ตอนที่ 22
พาร์ตของเต
เพราะกูรักอาสาจริงๆ
เพราะกูรักอาสาจริงๆ
เพราะกูรักอาสาจริงๆเชี่ยทนายแม่งคนจริงนี่หว่า มันกล้าส่งข้อความมาหาผมแบบนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมกำลังอยู่ในช่วงเวลาทำใจ มันกล้าเสี่ยงโดนผมเกลียดเพื่อความรักของมัน แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่โกรธมันหรอก ถ้าผมเป็นมัน ผมก็ต้องหาที่พึ่งเหมือนกัน
ความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แต่สำหรับบางคู่ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือเลยยังไงก็ไม่มีวันมาเจอกัน มีความสุขกัน ปรับความเข้าใจกัน หรือคืนดีกัน
ทีนี้งานหนักก็ตกมาอยู่กับผมแล้วสินะ ทนายนะทนาย แทนที่มึงจะมาใช้งานกูในช่วงที่สภาพร่างกายกูดีๆ มึงมาให้กูช่วยตอนที่กูนอนเป็นผักเปียกๆ อยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเนี่ยนะ กูจะทำห่าอะไรได้บ้างวะ
“วันนี้แข่งโดเนทแล้วนี่หว่า” ไอ้ไมล์ซึ่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาพึมพำ มันกำลังดูโซเชียลอยู่ เห็นได้ชัดว่าวันนี้คนทั้งมหา’ลัยกระตือรือร้นกับเรื่องที่พวกหอพักชายจะแสดงศักยภาพมาก คงจะเต็มโซเชียลไปหมด “รูปทนายเต็มเลย”
“เซเลบไง”
“กูตื่นเต้นแล้วนะเนี่ย” มันวางโทรศัพท์แล้วหันมาพูดกับผมตรงๆ “ว่าจะไปตอนงานใกล้เลิก”
สำหรับผมนะ ผมไม่อยากให้มันโผล่หน้าไปด้วยซ้ำ ผมรู้ดีว่าไมล์จะเป็นยังไงเมื่อถูกอาสาปฏิเสธ มันคงจะด่าผมเลยแหละว่าทำไมผมถึงไม่ห้ามมัน
เพราะงั้นผมคงต้องชิงห้ามมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อเป็นการตัดปัญหาตั้งแต่ต้น
“เหมือนกูจะไข้ขึ้นอีกแล้วว่ะ” ผมต้องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ในปีนี้อย่างแน่นอน
“จริงเหรอ ยังไม่ดีขึ้นเลยเหรอวะ โรง’บาลห่าไรเนี่ย ย้ายมั้ย”
“มึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกูก่อนนะ”
“ป่วยแล้วอ้อนเหรอวะ”
“เสียงกูอ้อนมั้ยล่ะ”
“ก็ไม่”
“งั้นกูไม่อยู่”
สัด มันแกล้งผมเหรอ “เหี้ย กูอยากให้มึงอยู่”
“อ้อนดิวะ อ้อน อ้อนนนนนน”
ชายชาตรีอย่างผมจะไปทำเสียงอ้อนทำแมวอะไรล่ะครับ แม่งเสียเชิงชาย ผมไม่ทำ
“อยู่กับกูหน่อยนะ”
ท้ายที่สุดแล้วผมก็ยอมพูดเสียงอ่อนลงไปอีกสิบระดับ ไอ้ไมล์หัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้
“ห่า กูไม่ไปไหนหรอก”
ขอให้จริงเถอะ เรื่องเอาของไปให้อาสามึงก็ไม่ต้องไป มึงอยู่กับกูนี่แหละ
คนนกๆ ต้องอยู่กับคนนกๆ สิวะ
เวลาผ่านไป ไอ้ไมล์เริ่มจะอยู่ไม่สุข มันมองดูนาฬิกา สลับกับมองผมซึ่งแกล้งทำหน้าป่วยอยู่ เพราะผมมันก็เลยไปหาอาสาไม่ได้ ที่จริงผมก็ไม่อยากจะทำแบบนี้หรอกนะ แต่สักวันหนึ่งผมเชื่อว่ามันจะขอบคุณผม
“น้องอิ๊งเขาทักมาถามอ่ะว่ามึงเป็นไงบ้าง” ไมล์หาอะไรทำด้วยการเล่นโซเชียลไปเรื่อยๆ “น้องมันเคยกิ๊กกับมึงด้วยเหรอ”
“สามวันมั้ง”
“เฮ้ย” ไมล์ดูตกใจมาก
“เพิ่งรู้เหรอ”
“ใช่ เรื่องนี้ทำไมกูไม่รู้วะ”
“ตอนนั้นมึงยุ่งแต่กับเรื่องอาสาอ่ะ” ผมตอบพลางดูทีวีด้วยสีหน้าเฉยชา
“มึงตัดใจจากอาสาได้ไวจังวะ”
เพราะกูมีเพื่อนอย่างมึงนี่ไง กูถึงต้องรีบตัดใจ ผมลองนั่งนึกนอนนึกดูดีๆ แล้วนะ สิ่งที่ทำให้ผมจำเป็นจะต้องลืมอาสาให้ไวที่สุดไม่ใช่เพราะทนายหรือเพราะอาสา แต่เป็นเพราะไอ้หน้าจืดโลกสวยนี่ ในช่วงเวลาที่มันเดินหน้าจีบอาสา ผมเองก็ลองไปจีบๆ ดูบ้าง ผลปรากฏว่าผมดูออกว่าอาสาแม่งไม่มีใจ ช่วงนั้นจึงมีบ้างที่ผมเบนเข็มไปหาผู้หญิง หาคู่นอนไปเรื่อยเพื่อแก้เหงาไปวันๆ น้องอิ๊งเป็นหนึ่งในนั้น เธอเป็นน้องที่รู้จักกับไอ้ไมล์มาตั้งแต่มัธยม เห็นว่าจบมาจากโรงเรียนเดียวกัน
ผมยักไหล่แทนคำตอบ
“ถ้ากูได้คบกับมัน มึงจะโกรธกูมั้ยเนี่ย”
“ไม่” เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ทนายคบกับอาสา ผมไม่โกรธ โกรธไปก็ใช่ว่าอาสาจะมาชอบผมนี่หว่า
“ใจกว้างจังไอ้สัด”
“ถ้ากูคบกับอาสา มึงโกรธหรือไง” ผมย้อนถาม
“โกรธ”
“...”
“และก็อิจฉาด้วย”
“มึงชอบอาสาขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ก็ชอบไง กูถึงลงทุนทำทุกอย่างขนาดนี้” ไมล์มองหน้าผมเหมือนผมถามอะไรแปลกๆ ที่ไร้สาระ ผมถอนหายใจยาว คิดอย่างปลงๆ ว่าถ้ามันรู้ความจริงสภาพมันคงจะแย่มากๆ คนอย่างมันเติบโตมาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หน้าตาก็ดี บ้านก็รวย อยากได้อะไรก็ได้ และมีเพื่อนผู้ยอมมันทุกอย่างหนึ่งคนถ้วน ชีวิตแม่งจะดีไปไหน
บางทีแค่นั้นสำหรับไมล์อาจจะดีพอแล้วก็ได้ ไม่ต้องสมหวังเรื่องความรักอะไรนี่หรอก ปล่อยอาสาให้มันมีความสุขไปเถอะ
“ทำไมถึงชอบวะ” ผมถาม
“ก็มันน่ารัก”
“แค่นั้นน่ะนะ”
“อยู่ด้วยแล้วได้หัวเราะ”
“แล้วไงอีก”
“มองไม่เบื่อดี”
“เหตุผลแต่ละข้อของมึงนี่นะ” ผมส่ายศีรษะ เมื่อเทียบกับทนาย ความรักของไอ้ไมล์ดูเด็กน้อยไปเลยครับ ไอ้ทนายเคยบุกเดี่ยวไปช่วยอาสาที่หอสองเลยนะ มันมีความกล้ามากกว่าเด็กหอสามทุกคนรวมกัน
ผมจะพูดยังไงดีให้เพื่อนผมคนนี้มันตัดใจ
“กูว่ามึงปล่อยเรื่องให้ของอาสาไว้ก่อนดีมั้ย” ผมลองเกริ่นดู
“ทำไมวะ ฤกษ์งามยามดีมันคือวันนี้”
“ช่างหัวแม่งเถอะ เชื่อกู กูว่าอย่าดีกว่า”
“กูคิดไว้แล้ว อีกอย่างถึงมึงจะไข้ขึ้น แต่มึงก็ดูดีขึ้นมาก กูสบายใจที่จะทำเรื่องนี้แล้วล่ะ”
“ไมล์” ผมพูดอย่างจริงจัง “กูไม่รู้ว่ากูควรเป็นคนพูดกับมึงหรือเปล่า แต่กูว่ามึงลองคิดใหม่อีกทีดิ๊”
“เต วันนี้มึงเป็นไรเนี่ย ขัดกูจังเลย”
“...”
“ตอบน้องอิ๊งด้วย แม่งทักกูใหญ่แล้วเนี่ย น้องเขาคงคิดถึงมึง”
ผมจิ๊ปาก รู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสีย ใจอยากจะบอกไอ้ไมล์ตรงๆ ว่าอาสามันมีแฟนแล้ว แต่จะให้พูดยังไง เพราะอีกใจหนึ่งก็กลัวว่าผมจะปลอบไอ้เชี่ยไมล์ไม่ไหว สภาพผมไม่พร้อม พูดแป๊บเดียวผมก็เหนื่อยแล้ว อีกอย่างหนึ่งการนอนเป็นผักเปียกๆ อยู่บนเตียงตรงนี้ผมไม่สามารถจับตัวไอ้ไมล์เอาไว้ได้เลย ไม่รู้ว่าหลังจากที่มันฟังจากปากผม มันจะทำอะไรผิดๆ หรือเปล่า
“ไม่ตอบน้องอิ๊งเหรอ”
“ไม่” ผมตอบสั้นๆ “เบื่อแล้ว”
“สาด น้องโรงเรียนกู”
“นมใหญ่แต่ตื๊อฉิบหาย กูไม่โอเค”
“เลือกได้เหรอมึงน่ะ”
“กูอยู่หอสามเพราะกูหล่อนะครับ”
ไมล์พ่นลม ในที่สุดมันก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับทำหน้ายิ้มแป้นใส่ผม
“อะไรวะ” ผมชักหวาดระแวง
“กูเรียกน้องอิ๊งให้มาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้วล่ะ”
“ว่าไงนะ!”
“กูจะไปหาอาสาแล้ว ไว้ค่อยคุยกันตอนที่กูกลับมานะ”
“ไมล์”
มันพุ่งตัวออกไปแล้ว ผมรีบกดโทรศัพท์โทรออกหามันแทบจะในทันที แต่มันรู้แกว มันกดตัดสายทิ้งภายในเวลาไม่ถึงสองวินาที
ถ้าผมไม่ติดอยู่กับเตียง ป่านนี้ผมคงลากมันกลับมาแล้ว
ทนายเอ๊ย กูช่วยได้แค่นี้จริงๆ ว่ะ
“พี่เตทานผลไม้มั้ยคะ เดี๋ยวอิ๊งหั่นให้”
“...”
“หรือว่าพี่เตอยากดื่มน้ำคะ”
“...”
“อิ๊งเปลี่ยนช่องเป็นช่องที่ฉายหนังบู๊แล้วน้า อิ๊งจำได้ว่าพี่เตชอบ”
ผมง่วนแต่กับโทรศัพท์ ไม่ได้สนใจเลยว่าน้องอิ๊งจะพูดอะไรกับผมบ้าง น้องเขาก็มีความพยายามนะครับ เห็นผมไม่สนใจก็พยายามทำทุกอย่างให้ผมสนใจ
เธอยังไม่รู้ว่าผมเทเธอไปแล้ว หรือเธอแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่เนี่ย
ผมพยายามแชตไปหาไอ้ทนาย ดูเหมือนมันจะยุ่งอยู่กับการเรียกแขกซะจนลืมไปเลยว่าปัญหากำลังจะไปถึงตัวมันแล้ว ผมลองกดโทรออกหาอาสาดู มันไม่รับสายประมาณสองครั้งเห็นจะได้ จากนั้นมันถึงกดรับ
[ฮัลโหล ว่าไงเต]
ยอมรับว่าใจสั่น แต่ผมขอลืมความรู้สึกนี้ไปชั่วขณะ
“อาสา มึงเห็นไอ้ไมล์มั้ย”
[กูยังไม่เห็นมันเลยนะ]
ไอ้ไมล์ออกไปจากห้องพักผมเมื่อเกือบสามชั่วโมงที่แล้ว สมมติว่ามันขับรถอย่างเต่าคลานมากที่สุด ยังไงป่านนี้ก็น่าจะถึงมหา’ลัยแล้วนี่
“ยังไม่เห็นจริงๆ เหรอ”
[ใช่ มีอะไรหรือเปล่าวะ]
“งานแข่งโดเนทจะเสร็จหรือยัง”
[เนี่ย กำลังเก็บของกัน]
“อยู่ใกล้ทนายป่ะ”
[เดินไปหาได้]
“เรียกมันมาคุยหน่อย”
ผมชอบที่อาสาไม่เซ้าซี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอยากคุยกับทนาย มันก็ส่งโทรศัพท์ไปให้คุย ตอนนี้ผมตื่นเต้นจนถึงขนาดต้องลุกขึ้นมานั่งโดยมีน้องอิ๊งเป็นผู้ช่วยเหลือ ผมมองหน้าเธออย่างรู้สึกผิด แต่แค่ผมมองเธอ น้องอิ๊งก็ทำหน้าดีใจเหมือนผมให้รางวัลชิ้นใหญ่กับเธอไปแล้ว
ค่อยมาเคลียร์กับเธอทีหลังก็แล้วกัน
[ว่าไง]
เสียงแม่งทุ้มดีจริงๆ คนอะไรหล่อทั้งหน้าและก็เสียง
“ไมล์มันไปหาอาสาแล้วนะ”
[เฮ้ย เหรอวะ แต่ทำไมไม่เห็นเลย]
“มันออกไปเมื่อสามชั่วโมงที่แล้ว”
[กูไม่เห็นจริงๆ อาสา เห็นไมล์ป่ะ (ไม่เลย) อาสาก็ไม่เห็น]
ผมว่ามันชักจะยังไงๆ แล้วนะ ผมลองคิดไปถึงจำนวนมิสคอลล์ที่ผมฝากเอาไว้ในมือถือไอ้ไมล์ ผมโทรไปแรกๆ มันกดตัดสาย แต่หลังๆ มันไม่รับสายผมเลย
“ทนาย”
[อะไรวะ]
“เมื่อตะกี้มึงได้สวีตกับอาสาบ้างมั้ย” ผมกลั้นใจถาม
[ถามห่าอะไรเนี่ย]
“เออ ตอบมาเถอะน่า” ผมคิดไปก่อนว่าบางทีไมล์อาจจะแอบเห็นภาพที่มันสองคนสวีตกันเหมือนกับผมก็ได้
[กู...ตอบได้เหรอ] รู้กันซะขนาดนี้แล้วมึงก็ตอบๆ มาเหอะ
“เออ”
[แต่มึงจะ...]
“สัด ตอบมา”
[ก็ได้ ก่อนกูออกมาเรียกแขกรอบสุดท้าย กูให้อาสาพากูไปฉี่]
แม่ง ภาพที่ผมเคยเห็นมันเล่นซ้ำเหมือนกับเดจาวู
[มันหวงกูเพราะกูให้คนถ่ายรูปเยอะ]
“...”
[มันน่ารักกูก็เลยอดใจไม่ไหว]
“...”
[จูบ ในห้องน้ำ นั่นแหละ]
“ไอ้เหี้ยเอ๊ย ทำไมมึงสองคนต้องทำในห้องน้ำตลอด ไม่เข้าใจ”
[ยังไม่ได้ทำอย่างนั้น อย่าเพิ่งคิดลึกดิ] ตัดเรื่องนี้ทิ้งไปก่อนได้มั้ยวะ
“มึงต้องพูดประโยคอะไรบางอย่างกับอาสาแน่ๆ” ประโยคที่ทำให้คนอื่นรู้เลยว่ามันสองคนเป็นอะไรกัน
[ก็...]
“...”
[ก็บอกรักมันอ่ะ]
หมั่นไส้แม่งฉิบหายเลยโว้ยยยยยย ผมพยายามตัดความร้อนรุ่มปนอิจฉาออกไป ก่อนจะเริ่มพูดถึงประเด็นหลักที่ผมโทรมาหา
“กูว่าไมล์มันเห็นมึงสองคนว่ะ”
[อะไรนะ]
“เหมือนกับที่กูเคยเห็น”
[พูดเป็นเล่น]
“ไม่งั้นมันจะหนีหน้ากูแบบนี้ทำไม”
[อาสา ฉิบหายแล้ว] มันไม่ได้พูดกับผมครับประโยคนี้ [ไมล์รู้แล้ว มันแอบเห็นพวกเรา (เหี้ยยยยยยยยยยยย แล้วมันอยู่ไหน) ไม่รู้ (ฉิบหาย กูตายแน่ กูตายแน่ๆ)]
ใครบอกว่านางฟ้าประจำหอพักชายคืออาสาครับ ไม่จริงแล้วล่ะ คนที่ทำให้นางฟ้ายอมจริงๆ ต่างหากคือนางฟ้าที่แท้จริง คนคนนั้นก็คือไอ้สัดไมล์นี่แหละ
ตอนนี้เพื่อนทุกคนปวดหัวเพราะมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ออกไปตามหามันทีดิ๊”
[ต้องไปตามที่ไหนวะ]
“ไม่รู้ว่ะ ตามร้านเหล้า ร้านพี่น้อยไรงี้”
[เออๆ]
“...”
[กูขอโทษนะเต]
“สัด เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องไอ้ไมล์ก่อน”
[อืม]
“ได้เรื่องยังไงโทรมาบอกด้วยนะ”
[ได้]
“ไม่ต้องให้เรื่องถึงพี่อ้ายนะเว้ย”
[กูรู้น่าว่าต้องทำไง]
ผมกดวางสายไปแล้ว รู้สึกอยากถอดสายน้ำเกลือและก็เดินออกไปตามหาไอ้ไมล์ด้วยตัวเอง แต่ผมทำอย่างนั้นไม่ได้
สัดไมล์มึงไปอยู่ที่ไหนของมึงวะ
18.36 น.
น้องอิ๊งกลับไปแล้วครับ หลังจากใช้ความพยายามเรียกร้องความสนใจจากผม ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้และหันหลังกลับไป มีการพูดกับผมทิ้งท้ายด้วยนะว่าโทรมาหาเธอได้เสมอเวลาเหงา นี่เธอถูกใจอะไรในตัวผมหรือเปล่าครับนี่
ทนายยังตามหาตัวไอ้ไมล์ไม่เจอ ไม่มีความคืบหน้า ผมกดโทรออกหาไอ้ไมล์เป็นรอบที่ล้าน ไม่ว่าจะยังไงมันก็ยังไม่ยอมรับสาย ผมกระหน่ำไลน์ไปหามันด้วย แต่มันก็ไม่อ่าน
ผมบอกทุกคนแล้วว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะรับมือคนโลกสวยอย่างไมล์ตอนเจอเรื่องผิดหวังไม่ได้ พอคิดไปต่างๆ นานาผมก็อดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ ไมล์มันหลงใหลอาสามาก ยิ่งมีช่วงที่มันคิดว่าอาสามีใจยิ่งแล้วใหญ่ ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายตัวเอง
เสียงโทรศัพท์ของผมดัง คนที่โทรเข้ามาก็คือทนาย
[สัดเต ไม่เจอว่ะ]
“เหี้ย” ผมแทบจะเอาตีนมาก่ายหน้าผาก
[มึงต้องรู้สิว่ามันอยู่ไหน]
“คราวนี้กูไม่รู้จริงๆ ว่ะ”
[กูกับอาสาตามหาทั่วมอแล้ว]
“...”
[มันจะร้องไห้แล้วเนี่ย (เปล่าสักหน่อย)]
เสียงปลายสายของอาสาดูแฝงไปด้วยความกังวล
“มึงอย่าปล่อยให้มันร้องไห้”
[แม่ง เครียดว่ะ]
“...”
[กูทำให้ความเป็นเพื่อนระหว่างพวกมึงพัง]
คนที่ทำพังคือกูกับไมล์ต่างหาก ไม่ใช่มึง
“ไว้ค่อยมาคุยเรื่องนี้ทีหลัง”
[...]
“ลองพยายามหาตัวมันอีกทีนะ”
[อืม]
20.14 น.
[เตไหน เตเพื่อนไมล์เหรอ]
“ครับพี่เมษ ไอ้ไมล์มันได้โทรหาพี่บ้างป่ะ”
[มันไม่โทรหากูมานานแล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]
“เปล่าครับพี่”
[เงินมันหมดเหรอ]
“ไม่ใช่ครับ”
[อะไร เกิดอะไรขึ้น]
“แค่นี้ก่อนนะครับ”
[ฮัลโหล]
“มอส นี่พี่เต เพื่อนไอ้ไมล์นะ”
[อ้าวพี่เต โทรมามีอะไร]
“เดี๋ยว เรียนพิเศษอยู่เหรอ”
[ช่าย]
“โทษที พี่ไม่กวนแล้ว”
[คุยได้พี่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า]
“ไอ้ไมล์ได้ติดต่อมอสไปบ้างป่ะ”
[คุยกันสองสามวันก่อน พี่ไมล์บอกว่าให้ผมเตรียมรับพี่สะใภ้]
“งั้นแปลว่าไม่ได้คุยกันวันนี้”
[ครับ มีไรป่ะเนี่ย ผมตกใจนะ]
“ไม่มีอะไร ตั้งใจเรียนพิเศษไป”
[ครับๆ]
“ฮัลโหลแม่ครับ ผมเต เพื่อนไมล์ที่มหา’ลัยนะครับ”
[เตเหรอ เอ๊ะ คนไหนนะ คนที่หล่อๆ หรือว่าคนที่ตัวขาวๆ]
“คนที่เอ่อ...”
[อ๋อ คนหล่อๆ ตัวสูงๆ หน้าดุๆ หน่อยใช่เปล่า]
“ครับ”
[มีอะไรหรือเปล่าคะลูก]
“ไมล์ได้กลับบ้านวันนี้หรือเปล่าครับ”
[เจ้าไมล์ไม่ได้กลับมาหรอก ลูกที่อยู่บ้านกับแม่ตอนนี้มีแต่เจ้ามอสคนเดียว นี่อย่าลืมบอกไมล์ให้กลับบ้านมาหาแม่บ้างนะ แม่คิดถึง]
“เฮ้อออออ”
[เอ๊ะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะเนี่ย]
“เอ่อ ไม่มีครับ ขอบคุณมากนะครับแม่”
[ฝากทักทายคนตัวขาวๆ ด้วยนะ เอ๊ะ ชื่ออะไรนะ]
“อาสาครับ”
[ไมล์ชอบเพื่อนคนนี้มากเลย]
“ได้ครับแม่”
21.48 น.
ผมรู้สึกปวดหัวจนใกล้จะบ้า ผมใช้งานโทรศัพท์หนักมากจนต้องชาร์จไปใช้ไป อาสาเพิ่งโทรมาหาผมหลังจากที่ผมพยายามติดต่อครอบครัวไอ้ไมล์ มันบอกว่าหายังไงก็หาไม่เจอ และยังบอกด้วยว่าฝากความหวังเอาไว้ที่ผม ถ้าผมไม่รู้ก็ไม่มีใครรู้ เพียงแค่ผมบอกมา มันจะเป็นคนไปตามตัวไมล์ให้เอง
แปลกแต่จริงที่ผมไม่รู้ว่ะ
TAECHIT : ไมล์ อย่าหนีปัญหาเหมือนเด็ก
TAECHIT : มีไรมาคุยกันผมด่าในสิ่งที่มันเกลียดที่สุด แต่มันก็ยังไม่อ่านข้อความของผมอยู่ดี ผมเครียดจนขยี้ผมตัวเองจนยุ่ง ไมล์มันควรจะอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ผมห่วงมันจนคิดไปไกลแล้วว่าตอนนี้สภาพมันคงแย่มาก
อย่างน้อยมันก็ต้องมีเพื่อนอยู่ด้วยสักคนสิ
ผมส่องไอจีและเฟซบุ๊กของมันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ วันนี้ยังไม่มีการอัพเดตเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผมไม่สงสัยเลย แต่เอ๊ะ...ผมเห็นรูปหนึ่งรูปซึ่งอาสาเป็นคนแท็กมันมา
รูปตอนที่พวกมันสองคนติวกันอยู่ที่ร้านคาเฟ่ยี่สิบสี่ชั่วโมง
ผมจำได้ว่าตอนผมเห็นรูป ผมบีบโทรศัพท์แน่น ความรู้สึกในตอนนั้นมีทั้งปลง ทั้งอิจฉาปนๆ กันไป แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกรักรูปนี้ขึ้นมา
ไมล์เล่าว่ามันรักช่วงเวลาที่ได้อยู่กับอาสาในร้านนั้นมาก มันพยายามถ่วงเวลาทุกวิถีทาง หน้าด้านให้อาสาอยู่ต่อทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายง่วง อยากกลับห้อง
ถ้าไม่ใช่ที่นี่ก็คงไม่มีที่อื่นแล้วล่ะ
ผมเตรียมจะกดโทรออกหาทนายหรือไม่ก็อาสาเรื่องให้มันไปตามไอ้ไมล์ที่ร้านนี้ แต่แล้วผมก็ชะงัก เพราะลองนึกภาพไอ้ไมล์มันเหวี่ยงต่อหน้าเพื่อนทั้งสองคน ยังไงมันก็คงไม่มีทางใจเย็นง่ายๆ แน่ เพราะงั้น...ผมนี่แหละต้องเป็นคนไปหามัน
แต่จะไปยังไงดีล่ะ...
22.53 น.
กว่าผมจะออกมาจากโรงพยาบาลได้ก็เสียเวลาไปมาก ไหนจะต้องหลบหมอ หลบพยาบาล และก็หลบยาม บอกได้เลยว่าเหนื่อยจนแทบจะเป็นลม ผมพยายามรื้อค้นหาชุดของตัวเองในห้องพัก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงได้แต่สวมแจ็กเก็ตทับชุดผู้ป่วย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้สะดุดตาพลเมืองดีที่ไหนทั้งนั้น เพราะกลัวเขาจะจับผมกลับไปยังโรงพยาบาลที่ผมหนีออกมา
ผมขอตามหาเพื่อนก่อนก็แล้วกันครับ
ไอ้ฝนเหี้ยนี่ก็ตกได้ถูกเวลาเหลือเกิน ตัวของผมเปียกอย่างกับลูกหมา รู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัวจนแทบขาดใจ ตอนที่เดินเข้าไปในร้านนั้น ผมตัวสั่นงันงกเพราะทั้งหนาวและก็เหนื่อย
ไมล์นั่งอยู่ตรงนั้น ในที่ที่มันกับอาสาเคยนั่ง ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มันตกใจใหญ่ที่เห็นผม และตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นสภาพผม
“เต!”
“อืม” ผมรับคำพูดของมันได้แค่นั้น
“เหี้ย ทำไมมึงถึงได้...”
“บ้าระห่ำเหรอ” ผมแกล้งหัวเราะ แม้สภาพผมใกล้จะเดี้ยงแล้ว
“สัดเอ๊ย!” ไมล์ถอดเสื้อนอกของตัวเองมาคลุมตัวผมเอาไว้
“กูต่างหากที่ต้องด่ามึง เป็นฟวยไร”
“ก็กู...” มันทำหน้ายากเกินกว่าผมจะเข้าใจ “กูโมโห กูหงุดหงิด กูผิดหวัง กูเสียใจ กูอับอาย กู...”
“พอ” ผมหอบหายใจ เอื้อมมือไปแตะไหล่ของมัน “บอกแล้วไงว่ากูอยู่นี่”
“มึงรู้มาก่อนแล้วใช่ป่ะ” นัยน์ตาของไมล์ดูสลดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน “แล้วมึงก็พยายามห้ามกูด้วย”
“อืม”
“แต่กูก็ไม่ฟังมึง”
“อืม”
“กูเป็นห่วงมึงว่ะ กลับโรง’บาลกันเหอะ”
ผมจับแขนของมันเอาไว้ตอนที่มันทำท่าจะลุก “อยู่จนกว่ามึงจะรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยกลับ”
“เต ถ้ามึงเป็นไรเพิ่ม กูจะรู้สึกผิดฉิบหายเลยนะ”
“มึงควรรู้สึกผิดตั้งแต่ตอนที่มึงไม่รับสายกูแล้ว”
“...”
“กูบอกแล้วไงว่ามึงยังมีกูอยู่ อีกอย่างมึงอาจจะรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่มึงก็ต้องเข้มแข็งด้วย มึงดูสภาพกูดิ” ผมขยับตัวให้มันเห็นถึงความพังของร่างกายผม “หมอต้องฆ่ากูแน่ๆ”
“สาดดดด” ตอนนี้ไมล์มันรู้สึกผิดกับผมมากกว่าโกรธเรื่องทนายกับอาสาแล้วล่ะครับ “ไป กลับโรง’บาลกัน”
“มึงรู้สึกดีขึ้นยังล่ะ”
“ก็ยัง”
“งั้นอยู่ต่อ”
“มึงจะบ้าเหรอ”
“มึงชอบที่นี่ไม่ใช่เหรอ” ผมพูด “คนเราควรอยู่ในที่ที่เราสบายใจ”
“กูแค่มาระลึกถึงความทรงจำเฉยๆ”
“...”
“ไหนๆ ก็มีแต่กูที่จำอยู่คนเดียว”
“...”
“กูอายมากเลยว่ะเต ถ้าอาสาบอกปัดกู กูคง...อาย”
“จริงๆ มึงควรเจ็บปวดหรือผิดหวังนะ ทำไมมึงอายล่ะ”
ไมล์มองหน้าผมก่อนจะกะพริบตาปริบๆ “นั่นสิ”
“มึงชอบอาสาจริงหรือเปล่าเนี่ย”
“ก็...ชอบสิวะ”
“แป๊บนะ” ผมกดโทรศัพท์โทรออกหาไอ้ทนาย ระหว่างนั้นไอ้ไมล์ก็ยกมือเรียกพนักงานของร้านให้หาผ้าขนหนูสะอาดมาให้ผม ที่พนักงานบริการดีขนาดนี้อาจเป็นเพราะตกใจกับสภาพผมด้วยล่ะมั้ง ไมล์บอกให้เธอสบายใจว่าผมกับมันจะอยู่กันอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น
ทนายรับสายแล้ว ผมจึงกดเปิดลำโพง
[ฮัลโหล เจอไมล์แล้วเหรอ]
ไมล์ทำหน้าถมึงทึงพลางจะลุกหนี แต่ผมพยายามจับมือมันเอาไว้ให้นั่งอยู่ต่อ
“ยัง” ผมโกหก
[มีไรป่ะวะ นี่กูกับอาสากำลังจะขับรถออกไปนอกตัวจังหวัดแล้ว ไว้ค่อยคุยกันได้ป่ะ]
ไมล์อ้าปากค้าง ผมจ้องหน้ามันอย่างจริงจังพร้อมขยับปากว่า ‘พวกมันเป็นห่วงมึง’
“มีเรื่องจะถามนิดหน่อยว่ะ”
[ตอนนี้เหรอ]
“เออ”
[อาสาครับ ถือโทรศัพท์ให้หน่อย]
เสียงกุกกักดังขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้กลายเป็นว่าเราทั้งสี่คนกำลังอยู่ในสายเดียวกัน
[ว่ามา]
“มึงชอบอาสาเพราะอะไรวะ”
[คำถามอะไรของมึงอีกแล้วเนี่ย]
“ตอบๆ กูมาเหอะ”
[มันนั่งอยู่ข้างๆ จะให้กูตอบไง]
“ทำเหมือนมันไม่ได้ยินสิ”
[ก็เอ่อ...กูอยากปกป้องมัน] ผมมองหน้าไมล์ตอนที่ทนายมันตอบ
“เพราะอะไรล่ะ”
[มันดูน่าปกป้องอ่ะ]
“ไม่ใช่เพราะมันหน้าตาน่ารักเหรอ”
[ก็ส่วนหนึ่ง เดี๋ยว นี่มึงถามกูเรื่องนี้ทำไม จะเอาไปเขียนคอลัมน์เหรอ]
“ตอบกูก็พอ อย่าบ่นนักเลยน่า”
[กูเขินนะ มันอยู่ข้างๆ กูเนี่ย ไอ้สัด]
“อาสา มึงปิดหูแป๊บดิ๊”
[...] อาสาไม่ตอบ นี่อย่าบอกนะว่านั่งเขินอยู่เหมือนกัน ไมล์กลืนน้ำลาย แม้ว่าสีหน้ามันจะดูไม่ดีแต่มันก็ตั้งใจฟัง
“แล้วไงอีก”
[กูชอบที่จะได้ดูแลมัน มันเป็นคนฮอตมาก มีคนชอบเยอะมากก็จริง แต่สำหรับกู กูไม่ได้ชอบมันที่ตรงนั้น]
“...”
[กูมองว่ามันน่าสงสาร]
“...”
[คนอื่นมองว่ามันเป็นนางฟ้า สำหรับกูมันก็เป็นนางฟ้าแหละ มีคนมองมันชื่นชมมันมากมาย แต่ไม่เห็นจะมีใครกล้าเข้ามาปกป้องดูแลมันสักคน]
ไมล์ทำสีหน้าสลด ผมเองก็สะอึก ผมกับมันชอบอาสาก่อนทนายแท้ๆ แต่ปล่อยปละละเลยให้มันนกกับคนนั้นคนนี้ ไม่สนใจว่ามันจะรู้สึกยังไง
เราสองคนไม่ได้ทำห่าอะไรเลยตอนที่อาสาเจ็บใจ เพราะมัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่อยู่ได้ แต่ทนายมันไม่กลัว มันกล้าที่จะกลืนน้ำลายตัวเอง กล้าทรยศพวกผม และกล้าทำในสิ่งที่พวกผมต้องด่ามันแน่ๆ มันกล้าเสียสละตรงนั้นเพื่อให้ได้ดูแลและปกป้องอาสา
มันมีสิ่งที่ผมกับไมล์ไม่มี
“มึงพร้อมที่จะปกป้องอาสาทุกสถานการณ์ว่างั้น”
[พร้อมดิ]
“มึงคิดว่ากู ไอ้ไมล์ และก็มึง ใครรักอาสามากที่สุด” ไอ้ไมล์อ้าปากพะงาบๆ พร้อมชี้หน้าด่าผม หาว่าผมถามอะไรที่โคตรไม่สร้างสรรค์
ทนายเงียบไปพักหนึ่ง ผมได้ยินเพียงเสียงเคลื่อนตัวของรถจนกระทั่งมันตอบกลับมาอีกครั้ง
[กูไม่แน่ใจในเรื่องนี้นะ แต่ถ้าจะให้แข่งกูก็พร้อมจะสู้]
“...”
[แฟนกู กูก็รักของกูมากป่ะวะ]
ไมล์กดวางสาย มันฟุบหน้าลงกับโต๊ะคล้ายกับคนสิ้นหวัง ฝั่งนู้นคงจะงงแหละว่าโทรมาถามอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ตัดสายไปซะดื้อๆ
“มึงไม่เจ็บเหรอ” ไมล์รำพึง
“เจ็บ” ผมตอบ
“แต่มึงเจ็บกว่า...กูต้องทำเป็นไม่เจ็บ”มันหันมามองหน้าผมพร้อมทำสีหน้าใกล้จะร้องไห้ แต่ไม่ร้อง
“กูผิดเอง”
“...”
“จริงๆ ไม่มีใครมาแทรกกลางเรื่องของกูกับอาสา กูต่างหากที่ไปแทรกกลางเรื่องของคนอื่นเอง”
“ทำใจเถอะนะ” ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองจับมือไอ้ไมล์เอาไว้ตลอด มันบีบมือผมแน่นขึ้นก่อนจะฟุบหน้าลงไปอีกครั้ง
เดี๋ยว ไอ้สัด มือกู...
ผมปล่อยมันไปดีกว่า อยากจับมือผมก็จับไป เพราะผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกดี ความรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างๆ ในเวลาที่เราเจ็บใจ เจ็บกาย และก็เปียกฝนอย่างกับลูกหมา
“ไปกันเถอะ” มันกระตุกมือผมให้ลุกขึ้นยืน
“ไปไหน”
“กลับโรง’บาล”
“แต่...”
“มึงจะตายอยู่แล้ว กูไม่ยอมให้มึงตายหรอกนะ”
ผมยังไม่ได้ป่วยถึงขั้นนั้นสักหน่อย แต่ก็ยอมๆ มันไปเพราะในที่สุดไอ้ไมล์ก็ใจเย็นลง ตอนอยู่ที่หน้าร้าน ผมกับมันมองหน้ากันว่าจะเอายังไง เพราะฝนยังไม่ยอมหยุดตกเลย
“เดี๋ยวกูวิ่งไปเอาร่มที่รถ”
“สัด ไม่เอา กลับเข้าร้านดีกว่า” ฝนตกหนักขนาดนี้ มันออกไปไม่ถึงสองวิก็คงเปียกไปทั้งตัวแน่ๆ
“มึงต้องกลับโรง’บาล”
มันวิ่งฉิวออกไปแล้ว ผมได้แต่มองตามด้วยสายตาละห้อย ปกติแล้วควรจะสลับกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องเป็นฝ่ายวิ่งไปเอาร่มมารับคุณชายแน่ๆ แต่วันนี้คุณชายได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตั้งแต่ที่ผมเจ็บตัว มันก็เปลี่ยนไปเยอะเลยครับ
ผมว่ามัน...น่ารักขึ้นนะ
TBC*