{4}
หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว...
หลังโดนพี่เจตปล่อยไว้หน้าออฟฟิศ ชานนท์ก็หอบร่างตัวเองขึ้นมาจนถึงแผนก 3D ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเอง บางคืนที่ต้องทำงานจนดึกแล้วขี้เกียจกลับบ้าน เขาก็มักจะนอนที่โซฟายาวริมห้อง หนักๆ เข้าก็เริ่มขนหมอนผ้าห่ม อุปกรณ์อาบน้ำมาไว้ถาวร ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่เขายอมแต่งงานกับภรรยาที่ทางบ้านเลือกให้ ก็เพราะเธอยอมรับเงื่อนไขที่บางคืนเขาจะนอนค้างออฟฟิศได้นี่แหละ และคืนนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้น
ร่างสูงใหญ่พาตัวเองเข้าไปอาบน้ำคลายร้อนแล้วกลับมานั่งที่เดิม ทว่าอารมณ์จะทำงานนั้นกลายเป็นศูนย์ ทำไมมันว้าวุ่นแบบนี้วะ...
อยากจะตะโกน ‘โว้ยยยยยย’ ออกมาดังๆ แต่ก็คงจะรำคาญตัวเองเสียเปล่าๆ ไม่ใช่ไม่รู้สาเหตุ แต่ไม่อยากยอมรับมันมากกว่า สุดท้ายคนว้าวุ่นก็วางเมาส์ลงแล้วหันมาวุ่นวายกับของบนโต๊ะแทน ตั้งใจจะเคลียร์พื้นที่รกๆ ให้เป็นระเบียบเท่าที่จะทำได้ และนั่นทำให้ชานนท์ได้สบตากับสมุดจดเล่มบางๆ เล่มเดิมอีกครั้ง ซึ่งเจ้าของคือต้นตอของอารมณ์พาลพาโลตอนนี้
ลาเต้...
มือหนาเอื้อมไปหยิบสมุดเจ้าปัญหาเล่มนั้นขึ้นมา เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วจึงเห็นว่ามันเป็นสมุดขนาด A5 ที่เย็บแม็กตรงกลางเล่มเหมือนสมุดจดการบ้านเด็ก ตอนเรียนจำได้ว่าใครๆ ก็ใช้สมุดสเก็ตช์ปกดำเรียบๆ เท่ๆ แบบที่ถือไปไหนมาไหนก็ดูเก๋ เรียกสายตาสาวๆ ต่างคณะได้ทั้งแก๊ง มีก็แต่ไอ้เต้ที่หอบสมุดปกการ์ตูนมุ้งมิ้งเล่มบางๆ แบบนี้ตั้งแต่ปีหนึ่งยันเรียนจบ ใช้หมดแล้วก็เริ่มเล่มใหม่ไปเรื่อยๆ
การ์ตูนสามช่องที่ชานนท์อ่านไปเมื่อเช้าดำเนินมาถึงกลางเล่ม แต่แล้วมือที่กำลังพลิกหน้ากระดาษกลับชะงักกึก และอยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงและพานให้มือสั่น แล้วความทรงจำในครั้งนั้นก็ย้อนกลับมาราวกับมันซ่อนตัวอยู่ในเยื่อกระดาษมาแสนนาน
.
.
.
‘เขียนตอนใหม่เสร็จยัง’
เป็นปกติที่ตอนสมัยเรียนชานนท์จะต้องมาถามหาการ์ตูนตอนใหม่จากเต้ทุกวัน แล้วสมุดจดเล่มบางๆ ก็จะถูกหมุนเวียนอ่านกันรอบกลุ่ม มีทั้งซีรีส์ต่อสู้คล้ายๆ การ์ตูนญี่ปุ่น และแก๊กฮาๆ แบบขายหัวเราะ อยู่ที่ว่านักวาดอย่างลาเต้จะวาดอะไรออกมา บางเรื่องหายไปนานก็จะถูกไอ้พวกแฟนคลับทวงยิกๆ
‘ยังเลย เมื่อคืนหลับ’
‘โห่ ไรวะ กูอยากอ่านต่อแล้วววว’
‘กูเล่าให้ฟังมั้ยล่ะชา’
‘ไม่!! มึงอย่ามาสปอยล์’ ชานนท์ยกมือปิดหู
เต้หัวเราะกับท่าทีของเพื่อน ‘มึงรอนี่นะ เดี๋ยวกูไปหาอาจารย์แป๊บ’
บอกกับเพื่อนจบ ร่างโปร่งก็เดินลิ่วๆ ไปพร้อมสมุดเล่มหนึ่ง คนนั่งรอจึงหันกลับมาสนใจสมุดอีกเล่มที่วางซ้อนอยู่กับกองชีท ตอนนั้นชานนท์ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าหาอะไรอ่านเล่น สมุดในมือถูกเปิดมาที่หน้ากลางซึ่งเป็นกระดาษเปล่า ตอนแรกเขาจะปิดมันแล้ววางคืนที่เดิม แต่รอยดินสอบางๆ ที่มองทะลุกระดาษออกมาทำให้เขาเลือกที่จะเปิดหน้าต่อไป
[ผมไม่เคยเข้าใจในมิติที่ 3]ภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนจุดสูงสุดของวงกลม
[การเพิ่ม ‘ด้านสูง’ เข้ามา เป็นเรื่องเหนือจินตนาการ]วงกลมวงเดิมเริ่มหมุนเหมือนชิงช้าสวรรค์ และเด็กผู้ชายคนนั้นก็ร่วงลงมาด้านล่าง
[โลก 2 มิติจึงเป็นพื้นที่ปลอดภัยยิ่งกว่าโลกใบไหน]เด็กผู้ชายกำลังพยายามปีนขึ้นไปด้านบนวงกลม แต่ก็ตกลงมาอีก
[แต่ใครบางคนทำให้ผมเข้าใจในโลก 3 มิติ]ภาพวงกลมตรงหน้าของเด็กชายค่อยๆ เปลี่ยนไป
[ใครที่เข้ามาเผยโลกอีกด้าน]จากวงกลมธรรมดา ก็มีแสงและเงาเข้ามาจนกลายเป็นทรงกลม
[ใครที่ทำให้โลกหมุน]เด็กผู้ชายคนเดิม หันไปเจอเด็กผู้ชายอีกคนที่กำลังผลักวงกลมให้เคลื่อนที่
[ให้รู้จักความสุข]ทั้งสองคนหันมายิ้มให้กัน ในขณะที่วงกลมกลายเป็นทรงกลมเต็มใบ
[ให้สัมผัสความเศร้า]เด็กผู้ชายคนแรกพยายามเดินเข้าไปหาอีกคน แต่เดินยังไงก็ไม่ถึง
[และให้เข้าใจว่าด้านสุดท้ายไม่ใช่ความสูง]เขาเอื้อมมือออกไป แม้คนคนนั้นจะอยู่ใกล้ แต่ไม่อาจแตะต้องได้
[เพราะโลก 3 มิติที่มีเขา
มันวัดไดเมนชันด้วย...]เด็กผู้ชายยอมแพ้ ทรุดตัวลงนั่ง มองโลกสามมิติที่กำลังหมุนไป
พร้อมการโคจรของเด็กชายอีกคน วนออกห่าง เข้ามาใกล้ และผ่านเลยไปอยู่อย่างนั้น
[กว้าง x ยาว x รัก][ขอบคุณที่ทำให้เข้าใจในมิติของความรักนะ]ภาพสุดท้ายคือแก้วกาแฟหน้าตาคล้ายกาแฟยี่ห้อดัง ซึ่งลาเต้ชอบวาดเป็นภาพแทนตัวเอง
ส่วนอีกภาพ....
มือสั่นเทาของชานนท์เอื้อมไปหยิบสมุดสเก็ตช์ของตัวเอง ก่อนจะเปิดไปที่หน้าแรก ซึ่งมีใครบางคนวาดรูปบางอย่างไว้ที่มุมกระดาษ
‘ชื่อชานนท์เหรอ ชื่อเล่นก็ชื่อชานนท์เหรอ’
‘เออ’
‘กูเรียกมึงว่า ‘ชา’ แล้วกันนะ’
‘ทำไมไม่เรียกนนท์วะ’
‘ก็เพราะกูไม่ได้ชื่อเต้ แต่ชื่อ ‘ลาเต้’ ไง’
‘แล้วไงอะ’
‘ก็กูเป็นกาแฟแล้ว มึงก็เป็นชาสิ’
‘มีอะไรปัญญาอ่อนกว่ามึงมั้ย’
‘แล้วมึงตกลงมั้ยล่ะ’
‘เออ’
‘นั่นง่ะ มึงปัญญาอ่อนกว่ากูอีก ฮ่าๆๆ’
‘ห่าเต้!’
‘กลัวแล้วววว มาๆ กูวาดรูปกาน้ำชาให้ ต่อไปนี้นี่คือสัญลักษณ์ของมึง’
‘ทำไมภาพมันแบนๆ’
‘วาดแบบมีมิติไม่เป็น’
‘เอ้า! แล้วตอนสอบเข้ามึงสอบมาได้ไงวะ’
‘ก็ติวมาไง แต่ปกติวาดไม่เป็นอะ ไม่เข้าใจ’
‘เหี้ย! แล้วจะเรียนจบมั้ยมึงอะ’
‘มึงก็สอนกูแล้วกัน นะ นะ น้า’
ตาคมจ้องภาพกาน้ำชาที่ถูกวาดคู่กับแก้วลาเต้ พยายามคิดยังไงก็คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากการ์ตูนทั้งเรื่องที่วาดมามันหมายถึงเขา... ชานนท์ปิดสมุดเล่มนั้น แล้วนำมันไปสอดไว้กับกองชีทเหมือนเดิม แต่ไม่อาจลบความทรงจำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
ไม่นานนักเจ้าของสมุดก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา ก่อนมือเรียวจะคว้าชีททั้งกองมากอดไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า คนที่นั่งรออยู่พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
‘อ้าว จะไปแล้วเหรอ’ ลาเต้ถามอย่างงุนงุง แต่ก็เตรียมรวบของทั้งหมดใส่กระเป๋า
‘จะกลับไปหอ ลืมของ’
‘ให้ไปด้วยมั้ย’
‘ไม่ต้อง’
‘เหรอ... โอเค งั้นเจอกันที่คลาสเลยนะ’
‘อืม’
คำสุดท้ายที่คนฟังคิดไม่ถึงว่ามันเป็นคำลา นับจากวันนั้นชานนท์ก็ดึงตัวเองออกห่างจากคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิท เรียนห้องเดียวกันก็นั่งคนละแถว กินข้าวโต๊ะเดียวกันก็นั่งคนละมุม พอนานๆ เข้า กลุ่มเพื่อนที่สนิทกับชานนท์มากกว่าก็พลอยเฉยเมยต่อลาเต้ไปด้วย ลาเต้เคยถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในเมื่อชานนท์ไม่มีคำตอบให้ คนถามก็เลยเลิกถาม และยอมรับในความสัมพันธ์ที่เงียบงันนั้นจนเรียนจบ
เขารู้ว่าตัวเองมันเหี้ยที่อยู่ๆ ก็ตัดขาดกับเพื่อนสนิทซึ่งไม่ได้มีความผิดอะไร แต่จะให้เขายอมรับเป็นเพื่อนกับมันต่อ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้เต้แอบชอบตัวเอง เขาก็ฝืนใจไม่เป็น และเชื่อว่าความห่างเหินแบบนี้คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าการใกล้กันให้อีกฝ่ายมีความหวัง แล้วสุดท้ายก็ใจพังยิ่งกว่าเดิม
เพราะเขาไม่เคยรักมันเกินเพื่อนเลย...
.
.
.
เรื่องราวในวันเก่าย้อนกลับมาจนทำให้หน้ากระดาษในมือนั้นหนักอึ้ง สุดท้ายชานนท์ก็ปิดสมุดจดงานของลาเต้ ที่ตนเองถือวิสาสะเอามาครอบครอง ก่อนจะผลุนผลันออกจากออฟฟิศไปโดยถือสมุดเล่มนั้นติดไปด้วย ปลายทางคือโรงพยาบาลที่เขาเพิ่งจากมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว
คนป่วยจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวมานั่งตรงโซฟาสำหรับคนเยี่ยมอีกครั้ง ราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง พอถูกจับจ้องอย่างนั้นชานนท์เลยแสร้งกระแอมในลำคอเสียงดัง
“ลืม...ลืมอะไรเหรอ” เสียงแหบพร่าของคนป่วยเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก
“เปล่า” อีกฝ่ายตอบ ทว่าตาคมยังคงหลุบมองพื้น “จะมานอนเฝ้า”
“หา!!”
“ไม่ได้เหรอ” คราวนี้ชานนท์เงยหน้าขึ้น จึงได้เห็นความตื่นตกใจในแววตาอันเหนื่อยล้าคู่นั้น
“คือ...”
“ป่วยขนาดนี้จะอยู่คนเดียวได้ยังไง” คำพูดจากผู้มาเยือนทำให้คนป่วยเงียบเสียงลง
“ขอบ...ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร มึงนอนเถอะ”
ร่างเล็กล้มตัวลงนอนตามคำสั่ง แต่ตากลมยังไม่ละไปจากแถวๆ โซฟาที่ใครบางคนนั่งอยู่ “อ้าว สมุด...”
“อ้อ...” ชานนท์ก้มมองตาม ก่อนจะเลื่อนสมุดมาไว้บนตัก “อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว”
“หือ?”
“การ์ตูนมึงไง”
“เห็นด้วยเหรอ” เสียงพร่าร้องถามอย่างตกใจ “ไม่ได้ตั้งใจนินทาคนในออฟฟิศนะ วาดสนุกๆ เฉยๆ”
“ไม่ได้หมายถึงการ์ตูนเรื่องนั้น...” คนพูดสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“หมายถึงเรื่อง...
กว้าง x ยาว x รัก”
“ชา...!!!” คนวาดการ์ตูนร้องอย่างตกใจ ดวงตาอิดโรยมีน้ำตาเอ่อคลอ
“ตอนต่อไป...” ตาคมจ้องมองคนป่วยที่ตอนนี้ดูเปราะบางจนคล้ายจะแตกสลาย “ตอนต่อไปจะเป็นยังไงเหรอ”
“ฮึก...ไม่รู้” ลาเต้กดหน้าลงกับหมอน พยายามเก็บซ่อนน้ำตาที่ไม่ควรจะไหลในเวลานี้ ร่างสูงบนโซฟาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาคนบนเตียง ก่อนฝ่ามืออุ่นจะลูบเบาๆ บนเส้นผมนิ่ม
“สปอยล์หน่อย”
“ฮือ....”
“คนอะไร ดองการ์ตูนมาได้เกือบสิบปี”
คนโดนกล่าวหาว่าดองงาน หันกลับมาสบตากับเจ้าของมืออุ่นที่ยังคงลูบไล้เส้นผมของตนเองอย่างแผ่วเบา
ลาเต้รู้...ความรักในวันนั้นยังคงลอยวนในโลกแบนๆ ใบเดิมไม่เคยจางหาย
ไม่ว่าในฐานะเพื่อนสนิท คนรู้จัก หรือเพื่อนร่วมงาน
ชานนท์ก็ยังเป็นคนที่เติมเต็มมิติให้ชีวิตของเขาเสมอ
“ถ้า...ถ้างั้น ตอนต่อไป ฮึก... ให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้มั้ย ชา”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของคนฟัง
“ขอบคุณนะ : )”
.
.
.
เมื่อคูณด้วย ‘รัก’ แล้ว ไม่ว่าในฐานะไหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็น ‘ความรัก’
End
สวัสดีค่ะ
เรื่องสั้น 3 มิติเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว
ขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาอ่านน้าา
ชอบหรือไม่ชอบยังไงคอมเมนต์บอกกันได้นะคะ
แล้วกลับไปเจอกันที่เรื่องยาวเหมือนเดิมจ้าา
Sweet Dilemma :
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57204.0
