((เรื่องสั้น)) ___「 ถุ ง ท ร า ย 」___ ((จบบบ))
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ((เรื่องสั้น)) ___「 ถุ ง ท ร า ย 」___ ((จบบบ))  (อ่าน 1954 ครั้ง)

ออฟไลน์ dumpWINNY

  • m a e w m e i n .
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


" ถุ ง ท ร า ย "


meawmein. เขียน




คำเตือน
INCEST
A GOOD ENDING?


 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2017 19:22:36 โดย dumpWINNY »

ออฟไลน์ dumpWINNY

  • m a e w m e i n .
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
((เรื่องสั้น)) ___「 ถุ ง ท ร า ย 」___
«ตอบ #1 เมื่อ10-01-2017 01:06:02 »



เวลาเที่ยงคืนสองนาทีที่แสดงบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอลทำให้ผมชะงักไปวูบหนึ่ง


  “ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย” ผมพึมพำ


  แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม


  ผมปล่อยให้แขนแนบลำตัว แล้วเดินลากเท้าไปเหมือนวิญญาณที่ล่องลอยไปตามท้องถนน ไร้ที่อยู่ ไร้ที่อาศัย และไร้เงิน แสงสีส้มจากโคมไฟสูงตระหง่านพาให้ดวงตาผมพร่ามัว ผมเลือกทางที่เปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนใช้เนื่องจากมันทั้งมืด ไม่มีบ้านเรือนรอบข้าง มีแต่พงหญ้าสูงขึ้นประปรายล้อมรอบถนน และมักได้ข่าวเรื่องการดักปล้นชุกชุม แต่ผมไม่กลัวหรอก เอาไปเลย เอาตัวผมไปเลย จะฆ่าผมเลยก็ได้ ผมยินดีอยู่แล้ว


  เพราะผมไม่มีอะไรที่ต้องเสียไปอีกแล้วไงล่ะ


  ทั้งที่เป็นช่วงฤดูฝนแต่อากาศรอบข้างกลับอบอ้าว ก่อนจะเดินมาถึงนี่ผมสวมแจ๊กเก็ตเนื้อหนาไว้กันฝนกันหนาวเอาไว้ ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ทำให้เหงื่อไหลซึมตามไรผมเป็นหยดๆ แล้วผมก็จำใจต้องถอดออกและผูกไว้รอบเอว เหลือเพียงเสื้อยืดสีดำตัวบางๆ กับกางเกงยีนเท่านั้น


  ลมร้อนพัดมาอีกระลอก ปลายต้นหญ้าวูบไหว แสงไฟสีส้มทำให้เห็นดาวบนท้องฟ้าไม่ชัดเอาเสียเลย ผมก้มมองนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมันมีเศษเหรียญติดอยู่ตรงนั้น จิตใจผมเลื่อนลอย ก้าวออกไปอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกว่าเพียงลมพัดแผ่วเบาก็สามารถทำให้ร่างกายทรุดลงได้ในทันที แต่ผมก็ฝืนยื้อตัวเองไว้


  ขอแค่ออกไปจากเมืองนี้ได้ ไปให้ไกล ไปให้ไกลจากที่นี่


  ผมก็จะไม่เป็นไร


  ในขณะที่กำลังมองหาที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ ผมประเมินดูตัวเองแล้วยังไงก็คิดว่าเดินต่อไปไม่รอดแน่ ต้องรีบเข้าเมืองและหาก๊อกน้ำสำหรับดื่มในเช้าวันถัดไป พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นมากแม้ว่าผมจะไม่มีเศษขนมปังใดๆ ติดตัวเลยก็ตาม แสงสว่างที่ตัดกับความมืดและแสงนวลสีส้มเหนือหัวผมก็เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมคิดว่าคงเป็นแค่มอเตอร์ไซค์ที่ผ่านทางมา แต่ผมคิดผิด


  มันเป็นรถตำรวจ


  ผมรู้สึกหัวใจหยุดเต้น พลันคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น…ไม่ ผมยังไม่ถูกแจ้งความคนหายหรอก ไม่ ไม่แน่ๆ เขาไม่มีวันโทรหาตำรวจและเล่าเรื่องผมให้คนพวกนั้นฟังแน่ๆ เขาระมัดระวังตัวดีจะตาย เขาไม่มีทางทำ ผมเชื่อเช่นนั้นแต่ก็ยังอดหวาดหวั่นไม่ได้ ตำรวจจะสงสัยรึเปล่าว่าผมมาเดินแถวนี้ทำไม ผมควรกระโจนเข้าพุ่มหญ้า หรือเดินไปนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดี จะหาข้อแก้ตัวกับเหตุผลมารองรับแบบไหน จะพูดยังไงไม่ให้น่าสงสัย ทำยังไงดี ทำยังไงดี


  ผมกัดปาก


  และวินาทีสุดท้ายที่รถตำรวจได้เข้ามาจอดประชิดข้างๆ ตัวผมก็มาถึง ผมไร้โอกาสที่จะวิ่งหนีแล้วจึงฝืนทำตัวนิ่งเฉย หันไปมองหน้าตำรวจในชุดเสื้อยืดขอบแดงคนหนึ่ง หน้าตาเขาดูเด็กกว่าพวกตำรวจตัวอวบอ้วนและแก่หงำเหงือกอวดดีที่ออกข่าวในทีวีมาก ท่าทางจะเป็นตำรวจเพิ่งเข้ามาประจำการใหม่ เขาลดกระจกลงเพื่อที่จะมาคุยกับผม และผมก็ใช้สายตาทำท่าเหมือนว่าเขากำลังเสือกชีวิตสุขีของผมอยู่เต็มประดา


  “เจ้าหนู มาทำอะไรแถวนี้”


  ผมกลืนน้ำลายลงก่อนจะตอบ “บังเอิญรถมอไซค์ผมเสียก็เลยต้องเดินครับ บ้านผมอยู่ในเมืองถัดไปนู่น”


  “รถมอไซค์เหรอ พี่ไม่เห็นรถอะไรจอดอยู่ก่อนหน้านี้เลยนะ”


  ผมแสร้งกลอกตา


  “ผมซ่อนไว้รึเปล่าล่ะ กะว่าจะเรียกช่างไปซ่อมไง”


  “แล้วมือถงมือถือทำไมไม่เรียกให้ช่างมาซ่อม หรือให้คนรู้จักมารับ”


  “มือถือผมหาย”


  “ไปโบกรถสองแถวในเมืองก่อนก็ได้นี่”


  “กระเป๋าผมถูกวิ่งราว”


  “…”


  “…”


  “รอเดี๋ยวนะ”


  ผมยักไหล่ตามสบาย แล้วเขาก็แวบเข้าไปในรถเหมือนโทรหาใครสักคนอยู่ ผมภาวนาว่าแค่ข้อความฉุกเฉินจากคนรู้จักเขาเข้ามา หรืออาจจะเป็นสายจากคนใหญ่คนโตให้ออกไปรับเสด็จทุกเช้า ผมอาศัยจังหวะที่เขาหายเข้าไปข้างในเดินต่อไป พยายามเลียบๆ เคียงๆ เข้าพุ่มไม้ ถ้าเขาใช้เวลานานมากพอผมก็อาจหลบไปจากที่นี่ได้สักที


  ผมซุกมือเข้ากระเป๋าแจ็กเก็ตที่ผูกเอวไว้ อากาศร้อนอบอ้าว แต่ตัวผมนั้นกำลังสั่น


  “เดี๋ยว จะไปไหน” จู่ๆ แขนของผมก็ถูกคว้าไว้ให้หันหลังกลับไปตามแรงดึง ผมมองหน้าเขาแล้วเสหันไปมองสิ่งอื่น ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่เหมือนรำคาญเต็มทน


  “จะอะไรล่ะ ก็เดินกลับบ้านไง ผมไม่ว่างพอจะมาเล่นบทคอนเวอร์เซชั่นนักท่องเที่ยวหรอกนะ”


  “ขึ้นรถสิ” เขายักหน้าไปทางรถที่ยังเปิดไฟสว่างจ้าจนเห็นฝุ่นละอองของดินที่ปลิวว่อนไปตามอากาศ


  ผมเบิกตากว้าง พยายามดึงแขนกลับ “ทำไมผมต้องขึ้นรถพี่ด้วย ผมจะกลับบ้าน”


  “ก็จะไปส่งให้ไง ไม่ดีเหรอ จะเดินไปคนเดียวเดี่ยวๆ รอคนมาดักปล้น หรือจะนั่งรถสบายๆ ไปกับตำรวจอย่างพี่ เออ ลืมไป กระเป๋าเราถูกวิ่งราวนี่หว่า”


  ประโยคสุดท้ายเขามองหน้าผมเหมือนมีเลศนัยบางอย่าง สัญชาติญาณบอกผมให้วิ่งหนี ผมไม่อยากขึ้นรถกับผู้ชายคนนี้ ไม่ ไม่เด็ดขาด ผมพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธ แต่เขาก็หยุดปากผมด้วยการใช้แรงของคนที่ตัวใหญ่กว่า และจบเพิ่งจบวิทยาลัยตำรวจในการลากตัวผมไปยังตัวรถ เปิดประตู และผลักเข้าไป


  ผมต้องการเปิดประตูและวิ่งหนี แต่รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นแล้วพิรุธต้องเกิดแน่ๆ และตำรวจคนนี้ก็จะสงสัยและหักเลี้ยวรถพาผมไปโรงพักเพื่อซักถามความจริง ผมจึงพยายามสงบจิตสงบใจลง บางทีเขาอาจจะพาผมเข้าเมืองข้างหน้าอย่างที่บอกให้ก็ได้ ผมได้แต่ภาวนา


  “เราอายุเท่าไหร่” เขาถามหลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว


  “…17”


  “ดึกๆ ค่ำๆ ป่านนี้พ่อแม่ก็ยอมให้ออกจากบ้านมาเนอะ”


  ผมเงียบ ฟังเสียงแอร์ที่เป่าออกมาอย่างแรงด้วยระดับเบอร์ 3 จากข้างนอกที่อบอ้าว มาสู่ข้างในที่เย็นในทันทีทำให้ผมหนาวสั่น รีบปิดช่องแอร์ลงแล้วนั่งกอดอก พิงอยู่กับเบาะรถ นายตำรวจมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะใส่เกียร์และเหยียบคันเร่งออกไป


  บรรยากาศระหว่างเรามีแต่เสียงหัวใจเต้นในอกและการหายใจอย่างระมัดระวังของผม และเสียงวิทยุสื่อสารที่วางไว้บนคอนโซลหน้ารถซึ่งดังขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมได้แต่หันหน้าไปทางหน้าต่าง มองทิวทัศน์วังเวงโดยรอบและแสงไฟสีส้มแสบตาจากโคมไฟข้างทาง ก่อนมันจะดับหายไปหลายนาที และส่องแสงขึ้นมาใหม่ เพราะถนนนี้ไม่มีคนใช้มันจึงไม่ได้รับการดูแลอะไรมากมายนัก แค่มีดวงไฟส่องตลอดทางแม้จะห่างกันเป็นร้อยเมตรก็ถือว่าดีถมถืดแล้ว


  “แล้วบ้านเราอยู่แถวไหน เดี๋ยวไปส่ง”


  ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วรึเปล่า ผมแอบเบ้ปากในใจ


  “แถว…ปากน้ำครับ”


  แถวนั้นโรงงานเยอะดี หากโชคดีผมอาจจะขอทำงานเป็นคนขัดส้วมเก็บตังค์ไปสักเดือนสองเดือนก่อนจะออกเดินทางต่อได้
หางตาผมเห็นว่าเขาหันหน้ามามองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองข้างหน้าต่อ ผมถือว่าเขาเข้าใจและไม่ต้องอธิบายซ้ำแล้วจึงนั่งเอาหัวพิงกับเบาะเงียบๆ ฟังเสียงวิทยุที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมากลางความเงียบ สมองผมเริ่มพร่ามัวและพร้อมที่จะปิดตัวลงเพื่อพักผ่อนเต็มที่แล้วเนื่องจากเดินผ่านอากาศร้อนอบอ้าวและเสียเหงื่อมาทั้งวัน แต่ผมจะหลับไม่ได้ ผมยื้อตัวเองไว้ขณะดวงตาเริ่มพร่าลอย


  ไม่รู้ว่าแถวเป้าหมายปลายทางจากที่นี่ไกลจะสักเท่าไหร่เพราะรถเคลื่อนไปสักพักแล้วก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาแต่ก็พยายามจับสังเกตรอบข้างด้วยเสียงและวิทยุ จนกระทั่งความอดทนเริ่มคลอนแคลนผมจึงลืมตาเพื่อหันไปถามเขา


  “ทำไมยังไม่ถึงอีก รถติดเหรอ”


  …ถนน เกาะกลางถนน บ้านเรือน ร้านค้า และตึกสูงตระหง่าน ช่างเป็นภาพที่ผมรู้สึกคุ้นตาเสียจนพานให้สัญญาณเตือนภัยในใจดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มันดังถี่จนหัวใจผมเต้นระรัว เหงื่อซึมทั้งที่มือเย็นเยียบ ผมมองบ้านเรือนรอบข้างก่อนจะลากสายตาที่แข็งกร้าวไปหาคนที่กำลังขับรถ


  “มัน…มันไม่ใช่ที่ที่ผมบอกให้พี่ไปส่งนี่ พี่จะไปไหน”


  เขาไม่ตอบ ทำแค่ขับต่อไป


  ทันใดนั้นเสียงวิทยุก็ดังขึ้น


  มันทำหน้าที่เป็นสัญญาณที่ทำให้สติสัมปชัญญะของผมแตกสลาย


  เสียงซ่าๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่องพูดงึมงำอะไรบางอย่าง มันหยุดไปสักพักและดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผมฟังมันออกได้ดียิ่งกว่าครั้งไหนๆ


  เด็กหาย เด็กหาย หาตัวเจอยัง


  “กำลังพาไป”

  ผมมองนายตำรวจที่โน้มตัวเข้าไปกรอกเสียงตอบวิทยุด้วยความรู้สึกราวกับโลกแตกสลาย แม้แต่ตำรวจก็ไม่สามารถไว้ใจได้ ไม่สิ…คนบนโลกนี้ ทั้งหมด ทุกคนไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ผมหันมาเปิดประตูรถอย่างบ้าคลั่ง ทุบตีมันจนมือทั้งสองข้างบวมระบม และก็เป็นไปตามที่คิด มันถูกล็อก…จากปุ่มควบคุมที่อยู่อีกฟาก อยู่ใกล้มือของเขา


  “พี่ทำแบบนี้ทำไม” ผมถามเสียงแหบแห้ง


  “เรากำลังหนีออกจากบ้านใช่มั้ย มันเป็นหน้าที่ของพี่ พี่ไม่สามารถทำให้เราต้องออกไปลำบากข้างนอกได้ เราต้องกลับบ้าน รู้มั้ยว่าคนในครอบครัวเราเป็นห่วงอยู่”


  โกหก


  โกหก


  ไม่มีใครรอผมอยู่ทั้งนั้น


  ไม่มีใครเป็นห่วงผม


  ไม่มีใคร


  ไม่มีใคร


  ผมพยายามปลดล็อกประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามอยู่อย่างนั้นแม้จะรู้ว่ามันไม่มีปฏิหาริย์ใดๆ ที่จะทำให้ประตูบังเอิญปลดล็อกให้ผมได้ ผมกรีดร้องในใจ ด่าทอโชคชะตา เกลียดผู้ชายตรงหน้าที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพลเมืองดีทั้งๆ ที่เขากำลัง…ทำลายชีวิตผม


  น้ำตาของผมไหลออกมาเมื่อรถได้จอดลงที่หน้าสิ่งปลูกสร้างขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีสวนไม้ประดับล้อมรอบบ้าน โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ประตูหน้าบ้านสีไม้ซีด และบรรยากาศรอบข้างที่เงียบกริบ


  ผมนั่งคุดคู้อยู่ในรถ ปล่อยให้น้ำตาไหลเช็ดหัวเข่า ยังไงก็ไม่ยอมลงไปเด็ดขาด ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้แต่ก็ยังเล็ดลอดออกไปจนเหมือนจะไปทำให้ใครบางคนเห็นใจเข้า


  นายตำรวจจอมโกหกมองผมด้วยสายตาเวทนา เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้หมายจะลูบหัวปลอบ แต่ผมปัดทิ้ง จ้องหน้าเขานิ่ง “คุณกำลังทำลายชีวิตของเด็กคนหนึ่ง รู้ตัวรึเปล่า”


  เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กับสรรพนามที่เปลี่ยนไป


  “พี่แค่พยายามจะช่วยเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ปัญหาสังคมตอนนี้มันมีมากอยู่แล้ว อย่าเพิ่มภาระให้คนรอบข้างอีกเลย”


  ผมทำเพียงแค่นหัวเราะ ไม่ตอบอะไร


  ผมน่าจะมีแผนที่ดีกว่าการเดินเตร็ดเตร่หาที่ตายข้างถนนไปวันๆ


  ผมน่าจะหาเวลาสองสามนาทีวิ่งไปซื้อยานอนหลับที่ร้านขายยาและกลับมาบ้านให้ตรงเวลา


  ผมน่าจะหาของมีคมสักอย่างและหาทางจัดการกับมันด้วยการทำให้มันทะลุตัวผม


  ผมน่าจะ


  น่าจะ


  น่าจะ


  ฆ่าตัวตายซะ


  “มาเถอะ เราควรพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่รึไง” เขาลงจากรถเพื่อเดินอ้อมมาหาผม ประตูถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ทว่าผมยังไม่ยอมขยับ นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเขาต้องพยายามดึงผมลงมาจากรถแทน


  และในช่วงจังหวะและโอกาสทีเผลอ


  คุณรู้มั้ยผมทำอะไร


  ใช่แล้ว


  รู้ทั้งรู้ว่ามันอาจไม่มีโอกาสใดๆ อีกต่อไปแล้วนับจากนี้แต่ผมก็ยังออกตัววิ่ง วิ่ง วิ่งไปให้สุดแรง ได้ยินเสียงตะโกนตกใจจากเบื้องหลังแต่ผมก็ไม่ได้หันกลับไป ผมวิ่งอย่างทุลักทุเลและรองเท้าได้ปลิวหายไปเมื่อพบว่าอีกฝ่ายได้วิ่งตามมาด้วย ถนนในเวลานี้โล่งเสียจนเหมือนแค่มีสัญญาณไฟจราจรติดประดับไว้เท่านั้น


  แต่แล้วไขลานแห่งโชคชะตาก็ชะงักกึกราวกับจงใจ  ผมสะดุดเท้าตัวเอง เอนล้มไปข้างหน้าไถลไปเป็นทางยาว ท่าทางหมดสภาพดูไม่จืดสิ้นดี หางตาผมเหลือบมองเห็นร่างร่างหนึ่งที่วิ่งตามหลังมา ในใจก็รู้ตัวแล้วว่าดิ้นรนวิ่งหนีต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ผมสู้แรงเด็กที่เพิ่งจบมาจากวิทยาลัยตำรวจมาหมาดๆ ไม่ได้แน่


  ผมยันตัวขึ้น หอบตัวโยน เมื่อลองขยับขาดูก็ได้รู้ว่าข้อเท้าพลิกจนแค่ขยับนิ้วก้อยก็แทบจะน้ำตาเล็ด


  คุณตำรวจวิ่งเข้ามาใกล้ ทันทีที่เขาเห็นผมล้มลงก็ยิ่งวิ่งเข้ามาเร็วขึ้น เขาหยุดหอบหายใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วใช้สายตาสำรวจผมที่ยังดื้อรั้นจะลุกขึ้น ก่อนจะตำหนิ


  “สารรูปดูไม่ได้เลยนะ รองเท้าปลิวไปนู่นแล้ว” ถึงจะพูดบ่นแต่ก็ยอมย่อตัวลงมาจับตัวผมเพื่อพยุงขึ้น ผมที่หมดแรงและหนทางจึงจำใจรับการช่วยเหลือนั้นแต่โดยดี ผมขากะเพลก รู้สึกเจ็บมากจนแทบจะทรุดตัวลงอีกครั้ง นายตำรวจจึงจับมือผมให้เกาะไหล่เขาไว้แน่นๆ ก่อนจะช้อนตัวผมขึ้นมาไว้ในท่าอุ้มเจ้าหญิง


  “อย่าคิดดิ้นหนีอีกเชียว รู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าวิ่งยังไงก็ไปไม่รอดแล้ว”


  เขาพูดถูก


  ผมไม่รอดแล้ว


  แม้แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังทรยศเจ้านายเจ้าร่างกายตัวเอง


  ไม่สิ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมซะทีเดียวหรอก


  ผมพิงหัวซุกอก ปล่อยให้เขาเดินไปเก็บรองเท้าที่กระจัดกระจายของผม ระยะทางที่เราวิ่งมาค่อนข้างจะไกลและซับซ้อนเพราะเป็นในซอยที่มีแยกเยอะอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ว่าเขาจะจำเส้นทางได้มั้ยแต่เดาว่าได้ ผมหลับตา ฟังเสียงลมหายใจเป็นจังหวะและเสียงหัวใจเต้นในแผ่นอกของคนข้างบน เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ทำให้ผมรู้สึกอุ่นขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงแม้จะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ผสมกับกลิ่นโคโลนและกลิ่นของเวลายามดึกที่เงียบสงัด ผมปล่อยให้ฟันเฟืองที่เก่าร้าวพยายามดิ้นรนหมุนวนด้วยตัวมันเองเงียบๆ


  และรอคอยให้มันกระเด็นหลุดออกจากกัน


  เสียงกดกริ่งที่รั้วบ้านดังกังวาน เป็นจังหวะที่ผมเคยชอบฟังที่สุด เป็นสัญญาณว่าชะตากรรมของผมมาถึงแล้ว


  เจ้าของอ้อมแขนที่โอบตัวผมขยับถอยห่างออกจากประตูรั้วเล็กน้อยเพื่อรอคอยเจ้าของบ้าน ผมรู้สึกหนาวเหน็บทั้งที่อุณหภูมิร่างกายของผู้ชายคนนี้สูงเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาหลายสิบกิโลเมตร อากาศร้อนอบอ้าว แต่ในใจผมกลับรู้สึกเย็นเฉียบ


  เสียงเปิดประตูดังขึ้น เจ้าของบ้านคงโผล่มาแล้ว


  ทั้งที่รู้ว่าไม่มีโอกาสเหลืออีกต่อไปแล้ว แต่ผมก็ยังพึมพำอ้อนวอน “ช่วยพาผมหนีไปที ผมไม่อยากจะอยู่ที่นี่ ได้โปรด ได้โปรด ช่วยผมด้วย…ฮึก…ฮึก”


  “พี่ขอโทษนะน้องชาย” เขากระซิบ “แต่พ่อของเราเขามารับแล้วนะ”


  ประตูรั้วเหล็กถูกเปิดพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของชายคนหนึ่ง โดยทางกฎหมายเขาเป็นพ่อของผม เขาผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาของเขาเจือแววอบอุ่นเต็มเปี่ยม ละแวกข้างเคียงต่างรู้จักเขาดีว่าเขาคือใคร เขาคือพ่อหม้ายเลี้ยงเดี่ยวที่ทั้งหล่อเหลา สุขุมนุ่มลึก และมีชื่อเสียงเป็นถึงนักเขียนนวนิยายแนวสือสวนสอบสวนชื่อดัง เขาถูกฟ้องหย่าจากภรรยาแต่ก็ชนะคดีมาได้ ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าผู้ชายเลิศเลอเพียงนี้ทำไมถึงยังถูกทิ้งได้ เขามีลูกชายคนหนึ่งที่มักเก็บเนื้อเก็บตัวไม่พบปะผู้คน วันๆ ทำเพียงแค่ออกไปเรียนแล้วตรงกลับมาบ้าน ด้วยหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรจึงกลายเป็นที่ครหานินทาและไม่เป็นที่ชอบของคนใกล้เคียงได้ไม่ยากนัก ช่างแตกต่างกับพ่อของเขาราวฟ้ากับเหว



  แน่นอน ผมนี่แหละที่เป็นเด็กคนนั้น



  ผมเอง



  ที่เป็นลูกของเขา




1/2 -- END






สวัสดีค่ะ ไม่รู้จะจำได้รึเปล่า แต่เราเคยลงเรื่องยาวเอาไว้ แต่ดองไม่จบจนถูกลบไปเมื่อปีที่แล้วนู่นเลยค่ะ 5555555
เรื่องนี้ตอนแรกแต่งทิ้งไว้แก้เครียดเฉยๆเมื่อหลายเดือนมาแล้วค่ะ กะจะไม่ลงที่ไหน แต่จู่ๆก็ค้นมาเจอไฟล์เข้า ดันนึกสนุก...ขอลงหน่อยเถอะนะคะ ฮาาา
เจอกันครึ่งหลังวันพรุ่งนี้นะคะ ขอบคุณที่อ่านค่า
 :pig4:  :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ naya-devil

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ((เรื่องสั้น)) ___「 ถุ ง ท ร า ย 」___
«ตอบ #2 เมื่อ10-01-2017 01:22:53 »

น่าสนใจดีค่าาาา

ออฟไลน์ dumpWINNY

  • m a e w m e i n .
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
((เรื่องสั้น)) ___「 ถุ ง ท ร า ย 」___
«ตอบ #3 เมื่อ10-01-2017 19:21:25 »




“ต้องขอบคุณคุณตำรวจมากนะครับที่พาลูกชายผมกลับมา  แก…แกเป็นไงบ้างครับ แกบาดเจ็บตรงไหนมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล ถึงผมจะไม่ได้หันไปมองแต่ก็รู้ดีว่าเขากำลังมองผมด้วยสายตาเช่นไร


  “โชคดีนะครับที่ผมบังเอิญไปเจอลูกชายคุณเดินเตร็ดเตร่อยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ เขาไม่ได้เป็นไรมาก แต่หกล้มแผลถลอกแล้วก็ขาแพลงเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่ทันเห็นทาง นี่ก็ดึกมากแล้ว ลูกชายคุณอาจเหนื่อย ให้เขาไปพักผ่อนเถอะครับ อ้อ อย่าลืมนวดขาให้เขาด้วยนะครับ”


  ผมปรับสีหน้าให้กลายเป็นเรียบนิ่ง ซ่อนร่องรอยของน้ำตาไว้ นายตำรวจพยายามจะส่งตัวผมให้พ่อเป็นคนอุ้มต่อ ท่าทางพ่อของผมยังหนุ่มแน่น หน้าตาถึงแม้จะดูอ่อนเยาว์แต่ก็ไม่ได้หน้าเด็กจนเกินไป เขาดูมีภูมิฐานและน่าเคารพนับถือ ผมเอื้อมมือโอบรอบคอพ่อเอาไว้ เพราะกลัวจะตกลงไปเนื่องจากความบังเอิญ จนกระทั่งการส่งมอบตัวผมอย่างทุลักทุเลได้จบลง คุณตำรวจจอมโกหกพูดอะไรอีกเล็กน้อย แนะนำเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่ผมให้มากกว่านี้ และเรื่องการแจ้งความก่อนหน้า ผมได้แต่นิ่งเงียบฟังพวกเขาพูด ก่อนที่นายตำรวจจะขึ้นรถ และขับออกไป


  ทิ้งให้ผมขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อที่ไม่อุ่นเลยสักนิด


  “หล่อดีนี่” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นเหนือหัว เลือดในตัวผมเย็นเยียบ พ่อกระชับร่างกายผมแน่นก่อนจะปิดประตูรั้วเข้าหากัน จากนั้นก็เดินไปยังประตูบ้านสีเก่า เขาทิ้งรองเท้าผมไว้ตรงนั้น ก้าวเท้าเข้าไปข้างในและปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ


  แต่ผมรู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ได้เย็นอย่างที่เห็นหรอก


  “ไปทำอีท่าไหนถึงได้หมอนั่นมาล่ะ ดึกดื่นป่านนี้ออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ไปเรื่อยจะได้สักกี่บาทกันเชียว”


  “มิคไม่ได้ขายตัวนะ!!”


  “อืม พ่อรู้ แกไม่ได้ทำ” ประตูปิดลงแล้ว แต่พ่อยังไม่ยอมปล่อยตัวผมลงสักที “แต่พ่อเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามให้ใครมาแตะต้องตัวแกง่ายๆ…ต้องให้เตือนกี่ครั้งถึงจะจำสักที”


  “มิค…มิค…มิคเจ็บเท้า” ผมพูดเสียงสั่น


  พ่อก้มลงมาจนได้กลิ่นวิสกี้ผ่านลมหายใจอย่างชัดเจน เขากระซิบข้างหูผมช้าๆ และชัดเจน “จะทั้งไอ้ท็อปหรือไอ้ตำรวจหน้าอ่อนนั่น พ่อไม่ชอบใครทั้งนั้น”


  ท็อป


  ผมตัวสั่นระริก


  ดวงตาร้อนผ่าวราวกับมีใครเอาไฟมาลนขอบตาไว้ ผมเม้มปากกลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาซึมไหลเงียบๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์อัปยศที่พ่อได้ทำกับผมไว้…ต่อหน้าท็อป เพื่อนคนเดียวในชีวิตของผม


  พ่อไม่พูดอะไรต่อ เขาวางผมลงบนโซฟาหน้าทีวีในห้องนั่งเล่นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อไปเอาน้ำให้ผมดื่ม มือใหญ่ยื่นแก้วมาให้ผมที่กำลังงุนงง ผมรับมาดื่มไว้ จิบละเลียดช้าๆ พลางซึมซับรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ข้อเท้าเมื่อลองฝืนขยับ


  “เอามานี่มา”


  ขาของผมถูกคว้าตั้งไว้บนตักและถูกนวดเบาๆ ช้าๆ อย่างระมัดระวังจากผู้เป็นพ่อของผม ผมมองการกระทำนั้นเงียบๆ ดวงตาเริ่มพล่าเลือน ผมไม่รู้ว่าเขาจะลงโทษผมด้วยวิธีไหนหลังจากนี้ เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาบนฝาผนังเหนือโทรทัศน์จอกว้างบอกเวลาตีสามสามสิบห้านาที เสียงติ๊กต่อกของเข็มวินาทีหายไปกับความรู้สึกที่ทั้งผ่อนคลายและเจ็บปวดพร้อมๆ กันตรงที่ข้อเท้าที่เขานวดอยู่


  ผมหลับตาลง


  ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าพ่อไม่มีทางทำดีกับผมง่ายๆ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น ครั้งนี้เท่านั้นที่ผมอยากจะรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่คนห่วงใยเขาทำกัน ไม่ทำร้าย ไม่กระชาก แค่พูดสั้นๆ และช่วยนวดเพื่อคลายบรรเทาให้ ผมซึมซับความรู้สึกหลอกตัวเองนี้ไว้ รอคอยให้เวลาแห่งความสุขนับถอยหลังสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง


  ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เขาวางผมลงบนเตียงนุ่มในห้องของเขา ผมคงเผลอหลับไปในระหว่างที่เขากำลังนวดให้ ผมเห็นพ่อถอดเสื้อยืดออกอยู่ที่ปลายเตียงอวดกล้ามเนื้อที่บ่มเพาะมานานนับหลายปี ก่อนจะเดินไปยังลิ้นชักเพื่อค้นของหาอะไรบางอย่าง ได้โอกาสให้ผมสังเกตไปรอบๆ ห้อง…นานแล้วแฮะที่ไม่ได้มาที่ห้องนี้ ปกติถ้าพ่อไม่ได้หงุดหงิดอยู่ หรือเบื่อหน่ายเป็นพิเศษผมก็แทบจะไม่มีโอกาสเข้ามายังห้องนี้เลย เขามักจะเข้าไปหาผมในห้องนอน สำรวจทุกอย่างทั้งในห้องของผมและทั้งตัวผม จากนั้นก็เดินออกไปทำกิจวัตรอย่างอื่นต่อ


  ผมหลับตาลง มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนพ่อกำลังถอดเสื้อยืดของผมออกจากหัว ผมมองการกระทำของเขาอย่างเฉื่อยชา ร่างกายผมอ่อนล้าเกินกว่าจะโต้แย้งใดๆ ได้อีก พ่อคร่อมตัวผมไว้แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ กลิ่นวิสกี้ที่เข้มข้นกว่าเดิมลอยแตะประสาทสัมผัสก่อนที่เขาจะแตะริมฝีปากลงบนติ่งหูผม กระซิบเสียงพร่า


  “รู้มั้ยว่าแม่แกทำให้พ่อมีแกมาได้ยังไง”


  รู้สิ ผมรู้


  พ่อมักเอาเรื่องเก่าๆ ของแม่มาเล่าเป็นนิทานก่อนนอนเสมอ


  “เราพบกันครั้งแรกเมื่อตอนที่พ่อขึ้นเหนือไปเพราะเรื่องงาน วันนั้นอากาศหนาว พ่อเจอหล่อนตอนที่กำลังเดินอยู่ในทุ่งดอกไม้ แม่ของแกสวยมาก แก้มแดง ปากอิ่ม สวยจนพ่อยังต้องมองไปนานๆ อยากมองไปจนไม่รู้จักเบื่อ พ่อจีบหล่อนติดในเวลาสั้นๆ จากนั้นเราก็แต่งงานกัน ตอนนั้นพ่อคิดว่าตัวเองโชคดีชะมัดที่ได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นคู่ครองด้วย แต่รู้อะไรมั้ย”


  “…”


  “พ่อคิดผิด” เขากัดใบหูผมอย่างแรงจนผมรู้ต้องเกร็งมือแน่นเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวด เขาฝังเขี้ยวลึกราวกับต้องการฉีกกระชากหูผมให้ขาด


  “…อึก”


  “ไม่กี่เดือนหลังจากที่แต่งงานกัน พ่อจับได้…ว่าแม่ของแกมีคนอื่น” เขาหัวเราะ เปลี่ยนมาใช้ลิ้นเลียรอยเขี้ยวนั้นต่อ “แต่สิ่งที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือชู้ที่ว่านั้นดันกลายเป็นปู่ของแกเองยังไงล่ะ ฮะๆๆ”


  ผมถูกบังคับให้เปิดปากและแลบลิ้นออกมา พ่อวางยาเม็ดสีขาวเล็กๆ ไว้บนลิ้นผมและบังคับให้ผมกลืนมันลงไปเช่นเคย โดยปกติแล้วมันจะเป็นรางวัลให้เวลาผมทำตัวดีๆ ด้วย แต่ครั้งนี้…ผมรู้สึกสัญญาณเตือนภัยบางอย่างแล่นจุกอยู่ในอก ปรือตามองคนข้างบนที่กำลังวาดลิ้นลงบนซอกคอผม เขาไล่ต่ำลงมาจนถึงแผ่นอก ลิ้นเปียกแฉะตวัดรอบๆ ยอดอกของผม เขาดูด และกัดมัน ผมหลับตาแน่น พยายามทนรับต่อความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญ ทันใดนั้นขนมหวานที่เขามอบให้เริ่มทำให้ผมรู้สึกร่างกายล่องลอยจนต้องหลับตาลงแล้วปล่อยเสียงครางแผ่วเบา พ่อเลียแผ่นอกผมไล่ขึ้นมาที่กระดูกไหปลาร้า ซอกคอ ปลายคาง ริมฝีปาก แก้ม และใบหู


  เขากระซิบ


  “ที่ตลกยิ่งกว่านั้น คือนังสารเลวนั่นร่อนเอวอยู่บนตัวปู่แกอยู่แล้ว…ก่อนที่พ่อจะได้เจอกับหล่อน”


  “อั้ก…อึก…พ่อ มิค…มิค มิคเจ็บ” ความรู้สึกเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าการถูกฝังเขี้ยวแวบผ่านสติสัมปชัญญะเป็นระลอกๆ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนราวกับถูกอะไรบางอย่างแทงเข้าไปในร่างกาย และกดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มือผมปัดป่ายไปรอบๆ และก็พบกับความรู้สึกเหนียวเหนอะบางอย่างที่หน้าท้อง


  เลือด


  พ่อหัวเราะเสียงต่ำ นิทานของเขายังไม่จบ “นั่นหมายความว่าไงรู้มั้ย”


  ผมหอบหายใจ ความเจ็บปวดที่มากเกินกว่าสติจะรับไหวปอกรกับความเหนื่อยหล้าทั้งวันทำให้สติผมเริ่มพร่าเลือน…


  ของเหลวเหนียวข้นยังคงไหลออกจากตัวผมช้าๆ เหมือนถุงทรายที่ก้นรั่ว ยามใดที่ทรายในถุงหมด มันก็จะไม่เหลืออะไรนอกจากถุงทรายกลวงเปล่าเท่านั้น


  และผมเองก็กำลังจะเป็นเช่นถุงทรายเปล่าๆ ถุงนั้น


  “แม่แก…ท้องแกมาก่อนที่จะได้แต่งงานกับพ่อ เป็นเรื่องที่น่ารักดีใช่มั้ยล่ะ”


  ผมสบตากับพ่อ


  “บอกสิว่าแกรู้ว่าพ่ออยากพูดอะไร”


  “มิค…มิครู้ครับ มิครู้” ผมแค่นยิ้ม


  “หืม มันคืออะไรล่ะ” พ่อจัดการถอดกางกงผมออก รวมทั้งกางเกงในด้วย ร่างกายผมว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งใดปกปิดนอกจากผ้าคลุมสีแดงที่กำลังห่มส่วนท้องของผมไว้ มันเปรอะเปื้อนและกระจายเลอะไปทั่วผ้าปูเตียง พ่อมองเนื้อผิวของผมที่ผ่านการระบายความเครียดของเขามาอย่างโชกโชนและมีแผลเป็นนับไม่ถ้วนเป็นหลักฐานด้วยแววตาคำนึงหา


  ขาของผมถูกแยกออกกว้าง ก่อนที่มันจะถูกอะไรบางอย่างที่ทั้งอุ่นร้อน ใหญ่โตและน่าหวาดกลัวล่วงล้ำเข้าไปโดยที่ยังไม่เปิดทางใดๆ ทั้งนั้น แต่ผมชินแล้วล่ะ ตั้งแต่จำความได้ นี่ก็แทบจะเป็นความรู้สึกแรกที่ผมนึกถึงเกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดที่แฝงทั้งความจงเกลียดจงชัง ความแค้น ความใคร่ และความเอ็นดู


  เขาเห็นผมเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาเท่านั้น


  พ่อครางเสียงต่ำ ใช้มือลูบไล้หยาดเลือดสีข้น ละเลงมันไปทั่วร่างกายของผม ก่อนที่เขาจะก้มลงเพื่อเลียมันขึ้นมาและประกบปากผมอีกครั้ง เขากัดปากผมจนเลือดไหล กลิ่นคาวข้นอบอวลภายในปากจนเกือบสำลัก


  “บอกมาสิมิค แกรู้อะไร พ่ออยากบอกอะไร”


  ในปากผมอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวสดๆ ที่มาจากร่างกายตัวเอง ผมกลืนรสชาติคาวขึ้นจมูกนั้นลงคอไป มือก็พยายามปัดป่ายไปรอบๆ กายอย่างช้าๆ พ่อมองผมที่ยังไม่ตอบอะไรด้วยแววตานึกสนุก สิ่งที่เขาทำไม่พ้นการฝังเขี้ยวกัดแทะลงบนร่างกายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาอยู่บนเตียงเขามักจะอ่อนโยนกว่าเวลาอื่นๆ ดังนั้นผมจึงไม่ขัดขืน และปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ มีเพียงแค่ร่างกายที่เจ็บนิดเจ็บหน่อยกับจิตใจที่แตกสลายเท่านั้นเอง ผมทนมาตั้งกี่สิบปีมาแล้ว แค่นี้ไม่ทำให้ผมต้องขอร้องอ้อนวอนสวรรค์หรอก


  ช่วงล่างผมถูกกระแทกอีกครั้ง แต่มันรุนแรงกว่าเดิมมากเสียจนผมต้องเบนหน้าเหยเกหนีด้วยความเจ็บปวดแต่ก็อดทนกลั้นเอาไว้ ผมหอบหายใจช้าๆ ตั้งสติและพยายามหาจังหวะสอดรับที่เข้ากับจังหวะของพ่อ เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร กลับกันเขาดูพอใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ผมรู้สึกเริ่มผ่อนคลายลง เอื้อมแขนไปโอบรอบคอเขาไว้ ให้เขาโน้มหน้าลงมาต่ำจนได้กลิ่นวิสกี้ผสมคาวเลือดอุ่นๆ


  ผมลูบแผ่นหลังเขา ปรือตาสบมองกับนัยน์ตาอีกฝ่ายก่อนจะแย้มยิ้มออกมาช้าๆ





  “มิคเกลียดพ่อ”





  เขาหัวเราะ ยื่นปากเข้ามาซับน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ที่หางตาผม “ก็สมควรดี”


  สติของผมเริ่มเหือดหายลงแล้วทุกที มีเม็ดทรายที่เหลืออยู่ในก้นถุงน้อยลงทุกๆ เสี้ยววินาทีและมันก็จะกำลังจะหมดไปในไม่ช้า ผมกระชับมือแน่นพลางสบตากับเขาเป็นสิ่งสุดท้าย ปลายมีดที่เต็มไปด้วยเลือดเกรอะกรังซึ่งถูกกำด้ามไว้เหนือแผ่นหลังเขาสะท้อนแสงจากโคมไฟวูบวาบน่าเข้าหา ชวนให้ตระหนักถึงความเศร้าโศกและความสุขสันต์ในคราเดียวกัน



  นับจากนี้




  “แต่มิคก็ยังรักพี่ชายของมิคอยู่ดี”



  พ่อประทับริมฝีปากลง เกี่ยวเสี้ยววิญญาณของผมเอาไว้ด้วยปลายลิ้น




  ผมบอกแล้วนะคุณตำรวจ



  คุณกำลังทำลายชีวิตของเด็กคนหนึ่งให้พังลงจนไม่อาจหวนคืนสู่สิ่งใดได้อีกต่อไป




End.



จบแล้วครับบบบบบ เราชอบตอนจบแบบนี้จังเลย แต่คนอื่นคงจะไม่ 555555555
  :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นี่จบแบบแฮปปี้เอนด์แล้วรึ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
สุดจะทานทน   :mew5:

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
ง่ะ ........................ แฮปปี้เอ็นดิ้ง !!!

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โว้วววววววว มันเป็นแบบนี้นี่เอง พี่ชาย >.,<

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด