► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ► มหา'ลัยเดอะซีรีส์ ll ตอนที่ 20 เหลียงพีซ #นิเทศเทใจ (24.09.17) END  (อ่าน 62651 ครั้ง)

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
น่ารักจัง มีความชอบแกล้งคนที่ชอบ อิอิ :hao3:

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
มาบอกว่าชอบเรื่องนี้ฮะ น่ารักทุกคู่เลย
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกให้ได้อ่านนะคร้าบบบบบ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[8]







ผมโดนทำเสน่ห์

โดยผู้ชายที่กำลังทำหน้าทำตาเหมือนมั่นใจว่าตัวเองกวนตีนเต็มที่ แต่สำหรับคนมองอย่างผมมันโคตรน่าหมั่นเขี้ยว

"หึ ไงล่ะไอ้หมาภพ ไม่คิดล่ะสิว่าจะมาเจอคนหล่อๆ แบบกูที่นี่"

ไม่พูดเปล่า ผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเองเกินร้อยอย่างกันต์ยังกอดอก ยกยิ้มมุมปาก แถมยักคิ้วใส่ผมอีกด้วย ดูท่าทางจะพอใจในการกระทำของตัวเองมากทั้งที่ยังไม่รู้แม้แต่น้อยว่าการที่มันมายืนอยู่ตรงนี้ก็เท่ากับแพ้ให้คำยุยงโดยอ้อมของผมแล้ว

"ท้าดีนัก บอกเลยว่าสร้างห้องสมุดแค่นี้ไม่คณามือเด็กวิศวะแบบพวกกูหรอก

เดี๋ยวจัดให้สวยเนี้ยบแถมสว่างจนเห็นไปหมู่บ้านข้างๆ"

"ให้มันจริง ตัวแค่นี้แบกปูนนิดหน่อยก็ลมจับแล้วมั้ง"

"กวนตีน รอเรียกกูว่าพี่กันต์ได้เลย"

พูดจากระฟัดกระเฟียดไม่พอใจก่อนจะย้ายมวลสารของตัวเองกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ดูเอา หยอกนิดหยอกหน่อยก็อารมณ์เสีย สงสัยจะขาดแคลเซียมไปบำรุงร่างกาย

ผมขยับแว่นที่เลื่อนลงมาบนสันจมูกก่อนก้มไปดูตารางกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมเอาไว้ต่อวันนี้เป็นวันแรกของกิจกรรมค่ายอาสา สร้างห้องสมุดให้เด็กๆ ในพื้นที่ทุรกันดาร ผมร่วมกิจกรรมมาตั้งแต่ปีหนึ่งแม้กระทั่งตอนนี้ที่ตารางเรียนแน่นขนัดแต่เพราะความชอบและความประทับใจจากกิจกรรมเมื่อปีก่อนๆ ยังอยู่ จึงไม่พลาดที่จะลงชื่อร่วมด้วยเมื่อเห็นใบรับสมัครบนบอร์ดคณะ เพียงแต่ไม่คิดว่าคนที่ผมเพิ่งจะต่อปากต่อคำด้วยจะยอมลงสมัครเพียงเพราะโดนผมท้าทายไว้







วันนั้นผมแวะไปหากันต์ที่คณะวิศวะให้มันกัดด้วยข้ออ้างว่ามารอเพื่อนและที่นั่งตรงกลุ่มมันก็ว่างพอดีเหมือนที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ทันได้ยินอีกฝ่ายคุยกับพวกสานว่าไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมเลยสักครั้งเพราะมีเหตุให้ไม่สามารถไปร่วมได้ตลอด พอย้อนคิดดูแล้วก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะตอนปีหนึ่งมันชวดโอกาสไปด้วยติดธุระกับทางครอบครัว พอมาปีสองก็ไปคบกับคนชื่อนิ่มและผู้หญิงคนนั้นก็ไม่อยากให้มันมา เห็นว่าเพราะเธอไม่อยากมาลำบากและไม่อยากอยู่ห่างแฟนหรือยังไงนี่แหละ ช่วงนั้นกันต์มันก็หลงเลยยอมตามใจไม่มาตามไปด้วย

แต่มาปีนี้พ่อแม่ก็ไม่เรียกกลับบ้าน แถมเพิ่งเลิกกับแฟนด้วยเหตุผลโคตรบัดซบอีก ทำให้กันต์เริ่มคิดถึงการมาค่ายจริงจัง แต่ก็ไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ว่าไอ้ค่ายอาสานี่ทำอะไรบ้าง แถมทางมหาวิทยาลัยยังให้ร่วมด้วยตั้งสองอาทิตย์ ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมก็ปากหมาแซวมันไป ใจหนึ่งแซวเพราะอยากแซวจริงๆ แต่อีกใจก็รู้ว่าถ้าพูดจากวนตีนไปแล้วคนไม่ชอบความพ่ายแพ้ต้องมีปฏิกิริยาเป็นแน่

"กลัวลำบากก็บอก แต่ไม่เป็นไร เรียนจบไปมึงก็ไม่ลำบากเหมือนไปค่ายหรอก เมียคนเดียว กูเลี้ยงได้"

"ละเมอแทะโต๊ะไปเถอะมึงน่ะ!"

            ไม่ผิดจากที่คาด ไอ้กันต์หน้าดำหน้าแดงด่าที่ผมไปเรียกมันว่าเมียแล้วบดส้นเท้าลงรองเท้าหนังแท้ราคาสูงของผมเสียเจ็บไปหมด ยอมให้ไปก่อน รอก่อนเถอะ... จีบติดเมื่อไหร่พ่อจะเอาคืนทีเดียวทั้งต้นทั้งดอก







"อืม... ก็ไม่คิดจริงๆ นั่นแหละ"

ผมพึมพำมองมันหัวเราะอยู่ในกลุ่มเพื่อน ไม่เคยคิดจริงๆ ว่าตัวเองจะมาชอบผู้ชายด้วยกันจนมาเจอมัน

พวกยาชอบแซวว่าผมชอบกันต์เพราะความประทับใจแรกพบของพวกเรา เหตุการณ์ที่จะตราตรึงใจอีกฝ่ายไปตลอดชีวิต เพราะแทนที่ผมจะจับตัวจับหน้าเดาชื่อเพื่อนในกลุ่ม ดันพลาดไปจับหนอนน้อยมันเต็มๆ แถมตอนนั้นยังตกใจเลยพูดจาทำลายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายทำให้มันเกลียดขี้หน้าเอาเสียอีก แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงแล้วเรื่องนั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นต่างหาก มารู้ตัวว่าชอบจริงๆ ก็นู่น ตอนกันต์คบนิ่ม เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ผมไม่ค่อยถูกชะตา เลยทำให้ห่างๆ กันไปและยิ่งห่างก็ยิ่งรู้ว่าที่คิดกับกันต์ ที่คอยตามแกล้ง ตามกวนตีน เดินมาหาที่คณะทั้งที่ไม่ได้นัดกับเพื่อนไว้ก็เพราะร่างกายกำลังทำตามคำเรียกร้องของหัวใจนั่นแหละ

เสี่ยวแดกมาก อย่าให้มันรู้ความลับนี้เชียว ล้อยันเป็นผัวเมียกันร้อยรอบก็ไม่เลิกแซวแน่

"เฮ้ยภพ! มึงยังไม่มีกลุ่มใช่ป่ะ? พวกไอ้ปอนด์มันจับกันเองไปแล้วว่ะ มึงมาเติมกลุ่มกูให้ครบห้าหน่อยดิ จะได้พอดี"

เงยมองตามเสียงยา  เพื่อนสนิทในกลุ่มของคนที่ผมกำลังนินทาอยู่ในใจ กูเห็นนะครับว่าดึงชายเสื้อเพื่อนยิกๆ พยายามห้ามเต็มที่ แต่หึ... กลุ่มมันก็คนกันเองกับผมทั้งนั้น ไม่รู้หรอกว่าเชื่อเรื่องที่แซวหรือเปล่า แต่ชงมาขนาดนี้จะไม่ให้แล้วไม่ยกดื่มก็จะกระไร มีโอกาสทั้งที

"ได้ จะมาเฝ้าเมียด้วย"

"ใครเมียมึง?"

"ก็ไม่ได้พูดชื่อนะ แต่ร้อนตัวแบบนี้แสดงว่าอยากเป็น"

"ไอ้หมา!"

"พูดจาไม่สุภาพ นี่หมอ หรืออยากเรียกผัวก็ย่อมได้"

"พวกมึงไม่น่าเรียกแม่งมาเลย"

ดูเอานะคนเรา พอเถียงไม่ได้ก็เริ่มไปลงที่เพื่อน พงศ์ก็ขำใหญ่เลยโดนตวัดสายตาดุๆ มองเสียหนึ่งที แต่อย่าลืมนะครับต่อให้มันเป็นเด็กวิศวะสุดเถื่อน เพื่อนมันก็พวกเดียวกัน มีหรือที่เขาจะกลัว ขู่ได้ขู่ไป เพื่อนๆ ก็ไม่เลิกล้อหรอก

"แล้วนี่มึงต้องไปทำอะไรก่อนป่ะ? เห็นว่าพวกคณะแพทย์ต้องให้บริการตรวจสุขภาพอะไรด้วยนี่ เหมือนที่ทำตลอด"

สานถาม รายนี้มากับผมทุกปีแถมเพื่อนสนิทผมที่เรียนอยู่วิศวะก็รู้จักมันด้วย พยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วชี้ไปยังกระเป๋าใส่อุปกรณ์จำเป็นที่สะพายไว้บนบ่า ทีมน.ศ.แพทย์มีบริการตรวจสุขภาพฟรี แต่ไม่มีการจ่ายยา หากเจอคนป่วยก็ทำการส่งให้ทางอนามัยเป็นผู้ดูแลเพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้ใบอนุญาตจะให้มาจ่ายยาผู้ป่วยง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณ แต่ถ้าพูดถึงตรวจที่คลินิกก็เปิดโอกาสให้ผมพอดี

"ก็มีไปช่วยตรวจที่คลินิก แต่ยังขาดผู้ช่วยอยู่ คนที่อยากให้ไปด้วยก็ดันไม่อาสาตัว"

พูดพลางมองคนที่ยืนลอยหน้าลอยตาทำเหมือนไม่ได้ยินใส่ผมอยู่ ครับ นั่นแหละความกวนตีน

"นี่ไง เอาไอ้กันต์ไปดิ เดี๋ยวพวกกูไปช่วยน้องๆ ยกอิฐ"

"ตลก กูก็จะไปยกอิฐ หน้าที่นั้นกูจองแล้ว"

"มึงไปกับไอ้หมอแล้วค่อยกลับมา เพิ่งมาปีแรกทำอะไรไม่เป็นหรอก อยู่แล้วเกะกะสัส"

ทำหน้าขัดใจเชียว น่าสงสารเหมือนกันนะที่โดนเพื่อนปฏิเสธแถมยังใส่พานถวายให้ผมขนาดนี้ ทั้งที่คนทำหน้าที่ยกอิฐก็รุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งมาทั้งนั้นแต่ตัวเองที่เป็นพี่ปีสามดันถูกหาว่าเกะกะ แต่อย่าคิดครับว่าพวกยาจะเปลี่ยนใจ นู่น เดินกอดคอนำลิ่วไปนู่นแล้ว เหลือผมกับกันต์ที่ยังทำหน้าสับสนอยู่ตรงนี้

“...จะไปไหนก็ไปดิวะ จะยืนให้รากมันงอกหรือไง”

“ครับๆ เมียหรือแม่วะดุจัง”

หยิกแก้มมันไปหนึ่งทีแล้วรีบสาวเท้าหนีก่อนจะโดนถีบ กันต์มันคงอึ้งไปเลยครับ กว่าจะเดินตามมาก็ตอนผมหันไปกระตุ้นด้วยการกวนตีน แม้หน้าจะงอง้ำด้วยความไม่พอใจแต่แอบเห็นหูที่พ้นเส้นผมมามีสีแดงจางๆ ระบายอยู่ เห็นแล้วก็ยังใจชื้น ดูท่าวิธีจีบแบบนี้จะไม่แย่เท่าไหร่

แม้จะบอกว่ามาช่วยที่คลินิก แต่สำหรับพื้นที่ทุรกันดารแบบนี้สิ่งที่พอจะให้หมอสมัครเล่นอย่างผมมาทำหน้าที่ก็บ้านไม้ขนาดกลางที่มีใต้ถุนบ้านไว้สำหรับวางแคร่ของผู้ป่วยหนัก จากที่ฟังแล้วไม่มีใครมาใช้บริการบ่อยนักเพราะคนต่างจังหวัดที่สัมผัสธรรมชาติมาตลอด ร่างกายย่อมแข็งแรงกว่าคนเมืองกรุงอย่างเราๆ กันอยู่แล้ว  จะมีก็แต่เด็กตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่เคยได้รับการตรวจสุขภาพจริงจังนั่นแหละที่จะถูกเกณฑ์มารวมตัวกันในช่วงเวลานี้เพื่อให้น.ศ.แพทย์ตรวจกัน

"ทำไมคนอื่นเขาไม่เห็นมีผู้ช่วยเลย มีมึงคนเดียวเนี่ยพากูมา ตอแหลเหรอไอ้หมา"

ผู้ช่วยจำเป็นเอ่ยถามเมื่อมองไปรอบคลินิกไม้แล้วพบเพียงเด็กคณะแพทย์ที่เป็นเพื่อนร่วมคณะของผมเองเพียงสี่ห้าคนและแต่ละคนก็หันมาทักทายกันก่อนหลับไปจัดการอุปกรณ์ตรวจของตัวเอง แน่ล่ะว่าของแค่นี้ทำเองได้ ผู้ช่วยอะไรไม่จำเป็นต้องมีหรอก

"ตอแหลที่ไหน ก็ให้มาช่วยนี่ไง"

"ช่วยอะไร ไหนมึงบอกมาสิ"

"ช่วยนั่งข้างๆ แล้วให้กำลังใจผัวด้วยนะครับที่รัก"

"ไอ้หมาภพ!"

"ชู่ว เด็กๆ มาแล้ว อย่าพูดจาไม่สุภาพครับ"

ผมยกนิ้วแตะปากปรามก่อนหันไปมองเด็กหัวเล็กๆ ที่เดินเรียงแถวกันเข้ามาสวัสดี หน้าที่ของผมเริ่มแล้วครับ ปล่อยให้คนหลงกลตามมานั่งทำปากยื่นอยู่ข้างๆ ต่อไปนั่นแหละ

“เอ้าเจ้าหนู อย่าเพิ่งตีกันดิ มาให้หมอตรวจก่อนเร็ว”

“พี่ชายเป็นหมอเหรอ? ทำไม่ไม่ใส่เสื้อสีขาวๆ อ่ะ ไม่มีหูฟังด้วย?”

“ฉลาดนะเนี่ยรู้ว่าหมอต้องใส่เสื้อขาว แต่ไม่อะ พี่ไม่ใช่หมอ เป็นนายช่างมากกว่า”

“ที่ซ่อมนี่นั่นเหมือนพ่อผมอ่ะเหรอ?”

“ใช่ๆ นายช่างแบบนั้น ซ่อมได้โดยเฉพาะเรื่องไฟ”

ผมถอดหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อให้ได้ยินว่าคนที่นั่งข้างๆ กำลังคุยอะไรกับเด็กๆ ที่กำลังต่อแถวรออยู่บ้าง กันต์มันเข้ากับเด็กได้ไวนะครับ ถึงปกติจะชอบตีหน้านิ่งให้ดูดุข่มขวัญตามประสาคนยึดมั่นว่าคณะวิศวะต้องมาดเข้มทั้งที่จริงแล้วหน้าตาไม่ได้กระเดียดไปทางนั้นด้วยซ้ำ หากจะบอกว่าผมไม่เหมือนคนเป็นหมอนอกจากผิวขาวกับใส่แว่น กันต์มันก็ไม่เหมาะกับการเป็นวิศวะนอกจากผิวสีแทนที่เกิดขึ้นเพราะชอบเฮละโรไปเตะบอลกับเพื่อน ถ้าขาวเท่าผมมันคงเป็นประเภทตี๋ขาวตาเฉี่ยวแบบที่สาวๆ ชอบเรียกกันประมาณนั้น

ดูท่าว่าเด็กคนถัดไปที่เมื่อครู่ยังยืนตีกับเพื่อนจะไม่ทันรู้ตัวว่าถึงตาตัวเองแล้ว เพราะเอาแต่ทำตาโตปากกลมมองหน้านายช่างอยู่ ดูท่าจะประทับใจไม่น้อยที่มีคนทำอาชีพเดียวกับคุณพ่อของตัวเอง จนกันต์ต้องอุ้มร่างผอมๆ มานั่งบนเก้าอี้แล้วส่งสายตาดุๆ มาสั่งให้ผมตรวจต่อไป

“แล้วพี่ทำหุ่นยนต์ได้ป่ะ?”

“ก็ทำได้ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย”

“ตอนอยู่นี่พี่ทำให้หน่อยดิ”

“ถ้ามีเวลาจะทำให้แล้วกัน ไม่สัญญานะ เคป่ะ?”

เด็กตัวเล็กพยักหน้าใหญ่ เขาเป็นเด็กสุขภาพดีทีเดียวเมื่อได้ฟังอัตราการเต้นของหัวใจและตรวจสภาพช่องปากช่องหู

แต่ติดที่น้ำหนักนี่สิ ค่าเฉลี่ยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน ต้องเขียนบอกผู้ปกครองให้ดูแลเรื่องอาหารการกินเสียหน่อย





 

“ชอบเด็กเหรอ?”

การตรวจสุขภาพเด็กๆ ในหมู่บ้านใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่นัก พอเกือบเที่ยงก็ตรวจได้ครบทุกคนแล้วผมกับผู้ช่วยจำเป็นที่เดินตัวปลิวฮัมเพลงสบายใจอยู่ข้างๆ ก็ย้ายจากคลินิกบ้านไม้เพื่อไปรวมตัวกลับกลุ่มสมาชิกคนอื่นๆ รอเวลามื้อกลางวันที่กำลังจะถึง

“เด็กๆ ก็น่ารักดี”

รอยยิ้มอย่างเต็มใจที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นจากกันต์ถูกส่งให้ผม ดูท่าจะอารมณ์ดีมากจนลืมว่าปกติเราต้องตีกันมากกว่านี้

“แล้วอยากมีเป็นของตัวเองป่ะ?”

“ไม่อะ ไม่มั่นใจว่าจะเลี้ยงให้โตมาเป็นคนดีได้เลยไม่อยากมี เล่นกับลูกคนอื่นก็สนุกดีอยู่แล้ว”

“เสียดาย คิดว่าถ้าอยากมีจะได้ช่วยทำสักหน่อย”

“เก็บปากไว้แดกข้าวเหอะ”

บ่นเสร็จก็เดินชนไหล่กลับไปหากลุ่มเพื่อนที่โบกมือเรียกหยอยๆ จากโต๊ะไม้อีกฝั่ง จำได้ว่าหลังทานข้าวเสร็จจะเริ่มทำการก่อสร้างห้องสมุดที่เป็นเป้าหมายจริงของการมาค่ายอาสาแล้ว น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เมื่อตอนปีหนึ่งได้ทำห้องน้ำ ตอนปีสองมาได้ทำสนามฟุตบอลให้พวกเด็กๆ มาปีนี้ได้สร้างห้องสมุด รู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยคนที่ไม่มีให้มีได้

ขั้นตอนการทำงานของพวกเราเป็นไปตามแพลนที่ทางประธานค่ายเป็นคนจัดเตรียมไว้ เพราะมีเวลาเพียงสองอาทิตย์กับการจัดการเลยต้องทำให้ไร้ข้อบกพร่องมากที่สุด เมื่อช่วงเช้าของที่จำเป็นต้องใช้ยังขนลงจากรถได้ไม่เท่าไหร่มาตอนบ่ายเลยต้องจัดการในส่วนที่เหลือให้หมด ยังดีที่มีชาวบ้านมาช่วยด้วยอีกแรงการทำงานที่ได้ความร่วมมือจากคนหมู่มากเลยยิ่งสนุกยิ่งขึ้น ดูท่าว่ากันต์ก็คงสนุกไม่แพ้กัน เพราะมองไปทีไรก็เห็นอีกคนวิ่งไปช่วยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว น่าจะเหนื่อยเหมือนกันเพราะอากาศก็ร้อนไม่ใช่เล่น แถมเหงื่อยังชุ่มหลังขนาดนั้น

กว่าจะจัดการสิ่งของทั้งหมดได้ก็กินเวลาเกินสองโมงไปแล้ว หลังจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่บริษัทรับเหมามาลงเสาเข็มให้เพื่อใช้สำหรับขึ้นโครงห้องสมุด ตัวไม้และผู้รับเหมามาทำเป็นส่วนที่ทางโรงเรียนจัดการเลยไม่เหนือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ หลังจากนั้นพวกรุ่นพี่ปีสี่ก็จัดการทำในส่วนของหลังคา และปล่อยให้รุ่นน้องรองลงมาที่จัดแจงแยกกลุ่มกันเรียบร้อยแล้วทำตามหน้าที่กันเอง

กลุ่มของผมรับหน้าที่ในการขนถ่ายสิ่งของที่แต่ละกลุ่มต้องใช้และรับหน้าที่ผสมปูนให้สามารถใช้ได้ตามจำนวนของผู้ร่วมงานฟังเหมือนง่ายใช่ไหมล่ะแค่ผสมปูน แต่ความจริงโคตรยากและโคตรวุ่นวายเลยครับ ต้องขอบคุณไอ้พงศ์ที่มีประสบการณ์จากการช่วยที่บ้านมาอธิบายทีละขั้นตอน ไม่อย่างนั้นจำนวนปูนกับจำนวนน้ำที่ใช้ผสมต้องเหลวเกินกว่าจะเอาไปใช้ฉาบได้แน่

"ยากว่ะ กูนึกว่าแค่เอาน้ำผสมๆ กับปูนก็ใช้ได้เลย นี่อะไร มีทรายมีปูน มีน้ำ แล้วไอ้ถุงๆ นั่นอีก เยอะแยะชิบหาย"

"เออ เนี่ยแหละ มึงทำไปจะได้รู้ว่ากว่าบ้านแต่ละหลังจะได้มามันลำบากแค่ไหน พอทำสำเร็จมึงจะโคตรฟินและรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า"

"หลวงพ่อเทศน์แล้วพวกมึงยังไม่รีบอีก สาธุสิวะ!"

"สาธุ~"

พวกผมสี่คนยืนเรียงกันพร้อมยกมือไหว้ไอ้สานที่เล่นตามด้วยการตบลงมาที่หัวแต่ละคนไม่แรงนัก นี่ล่ะครับ ไม่ได้บุญก็ต้องได้บาปกลับไปบ้างล่ะ

 





ช่วงเวลาในค่ายอาสาผ่านไปรวดเร็วมาก อีกเพียงสองวันพวกผมก็จะปิดกิจกรรมลงอย่างสมบูรณ์แบบ

และห้องสมุดหลังเล็กที่กว่าร้อยชีวิตช่วยกันสร้างก็จะใช้งานได้โดยไม่มีปัญหา ตอนนี้เหลือเพียงทาสีเก็บรายละเอียดและขนชั้นหนังสือมาตั้งพร้อมจัดหนังสือเข้าหมวดหมู่เท่านั้น แค่คิดถึงความสำเร็จที่จะได้เห็นก็ดีใจแล้วล่ะครับ ที่ลงทุกลงแรงกันมาไม่เสียเปล่าแน่นอน

"ทิชชู่"

ทิชชู่เนื้อดีถูกยื่นให้ขณะที่ผมกำลังลากแปรงทาสีลงบริเวณกรอบหน้าต่างไม้ แต่มีหรือที่ผมจะทิ้งโอกาสดีๆ นี้ไป ไม่รอช้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พยักเพยิกให้อีกฝ่ายรู้หน้าที่ของตัวเอง

"มีมือก็เช็ดเอง"

"มีมือแต่มือไม่ว่าง ช่วยเช็ดให้หน่อย"

แม้จะทำเสียงจิ๊จ้ะไม่พอใจเพราะโดนเพื่อนๆ ส่งเสียงแซว แต่ด้วยความใจดี ไอ้กันต์เลยบรรจงปาด ย้ำนะครับว่าปาดทิชชู่ลงบนหน้าผมแรงจนกระดาษขาด แถมยังทำหน้าสะใจจัดอีกด้วย รู้เลยว่าถ้าส่องกระจกจะเห็นหน้าตัวเองแดงเป็นปื้นแถมมีเศษกระดาษติดเป็นหย่อมๆ ด้วย

“มดขึ้นหมดแล้วครับ สองผัวเมียตรงนั้นนะ”

“ไม่ใช่ผัวเมียเว้ย!”

“แหมๆ พวกมึงสองคนไปไหนมาไหนด้วยกัน

แถมยังหวานใส่กันตลอดยังจะมาทำปากแข็ง ไม่ดี๊ไม่ดีนะครับคุณกันต์ ภพไม่สั่งสอนเมียเลย”

ผมทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจราวกับเป็นพ่อบ้านใจกล้าเหมือนไม่สนสายตาเคืองๆ จากคนที่บรรจงปาดทิชชู่อย่างแรงจนแสบหน้าอีกครั้ง แน่ล่ะว่าทุกเรื่องที่พวกไอ้ยาพูดมาเป็นเพียงคำพูดจากฝ่ายคนที่เห็น ไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง เรื่องที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอาจจะใช่อยู่ แต่เรื่องผัวเมียนี่ยังไม่ใช่ และเรื่องที่ว่าหวานกันตลอดก็... เรียกว่าเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก เพราะกันต์ก็ยังคงเป็นกันต์ที่ด่ากลับมาทันทีเวลาผมแซว หรือเอ่ยแกล้ง จะมีก็แต่เรื่องที่เราคุยกันมากขึ้นเพราะสถานการณ์เป็นใจให้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ และช่วงนี้ยังใจดีมากพอจะทำอะไรที่ผมขอบ้างเป็นบางครั้งด้วย

“เดี๋ยวเสร็จตรงนี้แล้วไปดูน้ำตกที่ชาวบ้านบอกกัน”

เอ่ยชวนคนที่เพิ่งยกนิ้วกลางให้เพื่อน เมื่อตอนกลางวันค่ายของเราได้ร่วมทานข้าวกับพวกชาวบ้านที่ศาลาการเปรียญ เห็นเด็กๆ ที่ช่วงหลังมาสนิทกับกันต์เพราะเจ้าตัวทำหุ่นจากเศษไม้ไปให้แทนหุ่นยนต์ของจริงที่หาอุปกรณ์ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าท้ายหมู่บ้านมีน้ำตกเพียงเดินเข้าป่าไปร้อยเมตรเท่านั้น กันต์มันตื่นเต้นใหญ่เลยตั้งใจจะพาไปให้ได้ก่อนจะกลับกรุงเทพกัน

“พวกมึงไปด้วยกันเปล่า?”

ทำหน้าคิดแล้วมันก็หันไปถามสามหนุ่มสามมุมที่ยืนเงี่ยหูฟังด้วยรอยยิ้ม แต่พวกนั้นก็รู้หน้าที่ดีครับ ส่ายหน้ากันโดยพร้อมเพรียงแล้วบอกว่านัดเตะบอลกับพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านไว้ นั่นหมายความว่าทริปนี้จะมีเพียงผมกับกันต์สองคนเหมือนเดิม

การเก็บรายละเอียดสีไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้เวลานานมากนัก ยิ่งเมื่อมีคนช่วยกว่ายี่สิบคนโดยรอบ เพียงสองชั่วโมงพวกผมก็ปาดเหงื่อ เก็บอุปกรณ์แล้วแยกย้ายกันไปใช้เวลาส่วนตัวของตัวเองแล้ว แม้ตอนแรกตั้งใจจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไป แต่เมื่อคิดว่าอย่างไรเสียจะไปน้ำตกแล้ว ละอองน้ำคงทำให้ต้องกลับมาชำระคราบไคล้กันอีกครั้งเป็นแน่ เลยเลือกจะตรงไปยังจุดหมายแทนที่จะเสียเวลาไปกลับหลายเที่ยว เพราะปกติชาวบ้านต้องใช้เส้นทางในป่าเพื่อหาของดำรงชีพอยู่แล้ว เส้นทางเลยไม่ซับซ้อนแถมยังมีทางธรรมชาติเบิกเป็นเส้นไว้ให้ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวพวกเราก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วมายิ่งทำให้ง่ายต่อการค้นหาเส้นทางยิ่งกว่าเดิมอีก


[มีต่อด้านล่างค่ะ]


ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
“สวยโคตร...”

ได้ยินเสียงกันต์แทรกมากับเสียงน้ำตก แม้จะเรียกว่าน้ำตกแต่ก็เป็นเพียงน้ำตกขนาดเล็ก ไม่ได้แรงอะไรมากมายนัก

เดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ เส้นทางน้ำก็ยิ่งช้าลง พวกเราเดินมายังสะพานไม้เล็กๆ ที่ยื่นลงไปกลางแม่น้ำ ดูแล้วคงจะเป็นสะพานที่ชาวบ้านมาทำไว้สำหรับให้พวกเด็กๆ มานั่งเล่นนี่แหละ ไม่รอช้า กันต์สาวเท้าด้วยความรวดเร็วแล้วทิ้งตัวนั่งตรงริมขอบ

ห้อยเท้าลงไปเตะน้ำด้วยความสบายใจ ผมยิ้มกับแผ่นหลังที่ดูผ่อนคลายก่อนจะเดินตามมาทิ้งตัวข้างๆ ให้ไหล่เราชนกัน

“ที่นั่งมีตั้งเยอะแยะ จะมานั่งชิดๆ เพื่อ เขยิบไป”

“อยากนั่งใกล้ๆ มึง ไม่ได้หรือไง?”

“...แม่งงี่เง่า!”

ถึงจะบ่น จะด่าแต่ก็ยอมให้นั่งด้วยนะครับ แบบนี้เขาเรียกว่าใจอ่อนได้หรือเปล่า? ตอนมีโอกาสก็ชอบแกล้ง ชอบหยอดใส่มันไปเรื่อยนั่นแหละ ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ที่หอมหวานอะไรหรอกเพราะรู้ว่ากันต์มันเป็นผู้ชายแท้ๆ และผมก็เป็นผู้ชายแท้ๆ อีกคนที่ดันไปชอบมัน เวลาจีบเลยดูแปลกๆ ไม่รู้ว่าควรจะทำเหมือนเวลาจีบผู้หญิงทั่วไปหรือยังไง แต่รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นคงไม่ได้อยู่กวนมือกวนเท้ามันมานานขนาดนี้หรอก และให้คิดว่าตัวเองทำแบบนั้นใส่มันก็ค่อนข้างจะชวนขนลุกอยู่ ให้หยอดแบบกวนตีนกันไปมาแบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะ แต่ยอมรับว่าผมชอบการนั่งข้างกันเงียบๆ โดยไม่ต้องพูดจากวนประสาทกันไปมาเหมือนเวลานี้ด้วยเช่นกัน

“ทำไมมึงชอบร่วมกิจกรรมค่ายอาสาวะ?”

คนข้างๆ เริ่มเปิดปากพูดก่อน แต่สายตาเขายังไม่ละจากการเก็บวิวทิวทัศน์รอบด้าน

“เพราะอยากมาสัมผัสสิ่งที่หาไม่ได้ในกรุงเทพล่ะมั้ง”

ตอบพลางมองตามสายตาอีกคนไปด้วย มันสวยมากครับ ต้นไม้สีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้า กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า เสียงน้ำ เสียงลม ทุกอย่างคือธรรมชาติของจริง

“ถ้าเราอยู่กทม.เราจะไม่เห็นท้องฟ้าสีนี้ ต้นไม้ไม่เยอะเท่านี้ ได้แต่กลิ่นควันรถ มีแต่ฝุ่น แถมนิสัยคนที่แตกต่างไปจากที่นี่”

“อ่าฮะ”

ผมยิ้มเมื่อเขาตอบรับเป็นทำนองว่าฟังอยู่

“ยิ่งกว่านั้นคือมีโอกาสแล้วที่จะทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง เรามีในสิ่งที่พวกเขาไม่มี เราสามารถให้สิ่งที่พวกเขาต้องการได้ เรานำความรู้ ความสามารถ และเงินที่ใช้กับของฟุ่มเฟือยมาช่วยพวกเขาในสิ่งที่ขาดได้ พอคิดแบบนั้นก็เลยมาอยู่ตรงนี้”

“เพิ่งเคยได้ยินมึงพูดจาสมกับคนที่กำลังจะเป็นหมอก็วันนี้แหละ”

อ่า... รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยได้เลยแหะ

คงเพราะบรรยากาศสบายๆ ที่ห้อมล้อมเราทั้งคู่ไว้ทำให้กันต์ลืมตั้งแง่กับผมไปเสียสนิทรอยยิ้มที่ปกติเคยทำได้แต่มองจากที่ใกล้ๆ เวลานี้มันใกล้มากจนผมนึกอยากจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาเก็บภาพไว้ แต่น่าเสียดาย เพราะรู้ว่ามาน้ำตกเลยไม่พกมาให้เปียก

"กูคิดมาตลอดว่ามึงยิ้มน่ารัก แต่พอมาเห็นใกล้ๆ แล้วหัวใจจะวายเลยว่ะกันต์"


พลาดครับ พอผมชมทีหน้าหุบเลย มันเปลี่ยนสีหน้าไวมาก มาตอนนี้ก็มุ่นคิ้วแถมยังขบปากตัวเองเหมือนที่ชอบทำเวลาคิดอะไรมากมายในหัวอีก

“...มึงหยอดบ่อยๆ แบบนี้คิดอะไรกับกูป่ะเนี่ย?”

ความรู้สึกช้าสัส

อยากจะด่าแต่คงไม่ดี ไหนๆ มันก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ

ได้มากขึ้นเท่าที่สมองไซส์เท่าเด็กของมันจะสามารถทำได้ ก็ลองคิดดู ใครมาเจอลูกหยอดแบบนี้ การกระทำชัดเจนแบบนี้ เขาต้องดูออกกันตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไงว่าตัวเองกำลังโดนขายขนมจีบ แต่นี่อะไร โดนไปขนาดนี้แล้ว แถมเพื่อนยังแซวจนไม่รู้จะแซวยังไง ยังจะไม่รู้ตัวแล้วมีหน้ามาถามคนจีบอย่างผมอีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่นิ่มขอคบทั้งที่ตัวมันยังไม่แน่ใจก็ตอบเขาไป แล้วเป็นยังไงล่ะ โดนจัดหนักเสียสะบักสะบอม แต่ก็ใช่ว่ากันต์จะเจ็บจากการโดนแฟนนอกใจขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ ผมรู้ว่าที่อีกคนเสียใจและโมโหมากเป็นเพราะเขารู้สึกว่าตัวเองโดนทำลายความเชื่อใจต่างหาก ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พอเวลาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ กันต์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่ใครต่อใครมาแซวว่าโดนเมียทิ้งอีกแล้ว

“ก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“...กูนึกว่ามึงล้อเล่น ผู้ชายเหมือนกันจะมาคิดอะไรแบบนี้ได้ไงล่ะวะ”

“ทำไมจะไม่ได้ ก็กูคิดไปแล้ว"

มันทำหน้า เออว่ะ ใส่ผมอีกที หมั่นเขี้ยวจนต้องหยิกแก้มมันให้โวยวายเหมือนที่ทำบ่อยๆ โดนฟาดหลังมืออย่างแรง เจ็บไม่ใช่น้อยแต่ก็คุ้มดีที่ได้เห็นมันเอามือลูบแก้มจนแดงเป็นปื้น

"นิสัยเสีย คนจะเป็นหมอห่าอะไรมือหนักขนาดนี้"

"ทีมึงตีเข้ามาเน้นๆ กูยังไม่บ่น"

"ก็มึงสมควรโดน"

ผมหัวเราะกับคำครหาก่อนจะเปลี่ยนจากการดึงแก้มเป็นยีหัวทุยๆ ของอีกคนแทน คนห่าอะไรขยับตัวแต่ละทีกระตุ้นต่อมอยากแกล้งคนอื่นเขาตลอด

“แล้วยังไง? สนใจเป็นเมียหมอบ้างมั้ย? มีโปรโมชั่นดูแลสุขภาพกายและใจฟรีตลอดชีวิต”

"โปรโมชั่นห่าอะไรอย่างกับขายตรง"

"เออ ขายมันตรงๆ นี่แหละ จะเอาหรือไม่เอา"

"แล้วถ้ากูไม่เอา?"

"ปล้ำแม่งตรงนี้นี่แหละ ไม่มีใครช่วยด้วย"

"ไอ้สัสภพ! ถอยไปเลย!"

โดนดันที่กลางอกเมื่อทำท่าจะโถมเข้าใส่มัน กันต์แยกเขี้ยว ทำหน้าเหมือนจะกัดหากผมกล้าจะเข้าใกล้เขาอีก ตาชั้นเดียวเบิกกว้างสุดความสามารถ ทำให้ผมนึกไปถึงภาพสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังจะโดนกินมากขึ้นไปอีก

"คำตอบล่ะ?"

"กู... ไม่รู้ว่ะ... กูเพิ่งเลิกกับแฟนไปนะเว้ย ถึงจะไม่ได้รู้สึกรักหรืออะไรแล้วก็เหอะ แถมมึงยังเป็นผู้ชายที่เจอหน้าทีไรก็หาเรื่องกันตลอดอีก จะให้คบกันมันก็แปลกๆ ป่ะวะ คนอื่นจะมองยังไงก็ไม่รู้ ไหนจะเพื่อน จะพ่อแม่อีก..."

ผมใช้นิ้วชี้แตะปากมันให้หยุดแล้วพูดขึ้นก่อน รู้ครับว่าสับสน ตอนผมรู้ใจตัวเองก็โคตรสับสน ทั้งที่เป็นผู้ชาย ทั้งที่เป็นเพื่อน คิดสะระตะไปหมด แต่สุดท้ายก็มาลงเอ่ยที่ชอบมันจริงๆ แล้วทำยังไงน่ะเหรอ? ก็เห็นๆ กันอยู่

"นี่มันเรื่องของเราสองคน กูรู้ว่ามึงคิดมากหลายเรื่อง กูก็คิด แต่ถ้ามึงลองตัดทุกอย่างออกล่ะ เหลือแค่ความรู้สึกของมึงกับความรู้สึกของกู..."

".........."

"ความเป็นไปได้ของคำว่าเรา มันพอจะมีหวังมั้ยวะ?"

เราสบตากัน ตั้งใจจะส่งผ่านทุกความรู้สึกไปให้มันเข้าใจว่าสิ่งที่พูดออกไปผมกลั่นกรองมาแล้ว ไม่ใช่เพียงคำพูดลอยลม หรือหยอดตามประสาเหมือนที่ผ่านมา

กันต์ไม่หลบตา ไม่โวยวาย ครั้งนี้เขาทำเพียงแต่เงียบ นิ่งสนิทและมองตอบผมอยู่แบบนั้น เริ่มรู้สึกใจแป้วขึ้นมาแล้วครับ สงสัยว่าที่หมออย่างผมคงได้รักษาไข้ใจของตัวเองเป็นเคสแรกเสียแล้ว

"...ไม่ลองก็ไม่รู้"

หืม? อะไรนะ เหมือนได้ยินว่าอะไรลองๆ

"อะไรนะ ขออีกที"

"กวนตีนกูเหรอไอ้ภพ"

เอาแล้ว ทำหน้าดุอีกแล้ว ไม่ได้กวนตีนเลย เปล่าเลย แค่มันตกใจ เห็นเงียบไปนานแบบนั้นเลยคิดว่าจะโดนถีบตกน้ำเข้าให้แล้วต่างหาก

"เปล่าๆ คือตกใจ เฮ้ย... แม่งไม่คิดว่าจะตอบตกลงดีๆ"

"ประสาท กูยังไม่ได้ตกลง กูแค่ให้ลอง"

"ก็นั่นแหละ นับว่าตกลงเป็นว่าที่เมียหมอแล้ว"

"เมียเหี้ยอะไร! ถ้าพูดคำนั้นอีกกูถีบตกน้ำแน่!"

ดุชิบ แน่ใจเลยว่าในอนาคตผมต้องได้เข้าสมาคมพ่อบ้านใจกล้าที่เพื่อนๆ คนไม่โสดได้ตั้งกลุ่มเตรียมไว้แล้วเป็นแน่

"โอเคๆ ไม่เป็นเมียเนอะ แค่เด็กวิศวะที่กำลังจะมีผัวเป็นหมอเนอะ"

"เนอะกับผีมึงสิ ไอ้สัสภพ!"

ให้ตาย โดนด่าแล้วยังยิ้มได้ขนาดนี้ ผมคงโดนกันต์มันทำเสน่ห์เข้าให้จริงๆ แล้วละ

"ครับๆ รู้แล้วครับว่ารัก ภพก็รักกันต์สัสๆ เลยครับ"

 

PHANPHOP PHOP
กวนตีนเข้าไว้จะได้ใจเด็กวิศวะมานะครับ
ว่าที่ผัววิศวะได้กล่าวไว้ :) GUN VISAWA

 

GUN VISAWA
ไม่ต้องมาแท๊กชื่อกู ไอ้สัสภพ!

 

PHANPHOP PHOP
ครับๆ #แพทยรักสาส เลยครับ

 

NAWAPHOL YAAA
กูว่าแล้ว คู่นี้ไม่แคล้วได้กัน แทงหวยไม่สู้ลุ้นให้เพื่อนแทงกัน

 

SAN RUJANONTAWAN
ไอ้หมอ มึงซิ่วมาเรียนคณะกูมา กูชอบว่ะ เพื่อนเขยเถื่อนๆ แบบนี้

 

THOSSAPHONG PHONG
สินสอดไม่ต้อง พวกกูแถมเหล้าให้ด้วย

 

GUN VISAWA
.......กลับกรุพวกมึงไปเลยไป!







--------------------------------------------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ คู่แพทย์วิศวะมาอีกตอนแล้ว :D

พอแต่งมาจนถึงตอนนี้แล้วก็อยากแต่งคู่หนุ่มๆ แบบเรื่องยาวดูบ้าง แต่คงไม่ใช่ในระยะใกล้นี้แน่ๆ เพราะฝนดาวตกยังรอเราอยู่ แถมมีความคิดว่าอยากจะเอางานเก่ามารีไรท์ด้วยค่ะ ไหนๆ ก็แต่งจนจบแล้วไม่อยากให้เสียเปล่า ต้องขอฝากไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ --> เราเคยลงในเล้าโดยใช้แอคเก่าที่ลืมรหัสและอีเมล... http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43034.0

สำหรับคู่นี้ มีบางส่วนที่เอามาจากเหตุการณ์จริงกับเพื่อนๆ ในกลุ่มด้วยค่ะ พอมาลองคิดย้อนไป เหตุการณ์นั้นทำให้โตขึ้นและมองโลกกว้างขึ้นมากเลย นับว่าเป็นเรื่องแย่ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องดีก็ได้นะคะ อย่างน้อยมันก็ทำให้รู้ว่าคนเราแข็งแกร่งได้มากแค่ไหน #เบ่งกล้ามโชว์

บ่นเยอะแล้ว หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับตอนนี้ด้วยเหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณสำหรับทุกเม้น ทุกการหวีดร้อง จัดมาได้เต็มที่เลยค่ะ!

แล้วเจอกันใหม่ค่ะ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew1:   :-[. เถื่อนจุง แต่ชอบ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :laugh:

หมอมั่นใจมากว่าจะเป็นผัว

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[9]






ผมชื่อรักษ์

พ่อแม่ตั้งชื่อนี้ให้เพื่อสอนให้ผมรู้จักที่จะรักและทะนุถนอมสิ่งสำคัญในชีวิตผมให้เป็นดั่งความหมายของชื่อ และผมคิดว่าผมทำได้ดีทีเดียว

"คุณ... คุณตื่นได้แล้ว"

"...อือออ"

"คุณครับ ตื่นเร็ว เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน"

ผมเอื้อมมือไปเขย่าไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มเบาๆ หมายจะปลุกเจ้าของร่างที่ดื้อดึงซุกใบหน้าลงกับหมอนมากกว่าเดิม เป็นพวกตื่นยากไม่มีเปลี่ยน

"เราขออีกห้านาที..."

"ไม่ได้ วันนี้มีพรีเซนต์งานไม่ใช่เหรอ? ตื่นเร็ว"

"อือ... มีงาน... งาน..."

บ่นงึมงำอยู่สองสามคำแล้วพลิกตัวกลับไปอีกด้าน ผมปล่อยให้ความนิ่งเงียบแผ่ไปทั่วบรรยากาศครู่หนึ่งพลางยืนกอดอกมองปฏิกิริยาต่อไปของคนบนเตียง

"เหี้ย! ตอนนี้กี่โมงแล้วรักษ์!?"

"หกโมงครึ่ง คุณมีเวลาอีกชั่วโมงก่อนถึงเวลารวมตัวที่ตึกสถาปัตย์"

หัวเราะกับท่าทีแตกตื่นของคนตรงหน้าพร้อมเอื้อมมือไปลูบทรงผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่นนอนด้วย

"โอเค ขอบคุณนะ ถ้ารีบไปก่อนก็ได้เราอาบน้ำก่อน"

"ไม่เป็นไร รอไปด้วยกัน"

ส่งยิ้มให้คนที่คงไม่ทันมองเพราะเจ้าตัวพยายามข้ามกองกระดาษที่กระจายอยู่เต็มพื้นไปคว้าผ้าขนหนูกับชุดนักศึกษาแล้วเดินเขย่งขาเป็นนักบัลเล่ต์หายไปทางห้องน้ำ ตัวผมเองก็ต้องใช้ความพยายามที่จะก้าวผ่านอุปกรณ์ต่างๆ บนพื้นไปเหมือนกัน ไม่กล้าไปเก็บหรือยุ่งกับอะไรของเขา เดี๋ยวเกิดทำอะไรพังแล้วจะซวยเอา

ปกติข้าวเช้าเราจะสลับกันทำ แต่หากวันไหนที่คุณมีงานต้องทำจนต้องโต้รุ่งเหมือนวันนี้ผมก็จะเป็นฝ่ายรับหน้าที่ลงไปซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้ให้ เห็นใจเขาครับ นั่งตัดโมตั้งแต่เมื่อวานจนมาประกอบงานเสร็จตอนตีสี่กว่า ได้นอนไปไม่ถึงสองชั่วโมงก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวไปพรีเซนต์งานต่อ คงจะเหนื่อยมากทีเดียว





"เดี๋ยวเราแบกไปเอง รักษ์วางไว้ตรงนี้ก็ได้"

คนที่แบกข้าวของเต็มไม้เต็มมือเอ่ยด้วยความเกรงใจ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขามาส่ง ทั้งที่แบบจำลองในมือก็ใหญ่จนจะถือไม่ได้อยู่แล้วยังจะดันทุรังอีก หากหล่นพังไปต้องเดือดร้อนแน่นอน ผมเลยปฏิเสธด้วยการกดลิฟท์สำหรับนักศึกษาให้เขาแทน

"ส่งถึงที่ได้ บริการฟรีสำหรับว่าที่สถาปนิกคนเก่ง"

"โอ้โห พูดจาดี เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงข้าว"

"พูดแล้วนะ ขอบุฟเฟ่ต์แซลมอนเลย"

"บอกมาตรงๆ ก็ได้ว่ารักษ์เกลียดเรา"

ผมหัวเราะขณะที่ก้าวเข้าลิฟท์ไปด้วย ความจริงเราสองคนสลับกันเลี้ยงข้าวอยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว หากใครมีเงินก่อนก็เลี้ยง ใครช่วยงานใครก็เลี้ยง สลับๆ กันไป

"ไอ้รักษ์! กูไปด้วยๆ!"

ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองผมก็ต้องเอาเท้าขัดลิฟท์ไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนมือข้างที่ว่างก็รีบกดปุ่มเปิดรอ ไม่อย่างนั้นคนที่วิ่งตรงมาต้องเอาหน้าและโมเดลในมือกระแทกประตูลิฟท์แทนแน่ๆ แค่คิดก็เจ็บแทนแล้ว

"ยังมีเวลา ทำไมมึงไม่ไปรอบอื่นวะ"

"ก็กูจะไปรอบนี้ด้วย จะทำไมล่ะไอ้คุณ?"

"เหม็นอากาศที่ต้องใช้ร่วมกับมึงไง"

"ดูมันพูดนะไอ้รักษ์ ทีกับมึงล่ะเพราะเชียว ทีกับเพื่อนแม่งเห่าเป็นหมาชิวาว่าเลย"

"กูไม่ใช่หมา!"

มองคุณทะเลาะกับเพื่อนแล้วก็ได้แต่หัวเราะตามไปด้วย ภีมชอบแกล้งเพื่อนครับ ชอบไปแหย่ชอบไปแกล้งให้คุณอารมณ์เสียแล้วพอโดนด่ากลับก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ จนบางครั้งผมแอบคิดนะว่าเขาเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า ถึงได้มีความสุขนักเวลาเจออะไรแบบนี้

ดีที่ลิฟท์มาถึงชั้นที่ต้องการทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงมีวางมวยกันสักยก

"ขอบคุณมากนะรักษ์ เดี๋ยวนัดกันหลังเลิกเรียนอีกทีเนอะ"

"ได้ ตั้งใจพรีเซนต์ล่ะ"

"รับทราบครับคุณพ่อ~"

ลากเสียงยาวแถมยังตะเบ๊ะใส่อย่างน่าหมั่นเขี้ยวเลยจัดการหยิกแก้มไปหนึ่งที ได้ยินเสียงคนกระแอมเบาๆ เลยหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นภีม นี่ยังไม่เข้าห้องไปอีกเหรอ?

"เอาจริงๆ พวกมึงสองคนมีซัมติงกันป่ะวะ?"

"ซัมติงห่าอะไร พวกูเป็นรูมเมทกัน"

"รูมเมทเขาไม่ทำแบบนี้อะ" ภีมส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย ไม่ปวดหัวหรือไงกัน "กูกับไอ้หยกเป็นรูมเมทกันยังไม่ทำเลย ขนลุกตายชัก บอกมา พวกมึงคบกันใช่มั้ย?"

"ประสาทว่ะภีม มึงคิดมากไปละ รักษ์ไปเรียนเถอะ ไอ้โรคจิตนี่เราดูแลเอง"

คุณถอนหายใจพร้อมรับข้าวของไปจากมือผมแล้วเตะขาเพื่อนเร่งให้เดินนำไปก่อน ภีมทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นอาจารย์ประจำคลาสที่ตนต้องพรีเซนต์งานด้วยเดินมาจากอีกฝั่งของระเบียงเลยต้องยอมแพ้ นำหน้าเพื่อนเข้าห้องไปแต่โดยดี ส่วนคุณก็หันมาหาผมอีกครั้งพร้อมยิ้มให้แล้วขยิบตาอีกทีเป็นสัญญาณระหว่างเรา ก่อนจะหายเข้าตัวตามไป

หลังจากนั้นก็เป็นตัวผมเองต้องรีบวิ่งหน้าตั้งไปให้ทันเวลาเข้าเรียน เหยียบเข้ามาที่ตัวอาคารปุ๊บ สัญญานเตือนเข้าคาบก็ดังปั๊บ ดีนะที่เพื่อนจองที่ไว้ให้และอาจารย์ยังไม่เข้าคาบ ไม่อย่างนั้นคงโดนหักคะแนนที่เข้าคลาสสายแน่ๆ อยากให้ตึกมนุษย์ไปรวมอยู่กับตึกสถาปัตย์ชะมัด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินสลับระหว่างสองตึกเวลารีบๆ อย่างนี้

"ไปส่งคุณมาล่ะสิมึง"

"อือ วันนี้คุณมีพรีเซนต์งาน"

ผมตอบเพื่อนร่วมกลุ่มพร้อมรับส่งชีทการบ้านให้ด้วย วันนี้เป็นคิวของต้าที่รับรวบรวมชีทส่ง แต่ผมว่ามันยังไม่ส่งหรอก น่าจะเอาไปเช็คคำตอบกันก่อนมากกว่า

"เด็ก'ถาปัตย์มีพรีงานบ่อยว่ะ กูเห็นอาทิตย์นี้สองรอบแล้วป่ะ?"

ลองนึกดูแล้วก็จริงนะครับ อาทิตย์นี้มีพรีเซนต์งานไปสองตัวแล้ว แต่เห็นบอกว่าสองอาทิตย์หน้ามีงานอีกตัว ช่วงนี้คงนอนน้อยต่อกันเป็นอาทิตย์แน่ๆ

"จะมีอีกสองอาทิตย์หน้า"

"โหย... เห็นใจว่ะ มึงก็ช่วยเขาทำล่ะสิ"

"คุณไม่ยอมให้ช่วย ถ้าอันไหนทำไม่ทันจะไปนอนที่คณะให้เพื่อนๆ ช่วย"

"เอ้า! แล้วทำไมตามึงคล้ำงั้นวะรักษ์ เหมือนคนอดนอนติดกันหลายคืน"

คราวนี้เป็นเผือกที่เผือกเสนอหน้ามาถาม ทำหน้าที่ตามชื่อจริงๆ จนผมนึกอยากบอกให้ที่บ้านมันช่วยเอาไปเปลี่ยนชื่อที

"คุณไม่ยอมนอน"

"?"

"คุณไม่ยอมนอนสักที เลยนอนไม่หลับ"

".....ง่ายๆ คือมันติดเมีย พวกมึงก็เลิกถามได้แล้ว อาจารย์มาแล้วสัส!"

ภูมิเป็นฝ่ายตัดบทพร้อมเตะเก้าอี้ให้เผือกกับต้าหันกลับไปหน้าห้องเมื่อโดนสายตาพิฆาตมองมาทางกลุ่มพวกผม เห็นสีหน้าแล้วกลัวว่าหากพูดอีกคำเดียวคงโดนไล่ไปยืนคุยนอกห้อง เลยได้แต่เก็บคำแก้ตัวเรื่องคุณกลับลงคอไป
คุณไม่ใช่เมียสักหน่อย พวกเขาเป็นรูมเมทกันเฉยๆ




"เฮ้ย รักษ์ ไปเตะบอลกัน วันนี้พวกกูลงทั้งทีมเลยนะเว้ย"

เผือกพาดแขนลงกับบ่าผมพร้อมใช้แรงบังคับให้เดินตามไปยังสนามบอลของมหาวิทยาลัยด้วย แน่ล่ะว่าเรื่องออกกำลังผมไม่เกี่ยง

"เอาดิ เดี๋ยวบอกให้คุณกลับไปก่อน"

"ให้คุณมารอนี่เลยดิ มาให้กำลังใจมึงด้วย ทีมเราจะได้ชนะ"

ภูมิหัวเราะแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือผมไปพิมพ์ด้วยตัวเองก่อนจะโชว์ให้ดูว่าได้รับคำตอบตกลงจากคู่สนทนาแล้ว ทำอะไรรวดเร็วสมเป็นมันจริงๆ

พวกเราทิ้งกระเป๋าไว้ตรงที่นั่งข้างสนามแล้วเฮละโลลงไปเล่นฟุตบอลกันโดยไม่ใส่ใจจะเปลี่ยนเสื้อกันแม้แต่น้อย แค่เปลี่ยนรองเท้าที่เป็นส่วนกลางก็พอ เล่นเอามันนี่ครับ ไม่ได้เล่นจริงจังชนิดต้องไปแข่งกับใคร เผลอแป๊บๆ เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ ก็ถอดเสื้อนักศึกษาวิ่งกันแล้ว

"ต้า! ส่งมาทางนี้!"

คนโดนเรียกเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นเด็กคณะบริหารขาประจำที่เล่นด้วยกันบ่อยๆ ก่อนจะส่งบอลให้เพื่อนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ขายาวๆ ของภูมิเลี้ยงลูกไปมาหลอกล่อนักเตะฝ่ายตรงข้าม เห็นสายตาที่ส่งมา เป็นสัญญาณที่เขาชอบใช้เมื่อต้องการจะบอกให้ผมวิ่งไปจ่อเป็นกองหน้าเตรียมยิงลูกเข้าประตู

พยายามวิ่งตัดสลับไปมากับฝ่ายตรงข้าม ลูกบอลถูกส่งมาทันทีที่อยู่ในจุดพอเหมาะ ผมเลี้ยงสลับไปมาจนหาช่องว่างเจอแล้วจึงอัดแรงเต็มที่ ส่งลูกบอลทะลุมือโกลด์ข้าประตูไปอยางสวยงาม

"ฟอร์มไม่ตกเลยว่ะรักษ์ มึงไม่ได้ไปแอบเล่นที่ไหนมาใช่มั้ยวะ?"

ผมแท๊กมือกับเพื่อนๆ แล้วสะบัดเสื้อนักศึกษาที่เริ่มชุ่มเหงื่อพลางส่ายหน้าไปมา ปกติก็เล่นแต่กับพวกมันนี่แหละ นอกนั้นก็ใช้เวลากับคุณ ไม่ได้ไปเฮฮาอะไรกับคนอื่น

"กูว่ามันฟอร์มดีเพราะอะไรขาวๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมากกว่า ตอนมันยิ่งเข้าประตูรายนั้นเฮซะดังจนกูต้องหันไปมอง"

มองตามการพยักเพยิกของต้าไปก็เจอเจ้าของอะไรขาวๆ นั่งอยู่ข้างๆ กองกระเป๋าของพวกเราจึงขอเวลานอกเพื่อแวะมาหาคนข้างสนามก่อน พอคุณเห็นผมวิ่งเข้าไปใกล้ก็ไม่รอช้ายื่นขวดน้ำแร่กับผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตาที่เขาชอบพกมาใช้ห่มตัวให้ ผมไม่รับน้ำเพราะกลัวกลับไปวิ่งต่อแล้วจุก แต่เลือกจะยื่นหน้าไปให้เขาซับเหงื่อแทน

"เหงื่อออกเยอะมาก รักษ์จะไม่เป็นลมใช่มั้ย?"

"ไม่หรอก แค่ร้อนๆ ไม่ได้มาเล่นสักพักแล้วไง"

"คราวหลังก็มาบ่อยๆ สิ เดี๋ยวเรามานั่งดูด้วย รักษ์เท่มากเลยตอนยิงบอลเข้าประตู สาวๆ ฝั่งนู้นกรี๊ดกันใหญ่"

ว่าพลางชี้ไปทางที่นั่งฝั่งนู้นที่ยังมีเสียงกรี๊ดมาเป็นละรอกแล้วทำหน้าทำตาเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่นจนผมหลุดขำ ยีหัวที่ไม่เป็นทรงเพราะโดนลมพัดให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิมอีกที

"ต้าบอกว่าคนแถวนี้เฮเสียงดังจนมันตกใจ คนแถวนี้ใช่คนชื่อคุณหรือเปล่า?"

คุณทำหน้าเหรอหราใหญ่ เท่ากับว่าคำตอบคือใช่ เพราะเวลาหาข้ออ้างไม่ทันเขาจะเผลอแสดงหน้าตาแบบนี้ออกมาอยู่บ่อยครั้ง

"เราแค่ดีใจที่มีคนเตะเข้าไง เราไม่รู้หรอกว่าเป็นรักษ์"

"เหรอ เสียใจได้มั้ย?"

"ไม่ได้สิ รักษ์จะเสียใจทำไมล่ะ?"

มุ่ยหน้าใส่แล้วถามผมกลับ ตอบคำถามด้วยคำถามอย่างนี้มันน่าโดนแกล้งให้โวยวายซะจริง

"ไม่มีคนเชียร์ เสียใจมาก ไม่มีแรงลงไปเตะต่อแล้วเนี่ย"

"เวอร์ ไปเลย เดี๋ยวเล่นเสร็จไปหาอะไรกินกัน ชวนพวกภูมิไปด้วยนะ ภีมน่าจะดีใจได้เจอพี่ชายฝาแฝด"

ผมขำออกมาอีกครั้งกับคำพูดของเขา ภูมิเพื่อนผมกับภีมเพื่อนเขาไม่ใช่ฝาแฝดกันจริงๆ หรอก แต่พอเจอกันทีไรสองคนนั้นเข้าขากันได้ดีทุกที แถมชื่อยังคล้ายกันอีก คนอื่นๆ เลยให้ฉายาคู่นี้ว่าแฝดนรก

"อืม ถ้าร้อนไปนั่งรอในห้องแอร์ก่อนก็ได้"

"ไม่เอา เราจะเชียร์รักษ์ตรงนี้แหละ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจทีมแพ้แล้วมาโทษเราทีหลังอีก"

พยักหน้ารับคำแล้วจึงแกล้งเอาผ้าชื้นเหงื่อของตัวเองไปป้ายหน้าคุณให้โดนว่าเล่นๆ ก่อนวิ่งกลับมาลงสนามอีกรอบ ทีมผมโดนตีเสมอ 1-1 แล้ว มีโอกาสให้ทำแต้มอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะจบเกม ดูท่าจะต้องเล่นกันจริงจังเสียหน่อย

"กำลังใจมาแน่นเลยสิมึง กูขอสักลูกคงได้นะ"

"อืม ให้สองเลย"

ได้ยินแว่วๆ ว่าใครตะโกนอะไรหมั่นหน้าสักอย่างแต่ไม่สนใจหรอกครับ ลูกบอลส่งมาแล้วผมก็ต้องวิ่งสิ เดี๋ยวหามุมเตะให้เพื่อนส่งลูกอีกให้อีกสักสองครั้งตามที่พูดไว้แล้วจะได้ไปหาอะไรกินกับกำลังใจข้างสนามเสียที





"เอ้าชน~"

แก้วที่ชนกันส่งเสียงเป็นเอกลักษณ์แล้วพวกผมก็จัดการกระดกน้ำเมาเข้าปาก วันนี้เป็นวันปล่อยผีของเด็กมนุษย์อิงค์อย่างพวกผมครับ เพราะเป็นวันสุดท้ายของการส่งรายงานวิจัยที่อาจารย์แบ่งหัวข้อเรื่องแยกกัน เป็นงานหินมากเนื่องจากไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ แถมต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ถึงจะบอกว่าเอกอิงค์ก็จริง แต่เราไม่ใช่เจ้าของภาษา พอเจอคำศัพท์เฉพาะเข้าไปก็มีตายเหมือนกัน เมื่อจบสิ้นงานแล้วเราก็ต้องมาลงร้านเหล้าญี่ปุ่นที่นานๆ จะมากันสักทีเพราะมันแพงอย่างนี้แหละ

"วันนี้'ถาปัตย์ก็พรีงานตัวสุดท้ายของเทอมแล้วสิ?"

"ใช่ แต่กว่าจะสบายจริงๆ ก็หลังมิดเทอม ถ้าอาจารย์ไม่เฮี้ยนอยากให้โปรเจคไปทำน่ะนะ"

"ลำบากว่ะ วันหยุดยังไม่ได้พัก"

"มาก นี่ห่างกับแฟนเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน"

ภีมยกแก้วเหล้ากรอกเข้าปากอย่างเร็วจนเพื่อนต้องเตือนให้เพลาๆ ลง

"มึงช้าๆ"

"แล้วเสือกเรียน'ถาปัตย์เหมือนกันไง ต่างคนต่างต้องปั่นงาน พอกูว่างแม่งทำงาน วันนี้ชวนมาแม่งก็บอกปั่นงาน เหมือนไม่มีเวลาให้กันแล้วจริงๆ กูเลยน็อตหลุด บอกมันไปว่าถ้าไม่มีเวลาให้แบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"

"เหี้ย! นั่นก็แรงไป"

ฟังแล้วก็เห็นใจภีมอยู่ไม่น้อย มิน่าล่ะวันนี้พอถามว่าอยากไปลงร้านไหนเจ้าตัวรีบเสนอเลยว่าร้านเหล้าหลังม. ผมได้ยินว่าเขาคบกับแฟนมาตั้งแต่ช่วงม.ปลาย ไม่เคยห่างกันจนมาเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละ ดันสอบได้คณะเดียวกันแต่คนละที่เลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนแต่ก่อน มาได้ยินว่าภีมขอเลิกผมว่าแฟนเขาก็น่าจะตกใจไม่น้อยไปกว่าที่พวกผมได้ยินหรอก

"กูว่ามึงโทรไปปรับความเข้าใจเถอะภีม มึงก็รู้ว่าคณะเรางานมันเยอะ เขาอาจจะหายไปทำงานก็ได้"

มาแล้วครับโหมดพ่อพระของคุณ ถึงปกติจะตีกันแทบเป็นแทบตาย แต่พอเพื่อนมีปัญหารายนี้จะเปลี่ยนโหมดเป็นศิลาณีทันที ผมเคยเห็นมาสองสามครั้งตอนเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ

"ไม่รู้ว่ะคุณ ช่วงนี้มันดูแปลกๆ คุยกันแป๊บๆ ก็ขอวางสาย หายไปเป็นวันๆ ไม่บอกกูแต่เสือกลงรูปว่าไปร้านเหล้ากับเพื่อน..." ภีมมุมนี้ทำเอาผมกับเพื่อนๆ แสดงความเห็นไม่ถูกเลยครับ เลยได้แต่นั่งฟังเงียบๆ "ไม่ได้อยากงี่เง่านะเว้ย แต่มันน้อยใจ... ถ้ามีแฟนเหมือนไม่มีแบบนี้ สู้ไม่มีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอวะ?"

"กูว่าไม่ดีนะ... ตอนนี้มึงแค่น้อยใจ แต่หลังจากนี้มึงจะต้องเสียใจแน่ๆ เว้ยแฝดกู"

ภูมิตบบ่าคนที่ถูกนับว่าเป็นแฝดมันแล้วพูดปลอบ อันที่จริงผมคิดเหมือนเขานะครับ เวลาคนเราทำอะไรเพราะความไม่ตั้งใจจะต้องย้อนคิดว่าตัวเองไม่น่าทำอะไรแบบนั้นกันแทบทุกคน ตัวผมเองยังเคยเลย

"ไว้มึงใจเย็นก็โทรไปหาเขาดิ บอกเขาว่าขอโทษ ง้อๆ หน่อยกูว่าเดี๋ยวก็ปรับจูนกันได้"

"จริง กูว่าเขาต้องใจอ่อนแน่ๆ"

นี่เป็นคำแนะนำของเผือกกับต้าครับ ผมว่าพวกมันเอามาจากชีวิตจริงนั่นแหละ เผือกเคยง้อน้องก้อยหรือใครสักคนนี่แหละผ่านโทรศัพท์เพราะดันไปลืมวันเกิดเขา ส่วนต้าเคยง้อดาวคณะนิเทศเรื่องซื้อของอะไรสักอย่าง นี่ไม่ใช่แฟนด้วยนะครับ พวกมันเรียกว่ากิ๊ก

"ไม่รู้ว่ะ กูบอกเลิกไปแล้ว เท่ากับว่าเลิกกันแล้วป่ะวะ"

"แต่กูไม่เลิก"

หืม? ไม่นะครับ เสียงนั่นไม่ใช่เสียงพวกผมเลย

"กวิน มาพอดีเลย"

"ขอบใจมากคุณที่บอกชื่อร้าน ขอบใจพวกมึงด้วย ค่าเหล้าส่วนของมันเท่าไหร่มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวจ่ายให้"

"ไม่เป็นไร เอามันไปปรับความเข้าใจก่อนเถอะ งอแงชิบหายเลย เหมือนจะเมาแล้วด้วย"

"อืม... ไปเตี้ย กลับห้องกู"

"ไม่เอา! กูไม่ไป เลิกกันแล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย!?"

"เลือกว่าจะให้ทำที่ห้องหรือที่นี่ ต่อหน้าเพื่อนมึง"

"ไอ้วิน!"

ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปสักพัก สุดท้ายภีมก็โดนหนุ่มแว่นหน้าหล่อแบกขึ้นบ่าหายไปที่ทางออก พวกผมมองหน้ากันไปมาแล้วหันไปมองคุณที่ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบในจานใส่ปากเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับรอให้เขาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ถึงสายตา จนกระทั่งเพื่อนๆ ต้องหันมามองผม ใช้ให้ผมกระตุ้นเอาคำตอบจากคุณนี้แหละ

"คุณครับ คนเมื่อกี้...?"

"หือ? อ๋อ แฟนภีมไง ชื่อกวิน" พูดแล้วก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ คุณทำคิ้วตกตาละห้อยมองพวกผม "พวกนายไม่ได้รังเกียจใช่มั้ยที่เพื่อนเราคบกวิน..."

"ไม่นี่ แค่อยากรู้จักไว้ว่าเป็นใคร จะได้ทักทายเผื่อครั้งหน้าเจอกัน"

"เพื่อนกัน จะรังเกียจความเป็นมันทำไม"

"ครั้งหน้าชวนมันมาด้วยดิคุณ หลายๆ คนน่าจะสนุก มีคนตบมุกคู่กับฝาแฝดนรกแน่"

คุณยิ้มแล้วรีบพยักหน้าใหญ่ คงดีใจแทนเพื่อนตัวเองมาก ส่วนผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเพื่อนแต่ละคนไม่น้อยไปกว่ากัน พลันคุณเปลี่ยนสายตามามองหน้าผมพร้อมสีหน้าเหมือนคนรอคำตอบจนผมต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"รักษ์ล่ะ... รังเกียจเรื่องพวกนี้มั้ย?"

เพราะผมไม่ตอบออกไปนี่เองเขาถึงได้ทำหน้าแบบนี้ใส่ ผมส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปเช็ดเศษที่เปื้อนมุมปากให้เขา

"ไม่หรอก ความรักก็คือความรัก ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศหรือตัวแปรอะไรเสียหน่อย"

ผมเห็นบ่อยไปครับ เพื่อนสมัยม.ปลายที่จบมาด้วยกันหรือแม้แต่เพื่อนที่คณะตอนนี้ก็มีหลายคนที่เลือกจะรักโดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ พวกนั้น สำหรับผมแล้วความรักเป็นสิ่งสวยงามไม่ว่ามันจะเป็นความรักรูปแบบไหนก็ตาม ต้องขอบคุณครอบครัวที่ปลูกฝั่งความคิดด้านบวกให้ผมตั้งแต่ยังเด็ก

"เออ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว แล้วพวกคุณสองคนล่ะครับ อะไรยังไง? ไหนเล่ามาสิ"

ไอ้เผือกที่วันนี้ทำหน้าที่เผือกสมชื่ออีกรอบทำหน้าตาขึงขังแถมยังทำท่าเหมือนขยับแว่นตาให้ดูมีชาติตระกูลเหมือนการ์ตูนนักสืบบางเรื่องเปิดประเด็นขึ้น แน่ล่ะว่าอีกสองคนที่เหลือไม่รอช้า ร่วมวงกันใหญ่

"อะไรยังไงคือ?"

"คบกันอยู่หรือเปล่า?"

เจอคำถามเข้าไปผมกับคุณก็มองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะใส่ประโยคคำถามของเพื่อน หัวกลมๆ ของคนข้างตัวเลื่อนมาซบไหล่พร้อมควงแขนผมแล้วกอดแน่น มีการแทรกนิ้วเข้ามาประสานกันกับผมแล้วชูขึ้นให้คนรอบโต๊ะดูด้วย

"คบสิ"

"กูว่าแล้ว!"

"ก็เป็นรูมเมทกันนี่หน่า เนอะ?"

หน้าเหวอๆ ของเพื่อนทำให้ผมหลุดขำออกมาอีกรอบจนได้ ส่วนคุณก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้แกล้งตอบคำถามกำกวมไป มิวายหันมายักคิ้วใส่ผมด้วยสีหน้าสนุกสนานเต็มที่อีก สมกับเป็นคุณจริงๆ

"กูว่ากวนตีน ไอ้คู่นี้กวนตีนแน่ๆ"

"งั้นมึงก็เลิกสนใจเหอะ มันจะเป็วผัวเมีย เป็นรูมเมท เป็นอะไรก็ให้มันรู้กันสองคนก็พอ"

"กูก็ว่างั้น กว่าจะเปิดตัวก็นู่น ร่อนซองแดงแจกอ่ะกูว่า"

ก็ว่าไปนั่น เสียงบ่นกระปอดกระแปดของสามคนยังดังต่อไปอีกสักพักก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันแทน ผมกับคุณมองหน้ากันแล้วส่งยิ้มให้กันอีกครั้ง โดยที่มือของเรายังประสานกันไว้อยู่อย่างนั้น หรือถึงปล่อยเราก็จะกลับมาจับกันใหม่อีกครั้ง จนสามคนนั้นเริ่มทำเหมือนไม่เห็นอะไรแล้ว

จนกระทั่งตอนนี้ที่แยกกับเพื่อนๆ เพื่อกลับหอแล้ว มือของเราทั้งคู่ก็ยังประสานกันอยู่ สนุกดีเหมือนกันนะครับทำเรื่องแบบนี้ตอนเดินอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้คงเริ่มเดินจับมือกันบ่อยๆ แล้วล่ะผมว่า

"ไม่ปล่อยมือเราเหรอ?"

คุณถามขึ้นก่อน แต่ไม่มีท่าทางว่าอยากจะปล่อยแต่อย่างใด

"ไม่ปล่อยหรอก"

"ทำไมไม่ปล่อยล่ะ?"

"ชื่อรักษ์ที่มี ษ.บอรึษี การันต์ แปลว่าอะไรรู้มั้ย?"

เลือกจะตอบคำถามด้วยคำถาม แม้รอบข้างจะมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าแต่ก็พอจะเห็นว่าคุณทำหน้าจริงจังในการคิดหาคำตอบเหลือเกิน คล้ายกับสีหน้าเวลาที่เขาทำงานแล้วผมลอบมองอยู่บ่อยๆ

"อืม... แปลว่า... ดูแล รักษา ปกป้อง ให้ความสำคัญ?"

"นั่นแหละคำตอบที่คุณถามเมื่อกี้"

"...อย่ามาหยอดนะ แค่นี้เราก็เขินจะตายอยู่แล้ว"

อยากขอบคุณแสงจากเสาไฟที่สว่างมากพอทำให้ผมเห็นคุณหน้าแดงยืนยันคำพูด ครั้งหน้าจะขอปีนไปติดเป็นไฟขาวจะได้เห็นชัดกว่านี้

"ไม่ให้ตาย ก็รักษ์คุณอยู่ จะตายได้ไง"

"...อีกนิดเราจะไม่ให้รักษ์แล้วจริงๆ นะ"

"ไม่รักษ์คุณแบบนี้แต่จะรักคุณอีกแบบก็ได้อยู่นะ"

"ฮื่อออ... ไม่เอาแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว"

หน้าเน้อหูเหอแดงกว่าเมื่อครู่เสียอีก แถมยังทำทีจะเป็นฝ่ายสะบัดมือทิ้งก่อนจนผมต้องล็อกแน่นกว่าเดิมไม่ให้หลุดไปได้ ดูท่าคงจะแกล้... พูดมากเกินไปหน่อยจนทำให้เขาเขินเสียขนาดนี้

เล่นมีรูมเมทแบบนี้จะไม่ให้ผมรัก(ษ์)ได้ยังไงไหว จริงไหมล่ะครับ?








--------------------------------------------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีค่ะ หายไปนานทีเดียว เพราะช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายม๊ากมากเลย

มาต่อตอนนี้แล้วเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ขอเคลียร์ชีวิตหน้าที่การงานก่อน 55555555555

ไม่รู้จะเม้าท์อะไร เอาเป็นขอให้ทุกคนอ่านเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มเช่นเคย และขอบคุณสำหรับคอนเม้นท์มากๆ นะคะ

แล้วเจอกันค่ะ

ออฟไลน์ TaemyG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ =นีรนาคา=

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2546
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +296/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เพิ่งได้อ่าน ชอบทุกคู่เลย

ออฟไลน์ zabzebra

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1043
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +83/-1
รออ่านคู่ กวิน ภีม ต่อนะเคอะๆๆๆ

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[10]






ผมชื่อคุณ

พ่อแม่ตั้งชื่อนี้ให้เพราะท่านต้องการแสดงถึงความรักที่เต็มเปี่ยมทั้งยังสอนให้ผมรู้จักการให้เกียรติบุคคลอื่นผ่านชื่อของตัวเอง

และผมชอบเวลาได้ยินตัวเองถูกเรียกด้วยชื่อนี้สุดๆ เลยล่ะ

"คุณ~ กูหิวข้าวแล้ว"

ผมหันไปมองคนที่เริ่มเลื้อยลงไปนอนกับโต๊ะพร้อมบ่นอุบไม่หยุดเมื่อตอนนี้เลยเวลาพักกลางวันไปกว่าห้านาทีแล้วแต่อาจารย์ประจำวิชาที่อยู่หน้าห้องยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคลาสเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่ภีมคนเดียวหรอกที่หิว คนอื่นๆ ในคลาสก็กระวนกระวายนั่งกันแทบไม่ติดแล้ว ในนั้นก็รวมตัวผมด้วยอีกคน ไม่ใช่ว่าหิวอะไรขนาดนั้น แต่กลัวคนที่กำลังรออยู่จะนั่งหิ้วท้องรอมากกว่า

เครื่องมือสื่อสารที่ปกติจะใส่ไว้ในกางเกงนักศึกษาบัดนี้เปลี่ยนมาวางอยู่บนโต๊ะเลคเชอร์แทน ผมส่งข้อความไปบอกคนที่ไลน์มาหาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วว่าให้หาอะไรกินไปก่อนเลยเพราะรู้ว่าต้องช้าแน่ แต่คำตอบจากปลายสายมีเพียงสองคำสั้นๆ ว่า จะรอ

นั่นทำให้ผมกังวลมาจนถึงตอนนี้ว่ารักษ์ต้องหิวมากแน่ๆ เมื่อเช้าตอนออกมาก็ไม่มีอะไรลงท้องเพราะกำลังจะสายทั้งคู่ แถมยังเสียเวลามาส่งอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นมาจนอยากออกจากห้องมันเสียตอนนี้เลย

"เอาล่ะ อาจารย์สั่งงานไว้ให้สองชิ้น กำหนดระยะเวลาสองอาทิตย์ ถ้าลืมคงรู้นะครับว่าคะแนนที่จะช่วยพวกคุณมันหายไปไหน"

ร่วมโห่ไปกับเพื่อนร่วมคลาสแล้วรีบลากภีมออกจากห้องทันทีที่โดนปล่อย ผมวิ่งห้อไปยังโรงอาหารของตึกคณะทันทีด้วยรู้อยู่แล้วว่าใครอีกคนนั้นอยู่ที่ไหน

"คุณวิ่งทำไม เดี๋ยวก็หกล้มหน้าคว่ำหรอก"

"ก็... ก็กลัวรักษ์รอนาน"

กดมือบนท้องที่จุกจากการวิ่งแล้วพยายามตอบ ภีมที่ตามมาก็สภาพไม่แพ้กันแถมยังจะทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้แล้ว ถ้าไม่ติดเสียงเรียกของเพื่อนคนอื่นๆ

"ภีมมานั่งฝั่งนี้เว้ย อย่าไปนั่งแทรกสองคนนั้น เดี๋ยวเบาหวานขึ้นตา"

"เออ กูก็ว่างั้นอ่ะ เขยิบดิ๊มึง"

เจอกันก็กลายร่างทันทีเลยนะ ผมตวัดสายตามองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้ไปนั่งเบียดกับพวกเผือกแล้ว เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ พวกนี้

"มึงกิน'ไรอะ? วันนี้กูอยากกินก๋วยเตี๋ยวว่ะ"

ภีมฉกเฟรนฟรายที่น่าจะเป็นของเผือกเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ ตาก็มองไปตรงร้านที่หมายตาไว้ด้วย ยังดีที่มีแก่ใจจะถามผมอยู่บ้าง

"อยากกินข้าวมันไก่ รักษ์ล่ะ อยากกินอะไร?"

"อยากกิ..."

"อยากจะกลืนกินเธอทั้งตัวไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น~"

"ฮิ้ววว~"

ครับ... ตอนนี้ผมอยากกินพวกเขาแทนแล้ว เสียงดังจนคนโต๊ะอื่นหันมามองหมดเลย ภีมก็เอากับเขาด้วย จะรัวตีโต๊ะทำเพื่อ ผมกับรักษ์เพียงมองนิ่งๆ ทำเหมือนไม่สนใจอะไรแล้วปรึกษากันต่อว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายมื้อกลางวันนั้นเราทั้งคู่ก็จบลงที่ร้านข้าวมันไก่ เพียงแต่ของผมเป็นไก่ทอดแล้วรูมเมทเป็นไก่ต้ม จะได้เอามาแบ่งกันเพื่อให้ได้กินสองแบบในจานเดียว

"...ละทำไมพวกมึงไม่สั่งข้าวไก่ผสมกันมาคนละจานเลยวะ?"

ภีมถามผม บางครั้งก็อยากถามนะว่าเพื่อนตัวเองเป็นเจ้าหนูจำไมหรือเปล่า เห็นสงสัยไปเสียเกือบทุกเรื่องเลย หรือเพราะอยู่กับเผือกมากเกินไปแบบที่รักษ์บอกจริงๆ

"สั่งแบบนั้นมาก็ได้น้อยอะดิ" ผมว่าพร้อมตักข้าวเข้าปาก "สั่งแบบนี้ได้เยอะกว่าตั้งเยอะ"

"แล้วมึงก็ไปแย่งรักษ์มันอ่ะนะ?"

"เขาเรียกแบ่ง กูก็ให้รักษ์ด้วยไง"

ไม่ว่าเปล่าผมยังตั้งไก่ทอดของตัวเองไปวางไว้ในจานของรักษ์ด้วย ส่วนเขาก็แบ่งไก่ต้มของตัวเองมาให้ เห็นมั้ยล่ะ สั่งสองคนสองแบบก็ได้กินทั้งสองคนสองแบบ แถมเยอะกว่าสั่งเดี่ยวด้วย ง่ายจะตาย

 "มึงก็ตรรกะเดียวกับคุณป่ะไอ้รักษ์?"

ภูมิถามเพื่อนเขาบ้าง คนถูกถามเงยหน้ามองเพื่อนแล้วหันมามองจานข้าวของตัวเองสลับกับผมพลางส่ายหน้า

"เปล่าหรอก"

"เอ้า แล้วทำไมมึงไม่สั่งผสม"

"สั่งแบบนั้นมาต้องแยกกันกิน แต่ถ้าสั่งแบบนี้คุณจะตักมาให้ แล้วก็ได้ตักให้คุณด้วย"

เงียบครับ เงียบกันทั้งโต๊ะ แถมแต่ละคนยังทำหน้าเหมือนเหนื่อยใจจัดใส่คู่พวกผมอีก ทำไมล่ะ ไม่เห็นแปลกเลยในเมื่อเราเป็นรูมเมทกันนี่ เนอะ?

 





RUK

คุณ นี่ภูมินะ

วันนี้กลุ่มเราจะไปเตะบอลกัน คุณไปด้วยกันมั้ย ไปนั่งข้างๆ สนามให้กำลังไอ้รักษ์ไง

*ส่งสติ๊กเกอร์รูปหมีบราวน์ถือหัวใจ*

 

ผมหัวเราะสติ๊กเกอร์ที่หนึ่งในกลุ่มของรักษ์ส่งมา ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์แซลลี่ที่มีคำว่าโอเคตอบกลับไป ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นรักษ์เตะบอลกับเพื่อนๆ เท่าไหร่เพราะอีกคนคอยตามรับตามส่งและช่วยอุ้มโมเดลสำหรับพรีเซนต์มาให้ถึงคณะ มีโอกาสทั้งทีจะพลาดได้ยังไงกัน

"ภีม วันนี้พวกรักษ์จะไปเตะบอลกัน ไปมั้ย?"

"ที่ไหนอ่ะ?"

ถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากโทรศัพท์มือถือ ช่วงนี้เพื่อนผมติดมันเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่องทางเดียวที่จะได้คุยกับคนรัก เห็นว่างานยุ่งทั้งคู่ซึ่งก็เข้าใจได้ครับว่าคณะเรางานเยอะมากจริงๆ มีเวลาแว้บไปไหนมาไหนอย่างละหน่อยก็ดีมากแล้ว

"สนามม.เรานี่แหละ"

"เออ น่าสนใจอยู่"

ภีมทำท่าทีสนใจ และผมคิดว่าเขาคงตอบตกลงแน่นอนถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์แทรกขึ้นมาเสียก่อน พอเห็นชื่อบนหน้าจอก็หน้าซีดเลยครับ เพราะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำโปรเจคของเขาครั้งนี้

"สงสัยจะไปไม่ได้แล้วมั้ง?"

"เซ็งว่ะ... เดี๋ยวไงถ้าเสร็จแล้วจะไลน์หาแล้วกัน"

มองตามหลังเพื่อนที่เหี่ยวเหมือนลูกโป่งถูกเจาะแล้วก็เห็นใจ ถ้าถึงทีผมบ้างสภาพก็คงไม่ต่างกัน การไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาก็เหมือนการไปขึ้นเขียงแหละครับ เราจะโดนเฉือนโดนแทงจากคำพูดไม่ยั้ง แลกกับการได้คำแนะนำที่ดีมาเยอะ

ปกติแล้วสนามจะแบ่งไว้อย่างละครึ่งเพื่อให้นักศึกษาได้เข้ามาใช้และไว้ให้นักกีฬาฝึกฝนไปด้วย แค่เหยียบเข้ามาในบริเวณก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกสลับกับเสียงกรี๊ดกร๊าดของสาวๆ ที่มานั่งรอคนรู้ใจรวมถึงพวกที่มาบริหารเสน่ห์โดยเฉพาะ ผมไม่ไปนั่งบนอัฐจันทร์เหมือนพวกเขาหรอกครับ มานั่งตรงที่นั่งตัวสำรองข้างๆ กองกระเป๋าของกลุ่มรักษ์ดีกว่า กันแดดไปด้วยในตัว

กลางสนามฝั่งสำหรับนักศึกษามีคนตัวสูงๆ ขายาวๆ กลุ่มนึงวิ่งไปมารับส่งบอลให้กัน เล่นกันดูน่าสนุกดีครับ ผมก็เคยอยากเล่นกับพวกเขานะ แต่ไม่เข้าใจกติกาของมันเลย เลยขอลุ้นอยู่ริมสนามแบบนี้ดีกว่า นั่งมองอยู่ไม่นานก็หารักษ์เจอ วันนี้ใส่เสื้อสีทึบกว่าคนอื่นเลยเด่นพอตัว ได้ยินเสียงสาวๆ เรียกชื่อเสียด้วยถึงจะน้อยกว่าคนอื่นในกลุ่มก็เถอะ แต่นับว่าเนื้อหอมไม่หยอกเลยครับ

รักษ์วิ่งวนไปมาสลับกับฝ่ายตรงข้าม เขารับลูกบอลที่เพื่อนส่งให้แล้วเลี้ยงไปอีกระยะก่อนจะเตะส่งลูกบอลทะลุมือโกลด์แบบเท่ๆ จนผมลืมตัวลุกขึ้นมาเฮด้วย แต่ก็รีบเงียบแล้วทรุดตัวนั่งลงตรงที่เดิมเมื่อเห็นจากที่ไกลๆ ว่ามีคนหันมามอง

เห็นต้าเดินเข้าไปคุยกับรักษ์สักพักก็พยักเพยิกมาทางผม หลังจากนั้นคนตัวสูงก็ทำไม้ทำมืออะไรสักอย่างแล้ววิ่งตรงมาทางผม เห็นแบบนี้ก็รอช้าไม่ได้ รีบเปิดฝาน้ำแร่ที่ซื้อระหว่างมากับถือผ้าขนหนูส่วนตัวที่ชอบพกมาห่มรอเขา แต่นอกจากรักษ์จะไม่เอาน้ำยังจะยื่นหน้ามาให้ผมบริการซับหน้าให้อีก เหงื่อชุ่มไปทั้งหน้าทั้งเสื้อเพราะอากาศอันเป็นเอกลักษณ์สุดๆ ของประเทศเราจนผมกลัวว่าเขาจะเป็นลมเอา

"เหงื่อออกเยอะมาก รักษ์จะไม่เป็นลมใช่มั้ย?"

"ไม่หรอก แค่ร้อนๆ ไม่ได้มาเล่นสักพักแล้วไง"

"คราวหลังก็มาบ่อยๆ สิ เดี๋ยวเรามานั่งดูด้วย รักษ์เท่มากเลยตอนยิงบอลเข้าประตู สาวๆ ฝั่งนู้นกรี๊ดกันใหญ่"

ผมว่าพลางชี้ไปทางที่นั่งอีกฝั่งที่ยังมีเสียงกรี๊ดมาเป็นละรอกแล้วทำหน้าทำตาหมั่นไส้สุดๆ ใส่เขาจนโดนยีหัว จากที่ยุ่งเพราะลมอยู่แล้วยิ่งยุ่งมากกว่าเดิมอีก

"ต้าบอกว่าคนแถวนี้เฮเสียงดังจนมันตกใจ คนแถวนี้ใช่คนชื่อคุณหรือเปล่า?"

"เราแค่ดีใจที่มีคนเตะเข้าไง เราไม่รู้หรอกว่าเป็นรักษ์"

"เหรอ เสียใจได้มั้ย?"

"ไม่ได้สิ รักษ์จะเสียใจทำไมล่ะ?"

พูดจาประหลาดจนผมต้องมุ่ยหน้าใส่แล้วถามกลับไป กวนมากวนกลับคือหลักประจำใจของผมเลยครับ

"ไม่มีคนเชียร์ เสียใจมาก ไม่มีแรงลงไปเตะต่อแล้วเนี่ย"

"เวอร์ ไปเลย เดี๋ยวเล่นเสร็จไปหาอะไรกินกัน ชวนพวกภูมิไปด้วยนะ ภีมน่าจะดีใจได้เจอพี่ชายฝาแฝด"

เมื่อครู่ผมได้รับข้อความจากภีมบอกว่าปรึกษาเรียบร้อยและกำลังตามมา เลยคิดว่าถ้ามารวมกลุ่มกันหน่อยก็น่าจะช่วยให้เรื่องเครียดๆ ลดลงไปได้เยอะ ยิ่งถ้ามีภูมิคนที่พวกผมแซวว่าเป็นฝาแฝดคงได้ตบมุกกันสนุกน่าดู

"อืม ถ้าร้อนไปนั่งรอในห้องแอร์ก่อนก็ได้"

"ไม่เอา เราจะเชียร์รักษ์ตรงนี้แหละ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจทีมแพ้แล้วมาโทษเราทีหลังอีก"

เมื่อครู่ยังงอแงใส่อยู่เลยมาทำเป็นลืม รักษ์หัวเราะรับคำครหาก่อนวิ่งกลับเข้าสนามไป ส่วนผมก็ทำหน้าที่กองเชียร์ที่ดี นั่งเชียร์เขาไปด้วยเฝ้ากองกระเป๋าที่ว่างอยู่ข้างๆ ต่อไปด้วย สุดท้ายผลก็เป็นไปตามคาด ทีมรักษ์ชนะพร้อมเสียงแซวว่าเพราะได้กำลังใจดีๆ อย่างผมจนต้องตีหน้านิ่งเหมือนเคย

ฮึ้ย... ผมจะแซวตอนพวกเขาพาแฟนมานั่งดูบ้าง คอยดูเถอะ





 

เกือบเที่ยงคืนแล้วตอนที่ผมตัดสินใจว่าต้องจัดการตัวเองเสียที เพราะทั้งตัวมีแต่เศษชานอ้อยสำหรับทำโปรเจคครั้งนี้ติดอยู่ ไม่รู้อาจารย์โกรธอะไรนักศึกษาอย่างผมหนักหนาถึงสั่งงานต่อกันไม่หยุดให้หายใจทั้งที่เพิ่งผ่านช่วงสอบมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยแถมงานยังไม่เสร็จ สู้รีบๆ เคลียร์ให้มันจบๆ ดีกว่าเยอะ

"หายไปไหนของเขานะ?"

ผมคล้องผ้าขนหนูไว้ที่คอพลางมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนร่วมห้องที่ตอนแรกเห็นว่านอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงแต่ตอนนี้ไม่อยู่เสียแล้ว ไม่ได้ยินเสียงบอกว่าจะออกไปไหนด้วย ทำให้ผมต้องมานั่งตัดโมของตัวเองต่อเงียบๆ

"คุณ ไม่เช็ดหัวเดี๋ยวก็ไม่สบาย"

"ตกใจหมด!"

สะดุ้งเลยครับเมื่อคนที่คิดว่าหายไปโผล่มาด้านหลัง ชอบแว้บไปแว้บมาเงียบๆ เหมือนตัวเองเป็นผี พอคนเขาตกใจก็หัวเราะอีกแน่ะ

"มา เช็ดให้"

มือใหญ่ของรักษ์คว้าเข้าที่ผ้าเช็ดตัว ตอนนั้นเองที่ผมได้กลิ่นจางๆ ของบุหรี่ที่ไม่ชอบเอาเสียเลยลอยมาแตะจมูกจนต้องทำหน้ายู่ทั้งที่มือก็ไม่หยุดตัดไม้แผ่นบางตรงหน้าด้วย

"ไประเบียงมาใช่มั้ยเนี่ย? กลิ่นติดเลย"

เพราะหอพักเราเป็นหอในทำให้ไม่ใหญ่โตเหมือนหอหักด้านนอก หากอยากสูบบุหรี่มีสองวิธีที่ทำได้คือต้องลงไปชั้นหนึ่งในโซนที่มีไว้สำหรับสูบบุหรี่ หรือไม่ก็อีกวิธีคือพ่นควันในห้องเอา แน่ล่ะว่าคนที่อยู่ห้องชั้นห้าแบบรักษ์ย่อมต้องใช้วิธีหลังอยู่แล้ว แต่เพราะรู้ว่าผมไม่ชอบกลิ่นเหม็นๆ นั่น เขาเลยยอมออกไปสูบบุหรี่ตรงระเบียงแล้วปิดประตูกระจกทึบกั้นไว้แทน

"อือ ขอโทษที มันอยากขึ้นมา"

"ไม่เป็นไร แต่ไม่อยากให้รักษ์สูบเลย มันไม่ดี กลิ่นก็เหม็นติดเสื้อ ไม่ชอบ เราชอบกลิ่นปกติของรักษ์มากกว่า"

อีกคนเป็นพวกติดโคโลญกลิ่นสบายๆ พอใช้ไปนานๆ มันเลยติดเป็นกลิ่นประจำตัว พออยู่กับเขานานเข้าผมเลยชินกลิ่นขึ้นจนกลายเป็นชอบดมไปโดยปริยาย

"ชอบขนาดนั้นเลย?"

"อือ ชอบมาก มากๆ เลย"

"งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำแล้วมาให้คุณกอด"

ผมหยุดมือที่กรีดคัทเตอร์ลงแล้วแหงนหน้ามองเขา เห็นรอยยิ้มมุมปากแล้วคันไม้คันมืออยากจะเอาของมีคมจ้วงใส่ชะมัด

"ทำไมเราต้องกอด ไม่เอาอ่ะ"

"แล้วทำไมคุณต้องไม่กอด ไม่เอาเหมือนกัน"

แน่ะ ยังจะมากวนกันอีก

"ไปอาบน้ำเลยไป!”

"ถ้าออกมาแล้วยังไม่แห้งจะจับขยี้หัว"

มือใหญ่ยีหัวที่ยังชื้นจนผมต้องร้องฮื่อใส่เบาๆ แล้วเดินหัวเราะหายไปทางห้องน้ำ ทำไมขี้แกล้งได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้

ปกติคนอื่นๆ จะเห็นว่าเขาชอบดูแลเอาใจใส่ผม แต่ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าเวลาอยู่ด้วยกันสองคนผู้ชายอบอุ่นอย่างรักษ์ก็มีมุมขี้แกล้งอยู่เหมือนกัน เคยเล่าให้ภีมฟังมันยังไม่เชื่อเลย หาว่าผมนี่แหละเป็นคนไปงอแงใส่รักษ์เอง ทั้งที่มันไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย

มือซ้ายขยี้ผม มือขวาจับชิ้นส่วนนั้นนี้มาทาบกับแบบที่เป็นคนร่างเอง อยากเปิดพัดลมจ่อแต่ของที่ตัดไว้แล้วจะปลิวเอาผมจึงยอมเปิดแอร์เวลาทำงาน

พอเวลาเพลินกับงานแล้วเรื่องรอบข้างก็หายไปจากความสนใจจนหมด จากตอนแรกที่นั่งเช็ดหัวไปด้วยประกอบชิ้นส่วนไปด้วย แค่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผ้าบนหัวก็ถูกเขวี้ยงไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้เพราะมันเกะกะตอนทำงาน มารู้อีกทีก็ตอนได้ยินเสียงดุๆ ของคนที่เพิ่งออกจากห้องน้ำนั่นแหละ

“ผมแห้งหรือยังคุณ?”

ผมเงยหน้าพร้อมฉีกยิ้มให้เขาจนตาหยีด้วยรู้ว่าหลักฐานตำตาขนาดนี้คคงไม่สามารถโกหกได้แล้ว รักษ์ตีหน้ายักษ์ยกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวนั่งซ้อนหลังแล้วใช้ผ้าเช็ดหัวของเขามาจัดการกับหัวผมให้แทน เลยแกล้งหงายตัวพิงกับอกเขาในขณะที่มือก็จัดทรงโมเดลชิ้นเล็กในมือไปด้วย

“ใกล้เสร็จยัง?”

“อืม... อีกสองสามวันมั้ง เราต้องทำส่วนหน้ากับแก้รายละเอียดอีกหน่อย”

“แล้วส่งเมื่อไหร่?”

“อีกสามวัน”

“...เท่ากับต้องปั่นไปจนถึงวันส่งเลยไม่ใช่หรือไง ทำไมมีอะไรไม่ยอมให้ช่วยล่ะ”

ความจริงรักษ์ก็เสนอตัวช่วยอยู่ตลอด แต่ผมยังทำงานทันอยู่จึงไม่อยากให้อีกคนที่ก่อนหน้านี้ต้องทำงานวิจัยเรื่องภาษาอะไรสักอย่างมารับงานเพิ่มแล้ว เห็นเขาแบกหนังสือตั้งใหญ่มากองไว้บนโต๊ะอยู่ทุกวัน เด็กภาษานี่ก็ไม่ใช่ว่าจะสบายอย่างที่คิดเอาไว้ ผมเพิ่งมาประสบด้วยตัวเองก็ตอนเห็นเขาทำงานวิจัยแต่ละชิ้นนี่แหละ

"รักษ์ก็ช่วยเราตลอดอยู่แล้ว ยังจะให้ช่วยอะไรอีกล่ะ"

ผมยิ้ม เป็นเรื่องจริงที่เขาคอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอไม่ว่าจะเพราะผมขอหรือรักษ์เสนอตัวช่วยเอง แต่เพราะสิ่งที่อีกคนทำเลยทำให้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยสนุกขึ้นเป็นกอง แม้ช่วงเวลาเคร่งเครียดจนเกือบจะท้อก็ยังมีคนตัวโตคนนี้อยู่ด้วยเสมอ

พอโดนเถียงเข้าไปแบบนั้นคนที่กลายเป็นหมอนอิงจำเป็นก็ถอนหายใจใส่ แล้วเปลี่ยนมาวางคางบนหัวผมแทน มือก็โยนผ้าขนหนูไปที่เก้าอี้สำหรับนั่งเล่นคอมแล้วเปลี่ยนมาโอบเอวผมแทน แอบเขินกับท่าทางแบบนี้ทุกทีแต่อย่ากระโตกกระตากครับ เดี๋ยวคนขี้แกลงจะได้ใจ

"ดื้อ"

"รักษ์นั่นแหละดื้อ ว่างแล้วมาก่อกวนคนอื่นเขา ไม่ยอมหลับยอมนอน"

รักษ์ชอบนอนดึก คืนก่อนมีควิซก็เข้าใจได้อยู่ว่าต้องอ่านหนังสือ แต่พอสังเกตแล้วถึงได้รู้ว่าแม้จะไม่มีควิซ แต่หากผมอยู่โยงทำงานเขาก็จะตื่นรออยู่ด้วยจนต้องขู่ว่าจะหนีไปนอนกับภีมจึงยอมไปนอนแต่โดยดี ดูเอาสิว่าใครกันแน่ที่ดื้อ

"ให้นอนตอนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก"

"เราไม่เสียงดังหรอก "

"เงียบขนาดไหนก็นอนไม่หลับอยู่ดี"

"ทำไมงั้น? ไหนอธิบายเราดิ๊"

"ก็คุณไม่มานอนด้วย"

ดูสิครับ พูดจาน่าจัดศอกใส่สุดๆ

"......."

"ไม่มีคุณให้กอดแล้วไม่สบายใจ นอนไม่หลับเลย"

ใครก็ได้บอกรักษ์ทีว่าผู้ชายอายุยี่สิบทำเสียงอ้อนๆ ไป กอดเอวผมไปไม่ได้น่ารักสักนิด แถมยังทำให้อากาศรอบๆ ตัวร้อนจนกลายเป็นว่าผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาทากาวกับชิ้นส่วนในมือไป

อืม... อันนี้มันส่วนไหนของโมเดลนะ เริ่มเบลอๆ แล้ว

เรานอนเตียงเดียวกันมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ย้ายเข้าหอ เพราะตอนนั้นเราไม่มีที่วางเสื้อผ้าเนื่องจากนักศึกษาคนก่อนหน้าทำให้มันพังจนประตูปิดไม่ได้ พวกเราเลยต้องสละเตียงหนึ่งหลังเพื่อไว้วางเสื้อผ้าไปก่อนจนกว่าหอจะนำตู้ใหม่มา และนั่นใช้เวลาเป็นอาทิตย์ สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้กลับไปนอนเตียงตัวเองอยู่ดีเพราะมันเอาไว้ใช้กองอะไรต่อมิอะไรมากมายไปหมด และตัวเองก็ต้องระหกระเหินไปนอนเตียงเดียวกับรักษ์

"...อย่ามาพูดจางุ้งงิ้งสิ"

"ทำไมจะพูดไม่ได้ ก็เรื่องจริง อยากนอนกอดคุณแต่คุณไม่ยอมมานอนแล้วรักษ์จะนอนได้ยังไง"

แทนตัวเองด้วยชื่ออย่างที่นานๆ จะทำสักทีเพราะรู้ว่าผมชอบ นิสัยไม่ดีเลยนะรักษ์! ใครสั่งใครสอนให้ทำตัวแบบนี้กัน

"ฮื่อออ... รักษ์ขี้โกง"

"อือ รักษ์ขี้โกง แต่แค่กับคุณนะ" ฟาดมือไปแรงๆ หนึ่งทีแก้หมั่นเขี้ยว "ไหนหันมาหน่อยเร็ว"

"ไม่เอา เราไม่หัน"

ผมส่ายหน้ารัวๆ ใครมันจะไปหันตอนนี้ล่ะครับ เดี๋ยวรักษ์รู้หมดว่าผมทำหน้าแบบไหนอยู่ ถึงต้นคอและใบหูจะร้อนจนผมรู้ตัวว่ามันแดงมากแน่ๆ ก็เถอะ

"ไม่หันก็นั่งฟังไปแบบนี้แล้วกัน"

คำพูดของคนด้านหลังมาพร้อมอ้อมกอดที่แน่นขึ้น รักษ์เปลี่ยนมาวางคางบนบ่าทำให้ริมฝีปากเขาอยู่ใกล้หูจนกลัวว่าหันไปแล้วจะโดนงับหูได้ จักจี้นิดหน่อยผมเลยไม่กล้าขยับตัว

"จำวันนั้นได้มั้ย? ที่ภีมเมาแล้วกวินมารับ"

"อื้อ จำได้สิ"

วันนั้นเราไปนั่งร้านเหล้าหลังมหาลัยกันเพราะแก๊งค์ของรักษ์อยากฉลองที่ส่งวิจัยเสร็จ ไม่ลืมชวนผมกับภีมไปด้วย แล้ววันนั้นเพื่อนสนิทผมดันทะเลาะกับคนรักพอดีเลยจัดหนักจัดเต็ม จนกวินมารับพลางลากกลับนั่นแหละ ทุกคนเลยรู้ว่าคู่นั้นเขาคบกัน ผมที่รู้มาก่อนน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่เพื่อนคนอื่นๆ นี่สิ ผมกลัวว่าคนจะมองภีมในแง่ไม่ดีเลยถามความเห็นพวกเขาไปตรงๆ และคำตอบที่ได้มาก็ทำให้ตัวเองรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเจอเพื่อนแบบพวกเขา

"แล้วจำที่พวกเผือกมันเผือกสมชื่อได้มั้ย?"

"ว่าเพื่อน นิสัย" ผมขำเพราะชอบฉายานั้นมากจริงๆ "จำได้เหมือนกัน ถามว่าเราเป็นอะไรกัน ทำไมอยากรู้กันจัง"

"ก็ไม่ยอมบอกพวกมันสักที มันก็อยากรู้สิ"

"เราบอกแล้วเถอะว่าเป็นรูมเมทกัน"

เอียงใบหน้ากลับไปมองเขาแล้วยักคิ้ว ผมก็ตอบตามความจริงนี่หน่าว่าเป็นรูมเมทกัน ไม่ได้โกหกเสียหน่อย ยังอยากรู้อะไรกันเยอะแยะ พอไม่บอกก็มางอนกันอีก พวกผู้ชายใจน้อย

"ลืมบอกอีกสถานะหรือเปล่าล่ะ"

"อะไร สถานะอะไรอีก ไม่มีอะ"

"เดี๋ยวจะโดนนะคุณ"

"โอ๊ะ! อย่าทำร้ายเรานะ!"

โวยวายสิครับ เล่นหยิกแก้มมาได้ เห็นมั้ยล่ะว่ารักษ์ชอบแกล้งผมขนาดไหน ยู่หน้าใส่เลยหนึ่งที

"เป็นแฟนกันมาตั้งนานแล้วนะ ไม่รู้ตัวเลยหรือไง?"

คำพูดของรักษ์ทำให้ผมต้องรีบกลั้นยิ้มไว้ แต่ไม่รอดสายตาเขาหรอกครับ คนตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆ ข้างหูให้ลมหายใจเขารดผมเล่น

"ใครเป็นแฟนรักษ์กัน รักษ์ไม่เคยขอและเราไม่เคยตอบตกลงด้วย"

"ยังต้องขออีกเหรอ อะไรๆ ก็ทำมาหมดแล้วนะ"

"อย่าพูดจาสองแง่สองง่ามสิ!"

หันไปเหวใส่แล้วทุบแขนไปอีกที ใครมาได้ยินตกใจหมด

"อะเอาใหม่ อะไรๆ ก็ทำมาหมดแล้วนะ ยกเว้นจูบกับ..."

"พูดอีกคำเราเอาโมทุ่มหัวเลยนะ"

หัวเราครับ หัวเราะจนตัวสั่นไปหมดและผมในอ้อมกอดก็สั่นตามไปด้วย ตอนนี้โมเดลตรงหน้าก็ไม่สามารถใช้หันเหความสนใจจากผมได้อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายเลยขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งหันไปทางเขาแล้วเอาขาของตัวเองพาดขาของอีกคนแทน รักษ์ไม่ว่าอะไรกลับทำหน้าพอใจพลางรั้งผมให้ขยับเข้าไปใกล้อีก

"คบกันแล้วนะ"

คนตรงหน้าพูดพร้อมรอยยิ้ม รักษ์เป็นคนหน้าตาดีแม้จะไม่ถึงกับเด่นจนใครต่อใครต้องเหลียวหลังแต่มีเสน่ห์แบบที่ผมชอบ ตาสีดำสนิทที่มองไปเมื่อใดก็จะสบกลับมา จมูกโด่งที่ชอบเนียนเอามาเกลี่ยแก้มเกลี่ยคอเวลากอด ปากได้รูปที่มักเอ่ยชื่อผมอยู่เสมอ ยิ่งมองยิ่งอดไม่ได้ต้องยกยิ้มตาม

"ถามแบบนี้ไม่โรแมนติกเลย"

"ไม่ใช่ประโยคคำถามสักหน่อย นี่ประโยคบอกเล่า"

"รักษ์"

"คุณ"

จะมาต่อชื่อกันให้เขินเล่นทำไมเล่า! ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจให้คนที่เอาแต่ยิ้ม แต่ยังไงซะผมก็สู้อะไรเขาไม่ได้หรอก

"คบกันแล้วนะคุณ"

ย้ำคำเดิมกับผมแล้วมองอย่างไม่หลบตา โดนเข้าไปแบบนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ สุดท้ายก็ยอมให้เขาทำตามใจแล้วรับมือเขาให้ได้ เหมือนตอนนี้ที่ผมปล่อยให้เขาเคลื่อนใบหน้ามาใกล้ๆ นี่แหละ

"คบกันนานแล้วนะต่างหากล่ะคุณ"

ผมใช้สรรพนามบุรษที่สองกับเขา ดูท่ารักษ์จะชอบถึงได้ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ แล้วทาบริมฝีปากของเขาเข้ากับของผม

จูบแรกระหว่างเรา มีเสียงแอร์เบาๆ ประกอบ กลิ่นสบู่จางๆ ชวนให้สบายใจ ผมที่ยังชื้นอยู่หน่อยๆ ชวนจักจี้ แถมยังมีโมเดลที่เกือบจะเสร็จแล้วกองอยู่ด้านหลังอีก

แต่ผมว่ามันโรแมนติกไม่หยอกเลยล่ะ





-----------------------------------------------------------


TALK: สวัสดีค่ะ มาต่อกับคู่หวานคู่นี้อีกตอน แล้วก็มาถึงครึ่งทางของนิยายเรื่องนี้แล้วด้วย ฮูเร่!

ไม่คิดว่าจะแต่งแล้วเพลินจนมาได้เยอะขนาดนี้เลย เราชอบการแต่งให้ทุกคนเห็นมุมมองของตัวละคนหลายๆ ด้านค่ะ สนุกดีที่เห็นแต่ละตัวละครแสดงออกในมุมต่างๆ กัน หลายๆ ความคิด หวังว่าผู้อ่านจะชอบเรื่องราวพวกนี้เฟมือนกันนะคะ

สำหรับตอนหน้าก็มีคู่ที่รอไว้อยู่แล้ว เหลือแต่ตบๆ บทแล้วแต่งให้จบล่ะค่ะ วันจันทร์หน้าคงได้เจอกันนะ

ขอบคุณทุกำลังใจที่มอบให้มาตลอดค่ะ แล้วเจอกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kkfu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ทำไมมันหวานไปหมดงี้ละ งุ้ยยยยยยยบ

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
คอมเราคงใกล้จะเสียแล้วละค่ะ มดคงเข้าไปทำรังเต็มเลยจากตอนนี้ :katai5:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คู่นี้ละมุนน่ารักสุดๆ
รักษ์ คุณ
คู่กวินภีม น่าจะแซ่บ อยากอ่านคู่นี้ค่ะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
หวานๆ มุ้งมิ้ง ละมุนละไม  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ เมียงู

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ด รอคู่ถัดไปค่ะ ท่าจะแซ่บ  :hao3:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ  น่ารักทุกคู่เลยค่ะ

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
[11]







คุณเชื่อเรื่องความรักระยะไกลไหมครับ?

ความรักแบบที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ไม่ค่อยได้พูดคุยกัน ไม่ค่อยมีเวลาให้กัน แต่สามารถประคับประคองกันได้ด้วยความเชื่อใจ

เมื่อก่อนผมเคยเชื่อว่าคนเราคงทำแบบนั้นได้ เพราะทุกคนมีความอดทน มีความเชื่อใจ แต่หากวันหนึ่งความอดทนมันหมดลง และความเชื่อที่เคยมีมันสั่นคลอน ความรักระหว่างคนสองคนจะยังคงอยู่ได้อีกหรือ ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจในคำตอบเสียแล้ว







"ทำไมทำหน้างอแบบนั้นล่ะภีม"

"วินไม่รับโทรศัพท์อีกแล้วว่ะ"

ผมถอนหายใจก่อนจะวางอุปกรณ์สื่อสารในมือลงกับพื้น เรื่องเดิมๆ ที่เกิดขึ้นติดกันในช่วงนี้ชวนให้ความคิดของผมมันตีกันในหัวจนเหนื่อยไปหมด มองโมเดลที่ยังทำไปได้ไม่ถึงไหนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกอยากถอนหายใจออกมาอีกรอบ
งานก็ไม่เสร็จ แฟนก็หาย ชีวิตดีจริงๆ เลยนายภีมรภัทร

"...ไปกินข้าวห้องกูมั้ย? วันนี้เมทมึงไม่อยู่ เดี๋ยวกูทำของชอบให้กินเองจะได้ไม่ต้องทำหน้าหมาหงอยแบบนี้"

"เอาไข่ยัดไส้ ผัดวุ้นเส้น ต้มยำรสจัด แล้วก็น้ำพริกกะปิพร้อมปลาทูนะ"

"กลับหอมึงไปแล้วทำเหมือนเมื่อกี้กูไม่ได้พูดอะไร"

หลุดหัวเราะเมื่อคุณมันตีหน้าตายพูดประโยคห่ามๆ เมื่อครู่ออกมา ก่อนจะคว้าคอเพื่อนสนิทมายีหัวด้วยความหมั่นเขี้ยว แล้วพลันคิดถึงใครอีกคนที่มักจะทำแบบนี้กับเขาเสมอเวลาที่พูดจากวนประสาท

ผมกับกวินเป็นเพื่อนกันตอนม.ปลาย พวกเราเป็นประเภทไปไหนไปด้วยช่วยหารตามจำนวนคนในกลุ่ม นานวันเข้าความสนิทยิ่งเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเราเป็นพวกชอบอะไรคล้ายๆ กันและไม่ชอบอะไรคล้ายๆ กัน จนในที่สุดความเป็นเพื่อนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้น และจบท้ายลงด้วยการที่เราทั้งคู่ตกลงจะคบกัน เปลี่ยนสถานะเป็นอะไรที่ชัดเจนในความสัมพันธ์ที่มากกว่าคำว่าเพื่อนจนตอนนี้ก็กว่าห้าปีแล้วกับตำแหน่งเพื่อน และอีกสี่ปีกับตำแหน่งคนรัก

...ที่ผมไม่รู้ว่ามันจะคงอยู่ไปอีกนานเท่าไหร่

"วันนี้รักษ์จะมารับมั้ยเนี่ย?"

ถามถึงคนสนิทที่ดูจะมากกว่าตำแหน่งรูมเมทของคุณพลางชะเง้อมองคนที่หยิบมือถือขึ้นมาจิ้มหน้าจอไปมาเมื่อเห็นชื่อคุ้นตาปรากฏขึ้น

"ไม่แน่ใจเหมือนกัน เห็นว่ามีตรวจเล่ม อาจจะกลับช้าถ้าอาจารย์คุยนาน"

"อยากให้มารับล่ะสิ"

ผมแซวเมื่อเห็นอีกคนทำหน้ายู่ ปากก็บอกว่าเป็นรูมเมทกันแต่การกระทำไม่ใช่สักนิด ขนาดผมกับกวินเป็นแฟนกันยังไม่ดูแลเอาใจใส่เท่าที่รักษ์ทำให้คุณเลยด้วยซ้ำ คู่นี้ทั้งปลุกตอนเช้า ทำกับข้าวให้ ไปรับไปส่งคอยตามใจ ดูแลเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน บอกว่าเป็นแค่เพื่อนกันใครมันจะไปเชื่อ

"ก็อยาก จะได้ไปเดินเลือกของทำกับข้าวด้วย... แต่ช่างก่อน เอางานให้เสร็จก่อน มึงอะมาทำสักที มัวแต่รอแฟนงานการไม่เดิน นิสัยเสียจริง!"

ไอ้คนที่เอะอะจับมือถือมาดูทุกห้านาทีมันมีสิทธิ์มาว่าผมแบบนี้เหรอครับ?

มองคุณที่ใช้นิ้วเท้าเขี่ยกองโมเดลให้เขยิบออกเพื่อสร้างพื้นที่นั่งของตนแล้วตีขาไปหนึ่งทีจนมันร้อง ใครสั่งใครสอนให้เอาขาเขี่ยงานแบบนั้น ดูท่าว่าต้องฝากให้ไอ้รักษ์อบรมใหม่เสียแล้ว





 

KAWIN

เตี้ยโทรหากูเหรอ?

โทษที กูลืมเอาโทรศัพท์ไป

ไว้โทรหา ขอนอนก่อน ตาลืมไม่ขึ้นแล้ว



นั่งต่อโมเดลกับคุณอยู่อีกพักใหญ่เสียงเตือนจากเครื่องมือสื่อสารก็ดึงความสนใจของผมจนต้องวางกระดาษชานอ้อยในมือไปคว้าเอามาดูอย่างรวดเร็ว แต่ข้อความที่เห็นก็ทำให้ผมได้แต่อ่านมันนิ่งๆ อยากจะพิมพ์ตอบกลับไปแต่ก็ปล่อยนิ้วอยู่ที่เดิมก่อนที่ผมจะปิดหน้าจอแอพลิเคชั่นไลน์ทิ้งด้วยความเซ็งสุดขีด

รู้ว่ากวินเป็นพวกขี้ลืม เคยมีครั้งหนึ่งที่มันไม่ได้พกโทรศัพท์ไปเรียนด้วยและวันนั้นอาจารย์สั่งงานด่วน เลิกเรียนปุ๊บอีกคนก็ไปซื้อของมาจัดการงานที่คณะโดยไม่ได้กลับหอเกือบสัปดาห์ทำให้ไม่มีใครติดต่อได้สักคน พ่อแม่มันร้อนใจโทรมาหาผม ส่วนผมก็ร้อนใจจนต้องถ่อไปหามันถึงมหาวิทยาลัยที่อยู่คนละฟากของจังหวัดพื่อพบซากมันกับกองงานที่ยังไม่เสร็จสิ้นดี
นับว่ายังดีที่ครั้งนี้ติดต่อไม่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ความจริงก็ยังไม่ทำให้ความรู้สึกที่แย่ลงถูกเยียวยาอยู่ดี

"...คู่ที่ไม่มีเวลาให้กันแต่คบกันยืดนี่เขาทำได้ยังไงวะ"

เปรยกับตัวเองด้วยความสงสัยจากใจจริง พวกเขาทำได้อย่างไรในการประคับประคองความรักของตัวเองแม้จะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้พูดคุยกันเป็นระยะเวลานานๆ เพราะขนาดเขาแค่นี้ยังรู้สึกแปลกๆ เสียจนทนไม่ได้

ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจ เพียงแต่สิ่งที่เคยได้ทำอยู่ตลอดแล้ววันหนึ่งกลับไม่ได้ทำมันชวนให้เกิดความรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นช่างน่ากลัว

"เขาคงยุ่งจริงๆ แหละมึง เหมือนพวกเราตอนนี้ไง"

"แต่เราก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นกันนะมีง ไม่ใช่เอะอะก้มหน้ามองแต่ดราฟกับโมเดล"

รู้ดีว่าต่างคนต่างยุ่ง การเรียนคณะสถาปัตย์ไม่ใช่งานง่าย เพราะนอกจากตารางเรียนที่อัดแน่นแล้ว ยังพ่วงด้วยงานที่เข้ามาเกือบทุกอาทิตย์ซ้อนไลน์เก่าซึ่งยังไม่เสร็จอยู่เรื่อยๆ ตอนปีหนึ่งสมัยยังเป็นน้องเฟรชชี่ก็พอจะมีรุ่นพี่มาช่วยทำอยู่หรอก แต่พอเริ่มเป็นพี่คนบ้างแล้วอย่าว่าแต่รุ่นพี่เลย ขนาดเพื่อนยังต้องทำงานตัวเองให้รอดแล้วค่อยเจียดมาช่วย

แต่แม้งานจะยุ่งแค่ไหนผมก็ไม่คิดว่าจะยุ่งจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย คนเราต้องมีเวลาผ่อนคลายบ้าง ผมกับคุณยังแวะไปเที่ยวกัน กับกลุ่มรักษ์ก็แวะไปเตะบอล หาอะไรกินด้วยกันบ่อยๆ แต่อีกฝ่ายเล่นหายไปไม่ติดต่อ ต่อให้มาก็ไม่ค่อยได้คุย อย่าว่าแต่การพิมพ์ข้อความหา ผมไม่ได้ยินเสียงมันมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

"ไม่เศร้านะ เดี๋ยวกูไปค้างเป็นเพื่อนเวลามึงเหงา"

"แล้วก็ลากพวกไอ้รักษ์กับไอ้ภูมิไปทำเสียงดังในห้องให้กูโดนผู้ดูแลหอด่าเล่นว่างั้น?"

"โหย... ก็แค่นิดๆ หน่อยๆ เอง"

นึกถึงวีรกรรมครั้งล่าสุดที่พวกมันมาพร้อมหน้าพร้อมตาในห้องของผมกับหยก รูมเมทที่เรียนคนละคณะแล้วรู้สึกว่าขมับปวดตุ้บๆ ครั้งนั้นพวกไอ้ภูมิเพื่อนที่ทุกคนตั้งฉายาให้ว่าเป็นแฝดนรกของผมจัดหนักจัดเต็มด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งดสียงดังจนชั้นล่างสุดได้ยินเลยโดนเคาะห้องด่าเปิง ผมยังหลอนเรื่องวันนั้นมาถึงทุกวันนี้

"นิดๆ หน่อยๆ อะไรมึงล่ะ ไม่เอาหรอก ไว้กูไปห้องมึงเองนี่แหละ ถุงยงถุงยางอะไรที่ซื้อมาก็ซ่อนให้มันดีๆ ล่ะ ถ้าเจอจะเอามาล้อให้อายไปสามวันเจ็ดวัน"

"ไม่มีของพวกนั้นเว้ย! กูกับรักษ์ไม่พาผู้หญิงเข้าห้อง"

"แน่สิ กูไม่ได้หมายถึงของที่พวกมึงใช้กับผู้หญิง กูหมายถึงที่พวกมึงใช้กันเอง"

"ไอ้ภีม! ไม่ต้องกินแล้วกับข้าววันนี้ ไม่ทำให้มึงแล้ว!"

เห็นเพื่อนคนดีทำหน้าเหมือนจะงอนกันจริงจังแล้วผมก็ยอมถอยทัพแต่โดยดี ไม่แกล้งอะไรอีกแถมยังง้อมันด้วยการทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ด้วยซ้ำ ไหนๆ วันนี้ต่อให้ทำงานไปมันก็ไม่เสร็จง่ายๆ สู้เอาเวลามาเล่นกับเพื่อนแก้เซ็งจะดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นผมก็ปล่อยโมเดลที่ยังคาอยู่กองไว้กับพื้นห้องส่วนร่วมของคณะแล้วเย้าแหย่ไอ้คุณที่เริ่มจะอารมณ์ดีขึ้นต่อด้วยรู้ว่าไม่มีทางที่คนใจอ่อนอย่างมันจะโกรธผมได้ลงจริงๆ

 





PEAM

อยู่กับพวกไอ้เหยิน

จะมามั้ย?



ผมได้รับคำชวนจากเพื่อนสมัยมัธยมปลายให้ไปเป็นหนึ่งในศึกชิงแข้งรียูเนี่ยน สมัยม.ปลายพวกเราชอบเล่นเตะฟุตบอลกันถึงแม้การลงสนามของเราจะได้รับเสียงกล่าวขานว่าลงไปเแล้วเหมือนควายไล่ลูกกันมากกว่า แต่คนมันชอบเล่นกีฬานี่ครับ ให้ทำอย่างไรได้

ตอนนี้ผมเลยมาอยู่ที่สนามกีฬาในร่ม สถานที่ที่มักจะมาเสมอเมื่อครั้งยังเรียนชั้นมัธยมปลาย พร้อมเพื่อนๆ ร่วมกลุ่มอีกกว่าสิบคน เห็นพวกมันถามถึงกวินผมเลยลองชวนดู



KAWIN

ไปไม่ได้ว่ะ โทษที

เพื่อนมันนัดทำงานด่วน



คำตอบไม่ผิดไปจากที่ผมคาด ช่วงนี้ไม่เคยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสียที บางครั้งก็ไม่ได้คุยกันเพราะกิจกรรมของคณะเยอะเหลือเกิน จนบางครั้งผมก็คิดนะว่ามหาวิทยาลัยเขาจะเน้นเรียนหรือเน้นกิจกรรมกันแน่

"สรุปมันมาป่ะวะมึง?

เหยินตะโกนถามจากอีกฝั่ง ผมจึงเลือกจะส่ายหน้าพร้อมยกโทรศัพท์ให้มันดูเป็นคำตอบ

"เพื่อนนัดทำงานว่ะ เลยมาไม่ได้"

"กูเห็นแม่งไม่เคยมาได้"

"เอาหน่า ก็มันเรียนเยอะ กิจกรรมมันก็เยอะ"

"ไม่ใช่ว่ามันนอกใจมึงไปมีสาวที่คณะนะเว้ย"

คำพูดของเพื่อนทำผมกระตุกก่อนจะเลิกคิ้วมองหน้ามันไปหนึ่งที ไอ้เหยินก็ดูจะพอใจกับปฏิกิรยาของผมอยู่ไม่น้อย เห็นรอยยิ้มกวนตีนฉายชัดบนใบหน้าแล้วมันก็เดินมาคล้องคอผม

"ไม่เป็นไรนะเว้ยภีม กูมั่นใจว่าหนุ่มๆ ที่รอดามใจมึงเยอะแน่นอน ถ้ามันทิ้งมึงเดี๋ยวกูแนะนำให้"

"แนะนำให้ตัวมึงเองเถอะไอ้เหยิน"

หัวเราะเสียงดังเลยครับทีนี้ เลยได้ฤกษ์วอร์มอัพร่างกายด้วยการไล่เตะเพื่อนครึ่งรอบสนามก่อนเลย ไอ้นี่มันชอบกวนประสาทแบบนี้เสมอ ชอบยุชอบชงผมกับคนนั้นคนนี้ที่ไม่ใช่กวิน แต่ก็เป็นคนแรกที่ดีใจเมื่อเห็นพวกผมคบกัน บางครั้งผมก็สงสัยว่ามันเป็นพวกอารมณ์สองขั้วหรือเปล่า

วิ่งไล่บอลสองชั่วโมงบนพื้นหญ้า แม้จะไม่ใช่กลางแดดแต่ก็ทำให้เหนื่อยไม่น้อย เสื้อบอลตัวโคร่งชุ่มเหงื่อไปหมดแนบติดแผ่นหลัง ผมยิงประตูให้ทีมได้สองลูกทำให้เป็นฮีโร่ประจำเกมส์นี้ไปเลย ส่วนไอ้เหยินเหรอ นู้นครับ นอนเป็นหมาหอบแดดทั้งที่ทำหน้าที่ประตูแท้ๆ มันเหนื่อยอะไรของมันนักหนาวะ

ผมเช็ดเหงื่อออกจากหลังคออยู่ตอนที่โทรศัพท์ส่งเสียงเตือนว่ามีคนติดแท็กรูปของกวินมา ที่ขึ้นเตือนเครื่องนี้ด้วยเพราะเจ้าของแอคเคาท์บังคับให้ผมเปิดแจ้งเตือนเอาไว้ นิ้วเลื่อนดูรูปที่เด้งเตือนขึ้นมาแล้วต้องมุ่นคิ้ว ไหนบอกว่าเพื่อนนัดทำงานแล้วรูปเหล้ายี่ห้อต่างๆ มันคืออะไรวะ แถมยังรูปเจ้าของแอคเคาท์นั่งชูแก้วหน้าตามีความสุขอีก ยิ่งเห็นคอนเม้นท์ด้านล่างยิ่งต่างกับคำว่าทำงานไปมากโข เหมือนนัดกันมาก๊งยันเช้ามากกว่า

"โอ้โห งานคงหนักน่าดูว่ะกูว่า"

เหยินที่เดินมากอดคอผมว่าเบาๆ แล้วจะให้ผมตอบว่าอะไรได้ล่ะครับ มันก็ต้องสนุกอยู่แล้วล่ะถ้าแอลกอฮอลขนาดนั้นไหลลงคอ สนุกกว่าเตะบอลในร่มกับพวกผมด้วย

"ก็คงงั้น"

กดไลค์รูปแล้วปิดหน้าจอลงก่อนจัดการข้าวของของตัวเองไปด้วย ในอกเกิดความรู้สึกแปลกๆ ทั้งจากความเหนื่อยและการเห็นรูปที่ขัดกับคำพูดของคนที่ไม่อยู่ในที่นี้

"...มันอาจจะทำงานเสร็จแล้ว หรือไม่ก็เอาเหล้าย้อมใจก่อนทำงานก็ได้นะมึง" คงเห็นว่าอารมณ์ที่เคยดีมันหายไปเลยเอ่ยแก้ตัวแทน มือมันก็คว้ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าผมไปหิ้วไว้เองแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องด้วยความรวดเร็ว "ไปกินข้าวกับพวกกูก่อนไปแล้วค่อยกลับหอ เดี๋ยวไปส่ง"

มองหน้าเพื่อนที่คะยั้นคะยอด้วยคำพูดแล้วก็พยักหน้าตอบรับไป ไหนๆ ก็ไม่มีที่จะให้ไปต่ออยู่แล้ว แถมกลับไปตอนนี้ก็คงฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว สู้ไปกับพวกมันน่าจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ





 

[มีต่อด้านล่างค่ะ]

ออฟไลน์ ANNEW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
    • Twitter
"เตี้ย เสาร์นี้ไปดูหนังกัน"

คำชวนจากคนที่ไม่ยินเสียงกันมานานนั้นทำให้ผมประหลาดใจมากถึงมากที่สุด ตอนแรกนึกว่าจะโทรมาเพราะรู้ว่ามีชนักติดหลังเรื่องประชุมด่วนตอนนั้น แต่กลับกลายเป็นคำชวนไปดูหนังเสียนี่

ผมชอบดูหนัง ยิ่งหนังผี หนังแอคชั่นจะชอบมากเป็นพิเศษ เวลามีเรื่องที่อยากดูเข้าทีถ้าไม่ชวนกวินหรือชวนเพื่อนคนอื่นๆ ผมก็สามารถไปดูเองได้อยู่แล้ว อันที่จริงเรื่องที่อีกฝ่ายชวนไปดูผมก็ได้ท้าพิสูจน์เสียเงินเต็มราคาตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉายแล้วเรียบร้อย แต่การดูหนังเรื่องเดิมในโรงซ้ำสองสามรอบไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับผม และหนังคงสนุกขึ้นกว่าเดิมถ้าได้ดูด้วยกันกับเขา

"เสาร์นี้เหรอ?"

"ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธนะ"

"แบบนี้มันไม่เรียกชวนแล้วนะโย่ง นี่เรียกบังคับ"

คนปลายสายหัวเราะส่วนผมก็พูดไปยิ้มไป อารมณ์ครุกรุ่นที่เคยมีจนถึงเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ใจง่ายจริงๆ เลยครับผมเนี่ย

"ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง? ยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลย"

"ช่วงนี้ก็ตัวติดกับคุณปกติ กินข้าว เตะบอล จนคนคิดว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นละ อ่อ พ่วงกลุ่มก้อนของรักษ์ด้วยเพราะใกล้จะดองกันเต็มที... สองคนนั้นมันต้องมีซัมติงอ่ะมึง อยากให้ได้เจอ"

"ไปยุ่งกับเขาอีกนะ"

"คู่นี้ไม่ต้องยุ่งก็มีมาให้เห็นเถอะ" พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ไว้วันไหนมาด้วยกันดิ อยากแนะนำให้รู้จัก"

"ช่วงพาแฟนพบประชาชน?"

"พูดจาแบบนี้สงสัยจะอยากโดนเรียกไปปรับทัศนคติ"

กวินชอบแซวด้วยคำว่าแฟน ไม่รู้ว่าเจ้าแว่นนี่ติดใจอะไรหนักหนากับการที่พูดครั้งแรกแล้วผมเขินจนหน้าแดงหลังจากนั้นก็พูดเอาๆ ไม่หยุด ช่วงแรกก็เขินครับ แต่หลังจากฝึกสกิลมาอย่างดีอย่าว่าแต่อาการเขิน นอกจากจะทำอะไรไม่ได้แล้วยังโดนต่อปากต่อคำกลับให้ด้วย ให้มันรู้ซะบ้างว่าคนอย่างภีมไม่ยอมแพ้กับเรื่องพวกนี้หรอก

แม้จะเป็นเวลาไม่นานนักเพราะกวินขอตัวไปทำงานต่อ แต่เราได้คุยเรื่องสัพเพเหระกันได้หลายเรื่องอยู่ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเพื่อน นานมากแล้วที่เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันแบบนี้ เหตุผลก็อย่างที่บอก อีกคนติดงานจนลืมโทรศัพท์มือถือไปเลย กว่าจะมีเวลาจับอีกทีก็วันที่ส่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม้จะมีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนที่มันเกิดขึ้นและจางหายไปแล้วเลยได้แต่ขุดเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมาคุยกัน เหงาเหมือนกันที่เวลาเขาพูดบางเรื่องเราก็ไม่อินตามไปด้วยเพราะไม่ได้สัมผัสเอง มาฟังเอาแบบนี้เลยเหมือนเป็นเรื่องราวของคนอื่นที่เราได้เพียงแค่รับฟัง

แต่ไม่เป็นไรเพราะอีกไม่กี่วันผมกับกวินจะได้มีประสบการณ์เดียวกันหลังจากที่ไม่มีมานานเสียที





 

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมคงแสดงออกนอกหน้าว่าตัวเองแฮปปี้สุดๆ ถึงได้โดนคุณแซวอยู่บ่อยๆ ให้ผมทำอย่างไรได้ล่ะครับ ก็คนมันดีใจนี่ ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกันมากเพราะสาเหตุเดิมๆ ก็ตาม

เรานัดกันที่ห้างใกล้มหาวิทยาลัยของผมเอง ผมจึงไม่รีบเท่าใดนัก อยากจะจองตั๋วหนังล่วงหน้าเผื่อคนชวนด้วย แต่คิดว่าเวลาอย่างนี้ไม่น่าจะมีคนมาแย่งดูเท่าไหร่จึงตัดสินใจว่าจะไปซื้อเอาที่เคาท์เตอร์หน้าโรงหนังแทน

"อยู่ไหนหว่า..."

แม้จะบอกว่าไม่รีบแต่ตัวผมมาถึงห้างตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลานัดแล้ว เดินเข้าเดินออกหลายร้าน รู้สึกตื่นเต้นกับการเจอกันในครั้งนี้จนผมต้องจัดตารางไว้เลยว่านอกจากดูหนังแล้วจะทำอะไรที่ไหนต่อทั้งที่ไม่ใช่คนชวนแท้ๆ อยากจะรู้ด้วยว่าระหว่างไม่เจอกันกวินจะเป็นอย่างไรบ้าง ผอมลงมั้ย ขาวขึ้นหรือเปล่า ผมจะยาวขึ้นมากไหม เห็นว่าตัดแว่นใหม่ด้วยแต่แค่ในรูปเลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นยังไง

ผมมองนาฬิกาแล้วพบว่าใกล้จะถึงเวลานัดแล้ว แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกฝ่ายจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์หาขณะขึ้นบันไดเลื่อนไปรอที่ชั้นโรงหนังก่อนเผื่อต้องจองตั๋วในกรณีที่เขามากระชั้นชิดรอบที่ตั้งใจจะดูกันไว้

แต่เขาไม่รับสายและไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงจะเลยเวลานัดไปกว่าสิบนาทีแล้ว

นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนใจ ทำไมถึงติดต่อไม่ได้ แล้วป่านนี้ไปอยู่ที่ไหน จะว่าหลงก็ไม่ใช่หรอกเพราะหากหลงเขาจะต้องโทรมาหาแล้ว ใจเริ่มคิดไปถึงเรื่องไม่ดี ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากการกดโทรศัพท์หาเขาไปเรื่อยๆ ยิ่งเสียงรอสายนานเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงบีบรัดในอกด้านซ้าย ตอนแรกก็ตื่นเต้นเพราะจะเจอกัน แต่ครานี้มันเปลี่ยนไปในรูปแบบของความตื่นตระหนกแล้ว

"ฮัลโหลโย่ง! ทำไมเพิ่งรับโทรศัพท์วะ? เป็นอะไรเปล่า? นี่มันเลยเวลานัดมานะ..."

ผมรัวคำถามลงไปเมื่อโทรศัพท์ถูกรับสาย แต่เสียงที่ตอบกลับมากลับไม่ใช่คนที่ผมต้องการจะคุยด้วย แต่เป็นเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย

"เอ่อ ขอโทษที เราเป็นเมทมัน รายนั้นน่าจะมารับโทรศัพท์ไม่ไหวแต่เราเห็นมันดังแล้วตัดนานมากแล้วเลยถือวิสาสะรับแทน"

"รับไม่ไหว? เขาเป็นอะไรครับ ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไรใช่มั้ย?"

"เปล่าๆ คงแค่แฮงค์นะ เห็นเพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ตัวนี่เหม็นเหล้ามาเลย"

ฟังคำตอบแล้วผมก็เบาใจที่เขาไม่ได้เป็นอะไร แต่อีกใจหนึ่งก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ ทั้งที่เขามีนัดกับผมวันนี้ รู้ทั้งรู้ว่านัดกันตั้งปต่ตอนเช้าแต่กลับออกไปดื่มเหล้าจนสลบสไลไม่โทรบอก ไม่มาหา แม้แต่ไลน์สักข้อความยังไม่มี เรื่องที่เขาไปดื่มเหล้าเมื่อคืนวานผมก็ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

ความจริงข้อนั้นยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกแย่หนักขึ้นไปอีก ครั้งก่อนที่มีปัญหากันก็เพราะเรื่องนี้ ครั้งนี้ก็อีกแล้วหรือ

"ให้ปลุกให้มั้ย เห็นว่าเลยเวลานัดแล้ว..."

ต่อให้ปลุกก็มาไม่ไหว และรอบหนังที่ผมตั้งใจจะดูมันก็ผ่านไปแล้ว แถมความรู้สึกที่เสียไปมันทำให้ผมไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรต่ออีก จึงเลือกปฏิเสธไปด้วยความสุภาพก่อนจะวางสาย

"...ไม่เป็นไร ไม่ใช่นัดสำคัญอะไร ขอบคุณนะ"

ใช่ มันไม่สำคัญอะไรหรอก

เพราะถ้ามันสำคัญจริงกวินก็คงไม่ลืม จริงไหม?





 

"ขอโทษจริงๆ กูโดนรุ่นพี่ลากไป"

คำขอโทษอีกครั้งจากกวินคือสิ่งที่ผมได้รับในวันรุ่งขึ้น อีกฝ่ายโทรมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ที่ฟังก็รู้ว่ายังไม่หายจากอาการแฮงค์เท่าไหร่นัก ก็แน่ล่ะว่าต้องเป็นแบบนั้น ผมยังจำได้ดีว่าครั้งก่อนหน้าและก่อนหน้านั้นอีก เวลาไปเมาแต่ละทีแอลกอฮอลแรงๆ ทั้งนั้นที่พวกเขาเลือกมา

"...อืม"

"โกรธมากใช่มั้ย?"

"เป็นมึงจะโกรธหรือเปล่าล่ะ? ผิดนัด ติดต่อไม่ได้ มีคนอื่นรับสายแทน แล้วมารู้ว่าที่ผิดนัดเพราะแฮงค์ เออ เรื่องไปกินเหล้ารอบนี้กูก็ไม่รู้นะเพราะไม่ได้คุยกันเลยวันนั้น"

"....."

กวินเงียบไปเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนั้น ส่วนผมหลังพูดไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

"วันนี้พวกคุณนัดไปหาร้านกินตอนเย็น ไปมั้ย?"

"ถ้าวันนี้คงไม่ได้ เมื่อวันศุกร์อาจารย์ให้งานใหม่มาแล้ว..."

"หึ ก็คิดไว้แล้วล่ะ"

ไม่ได้คาดหวังอะไรกับคำตอบของอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่พอได้ฟังและได้ยินเองยิ่งรู้สึกแย่ ความอึดอัด ความน้อยใจรวมไปถึงความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เคยสุ่มอยู่ในอกเวลานี้มันตีตื้นขึ้นมาจนห้ามไม่ให้มันระเบิดออกมาไม่ไหว

"เราไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้ว เคยนับมั้ย? สองเดือนเว้ย สองเดือนแล้ว"

"....."         

"ไม่ได้เจอกันกูไม่ว่า บางครั้งมึงหาเวลามารับสายกูยังไม่ได้เลย กว่าจะได้คุยกันก็นู้น กูลืมไปละว่าจะคุยอะไรบ้าง"

คู่ที่ไม่มีเวลาให้กันแต่คบกันยืดนี่เขาทำได้ยังไงวะ?

คำถามที่ผมเคยถามกับคุณผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้งยามที่ผมเอื้อนเอ่ยถ้อยคำทั้งหมดให้ผู้ที่อยู่ปลายสายฟัง

"เข้าใจว่างานเร่ง โปรเจคเยอะ เราเรียนคณะเดียวกันกูรู้ดี แต่มันไม่ได้เยอะขนาดที่จะไม่มีเวลาพักติดๆ กันแบบนั้นไม่ใช่หรือไง เพราะกูยังหาเวลาโทรหามึงได้อยู่เลย"

หัวตาเริ่มร้อนผ่าว ผมเป็นพวกมีความอดทน ทนได้จนกว่าจะทนไม่ไหวและเวลานี้ก็ถึงขีดสุดของความอดทนแล้ว ไม่ใช่ไม่มีความเชื่อใจ ผมเชื่อในตัวกวินทว่าความเชื่อใจกับความอดทนมันเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง

"มึงมีเวลาให้ทุกอย่างที่ไม่ใช่กู มึงไปกับรุ่นพี่กับเพื่อนในคณะได้แต่ไม่ใช่กู ไปฉลอง ไปลงขวดได้ แต่ไม่ใช่การทำอะไรก็ตามกับกู ความทรงจำใหม่ที่มึงสร้างขึ้นไม่จำเป็นต้องมีกูอยู่ในนั้นเลย..."

การเติบโตคือการเปลี่ยนแปลง ผมรู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้ดี รู้ด้วยว่าเราจำเป็นต้องเสียสละในบางสิ่ง อย่างแรกคือความเป็นไร้เดียงสา อย่างที่สองคือความทรงจำที่เคยผ่านมา เช่นครั้งนี้ที่ผมตัดสินใจแล้วว่าตัวเองก็ควรต้องเสียสละบ้างเพื่อจะได้โตขึ้น

"ภีม... กูรู้ว่ากูผิด แต่ช่วยใจเย็นก่อน..."

"ถ้าไม่มีเวลาให้กันแบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"

ความสัมพันธ์ระยะไกลคงไม่เหมาะกับผมจริงๆ





 

"เหี้ย! นั่นก็แรงไป”

ภูมิร้องลั่นเมื่อผมเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ให้ฟัง ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งอยู่ในร้านเหล้าหลังมหาวิทยาลัยที่ผมเป็นคนเสนอเอง ไม่ใช่พวกชอบเครื่องดื่นมึนเมาแบบนี้เท่าไหร่ แต่วันนี้กลับอยากลอง และเริ่มจะมึนหัวหน่อยๆ แล้วด้วย

"กูว่ามึงโทรไปปรับความเข้าใจเถอะภีม มึงก็รู้ว่าคณะเรางานมันเยอะ เขาอาจจะหายไปทำงานก็ได้"

"ไม่รู้ว่ะคุณ ช่วงนี้มันดูแปลกๆ คุยกันแป๊บๆ ก็ขอวางสาย หายไปเป็นวันๆ ไม่บอกกูแต่เสือกลงรูปว่าไปร้านเหล้ากับเพื่อน..." รู้ว่าคุณเป็นห่วงเพราะได้ยินเรื่องราวของพวกผมมาตลอด แต่ครั้งนี้ผมไม่อยากทำตามที่เขาพูดเลย จะว่าทิฐิก็ได้ที่ถือว่าตัวเองตัดสินใจไปแล้ว "ไม่ได้อยากงี่เง่านะเว้ย แต่มันน้อยใจ... ถ้ามีแฟนเหมือนไม่มีแบบนี้ สู้ไม่มีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอวะ?"

ใช่ ผมน้อยใจ เพราะแต่ก่อนไม่ว่าจะทำอะไรผมกับกวินก็จะทำด้วยกันเสมอ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ไม่มีเสียหรอกที่จะห่างกันนานขนาดนี้ ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนติดแฟนในระดับหนึ่ง และเพราะติดนั่นแหละ สองเดือนที่ผ่านมาจึงนับว่าเป็นความอดทนระยะยาวสุดๆ ของตัวเองแล้ว

เพื่อนร่วมก๊วนของรักษ์ได้ยินแบบนั้นก็รีบให้คำแนะนำกันใหญ่ แต่ละอย่างก็ดีๆ ทั้งนั้นจนอดคิดไม่ได้ว่าพวกมันต้องเคยทำมาแล้วแน่ๆ แต่ผมเพียงแค่ส่ายหน้ามองน้ำเมาที่อยู่ในแก้วตัวเองเท่านั้น

"ไม่รู้ว่ะ กูบอกเลิกไปแล้ว เท่ากับว่าเลิกกันแล้วป่ะวะ"

"แต่กูไม่เลิก"

สงสัยแอลกอฮอลจะออกฤทธิ์เสียแล้วมั้ง นอกจากจะมึนหัวแล้วยังได้ยินเสียงของคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้อีก ผมมุ่ยหน้าก่อนจะกระดกแก้วเหล้าในมืออีกครั้งแต่ใครบางคนดันมาคว้ามันออกไปก่อน อยากกินไปรินเองวะ มาวุ่นวายอะไรกับของคนอื่นเขา

"กวิน มาพอดีเลย"

หืม... เดี๋ยวนะ กวินงั้นเหรอ?

ผมหันควับตามสายตาของคุณไป จึงพบกับหนุ่มแว่นตัวสูงที่ตอนนี้ทำหน้าถมึงทึงพร้อมอากาศหายใจหนักๆ ยืนอยู่พร้อมวางแก้วเหล้าที่เคยเป็นของผมลงบนโต๊ะไกลเกินกว่าที่มือจะเอื้อมถึง มาอยู่นี่ได้ยังไงกัน

"ขอบใจมากคุณที่บอกชื่อร้าน ขอบใจพวกมึงด้วย ค่าเหล้าส่วนของมันเท่าไหร่มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวจ่ายให้"

"ไม่เป็นไร เอามันไปปรับความเข้าใจก่อนเถอะ งอแงชิบหายเลย เหมือนจะเมาแล้วด้วย"

"อืม... ไปเตี้ย กลับห้องกู"

คุยกันเองอยู่สองคนแล้วหันมาดึงแขน แต่มีหรือที่จะยอมกันง่ายๆ ผมสะบัดแขนทิ้งพร้อมขมวดคิ้วใส่ด้วยความไม่พอใจ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งกัน ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด บวกกับความกรึ่มได้ที่เลยส่งเสียงดังลั่น

"ไม่เอา! กูไม่ไป เลิกกันแล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย!?"

"เลือกว่าจะให้ทำที่ห้องหรือที่นี่ ต่อหน้าเพื่อนมึง"

"ไอ้วิน!"

ตะโกนเรียกชื่อมันก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือยื้อให้ลุกขึ้น ถ้าไม่ลุกก็จะเจ็บเอาอีก แต่เหมือนจะเข้าทางอีกฝ่ายเมื่อคนตัวสูงกว่าเห็นผมลุกเขาก็จัดการตวัดแขนแบกผมขึ้นบ่าเดินห่างจากกลุ่มอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครห้ามทัน ยิ่งกับคุณนะ มันโบกมือให้ผมไหวๆ ถึงจะกรึ่มแต่ตาไม่บอดนะเว้ย! คอยดูเถอะ จะให้รักษ์ทำโทษเสียให้เข็ด

คาดโทษเพื่อนไว้ในใจแต่ตอนนี้ต้องจัดการเรื่องของตัวเองก่อน ผมออกแรงดิ้นอย่างไม่ยอมแพ้ ใช้แขนทุบเข้าที่หลังอีกคนดังอั่กๆ เพื่อจะให้ปล่อยเสียทีแต่นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วยังโดนล็อกขาไว้แน่นกว่าเดิม สภาพเหมือนตัวอะไรสักอย่างที่กำลังจะโดนจับไปเชือดเลยครับ

"ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง วิน!"

"อยากให้ปล่อยก็เงียบ เรามีเรื่องต้องคุยกัน"

"ไม่คุย ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ปล่อย!"

กว่าจะถูกปล่อยตัวก็ตอนที่เขาพยายามยัดผมขึ้นเบาะหลังรถแล้วตัวเองตามเข้ามาด้วย ผมเคยนั่งรถคันนี้อยู่บ่อยๆ สมัยยังเป็นนักเรียนชั้นม.ปลาย แต่นั่นด้วยความเต็มใจไม่ใช่การถูกจับยัดเข้ามา มองซ้ายมองขวาพยายามหาทางหนีไปออกประตูอีกฝั่ง แต่เจ้าของรถก็ไวนัก กวินกดล็อครถแล้วเก็บกุญแจเข้าประเป๋ากางเกงก่อนนั่งมองผมนิ่งๆ ใช้ความเงียบกดดันแล้ว

จากที่ความน้อยใจมีมากอยู่แล้ว มาเจอการกระทำของอีกฝ่ายเข้าไปพ่วงฤทธิ์แอลกอฮอลในเส้นเลือดขับให้น้ำตาเม็ดโตๆ ไหลลงแก้มโดยที่ผมห้ามเอาไว้ไม่ทัน ดูท่ากวินจะตกใจไม่แพ้กันดวงตากลับกรอบแว่นถึงได้เบิกกว้างพร้อมทำท่าจะโผเข้ามาหาแต่ผมเลือกจะเขยิบตัวถอยห่างเสียก่อนเขาจึงได้ชะงักไป

“...ฟังวินหน่อยเถอะนะภีม”

สรรพนามที่ใช้แทนตัวเปลี่ยนไปพร้อมกับโทนเสียงที่ไม่กระโชกโฮกฮากและไม่กดดัน ติดจะเว้าวอนเสียด้วยซ้ำ หากผมก็ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแต่นั่งเงียบมองพื้นที่ว่างระหว่างเราสองคนราวกับมันเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่งนัก

“รู้แล้วครับว่าผิดไปแล้ว ผิดมากๆ ที่ทำให้ผิดหวัง ทำให้เสียใจ บ้างาน กินเหล้าเยอะ แถมไม่ให้เวลากับแฟนเท่าที่ควร...”

“ไม่ใช่แฟนสักหน่อย...” พูดเสียงเบาพร้อมปล่อยเสียงสะอื้นออกมา “เลิกกันแล้วเมื่อเช้า”

“แต่วินไม่เลิก ตอนได้ยินคำนี้จากภีมมันเจ็บเหมือนจะขาดใจเลยนะ”

มือใหญ่ประคองข้างแก้มก่อนใช้นิ้วโป้งเกลี่ยหยาดน้ำใส ผมชอบความอุ่นจากมือของเขานะ แต่ก่อนเวลาอยากอ้อนหรืออยากเรียกร้องความสนใจก็มักจะเอามือเขามาแนบแก้มแล้วมองหน้าอยู่บ่อยๆ มาเจอแบบนี้เข้าไปใจอ่อนยวบเลย แต่ไม่อ่อนขนาดจะทิ้งความโมโหที่มีได้เลยจัดการเขาเข้าให้ด้วยการคว้ามือมาทิ้งรอยฟันเอาไว้เสียเลย แต่นอกจากจะไม่ร้องโอดโอยกวินยังมีหน้ามายิ้มให้แถมพึมพำเบาๆ ว่าผมเป็นลูกหมายังไม่โตอีก

“ดีกันได้มั้ย? สัญญาว่าหลังจากนี้จะปรับปรุงตัว”

ผมมองหน้าเขา แม้จะมีแว่นบังอยู่แต่ก็รับรู้ถึงความจริงใจที่ส่งมาให้ จะว่าไปกวินเปลี่ยนไปจากครั้งสุดท้ายที่เห็นอยู่ไม่มากนัก ดูผอมลง ผมยาวขึ้นจนอยากจะจับไปไถให้กลับมาเป็นทรงเดิมที่ผมชอบและเป็นคนแนะนำให้ทำ

“...จะไปเตะบอลด้วยกันมั้ย?”

“ตอนนี้เลยมั้ยล่ะ เดี๋ยวโทรหาสนามในร่ม”

“ตลก โทรไปป่านนี้โดนด่าลืมบ้านพอดี”

นี่มันเกือบจะเที่ยงคืนแล้วใครเขาจะมาเปิดสนามให้เตะ เวลาแบบนี้มาตามน้ำไม่คิดจะห้ามกันบ้างเลย

“จะไปเตะบอล ดูหนัง กินข้าวกับเพื่อน จะไปไหนก็จะหาเวลามาเท่าที่ทำได้ เหล้าก็จะกินให้น้อยลงจะได้ไม่ลืมตื่นอีก”

“รู้ใช่มั้ยว่าไม่ได้ห้ามเลยถ้าจะไปกับเพื่อนหรือยุ่งกับโปรเจค... แต่เล่นไม่มีเวลาให้กันแบบนี้ก็น้อยใจเหมือนกัน”

“อืม ระหว่างขับรถมาก็สำนึกแล้ว ถ้าโดนเองวินก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

“วินอย่างนั้น วินอย่างนี้ ไม่ต้องมาทำตัวใสเลย”

“งั้นกลับห้องไปทำเรื่องไม่ใสแทน”

“ลงรถไปเลยไป”

ได้ยินผมว่าแบบนั้นเขาก็หัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ผมชอบแต่ช่วงหลังมานี้ได้ยินจากปลายสายโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว ก่อนอีกคนจะเนียน เขยิบเข้ามาใกล้กันมาขึ้นแล้วคว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น

“ดีกันนะภีม ขาดมึงไม่ได้จริงๆ ว่ะ”

คำพูดคำจาไม่หวาน ผิดกับภาพลักษณ์หนุ่มแว่นในละครที่ต้องเป็นคนสุภาพ แถมยังทำอะไรลืมนึกถึงความรู้สึกกันไปบ้าง แต่พอเจอประโยคแบบนี้เข้าไปกลับทำให้ผมยิ้ม ยอมรับก็ได้ว่าเป็นคนใจง่าย แต่ใจง่ายแค่กับบางคน และตอนนี้บางคนๆ นั้นก็เป็นผู้ชายที่ชื่อกวินผู้มีตำแหน่งแฟนที่เกือบเป็นแฟนเก่าแต่เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเลยมานั่งง้อกันอยู่แบบนี้

เอาเข้าจริงถ้าวันนี้เขาไม่มาง้อ คนที่ต้องถ่อข้ามไปอีกฟากของจังหวัดอาจจะเป็นผมก็ได้ เพราะตอนนี้ผมคิดถึงวันที่ไม่มีเขาอยู่ในชีวิตไม่ออกเลยจริงๆ

“...ก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน”

ดูท่าว่าเราสองคนต้องช่วยกันแชร์ประสบการณ์รักระยะไกลไปอีกนานเลยล่ะ





-----------------------------------------------------------




TALK: สวัสดีแบบเลทๆ ค่ะ ตั้งใจจะเอามาลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่งานเยอะมาก กลับมาก็สลบเลย... มาแก้ตัววันนี้แทน

ธีมของตอนนี้คือการไม่มีเวลาให้กันค่ะ หลายๆ คู่ที่เรารู้จัก พอโตขึ้น กิจกรรมเยอะขึ้น จนบางครั้งก็ไม่มีเวลาให้กัน ยิ่งถ้ามีแฟนสายเฮาฮาเคล้าเครื่องดื่มของมึนเมามันยิ่งเป็นฉนวนให้อารมณ์ประทุได้เลยล่ะ

แต่ของแบบนี้จะมองมุมเดียวก็ไม่ได้อีก เราต้องมองสองมุม เพราะงั้นอาทิตย์หน้ามาดูฝั่งกวินกันบ้างเนอะ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ติชม และกำลังใจเสมอมาค่ะ

แล้วเจอกันนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด