- LOVE ANALYST - [วิเคราะห์การรัก] ความเสี่ยงที่ 32 P.14 ✽update 2.11.2018✽
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: - LOVE ANALYST - [วิเคราะห์การรัก] ความเสี่ยงที่ 32 P.14 ✽update 2.11.2018✽  (อ่าน 127962 ครั้ง)

ออฟไลน์ cookie8009

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตี๋วินนนน คือ ตัวเองอ่ะ หลุดเองตลอด .... มีความอวดผ.เด็กเบาๆ

ออฟไลน์ kstation

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
พอจะจริงจังก็เอาซะกลัวใจไปเลยนะครับตี๋วิน  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 847
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
คิดถึงตี๋วินนะค้าาา
รอบนี้แอบไปสวีทกันนานเลย :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ความเสี่ยงที่ 31


18.35
วันพฤหัส



“นี่”

ผมขมวดคิ้วมองเอกสารในมือ กำลังนึกถึงแผนผังการใช้ที่ดินของนนทบุรีมันอัพเดทล่าสุดว่ามันใช่ปี 42 แน่เหรอ คุ้นๆ ว่าน่าจะมีใหม่กว่านี้นะ ฝ่ายที่ดินหลุดรึเปล่าวะเนี่ย ไหนลองเสิร์ชดูซิ

“วิน”

นั่นไง!! กดปุ๊บก็โผล่ของปี 48 ออกมาแล้ว ตกลงล่าสุดนี่มันของปีไหนกันแน่เนี่ย เริ่มไม่ไว้ใจแล้วไง
ขนาดผังสียังผิด แล้วมันจะดู FAR กับ OSR ให้ถูกได้ยังไง ไหนดูตรงข้อกำห...

“มาวินทร์!!”

“ห้ะ!! ครับ!” ผมสะดุ้งสุดตัวจนเอกสารที่กำลังอ่านอยู่หลุดออกจากมือ “ครับพี่ฝ้าย”

“เอ้อ เหม่ออะไรล่ะเราน่ะ” เจ้านายคนสวยขมวดคิ้วถาม “เจ๊ถามว่าจะกลับเลยมั้ย”

“อ้า… เอ่อ” ผมกะพริบตาปริบๆ เหลือบดูนาฬิกาแล้วเรียกสติตัวเอง หกโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย
“ยังครับ ผมว่าจะนั่งเช็คข้อมูลกับตอบอีเมล์ก่อน” 

“ขยันอีกละ” น้องแคร์บอกขึ้นบ้าง “กลับบ้านเถอะค่าาาา น้องขอร้องล่ะ”

“ขออีกสักพักแล้วกัน ยังไม่ได้ตอบอีกตั้งเยอะแน่ะ อยากเคลียร์ก่อน”

“ตามใจย่ะ” พี่ฝ้ายแกล้งทำปากคว่ำ “ถ้านี่เป็นแฟนนะ งอนตายเลย บ้างานอะไรขนาดนี้”

ผมแกล้งทำหน้าเหวอ “อ้าวว ต้องง้อยังไงดีล่ะครับเนี่ย”

“หยอดอีกละ ทำไมพักนี้ขี้อ่อยกว่าปกติ” พี่ฝ้ายหรี่ตามอง “เชอะ อ่อยไปงั้นสินะ เบื่อคนหล่อเลือกได้ ไปดีกว่า”

ผมหัวเราะ ยกมือสวัสดีแล้วบอกลาเจ้านายกับน้องแคร์ อดยิ้มขณะแอบเหลือบสายตาไปที่โทรศัพท์ของตัวเองที่วางอยู่ข้างตัวไม่ได้

ไม่น่าจะงอนหรอกครับ
ก็… วันนี้คนนั้นก็ติดงานที่คณะเหมือนกันนี่นา…

_ _ _ _


21.34


(นี่ตาวิน งานแต่งเจ้าโจเสาร์นี้แล้วนะ)

“ไม่ลืมม้า งานเช้าหกโมง งานเย็นห้าโมง”

(ส่งชุดไปให้แล้ว ใส่ได้ใช่มั้ย)

“ใส่ด้ายยย” ผมลากเสียงยาวใส่โทรศัพท์ ก้มลงหอมหัวแมวจิ๋วในอ้อมแขนทีหนึ่งแล้วปล่อยให้ลงเดินกับพื้น “จริงๆ ใส่ชุดเก่าก็ได้นะ ไม่เห็นต้องตัดใหม่เลย”

(ไม่ได้ เดี๋ยวลูกชายไม่หล่อเท่าเจ้าบ่าว) ม้าเว้นช่วงแล้วหัวเราะคิกคัก (นี่ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านซะนะ วันเสาร์ต้องไปช่วยงานแต่เช้า)

ผมตอบอืออาแล้วเกาหัวตัวเอง “อ่าา แล้ว...” จะพูดยังไงดีวะเนี่ย “คือ”

(เรื่องนั้นก็ไม่ต้องคิดมาก)

“เอ๋?” ผมขมวดคิ้ว เรื่องไหนนะ ชักไม่แน่ใจว่าม้าเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะพูดหรือเปล่า
คือผมจะถามเรื่องจะพาคนไป…

(ก็ไปงานเย็นพร้อมกันน่ะแหละ) ม้าพูดขึ้นตรงจุดจนผมแอบอึ้งไม่ได้ (ยังไงก็บอกไปแล้วนี่ ใครเขาจะว่าอะไรเล่า) เสียงปลายสายพูดฟังดูเหนื่อยนิดๆ (อย่าลืมบอกให้แต่งหล่อมาด้วยล่ะ) ม้ากำชับ (เตี่ยเราจะได้ว่าไม่ได้)

“อื้อ ครับ” ผมตอบ เราคุยกันต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางสายไป 

ข่าวดีคือบ้านไม่แตกหรอกนะครับ อยู่สงบๆ เหมือนที่เป็นมานั่นแหละ ไม่รู้ว่าเตี่ยคิดว่าผมพูดเล่นหรืออะไร แต่เอาเป็นว่าเกือบเดือนที่ผ่านมาแกไม่เอ่ยถึงเรื่องลูกสาวเพื่อนแกอีกเลย อันที่จริง แกไม่ถามอะไรเรื่องแฟนกับผมเลยด้วยซ้ำ เหมือนแกทำลืมๆ ไปซะอย่างนั้นแหละ

ถึงจะไม่ได้พูดอะไร… แต่ก็ดูออกน่ะครับ ว่าไม่ได้สนับสนุนเท่าไหร่
บอกแล้วไง ว่ามันต้องใช้เวลา
ใครจะเหมือนบ้านนั้นเล่า เชื่อเขาเลยเถอะ…

เกือบเดือนแล้วที่หมอนี่ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ที่คอนโดผมแบบหน้าตาเฉย ให้เหตุผลว่ากิจกรรมเยอะ กลับดึก บ้านไกล อยู่ที่นี่เดินทางสะดวกกว่า ขออนุญาตพ่อแม่ที่บ้านเรียบร้อย แถมส่งโทรศัพท์ให้คุยกับแม่เจ้าตัวอีกต่างหาก

(วิน ยังไงช่วงนี้แม่ต้องฝากน้องหวานด้วยนะคะ ยังไงก็อยากจะออกไปอยู่หอให้ได้ คงต้องรบกวนหน่อย)
(เรื่องค่าใช้จ่าย แม่จะดูแลให้เองค่ะ ถือซะว่าน้องไปเช่าห้องวินอยู่ระหว่างคุณแม่หาห้องให้นะคะ)
(ลูกคนนี้เอาแต่ใจเป็นที่สุด ถ้าเจ้าหวานดื้อหรือออกนอกลู่นอกทาง วินจัดการได้เลยนะคะ)

เชื่อเขาเลย…
ไปพูดกับแม่ยังไงวะนั่น...


รีวิวเอกสารเตรียมประชุมพรุ่งนี้ดีกว่าแฮะ
ผมเดินถือโน้ตบุคเข้ามาในห้องนอน ไม่ลืมเปิดประตูค้างไว้ให้แมวจิ๋วเดินตามเข้ามาด้วย

ให้ตาย…
ใครจะคิดว่าเด็กนี่มันจะเอาจริงขนาดนี้

ผมมองสูทสีเทาเรียบกริบถูกวางพาดไว้ที่ปลายเตียง ในขณะที่ร่างสูงยืนพิจารณาเนคไทในมือหันหน้ามาถามอย่างคิดไม่ตก “คุณว่าเบอร์กันดีหรือคริมสัน”

“ห้ะ?” ผมขมวดคิ้ว

“นี่ไง อันนี้หรืออันนี้ดี ช่วยเลือกหน่อยสิครับ”

“มันก็… อ่า…” จะบอกว่าเหมือนกันก็ไม่ได้ คนละเฉดซะขนาดนี้ “คริมสัน”

ได้คำตอบแล้วอีกคนก็ยิ้มกว้าง จัดแจ้งวางเนคไทเส้นที่ว่าทาบลงไปบนชุดสูท “ใช่มั้ย! อันนี้เหมาะกว่าใช่มั้ยครับ เบอร์กันดีมันดู อืม...”

“เหมือนสจ๊วตการ์ต้า แอร์เวย์” ผมต่อให้

หวานเบ้หน้า “ไม่เอา ไม่เป็นสจ๊วตครับ เป็นสจ๊วตแล้วต้องไปบิน ไม่มีเวลาอยู่กับแฟน”
“จะเป็นสถาปนิกชิคๆ”

“เป็นสถาปนิกว่างมากดิ่” ผมขำก๊าก “แล้วชิคมากมั้ย ตาคล้ำขนาดนี้น่ะ”

“ก็ชิคพอตัวนะครับ” อีกคนทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมเป็นแฟนด้วย เนาะ” พูดจบก็เดินเข้ามาใกล้จนต้องยกมือห้ามไว้

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย” ผมพูดเสียงเขียว ”จะทำอะไร”

“รู้ทันตลอด” หวานขมวดคิ้ว “แค่กอดเอง ทำไมขี้งกล่ะครับ”

“แค่กอดแล้วทำไมต้องมือซนทุกที!” ผมโวยวาย ก็ แค่กอด คนตรงหน้ามันไม่เคยจะ แค่ สักทีนี่ครับ ฉวยโอกาสตอดเล็กตอดน้อยตลอด ฟาดไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะรู้สึก

“อ่าา” เถียงไม่ออก หวานเลยได้แต่ยกมือเกาแก้มเขินๆ แล้วพูดอุบอิบ “ก็ชอบ… แฟนตัวนุ่ม”

คำพูดอีกฝ่ายทำเอาหน้าร้อนขึ้นมาจนได้
“เพ้อเจ้อ! ไปเตรียมชุดต่อเลยไป คุณสจ๊วต”

ได้ยินแล้วเจ้าตัวก็ทำหน้ามุ่ย “ไม่เอา ไม่ผูกเนคไทสีนี้แล้ว”

“บอกแล้วว่าไม่ต้องผูกก็ได้ งานไม่ได้เป็นทางการขนาดนั้น”

“ทีของคุณยังมีเลย”

“ก็ผมเป็นญาติเจ้าบ่าว”

“ผมก็เป็นแฟนคุณ”

“เกี่ยวอะไรเล่า!!” ผมร้อง “จะใส่อะไรก็ใส่ไปเถอะน่ะ”

“ได้ยังไงล่ะครับ ต้องเต็มที่สิ เดี๋ยวเขาหาว่าเป็นเด็กไม่รู้กาละเทศะ”

อ้า… นี่สินะที่เป็นกังวล
“เอ้ย!” จู่ๆ อีกคนก็ร้องขึ้นมา “จิ๋ว!” หวานถลาตัวเข้าไปจับเจ้าขนฟูที่กำลังตั้งท่าจะเดินมานอนทับเสื้อนอกของตัวเองเอาไว้ “ไม่ได้นะ เดี๋ยวขนติด ออกไปข้างนอกเลย”

ผมวางแลปท็อปลงบนเตียงแล้วมองตาขวาง “กลัวขนแมวติดสูทขนาดนั้นคืนนี้ก็ออกไปนอนกอดเสื้อที่โซฟาเลยไป เรื่องอะไรมาไล่แมวผม”

ร่างสูงกะพริบตาปริบๆ “โธ่… คุณอ้ะ…”

ว่าแล้วก็ได้ยินเสียงเจ้าขนฟูขู่ฮึ่มๆ “ปล่อยจิ๋วเลย โมโหแล้วเห็นมั้ย”

“ครับ ครับ” หวานรับคำ “เอาสูทไปเก็บก็ได้ อย่าไล่ผมไปนอนนอกห้องเลยนะคุณณณ” พูดเสียงยาวแล้วรีบปล่อยแมวหูเดียวลงบนพื้น เจ้าตัวดีสะบัดหางแล้วเดินตรงดิ่งเข้ามาอ้อนให้ผมอุ้ม
เห็นอย่างนั้นคนกำลังเก็บชุดสูทก็เบ้หน้า พูดอุบอิบเสียงเบา “ใจดีกับแมวตลอด ทีกับเรานะ...”

กำลังจะเปิดโน้ตบุคก็ต้องชะงักมือ “บ่นอะไร”

“เปล่าครับ” คนปฏิเสธส่ายหน้าหวือ
ร่างสูงเก็บเสื้อเสร็จก็รีบมานั่งทำตาปริบๆ ที่อีกฟากของเตียง หลังจากปล่อยให้ผมพิมพ์ก๊อกแก๊กไปได้ไม่ถึงห้านาที เจ้าหวานก็แอบยกตัวแมวจิ๋วที่นอนพิงขาผมอยู่ออกไปอย่างแนบเนียน ก่อนจะกระเถิบตัวเบียดเข้ามาแบบแทบจะนั่งซ้อนหลังกัน “ทำงานอีกแล้วเหรอครับ”

“ก็เตรียมประชุมพรุ่งนี้”

ผมตอบผ่านๆ พลางขยับตัวยุกยิกเมื่ออีกฝ่ายวางคางลงกับไหล่แล้วพูดพึมพำ “ขยันตลอด” 

หลังนั่งจ้องหน้าจอแบบเงียบๆ ไปได้สักพัก พอเห็นว่าผมอ่านเอกสารที่ต้องใช้ประชุมจบ ก็มีคนใจดีเอื้อมมือมาพับหน้าจอลงให้โดยอัตโนมัติแบบไม่ถามความเห็น ทำเอาต้องหันขวับไปมอง

แต่อีกคนเล่นเอาคางมาวางไว้ตรงนี้… หันกลับไปมันก็…

จุ๊บ…!!!
เชี่ย … พอดีกับแก้มของอีกฝ่ายเป๊ะเลย...

โอเค อันนี้ผมพลาดเองเรื่องการกะระยะ มันอาจจะใกล้ไปหน่อย
ก่อนจะได้ทันหดคอเพื่อเอาหน้าร้อนๆ ออกจากแก้มด้วยความตกใจ คนขี้แกล้งก็ฉวยโอกาสหันกลับมาจูบเข้าที่ปากจริงๆ

“อื้อ!!” ผมร้องประท้วงเมื่ออีกฝ่ายแอบขบเบาๆ ที่ริมฝีปากล่างก่อนจะผละออก ผมเลยยกมือทุบไปที่ขาเจ้าตัวแบบไม่ออมแรง แต่แทนที่จะได้ยินเสียงโอดโอย กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะหึหึซะนี่ 

“เล่นอะไรเนี่ย!” ขอตีอีกทีเถอะครับ

“ยอมให้ตีอีกหลายที แล้วขอทำมากกว่านี้ได้มั้ยครับ” หวานยิ้มกว้าง ก่อนจะกลับมาวางคางไว้ที่เดิมแล้วเลื่อนมือมารวบเอวไว้หลวมๆ ทำเอาหมั่นไส้จนทนไม่ไหว ต้องถองศอกไปแรงๆ อีกที “โอ๊ยย เจ็บครับ”

ถึงจะร้อง แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“ทะลึ่ง!”

“อยากอ้อนแฟนอ้ะ แฟนไม่มีเวลาให้” เจ้าตัวบ่นหงุงหงิงแล้วก็ก้มไปซุกหน้าลงที่ต้นคอ ปล่อยให้ลมหายใจร้อนๆ คลอเคลียอยู่บนผิว

“ไม่มีเวลา?” ผมย้อน “มาสิงอยู่ที่นี่ทุกวันเนี่ยนะไม่มีเวลา”

“ก็คุณเอาแต่ทำงานตลอดเลย” หวานพูดเบาๆ

“เบื่อกันแล้วหรือไง” 

“ใครว่าล่ะครับ” พูดไปก็กดจูบลงบนไหล่ไปจนต้องเอื้อมมือไปบีบจมูกคนซน “จะไปเบื่อแฟนได้ยังไง” หวานบอกเสียงอู้อี้

ผมทำเสียงหึในคอ เพราะเจ้านี่ยังกอดเอวไว้ไม่ยอมปล่อย ผมเลยต้องยืดตัวเอื้อมมือยกโน้ตบุคไปวางที่โต๊ะข้างเตียง

“นี่…” หวานเรียก “พ่อแม่คุณไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ ใช่มั้ยครับ”

“เรื่องอะไรล่ะ” ผมเฉไฉ

“ซีเรียสนะครับเนี่ย” เดาว่าเจ้าตัวคงทำหน้างอตอนพูด “ที่คุณจะพาผมไปงานแต่งญาติน่ะ… คือ ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปด้วยกันนะครับ แต่ถ้าไปแล้วมีปัญหาขึ้นมา...” ร่างสูงเว้นช่วงไปเหมือนกำลังใช้ความคิด “ถ้ารู้ว่าพ่อแม่คุณว่ายังไง อย่างน้อยผมจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน”

“ไม่รู้สิ” ผมพูดตามตรง “ม้าน่ะคงไม่มีอะไร ยังถามถึงอยู่บ่อยๆ แต่กับเตี่ย…”
“ทีแรกแกคงเข้าใจว่าผมพูดเล่น แต่พอบอกว่าจะพาคุณไปงานเฮียโจจริงๆ แกก็ดูอึ้งไป จะพูดว่าห้ามก็คงไม่ใช่ อนุญาตก็ไม่เชิง เหมือนไม่สนใจเลยมากกว่า”

หวานนิ่งไป

“แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะ จะให้เตี่ยมายอมรับง่ายๆ ก็คงไม่ได้หรอก ถ้าจู่ๆ ลูกชายคนเดียวจะมาคบกับผู้ชายที่อ่อนกว่าตั้งหลายปีแกก็คงทั้งงงทั้งตกใจ นี่ไม่ไล่ผมออกจากบ้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“นี่” หวานที่นั่งซ้อนหลังอยู่ดึงตัวผมไปชิด กลายเป็นต้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตัวอีกฝ่าย “คุณรู้ใช่มั้ยว่าคุณคุยกับผมได้ทุกเรื่องน่ะ จะเรื่องดีเรื่องแย่ก็เถอะ อย่าเก็บไว้คนเดียวสิครับ"

“ก็… ไม่อยากให้คิดมาก” ผมไล้นิ้วบนท่อนแขนอีกฝ่ายที่โอบอยู่บริเวณเอวของตัวเอง “กลัวใครบางคนจะถอดใจไปซะก่อนน่ะสิ”

“คุณเนี่ยนะ...” หวานถอนหายใจพรืดแล้วกระชับอ้อมแขน "ผมก็อยากเป็นที่พึ่งของคุณได้นะ"

ได้ยินแล้วก็ต้องแอบยิ้มออกมาเหมือนคนควบคุมใบหน้าตัวเองไม่ได้
ไม่ได้การ เดี๋ยวเจ้านี่จะเหลิง ผมตีหน้าเฉยแล้วแหงนหน้าไปมองเจ้าของอ้อมแขน “อ้อ วันพรุ่งนี้ผมต้องกลับไปนอนบ้านนะ”

“อ้าว” หวานร้อง “ทำไมล่ะครับ”

“ก็วันเสาร์ต้องไปงานแต่งกับเตี่ยกับม้าแต่เช้า”

ได้ยินแบบนั้นเจ้าหวานก็ทำปากยื่นปากยาว “แล้วผมล่ะ”

“คุณก็ไปงานเย็นไง” ผมอมยิ้ม “ถ้าอยากทำคะแนนสร้างความประทับใจ ก็แต่งหล่อๆ แล้วไปรับครอบครัวผมไปงานตอนเย็นด้วยกัน”

“เตี่ยคุณจะไม่เอาปืนมายิงผมใช่มั้ย” อีกคนถามแล้วมองตาปริบๆ 

“วิ่งหนีให้ทันละกัน” 

“โธ่คุณ…” หวานโอดครวญ “ไม่ให้กำลังใจกันเลย”

เห็นอีกคนตีหน้ายุ่งผมก็ได้ทีหัวเราะเบาๆ “แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วเหรอ ทำยังไงดีล่ะทีนี้…”
พูดตีรวนอีกฝ่ายจบ ผมก็เอื้อมแขนไปคล้องคอแล้วดึงรั้งอีกฝ่ายให้โน้มหน้าลงมารับสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปาก ก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว “มัดจำไว้ก่อน 5%”

เจ้าของใบหน้าที่ผมมองอยู่ทำสายตาวาววับ “คุณลูกค้าขี้โกงนี่ครับ ปกติเขาให้กันตั้ง 20%”

ผมหัวเราะ
“ก็… ช่วยไม่ได้” คราวนี้ไม่ต้องรอให้ผมขยับ เพราะร่างสูงเป็นฝ่ายก้มลงมาประทับจูบทันทีที่พูดจบ สัมผัสนุ่มนิ่มที่คลอเคลียบนริมฝีปากทำให้รู้สึกคล้อยตามได้ไม่ยาก ยิ่งโดนอ้อมแขนของอีกฝ่ายกอดเอาไว้ก็เหมือนตัวเองจะหมดแรงลงไปเฉยๆ 

“อื้อ… พอแล้ว” กว่าจะหาช่องว่างผละออกมาได้ก็ถึงกับต้องหอบหายใจ “ได้ทีเอาใหญ่เชียวนะ”

แทนที่จะรู้สึกผิด หวานกลับยื่นหน้าลงมาจูบหนักๆ อีกรอบ กว่าจะถอนใบหน้าออกไปก็อ้อยอิ่ง ทิ้งลมหายใจร้อนๆ ไว้ที่ริมฝีปาก ใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

พอนึกได้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ ผมก็ต้องรีบผลักอีกฝ่ายออกไปแรงๆ
“ไม่!!! หยุดความคิดไปเลย!” ผมพูดเสียงเขียว “คุณนี่มัน…เอามือออกไปจากเสื้อเดี๋ยวนี้ด้วย!”

_ _ _ _
(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2018 20:59:16 โดย idee »

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
16.10
วันเสาร์


ผมในชุดสูทเกือบจะเต็มยศกำลังรับหน้าที่เป็นคนขับรถไปยังโรงแรมที่จัดงานแต่งงานของเฮียโจ
โอเค มันคงไม่แปลกอะไร ถ้าที่ขับอยู่มันไม่ใช่ BMW สีดำวาววับของใครอีกคนที่ตอนนี้นั่งตัวเกร็งอยู่เบาะหลัง

คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้น่ะครับ

หลังจากพิธีการตอนเช้าจบลง ไอ้ผมที่ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ก็ขับรถด๊อกแด๊กกลับมาถึงบ้านในเวลาบ่ายโมงนิดๆ มีเวลาพักนิดหน่อยก็ต้องอาบน้ำสระผมแต่งหล่อเพื่องานตอนเย็น พร้อมโทรนัดแนะให้อีกคนขับรถมารับทั้งเตี่ยทั้งม้าที่บ้าน กะว่าให้ทำหน้าที่สารถีพาไปงานแต่งสักหน่อย เผื่อว่าจะทำคะแนนขึ้นมาได้บ้าง

กลายเป็นว่า พอเห็นหน้าเจ้าหวานปุ๊บ เตี่ยก็พูดขึ้นมาสั้นๆ ว่า ‘ตี๋... ลื้อไปขับซิ’ พร้อมเปิดประตูข้างคนขับเข้าไปนั่งกันที่เสียอย่างนั้น คนตัวสูงเลยได้แต่ทำหน้างงๆ มองผมตาละห้อยแล้วย้ายตัวเองไปนั่งอยู่ที่เบาะหลังอย่างช่วยไม่ได้

เอ้า นี่คือหวงลูกชายถูกไหม

ไม่นานนักพวกเราก็มาถึงโรงแรมที่จัดงาน ขอบคุณการจราจรในกรุงเทพมหานครที่ไม่โหดร้ายกับผมมากไปกว่าการติดไฟแดงเล็กๆ น้อยๆ ส่วนบรรยากาศในรถ เอ่อ… ก็เหมือนจะโอเคล่ะมั้งครับ ม้าผมก็นั่งถามโน่นคุยนี่ไปเรื่อย ส่วนเตี่ย ถึงจะปล่อยรังสีมาคุออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมาจริงๆ 

พ่อใครวะ ทำไมดุจัง



ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ถูกตกแต่งด้วยคู่สีหลักคือเทาและชมพู ถึงจะไม่ใช่สีธีมยอดนิยมอย่างชมพูโรสโกลด์ หรือฟ้าอ่อนใสระยิบระยับแบบที่นิยมกัน แต่อินทีเรียก็สร้างบรรยากาศก็ออกมาได้ลงตัว ดูเข้ากันดีกับดอกไม้สดสีหวานๆ ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งต้อนรับแขกตั้งแต่หน้าลิฟต์

หลังจากไปรายงานตัวและถ่ายรูปตามธรรมเนียมที่หน้างาน แทนที่จะได้เริ่มส่องไลน์บุฟเฟ่ต์ผมก็โดนอาแปะมอบหมายให้มายืนประจำซุ้มเฝ้ากล่องใส่ซอง แกบอกว่ามีหลายเคสที่จู่ๆ มีใครไม่รู้มายกกล่องไปเฉย ต้องแจ้งตำรวจกันวุ่นวาย ผมที่เป็นตี๋เล็กของตระกูลเลยต้องมานั่งยิ้มอยู่ท่ามกลางแก๊งค์เพื่อนเจ้าสาวแบบนี้แหละครับ

ได้ส่องสาวๆ สวยๆ แบบใกล้ชิดใช่ว่าจะไม่ชอบนะครับ แต่ตอนนี้แขกยังไม่มา กลายเป็นว่าทุกคนเลยได้โอกาสนั่งล้อมสัมภาษณ์ผมสนุกกันไปเลย
ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงใครส่องใครกันแน่

“น้องวินเรียนคณะอะไรคะเนี่ย เรียนบริหารเหมือนพี่โจหรือเปล่า” พี่สาวคนหนึ่งถามขึ้น

“เปล่าครับ ผมเรียนสถาปัตย์”

“ปีอะไรแล้วเรา” อีกคนถามขึ้นบ้าง

ผมหัวเราะนิดๆ “จบมาจะสองปีแล้วครับ”

แก๊งค์เพื่อนเจ้าสาวทำตาโต “ว้ายย ไม่จริง ทำไมหน้าเด็กจัง”
“ไหนพวกสถาปัตย์ไม่ค่อยได้นอน”
“ชั้นว่าชั้นควรไปฉีดโบท๊อกซ์ วัยสามสิบมันทำร้ายชั้นมากเกินไป” 
“ชั้นบอกแล้วแก ครีมที่ทาอยู่ช่วยได้แค่เรื่องจิตใจเท่านั้นแหละ”

ผมหัวเราะแหะๆ พวกพี่เขาก็พูดเกินไปหน่อยนะครับ สวยเช้งกันทุกคนขนาดนี้ จะต้องไปพึ่งโบท๊อกซ์เลยเหรอ

“แล้วน้องหวานล่ะคะ เรียนคณะอะไร”
เอ้ย…ลืมว่ามีตัวแถมตามมาด้วยอีกคน

“เรียนถาปัตย์เหมือนกันครับ แต่เพิ่งอยู่ปีหนึ่ง” อีกคนตอบยิ้มๆ

“ว้ายยยยยย กรุบสุดดดด”
“มีคนจ่ายค่าเทอมให้ละยังจ้ะ เจ้พร้อมนะ”
“นี่ฝันมาตลอดนะ ว่าอยากได้แฟนเด็ก” 
“ชอบคนแก่กว่ามั้ยจ้ะน้องหวานนน”

ก็… ยอมรับว่าคำถามทำเอาสะดุ้งอยู่หน่อยๆ

ว่าแต่...
คนเขาจะก้มหน้าก้มตาติดกระดุมแขนเสื้อน่ะ จะเอาศอกมาสะกิดทำไมเล่า! จะตอบอะไรก็ตอบไปสิ!

อ้าว… กระดุมติดครบแล้วเหรอ
โทษๆ

“พอเลย พวกแกนี่ น้องกลัวหมดแล้ว” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “เอ.. ว่าแต่ น้องหวานนี่ก็น้องพี่โจเหรอคะ”

“เปล่าครับ” คนนั่งข้างกันยิ้มตาหยี “มาเป็นเพื่อนคุณคนนี้” ว่าแล้วก็ชี้มาที่ผม

ผมตาโต เห้ย จะมาโยนอะไรกันแบบนี้เล่า!
ทำเอาต้องนึกคำถามนอกเรื่องเร็วๆ “พวกพี่เป็นเพื่อนมหาลัยของพี่ลูกแพรเหรอครับ” รอจนกลุ่มพี่สาวพยักหน้ารับแล้วก็รีบพูด “สาวอักษรนี่สวยทุกคนจริงๆ ด้วย” พร้อมแถมยิ้มให้อีกหนึ่งที เรียกเสียงวี้ดว้ายจนคนข้างตัวหันขวับมามองหน้าอึ้งๆ

“ปากหวานนนน”
“น้องวินนนนน ทำไมแพรวพราวว”
“ใจพี่บางงงง”

สาวๆ ยืนม้วนไปมาได้สักพักแขกก็เริ่มทยอยเข้ามาในงาน วงสัมภาษณ์เฉพาะกิจเลยต้องกระจายตัวไปทำหน้าที่ สบายครับ รับซอง หยอดใส่กล่อง ไหว้ขอบคุณ ส่งต่อแขกให้กลุ่มพี่ๆ พาไปถ่ายรูปกับบ่าวสาว อย่างมากก็สแตมป์บัตรจอดรถแถมให้ด้วย

นานๆ ทีก็ยืนฉีกยิ้มให้ตากล้องประจำงานที่มาเก็บบรรยากาศ หรือกับพวกพี่สาวมาขอถ่ายรูปบ้าง คุยเล่นบ้างเวลาคนซาๆ แซวกันเล่นคิกคักไปมา จนผมเหลือบไปเห็นคนข้างตัวแล้วก็ต้องพูดขึ้นเบาๆ “เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า ตลก”

“ก็อึ้ง ไม่เคยเห็นคุณหยอดสาว… ร้ายเหมือนกันนะครับเนี่ย”

“นิดหน่อย” ผมยักไหล่ใส่

อีกคนย่นจมูก “ป๊อบจังเลยนะครับวันนี้”

“ห้ะ”

“ปกติก็คิดว่าตัวเองคงมีความต้านทานคุณต่ำ แต่วันนี้เพิ่งได้รู้ว่าจริงๆ คุณน่ะพลังทำลายล้างสูงกว่าที่คิด” หวานมองหน้าผมแล้วกระพริบตาปริบๆ

“ยังไงนะ” ผมเลิกคิ้ว “นี่อิจฉาเหรอ”

“อือ...อิจฉา” หวานพูดหน้าตาย

“เห้ย จะมาอิจฉาอะไร”

ร่างสูงหลุดขำ “ที่อิจฉาน่ะ พวกพี่สาวต่างหาก… ผมก็อยากโดนคุณหยอดใส่บ้างเหมือนกันนี่”
ห้ะ เหตุผลอะไรเนี่ย… ผมเบ้หน้า จนหวานต้องพูดย้ำ “จริงๆ นะครับ”

“บ้าบอ” ผมบ่นอุบอิบก่อนจะมองเห็นใครบางคนที่เดินเข้ามาใหม่
“อ้าว สวัสดีครับอาเจ็ก” ผมทักทาย “ซิ่มกับเฮียอยู่ข้างในแน่ะครับ”

“สวัสดีๆ ติดประชุมเลยให้บ้านนั้นพามาก่อนน่ะ” อาโซ้ยเจ็กรับไหว้
“แหม วันนี้หล่อเชียวนะตี๋เล็ก”

“เอ้า งานเฮียโจ ผมต้องจัดเต็มสิครับ”

อีกฝ่ายหัวเราะแล้วยื่นซองให้ใส่กล่อง “แล้วโดนให้มายืนโชว์ตัวตรงนี้เรอะ” 

ผมแกล้งทำหน้าบู้บี้ “ก็เป็นตี๋เล็กอ่ะ ก็โดนใช้งานอ้ะ”   

“ฮ่าๆๆ เกิดช้าก็แบบนี้ นี่เจ้าโจแต่งงาน ถัดไปคราวหน้าก็คิวเราแล้วสิ”

“อีกนานครับ” ผมยิ้ม คำถามแบบนี้คงหนีไม่พ้นจริงๆ ท่าทางว่าวันนี้ต้องได้ยินอีกหลายรอบ

“เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้” อาเจ็กแซว

“ไม่เอาล่ะ ไปช่วยเลี้ยงหลานพวกเฮียพวกเจ้ก็เหนื่อยละครับ วันนี้วิ่งกันทั่วงานเลย”

พูดถึงเรื่องเด็กจิ๋วๆ ปุ๊บ อาเจ็กก็ทำตาเป็นประกายแล้วขอปลีกตัวเข้าไปในงานทันที แหงสิครับ แก๊งค์ฟันน้ำนมสองสามขวบมันต้องน่ารักน่าชังกว่าอยู่แล้ว พวกรุ่นลูกอายุเกินยี่สิบแบบผมจะเอาอะไรไปสู้ได้ ยืนยิ้มเฝ้ากล่องใส่ซองอยู่หน้างานนี่แหละ

ทำหน้าที่ต่อไปได้อีกราวๆ สามสิบนาทีก็มีคนออกมาตามให้เข้าไปด้านใน หลังจากเดินทักทายญาติตัวเองจนเกือบครบก็ได้เวลากินสักที หิวจนตาลายไปหมดแล้ว ใจจริงก็อยากจะหยิบแก้วโค้กเย็นๆ มาดื่มให้ชื่นใจ แต่โดนคนข้างตัวตีมือเอาเพราะเห็นผมกินไปแล้วกระป๋องหนึ่งระหว่างขับรถ

“วันนี้หมดโควต้า ไม่ให้กินแล้วครับ”

“แต่วันนี้ผมตื่นเช้ามากเลยนะ”

“ไม่ให้กินครับ เดี๋ยวปวดท้อง”

กำลังจะอ้าปากเถียง ก็รู้สึกว่ามีก้อนอะไรนิ่มๆ มาแปะอยู่ที่เข่า
“น้าวินน” ก้อนที่ว่าส่งเสียงแจ๋วๆ “แป้งหอมคิดถึงน้าวินนน”

ก้มลงไปก็เจอกับหลานตัวเองในชุดสีชมพูฟูฟ่องส่งยิ้มหวานมาให้ “ว่าไงคะแป้งหอม”
ผมย่อตัวลงไปรับอ้อมกอดที่เด็กน้อยโถมตัวเข้ามาหา ปากก็เรียก น้าวินขาๆ ไม่หยุด

“ให้น้าวินอุ้มมั้ยคะแป้งหอม” ผมมองเด็กแก้มกลมพยักหน้า ก่อนจะยกตัวหลานสาวคนโตขึ้นมาอุ้มไว้กับตัว มองเลยไปนิดก็เห็นเจ้แจนโบกมือให้ เป็นนัยว่า ฝากลูกด้วยนะ ผมเลยทำปากมุบมิบว่าโอเคตอบกลับไป ก่อนจะหันมาถามคนในอ้อมแขน “ไหน คิดถึงน้าวินมากมั้ยคะ” 

หลานหัวเราะคิกคักแล้วกอดผมหมับ “นี่ นี่ น้าวินขา วันก่อนคุณแม่พาแป้งหอมไปบ้านน้าวิน ได้ไปดูปลาคาร์ฟคุณปู่ด้วยค่ะ แต่ว่า แต่ว่า” ตัวเล็กตั้งหน้าตั้งตาเล่าเจื้อยแจ้ว “แต่ว่าน้าวินไม่อยู่” 

“โอ๋ น้าวินติดงานค่ะ” ผมรีบพูด “แล้วแป้งหอมชอบดูปลามั้ยคะ” เด็กน้อยพยักหน้า “งั้นวันหลังน้าวินไปรับแป้งหอมมาเล่นที่บ้านน้าวินดีมั้ยคะ”

“จริงนะคะ”

“น้าวินสัญญาเลย”

“น้าวินใจดีที่สุดเล้ยย” แป้งหอมโผเข้ามาหอมแก้มผมดังฟอด
โอ๋ย เจอหลานอ้อนแบบนี้ใครจะไปใจร้ายลงจริงมั้ยครับ
กำลังยิ้มอยู่ดีๆ ตาก็ไปเจอเข้ากับสายตาแปลกๆ ของเจ้าหวานที่มองมา จนต้องหลบตาแล้วตวัดเสียงถามออกไป “มองอะไร”

“แพ้ทางเด็กนะครับคุณเนี่ย” ร่างสูงยิ้มกริ่ม
 
ผมพยายามไม่สนใจสายตาวิบวับ “ก็หลานน่ารัก เนอะคะแป้งหอม”

เด็กอนุบาลสองในอ้อมแขนกระพริบตาปริบๆ ใส่คนข้างตัวแล้วหันมามองหน้าผมเหมือนจะถามว่าน้าวินขา ตาคนนี้ใครอะคะ เลยต้องรีบบอกให้หลานหายสงสัย “คนนี้เพื่อนน้าวินเองครับ เอ้า แนะนำตัวซิ”

ร่างสูงส่งยิ้มให้ “สวัสดีครับน้องแป้งหอม พี่ชื่อพี่หว… อ้าว…”
ที่ต้องร้องขึ้นมาแบบนั้นเพราะเด็กหญิงไม่ยอมฟังต่อ ตั้งหน้าตั้งตามุดแก้มแดงๆ ลงกับไหล่ผมซะอย่างนั้น หวานชี้ตัวเองแล้วทำหน้าเหวอ ไม่เข้าใจว่าทำผิดอะไร

ผมเลยได้ทีตีไหล่อีกคนเบาๆ “ทำหลานผมเขินหมดแล้วคุณนี่ ทำไมเสน่ห์แรงแบบนี้นะ”

“หา”

ผมแอบขำ ไอ้เจ้านี่นิ่ ยังจะมาทำหน้างง “เอาแป้งหอมไปส่งคุณแม่ดีกว่าเนอะ”
ผมเดินอุ้มเจ้าหลานตัวเล็กไปส่งคืนเจ้แจน ระหว่างทางไปกลับก็มีญาติเดินเข้ามาทักบ้าง คุณนายแม่เรียกเข้าไปคุยบ้างประปราย ที่ออกจะแปลกไปนิดก็คือผมมีใครบางคนเดินตามไปด้วยตลอด

แต่ก็ไม่มีใครถามออกมาหรอกนะครับ ซึ่งนั่นก็อาจจะดีแล้วละมั้ง

ไม่นานนักพิธีกรก็เริ่มดำเนินรายการ พูดเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเวที ผมเลยได้โอกาสมายืนฟังเขาสัมภาษณ์กันอยู่ที่ผนังห้องด้านหนึ่ง แค่สองสามคำถามแรกก็เรียกเสียงฮือฮาได้เยอะแล้ว ก็ความรักสองคนนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ เจอกันตั้งแต่ม.ต้น เฝ้าตามจีบกันหน้าโรงเรียน เป็นแฟนกันตอนม.ปลาย ยาวมาจนถึงวันนี้

วันที่เฮียโจอายุสามสิบและยังจับมืออยู่กับผู้หญิงคนเดิม...แต่เป็นในชุดบ่าวสาว
ตรงตามภาพฝันที่เฮียเคยวาดฝันไว้ทุกอย่าง
และ… ตรงตามที่คนรอบข้างคิดไว้ทุกอย่างด้วย

คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
ก็เรื่องของผมในตอนนี้มันดูห่างไกลกับภาพตรงหน้าเสียเหลือเกิน

ผมเป็นผู้ชาย อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย การจะมีอนาคตที่สวยงามคงเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว ตอนนี้แค่ให้คนภายในครอบครัวให้การยอมรับก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป ไหนจะสังคมภายนอกที่อาจจะมีแรงกดดันมากกว่านี้อีกหลายเท่า

ผมเอาอะไรมามั่นใจว่าเราสองคนจะผ่านมันไปด้วยกันได้

เคยได้ยินไหมครับ เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน
ช่องว่างห้าปีอาจจะดูไม่มาก แต่มันก็ไม่น้อย ยังมีหลายช่วงของชีวิตที่คนข้างตัวยังไม่ได้พบ ยังไม่ได้เรียนรู้ หวานตอนนี้เพิ่งเจอสังคมใหม่ๆ แทบยังไม่ถือว่าเริ่มใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเต็มที่เลยด้วยซ้ำ ระหว่างนี้เขาจะโตขึ้น มีมุมมองที่กว้างขึ้น แล้วเมื่อเรียนจบ เขาก็จะพบสังคมใหม่ในที่ทำงานอีก ผมไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาในอนาคตจากนี้ ความรู้สึกที่เขามีจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

ตอนนี้อาจจะคิดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อวันหนึ่งที่เจ้าตัวรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป… วันหนึ่งที่เขาเหนื่อยที่จะเข้าใจผมหรือเหนื่อยที่จะเดินเคียงข้างผมแล้ว...

ถ้าหากวันหนึ่งสิ่งที่ผมกลัวมันเกิดขึ้นจริง…
เมื่อถึงวันนั้น ผมจะรับมือมันได้ไหวหรือเปล่านะ

ผมปล่อยตัวเองจมลงไปในความคิดพร้อมๆ กับแสงไฟในห้องที่มืดลง ทอดสายตามองไปยังเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังยืนโอบไหล่กันดูภาพถ่ายบนจอขนาดใหญ่ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

คงจะดี ถ้าหากเรา… เป็นเหมือน…

ผมสะดุ้งน้อยๆ แล้วหันกลับไปมองคนข้างตัวเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่อีกคนมากุมมือสอดประสานนิ้วเอาไว้ สายตาเป็นประกายยังคงจับจ้องอยู่ที่ด้านหน้า

“นี่…” หวานพูดขึ้นเบาๆ “ผมอาจจะให้อนาคตแบบนี้กับคุณไม่ได้หรอกนะครับ”
“พรุ่งนี้มันอาจจะไม่มีอะไรแน่นอนเลย”
“เราอาจจะเจออุปสรรค เหนื่อยจนแทบจะถอดใจยอมแพ้”

“คุณ…” ผมสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกมา
“คุณกำลังจะ…”

หวานหันหน้ามาสบตาผม มือที่กุมอยู่บีบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“แต่ผมขอแค่อย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ” ร่างสูงพูดหนักแน่น
“จากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอให้มั่นใจในความรักของผม เชื่อว่าผมพร้อมจะรักคุณต่อไปในทุกๆ วัน”

“ผมรักวินนะครับ”

รู้สึกถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นตุบตับกับหน้าที่ร้อนจนแทบระเบิดจากคำพูดเพียงสั้นๆ ที่ได้ยิน 
ใช่… เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอน แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเรา แค่พวกเราเท่านั้น
ไม่มีทฤษฎี ไม่มีข้อกำหนด มีแต่การตัดสินใจของเราสองคน ที่ตกลงใจจะเดินไปด้วยกัน

ผมคลี่ยิ้มให้กับคนตรงหน้า
กับความรัก ผมจะไม่วิเคราะห์อะไรแล้ว ผมขอเสี่ยงเลยแล้วกัน

“อือ… รักเหมือนกัน”

_ _ _ _

TBC

กรี้สสสส
กลับมาแล้วค่าาา มีใครยังรอเจ้าเด็กสองคนนี้อยู่บ้างไหมคะเนี่ย หมวยดีงานถาโถมมากจริงๆ นี่รีบเข็นจนจบแล้วรีบมาเลยค่ะ ไม่อยากดองข้ามเดือนจนผิดประเพณีนิยายรายเดือน 5555

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกคลิกที่เข้ามาอ่านกัน คนเขียนและคุมเจ้เบต้าดีใจมากๆ คอมเมนต์จากทุกทาง เป็นกำลังใจให้เรา ฮีลลิ่งเราได้จริงๆ หวังว่าจะชอบตอนนี้กันนะคะ คนพี่เขายอมพูดออกมาแล้วล่ะเอ้อออ เจ้าหวานดีใจตายไปรึยัง ฝากคุมแม่ๆ ดูแลด้วยนะคะ

เม้ากันได้ที่ #วิเคราะห์การรัก หรือที่ทวิตคนเขียน @huentrop เหมือนเดิมค่ะ 
ปล. แอบบอกว่า ตอนหน้าเราจะบ๊ายบายกันแล้วนะคะ :)

รักส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2018 15:42:17 โดย idee »

ออฟไลน์ AmPnie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
รอนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ฮื่อออ เขินจะตายเวลาเขาเรียกคุณๆผมๆ อยู่กันมานานจนไม่อยากให้จบเลยขออ่านต่อทุกเดือนได้ไหมคะ รักกกกก  :mew1:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
อิจฉากระทั่งกับจิ๋วนะคนเรา
ว่าแต่คนพี่พูดมาแบบนี้ ฟินได้แล้วสินะน้องหวานนนน

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ชอบนุหว่นจังเลยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
บอกรักกันในงานแต่งงานคนอื่น หวานสุดๆ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

หวานต้องดีใจ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13 o18 :man1: :z2: :m4: :จุ๊บๆ: :oni1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ kstation

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่ารักมากมาย เหมือนหวานจะรู้ว่าวินคิดอะไรอยู่นะเลยบอกความรู้สึกออกมา :o8: :-[

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น้องหวาน ทำใจพี่บางไปหมดแล้ว อิจฉาวินมากอ้ะบอกเลย

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮื่อออออออ น่าร๊ากกกกกกกก  :hao7: :hao7:
ชอบจังเลย เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วไม่น่าเบื่อเลย :pig4:

ออฟไลน์ Justccwpo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
ความเสี่ยงที่ 32

22.39 น.

                    ผ่านไปแป๊บเดียว ผมก็กลับมานั่งอยู่ในวงเหล้ากับพวกแม่งเพื่ออัพเดทชีวิตอีกแล้วล่ะครับ วันนี้ได้กลับมาแวะเวียนร้านคุ้นเคยสมัยสมัยเรียน จบโปรเจ็คทีไรต้องมาทิ้งตัวที่นี่ทุกที เละเทะกันมาแล้วทุกซอกทุกมุม กับพี่เจ้าของร้านนี่เรียกได้ว่าเห็นกันตั้งแต่หัดกินเหล้าจนจะเป็นตับแข็งอยู่ร่มร่อ มาคราวนี้แกเห็นว่าสมาชิกเยอะ ท่าทางจะเสียงดัง เลยใจดีอนุญาตให้พวกผมยึดเอาลานเล็กๆ ด้านข้างของร้านเป็นสนามเมาโดยเฉพาะ ซึ่งพวกผมก็ไม่ได้ทำให้แกผิดหวังเลยครับ

                    นี่แค่นั่งฟังยังหูแทบอื้อ

                    จะว่าไป สองเดือนที่ผ่านมาสำหรับผมก็ไม่มีอะไรมาก มีแต่งาน งาน งาน กับโค้กกระป๋องจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เพิ่งจะส่งผลวิเคราะห์ที่ดินไปสองโครงการหรอกนะ ถึงออกมาดื่มได้แบบนี้น่ะ

                    ผมยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ หันหน้าไปมองพีทที่กำลังตอบคำถามของบอยต่อ

                    “ก็ดีนะ ช่วงนี้เพิ่งปิดไปโปรเจ็คนึง” พีทว่า “กูก็เลยได้ย้ายมาดูของ AA เต็มตัวว่ะ”

                    “โอ้โห ถือโปรเจ็คเดียวเหรอ กูนี่ล่อไปสาม โทรศัพท์เข้าแม่งทั้งวี่ทั้งวัน ดูนี่... ดู” เฟิร์สที่นั่งตรงข้ามผมชูโทรศัพท์ขึ้นแล้วถอนหายใจพรืด

                    อื้อหือ… แค่ผมมองไปก็หงุดหงิดแล้วครับ การแจ้งเตือนขึ้นเป็นร้อยเลยมั้งนั่นน่ะ ทนหน้าจอรกๆ แบบนี้ได้ยังไงกันวะ อีเมล์ก็จะเป็นพันแล้ว ไหนจะไลน์อีก โอ๊ย! ไม่ไหว

                    “สเกลงานมันใหญ่เหอะ ดีเทลเยอะ นี่กูไม่ได้ถือคนเดียวนะ ยังมีทีมอีกเยอะเลย” พีทเว้นช่วง “นี่ไอ้ตี๋แม่งก็ยังต้องช่วยเรื่องเอกสารกับประสานงานอยู่เลย”

                    ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำพูดเพื่อน โครงการนี้กำลังเข้าช่วงสุดท้ายของการคัดเลือกกับประมูลผู้รับเหมาก่อสร้าง อีกไม่นานก็คงได้เริ่มลงมือทำฐานรากกัน ผมก็มีหน้าที่ประสานงาน ดูเอกสารงบประมาณ และยังต้องเข้าประชุมบ้างนิดหน่อยไม่ให้หลุดวงโคจร

                    ก็… ยังต้องเจอเจ้าของโครงการอยู่บ้าง... ถึงช่วงหลังๆ คุณตะวันจะไม่ค่อยได้มาเข้าประชุม แต่เวลาเจอหน้าก็ทักทายกันตามปกติ นอกจากจะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วอีกคนยังดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นด้วยซ้ำ เป็นผมเองเสียอีกที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงตอนเจอกันหลังจากวันนั้น

                    ก็เล่นพูดไปชัดเจนขนาดนั้นนี่นะ... 

                    “เชี่ย” เฟิร์สอุทาน “โปรเจ็คนี้มาสเตอร์พีซจริง ต้องต่อคิวขอสัมภาษณ์ตั้งแต่ตอนนี้เลยมั้ง ดูใช้ทีมแต่ละคน”

                    “ช่าย ส่วนนี่ลูกน้องกูเอง” พีทหัวเราะแล้วชี้ไปหาคนข้างตัว

                    “เออออ...” อาร์ตลากเสียงยาว ปัดมือของคนตัวสูงที่กำลังยิ้มล้อเลียนออกแรงๆ “เป็นเบ๊ให้แม่งด้วย ไหนจะงาน AA ด้วย งานในด้วย ไอ้เหี้ย เหมือนตัวจะแตก เหนื่อยชิบหาย”

                    “กูล่ะอยากลางานสักเดือนนึง” อาร์ตพูดเพ้อๆ “ลาก่อยแม่งเลยละกัน”

                    “เอ้า ไหนมึงจะเก็บตังซื้อรถไง” บอยพูดขึ้นจากปลายโต๊ะ “ท้อแล้วเหรอจ๊ะ”

                    “ก็กูเหนื่อยอ้ะ ไม่ได้หยุดเลยนะเฮ้ย ไหนจะเข้าไซต์ออดิท ไหนจะทำแบบอินทีเรียของ AA ช่วยงานไอ้พีทอีกเนี่ย”
   
                    “บ่นแบบนี้ ตกลงคือไม่เอาละเงิน จะเปลี่ยนจากขับรถยนต์เป็นปั่นจักรยานว่างั้น” ผมแซวบ้าง “บีเอ็มเอ็กซ์งี้”

                    อาร์ตหันมาค้อนขวับ “เอาไปปั่นบนหน้ามึงเลยเชี่ยตี๋”   

                    มองหน้ามันแล้วผมกับคนอื่นก็หัวเราะกันคิกคัก

                    “โอ๋ อย่างอนนนน” ผมแกล้งยื่นมือจะไปบีบแก้ม แต่ก็โดนมันตีมือออกมาซะก่อน เลยเปลี่ยนไปโบกๆ แกล้งกวนประสาทมันแทน เห็นไอ้อาร์ตทำหน้าง้ำหน้างอแล้วยิ่งขำเข้าไปใหญ่

                    “เออ มึงล่ะเป็นยังไง พ่อนักวิเคราะห์ แม่งยุ่งชิบหาย ยุ่งไม่เคยว่างเลยเนี่ย นี่ยังจำชื่อกูได้ใช่มั้ย” เฟิร์สหันมาถามผมบ้าง

                    “ชื่อพ่อมึงกูก็จำได้ครับ” ผมรีบตอบ “สมยศ”

                    “ไอ้สัดตี๋ เดี๋ยวเหอะ” มันรีบแทรก

                    “เอ้า กูก็มาแล้วนี่ไง” ผมหัวเราะ “งานเยอะเหมือนเดิม ตอนนี้ถืออยู่สองโครงการ เดือนนี้มีเข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ Feasibility study อีกสาม น่าจะผ่านไปทำดีไซน์คอนเซปต์ต่อได้เลยหนึ่ง อีกสองต้องรอดูก่อนว่าเสนอแล้วทางแบงค์ว่ายังไง” ผมนับนิ้ว “ถ้าเข้ามาหมดจริงก็คงชิบหายหน่อยๆ”

                    “ทำไมกูฟังแล้วดูไม่หน่อยเลยวะ” เทพเกาหัว

                    “เออ ไม่เห็นหน่อยเลย” ปั่นว่าขึ้นบ้างขณะยังพิมพ์มือถือรัวๆ

                    น้ำที่นั่งอยู่ข้างผมขมวดคิ้ว “มึงที่ยังนั่งตอบงานจนตอนนี้ พูดได้เหรอวะปั่น”

                    “เออเนี่ย งานเข้าว่ะ ลูกค้าจู่ๆ ก็อยากจะเพิ่มรูปอีกหกมุม ซึ่งกูทำไม่ได้แน่ๆ ไม่งั้นปลายเดือนนี้ตารางจะชนกันเต็มๆ เลยต้องรีบตอบตอนนี้ เดี๋ยวบรีฟมาแล้วปฏิเสธไม่ออก”

                    “โอ๊ย เบื่อคนงานเยอะ เงินเยอะนิ” กล้าใต้พูดแซว “แล้วมึงไม่เพิ่มอะไรบ้างหรอ เพิ่มคน เพิ่มคอมงี้”

                    “เพิ่มคนนี่ยาก กูไม่มีเวลามานั่งสอนงาน อย่างน้อยต้องเรนเดอร์ V-ray คำนวนแสงเป็น” ปั่นว่า “ส่วนคอม นี่กูเพิ่งถอย i7 มาใหม่อีกเครื่อง”

                    อาร์ตปรบมือแปะๆ “โอ้โห ไม่รวยทำไม่ได้นะครับเนี่ย”

                    “บัตรกายสิทธิ์น่ะรู้จักมั้ย ศูนย์เปอร์เซนต์สิบแปดเดือน” ปั่นยักไหล่ “เวลคั่มทูโลกของคนเป็นหนี้”

                    “เศร้าสัด” น้ำพูดขึ้นนิ่งๆ

                    “นี่ขนาดได้ i7 มึงยังทำไม่ทัน” บอยขมวดคิ้ว “ทำไมจู่ๆ งานเยอะจังวะ ไหนเดือนที่แล้วมึงยังนอนเกาไข่อยู่เลยไง”

                    ปั่นถอนหายใจ “ก็งานแม่งเพิ่งเข้าาา เนี่ย ชีวิตฟรีแลนซ์”

                    “ปิดไตรมาสล่ะมั้ง เลยขยันเปิดขายกัน บูสอัพยอดขายงี้” พีทให้ข้อสังเกต “จริงๆ ต้องถามพวกฟ้าที่อยู่ห้องแบบพวกเดเวลอปเปอร์นะ น่าจะรู้เยอะกว่า”

                    “ถึงรู้กูก็ทำอะไรไม่ด้ายยย จะไปบอกปัดบ่อยๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวงานหน้าอดแดก” ปั่นคว่ำมือถือลงกับโต๊ะแล้วร้องเพลงโอดครวญ “แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั้ยยย...” ทำเอาทุกคนหัวเราะเสียงดังลั่น
   
                    “เก่าสัด” เทพส่ายหน้าพรืด “เห็นพวกมึงเป็นงี้ กูอยู่โรงเลื่อยพ่อต่อดีกว่า” 

                    “ขอฝากเนื้อฝากตัวหน่อยครับเสี่ย” อาร์ตแกล้งยกมือไหว้ “กระผมจะพาคนจากกรมป่าไม้ไปเยี่ยมบ่อยๆ นะครับ” แหย่ซะไอ้เทพทำตาเขียวใส่ เรียกเสียงฮาได้ทั้งโต๊ะ

                    กรมป่าไม้กับโรงเลื่อย ไม่ควักปืนออกมายิงกันก็ดีแค่ไหนแล้ว

                    “เออ พูดถึงทำงานต่อ นี่กูว่าจะย้ายสาย ไม่เอาละดีไซน์ ไปสายคอนเซาท์เหมือนมึงน่าจะดีกว่าตี๋” เฟิร์สบ่นบ้าง “สายนี้ดูไม่มีอนาคตเลย บริษัทมึงรับคนมั้ย”

                    “อย่าาาาา หนีไปปปปป” ผมแกล้งพูดเสียงยานคาง

                    “นี่มึงยังไม่เห็นใต้ตาไอ้ตี๋มันเหรอ” น้ำจับคางผมให้หันไปทางเฟิร์ส “ดูดิ เหมือนรังนกนางแอ่น” มันพูดจบ พีทกับบอยก็หัวเราะก๊ากขึ้นมาพร้อมกัน
ไอ้พวกนี่แม่ง ไอ้คนหน้าตาดี พวกมึงไม่เข้าใจกูหรอก

                    “ไอ้น้ำ ไอ้เชี่ย” ผมถองศอกเข้าไปแรงๆ จนมันร้องโอ๊ย ”แต่ถ้ามึงอยากย้ายสายจริง ลองมาสมัครดูก็ได้ จะได้ลองเปลี่ยนงานบ้าง มึงอาจจะชอบมากกว่าทำดีไซน์ตรงๆ”

                    “เดี๋ยวกูส่ง CV ไปเลย” มันว่า “กูต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคร้าบ คุณมาวินทร์”

                    “สัด ไอ้ตี๋มันไม่ใช่เจ้าของบริษัทมั้ย” อาร์ตว่า

น้ำถอนหายใจ “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ละ บ้างานอย่างมันตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือซีอีโอ วันก่อนมันบอกว่าออกจากออฟฟิศตอนห้าทุ่ม”

                    เอ้า ก็งานกูไม่เสร็จ ...ผมเถียงในใจ

                    “ในโลกของดีไซน์เฟิร์มนั่นเร็วละนะ” เอ็มจากท้ายโต๊ะหันหน้ามาบอกบ้าง “นี่กูกำลังบ่นกับไอ้นัทอยู่เลยว่าวันก่อนได้ออกจากออฟฟิศตอนหกโมงเช้า ทันใส่บาตรให้ตัวเองพอดีเลยพวกมึง”

                    “เหยดดด...” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน

                    “เป็นกูออกตั้งแต่สองเดือนแรกแล้ว” เทพบอก “พวกมึงก็ทนกันได้เนอะ”

                    “ก็นานๆ ที” นัทอุบอิบ “อาทิตย์ละครั้งสองครั้งงี้”

                    ชิบหายสิ… นั่นนานเหรอครับ รู้สึกโชคดี รักงานตัวเองขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

                    “จะว่าไป นี่ก็ทำงานมากันจะสองปีแล้ว เร็วเนอะ” เฟิร์สพูด

                    “อีกแป๊บเดียวก็เปิดเทอม ต้องกลับไปว้ากใหม่ป่ะวะ” น้ำถามขึ้น

                    “ปล่อยเด็กมันบ้างเถอะ ไปเดินหล่อๆ ก็พอแล้วมั้ยพวกมึงน่ะ” เฟิร์สเบ้หน้า “จะว่าไป ธีสิสแม่งไปถึงไหนกันแล้ววะ ต้องหาเวลาเข้าไปดูละ กูนี่ทำแต่งาน ไม่ได้ตามน้องกูเลย”

                    ผมสะดุ้งโหยง... จริงด้วย ลืมไปเลย
                    ไอ้หยองน้องรัก เป็นยังไงบ้างวะเนี่ย พักนี้ไม่ได้ถามไถ่
                    วันธรรมดาก็มัวแต่ยุ่งเรื่องงาน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มีเรื่องทางบ้านให้ต้องคิด

                    เปล่า…ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกครับ ก็แค่... นับตั้งแต่งานแต่งเฮียโจนั่น เตี่ยก็ออกอาการหวงลูกชายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งมาหาแบบไม่บอกไม่กล่าว ทั้งมาลากไปกินข้าวเย็น แถมเรียกให้กลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ ถ้าวันไหนไม่กลับ วันรุ่งขึ้นก็โผล่มาที่คอนโดตั้งแต่เช้าเหมือนจะมาจับผิดกันซะอย่างนั้น

                    อ่า… ก็มีผิดให้จับบ้างแหละ

                    ก็เล่นมาอยู่ที่ห้องผมบ่อยขนาดนั้นนี่…
                    ถ้าแจ็คพอตเจอกัน… เตี่ยก็ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ทักไม่ทาย แทบจะเดินทะลุไปเลยเชียว แต่เขาก็พยายามในแบบของเขาล่ะนะ ด้วยลูกอ้อนและรอยยิ้มกว้างๆ แบบนั้น มีแต่อาม๊าแหละครับ ที่ดูจะถูกใจอยู่บ้าง หลังๆ ถึงเริ่มมีซื้อของมาฝาก ถามถึงบ้างนิดๆ หน่อยๆ

                    เก่งนัก… เรื่องทำคนอื่นใจอ่อน

                    เดี๋ยว…โยงไปถึงคนนั้นได้ยังไงวะเนี่ย
                    ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วส่ายหัวไล่ความคิด

                    เรื่อยเปื่อยเลยกู กินเบียร์แล้วนั่งฟังเพื่อนต่อดีกว่า

                    “กระดกเอากระดกเอาเชียวนะ” น้ำทักขึ้นเบาๆ “นี่มึงกลับยังไง มารับใช่มั้ย”

                    “หา?” ยังไงนะ ผมขมวดคิ้วใส่

                    “มันจะมารับใช่มั้ย”

                    “อ่า… เปล่า” ผมมองแก้วตัวเอง “วันนี้กูขับรถมา”

                    “กินเยอะเดี๋ยวได้จบที่โรงพัก” มันหรี่ตามอง “ให้อีกสองแก้วพอ”

                    ผมย่นจมูก แม่งเอ้ย สั่งเป็นพ่อเชียว

                    “แล้วนี่มึงกลับยังไง” ผมถามกลับบ้าง

                    “กูขับรถมา”

                    “งั้นมึงก็พอด้วยเลย” ผมได้ที “ให้อีกสองแก้ว”

                    “ดีล” มันว่าพลางรีบยกแก้วตัวเองขึ้นชนกับแก้วที่ผมถืออยู่ในมือเป็นการตกลง

                    ผมแอบทำหน้าแปลกใจหน่อยๆ ทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง
                    ไม่สนุกเลย ไอ้น้ำแม่ง

                    “เอ้อ นี่ พวกมึง กูมีเรื่องจะบอก” บอยพูดขึ้น “กูได้ offer ที่ Edinburgh แล้วนะ”
               
                    “เชรดดดด ฉลองดิรออะไร” เทพรีบชูแก้วขึ้น เรียกให้ทุกคนขยับเข้ามาชน “ยินดีด้วยโว้ยย มึงไปเรียนอะไรนะ”

                    “Advanced Sustainable Design การออกแบบเพื่อความยั่งยืนน่ะ”

                    “เหยดดดด”

                    “เท่ไปเลยมึง”

                    “งี้กูไปเที่ยวคือที่พักฟรีแล้วใช่ป่ะ”

                    “เอ้า ชนๆๆๆ”

                    ดีใจกับเพื่อนบอยด้วยจากใจจริง แต่สำหรับผม แค่ได้ยินคำว่าดีไซน์ก็ขนลุกแล้วครับ จะให้มานั่งออกแบบอีกนี่ยังทำใจไม่ได้ ธีสิสยังหลอกหลอนอยู่ในหัวเลย พอๆ ขอเสพผลงานคนอื่นต่อไปอีกสักพักก็แล้วกัน

                    ผมชนแก้วแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกๆ จนหมดไปสามในสี่

                    พีทวางแก้วลง ก่อนจะถาม
                    “เออ… แล้ววางแผนไว้รึยัง ว่าหลังจากนั้นมึงจะทำอะไรต่อ”

                    นั่นสินะ…
                    อนาคตเหรอ...

_ _ _ _


02.30 น.

                    แมวจิ๋ววิ่งตุบตับมาถึงตัวทันทีที่ผมเปิดประตูคอนโด เจ้าตัวแสบร้องเหมียวๆ แล้วเอาหัวถูกับขาผมสองสามทีเป็นการทักทาย พันแข้งพันขาจนพอใจก่อนจะทำตัวยืดตัวยาวแล้วสะบัดหางเดินตามผมต้อยๆ เข้าไปที่ครัว ผมคงต้องหาน้ำเปล่ากินสักขวดก่อนจะอาบน้ำนอน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ต้องปวดหัวแน่ๆ

                    ในระหว่างผมค้นตู้เย็น ก็มีคนหน้างอเดินก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องทำงาน

                    “กลับดึกครับ” มองสำรวจหน้าตาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมทำจมูกฟุดฟิด “หน้าแบบนี้ กินเบียร์ไปเยอะแน่ๆ” 

                    “นี่ก็นอนดึก” ผมปิดตู้เย็นแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “อ่านหนังสือถึงไหนแล้วเนี่ย”

                    “อ่า…” หวานยกมือเกาแก้ม ก้มหน้าลงไปมองพื้นแล้วตอบอ้อมแอ้ม “กำลังทำ study model เพิ่มอีกสองตัวน่ะครับ”

                    “คุณณณณ!!” ผมหันขวับไปโวยเสียงยานคาง “อ่านหนังสือออ นี่จะสอบข้อเขียนอยู่อาทิตย์นี้! ฮิสทรี่นี่วันจันทร์แล้วนะ ยังไม่เห็นจะอ่านเลย ไฟนอลโปรเจ็คดีไซน์อีกตั้งสองอาทิตย์ จะมาทำโมเดลอะไรตอนนี้เล่า”

                    “ก็มันคิดออกพอดีนี่ครับ” หวานแก้ตัวเสียงอ่อย “เลยลุกมาสเก็ตไว้ ไปๆ มาๆ มองไม่ค่อยเห็นภาพเลยลองตัดโมดูดีกว่า”

                    ผมคว้าขวดน้ำขึ้นดื่มแล้วถอนหายใจพรืด “เนี่ย ถ้าได้เกรดแย่ๆ มานี่ไม่ต้องมาบ่นเลยนะ ไม่รู้ว่าอะไรควรให้ความสำคัญก่อนหลังเนี่ย”

                    “ใครบอกล่ะ ก็ที่สำคัญอันดับหนึ่งของผมก็อยู่ตรงหน้านี่ไง” 

                    ผมสำลักน้ำ “ห้ะ!?”

                    “ก็คุณไง!” ตอบเสียเสียงดัง “เนี่ย ตัวแดง เมามาด้วย ต้องทิ้งงานมาดูแลเลยนะ” หวานพูดหน้าตายแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ดื่มน้ำไปเลยครับ เยอะๆ เลย”

                    “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ไหนบอกจะอ่านหนังสือให้จบไง”

                    “ก็คุณไม่อยู่ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเนี่ย” 

                    “ไม่เกี่ยวกันเลย”

                    “ก็ว้าวุ่นอ่ะ ไม่มีสมาธิ” 

                    “เพ้อเจ้อ” ผมว่า
   
                    “เรื่องจริงเถอะ กลับก็ดึก เบียร์ก็กิน ไปเมาเรี่ยราดกับใครรึเปล่าก็ไม่รู้” 

                    “เอ๊ะ คุณนี่” ชักจะมีน้ำโห

                    “ก็เป็นห่วงอ่ะ” หวานพูดออกมาตรงๆ “จริงๆ แล้วอยากไปนั่งเฝ้าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เอาดีกว่าอยากให้คุณมีเวลาเป็นของตัวเอง ไม่อยากเกาะติดเพราะรู้ว่าคุณดูแลตัวเองได้ แต่ก็เป็นห่วงงงงงงงน่ะ” คนตัวสูงลากเสียง เดินมาประชิดตัวแล้วยกมือขึ้นมาจับแก้มผมเอาไว้ทั้งสองฝั่ง

                    “ห่วงไม่เข้าเรื่อง” ผมอุบอิบ

                    “นี่… นอกจากขี้ห่วงน่ะ ผมขี้หวงด้วยนะ” ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าเข้ามาจูบเร็วๆ ที่ริมฝีปากทีหนึ่ง
 
                    ผมย่นจมูก หรี่ตามองอย่างเอาเรื่อง “เนียนนะเราน่ะ”

                    หวานหัวเราะ “คนเมาไปอาบน้ำได้แล้วครับ”

                    ชิ… ทำมาเปลี่ยนเรื่องแล้วรุนหลังคนอื่นไล่ไปอาบน้ำนะเจ้าตัวแสบ นี่มันดึกแล้วหรอกนะเลยยอมให้

                    ผมมองหน้าคนตัวสูงแล้วชี้นิ้วใส่ “อย่าให้เห็นว่าออกมาแล้วยังนั่งตัดโมเดลอยู่นะ”

_ _ _ _


                    ก็นึกว่าจะยิ้มรับคำสั่งไปอย่างนั้นเอง แต่พอเปิดประตูมาก็เจอร่างสูงนอนห่มผ้าหันหลังให้อยู่บนเตียง ไฟห้องปิดเรียบร้อย สงสัยผมจะใช้เวลาอาบน้ำนานไปหน่อย แถมพักนี้เจ้าเด็กปีหนึ่งก็ใกล้จะไฟนอล นอนดึกติดกันมาเป็นอาทิตย์แล้วมั้ง

                    อ้อ ช่วงที่ผ่านมาคุณแม่ของเขาหาห้องให้ได้แล้วนะครับ ในคอนโดเดียวกับผมนี่แหละ แถมเป็นห้องแบบเดียวกันเป๊ะ ต่างกันที่ว่าอยู่คนละชั้น คนละมุมเท่านั้นเอง เห็นคุณแม่เขาว่าสะดวกดี ใกล้ที่เรียน ใกล้รถไฟฟ้า จะได้ไม่ต้องขับรถกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ

                    นี่คุณเขาไปไซโคอะไรแม่มาหรือเปล่าวะ…

                    ถึงจะมีจุดประสงค์เอาไว้ให้เป็นที่พัก แต่ตอนนี้ห้องที่ว่ากลายร่างเป็นห้องเก็บของไปเรียบร้อยแล้ว ก็เล่นมาขลุกตัวอยู่ห้องผมตลอด ที่เห็นจะกลับห้องตัวเองก็เวลามีเพื่อนมาทำงานกลุ่ม ซักผ้า หรือเวลาที่เตี่ยผมโผล่มาหาเท่านั้น

                    นี่คีย์การ์ดยังเก็บไว้ที่ห้องผมเลย คิดดู!
                    ปล่อยเช่าเลยมั้ยจะได้มี passive income แล้วเอาเงินไปทำอย่างอื่น

                    ผมสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มเงียบๆ

                    เอ… ป่านนี้ไอ้พวกเดอะแก๊งค์จะถึงบ้านกันหมดรึยัง ก่อนแยกกันตกลงว่ายังไงนะ… ไอ้พีทไปส่งอาร์ตกับปั่น ส่วนไอ้น้ำน่าจะไปส่งเทพกับนัท ส่วนบอยก็น่าจะต้องเก็บที่เหลือไปเหมือนเคย คงไม่มีใครเจอด่านใช่มั้ยวะ ลองเช็คดูเพื่อความแน่ใจหน่อยดีกว่า ผมคิดแล้วก็จะเอื้อมมือไปหาโทรศัพท์ข้างเตียง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร จู่ๆ คนข้างๆ ก็พลิกตัวพรึ่บ รวบผมเอาไว้ในอ้อมแขน

                    “เชี่ย!” ผมสะดุ้ง

                    “จะทำอะไรฮึ” หวานรัดเอวผมแน่นขึ้นอย่างจงใจ “ไหนห้ามผมตัดโมเดลต่อ แล้วนี่คุณจะทำงานเหรอ”

                    “บ้าเรอะ นี่มันกี่โมงกี่ยาม” ผมโวย “จะดูเฉยๆ ว่าพวกมันถึงบ้านกันหรือยัง”

                    “หลับกันไปหมดแล้วมั้งครับป่านนี้ พี่พีทโทรมารายงานตอนคุณอาบน้ำอยู่น่ะ” คนที่นอนซ้อนหลังอยู่ตอบคำถามให้เหมือนรู้ว่าผมกำลังขมวดคิ้ว “เนี่ย เขาฟ้องด้วยนะว่ากินเบียร์ไปตั้งเยอะ”

                    “อื้อ ที่ไหนเล่า” ผมเถียง “กินกันสามคนยังไม่ถึงทาวน์เลย”

                    “ตัวแดงขนาดนี้ยังจะเถียงอีก” หวานหัวเราะ “โอ๊ะ... หรือตัวแดงเพราะเขิน แต่นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

                    “เดี๋ยวจะโดน” ผมดิ้นขลุกขลัก “ปล่อยยยย”

                    “ไม่เอา ไม่ได้กอดแล้วนอนไม่หลับ”

                    “เหอะ เชื่อตาย” ผมเบ้หน้า “แล้วก่อนหน้านี้อยู่มาได้ยังไง กอดใครมาล่ะ”

                    คนที่นอนอยู่ขยับตัว “เอ๊ะ นี่หึงรึเปล่าครับ ดีใจได้มั้ยอ้ะ”

                    ใครจะไปหึง หึงทำไม ไม่เห็นต้องหึงเลย
                    ผมแค่คิดในใจ แต่บังเอิญมีเสียงฮึหลุดออกมาจากลำคอ

                    “โอ๋ จะไปกอดใครละครับ มีให้กอดอยู่คนเดียว ติดนอนกอดคุณจนเคยชินไปแล้วเนี่ย”

                    “โคตรเว่อร์”

                    “ก็ผมชินกับการชาร์จแบตแบบนี้ไปแล้วนี่” เขาพูด “จริงๆ แล้วไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ แค่ได้คิดถึงคุณก็มีความสุขแล้วเนี่ย”

                    “ปากดี คบกันยังไม่พ้นโปรด้วยซ้ำ” ผมพูดเสียงเบา “อนาคตจะเป็นยังไงยังไม่รู้เลย”

                    “แน่ะ” หวานทำเสียงดุ “คิดอะไรอยู่ครับ”

                    “ก็แค่… คิดไปเรื่อย…” 

                    “ไม่รู้แหละ ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนใจแล้ว เป็นแฟนผมน่ะต้องรับผิดชอบตลอดชีวิตนะครับ” หวานจงใจพูดอ้อนแล้วจงใจดึงตัวไปชิด ให้ผมได้รับสัมผัสอุ่นๆ จากอ้อมกอดได้มากกว่าเดิม 
                    “ผมชินกับการต้องมีคุณอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปแล้วนะวิน”

                    “อือ…” ผมซุกหน้าลงกับหมอน
                    เรียกกันแบบนี้ขี้โกงเป็นบ้า

                    “อืม จะว่าไป” ร่างสูงอืออากับตัวเองพลางเกลี่ยจมูกไปกับไหล่ของผม “รวมๆ ผมว่าคงเป็นชินกับการรักคุณไปแล้ว” หวานกดจูบลงที่หลังคอ
                    “นี่ผมคิดชีวิตที่ไม่มีคุณไม่ออกแล้วเนี่ย”

                    อา… หัวใจของผมมันเต้นแรงเกินไปเพราะคำพูดตรงๆ ของอีกคนจนน่าอาย ไม่เคยจะชินได้เลยสักที อยากเอาหมอนขึ้นมาปาอัดคนหน้าคนเด็กกว่าซะจริง

                    “แน่ะ ไม่เขินดิ” 

                    “ไม่ได้เขิน!”

                    “รู้นะว่ายิ้มอยู่” อีกคนรั้งเอวผมให้นอนหงายแล้วยันตัวขึ้นมามองตาในความมืด “เหมือนจะหน้าแดงอยู่เลยนะครับ”

                    ไม่ต้องมาจ้องกันแบบนี้ได้มั้ยเล่า… ขอหาข้ออ้างก่อนนะ

                    “ผมเมา”

                    หวานหัวเราะหึ “เมามากมั้ย” ร่างสูงกดจมูกลงกับแก้มแล้วแกล้งถาม “เมาแบบถ้าทำอะไรไปตื่นมาจะจำไม่ได้เลยรึเปล่าครับ”

                    ผมค้อนเขาขวับ
                    เจ้าเด็กแสบนี่…

                    “ไม่ตอบแปลว่าทำได้นะ” หวานยิ้มกริ่ม

                    “ไม่รู้... อื้ออ” ผมย่นคอหนีเมื่ออีกคนจูบลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว หวานเลยยกมือประคองแก้มแล้วไล่เบียดบนริมฝีปาก สัมผัสนุ่มนวลแต่ก็แอบร้อนแรงจนทำให้ต้องยกมือขยุ้มเสื้อนอนของอีกคนเอาไว้แล้วเบี่ยงหน้าออกมาหอบหายใจ

                    “เรื่องนี้คุณก็ต้องชินได้แล้วนะครับ” หวานกระซิบ “ซ้อมอีกทีมั้ย” 

                    หน้าแดงจนไม่กล้าจะมองหน้าคนถาม เลยจ้องเอาจ้องเอากับมือตัวเองที่ยังกำเสื้อเขาไว้แน่น
                    “เอ่อ… ก็... ” ผมพึมพำ “ย... ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ… คือ... ยังไงผมก็ต้องรับผิดชอบคุณไปตลอดชีวิตอยู่แล้วไม่ใช่รึไงเล่า...”

                    “เนี่ย แล้วผมจะไปไหนรอดเนี่ยคุณ” หวานหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงกดจูบลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้งและอีกครั้ง

….

                    เรื่องจะรับผิดชอบน่ะ… ผมพูดเรื่องจริงนะ

                    รู้มั้ยครับเมื่อกี้ในวงเหล้า หัวข้อที่พวกเราคุยกันหลังจากฟังแผนของบอยจบคือเรื่องของอนาคต ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ใช่ครับ พวกมันก็คุยเรื่องที่ดูเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ได้เวลาเมา
                    เรากล้าพูดสิ่งที่คิด แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งความคิด ความเป็นไปได้ เป้าหมายและความฝันที่พวกเรามีและอยากเป็น

                    ผมอาจจะเดินทางสายนี้ต่อไป เก็บเงินสักก้อน ก่อนจะเปิดบริษัทคอนเซาท์เล็กๆ เป็นของตัวเอง

                    ผมอาจจะกลายไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสักที่ ยืนหน้านิ่งตรวจงานร้อนที่เด็กเพิ่งเผามาส่งเหมือนที่ตัวเองเคยทำ

                    ผมอาจจะโดนซื้อตัวไปอยู่บริษัทดีเวลอปเปอร์ เพื่อทำงานหามรุ่งหามค่ำกว่าที่เคย

                    ผมอาจจะเปิดโรงเรียนสอนวาดรูป ติวความถนัดทางสถาปัตย์ให้เด็กม.ปลาย ทำความเข้าใจระบบสอบเข้างงๆ แล้วเขียนคู่มือสอบเข้าออกมาสักเล่ม

                    ผมอาจจะเปลี่ยนสาย กลับไปทำงานออกแบบเต็มตัว ใช้ชีวิตนอนตีสี่ตื่นเก้าโมงเช้า สุขภาพทรุดโทรมแบบสุดๆ

                    ผมอาจจะโดนเตี่ยยื่นคำขาดให้กลับมาช่วยที่โรงงาน นั่งงมกับตัวเลข ทำบัญชีเล่มโตๆ

                    ผมอาจจะลาออกไปเที่ยวไกลๆ สักสองสามเดือน แล้วกันมารับจ็อบออกแบบเล็กๆ ทีละงานสองงานเป็นค่าขนมให้พออยู่ได้

                    อ้อ... ยังมีแผนสำรองชิคๆ เช่นการหุ้นกับไอ้พีทเปิดร้านกาแฟด้วยนะครับ

                    อนาคตของผมจะเป็นยังไงก็ไม่รู้หรอกครับ ทุกอย่างเป็นไปได้ และทุกอย่างไม่แน่นอน
                    แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ผมก็คิดว่าจะเว้นที่ว่างข้างๆ ไว้ให้ใครบางคนเดินไปด้วยกัน

                    ถ้าเขายังจะอยากเดินไปกับผมน่ะนะ..
                    เพราะผมก็คิดชีวิตที่ไม่มีเขาไม่ออกเหมือนกันนี่ครับ...

_ _ _ _

(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2018 23:06:52 โดย idee »

ออฟไลน์ idee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 79
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
_ _ _ _


5 ปีต่อมา


                    “เหนื่อยมั้ยลูก” ม๊ายกผ้าเช็ดหน้าซับหน้าผากให้ผมที่หอบดอกไม้ไว้เต็มอ้อมแขน “เหงื่อแตกเป็นเด็กๆ เชียวนะ”

                    “ก็ร้อนน ต้องใส่สูทนี่” ผมลากเสียง

                    “ดอกไม้เยอะแยะเชียว เอามาใส่นี่ซิ” พูดพลางเลือกหยิบช่อดอกไม้ในมือผมออกแล้วทยอยใส่ตะกร้ารถเข็นที่มีตุ๊กตาอยู่จำนวนหนึ่ง “นี่เจ้าอาร์ตไปซื้อน้ำถึงไหนเนี่ย” ม้าบ่นถึงหนึ่งในผู้ช่วยจำเป็นของผมที่อาสาไปซุ้มขายน้ำใกล้ๆ เมื่อเกือบสิบนาทีที่แล้ว

                    “วันนี้คนคงเยอะแหละครับ” ร่างสูงที่ยืนจับรถเข็นตอบขึ้นมาแทน “น่าจะช้าหน่อย เดี๋ยวผมไปตามดีมั้ย”
 
                    ผมตาวาว “ถ้าไปกูฝากซื้อโค้กอีกป๋องนึงสิ” 

                    “ไม่ได้ วันนี้กินไปกระป๋องนึงแล้ว ม๊ารู้นะ” แม่ผมแทรกขึ้น ทำเอาคนที่กำลังจะพยักหน้าตอบชะงักกึก

                    ผมทำหน้าเบ้ ค่อนขอดอยู่ในใจ
                    โอ๊ย ใครมันไปรายงานทุกเรื่องกัน!

                    “น้ำไม่ต้องไปหรอกลูก อยู่กับแม่กับวินนี่แหละ เดินไปเดินมาร้อนเปล่าๆ”

                    “เนี่ย โอ๋ตลอด” ผมบ่น   

                    “อย่างอแง นี่เขามีน้ำใจมาช่วยเรานะวันนี้ ทั้งถ่ายรูปทั้งถือของ เอ้า ตาพีทเดินมาโน่นแล้ว” ม้าพูดก่อนจะหันไปยิ้มรับ “สต๊าฟว่าไงบ้างลูก” 

                    “ตารางจบหมดแล้วครับ ถ่ายรูปเล่นได้เลย” พีทพูดพลางก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาหา “ม๊าไปนั่งรอเตี่ยใต้คณะเถอะครับ เดี๋ยวพวกผมพาไป ไอ้น้ำจะได้เอาของไปวางด้วย ...ตี๋ มึงอยู่ตรงนี้ก่อนนะ ไม่ต้องเดินไปเดินมา เดี๋ยวมึงหลงแล้วไอ้อาร์ตหาไม่เจออีก เห็นมันโทรมาว่าจะพาพวกไอ้เต้กับคนอื่นๆมาด้วย แล้วอย่าซีซั้วไปไหนกับคนแปลกหน้าล่ะ แป๊บเดียว เดี๋ยวกูมา” มันพูดเร็วปรื๋อก่อนจะทิ้งผมไว้หน้าคณะอย่างที่ว่า

                    เหมือนเดิมเป๊ะ…
                    ผมย่นจมูก เห็นเป็นเด็กอนุบาลหมีน้อยอีกแล้ว
                    ลืมไปรึเปล่าว่าพวกกูกับมึงเนี่ย ยี่สิบแปดขวบแล้วนะโว้ย!
                    ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดจริงๆ

                    แต่… จะว่าไป… พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว
                    มันก็มีที่เปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน…
                    อย่างเช่น...

                    หลังจบโปรเจ็คของ AA จากอินทีเรียโคออดิเนเตอร์ตัวเล็กๆ พีทก็กลายมาเป็นดีไซเนอร์ในบริษัทเดิมที่ตอนนี้ดังเป็นพลุแตก ช่วงที่ผ่านมาเลยขยายสโคปรับออกแบบครบวงจร แถมยังมีโปรเจ็คต่างประเทศแถวๆ CMLV ต่อคิวจองตัวไว้ยาวเป็นหางว่าว เล่นเอาช่วงหลังนี้ไอ้พีทต้องบินไปคุยงานเป็นว่าเล่น

                    น้ำลาออกจากบริษัทแล้วมาเปิดสตูดิโอเล็กๆ ร่วมกันกับเฟิร์ส รับงานออกแบบบ้านเป็นหลัก ช่วงแรกๆ ก็ดูจะลำบากอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากทำงานไปปีกว่าๆ ผลงานก็เริ่มเข้าตาพวกนิตยสารออกแบบตกแต่งบ้าน ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ช่วงนี้ก็งานล้นมือจนผมก็ยังแอบไปรับจ๊อบอยู่บ่อยๆ

                    ส่วนอาร์ตน่ะเหรอครับ ลาขาดกับการเดินไซต์หน้าเมือกรอให้คอนเซาท์กับ CM มาเชือดเอาแล้วล่ะ จำที่ผมบอกเรื่องบริษัทพีทรับงานครบวงจรได้ไหมครับ หนึ่งใน Business Unit ใหม่นั้นก็เป็นสตูดิโอออกแบบสถาปัตย์ที่คุณอาทิตย์ของพวกเราเป็นหนึ่งในอาร์คิเตคอยู่นั่นแหละ ก็เห็นพี่เจ้าของเขาถูกใจฝีมือตั้งแต่โปรเจ็คของ AA โน่นทีเดียว
                    ใหญ่โตกันใหญ่เชียว
                    แหม… ก็ห้าปีเชียวนะ พวกเราต้องมีความก้าวหน้ากันบ้างแหละ…

                    สำหรับผม… เรื่องใหญ่ที่สุดก็คงเป็นวันนี้
                    ครับ...วันนี้เป็นวันรับปริญญาใบที่สองของชีวิตผม

                    เมื่อราวสองปีก่อน ผมลาออกจากการเป็นนักวิเคราะห์ที่ดินของบริษัทที่อยู่มาเกือบสี่ปีเพื่อมาเรียนปริญญาโทแบบเต็มเวลา จริงๆ จะทำงานต่อไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ช่วงนั้นรู้สึกหมดไฟยังไงไม่รู้ บวกกับผมก็อยากหาความรู้ให้มากกว่านี้ พอเหมาะกับเปิดมาเจอหลักสูตรใหม่ของคณะเรื่องการจัดการที่ดินกับอสังหาริมทรัพย์เข้าพอดี ก็ถือเป็นจังหวะที่จะได้ออกมาเป็นนักเรียนอีกรอบ

                    แต่ขอบอกเลยครับว่า กว่าจะมายืนในชุดครุยแบบนี้ได้... แทบตาย

                    ไม่นึกว่าจะต้องกลับมาผจญลูปนรกของการทำธีสิสเร็วขนาดนี้ นอนตีหนึ่งแล้วสะดุ้งมาปั่นเปเปอร์ตอนตีสี่ ภาพกองหนังสืออ้างอิงเป็นตั้งๆ คงตามหลอกหลอนผมไปอีกนาน ไหนจะคอนเฟอเรนซ์นอกมหาวิทยาลัย ไหนจะรูปเล่มที่ต้องตบตีกับฟอร์แมตและเทมเพลทการจัดหน้ากระดาษจนจะเป็นบ้า นี่ยังไม่นับกับการที่ต้องลงเรียนไฟแนนซ์แบบเต็มๆ อีกสองตัวจนเลือดจะไหลออกจมูกอีก

                    ไม่เว่อร์ครับเอาจริงๆ รู้สึกอาการร่อแร่เหมือนจะตาย ยังดีที่รอดมาได้แบบสมองไม่พังไปมากกว่านี้

                    หลังดีเฟนด์แล้วรู้ผลว่าจบนี่ดีใจน้ำตาจะไหล แต่ก็ยังน้อยกว่าจบป.ตรีนิดนึง
                    ก็ไม่มีอะไรหนักเท่าตอนนั้นอีกแล้วล่ะครับ ไม่เชื่อก็ลองถามบัณฑิตหมาดๆ แถวนี้ดู

                    ครับ...วันนี้ก็เป็นวันรับปริญญาของเขาเหมือนกัน
                    เจ้าเด็กที่มีไฝใต้ตาคนนั้นน่ะ
                    เขาเรียนจบแล้วนะครับ

                    ผมมองคนที่กำลังยืนถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อนบัณฑิตอยู่กลางสนาม โดยมีครอบครัวเขายืนอยู่ใกล้ๆ หวานยังตัวสูงกว่าผมเหมือนเดิม ยังดูดีจนน่าอิจฉาเหมือนเดิม แต่ก็ไม่เหมือนตอนปีหนึ่งแล้วล่ะ โครงหน้าเขาเข้มขึ้นอย่างบอกไม่ถูก เบบี้แฟตตรงแก้มที่เคยมีหายไป ทำให้จมูกโด่งและสันกรามเด่นชัดขึ้นไปอีก นี่ยังไม่นับไหล่กว้างๆ กับตัวที่หนาขึ้นจม แต่ที่ยังเหมือนเดิมคือยิ้มกว้างๆ กับไฝใต้ตาอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวนั่นแหละ

                    ห้าปีแล้วสินะ...

                    ในระหว่างที่กำลังคิดทบทวนเรื่องอะไรเพลินๆ อยู่ในหัว เตี่ยที่เดินมาจากที่ไหนสักที่ก็ยื่นดอกไม้ช่อใหญ่มาให้ตรงหน้า “เอ้า”

                    “หือ?” ผมเผลอขมวดคิ้ว มองดอกไม้ตรงหน้าก่อนจะถามขึ้นงงๆ “อ้าว ม้าให้มาแล้วไง”

                    เตี่ยทำเป็นไม่มองหน้า “ไม่ใช่ของลื้อ… ของไอ้เด็กนั่น”

                    ได้ยินแบบนั้นก็ต้องยิ้มกว้าง “เตี่ยไม่เอาไปให้เองล่ะ อยู่โน่นแน่ะ” ผมพยักเพยิดไปทางกลางสนามที่กลุ่มบัณฑิตใหม่กำลังถ่ายรูปเล่นกันอยู่

                    “ไม่เอา ขี้เกียจเดิน”

                    “เตี่ยยย” ผมลากเสียง
   
                    “ให้มันมาเอาเอง เรื่องไรอั๊วต้องเดินไป สนามก็แฉะ โว้ะ อั๊วเมื่อยละ นี่ม๊าเอ็งไปไหนเนี่ย” พอเห็นว่าผมยืนยันไม่ยอมรับฝาก เตี่ยก็เริ่มเฉไฉไปเรื่องอื่น

                    “อยู่ในคณะกับพวกไอ้น้ำอ่ะ”

                    “เออ” เตี่ยพยักหน้าหงึกหงัก “บอกมันว่าอั๊วจะอยู่ตรงนั้นอีกสิบห้านาที ไม่เอาก็ไม่ต้องเอา เรื่องเยอะ” ว่าจบแล้วก็เดินไวๆ เข้าประตูคณะไป

                    ผมยิ้ม

                    สำหรับผม ระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมามันนานมากเลยนะ ผมไม่เคยคบใครได้นานขนาดนี้เลยจริงๆ ยอมรับว่าเผื่อใจเอาไว้เหมือนกัน เขาโตขึ้น ผมก็โตขึ้น มุมมองของเราก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน เรามีทั้งช่วงเรียนรู้กัน ช่วงที่ไม่เข้าใจกัน ช่วงที่โตไปด้วยกัน

                    ที่สำคัญคือผมกับเขาก็ยังคิดตรงกัน ว่าการที่เราจับมือกันอยู่แบบนี้มันดีที่สุด

...

                    แชะ!

                    ยืนจนขาแข็งไปหมดแล้วครับเนี่ย หลังจากส่งที่บ้านกลับไปพัก ทั้งบ่ายนี่ก็มีคนแวะเวียนมาหาเต็มไปหมด ไหนจะเพื่อนโรงเรียน ที่ทำงาน เพื่อนถาปัตย์ รุ่นพี่รุ่นน้อง กว่าจะถ่ายรูปจนครบก็รู้สึกเหนื่อยกว่าเมื่อห้าปีที่แล้วเยอะเลย

                    แต่ก็จะมีอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ถ่ายได้ถ่ายดี ไม่ไล่ไม่เลิก

                    ยกตัวอย่างเช่นพีทกับน้ำที่กำลังเห่อกล้องเห่อเลนส์ระดับสิบ ขนกันมาหมดทั้งมิเรอร์เลสทั้งอนาล็อก นอกจากจะเป็นช่วงเวลาได้ขิงใส่กันแล้วพวกมันยังฉวยโอกาสใช้ผมเป็นแบบทดสอบฝีมือถ่ายรูปตอนแสงใกล้หมดอีกต่างหาก

                    “ไอ้ตี๋ครับ ยิ้มหน่อยครับ!"

                    “เอ้า บอกให้ยิ้มก็ยิ้มดิมึง ทำหน้าดีๆ”

                    “กูเมื่อยยยยยย” ผมลากเสียง “เอางี้มั้ย พวกมึงผลัดกันถ่ายเองดีกว่า เดี๋ยวกูจัดการเรื่องพิมพ์โฟโต้บุคให้ น่าจะไปได้ดี ไม่เหนื่อยคนอื่นด้วย”

                    “เหยด มุมนี้ดี มีแสงทองริมไล้ที่ปลายผม”

                    พวกมันไม่สนใจผมสักนิด

                    “มึง กูหิวข้าวแล้ววว” ไอ้อาร์ตที่จิตใจจดจ่ออยู่กับชาบูที่ผมสัญญาว่าจะเลี้ยงเป็นการตอบแทนหลังจบวันพูดขึ้นบ้าง

                    “เอ๊ะ อย่าเร่งสิวะ นานๆ จะมีแบบมาให้ลองถ่าย” พีทโวยวายแล้วหันไปพูดกับคนข้างตัว “ไหนมึง ใช้สปีดเท่าไหร่เนี่ย มาดูหน่อย”

                    “นี่” น้ำยื่นกล้องให้ ก่อนจะค้นของในเป้ตัวเอง “เออ แป๊บนะ กูเพิ่งถอยเลนส์ฟิกมาใหม่ว่ะ”
                    “ถ่าย portrait แจ่มมาก มึงลอง”

                    “เหยดด พี่น้ำคนรวยย” พีทรับเลนส์ใหม่มาแล้วถอดเปลี่ยนอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักก็ยกกล้องขึ้นมาส่องดู

                    “ไหน บัณฑิตเขยิบเข้าไปหน่อย!”

                    แชะ!

                    แชะ!


                    นอกจากสองคนนี้ ก็ดูเหมือนจะมีอีกคนที่ดูจะสนุกกับการถ่ายรูป

                    “มันต้องติดขนาดนี้เลยมั้ยเล่า” ผมบ่นอุบอิบ “ถอยไปเลย”

                    “ก็ตากล้องบอกให้ชิดกัน ก็ต้องชิดสิครับ”

                    “ตากล้องแม่งกากไง ไม่รู้จักซื้อเลนส์ไวลด์” ผมโวย ทำเอาคนข้างตัวหัวเราะพรืด “ไอ้พีท มึงกวนตีนกูอ้ะ จะให้ชิดไปถึงไหน เอาถึงหน้ามึงเลยมั้ย!!” ผมพูดเสียงดัง

                    “จุ๊ๆ ไม่โวยวายสิครับ” พีทหัวเราะ “เดี๋ยวรูปไม่สวยนะมึง”

                    “เลนส์ฟิกซูมไม่ได้ไงไอ้ตี๋ มึงก็รู้” น้ำพูดยิ้มๆ   

                    “แม่ง…” ผมทำหน้ามุ่ย หันไปลงกับคนข้างตัวแทน “แล้วดอกไม้เนี่ย เห่อจัง วางได้แล้ว”

                    “ของเตี่ยเลยนะครับ” เจ้าตัวยิ้มกว้าง “ของรับขวัญลูกชายไง”

                    “อะไรคุณ เตี่ยผมมีลูกคนเดียว”

                    หวานกระตุกยิ้ม ก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหู “ต้องให้ทวนความจำกันคืนนี้มั้ยครับว่าผมเป็นอะไร”

                    หน้าร้อนวาบจนต้องผละออกมากจ้องใบหน้าอีกฝ่าย ไม่มีแล้วครับลูกแกะ นี่มันหมาป่าชัดๆ

                    แอบทุบหลังอีกคนไปทีหนึ่ง ก่อนจะโดนคว้ามือเอาไว้ “แน่ะ ผมคิดบัญชีนะ”

                    “ปล่อยเลย” ผมว่า

                    “ไม่”

                    “แน่ะๆๆ ไม่แอบจับมือกันนะครับ”

                    ไอ้อาร์ตมึง… เดี๋ยวเหอะ ผมกัดฟัน

                    คนข้างตัวหัวเราะหึ “มือชั้นนี้แล้ว ไม่แอบแล้วครับ” หวานไม่พูดเปล่าแถมยกมือที่กุมอยู่ขึ้นมาประสานนิ้วโชว์ ทำเอาผมต้องถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง

                    ไอ้เจ้านี่หนิ!   

                    “โว้วว” อาร์ตผิวปากแซว “คนจริง”

                    “ถึงจะไม่มีใครแล้ว แต่จะหวานอะไรก็เกรงใจพวกกูบ้างเนอะ” พีทกดถ่ายรูปแล้วหัวเราะเสียงดัง

                    “ทำไงได้ ไอ้ตี๋แม่ง...” น้ำส่ายหน้าเบาๆ “อีกคนก็เปรี้ยวตีน”

                    ผมส่งสายตาเข่นเขี้ยวให้ทุกคนอย่างพาลๆ “พอ! ไม่ถ่ายแล้ว!!! เมื่อยหน้าเมื่อยขาชิบหาย เก็บของแล้วขึ้นรถแล้วไปกินข้าวซะที กูหิวข้าวแล้วเนี่ย ชาบูจะแดกมั้ย ไปๆๆ”

                    “แน่ะ กลบเกลื่อนเก่ง” น้ำพูดล้อๆ

                    “เอออ เกลื่อนหน้ามึงเลยยย ก็พวกมึงชักช้า กูไปตรงโน้นก่อนดีกว่า พวกมึงตามไปนะ” ผมสรุปเร็วปรื๋อแล้วดึงให้อีกคนเดินตามมาไวๆ

                    “แหม่ ใจร้อนนนนน” อาร์ตว่าขำๆ 

                    เสียงหัวเราะเฮฮาของเพื่อนผมที่ถูกทิ้งให้เก็บอุปกรณ์แว่วมาให้ได้ยินในขณะที่ผมกำลังก้าวเท้ายาวๆ กลับออกมาจากสนาม ผ่านโถงทางเดินในคณะ

                    “เนี่ย... พวกแม่งขี้แซว” ผมอุบอิบ


                    “ก็คุณขี้เขิน” คนตัวสูงพูดยิ้มๆ “เป็นคนจับมือผมเดินมาแท้ๆ มาทำหน้าแดงซะเองเนี่ย”


                    ผมเหลือบตามองมือที่ยังประสานกันอยู่กับคนข้างตัว “อยากให้ปล่อยมั้ยล่ะ” ผมย้อน


                    “ไม่อยากครับ” หวานรีบพูด “ทั้งมือทั้งคุณนั่นแหละ”


                    “ให้มันจริง” ผมทำเสียงฮึในคอ “ทิ้งผมขึ้นมานะ ผมจะฟ้องเรียกค่าเสียหายให้หมดตัวเลย”   


                    “หืม… เอาอะไรอีกครับ ผมให้วินไปหมดทุกอย่างแล้วนะ”


                    บอกกี่ครั้งแล้วว่าเรียกกันแบบนี้มันขี้โกงชัดๆ
                    “จับไปให้ตลอดก็แล้วกัน...”


                    “ถ้าเป็นคุณน่ะ… ยังไงก็ไม่ยอมปล่อยไปหรอกนะครับ” ร่างสูงเกลี่ยนิ้วสัมผัสที่หลังมือ “พรุ่งนี้ผมก็ยังอยากอยู่กับคุณ… รักคุณไปแบบนี้ทุกวันเหมือนที่เคยบอกนั่นแหละ”


                    “รู้แล้ว” ผมหน้าแดง งึมงำก่อนจะกระชับมือให้แน่นขึ้นอีก “ก็… เหมือนกัน...”


                    “นี่… พูดอีกทีสิครับ”

                    “ไม่พูดแล้ว”


                    “อ้าว”


                    "ไปกันได้แล้วน่ะคุณ ผมหิวข้าวแล้ว"


                    "โธ่คุณณณ..." คนเด็กกว่าร้องเสียงยืดยาว "อย่างนี้ก็ได้เหรอครับ"


                    ผมอมยิ้มพร้อมกับดึงมือให้คนสูงกว่าเข้ามาชิด ก่อนจะเขย่งตัวเข้าไปพูดข้างหูอีกฝ่าย
                    "ผมบอกว่า... เหมือนกัน" 


                    รอยยิ้มของเขาดูจะกว้างกว่าที่เคย


                    สำหรับผม… อนาคตก็ยังเป็นสิ่งไม่แน่นอนอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ว่าจะอีกสิบปีข้างหน้า อีกสิบห้าปีข้างหน้า หรือแม้แต่พรุ่งนี้ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผมเชื่อว่า ถ้าความรู้สึกของผมกับเขายังชัดเจนอยู่แบบนี้ เราก็ยังจะจับมือกันต่อไป เป็นหุ้นส่วนแบบถาวรของกันและกันในทุกวันไปเรื่อยๆ… ก็ผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มค่านี่ครับ...
จากการวิเคราะห์ความเสี่ยง... ผมว่า... พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดี


End


--------------------------




ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ค่ะ
ใจหายเหมือนกันเนอะ อยู่กันมานานมากจริงๆ

ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ขอบคุณทุกคลิกที่เปิดเข้ามาอ่านเรื่องราวของตี๋วินลู๊กกับเจ้าหวานนะคะ นี่เป็นนิยายเรื่องแรกของเรา เราตั้งใจมากจริงๆ พยายามมาให้ไวให้เร็วแต่บางทีก็ทำไม่ด้ายยย 5555 ดีใจทุกครั้งที่มีคนบอกว่าชอบ เรากับคุณเบต้าหน้าบาน ใจฟูๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นจริงๆ

ถ้าอ่านแล้วอมยิ้ม เราจะดีใจม๊ากมาก เพราะเราก็อ่านฟีดแบ็กด้วยอาการเดียวกัน

ต่อจากนี้จะมี Side Story ที่เป็นเรื่องของเด็กๆ ช่วงระหว่างห้าปีที่หายไปมาให้อ่านเล่นอีกสองตอนกับรีไรท์กุบกิบเก็บไก่ที่ปล่อยออกจากเล้าไปนะคะ ฝากเอ็นดูเด็กๆ ต่อด้วยย

ส่วนเรื่องรวมเล่ม แต่นแต๊น~ ตี๋วินจะไปอยู่กับบ้าน Bookish House นะคะ ทางนี้เขียนด้วยสปีดแบบเต่าๆ อาจจะอีกสักพักกว่าจะได้เจอหน้ากัน ขอบคุณจริงๆ ที่ทางสนพ.ให้โอกาส ให้ความสนใจและเอ็นดูเด็กๆ และเข้าใจข้อจำกัดบวกกับความอ่อนด๋อยของเรา เราขอฝากลูกๆ ให้ทางสนพ. ดูแลนะคะ คืบหน้าอย่างไรเราจะแจ้งอีกทีนึง

แวะมาเม้ามอยกันได้ที่ #วิเคราะห์การรัก นะคะ ส่วนบ้านคนเขียนก็ @huentrop ณ ทวิตภพเหมือนเดิม เคาะเรียกกันได้ก้ะ

รักส์ มากกกกกก
หมวยดีเอง



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
อบอุ่นในหัวใจ รักทุกคนในเรื่อง เด็กหวานตอนโตนี่คงกรุบกว่าเดิม จะเป็นลมค่ะ ชอบเพื่อนๆ ทุกคน มิตรภาพของตัวละครในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราอ่านแล้วประทับใจมาก สุดท้ายนี้ชอบมากๆ ขอบคุณคุณหมวยสำหรับเรื่องราวสนุกๆ แบบนี้นะคะ รัก  :o8:

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ารักจังงงง มาอัพบ่่อยๆนาาาาา

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แงๆ กลับมาพร้อมห้าปีผ่านไป แล้วจบเลย ยังไม่อิ่มหนำกับความรักความหยอดของหวานเล้ยย

แต่ :pig4: สำหรับดีๆค่า

รอตอนพิเศษๆต่อไป

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ sripaerrr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อ่านแล้วแบบ อู้หู้ววววว รายละเอียดแน่นมากกกทั้งเรื่องประชุมเชียร์ยันระบบการทำงาน ได้ความรู้เฉพาะทางแน่นมาก ถ้าได้อ่านเร็วกว่านี้สัก4ปีเราคงตั้งใจสอบจนกว่าจะเป็นเต็กอะ

ทุกคนมีมิติมีเสน่ห์ที่ดึงดูดเฉพาะคนเฉพาะทางจริงๆ โดยเฉพาะพี่อาร์ต โผล่ออกมาทีไรได้แต่อุทานว่า "อาร์ตมึงงงงงงง" ดีใจที่ได้รู้จักกับทุกๆคน ดีใจที่ได้อ่านนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
หลงน้องหวานรอบที่พัน น่ารักน่าเอ็นดูวววว

ออฟไลน์ kstation

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ CHOO

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หวานเติบโตมาอย่างดีเลย ตี๋วินน่ะแพ้น้องไปหมดทุกทางแล้ว
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆมากเลยนะคะ ถึงช่วงหลังจะเว้นระยะนานไปบ้างแต่ก็รออยู่เสมอเลย เป็นนิยายที่ทำให้ได้รู้จักชีวิตของชาวสถาปัตย์ได้เยอะมากขึ้นจริงๆค่ะ ถึงจะแค่เสี้ยวเดียวของชีวิตจริง อ่านไปก็ได้ความรู้เพิ่มไปด้วย ยิ่งอ่านยิ่งสนุกจริงๆ จากนี้ไปคงคิดถึงชาวแก๊งค์มากแน่ๆเลย ว่างๆแวะมาเจอกันให้หายเหงาหน่อยนะคะ พกตอนพิเศษมาฝากด้วย 55

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :katai1: เนี่ยยยย เราสงสัยตะหงิดๆ ในตัวน้ำตั้งแต่ตอนไปทะเลละ

ที่ซึมๆ ไม่ใช่น้องพลอยอะไรนั่นหรอก ต้องเพราะวินแน่ๆ

แล้วคือตอนนี้สับสนเหรอ? เพิ่งจะรู้ว่าชอบน้ำตอนหวานมาจีบงี้?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-11-2018 04:27:38 โดย Noname_memi »

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
น้องหวานลูกกกก  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด