ความเสี่ยงที่ 29
10.32
วันศุกร์จากวันนั้นผมก็มีแฟนมาแล้วเป็นเวลาสิบวันถ้วน
จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่ ผมยังหอบเอางานกลับมาทำที่บ้านอยู่เป็นประจำ ส่วนเจ้าเด็กหวานที่เพิ่งได้สถานะใหม่ไปก็ยังต้องเข้าๆ ออกๆ คณะทุกวันอย่างกับนี่ไม่ใช่ช่วงปิดเทอม นอกจากงานสตูดิโอที่ไม่จบไม่สิ้นแล้ว ก็ยังมีกิจกรรมอีกแปดล้านอย่างที่ต้องทำ ก็เห็นว่ากำลังเตรียมละครกันอยู่ ไหนจะต้องซ้อมสำหรับงานถาปัดสัมพันธ์ที่จะต้องไปเจอกับมหาลัยอื่นนั่นอีก เผลอๆ ยุ่งกว่าผมอีกละมั้ง
แต่ถึงอย่างนั้น… บางวันเจ้าตัวก็มานั่งยิ้มเผล่อยู่ที่หน้าออฟฟิศ
หรืออย่างบางวัน… คนเด็กกว่าเลิกดึกจนต้องอ้อนให้ขับรถไปรับถึงหน้าคณะ
อย่าเข้าใจผิดไปนะครับ ผมไม่ได้ว่างขนาดนั้นสักหน่อย
เอ่อ… ก็แค่ พอดีบังเอิญพอมีเวลาอยู่บ้าง
เออ นั่นแหละ บางวันไง
เหมือนวันนี้น่ะ
เสื้อเชิ้ตทำงานของผมถูกพับแขนขึ้นแบบลวกๆ ส่วนสแล็คก็กลายร่างเป็นกางเกงบอลให้สะดวกต่อการนั่งทำงานบนโซฟา แลปท็อปข้างตัวเปิดค้างอยู่ที่อีเมลล์ขอความเห็นเรื่องที่ดินของโปรเจคใหม่จากฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งอันที่จริงควรจะรีวิวและเขียนคอมเมนต์ส่งกลับไปได้แบบเร็วๆ แต่ก็หยุดอยู่ที่พารากราฟที่สี่มาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว
ก็ใครมันจะไปมีสมาธิกัน!
“โอ๊ยย มองอะไรอยู่ได้เล่า!” ผมโวยใส่ตัวต้นเหตุ
“มองแฟนไงครับ” หวานกะพริบตาปริบๆ พูดตอบหน้าตาเฉย “ไม่ได้เหรอ”
ผมถอนหายใจพรืดกับเด็กโข่ง ร่างสูงที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาจะไม่รบกวนการทำงานสักนิด
ถ้าเจ้าของไม่ได้เอาหัวหนักๆ มาหนุนตักผมไว้น่ะนะ…
นอนจ้องหน้าแบบนี้ใครเขาจะไปทำอะไรได้วะ
“ไม่กลับบ้านกลับช่องสักที” ผมเคาะหน้าผากมันไปหนึ่งที “จะอยู่นี่ทั้งคืนเลยรึไง”
“ค้างได้เหรอครับ” เจ้าตัวถามเสียงตื่นเต้น “เดี๋ยวโทรบอกที่บ้านก่อนนะว่าจะอยู่กับแฟน”
“บ้าเรอะ!” นี่ผมเผลอเปิดโอกาสให้มันอีกแล้วเหรอครับ “กลับไปเลย”
“อ้าว… ไม่ได้เหรอครับแฟน” หวานทำหน้าเศร้า
“ต้องเรียกแฟนทุกคำเลยรึไง” ผมย่นจมูก
“ก็ผมเห่อแฟนผมอ่ะ” หวานจ้องหน้าผมแล้วพูดเน้นคำเป็นพิเศษ
ผมกัดปากตัวเอง ให้ตายเถอะ ยังไงก็ไม่ชินกับสายตาแบบนี้ของมันสักที
“ขออยู่แบบนี้ต่ออีกหน่อยนะครับ… นะคร้า-- โอ๊ะ!” ยังพูดวอแวไม่จบประโยคก็โดนขัดจังหวะด้วยเจ้าแมวตัวเล็กที่เพิ่งกระโดดขึ้นมาบนหน้าท้องของเจ้าตัวอย่างพอดิบพอดี “จิ๋วอย่าเหยียบพุงงง” ว่าแล้วก็อุ้มเอาแมวขึ้นมาฟัดแรงๆ ทำเอาจิ๋วร้องหงุงหงิงขัดใจใหญ่
ผมถอนหายใจแรงๆ
จะนอนก็นอนไปสิ ไม่ได้ห้ามสักหน่อยนี่
วันไหนที่เจอกัน (ขอย้ำนะครับว่าไม่ได้เจอทุกวัน) เจ้าเด็กนี่ก็จะมานั่งๆ นอนๆ ที่คอนโดขอเล่นกับแมวบ้าง ขอมาอ่านหนังสือบ้างที่ห้องอยู่เป็นประจำ จนสี่ห้าทุ่มโน่นแหละถึงจะได้ฤกษ์กลับบ้าน ถ้าเอารถมาก็ขับกลับไปเอง ถ้าไม่ก็… เอ่อ… ถ้าว่างน่ะ... ถ้าว่าง… ผมก็ไปส่ง…
เออ… ก็ไปส่งไง
แต่ก็ไม่ได้เข้าไปถึงในบ้านหรอกนะครับ ส่งลงแถวๆ หน้าบ้านเท่านั้นแหละ ยังไม่รู้จะตอบคำถามของครอบครัวยังไง ทั้งกับบ้านเจ้านี่ ทั้งกับบ้านผมเนี่ยแหละ จะโดนจับข้อหาล่อลวงรึเปล่าก็ไม่รู้
อายุมันนี่เป็นปัญหาจริงๆ มองให้ตายยังไงผมก็ผิด
ทั้งๆ ที่ก็ค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าเจ้าเด็กนี่ต่างหากที่ล่อลวงผมก่อน
ขมวดคิ้วคิดจบแล้วก็กลับมาก้มหน้าก้มตาตั้งใจอ่านอีเมลล์ ตอบกลับเสร็จก็เปิดโน่นอ่านนี่ไปเรื่อยเปื่อย พอเห็นว่าผมทำงานเสร็จคนที่นอนอยู่บนตักไปเล่นกับแมวไปอยู่ได้ตั้งนานก็เริ่มซน ทำไม่รู้ไม่ชี้จับมือผมไปวางไว้บนหัวของตัวเอง ก่อนจะวางฝ่ามือตัวเองทาบทับลงมาแล้วเกลี่ยปลายนิ้วที่หลังมือเล่น เหมือนเป็นการบังคับให้ลูบหัวเจ้าตัวแบบกลายๆ
แถมยังหลับตาพริ้มรอรับสัมผัสอีกต่างหาก
จิ๋วยังไม่ขนาดนี้เลยมั้ง… หมอนี่มันขี้อ้อนยิ่งกว่าแมวซะอีก...
“พรุ่งนี้พี่วินทำอะไรครับ ไปดูหนังกันมั้ย” คนบนตักถามขึ้นลอยๆ
“ว่าจะกลับบ้านน่ะ”
“อ้าววว” หวานลืมตาแล้วร้องเสียงหลง “ทำไมล่ะครับพี่วินนน ไม่อยากดูหนังกับผมเหรอ ดูหนังกับแฟนไง” เด็กตัวโตกะพริบตาปริบๆ เรียกความน่ารักน่าเอ็นดู
“เล่นใหญ่เหลือเกิน” ผมบีบจมูกโด่งๆ นั่นด้วยด้วยความหมั่นไส้ “ต้องกลับบ้านบ้างสิ ไม่ได้กลับมาหลายอาทิตย์แล้วเนี่ย”
“แล้วจิ๋วล่ะครับ” เจ้าตัวลูบจมูกตัวเองป้อยๆ พลางขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนโซฟาแล้ววางแมวจิ๋วไว้บนตัก
“จริงๆ เจ้านี่อยู่ตัวเดียวได้นะ… แค่มีน้ำกับอาหารก็อยู่ได้แล้ว โน่นก็เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ เนอะจิ๋ว” ผมก้มหน้าลงไปใกล้ แล้วเอานิ้วชี้แตะหัวกลมๆ ของเจ้าขนปุย พยักหน้าให้ตาแป๋วๆ ที่มองมา
รู้ตัวอีกทีคนตรงหน้าก็ยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่
“เห้ย!!” ผมร้องเสียงหลง หันไปมองตาโต “ทำอะไรเนี่ย!”
“ก็แฟนน่ารักอ่ะ” หวานพูดหน้าตาเฉยแล้วส่งยิ้มให้จนตาหยี
“มากไปแล้วโว้ยยย!!” ผมโวยวายหน้าแดง
“ไม่จริงสักหน่อยครับ” อีกฝ่ายย้อน “ทำมากกว่าจูบต่างหากถึงจะเรียกว่ามากไป” พูดพร้อมกับทำสายตาวิบวับมองมาให้ผมหน้าร้อนเล่นๆ
ผมทุบเข้าที่แขนดังพลั่กแบบไม่ออมแรง คนเด็กกว่าเลยสะดุ้งร้องเสียงดัง
“พอเลย พอ!!!” ผมลุกพรวดขึ้นในขณะที่หวานยังยิ้มระรื่นแล้วหัวเราะคิกคัก ตั้งใจจะเอาหนังสือกฏหมายควบคุมอาคารบนโต๊ะฟาดหัวแถมไปอีกสักที
Rrrr… ถือว่าโทรศัพท์ช่วยชีวิตนะ… ผมมองเด็กหวานตาเขียว มือก็กดรับโทรศัพท์
“ว่า?”
(ฮัลโหลลลล เพื่อนตี๋) อาร์ตลากเสียงยาวทักทาย
“ไม่แดกเหล้า” ผมรีบพูด ฟังจากน้ำเสียงแบบนี้ มีเรื่องเดียวแน่ๆ ครับ
ยิ่งวันนี้มันวันศุกร์แห่งชาติด้วยเนี่ย
เด็กข้างตัวมองมาอย่างสนใจ ผมเลยบอกไปอย่างไม่มีเสียงว่า
/ไอ้อาร์ตน่ะ/ หวานพยักหน้านิดหน่อยแล้วดึงมือผมที่ยืนอยู่ให้ลงไปนั่งบนโซฟาต่อ
(เห้ย กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย) “มีเรื่องเดียวนั่นแหละ หรือกูทายไม่ถูก” ผมย้อนถาม พร้อมๆ กับที่หวานทิ้งตัวลงมานอนบนตักเหมือนเดิม
ไอ้เด็กฉวยโอกาส...
เห็นผมโวยวายไม่ได้สินะ
(ถูก) มันหัวเราะเสียงดัง
(นี่กูกับพีทเพิ่งประชุมงานเสร็จ มึงอยู่ไหนตี๋) กำลังจะตอบบ่ายเบี่ยง แต่คนเด็กกว่าที่นอนอยู่ก็แกล้งพลิกตัวกดจมูกเข้ากับหน้าท้องแรงๆ ทำเอาตกใจร้องออกมาเสียงดัง “เชี่ยยย!!”
(เฮ้ย! เป็นอะไร) อาร์ตถามขึ้นเร็วๆ
ผมมองอย่างคาดโทษ แต่เจ้าตัวก็แค่ยิ้มพราวแล้วเอานิ้วแตะจมูก พึมพำว่า
/หอมดีนะครับ/ ไอ้เด็กส้นตีน
“เอ่อ..” ผมคิดข้ออ้างเร็วๆ “เออ.. จิ๋วน่ะ มันตกโซฟา”
(แมวเด๋อเหมือนคนเลี้ยงเลยนะมึง) มันขำ
(อยู่คอนโดล่ะสิ)ตายห่า...
พลาดแล้วกู...
ถึงกับต้องเอามือทึ้งหัวตัวเอง
อาร์ตเพื่อนรัก… คือ…
เอ่อ… อย่า...
(เดี๋ยวพวกกูไปหา รอแป๊บ) นั่นไง… พูดจบก็ตัดสายแบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพอะไรสักคำ
ผมหันไปหาคนบนตักที่มองอยู่ก่อนแล้ว
“คือ…” ผมกลืนน้ำลาย “เดี๋ยวพวกแม่ง… จะมา”
หวานกะพริบตาปริบๆ “แล้ว?”
“ก็… เนี่ย…” ผมย่นจมูกแล้วเขย่าขาตัวเองให้คนที่นอนอยู่รู้ตัว “มาอยู่ตรงนี้เนี่ย”
“กังวลเหรอครับ” อีกฝ่ายถามแล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรง
ผมพยักหน้าตอบเรียบๆ ในระหว่างที่คนตรงหน้าคลี่ยิ้มที่ผมไม่เข้าใจ
“ยิ้มอะไรเล่า กลุ้มใจอยู่นะ”
“พี่วินไม่ได้ไล่ผมกลับ...” หวานว่า “เพราะงั้นเรื่องที่กังวลไม่ใช่การคบกับผม แต่เป็นการเปิดตัวกับเพื่อนสินะครับ”
“รู้ดี”
ได้ยินผมพูดแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ร่างสูงรั้งเอวผมเข้าไปเร็วๆ พริบตาเดียวก็ตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแบบเร็วๆ
“นี่!!” ผมทุบเข้าที่แขน แต่คนเด็กกว่าก็ไม่สะทกสะท้าน แถมยังโอบแน่นขึ้นอีกด้วยซ้ำจนผมยอมแพ้
“ดีใจจนจะแย่อยู่แล้วครับ”
ผมถอนหายใจก่อนจะเอ่ยกับคนตรงหน้าเบาๆ
“ก็ไม่ได้ตั้งใจให้รู้เร็วขนาดนี้สักหน่อย…” _ _ _ _
11.03เสียงกริ่งดังขึ้นแล้ว
ผมยืนเรียกกำลังใจอยู่หลังประตู ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปลดล็อค
เอาวะ... ยังไงพวกแม่งก็ต้องรู้
“เป็นไง หายหน้าหายตาไปเลยนะมึง” อาร์ตทักทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก “ลืมหน้าหล่อๆ ของพี่อาร์ตไปรึยังครับน้องวิน” มันยิ้มกว้าง
ผมหรี่ตามอง “ก็ไม่ลืมนี่ ไปละนะ บาย” ดันประตูจะปิดใส่หน้าแม่งจริงๆ
“เฮ้ยยย” อาร์ตร้องแล้วแทรกตัวเข้ามา “โอ๋มึงงงง เพื่อนไงจำไม่ได้เหรอ ก็เห็นมึงเงียบไปนาน นึกว่าตายห่าคาออฟฟิศไปแล้ว”
ยัง! ยังจะอวยพรกูอีก!
“มันก็มีธุระของมันมั้ย มึงอย่ามัวแซว เดินเข้าไปเร็วๆ กูหนัก” พีทตัดบท
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะวะเนี่ย” ผมมองถุงพลาสติกในมือคนตัวสูง
“ไวน์… กับพวกเบียร์นอกที่อยู่ในตู้เย็นออฟฟิศ วันนี้เขาโล๊ะของกันน่ะเลยแบ่งๆ กันมา” พีทตอบผ่านๆ “เชี่ยอาร์ตแม่งโลภของฟรี แม่งขนมาซะบานเลย”
“เอ้า มึงนี่อะไร ใครไม่เอาก็โง่ละ” อีกฝ่ายย้อน ”เหยด รองเท้าใหม่ว่ะ” อาร์ตพูดขึ้นหลังก้มมองสำรวจรองเท้าที่หน้าประตูทางเข้า “ไอ้น้ำมาแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก” พีทตอบในขณะที่มองเลยเข้าไปถึงเจ้าของรองเท้าที่อยู่ในห้อง
“อ้าว ใครอ่ะ ไอ้เต้เหรอ”
จบคำถามของอาร์ต เด็กหวานก็เดินเข้ามาถึงทางเข้าพอดี
เอ่อ..
“ก็.. หวานไง” ผมตอบหน้านิ่ง “เอาอะไรมาเยอะแยะวะเนี่ย” บ่นเปลี่ยนเรื่องแล้วก็รับเอาถุงพะรุงพะรังจากมือเพื่อนมาถือไว้ เตรียมจะเดินนำเข้าไปในห้อง แต่ถือได้ยังไม่ถึงนาทีก็โดนมือใหญ่ๆ แย่งถุงพลาสติกที่อยู่ในมือผมไปหน้าตาเฉย
“ผมถือให้เองครับ”
ออกตัวแรงนักนะ…
เออ ตามใจ อยากถือก็เอาไปเลย
“ไง” พีททักขึ้น
“สวัสดีครับพี่พีท พี่อาร์ต” คนเด็กกว่ายิ้มตอบด้วยท่าทีสบายๆ พีทพยักหน้ากลับมาให้ ส่วนอาร์ตก็ทำอย่างเดียวกัน.. ถึงหน้ามันจะดูงงไปหน่อยก็เถอะ “เดี๋ยวผมเอาไปเก็บให้นะครับ” หวานหันหน้ากลับมาบอกแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง
พีทมองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วยิ้มนิดๆ ผมเลยทำหน้านิ่งกะพริบตาตอบมันไปหนึ่งที แล้วเดินเข้าห้องไปอย่างไม่ฟังอะไรต่อ
“นี่กูพลาดอะไรไปรึเปล่า” อาร์ตหันหน้าไปถามพีท
“ไม่รู้สิ” คนตัวสูงยักไหล่แล้วเดินเข้าไปนิ่งๆ “โทรตามเชี่ยน้ำให้ด้วยนะ” พีทสั่ง
“เอ๊า!” อาร์ตได้แต่ยืนเกาหัวอยู่ตรงนั้น “อะไรวะ”
_ _ _ _
11.25เป็นอันว่าวันนี้ เดอะแก๊งค์ของผมมีสมาชิกมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
ผมยืนก้มๆ เงยๆ อยู่ในครัวเพื่อเอาของใส่ตู้เย็นบ้าง เตรียมจานใส่อาหารบ้าง ตาก็มองไปยังโต๊ะกินข้าวที่มีสามคนล้อมวงคุยกันอยู่
“อ้าว ตอนนี้พี่โอไม่ได้สอนสตูแล้วเหรอวะ” พีทถามขึ้นถึงอดีตรุ่นพี่ที่กลายมาเป็นอาจารย์ประจำสตูของตัวเองตอนปีสอง
หวานพยักหน้าตอบคนข้างตัวพลางเกาคางให้แมวจิ๋วบนตักตัวเองไปด้วย “แกได้ทุนคณะไปเรียนเอกที่ AA (Architect Associate) ที่ลอนดอนครับ เทอมหน้าเลยไม่ได้สอนแล้ว”
“เชรดดดดด AA เลยนะโว้ย” อาร์ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโวยวายแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด “แม่งโคตรเทพ ทำไมแกไม่ประกาศหน่อยวะ กูต้องเข้าไปแสดงความยินดีในเฟสบุคหน่อยแล้ว” มันตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ยุกยิก
“แกไปเรียนอะไรนะ” ผมถาม
“อ่าา… น่าจะ Advanced Design นะครับ ผมก็ไม่แน่ใจ” หวานตอบ
“เออ พี่โอกราบไหว้ท่านเซอร์นอร์แมน ฟอสเตอร์ เป็นไอดอล เพราะงั้นได้ไปอังกฤษนี่สมใจแกชัวร์” พีทว่า
“อ๊ะ…” อาร์ตร้อง “ไอ้น้ำมาถึงละ” มันโชว์หน้าจอไลน์ให้ดู
ผมเงยหน้าขึ้น “เดี๋ยวกูไป--”
“เดี๋ยวผมไปให้ครับ” คนเด็กที่สุดในวงรีบลุกขึ้นอาสา หอบเอาแมวติดมือไปกดรหัสลิฟต์ด้วย
ไม่นานนักเสียงกริ่งก็ดังขึ้น พีทอดไม่ได้ที่จะต้องมองตามคนเด็กกว่าที่เดินไปเงียบๆ
ไอ้นี่มันร้าย...“เปิดช้าชิบห--” เสียงคนมาใหม่สะดุดลงเมื่อสังเกตว่าคนที่มาเปิดประตูกลายเป็นเด็กหวานที่กำลังอุ้มแมวอยู่ในมือ “อ้าว?”
“สวัสดีครับ พี่น้ำ” หวานยิ้มทักทาย “เข้ามาเลยครับ อยู่กันข้างในกัน”
น้ำยืนนิ่งมองคนตรงหน้าด้วยสายตายากจะอธิบาย ร่างสูงใช้เวลาอึดใจหนึ่งถึงจะหาคำพูดเจอ
“อ้อ…” ส่งเสียงตอบในคอ ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้าไว้ด้านหน้า “แม่งมาถึงกันนานแล้วล่ะสิ”
“สักพักเองครับ” หวานยิ้ม ”เดี๋ยวผมเอาจิ๋วไปใส่กรงก่อนนะ”
“อืม” น้ำตอบสั้นๆ พลางมองคนตรงหน้าลูบหัวแมวเดินนำไป แล้วจึงเดินฉับๆ ตามเข้าไปด้านในเงียบๆ
“ว่าไง ธุระเยอะจังเลยนะมึง กว่าจะมา” ผมทักพลางวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ
“ต้องประชุมปิดแบบน่ะสิ นี่ยังดีเลิกแค่สี่ทุ่มครึ่ง” น้ำตอบเซ็งๆ ก่อนจะนั่งลงข้างพีทแล้วถอนหายใจ เจ้าตัวปรายตามองหวานที่เดินตามหลังมานั่งลงระหว่างผมกับอาร์ตแล้วพูดต่อ “แล้วงานพวกมึงล่ะ ไหนว่ามีรีวิวโปรเจคกัน”
“แค่อินเทอร์นอลน่ะ” พีทตอบ “แบบหลักๆ ก็ผ่านแล้วแหละ เลยไม่ค่อยมีอะไรมาก เถียงกันเรื่องสเป็คของนิดๆ หน่อยๆ”
“อาฮะ” ผมทำเสียงในคอ รินน้ำเปล่าลงในแก้วของตัวเอง นั่งลงที่หัวโต๊ะ “ไม่ดีเลย์?”
“ไม่อ่ะ ถือว่าโอเคนะ ไม่หลุดตารางเวลาที่คิดไว้” พีทว่า
“เดี๋ยวก็เตรียมหาผู้รับเหมาอินทีเรียได้แล้วสิ” ผมถามขึ้น “เชี่ยละ กูยังไม่ได้ย้ำฝ่ายรีเทลให้ส่งรายชื่อ Candidate ผู้เช่าเลย”
อาร์ตรีบยกมือห้าม “ใจเย็นตี๋ รอให้พวกกูจบแบบให้งดงามก่อนมั้ย มึงก็รีบเกิน”
พีทพยักหน้า “กว่าจะได้ใช้รายชื่อนี่อีกนาน ไหนจะต้องประมูลผู้รับเหมาอินทีเรีย เลือกสเป็ค ต้องส่งต่อให้ผู้รับเหมาอีก โน่น หลังเทสต์งานระบบโน่น”
“ก็เดี๋ยวไม่ทัน” ผมพูดอุบอิบ… ก็คนมันกังวลนี่หว่า
“แหม เป็นห่วงโปรเจคนี้จังเลยนะครับน้องวิน ไหนมาอัพเดทให้พี่อาร์ตฟังซิ” มันเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเร็วๆ อย่างน่าเตะ นี่ไม่นับคำพูดชวนประสาทเสียที่มันจงใจเลือกใช้ด้วยนะ “เจ้าของโปรเจคไปถึงไหนแล้วครับ”
“สัดอาร์ต ไม่มีอะไรแล้วว้อย… เคลียร์แล้ว” ผมหันไปทำตาขวาง บอกสั้นๆ
“นัดเคลียร์เลยเหรอวะ” พีททวนคำ
“อ่า… ไม่เชิง แต่เอาเป็นว่าจบแน่ๆ แบบไม่กลับมาชัวร์ๆ ไม่มีอะไรละ” ผมพูดตัดบท แล้วหลีกเลี่ยงการสบตากับไอ้เด็กตัวสูงที่กำลังยิ้มกริ่มเพราะอยู่ในเหตุการณ์ “นี่พวกมึงจะกินกันเลยมั้ย เดี๋ยวกูไปหยิบของในครัวก่อน” ว่าเสร็จก็ลุกขึ้นตรงดิ่งไปที่ครัวโดยไม่รอคำตอบ
ไม่ได้พูดเกินจริงอย่างใดครับ แต่หลังจากวันนั้นคุณตะวันก็หายไปเลย
ไม่มีไลน์ส่วนตัวอีกต่อไป พบเจอกันแต่ในอีเมลล์และกรุ๊ปรวมเท่านั้นจริงๆ
“เหยดดด ทริปแสวงแต้มบุญกูได้ผลจริงเหรอวะ” อาร์ตพูดเสียงดัง “เชี่ย ขายทัวร์นี้ต้องได้ตังค์ดีแน่ๆ ไม่ทำแล้วงานสถาปนิก กูจะตั้งสำนัก มึงว่ากูเริ่มที่รูทเก้าวัดในกรุงเทพก่อนดีป่ะวะ”
น้ำมองอย่างปลงๆ “เพ้อเจ้อสัด”
“ไอ้เหี้ยน้ำ อย่ามาขวางคนจะรวย” คนโดนแขวะมองตาขวางก่อนจะพูดต่อ
“แต่ก็ไม่นึกนะว่าไอ้คุณตะวันอะไรนั่นจะยอมรามือง่ายๆ ตามตื้อซะขนาดนั้น กูละสยองแทน ทั้งดอกไม้ ทั้งดินเนอร์ น้องวินครับ น้องวินครับอยู่นั่นล่ะ”
“หืม… มีดอกไม้ด้วยเหรอครับ…” จู่ๆ คนเด็กที่สุดในโต๊ะพูดขึ้นเสียงเรียบ
ชิบหายละ… ผมแอบชะโงกหน้ามองออกมาจากในครัว
“เออสิวะ ตื้อแม่งเป็นอาทิตย์เลย” อาร์ตยังคงพูดยืนยัน “ดอกไม้ช่อเท่านี่”
ไอ้เชี่ย หยุด หยุดดดด!!!!
เล่าอะไรไม่ดูหน้าไอ้เด็กนั่นเลย นั่นไง หรี่ตามองมาเหมือนมีคำว่า เรื่องนี้ต้องเคลียร์ แปะอยู่บนหน้ายังไงอย่างงั้นเลย
ไม่ได้การ ต้องรีบไปขวางก่อน
ผมรีบหยิบจานและขวดเบียร์เดินปรี่ออกมาจากครัว
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ เอ้า ไอ้พีทมึงตักน้ำแข็งดิ่ รอให้มันละลายเหรอ” ผมพูดเร็วปรื๋อ “แล้วซื้อเบียร์กันมาตั้งขนาดนี้เห็นคอนโดกูเป็นฮอบส์เหรอ พวกมึงกะกินหรืออาบวะเอาจริงๆ เอ้า เขยิบไปทางโน้นซิ เช็ดโต๊ะด้วย”
“อะไร วุ่นวายจังมึงนิ่ ปกติก็กินกันแบบนี้อยู่แล้ว นี่คนตั้งเยอะแยะ ทำไมจะไม่หมด” อาร์ตชี้ไปรอบวง
“เออ... แล้วไหงวันนี้ไอ้เด็กนี่มาอยู่ห้องมึงได้ล่ะ” จู่ๆ มันก็ถามขึ้นกลางปล้อง
“ห๊ะ…” ผมร้องขึ้นเบาๆ เมื่อได้ยินคำถามตรงๆ
ถึงกับต้องมองหน้าไอ้เพื่อนตัวดีว่านี่มึงถามเรียกตีนหรือเอาจริง แต่ก็สรุปเอาเองหลังจากหันไปเจอมันกะพริบตาใสๆ ใส่แบบเด๋อๆ ว่าแม่งงงจริง
ผมเผลอมองเลยไปยังคนที่เป็นประเด็นแว่บนึง
ไม่ต้องมายิ้มมุมปาก! เดือดร้อนอยู่เห็นมั้ย!!
“เอ่อ…”
“เอ๊า! ไอ้เชี่ยตี๋ มึงไม่เอาที่เปิดไวน์มาแล้วจะแดกกันยังไงเนี่ย” พีทพูดขึ้นเซ็งๆ “อ้าว แก้วไวน์ก็ไม่ได้เอามานี่หว่า มึงนี่นะ เชี่ยอาร์ต! มึงลุกไปช่วยกูหยิบแก้วหน่อย”
“เอ้า เกี่ยวไรกับกู ไม่ใช้ตี๋มันอ่ะ”
“ลุกเลย! มึงต้องไปเอากุ้งแช่น้ำปลาในฟรีซมึงด้วย ไหนอยากแดกแบบเกล็ดน้ำแข็ง ลุก” พีทย้ำ ร่างสูงยืนเคาะโต๊ะเป็นเชิงเร่ง ไอ้อาร์ตเลยทำหน้าบูดใส่นิดหน่อยก่อนจะยอมเดินออกมาแต่โดยดี พีทรอให้คนตัวเล็กกว่าเดินนำไปก่อน แล้วจึงยื่นมือมาตบไหล่ผมเบาๆ สองสามที แล้วจึงผละออกไป
เฮ่อ ขอบใจว่ะผมหันมาสนใจขวดเบียร์หลากสีตรงหน้า ท่าทางออฟฟิศไอ้พีทจะมีคนขี้เมาอยู่เยอะเชียว มีเบียร์ต่างประเทศติดตู้ไว้เยอะขนาดนี้ ผมเลือกหยิบยี่ห้อคุ้นตามาเปิดแล้วส่งให้คนที่นั่งเงียบอยู่ข้างตัว
“อ่ะ” ผมจงใจแตะขวดเย็นๆ กับท่อนแขนให้น้ำสะดุ้งเล่น “หนักเหรอวันนี้ เงียบเชียวนะมึง”
“ก็… นิดหน่อย” น้ำพูดอย่างขอไปที ก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ “แต่ก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะนะ”
ขมวดคิ้วตั้งท่าจะถามต่อว่างานมันแย่มากเลยเหรอวะ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ได้ยินเสียงอาร์ตถามออกมาจากในครัว “ตี๋ มึงเอาไวน์ป่ะ กูจะได้เอาแก้วไป”
“ไม่เอา จะกินเบียร์” ผมตอบผ่านๆ
“แล้วเด็กมึงจะแดกอะไร” อาร์ตถามต่อ จบประโยคก็แว่วเสียงหัวเราะหึหึมาจากไอ้น้ำที่นั่งข้างๆ
“เด็กกูเหี้ยอะไรครับ” ผมโวยเสียงดัง มองหน้าเจ้าตัวตาเขียว “จะกินอะไรก็บอกแม่งไป”
“กินเบียร์ครับพี่” หวานหันหน้าไปตอบแล้วก็ยื่นขวดมาทางผม คนเด็กกว่ายกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ “พี่วินเปิดให้หน่อยสิครับ”
ผมย่นจมูกใส่เบียร์ที่มีชื่อหล่อๆ ว่า London’s pride ซึ่งคนเด็กกว่าเลือกดื่มก่อนจะคว้าที่เปิดขวดขึ้นมาจัดการให้มันจบๆ แล้วหันมาเลือกเครื่องดื่มให้ตัวเองบ้าง มองไปมองมาก็สะดุดกับขวดรูปทรงแปลกตา อืม Brigand ของเบลเยี่ยมเหรอ… อื้มม… น่าสนใจ
อันนี้แหละ! ผมตั้งท่าจะเปิดฝาขวด
“อ๊ะ! แลกกันครับ” คนเด็กกว่ารีบเลื่อนขวดเบียร์ของตัวเองที่เปิดแล้วมาวางตรงหน้า แล้วคว้าเอา Brigand ในมือผมไปหน้าตาเฉย
“อ้าว” ผมร้อง ตีหน้ายุ่ง
“อันนี้มันขมไป” หวานพยักเพยิดไปที่เบียร์ขวดเก่าของตัวเองพลางทำหน้าแหยงๆ “แลกกันนะครับ”
“อ่อนจริง” ผมว่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะยกเบียร์ที่คนเด็กกว่ายกให้ขึ้นลองจิบ... ขมจริงด้วยแฮะ ผมเบ้หน้า
“เออ… แลกก็แลก” ผมพูดอุบอิบ พอดีกับที่อาร์ตกับพีทเดินหอบแก้วไวน์กับจานกับแกล้มมาวางบนโต๊ะ คนตัวสูงรินไวน์อย่างคล่องแคล่ว สมกับเป็นคุณปรเมศผู้ออกสังคมบ่อยจริงๆ
“เอ้า ชนๆ” อาร์ตเร่ง “จะได้เริ่มวันศุกร์แห่งชาติกันสักทีเว้ย”
_ _ _ _
(มีต่อ)