรื่องสูตรเคมีสำหรับทำปุ๋ยที่ได้ผลกับการเจริญเติบโตของพืชสวนแบบผมจะไปมีความรู้กว้างขวางในเรื่องสัตว์น้ำได้อย่างไร ถึงสาขาที่เรียนจะดูคล้ายกันในฐานะชั้นเรียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่พอเจาะลึกจริงๆ ถึงได้รู้ว่าทำไมคณะถึงต้องแยกเอกออกมาหลากหลาย ลองคิดภาพถ้าให้คนที่เรียนเกษตรมาเรียนประมงด้วยคงหัวระเบิดตายเพราะต้องจำทั้งเรื่องบนบกและน้ำไปพร้อมกัน

เหม่อบ้างสลับกับเรียนบ้างก็เหมือนจะราบรื่นดี แต่ทุกย่างพลันต้องหยุดชะงักเพราะลมหายใจแรงๆ ที่กระทบเข้ากับเส้นผมที่อุตส่าห์จัดทรงไว้ พอเหลือบมองก็เห็นว่าคนข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้กินพื้นที่มากกว่าเดิมเสียแล้ว แถมยังหายใจแรงจนเผลอคิดว่านั่งกับกระทิงอยู่

ไม่อยากคุยด้วยแต่ก็จำเป็นต้องคุย

"...นายเขยิบไปหน่อยไม่ได้เหรอ"

"หืม?" เขาเลิกคิ้วใส่ผม คิ้วเข้มๆ ที่เห็นแล้วอยากจะถอนนั่นล่ะ "ไม่ได้อะ มองไม่เห็น ชีทมันตัวเล็ก"

"มันก็ขนาดปกติ นายคงสายตาสั้นมากถ้ามองว่ามันเล็ก"

"มั่นใจว่าไม่สั้นจนต้องใส่แว่นเรียนแบบบางคนแน่นอน"

มันน่ากระชากชีทมาไว้อีกฝั่งไม่ให้ดูนัก คนเขามีน้ำใจ (เพราะถูกบังคับกลายๆ) ให้ยืมชีทดูด้วยแล้ว ยังมีหน้ามากวนกันอีก

ผมทำหน้าไม่พอใจใส่เขาไปอีกรอบพร้อมขยับแว่นที่หยิบมาใส่ระหว่างเรียนแล้วหันไปให้ความสนใจกับด้านหน้าตามเดิม อยากให้หมดชั่วโมงเร็วๆ เสียที จะได้หนีไปให้ห่างจากผู้ชายคนนี้ให้เร็วที่สุดเลย





 

"ไปกินข้าวเย็นด้วยกันดิ เดี๋ยวเลี้ยงตอบแทนที่ให้ดูชีท"

คนที่เพิ่งหาวปากกว้างพร้อมบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าเอ่ยขึ้นเมื่ออาจารย์ประจำวิชาประกาศจบคลาสประจำวันนี้ ผมเหล่มองด้วยความเคยชิน วันนี้ก็ยังเอ่ยชวนเหมือนทุกๆ ครั้งที่เขาทำหากเจอกันในคาบเรียน และแน่นอนว่าคำตอบก็ต้องเป็นแบบเดิมเหมือนกันทุกครั้งเช่นกัน

"ไม่เป็นไร เรารีบ"

"รีบไปนั่งมองต้นไม้เหี่ยวๆ พวกนั้นอ่ะนะ? ไว้ทีหลังเหอะ ไปหาไรกินกันก่อน"

คิ้วกระตุกเลยพออีกฝ่ายบอกว่าต้นไม้เหี่ยวๆ เจ้าพวกที่ผมเฝ้าดูแลอยู่คือมะพร้าวต่างหาก และมันไม่ได้เหี่ยวด้วย มันแค่... ขาดสารอาหารที่เพียงพอและโปรเจคของผมก็คือการคิดหาปุ๋ยที่เข้ากับดินมากพอจะทำให้เจ้าต้นนี้พร้อมนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ลงชื่อไว้ในโครงการของมหาวิทยาลัยต่างหาก

".....เราไม่หิว"

"แต่เราหิว ไปเหอะน่ะ"

"เฮ้ย! เอาคืนมา"

เอื้อมมือหมายจะคว้ากระเป๋าที่ถูกมือใหญ่ชิงไปแล้วยกไว้เหนือหัวตัวเอง ไอ้บ้าเอ้ย ปกติแค่เขายืนก็สูงกว่าผมหนึ่งช่วงหัวแล้ว แล้วแขนเขาก็ต้องยาวมากกว่านั้นแน่นอน นี่เล่นยกสูงขึ้นขนาดนั้นใครมันจะไปคว้าคืนได้ล่ะ

"เอากระเป๋าเรามา!"

โวยวายใส่ไปพร้อมทำตาโตๆ ให้รู้ว่ากำลังโกรธเต็มที่ แต่แทนที่เขาจะกลัวหรือเกรงใจกันบ้างกลับแคะหูชิลๆ เหมือนไล่เสียงนกเสียงกา ส่วนกระเป๋าผมน่ะเหรอ? หึ มันก็อยู่สูงสุดที่เดิมเหมือนเมื่อกี้นั่นแหละ

"โวยวายจังเว้ย ไปหาอะไรกินกันแล้วเดี๋ยวไปส่งหน่า ไม่พาไปขายหรอกเชื่อดิ"

"หน้าตาน่าเชื่อตายล่ะ"

"ตัวเท่าลูกหมาขายไม่คุ้มเงินหรอก แล้วก็ดีใจไว้ซะว่าเราเลี้ยงข้าว นานๆ จะทำนะ จำเอาไว้ด้วย"

"เราไม่ได้ขอสักหน่อย"

"นี่ก็ไม่ได้ถามไง พูดมากแล้วหิวว่ะ ไปได้แล้ว"

"เราไม่ไป"

"ไม่ไปก็ไม่ได้กระเป๋าคืน คิดเอง"

เขาไหวไหล่ทำท่าเหมือนสิ่งที่กำลังต่อรองเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งที่สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องใหญ่มาก คนดีๆ ที่ไหนจะมากวนประสาทกันแล้วชวนไปกินข้าว แถมพอไม่ไปยังมาจับของใช้ไว้เป็นตัวประกันอีก ถ้าไม่ติดว่ากำลังยืนอยู่ในมหาวิทยาลัยจะคิดว่ากำลังเล่นกับเด็กเอาแต่ใจตามโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย

จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่ครู่ใหญ่ คนที่ยืดกระเป๋าสุดแขนก็เปลี่ยนเป็นกอดเอาไว้แล้วเดินออกนอกห้องไปเฉยๆ ไม่สนใจเสียงโวยวายให้คืนของของผมที่ตามหลังอยู่เลย แล้วจะมีทางไหนให้ผมเลือกอีกล่ะ นอกจากต้องวิ่งตามขายาวๆ ของเขาออกไปเพื่อเอาของของตัวเองคืน

"นาย! เฮ้!"

นอกจากจะไม่ได้คืนยังโดนคว้าคอแล้วล็อคไว้ให้เดินไปพร้อมกันอีก บอกตรงๆ เลยว่าเป็นการเดินที่ทุลักทุเลมากเพราะนอกจากจะต้องพยายามก้าวเท้าให้ทันคนข้างๆ แล้วยังต้องอดใจไม่ให้ส่งมือไปต่อยเข้าที่ท้องเวลาที่เขาหัวเราะเพราะผมสะดุดทำให้จังหวะการเดินขาดช่วง

 





ถามว่าทำไมผมกับผู้ชายคนนั้นมีความสัมพันธ์แปลกประหลาดแบบนี้ได้ยังไงน่ะเหรอ?

เรื่องนั้นคงต้องย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นเทอมใหม่ของปีนี้

 

เสียงรัวกลองดังจากที่ไกลๆ ทำให้รู้ว่าตอนนี้งานรับน้องประจำปีได้เริ่มขึ้นแล้ว เห็นว่าปีนี้ทางมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนแนวทางการทำกิจกรรมใหม่ ไม่ให้มีเรื่องของการใช้กำลังและทำเรื่องไม่เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งตัวผมเองเห็นด้วยและดีใจที่ทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ไปร่วมงานกับเขาด้วยก็เถอะ

"ดีขึ้นเยอะแล้วนะ แสดงว่าปุ๋ยใหม่ใช้ได้ไม่เลว"

ไม่ได้พูดกับใครที่ไหนนอกจากต้นทับทิมที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้มันดูเหี่ยวๆ ไป ทั้งที่เปลี่ยนการให้น้ำและดูแลเรื่องแสงอย่างระมัดระวังแต่ก็ยังไม่ได้ขึ้น กลุ่มของผมจึงตัดสินใจที่จะปรับปรุงดินของมันแทน และดูเหมือนจะได้ผลไม่น้อย เพราะใบที่เคยแห้งเหี่ยวเริ่มกลับมาดีขึ้นและมีหน่ออ่อนงอกออกมาด้วย คงอีกไม่นานนักที่จะได้เห็นผลของมัน

คิดแล้วก็อดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา ก็ใครจะไม่ประทับใจล่ะครับที่งานของตัวเองใช้การได้

"ไอ้ต้นนั้นมันจะตายป่ะ?"

แต่แล้วคำพูดชวนไม่สบอารมณ์ก็ดังขึ้น ผมมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของเสียงพร้อมหัวคิ้วชนกันแต่กลับไม่เจอใครจนกระทั่งมีเสียงผิวปากแว่วๆ มาจากบนหัว พอเงยหน้ามองถึงได้เห็นร่างของใครบางคนกำลังท้าวคางมองจากศาลาที่ตั้งยกสูงขึ้นจากทางเดินเล็กน้อย

"ไม่ตายหรอก เราเปลี่ยนดินแล้ว มันได้ผลด้วยนะ"

ส่งยิ้มให้เขาพร้อมอธิบาย ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนแต่ถ้าให้เดาคงเป็นคนที่ไม่อยากไปงานรับน้องเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่มาเดินเตร่อยู่แถวนี้เวลาที่คนอื่นเขากำลังสนุกกันหรอก

"เหรอ แต่เราว่าเดี๋ยวมันก็ตาย เหี่ยวซะขนาดนั้น"

"มันไม่ตายหรอก"

"พนันป่ะล่ะ?"

"เราไม่เล่นพนัน"

"แสดงว่ากลัวต้นไม้ตายแล้วจะแพ้"

เจอคำพูดชวนให้ไม่พอใจเข้าไปอารมณ์ที่เคยดีก็เริ่มครุกรุ่น อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเพียงแค่ลุกแล้วกระโดดจากชั้นสองมายืนข้างๆ กัน เขาตัวสูงมากชนิดที่ผมต้องเงยหน้ามอง ส่วนผู้ชายคนนั้นก็มองกลับสลับระหว่างหน้าผมกับต้นทับทิมที่อยู่ข้างๆ กัน แล้วเอามือข้างหนึ่งมาทาบบนหัว ส่วนอีกข้างนึงก็จับยอกต้นไม้เอาไว้

"โอ้โห ตัวเท่ากันเลยว่ะ ถ้าต้นไม้โตอีกนิดคงทำเป็นบ้านเหมือนในฮอบบิทได้เลยมั้งเนี่ย"

นั่นคือการพบกันของผมกับเขาที่น่าประทับใจชนิดที่อยากลืมก็ลืมไม่ลงจนต้องตราหน้าเขาว่าเป็นคนกวนประสาทอันดับหนึ่งในลิสต์ของผม

 

หลังจากนั้นเป็นยังไงน่ะเหรอ?

                ชีวิตอันแสนสงบสุขของผมก็ไม่เหมือนเดินอีกต่อไปน่ะสิ ไม่รู้ทำไมเดินไปไหนก็เจอแต่คนตัวสูงโย่งยืนรอเหมือนรู้ว่าจะมาทางนี้ พอเจอก็โดนแซว โดนพูดจากวนประสาทจนอยากจะถลึงตาให้มันหลุดออกจากเบ้าแล้วปาใส่

แล้วก็มาจบลงอย่างที่เป็นในทุกวันนี้นี่แหละ





 

รู้ตัวดีว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่รักการได้ทานอาหารอร่อยๆ และยอมรับเลยว่ากับข้าวละลานตาแถมกลิ่นหอมๆ ที่ลอยเข้าจมูกทำให้อดใจไม่ได้ต้องลองตักนั่นนิดนี่หน่อยมาเข้าปาก อร่อยจนไม่น่าเชื่อว่าที่ผ่านมาผมจะเดินผ่านร้านนี้กลับหอโดยไม่คิดจะแวะเข้ามาลองทานดูก่อน และที่สำคัญคืองานนี้กินฟรีไม่มียั้ง ถึงตอนแรกจะไม่อยากมาทว่าตอนนี้อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด

"กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ"

.....ถ้าไม่นับคนที่กำลังลูบหัวผมแล้วทำท่าเหมือนกำลังคุยกับสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ตรงหน้านี่ล่ะนะ

หลังลากผมออกมาจากมหาวิทยาลัยได้เขาก็มาหยุดที่ร้านอาหารพื้นบ้านไม่ไกลนักและลงมือสั่งอาหารชนิดที่เห็นแล้วต้องตกใจจนรีบร้องห้ามไม่ให้สั่งเพิ่มอีก ก่อนจะนั่งท้าวคางมองผมกินอยู่อย่างนั้น

"...นายก็กินเข้าไปด้วยสิ มองเรากินอย่างเดียวคงอิ่มหรอก"

"ก็อิ่มได้ที่อยู่"

"จะบอกว่าอิ่มทิพย์?"

"อิ่มอกอิ่มใจได้มองใครบางคนกินแบบมีความสุขต่างหาก"

"เราว่าเราอิ่มแล้ว"

คนตรงหน้าหัวเราะใหญ่เมื่อได้ยินผมพูดแล้วทำท่าเหมือนจะรวบช้อนแบบนั้นจนต้องส่งมือใหญ่มาห้ามไว้แล้วทำท่าทางว่าให้ผมกินต่อ

"กินไม่หมดไม่ต้องกลับ"

"นายก็กินไปสิ นายเป็นคนสั่งนะ"

"ก็สั่งมาเพราะจะเลี้ยง"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขอ"

เขาต้องมีปัญหาทางสุขภาพแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดจาอะไรแล้วฟังไม่รู้เรื่องแบบนี้ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอีกหนึ่งทีด้วยตั้งใจให้รู้ว่าครั้งนี้จะไม่ยอมอ่อนข้ออีกต่อไป แต่แทนที่เขาจะกลัวกันบ้างกลับหัวเราะแล้วส่งส้อมของตัวเองมาให้ผมรับเอาไว้แทน

กลายเป็นตัวเองที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ทำไมเถียงกันอยู่ดีๆ ถึงมาส่งส้อมให้ คือจะให้เอาไว้แทงหรือยังไง? คงเพราะเห็นหน้าตาคับข้องใจคนที่ใจป๋าเอ่ยปากอยากเลี้ยงเลยเฉลยความตั้งใจของเขาให้ได้รู้

"ป้อนหน่อย"

"เพื่อ?"

"ก็ถ้าอยากให้กินก็ป้อน เร็วๆ"

"...ถามจริง นายจีบเราอยู่เหรอ?"

ไม่ใช่พวกความรู้สึกช้าและไม่ใช่เพิ่งมาเอะใจแต่รู้สึกตัวสักระยะแล้ว คนประเภทไหนกันที่จู่ๆ จะเดินเข้ามาหาเรื่องก่อกวนไม่เว้นแต่ละวันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ตอนแรกก็ใช้วิธีพูดจาหาเรื่อง แซวเรื่องส่วนสูงที่น้อยกว่าเจ้าตัวอยู่มาก แซวจนตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแถมผมยังต่อปากต่อคำกลับไปได้ และไหนจะการแสดงออกแบบที่เกือบจะเนียนแต่ก็ชวนให้อดคิดไปไกลไม่ได้ของเขาอีก ยิ่งวันนี้ยิ่งชัดเจนชนิดที่หากใครเจอแล้วไม่รู้ตัวคงต้องถูกตราหน้าว่าโง่ไปตลอดชีวิตแน่ แต่เลือกที่จะถามตอนนี้เพราะสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นชัดเจนในระดับแค่อยากได้คำตอบเพื่อความมั่นใจเท่านั้นเอง

และคำถามตรงๆ ของผมคงทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกอยู่พอควร สงสัยจะไม่ได้คิกว่าถ้าโดนตอกกลับตรงๆ จะตอบออกมายังไง คนตัวโตกว่าเสหลบตาพร้อมเอื้อมมือไปเกาหลังคอก่อนจะไหวไหล่ทำท่าเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วหันกลับมามองผมตามเดิม

"ฉันชื่ออะไร"

"ห๊ะ"

"ตอบมาก่อนว่าฉันชื่ออะไร"

"ก็ชื่อหมอกไง"

"รู้แล้วก็ไม่ยอมเรียก เรียกแต่นายๆ อยู่ได้"

เอ้า... จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องมาเป็นความผิดผมกลายๆ เสียอย่างนั้น แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่าเปลี่ยนเรื่องกลางอากาศ แถมคำถามก็ตลกจนอยากจะหัวเราะ ใครกันจะไม่รู้จักคนดังพอตัวอย่าง หมอก เด็กประมงควบนักกีฬาว่ายน้ำประจำมหาวิทยาลัย สาวๆ กรี๊ดกร๊าดนักล่ะเวลาที่มีชื่อเขาอยู่บนบอร์ดนักกีฬาประจำปี

"แล้วชื่อนายสำคัญกับบทสนทนาของเรายังไง"

"ก็อยากให้จำชื่อแฟนในอนาคตไว้"

ช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวหยุดกะทันหัน ผมเลือกจะตีหน้ายักษ์ใส่หมอกไปอีกครั้ง แน่ล่ะว่าเขาต้องยักคิ้วกวนประสาทกลับมา

"รู้ตัวสักทีเหอะว่าทำหน้าแบบนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย มีแต่ยิ่งทำให้อยากแกล้ง"

ไม่ว่าเปล่ายื่นมือมาหยิกแก้มผมด้วย นี่ไงล่ะที่ผมบอกว่าเขาชอบเนียน ถึงจะเป็นการเนียนที่ไม่เนียนเท่าไหร่ก็เถอะ แต่วันนี้เขารุกผมหนักมากเสียจนไม่รู้ควรจะรับมือยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี เลยได้แต่ปัดมือเขาออกแล้วส่งช้อนกระแทกใส่ปากอีกคนเพื่อให้เขาเงียบเสียที

ทั้งที่การกระทำไม่ได้แสดงออกถึงความพิศวาทอยากป้อนข้าวเขาสักนิด เลยไม่เข้าใจว่าทำไมหมอกถึงได้ทำหน้าเหมือนมีความสุขขนาดนั้น แต่ต้องไม่เกี่ยวกับอาการหน้าเห่อร้อนได้สักระยะแล้วของผมแน่ๆ





 

               "นายยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"บอกให้เรียกว่ายังไงล่ะ"

               "...หมอกยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"แล้วชินว่าใช่ไหมล่ะ"

เจอย้อนคำถามด้วยคำถามทำเอามือไม้สั่นไปหมด สั่นจนต้องส่งหมัดไปกระทบต้นแขนของหมอกจนเจ้าตัวส่งเสียงร้องโอยแล้วลูบแขนตัวเองไปด้วย ได้ยินเขาบ่นพึมพำว่าชอบใช้กำลัง ไม่สนใจหรอก ทนมานานแล้ว ไหนๆ วันนี้ก็มีโอกาส ฟาดสักทีสองทีจะเป็นอะไรไป

"ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบ กลับหอไปเลย"

"ก็กำลังกลับอยู่เนี่ย หอเดียวกันทำเป็นลืม"

โดนต่อปากต่อคำกลับมาให้เอ๋อเล่นเสียอีก ผมจิ๊ปากใส่ไปอีกทีแล้วรีบก้าวเท้าที่แม้จะรู้ดีกว่าต่อให้เปลี่ยนเป็นวิ่งก็คงไม่ทันฝีเท้าเด็กประมงอย่างเขาหรอก แต่คนมันต้องการการระบายออก ดังนั้นต่อให้ทำแล้วเปลืองแรงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

"อย่างอนดิ ก็อยากเล่นด้วย"

"เราไม่ใช่เพื่อนเล่น"

"แฟนก็เล่นได้ ไม่ต้องเพื่อนหรอก"

"ฮึ้ย!"

หมอกหัวเราะการพ่นลมหายใจของผมก่อนจะคว้าแขนจากด้านหลังแล้วยื้อให้ต้องหยุดเดิน ส่วนตัวเองก็ก้าวสั้นๆ เพียงสองก้าวก็เพียงพอให้ตีคู่เสมอผมได้แล้ว เห็นความแตกต่างด้านความสูงระยะห้าก้าวกับสองก้าวแบบนี้แล้วจะบอกว่าไม่ปวดใจเลยก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เตี้ยกว่าระดับมาตรฐานชายไทยแต่อย่างใดด้วยนะ

"ไม่เคยได้ยินเหรอว่าผู้ชายชอบแกล้งคนที่ชอบ"

"เราว่าผู้ชายแบบนั้นเรียกโรคจิต"

เสียงทุ้มๆ หัวเราะอยู่ในลำคออีกครั้ง เขาช่วยจัดทรงผมที่เริ่มยุ่งจากแรงลมให้เข้าที่แล้วจูงแขนผมออกเดิน ก็ยังคงไม่เนียน แต่กลับเป็นผมเองที่ไม่ยอมสะบัดมือออก ก็อากาศมันเย็นนิดๆ มีอะไรอุ่นๆ มาจับไว้ก็ช่วยได้อยู่บ้างล่ะมั้ง?

"เออน่ะ คนมันจีบใครไม่เป็นนี่หว่า กวนตีนเป็นอย่างเดียว"

"รู้ตัวก็ดีแล้ว"

"รู้เพราะชินทำหน้าอยากถีบใส่ทุกครั้งที่คุยนั่นแหละ"

คราวนี้เป็นผมเองที่หลุดหัวเราะออกมา ก่อนเราทั้งคู่จะเดินเอื่อยๆ ไปตามทาง ปล่อยให้ลมพัดผ่านร่างไปเรื่อย คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยสลับกับที่เขากวนประสาทผมอย่างที่ชอบทำให้โดนค้อนใส่เป็นระยะ

แปลกดีที่พอได้ใช้เวลาด้วยกันแบบนี้ถึงรู้ว่าตัวเองสนุกไปกับการโดนเขาก่อกวนเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ อย่างอธิบายไม่ถูก สลับกับการโดนหยอดที่ทำให้หน้าร้อนๆ อยู่หน่อยๆ แต่รวมแล้วก็ไม่ได้รังเกียจอะไร

"สรุปว่าให้จีบแล้วใช่ป่ะ?"

โอ้โห คนเราเนอะ เพิ่งจะถามตอนที่หลอกจับมือคนอื่นมาตลอดทาง ผมเหล่สายตามองมือหมอกที่กุมข้อมือตัวเองอยู่แล้วเงยสบตาเขา เลิกคิ้วด้วยท่าทางที่ลอกเลียนแบบเขามาเต็มที่

"ขนาดนี้แล้วยังต้องถามอีกป่ะ?"

"กวนใช่ย่อยนะชิน"

"เราเปล่า ขึ้นห้องไปได้แล้วล่ะ เราก็จะขึ้นเหมือนกัน"

"ย้ายไปอยู่ห้องด้วยดิ จะได้ทำคะแนนถนัดหน่อย"

"...ไม่เอา"

"ใจร้ายว่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวแอบปีนไปปล้ำเอา"

ชกแขนเขาไปแรงๆ อีกทีแล้วก็ได้รับเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจใครตอบกลับมา แต่คราวนี้เหมือนจะได้ยินเสียงตัวเองหัวเราะคลอไปกับความกวนของเขาด้วย





 

คงไม่แคล้วว่าหลังจากนี้ผมต้องโดนคนกวนประสาทเล่นงานทุกวันแน่ๆ

แต่คิดว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะผมตั้งใจว่าจะไม่ยอมแพ้เขาง่ายๆ เหมือนกัน ใครจะกวนตัวกวนใจมากกว่ากันเดี๋ยวรู้เลย







-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ เรากลับมาแล้วหลังจากไปทำภารกิจพ่วงด้วยความง้าวของตัวเองเพราะทำไฟล์ที่แต่่งไว้หาย...

แต่ตอนนี้เรากลับมาแล้ว! คาดว่าจะมีเวลามากกว่าเดิมแล้วล่ะค่ะ ก็จะพยายามมาต่อเรื่อยๆ เหมือนเคยแล้วกันนะ

สำหรับใครที่แวะมาพูดคุยกันเมอ เราต้องขอบคุณมากจริงๆ นะคะ กำลังใจชั้นดีของเราเลย แล้วก็มีขอแนวที่อยากอ่านไว้ เราจะจัดมาให้เท่าที่เราจะทำได้ค่ะ รอกันหน่อยนะ :)

ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะ!
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 17-08-2017 20:47:57
เพิ่งเข้ามาอ่านจ้า พลาดไปได้ยังไงเนี่ย ชอบมาก ๆ เลยค่ะ  :m1:
เขียนดีจังเลย แต่ละคู่ ก็น่ารักกันไปคนละแบบ เรื่องไม่ยืดเยื้อดีด้วย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนน้า จะติดตามคู่ต่อ ๆ ไปนะคะ
ขอบคุณมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 17-08-2017 20:48:43
เรื่องน่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 17-08-2017 22:57:36
เขียนเรื่องได้อย่างชื่นใจอ่ะ.

อ่านไปยิ้มขำไป  ทุกตอนในนี้

กดLikeแปลว่าชอบ. กดLoveแปลว่ารัก ฮิ้ววววว

มุขเสี่ยวๆสมัยเรียน 555

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

...

.
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: mmello07 ที่ 17-08-2017 23:38:57
เด็กประมงกับเด็กเกษตรน่ารักจังเลยยย :-[
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 18-08-2017 00:07:48
คู่ใหม่
ใส กวน น่ารัก น่าจับกอด
ในจินตนาการ เหมือนเห็นชิวาว่าตามเห่ายีราฟ
555
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 18-08-2017 10:05:57
อ่านไปยิ้มไปอ่ะ   อิอิอิ        :-[ :-[ :-[

หมอกชิน   เจ้ชอบคู่นี้     :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-08-2017 22:15:36
ย้ายเลย ย้ายห้องด่วนๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 20-08-2017 12:01:49
กวนเค้าเพราะจีบไม่เป็น น่ารักไปนะหมอก 5555
ผู้ช๊าย ผู้ชายจิมๆ
น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-08-2017 15:18:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll หมอกชิน #ประมงหลงรัก (17.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: หนูนก รัชนก ที่ 20-08-2017 19:13:04
รอๆจ้า :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 27-08-2017 20:00:07
[16]





คุณเคยรู้สึกอยากแกล้งใครบ้างไหมครับ?

คำถามอาจจะฟังดูโรคจิตไปสักหน่อย แต่เชื่อเถอะว่าบนโลกนี้มีคนที่พอเห็นแล้วมันกระตุ้นต่อมความอยากแกล้งอยู่จริงๆ หากใครได้มาเจอสถานการณ์แบบที่ผมกำลังเป็นอยู่ก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก
 




"อยากบอกคนดีว่าพี่ปีสอง รักน้องปีหนึ่งจังเลย~"

เสียงรัวกลองเสียงร้องเพลงโหวกเหวกโวยวายจนจับทำนองไม่ได้เป็นเอกลักษณ์ของกิจกรรมรับน้องที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ก็น่าสนใจดีอยู่หรอก แต่การต้องมาทำกิจกรรมทั้งที่เหนื่อยมาหนักหนาสาหัสทั้งเดือนแล้วไม่ใช่เรื่องที่ผมปรารถนาเท่าไหร่ ดังนั้น แทนที่จะไปร่วมสนุกเฮฮากับเพื่อนๆ ร่วมคณะ ผมเลยเลือกที่จะชิ่งหนีไปหาที่นอนตรงศาลาหลังแปลงต้นไม้ดีกว่า

ลมเย็นๆ พัดพาชวนเคลิ้ม ความสนุกสนานที่แว่วมาก็ไม่ดังจนเกินไปพอเหมาะที่จะเป็นเพลงกล่อมนอนได้ ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้แล้วหลับตา หมายใจวาจะตื่นมาอีกทีตอนใกล้ๆ งานเลิก

"ดีขึ้นเยอะแล้วนะ แสดงว่าปุ๋ยใหม่ใช้ได้ไม่เลว"

ยังไม่ทันได้เคลิ้มก็มีใครไม่รู้มาพูดอยู่ใกล้ๆ ลืมมามองก็เจอแผ่นหลังของผู้ชายตัวเล็กกำลังนั่งยองๆ คุยกับต้นไม้อยู่ ไม่ต้องเดาให้ยาก หมอนั่นต้องเป็นเด็กคณะเกษตรแน่นอน ผมเคยเจอเด็กคณะนี้ตรงแปลงปลูกบ่อยๆ เพราะบ่อเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดของคณะตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่

แต่ไม่เคยเจอใครนั่งคุยกับต้นไม้แบบคนนี้นะ

"ไอ้ต้นนั้นมันจะตายป่ะ?"

หลุดปากไปไม่ทันรู้ตัว คนที่กำลังจดจ้องอยู่กับต้นไม้หันควับมามองทันที

"ไม่ตายหรอก เราเปลี่ยนดินแล้ว มันได้ผลด้วยนะ"

อา... แค่พูดอย่างเดียวไม่ต้องยิ้มให้ก็ได้มั้ง ยิ้มมันทั้งตาทั้งปาก ท่าทางมีความสุขเหมือนเด็กเพิ่งได้อมยิ้มแท่งโตเชียว

"เหรอ แต่เราว่าเดี๋ยวมันก็ตาย เหี่ยวซะขนาดนั้น"

"มันไม่ตายหรอก"

"พนันป่ะล่ะ?"

"เราไม่เล่นพนัน"

"แสดงว่ากลัวต้นไม้ตายแล้วจะแพ้"

สับสนในตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะต่อล้อต่อเถียงไปทำไม แต่พอเห็นวงหน้าอมยิ้มค้างเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทีละน้อยก็สนุกดีเหมือนกันจนไม่รู้จะยอมหยุดก่อนทำไม

จากที่ตั้งใจจะนอนให้หมดเวลากิจกรรม ขากลับก้าวลงจากศาลาไปยืนข้างๆ เจ้าของต้นไม้ที่กำลังทำปากยื่น มองสลับไปมาระหว่างต้นไม้ที่ตัวเองก็ไม่รู้ชื่อกับคนตรงหน้า แล้วความคิดสร้างสรรค์ก็วาบขึ้นมาในหัว

"โอ้โห ตัวเท่ากันเลยว่ะ ถ้าต้นไม้โดอีกนิดคงทำเป็นบ้านเหมือนในฮอบบิทได้เลยมั้งเนี่ย"

ต้องโทษคนตัวเล็กที่ทำหน้าแดงหูแดงให้เห็นวันนั้นผมเลยอดใจไม่ได้ต้องแกล้งเขาทุกครั้งที่เจอกัน


 

                ทำไมถึงเลือกเรียนคณะประมง?

                คำถามเบสิกที่ได้ยินตั้งแต่ตกลงใจกรอกคณะที่อยากเรียนลงไปในแบบสอบถาม คำตอบมันก็ไม่ได้ยากและซับซ้อนอะไร แค่รู้สึกว่าประเทศบ้านเกิดที่มีทรัพยากรสมบูรณ์พร้อมยังต้องได้รับการพัฒนาในเรื่องธุรกิจทางน้ำอยู่ เชื่อไหมว่าแค่ระดับเปลี่ยนแปลง หรืออุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นก็เป็นเหตุให้สัตว์น้ำที่แสนละเอียดอ่อนม่องเท่งยกฟาร์มได้ ไหนจะวิธีการดูแลอนุบาลสัตว์ที่ได้ผลมากกว่าที่เป็นอยู่อีก เรื่องพวกนั้นทำให้ผมสนใจอยากจะศึกษาต่อ

                แถมดูท่าว่าข้อดีของการเรียนคณะประมงจะเพิ่มขึ้นอีกช้อแล้ว

"ตัวเล็ก รีบจ้ำไปไหนอ่ะ?"

"....."

"ทางไปบ่อปลาน้ำจืดไปฝั่งนี้นะ ถ้าจะเดินไปฝั่งนั้นก็ระวังโดนไอ้เข้ลากไปกินในน้ำละกัน"

เกือบหลุดขำตอนเห็นคนที่ก้มหน้าก้มตาจ้ำเท้าหนีเหยียบเบรกตัวโก่ง แค่แกล้งนิดหน่อยก็เท่านั้น มหาวิทยาลัยที่ไหนเขาจะเอาจระเข้มาเลี้ยงในตึกคณะประมงกัน

ส่วนคำถามว่าทำไมถึงมีเด็กคณะเกษตรมาเดินดุ่มๆ อยู่แถวนี้ก็ต้องเอ่ยขอบคุณอาจารย์ประจำภาคของอีกฝ่ายไว้ตอนนี้เลยที่ให้โจทย์งานเอื้ออำนวยให้ผมได้นำทางคนต่างถิ่นทัวร์ตึกคณะ เห็นว่าที่ขอเข้ามาชมการทำงานจำลองของห้องปฏิบัติการเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดก็เพื่อนำไปสานต่อโครงงานอะไรสักอย่างที่ต้องแลกกันหาข้อมูลของคณะอื่น และแจ๊กพ็อตก็มาลงที่คนตัวเล็กเพราะเจ้าตัวจับฉลากได้ภาควิชาน้ำจืดผมนั่นเอง

"ส่วนหน้าทั้งหมดเป็นบ่ออนุบาลปลา ถัดไปนั่นเป็นบ่อสำหรับปลาที่โตเต็มที่แล้ว เพราะเราต้องควบคุมทุกอย่างทั้งน้ำ อาหาร อากาศ เลยต้องแยกบ่อกัน"

"แล้วถ้าเราไม่เอาลูกปลามาลงบ่อแยกล่ะ?"

"เราเลี้ยงระบบธรรมชาติ ปลาก็อยู่ตามสัญชาตญาณ มันอาจจะกินกันเองได้ เราไม่อยากเสี่ยงให้เกิดเรื่องแบบนั้น กลไกทั่วไปที่คนทำฟาร์มต้องรู้น่ะ"

หัวกลมๆ ผงกขึ้นลงตามจังหวะ มือก็จดข้อมูลยิกๆ ไปด้วย ผมว่าเขาต้องเป็นพวกเด็กเรียน ชอบจดอะไรที่ตัวเองสนใจแน่ๆ ตอนว่างๆ เห็นไม่ทำอะไรก็เดินดูต้นไม้ คุยคนเดียวแล้วก็จะ เนิร์ดโคตรแต่ก็เหมาะกับภาพลักษณ์ดี

"ที่ภาคเลี้ยงแต่ปลาน้ำจืดอย่างเดียวเหรอ?"

"เปล่า น้ำเค็มก็มีแต่อยู่อีกฝั่งนึง"

"อ้าว ไหนบอกอีกฝั่งมีจระเข้ไง"

"อ้าว โดนหลอกแล้วไม่รู้ตัวไง"

สงสัยจะไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกจริงๆ ถึงได้ทำหน้าเหวอขนาดนั้น จะว่ายังไงดีล่ะ ซื่อเกินไปเพราะสูดออกซิเจนจากต้นไม้มาเยอะหรือเอ๋อเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้วดี

"...เราไม่ดูแล้ว"

ปิดสมุดในมือลงแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง แต่ขาสั้นๆ ของเขาจะไวกว่าแขนยาวๆ ของผมได้ยังไง รีบคว้าข้อมือเล็กของเขาไว้ทันที

"ไม่งอนหน่า เดี๋ยวเราพาไป"

"ไม่ได้งอน"

"มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่างอน ไปป่ะ เดี๋ยวพาทัวร์ให้รอบเลย"

"เดี๋ยว... นาย! เราเดินเองได้"

เจ้าของเสียงร้องแง้วๆ ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมเดินตามแล้วขืนตัวไว้ทันที แต่ลองคิดดูนะว่าคนตัวสูงแค่ไหล่ แถมขายังสั้นแค่สองในสามของผมจะทำอะไรได้ กระตุกข้อมือเบาๆ เข้าหน่อยก็จะปลิวแล้ว  สุดท้ายชัยชนะครั้งนี้ก็ตกเป็นของนายหมอก เด็กประมงหน้าตาดีที่กำลังขอบคุณตัวเองสมัยมัธยมปลายว่าเลือกอันดับคณะที่อยากเข้าได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน




 

เพราะเชื่อเหลือเกินว่าความเสมอต้นเสมอปลายเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นการปฏิบัติตัวกับคนตัวเล็กของผมก็ยังคงเป็นปกติเจอกันก็แซวก็หยอด แต่มีการพัฒนาอยู่เล็กน้อย เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางได้มานั่งดูคนตรงข้ามกินข้าวแล้วลูบหัวกลมเล่นได้ง่ายๆ แบบนี้หรอก

"กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ"

...แต่ก็ไม่น่าโตไปมากกว่านี้แล้วล่ะนะ

หลังเลิกคลาสก็อาศัยความใจกล้าหน้าด้านเล็กน้อยลากเขามาร้านอาหารใกล้มหาวิทยาลัยด้วยกัน เห็นว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่ได้แวะเข้ามา ก็แน่ล่ะ ตอนเช้าก็ดิ่งจากหอไปห้องแลป ตอนเย็นก็แล่นจากห้องแลปกลับหอ ไม่มีเวลาใส่ใจอาหารการกินเหมือนคนอื่นเขาเท่าไหร่

"...นายก็กินเข้าไปด้วยสิ มองเรากินอย่างเดียวคงอิ่มหรอก"

"ก็อิ่มได้ที่อยู่"

"จะบอกว่าอิ่มทิพย์?"

"อิ่มอกอิ่มใจได้มองใครบางคนกินแบบมีความสุขต่างหาก"

"เราว่าเราอิ่มแล้ว"

ผมหัวเราะเมื่อโดนยอกย้อนกลับมาแบบนั้น เห็นเขาทำท่าเหมือนจะรวบช้อนเลยรีบห้าม

"กินไม่หมดไม่ต้องกลับ"

"นายก็กินไปสิ นายเป็นคนสั่งนะ"

"ก็สั่งมาเพราะจะเลี้ยง"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ขอ"

ไม่ว่าเปล่ายังตีหน้ายุ่งตามแบบฉบับของเขาใส่ผมอีกด้วย เอาจริงก็ยังไม่อิ่มอะไรเท่าไหร่ เพราะเล่นสั่งมาเสียเยอะชนิดที่หากกินไม่หมดคุณป้าเจ้าของร้านคงเสียใจแย่

และแล้วเสียงสวรรค์ก็แทรกเข้ามาในความคิด ยกยิ้มอย่างภูมิใจในตัวเองแล้วยื่นช้อนส้อมส่งไปให้คนที่รับด้วยสีหน้างงงวย เวลาเรียนก็ดูจะฉลาดดีหรอก แต่พอเป็นเรื่องอะไรแบบนี้เขากลับดูไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย สมกับเป็นเด็กเนิร์ดที่ใช้เวลาอยู่กับดินกับต้นไม้จริงๆ

"ป้อนหน่อย"

"เพื่อ?"

"ก็ถ้าอยากให้กินก็ป้อน เร็วๆ"

"...ถามจริง นายจีบเราอยู่เหรอ?"

ทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งปรามาสเอาไว้ในใจว่าอีกฝ่ายไม่มีไหวพริบกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้คงต้องขอเอาคืนเสียแล้ว สายตาสงสัยระคนอยากจับผิดของเขายิงตรงมาจนผมเกือบทำอะไรไม่ถูก ชะงักเสียเสียมาดยอดชายนายหมอกไปครู่หนึ่ง ผมหลบสายตาที่ส่งมาให้นั้นก่อนจะเอื้อมมือเกาหลังคอ มันเป็นท่าทางที่ผมชอบทำเวลาประหม่าและต้องการใช้ความคิด

จะว่ายังไงดี... จะบอกว่าแค่อยากแกล้งไปเสียก็ได้ แต่นั่นก็เท่ากับผมหลอกตัวเองและกำลังจะหลอกเขาไปด้วย จะบอกว่าจีบไปตรงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนปฏิเสธมาตรงๆ ให้ใจบางเล่นหรือเปล่า เห็นแบบนี้ก็ยังมีหลายๆ เรื่องที่คนแบบผมไม่กล้าเดินหน้าต่ออยู่เหมือนกัน

"ฉันชื่ออะไร"

คิดอะไรไม่ออกก็ชิงมองตาเขากลับไปอีกรอบแล้วถามคำถามโง่ๆ ออกมา เชื่อไหมว่าเราต่างไม่เคยเรียกชื่อของกันและกันเลยสักครั้ง นั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ตัวเองไม่กล้าตอบคำถามก่อนหน้านี้ของเขาไปก็ได้

"ห๊ะ"

"ตอบมาก่อนว่าฉันชื่ออะไร"

"ก็ชื่อหมอกไง"

"รู้แล้วก็ไม่ยอมเรียก เรียกแต่นายๆ อยู่ได้"

"แล้วชื่อนายสำคัญกับบทสนทนาของเรายังไง"

"ก็อยากให้จำชื่อแฟนในอนาคตไว้"

ช้อนที่กำลังเขี่ยข้าวหยุดชะงัก คนตรงหน้าเลือกจะทำหน้าดุที่ดูยังไงก็โคตรจะไม่น่ากลัวใส่มาอีกรอบ ส่วนผมก็ยักคิ้วตอบกลับพร้อมกับส่งมือไปหยิกแก้มนิ่มๆ นั่นด้วยเลยโดนฮึดฮัดใส่กลับมา

"รู้ตัวสักทีเหอะว่าทำหน้าแบบนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย มีแต่ยิ่งทำให้อยากแกล้ง"

                ยิ่งพูดยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟ เลยโดนกระแทกช้อนเข้าปากเน้นๆ อยากจะนับว่าเป็นโมเม้นแรกระหว่างจีบกันของผมกับเขาอยู่หรอก แต่ไม่ดีกว่า เพราะเชื้อสุดในว่าถึงเวลาคบกันจริงๆ มันจะต้องเป็นโมเม้นที่หวานมากกว่านี้แน่นอน ต่อให้เขาไม่อยากทำก็ต้องเป็นผมนี่แหละที่จะทำ แปลกใจตัวเองที่คิดเรื่องชวนจักกะจี้หัวใจแบบนี้ได้จนเผลออมยิ้ม ส่วนเขาน่ะเหรอ หึ... ต่อให้ไฟในร้านไม่สว่างมากนักแต่ผมก็ตาดีมากพอจะเห็นริ้วแดงพาดขึ้นแก้มใสนั่น


 



"นายยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"บอกให้เรียกว่ายังไงล่ะ"

"...หมอกยังไม่ตอบคำถามเราเลย"

"แล้วชินว่าใช่ไหมล่ะ"

ถามมาถามกลับไม่โกง แต่สงสัยอีกเดี๋ยวจะโดนด่าถ้ากวนไปมากๆ ดูได้จากปากที่ขมุบขมิบเหมือนพยายามกลั้นความอยากตอกกลับเอาไว้เต็มที่แล้ว

"ไม่ตอบก็ไม่ต้องตอบ กลับหอไปเลย"

"ก็กำลังกลับอยู่เนี่ย หอเดียวกันทำเป็นลืม"

ความบังเอิญคงจะมีบนโลกนี้จริงๆ หรือไม่ก็เป็นเพราะบุพเพอาละวาดให้เราสองคนมาเจอกัน สาบานได้ว่าไม่ใช่ความตั้งใจที่ตัวเองได้อยู่หอนอกที่เดียวกับเขา และแน่นอนว่าผมไม่รู้หรอกว่าเขาพักห้องไหน ไม่ใช่โรคจิตขนาดตามดู ตามสืบทุกเรื่องขนาดนั้น

"อย่างอนดิ ก็อยากเล่นด้วย"

"เราไม่ใช่เพื่อนเล่น"

"แฟนก็เล่นได้ ไม่ต้องเพื่อนหรอก"

"ฮึ้ย!"

หัวเราะกับเสียงขัดใจที่กว่าจะปล่อยมันออกมาก็โดนกวนประสาทไปหลายดอก เอาจริงๆ มันไม่ได้ช่วยให้น่ากลัวมากกว่าเดิมแต่มันทำให้หมั่นเขี้ยวหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก จนต้องบอกกับเขาไปตรงๆ

"ไม่เคยได้ยินเหรอว่าผู้ชายชอบแกล้งคนที่ชอบ"

"เราว่าผู้ชายแบบนั้นเรียกโรคจิต"

หลุดขำอีกรอบก่อนจะช่วยจัดทรงผมที่เริ่มยุ่งจากแรงลมให้เข้าที่แล้วเปลี่ยนเป็นจูงแขนคนข้างๆ ให้ออกเดินไปพร้อมกัน คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น และคนตัวเล็กก็คงจะรู้สึกถึงสภาพอากาศไม่แพ้กันถึงได้ยอมให้พาเดินเรื่อยๆ โดยที่ไม่โวยวายและไม่สะบัดออกเหมือนที่เป็นยามปกติ

"เออน่ะ คนมันจีบใครไม่เป็นนี่หว่า กวนตีนเป็นอย่างเดียว"

"รู้ตัวก็ดีแล้ว"

"รู้เพราะชินทำหน้าอยากถีบใส่ทุกครั้งที่คุยนั่นแหละ"

ไม่ค่อยชินกับชื่อชินที่ออกมาจากปากตัวเองเท่าไหร่เลยอดเคอะเขินกันไปเล็กน้อย

"สรุปว่าให้จีบแล้วใช่ป่ะ?"

จะเหมาเอาเองก็ได้อยู่หรอก แต่แม่เคยสอนว่าต้องทำอะไรให้ชัดเจน ตอนแกล้งว่าชัดเจนแล้วกว่าจะรู้ตัวก็ตั้งนานนม มาเวลานี้ได้คุยเปิดใจกันไปบ้างแล้วก็สมควรแก่การชัดเจนไปอีกขั้น

ลอบมองใบหน้าของคนเดินข้างๆ ไปด้วย คิ้วนี่แทบจะชนกันได้แล้วมั้ง แล้วยังทำปากกลมๆ ของเจ้าตัวให้กลมหนักเข้าไปอีกทำไมกัน

"ขนาดนี้แล้วยังต้องถามอีกป่ะ?"

"กวนใช่ย่อยนะชิน"

"เราเปล่า ขึ้นห้องไปได้แล้วล่ะ เราก็จะขึ้นเหมือนกัน"

"ย้ายไปอยู่ห้องด้วยดิ จะได้ทำคะแนนถนัดหน่อย"

"...ไม่เอา"

"ใจร้ายว่ะ ไม่เป็นไรเดี๋ยวแอบปีนไปปล้ำเอา"

โดนทุบเข้าดังอั่กเพราะปล่อยลูกในปากออกมาไม่รู้เวร่ำเวลา แต่แรงแค่นั้นหาความเจ็บไม่ได้เอาซะเลย สงสัยหลังจากนี้จะต้องพาไปว่ายน้ำเสริมสร้างกล้ามเนื้อเวลาที่ผมซ้อมด้วยกันแล้วล่ะมั้ง ถือว่าเป็นการใช้เวลาร่วมกันให้เกิดประโยชน์ในฐานะคนกำลังดูๆ กันอยู่

คิดแล้วจักจี้หัวใจจังเลยเว้ย!``





"ชิน"

"หือ"

"ชิน"

"อะไรล่ะหมอก"

"ไม่มีอะไร"

สิ้นประโยคคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดบันทึกการเติบโตและค่าต่างๆ ของตัวดินก็หันมาทำหน้ายักษ์ตามแบบฉบับของเด็กเกษตรใส่ผม

"ไปเรียนเลยไป วันนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ"

"ไม่อยากไปได้มั้ยล่ะ?"

เกือบจะโดนกระดานพลาสติกฟาดเอา ดีที่เอี้ยวหัวลบทันเสียก่อน แต่การหลบไม่ใช่การยอมอ่อนข้อทำตามที่ชินบอกหรอกนะ ในเมื่อผมอุตส่าห์บึ่งจากหอมาแต่เช้าเพื่อมาหาคนที่กล้าผิดคำพูดว่าจะมาด้วยกันถึงห้องแลปของเขาแล้วทั้งที

"คนเราก็นะ เมื่อคืนก็สัญญาไว้ดิบดีว่าจะมาด้วยกัน แต่เล่นหนีมาค้างนี่พอมาหาก็ไล่กันอีก แฟนกันเขาทำกันแบบนี้เหรอวะ"

"ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย..."

"ก็แค่ตอนนี้ป่ะล่ะ"

ยักคิ้วตามสไตล์ให้เขา แล้วดูนะ จะโกรธหรือจะเขินก็เลือกไม่ถูกชินเลยได้แค่กำแฟ้มทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจแต่ผิวแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแล้ว

ยื่นมือไปจับปลายกระดานของเด็กเกษตรคนเก่งแล้วกระตุกเบาๆ เจ้าตัวก็กำแน่นไม่ยอมปล่อยท่าเดียวแถมไม่ยอมขยับมาอย่างที่ใจต้องการด้วย เลยต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เหวี่ยงขาตัวเองล็อกขาของอีกคนแล้วกระตุกให้เข้ามาหาตัวเสียเลย

"หมอก! เล่นบ้าอะไรเนี่ย!?"

เน้นๆ เลย ฝ่ามือเน้นๆ ที่ฟาดเข้ากลางหลัง เดี๋ยวนี้เขินแล้วชอบลงไม้ลงมือ แต่แค่นี้ไม่ก่อให้เกิดร่องรอยบนผิวหนังของผมหรอก และในเมื่อรางวัลจากความพยายามเล่นบ้าๆ เป็นคนตัวนิ่มในอ้อมกอดที่กำลังหน้าแดงหูแดงอยู่นี่ นับว่าลงทุนคุ้มค่าสุดๆ

"สัญญาก่อนว่าคราวหลังจะมาพร้อมกัน"

"อะไรล่ะ ไม่ได้เรียนตรงกันทุกวันสักหน่อย เราต้องมาแล็ปทุกเช้าด้วย"

"เออหน่า จะมานั่งเฝ้า"

เลิกคิ้วมองหน้าคนในอ้อมกอดเพื่อกระตุ้นให้ตอบคำถาม อดใจไม่ไหวดึงจมูกรั้นของคนดื้อดึงไปด้วยหนึ่งที

"ว่าไง?"

"ไม่สัญญาได้มั้ย?"

"จะมาเรียนพร้อมกันหรือจะโดนจูบตอนนี้ เลือกเอา"

ชินทำหน้าที่ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่ากำลังโดนด่าอยู่ในใจ เห็นเงียบๆ เรียบร้อยแบบนี้บทจะส่งคำด่าทีขนาดพ่อของลูกทั้งฟาร์มแบบผมก็ตั้งรับไม่ทัน ที่รู้เพราะเคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองมาแล้วทั้งนั้น

"...สัญญาว่าจะมาด้วยก็ได้"

"เด็กดี"

ถึงจะยังทำหน้ามุ่ยใส่กันอยู่บ้าง แต่การที่เขายอมให้ขนาดนี้ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วล่ะมั้ง





อ่า... แกล้งเนียนใส่(ว่าที่)แฟนได้นี่มันมีความสุขจริงๆ

คุณเห็นด้วยกับผมไหมล่ะ? :)





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ กลับมากับคู่หมอกชินอีกครั้ง คู่นี้แต่งสนุกมากเพราะเน้นการโต้เถียงเยอะหน่อย คนนึงก็กวน คนนึงก็ดูนิ่งๆ แต่ความจริงเกรียนเบาๆ ไปแพ้กัน เป็นอีกคาร์ที่เราชอบมากเลยค่ะ

ตอนนี้ก็จบไปอีกคู่แล้ว เหลืออีกแค่สองคู่เท่านั้นนิยายเรื่องนี้ก็จะจบแล้วะค่ะ ใจหายอยู่เหมือนกันนะเนี่ย...

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ แล้วเรามาเคาท์ดาวน์ไปด้วยกันนะคะ

ปล. ตอนหน้าใครเคยขอคาร์อะไรไว้เราจะเข็นมาเสิร์ฟให้ในแบบฉบับของเราค่ะ

แล้วเจอกัน :)
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-08-2017 20:18:09
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 27-08-2017 21:17:53
 o13 :L2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: zabzebra ที่ 27-08-2017 22:13:30
เยยยย้ ดีใจมากๆค่า ที่กลับมาต่อแล้ววว ฮืมมมม
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 27-08-2017 23:14:52
น่ารักจัง หมอกมือไม้ไวจริงๆ ชินน่ารัก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 27-08-2017 23:26:15
ความเนียนของหมอก

รักใครก็แกล้งเค้าเนี่ยนะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-08-2017 03:11:43
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-08-2017 06:20:40
หมอก จีบ เข้าหาชินรวดเร็วมาก
ชิน ก็รู้ตัวว่าหมอกเนียนเข้าหาแบบไม่เนียน
แต่ชิน ก็หวั่นไหวแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 16 หมอกชิน #ประมงหลงรัก (27.08.17)
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 28-08-2017 22:05:08
ชอบคู่นี้ หมอกชิน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 04-09-2017 18:39:39
[17]






คุณเชื่อเรื่องความบังเอิญไหมครับ?

หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง เราอาจเจอเหตุการณ์ที่ต่างกันไปกับวันก่อนๆ เป็นสิบเรื่อง หนึ่งในสิบเรื่องนั้นอาจจะมีความบังเอิญสอดแทรกเข้ามาให้ได้ประทับใจเล่นจนบางคนเรียกมันว่าความโชคดี

ช่วงนี้ผมเจอเรื่องบังเอิญแบบนั้นอยู่บ่อยครั้งจนน่าประหลาดใจ

 





"แซน ส่งรูปติดบัตรนักศึกษาเทอมนี้ยัง?"

คำถามจากปากเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของกำหนดการเปลี่ยนบัตรนิสิตในรอบปีแล้ว และมันจะไม่น่าตื่นเต้นเลยหากผมยื่นเรื่องกับกองกิจการนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เริ่มทำอะไรเลยแบบนี้

"...ยังไม่ทำแม้แต่ถ่ายรูปเลย"

เพื่อนคนดีส่งสายตาประมาณ กูว่าแล้วว่าต้องตอบแบบนี้ มาให้ ไม่แปลกหรอกที่จะเห็นสีหน้าแบบนี้ใส่ในเมื่อโดนมาหลายครั้งหลายคราจนไม่รู้ว่าจะต้องตื่นเต้นตกใจกับเหตุการณ์เช่นนี้ทำไม

"...วันนี้เขามีซุ้มถ่ายรูปเปิดที่คณะข้างๆ ให้ไวเลย ไม่งั้นโดนปรับเราไม่ช่วยนะ"

"เขาจะถ่ายให้เด็กคณะอื่นด้วยเหรอ"

"ไม่ลองก็ไม่รู้ ไปอ้อนๆ เขาหน่อยก็คงได้ ไปเร็ว!"

เพราะโดนเพื่อนรักดันหลังอย่างแรงจนคิดว่ามันคงจะใส่ความหมั่นไส้และเหนื่อยใจมาให้เต็มๆ ผมจึงต้องยอมละมือจากผืนผ้าใบตรงหน้า ทิ้งพู่กันสีน้ำมันไว้แล้วเดินออกจากห้องกิจกรรมด้วยความไม่สมัครใจเท่าไหร่ ตึกศิลป์ที่เป็นแหล่งกลบดานประจำถูกทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อผมสาวเท้าเดินไปตามฟุตปาทที่ถูกทาสีขาวแดงกันไม่ให้นักศึกษามาจอดรถฟรีกันเพื่อตรงไปยังตึกคณะข้างๆ ที่ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เดินเข้าไปด้วยไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ลานกว้างหน้าตึกคณะเพื่อนบ้านเป็นสถานที่แรกที่ผมมองหาซุ้มถ่ายภาพที่ได้รับการบอกกล่าวมา ในหัวคิดถึงแต่ว่าควรจะหาข้ออ้างยังไงให้มีเหตุผลพอสำหรับการบุกมาเช่นนี้ ทว่าแม้จะมองหาแค่ไหนก็ไม่เจอสักส่วนที่ใกล้เคียงคำว่าซุ้มถ่ายรูปที่ว่ามา เลยได้แต่ยืนด้อมๆ มองๆ ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี

“ตามหาใครอยู่หรือเปล่า?”

เสียงทุ้มห้าวทักจากทางด้านหลังเล่นเอาเกือบสะดุ้ง ผมหันกลับไปสบตากับเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดหมีที่กำลังแบกอุปกรณ์อะไรสักอย่างเอาไว้ในมือด้วย

“เรา... เรามาหาซุ้มถ่ายรูปติดบัตรนักศึกษา”

“คณะประมงนะ”

“ครับ?”

“วันนี้เขาให้ถ่ายรูปเฉพาะคณะประมง ตามประกาศของมหาวิทยาลัยไง”

เจอคำพูดจังๆ เข้าไปแบบนี้ก็ไม่รู้จะสานต่อยังไงดี คำพูดที่คิดเอาไว้ในหัวมลายหายไปอย่างสิ้นเชิง ทำได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ มองคนที่ทำหน้านิ่งตอบกลับมาเช่นกัน คล้ายบรรยากาศรอบข้างเงียบกริบลงฉับพลันในช่วงเวลานั้น

“...ตามมาแล้วกัน”

“...?”

“อยากถ่ายรูปก็ตามมา เดี๋ยวจัดการให้”

ไม่ว่าเปล่า คนตัวสูงหมุนตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามแล้วออกตัวอย่างรวดเร็วจนต้องรีบก้าวเท้าตามไปด้วย ไม่รู้หรอกว่าที่จะจัดการให้นั้นหมายถึงอะไร แต่ในเมื่อมีโอกาสจะได้ทำเรื่องที่ตั้งใจไว้ให้เสร็จๆ ไปแล้วไม่คว้าเอาไว้เห็นทีผมอาจจะถูกเพื่อนด่าว่าโง่เอาถ้ากลับไปเล่าให้ฟัง

จากที่คิดไว้ว่าซุ้มถ่ายรูปจะต้องใหญ่อลังการเห็นชัดแถมต้องตั้งอยู่กลางลาน ผมก็ได้รู้ว่าซุ้มถ่ายรูปที่เพื่อนหมายถึงคงจะเป็นการเข้าใจผิด แทนที่จะเรียกว่าซุ้ม ควรจะเรียกว่าห้องห้องหนึ่งมากกว่า แถมยังไม่ทันได้เข้าไปก็รู้ว่าภายในน่าจะมีคนอยู่เยอะเชียว

“ไบร์ททำอะไรอยู่วะ? คนเขารอเอ็งอยู่คนเดียวเนี่ย” ทันทีที่เปิดประตูผู้ชายตัวสูงอีกคนก็พุ่งเข้ามาหา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าผมติดสอยห้อยตามเพื่อนตัวเองมาด้วย “ แล้วนี่?”

“เพื่อน วันนั้นเขาไม่มาตอนที่คณะมีถ่าย เดี๋ยวจัดการเอง”

แม้คนฟังจะยังมีสีหน้าสงสัยอยู่บ้างแต่เขาก็ยอมพยักหน้าและหลบทางให้ผมเดินตามคนชื่อไบร์ทเข้าไปด้วย

คำถามว่าใครจะเป็นตากล้องในครั้งนี้ถูกปัดตกไป เมื่อคนที่เสนอตัวช่วยเริ่มลงมือประกอบอุปกรณ์ที่ตนหอบมากับกล้องที่ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว อยากจะเข้าไปช่วยแต่ตัวเองก็ไม่มีความรู้เลยได้แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ จนอีกคนเงยหน้ามามองแล้วกวักมือเรียกนั่นแหละถึงได้เริ่มขยับตัวทำอะไรกับเขาบ้าง

“จะถ่ายเด็กในคณะให้หมดก่อน แล้วเราเป็นคนสุดท้าย ระหว่างนี้ช่วยเช็คชื่อคนที่ถ่ายรูปไปแล้วกัน”

เพราะเชื่อว่าได้รับการช่วยเหลือแล้วก็ต้องตอบแทน พอเขาไหว้วานให้ทำอะไรก็รีบตอบรับทันที ในมือผมจึงมีกระดาษรายชื่อกับปากกาที่ได้รับมาพร้อมทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่เมื่อเขาเริ่มเรียกคนในคณะเรียงตามชั้นปี

รวมเวลากว่าชั่วโมงที่ผมทำหน้าที่เช็คชื่อให้เด็กคณะเพื่อนบ้านแทนที่จะถือพู่กันวาดภาพอย่างที่ควรจะเป็น จนกระทั่งในที่สุดก็เหลือแค่ชื่อคนสุดท้ายที่ไม่เดินเข้ามาตามที่ประกาศเรียกชื่อไว้

“เราว่ามีคนนึงไม่มา”

“หือ? เขียนไว้ว่าชื่ออะไร”

“ปฐพี ชั้นปีสี่”

“อ๋อ เดี๋ยวถ่ายให้หน่อยแล้วกัน”

 คนตัวสูงผละจากหลังขาตั้งกล้อง เริ่มถอดชุดหมีของตัวเองออกจนเผยให้เห็นชุดนักศึกษาเหมือนที่ผมใส่เด๊ะๆ อยู่ข้างใน ยอมรับว่าตกใจอยู่บ้างที่เขาเองก็เองก็เรียนคณะนี้ เพราะเข้าใจมาตลอดว่าอาจจะเป็นเด็กคณะนิเทศที่รับหน้าที่ถ่ายรูปให้มหาวิทยาลัยอะไรทำนองนั้น เพราะท่าทางคล่องแคล่วในการใช้กล้องดูเชี่ยวชาญไม่ใช่น้อย

  ผมกดถ่ายภาพตามที่เขาบอกแล้วจึงสลับตำแหน่งไปยืนให้ตัวเองโดนถ่ายรูปบ้าง เผลอเกร็งตัวอยู่เหมือนกันเพราะปกติเป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว ต้องขอบคุณเขาที่ช่วยให้มันง่ายขึ้นด้วยการถ่ายแบบรอบเดียวเสร็จไปเลย เวลากว่าชั่วโมงที่รอจึงจบลงภายในเวลาไม่ถึงห้านาที

“อย่าลืมเขียนชื่อไว้ เดี๋ยวกองกิจการจะเอาไปให้ไม่ถูก”

“ครับ ขอบคุณมากนะ ไม่งั้นเราต้องลำบากแน่เลย”

“คราวหลังอย่าลืมเช็คตารางดีๆ”

มือใหญ่วางลงมาที่หัวแล้วโยกไปมาเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เขาคงจะเข้าใจผิดว่าผมอายุน้อยกว่าแทนที่จะอยู่ระดับชั้นปีเดียวกัน หากว่ากันจริงๆ เขาน่าจะดูเป็นพี่ของทุกคนเมื่อเทียบร่างกายสูงใหญ่กับคนวัยเดียวกัน

ผมเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะขอตัวกลับคณะของตัวเองด้วยความสบายใจที่ทำภารกิจเสร็จสิ้น อดเสียดายอยู่ลึกๆ ที่หลังจากนี้คงไม่มีโอกาสได้เจอคนใจดีของคณะเพื่อนบ้านแล้ว  หากก็มาดหมายใจไว้ว่าจะซาบซึ้งบุญคุณของเขาไปตลอดแน่นอน

ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นเหตุบังเอิญก็เกิดขึ้นกับผมจนได้








"สีหมด"

"หืม?"

"หืมอะไรล่ะแซน สีหมดไง สีเราหมด~"

เพื่อนตัวดีเริ่มส่งเสียงงอแงพร้อมยื่นหลอดสีน้ำที่เจ้าตัวกำลังถืออยู่ให้ดู มันก็สมควรจะหมดได้แล้วล่ะในเมื่อถูกบีบเสียจนหลอดแห้งแบนขนาดนั้น ใช่ว่าผมจะไม่เคยใช้จนแห้งขนาดนี้ แต่คนเราหากรู้ว่ามันจะหมดก็ควรซื้อเตรียมเอาไว้ก่อนไม่ใช่งอแงใส่เพื่อนเวลามันหมดหรอกหรือ?

"ก็ไปซื้อสิบีม จะมางอแงใส่เราทำไม"

"ก็เราขี้เกียจอ่า... ไปซื้อให้เราหน่อยสิ"

ไม่ใช่ว่าเดาไม่ถูกนะว่าประโยคต่อมาคืออะไร ถ้านับว่านี่เป็นสลากกินแบ่งงวดต้นเดือนล่ะก็ผมต้องถูกรางวัลไม่ต่ำกว่าสิบแปดล้านแน่นอน

หันมองงานตัวเองที่ปาดสีไปได้กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์กับงานของเพื่อนที่ยังหยุดอยู่ที่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแล้วได้แต่พยักหน้าแกรนๆ กลับไป ไม่ลืมย้ำให้ทำงานต่อไปในระหว่างที่ไม่อยู่ด้วย บีมเป็นคนชอบอู้ ทำงานช้ากว่าเพื่อนๆ ร่วมคณะคนอื่น แถมผลงานที่เจ้าตัวทำยังเน้นสีสันสดใสเหมือนสิสัยของเจ้าตัวด้วยเลยทำให้ผมค่อนข้างเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยว่ารอบนี้ก็ต้องหามรุ่งหามค่ำลงสีแถมเป่าแห้งก่อนเดดไลน์ที่อาจารย์ให้ไว้คืนนึงเช่นปกติ

รายชื่อสีที่เจ้าตัวต้องใช้ถูกจดลงบนเศษกระดาษปอนด์มาพร้อมแบงค์สีเทา อดไม่ไหวต้องย้ำเสียงเข้มใส่อีกครั้งก่อนเดินออกมาจากห้องเมื่อเห็นบีมทำท่าเหมือนจะลงไปนอนกับพื้นแทนที่จะทำงานต่อ







 

จุดหมายปลายทางของเด็กจิตรกรรมที่กำลังหาซื้อสีอย่างไรเสียก็ต้องไปหยุดที่ร้านเครื่องเขียนหลังมหาวิทยาลัยที่ไม่รู้ว่าใครริเริ่มมาเปิดสาขาไว้เป็นคนแรก แต่เรื่องที่แน่นอนคือหากไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างน้ำท่วม ไต้ฝุ่นเข้า ร้านก็จะไม่มีวันปิด แถมของยังพร้อมขายให้นักศึกษาด้วยราคาที่ไม่รู้ว่ากำไรจะมีหรือเปล่า

"รบกวนจัดของตามรายการให้ด้วยนะครับ"

ฝากฝังไว้เรียบร้อยก็เดินเล่นรอในร้านเครื่องเขียนเล็กๆ นั้น ผมชอบเดินเลือกอุปกรณ์จากร้านเครื่องเขียนเช่นนี้มากกว่าเดินตามห้างร้านมากนัก เพราะสามารถเลือกของได้สะดวก แถมยังเพลินเสียจนไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งตรงประตูร้านดังเมื่อมีคนเข้ามา

"พู่กันออกใหม่น่าใช้แหะ..."

งึมงำกับตัวเองขณะมองพู่กันหัวทู่ในมือ อยากจะได้อันใหม่นะ แต่ที่มีอยู่ล้างให้สะอาดก็ยังใช้ได้อยู่เลย...

"อ้าว ตัวเล็ก"

แต่ถ้าซื้อไปก็จะมีสำรองตอนจำเป็นนะ จะได้ไม่ต้องหยุดงานกลางคันด้วย แบบนั้นเสียสมาธิแย่เลย งานแคนวาสตัวใหม่ก็คิดได้แล้วด้วย...

"ตัวเล็ก... แซน"

"หืม?"

เพราะได้ยินชื่อตัวเองเลยยอมเงยหน้าจากพู่กันในมือไปมองคนเรียก ก่อนจะยิ้มให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายตัวโตในชุดหมีที่เคยช่วยผมเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน

"มาทำอะไร?"

"เรามาซื้อสี อืม... ไบร์ทล่ะ?"

"มาซื้ออุปกรณ์ไปทำบ่อปลา"

ได้ยินแบบนั้นผมก็สนใจไม่น้อย เลยแอบชะเง้อชะแง้มองของที่อยู่ในตระกร้าอีกฝ่าย ไม่เคยรู้เลยว่าเด็กคณะประมงเขาเรียนอะไรทำอะไรกันบ้าง แต่พอถึงงานประจำปีจะเห็นพวกเขาตั้งซุ้มอาหารทะเลกับเปิดให้ความรู้ด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเสมอ

"จริงสิ นี่ เพิ่งได้มาเมื่อเช้า"

ไบร์ทว่าพร้อมส่งซองซิปที่หยิบจากกระเป๋าบริเวณอกเสื้อให้ผม พอพลิกดูถึงได้รู้ว่าเป็นรูปที่ไปเนียนถ่ายที่คณะของเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน

"ขอบคุณครับ นึกว่ากองการจะเอามาให้เองซะอีก"

"...บังเอิญผ่านไปแถวนั้นเขาเลยฝากมา ดีนะที่เจอพอดี ไม่งั้นคงต้องเอาไปให้ที่คณะ"

"คณะเราหาไม่ยากนะ อยู่ข้างๆ คณะประมง เพื่อนบ้านกัน"

"รู้แล้วล่ะ แล้วนี่จะกลับเลยมั้ย?"

"อือ"

จังหวะที่ตอบรับไปนั้นพนักงานที่ฝากฝังให้จัดของให้ก็เอ่ยเรียกคิวของผมพอดีจึงได้เดินไปชำระเงินพร้อมกับคนตัวสูงข้างๆ กัน

"รออยู่นี่ เดี๋ยวไปส่ง"

"เราเกรงใจ..."

"รอนี่"

เพราะคำยืนยันจากคนตัวสูงที่มองมาด้วยสายตานิ่งเรียบผมจึงทำได้แค่พยักหน้าพร้อมรับถุงในมือของเขามาถือเอาไว้รวมกับของๆ ตัวเอง รับหน้าที่เป็นคนถือของในขณะที่เจ้าของเวสป้าช่วยขับมาส่งให้ถึงหน้าตึก

"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"

"ไม่เป็นไร บังเอิญเจอทั้งที"

บรรยากาศรอบข้างเงียบลงอีกครั้ง คล้ายกับวันที่ได้เจอกับเขาครั้งแรก ไบร์ทมองหน้าผม ผมสบตาเขาแล้วนิ่งไม่พูดอะไรทั้งคู่อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนคนตัวโตกว่าจะหยิบหมวกกันน็อกที่ได้รับคืนไปขึ้นสวมให้เข้าที่

“งั้นก็... ไว้เจอกัน”

“ครับ ไว้เจอกัน”

คนตัวโตขับรถออกไปแล้ว ผมมองส่งเขาจนแน่ใจแล้วว่ารถเวสป้าที่โดยสารมาหายไปทางตึกคณะถึงเดินฮัมเพลงกลับเข้าตึกตัวเองบ้าง ท่าทางคงดูมีความสุขจนเพื่อนต้องถามว่าไปเจออะไรมาบ้าง แต่ผมก็ไม่เล่าอะไรนอกเหนือไปกว่าบังเอิญเจอเพื่อนแล้วเขาอุตส่าห์มาส่งให้เท่านั้น









 

"สวัสดี"

"อ้าว สวัสดีไบรท์"

พยายามโบกมือทักทายขณะที่อุ้มผืนผ้าใบเข้าห้องประชุมด้วย แต่ก็หวิดจะทำตกจนคนทักต้องเดินเข้ามาช่วยถือ

"งานลงนิทรรศการนี้ด้วย?"

"ครับ คณะประมงก็มีงานเหรอ?"

"เปล่า อาจารย์ที่รู้จักเขาวานให้มาช่วยเฉยๆ"

ก็ว่าอยู่เพราะปกตินิทรรศการช่วงกลางปีแบบนี้จะไม่แทรกงานของคณะอื่นมาโชว์ด้วย

เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีสี่ของคณะจิตรกรรมและภาพพิมพ์ที่ผมศึกษาอยู่จะต้องออกนิทรรศการร่วมกันทุกปี แน่นอนว่านักศึกษาชั้นปีสี่แบบผมและบีมต้องเข้าร่วมด้วย ทุกคนต่างขุดฝีไม้ลายมือมาลงในงานของตัวเองเต็มที่ เพราะผลงานที่นำมาจัดนี้อาจจะเป็นตัวปูทางไปสู่อาชีพในอนาคตได้

สุดท้ายแล้วช่วงเช้าทั้งหมดของผมก็ถูกใช้ไปกับการช่วยทุกคนจัดของ แม้จะมีบีมมาก่อกวนถามเรื่องเพื่อนต่างคณะให้ต้องส่งสายตาเรียบเฉยใส่อยู่เป็นระยะ แต่นับว่างานที่ออกมาก็สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่มันควรจะเป็นแล้ว

"ไม่รู้เรื่องศิลปะหรอกนะ แต่รูปนี้เท่ดี ดูแล้วเหมือนมีพลังงานพุ่งออกมา"

คำชมจากเจ้าของร่างสูงข้างตัวทำให้ผมต้องลอบยิ้มออกมา ทุกคนคงจะเข้าใจความรู้สึกเวลาที่เราพยายามทำอะไรสักอย่างออกมาให้มันดีที่สุดแล้วมีคนเห็นความพยายามนั้น แม้จะแค่เล็กน้อย แต่สิ่งเล็กน้อยนั่นแหละที่ผมมักจะมองหาและใช้มันเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ยิ่งกับคนที่ออกตัวแล้วว่าไม่มีความรู้เชิงลึกในเรื่องภาพวาด แต่กลับรู้ถึงสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อออกมาได้มันยิ่งทำให้มีกำลังใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวจนต้องพูดขอบคุณเขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่มักจะได้ไบร์ทช่วยอยู่เสมอ

“เสร็จนี่แล้วว่างไหม?”

“?”

“บังเอิญได้นี่มาจากเพื่อน สองใบพอดี” ตั๋วภาพยนต์สองใบถูกยื่นให้ รอบดีแถมหนังยังเป็นเรื่องที่กระแสตอบรับดีจนมีแต่คนเชิญชวนให้ไปชมเสียอีก “ถ้าว่างไปกัน”

“...อือ เราว่าง”

“งั้นสามโมงเจอกันหน้าหอศิลป์”

พยักหน้าตอบรับก่อนจะโบกมือให้เมื่ออีกฝ่ายถูกอาจาร์ยประจำภาคผมเรียกไปยกของต่อ ก้มมองตั๋วภาพยนต์ในมืออีกครั้งก่อนมุมปากจะยกขึ้นอัตโนมัติ ครึ่งบ่ายนั้นผมคงจะแสดงออกมากไปหน่อยเลยถูกบีมกวนประสาทด้วยการมาวอแวใกล้ๆ แล้วถามหาสาเหตุของรอยยิ้มและเสียงฮัมเพลงของผมตลอดจนกระทั่งจบงาน

 









“หนังสนุกดี”

“อือ เราชอบนักแสดงนำอยู่แล้วด้วย ลองไปหาเรื่องเก่าๆ ของเขาดูนะ แล้วจะติดใจ”

“ชอบหนังแนวแอคชั่นสิงั้น?”

“ความจริงชอบแอคชั่น-แฟนตาซี เหมือนดูสองแนวในเรื่องเดียว”

บางคนมักจะจับหนังแฟนตาซีกับหนังแอคชั่นแยกออกจากกัน แต่ในความคิดของผม ความแฟนตาซีกับความแอคชั่นมีส่วนคล้ายกันอยู่หลายอย่าง และหากเราจับจุดได้ดี การจะจับหนังสองหมวดมารวมกันในเรื่องเดียวให้สนุกได้นั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ดูอย่างค่ายหนังยักษ์ใหญ่ที่มีผลงานต่อเนื่องออกมาหลากหลายภาคและจั่วหัวว่าเป็นแอคชั่น-แฟนตาซีพวกนั้นสิ เขาทำได้ดีจนผมต้องสมัครตัวขอเป็นแฟนคลับแบบลับๆ ด้วย

“คราวหลังจะพาไปดูการ์ตูน”

“...เราว่ามันไกลจากที่พูดไปโขเลยนะ”

เราสบตากันเมื่อจบประโยค ก่อนที่จะหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาพร้อมกัน เส้นขำขันของเราทั้งคู่อาจจะลึกกว่าชาวบ้าน แต่พอเวลาจูนกันติดแล้วความสนุกก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน นี่เป็นอีกเรื่องที่ผมเรียนรู้ในระยะหลังมานี้

“จะกลับหอเลยหรือว่าจะกลับไปงานนิทรรศการก่อน?”

“เรากลับหอเลย”

“ถ้างั้นกลับด้วยกัน ต้องไปแถวนั้นพอดี”

“บังเอิญมีธุระแถวหอเราเหรอ?”

“...อืม”

ช่วงหลังมานี้ผมกับเขามักจะบังเอิญเจอกันบ่อยๆ ตามโรงอาหารในมหาวิทยาลัย ร้านขายเครื่องเขียน บางครั้งก็ไปโผล่ที่สาธารณะแถวหอที่ผมชอบไปนั่งจับเจ่าดูอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเพื่อหาแรงบันดาลใจในการทำงาน พอได้เจอบ่อยเข้าก็ได้ทักทายกันมากขึ้น ไบร์ทเป็นคนนิ่งที่มีเสน่ห์ตามแบบฉบับของตัวเองจนผมอยากจะขอสเก็ตรูปเขาอยู่หากเจ้าตัวไม่รังเกียจ และแม้หน้าตาเขาจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์เท่าไหร่ หากคำพูดแต่ละคำนั้นชัดเจนและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจนผมรู้สึกสนิทใจกับคนจากต่างคณะคนนี้อยู่มากทีเดียว

แต่บางครั้งผมก็คิดว่าการเจอกันในแต่ละครั้งของเรามันค่อนข้างจะ บังเอิญ มากไปหน่อย

“แล้วบังเอิญว่าเพื่อนที่ให้ตั๋วมาชื่อเดียวกับไบร์ทด้วยหรือเปล่า?”

“.....”

“พอดีเราเห็นว่าคนซื้อชื่อปฐพีเหมือนกัน ตั๋วฮันนีมูนเชียวนะ...”

ไบรท์หยิบตั๋วที่เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงไปแล้วขึ้นมาดู ก่อนจะถอนหายใจแล้วบ่นเบาๆ กับตัวเอง ดูท่าทางว่าเขาคงจะไม่ได้ตรวจบัตรให้ละเอียดก่อนที่จะเอามาให้ผม ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหาวิธีลบชื่อคนซื้อทิ้งไปก่อนและผมอาจจะยังไม่ทันเอะใจจนจับว่าเขาโป๊ะแตกได้

อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผมช้าไป หรืออาจจะเป็นเพราะเชื่อคนง่ายไปถึงได้ไม่เอะใจมาก่อนหน้านี้

“ก็บังเอิญอยู่...”

“บังเอิญว่าเพื่อนชื่อเหมือนกัน?”

“บังเอิญว่าชอบไปแล้ว ขอจีบได้ไหม?”

อย่างที่บอกไปว่าเพื่อนต่างคณะคนนี้เป็นคนที่แสดงออกทางคำพูดได้ตรงไปตรงมา แต่บางครั้งการตรงไปตรงมาของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกเดือดร้อนอยู่เหมือนกัน

...ร้อนไปหมดแล้วหน้าเน่อ ยังดีหน่อยที่เก็บอาการอยู่ ไม่อย่างนั้นต้องทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้แน่เลย

“...อือ”

“อือคือ?”

“ก็... บังเอิญว่ารู้สึกดีด้วยไปแล้ว เราจะให้จีบก็แล้วกัน”



ในเมื่อบังเอิญมาบังเอิญไปแล้วมันส่งผลให้เกิดอะไรดีๆ จะยอมให้เกิดเรื่องบังเอิญต่อไปอีกหน่อยก็น่าจะเข้าทีอยู่เหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ?     





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ! เรากลับมาแล้ว มาพร้อมคู่ใหม่สำหรับตอนนี้ เป็นคู่ที่... จะว่ายังไงดี นิ่งๆ อึนๆ เนียนกว่าคู่ก่อนอีกมั้ง ช่วงนี้เริ่มคิดว่าตัวเองชอบคนไทป์ไหนกันนะ ทำไมมันกถึงได้ดูล่องลอยขนาดนี้ 555555555555555555

ตอนนี้กำลังตั้งใจว่าจะเคลียร์นิยายให้จบภายในเดือนนี้ค่ะ เนื่องจากเหลืออีกไม่กี่ตอนเท่านั้น เราอยากให้เขาออกมาสมบูรณ์ในช่วงที่เรายังมีเวลาว่างพอสมควร เพราะหลังจากนี้คือการทำงานสิ้นปีอันแสนหฤโหดค่ะ... :z3: :z3: :z3:

ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณทุกคอนเม้นและกำลังใจดีๆ รวมไปถึงข้อติเตียนที่ทำให้เรามีแรงฮึ้ดในการปรับปรุงตัวเองค่ะ

แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ เลิฟ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-09-2017 18:47:21
ชอบความบังเอิญญญญญญ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 04-09-2017 18:55:20
ความบังเอิญนี้ทำเอาเขินเลย  :-[
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 04-09-2017 20:22:52
 :-[
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-09-2017 23:41:13
 :m3:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 05-09-2017 00:25:49
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 05-09-2017 10:08:30
บังเอิญจริงๆ น๊า ^^
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 17 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (04.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: wichiwiwie ที่ 05-09-2017 22:27:19
ชอบทุกคู่เลยย รอตอนต่อไปน้าาา :)
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 10-09-2017 17:41:06
[18]






คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหมครับ?

เคยได้ยินหลายคนพูดถึงคำจำกัดความของคำๆ นี้ในรูปแบบต่างๆ กันไป บ้างก็ว่าเป็นความมหัศจรรย์ของการพบเจอ ความพอดีกันของคนสองคน บ้างก็ว่าการพบเจอกันครั้งแรกเรียกความบังเอิญ แต่เมื่อความยังเอิญเริ่มแสดงความถี่มากขึ้นก็จะเรียกว่าพรหมลิขิต

ถ้าอย่างนั้นผมของความพยายามคงนับรวมเป็นสับเซ็ตของคำว่าพรหมลิขิตได้เหมือนกัน

 



ความบังเอิญแรกที่เกิดขึ้นจริงแล้วทำให้เจอกับเขาคือตอนที่อาสาเป็นช่างภาพจำเป็นให้กับทางคณะ ด้วยชอบถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก และนักศึกษาชั้นปีสี่ที่เก็บหน่วยกิจครบตั้งแต่สามปีครึ่งก็ไม่มีอะไรให้ทำมากกว่าเตรียมตัวส่งผลงานวิจัยที่เลือกไว้เพื่อต่อยอดให้หน้าที่การงานในอนาคตเท่านั้น

เพราะต้องใช้ห้องเรียนใหญ่ที่อยู่ไกลจากอาคารจอดรถเล็กน้อย จึงต้องแบกขากล้องและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ลงจากเวสป้าคันเก่งแล้วเดินลัดสนามประจำตึกคณะด้วยตัวเอง ตอนนั้นแหละที่ได้เจอคนตัวเล็กกำลังยืนด้อมๆ มองๆ เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างอยู่ เพราะท่าทางเหมือนต้องการความช่วยเหลือนั้นสะกิดใจ คนไม่ค่อยยุ่งเรื่องชาวบ้านอย่างผมจึงต้องส่งเสียงทักออกไปเพื่อเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ

"ตามหาใครอยู่หรือเปล่า?"

คนถูกถามหันใบหน้านิ่งเรียบกลับมาหา ตากลมโตรับกับสันจมูกยาวนั้นเบิกกว้างพอให้รู้ว่าเจ้าของกำลังตกใจ ก่อนเขาจะเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มตอบกลับมา

"เรา... เรามาหาซุ้มถ่ายรูปติดบัตรนักศึกษา"

ซุ้มงั้นเหรอ? แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคนของคณะอื่นที่ตั้งใจจะมาเนียนถ่ายรูปในวันของคณะประมงเป็นแน่

"คณะประมงนะ"

"ครับ?"

"วันนี้เขาให้ถ่ายเฉพาะคณะประมง ตามประกาศของมหาวิทยาลัยไง"

ได้ความเงียบตอบกลับมาก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาสบตาผมโดยไม่พูดอะไร กระพริบตาปริบๆ อยู่สองสามที จนในที่สุดก็เป็นตัวเองนี่แหละที่ยอมใจอ่อน

"...ตามมาแล้วกัน"

"...?"

"อยากถ่ายรูปก็ตามมา เดี๋ยวจัดการให้"

หันตัวกลับไปยังทางที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกแล้วเอ่ยเรียกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่ให้ตามมา ได้ยินเสียงก้าวเท้าเร็วๆ ตามมาด้วยแต่ไม่คิดจะลดฝีเท้าลงแต่อย่างใด คิดภาพคนตัวเล็กเดินสาวเท้าตามผู้ชายที่สูงกว่าระดับคนทั่วไปแล้วก็เผลออมยิ้ม คงจะเหมือนลูกเป็ดเดินตามแม่แบบที่เห็นในคลิปวีดีโอล่ะมั้ง

ใช้ความเนียนและนิ่งของตัวเองช่วยเขาไปเล็กน้อยเพราะเพื่อนร่วมคณะทำท่าสงสัย แต่สุดท้ายเป้าหมายที่เขามาก็เสร็จสมบูรณ์ดี ไม่ลืมเตือนให้เขาเขียนชื่อลงบนกระดาษเพิ่มเติมเพราะแน่นอนว่าไม่มีทางที่คนของคณะอื่นจะมามีรายชื่ออยู่บนกระดานของคณะประมงแน่

"ขอบคุณมากนะ ไม่งั้นเราต้องลำบากแน่เลย"

"คราวหลังอย่าลืมเช็คตารางดีๆ"

เผลอตัววางมือบนหัวกลมแล้วโยกไปมาเหมือนที่ทำกับพวกรุ่นน้องในคณะ แต่คนแปลกหน้าก็ดูไม่ถือสาอะไร ก่อนจะเอ่ยขอบคุณกันอีกรอบแล้วเดินตัวปลิวกลับคณะเพื่อนบ้านไป ปล่อยให้ผมทำหน้าที่ของตัวเองจนกระทั่งส่งงานให้กองกิจการนักศึกษา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากนั้นตัวผมจะเริ่มติดใจในความบังเอิญที่มักจะเกิดขึ้นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม






"รูปเสร็จแล้วนะ เอาไปแจกตามชั้นปีได้เลย"

"ขอบคุณครับ"

รับซองเอกสารที่มีรูปนักศึกษาใส่เอาไว้มาจากคนดูแลพร้อมเอ่ยขอบคุณไปตามมารยาทที่พึงมี เหลืออย่างสุดท้ายที่ต้องทำสำหรับงานนี้ และไม่ใช่งานยากเท่าไหร่ แค่หาเฮดของแต่ละห้องแล้วส่งต่อก็แค่นั้น งานที่เสนอตัวมาก็จะเสร็จสิ้นเสียที

"มีของคณะอื่นอีกคนนึง น่าจะเสร็จแล้วเหมือนกัน..."

"อ้อ พี่ใส่รวมไปกับของคณะเขาแล้ว หรือเราจะเอาไปให้เอง?"

ทั้งที่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องเสนอตัวให้ตัวเองเดือดร้อนเลยก็ได้ แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็พลิกรูปเพื่อนต่างคณะคนนั้นไปมา ดูสลับกันไประหว่างรูปกับชื่อที่แปะอยู่บนหน้าซองซิปนั้น

ไอลวิน (แซน) ปี 4 คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์

ชื่อแปลกแต่ก็เพราะเหมาะกับเจ้าตัวอยู่ เก็บรูปของใครอีกคนใส่ในกระเป๋าแยกเอาไว้ กะไว้ว่าหลังจากที่เคลียร์ของคณะตัวเองเสร็จแล้วจะไปเยี่ยมเยียนคณะเพื่อนบ้านเสียหน่อย ไหนๆ ก็มีเวลาว่างอยู่แล้ว

แต่ใครจะไปรู้ว่าจะได้เจออีกฝ่ายก่อนถึงกำหนดเวลา






ร้านเครื่องเขียนหลังมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกที่สำหรับนักศึกษาไม่ว่าจะสาขาวิชาใดก็ตาม เพราะนอกจากจะมีเครื่องเขียนทั่วไปขายแล้ว ที่นี่ยังรับสินค้าสำหรับทำการเกษตรมาลงขายอีกด้วย น่าแปลกใจไหมล่ะว่าไปรับมาจากไหน ขนาดตาข่ายคลุมบ่อปลาที่ผมตามหาก็ยังมี สะดวกสบายยิ่งกว่ามาร์ทหน้ามหาวิทยาลัยเสียอีก

"อ้าว ตัวเล็ก"

เผลอเอ่ยเรียกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูพู่กันในมือบริเวณโซนขายอุปกรณ์วาดภาพด้วยท่าทางเคร่งเครียดเหมือนต้องตัดสินใจอะไรที่คอขาดบาดตายเอามากๆ แปลกใจกับจังหวะและความพอดีที่มาเจอเขาเอาในเวลานี้จนใช้คำสรรพนามที่เคยคิดเอาไว้ในใจแทนชื่อเขา

"ตัวเล็ก... แซน"

"หืม?"

คงเพราะได้ยินชื่อตัวเองถึงได้ยอมเงยหน้าจากพู่กันในมือหันมาหา ยังเป็นคนที่ทำหน้านิ่งๆ มึนๆ ได้ตลอดเลยจริงๆ แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเป็นใครเขาก็ส่งรอยยิ้มบางกลับมาให้

อ่า... รู้สึกเหมือนอะไรในอกมันกระตุกถึงจะไม่ออกหน้าให้เขารู้ก็เถอะ

"มาทำอะไร?"

"เรามาซื้อสี อืม... ไบร์ทล่ะ?"

"มาซื้ออุปกรณ์ไปทำบ่อปลา"

เห็นเขาชะเง้อคอมองตะกร้าในมือก็อยากเลยยื่นให้ดูเสียเลย พลันนึกขึ้นมาได้ว่ามีของที่ต้องคืนให้เจ้าของตัวจริงด้วย

"จริงสิ นี่ เพิ่งได้มาเมื่อเช้า"

ซองซิปในกระเป๋าเสื้อถูกยื่นคืนให้เขา แซนรับไปแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาดูพร้อมพยักหน้าหงึกหงักให้ รู้สึกเหมือนเห็นตุ๊กตาหน้ารถที่ส่ายหัวไปมายังไงยังงั้น

"ขอบคุณครับ นึกว่ากองการจะเอามาให้เองซะอีก"

"...บังเอิญผ่านไปแถวนั้นเขาเลยฝากมา ดีนะที่เจอพอดี ไม่งั้นคงต้องเอาไปให้ที่คณะ"

"คณะเราหาไม่ยากนะ อยู่ข้างๆ คณะประมง เพื่อนบ้านกัน"

"รู้แล้วล่ะ แล้วนี่จะกลับเลยมั้ย?"

"อือ"

เสียงเรียกคิวของพนักงานดังขึ้นพร้อมๆ กันกับเสียงตอบของเขา เราเดินไปชำระเงินสิ่งของในมือด้วยกัน และเมื่อของทั้งหมดต่างอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วก็คิดมาได้ว่าไหนๆ ก็ไปทางเดียวกัน ไม่ควรจะปล่อยให้เขาเสียเวลาเดินกลับเอง

"รออยู่นี่ เดี๋ยวไปส่ง"

"เราเกรงใจ..."

"รอนี่"

ส่งถุงในมือให้อีกฝ่ายถือไว้แล้วรีบไปเอาเวสป้าสุดที่รักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเป็นเวลาหลายปี ค่อนข้างจะเป็นการขับขี่ที่ทุลักทุเลไปหน่อยเพราะไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังจะร่วงลงไปเมื่อไหร่ เล่นนั่งเสียห่างขนาดนั้นเพื่อจะเอาของวางไว้ตรงกลางระหว่างพวกเราทั้งคู่ กว่าจะมาถึงก็กินเวลาอยู่ไม่น้อย

"ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"

"ไม่เป็นไร บังเอิญเจอทั้งที"

ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง หมวกกันน็อกที่ได้คืนมาถูกหมุนอยู่สองสามครั้งในขณะที่เราสบตากัน ก่อนจะสวมมันคืนเข้าที่เดิมแล้วเอ่ยบอกลาอีกฝ่ายด้วยถึงเวลาที่ควรจะกลับคณะตัวเองเสียที

 “งั้นก็... ไว้เจอกัน”

“ครับ ไว้เจอกัน”

แม้จะขับออกมาห่างจากหน้าอาคารคณะจิตรกรรมแล้ว แต่สายตาก็ไม่วายเหลือบมองกระจกข้าง ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นภายในอกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนจากคณะเพื่อนบ้านยังยืนมองส่งจนกระทั่งผมขับเลี้ยวมาอีกทาง

รู้สึกอยากให้เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือไม่อย่างนั้นก็จะทำให้มันเกิดขึ้นด้วยตัวเอง





“ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ?”

“ไม่มีครับ... อ้าว”

ผมส่งยิ้มให้คนที่ทำหน้ามึนขณะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หินฝั่งตรงข้ามพร้อมจานข้าวสองจานในมือ วันนี้เกิดอาการอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากโรงอาหารประจำคณะตัวเองเป็นคณะเพื่อนบ้านบ้าง ตอนฝ่าดงเด็กศิลป์เข้ามาก็หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะเจอหรือเปล่า แต่พอมาด้อมๆ มองๆ แถวโต๊ะหินอ่อนด้านข้างตึกก็เจอแซนกำลังขะมักเขม้นกับงานของตัวเองอยู่

“ทำไมมาอยู่นี่ได้ล่ะ?”

จะให้บอกว่าแวะมาหาทั้งที่ไม่สนิทกันขนาดนั้นก็ดูจะแปลกไปเสียหน่อย เลยเลือกจะใช้ข้ออ้างอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วมาตอบแทน

“บังเอิญอาจารย์ให้มาช่วยยกของน่ะ เสร็จแล้วเลยหาอะไรกินเลย”

“ไบรท์กินคนเดียวสองจานเลยเหรอ? กินเยอะจัง”

เจอคำถามแบบนี้ก็ได้แต่เงียบ ตอนแรกตั้งใจจะซื้อมากินคนเดียว แต่ลอบมองคนที่นั่งทำงานแล้วเห็นว่าคนที่กำลังเขียนอะไรยุกยิกๆ อยู่ไม่มีจานข้าววางไว้เลยซื้อมาเผื่อด้วย

“...ของเพื่อนอีกคน มันบอกว่าจะตามมา”

“อ๋อ...”

“แล้วนี่กินอะไรไปหรือยัง?”

“ยังเลย เราติดทำงานด่วนอยู่ เราลืมทำแล้วดันต้องส่งวันนี้”

“คณิต? เด็กจิตรกรรมต้องเรียนด้วย?”

“อื้อ ตัวสุดท้ายน่ะ เราเพิ่งมาลงปีนี้ คิดผิดมากเลย...”

แม้ไม่แสดงอออกทางสีหน้าแต่น้ำเสียงอึนๆ มึนๆ ก็แสดงถึงความเบื่อหน่ายได้อยู่ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กฝั่งศิลป์จะไม่ถนัดเรื่องของตัวเอง ลองให้มาสลับกัน เอาคนฝั่งวิทย์ไปเรียนศิลป์ดูบ้างก็ต้องปูพื้นฐานกันระนาว

“ช่วยดูให้ได้นะ เคยเรียนแล้ว”

เพียงถามแต่ไม่คะยั้นคะยอหรือเสนอตัวมากไปกว่านี้เพื่อให้อีกคนได้ตัดสินใจเอง คนตัวเล็กกว่ามองหน้าผมนิ่งๆ คงกำลังประมวลผลอยู่ในใจล่ะมั้ง

“...ขอบคุณครับ”

“งั้นกินข้าวไปก่อน”

เลื่อนจานข้าวที่วางอยู่ข้างกันไปให้แลกกับสมุดงานที่เขายื่นมา แต่แทนที่เขาจะรับไป กลับมองตอบผมแล้วเอ่ยทักเสียงเรียบในเรื่องที่เกือบจะลืมไปแล้วว่าใช้เป็นข้ออ้างไว้

“ของเพื่อนไบรท์ไม่ใช่เหรอ?”

“...มันไม่มาแล้ว ไลน์มาบอกว่าบังเอิญเจอแฟนเลยจะไปหาอะไรกินกัน”

แม้จะไม่แสดงออกอะไรแต่แน่นอนล่ะว่าแซนต้องสงสัยในเมื่อผมยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลยสักครั้งตั้งแต่นั่งคุยกับเขา แต่พอกระตุ้นด้วยการเลื่อนจานข้าวไปใกล้อีกพร้อมก้มหน้าก้มตามองสมุดที่อยู่ตรงหน้าแทน คำถามทั้งหมดก็เงียบลง เหลือบมองโดยพยายามไม่เงยหน้าก็เห็นว่าคนฝั่งตรงข้ามยอมตักข้าวที่ซื้อมาให้เข้าปากแล้ว

ลอบยิ้มจางๆ ให้กับตัวเองเมื่อความบังเอิญครั้งนี้ก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี





                หลังจากนั้นก็มักจะมีเรื่อง บังเอิญ  ที่เกิดจากความจงใจเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

                เพราะเรียนที่เดียวกัน หอที่พักก็ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่ จึงช่วยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามที่มาดหมายไว้ราบรื่นอยู่ไม่น้อย ช่วงแรกแซนก็ดูจะตกใจกับเหตุบังเอิญ แต่พอหลายครั้งเข้าคนหน้ามึนก็เลือกจะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น เราพูดคุยกันเยอะขึ้น แม้จะไม่เยอะในระดับรู้ทุกเรื่องแต่จากการกระทำของเขาก็พอจะดูออกว่าสนิทใจกันพอสมควร

“ชอบมานั่งวาดรูปที่นี้เหรอ?”

            “อื้อ ไบรท์ก็ชอบมาเดินเล่นที่นี่เหรอ?”

            “ใช่... หอกลับทางนี้ได้น่ะ”

               ช่วงนั้นเลยได้ไปเดินเล่นแถวสนามหญ้าริมน้ำบ่อยขึ้นทั้งที่ไม่เคยคิดจะจอดเวสป้าสุดที่รักใกล้ๆ สวนเลยแม้แต่น้อย

            “เจอกันอีกแล้ว ไบรท์มาทำอะไรน่ะ?”

            “ซื้อของเข้าหอ... กลับยัง ไปด้วยกันก็ได้”

            “...อื้อ ขอบคุณครับ”

            เพราะวันพุธเป็นวันลด แลก แจก แถม กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ เลยได้บัตรสะสมแต้มร้านสะดวกซื้อมาแน่นกระเป๋า มากพอจะแบ่งให้เด็กหออีกคนที่บังเอิญเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้ด้วย

แต่แม้จะพยายามมากแค่ไหน ความบังเอิญที่ถูกวางแผนไว้ย่อมต้องมีข้อบกพร่อง

                งานนิทรรศการโชว์ผลงานของคณะจิตรกรรมเป็นงานเล่นใหญ่ที่เลื่องชื่อไปทั้งมหาวิทยาลัย เพราะนอกจากจะเป็นงานที่มีประจำทุกปีแล้ว ยังได้รับเกียรติให้ไปจัดถึงหอประชุมใหญ่ในกลางเมืองอีกด้วย ได้ยินมาจากอาจารย์ที่ผมอาสาไปช่วยงานเล่าว่านี่จะเป็นใบเบิกทางให้เด็กมีฝีมือของแต่ละคณะโชว์ผลงานได้เต็มที่ เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่เส้นทางอาชีพในอนาคต ก็เป็นเหตุเป็นผลดี ดูมีอะไรที่อวดได้มากกว่ารวมเล่มงานวิจัยและบ่อปลาน้ำจืดที่ทำกันมาตลอดปีของคณะประมงเสียอีก

แน่ล่ะว่าไปช่วยงานเขาย่อมต้องอยากได้ผลแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า การชวนเด็กปีสี่ไปดูหนังถือเป็นผลลัพธ์ที่อยากได้ในความบังเอิญครั้งนี้ แต่มันดันล่มไม่เป็นท่าเมื่อตัวผมเองเผอเรอไม่ตรวจเช็คความเรียบร้อยของตัวตั๋วที่ซื้อมา ใครมันจะไปสนใจว่าใช้บัตรลดแล้วจะมีชื่อตัวเองโผล่อยู่บนนั้นด้วย อยากจะขอเจอเจ้าของความคิดที่ให้บรรจุชื่อสมาชิกลงไปในบัตรเสียหน่อย

สุดท้ายก็ตกม้าตายเอาตอนจบ

“บังเอิญว่าชอบไปแล้ว ขอจีบได้ไหม?”

เสี่ยวไม่มีใครเกิน เสี่ยวจนไม่รู้ว่ากินอะไรเป็นอาหาร และเสี่ยวจนอย่าให้เพื่อนมาได้ยินเชียว ไม่อย่างนั้นคงล้อยันได้เด็กจิตรกรรมเป็นแฟนไปสิบรอบ

เชื่อเถอะว่าตอนบอกเขาไปแบบนั้นแทบอยากจะเอาหน้ามุดเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติให้ดูดตัวเองเข้าไปเสียเลย แต่ก็ทำได้แค่มองเขาด้วยความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตัวเองดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คราวนี้ต้องขอบคุณคนหน้ามึนที่ไม่ทำให้การพูดความจริงต้องได้ผลลัพธ์ที่น่าผิดหวัง แถมยังทำตัวน่าหมั่นเขี้ยวจนอดใจเอาไว้ไม่อยู่ ต้องแกล้งขับเวสป้าแบบกระตุกๆ ให้ไหลมาซบกันตลอดทางกลับหอ เลยได้หมัดเล็กๆ มากระแทกไหล่เล่นให้พอคันๆ อยู่บ้าง




 



“ตัวเล็ก เอาไป”

“อะไรเหรอ?”

“ของฝาก”

ถึงจะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนบ้านต่างคณะเป็นคนที่กำลังคุยๆ กันอยู่ หากการแสดงออกของเราสองคนไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก จะมีบ้างที่ได้หยอด ได้เนียนทำอะไรในแบบที่มีสิทธิ์มากพอให้พึงกระทำ อย่างการลูบหัวกลมๆ ของเขาทุกครั้งที่ได้เจอกันก็เป็นหนึ่งในนั้น

"บังเอิญเจอแล้วจำได้ว่าเราหาอยู่"

พู่กันสำหรับสีน้ำมันยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้แต่ที่รู้ๆ ราคาสูงจนไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเกิดคำว่าจิตกรไส้แห้งขึ้นมาได้ แต่แม้จะแอบบ่นแต่พอได้เห็นคนตัวเล็กตากลมเอาแต่ลูบซองหนังห่อพู่กันด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

“เดี๋ยวเราคืนเงินให้นะ ตอนถึงหอ”

“ไม่เอา บอกแล้วไงว่าของฝาก”

“แต่มันแพง! เรารับไว้ไม่ได้หรอก”

ซองหนังถูกยื่นกลับมาให้คืนมา แต่มีหรือที่ผมจะรับ ดันมันกลับไปหาคนที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ แล้วเลือกจะยื่นข้อเสนออื่นมาแลกปลี่ยนแทน

“งั้นเอามาแค่ค่าน้ำมัน”

“เท่าไหร่เหรอ?”

“...เท่าคนชื่อไอลวินหนึ่งคน”

                ตั้งแต่รู้จักกันมาก็รู้แล้วว่าเราสองคนนิสัยคล้ายกัน การแสดงออกก็ใกล้กัน แต่ไม่เคยเห็นเวลาที่เขาทำตาโตขนาดนี้มาก่อน ดูท่าคำพูดที่เอ่ยออกไปด้วยความอยากจะแกล้งคงมีผลกับเขามากทีเดียวแซนถึงได้ทำทีเป็นไม่ได้ยินอะไรพวกนั้นแล้วก้มลงไปวาดรูปใส่สมุดวาดภาพของตัวเองต่อ โดยไม่ลืมเก็บซองพู่กันเข้ากระเป๋าเป้ให้เรียบร้อยเสียด้วย

“เรา... จ่ายด้วยสมุดเล่มนี้แทนได้มั้ย?”             

อยู่ในความสงบปล่อยให้ลมพัดใบไม้ร่วงลงมาบนโต๊ะที่เราทั้งสองคนนั่งอยู่ได้สักพัก สมุดวาดรูปของคนฝั่งตรงข้ามก็เลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมประโยคข้างต้น พอเงยหน้ามองก็เห็นเจ้าของทำหน้าพยักเพยิกเหมือนอยากให้เปิดดู ผมเอ่ยขออนุญาตก่อนอีกครั้งแล้วเริ่มเปิดสิ่งของส่วนตัวที่มักจะเห็นเขาถือไปไหนมาไหนด้วยเสมอออกดู

                แค่เปิดมาหน้าแรกก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวเป็นพวกเก็บสะสมความประทับใจด้วยการวาดภาพ สมกับเป็นเด็กอาร์ตของจริง ไม่ว่าจะเป็นรูปท้องฟ้า ทะเล สวนที่อยู่ไม่ไกลจากหอ รูปของผู้คนหลากหลายกันไป สิ่งที่แซนเห็นและประทับใจถูกวาดลงในนี้ มีบ้างที่น่าจะเป็นรูปวาดยามอารมณ์ไม่ปกติเพราะออกมาเป็นแนวแอบสแตรกที่ดูยังไงก็ไม่เข้าใจ บางภาพมีลงสีน้ำและบางภาพใช้เพียงสีขาวดำ รูปวาดพวกนั้นสวยมากสำหรับคนที่ไม่มีหัวด้านศิลปะอย่างผม แต่ที่ทำให้ประทับใจมากคือส่วนที่เริ่มจากหน้ากลางของสมุดไปต่างหาก

                รูปสเก็ตใบหน้าของคนที่คุ้นตาเพราะเห็นทุกวันผ่านกระจกเต็มพื้นที่ว่างบนกระดาษไปหมด ทั้งหน้าตรง มุมข้าง มีรูปเหมือนทั้งตัวอยู่ด้วยซ้ำ และไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรูปผมในมุมที่ตัวเองก็จำไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่ทำกิจกรรมเหล่านั้นเขาไปเห็นมาจากที่ไหน ทั้งตอนเตะบอล ตอนถือกระชอนอยู่ข้างบ่อเพาะพันธุ์ เขาวาดมันออกมาได้เหมือนมากเกินไปจนไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นการจินตนาการขึ้นมา แต่เป็นเพราะเขานั่งมองแล้ววาดเก็บรายละเอียดลงไปมากกว่า

                “...เนียนนะเราน่ะ”

“บังเอิญเห็นแล้วละสายตาไม่ได้ เลยวาดเก็บไว้”

 “จ่ายต้นด้วยเล่มนี้ก็ได้ แต่ภาษีขอเป็นคนวาดนะ”

“...แต่นั่นเราบวกภาษีไปแล้วนะ”

ยิ้มให้กับคำพูดตัดพ้อจากคนที่หูเริ่มแดงไปหมดแล้วก่อนจะทนไม่ไหวต้องลูบเรือนผมนิ่มนั่นไปอีกที





เรื่องของเราอาจจะเริ่มด้วยความบังเอิญของกาลเวลา แต่ผมเลือกแล้วว่าจะสานต่อด้วยความตั้งใจ

และมั่นใจว่าจะทำมันได้ดีเสียด้วย





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีกับตอนใหม่ค่ะ

มันก็จะมีความเขินอยู่หน่อยๆ สำหรับคู่มึนๆ อึนๆ นิ่งๆ คู่นี้ (บิดตัวม้วนสามตลบ) แต่แล้วชอบอ่ะ อยากแต่งอีก จะเอาอีก แต่ต้องเก็บมุกไว้เล่นเรื่องอื่น 5555555555555555555555555

นับถอยหลังอีกสองตอนแล้ว ตื่นเต้นและใจหายไปพร้อมกัน ตั้งใจจะเอามาลงต่อทีเดียวสองตอนเลย แต่ก็... ไม่เอาดีกว่า ทยอยมาอาทิตย์ละตอนเหมือนเดิมแล้วกันโน๊ะ  :hao3:

แล้วเจอกันกับคู่หน้า คู่สุดท้ายนะคะ

ขอบคุณกำลังใจที่มีให้กันมาตลอดเลย ลัฟๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: maneethewa ที่ 10-09-2017 20:25:11
คู่นี้ก็น่ารักค่า เอร๊ยยยยย
 :impress2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 10-09-2017 20:50:58
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 10-09-2017 21:01:13
 :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-09-2017 21:04:32
ชอบเพราะบังเอิญ ไบรท์ เจอแซน
แต่แซน ตั้งใจเจอใช่ปะ

หลังจากนั้นไบรท์ตั้งใจ เจอแซนแน่ ๆ
ไบรท์ แซน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 10-09-2017 21:45:22
น่ารักนะคู่นี้  :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-09-2017 22:36:48
 :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 10-09-2017 23:16:16
ความจงใจบังเอิญของไบร์ท 5555
เนียนเลยนะ
คู่นี้น่ารัก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-09-2017 09:41:17
น่ารักกกกกกก :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: Yunatsu ที่ 11-09-2017 12:07:47
โอ้ยย พึ่งได้มาอ่าน ดีทุกเรื่องเลย น่าไปแต่งเห็นเรื่องยาว ไม่น่ามีแค่ 2 ตอนเลย
ฮืออออ
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 18 ไบร์ทแซน #ประมงหลงรัก (10.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 11-09-2017 20:44:22
 :-[ :-[ :-[
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 17-09-2017 11:47:40
[19]






คุณมีความลับไหมครับ?

หากตอบว่าไม่มีเลยก็คงไม่น่าเชื่อนัก เพราะคนเราต่างก็มีเรื่องที่อยากจะเก็บไว้ในใจไม่มากก็น้อย อาจจะเป็นเรื่องน่าอายสมัยยังเด็ก รักแรก หรือเรื่องใหญ่โตมหาศาลคล้ายในภาพยนต์แอคชั่นชั้นนำ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวระดับไหน หากขึ้นชื่อว่าความลับแล้ว ก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครมารับรู้ในช่วงเวลาอันใกล้นี่แน่ๆ

อย่างเช่นความลับของผม

 





ดนตรีจังหวะเมทัลทำนองดุดันพร้อมเสียงนักร้องนำที่กำลังตะเบ็งเสียงสุดชีวิตดังลอดออกมาจากห้องซ้อม หากเป็นยามปกติก็ดูจะไม่แปลกอะไรนักที่เมื่อเดินผ่านแล้วจะได้ยินอะไรทำนองนี้ แต่กับเวลาเก้าโมงเช้า และทั้งมหาวิทยาลัยกำลังเริ่มการเรียนการสอนกันแล้วนั้น มันไม่ใช่เรื่องปกติและสมควรเลยแม้แต่น้อย

ผมเหลือบมองเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างกันและอาจารย์ฝ่ายบริหารที่ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่ผู้มีวัยวุฒิที่สุดในกลุ่มเราจะเลื่อนประตูให้เปิดออก เสียงเพลงหนักจนปวดหูดังลั่นทำเอาผมต้องเบ้หน้าพร้อมปิดหูไปด้วย

“หยุดเสียงเพลงพวกนี้เดี๋ยวนี้เลยนักศึกษา!”

 เป็นเรื่องยากที่เสียงคนจะสู้กับเสียงดนตรี แต่เพราะนักร้องนำที่กำลังแหกปากเห็นอาจารย์เสียมากกว่าเขาถึงได้ทำไม้ทำมือให้เพื่อนหยุดมือลง  หากก็ยังทำสีหน้าเหมือนไม่ได้สำนึกว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดไป

“พวกคุณไม่มีเรียนกันหรือยังไง?”

“มีเรียนบ่ายอย่างเดียวครับ”

“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาซ้อมดนตรีกันเวลานี้มั้ย? คณะอื่นเขาเรียนกันอยู่ เสียงเพลงของพวกคุณมันไปรบกวนเขา”

เสียงปรามของอาจารย์ไม่เข้าหูผมเท่าไหร่นักด้วยรู้อยู่แล้วว่าคงเป็นประโยคเดิมๆ เช่นที่เคยเป็นมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น และไม่แปลกหรอกที่หัวหน้าแก๊งค์เด็กนิเทศซึ่งยึดเอาห้องซ้อมนี้เป็นแหล่งกบดานจะมองผมด้วยดวงตาถมึงทึงอย่างนั้น เพราะเจอกันในห้องนี้ทีไรก็เพราะผมตามอาจารย์มาหาเขาด้วยนั่นแหละ

“หึ พวกขี้ฟ้องก็ยังขี้ฟ้องอยู่วันยันค่ำ”

มาแล้วไงประโยคกวนประสาท ผมมองคนพูดอย่างไม่หลบสายตา

“เขาไม่ได้ฟ้องอะไร แต่มีคนร้องเรียนเข้ามาหลายครั้งแล้วต่างหาก”

“เหอะ”

“เก็บของของพวกคุณแล้วไปรอเวลาเข้าเรียน อีกสิบนาทีอาจารย์จะมาดูใหม่ เข้าใจไหม?”

แม้จะทำหน้าเซ็งจัดแต่ทั้งสามคนก็พยักหน้าแกร่นๆ ท่าทางของพวกเขาคงดูไม่น่าเชื่อถือมากถึงขนาดที่อาจารย์ต้องหันมาไหว้วานพวกผมด้วย

“กฤติ พีซ รบกวนด้วยนะ เสร็จแล้วไปตามอาจารย์ด้วย”

“ครับ”

ยกมือไหว้แทนคำลาก่อนจะเดินเข้าไปใกล้กลุ่มเด็กต่างคณะที่เริ่มออกปากบ่นไปด้วย เก็บอุปกรณ์ของเขาไปด้วย ทว่าเมื่อจะยื่นมือไปช่วยรวบสายไมค์ให้ก็โดนแย่งออกจากมือไปเสียก่อน

“คุณประธานไม่ต้องลดตัวลงมาทำอะไรพวกนี้หรอกครับ เดี๋ยวพวกกระผมทำให้เอง”

กวนประสาท คือคำที่ผมมีให้กับคนๆ นี้ ไม่ว่าจะเจอกันทีไรก็โดนพ่นคำพูดแย่ๆ ใส่อยู่ตลอด มันน่าหงุดหงิดนะ ทั้งที่เขาเองแท้ๆ ที่ทำให้ตัวเองเจอสถานการณ์แบบนี้

“...อาจารย์ให้ช่วย”

“เอาหน้าว่ะ”

“เฮ้ย พูดดีๆ ก็ได้มั้ง พวกเราก็ไม่ได้อยากมายุ่งหรอกถ้าไม่มีคนเขียนร้องเรียนไปถึงสโมสร”

และก็เป็นอีกครั้งที่กฤติต้องออกโรงกู้หน้าให้ เพื่อนผมคนนี้เป็นประเภทใจร้อน กล้าได้กล้าเสีย เคยเตือนอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าพยายามไปมีเรื่องกับใครเขาด้วยหน้าที่และตำแหน่งที่ค้ำคออยู่ เวลาโดนลงโทษก็จะโดนหนักกว่านักศึกษาคนอื่นเป็นเท่าตัว

“เป็นประธานนักศึกษาแต่ต้องให้ลูกไล่ออกหน้าให้เหรอ?”

“อย่าเรียกเขาแบบนั้น รีบเก็บของรีบไปเถอะครับ พวกคุณน่ะ”

เจอก่อกวนมากๆ เข้าก็ใช่ว่าผมจะยอมใคร จากที่ตั้งใจจะช่วยก็เปลี่ยนเป็นยืนกอดอกมองพวกเขาแทน ไม่รู้หรอกนะว่าคนกลุ่มนี้มาเจอกันได้ยังไง เพราะมือกลองกับมือเบสที่มักเจอกันในเวลาแบบนี้ไม่เห็นจะปากเสียเหมือนนักร้องนำเอาเสียเลย

“แล้วเจอกันคุณประธาน อย่าลืมเซ็นเอกสารขอแสดงกิจกรรมของคณะนิเทศด้วยล่ะ”

“ผมต้องขออ่านก่อนครับ”

ฟังคำตอบผมแล้วเขาก็ยักไหล่คล้ายกับไม่สนใจนัก ก่อนจะส่งรอยยิ้มที่สาวๆ มาเห็นคงรีบเสนอตัวเข้าหามาให้แล้วเดินเกาะกลุ่มไปกับเพื่อนๆ ไม่วายหันมาขยิบตาใส่ผมเสียอีก กวนประสาท...

แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่เขาสมกับเป็นเด็กของคณะที่รวมคนหน้าตาดีเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ 

“นิสัยแย่เสมอต้นเสมอปลายจังวะ”

“...ช่างเถอะ เสร็จเรื่องแล้วไปตามอาจารย์กัน”





 

“เห็นโปสเตอร์ยัง กลุ่มพี่เหลียงเดือนนิเทศจะขึ้นแสดงงานเฟรชชี่ด้วย”

ข้อมูลที่ผมได้รับมาอย่างไม่ตั้งใจตอนต่อแถวซื้อข้าวกลางวันในโรงอาหารชวนให้ต้องมุ่นคิ้วใส่ด้วยความสงสัย ยังอีกสักพักใหญ่ที่ทางมหาวิทยาลัยจะให้ประกาศเรื่องการแสดงของแต่ละคณะ แถมเอกสารที่มียังไม่เสร็จสิ้นเสียด้วยซ้ำ แล้วรุ่นน้องพวกนี้ไปเอาข้อมูลมาจากไหนกัน?

แต่ไม่ต้องสืบหาให้เสียเวลา เพียงแค่เดินผ่านบอร์ดกระจายข่าวของมหาวิทยาลัยที่อยู่หน้าโรงอาหารเท่านั้นผมก็ได้คำตอบแล้ว เพราะโปสเตอร์ทำมือขนาดไซส์เอสาม แป่นใหญ่ยักษ์ปิดทับเอกสารประกาศอื่นๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยติดเอาไว้ก่อนจนไม่เหลือให้ได้อ่าน บนโปสเตอร์นั้นมีภาพวาดสีน้ำสีสวยงาม แถมลงชื่อแน่ชัดแล้วว่าเป็นของคณะนิเทศที่ทำเพื่อโปรโมทวงดนตรีประจำคณะ ไม่ต้องเดาห็รู้ว่าเป็นวงของใคร... ก็คนที่พวกผมไปไล่ที่ซ้อมเมื่อไม่กี่วันก่อนนั่นแหละ

“ชอบโปสเตอร์ไหมคุณประธาน?”

เกือบทำจานข้าวในมือร่วง หันไปมองก็พบกับคนที่เพิ่งคิดถึงยืนอยู่ข้างๆ เขาพยักเพยิกไปทางโปสเตอร์ที่ติดอยู่แล้วยักคิ้วมาให้

“มันปิดทับประกาศอื่นหมดเลยนะ”

“ก็มันไม่มีที่ติด เลยต้องแปะทับๆ ไป”

“อาจารย์ยังไม่ได้ตกลงเรื่องการแสดงงานรับน้องด้วย”

“ก็ได้มาตลอดทุกปี ยังไงปีนี้ก็ต้องได้อยู่แล้ว”

โดนเข้าไปขนาดนี้ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง เลยได้แต่กระพริบตามองคนตรงหน้าที่ทำเหมือนตัวเองไม่ได้เพิ่งละเมิดกฎของมหาวิทยาลัยเป็นข้อที่ร้อย

“...เอาออกแล้วค่อยมาติดช่วงใกล้ๆ เถอะ ไม่งั้นก็โดนดึงออกอยู่ดี”

“ประธานจะทำหรือไง?”

“ถ้าไม่ใช่ผม ก็ต้องมีคนมาเอาออกอยู่ดี”

ฟังคำผมแล้วเขาก็ไม่แสดงทีท่าอะไรนอกจากไหวไหล่แล้วยื่นมือมาจิ๊กหมูกรอบในจานผมไปเข้าปากตัวเองเสียเฉยๆ ได้ยินใครไม่รู้กรีดร้องจากที่ไม่ไกลนัก ขนาดกินหมูกรอบยังต้องกรี๊ดอีก?

“แล้วเจอกันคุณประธาน”

ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วก็เดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนๆ ที่รออยู่ที่โต๊ะไม่ไกลกันนัก ส่วนผมก็ได้แต่มองโปสเตอร์ตรงหน้าด้วยความหนักใจ สงสัยต้องโยนงานง่ายๆ อย่างมาเอาโปสเตอร์ออกให้ทีมคนอื่นทำแทนแล้วล่ะ





 

ชีวิตการเป็นประธานนักศึกษามันเป็นยังไงน่ะเหรอครับ?

โคตรยุ่ง โคตรวุ่นวาย แทนที่จะเอาเวลาไปเรียนหรือทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ กลับต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานเอกสารเป็นลูกมือให้อาจารย์ไงล่ะ

“เอกสารล็อตใหม่มาแล้วเพื่อน”

เอกสารตั้งใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเสียงของคนที่ยกมาให้ ไม่ต้องเดาให้ยากก็รู้ว่าเป็นเอกสารสำหรับงานรับน้องรอบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็ให้ส่งความจำนงของแต่ละคณะมาเสียที และทีมงานของผมก็กระตือรือร้นจะดำเนินงานกันเหลือเกิน ไม่เหมือนช่วงที่ต้องจัดการเรื่องสอบเอาเสียเลย

“นี่คืออ่านมาแล้ว?”

“หึ ยังไม่ได้อ่านเลย รวบรวมได้ก็เอามาให้เลยล่ะ”

คำตอบของเพื่อนร่วมสถาบันพ่วงตำแหน่งรองประธานสโมสรนักศึกษาทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เป็นอีกครั้งที่ผมอยากจะเอาตั้งเอกสารทุ่มใส่หน้าเขาแต่ไม่สามารถทำได้เพราะจะผิดทั้งกฎของมหาวิทยาลัยและกฎหมายสากลในข้อหาทำร้ายร่างกาย

“เคยบอกแล้วนี่...”

“ให้อ่านเอกสารทั้งหมดที่ส่งมารอบนึงก่อนแล้วค่อยสรุปมาให้” นับว่าความจำของเขาก็ดีอยู่ ผมจึงเลิกคิ้วแล้วพยักเพยิกไปทางตั้งเอกสารที่เขายกเข้ามานั้น “ก็มันไม่ทันนี่หว่า เอกสารของทุกคณะแถมใบรับสมัครอะไรต่อมิอะไร แค่แยกมาให้ก็ควรขอบใจแล้วไหม”

“ลองมาเป็นคนที่ต้องอ่านทั้งเอกสารฝ่ายอาจารย์ทั้งฝ่ายนักศึกษาบ้างไหมล่ะ?”

“ไม่เอาล่ะ กฤติคนหล่อคนนี้ไปช่วยน้องจูนแบกของดีกว่า”

“เดี๋ยว งานคาอยู่นี่”

“นั่นงานประธานสโมต่างหาก สู้ๆ ล่ะไอ้พีซ”

นอกจากจะไม่มีความเห็นใจ ไม่สนใจหน้าที่ที่ควรจะเป็นของตัวเองแล้ว เพื่อนตัวดียังโบกมือลาทิ้งเสียงประตูปิดตามหลังไว้ สุดท้ายในห้องสโมสรนักศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่ค่อยมีคนอยากเข้ามาเท่าไหร่นักก็เหลือเพียงผมอยู่คนเดียว เหมือนเช่นที่เป็นประจำ

แค่หยิบกระดาษแผ่นบนสุดของตั้งมาอ่านก็ถอนหายใจแล้ว เอกสารการของบประมาณของคณะต่างๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยแบบสรุปรวม เห็นตัวเลขก็ปวดหัวแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาเรื่องตัวเลขมาให้ผมแทนที่จะเอาไปให้ฝ่ายบัญชี นี่คือโลกแห่งความจริงนะครับไม่ใช่โลกในการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวานที่จะให้ประธานสโมสรนักศึกษาเก่งไปหมดทุกอย่างขนาดนั้น

“ให้ตายเหอะ...”

สบถด้วยความไม่พอใจนักก่อนให้กำลังใจตัวเองด้วยการคิดถึงอาหารเย็นรสอร่อยที่ตั้งใจจะซื้อระหว่างทางกลับหอ ผมลงมืออ่านเอกสารแผ่นที่ค้างไว้ต่อ ตั้งใจแล้วว่าหลังจากเสร็จงานเก่าตรงนี้แล้วจะพอ ส่วนที่มาใหม่... กองไว้สักวันสองวันก็คงไม่เป็นอะไร ในเมื่อหน้าที่หลักของนักศึกษาอย่างผมคือการเอาความรู้ติดตัวไปให้ได้มากที่สุดไม่ใช่การมานั่งหลังขดหลังแข็งอ่านอะไรจำพวกนี้เสียหน่อย

“!”

และอาจจะตั้งใจมากไปหน่อย ผมจึงไม่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดหรือให้ความสนใจกับคนที่เข้ามาใหม่จนกระทั่งโดนท่อนแขนแกร่งโอบเข้าจากทางด้านหลังพร้อมเสียงกระซิบแหบพร่าข้างใบหู

 “เงียบๆ ไม่งั้นเจอปล้ำแน่คุณประธาน”

ต่อให้ไม่สั่งผมก็ไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้อยู่แล้ว ในเมื่อโดนปิดปากลามไปถึงจมูกจนเกือบหายใจไม่ออกขนาดนี้ แม้ไม่เห็นหน้าแต่เพียงได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเจ้าของการกระทำอุกอาจคือใคร จึงตัดสินใจกดเล็บสั้นๆ ของตัวเองลงบนหลังมือเสียเลย

“โอ๊ะ! เล่นแรงว่ะ”

“ใครให้เล่นไม่รู้เรื่องก่อนล่ะ”

หมุนเก้าอี้กลับไปมองคนด้านหลังด้วยความเฉยชา ผู้เข้ามาใหม่ชี้นิ้วมาที่หน้าผมด้วยท่าทางเอาเรื่องก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาดึงแขนผมให้ลุกจากเก้าอี้ ทำนิสัยไม่ดีอีกด้วยการใช้เท้าตัวเองถีบเสียจนเก้าอี้ไถลไปชนชั้นไม้ให้มันสั่นเล่น อดไม่ได้ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจใส่เขา

“ถ้าชั้นพังลงมาทำไง”

“ก็ซ่อมเอา ดูด้วยว่านี่ใคร”

“นักศึกษานิสัยแย่ที่แอบเข้ามาในห้องสโมสรนักศึกษาแล้วทำลายข้าวของในห้อง”

เหลียงมองหน้าผมพร้อมหัวเราะในลำคอแล้วเดินเข้าชิด เบียดให้ต้องถอยหลังตามจนชนเข้ากับโต๊ะด้านหลัง ในเวลาเดียวกับที่วงแขนแกร่งโอบรัดรอบเอวผมอีกครั้งเพื่อรั้งให้เราสองคนชิดกันยิ่งขึ้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้าหาจนปลายจมูกชนกัน ไม่วายเกลี่ยไปมาเบาๆ ให้รู้สึกจั้กจี้เล่นอย่างที่เขารู้ว่าผมชอบให้ทำ

...แต่ไม่ใช่ให้ทำในสถานศึกษาหรือเปล่าล่ะ

“อย่าซนนะ เดี๋ยวคนมาเห็น”

“ตื่นเต้นจะตาย ใครจะไปคิดว่าคุณประธานคนเก่งกับเดือนนิเทศไม้เบื่อไม้เมาจะมาทำเรื่องลามกในห้องสโม”

ฟังคำพูดคำจาเข้าสิ น่าฟาดปากดีๆ นั้นให้มีสีเสียจริง

“ใครจะทำ กลับบ้านไปทักทายมือขวาตัวเองนะครับ”

“ใจร้ายกับเหลียงตลอดว่ะ นี่แฟนนะพีซ”

ทำเสียงงอแงพร้อมหน้ามุ่ยๆ กลับมาให้ สาบานเดี๋ยวนี้ว่าผมมีแฟนวัยเดียวกัน ไม่ใช่ไปเลี้ยงต้อยเด็กชั้นมัธยมต้นมา

ใช่... แฟน

คนที่มีเรื่องให้ตีฝีปากกันตลอดเวลาอย่างผมกับเขาคบกันมานานหลายปีแล้ว โดยทุกอย่างระหว่างเรานั้นถือเป็นความลับสำหรับคนอื่น ไม่ใช่เพราะต้องการปิดบัง ไม่ใช่เพราะไปแย่งกับใครเขามา แต่เป็นเพราะนิสัยแปลกๆ ของเราสองคนเสียมากกว่าที่ตกลงกันว่าจะใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างคนโสด แม้จะไม่นอกใจไปคบกับใครคนอื่น แต่ก็จะไม่บอกใครถึงความสัมพันธ์อื่นของเรา

ก็คบกันลับๆ แบบนี้มันสนุกดีจะตาย

“มีแฟนลามกก็ต้องใจร้ายหรือเปล่าล่ะ?”

ยกแขนดันอกเขาให้ออกห่างแต่เจ้าของมือตุ๊กแกนั่นกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย แถมยังหยิบเอกสารที่กองไว้บนโต๊ะขึ้นมาอ่านพร้อมเลียนเสียงอาจารย์เสียด้วย เล่นเอาผมทนไม่ได้ต้องหลุดหัวเราะทั้งที่อุตส่าห์ตีหน้าขรึมแทบตาย

“อ้าว เอกสารของคณะเหลียงนี่... ทำไมยังไม่เซ็นอีกล่ะ?”

“ก็บอกแล้วไงว่าต้องอ่านก่อน เพิ่งได้มาวันนี้เองด้วย เอาคืนมาเลย”

ยืดมือไปหมายจะเอากระดาษในมืออีกฝ่ายคืน แต่แทนที่จะได้กลับมาดันโดนริมฝีปากหนาฉกเข้ามาแทน เหลียงฉวยโอกาสนี้พรมจูบลงมาทั่วหน้าผมแทน ทำตัวคล้ายหมายักษ์ที่เขาเลี้ยงเอาไว้เอาไว้ที่บ้านใหญ่ เจอกันทีไรเจ้าดื้อนั่นพุ่งตรงมาเลียหน้าเลียตาผมก่อนตลอด นี่สินะที่เขาว่าเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงมักจะทำตัวเหมือนกัน

“เหลียงเอาตัวเข้าแลกขนาดนี้แล้วเซ็นให้หน่อยดิ นี่ขึ้นแสดงเองเลยนะ”

“แบบนี้ยิ่งไม่น่าให้ผ่านเข้าไปใหญ่”

“พีซหึงล่ะสิ?”

“ยังต้องถามอีกเหรอ?”

รอยยิ้มเจ้าชู้ประจำตัวเขาเผยขึ้น ตั้งแต่ที่หลุดปากไปว่าผมชอบรอยยิ้มแบบนี้เขาก็มักจะใช้มันกับสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้เสมอ ราวกับรู้ดีแล้วว่าผมต้องยอมแพ้เขาแน่นอน

แต่มีหรือที่ครั้งนี้ผมจะยอม แทนการเอื้อมมือไปเอากระดาษคืนครั้งนี้กลับมีเป้าหมายเป็นปากที่กำลังส่งยิ้มมาให้นั่นแทน ตบลงไปไม่เบานักจนได้ยินเสียงทึบก้องเบาๆ คงจะไปกระทบฟันเข้า คงจะเจ็บน่าดูแต่ผมไม่เอ่ยขอโทษ ในเมื่อครั้งนี้เป็นการลงมือเพื่อทำโทษเขานี่หน่า

“เจ็บนะ”

“สมควรแล้ว เหลียงทำตัวเองทั้งนั้น”

มาแล้วสีหน้าไม่พอใจกับตาดุๆ แถมยังออกแรงบีบมือลงมาบนเอวให้ผมต้องร้องประท้วงเบาๆ อีก ไม่วายเริ่มยุ่งย่ามกับเนคไทจนมันคลายออกทีละนิด แย่ล่ะสิ ท่าทางจะกลายเป็นผมเสียแล้วที่จะลำบากเพราะไปกดโดนปุ่มระเบิดเข้าให้

“อย่านะ ไม่เอาที่นี่...  อื้อ...”

นอกจากจะไม่ฟังเสียงประท้วงแล้ว เหลียงยังบดริมฝีปากของตัวเองเข้ากับผมอย่างแรง ทั้งเลียทั้งขบเป็นการลงโทษและขออนุญาตไปในที

ผมรู้ว่าเขาเป็นพวกใจร้อนและติดไฟง่าย หากได้เริ่มแล้วล่ะก็ไม่มีทางยอมจบกลางคันแน่ๆ เหมือนเวลาที่เขาเล่นดนตรีกับแก๊งค์เพื่อนร่วมคณะนั่นแหละ และคนลำบากก็คงเป็นผมเองที่ต้องจัดการกับอารมณ์พลุ่งพล่านนั่นให้ดับลง

“ครั้งเดียวนะ... นะครับ”

“ที่นี่มหาลัย... สถานที่ศักดิ์สิทธิ์”

“มีความลับเพิ่มขึ้นอีกสักข้อไง น่าสนุกจะตาย... นะ?”

เกลียดนักกับการที่เขารู้จุดอ่อนและความชอบที่เหมือนกันของเรา ถึงได้โดนจับจุดเอามาต่อรองได้ง่ายขนาดนี้ แถมตอนพูดไปก็ยังส่งมือมาลูบไล้ร่างกายไปทั่ว แถมยังใช้เสียงทุ้มติดพร่าเสริมความเซ็กซี่ให้เขามากขึ้นเข้าไปอีก คนฉวยโอกาสนี่...

“เถอะนะ?”

“.....แค่ครั้งเดียว”

“รับทราบครับคุณประธาน”

รสจูบหวานๆ ถูกส่งให้แทนของรางวัล นั่นคือการก้าวข้ามความอดทนสุดท้าย ผมได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ ยอมโอนอ่อนให้อุ้มตัวเองขึ้นบนโต๊ะทำงานอันศักดิ์สิทธิ์แทนที่เอกสารบนโต๊ะซึ่งถูกปัดกระจายลงพื้นไปแล้ว แต่ที่กระจายหนักกว่าก็เห็นจะเป็นเสื้อผ้าของพวกเราสองคนที่ถูกทึ้งออกจากร่างกายของกันและกันเพื่อบรรเลงจังหวะเพลงร็อกตามแบบที่คนกระทำชอบ

เมื่อหัวสมองขาวโพลนด้วยความคุ้มคลั่ง ความตื่นเต้นจากการกลั้นเสียงหอบกระเส่าให้เบาที่สุด ทั้งยังต้องขยับร่างกายให้เคลื่อนไปตามจังหวะที่เข้ากันได้ ทุกอย่างที่พวกเรากำลังกระทำเป็นความลับที่ไม่ควรให้ใครได้รับรู้

แต่เพราะความลับนั้นช่างหอมหวาน มอมเมาความรู้สึกและความชั่งใจ แล้วใครเล่าจะไปทนได้





 

อย่าเผลอบอกความลับของผมออกไปล่ะ

ไม่อย่างนั้นคงหมดสนุกแย่เลย






-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีแบบเขินๆ ค่ะ
ยอมรับเลยว่านี่เป็นการแต่งแบบที่ยังไม่ฮอตสุดๆ เพราะเราอยากให้ธีมนิยายมันคงทนความใสต่อไปยังไงล่ะ! #ขี้โม้ไปงั้นแหละแค่อยากเก็บไว้ฮอตตอนหน้าเฉยๆ
คือเราคิดไว้แล้วไงว่าตอนจบจะแต่งอะไรยังไง เหลือแค่จะแต่งให้มันออกมาสมใจได้หรือเปล่า  :katai1:
แล้วก็... ตอนหน้าตอนจบแล้วนะคะ สำหรับซีรีส์นี้ ถัดไปก็จะเป็นนิยายเรื่องยาวที่คาไว้แล้ว ยังไงก็รบกวนติดตามกันต่อไปนะคะ

ขอบคุณเช่นเคยสำหรับคอนเม้นหวีดร้องน่ารักๆ และกำลังใจทั้งหลายแหล่ที่ส่งให้ ถึงเราจะไม่ค่อยได้ตอบแต่อ่านอยู่เสมอนะคะ
ที่ไม่ตอบไม่ใช่อะไร เราเขิน 5555555555555555 จริงๆ นะ เขินมาก เวลานั้นมันก็จะเกร็งๆอยู่หน่อยๆ ไม่รู้ทำไม
บ่นเยอะแล้ว ยังไงก็เจอกันใหม่กับตอนหน้านะคะ
ลัฟๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 17-09-2017 12:08:30
โอ้โห คู่นี้ เค้าเร่าร้อนกันจริง ๆ เขินนน   :o8:
ตอนแรกอ่านนี่หมั่นไส้เหลียงมากอ่ะ ตัวเองทำผิดแล้วมาหาเรื่องประธานได้ไง
ที่ไหนได้ เขาเป็นแฟนกันแบบแปลก ๆ ซะงั้น 555
เหลียงเข้ามานี่ แน่ใจแล้วนะว่าล็อคห้องดีแล้วอ่ะ อ่านไปแล้วเสียวแทน
เกิดรองประธานกลับใจอยากมาช่วยเพื่อนตอนนี้นี่ ไม่อยากจะคิดเลย
ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 17-09-2017 12:33:56
เขินคู่นี้จริงๆเลยค่ะ น่ารักมากกกกกก  :ling1:
หวังว่าคงไม่มีใครมาเห็นนะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: hikkie ที่ 17-09-2017 12:43:19
เนียนมากคุณแฟน กัดกันจนถ้าเปิดตัวต้องมีคนช็อก
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 17-09-2017 13:18:25
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-09-2017 14:19:38
อื้อหือ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-09-2017 20:23:46
ความรัก (ลับ) ที่เร่าร้อน  :pighaun: :haun4: :z1:
 
เหลียง พีช   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-09-2017 21:32:48
คู่สุดท้ายนี่แอบหลุดธีมใสๆนะคะเนี่ยยย แต่เราชอบ
คุณคนเขียนเขียนสนุกมากค่ะ เราเป็นกำลังใจให้  :mew1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-09-2017 21:40:45
ชอบ ชอบ คู่สุดท้ายนี่ ทำคนแก่ฟินซะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-09-2017 10:44:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 19 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (17.09.17)
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 19-09-2017 20:50:14
อ่านไบรท์แซนแล้วจิกหมอน เขินความน่ารัก พออ่านเหลียงพีซนี่อารมณ์เปลี่ยนเลยแถมเขินหนักกว่าเดิมอีก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: ANNEW ที่ 24-09-2017 13:13:50
[19]






คุณชอบฟังเพลงไหมครับ?

ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก วลีตราตรึงใจที่แสดงชัดเจนว่าคนทุกคนบนโลกนี้ควรเปิดใจไปกับท่วงทำนองอันทรงเสน่ห์จากการรวมตัวของเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด แม้ว่าแนวดนตรีที่แต่ละคนชอบจะไม่เหมือนกัน หากการฟังเพลงก็ยังเป็นสิ่งพื้นฐานหนึ่งจากหลายๆ สิ่งที่คนเราเลือกจะใช้ในยามที่ต้องการความผ่อนคลาย และใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วยการเปลี่ยนจากผู้ฟังเป็นผู้ขับขานเสียงดนตรีเหล่านั้น

และผมเป็นพวกชอบบรรเลงบทเพลงตามท่วงทำนองที่ผุดขึ้นจากส่วนลึกของความรู้สึก

 





"กลุ่มสโมปีนี้รับเด็กปีสามด้วยว่ะ จะไหวไหมล่ะนั่น? ปีเรายิ่งเรียนเยอะๆ อยู่"

ประโยคบอกเล่าจากเพื่อนสนิทดึงดูดความสนใจมากกว่าหนังสือการ์ตูนราคาเหยียบร้อยที่ถืออยู่ในมือ ชะโงกหน้าจากดาดฟ้าเพื่อมองไปยังทิศทางเดียวกับผู้เป็นเพื่อนก็เห็นว่าเวทีกลางมหาวิทยาลัยกำลังทำการติดเข็มกลัดประจำตำแหน่งให้นักศึกษาที่เข้าร่วมงานสโมสรอยู่ กิจกรรมที่มีอยู่ทุกปีและน่าเบื่อไม่แพ้กันสักปี

"มีปีเราสิดี หรืออยากให้เหมือนปีก่อนที่มีแต่ทีมนักกีฬาล่ะ? เล่นตัดงบไปให้สาขาตัวเองหมดอะไรแบบนั้น"

"โหย มันก็ไม่ใช่แบบนั้นดิวะไอ้เหลียง มันต้องเป็นกลางนะเว้ยเรื่องพวกนี้"

หัวเราะกับคำพูดของเพื่อนที่โวยวายด้วยความเจ็บแค้น เมื่อปีก่อนมีการรับทีมสโมเข้ามาเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครพอใจการทำงานเลยนอกจากสาขาวิชาของคนที่ได้ตำแหน่งไป มาปีนี้เลยลุ้นกันอยู่ไม่น้อยว่าจะลงอีหรอบเดิมหรือเปล่า

เพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาเป็นใจไม่รู้ เมื่อผู้ที่อยู่ด้านล่างเงยหน้ามาทางที่ผมยืนอยู่พอดี แม้ระยะทางจะค่อนข้างไกลแต่กลับรู้สึกได้ว่าเรากำลังประสานสายตากัน ก่อนจะเป็นเขาเองที่ยอมละสายตาไปก่อนเพื่อปราศรัยในฐานะประธานนักศึกษาคนล่าสุดประจำปีนี้

ตอนนั้นเองที่โน้ตตัวแรกของบทเพลงเริ่มบรรเลง





 

ควันสีหมอกลอยขึ้นสูงสู่เบื้องบน หากก็จางหายไปก่อนจะขึ้นถึงท้องฟ้าสีสดสมกับเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อากาศก็ร้อนสมชื่อฤดูจนต้องปลดกระดุมเสื้ออีกเม็ด ในเมื่อไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะมีใครมาเห็น แน่ล่ะ ดาดฟ้าของอาคารเก็บของเป็นสถานที่ๆ ไม่มีใครอยากจะขึ้นมาอยู่แล้วเพราะตำนานสยองขวัญประจำมหาวิทยาลัยที่ลือกันปากต่อปาก เกี่ยวกับหญิงสาวที่ทำอัตวินิบาตกรรมบริเวณสถานที่แห่งนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน

ไม่ใช่ว่าลบหลู่ หากเพราะรู้ความจริงจากปากรุ่นพี่ว่าข่าวลือพวกนั้นถูกปล่อยโดยอาจารย์ที่เคยสอนที่มหาวิทยาลัยนี้นั่นแหละ เพราะอาคารนี้มันทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่ไม่คิดจะมีใครขอเบิกงบซ่อมแซมเพราะคิดว่าเป็นเพียงอาคารกีฬาที่ใช้สำหรับเก็บสิ่งของไม่ใช้แล้วเท่านั้น อาจารย์ท่านนั้นคงจะอยากขู่ให้กลัวจะได้ไม่มีใครมาใกล้เพราะกลัวอันตรายนั่นแหละ แต่คงลืมไปว่าก็จะมีนักศึกษาอีกกลุ่มที่สามารถใช้ทุกสถานที่โดยไม่สนใจเรื่องอะไรประเภทนั้น

นักศึกษาแบบผมนี่ไงล่ะ

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าสูบบุหรี่ กลิ่นมันติดชุด”

มาถึงก็เทศนากันเสียหนึ่งยกให้ต้องรีบทิ้งบุหรี่ที่คาอยู่ในมือลงกระป๋องเบียร์เก่าๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้ไม่ไกลจากปลายเท้านัก ขยะพวกนี้คงไม่แคล้วจะเป็นของนักศึกษาที่สรรหาพื้นที่แอบอาจารย์มาทำเรื่องไม่สมควรเหมือนผมนี่แหละ นับว่าเป็นเพื่อนร่วมอุดมคติก็ว่าได้

“มาช้า... งานยุ่งล่ะสิ?”

“อือ พี่เอกอยากให้เรากับกฤติเรียนรู้งานให้เยอะที่สุด จะได้ทำแทนได้เวลาพี่เขาลงจากตำแหน่ง”

 “เรียนก็ต้องเรียน งานสโมก็โดนใช้เป็นทาส พีซบอกไปเลยดิว่าแค่นี้ก็จะไม่มีเวลาอยู่กับแฟนแล้ว”

 ว่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมเอื้อมไปจับข้อมือเขาแล้วกระตุกให้เดินเข้ามาใกล้ๆ ทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับขืนตัวไว้ ก่อนจะทำหน้ายู่แล้วส่ายหัวไปมา

“เดี๋ยวกลิ่นติดไง”

“ไม่มีใครรู้หรอก เหลียงใช้กลิ่นผลไม้”

พีซทำหน้าเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ยอมเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ได้ทีเลยจัดการคว้าทั้งเอวเขามากอดเสียเลย ถึงจะโดนดวงตาคู่โตมองด้วยความไม่พอใจก็เถอะ

“ทายดิว่ากลิ่นอะไร”

“เราไม่สูบบุหรี่ ก็รู้อยู่”

“เออหน่า เล่นกับเหลียงหน่อยเร็ว”

ถึงจะชอบทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้าง หากผมรู้ดีว่าคนในอ้อมกอดเป็นพวกไหลตามน้ำง่ายแค่ไหน ในเมื่อเราคบกันมาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ศึกษานิสัยทั้งหลายแหล่ของกันและกันมาจนครบทุกซอกทุกมุมแล้วก็ว่าได้

“กลิ่น... พีซ?”

“เก่งมาก มา เดี๋ยวเหลียงให้รางวัล”

ไม่รอให้โดนปฏิเสธแน่นอน พอพูดจบผมก็ประคองข้างแก้มแฟนคนเก่งมามอบรางวัลให้สมใจ หากกลิ่นของบุหรี่รสพีซเมื่อครู่ว่าหวานแล้วล่ะก็ ลองมาเจอริมฝีปากสีชมพูพ่วงความไม่ประสาของลิ้นนิ่มที่พยายามขยับตามการชักนำของผมตอนนี้บอกตามตรงว่าอยากจะโยนซองบุหรี่ในกระเป๋าลงพื้นแล้วใช้รองเท้าไนกี้ไซส์สี่สิบหกเหยียบให้แหลกเป็นผุยผง ข้อหาที่รสชาติไม่เหมือนของจริงที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง

พออารมณ์มันถูกจุดก็ง่ายที่จะสานต่อ ในยามที่ริมฝีปากของพวกเราประสานกัน ผมก็เริ่มไล้มือซุกซนบีบเข้าที่เอวบางของคนตัวเล็กไปด้วย ผมชอบที่วางมือบริเวณนี้ ทั้งนุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ น่าจับมานั่งตักแล้วทำอะไรต่อมิอะไรให้มันได้ออกกำลังนัก...

“โอ้ย!  ซาดิสต์นะพีซ เลือดไหลไหมเนี่ย?”

สงสัยว่าจะได้ใจมากไปหน่อย เลยโดนเขี้ยวเล็กๆ ของพีซเจาะเข้าทีริมฝีปากเต็มๆ ส่วนคนใช้ความรุนแรงก็ยืนอยู่ในอ้อมกอดพร้อมสีหน้าเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่สนใจสีหน้าน้อยอกน้อยใจของผมเลยแม้แต่น้อย แถมยังเอียงหัวกลมๆ พยักเพยิกไปที่มืออีกแน่ะ ทำตัวรู้ทันแบบนี้โคตรน่าหมั่นเขี้ยว

“ทำตัวเอง ถึงจะไม่มีคนมาบ่อยๆ แต่อยู่บนนี้มันก็ประเจิดประเจ้อนะเหลียง”

“...บางทีเหลียงก็อยากตะโกนบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่ะว่าเราคบกัน ติดที่มันจะไม่เร้าใจ”

“โรคจิต”

“คนที่เห็นด้วยก็ไม่น่าจะไกลกันนะ”

                รีบรั้งคนตัวเล็กมากอดแน่นอีกรอบเมื่อสำนึกได้ว่าทำคนหน้าเดียวไม่พอใจเสียแล้ว แต่ก็ไม่ทัน เมื่อกำปั้นเล็กทุบเข้ามาเต็มๆ ที่กลางหลัง เสียงอั่กๆ เหมือนจะไม่ดังนักแต่ความเจ็บนั้นเท่าทวีคูณ

                ตัวโน้ตบรรทัดที่สองบรรเลงอย่างต่อเนื่อง จังหวะมันคล้ายกับเพลงป๊อบที่มีท่อนแร๊พแทรกอยู่นิดหน่อย





               

                “จะซ้อมกันที่ห้องนี้อีกแล้วเหรอวะ? เดี๋ยวก็มีคนเอาไปฟ้องอาจารย์อีกหรอก”

                “อ้าว ก็นี่มันห้องซ้อมคณะเรา ทำไมจะใช้ไม่ได้วะ?”

                “จำครั้งก่อนไม่ได้หรือไง มาทั้งสโม มาทั้งอาจารย์ โคตรวุ่นวาย ไม่เชื่อถามไอ้เหลียง”

                “เออ มากันทั้งโคตรได้คงมา”

                ตอบคำเพื่อนไปทั้งที่ยังไม่ละความสนใจจากการตรวจเช็คความพร้อมของอุปกรณ์ รู้อยู่แล้วล่ะว่าเวลาเช้าแบบนี้มีหลายคลาสใช้ห้องเรียนชั้นเดียวกันนี้อยู่ และห้องซ้อมนี้ไม่ใช่ห้องที่เก็บเสียงดีนัก แต่พวกผมมีเวลาพร้อมกันแค่รอบเช้า เนื่องจากหลังเลิกเรียนต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกไปทำธุระของตัวเองและงานรับน้องก็ใกล้เข้ามาในอีกไม่กี่เดือนอยู่แล้ว เลยตกลงปลงใจว่าเมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบคว้าเอาไว้นั่นแหละ

                “สรุปจะซ้อม?”

                “ซ้อมๆ ไปเถอะ ต่อให้มาก็แค่บ่นอย่างเดียวเท่านั้นแหละ”

                แม้ตอนแรกจะอิดออดอยู่บ้าง แต่ความอยากเล่นดนตรีของพวกเรามันเข้าเส้นเลือด พ่วงอารมณ์กวนฝ่าเท้าไปด้วยนั่นแหละเลยยิ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้ทำอะไรห่ามๆ ดูบ้าง

                เสียงเบสดังออกจากลำโพงกระจายเสียงเป็นตัวเริ่มท่วงทำนอง ก่อนมือกลองประจำวงจะสร้างจังหวะหนักๆ ตามมาในเวลาไม่นานนัก สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องทำหน้าที่เป็นนักร้องกิตติมศักดิ์และมือกีต้าร์ แหกปากร้องเพลงเมทัลจนเสียงแตกพร้อมกับที่นิ้วต้องไล่คอร์ดไปด้วย

                พอจังหวะมาอารมณ์ก็จะพุ่งขึ้นสูงด้วย พวกเราซ้อมกันอยู่จนถึงประมาณกลางเพลงที่สาม ตอนนั้นเองที่ประตูห้องซ้อมถูกเปิดออกให้เห็นร่างของอาจารย์ประจำวิชาอะไรสักวิชา และสมาชิกสโมสรนักศึกษาทั้งสองคนที่ตามมาด้านหลัง

 “หยุดเสียงเพลงพวกนี้เดี๋ยวนี้เลยนักศึกษา!”

ไม่ได้ยินหรอกว่าแกพูดอะไร แต่ไม่ต้องเดาให้ยาก ผมปล่อยมือจากคอร์ดพร้อมยกมือเป็นสัญญาณให้เพื่อนในวงหยุดมือ เพื่อพร้อมใจกันรับศีลรับพรไปพร้อมๆ กัน

 “พวกคุณไม่มีเรียนกันหรือยังไง?”

“มีเรียนบ่ายอย่างเดียวครับ”

ตอบไปตามตรง ก็ปีพวกผมไม่มีคาบเรียนเช้าเลยเพราะมันจะไปซ้ำกับพวกรุ่นน้องเอาได้ คงไม่มีใครอยากจับปูใส่กระด้ง เอานักเรียนสามชั้นปีมารวมกันอยู่แล้ว นอกจากจะสอนไม่รู้เรื่องยังควบคุมจำนวนประชากรไม่ได้อีกต่างหาก

“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาซ้อมดนตรีกันเวลานี้ไหม? คณะอื่นเขาเรียนกันอยู่ เสียงเพลงของพวกคุณมันไปรบกวนเขา”

คำบ่นเดิมๆ ที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งไม่ทำให้ผมเหนื่อยหน่ายใจเท่าไหร่เพราะความสนใจในตอนนี้คือคนที่ยืนทำตัวเรียบร้อยประหนึ่งเป็นตัวแทนรูปปั้นหินประจำมหาวิทยาลัยนั่นต่างหาก ผมหรี่ตามองเขา ไม่ใช่เพราะคาดโทษที่ตามอาจารย์มาทั้งที่ควรจะอยู่ในห้องเรียนหรอกนะ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมากับไอ้คนชื่อกฤตินั่นต่างหาก รู้ว่าเพื่อนกัน แต่หมอนั่นตั้งแง่กับกลุ่มผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เห็นหน้าเลยพาลให้หงุดหงิดไม่น้อย

 “หึ พวกขี้ฟ้องก็ยังขี้ฟ้องอยู่วันยันค่ำ”

หากสิ่งที่พูดออกไปกลับต้องเป็นประโยคแดกดัน คนที่มีตำแหน่งประธานค้ำคอแทนพี่ปีสี่ที่กำลังจะจบออกไปสบตากับผมทันที แม้จะไม่พูดอะไรแต่ก็รู้ว่าตัวเองคงโดนคาดโทษอยู่ในใจ

“เขาไม่ได้ฟ้องอะไร แต่มีคนร้องเรียนเข้ามาหลายครั้งแล้วต่างหาก”

“เหอะ”

“เก็บของของพวกคุณแล้วไปรอเวลาเข้าเรียน อีกสิบนาทีอาจารย์จะมาดูใหม่ เข้าใจไหม?”

ถอนหายใจด้วยความเซ็งพร้อมใช้เท้าเขี่ยสายไมค์บนพื้นเข้ามาใกล้ด้วยความอิดออด คงดูไม่จริงจังนักจนอาจารย์ต้องวานให้เด็กสโมทั้งสองคนจับตาไว้ด้วย

“กฤติ พีซ รบกวนด้วยนะ เสร็จแล้วไปตามอาจารย์ด้วย”

“เซ็งว่ะ... อะไรก็ไม่ได้ โคตรงก”

บ่นอิดออดกันคนละทีสองทีแต่ก็ยอมเก็บเครื่องไม้เครื่องมือของตัวเองไปด้วย เห็นคนตัวขาวเดินมาคว้าสายไมค์เหมือนตั้งใจจะช่วยก็รีบแย่งกลับมาก่อน เมื่อกี้ใช้เท้าเขี่ยเอาเลยนะเว้ย แถมยังอยู่บนพื้นเสียนานอีก สกปรกตายชัก จะให้ทำให้ได้ยังไง

 “คุณประธานไม่ต้องลดตัวลงมาทำอะไรพวกนี้หรอกครับ เดี๋ยวพวกกระผมทำให้เอง”

เพราะคำพูดกวนประสาทไม่น้อยเลยได้สายตาค้อนควับกลับมาให้ คงไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะเหตุการณ์เล่นนี้เกิดขึ้นหลายรอบอยู่ และต้องเป็นเขาทุกครั้งที่ถูกเรียกตัวให้ไปตามอาจารย์แล้วพากันมาไล่ผมที่นี่

“...อาจารย์ให้ช่วย”

“เอาหน้าว่ะ”

“เฮ้ย พูดดีๆ ก็ได้มั้ง พวกเราก็ไม่ได้อยากมายุ่งหรอกถ้าไม่มีคนเขียนร้องเรียนไปถึงสโมสร”

เหม็นขี้หน้าคือคำที่ผมมีให้กับคนชื่อกฤติ อยากจะหันกลับไปคว้าคอเสื้อเขย่าหลายๆ ทีแล้วถามว่ามีปัญหาอะไรมากไหม แต่เพราะสายตาห้ามปรามของคนตรงหน้า จึงไม่ทำอะไรแล้วแกล้งก่อกวนเขาแทน

“เป็นประธานนักศึกษาแต่ต้องให้ลูกไล่ออกหน้าให้เหรอ?”

“อย่าเรียกเขาแบบนั้น รีบเก็บของรีบไปเถอะครับ พวกคุณน่ะ”

อ่า... กอดอกแล้ว สงสัยจะเล่นมากไปหน่อย แต่ให้ตายเถอะ บางทีผมก็คิดว่าพีซเหมาะจะมาเรียนคณะเดียวกับผม แต่เป็นเอกการแสดงแทน เพราะเขาไม่เคยหลุดแสดงสีหน้าอะไรให้คนอื่นสงสัยเลย แถมบางทียังอินเสียจนผมก็ใจหายว่ากลับไปหอจะยังโดนเย็นชาใส่ต่อหรือเปล่า

“แล้วเจอกันคุณประธาน อย่าลืมเซ็นเอกสารขอแสดงกิจกรรมของคณะนิเทศด้วยล่ะ”

“ผมต้องขออ่านก่อนครับ”

ไหวไหล่ตามประสาอย่างที่ชอบทำรับคำพูดของคุณประธานตัวเล็ก ก่อนจะฉีกยิ้มที่ชอบใช้กับเขาในเวลาแบบนี้ไปให้ก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนตัวเอง ไม่วายขยิบตาใส่คนที่เริ่มหัวร้อนไปอีกทีเป็นการเย้า ดูเอาสิ มุมปากตกลงห้ามิลแล้วนั่น แสดงว่ากำลังหมั่นไส้ผมอยู่ในใจแน่ๆ

ตัวโน้ตของท่อนฮุคเป็นท่อนที่คนจะจดจำได้ไวที่สุด จึงต้องใช้ทำนองให้พอเหมาะ ยิ่งกับเพลงเมทัลยิ่งต้องกะจังหวะให้พอดี ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เครื่องเสียงพังเอาได้





 

กิจกรรมเป็นของคู่กับนักศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี ยิ่งกิจกรรมเยอะและหญ่เท่าไหร่ นักศึกษาที่มีส่วนร่วมในงานก็จะยิ่งเยอะขึ้นเท่านั้น ขนาดพวกที่นานๆ จะโผล่มาให้เห็นสักทียังต้องมีส่วนร่วมไปกับเขาด้วย คล้ายจะเป็นอาการที่ติดต่อกันทางอากาศ และสร้างความครื้นเครงจนเกือบลืมไปว่าที่นี่คือสถานที่สำหรับศึกษาหาความรู้

โดยเฉพาะกับกิจกรรมประจำปีอย่างการรับน้อง ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็พร้อมใจช่วยกันทำหน้าที่ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มนักร้องประจำมหาวิทยาลัยอย่างพวกผมก็ตาม

"เดี๋ยวรวมน้องเสร็จหมดแล้วไปเจอที่ลานกว้างเลยแล้วกัน จะรีบไปเปลี่ยนชุดก่อน"

"ได้ๆ ฝั่งเวทีไปเตรียมตัวเลย ตรงนี้อีกพักนึง"

โบกมือบอกลาเพื่อนๆ ในคณะที่กำลังต้อนรุ่นน้องหน้าใหม่เข้ามาในเต้นท์ก่อนจะช่วยกันขนเครื่องดนตรีสำหรับการแสดงเย็นนี้ไปที่ห้องพักนักแสดง แม้วงผมจะไม่ใช่วงแรกๆ ที่ขึ้นโชว์แต่พวกเราก็มักจะไปพักวอร์มร่างกายกันก่อนเพื่อลดอาการตื่นเต้นลง

"นึกว่าปีนี้จะไม่ได้แสดงแล้วนะเนี่ย เห็นพวกอาจารย์คัดค้านกันใหญ่"

"เออ ไม่รู้ซีเรียสอะไรนักหนากับการมีคอนเสิร์ตกลางโรงเรียน ดีนะที่เปลี่ยนใจยอมให้มีได้ สงสัยคนคงประท้วงหลังจากรู้เรื่องมั้ง"

ฟังเพื่อนคุยกันแล้วผมต้องพยายามกลั้นยิ้มมุมอย่างสุดความสามารถ เรื่องที่อาจารย์จะไม่ยอมให้มีคอนเสิร์ตแต่แรกนั้นเป็นเรื่องจริง เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่สมควรจะมีในช่วงรับน้องวันแรก จะเป็นการมอมเมาเยาวชนอะไรจำพวกนั้น ซึ่งผมว่าเหตุผลมันแปลกไปหน่อย ตอนรู้ก็หัวร้อนอยู่เหมือนกัน แต่พอใครบางคนเสนอตัวว่าจะลองต่อรองให้อีกรอบก็ใจชื้นขึ้น ยิ่งวันที่มีประกาศตารางการแสดงแปะหราบนบอร์ดหน้าโรงอาหารยิ่งอยากจะวิ่งไปห้องสโมสรนักศึกษาให้รางวัลคนเก่งสักดอกสองดอก แต่ก็กลัวจะโดนคาดโทษที่ครั้งก่อนซนจนเอกสารเละเทะไปหมดเลยได้แต่รอให้ถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแทน

คิดอะไรเพลินๆ จนเดินมาถึงโซนเวทีที่ถูกเนรมิตรขึ้นจากเด็กฝ่ายศิลป์ สามหนุ่มสามมุมอย่างพวกผมรีบเปลี่ยนจากเสื้อคณะสำหรับงานรับน้องเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายตัวตามที่นัดแนะกันมา

"เดี๋ยวเข้าไปเช็คอุปกรณ์กันก่อนเลยนะ ขอคุยโทรศัพท์กับที่บ้านแป๊บ"

ชูเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสั่นอยู่ในมือให้เพื่อนร่วมวงดูพร้อมส่งกีต้าร์ตัวโปรดที่หอบหิ้วมาด้วยให้เพื่อนนำไปจัดการแทนก่อน

"รีบๆ ตามมาละกัน สาวๆ เขามาจ่อรอดูหน้าเดือนนิเทศกันเต็มหน้าเวทีแล้วมั้ง"

"ตลกเหอะ เดี๋ยวรีบตามไปเว้ย"

มองตามแผ่นหลังเพื่อให้แน่ใจแล้วว่าทั้งคู่เดินไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา ผมก็เดินวนกลับเข้ามายังห้องแต่งตัว ไม่รอช้า เคาะประตูห้องสุดท้ายที่ถูกปิดอยู่ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาพร้อมกลุ่มตัวเองแล้ว

"เด็กน้อย เปิดประตูให้เหลียงหน่อยครับ"

เสียงปลดกลอนจากอีกฝั่งของประตูดังขึ้นพร้อมบานประตูที่ค่อยๆ ถูกแง้มเปิดออก เหมือนฉากในหนังสยองขวัญ ต่างกันตรงที่ด้านหลังประตูนี้มีคนที่ผมกำลังอยากเจออยู่ ไม่ใช่ตัวประหลาดวายร้ายเหมือนในหนังพวกนั้น

"บอกว่าให้เลิกเรียกแบบนี้ไง"

"ตัวแค่นี้เรียกเด็กน้อยก็เหมาะแล้วนี่"

พีซไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางอะไรขนาดนั้น เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วน แต่พอมายืนเทียบกับผมไม่ว่ายังไงก็ดูเด็กน้อยอยู่ดี หัวเขายังอยู่แค่ระดับปลายคางพอเหมาะให้ใช้แทนที่วางได้ เห็นไหมว่าเหมาะกับคำเรียกจะตาย

"...ไปเตรียมงานต่อดีกว่า"

"เดี๋ยวๆ เหลียงล้อเล่น ไม่แกล้งแล้ว"

ใช้ความได้เปรียบทางกายภาพปิดทางออกของเขาไว้พร้อมเดินหน้าบังคับให้คนตัวเล็กต้องเดินถอยหลังกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวเหมือนเดิม ไม่ลืมปิดประตูลงกลอนเอาไว้อย่างเรียบร้อยด้วย

คุณประธานคนเก่งเงยหน้ามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้หลังมือเช็ดคราบเหงื่อที่เริ่มซึมทั่วกรอบหน้าให้ พอเขาเปิดช่องว่างก็ถึงทีของผมที่จะได้เก็บเล็กเก็บน้อยเสียที รั้งเอวบางเข้ามาใกล้จนที่ว่างระหว่างเราลดลงก่อนจะจัดทรงผมที่เริ่มยาวแล้วของเขาให้เข้าที่ ผมชอบความละมุนของทุกช่วงเวลาที่เราได้ใช้ด้วยกันพอๆ กับความตื่นเต้นเวลาทำเรื่องเสี่ยงๆ ในสถานที่ที่ไม่ควรอย่างเช่นตอนนี้

“ถ้าแต่งหน้าหน่อยจะเหมือนไอดอลเกาหลีป่ะ?”

“ถ้ารองพื้นไม่ไหลมากองรวมกันก็น่าจะเหมือน เหลียงหน้าตาดีอยู่แล้ว”

“โหย... ขอประโยคเมื่อกี้ใหม่หน่อยดิ จะอัดไว้ฟังวนหลายๆ รอบ”

พีซหัวเราะแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตบอกผมเบาๆ เป็นสัญญาณให้ถอยห่างออกจากเขาได้แล้ว แต่ใครจะยอมล่ะ วันนี้ทั้งวันยังไม่มีโอกาสเนียนไปหาเลยเพราะคำว่าหน้าที่มันค้ำคอ จนกระทั่งอีกฝ่ายส่งข้อความมาให้ตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังจะแยกจากคณะเพื่อมาเตรียมตัวนั่นแหละว่ารออยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นคงต้องไปชะเง้อเอาตอนอยู่บนเวทีว่าเขาไปหลบอยู่ตรงไหน

“ไปเตรียมตัวเถอะ”

“ยังไม่ได้กำลังใจเลย เดี๋ยวขึ้นไปร้องเพลงไม่ได้ จับกีต้าร์ไม่ถูกคอร์ด งานจะล่มเอานะ”

ยักคิ้วให้กับเจ้าของมุมปากตกห้ามิลแล้วเดินหน้าเป็นการบังคับให้เขาต้องเป็นฝ่ายถอยหลังไปจนชนกำแพงห้อง ยื่นหน้าไปใกล้อีกนิดให้ปลายจมูกของเราทั้งคู่ชนกัน ประธานคนเก่งจะเขินเวลาที่ผมทำแบบนี้ และครั้งนี้มันก็ได้ผลไม่ต่างกันเมื่อพวงแก้มใสเริ่มระเรื่อเป็นสีชมพูน่ารักที่ไม่เหมาะกับผมแน่ๆ ถ้ามันมาขึ้นบนหน้าบ้าง

“ขอกำลังใจหน่อยครับ”

“...บังคับแบบนี้ไม่เรียกขอนะ”

“แต่ถ้าไม่ให้ตอนนี้จะจับเอาขาพาดบ่าไม่ให้ออกไปเจอโลกจนกว่างานจะจบนะ”

“เหลียงอย่าทะลึ่ง”

หัวเราะให้กับสายตาเด็ดขาดของเขาแล้วกดริมฝีปากลงไปหนักๆ ออดอ้อนคนจริงจังให้ยอมตามใจด้วย แล้วก็ได้ผล เมื่อผมได้รับจูบหวานๆ ตอบกลับมา เราแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกัน รู้สึกถึงอารมณ์ที่เริ่มพลุกพล่านของเราทั้งคู่ วงแขนเรียวที่เปลี่ยนจากผลักไสเป็นรั้งคอผมให้เข้าหาวงหน้าของเขามากยิ่งขึ้น

ความรู้สึกราวกับยืนอยู่บนปุยเมฆเกือบจะทำให้กระดุมบนเสื้อเขาเริ่มหลุดอยู่แล้วถ้าเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ไม่สั่นขึ้นเสียก่อน แม้จะอิดออดแต่ก็จำต้องผละใบหน้าออกจากกัน ไม่วายงับปากนิ่มไปอีกทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและรู้ว่าต้องไปแล้วเมื่อชื่อที่โชว์หราอยู่บนนั้นคือหนึ่งในสมาชิกร่วมวงของผมนั่นเอง

“...เริ่มไม่อยากไปแสดงแล้วอ่ะพีซ”

“อย่างอแง เดี๋ยวจะยืนดูแถวๆ นั้น”

“จะเอาดอกไม้มาให้เหลียงด้วยไหม?”

“วันเปิดเทอมคงได้เห็นข่าวประธานสติแตกขึ้นหน้าหนึ่งบนวารสารมหาวิทยาลัยแน่ถ้าทำ”

ยีหัวกลมๆ ไปหนึ่งทีเพราะคำพูดคำจานั้น แม้จะเสียดายที่เวลาลับๆ ของเราหมดลงแล้ว แต่ก็ยอมปล่อยให้เขาออกจากอ้อมกอดเพื่อกลับไปทำหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย

“หลังงานเลิกจะไปหาที่ห้องสโมแล้วกันนะ”

“อืม... เหลียง”

“หืม?”

“สู้ๆ นะครับ”

อ่า...ไม่อยากเล่นแล้วกีต้าร์ อยากเล่นกีฬาในร่มผ้าแทน

แต่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลา ผมเลยทำได้เพียงยิ้มตอบกลับเจ้าของกำลังใจ อดทนอดกลั้นความรู้สีกของตัวเอง อยากจะเร่งให้เวลาของวันนี้หมดไปให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับหอไปนอนกกคุณประธานที่เก่งไปเสียทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของเรา

ตัวโน้ตของเพลงบางเพลงอาจสลับซับซ้อนจนดูไม่น่าจะบรรเลงได้ แต่กลับตราตรึงให้วนกลับไปฟังซ้ำหลายๆ ครั้งเมื่อเพลงจบ

คงเหมือนเรื่องราวของพวกเรา ที่แม้จะไม่เรียบง่ายทว่าลงตัวในรูปแบบของมัน





 

THE END





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีกับตอนสุดท้ายของซีรีส์นี้ค่ะ รู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเราอยู่ด้วยกันมานานมากเลยพอจะจบก็เหงาๆ นิดหน่อย    :hao5:

สำหรับบางคนที่ถามมาเรื่องรวมเล่ม มีข่าวดีค่ะแต่เดี๋ยวเราจะมาแจ้งอีกครั้งเนอะถ้ารายละเอียดเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่โป๊ะ 555555555555555555

ท้ายที่สุดนี้ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะที่เข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจกันอยู่ตลอด เราทำความชอบของเราให้ออกมาสำเร็จได้ก็เพราะทุกคนอ่านแล้วรู้สึกแฮปปี้ไปกับเรื่องราวที่เราเขียนนี่ล่ะค่ะ!

แล้วเจอกันกับผลงานใหม่+งานเก่าที่ค้างอยู่ อย่าลืมรักษาสุขภาพกายและใจกันด้วยนะคะ

ด้วยรัก :L1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-09-2017 14:35:17
ชอบๆ คู่สุดท้ายนี่พิเศษจริงๆ
รอติดตามต่อไปนะคะ
ขอบคุณค่ะ เขียนได้ดีจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 24-09-2017 17:29:49
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-09-2017 17:43:44
คู่สุดท้ายอ่านแล้วมีงงๆ เล็กน้อย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2017 19:09:53
รักเร้น ชอบบบบบ  :katai2-1:

เหลียง พีซ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 24-09-2017 19:54:25
เหลียง คนหลงแฟน  น่ารักก   :-[
พอเป็นมุมเหลียงเล่าแล้ว ทำให้ดูน่ารักกว่าตอนที่แล้วขึ้นเยอะเลย
เหลียงก็เอะอะลวนลามพีชตลอด พีซก็ลงไม้ลงมือตลอด หรือจริง ๆ คู่นี้เป็นมาโซฯ555
ในที่สุดก็มาถึงตอนจบของซีรีย์แล้ว จริง ๆ แต่ละคู่นี่ สามารถเขียนเป็นเรื่องยาว ๆ ได้ทุกคู่เลยนะเนี่ย
ยังไงก็ขอบคุณคนเขียน สำหรับนิยายน่ารักมาก ๆ เรื่องนี้ค่ะ เป็นนิยายที่อ่านแล้วอารมณ์ดีจริง ๆ
ติดตามผลงานเรื่องต่อไปน้า หวังว่าจะเป็นนิยายฟีลกู๊ดดีต่อใจอีกนะคะ
ขอบคุณมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 24-09-2017 22:43:22
:o8: :heaven
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 25-09-2017 00:50:49
คู่สุดท้ายนี่ลับๆล่อๆกันจริง
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-09-2017 08:54:56
จบแล้ว ไม่อยากให้จบเลย :bye2:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-09-2017 09:06:47
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 25-09-2017 17:12:01
 o13
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 28-09-2017 15:19:36
ชอบคู่ไบร์ทแซนนิ่งๆย่ารักดี คู่อื่นก็น่ารัก คู่เหลียงพีซนี่สุดจริง เล่าจากมุมพีซแช้วเหลียงน่าหมั่นไส้แต่พอเหลียงเล่าจะเห็นความห่วงเมียอยู่สูงมาก ไล่ไม่ให้เก็บไมค์เพราะกลัวมือเมียสกปรก จ้า 555 ขอบคุณมากเลยสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 01-10-2017 20:53:30
สนุกมากทุกคู่เลย
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-10-2017 23:46:29
มาครบแนว มีทุกสไตล์ แบบว่าจัดคุ้มมากค่ะ

น่ารักทุกคู่ รุกหนัก แอบรักแอบมอง ตามตื้อ ซ่อน ลับลวง

ส่งท้ายได้ดีค่ะ คู่สุดท้ายชอบความเร้าใจซะงั้น ปิดมาได้นานขนาดนี้ สามารถมาก

มีคำเรียกชื่อผิดเยอะอยู่เหมือนกันนะคะ

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ แต่งเรื่องได้น่าติดตามดี เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 02-10-2017 13:33:45
ชอบคู่ป๋าไนท์ที่สุด พระเอกเถื่อนๆ ดี
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 03-10-2017 01:55:15
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
น่ารักทุกคู่เลยย
เป็นความรักที่แตกต่างกันไปในหลายๆแง่มุม
ของคุณสำหรับนิยายค่ะ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 03-10-2017 16:27:35
สนุกมากๆค่ะ
ชอบไปทุกกคู่เลย ชอบความกัวเมียของกวิน ชอบความหื่นของเหลียง ชอบความบังเอิญเกินไปของพี่ไบรท์ ชอบความเด๋อของน้องพีช ชอบความแมนมากของพี่รักษ์ ชอบบบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: Minoru88 ที่ 05-10-2017 08:21:34
คู่นี้ก็น่ารักไปอีกฟิวนึงเลยย

รักแบบต้องการความตื่นเต้น 5555
รักแบบซ่อนๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-10-2017 17:50:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-02-2018 23:39:36
น่ารักทุกคู่เลย..ยยยยยยย   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 17-05-2018 15:09:48
 :-[ :-[ :-[

ดีทุกคู่เลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 02-06-2018 16:53:08
 :m1: ฟินทุกคู่

ดีต่อใจทุกคน :m2: น่ารัก :m3:

อยากให้ขยายเป็นเรื่องยาวเลย  :impress2: