ตอนที่ 22
รถแล่นเข้ามาจอดที่บ้านหลังใหญ่ทั้งผมและน้ำตาลมองสำรวจภายนอกไปรอบๆ ก็ต้องสะดุดกับร่างของใครบางคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“มึงนั่นมันไอ้กายนี่หว่า” น้ำตาลหันมาพูดกับผมก่อนจะหันกลับไปมองกายกำลังยืนคุยโทรศัพท์สีหน้ายิ้มแย้มอยู่
“มันมาทำอะไรที่นี่วะ” ผมพึมพำออกไป
“หรือว่ามันเป็น....” เหมือนน้ำตาลจะพูดอะไรแต่พี่โชพูดแทรกมาก่อน
“ออยกายมาทำอะไรที่บ้านออยหรอ”
“อ้าวโชรู้จักกายด้วยหรอ” ผู้หญิงชื่อออยทำเสียงตื่นเต้น
“กายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับสองคนนี้น่ะ”
“อ่อ ไม่นึกว่ากายจะคบกับพวกนี้” เธอพูดเสียงเหยียดๆ และหันมามองเราสองคนด้วยสายตาแบบดูถูก
น้ำตาลทนกับสายตาของเธอไม่ไหวจึงทำท่าจะพุ่งตัวขึ้นไปหน้ารถดีที่ผมดึงแขนไว้ทัน “อ่าวเจ๊ พวกเราทำไมหรอ”
“ไม่เอาน่ามึง” ผมต้องรีบพูดปรามไม่ให้น้ำตาลวู่วาม
“ว่าไงออย กายมาทำอะไร” พี่โชถามซ้ำอีกครั้ง
“ก็คงจะมาหาคุณพ่อกับคุณอาดิเรกหรือไม่ก็มาหายายอิน”
“มาหาอิน?” พี่โชทำหน้าแปลกใจ
“ค่ะ คุณพ่ออยากให้ยายอินสนิทสนมกับกายไว้น่ะค่ะ”
“อืม” พี่โชตอบแค่นั้นจึงหันมาพูดกับผมและน้ำตาล “อาร์ท ตาล จะลงไปหาเพื่อนด้วยหรือเปล่า”
“ไปค่ะ” น้ำตาลตอบรับทันที
เท่านั้นทุกคนเปิดประตูลงจากรถเดินตรงเข้าไปหากายที่เพิ่งจะคุยโทรศัพท์เสร็จ
“เฮ้ย พวกมึงมาได้ไงเนี่ย” กายเอ่ยทักอย่างตกใจและมีสีหน้างงนิดๆ
“พวกกูน่ะมากับพี่โช แล้วมึงล่ะมาทำไม” ผมตอบคำถามกายพร้อมกับถามคำถามกลับอย่างอยากรู้ไม่ต่างกัน
“กูมาธุระกับพ่อ”
ผมเข้าไปยืนใกล้ๆ กายก่อนจะกระซิบข้างหูกาย “มาแบบนี้หมีรู้ยังหนอ” ผมเคยแอบได้ยินมันเรียกพี่ณัฐแบบนั้นตอนอยู่ด้วยกันสองคนเมื่อตอนที่เราอยู่บนดอยแถมพี่ณัฐยังเรียกมันว่าหมูอีกต่างหากขนลุกเป็นบ้า
“ไอ้อาร์ทมึงเงียบไปเลย แล้วอย่าให้กูรู้นะว่ามึงเอาไปบอกพี่ณัฐอ่ะ”
“ฮ่าๆ นู่นมึงไปขอร้องพี่โชนู่น พี่ณัฐเป็นเพื่อนเขาไม่ใช่กู”
กายมองหน้าพี่โชอย่างเว้าวอน “พี่โชผมมาเป็นเพื่อนพ่อจริงๆ นะพี่ไม่มีอะไรอย่างอื่น”
พี่โชเลิกคิ้วทำเป็นไม่เข้าใจ “แล้วมึงจะมาบอกกูทำไม”
“พี่โชผมขอร้อง” กายพูดเสียงจะร้องไห้
พี่โชยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ “มึงร้องสิ กูรอฟังอยู่”
“พี่โชจะแกล้งมันทำไม” ผมเผลอตะหวาดพี่โชออกไป
“ครับพี่จะไม่แกล้งไอ้กายครับ” พี่โชรับคำด้วยน้ำเสียงล้อเลียนพร้อมส่งสายตาวาววับจนน่าหมั่นไส้
“โชคะเข้าไปลาคุณพ่อในบ้านเถอะค่ะ” ผู้หญิงชื่อออยไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาคว้าแขนพี่โชไปจับดึงเพื่อให้เข้าไปข้างในบ้าน
“งั้นตาลกับอาร์ทรอพี่อยู่ข้างนอกนี่กับกายก่อนนะเดี๋ยวพี่ไปลาผู้ใหญ่ข้างในแป๊บเดียว” พี่โชบอกก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
พวกเราสามคนยืนคุยกันเรื่อยเปื่อยเพื่อรอพี่โช กายเล่าให้ฟังว่าพ่อของผู้หญิงที่ชื่อออยพยายามจับคู่ลูกสาวคนเล็กให้กับกาย โดยให้พ่อของกายพามาให้ทำความรู้จักกันแบบที่พ่อของกายก็ปฏิเสธไม่ได้
ไม่นานนักพี่โชก็เดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงที่ชื่อออยและผู้หญิงอีกคนซึ่งน่าจะเป็นน้องสาวเธอ ผู้หญิงคนนั้นเดินตรงมาที่กายทันที
“กายออกมานานแล้วนะคะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับเดินมาเกาะแขนกายอย่างออดอ้อน
พี่โชและเราทั้งสองคนมองตามการกระทำของผู้หญิงคนนั้นที่ทำกับกายอย่างไม่สบายใจนัก เพราะทุกคนก็พอจะรู้อยู่ว่ากายกับพี่ณัฐเป็นอะไรกัน ถึงเจ้าตัวจะไม่ได้พูดหรือประกาศก็เถอะ
“พอดีเพื่อนกายมากับพี่โชน่ะ เลยอยู่คุยกับเพื่อน” กายพูดพร้อมกับใช้มือที่ว่างแกะมือของผู้หญิงคนนั้นออกจากแขน
ผู้หญิงคนนั้นทำหน้าบึ้งก่อนจะพูด “อินรออยู่นะ”
“อินจะรอกายทำไม กายแค่มาเป็นเพื่อนพ่อคุยธุระแค่นั้น” กายพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ สายตาพยายามมองไปพี่โชอย่างอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ
พี่โชเห็นสถานการณ์อึดอัดนั้นจึงพูดขึ้น “ไอ้กายแล้วมึงจะกลับกี่โมง จะไปทันนัดพวกกูไหมเนี่ย”
กายทำหน้างงก่อนจะเอ่ย “นัด?”
“นี่มึงลืมหรอวะเดี๋ยวพวกไอ้ณัฐไอ้คิวได้ฆ่ามึงตาย” พี่โชทำหน้าจริงจังอย่างสมบทบาท
“อ๋อที่จะไปเตะบอลกันอ่ะนะพี่”
“เออป่านนี้พวกมันถึงสนามกันแล้วมั้ง หรือมึงจะไปพร้อมกูเลย”
“ได้พี่ เดี๋ยวผมเข้าไปบอกพ่อก่อน” กายพูดเท่านั้นก็ก้าวยาวๆ เข้าไปในตัวบ้านเพื่อจะไปบอกพ่อ ทำให้ผู้หญิงที่ชื่ออินหน้าเหวอไปทำอะไรไม่ถูกจนต้องเดินตามกายเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
“โชคะไว้วันหลังเราไปเที่ยวกันอีกนะคะ” ผู้หญิงที่ชื่อออยพูดไปพร้อมกับกอดแขนพี่โชไปด้วย ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมหงุดหงิดรู้สึกไม่ชอบใจที่จะได้เห็น
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวออย โชบอกแล้วว่าที่โชมารับออยไปทานข้าวเพราะโชรับปากกับป๊าไปแล้วโชแค่ทำตามคำพูด คงไม่มีครั้งต่อไปแล้วล่ะออย” พี่โชพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะแกะมือเธอออกจากแขน
ผู้หญิงชื่อออยหน้าเสียทำอะไรไม่ถูก เธอคงจะรู้สึกเสียหน้าที่โดนปฏิเสธต่อหน้าผมสองคน เธอจึงไม่พูดอะไรต่อเดินสะบัดตัวเข้าไปในบ้านอย่างไม่พอใจทำให้น้ำตาลหลุดขำขึ้นมา
“ฮ่าๆ สมน้ำหน้า”
“ไอ้ตาล” ผมเรียกชื่อน้ำตาลเสียงดุ
“ทำไม มึงดูนางสิทำท่าอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพี่โช”
ผมมองค้อนน้ำตาลโดยไม่พูดอะไร
“ออยไม่ได้เป็นเจ้าของพี่หรอก พี่มีเจ้าของอยู่แล้วนี่” พี่โชพูดพร้อมทำตาหวานส่งมาให้ผมทำให้ผมต้องหลบตา
“แหมๆ หมั่นไส้คนมีความรัก หวานจนเลี่ยน” น้ำตาลแซว
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกายก็เดินออกมาจากบ้าน “ไปกันเถอะพวกมึง..พี่โช” กายพยักหน้าให้ผมสองคนและหันไปพยักหน้าให้พี่โชต่อ
“รอดแล้วเหรอมึง” พี่โชว่าขำๆ
“ใช่ดิพี่กว่าจะรอดออกมาได้” กายพูดด้วยท่าทางขยาด
“แล้วมึงจะให้กูไปส่งที่ไหน” พี่โชถาม
“ไปอยู่ห้องกูก่อนก็ได้ไอ้กาย กูเหงาอยู่คนเดียว” ผมพูดชวนกายอย่างดีใจเพราะผมไม่อยากกลับไปอยู่คนเดียวจริงๆ
“ไม่ได้” พี่โชตอบแทบจะทันควัน
“เฮ้ย ผมชวนไอ้กายไปห้องผมเกี่ยวไรกับพี่ พี่ไม่มีสิทธิ์มาห้าม” ผมร้องโวยวาย
“ก็ไม่ได้ไงห้ามอยู่กับผู้ชายคนอื่นสองต่อสอง” พี่โชตอบกลับมา
“ไอ้กายมันเป็นเพื่อน” ผมโวยวายไม่หยุด
“นั่นแหละเพื่อนก็ไม่ได้ ‘หวง’”
ผมชะงักกึกเมื่อได้ยินอย่างนั้นอยู่ดีๆ ก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาซะอย่างนั้น ก่อนจะถามกายด้วยเสียงแผ่วเบา “มึงจะไปลงที่ไหน”
กายมองหน้าผมสลับกับพี่โชแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างขำๆ ก่อนจะพูด “ไปส่งผมที่คอนโดพี่ณัฐก็ได้พี่”
“มึงเป็นอะไรกับพี่ณัฐถึงเสนอหน้าไปคอนโดเขาน่ะ” น้ำตาลถามและทำท่าทางกวนบาทา
“ไม่แจ๋นสักเรื่องจะได้ไหมครับเพื่อนตาล” กายว่าอย่างเสียดสี
“ฮ่าๆ พอๆ ไม่ต้องเถียงกันตอนนี้รีบออกจากบ้านนี้ดีกว่า” พี่โชบอกเราทุกคน
เราทุกคนขึ้นรถโดยที่กายกับน้ำตาลรีบยัดตัวเองเข้าไปนั่งข้างหลังจึงเหลือแต่ที่นั่งข้างคนขับไว้ให้ผม ผมจึงต้องจำใจยัดตัวเองเข้าไปยังที่นั่ง
พี่โชขับตรงไปยังคอนโดพี่ณัฐเพื่อไปส่งกายก่อนจึงขับไปส่งน้ำตาลและจึงวนไปส่งผมเป็นคนสุดท้าย
“ขอบคุณที่มาส่ง” ผมพูดโดยที่มือกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ
“เดี๋ยวเบี้ยว”
“อะไร”
“คิดถึงนะ”
“อะ..เออ” ผมตอบแบบตะกุกตะกัก ทั้งที่ผมรู้สึกร้อนที่หน้าอย่างบอกไม่ถูก ใจก็เต้นแรงจนเกินจะควบคุม
“เจอกันเปิดเทอมอาทิตย์หน้าเลยนะ กูต้องไปช่วยป๊าทำงานที่บริษัทคงไม่มีเวลาแวะมาหา”
“เออ”
“เดี๋ยวโทรหานะเบี้ยว” พี่โชพูดจบผมก็ลงจากรถปิดประตูโดยไม่ตอบอะไร
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของภาคเรียนที่สองผมก็ขี้เกียจตื่นนิดๆ เพราะได้นอนตื่นสายมาตั้งหลายวันก่อนจะเปิดเทอมถ้าไม่นับรวมกับที่ผมอยู่บ้านอ่านะ แล้วต้องกลับมาตื่นเช้าเพื่อไปให้ทันเข้าเรียนนี่ยิ่งคิดยิ่งขี้เกียจ
ผมรีบจัดการกับตัวเองทันทีที่มองเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ผมจึงใช้เวลาจัดการตัวเองไม่ถึงสิบนาทีผมก็รวบทุกอย่างที่จำเป็นลงกระเป๋าทีเดียวและรีบใส่รองเท้าลวกๆ จนกำลังจะล็อคประตูห้องเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
Rrrrrrr
ผมกดรับทันทีโดยที่ไม่ได้ดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไรปลายสายก็ตะโกนออกมาดังลั่น
"ไอ้อาร์ทมึงอยู่ไหน มันจะเข้าเรียนแล้วนะโว้ย ทำไมมึงยังไม่ถึงอีก" น้ำตาลโวยวายรัวคำถามมาจนไม่เว้นช่องว่างให้ผมพูดอะไรได้เลย ผมจึงปล่อยให้โวยวายให้พอค่อยตอบกลับไปทีเดียว
"เออกูอยู่หอตื่นสาย แต่กูกำลังรีบไปเว้ย ถ้ามึงไม่โทรมาขัดจังหวะกูซะก่อนป่านนี้กูถึงคณะแล้ว" ผมเลยแกล้งทำเป็นหงุดหงิดโยนความผิดไปให้น้ำตาล
"อ่าวเหรอวะ งั้นแค่นี้แหละรีบมาค่ะมึง" น้ำตาลทำเสียงอ่อนลงเหมือนจะสำนึกผิดผมก็รู้สึกสะใจนิดหน่อยจึงบอกว่าแค่นี้ก่อนกดวาง
ผมรีบลงบันไดอย่างกึ่งวิ่งกึ่งเดินแต่ยังไม่ทันจะลงมาถึงชั้นหนึ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
Rrrrrrr
"อะไรอีกวะ กูบอกว่ากูกำลังรีบไปไง" ผมกดรับก็รัวใส่ปลายสายไปทันทีไม่ทันได้ดูด้วยซ้ำว่าเป็นใครโทรเข้ามา
"เออรีบลงมา กูรออยู่หน้าหอ" เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงผู้ชายที่ผมคุ้นเคยทำให้ผมต้องยกโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่เพื่อออกมาดูชื่อ 'ชิบหายไอ้พี่โชนี่หว่า' ผมอุทานอยู่ในใจก่อนจะเอาโทรศัพท์กลับมาแนบหูอีกครั้ง
"อะ..เอ่อ พี่มารอผมทำไม"
"ก็มารับมึงไปเรียนไง"
"แต่.."
"มึงจะแต่อะไรนี่สายแล้วรีบลงมาเลย" พี่โชพูดแค่นั้นก็ตัดสายทิ้งทันที
ผมจึงรีบวิ่งลงมาจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าหอที่มีรถพี่โชจอดอยู่ ผมยืนหอบหายใจแรงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่โชจะเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ใบหน้าผมออกอย่างนุ่มนวล
"ไปขึ้นรถสายแล้ว"
ผมไม่พูดอะไรก็ดีเหมือนกันมีรถไปส่งถึงคณะเพราะตอนนี้ก็สายแล้วผมอยากรีบไปให้เร็วที่สุดจะมัวมาเถียงก็ไม่ใช่เวลาสักเท่าไหร่
รถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคณะผมด้วยความรีบผมจึงไม่ได้พูดอะไรกับพี่โชเปิดประตูลงจากรถทันที แต่ประตูยังไม่ทันปิดพี่โชกะรีบพูดออกมาซะก่อน
"เดี๋ยวกลางวันมากินข้าวด้วย" ผมไม่ได้ตอบรับอะไรได้แต่รีบปิดประตูและจ้ำไปขึ้นห้องเรียนให้เร็วที่สุด
เมื่อขึ้นมาถึงห้องเรียน "โหยหอบเป็นหมาเลยมึง" ทันทีที่ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยหอบก็มีเสียงแซวมาจากกาย
"สัสเหนื่อยชิบหาย"
"มึงลืมเหรอว่าวันนี้เปิดเทอม" กายถามพร้อมกับที่น้ำตาลหันหน้ามาหาผมเตรียมกำลังจะอ้าปากพูด
"มึงมัวไปทำอะไรอยู่วะ?"
"กูตื่นสาย" ผมตอบด้วยเสียงหอบๆ
"นักศึกษาคุยอะไรกัน" น้ำตาลยังไม่ทันได้พูดต่ออาจารย์ก็ว่าขึ้นมา เราจึงไม่ได้คุยกันอีกหันไปสนใจอาจารย์อย่างตั้งใจ
ทันทีที่อาจารย์ปล่อยทุกคนต่างรีบเก็บของแล้วรีบเดินตรงไปยังโรงอาหารกันอย่างหิวโซ พวกผมเดินเข้ามาถึงโรงอาหารก็เห็นว่าวันนี้โรงอาหารดูแออัดจนแทบไม่มีที่จะนั่งจนมีเสียงเรียกจากโต๊ะด้านในส่งออกมา
"ไอ้อาร์ททางนี้" พี่ณัฐและพี่อัครโบกมือหยอยๆ ให้ผมเข้าไปหา
ผมกับเพื่อนจึงเดินตรงเข้าไปเพื่อจะได้เอากระเป๋าไปวางก่อนไปซื้อข้าว "หวัดดีพี่ แล้วทำไมวันนี้มากินกันที่นี่ได้" ผมสวัสดีพี่ณัฐและพี่อัครก่อนจะเอ่ยถามออกไปโดยไม่คิดจะทักอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยเลยด้วยซ้ำ
"กูพาเพื่อนมาจีบเด็กคณะนี้ว่ะ" พี่อัครพูดขำๆ โดยส่งสายตาไปทางพี่โช
"งั้นผมไปซื้อข้าวก่อนนะพี่" ผมไม่คิดจะถามอะไรต่อเพราะรู้สึกว่าจะไม่พ้นหาเรื่องใส่ตัวเองแน่ๆ
หมับ!
พี่โชจับข้อมือผมไว้เบาๆ "กินอะไรเดี๋ยวไปซื้อให้"
ผมชะงักนิดหน่อยและส่องสายตามองไปรอบๆ เพราะกลัวว่าคนจะมอง "ปล่อย มีตีนไปซื้อเองได้"
"อาร์ท" พี่โชเรียกชื่อผมเสียงอ่อยๆ และมองผมด้วยสายตาน่าสงสาร
"เออ เอาคะน้าหมูกรอบร้านสุดท้ายนู่น" เห็นแก่สายตาน่าสงสารของพี่มันผมยอมก็ได้ ดีผมจะได้ไม่ต้องไปต่อคิว
"น้ำละ?"
"ชามะนาว"
พี่โชพยักหน้าแล้วเดินตรงไปยังร้านที่ผมบอกเวลาไม่นานพี่โชก็เดินกลับมาพร้อมข้าวและน้ำ ทุกอย่างถูกวางลงตรงหน้าผมโดยที่มีพี่โชนั่งมองผมจากฝั่งตรงข้าม
ผมเริ่มลงมือกินไม่ได้สนใจใครก่อนเงยหน้าขึ้นมองคนตรงข้าม ก็พบว่าเขานั่งมองผมอยู่แล้ว "แล้วพี่ไม่กินข้าวหรือไง"
"แค่เห็นมึงกินก็อิ่มละ" พี่โชนั่งเท้าคางและส่งยิ้มมาให้ผม ทำอย่างกับทั้งโต๊ะมีแค่ผมกับพี่มันสองคนไปได้ เพื่อนๆ ของผมและของเขาก็อยู่ไม่รู้จักอายบ้างหรือไง
"โอ๊ย กุจะอ้วก" พี่อัครพูดขึ้นมาลอยๆ ทำให้คนทั้งโต๊ะพากันอมยิ้มส่งมาให้ผมกับพี่โช
"ยิ้มไรกัน" ผมถามอย่างหงุดหงิด
"เปล๊าา" ทุกคนประสานเสียงกันตอบอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ผมจึงไม่สนใจหันมากินข้าวต่อ "ไปซื้อข้าวมากินดิ" ผมบอกกับพี่โชเบาๆ
พี่โชอมยิ้ม "เป็นห่วง?"
"เลอะเทอะ ไม่กินก็เรื่องของพี่เถอะ"
เวลาพักกลางวันผ่านไปพวกเรากับกลุ่มพี่โชจึงต้องแยกย้ายกันกลับไปเรียนก่อนจะไปพี่โชก็เรียกผมไว้
"เดี๋ยวตอนเย็นมารับนะ"
"มารับทำไม?"
"ก็อยากมารับ เป็นห่วงอยากพาไปส่งให้ถึงหอได้เห็นกับตาว่าปลอดภัย"
"ประสาท"
"เลิกแล้วจะรีบมารับนะ" พี่โชพูดก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วก้มลงกระซิบที่ข้างใบหู "ตั้งใจเรียนนะที่รัก"
ผมยื่นอึ้งทำอะไรไม่ถูกหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา "เอ้อ ไปได้แล้วไป" ผมพูดเร็วๆ จนพี่โชหลุดขำออกมา
Chokun:เลิกยัง?
Artเองจะใครละ:
กำลัง
Chokun:รออยู่ลานจอดรถหน้าคณะนะ
*สติ๊กเกอร์
Artเองจะใครละ:
อืม
ผมลงมาก็ร่ำลากับเพื่อนนิดหน่อยก่อนจะเดินไปขึ้นรถพี่โชระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันมีแค่เสียงเพลงคลอเบาๆ จากวิทยุเท่านั้น ไม่นานรถก็มาจอดลงที่หน้าหอ ผมกำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแต่ไวกว่าคือมือพี่โชมาคว้าแขนผมไว้
"เดี๋ยว"
ผมมองหน้าพี่โชพร้อมเลิกคิ้วเป็นคำถาม
พี่โชกำมือข้างขวาที่ไม่ได้จับแขนผมแล้วยื่นมาตรงหน้า "อ่ะ"
"อะไร?"
"แบมือสิ"
ผมจึงแบมือรับของในมือพี่โช เมื่อพี่โชปลอยของในมือลงบนมือผมก็พบว่ามึนคือกุญแจ ผมทำหน้างงๆ ทำให้พี่โชรีบพูดออกมา
"กุญแจห้องกู"
"แล้วให้ผมทำไม"
"เผื่อมึงคิดถึงกูจะได้ไปหากูไง"
"ใครจะไปคิดถึงวะ" ผมพูดจบก็ทำท่าจะเอากุญแจคืนให้พี่โช
"เก็บไว้เถอะ..กูอยากให้มึง"
"อืม" ผมตอบแค่นั้นแล้วยัดกุญแจลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยไม่พูดอะไรอีก
หลังจากที่มหาวิทยาลัยเปิดเทอมพี่โชก็มารับมาส่งผมทุกวันถ้าไม่ติดงานอะไรพี่โชก็แวะมากินข้าวกลางวันด้วยเสมอ ถ้าเย็นวันไหนต้องเข้าชมรมก็จะมารับผมเข้าไปพร้อมกันอย่างนี้ทุกวัน พี่โชให้กุญแจห้องของเขาเก็บไว้ที่ผมชุดหนึ่งตอนแรกผมก็ไม่อยากรับไว้ แต่พี่โชก็บังคับให้ผมเก็บเอาไว้แล้วยังบอกว่าเผื่อผมคิดถึงเขาอยากไปตอนไหนก็ไปได้เลย ใครมันจะไปบ้าคิดถึงวะเล่นโผล่มาวันละสามเวลาขนาดนี้
จนสามวันมานี่พี่โชได้แต่ส่งข้อความมาบอกว่าช่วงนี้จะไม่ได้มารับเพราะไม่ว่างต้องทำงาน ตั้งแต่ได้รับข้อความนั้นพี่โชก็หายเงียบไปเลย
“ไอ้ตาลมึงได้คุยกับพี่โชบ้างไหมวะ” ผมถามไอ้ตาลที่เพิ่งจะเดินมาผม
“ไม่นี่ ทำไมหรอวะ” มันถามกลับมาแบบงง
“เปล่า” ผมตอบปัดไป
“ทำไมผัวหายหรือไงวะ” ไอ้กายทำเสียงกวนตีน
“ผัวบ้านมึงดิ...เออว่าแต่มึงเจอพี่โชบ้างป่าววะ” ผมถามไอ้กาย
“ไม่เลยวะ”
“แล้วพี่ณัฐละ”
“ก็เจอทุกวัน”
“เหรอ” ผมตอบรับเสียงอ่อย พี่โชเรียนเหมือนพี่ณัฐแต่พี่ณัฐกลับมีเวลามาเจอไอ้กายทุกวัน งั้นพี่โชก็คงไม่ได้ยุ่งเรื่องเรียนแน่ๆ
เรานั่งเล่นกันไป จนพี่ณัฐเดินที่โต๊ะพร้อมกับเอื้อมมือมาจับไหล่กาย “กลับกันเถอะ”
กายหันไปพยักหน้ารับ ก่อนจะถามขึ้น “ช่วงนี้เรียนหนักหรืออาจารย์สั่งงานเยอะหรือเปล่า”
พี่ณัฐทำหน้างงๆ ก่อนจะตอบ “ไม่นะ ทำไมหรอ”
กายชี้มือมาที่ผมแล้วพูด “ก็เห็นไอ้นี่มันถามหาพี่โชก็นึกว่างานยุ่ง”
พี่ณัฐเลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างสงสัย
“ก็นั่นแหละพี่ แค่เห็นพี่โชหายเงียบไปหลายวัน ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบปัดๆ
“นั่นสิกูก็อยากรู้ว่ามันไปไหน มันหายหัวโดดเรียนมาสามวันแล้วเนี่ย โทรไปก็ไม่รับไปเคาะห้องก็ไม่มีคนเปิด กูก็คิดว่ามึงจะรู้” พี่ณัฐได้โอกาสร่ายยาวออกมา
“พี่โชเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมทำหน้าเลิกลัก
“กูก็ไม่รู้กะว่าถ้าครบอาทิตย์มันยังไม่มากูจะไปบุกบ้านมันเหมือนกัน”
เมื่อไม่ได้คำตอบว่าคนที่เงียบไปหายไปไหนผมก็นึกเป็นห่วงขึ้นมา จนนึกได้ว่าผมมีกุญแจห้องเขาอยู่นี่นา คิดได้เท่านั้นผมก็ลุกพรวดขึ้นมา
“ถ้างั้นผมไปก่อนนะพี่ณัฐหวัดดี” ผมยกมือไหว้พี่ณัฐก่อนหันมาบอกเพื่อนๆ “กูไปก่อนนะพวกมึง”
ใช้เวลาไม่นานผมก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์มาลงที่หน้าหอพักพี่โชผมไม่รีรอรีบขึ้นไปยังห้องพี่โช ผมลองเคาะประตูแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงตัดสินใจไขประตูเข้าไป
สภาพที่ผมเห็นคือห้องรกสกปรกไปหมดมีแต่เศษไม้เศษกระดาษน่าจะมาจากขยะที่ทำโมเดลของเขานั่นแหละ ผมเดินสำรวจดูก็พบว่าพี่โชนอนหลับขดตัวงออยู่บนพื้นหน้าทีวี
ผมตกใจกับสภาพของพี่โชจึงรีบทรุดตัวลงไปนั่งข้างๆ แล้วใช้มือขึ้นทาบลงบนหน้าผาก ปรากฏว่าตัวพี่โชร้อนจี๋ ผมตกใจรีบเขย่าตัวเรียกพี่โชแต่ก็ไม่มีผลเพราะพี่โชเหมือนจะหลับลึกอาจจะเพราะพิษไข้ด้วย ผมจึงเดินเข้าไปในห้องหาผ้ามาชุบน้ำเพื่อเช็ดตัวให้ไข้ลดลง
เมื่อเช็ดตัวเสร็จผมก็จัดท่าให้พี่โชนอนดีๆ ก่อนที่ผมจะล้มตัวนอนข้างๆ และกอดพี่โชไว้จากด้านหลัง ผมไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่โชขยับตัวหันหน้ามาหาผม
“เบี้ยว” พี่โชเรียกผมด้วยเสียงที่แหบพร่า
“หือ” ผมตอบกลับไปด้วยเสียงงัวเงีย
“มาได้ยังไง”
“วิน” ผมยักคิ้ว
“กวนจังนะ” พี่โชพูดขำๆ พร้อมยกมือมาจับแก้มผม
“แล้วไม่สบายทำไมถึงไม่บอก” ผมพูดเสียงเข้มขึ้น
“ก็ไม่อยากให้ห่วง”
“บ้ารึไง แล้วทำแบบนี้ไม่คิดหรือไงว่ามันน่าห่วงมากกว่าอ่ะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ
“ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะป่วย กะแค่จะเร่งทำงานให้เสร็จจะได้มีเวลาไปอยู่ด้วย”
เมื่อพี่โชพูดถึงเรื่องงานขึ้นมาก็ทำให้ผมดีดตัวขึ้นมานั่ง ก่อนพี่โชจะลุกขึ้นมานั่งตาม
“เออแล้วไอ้ที่บอกทำงานยุ่งเนี่ยมันงานอะไร”
“ก็งานออกแบบนี่ไง” พี่โชชี้ไปที่โมเดล
“ผมถามพี่ณัฐ เห็นบอกว่าไม่มีงานอะไรเรียนก็ไม่ได้ยุ่งแถมพี่ยังไม่ไปเรียนอีกต่างหาก”
“จะไปเรียนได้ยังไงล่ะ ก็งานมันไม่เสร็จนี่นาอีกสองวันก็ต้องส่งเข้าประกวดแล้ว”
“ฮ่ะ?”
“อือ พี่ชายกูสั่งให้ส่งงานเข้าประกวด”
“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมมาตรงๆ วะ” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“คิดถึงกูเหรอ” พี่โชถามด้วยน้ำเสียงยียวน
ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่มองหน้าพี่โชนิ่งๆ
พี่โชขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วดึงผมเข้าไปกอด “ใจอ่อนให้กูบ้างแล้วหรือยัง”
“………….” ผมไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงแค่กอดพี่โชตอบไปเท่านั้น
พี่โชคลายอ้อมกอดออกแล้วใช้สองมือจับไหล่ผมไว้ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนหน้าเข้ามาจนใบหน้าของพี่โชใกล้กับใบหน้าผมจนลมหายใจอุ่นสัมผัสเข้าที่จมูก
“อื้อ เดี๋ยวติดไข้”
“ไม่ติดหรอกน่า” พี่โชพูดจบก็ประกบริมฝีปากเข้ามาที่ริมฝีปากผม
ไม่รู้อะไรทำให้ผมเปิดริมฝีปากรับสัมผัสจากลิ้นของพี่โชที่เข้ามาตวัดเกี่ยวอยู่ภายในโพรงปาก เราต่างดูดดื่มกันอย่างเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไปด้วยความโหยหา
แกร๊กก!
ประตูเปิดออกพร้อมกับผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ตะโกนเข้ามา
“โชกุนฉันมาแล้ว อาหารและยาพร้อมค่ะ” เธอตะโกนออกมาก่อนมามาหยุดสายตาที่ผมกับพี่โชซึ่งกำลังจูบกันอยู่ “ว๊ายยย!!”
ผมและพี่โชตกใจจึงผละออกจากกัน
“น่ะ...นี่มันอะไรกันน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดตะกุกตะกัก
ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นชัดๆ ใจผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนอะไรมาทิ่มแทง มันเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าที่พี่โชหายไปสามวันนี้ พี่โชอยู่กับผู้หญิงคนนี้หรือเปล่า แค่คิดใจก็วูบโหวงแบบบอกไม่ถูก ผมเหมือนกำลังจะร้องไห้
“อ่ะ..เอ่อ” ผมพูดอะไรไม่ออกพร้อมยกมือเกาหัว “ง่ะ...งั้น..ผ..ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
พี่โชดึงมือผมไว้ไม่ให้ลุกแล้วพูด “ไม่ต้องกลับ”
“โชนี่ใคร” ผู้หญิงคนนั้นถามเสียงเข้ม
“แฟน ชื่ออาร์ท” พี่โชตอบเสียงเรียบทำให้ผมหันมองตาพี่โชอย่างตกใจ
“อ๋อ นี่เองหรอคนที่ชื่ออาร์ทน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาอย่างคลายสงสัย พร้อมแนะนำตัวเองต่อ “พี่ชื่อซาโยนะ เป็นพี่สาวมัน”
“พ..พี่สาว?” ผมเอียงคอมองพี่โช
พี่โชพยักหน้าพร้อมกับพูดต่อ “อืม พี่สาวกูเอง มึงคิดว่าเป็นอะไร”
“กะ..ก็” ผมพูดไม่ออก
“หึงกู?” พี่โชไม่พูดเปล่ายังดึงผมเข้าไปกอด
“นี่น้อยๆ หน่อย ฉันอยู่ด้วยนะยะ” พี่ซาโยแซวน้องชาย
เมื่อผมตั้งสติได้ผมจึงยกมือไหว้พร้อมกับพูด “สวัสดีครับพี่ซาโย”
“หวัดดีจ้า ตามสบายนะพี่แค่แวะเอาอาหารกับยามาให้มันแต่มีคนดูแลแล้วแบบนี้เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ”
“รีบไปไหน” พี่โชถามพี่สาวตัวเอง
“โอ๊ย ฉันก็มีธุระของฉันนะแกมีคนดูฉันก็ไม่ห่วงแล้ว”
“ซาโย...”
“หือ?”
“อย่าเพิ่งบอกป๊ากับหม่าม้านะ” พี่โชพูดเสียอ่อยๆ
“รู้แล้วน่า แกพร้อมเมื่อไหร่แกก็จัดการเองเถอะฉันไม่ยุ่งด้วยหรอก” พี่ซาโยพูดเรียบๆ
ผมได้แต่มองหน้าพี่โชอย่างลำบากใจ ผมไม่รู้ว่าเรื่องของผมกับพี่โชที่บ้านของเขาจะรับได้ไหม และดูเหมือนพี่ซาโยจะมองออกว่าผมคิดอะไร
“ไม่ต้องคิดมาหรอกน่าน้องสะใภ้ เดี๋ยวไอ้โชมันต้องหาวิธีได้อยู่แล้ว”
คำเรียกของพี่ซาโยทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาจนแดงไปหมด
“เป็นอะไรหน้าแดง” พี่โชแกล้งแซวผมจนผมทุบที่ไหล่ไปแรงๆ
จากนั้นพี่ซาโยก็อยู่คุยต่อกับเราสองคนอีกพักหนึ่งก่อนจะขอตัวกลับเพราะจะไปทำธุระ พี่ซาโยแก่ว่าพี่โชสองปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปีสี่แต่คนละมหาวิทยาลัยกับเราสองคน จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนักเพราะปีสี่กำลังจะจบงานจะเยอะและโปรเจ็คจบอีก
เมื่อพี่ซาโยออกไปผมก็จัดการนำอาหารที่พี่ซาโยซื้อมาเทใส่จานให้พี่โชกินเพื่อที่จะได้กินยา
“กินข้าวจะได้กินยา”
“กินด้วยกันดิ” พี่โชพูดพร้อมมองไปที่จาน
“ไม่อะพี่กินเหอะผมกินมาแล้วก่อนจะมา” ผมโกหกออกไปเพราะผมอยากให้พี่โชกินเยอะๆ เพราะกำลังป่วยต้องการพลังงาน
ระหว่างที่พี่โชกำลังกินข้าวอยู่ก็พูดขึ้น “เบี้ยว”
“หือ?”
“นี่เราเป็นแฟนกันแล้วใช่ป่ะ” พี่โชพูดออกมาหน้าตาเฉยแล้วตัวข้าวใส่ปากต่อ นี่พี่มันกำลังขอผมเป็นแฟนอยู่นะ
“ไม่ใช่ ยังไม่ได้เป็นแฟน”
“เฮ้ยได้ไงอ่ะ”
“ก็ผมไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ไง”
“แต่กูบอกซาโยไปแล้ว”
“นั่นมันก็เรื่องของพี่ไม่เกี่ยวกับผม”
“เบี้ยวแม่งงงง” พี่โชทำหน้าบูดหน้าบึ้ง
ผมขำกับท่าทางของพี่โชก่อนจะดุออกไป “กินเร็วๆ จะได้กินยา”
พี่โชไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่สนใจผมอีก
"พี่โช" ผมเรียกพี่โชขึ้นเบาๆ
พีโชเลิกคิ้วเป็นคำถาม "หือ?"
"ถามไรหน่อยดิ" ผมพูดจบพี่โชก็พยักหน้าเป็นคำตอบว่าให้ถามได้ “พ่อแม่พี่นี่ชอบดูอิคคิวซังหรือไงถึงตั้งชื่อพี่กับพี่สาวอย่างนี้”
“เออใช่ หม่าม้ากูชอบการ์ตูนเรื่องนี้ พี่คนโตกูชื่ออิคคิว ยังดีนะที่หม่าม้ากูยังปราณีไม่ตั้งชื่อกูเป็นเจ้าอาวาสวัดอังคะคุจิ” พี่โชเล่าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฮ่าๆ ยังดีที่แม่พี่ยังปราณีเนอะ” ผมขำกับเรื่องที่พี่โชเล่า ถ้าแม่พี่โชตั้งชื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดขึ้นมาคงจะตลกน่าดู
“แหมเบี้ยว ได้ทีขำใหญ่นะ” พี่โชพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้หัวผมอย่างหมั่นเขี้ยว
ผมปัดมือพี่โชออกแล้วพูดเสียงเข้มๆ ออกไป "เออกินๆ ไปเลย"
วันนี้ผมจึงไม่ได้กลับห้องเพราะอยู่ช่วยพี่โชแล้วคอยหาข้าวหายาให้พี่โชกินและช่วยพี่โชตัดนู่นตัดนี่เพราะงานของพี่โชต้องเสร็จให้ทันที่จะส่งเข้าประกวด
========================
TBC.
