Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7  (อ่าน 103229 ครั้ง)

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




---------------------------------------------------------------------------------------
Just Before Sunrise
เมื่อตะวันฉายแสง
#ซันโช







เขาเหมือนกับดวงตะวันในยามเช้า

ที่ส่องสว่าง... ทว่าไม่แผดเผา

ฉายแสงอบอุ่น...

ขณะโอบกอดหัวใจของผมอย่างอ่อนโยน




----------------------------------------------------------
Part I : ก่อนตะวัน

Part II : หลังตะวัน

Part III : หลงตะวัน  


- Fin -




----------------------------------------------------------------------


นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของตัวละครที่เคยปรากฏตัวในเรื่อง Just Another Guy  (#เชนตรี) ค่ะ
ซันเพื่อนซี้ที่ตรีเคยแอบรัก กับน้องตี๋โชที่แอบรักตรีอีกทีหนึ่ง 55555
ไทม์ไลน์ของทั้งสองเรื่องพัวพันกันเล็กน้อย แต่จะพยายามไม่ให้งงนะคะ
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
จะพยายามมาอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนค่ะ

ปล. ติดตามการอัพเดตได้ที่แฟนเพจ makok_num นะคะ (พอดีไม่ได้แยกเพจของอีกนามปากกา แฮ่)


ขอบคุณค่ะ

-- Martian --
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2017 20:33:02 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทนำ [ 15/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #1 เมื่อ15-04-2017 01:04:12 »

บทนำ


“พี่โม หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้เจ้าของร้านคนสวยทันทีที่เปิดประตู ก่อนจะเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ด้วยความคุ้นเคย

“อ้าวซัน มาพอดี มาช่วยพี่ชิมกาแฟสูตรใหม่หน่อยสิ” พี่โมที่ง่วนอยู่กับการชงกาแฟเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างกวักมือเรียกให้ไปชิมกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จพอดี

แล้วมีเหรอที่คนน่ารักอย่างผมจะปฏิเสธ สาวเท้าเดินไปหาพี่โมอย่างเร็วด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจ่อริมฝีปาก รับกลิ่นหอมละมุนเป็นลำดับแรก แล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย

“หืม อร่อยยย” ผมเบิกตากว้าง แทบจะตะโกนด้วยความตื่นเต้น

ถึงจะไม่ใช่คนช่ำชองเรื่องกาแฟนัก แต่ประสบการณ์การทำงานที่ร้านมาร่วมสองปีก็ทำให้พอจะแยกแยะได้บ้างว่ากาแฟแบบไหนอร่อย หรือแบบไหนไม่ต่างจากน้ำล้างจาน
   
ซึ่งส่วนใหญ่กาแฟในร้านล้วนผ่านการคัดสรรจากเมล็ดกาแฟคุณภาพดี นำมาคั่วในอุณหภูมิพอเหมาะ บดอย่างพิถีพิถันและกลั่นออกมาเป็นกาแฟที่หอมกลุ่นรสชาติขมทว่าละมุนลิ้น ถ้าได้ลองชิมครั้งเดียวก็คงจะติดใจ เหมือนผมนี่ไง ชิมไปชิมมากลายเป็นเบ๊เขามาจะสองปีเข้าไปแล้ว อร่อยระดับนั้นเลยจริงๆ
   
ครับ... กำลังไท-อินสินค้ากันหน้าด้านๆ เลย
   
“ขนาดพี่เพิ่งฝึกทำซันยังทำตาวาวขนาดนี้ ถ้าได้ชิมฝีมือคนคิดสูตรไม่น้ำตาไหลเลยเหรอ” พี่โมเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะเมื่อผมจิบกาแฟอีกรอบแล้วยกนิ้วโป้งให้รัวๆ
   
“หืม หมายถึงใครอ่ะพี่” ผมถาม วางกาแฟที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วลงบนเคาน์เตอร์

“โชน่ะ” พี่โมยิ้มกริ่ม หยิบกาแฟขึ้นไปจิบบ้างแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางภูมิใจ

ทำไมผมไม่แปลกใจเลยวะพอได้ยินว่าเป็นฝีมือใคร

ส่วนผสมที่ลงตัวจนกลายเป็นรสชาติที่หอมกรุ่นหวานละมุนขนาดนี้ เท่าที่ผมรู้จักก็มีแต่ไอ้ตี๋เท่านั้นแหละครับที่ทำได้

“พี่ว่าจะเริ่มทำตัวนี้ขายอาทิตย์หน้า ซันว่าดีมั้ย”

“ดีครับพี่ แต่อยากลองชิมฝีมือไอ้ตี๋อ่ะ มันยังไม่มาเหรอ” ผมถาม ชะโงกหน้ามองอีกคนที่ไม่เห็นอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้วย

“โชอยู่หลังร้าน เดี๋ยวพี่ไปตามให้แล้วกัน จะไปเอาเมล็ดกาแฟมาเพิ่มด้วย”

“ขอบคุณคร้าบ” ผมลากเสียงยาวอย่างทะเล้น พี่โมเลยส่ายหน้าเอือมๆ แล้วตีมาที่แขนผมทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้าน ทิ้งให้ผมเฝ้าเคาน์เตอร์คนเดียว

เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงสอบ ลูกค้าช่วงดึกจึงมีไม่มากเท่าไหร่ ยิ่งเที่ยงคืนแบบนี้ลูกค้าคนสุดท้ายเพิ่งจะเดินออกจากร้านไป ทำให้บรรยากาศเงียบเหงายังไงชอบกล

แต่ไม่นานก็มีลูกค้าใหม่เดินเข้ามา ตอนที่ผมเก็บแก้วและเช็ดตัวที่เพิ่งว่างเสร็จพอดี

“สภาพมึงนี่ ยับเยินกว่านี้ก็ผ้าขี้ริ้วเถอะ” คำทักทายที่บ่งบอกถึงความคุ้นเคยถูกเอ่ยออกจากปากเมื่อร่างพังๆ ของไอ้เพื่อนรักเดินเข้ามาในร้าน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ

ลูกค้าประจำยามดึกที่มานั่งลืมตาครึ่งเดียวจ้องหน้าจอแล็ปท็อปของตัวเองจนถึงเช้า

“ไง” ใช้เวลาประมวลผลอยู่นานกว่าไอ้เอ๋อตรีจะเอ่ยคำทักทายออกมา

ถ้าลำบากก็ไม่ต้องก็ได้นะมึง สงสาร

“เหมือนเดิมใช่ป่ะ” ผมว่าไม่ต้องรอให้มันพยักหน้าเฉื่อยๆ กลับมาก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ วางแก้วกาแฟเปล่าลงซิงค์ แล้วเริ่มชงชามิ้นต์เย็นๆ ให้มัน

ไอ้ตรีมันไม่ค่อยกินกาแฟครับ ทำงานหามรุ่งหามค่ำยังไงก็น้อยครั้งที่จะพึ่งคาเฟอีนที่มากับรสชาติปนขมของกาแฟ ผมเลยเสนอว่าให้มันกินชาที่มีคาเฟอีนเหมือนกัน แต่รสชาติหลากหลายกว่า น่าจะถูกปาก และพอมันขออะไรก็ได้เย็นๆ ผมเลยเลือกชามิ้นต์ที่เย็นไปถึงลำไส้ให้มัน จนติดใจมาจนถึงทุกวันนี้

ใช้เวลาสักพักก็ได้ชามิ้นต์เย็นๆ มาเสิร์ฟให้ไอ้เพื่อนซอมบี้ที่เปิดแล็บท็อปขึ้นมาคลิกเม้าส์รัวๆ จนแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับเสียงเพลงของร้าน

ดูเหมือนพอขึ้นปีสี่งานไอ้ตรีจะหนักขึ้นไปอีกเท่าตัว ได้ข่าวว่าเทอมนี้มันต้องออกแบบโรงแรมเป็นสิบๆ ชั้นที่พ่วงห้างสรรพสินค้าเข้าไป ตอนได้ยินก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันยากยังไง เพราะที่บ้านผมทำธุรกิจโรงแรม ก็เห็นห้องแม่งก็เหมือนๆ กันไปหมด แต่พอมันมาถามเรื่องนู้นเรื่องนี้พวกรายละเอียดยิบย่อยเรื่องระบบการจัดการ ก็รู้ทันทีว่าการที่ที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมไม่ได้ทำให้ผมฉลาดเรื่องโรงแรมเลยสักนิด มิน่าถึงได้ถูกเฉดหัวออกมาไม่ถูกบังคับให้สานต่อธุรกิจเหมือนพวกพี่ชาย

“เอาจริงๆ นะ กูว่ามึงควรนอน” ผมพูดกลั้วหัวเราะพลางยื่นมือไปผลักหัวไอ้ตรีที่เหมือนตาจะปิดเต็มที

นี่มึงมานั่งฝืนสังขารอยู่ทำไมเนี่ย

“พรุ่งนี้กูต้องส่งงาน” มันตอบสั้นๆ ทิ้งระยะเหมือนประมวลผลไม่ทันเหมือนเคย ผมเลยหัวเราะออกมาอีก เห็นแบบนี้แล้วอยากจะแบ่งเวลานอนให้แม่งสักสิบชั่วโมง

ถึงจะไม่ใช่ช่วงสอบ แต่ก็อย่างที่มันบอกว่ามีงานต้องส่ง ไอ้ตรีเลยมาเกือบทุกวัน มันบอกว่าช่วงนี้สตูดิโอที่คณะมันตัดไฟหลังสี่ทุ่ม เลยไม่สะดวกที่จะทำงาน ทำที่หอก็ไม่ได้ เพราะนอกจากเตียงนอนจะทำให้เสียสมาธิ ยังมีคนที่ทำให้เสียสมาธิอีก

นั่นไง พอคิดถึงก็มาเลย ผมผงกหัวทักทายร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามา ก่อนจะหันไปบอกคนที่น่าจะคิดถึงกว่าให้รู้ตัว

“ไอ้ตรี พี่เชนมา” ว่าพลางยิ้มแซว ไอ้เพื่อนตัวดีละสายตาจากหน้าจอแล็ปท็อปหันไปมองประตูร้านที่ถูกเปิดออกด้วยร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่ถูกปลดเนกไทกับกระดุมเม็ดบนลงมาลวกๆ สูทตัวนอกถูกถอดออกมาถือไว้เหมือนร้อนจนทนไม่ไหว ใบหน้าคมดูอิดโรยมาแต่ไกล ไม่แพ้คนที่ส่งยิ้มบางๆ ไปให้เป็นการทักทาย

นี่มันคู่รักซอมบี้ชัดๆ

กำลังแข่งกันว่าใต้ตาใครจะคล้ำกว่าเหรอวะ

“หวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่เชนที่เดินมาที่เคาน์เตอร์แล้วยื่นเงินให้โดยไม่ต้องเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มใดๆ

เอสเพรสโซ่ร้อนเหมือนเคย

กินตอนนี้กะจะตาค้างยันเที่ยงคืนของอีกวันเลยหรือไงพี่ผม

“งานเป็นไงบ้างพี่” ผมยื่นเงินทอนให้พร้อมกับถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาน้องรหัสที่ดี พี่เชนแค่ยักไหล่ตอบกลับมาไม่ว่าอะไร แต่เห็นหน้าตายุ่งๆ แบบนี้ก็เป็นคำตอบได้อย่างดีว่าชีวิตการทำงานที่พี่ผมกำลังเผชิญอยู่เป็นยังไง

นี่ขนาดทำงานบริษัทพ่อตัวเองนะครับ ไหงสภาพยับเยินขนาดนี้

คิดเงินเสร็จผมก็เอ่ยแซวพี่รหัสพอเป็นพิธีก่อนจะมองแผ่นหลังแมนๆ ที่แสนอิจฉาเดินไปหาหวานใจที่หันกลับไปทำหน้าง่วงใส่จอแล็ปท็อปอีกรอบเรียบร้อย แต่แทนที่จะนั่งลงตรงข้ามกันเหมือนทุกที พี่เชนกลับยืนอยู่หลังไอ้ตรี มองมันนิ่งๆ พักหนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ ร้านที่ว่างเปล่า แล้วหันกลับมาหาผมที่เลิกคิ้วงงๆ

“?” อะไรของเขาวะ

“ไอ้ซัน” เขาว่าพลางชี้มือไปด้านหลัง

“ฮะ?” ซึ่งผมก็โง่หันตามมือพี่แกไปทันที

แต่ก็ไม่เจออะไรนอกจากความว่างเปล่า กำลังจะหันกลับมาถามว่ามีอะไร ก็เห็นว่าเจ้าตัวเพิ่งยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ในขณะที่เพื่อนผมนั่งเบิกตากว้าง กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วมองแฟนตัวเองแน่นแล้วก้มหน้างุดลงอีกครั้งจนคางแทบจะชิดกับคอ

ขึ้นสีแดงตั้งแต่หูยันคอขนาดนี้ ไม่ต้องก็รู้ว่าเมื่อกี้พี่เชนทำอะไร

แหม่... แผนสูงจังเว้ย

พี่ผมเองครับ พี่ผม

“เหนื่อย” ผมมองพี่เชนที่ตีหน้ามึนเดินล้วงกระเป๋าไปนั่งฝั่งตรงข้ามไอ้ตรีพลางบ่นเบาๆ แล้วอดแซวขำๆ ไม่ได้

“โห่ เนียนนะครับ” แต่มีหรือที่พี่รหัสผมจะแคร์ พี่แกไม่หันมามองหน้าผมด้วยซ้ำ แค่หยิบเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจ

เสียงนกเสียงกาชัดๆ เลยกูเนี่ย

“วันหลังไล่ผมไปหลังร้านเลยก็ได้นะพี่ ไม่ต้องเกรงใจ” ผมยังแซวต่อกลั้วหัวเราะ จนไอ้เพื่อนตัวดีที่เงียบอยู่หลายวินาทีตั้งสติได้แล้วกันมาตีหน้าเข้มใส่

“หุบปากไปเลยมึง” 

แหมที่งี้ทำเป็นตาสว่าง ท่าทางจูบพี่เชนจะฤทธิ์แรงกว่าคาเฟอีนในชาอีกนะนั่น

อยากจะแซวต่ออยู่หรอก แต่เห็นหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกของแม่งก็ขำจนไม่จำเป็นต้องแซวละ ผมเลยหัวเราะเสียงดังทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวไปชงกาแฟ

“...!” แต่ก็ต้องชะงักไปอีกรอบ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูเชื่อมหลังร้านพอดี

ประตูที่เปิดไม่ถึงครึ่งดี กับสีหน้าแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้อีกนั่นแหละว่ามันเห็นช็อตเด็ดที่ผมพลาดเข้าเต็มๆ

ชิบหายมาก... มึงมาถูกจังหวะได้ชิบหายมากเลยตี๋

ผมขมวดคิ้ว มองหน้าคนที่ซ่อนอยู่หลังประตูจนรู้ตัว หันมาสบตาด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร สักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเปิดประตูออกมายืนหลังเครื่องทำกาแฟ

“ผมชงเอง” ว่าแล้วก็เริ่มชงกาแฟโดยที่ไม่ต้องถามสักคำว่าพี่เชนสั่งอะไร

“...” ในขณะที่ผมยังคงมองเสี้ยวหน้าด้านข้างนั้นอย่างพยายามจะอ่านความรู้สึก

จนกระทั่งเอสเพรสโซ่ร้อนมาวางอยู่ตรงหน้า พร้อมกับคนทำที่หันกลับมาเลิกคิ้วงงๆ พยักเพยิดไปทางกาแฟแล้วออกคำสั่ง

“เอาไปเสิร์ฟสิครับ”

“...” แต่ผมยังยืนนิ่ง สบตาตี่ๆ ของมันอยู่อย่างนั้นอย่างตั้งคำถาม จนคนตรงหน้าถอนหายใจออกมาพลางทำหน้าเอือมระอาใส่ผมเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ ก่อนจะเอ่ยคำที่ผมกำลังอยากได้ยิน

“ผมไม่เป็นไรหรอกน่า”

พอได้ยินคำยืนยันพร้อมกับแววตาที่มีแต่ความรำคาญไร้วี่แววความหม่นเศร้าอย่างที่กังวล ผมถึงได้ยิ้มกว้าง ยื่นมือออกไปขยี้ผมคนตัวเล็กกว่าแรงๆ ทีหนึ่งจนถูกฟาดแขนและมองมาด้วยสีหน้าปนรำคาญยิ่งกว่าเก่า ผมหัวเราะเบาๆ แล้วยักไหล่ ก่อนจะถือถาดกาแฟออกมาเสิร์ฟให้พี่เชนอย่างสบายใจ

ให้มันได้แบบนี้สิตี๋ ก็สัญญากันไว้แล้วนี่หว่า ว่าต่อไปนี้จะไม่เป็นไร

สัญญาว่าจะเลิกเสียใจ แล้วทำให้ตัวเองมีความสุขสักที






----------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้พี่เชนกับตรีแย่งซีนสุด 55555
ย้ำอีกทีว่าตัวละครเรื่องนี้มาจากนิยายเรื่อง Just Another Guy (#เชนตรี) นะคะ
ไทม์ไลน์สัมพันธ์กันนิดหน่อย แต่จะพยายามไม่ให้งงค่ะ
ใครเคยผ่านพระเอกแมนๆ นิ่งๆ อย่างพี่เชนมา ต้องขอโทษล่วงหน้าเลยค่ะที่พระเอกเรื่องนี้จะไม่เป็นแบบนั้น
ถึงจะเป็นน้องรหัสพี่เชน แต่ซันมันมาสายกากค่ะ ความเท่ไม่ได้ขี้เล็บพี่รหัสแน่นอน 55555

ฝากคอมเม้นต์หน่อยน้า
หรือส่งฟีดแบ็คทางทวิตเตอร์ ติด #ซันโช ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณค่า

-- Martian --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-04-2017 11:35:56 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 1

               
หลายเดือนก่อนหน้านี้
 
               
ผมทำงานที่ร้านพี่โมมาตั้งแต่ก่อนขึ้นปีสามจนตอนนี้จะขึ้นปีสามเทอมสองแล้วก็ยังทำอยู่ แปลกใจเหมือนกันที่ไม่โดนไล่ออกสักที ทั้งที่ก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไร อาศัยแดกกาแฟฟรีไปวันๆ 

ที่ผมมาสมัครงานร้านนี้เพราะช่วงนั้นพี่เชนไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ ทิ้งให้ไอ้ตรีอยู่เชียงใหม่คนเดียว ทั้งที่เป็นช่วงปิดเทอม และมีบ้านที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ไอ้ตรีดันเสือกขยันอยากหางานพาร์ทไทม์ทำระหว่างปิดเทอมซะงั้น ซึ่งมันไม่แปลกหรอก ผมได้ยินว่าไอ้ตรีทำงานพิเศษมาตั้งแต่สอบติดคณะสถาปัตย์ฯ ที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ใครจะไปคิด ว่าความขยันครั้งนี้ของไอ้เพื่อนตัวดี จะนำพาเรื่องวุ่นวาย ที่มาพร้อมกับตัววุ่นวายที่ทำให้ผมต้องสละเวลาปิดเทอมอันมีค่ามาทำงานพิเศษทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสคำว่าลูกจ้างมาก่อน
               
ตัววุ่นวายที่ว่าจะเป็นใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่โช
               
ไอ้ตี๋หน้าแมวที่ฉวยโอกาสตอนที่พี่เชนไม่อยู่มาด้อมๆ มองๆ ปลาย่างโดยที่ไม่สำเหนียกเลยว่าเจ้าของปลาเขารักเขาหวงของเขาขนาดไหน ถึงขั้นส่งผมมาเป็นบอดี้การ์ดคอยคุมไอ้ตรีไว้ไม่ให้คลาดสายตา
               
ตอนแรกก็มาเฝ้าเฉยๆ มานั่งๆ นอนๆ เล่นมือถือฆ่าเวลารอไอ้ตรีออกกะไปวันๆ คอยส่งสัญญาณให้พี่เชนถ้าหากว่าไอ้ตี๋ทำตัวมีพิรุธ แล้วระดับไอ้ซันแล้ว ถ้าได้ลองจับตาดูใคร รับรองได้เลยว่าผู้ต้องสงสัยดิ้นไม่หลุดแน่นอน
ไอ้ตี๋แม่งมีพิรุธเต็มไปหมด ตั้งแต่ผมเหยียบเข้ามาในร้านพี่โมวันแรกก็ได้กลิ่นความพยายามเป็นมือที่สามของแม่งมาแต่ไกล ทั้งพยายามส่งสายตา มือไม้เป็นปลาหมึก แถมยังชอบเข้าไปใกล้ไอ้ตรีเกินจำเป็น เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกหมั่นไส้มันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
               
เป็นแค่ไอ้ตี๋ ริอาจมาตั้งตัวเป็นศัตรูหัวใจพี่รหัสผม อยากไปเจอยมบาลหรือไง
               
สุดท้ายผมเลยตัดสินใจสมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านตามคำเหน็บแนมของไอ้ตรีซะเลย เพราะนอกจากจะทำให้ผมกันท่าไอ้ตรีได้ง่ายแล้ว ยังทำให้เห็นปฏิกิริยาต่างๆ ของไอ้ตี๋ได้ง่ายขึ้นอีกต่างหาก ยิ่งตอนที่มาทำงานช่วงแรกๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ตรีลงไปหาพี่เชนที่กรุงเทพฯ พอดี ผมเลยได้พักงานจากการระแวดระวังปลาย่าง มาสังเกตอีกคนได้เต็มที่
               
ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดขนาดนั้นหรอก ก็แค่สงสัยว่ามาสักพักละว่าท่าทางเฟรนด์ลี่เกินจำเป็นของไอ้ตี๋นี่มันของจริงหรือเสแสร้ง บางทีมันอาจจะแค่แกล้งทำตัวเป็นคนดียิ้มแย้มแจ่มใสให้ไอ้ตรีตายใจตกหลุมพรางมันง่ายขึ้นเฉยๆ
แล้วก็จริงอย่างที่คิด เมื่อรู้จักกันไปได้สักพัก ผมก็ได้รู้ว่าภายใต้หน้ากากยิ้มแย้มแจ่มใสของมันมีอะไรมากกว่าที่เห็น… เปล่าหรอก มันไม่ได้เป็นคนเสแสร้งแกล้งตอแหลอะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพราะมันกำลังพยายามซ่อนบางอย่างเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มพวกนั้นต่างหาก
               
พยายามซ่อนอดีต ที่ไม่อยากให้ใครจดจำ
               
แต่ความลับไม่มีในโลกฉันใด อดีตของไอ้ตี๋ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังได้ตลอดไปฉันนั้น
               
ไม่รู้จะโทษอะไรเหมือนกันที่มันดันทำความลับแตกเอาง่ายๆ เพราะมันไม่สบายและไอ้ตรีไปเยี่ยมไข้ ถึงได้เห็นอะไรๆ ที่มันไม่อยากให้ใครเห็น
               
ไอ้ตี๋หล่อหน้าใสขวัญใจสาวๆ ในมหาลัย กลับมีอดีตเป็นไอ้โชกุนอ้วนดำที่ใครๆ ก็พากันเหยียดในสมัยมัธยม
               
แต่ที่สำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก คือเรื่องของจิตใจ...

หัวใจของมันที่มีให้ไอ้ตรีมาตั้งแต่ม.ปลาย

ความซับซ้อนของเรื่องนี้ก็คือ ตอนม. ปลาย ไอ้ตรีแอบชอบเพื่อนสนิทคนหนึ่งของมัน... นั่นคือผมเอง

ผมที่โง่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่าคนข้างตัวกำลังคิดอะไร ทำร้ายจิตใจมันซ้ำๆ เพราะไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทมีความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดถึงซ่อนอยู่ ผมกลายเป็นศัตรูหัวใจของไอ้ตี๋ไปโดยปริยาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมจะปฏิเสธไปในวันที่ไอ้ตรีตัดสินใจสารความความในใจออกมา

คงไม่มีใครทันคิด ว่าคนสามคนที่เคยอยู่โรงเรียนเดียวกันและมีความสัมพันธ์ซับซ้อนแบบนี้จะกลับมาพัวพันกันอีกครั้ง ในร้านกาแฟเล็กๆ สถานที่ที่นำไปสู่ความยุ่งเหยิงเมื่อความลับที่เก็บไว้มานานถูกเปิดเผยออกมาผ่านรูปถ่ายเพียงใบเดียว
รูปถ่ายที่ผม ไอ้ตรี และไอ้ตี๋อยู่ในเฟรมเดียวกันในวันปัจฉิมนิเทศ

รูปถ่ายที่ผมเป็นคนฉีกเองกับมือ แล้วบอกให้ไอ้ตี๋ตัดใจ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจมกับความรู้สึกแย่ๆ จนหลงทำอะไรผิดๆ ไปอีก

คืนที่ถูกจับได้ สิ่งที่ไอ้ตี๋เลือกทำคือการพยายามแย่งไอ้ตรีไปด้วยวิธีที่ไม่ควร แต่ดวงมันคงจะถึงฆาตจริงๆ นั่นแหละ เพราะพี่เชนดันลางานและมาหาไอ้ตรีที่ร้านในวันนั้นพอดี พอรู้ว่าไอ้ตรีไปที่ห้องไอ้ตี๋ก็รีบแจ้นไปหา แถมเจอในจังหวะที่... เป็นผมก็คงเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน

ผลก็คือไอ้ตี๋ถูกอัดจนยับเยิน ถ้าไอ้ตรีไม่ลากพี่เชนออกไป มันคงได้ลงหลุมไม่ได้ผุดได้เกิดไปแล้ว
               
ถึงมันจะเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ที่ไปยุ่งกับคนมีเจ้าของ แต่สภาพที่สะบักสะบอมแถมอมทุกข์เพราะความรู้สึกผิดก็ทำเอาผมอดสงสารไม่ได้ ผมแวะเวียนมาเยี่ยมไข้ไอ้ตี๋ พร้อมกับคะยั้นคะยอให้มันกลับไปทำงานเพราะเดาออกว่าที่มันเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเพราะไม่อยากเจอหน้ากับไอ้ตรี แต่ถ้าไม่เผชิญหน้าแล้วจะรู้ได้ไงว่าแม่งไม่ได้โกรธมัน ให้อภัยไปตั้งแต่ตอนที่เห็นมันสลบไปเพราะพายุหมัดของพี่เชนแล้ว

แต่ให้อภัยกับให้ใจมันคนละส่วนกัน เพราะต่อให้ไอ้ตรีกับมาคุยกับมันได้เป็นปกติ แต่ก็ใช่ว่าไอ้ตรีจะเลิกรักพี่เชนแล้วหันมารักมัน... เป็นผมก็คงโคตรรู้สึกแย่เหมือนกัน ทั้งที่อดทน และยึดมั่นในความรักขนาดนั้น แต่กลับต้องผิดหวังถึงสองครั้งสองครา

พอคิดได้แบบนั้นแล้วในใจลึกๆ ของผมกลับมีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมา...

รู้หรอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของผมที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่รู้เลยว่าใครมีความรู้สึกยังไงโดยมีผมเข้าไปพัวพัน แต่ถึงอย่างนั้นการได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนทำให้ใครคนหนึ่งอกหักมันก็ยากที่จะปล่อยผ่านไป
               
โดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นคนที่ผมรู้สึกสนิทใจด้วยไปแล้วในระดับหนึ่ง
               
ตอนที่รู้ว่าไอ้ตรีชอบผม ผมสับสนจนไม่รู้ว่าจะทำยังไง ถึงได้ตีตัวออกห่าง โชคดีที่ไอ้ตรีเองก็เหมือนตั้งใจจะออกห่างจากผมอยู่แล้วเหมือนกันมันจึงง่ายที่จะหลบหน้า ผมคิดว่าทุกอย่างคงจะผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งได้มาเจอกันอีกที ผมถึงได้รู้ว่าผมคิดถึงไอ้ตรีแค่ไหน เพื่อนดีๆ อย่างมันหายากชนิดที่ว่าต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว

คงเพราะแบบนั้นมั้งผมเลยไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับไอ้ตี๋... ไม่อยากให้มันหลบหน้าผม หลบหน้าไอ้ตรี เพียงเพราะต้องการหนีอดีต หนีความรู้สึกที่แก้ไขไม่ได้
               
จริงอยู่ที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน และเรื่องวุ่นวายพวกนั้นผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นมา แต่... ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบอะไรสักอย่าง
               
รับผิดชอบความรู้สึกไอ้ตี๋ รับผิดชอบต่อโอกาสที่ผมอาจจะมีส่วนพรากไป...
               
ถ้าผมรู้ความรู้สึกไอ้ตรีเร็วขึ้น ผมคงปฏิเสธมันได้เร็วกว่านี้ และตอนนั้นไอ้ตี๋ก็อาจจะได้เข้ามาหาไอ้ตรี ได้ทำความรู้จัก ได้สารภาพรักก่อนที่ไอ้ตรีจะมีใคร
               
บางทีมันอาจจะไม่ต้องมานั่งเสียใจ ที่ตัวเองมาช้าเกินไปจนคว้าหัวใจคนที่รักไว้ไม่ทัน
 
               

“อ่ะ วันนี้กูให้มึงเมา” ผมว่าพลางยื่นแก้วเหล้าให้ไอ้ตี๋ที่นั่งเหม่อมองคูปองส่วนลดของร้านพี่โมที่มันเอามาให้เป็นของขวัญอีกคนด้วยสายตาที่ผมไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
               
วันนี้เป็นวันเกิดไอ้ตรี แถมเป็นวันกลับมาคืนดีกันของไอ้ตรีกับพี่เชน
               
ช่วงที่ผ่านมาทั้งสองคนมีปัญหากัน เรื่องที่ทางบ้านไอ้ตรีไม่ยอมรับพี่เชน กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นต้องเลิกรา ไอ้ตรีเฮิร์ตไปหลายเดือนกว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ดูก็รู้ว่าสองคนนั่นรักกันแค่ไหน เพราะงั้นต่อให้เป็นช่วงที่พี่เชนหายไปจากชีวิตไอ้ตรี แต่ใครบางคนแถวนี้ก็ไม่สามารถหาโอกาสแทรกเข้าไปในหัวใจของมันได้เลย
               
จนวันนี้พี่เชนกลับมาหาไอ้ตรีอีกครั้ง กลับมาเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของมัน จึงไม่แปลกที่ของขวัญชิ้นอื่นๆ ในคืนนี้จะหมดความสำคัญไป
               
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครเอาคูปองส่วนลดของร้านญาติตัวเองมาเป็นของขวัญให้คนอื่นอยู่แล้วป่ะวะ ไม่รู้มันงกหรือเอาฮา
               
“ผมไม่ดื่ม” พูดสั้นๆ พลางปรายตาขึ้นมาทำสีหน้าเหมือนผมกำลังพูดไร้สาระ
               
ก็จริง ผมไม่เห็นมันไม่แตะแอลกอฮอล์เลยตั้งแต่มา เอาแต่นั่งกินน้ำเปล่าแกร่วๆ กับกับแกล้มเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
               
“จริงอ่ะ?” ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าแม่งจะอนามัยจ๋าขนาดนี้
               
ตอนที่มันโดนพี่เชนต่อยจนนอนซมแล้วผมไปเฝ้าไข้ถึงได้รู้ว่าไอ้ตี๋มันเดินสายเฮลตี้ที่แท้ทรู คงเพราะเคยอ้วนมาก่อน และไม่อยากกลับไปรูปร่างแบบนั้นอีก มันเลยพยายามควบคุมอาหาร เสบียงในห้องแม่งยังเป็นผลไม้ ธัญพืชอบ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำอะไรเทือกๆ นั้นเลย จะกินข้าวทีก็ต้องไม่ทอดไม่มัน มีร้านอาหารออแกนิคที่กินเป็นประจำ และทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายถ้าผมไม่ได้ซื้อจากร้านนั้นไปให้
               
เรื่องมากชิบหาย
               
 “ไม่เมาก็ร้องไห้ไม่ได้ดิตี๋” ผมว่า
               
“ทำไมผมต้องร้องไห้” แล้วก็โดนทำหน้าระอาใจใส่เหมือนเคย
               
“...” เออว่ะ แล้วทำไมไอ้ตี๋มันต้องร้องไห้วะ
               
ไม่รู้อ่ะ ผมแค่รู้สึกว่าแม่งน่าจะอยากร้องไห้ หลังจากเจอสถานการณ์ที่เจอคนที่แอบชอบกลับไปคืนดีกับแฟนแบบนั้น และเหล้าก็เป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะทำให้มันร้องไห้ได้ง่ายขึ้น และไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง
               
ขณะที่ผมทำสายตาหลุกหลิกพยายามหาคำอธิบายในหัว ก็ได้ยินเสียงคนตรงหน้าถอนหายใจเบาๆ มองหน้าผมอย่างรู้ทัน

“ถ้าเป็นเรื่องตรี ผมไม่เป็นไรหรอก” ว่าพลางยกน้ำเปล่าในแก้วตัวเองขึ้นมาจิบ แล้วมองผ่านผมไปยังเวทีที่ชั่วโมงที่แล้วไอ้ตรีเพิ่งขึ้นร้องเพลงก่อนที่พี่เชนจะมา “แค่กำลังคิดว่าตอนตรีเล่นกีตาร์นี่เท่ชะมัด”

“ตรงไหนวะ!” ผมหลุดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง “มึงไม่ได้ยินตอนมันเล่นเพี้ยนเหรอ แถมพอพี่เชนโผล่มาก็เสือกหยุดเล่นกลางคันเอาแต่ร้องไห้เป็นเด็กอนุบาล ไม่เห็นจะเท่ตรงไหน”

ผมได้ยินเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ พร้อมด้วยสายตาจิกกัดที่ส่งมา

อ่ะ กูไม่ขัดก็ได้ เท่ก็เท่วะ เห็นแก่ที่มึงอกหักซ้ำซากหรอกนะถึงได้ยอม
               
“แต่ก็แอบเศร้าอยู่นิดๆ แฮะ”
               
นั่นไง กูว่าแล้ว ไม่เศร้าได้ไง เค้าหิ้วกันไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น
               
“งั้นแดก” ผมว่าพลางกระแทกเหล้าที่รินไว้ส่งไปตรงหน้าไอ้ตี๋
               
แต่แทนที่มันจะรับไปดื่มแต่โดยดีกลับเท้าคางมองแก้วเหล้าสลับกับมองหน้าผมแล้วส่งสายตาประหลาดมาให้
               
“ดื่มให้หน่อยสิ” เหมือนกับจะอ้อน
               
นี่กูตาฝาดหรืออะไร ร้อยวันพันปีแม่งเคยอ้อนที่ไหน วันๆ เอาแต่สั่งให้ผมเสิร์ฟกาแฟ
               
“เออๆ” แล้วทำไมกูถึงยอมหยิบแก้วเหล้ามาดื่มเองง่ายๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
               
“ยังไม่เห็นหายเศร้า”
               
“อ้าว ก็กูเป็นคนแดกมั้ย แล้วมึงจะหายเศร้าได้ไง” ผมขมวดคิ้ว ยกหลังมือเช็ดคราบแอลกอฮอล์ที่ริมฝีปาก
               
“ผมแค่คิดว่ามันจะเหมือนกัน”
               
“อะไรเหมือน?”
               
“ก็ถ้าเห็นคุณซันดื่ม ผมก็คงรู้สึกเหมือนได้ดื่มเหมือนกัน และถ้าคุณซันเมา ผมก็คงจะรู้สึกเหมือนได้เมา แล้วก็อาจจะหายเศร้าได้บ้างเหมือนกัน”
               
ตรรกะเชี่ยไร?
               
“เพราะงั้น...” เว้นวรรค ก่อนจะรินแอลกอฮอล์เพียวๆ ใส่แก้วที่เพิ่งว่างลง “ลองดื่มอีกสักแก้วมั้ยครับ”
               
“เออได้” แล้วผมก็เสือกเชื่อตรรกะป่วยๆ ของมัน แล้วคว้าเหล้ามากระดกอีกแก้วอย่างง่ายดาย
               
“เริ่มรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ แล้วครับ”

“ฮะ?” ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นมุมปากบางยกขึ้นนิดๆ เหมือนอารมณ์ดีขึ้นจริงๆ

“งั้นอีกแก้วนะ” ว่าพลางรินเหล้าให้ผมอีกครั้ง คราวนี้เติมน้ำแข็งให้อีกต่างหาก

“เออๆ” ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่ามันได้ผล แต่พอเห็นตาตี่ๆ นั่นดูเป็นประกายไร้แววหม่นเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้แล้วมันก็ไม่อยากจะขัดใจ

ไม่ใช่ว่าโง่ให้มันมอมเหล้านะครับ แค่ไม่อยากจะขัดใจ

“อีกแก้วนะครับ”

ไม่ได้โง่...จริงๆ

“เอออ!” 
               
ถ้ากูเมาแล้วมึงไม่หายเศร้านะตี๋... แม่จะตีให้ตาตี่กว่าเดิมเลย
 
               

แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ตี๋มันหายเศร้าได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะสุดท้ายก็เมาเป็นหมาภาพตัดตั้งแต่มันพาขึ้นรถแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตะวันแยงตาลุกขึ้นมาบนเตียงที่คุ้นตา แต่รู้ว่าไม่เคยนอน
               
เตียงไอ้ตี๋ ห้องไอ้ตี๋ ผมจำได้ดีเพราะเพิ่งมาขลุกอยู่ด้วยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
               
ผมโอดครวญเพราะความปวดกบาลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นตั้งใจจะไปอ้วกในห้องน้ำให้หายแฮงค์สักที แต่พอเปิดประตูออกมาก็เห็นร่างอีกคนที่นอนขดอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกในสภาพชุดเดียวกับเมื่อคืน หัวเยินหน้าเยินเหมือไปฟัดกับหมามา
               
ไม่รู้ทำไมพอเห็นสภาพแบบนั้นผมถึงหลุดขำออกมาเบาๆ มองอยู่สักพักก่อนจะเดินกลับไปเอาผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวให้มัน
               
แต่ไม่รู้ว่าคลุมแรงไปหรือไอ้ตี๋มันตื่นง่าย ถึงได้งัวเงียลุกขึ้นมา

“คุณซันเหรอ” ว่าพลางลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาทำหน้างุ่นง่านให้ผมขำหนักกว่าเดิม

หน้าแม่งยู่ยี่มาก อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลย

“ขำอะไรครับ” แต่ไม่ทันไรก็กลับมาทำเสียงดุตีหน้าเอือมใส่ผมอีกละ ทั้งที่ตายังไม่ตื่นดีแถมหาวหวอดใหญ่ออกมานั่นล่ะ

“หน้ามึงตลก” เห็นแล้วหมั่นไส้ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปบีบแก้มเล็กๆ นั่นให้มันบูดบี้ยิ่งกว่าเดิม “ตานี่ลืมแล้วเหรอตี๋ ทำไมกูไม่เห็นลูกตามึงเลย”

เพียะ!

“โอ๊ย!” หัวเราะได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องลั่นเมื่อฝ่ามืออรหันต์ฟาดผัวะลงมาบนแขนผมเต็มๆ จนต้องรีบชักมือออกก่อนมันจะฟาดอีกทีจนแขนผมหัก

ไรวะหยอกเล่นนิดเดียว

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอมยิ้ม มองคนที่เอื้อมมือไปหยิบแว่นบนโต๊ะหน้าโซฟามาใส่ พยายามจะถลึงตามองผมผ่านเลนส์หนาๆ พร้อมกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา

“ปวดหัวมั้ยครับ” ถามพลางหาวจนตาปิดอีกรอบ

“โคตร” ว่าแล้วก็ยกมือกุมขมับทันที ถึงเมื่อกี้จะลืมอาการปวดหัวไปสักพักก็เถอะ

“งั้นไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวหาอะไรอุ่นๆ ให้กิน”

“เป็นห่วงกูด้วย?” พอผมแกล้งพูดเล่นหน่อย ก็ตีหน้านิ่งทำตาดุใส่อีกละ

“จะกินไม่กิน?”

“กิน”

แหม แล้วผมเคยเถียงคุณตี๋เขาได้สักครั้งเหรอครับ
 

ผมเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำอย่างที่ไอ้ตี๋บอก ส่องกระจกเห็นสภาพตัวเองแล้วอยากจะถอนคำพูดก่อนหน้านี้ที่ไปล้อไอ้ตี๋เอาไว้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างผมหน้าตาผมเผ้านี่โคตรกระเซอะกระเซิง เสื้อผมตัวเดิมก็เหม็นอย่างกับไปคลุกเหล้ามา เละเทะกว่าเขาซะอีกยังมีหน้าไปถากถาง ไม่เจียมกะลาหัวเลยกู

เยินกว่านี้ก็ผ้าขี้ริ้วเถอะ!

“ตี๋ อาบน้ำได้ป่ะ” ผมถามหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปหาเจ้าของห้องที่ยืนอยู่ในครัวซึ่งเชื่อมกับห้องรับแขก

“ไม่ได้ครับ”

“โห่ ไรวะ ตัวเหม็นอ่ะ”

“...”

“อยากอาบน้ำ”

พอผมเริ่มงอแง มันก็ถอนหายใจใส่ “กลับไปอาบที่ห้องตัวเองสิครับ”

“โห่ แค่ยืมใช้ห้องน้ำแค่นี้ทำหวง”

“แค่ให้ยืมอ้วกเมื่อวานก็เกินพอแล้วครับ” ยิ่งทำหน้าเอือมเหมือนรำคาญเต็มทน

“กูอ้วกด้วย?”

ไม่เห็นจำได้

“ครับ”

“ถึงอย่างนั้น...”

“เต็มพื้น และผมเป็นคนเก็บ”

“โอะ”
               
ฉิบหาย นั่นยิ่งจำไม่ได้ใหญ่
               
โอเค ยอม ถือว่ามีชนักติดหลังอยู่ เลิกงอแง
               
ผมสงบปากสงบคำแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้บาร์ตรงครัวมีน้ำเปล่าใส่แก้ววางไว้ให้อยู่ก่อนแล้วผมเลยยกขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด แล้วคนที่ง่วนกับการชงอะไรสักอย่างก็เดินมาวางแก้วชาไว้ตรงหน้า
               
“ดื่มนี่ก่อนครับ เดี๋ยวผมไปอุ่นโจ๊กให้” แล้วก็หันหลังไปหยิบถุงโจ๊กออกมาจากตู้เย็น เทลงชามใส่ไมโครเวฟให้ในขณะที่ผมนั่งจิบน้ำผึ้งมะนาวที่มันชงให้รอไปพลาง
               
ไอ้ตี๋ชงเป็นแต่กาแฟ แต่ทำอาหารไม่เป็น ผมเลยเดาว่าโจ๊กนั่นมันคงซื้อมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะรู้ว่าตื่นมาผมคงแฮงค์และโคตรหิวแน่ เห็นแบบนั้นแล้วก็อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ปากทำเป็นดุ ทำหน้าเอือมระอาเหมือนรำคาญผมเต็มทน แต่เอาเข้าจริงมันกลับใจดีกับผมกว่าที่คิด 
               
“เป็นห่วงกูถึงขั้นซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้ให้เลยเหรอตี๋”
               
“จะกินไม่กิน” และคงจะใจดีกว่านี้ ถ้าผมไม่ขยันกวนตีนมันอ่ะนะ
               
เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้นี่หว่า ยิ่งแหย่ให้มันตีหน้ายุ่งหรือหลุดพูดคำหยาบออกมาได้บ้างผมก็ยิ่งรู้สึกชอบใจอย่างประหลาด เหมือนได้แกล้งคนขี้เก๊กให้เสียอาการอะไรแบบนั้น สนุกดี

“ปกติเมาเป็นหมาแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ” ระหว่างรอโจ๊กได้ที่เจ้าของตาชั้นเดียวหลังกรอบแว่นก็หันมากอดอกถามสีหน้าเหมือนข้องใจ

รู้สึกเหมือนโดนด่ายังไงชอบกล

“ก็ใครมอมกูอ่ะ” พอผมโบ้ยความผิดให้ ก็ถอนหายใจอีกรอบ หันไปสวมถุงมือกันร้อนแล้วหยิบโจ๊กออกจากไมโครเวฟที่ส่งเสียงเตือนขึ้นมาพลางส่ายหัว บ่นพึมพำ

“ไม่เอาแล้ว ไม่ให้เมาแล้ว จะไม่ให้แตะเหล้าอีกเด็ดขาดเลย”

“ได้ยินนะตี๋” ผมตะโกนบอกกลั้วหัวเราะ เรียกให้คนที่บ่นพึมพำหันมาทำตาขวางใส่ ก่อนจะยกโจ๊กมาวางตรงหน้าแบบขอไปที

“รีบกินแล้วรีบไปอาบน้ำเลยครับ เหม็นเหล้าจะแย่”

ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าสุดท้ายมันก็ยอมให้ผมยืมห้องน้ำ ก่อนจะรับคำเสียงทะเล้นให้คนตัวเล็กกว่าเบ้ปากทำหน้าคว่ำยิ่งกว่าเดิม

“คร้าบบบ”

“รำคาญ!”

“ฮ่าๆๆ...”

อะไรอ่ะ มอมเค้าจนเมาเองแล้วมาพาลใส่กันงี้ ไม่น่ารักเลยว่ะตี๋



--------------------------------------------------------------------------
ช่วงต้นเป็นการปูสถานการณ์จากเรื่องเก่า ใครที่ยังไม่เคยอ่าน #เชนตรี หวังว่าจะไม่งงนะคะ (ถ้างงบอกได้เลยนะคะ)
หรือใครอยากรู้เรื่องราวแบบละเอียดสามารถกลับไปอ่าน #เชนตรี ได้นะคะ
คลิกตรงชื่อเรื่องนี้เลย :: Just Another Guy

เหตุการณ์ในตอนนี้คือหลังจากบทส่งท้ายในเรื่องเชนตรีค่ะ
หลังจากที่พี่เชนหิ้วตรีออกจากร้านไปแล้วทิ้งซันกับตี๋ไว้สองคน 5555
ยังไงก็ฝาก #ซันโช ด้วยน้า ทิ้งคอมเม้นต์ไว้สักนิดจะชื่นใจมากเลยค่ะ ^^

ขอบคุณค่า

-- Martian --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:03:06 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 2
               
               
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่ที่หอไอ้ตี๋ ตอนแรกมันไม่ยอมหรอก จะไล่กลับท่าเดียว แต่พออ้างว่าเดี๋ยวก็ต้องไปทำงานพร้อมกัน มันเลยทำหน้าขัดใจ แต่ก็เลิกไล่แล้วปล่อยให้ผมนอนเปื่อยอยู่บนโซฟารับแขกส่วนตัวเองก็หายเข้าห้องนอนไป
               
อาการแฮงค์ที่เล่นงานทำให้ผมไม่อยากโงหัวขึ้นมาเลยตลอดบ่าย หลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีก็สองทุ่มกว่าแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าระหว่างนั้นมันเอาเสื้อผ้าที่ผมใส่เมื่อคืนไปซักแห้งให้ เพราะเห็นใจที่ต้องใส่เสื้อผ้าของมันที่ตัวเล็กกว่าผมไซส์นึง พอเห็นผมตื่นก็รีบเร่งให้ผมแต่งตัวแล้วรีบออกมาทั้งที่เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง ผมกับไอ้ตี๋ทำงานกะสี่ทุ่มถึงตีสาม ก่อนร้านปิดและเปิดใหม่อีกทีตอนแปดโมงเช้า
               
ก่อนหน้านี้ร้านเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เพราะพนักงานมีน้อย ลำพังพี่โมที่เป็นเจ้าของร้านคนเดียวก็ดูแลทั้งวันไม่ไหว ยังดีที่มีไอ้ตี๋ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ไว้ใจได้มาช่วยงาน พี่โมเลยช่วยเด็กอีกสองคนดูแค่กะกลางวัน ปล่อยหน้าที่ดูแลร้านให้ไอ้ตี๋ตั้งแต่สี่ทุ่มเป็นต้นไป มีแวะมาตรวจความเรียบร้อยบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่มย่าม ให้ไอ้ตี๋ดูแลร้านเหมือนเป็นเจ้าของอีกคน
               
เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอมด้วยแหละที่ร้านเลยไม่ยุ่งเท่าไหร่ แต่ขึ้นเทอมใหม่เมื่อไหร่ก็คงจะวุ่นวายไม่น้อย ยิ่งเทอมหน้าตารางเรียนผมแน่นมากจนทำทั้งอาทิตย์ไม่ได้ น่าเป็นห่วงว่าไอ้ตี๋ทำงานคนเดียวคงได้หัวหมุนกันไปข้างทั้งที่ตัวเองก็เรียนหนัก แต่ได้ยินพี่โมเปรยๆ เหมือนกันว่าจะจ้างคนเพิ่ม ซึ่งผมก็ว่าดี เพราะถึงไอ้ตี๋มันจะไม่ได้บ่นอะไร แต่บางครั้งความเหนื่อยของมันก็แสดงออกมาทางสายตาชัดเจน
               
“ตี๋ กินข้าวก่อนป่ะ” ผมถามหลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง และเห็นร้านอาหารออแกนิคเจ้าประจำของไอ้ตี๋ยังไม่ปิดพอดี
               
หอไอ้ตี๋ไม่ไกลจากร้านพี่โมเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินสิบนาทีได้ ผมเลยจอดรถไว้หอมันแล้วเดินมาด้วยกัน ขากลับจะได้หาเรื่องเดินกลับมาส่งมันด้วย ถึงจะใกล้แค่ไหนก็เถอะ แต่เดินกลับคนเดียวดึกๆ มันน่ากลัวจะตาย แล้วไอ้ตัวเล็กนี่ก็ดันเรื่องมากไม่ค่อยให้ผมไปส่งด้วย ชอบไล่ผมกลับก่อนอยู่นั่น ไม่รู้จะเล่นตัวอะไรนักหนา
               
“ครับ” มันรับคำสั้นๆ หลังจากมองนาฬิกา คงเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวัน
               
ผมกับไอ้ตี๋เดินเข้ามาในร้านที่คนบางตาเพราะอีกครึ่งชั่วโมงร้านจะปิดแล้ว ไอ้ตี๋สั่งสลัดออแกนิคซึ่งเป็นเมนูแนะนำของร้าน ในขณะที่ผมสั่งสปาเกตตี้หอยลายซึ่งจำได้ว่าอร่อย ผมใช้เวลากินไม่นานด้วยปริมาณเท่าหยิบมือ ในขณะที่อีกคนยังละเลียดสลัดในจานไม่ถึงครึ่ง ไม่รู้เคี้ยวเอื้องหรือไง ผมเลยสั่งของหวานเป็นไอติมสตรอเบอร์รี่ชีสมาตอบท้าย
               
“ยังกินไหวอยู่เหรอครับ” พอไอติมมาวางตรงหน้า คนฝั่งตรงข้ามก็ขมวดคิ้วถามทันที
               
“โหตี๋ นี่ยังไม่ถึงครึ่งท้องกูเลยเหอะ” ผมบ่นพลางตักไอติมเข้าปาก แล้วพยักหน้ากับรสชาติที่ถูกปาก

“กินป่ะ” ยื่นไปให้คนที่ขมวดคิ้วมองอยู่พอดี
               
“กินของหวานตอนนี้เดี๋ยวก็อ้วนกันพอดี” บ่นพึมพำ ทั้งที่กว่าจะละสายตาจากไอติมผมได้ก็เล่นเอาตาตี่ๆ นั่นแทบจะเหล่
               
“ไม่อ้วนหรอก ไอติมผลไม้” ผมคะยั้นคะยอ
               
“ของหวานก็คือของหวานครับ”
               
“เค้าบอกว่าไม่ใส่น้ำตาลนะ” ...แต่ชีสนี่เป็นก้อนๆ เลยครับ
               
“...”
               
“กูกินหมดอย่ามาเสียดายที่หลังนะ”
               
“...” เงียบ
               
“คำเดียวก็ได้อ่ะ อร่อยจริงๆ แล้วมึงจะติดใจ” ว่าพลางตักไอติมแบบพอดีคำยื่นไปจ่อปากคนที่ทำเป็นเมินตักสลัดเข้าปากทั้งที่สายตาบอกว่าอยากกิน
               
“คำเดียวนะครับ” สุดท้ายไอ้ตี๋ก็ทนลูกตื๊อผมไม่ไหว ถอนหายใจเบาๆ
               
“อ้า...” พอผมทำท้าจะป้อน คนตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว มองผมสลับกับไอติม ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับปลายช้อนจากมือผมไปเอาใส่ปากเอง
               
แหม เล่นตัวจังครับคุณ
               
ผมมองคนที่ลืมตัวตักไอติมคำที่สองกินก็ได้แต่อมยิ้ม สังเกตมาสักพักว่าแล้วว่าต่อให้พยายามคุมอาหารแค่ไหน แต่แต่ละอาทิตย์ก็จะมีวันที่มันปล่อยให้ตัวเองได้กินของหวาน อ้างว่าต้องชิมขนมในร้านทั้งที่หน้าตาดูมีความสุขออกนอกหน้าทุกที
               
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถึงหน้าจะนิ่งแต่สายตาที่เป็นประกายออกมาก็บ่งบอกว่ารสชาติไอติมคงถูกปากเจ้าตัว
               
“ถ้าพรุ่งนี้กลับไปอ้วนอีกทำไงอ่ะ” ยกมือขึ้นมาเท้าคางถามยิ้มๆ ผมอดไม่ได้ที่จะแซว
               
พอได้ยินแบบนั้นไอ้ตี๋ก็หยุดกิน ตาชั้นเดียวคู่เดิมมองมาอย่างเอือมๆ เหมือนเคย
               
“เฮ้ย ล้อเล่น กินต่อเหอะ” ผมพยายามจะเลื่อนถ้วยไปให้ใกล้มันกว่าเดิม แต่ไอ้ตี๋กลับวางช้อนแล้วกลับไปจัดการกับสลัดของตัวเอง เมินทั้งผมทั้งไอ้ติม
               
งอนเฉย
               
“โห่ ซีเรียสขนาดนั้นเลย?”
               
คราวนี้ไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมา ถอนหายใจมองผมเหมือนพูดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว “กับบางคน บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ”
               
“ดุอีกละ” ผมเบ้หน้า
               
“ก็คุณปากหมาอ่ะ”
               
ถ้าจะด่าขนาดนั้นก็ไม่ต้องขึ้นต้นสุภาพก็ได้ครับตี๋
               
“ขอโทษคร้าบบบ คราวหน้าจะระวังคำพูด โอเคป่ะ”
               
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องยอม แต่ก็จริงอย่างไอ้ตี๋ว่าแหละ บางทีผมก็ปากหมา พูดหรือทำอะไรไม่ค่อยคิด แถมไม่ค่อยใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างเท่าไหร่ หลายครั้งถึงได้ทำร้ายความรู้สึกใครต่อใครไปโดยไม่รู้ตัว
               
“ละลายหมดแล้วเนี่ยตี๋ช่วยกินหน่อย” ผมว่าพลางตักไอติมขึ้นมากินคำหนึ่งแล้วยื่นช้อนส่งให้มัน
               
“...”
               
“ไม่อ้วนหรอก ผอมขนาดนี้ขุนอีกสิบปีก็ไม่อ้วน”

“...”

“ถึงอ้วนก็ไม่เห็นเป็นไร ตัวกลมๆ ก็น่ารักดีออก”

“ถ้ากินแล้วจะหุบปากใช่มั้ยครับ” ยิ่งพูดก็ยิ่งถูกทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วยอมรับช้อนไป
แต่โดยดี
               
ผมทำท่ารูดซิปปาก แล้วปล่อยให้คนตรงหน้าตักไอติมกิน ท่าทางมีความสุขขึ้นทุกทีที่ได้รับรสชาติหวานอมเปรี้ยวเข้าปาก
               
“อร่อยดิ”
               
“ก็งั้นๆ” แต่พอผมถามดันทำเป็นยักไหล่ เลื่อนไอติมกลับคืนมาให้เหมือนมันไม่ได้อร่อยขนาดนั้น
               
“น่ะ เมื่อกี้ยังสอนให้คนอื่นระวังคำพูดอยู่เลย” ผมแกล้งเบ้หน้า

“...”

“เจ้าของร้านมาได้ยินคงเสียใจแย่” คราวนี้ไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้ว ถอนหายใจใส่ผมอีกรอบ แล้วเปลี่ยนคำตอบตัวเอง
               
“อร่อยครับ อร่อยมาก”
               
เล่นเอาผมหลุดยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปขยี้หัวคนขี้เก๊กอย่างหมั่นไส้ จนถูกฟาดกลับมาแรงๆ ให้ร้องโอดโอยเหมือนทุกที
               
ปากหนักขนาดนี้ เอาหินถ่วงไว้ป่ะเนี่ยตี๋
 

พอกินมื้อเย็นเสร็จ พวกผมก็มาถึงร้านก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงได้ ไอ้ตี๋เลยให้พี่โมกับพนักงานอีกคนกลับไปพัก แล้วจัดการที่เหลือต่ออย่างไม่มีขาดตกบกพร่องใดๆ ในขณะที่ผมนั่งแกร่วไม่มีอะไรทำมาหลายชั่วโมง

ยิ่งช่วงหลังเที่ยงคืนนี่เป็นอะไรที่เงียบเหงาจนผมแทบจะเอาเวลาไปนั่งนับยุง นั่งไถโทรศัพท์จนไม่รู้จะดูอะไรก็วาง ปล่อยให้สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องไร้สาระ ไปยันเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล

แต่ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องของไอ้เพื่อร่วมกะ ที่แย่งหน้าที่ผมไปจนหมดนี่แหละ 

ตั้งแต่เรื่องที่ผมโคตรเหม็นหน้ามันตอนมาทำงาน แล้วไม่รู้อีท่าไหนถึงจับพลัดจับผลูมาญาติดีกันผมก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นเพราะพอรู้ว่ามันเคยเป็นเพื่อนสมัยมัธยมก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา ถึงจะคุยกันนับครั้งได้ก็เถอะ

โลกนี้มันกลมอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ แหละ ใครจะไปคิดว่าคนที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนอย่างผม ไอ้ตี๋ แล้วก็ไอ้ตรีจะโคจรมาเจอกันอีก อันที่จริงพอนึกไปนึกมาผมเพิ่งจำได้ว่าเคยเจอมันมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ

ถึงจะไม่ได้เจอกันเป็นการส่วนตัว แต่ก็ได้ยินชื่อเลื่องลือในวงการเชียร์ลีดเดอร์ในมหาลัย คืองี้ครับ ตอนปีหนึ่งไอ้ตี๋
กับผม เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะเหมือนกัน ถึงมันจะเรียนบริหาร ส่วนผมเรียนวิศวะ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีกิจกรรมรวมหลีดให้สองคณะได้มาเจอกันอยู่หลายครั้ง
               
แต่ช่วงนั้นผมไม่ได้สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่... เรียกว่าไม่ค่อยสนใจผู้ชายรอบข้างมากกว่า ด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดี แถมอัธยาศัยดีมาตั้งแต่เด็ก พอเข้ามหาลัยจึงไม่น่าแปลกใจที่รอบกายผมจะห้อมล้อมไปด้วยสาวๆ มากมาย เสียดาย ตอนนั้นผมมีแฟนแล้ว... เออ ผมว่าควรข้ามเรื่องนี้ไป เพราะมันไม่ใช่ประเด็น
               
แล้วประเด็นคืออะไรวะ?
               
อ่อ พอนึกไปนึกมาผมว่าผมจำได้ตี๋ได้นะ ผู้ชายตาตี่ๆ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่อยู่ในดงสาวๆ ไม่แพ้กัน ตอนนั้นใครๆ ก็บอกว่าน้องโชบริหารแสนน่ารัก นิสัยดี เฟรนด์ลี่กับทุกคน
               
แล้วดูตอนนี้ดิ... ผมว่าแม่งคนละคนชัดๆ เลย
               
ไอ้ตี๋ที่ผมรู้จักแม่งโคตรหยิ่ง ยิ้มยาก ขี้รำคาญ แถมชอบทำหน้าเหม็นเบื่อตลอดเวลาอีกต่างหาก
               
“เอ็มไปรอที่โต๊ะก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเสิร์ฟให้”

แล้วเสือกเลือกปฏิบัติกับกูคนเดียวด้วยนะ กับคนอื่นนี่ยิ้มหวานเชียว
               
“มองอะไรครับ” นั่นไง ไม่ทันไรก็หันมาทำตาเขียวใส่อีกแล้ว
               
ก็อย่างว่า คนเคยเป็นศัตรูหัวใจกันมาก่อน จะให้เลิกอคติไปเลยก็คงยากอ่ะเนอะ
               
“ถ้าจะยืนมองเฉยๆ ก็มาชงกาแฟดีกว่า” ว่าพลางยื่นกาแฟที่ตวงแล้วมาให้
               
“แค่สงสัยว่าทำไมมึงไม่ค่อยยิ้มให้กูเลย” ผมยักไหล่ แล้วลุกขึ้นเดินไปอยู่หลังเครื่องทำกาแฟคว้าตัวกรองกาแฟในมือไอ้ตี๋มาอัด
               
“เฮ้อ” ระหว่างแพคกาแฟ ผมก็ได้ยินคนข้างๆ ถอนหายใจ มองหน้าผมเหมือนพูดอะไรไร้สาระเหมือนเคย
                 
“อยากเห็นยิ้มหวานๆ แบบที่ยิ้มให้คนอื่นอ่ะ ได้มะ” ผมยัดกาแฟเข้าเครื่องชงแล้วหันมาแกล้งฉีกยิ้มพร้อมกับทำตาปิ๊งๆ อย่างน่ารัก
               
“ไม่ได้ครับ”
               
“โห่ ทีกับคนอื่นยังยิ้มได้เลย” 
               
“ก็คุณไม่เหมือนคนอื่นนี่ครับ”
               
“...” ผมชะงัก
               
“...”

ไอ้ตี๋แม่งก็เสือกชะงักด้วยอีกต่างหาก

“ถ้าจะกวนก็ถอยไปเลยครับ” สตั๊นท์กันไปสักพักไอ้ตี๋ก็เป็นคนเปลี่ยนเรื่อง เบียดตัวมายืนแทนผม หยิบกาแฟช็อตที่กลั่นเสร็จพอดีไปใส่ส่วนผสมตามที่ลูกค้าสั่งอย่างชำนาญ

ผมมองมันแล้วก็เผลอหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง ถึงจะเฉไฉไม่อธิบาย แต่ผมก็พอจะเข้าใจหรอกว่าคำว่าไม่เหมือนคนอื่นของมันคืออะไร
               
เพราะรู้จักกันมาสักพัก ถึงได้รู้ว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของมัน ไอ้ตี๋โชหน้าบูด ขี้รำคาญ แถมไว้ตัวยิ่งกว่าอะไร ไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่ น่ารักน่าชังเหมือนที่มันแสดงให้ใครๆ เห็น เพราะแบบนั้นแหละผมถึงสบายใจที่จะอยู่กับมันในแบบนี้ ดีกว่าต้องมานั่งมองมันปั้นหน้ายิ้มหวาน ซ่อนความรู้สึกไว้หลังตาตี่ๆ ที่พอยิ้มก็หยีจนมองไม่เห็นแววตา
               
ที่ว่าไม่เหมือนคนอื่น คงเป็นเพราะความสนิทใจ ที่มันสามารถแสดงตัวตนอีกด้านต่อหน้าผมได้ โดยไม่ต้องพยายามปั้นแต่งอะไร
               
ยกเว้นเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ค่อยแน่ใจ ว่าภายใต้ใบหน้าปกติของมันกำลังรู้สึกยังไง...
               
“ตี๋ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ตกใจตัวเองเหมือนกัน ที่อยู่ๆ ก็ทำน้ำเสียงจริงจัง
               
“ครับ?”
               
“เรื่องไอ้ตรีน่ะ...” มึงตัดใจได้หรือยัง
               
“อะไรนะครับ”
               
“เปล่า ไม่มีอะไร”
               
สุดท้ายก็ไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่าจะไปตอกย้ำความรู้สึกบางอย่างของมันขึ้นมา และในใจผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร
               
เพราะเมื่อคืน ถึงจะเมาจนจำไม่ได้ว่าความเมาของผมทำให้ไอ้ตี๋หายเศร้าได้จริงหรือเปล่า 

แต่ผมแน่ใจ ว่าในความทรงจำสุดท้าย... ผมเห็นมันร้องไห้ออกมา




---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงที่ยังว่างจะอัพถี่หน่อย
ถ้ามีคนผ่านมาเห็นบ้างก็ฝาก #ซันโช ด้วยนะคะ ^^

ขอบคุณค่ะ
-- Martian --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:03:48 โดย makok_num »

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #4 เมื่อ17-04-2017 13:35:57 »

มาแล้ว ๆ ตามมาแล้ว

ออฟไลน์ meyj4ever

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 344
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #5 เมื่อ17-04-2017 16:23:20 »

รอๆ จ้า ตามลุ้นคู่ซันกับโช
โชสู้ๆ ตัดใจจากตรีให้ได้นะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #6 เมื่อ17-04-2017 18:29:54 »

ซัน โช  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 3

               
ผมตั้งใจกับตัวเองไว้ว่าจะไถ่โทษกับไอ้ตี๋ด้วยการทำให้มันสมหวัง
               
ทำให้มันได้มีความรักอีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องเผชิญความเจ็บปวด

ตั้งแต่รู้เรื่องในอดีต ผมก็เชื่อมาตลอดว่าตัวเองมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบในความเจ็บปวดของมัน ถึงจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่การอยู่ผิดที่ผิดทางของผมก็ส่งผลร้ายแรงต่อความรู้สึกมันอยู่ดี แต่ผมย้อนกลับไปเลิกเป็นเพื่อนกับไอ้ตรีไม่ได้ ถึงย้อนได้ ผมก็ไม่อยากเลิกคบกับมันอยู่ดี เพราะงั้นผมเลยคิดว่าบางทีถ้ามีโอกาสผมจะยื่นมือออกไปช่วยอะไรมันบ้าง อย่างน้อยได้หาทางช่วยให้มันตัดใจจากไอ้ตรี ให้มันได้มีความสุขสักที หลังจากที่ผิดหวังซ้ำซากมานาน
               
ผมเอาแต่คิดแบบนั้น จนไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่า ผมยังไม่เคยถามไอ้ตี๋สักคำ ว่านั่นใช่สิ่งที่มันต้องการหรือเปล่า
               
               
“พี่โม หวัดดีครับ” ผมเอ่ยทักทายเจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์
               
“หวัดดีจ้าซัน” พี่โมยิ้มรับก่อนจะหันกลับไปเช็ดเครื่องชงกาแฟต่อ
               
เปิดเทอมมาได้เดือนกว่า ชีวิตผมวุ่นวายอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด เรียนหนักอย่างกับไปรบ ไหนจะกิจกรรมที่เยอะยิ่งกว่าวิบากกรรม บางทีหมดสภาพจนต้องกลับหอไปนอนตาย โชคดีที่พี่โมลดกะให้เหลือแค่อาทิตย์ละสามวันคืออังคาร ศุกร์ เสาร์ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แวะมานอกเวลาบ่อยๆ เผื่อว่าที่ร้านมีอะไรให้ทำ ยิ่งช่วงนี้บางคณะแม่งมีสอบ มีส่งงานกันแล้ว ไม่รู้ว่าอาจารย์รีบหรือกลัวนักศึกษาไม่ได้เรียนหนักตาย
               
โดยเฉพาะคณะของไอ้เพื่อนรักผมนี่ ตัวดีเลย
               
“ไงไอ้ตรี” เดินไปทักทายซอมบี้ประจำร้านที่นั่งรัวเม้าส์เสียงดังอยู่บนโต๊ะในสุดติดเคาน์เตอร์เหมือนเดิม
               
“เออ” มันตอบแค่นั้น ไม่เงยหน้ามองผมด้วยซ้ำ
               
แหม นับวันจะยิ่งพูดห้วนสั้นเหมือนพี่เชนเข้าไปทุกที
               
พอเห็นมันยุ่งๆ ผมก็ไม่อยากจะกวนวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ตรงข้ามมันแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ไอ้ตี๋อ่ะพี่”
               
“อยู่หลังร้านอ่ะ ช่วยเด็กใหม่เช็กกาแฟ”
               
“เด็กใหม่?” มิน่าพี่โมถึงยังอยู่ร้าน ทั้งที่มันจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว
               
ปกติพี่โมไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่มีบ้านหลังเล็กๆ ไกลจากมหาลัยไปอีก ทุกวันก็จะขับรถมาเปิดร้าน พอถึงเวลาเปลี่ยนมือให้ไอ้ตี๋ก็จะกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว
               
“เออใช่ ลืมบอกเลย พี่จ้างเด็กใหม่มาแล้วนะ เป็นรุ่นน้องที่คณะโชพอดี ต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงไอ้ตี๋ของซันแล้วนะ” พี่โมพูดกลั้วหัวเราะ
               
“อะไรพี่ ผมไม่ได้เป็นห่วงมันสักหน่อย”
               
“อ้าว เห็นไม่มีงานก็ยังมาถามหาแทบทุกวัน พี่ก็คิดว่าซันเป็นห่วงโช” พี่โมทำหน้าตกใจ แต่แววตาดูมีเลศนัยยังไงชอบกล ผมเลยเบ้หน้าก่อนจะส่งเสียงโห่ออกมาเบาๆ
               
“ก็แวะมารอสมน้ำหน้าไง ตัวก็นิดเดียวข้าวก็ไม่ค่อยแดก ยังจะเสือกทำงานเกินตัวอีก ถ้าเป็นลมคาร้านเมื่อไหร่ผมจะหัวเราะให้”
               
“จ้าๆ งั้นฝากหัวเราะเผื่อพี่ด้วยนะ มานู่นแล้ว” พี่โมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางประตูเชื่อมหลังร้านที่คนถูกนินทาเดินออกมาพอดี
               
ข้างหลังไอ้ตี๋มีอีกคนเดินตามมาด้วย เป็นเด็กหน้าใส เครื่องหน้าแบบนิปปอนสไตล์ ตัวใหญ่กว่าไอ้ตี๋นิดหน่อย แต่น่าจะน้อยกว่าผม เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงยิงฟันครบสามสิบสองซี่ตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมกับพี่โมพร้อมกัน
               
“วันนี้ไม่มีกะนี่ครับ” เห็นหน้าผมที่ไรแม่งก็ถามแบบนี้ทุกครั้ง ไม่รู้ว่ามันความจำสั้นหรือไล่กันทางอ้อม
               
แต่ดูจากการที่หุบยิ้มเปลี่ยนเป็นหน้าเหม็นเบื่อใส่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นอย่างหลัง
               
“แวะมาดูหน้าพนักงานใหม่ไง เนอะพี่โมเนอะ” ผมหันไปกระแซะถามี่โม ซึ่งก็ให้ความร่วมมืออย่างดี
               
“อ่ะ แนะนำตัวเลยละกัน นี่พี่ซันนะปีสามรุ่นเดียวกับโช ทำงานกะเดียวกันแต่สลับวันกับเรา”
               
ไอ้เด็กใหม่หน้าใสหันมายกมือไหว้ผมด้วยรอยยิ้มเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ “หวัดดีครับพี่ซัน ผมชื่อนายครับอยู่ปีหนึ่งคณะบริหาร มาทำงานวันนี้วันแรก” แนะนำตัวเป็นทางการจังวะ
               
ผมรับไหว้ แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วหันไปวอแวใสอีกคน “ตี๋ อยากกินลาเต้อ่ะ”
               
แล้วก็ไม่วายโดนทำหน้าเอือมกลับมา “เดี๋ยวพี่โมกลับเลยก็ได้นะครับ ผมกับนายดูร้านต่อเอง”
               
ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่ามีผมด้วยอีกคน
               
แหม เจอเด็กใหม่หน้าใสกิ๊งเข้าไปหน่อยนี่ เมินของเก่าอย่างกูเลยนะตี๋
               
“โอเค งั้นพี่ฝากด้วยนะ” พี่โมยิ้ม ก่อนจะวางผ้า หันไปล้างมือแล้วกลับไปเอาของหลังร้านแล้วเดินออกมาโบกมือลาอีกรอบ พวกเรายกมือไหว้โบกมือส่งพี่โมจนออกจากร้าน ก่อนผมจะหันมาย้ำความต้องการของตัวเองอีกที
               
“ตี๋~ ลาเต้” วันนี้มีเรียนตั้งแต่เช้าลากยาวถึงสองทุ่ม ร่างกายต้องการกาแฟนมมาก
               
“พี่ซันให้ผมชงให้มั้ยครับ ผมเคยทำมาบ้าง แล้วเมื่อเย็นพี่โมก็สอนทำสูตรของที่ร้านแล้วด้วย” แต่คนที่ตอบดันเป็นไอ้เด็กนายที่เสนอตัวด้วยรอยยิ้มกว้างเกินจำเป็นเหมือนเดิม
               
เขาจ้างมึงมาโฆษณายาสีฟันป่ะเนี่ย จะยิ้มอะไรขนาดนั้น
               
“ไม่เอา” ผมเบ้หน้า
               
ไม่ไว้ใจอ่ะ กลัวชงแล้วไม่ถูกปากเหมือนไอ้ตี๋ ปกติถ้าเป็นพี่โมก็พออนุโลมให้อยู่หรอก แต่นี่เด็กใหม่ไง ยังไม่มั่นใจในฝีมือ
               
“ไม่เป็นไร นายไปทำอย่างอื่นก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” พอเห็นไอ้เด็กนายนี่หน้าจ๋อยไป ไอ้ตี๋ก็ยื่นมือมาตบบ่าปลอบใจด้วยรอยยิ้มใจดีแบบที่ผมได้รับ
               
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมล้างแก้วให้นะ” ว่าจบก็ส่งยิ้มประจบหนึ่งทีแล้วหันไปจัดการแก้วกับจานของหวานที่วางอยู่ในซิ้งค์
               
“เฮ้อ” พอไอ้เด็กนายละสายตา ไอ้ตี๋ก็หันมาถอนใจใส่ผมทันที “เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวน่ารำคาญสักทีครับ” ปากบ่นพลางมือก็หันกดเครื่องบดกาแฟใส่ที่ตวง
               
“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกด่าอ่ะ” ผมเบ้หน้า ลากเก้าอี้มานั่งฟุบหน้ามองไอ้ตี๋ชงกาแฟพร้อมโอดครวญ “เหนื่อยอ่ะ วันนี้เรียนโคตรเยอะ”
               
ไม่รู้ลูกค้าคนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่ผมชอบนะเวลาที่ได้มองบาริสต้าชงกาแฟ ตั้งแต่ตอนบด ตอนตวงกาแฟ เกลี่ยให้หน้าเรียบ แล้วมาอัดช้าๆ ก่อนเข้าเครื่องชงรอให้กาแฟจนกลั่นออกมาเป็นกาแฟช็อต เพื่อใส่ส่วนผสมอื่นลงไปจนได้เป็นกาเฟลาเต้รสชาติกลมกล่อม แต่ละขั้นตอนดูใส่ใจพิถีพิถันไปหมด โดยเฉพาะตอนเทโฟมนมลงไปให้กลายเป็นลวดลายลาเต้อาร์ตบนหน้ากาแฟ มองแล้วเพลินดี
               
“เหนื่อยก็ไม่ต้องมาสิครับ ไม่มีงานสักหน่อย” ทิ้งระยะจนชงกาแฟเสร็จไอ้ตี๋ก็หันมาออกปากไล่
               
“ก็มากินลาเต้ฝีมือตี๋ไง ไม่ดีใจเหรอ” ผมแกล้งทำหน้าล้อเลียน จนไอ้ตี๋ทำหน้าเหม็นเบื่อ แทบจะกระแทกแก้วกาแฟใส่หน้า
               
“ลายลิงอีกละ” ผมบ่นทันทีเมื่อเห็นว่าลาเต้อาร์ตคราวนี้เป็นหน้าลิงตลกๆ ที่ถึงจะไม่บูดเบี้ยวเหมือนตอนที่มันฝึกทำแรกๆ แต่มันก็ตลกอยู่ดี
               
“นี่ลายพิเศษเลยนะครับ ไม่เคยทำให้ลูกค้าคนไหนเลย” ทำมาเป็นแกล้งยิ้มอวดอ้างสรรพคุณ
               
“ไม่ดีใจหรอกนะตี๋”
               
พิเศษห่าอะไรล่ะ มันด่าผมทางอ้อมชัดๆ ไอ้ตี๋มันชอบหาว่าผมเหมือนลิงที่ชอบทำเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ วอแวใส่หูมัน แถมไม่ด่าตรงๆ แต่สวมวิญญาณบาริสต้าทำลาเต้อาร์ตมาด่ากันแบบเก๋ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ารสชาตินุ่มถูกปากแถมยังขอให้ทำยากเย็นขนาดนี้นะ ผมแกล้งเททิ้งข้อหาหมั่นไส้ไปแล้ว
               
เพล้ง!
               
ยกกาแฟขึ้นมาละเลียดรสชาติได้ไม่ทันไร ก็แทบจะสำลักตายเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นมาจากด้านหลัง
               
“เฮ้ย! นาย” คนที่โวยวายขึ้นมาคนแรกคือไอ้ตี๋ที่รีบปรี่เข้าไปหาไอ้เด็กใหม่หน้าใสทันที
               
ส่วนผมก็หันไปผงกหัวขอโทษลูกค้าที่ตกใจหันมามองเป็นตาเดียว จนทุกคนละความสนใจก็หันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น
               
“ทำไรเนี่ย เจ็บตรงไหนมั้ย” ไอ้ตี๋ทำหน้าตาตื่นจับคนตัวโตกว่าหันซ้ายหันขวาสำรวจความปลอดภัยยกใหญ่

“ขอโทษพี่ แก้วมันหลุดมือ” ไอ้เด็กนายละล่ำละลักขอโทษพลางก้มลงหยิบเศษแก้วบนพื้น แต่ดูท่าว่าจะรีบเกินไป เศษแก้วคมๆ เลยบาดมือเข้าให้

“โอ๊ย!”

“เฮ้ย เป็นไรมั้ย” ไอ้ตี๋รีบนั่งตาม ยกมือเด็กนายขึ้นมาดู จากตรงนี้ผมเห็นเลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากนิ้วชี้ของ
มัน แต่เด็กนั่นก็ยังยิ้มกว้างพลางส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับพี่ แผลเล็กนิดเดียว” 

“ไม่เป็นไรอะไรเนี่ย เลือดออกขนาดนี้ มานี่ พี่พาไปล้างแผลใส่ยา” ไอ้ตี๋ลุกขึ้นในขณะที่มือยังจับนิ้วเด็กนั่นอยู่ก่อน
หันมาหาผม
               
“ซันกวาดเศษแก้วให้ด้วยนะ” ยังไม่ทันจะรับปากก็ลากคนเจ็บไปปฐมพยาบาลหลังร้าน
               
ถึงกับรีบจนลืมพูดสุภาพเลยนะตี๋ เป็นห่วงอะไรขนาดนั้น นิ้วชี้มันอยู่ไกลหัวใจนะเว้ย รู้ยัง

ได้แต่บนในใจ ขณะที่ลุกขึ้นไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงขึ้นมาเก็บเศษแก้วตามคำไหว้วาน ผมอยู่มาตั้งนานยังไม่เคยทำแก้วแตกสักใบ แล้วไอ้เด็กนั่นทำอีท่าไหนวะเนี่ย มาวันแรกก็จัดซะแล้วหนึ่งใบ กระจอกอะไรเบอร์นั้น

ผมกวาดไปบ่นไปจนพื้นสะอาดก็เอาเศษแก้วทิ้งลงถังขยะก่อนจะกลับมานั่งหน้าเคาน์เตอร์เหมือนเดิม แล้วนั่นไปทำแผลกันที่เนปาลเหรอวะ ทำไมนานขนาดนี้ นี่ถ้าไม่มีกูเฝ้าเคาน์เตอร์ให้ไม่โดนยกเค้าไปหมดแคชเชียร์แล้วเรอะ

“ไอ้ซัน กระเป๋ามึง” ขณะที่ผมชะโงกหน้ามองดูว่าเมื่อไหร่ประตูหลังร้านจะเปิดออกมา เสียงยานๆ ง่วงๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นมาให้สะดุ้งหันไปมอง

ไอ้ตรีวางกระเป๋าที่ผมฝากไว้ลงบนเคาน์เตอร์ สภาพมันคือกำลังหอบข้าวของกลับทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงคืนกว่า

“ทำไมวันนี้กลับเร็ววะ” ปกติอยู่ยันเช้านู่นกว่าจะกลับที่วางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะเพราะกะว่าจะไปนั่งคุยเล่นกับมันซะหน่อย

“ไม่ไหวแล้วว่ะ เบลอ”

เออ มึงดูใกล้ตายจริงแหละ ขนาดพูดยังดีเลย์เลย

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นวะ” แต่ยังไม่วายถามด้วยความเป็นห่วงคนอื่นตามนิสัย

ผมยักไหล่ “เด็กใหม่ไอ้ตี๋ทำแก้วแตก”

“อ้าว แล้วเป็นไรป่ะ”

มึงนั่งใกล้เคาน์เตอร์ขนาดนี้ทำไมไม่รู้เรื่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ขี้เสือกเลยว่ะ เพื่อนใครวะ

“แก้วบาด ไอ้ตี๋พาไปปฐมพยาบาลที่เนปาลแล้ว”

“ฮะ?” นอกจากจะไม่ขี้เสือกยังไม่เกตมุกอีก

“เออช่างแม่ง ละนี่มึงกลับไง ขับรถไหวเหรอ ตามึงยังจะลืมไม่ขึ้นเลย” ผมเลิกสนใจสีหน้างุนงงของมันแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม

“เดี๋ยวพี่เชนมารับ ใกล้ถึงแล้ว”

“อ่อ” มีสามีเป็นสารถีนี่มันดีแบบนี้เอง “แล้วมึงกับพี่เชนเป็นไงบ้างวะช่วงนี้ ยุ่งทั้งคู่อ่ะดิ”

“อืม” มันพยักหน้าเนือยๆ

“ต่างคนต่างยุ่งระวังความเหินห่างจะทำให้ความรักขึ้นรานะจ๊ะเพื่อน”

“ขึ้นราพ่อง!”

ผมหัวเราะ ไม่ได้แซวอะไรต่อเพราะดูท่าว่าไอ้ตรีจะรับมุกอะไรไม่ไหว และแซวไปก็ไม่มีผลอะไร รู้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ทั้งมันกับพี่เชนฝ่าฟันอะไรกันมามากมาย เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่ได้เจอกันยังไง ความรักของสองคนนี้ก็ไม่มีวันขึ้นรา

จะว่าไปความโลกกลมอีกอย่าง ก็คงต้องยกให้เรื่องของไอ้ตรีกับพี่เชนนี่แหละ ใครจะไปคิดว่าหลังจากอกหักจากผมแล้ว วันหนึ่งคนที่ไอ้ตรีลงเอยด้วยจะเป็นพี่รหัสผมเอง ใกล้ตัวเกินคาด

แต่ก็ต้องขอบคุณความโลกกลมนี่แหละ ที่ช่วยคลี่คลายความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ตรีให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ ไม่เหมือนก่อนหน้านั้นที่มองหน้ากันไม่ติดเป็นปีๆ แล้วก็ต้องกราบขอบพระคุณพี่เชนด้วยที่เข้ามาในชีวิตไอ้ตรี ช่วยเยียวยาแผลให้ให้มัน กลับมามีความสุขได้อย่างทุกวันนี้...

เดี๋ยวนะ... เยียวยาแผลใจเหรอ

เออว่ะ ทำไมผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยวะ

“ไอ้ตรี” ผมรีบเรียกชื่อเพื่อนรักอย่างนึกอะไรขึ้นได้ “ตอนนี้มึงมีความสุขมากมั้ยวะ”

“ฮะ? อะไรของมึง”

“ก็ที่มึงคบกับพี่เชน มึงมีความสุขมากมั้ย”

“อะ...เออ” ถึงจะยังทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายมันก็ตอบพึมพำ พร้อมกับหน้าที่ขึ้นสีแดงไปยันหู

“แล้วมึง... ตัดใจจากกูได้เด็ดขาดแล้วใช่ป่ะวะ” กระดากปากเหมือนกันที่ต้องมาถามอะไรที่ฟังดูหลงตัวเองแบบนี้ แต่อยากรู้ เลยต้องถาม

“เออดิ มึงถามเชี่ยไรเนี่ย ถ้าพี่เชนมาได้ยินนี่ชะตาขาดเลยนะ”

เออจริง พี่เชนขี้หึงชิบหาย พูดเรื่องที่ไอ้ตรีเคยชอบผมขึ้นมาให้ได้ยินไม่ได้เลย เตรียมตัวหัวขาดอย่างเดียว

“กูแค่กำลังคิด...”

“คิดว่า?”

“ถ้าเราอกหัก ทางเดียวที่จะหายได้ก็คือการหาคนใหม่ป่ะวะ”

“เหรอวะ” มันทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจ

“ต้องใช่ดิ อย่างตอนกู...” ผมชะงักไป เพราะนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่กรณีศึกษาที่ดี “กูหมายถึง อย่างตอนมึงอ่ะ ที่ตัดใจจากกูได้ ก็เพราะมีพี่เชนหรือเปล่า”

“...”

“ถ้างั้น... มึงว่า ไอ้ตี๋มันจะตัดใจจากมึงได้ ถ้ามีใครเข้ามาป่ะวะ” ผมเปลี่ยนเสียงให้เบาลง ไม่ลืมที่จะหันไปมองข้างหลังให้แน่ใจว่าไอ้ตี๋ยังไม่มา

แม่งไปเนปาลกันจริงๆ เปล่าวะ นินทาไปหน้านึงแล้วแม่งยังไม่โผล่หัวเลย

“...”

ไอ้ตรีนิ่งไป ผมเดาว่ามันคงอึดอัดใจที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะมันเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ทำให้ไอ้ตี๋อกหัก แล้วทั้งสองคนก็ยังอยู่ในช่วงพยายามรักษาระยะห่างกัน เพื่อคงความสัมพันธ์ไว้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น

“กูว่า... กูจะช่วยไอ้ตี๋ว่ะ”

“...”

“กูจะทำให้มันตัดใจได้ กลับมามีความสุขอีกครั้งได้ สมหวังเรื่องความรักกับใครๆ เขาสักที”

“มึง...” ไอ้ตรีขมวดคิ้วเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างจนผมลุ้น

“กูไม่เข้าใจที่มึงพูดอ่ะ”

อ้าวไอ้สัส ที่แม่งนิ่งคือแม่งประมวลผลไม่ทันถูกมะ?

“เออช่างแม่ง” ผมแทบจะคว่ำโต๊ะ

แต่เห็นหน้ามันก็เข้าใจ เบลอขนาดนี้กูท่องก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกให้ฟังตอนนี้แม่งก็ไม่น่าจะเข้าใจ

“มึงไปหาผัวมึงไป พี่เชนมาโน่นแล้ว” ผมออกปากไล่ เมื่อเห็นร่างสูงๆ ของใครอีกคนกำลังจะเดินเข้าร้านมา

“งั้นกูไปนะ” บอกลา ทำท่าจะเดินออกไป แต่ยังไม่ทันจะพ้นสามก้าว ก็หันกลับมาใหม่ขมวดคิ้วมองผมอีกรอบ
ด้วยสีหน้ามึนๆ เหมือนเคย

“ไอ้ซัน” แต่มันก็ยังพูดออกมา ทั้งที่ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ

“ว่า?”

“กูไม่รู้หรอกว่ามึงจะทำอะไร แต่พี่เชนไม่ใช่ตัวแทนมึงนะ”

“...”

“ตอนเขาเข้ามา เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อเป็นตัวแทนใคร มึงเข้าใจใช่มั้ย”

“...”

“แล้วกูว่า การที่คนคนหนึ่งจะตัดใจจากคนหนึ่งได้ ทางที่ดีที่สุดมันอาจเป็นการใช้เวลา มากกว่าการลากใครเข้า
มาเจ็บเพิ่มหรือเปล่าวะ”   
               
“...”
               
“มึงลองคิดดูดีๆ ก่อนจะทำอะไรละกัน” พูดจบก็บอกลาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้ผมนิ่งค้าง ทบทวนความคิดตัวเองใหม่อีกครั้ง
               
ผมว่าผมเข้าใจที่ไอ้ตรีพูดนะ การหาคนใหม่มาเยียวยาอาจจะไม่ใช่หนทางแก้ไข
               
แต่ถึงอย่างนั้น ในทางกลับกัน ตัวผมเองรู้ดีไม่แพ้ใคร...

ว่าเวลาก็ไม่ใช่ทางออกเหมือนกัน






---------------------------------------------------------------------------------
โอ้ยยย คิดว่าจะไม่มีใครอ่านเเล้วค่ะ
คิดอยู่ว่าชิบเป๋งนี่อัพไว้อ่านเองเหรอ 5555
ไม่เป็นไรเนอะ ถือเป็นช่วงศึกษาดูใจ
แต่ตั้งใจว่าถ้าอัพไปสักสิบตอนแล้วยังไม่ค่อยมีคนอ่านคงต้องกลับไปพิจารณาตัวเองใหม่แล้วล่ะค่ะ
พล็อตไม่น่าสนใจ ไม่สนุก หรือเขียนไม่รู้เรื่อง หรือยังไง5555
เพราะความสัมพันธ์ตัวละครมันเชื่อมกับเรื่องก่อนด้วย เลยกลัวว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจค่ะ
ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ อาจจะต้องขออนุญาตลบเขียนใหม่ทั้งหมด
หรืออาจจะแก้ไขให้มันแยกออกมาจากเรื่องเก่าอย่างสิ้นเชิงนะคะ
ยังไงตอนนี้ก็ฝาก #ซันโช ที่เป็นพล็อตนี้ไว้ก่อนน้า ^^

ขอบคุณค่ะ
-- Martian --

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:05:04 โดย makok_num »

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #8 เมื่อ17-04-2017 21:31:13 »

ติดตามจ้า  จะตามไปอ่านเรื่องก่อน  นะคะ

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 3 [ 17/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #9 เมื่อ18-04-2017 14:27:00 »

มีน้องใหม่มาแระ

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 3 [ 17/4/2560 ] : P.1
« ตอบ #9 เมื่อ: 18-04-2017 14:27:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
Re: Just Before Sunrise : ก่อนตะวัน 4 [ 19/4/2560 ] : P.1
«ตอบ #10 เมื่อ19-04-2017 22:27:30 »

ก่อนตะวัน : 4

   
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก
   
แต่ก็พอจะรู้กว่าการอกหักแม่งเฮงซวยแค่ไหน มันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกใครก็ไม่รู้ยื่นมีดเข้ามาแทงจนเกิดแผลเหวอะหวะที่ต่อให้รักษาหาย ก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้เตือนใจ
   
มันทำให้ผมนึกภาพไม่ออก ว่าหัวใจของไอ้ตี๋ทนมาได้ยังไง โดยที่ยังทำเหมือนไม่เป็นอะไร

นึกไม่ออกเลยว่าข้างในมันกำลังทรมานแค่ไหนกับการแบกรับความเจ็บปวดไว้บนไหล่เล็กๆ นั่นคนเดียว
   
อาจจะจริงอย่างที่ไอ้ตรีบอก การตัดใจจากคนคนหนึ่งคงต้องใช้เวลา แต่ถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ? ถ้าเวลาไม่ได้ช่วยอะไร มันจะยังมีทางอื่นที่ดีกว่าอีกมั้ย?
   
ผมว่ามี

   
“ซัน วันนี้ก็จะไปที่ร้านอีกเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อผมลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาสวมแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาพาดบ่าทันทีเมื่อตื่นมาแล้วพบว่าเวลาล่วงเลยมาจนตีหนึ่งกว่าแล้ว
   
ไม่น่าเผลอหลับไปเลย
   
“อื้อ”
   
“ไหนบอกว่าวันอาทิตย์ไม่มีงานไง” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดถูกส่งมาให้ผมหันกลับไป ยื่นมือไปหยิกแก้มใสๆ ด้วยความเอ็นดู
   
“แวะเข้าไปดูหน่อยไง เผื่อมีอะไรให้ทำ” ข้ออ้างที่ใช้ทุกครั้ง จนเชื่อไปแล้วว่าคิดแบบนั้นจริงๆ
   
“พราวคิดว่าวันนี้จะค้าง นี่ก็ดึกแล้วนะ ที่ร้านคงไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกมั้ง” เจ้าของเสียงหวานเบ้หน้า ทำเสียงไม่ค่อยพอใจ ผมเลยหัวเราะ เลื่อนมือมาบีบจมูกเล็กๆ เบาๆ
   
“ไม่ยุ่งอะไร ใกล้สอบกลางภาคแล้วคนไปอ่านหนังสือเยอะจะตาย”
   
เผลอๆ ไอ้ตี๋อาจจะกำลังหัวหมุนตาย
   
“งั้นพราวไปด้วยได้ป่ะ” คราวนี้ร่างบางเลยใช้ท่าไม้ตายเบียดร่างที่มีเพียงผ้าห่มผืนหนาปิดบังท่อนล่างเข้ามาเกาะแขนผมไว้ ใช้หน้าอกหน้าใจถูไถเหมือนตอนที่บอกให้ผมมาติวหนังสือด้วยกัน
   
ผิดก็แต่คราวนี้ไม่มีเสื้อบางๆ หุ้มไว้เหมือนเมื่อกลางวัน สัมผัสมันจึงแตกต่างออกไป
   
ผมก้มลงมองแขนตัวเอง ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตาร่างบางอย่างหักห้ามใจ แล้วเลิกคิ้วถามอย่างจงใจหยอกล้อ

“ไปทำอะไร ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสือจนหมดแรงแล้วเหรอ”
   
“ซันอ่ะ!” เธอแหวะใส่ แต่ใบหน้าขึ้นสีด้วยความอาย
   
แหงล่ะ ไอ้ที่หมดแรงเพราะอ่านหนังสือที่ไหน ตั้งแต่มาอ่านชีทยังไม่ถึงครึ่งหน้าด้วยซ้ำ
   
“พราวนอนพักเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า” ผมว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปจูบแก้มใสเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง
   
“ตัวเองก็มีเรียนเช้าเหมือนกันอ่ะ แต่ก็เห็นไปร้านนั่นแทบทุกวัน” แต่มือบางกลับไม่ยอมปล่อยให้ผมไปง่ายๆ ยังรั้งเอาไว้ดึงมือผมไปทาบใบหน้าของตัวเองไว้พลางส่งสายตาเว้าวอน “วันนี้ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
   
“ไม่ได้ครับ” ผมยิ้ม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มใสเบาๆ
   
“ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าฐานะอย่างซันจะไปทำงานพิเศษทำไมให้เหนื่อยเปล่า”
   
ก็ไม่เหนื่อยนะ...

ผมเถียงในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป ไม่อยากจะต่อความยาวสาวสาเหตุที่ไม่เคยถามตัวเองจริงๆ จังๆ เหมือนกัน
   
“ชักอยากรู้แล้วว่าร้านนั้นมีอะไรดี”
   
“กาแฟอร่อยนะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ดึงมือตัวเองกลับมา “วันหลังพราวลองไปสิ”
   
“งั้นวันหลังซันพาพราวไปนะ” ไม่ทันไรเสียงหวานก็กลับมาอ้อนอีกครั้ง

“...” ผมไม่ตอบ แค่ส่งยิ้มที่คนตรงหน้าก็คงจะรู้ดีว่าหมายความว่ายังไง

ถ้าไปด้วยกันก็ต้องมานั่งตอบคำถามอีกว่าเป็นอะไรกัน ซึ่งผมไม่มีคำตอบให้

เพราะอันที่จริงเราไม่ได้เป็นอะไรกัน

แค่คนที่รู้จัก มีความสัมพันธ์ เติมเต็มในส่วนที่ขาดให้กันเพียงชั่วคราวก็เท่านั้น

“หึ ก็ได้ ถ้าพราวจะไปเมื่อไหร่ ซันต้องเลี้ยงด้วยล่ะ” พอเห็นว่าตื๊อไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนเป็นยื่นข้อเสนอใหม่ ที่ทำให้ผมได้แต่หัวเราะออกมา โน้มตัวลงไปจูบลาอีกครั้งแล้วรับปากเบาๆ
   
“รับทราบครับ”

   


ดูท่าผมจะเดาผิดไปนิดหน่อยที่คิดว่าไอ้ตี๋จะหัวหมุนจนอยากได้ความช่วยเหลือจากผม
   
ลืมไปซะสนิทว่าตอนนี้มันมีอีกคนมาช่วยแบ่งเบาภาระแล้ว
   
“อ้าว หวัดดีครับพี่ซัน”
   
“อ่า” ผมพยักหน้ารับไหว้ไอ้นายก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยืนชงกาแฟอยู่หลังเคาน์เตอร์
   
ไอ้ตี๋ไม่ได้เอ่ยทักทาย พอผมยิ้มแล้วยักคิ้วให้มันก็ทำหน้าเอือมกลับมา
   
“วันนี้มาดึกจังพี่ ลูกค้ากลับจะหมดแล้วเนี่ย” ไอ้นายที่เพิ่งจะเก็บแก้วเช็ดโต๊ะเสร็จเดินกลับมาถามอย่างอารมณ์ดี
   
ยังยิ้มจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่เหมือนเดิม
   
“อ่านหนังสือเพลินว่ะ” ผมตอบยิ้มๆ คนอายุน้อยกว่าเลยทำตาโตเหมือนไม่เชื่อกัน
   
“โห ดูไม่ออกเลยอ่ะว่าเป็นคนขยัน”
   
อ้าวไอ้สัส ลามปาม

“จริงๆ กูหลับ” แต่ก็จริง เลยไม่ได้ว่าอะไร แค่เปลี่ยนคำตอบตัวเองแบบขำๆ

ทำงานมาได้เดือนกว่าแล้วถึงจะคนละวัน แต่เพราะแวะมาประจำ เลยทำให้ผมกับมันเริ่มสนิทกันมากขึ้นกว่าตอนแรก ด้วยนิสัยสบายๆ เข้ากับคนง่ายทั้งคู่เลยคุยถูกคอถึงขึ้นเล่นหัวเล่นหางกันได้อย่างรวดเร็ว
   
“นั่นไง ผมว่าแล้ว หัวเหอกระเซิงมาซะขนาดนี้”
   
ผมยกมือขึ้นมาลูบผมตัวเองทันที ก่อนออกจากหอพราวมาก็ไม่ทันได้เช็คสภาพตัวเองให้ดี เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าสภาพน่าจะดูไม่ได้พอตัว
   
ไม่รู้ทำไม พอคิดได้แบบนั้นตาก็ดันเหลือบไปมองไอ้ตี๋ที่หันมาสบตาพอดี
   
“...”
   
“...” ทั้งที่ก็ไม่มีอะไรให้พูดทั้งคู่แท้ๆ
   
“เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟเองพี่” แต่ต่างคนต่างก็ละสายตาออกเมื่อได้ยินเสียงไอ้นาย ที่หันไปยิ้มกว้างจับถาดในมือคนตัวเล็กกว่าทำท่าจะแย่งมาถือ
   
“อื้ม ฝากด้วยนะ” แล้วไอ้ตี๋ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี
   
“ทีกูไปเสิร์ฟให้ไม่เห็นยิ้มงี้” พอไอ้นายเดินออกไปผมก็หันมาเบ้ปาก หรี่ตามองด้วยความอดหมั่นไส้ไม่ได้
   
“ก็ปกติคุณไม่ได้อาสานี่ครับ ผมไล่ให้ไปทำทั้งนั้น”
   
เออ ก็จริง ปกติกว่าผมจะไปเสิร์ฟกาแฟได้ ไอ้ตี๋ต้องไล่ประมาณรอบละสามครั้งจนคำว่า ‘ไปเสิร์ฟกาแฟครับ’ หลอนไปยันในฝัน
   
ช่วยไม่ได้ ก็หน้าไอ้ตี๋ตอนออกคำสั่งนู่นนี่แม่งตลกดี
   
“เถียงอะไรกันอีกครับพวกพี่” เสิร์ฟกาแฟเสร็จด้วยความเร็วแสงไอ้นายก็เดินกลับมาถามด้วยน้ำเสียงขบขัน
   
มันเห็นภาพที่ผมกับไอ้ตี๋กัดกันแบบนี้เป็นประจำ จากที่ช่วงแรกไม่ชินก็เปลี่ยนเป็นขำ จนมองเป็นเรื่องตลกในชีวิตประจำวันแม่งไปแล้วมั้ง
   
“ก็ไอ้ตี๋ดิ แม่งลำเอียง” ได้ทีผมก็ฟ้องใหญ่ เบ้หน้าใส่ไอ้คนสองมาตรฐานที่ถลึงตากลับมา “ทีกับมึงนะพูดดี๊ดี ทีกับกูนี่ด่าเอาๆ”
   
“หืม?” เลิกคิ้วพลางหันไปมองหน้าคนตัวเล็กกว่าที่ส่งสายตาเหมือนจะบอกว่าอย่าเชื่อผม “ก็พี่ซันชอบไปกวนพี่โชเขาก่อนอ่ะ”
   
แล้วก็ได้ผลเมื่อไอ้เด็กเวรนี่ดันเข้าข้างไอ้ตี๋หน้าตาเฉย
   
“อ้าว ไหงกูผิด” พอเห็นผมเหวอ ไอ้นายก็หัวเราะชอบใจ

“ไม่รู้อ่ะ เรื่องนี้ผมเข้าข้างรุ่นพี่ผมสุดใจเลย” ไม่พอ ยังถือวิสาสะยกมือขึ้นกอดคอไอ้ตี๋ไว้อีกต่างหาก
   
ผมเห็นไอ้ตี๋ผงะไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมให้แต๊ะอั๋งเฉยเลย
   
ทั้งที่ปกติหวงตัวจะตาย ผมแตะนิดแตะหน่อยก็ฟาดจนมือแทบหัก แต่ทำไมทีกับคนอื่นนี่แม่งยอมให้แตะง่ายจัง กอดคอขนาดนั้นยังไม่โดนว่าสักคำ 
   
เนี่ย ไม่เรียกว่าลำเอียงแล้วจะเรียกอะไร
   
“แต่ผมอยากให้พี่โชดุผมบ้างนะ” ไม่ทันได้เถียงอะไร ไอ้รุ่นน้องหน้าใสก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มกว้างเกินจำเป็นเหมือนเคย
   
“เวลาพี่โชทำหน้าดุแล้วน่ารักดี”
   
“...”
   
“...”
   
บทสนทนาค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น เมื่อทั้งผมและไอ้ตี๋ต่างเงียบไป  เห็นหน้าอีกฝ่ายก็พอจะรู้ว่าคงตกใจไม่น้อยที่ได้ยินคนชมตัวเองโต้งๆ แถมยังอยู่ในระยะที่หน้าห่างกันไม่ถึงฟุตอีกต่างหาก

“เอ้อ...” ผมส่งเสียง แต่เหมือนสมองมันประมวลผลหาคำพูดไม่ทัน ถึงได้ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบลงอีกรอบ จนกระทั่งมีลูกค้าคนใหม่เข้าร้านมา
   
“ทำงานกันดีกว่าครับ” ไอ้ตี๋ถึงเหมือนเพิ่งได้สติ ผละออกจากอ้อมแขนของไอ้นายเดินไปรับออเดอร์ที่หน้าแคชเชียร์
   
ผมมองตามด้วยความคิดบางอย่างที่ผุดเข้ามาในหัว ยิ่งหันกลับมาแล้วเห็นว่ารุ่นน้องตัวดีกำลังมองไอ้ตี๋อยู่เหมือนกันก็ยิ่งแน่ใจ ว่าไม่ได้คิดไปเอง
   
นี่ไอ้ตี๋กำลังโดนจีบ ถูกมะ?
   
   



อันที่จริง ผมสังเกตมาสักพักแล้วว่าไอ้นายพยายามจะตีสนิทกับไอ้ตี๋เกินกว่ารุ่นพี่ในคณะ หรือเพื่อนร่วมงาน ตอนแรกๆ ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะดูจากภายนอกไอ้นายก็เป็นผู้ชายแมนๆ ไม่ต่างจากผม แต่ของแบบนี้มันวัดได้ที่ไหน อย่างพี่เชนไง ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเจอใครแมนเท่าพี่เขาเลย แต่สุดท้ายก็ดันมาลงเอยกับไอ้ตรี จะด้วยความใกล้ชิด ด้วยเห็นนิสัยใจคอไอ้ตรี หรืออะไรก็เถอะ ผมว่ามันพิสูจน์ชัดเจนเลยนะว่าถ้าคนเราจะรักกัน เรื่องเพศแม่งก็แทบจะไม่สำคัญเลย
เพราะแบบนั้นผมเลยคิดว่าเป็นไปได้เหมือนกัน ที่ไอ้นายจะชอบไอ้ตี๋

ยิ่งเห็นพฤติกรรมหลายๆ อย่างตลอดเดือนที่ผ่านมา ผมก็ค่อนข้างมันใจ ถึงไอ้นายจะเป็นคนยิ้มง่าย คุยเก่ง แต่รอยยิ้มและบทสนทนาที่มันมีให้ผมกับไอ้ตี๋ก็ต่างกันชนิดที่ว่าแยกออกได้ไม่ยาก ไหนจะสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย กับสายตาหวานเยิ้มที่ผมแอบเห็นมันส่งให้ไอ้ตี๋อยู่บ่อยๆ ดูออกง่ายดายเลยว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

แบบนี้มัน... ยิ่งทำให้ผมเดินหน้าตามสิ่งที่ตั้งใจได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือไง?

เดิมทีผมตั้งใจจะหาใครสักคนมาให้ไอ้ตี๋ทำความรู้จัก ผมรู้จักคนเยอะ สมาคมกับคนหน้าตาดี นิสัยพอใช้ได้อยู่มากมาย กำลังคิดว่าจะหาคนที่เหมาะสม หาจังหวะดีๆ ให้สองคนได้ทำความรู้จักกัน เหมือนการจับคู่ให้กลายๆ แต่จะถึงขึ้นศึกษาดูใจ หรือสานสัมพันธ์ต่อหรือไม่ ก็แล้วแต่ไอ้ตี๋มัน

แต่ตอนนี้ผมว่าผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ เพราะดูเหมือนว่าคนที่เหมาะสม จะเข้ามาในจังหวะที่เหมาะสมพอดี

“พี่โชเห็นรูปคืนสปิริตไนต์ที่เพจมหาลัยลงป่ะ หน้าผมโคตรตลกเลยอ่ะ” ไอ้นายถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังช่วยคนตัวเล็กกว่าเก็บแก้วกับจานบนโต๊ะที่ว่างลงเมื่อถึงเวลาร้านปิด ผมพลิกป้ายหน้าร้านเป็น Closed ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยยกเก้าอี้ขึ้นอีกแรง

งานสปิริตไนต์เพิ่งถูกจัดไปเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน วันนั้นพี่โมถึงขั้นปิดร้านตั้งแต่เย็นเพราะอยากให้เราไปร่วมกิจกรรมของมหาลัย ยิ่งปีสามนี่วุ่นวายพอตัว ต้องเป็นฝ่ายควบคุมนู่นนี่จนน่าปวดหัว โชคดีคณะผมคนเยอะพอแบ่งหน้าที่แล้วก็เลยไม่ต้องทำงานหนักมาก เนียนอู้ได้บ้างตามอัธยาศัย
   
“ยังไม่เห็นอ่ะ” ไอ้ตี๋ว่าพลางเช็ดโต๊ะไปพลางอย่างไม่ค่อยใส่ใจ แต่ไอ้นายก็ยังกระตือรือร้นชวนคุย วางแก้วกับจานลงบนโต๊ะหนึ่งแล้วควักโทรศัพท์ออกมาโชว์
   
“เนี่ย ดูดิ อ้าปากหวอเลย โคตรเด๋อ”
   
“เออ ตลกจริงด้วย” ว่าพลางหัวเราะเบาๆ
   
มึงช่วยใส่ความจริงใจเข้าไปด้วยได้มั้ยเนี่ยตี๋
   
“ใช่มะ ผมกำลังดูคอนเสิร์ตเพลินๆ อ่ะ ใครจะไปรู้ว่ามีคนแอบถ่าย แล้วดูหน้าโคตรมัน หัวก็พัง อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายนะ ผมจะไปเผาบ้านมัน” แต่ดูเหมือนไอ้นายจะไม่ได้เอะใจอะไร ยังคงเล่นใหญ่สานต่อบทสนทนา
   
“ไปขอให้เขาลบดิ”
   
“ไม่เอาอ่ะ ไม่กล้า” มันย่นหน้า แต่ปากก็ยังบ่นขมุบขมิบไม่หยุด “รูปดีๆ กว่านี้ไม่มีหรือไงเนี่ย ทำไมลงรูปนี้วะ”
     
ผมเห็นไอ้ตี๋ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร ไม่ทันไรไอ้นายก็ชวนคุยต่อ
   
“นี่ต้องรูปนี้ดีกว่า น่ารักกว่าเยอะ ผมถึงขั้นต้องเซฟเก็บไว้เลย” มันเอียงโทรศัพท์ให้ไอ้ตี๋ดู แล้ววินาทีต่อมาผมก็เห็นตาตี่ๆ เบิกกว้างอย่างตกใจ
   
“เฮ้ย ขุดทำไมเนี่ย ลบเลย” มันโวยวายทำท่าจะแย่งโทรศัพท์มา แต่เพราะตัวเตี้ยกว่าพอไอ้นายชูโทรศัพท์จนสุดแขนก็เลยไม่สามารถ
   
“ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ น่ารักดีออก” มันหัวเราะลั่นเขย่งเท้าหนีคนที่พยายามจะกระโดดโหยงเหยงอย่างเสียอาการ
   
รูปไรวะ อยากเสือก
   
“เฮ้ย! พี่ซัน” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปคว้าโทรศัพท์แม่งมาซะเลย
   
ผมก้มลงมองหน้าจอที่ค้างอยู่หน้าเดิม เป็นรูปผู้ชายตัวเล็กๆ ผอมๆ คนหนึ่งที่แต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็มในชุดนักศึกษาสมัยเป็นเชียร์ลีดเดอร์มหาลัย
   
“เชี่ย นี่มึงเหรอ” ผมเบิกตากว้าง “ตัวโคตรเล็กอ่ะตี๋ แดกข้าวบ้างป่ะเนี่ย”

“นั่นดิ พี่โชแม่งหุ่นบางกว่าพวกผู้หญิงอีก ดูไม่ออกเลยว่าเคยอ้วนมาก่อน” ไอ้นายพูดขำๆ
   
“...”

“...”

แต่ทั้งผมกับไอ้ตี๋ชะงัก
   
“มึงไปเอามาจากไหนว่ามันเคยอ้วน” ผมมองหน้าไอ้ตี๋แล้วเห็นมันสายตามันหลุบลงต่ำ ทั้งที่คงสงสัยเหมือนกันก็เลยถามออกไป
   
“เอ่อ...” ไอ้นายทำท่าตกใจ สีหน้ามีพิรุธเหมือนถูกจับได้
   
“ไอ้นาย” พอผมทำเสียงคาดคั้น มันเลยยิ่งหงอย ดึงโทรศัพท์ออกไปจากมือผมแล้วเปิดรูปหนึ่งให้ดู
   
เป็นรูปไอ้ตี๋สมัยมัธยม...
   
“พอดีเพื่อนผมมันเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่อ่ะ พอบอกว่าผมทำงานกับพี่โช มันเลยเอารูปนี้ให้ดูว่าใช่โชเดียวกันหรือเปล่า” มันหันไปสารภาพกับไอ้ตี๋ที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร

ถึงจะไม่ใช่รูปถ่ายมันโดยตรง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นจุดโฟกัสแต่ภาพผู้ชายตัวอ้วนแว่นหนาเตอะอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ก็เห็นชัดพอจะจำได้ว่านั่นคือไอ้ตี๋ สีหน้ากังวลฉายขึ้นมาทันทีที่ไอ้ตี๋เห็นรูปตัวเองในมือถือของรุ่นน้อง

แน่ล่ะ ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันอยากลบตัวตนในอดีตของมันจะตาย มันลงทุนหนีมาเรียนไกลถึงที่นี่ สมัครแอคเคาท์โซเชียลต่างๆ ใหม่ ไม่คบค้าสมาคมกับใครที่จะขุดคุ้ยประวัติขึ้นมา ก็เพื่อหนีจากความหลังที่ทำให้มันฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่เข้าตาจนถูกกดให้ต่ำด้วยคำพูดล้อเลียนนานา หรือแม้กระทั่งเรื่องรสนิยมเรื่องเพศของมันก็ถูกเอามาพูดในแง่ลบ สร้างความอับอาย ด้วยความคะนองปาก ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องมากนัก แต่เท่าที่รู้จักกันดูเหมือนการกระทำพวกนั้นจะทำให้ไอ้ตี๋กลายเป็นคนเก็บตัว ซึมเศร้า และทำทุกวิถีทางเพื่อหลบเลี่ยงตัวเองจากสังคมที่เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์โดยไม่นึกถึงจิตใจมัน อดทนจนกระทั่งขึ้นมหาลัย มันถึงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ และลบอดีตเลวร้ายพวกนั้นไป

แต่ดูท่าว่าจะทำได้ยาก... หรือบางทีอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ได้

ดูดิ ไม่ทันไร อดีตที่มันพยายามจะลืมก็หวนกลับมาหาอีกครั้ง โดยทันให้ตั้งตัว

“พี่โช... โกรธเหรอ” ไอ้นายถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ หลังจากเงียบไปพักใหญ่

“ปะ...เปล่า” ไอ้ตี๋เหมือนเพิ่งรู้ตัวเลยยิ้มออกมาบางๆ ได้ยินแบบนั้นไอ้นายก็ถอนหายใจเบาๆ

“เฮ้อ รอดตัวไป ผมคิดว่าพี่จะโกรธที่ละลาบละล้วงเรื่องของพี่มากเกินไป”

“บ้า จะโกรธทำไม” มันยังคงยิ้ม ทั้งที่สายตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย

“จริงนะ? งั้น...ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ผมเก็บรูปนี้ไว้ได้มั้ย”

“...”

“ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ แค่อยากเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ คนที่เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นขนาดนี้ได้ ผมนับถือมากเลย”

“...”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนในรูปถ่าย เห็นสีหน้ามันก็รู้ว่ากำลังลำบากใจ ถึงจะพูดให้ดูดียังไง รูปถ่ายนั่นก็เป็นเครื่องเตือนความทรงจำที่ไอ้ตี๋อยากจะลืมอยู่ดี

“ได้สิ” แต่เพียงไม่นาน ไอ้ตี๋ก็ยิ้มบางๆ ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำอนุญาต... ที่ผมรู้ว่าไม่ได้มาจากใจ
แม่ง ทำไมไม่ปฏิเสธไปวะ

“ขอบคุณครับพี่”

ไอ้นี่ก็ขอบคุณเหี้ยอะไร มึงอ่านสายตาไม่ออกหรือไงว่ามันไม่ได้เต็มใจอนุญาตอ่ะ โง่ชิบ

ผมอยากจะสบถออกมาดังๆ แต่ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูรูปพร้อมกับความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามา

“เฮ้ย กูก็เรียนที่นี่ ดูดิในรูปนี้ก็มีกู” แกล้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกไปแตะที่หน้าจอโทรศัพท์ในมือไอ้นาย ตั้งใจจะขยายแบ็คกราวน์ด้านหลังไอ้ตี๋ที่มีใครไม่รู้นั่งอยู่เป็นกลุ่มใหญ่

“เฮ้ย! พี่ซัน” แต่ดันเลื่อนนิ้วสะเปะสะปะไปหน่อยเลยกดโดนปุ่มดีลีทพอดี

แถมพลาดกดยืนยันการลบอีกต่างหาก

“อ้าว เชี่ย ไหนเดี๋ยวกูเอาคืนให้” ผมพูดหน้าตาย แย่งโทรศัพท์ในมือมันมากดเข้าไปดูไฟล์รูปที่เพิ่งลบไป แล้วกดลบในนั้นอีกที

“เฮ้ย อะไรเนี่ยพี่” ไอ้นายโวยวายขึ้นมา ทำท่าจะแย่งโทรศัพท์กลับไป ขณะที่ผมเลื่อนรูปในอัลบั้มไปเรื่อยๆ กวาดสายตาดูว่ามีรูปอื่นอีกมั้ย พอแน่ใจว่าไม่มีก็คืนโทรศัพท์ให้แล้วเอ่ยขอโทษไม่จริงจัง

“โทษทีว่ะ กูจำปุ่มสลับกัน”

แถสัส แม่งก็เห็นตัวหนังสือคำว่าดีลีทอยู่ชัดๆ

รู้หรอกว่าอีกไม่นานมันคงหารูปมาใหม่มาได้อีก แต่แค่เห็นว่าตอนนี้ไม่มีรูปนั้นอยู่ในมือถือไอ้นายผมก็สบายใจละ

“ได้เหรอวะพี่” มันเหวอไปเลยเมื่อเจอสกิลตอแหลหน้าตายของผม ก้มดูโทรศัพท์ในมือพอเห็นว่ารูปไม่อยู่แล้วก็ทำหน้าเสียดายขึ้นมา ผมเลยเอื้อมมือไปตบบ่ามันสองสามที

“เอาน่า รูปนั้นเห็นหน้ากูไม่ชัดหรอก เดี๋ยวเอารูปอื่นให้ดู”

“ผมอยากดูรูปพี่ที่ไหนเล่า!”

“อ้าวเหรอ”

“พี่ซันแม่ง...” ไอ้นายทำท่าจะโวยวายอีก แต่ก็หุบปากทันควันเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่เงียบไปนาน

“ฮะๆ”

ถึงจะแค่แวบเดียว แต่นั่นก็เป็นเสียงหัวเราะไม่กี่ครั้งของไอ้ตี๋ ที่ไม่ใช่แค่แกล้งขำไปผ่านๆ อย่างทุกที

“เถียงกันเป็นเด็กๆ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงบ่นอย่างไม่จริงจัง เรียกให้ไอ้นายที่เพิ่งเงียบไป โวยวายขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่โชก็ดูพี่ซันดิ แกล้งผมชัดๆ เลย”

“อะไร ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจ” ผมเถียง ละสายตาจากริมฝีปากบางที่ยังแต้มรอยยิ้มขึ้นมามองหน้ามู่ทู่ของไอ้เด็กข้างตัว

“ไม่ได้ตั้งใจอะไรเนี่ย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจงใจลบอ่ะ”

“รำคาญ เลิกบ่นแล้วเอาแก้วไปล้างไปมึงอ่ะ ชักช้าชิบหาย เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับบ้านกันพอดี” ผมโบกมือส่งๆ ออกปากไล่อย่างไม่ใส่ใจ

“พี่ซันแม่งๆๆ” ไอ้นายเลยได้แต่ทำท่ากระฟัดกระเฟียด หอบถาดที่ใส่แก้วกับจานกลับไปที่เคาน์เตอร์อย่างทำอะไรไม่ได้ นอกจากบ่นพึมพำไปตลอดทาง

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าไอ้ตี๋ที่มองผมกลับเหมือนกัน มันส่ายหน้าเอือมๆ แต่แววตาดูโล่งใจ ผมเลยรู้ว่าดีแล้วที่ทำแบบนั้นลงไป

“ไม่เนียนเลยนะครับ”

“...”

“แต่ก็ขอบคุณ”

อย่างน้อยแค่ทำให้ไอ้ตี๋ยิ้มออกมาแบบนี้ได้สักครั้ง ผมก็พอใจ






------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆ แล้วแกใส่ใจความรู้สึกตี๋มากนะซัน
รู้ตัวป่ะ?


ปล. อยากได้ชื่อไทย เลยลองคิดดู พบว่าใส่แล้วชื่อมันดูเต็มขึ้นเหมือนกันนะ 5555
หวังว่าจะถูกใจกันค่ะ

-- Martian --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:05:40 โดย makok_num »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
พระเอกสายกากสินะ
 :laugh:

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
เปิดมา 4 ตอน

ได้ตำแหน่งพระเอกสายกากเสียแล้วซันเอ้ยยย!!  :m20:

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
น่ารักดีนะ ถึงจะเคยอ่านเรื่องเชนตรี แต่ยังอ่านไม่จบอ่ะ
แต่เรื่องนี้ นายเอกพูดสุภาพมากเลยยย

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 5

   
นับวันไอ้ตี๋กับไอ้นายชักจะสนิทกันออกนอกหน้าเข้าไปทุกที
   
ต่อให้มองจากดาวอังคารแบบไม่ต้องส่องกล้องมายังเห็นชัดเลยว่ามีคนแถวนี้กำลังจีบกัน
   
“งานออกร้านปีนี้สาขาพี่ขายอะไรอ่ะ”
   
“น่าจะเครื่องดื่ม”
   
“โห งี้ก็สบายเลยดิ มีพี่โชเป็นบาริสต้ามือดีขนาดนี้ต้องขายดีอยู่แล้ว”
   
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ไม่ได้ขายกาแฟ เป็นพวกน้ำปั่นง่ายๆ ใครก็ทำได้”
   
“แต่พี่โชทำอร่อยสุดอ่ะ”
   
“ขนาดนั้นเลย?” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงหัวเราะใสๆ แล้วก็ได้แต่หมั่นไส้
   
ระริกระรี้เชียวนะตี๋
   
แล้วแก้วมีอยู่กี่ใบ มึงจะไปยืนเบียดแย่งกันล้างทำไมตั้งนานสองนาน
   
“จริงนะพี่ ที่ร้านลูกค้าเยอะขนาดนี้เพราะรสชาติเครื่องดื่มถูกปากจนต้องมาประจำไง”
   
“เวอร์ เพราะเป็นช่วงใกล้สอบหรอก”

ยัง ยังไม่เลิกหัวร่อต่อกระซิกกันอีก
   
“ไม่... อันนั้นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่กาแฟพี่โชอร่อยจริงๆ ผมไปถามลูกค้าตอนนี้ยังได้เลย”
   
“ครับๆ เชื่อแล้ว”
   
รำคาญ
   
“ไอ้นายมารับออเดอร์ดิ๊” ผมส่งเสียงเรียกทันทีที่เห็นลูกค้าคนใหม่เดินเข้าร้านมา
   
“อ้าว พี่ซันรับไปก่อนดิ ผมยังไม่ว่าง” มันหันมาทั้งที่มือยังแช่อยู่ในซิ้งค์ล้างจาน
   
“กูก็ไม่ว่าง อ่านหนังสืออยู่” ผมชูชีทที่ค้างอยู่หน้าเดิมมาเป็นชั่วโมงให้มันดู
   
อุตส่าห์หอบมาด้วย แต่เสือกไม่มีสมาธิอ่านเกินห้านาทีสักที
   
“โห่พี่ แป๊บเดียว”
   
“เรื่อง วันนี้ไม่ใช่กะกู” ผมยักไหล่ในจังหวะที่ลูกค้าหาโต๊ะนั่งวางกระเป๋าเสร็จและเดินมาถึงเคาน์เตอร์พอดี
   
“ผมรับเอง” ไอ้ตี๋พูดขึ้นมาเพื่อตัดปัญหา คงกลัวว่าถ้าปล่อยไว้แล้วลูกค้าเห็นพวกผมเกี่ยงกันไม่รับออเดอร์มันจะดูไม่ดี
   
“เฮ้ยพี่โช ไม่เป็นไร หน้าที่ผมเอง”
   
อ่ะ ทีงี้ละยอมง่ายเชียว สอพลอจริงไอ้เด็กเวร
   
“พี่ซันแม่ง” แต่ตอนเดินผ่านยังไม่วายมาค้อนใส่ ผมเลยยักคิ้วกลับไปอย่างตั้งใจกวนตีน
   
ผมมองไอ้นายที่เดินไปทำหน้าที่รับออเดอร์จากลูกค้าที่ดูเหมือนจะยังลังเลเลือกเครื่องดื่มไม่ได้ ก่อนจะวางชีทบนเคาน์เตอร์ แล้วลุกขึ้นลากเก้าอี้ไปหาอีกคนที่ยืนอยู่หน้าซิ้งค์ล้างจาน
   
ตุบ!
   
“เฮ้ย!” คนตัวเล็กโวยวายเสียงดังขึ้นมาทันทีที่ผมใช้เข่าดันข้อพับมันจนขาอ่อนทรุดลงมานั่งบนเก้าอี้ได้พอดิบพอดี
   
“เสียงดังว่ะ” ผมหัวเราะ ขณะที่ไอ้ตี๋จ้องมาจนตาแทบถลน
   
ถ้าหนังตาบนกับล่างมันเปิดกว้างได้มากกว่านี้อ่ะนะ
   
“เล่นอะไรครับ” มันทำหน้าเอือมเมื่อเห็นว่าเป็นผม ทำท่าจะลุกขึ้นมาจนต้องกดไหล่บางๆ ให้นั่งลงไปอีกครั้งอย่างบังคับ
   
“ไม่ได้เล่น” ว่าพลางดึงแก้วกาแฟที่มันถืออยู่ในมือวางกลับไปในอ่าง แล้วยื่นผ้าเช็ดมือให้แทน “พักบ้างมึงอ่ะ หน้าเป็นศพแล้ว”
   
อย่างที่ไอ้ตี๋บอก อาทิตย์หน้าก็จะเข้าฤดูกาลสอบแล้ว เพราะงั้นบรรดานักศึกษาก็เลยพากันยกโขยงมานั่งอ่านหนังสือที่ร้านจนแน่น เที่ยงคืนแล้วคนก็ยังเยอะอยู่ แต่ส่วนใหญ่นั่งแช่กับกาแฟแก้วเดียวมาตั้งแต่สี่ทุ่มนั่นแหละ เลยยังรับมือไหว จนกว่าจะถึงเวลาปิดร้านที่ต้องเก็บโต๊ะ ล้างจานจนมือหงิก
   
อยากจะเดินไปบอกลูกค้าทุกคนว่าช่วยเก็บขยะที่โต๊ะไปทิ้งลงถังใจจะขาด แต่ถ้าทำงั้นมีหวังคงโดนด่าเปิง... โดยไอ้ตี๋อ่ะนะ
   
ก็คุณเขาถือคติลูกค้าคือพระเจ้านี่ครับ
   
ประเด็นคือไม่ใช่แค่พวกที่นั่งจับกลุ่มกันเต็มร้านนั่นที่ต้องสอบ พวกผมเองก็ต้องอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ เหมือนกัน และมันยากเมื่อเรายังต้องทำงาน ถึงจะมีจังหวะให้อ่านตอนว่างบ้าง แต่เวลาที่มีสมาธิจนอ่านอย่างต่อเนื่องได้ก็ต้องรอให้เลิกงานอยู่ดี
   
และคนที่ทำงานหนักสุดก็คือไอ้ตี๋ ที่หามรุ่มหามค่ำอาทิตย์ละเจ็ดวัน
   
“กูมีเพื่อนเป็นซอมบี้คนเดียวพอแล้ว ไม่อยากได้มึงมาเพิ่มอีกคนหรอก” ผมพูดขำๆ ยอมปล่อยไหล่บางออกเมื่อคนตัวเล็กยอมนั่งแต่โดยดี

“ขอบคุณครับ” ไอ้ตี๋เช็ดมือเสร็จก็ยื่นผ้ากลับมาให้ ผมวางมันไว้ที่เดิมแล้วหันมาหรี่ตามองเจ้าของใบหน้าอิดโรยที่ไม่ส่งเสียงบ่นเหมือนทุกที

“ทำไมคราวนี้ไม่ด่าวะ มึงไม่สบายจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ยตี๋” ยกมือขึ้นมาอังหน้าผากใส แต่ไม่พบความผิดปกติของอุณหภูมิร่างกายก็แปลกใจ

“ชอบให้ด่าเหรอครับ” ยิ่งแปลกใจไปกันใหญ่เมื่อไม่ถูกฟาดจนมือแทบหัก แต่ไอ้ตี๋กลับแค่เอี้ยวตัวหลบมือผม สีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร แตะมือกลับไปที่หน้าผากใสอีกครั้ง แล้วเลื่อนลงมาที่ลำคอจนแน่ใจว่ามันไม่ได้เป็นไรแน่ๆ จึงดึงมือกลับมา

สงสัยจะเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ

“เดี๋ยวกูล้างเอง” ผมว่า พับแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นจนถึงข้อศอกแล้วหันกลับมาล้างแก้วต่อแทน

มันเหลืออีกไม่กี่ใบเท่านั้นเอง

“เฮ้ย ไปไหน” ผมโพล่งขึ้นมาเมื่อไอ้ตี๋ทำท่าจะลุกอีกครั้ง

มันเบิกตากว้างนิดๆ ท่าทางประหลาดใจก่อนจะพยักหน้าไปทางเครื่องชงกาแฟ

“ไปช่วยนายชงกาแฟครับ”

“ไม่ต้องไป” เผลอโพล่งโดยไม่ทันคิดอีกครั้ง

“บอกให้นั่งพัก”

“ผมพักพอแล้ว”

ดื้อจังวะ

“ไม่ได้” ผมขมวดคิ้ว กดไหล่มันนั่งลงที่เดิม

“ทำไมครับ” ไอ้ตี๋ทำหน้าขัดใจ ผมเลยยักไหล่ เอ่ยคำตอบที่เพิ่งคิดได้ออกไปทันควัน

“กูอยากได้กำลังใจในการล้างจาน”

ไม่ทันฉุกคิดสักนิดว่าแม่งเป็นข้ออ้างที่โคตรจะปัญญาอ่อนเลย


แล้วไอ้ตี๋ก็นั่งเฝ้าผมจนล้างจานเสร็จ... อันที่จริง เรียกว่านั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ จนผมล้างจานเสร็จถึงจะถูก ตอนแรกเห็นนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ก็แปลกใจ ไม่คิดว่าพอหันกลับมาจะเห็นว่าตาตี่ๆ นั่นปิดสนิททั้งที่นั่งกอดอกอยู่จริงๆ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อยากให้หลับต่อเหมือนกัน แต่ให้นั่งคอพับคออ่อนอยู่ตรงนี้ก็คงเมื่อนตาย อยากน้อยเรียกให้ไปฟุบหลับที่เคาน์เตอร์ก็ยังดี

“ตี๋... เฮ้ย!”

ปุบ!

แต่ขณะที่ผมกำลังจะปลุกหัวของไอ้ตี๋ก็ดันโดนแรงโน้มถ่วงดึงไปด้านข้าง โชคดีที่ผมเข้าไปรองไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกจากเก้าอี้พอดิบพอดี

“หืม?” มันส่งเสียงครางขึ้นมาเบาๆ พลางลืมตา แต่พอเห็นว่าร่างตัวเองเอียงอยู่ในอ้อมแขนผม ก็รีบเด้งกลับขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้งท่าทางตกใจทั้งที่ยังงัวเงีย

“ไปนอนดีๆ ไป” ผมว่า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกรอบ

เกือบหัวโหม่งพื้นแล้วมั้ยล่ะตี๋

“ผมไม่เป็นไรครับ” แต่มันก็ยังจะดื้อ ลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์ทั้งที่ยังหาวหวอดใหญ่

“อ้าวพี่โช ง่วงก็ไปงีบก่อนก็ได้นะพี่ ผมทำต่อได้” ไอ้นายที่เพิ่งเดินไปเสิร์ฟกาแฟพร้อมเก็บโต๊ะที่เพิ่งว่างลงเดินกลับมาทำหน้าเป็นห่วงเป็นใย ขณะที่ผมเดินกลับมาสำทับอีกที

“เออ เดี๋ยวกูกับไอ้นายจัดการตรงนี้เอง มึงไปพักเหอะ”

แต่ไอ้ตี๋คนดื้อก็ยังถอนหายใจมองพวกผมเหมือนกำลังทำให้เป็นเรื่องใหญ่ “ผมไหวครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงร้านก็จะปิดแล้ว”
เดี๋ยวกูปิดแม่งตอนนี้เลย ดื้ออะไรนักหนาวะ

ผมกำลังจะเถียงออกไป แต่ก็ต้องชะงักไว้เมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาพอดี เปิดจังหวะให้ไอ้ตี๋ยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างเพื่อหนีได้เหมือนเดิม

“ทำงานเถอะครับ” ว่าพลางเดินไปที่แคชเชียร์

“เดี๋ยวกู...” ผมชะงักไปอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าลูกค้าที่ยืนอยู่หน้าแคชเชียร์เป็นใคร คิ้วที่ขมวดด้วยความหงุดหงิดคลายลงเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจที่เข้ามาแทน “พราว?”

คราวนี้ทั้งไอ้ตี๋และไอ้นายต่างหันมามองผมด้วยสีหน้าสงสัยไม่แพ้กัน เมื่อผมทำท่าว่าจะรู้จักผู้หญิงขาวสวยหมวยตัวเล็กตรงหน้า

“ไง” เธอยิ้ม ส่งสายตาวาววับมาให้ “มาให้เลี้ยงแล้วนะ”

แวบหนึ่ง... ผมหันกลับไปสบตากับไอ้ตี๋ ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม





“อืม กาแฟอร่อยจริงด้วย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นหลังจากจิบลาเต้ร้อนที่ผมเป็นคนแนะนำเข้าไป

“บอกแล้วไง” ผมพูดยิ้มๆ เหลือบตากลับไปมองคนชงที่ยืนทำนู่นทำนี่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ทั้งที่สีหน้าง่วงนอนเต็มแก่

เหลืออีกชั่วโมงเดียวร้านก็จะปิดแล้ว ผมจะรอให้ถึงตอนนั้นแล้วกัน จะได้ไล่ให้มันไปนอนแบบไม่มีข้ออ้างได้สักที

“ซันทำงานที่นี่มานานหรือยัง” หันกลับมาอีกครั้งเมื่อคนนั่งตรงข้ามเอ่ยถาม

“ก็ เกือบปีแล้ว” ผมตอบ เลื่อนสายตากลับไปที่เดิมอีกครั้ง คราวนี้เห็นไอ้ตี๋นั่งพักหลังจากชงเครื่องดื่มเสร็จ แล้วไอ้นายก็คงจะอาสามาเสิร์ฟให้เหมือนเคย

มันไม่ได้ฟุบหลับ แค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมานั่งกดสักพัก แต่คงไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยวางโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมาแล้วดันสบตาผมเข้าพอดี

“?”

“...”

“แต่วันนี้ก็ไม่ใช่เวรของซันใช่มั้ย” โชคดีที่พราวเอ่ยคำถามใหม่ ทำให้ผมหันกลับมาหาเธออีกครั้ง ไม่ได้ตอบคำถามที่ถูกส่งมาทางสายตาของมัน

“ก็...นะ เราเอาชีทมาอ่านที่นี่อ่ะ” ผมตอบ รู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างเกินจำเป็นไปหน่อย แต่คงไม่เป็นไร “แล้วนี่พราวมาทำไมเหรอ” ผมถามกลับบ้าง

ตอนนั้นที่เธอบอกว่าจะมา ผมก็ไม่คิดว่าจะมาจริงๆ หรอก ปกติพราวกับผมไม่ค่อยมาสุงสิงกันในที่สาธารณะเท่าไหร่ เจอหน้าที่คณะก็มีทักทายบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย มองเผินๆ เหมือนคนไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ก็เลยอดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ ก็โผล่มา

“พราวมากินกาแฟบ้างไม่ได้เหรอ” ว่าพลางหัวเราะเสียงใส แล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “เอาหนังสือมาอ่านก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ให้ซันติวให้ด้วย”

“เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น” ผมตอบยิ้มๆ สายตาเลื่อนกลับไปหลังเคาน์เตอร์โดยไม่รู้ตัว

เห็นไอ้นายกำลังคุยอะไรสักอย่างพลางหัวร่อต่อกระซิกกับไอ้ตี๋เหมือนเมื่อชั่วโมงก่อน

“ติวเหมือนวันนั้นไง” แต่อยู่ๆ มือบางก็เลื่อนมาจับมือผมไว้แล้วลูบไปมา

ผมสะดุ้งนิดๆ แล้วหันกลับมาขมวดคิ้วเตือนให้รู้ว่านี่เป็นที่สาธารณะพลางชักมือกลับมาวางข้างตัว

“ซันนี่อ่านง่ายจัง” แต่พราวกลับหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แต่เหมือนพราวจะรู้ว่าผมต้องการคำอธิบาย ถึงได้ถ่วงเวลาด้วยการยกกาแฟขึ้นจิบอย่างอ้อยอิ่ง

“อ่านง่ายยังไง” จนผมต้องถามออกมาตรงๆ

เธอหัวเราะอีกครั้ง หลังจากวางแก้วกาแฟลง “คนไหนแฟนซันเหรอ?” แต่กลับเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้ว

“เรายังไม่มีแฟน พราวก็รู้”

จะมีได้ยังไง...

“นั่นสินะ งั้นเปลี่ยนคำถามดีกว่า คนไหนเหรอคนที่ซันกำลังสนใจ”

“...” ผมไม่ได้ตอบ การเปลี่ยนคำถามของพราวไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย กลับทำผมหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ อย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงหงุดหงิด

“อย่างนี้พราวก็ต้องเตรียมตัวตกกระป๋องแล้วใช่มั้ย ถ้าซันมีคนใหม่มาดามใจให้แล้ว”

“...”

“แต่ก็ระวังหน่อยนะ ถ้ายังไม่แน่ใจก็อย่าลากเข้ามายุ่งดีกว่า ใช่ว่าทุกคนจะรับได้เหมือนพราว”

“...”

“ไม่มีใครอยากเป็นตัวสำรองหรอก... เอ๊ะ ไม่สิ เป็นยิ่งกว่าตัวสำรองซะอีกนี่เนอะ”

“พราว” ผมปราม เมื่อเธอเริ่มจะล้ำเส้นเกินไป บทสนทนานี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะที่ไหน

“โอ๊ะ โทษที” เธอหยุดพูดแล้วยักไหล่ขอโทษส่งๆ “ตกลงว่าใครคือผู้โชคดีคนนั้น?” แต่ยังไม่วายทำเป็นหันไปกวาดสายตามองหาใครสักคน ไม่นานก็หันกลับมาทำสายตามีเลศนัย

อะไรวะ

“เจอแล้ว” ว่าพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “ไม่ยักรู้นะว่าซันได้หมด”

“ได้หมดอะไร” ผมขมวดคิ้ว ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว

นี่มันมาป่วนกันชัดๆ ไม่ใช่หรือไง

“ก็คนที่ยืนหลังเคาน์เตอร์นั่นไง”

ผมหันกลับไปมองก็เห็นว่าตอนนี้คนเดียวที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็คือไอ้ตี๋ ซึ่งเบือนหน้าหนีทันทีที่เราสบตากัน

“พราวเห็นเขามองมา”

“...”

“แล้วก็เห็นซันหันไปมองเขาบ่อยๆ เหมือนกัน”

“ไร้สาระ” ผมส่ายหน้าขำๆ ผมมองไอ้ตี๋บ่อยๆ ที่ไหนกัน

ก็แค่... สงวัยว่ามันจะน็อกไประหว่างทำงานหรือเปล่าก็เท่านั้น

“งั้นเหรอ” พราวเลิกคิ้ว จิบกาแฟอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน โน้มหน้าลงมาหาผม ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจ

“จะทำอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม แวบหนึ่งสายตาเลื่อนกลับไปมองหลังเคาน์เตอร์โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

“เห็นมั้ย...”

“...”

“ขนาดตอนนี้ซันยังเอาแต่มองเขาเลย”

จนกระทั่งได้ยินเสียงหวานกระซิบข้างหู พร้อมกับเห็นสีหน้าอ่านยากของไอ้ตี๋ที่กำลังมองมา ถึงได้รู้ว่าสายตาของตัวเองไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ผู้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว





ปกติแล้วพราวไม่เคยสร้างความลำบากใจให้ผมเลย

อย่างที่เคยบอกว่าเราต่างรู้ดีว่าเราอยู่ในสถานะไหน เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่สร้างความผูกพันที่จะนำปัญหามาให้กันและกัน และเธอก็ปฏิบัติตัวแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งคืนนี้

คำพูดของพราวกำลังกวนใจผม

มันไร้สาระ ผมรู้... ใครๆ ก็รู้

เป็นคำพูดไม่มีที่มาที่ไปที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอพูดออกมาทำไม แถมยังทำสายตาจริงจัง

ก็ถูกแหละที่ผมมองไอ้ตี๋จริง แต่นั่นก็แค่เพราะความเป็นห่วง กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไประหว่างทำงานเท่านั้น ไม่ได้มีนัยยะอะไรแอบแฝงเหมือนที่พราวเข้าใจผิดเลย

เห็นทีคราวหน้าที่เจอกันคงต้องพูดให้ชัดอีกทีว่าเธอไม่ควรคิดไปไกล

“อ้าว พี่โชไปไหนอ่ะพี่” ไอ้นายถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามาจากหลังร้านหลังจากหอบขยะไปทิ้ง

ตอนนี้ร้านปิดแล้ว พวกเราจึงช่วยกันเก็บกวาดคนละไม้ละมือเพราะอยากกลับไปนอนเต็มแก่ เดี๋ยวต้องตั้งนาฬิกาปลุกขึ้นมาอ่านหนังสืออีก วันนี้ยังทำแบบฝึกหัดได้ไม่ถึงครึ่งชีทเลย

“กูไล่ไปนอนที่โซฟานู่น” ผมเพยิดหน้าไปทางโซฟาหนังตัวยาวสำหรับนั่งหลายๆ โต๊ะ

เห็นสภาพไอ้ตี๋ตอนช่วยกันเก็บจานแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ผมไม่อยากให้มันเดินกลับหอคนเดียวเลยบอกว่าจะไปส่ง ให้งีบรอระหว่างผมล้างจาน แล้วตอนจะปิดร้านค่อยปลุกมันอีกที ไม่รู้เพราะเหนื่อยหรืออะไร มันถึงไม่เถียงสักคำ แค่พยักหน้ารับแล้วหลบไปนอนแต่โดยดี

“ให้พักบ้างก็ดี ผมเห็นพี่เขาดูเพลียๆ มาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว”

“เออ ไล่ไปพักก็ไม่ยอม”

“จริง ไม่รู้จะดื้ออะไรนักหนา” ไอ้นายหัวเราะเห็นด้วย แล้วเดินมาช่วยผมล้างจาน

“เฮ้ย เดี๋ยวกูทำเอง มึงกลับเลยก็ได้” ผมว่า วันนี้มันทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว ผมซะอีกที่นั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ช่วยอะไร

“ไม่เป็นไรพี่ หน้าที่ผม”

“อ่าๆ ขอบใจ” ผมไม่เถียง ขยับให้มันเข้ามาช่วยแต่โดยดี ดีเหมือนกัน จะได้เสร็จเร็วๆ

“เออพี่ ถามหน่อยดิ” ล้างได้ไม่ทันไรก็หาเรื่องชวนคุยตามประสาคนเงียบปากไม่เป็น

“อะไร”

“ทำไมพี่เรียกพี่โชว่าตี๋อ่ะ”

ถามเชี่ยไรเนี่ย ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ

“ก็มันตี๋อ่ะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ตาตี่ๆ ตัวขาวๆ เชื้อจีนเต็มกระบอกขนาดนั้นไม่เรียกตี๋ให้เรียกอะไรวะ

“เออ ก็จริง” มันพยักหน้าเออออ “งั้นผมเรียกว่าพี่ตี๋บ้างได้ป่ะ น่ารักดี”

“ไม่ได้” ตอบทันควัน

ไอ้นายสะดุ้งนิดๆ หันมามองผมอย่างตกใจ “เฮ้ยพี่ เสียงดังทำไม”

“ก็...” ผมหยุดคิด “มึงอย่ามาเลียนแบบกูดิ๊” แกล้งตีหน้าหงุดหงิดแบบทีเล่นทีจริง

“โห่ ขี้หวงว่ะ” มันโอดครวญพลางหยิบแก้วที่ล้างแล้วไปคว่ำ แล้วหันมาถาม “งั้นผมเรียกพี่เขาว่าไรดี”

ทำไมมึงจริงจังกับเรื่องไร้สาระ

“ตัวเล็กดีมะ”

“ไม่ได้!” แล้วทำไมกูถึงจริงจังไปกับแม่งด้วยวะเนี่ย

“พี่! เสียงดัง เดี๋ยวพี่โชตื่นพอดี” มันปราม ยกนิ้วขึ้นมาจุปากให้ผมเบาเสียงลง

“มึงก็เรียกมันว่าโชเฉยๆ นั่นแหละ” ผมขมวดคิ้ว ยอมหรี่เสียงตัวเองโดยดี

“เออๆ พี่โชเฉยๆ ก็พี่โชเฉยๆ” ไอ้นายพยักหน้าแบบขอไปที แล้วก้มหน้าก้มตาล้างอุปกรณ์ชงกาแฟต่อ ไม่วายบ่นงึมงำ “พี่ซันแม่ง วันนี้ขี้หงุดหงิดจังวะ”

กูได้ยินนะนั่นน่ะ

แต่ผมไม่รู้จะเถียงอะไร เลยต่างคนต่างเงียบ ทำงานไปเหมือนไม่มีอะไรจะคุย

ผมปล่อยให้ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งคำพูดของพราววนเข้ามาในหัวอีกครั้ง และมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะกำจัดไปให้พ้นๆ สักที

“ไอ้นาย” และทางเดียวที่จะจำกัดได้รวดเร็วที่สุดเท่าที่ผมคิดได้ตอนนี้คือการพิสูจน์ “มึงคิดยังไงกับไอ้ตี๋วะ”

“...”

พิสูจน์ว่าคำพูดของพราวมันไร้สาระจริงๆ

“มึงชอบมันใช่ป่ะ”

ด้วยการทำความตั้งใจเดิมที่เผลอลืมไปจนไม่มีความคืบหน้ามานาน ให้สำเร็จสักที

“พี่รู้ได้ไง”

“ชัดขนาดนั้นมาจากดาวอังคารยังรู้เลย” ผมเบ้หน้าหมั่นไส้ ไอ้นายเลยหัวเราะเจื่อนๆ ยกนิ้วเปียกๆ ขึ้นมาเกาท้ายทอยตัวเองใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ

“ก็...พี่เขาน่ารักดี”

แล้วที่มาเหนียมอายใส่กูนี่คิดว่าน่ารัก?

“ชอบหรือไม่ชอบก็พูดมา” ผมเร่ง รู้สึกรำคาญตาขึ้นมาตะหงิดๆ

“เฮ้ยพี่ อะไรเนี่ย อยู่ๆ มาถาม” มันเงยหน้าขึ้นมาโวยวาย หน้าตาสื่อถึงความไม่เข้าใจสุดขีด

ผมเลยถอนใจ คว่ำแก้วใบสุดท้ายลงบนตะแกรง แล้วล้างมือ

“ถ้ามึงจะจีบ กูก็สนับสนุน” หันไปสบตาไอ้นายอย่างจริงจัง “มึงเป็นคนดี ถ้าไอ้ตี๋คบกับมึงกูก็สบายใจ”

“...”

“ถ้ามีอะไรให้ช่วย ก็บอกได้ กูจะช่วยเต็มที่เลย” ผมตบบ่ามันเบาๆ แล้วหันไปหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเคาน์เตอร์พอเป็นพิธี เตรียมตัวไปปลุกตี๋จะได้กลับหอไปนอนดีๆ สักที

“พี่พูดจริงอ่ะ” ไอ้นายถามเหมือนไม่แน่ใจ ผมเลยหันไปทำหน้ารำคาญใส่อย่างไม่จริงจัง
   
“เออ”

“งั้น... พี่ช่วยอะไรผมอย่างได้มั้ย” ไม่ทันคิดว่าไอ้นายจะเอ่ยปากขอขึ้นมาทันที

“ช่วยอะไร” ผมเลิกคิ้ว ตั้งใจฟัง

มันทำท่าลังเลอยู่พักหนึ่งเหมือนไม่กล้า แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็สูดหายใจสบตาผมอีกครั้ง มีความมุ่งมั่นจริงใจใงอยู่ในนั้นชัดเจน

“พี่ช่วยอยู่ห่างพี่โชสักพักสิ”

“...”

“ให้โอกาสผมกับพี่โชอยู่กันตามลำพังสักสองสามอาทิตย์... แล้วผมจะเดินหน้าจีบพี่เขาเอง”

มันเป็นวิธีที่ฟังดูเข้าท่าดี ผมได้ช่วย และมันก็ได้ลงมือด้วยตัวเอง ในฐานะคนที่อยากเป็นพ่อสื่ออย่างผม ก็ควรเห็นด้วย และตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด

แต่ว่า...

“ไม่ได้” คำที่ตอบออกไปโดยอัตโนมัติกลับตรงข้ามสิ้นเชิง

“อ้าว”

“กูจะอยู่”

“...”

“มึงจะจีบไอ้ตี๋ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสายตากูเท่านั้น... เข้าใจมั้ย”

“หา?”

เออ เข้าใจก็เหี้ยแล้ว กูยังไม่เข้าใจตัวเองเลย

ชิบหาย... นี่ผมพูดบ้าอะไรออกไปวะ







----------------------------------------------------------------
พี่ซันแม่ง... (เลียนแบบเสียงนาย) หมาหวงก้างชัดๆ
ตอนเขียนแอบขัดใจเล็กๆ เหมือนกันที่ซันไม่รู้ใจตัวเองสักที
ดูแลเขาขนาดนี้ยังจะมาทำซึน
แต่ก็น้า... เจ้าซันเป็นพระเอกสายกากนี่นา 55555
ยังไงก็ให้โอกาสโง่ไปสักพักก่อนนะคะ  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:06:32 โดย makok_num »

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
ซันเอ๊ยยยยยย
5555

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
โถ.มดแดง. อุตส่าห์แอบแฝง พวงมะม่วง ♫~*  :hao3:


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
ตามมาอ่านแล้วจ้า

ซันแม่งบื้อและต่อมความรู้สึกช้าเหมือนเดิม

โชอาจจะเสียใจเพราะนังซันบื้อแน่ๆ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 6
   
[ Shogun’s Part ]


ช่วงนี้รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตมันวุ่นวายขึ้นยังไงชอบกล

เปล่าครับ... ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียนหรอก เรื่องพวกนั้นยังพอรับมือไหว

แต่ที่รับมือไม่ได้เนี่ย คือตัววุ่นวายสองคนนี่ต่างหาก

“พวกมึงจะไปไหนอ่ะ” เสียงทุ้มถามขึ้นทันทีที่นายเปิดประตูหลังร้านให้และผมกำลังจะเดินเข้าไป

“ไปเอาเมล็ดกาแฟครับ” ผมตอบเนือยๆ

“ต้องแห่กันไปสองคนเลย?” เขาเลิกคิ้ว ยิ่งทำให้ใบหน้าที่ดูกวนอยู่แล้วยิ่งกวนเข้าไปใหญ่

ผมไม่ตอบ แค่ถอนหายใจหน่ายๆ

บางทีคำถามของซันก็ไร้สาระเกินไปนะครับ

“ผมไปเอาน้ำแข็งมาเติม” นายเป็นคนตอบแทน คนที่นั่งอ่านชีทอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงวางปากกาลุกขึ้นมา

“กูช่วย”

“ผมยกคนเดียวได้”

“กูมีน้ำใจไง”

“พี่อ่านหนังสือไปเหอะ”

“กูอยากพักสายตา”

“พี่ซันแม่ง...”

น่ารำคาญ

ปัง

ผมขี้เกียจยืนฟังสองคนนี้เถียงกัน เพราะฟังมาแทบทั้งคืนแล้วจึงเดินมาหลังร้านก่อนพร้อมกับดึงประตูปิด รอให้ตกลงกันได้ค่อยตามมาก็แล้วกัน

ไม่ทันไรทั้งสองคนก็เดินตามเข้ามา ห้องเก็บของดูเล็กลงถนัดตาเมื่อมีผู้ชายสามคนยัดกันอยู่ข้างใน ผมหยิบกาแฟกระสอบเล็กเสร็จก็เตรียมจะเดินออก ปล่อยให้สองคนนั่นช่วยกันยกกระสอบน้ำแข็งไป

“อ้าว พี่ซัน ไหนบอกมาช่วย” แต่มีใครบางคนกลับตามผมมาหน้าตาเฉย

“อ้าว ไหนมึงบอกยกคนเดียวได้” ยังจะหันไปเถียงอีก

“แล้วพี่เดินตามมาทำไมวะเนี่ย” นายโวยวาย ขณะที่ผมหันมามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างตัว ขมวดคิ้วส่งสายตาถามว่ากำลังเล่นอะไร

“มากูช่วย” แต่คนตรงหน้าแกล้งทำเป็นไขสือ พลางเอื้อมมือมาแย่งกระสอบกาแฟไปจากมือผม แล้วเดินออกจากห้องเก็บของไป

ผมถอนหายใจอีกรอบอย่างอดไม่ได้

กวนตีนว่ะ

ผมกลับมาหลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง ในจังหวะที่มีลูกค้าเข้าพอดี จึงเดินไปรับออเดอร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนทุกที วันนี้เป็นสุดท้ายของการสอบมิดเทอมแล้ว ลูกค้าช่วงดึกจึงไม่เยอะเหมือนอาทิตย์ก่อน แต่ก็ยังมีบางคณะที่ยังสอบไม่เสร็จ อย่างซันก็ยังเหลือสอบอีกตัวหนึ่งถึงต้องมาถ่างตานั่งอ่านหนังสืออยู่ ในขณะที่ผมเพิ่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนบ่าย เล่นเอาเกือบตายเหมือนกันเพราะกว่าจะทำงานเสร็จก็เกือบเช้า แล้วกลับไปก็ยังต้องอ่านหนังสืออีก โชคดีที่มีเพื่อนสรุปบทเรียนไว้ให้ เพราะเห็นใจที่ผมต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจนตัวเป็นเกลียวสภาพเหมือนศพไปทุกวัน

“วันหลังไม่ต้องมาอาสาช่วยอะไรอีกเลยนะไอ้พี่ซัน” ได้ยินเสียงนายบ่นอุบที่สุดท้ายก็ต้องยกน้ำแข็งมาเทใส่ถังข้างเคาน์เตอร์คนเดียว ในขณะที่อีกคนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่สะทกสะท้านอะไร

“กูเพิ่งนึกได้ว่าน้ำแข็งมันก็ไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้นไง”

“ลาเต้ร้อนครับ” ผมรีบหันไปบอกคนที่กำลังเทเมล็ดกาแฟลงเครื่องบดก่อนที่สองคนนี้จะเริ่มเถียงอะไรกันอีก

วันนี้ผมเหนื่อยมาก แถมรู้สึกปวดหัวนิดๆ ด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอให้หุบปากทั้งคู่เลย

“มึงชงดิ” แต่ร่างสูงกลับถอยหลังออกมา เปิดทางให้ผมเป็นคนชงกาแฟแทน

ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติถ้าเป็นลาเต้ก็มักจะถูกยกให้เป็นหน้าที่ผมเสมอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้งที่ก็สอนไปแล้ว ตอนชงให้ผมชิมรสชาติก็ใช้ได้แล้ว แต่พอให้ชงทีไรก็จะบ่ายเบี่ยงเอาแต่หลบไปนั่งดูอยู่เฉยๆ ทุกที

อย่างตอนนี้ถึงจะไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าคนที่ทำเป็นกลับไปเปิดชีทอ่านกำลังมองมาไม่วางตา

ทำตัวเหมือนว่างเลยนะครับ

“พี่ซันเหลือสอบกี่ตัว” ได้ยินเสียงนายลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ แล้วถามอย่างชวนคุย

เด็กนี่คุยเก่งชะมัด ผมว่าผมอัธยาศัยดีแล้วยังเทียบไม่ได้เลย เพราะบางครั้งผมไม่อยากคุยก็จะตอบห้วนๆ ถึงปากจะยิ้มแต่ในใจก็อดเบื่อหรือรำคาญไม่ได้ ซันรู้เรื่องนี้ดี เหมือนใช้เวลาตลอดพาร์ทไทม์ศึกษาพฤติกรรมผมยังไงยังงั้น เขาจับได้เสมอเวลาผมยิ้ม หรือหัวเราะไม่จริงใจ แล้วก็มักจะหาเรื่องมาเหน็บแนมหรือมาแหย่ให้ผมหลุดทำหน้ารำคาญใส่ทุกที

นิสัยไม่ดี

“ตัวนึง มึงมาสอบแทนกูดิ๊”

“จ้างผมดิ” แต่กับนาย ผมไม่เห็นเขาทำสีหน้าหงุดหงิดเลย ดูเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีเกินไปจนบางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไรบ่มเพาะให้กลายมาเป็นคนดีได้ขนาดนั้น คนอะไร ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยังยิ้มสดใสได้อย่างจริงใจ ขนาดโดนซันกวนใส่บ่อยๆ ยังไม่เห็นน้องมันว่าอะไรเท่าไหร่เลย ยังคุยเล่นได้ บางครั้งหัวเราะชอบใจรับมุกกันไปมา

คุยกันถูกคอก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ต้องซึมซับนิสัยกวนตีนของคนพี่มาให้ผมปวดหัวเพิ่มก็พอ

“พี่โชเพิ่งสอบบัญชีตัวสุดท้ายไปใช่มั้ย เป็นไงบ้างพี่” คราวนี้นายหันมาถามผม ซึ่งยังตอบอะไรไม่ได้เพราะกำลังเทโฟมนมใส่แก้วอยู่

วาดแขนจนเกิดลวดลายต้นสนบนหน้ากาแฟแล้วจึงวางแก้วลงเตรียมเสิร์ฟพลางหันมาตอบยิ้มๆ

“ก็โอเคนะ มีเพื่อนติวให้เลยไม่ยากเท่าไหร่”

“เพื่อนไหนวะ” พูดจบเสียงอีกคนก็โพล่งขึ้นมาทันที

ผมหันไปขมวดคิ้ว มันใช่เรื่องที่ต้องสงสัยด้วยเหรอครับ

ซันมองหน้าผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถามอะไรไม่เข้าท่าออกมา ก่อนจะกลับมายิ้มมุมปากทำหน้ากวนเหมือนเดิม “กูตกใจไง ที่มึงมีเพื่อนกับเขาด้วย”

กวนตีนอีกแล้วนะครับ

“เอากาแฟไปเสิร์ฟเลยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ยื่นถาดกาแฟให้คนปากมากที่เบ้หน้าอิดออดแต่ก็ยอมลุกไปเสิร์ฟให้อยู่ดี

วันนี้ไม่ใช่เวรเขา แต่ซันก็ยังมา อันที่จริงเขาก็มาตลอดนั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้พี่โมแบ่งกะทำไม นายก็อีกคน อยู่ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาก็มาที่ร้านทุกวันทั้งที่ไม่ใช่เวร สองคนนี้อ้างว่ามาหาที่อ่านหนังสือแต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นพวกเขาอ่านเท่าไหร่เลย ยังช่วยผมเสิร์ฟกาแฟ ทำนู่นทำนี่ไปตามประสาทั้งที่ผมพยายามบอกแล้วว่าไม่จำเป็น

ถ้าอยากได้เวลางานเพิ่มทำไมไม่ไปบอกพี่โมกันล่ะครับ ไม่เข้าใจ

“พี่โช ไม่สบายป่ะเนี่ย หน้าซีดๆ นะครับ” เสียงนายร้องทักหลังจากผมถอนหายใจหนักๆ แล้วนั่งฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ทันทีที่ว่างงาน

อยู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัวมากกว่าเดิมเฉยเลย

“ไหน” ผมไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงทุ้มของคนที่เพิ่งถูกไล่ให้ไปเสิร์ฟกาแฟก็ดังขึ้นมา

ซันวางถาดลงแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากกันเบาๆ คิ้วเข้มขมวดนิดๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ผิดปกติ

“ตัวรุมๆ นะตี๋”

“ผมไม่เป็นไรครับ” ผมปัดมือหนาออก ซุกหน้าลงกับแขนตัวเองหลบไม่ให้ถูกแตะอีก

ไม่ค่อยชอบให้ใครมาแตะตัวเลยอ่ะ

ยิ่งสีหน้าเหมือนเป็นห่วงกันแบบนั้น... มันทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก

“อย่าดื้อดิ เดี๋ยวปิดร้านเลย กลับไปนอน” เขาว่าพลางดึงแขนผมออกทำท่าจะบังคับให้ลุก แต่ผมขืนตัวไว้

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“พี่โช ไปพักเหอะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งก็ได้” นายทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่อีกคน

“ไม่ได้” แต่คนเถียงกลับไม่ใช่ผม ซันโพล่งขึ้นมาทันทีเหมือนลืมตัว ก่อนจะหันไปพูดอึกอักใส่คนอายุน้อยกว่า “รถมึงเป็นมอไซค์อ่ะ อันตราย เกิดไอ้ตี๋เป็นลมตกรถตายห่าขึ้นมาทำไง”

“งั้นผมยืมรถพี่” ว่าพลางแบมือขอกุญแจ

“ไม่ได้โว้ย” แต่ก็โดนปฏิเสธเสียงแข็งอยู่ดี “ลูกกู กูขับได้คนเดียว”

“พี่ซัน!”

ทำไมอยู่ๆ ถึงเถียงเรื่องไร้สาระกันอีกแล้วล่ะครับ

“สนุกกันมากมั้ยครับ” ผมลุกขึ้นถ้ามด้วยความเหนื่อยใจ ทั้งสองคนเลยหันกลับมาเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังทำตัวงี่เง่าแค่ไหน “ถ้าสนุกก็เถียงกันต่อไปเลยนะ ผมขอไปงีบหลังร้านแป๊บนึง”

“เฮ้ย พี่โช...” นายทำท่าจะเถียงอะไรขึ้นมาอีก แต่เพราะมีลูกค้าเข้าพอดีจึงต้องฝากไว้ก่อนเพื่อไปรับออเดอร์แทน “รอแป๊บนะพี่โช เดี๋ยวผมไปส่งเอง”

ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่เถียงในใจไปแล้วว่าไม่ได้จะกลับ แล้วก็ต้องหันกลับมามองอีกคนที่ยังวอแวไม่เลิก “กลับหอเลย เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

“ตี๋” เขาย่นหน้า คงคิดว่าผมดื้อเต็มที

“เอางี้” ผมถอนใจ พยายามหาข้อสรุปที่พอใจทั้งสองฝ่าย “ถ้าหลับแล้วไม่ดีขึ้นผมจะกลับ โอเคมั้ยครับ”

ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือผมจนได้

“โอเค แต่มึงนอนตรงนี้แหละ” ยื่นเงื่อนไขพร้อมกับกดไหล่ผมให้นั่งลงที่เดิม

“ไม่ได้ครับ ลูกค้าเห็นมันจะดูไม่ดี” ผมขมวดคิ้ว อยากลุกขึ้นแต่ก็โดนบังคับให้นั่งลงอยู่ดี

“ช่างหัวลูกค้า นอนตรงนี้ อยู่ในสายตากู” น้ำเสียงออกคำสั่งที่ไม่ได้ยินบ่อยนักกับคำพูดที่ฟังดูแปลกหู ทำเอาผมชะงัก หาคำมาเถียงไม่ออก จนคนตรงหน้าถอดแจ็กเกตที่สวมอยู่ออกมารองบนเคาน์เตอร์พร้อมกับกดหัวบังคับให้ผมนอนลง ก็ได้แต่จำยอมพร้อมกับเอ่ยเบาๆ ด้วยความเหนื่อยเต็มกลืน

“ขอบคุณครับ” ผมหลับตา ปล่อยให้ความอ่อนเพลียที่เล่นงานมาตลอดวันพาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดายในเวลาไม่ถึงนาที






หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าฝันหรือละเมอตื่นขึ้นมาจริงๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ๆ ที่แตะลงมาบนหน้าผากเบาๆ พร้อมกับเสียงทุ้มที่เหมือนดังอยู่ไกลๆ

“เหมือนตัวจะร้อนขึ้นเลยว่ะ”

“ผมว่าพากลับเลยดีกว่า เดี๋ยวผมอุ้มเอง”

“เดี๋ยววว ไม่ต้องเลยมึงอ่ะ”

“เฮ้ย อะไรเนี่ยพี่ ขวางทำไม”

“อุ้มเหี้ยอะไรล่ะ คิดว่าไอ้ตี๋จะยอมเหรอ มึงไม่ต้องไปโดนตัวมันเลย เดี๋ยวตื่นมาก็งอแงไม่ให้ไปส่งอีก”

“แล้วจะเอาไง”

“ลูกค้าจะหมดแล้ว เดี๋ยวกูปิดร้านเลย มึงไปซื้อยามาให้มันไป”

“ไม่เอาอ่ะ พี่แหละไป ผมจะดูแลพี่โช”

“มึงอย่าเพิ่งมางี่เง่าดิ๊”

“พี่แหละงี่เง่า ไหนบอกจะเป็นพ่อสื่อให้ผมไง”

“กูก็สื่ออยู่นี่ไง”

“สื่อเชี่ยอะไรของพี่เนี่ย”

“เดี๋ยวนี้ขึ้นเชี่ยกับกูละ?”

“ก็พี่ทำตัวสับปลับอ่ะ”

“อ้าว คราวนี้ด่ากูเลยนะครับน้องนาย”

“ก็พี่ซันแม่ง... ไหนบอกจะช่วยวะ เอาแต่ขัดแข้งขัดขากันชัดๆ”

“กูขัดอะไรมึงอ่ะ”

“ก็เมื่อกี้ ทำไมไม่ให้ผมไปส่งพี่โช”

“ก็บอกแล้วไงว่ารถมึงเป็นมอไซค์”

“ผมถึงยืมรถพี่ไง”

“กูหวงรถมึงไม่รู้เหรอ”

“เนี่ย ไม่เรียกขัดแข้งขัดขาแล้วเรียกอะไร” 

“ช่างแม่ง กูไปซื้อเองยาอ่ะ มึงดูไอ้ตี๋ไปละกัน”

“โอเค ตามนั้น”

“ดูเฉยๆ นะมึง ห้ามแดก ถ้ากูรู้ว่ามึงแอบลักหลับตอนแม่งไม่สบาย กูแจ้งความจริงๆ นะ”

“นี่พี่เห็นผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย”

“ไม่รู้อ่ะ ห้ามยุ่ง ห้ามแตะ ไม่เข้าใกล้เกินสองเมตรได้ยิ่งดี”

“เออๆ พี่รีบไสหัวไปซื้อยาเลยไป”

“เดี๋ยวกูมา” ว่าจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินห่างออกไป พร้อมกับที่ใครบางคนเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ รับรู้ได้ว่าฝ่ามือหนากำลังจะยื่นมาแตะหน้าผาก แต่สัมผัสได้แค่ไรผมก็ดึงกลับลงไปพร้อมกับบ่นพึมพำ

“แตะก็ไม่ได้”

“...”

“พี่ซันแม่ง เป็นพ่อสื่อหรือเป็นพ่อพี่โชกันแน่วะ ขี้หวงสัสเลย”

“...”

พ่อสื่อหรือพ่ออะไรกัน...?

รอให้ผมมีแรงตื่นอีกรอบก่อนเถอะ จะคาดคั้นให้อธิบายให้ฟัง ทั้งคู่เลย

   



ไม่รู้ว่าหลับไปอีกนานเท่าไหร่ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นใครอยู่รอบตัวแล้ว
   
เรื่องเมื่อกี้... คือความฝันเหรอ?
   
ฝันบ้าบออะไรเนี่ย ท่าจะไม่สบายจริงๆ
   
ผมลุกขึ้นมาด้วยความมึนงงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แถมยังรู้สึกเคืองตานิดหน่อยเพราะไม่ได้ถอดคอนแท็คเลนส์ก่อนนอน
   
“อ้าวพี่โช ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงมั่ง” นายที่เพิ่งเดินกลับมาจากเก็บโต๊ะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร “เฮ้ยพี่ หน้ายังซีดอยู่เลย”
   
อันที่จริงผมยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย แต่เพราะไม่อยากให้เป็นห่วงเลยได้แต่ปฏิเสธไป
   
“ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร” ว่าพลางกวาดสายตามองไปทั่วร้าน ตอนนี้เหลือลูกค้าเพียงสามสี่โต๊ะเท่านั้น แต่ป้ายหน้าร้านที่ถูกพลิกด้าน Closed ขึ้นก่อนเวลาก็บ่งบอกว่าวันนี้เราไม่รับลูกค้าเพิ่มอีก
   
ถึงจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าคงต้องทำวิธีนี้ สภาพผมคงรับลูกค้าเพิ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่อยากวางมือให้ซันกับนายแค่สองคน เพราะคนหนึ่งก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ จะใช้งานมากไปก็เกรงใจ ส่วนอีกคนก็ถือเป็นพนักงานใหม่ ปล่อยให้ทำงานคนเดียวก็ไม่ได้อีก
   
“แล้วนี่ซันไปไหน” ผมเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีวี่แววร่างสูงที่ควรจะส่งเสียงกวนๆ ให้ได้ยินตั้งแต่ผมตื่นแล้ว
   
“ไปซื้อยาอ่ะ แต่มันดึกแล้ว ร้านยาน่าจะหายากหน่อย” ว่าพลางเอาแก้วไปวางไว้ที่ซิ้งค์ล้างจาน
   
ซื้อยา? นี่มัน... เหมือนกับบทสนทนาที่ผมได้ยินในฝันเลย
   
หรือว่าจะไม่ได้ฝันจริงๆ ชักจะสับสนแล้วแฮะ
   
“พี่โชไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ นั่งเฉยๆ เลย ที่เหลือผมจัดการเอง” นายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส แต่สายตายังคงเจือความเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มรับ ไม่เถียงอะไร แต่เอ่ยถามในสิ่งที่กำลังข้องใจแทน
   
“นาย ตอนพี่หลับ ได้คุยอะไรกับซันหรือเปล่า”
   
“ครับ?” รุ่นน้องหันกลับมาเลิกคิ้วถาม แต่ไม่ทันไรดวงตาคมก็เบิกกว้างขึ้น สีหน้าเหมือนถูกจับได้
   
“เกี่ยวกับเรื่องพ่อสื่อ... อะไรสักอย่าง” ยิ่งพอผมจี้ถูกจุด นายก็ยิ่งทำหน้าตาตื่น ดูมีพิรุธสุดๆ
   
“เฮ้ย พี่โชได้ยินเหรอ”
   
“นิดหน่อย แต่ไม่ค่อยเข้าใจ” ผมว่า สายตายังคงจับจ้องไปยังรุ่นน้องที่ทำสายตาหลุกหลิก เหมือนพยายามจะหาข้อแก้ตัว 

“พ่อสื่ออะไร?” ผมเลยถามออกไปตรงๆ ไม่เปิดจังหวะให้หาข้ออ้างได้
   
นายขมวดคิ้ว มองผมอย่างลังเล แต่เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงล่ะมั้ง น้องถึงได้ถอนหายใจ พลางทำหน้าหงอยขึ้นมา
   
“ถ้าบอก พี่โชห้ามโกรธผมนะ”
   
“อืม”
   
“ห้ามเกลียดด้วย”
   
"ไม่เกลียดหรอก” ผมหัวเราะนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลนั่น
   
เรื่องอะไรกันแน่ ทำไมต้องกลัวผมโกรธขนาดนั้น
   
“คือว่า...” ทำท่าลังเล แต่พอเห็นผมสบตาอย่างตั้งใจฟังจึงสารภาพออกมาตามตรง “พี่ซันเขาคิดว่าผมชอบพี่อ่ะ”
.   
“หืม?”
   
ผมขมวดคิ้วงุนงง แต่ไม่นานก็จับต้นชนปลายได้ พอจะเข้าใจแล้วว่าพ่อสื่อถูกใช้ในบริบทแบบไหน
   
“เขาบอกว่าจะช่วยผมจีบพี่”
   
ผมถอนหายใจเอือมๆ คนอะไรยุ่งจริง นี่ถ้าอยู่ผมคงด่าให้สักที
   
“เดี๋ยวพี่บอกให้ว่าเข้าใจผิด” ผมว่า ตั้งใจจะเคลียร์เรื่องนี้เอง
   
“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก” แต่นายกลับเถียงขึ้นมา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อจนสังเกตได้
   
นี่อย่าบอกนะ...
   
“ผมชอบพี่จริงๆ”
   
“นาย...” ผมได้แต่เรียกชื่อเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดยังไง
   
ไม่ใช่ว่าผมจะซื่อจนไม่รู้ว่าพฤติกรรมนายมันแปลก ที่เขาพยายามเข้าใกล้ผม พยายามช่วยเหลือนู่นนี่มันก็ชัดเจน แต่เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี และมีแนวโน้มว่าจะทำแบบนี้กับทุกคน ถึงได้พยายามปัดความคิดพวกนั้นให้ตกไป
   
ไม่ทันคิดเผื่อว่าถ้าเด็กคนนี้ชอบผมขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง
   
“โห... สีหน้าพี่โชโคตรชัดเจนเลย” ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน นายถึงได้พูดแบบนั้นออกมา “ดีนะที่ผมเผื่อใจไว้แล้ว” ถอนหายใจเบาๆ เหมือนโล่งอกกับตัวเอง
   
“...”

“อันที่จริงพี่โชเป็นคนแสดงออกชัดเจนมากเลยรู้ตัวป่ะ” เอ่ยกลั้วหัวเราะ มองหน้าผมอย่างขบขัน “คนที่พี่สนิทใจ กับคนที่คบไปงั้นๆ พี่แสดงออกคนละอย่างเลย... เสียดายที่ผมเป็นอย่างหลัง” 

“ขอโทษนะ คือพี่...ยังรับใครเข้ามาไม่ได้” ผมเอ่ยเสียงเบา ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมา แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงใจ เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนตลอดระยะเวลาที่รู้จักกัน

ผมมักจะเคลือบใบใบหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง เมื่ออยู่กับคนที่ไม่ได้สนิทใจ ก็เหมือนกับที่นายพูด ผมแบ่งคนด้วยการแสดงออกอย่างชัดเจน

“ผมรู้ พี่เหมือนมีใครอยู่ในใจ”

“...” ผมเงียบไป เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะอ่านง่ายขนาดนั้น

“ผมถึงได้เผื่อใจไว้ไง กำแพงพี่มันหนาเกินไปจนผมไม่มั่นใจว่าจะปีนข้ามไปได้ตั้งแต่แรก” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“...” ไม่รู้ว่าคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า ผมถึงได้คิดว่าสายตาของนายไม่ได้มีความเจ็บปวด หรือเสียใจแบบคนอกหัก เขายังคงยิ้มให้ผมอย่างจริงใจเหมือนที่ผ่านมา
   
“ผมล่ะโคตรอิจฉาพี่ซันเลย”
   
แต่คำพูดนั้นทำให้ผมเบ้หน้า “อิจฉาทำไม พี่เกลียดเขาจะตาย” คนอะไรทำตัวน่ารำคาญอยู่ได้ตลอดเวลา
   
“เนี่ย ขนาดพี่พูดว่าเกลียดผมยังอิจฉาเลย” นายหัวเราะออกมาเสียงดัง “พี่ซันแม่ง ทำยังไงวะ พี่ถึงเปิดใจให้ขนาดนี้”
   
เปิดใจ? นี่ผมไปเปิดใจให้หมอนั่นตอนไหนกัน ดูเหมือนนายจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว
   
“พอได้พูดแล้วสบายใจดีอ่ะ รู้งี้บอกตั้งแต่แรกแล้ว”
   
“...” ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

ผมเคยสารภาพรักมาก่อน และคำว่าขอโทษ หรือขอบคุณหลังจากคำปฏิเสธ มันทำให้รู้สึกแย่พอกัน ข้อนั้นผมรู้ดี

“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดขนาดนั้น ผมไม่เป็นไร ใช่ว่าอกหักครั้งแรกซะเมื่อไหร่”

“ไม่เป็นไรจริงนะ” ผมถาม พยายามสบตาให้รู้ว่าเขาไม่ได้โกหกหรือหัวเราะกลบเกลื่อน แต่คนตรงหน้าก็ยังคงยิ้มสดใส ไม่มีวี่แววความเสียใจฉายออกมาให้เห็นเหมือนเดิม

“จริงดิ ผมว่าผมยังไม่ได้ชอบพี่ขนาดนั้นอ่ะ ตอนแรกเห็นพี่น่ารักดี เลยอยากลองทำความรู้จักดู แต่รู้ว่าไม่มีหวังตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเดินหน้าไปไกลกว่านี้ ขอบคุณนะพี่ที่บอกตรงๆ”

“อืม” ผมยิ้มตอบ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่านายดูเหมือนจะไม่เป็นไรจริงๆ

ทำยังไงผมถึงจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีแบบนี้ได้บ้างนะ... บางทีผมอาจจะรับมือกับการอกหักได้ดีขึ้น

อย่างน้อยก็คงไม่ปล่อยให้มันเป็นแผลเรื้อรัง ทำร้ายตัวเองมาจนป่านนี้

“งั้นเดี๋ยวผมไปล้างจานต่อนะ พี่โชพักเถอะ หน้าซีดเป็นกระดาษแล้วเนี่ย” นายว่าพลางดันหลังผมกลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะหันกลับไปยืนหลังซิ้งค์ล้างจานอีกครั้ง

“เออพี่” แต่ไม่ทันไรก็หันกลับมาพูดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ต้องบอกพี่ซันนะ เรื่องที่เราคุยกัน”

“?” ผมทำหน้าสงสัย เพราะตั้งใจจะคาดคั้นอีกคนทันทีที่กลับมา

พ่อสื่ออะไรกัน ยุ่งไม่เข้าเรื่องนักเชียว

“แล้วถ้าผมทำตัวเหมือนยังจีบพี่อยู่ไม่ต้องคิดมากนะ ผมแค่อยากแกล้งไอ้พี่ซันมัน”

“หา?”

“หมั่นไส้อ่ะ ปากบอกว่าจะช่วยผมจีบพี่ซะดิบดี พอเอาเข้าจริงๆ ดันขัดแข้งขัดขาผมอย่างกับจะจีบเอง”

“ดะ...เดี๋ยวสิ” จีบอะไรกันล่ะ

“เอาเป็นว่า เข้าใจตรงกันว่าผมไม่ได้จีบพี่จริงๆ ก็พอ โอเคป่ะ”

“อะ...อืม” ผมอึกอักอย่างตั้งรับไม่ทัน ไม่ค่อยเข้าใจว่าเด็กนี่จะทำอะไร แต่สมองผมคงจะเบลอเกินไป ถึงได้หาคำมาโต้แย้งไม่ได้จนต้องพยักหน้าเออออตาม

แถมพิษไข้ยังทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัวอีกต่างหาก





ไม่รู้ว่าไปซื้อยาถึงไหนกันจนป่านนี้ซันถึงยังไม่มา

ลูกค้าในร้านเหลือเพียงสองโต๊ะที่ทำท่าว่าจะนั่งอยู่อีกนาน จนผมคิดว่าร้านก็คงจะต้องปิดตอนตีสามเหมือนเดิม ผมเผลอหลับไปอีกตื่นนึงแต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าที่ควร แต่เพราะไม่อยากหลับอีกเลยหาอะไรทำฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ รอปิดร้านจะได้กลับไปพักผ่อนทีเดียว

ผมเล่นมือถือจนไม่มีอะไรให้ดู จึงเปลี่ยนมาหยิบชีทของซันที่วางทิ้งไว้ขึ้นมาอ่าน มันเป็นวิชาคำนวณโครงสร้างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ศัพท์และตัวเลขชวนปวดหัวยังไม่น่าปวดหัวเท่าลายมือไก่เขี่ยที่เขียนเหมือนชาตินี้ไม่เคยผ่านการคัดตัวบรรจงมาก่อน นี่เรียนมาจนถึงปริญญาตรีได้ไงวะเนี่ย

แถมนอกจากการแก้โจทย์แล้วบางหน้ายังมีคำตลกๆ เขียนไว้ ตัวอักษรที่เหมือนจะโวยวายออกมาได้ด้วยน้ำเสียงแบบที่เจ้าของชีทชอบทำ ผมเปิดดูผ่านๆ อย่างขำๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงแผ่นที่ไม่มีลายมือเขียนไว้ เหมือนยังอ่านไม่ถึง ใต้โจทย์ที่ยาวเกือบสี่บรรทัดมีรูปวาดประหลาดๆ ที่แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร

ไม่รู้ทำไมผมต้องใส่ใจกับมันขนาดนี้เหมือนกัน แต่ก็นั่งพิจารณาอยู่นานกว่าจะแกะได้ว่ามันรูปร่างเหมือนคน... ยืนหันข้าง แล้วก็... เหมือนในมือจะถืออะไรสักอย่าง รูปร่างคล้ายกับ... แก้วกาแฟ?

เดี๋ยวนะ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ ยังไงชอบกล

ผมปัดความคิดไร้สาระของตัวเองให้ตกไป ก่อนจะวางชีทลงที่เดิมเพราะรู้สึกว่าตัวเลขในนั้นจะเล่นงานจนผมปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว หัวใจเต้นตุบๆ ยิ่งเหมือนจะสูบเลือดไปทำให้สมองผมระเบิดออกมา ตาก็พร่าเบลอจนต้องยกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆ

“เฮ้ยพี่โช โอเคป่ะ” นายหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมขยี้ตาตัวเองยกใหญ่

“สงสัยใส่คอนแท็คเลนส์นานเกินอ่ะ ตาเบลอๆ” ผมว่าพลางลุกขึ้นยืน กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัส “เดี๋ยวมานะ”
ผมบอกแล้วปลีกตัวมาหลังร้าน จัดการถอดคอนแท็คเลนส์ที่ใส่มานานจนล้า บวกกับความปวดหัวยิ่งทำให้รู้สึกว่าทัศนวิสัยแย่จนเกินทน
   
ตุบ
   
แต่ทันทีที่ถอดคอนแท็คเลนส์ออก ภาพที่เห็นก็เบลอไปหมด ผมเผลอปัดกระปุกน้ำยาล้างคอนแท็คเลนส์ตก และพอจะก้มหยิบก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
   
ปวดหัวชะมัด ให้ตาย
   
“ตี๋ ซื้อยามาให้แล้ว มากินเร็ว” เสียงเรียกดังมาจากประตู แต่เมื่อผมหันไปร่างสูงกลับดูเลือนรางจนจับเป็นภาพไม่ได้
   
“คุณซัน...” เสียงของผมแหบพร่าอย่างน่าตกใจ รับรู้ได้ว่าเผลอปล่อยให้น้ำยาล้างคอนแท็คตกจากมืออีกครั้ง และไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่สะสมมาทั้งวันมันหายไปไหน ราวกับมีอะไรบางอย่างสูบมันออกไปจากร่างกายผมกะทันหัน ส่งผลให้ขาทั้งสองข้างทรุดไปดื้อๆ จนผมล้มลงกระแทกพื้นอย่างจัง
   
ตุบ!
   
“เฮ้ย! ตี๋!” ผมได้ยินเสียงโวยวานที่เหมือนดังมาจากไกลๆ อาจเพราะสติที่เริ่มเลือนรางลงทุกที

“ตี๋! ทำใจดีๆ ไว้ ตี๋! เชี่ยเอ๊ย ไอ้นาย เรียกรถพยาบาลเร็ว!” และสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้ คืออ้อมแขนแข็งแกร่งที่ยกร่างผมไปแนบอกอย่างง่ายดาย สีหน้ากระวนกระวาย และสายตาเป็นห่วงเป็นใย ที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทั้งที่พยุงสติไม่ไหวอีกต่อไป

สายตาที่บอกว่าผมจะต้องไม่เป็นไร

ผมจะปลอดภัย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนคู่นี้ของเขา



-----------------------------------------------------------------------------------
สองตัวป่วนนี่น่าตีจริงๆ 555555
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีดราม่าหนักๆ เท่าไหร่ ใสๆ อ่านสบายๆ ค่ะ (คิดว่านะ -.-)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีใครอ่านแล้ว ใจแป้วเหมือนกัน 5555
แต่ปกติเวลาอัพนิยาย แค่เห็นคนเม้นต์คนเดียวก็เป็นกำลังใจให้เราเขียนจนจบแล้วค่ะ แค่รู้ว่าไม่ได้อัพไว้อ่านเองก็พอแล้ว 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆ นะคะ ^^






*ถึงตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้
รู้สึกเหมือนช่วงนี้อยู่ในสภาวะซึมเศร้ายังไงชอบกล แต่มันหายทุกครั้งที่เปิดเวิร์ดขึ้นมาและเริ่มเขียน
เหมือนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำของพวกนาย มันช่วยเยียวยาความรู้สึกแย่ๆ ให้หายไปได้
ดังนั้นเลยรู้สึกขอบคุณมาก ขอบคุณความกวนของเจ้าซัน ความมองโลกในแง่ดีของนาย ความน่ารักแบบหยิ่งๆ ของโชที่ทำให้เราลืมเรื่องที่ติดอยู่ในใจไปได้สักพัก
รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ปล่อยให้เรื่องราวของพวกนายแล่นอยู่ในหัว หรือพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษร
จะพยายามทำให้ทุกคนรักพวกนายอย่างที่เรารักนะ จะไม่ทำให้ผิดหวัง
ขอบคุณอีกครั้งที่เกิดมา



รัก

-- Martian --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:07:16 โดย makok_num »

ออฟไลน์ temaripik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มาให้กำลังใจคนเขียน
สู้ๆน้าาาาาา นิยายสนุกมากเลย

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
อ้าวตี๋ เป็นอารายยย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ imissyou

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
แหม่

เวลาเจ็บป่วยนี่แหละเนะที่จะเห็นอ๊กเห็นใจกันเนะ  :hao3:


ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ้าวๆๆๆ ตี๋ อย่าเพิ่งเป็นไรนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ coldcream

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตามมาจาก #เชนตรี แล้วค่ะ ชอบสำนวนและการเดินเรื่องค่ะ สนุกมากเลย เอาใจช่วย #ซันโช ให้รู้ใจกันเร็วๆน้า น้องนายจะเป็นพ่อสื่อซะเองเหรอลูก น่ารักมาก ขอคู่ให้น้องด้วยนะค้า :L1: :L1:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 7

   
ไอ้ตี๋แม่ง... โคตรแย่
   
แย่มาก ทำไมไม่ดูแลตัวเองเลยวะ ทำงานหนักจนไข้ขึ้นเป็นลมขนาดนี้ได้ไง โคตรแย่
   
ถ้าฟื้นเมื่อไหร่ผมด่ามันแน่ จะไม่ให้แตะงานอะไรเลยเป็นเดือนๆ ด้วย คอยดู
   
“ซัน กลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ” พี่โมเดินมาแตะบ่าผมที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงพยายามสะกดจิตให้คนที่ไม่ได้สติลืมตาขึ้นมาเสียที
   
“อยากให้ไอ้ตี๋ตื่นก่อนอ่ะพี่ เผื่อมันอยากกินอะไร” ผมหันไปตอบ การอดนอนมาทั้งคืนทำให้รู้สึกอ่อนเพลียจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ
   
“เฮ้ย ไม่เป็นไร พี่ดูแลเอง”
   
“แต่...” ผมเงียบลง ไม่แน่ใจว่าควรจะยกข้ออ้างอะไรขึ้นมาพูดต่อ รู้สึกว่าตอนนี้สมองทำงานช้าลงเต็มที
   
“โชไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องห่วงขนาดนั้น” พี่โมเอ่ยยิ้มๆ บีบบ่าผมเบาๆ ให้คลายความกังวล
   
จริงอยู่ที่ผมเองก็ได้ยินที่หมอบอกว่าอาการไอ้ตี๋ไม่หนักมาก แค่หมดสติไปเพราะพักผ่อนน้อย บวกกับมีไข้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นโคม่าอะไร มันฟื้นขึ้นมาเมื่อคืนครั้งหนึ่ง แต่หมอให้พักผ่อนรอดูอาการคืนหนึ่งก่อนก็เลยต้องนอนโรงพยาบาล ผมอยู่เฝ้ามันตลอดทั้งคืนเพราะก่อนหลับไปไอ้ตี๋ให้โทรไปบอกพี่โมว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่อยากให้ขับรถมากลางดึก ผมเลยอาสาอยู่เฝ้ามันแทน
   
ผมไม่ได้หลับเลยจนกระทั่งถึงเช้า เพราะกลัวว่าไอ้ตี๋จะไข้ขึ้นขึ้นมากลางดึกอีก พยาบาลที่เข้ามาเช็คทุกสองชั่วโมงบอกว่ามันไม่เป็นอะไร ไข้ลดลงแล้วแต่ผมก็ยังข่มตาหลับไม่ได้อยู่ดี
   
“ผมรอให้มันตื่นก่อนค่อยกลับได้มั้ยพี่” พอหาข้ออ้างไม่ได้ ผมเลยเปลี่ยนเป็นขอร้องแทน
   
ไม่รู้อ่ะ ผมยังไม่อยากกลับ รอด่ามันก่อน
   
คนอะไรไม่เจียมตัวสัสเลย ไม่สบายแล้วยังเสือกจะฝืนทำงานจนดึกดื่นอีก
   
“โอเค งั้นซันไปหาอะไรกินก่อนไป ไปพักสายตาด้วย เฝ้ามาทั้งคืนแล้ว เบื่อแย่”
   
“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับ แต่ไม่วายหันกลับไปมองไอ้ตี๋ที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวใสดูซีดกว่าปกติ แต่ก็ถือว่าดูดีกว่าเมื่อคืน ผมเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่ามันดูผอมลงว่าอาทิตย์ก่อนมาก ไม่รู้วันๆ ได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า
   
กลับไปเมื่อไหร่จะขุนให้อ้วนเลย คอยดู
   
“งั้นเดี๋ยวผมซื้อข้าวมาให้ไอ้ตี๋ด้วยนะ”
   
“โอเค” พี่โมที่หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า “ถ้าโชรู้ว่าซันเป็นห่วงขนาดนี้คงดีใจแย่”
   
ผมเบ้หน้า “ผมไม่ได้อยากเป็นห่วงสักหน่อย”
   
ใครใช้ให้มาเป็นลมต่อหน้าต่อตากันวะ กูตกใจจนเกือบกรี๊ดแล้วอ่ะเมื่อคืน ดีนะตอนล้มหัวไม่ได้ฟาดพื้น ไม่อย่างนั้นอาจได้นอนโรงพยาบาลยาวกว่านี้ พูดแล้วก็หงุดหงิดชิบ ไล่ให้กลับไปนอนก็ไม่ยอม ดื้อนักหนา เป็นไงล่ะ แม่ง...
   
“ดีแล้วล่ะที่มีซันคอยอยู่ข้างๆ โชร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ป่วยบ่อย ยิ่งตอนอ้วนโรคประจำตัวอย่างเยอะ ถึงจะดูแลตัวเองจนดีขึ้นแล้วแต่บางโรคก็ไม่ได้หายขาด พี่ยังกังวลอยู่เลยตอนที่ให้ทำงานกะดึก บอกแล้วว่าถ้าไม่ไหวจะเลิกทำก็ได้ แต่เขาก็ไม่ยอม”
   
“ดื้อชิบ” ผมบ่นอุบ นึกภาพออกเลยตอนที่ไอ้ตี๋ดื้อตาใสทั้งที่ร่างกายเหมือนจะไม่ไหวอยู่แล้ว
   
“นั่นสิ พ่อแม่โชเขาฝากฝังพี่ไว้ แต่พี่ก็อยู่ไกล ดูแลตลอดเวลาไม่ได้ โชคดีจริงๆ ที่มีซันคอยเป็นหูเป็นตาแทน” พี่โมเอื้อมมือมาตบหลังผมเบาๆ ส่งสายตาขอบอกขอบใจ
   
จะว่าไป ผมเพิ่งนึกได้ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวมันเลย รู้แค่ว่ามันเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่โม สนิทกันมากเลยถูกชวนมาทำงานที่ร้านจนตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญไปแล้ว แต่ผมไม่เคยเห็นมันพูดถึงพ่อกับแม่เลย ตอนมัธยมก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะรู้ว่าพวกท่านเป็นใคร ทำงานอะไรซะด้วย... แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปก้าวก่ายล่ะนะ
   
“ซันไปล้างหน้าล้างตากินข้าวก่อน เดี๋ยวพี่ดูแลต่อเอง ถ้าโชตื่นเมื่อไหร่พี่จะโทรไปบอก”
   
“ครับ” ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยมา สายตามองกลับไปที่ไอ้ตี๋พลางคิดในใจอีกครั้งว่าถ้าฟื้นขึ้นมาผมจะด่ามันให้เข็ดเลย จริงๆ

   



ผมใช้เวลาในฟู้ดคอร์ดของโรงพยาบาลได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ เลือกข้าวจากร้านที่คนว่างที่สุดมากินเร็วๆ ก่อนจะเดินหาร้านอาหารที่คิดว่าไอ้ตี๋น่าจะกินได้แล้วซื้อกลับมาให้มัน ไม่ลืมที่จะหอบผลไม้กับของบำรุงร่างกายติดไม้ติดมือมาเต็มไปหมด ทั้งที่รู้ว่าเดี๋ยวมันก็ออกจากโรงพยาบาล
   
ผมเดินกลับมายังห้องพักผู้ป่วยที่ไอ้ตี๋อยู่อีกครั้ง เปิดประตูเข้าไปและหวังว่ามันจะตื่นมาสักที
   
และมันก็ตื่นอยู่อย่างที่คิดจริงๆ แถมใบหน้ายังดูสดใส ด้วยรอยยิ้มแบบที่ผมไม่เคยได้รับ
   
“พี่โชแม่ง ทำคนตกอกตกใจกันทั้งร้านเลยรู้ป่ะ” ก็แหงล่ะ ผมไม่ใช่ไอ้นายที่กำลังพูดจ้ออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอารมณ์ดีไม่แพ้กัน
   
“พี่ซันแทบจะร้องไห้แล้วอ่ะ ตอนที่อุ้มพี่ออกมา” ถ้าเป็นปกติ ได้ยินมันนินทาแบบนั้นผมคงเสนอหน้าออกไปด่ามันสักที
   
แต่วันนี้ผมคงเหนื่อยเกินไปแหละ ถึงได้ปล่อยให้ตัวเองยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้ส่งเสียงอะไร
   
“ขอโทษที” คนป่วยยิ้มเจื่อน สีหน้าดูรู้สึกผิด “ไม่คิดว่าอยู่ๆ จะเป็นลม”
   
“โห หน้าซีดขนาดนั้น ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าพี่เป็นไรขึ้นมานี่ความผิดผมเลยนะที่ทำให้พี่หยุดงานไม่ได้”
   
“เฮ้ย พี่ดื้อเอง ไม่ใช่ความผิดนายเลย”
   
“งั้นคราวหลังไม่ดื้อแบบนี้แล้วนะพี่ ไหว้เลย” ไอ้นายยกมือไหว้ปลกๆ ขอร้องอย่างติดตลก “ถ้าไม่ไหวต้องรีบบอกเลยนะ ผมจะรีบพาพี่กลับหอทันทีเลย”

“เวอร์ไปแล้ว”

“เวอร์ตรงไหน ผมเป็นห่วงพี่มากนะ ถ้าไม่ติดว่าต้องปิดร้านนี่ผมตามมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
   
“ดีแล้ว ตามมาก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก พี่หลับทั้งคืน” ไอ้ตี๋ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากบางที่เคยซีดดูมีสีขึ้นกว่าเมื่อกี้ตอนที่ยังหลับอยู่
   
คงดีขึ้นมากแล้วล่ะ ถึงได้คุยเล่นหยอกล้อกับได้นายได้ขนาดนั้น
   
“มีพี่ซันอยู่ผมก็หายห่วงแหละ” แวบหนึ่งผมเห็นไอ้นายเหมือนจะหันมาทางนี้ และไม่รู้ทำไมผมถึงได้ถอยออกมา รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามันไม่ทันสังเกตเห็นผม
   
ผมเดินออกจากห้องมาพลางปิดประตูเสียงเบาๆ ไม่อยากให้คนที่อยู่ข้างในรู้ตัว ดูเหมือนว่าการที่ไอ้นายมาเยี่ยมจะทำให้ไอ้ตี๋ดีขึ้นไม่น้อย ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็สบายใจ จิตใต้สำนึกผมบอกว่าควรปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ตามลำพัง เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสดี ที่ผมจะได้ทำหน้าที่พ่อสื่อตามที่ตัวเองตั้งใจได้บ้าง แม้ว่าความจริงแล้วผมแทบไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลย
   
แค่ถอยออกมา และหวังว่าความเป็นห่วงเป็นใยที่ไอ้นายแสดงออกมาจะทำให้ไอ้ตี๋ใจอ่อน แล้วยอมเดินหน้าความสัมพันธ์กับมันสักที
   
“อ้าวซัน กลับมาแล้วเหรอ” พี่โมที่เดินมาจากฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามหลังจากที่ผมเดินออกจากห้องมาได้ไม่กี่ก้าว “แล้วนี่จะไปไหน ทำไมไม่เข้าไปในห้องอ่ะ” เลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าทิศทางที่ผมกำลังจะไปไม่ใช่ห้องพักของไอ้ตี๋
   
“คือผมเพิ่งนึกได้ว่าพรุ่งนี้มีสอบอ่ะพี่ ยังอ่านหนังสือไม่จบด้วย เลยว่าจะกลับก่อน” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ไม่ได้โกหกซะทีเดียว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองมีสอบจริงๆ
   
“อ้าว ตายแล้ว ทำไมไม่บอก เฝ้าโชทั้งคืนขนาดนี้จะมีแรงอ่านหนังสือเหรอ”
   
“ไหวพี่ สบายมาก” ผมฉีกยิ้มอวดเก่ง ทั้งที่รู้สึกเพลียจนอยากจะสลบมันเสียตรงนี้เลย
   
“แน่ใจนะ หน้าซันดูเพลียมาก ไม่ใช่ว่าหักโหมจนเข้าโรงบาลอีกคน” พี่โมขมวดคิ้ว สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
   
“แน่ใจ โห่พี่ ผมระดับไหนแล้ว ไม่ได้อ่อนแอแบบไอ้ตี๋สักหน่อย” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เออพี่ ฝากนี่ให้ไอ้ตี๋ด้วยนะ บอกมันว่าให้แดกเยอะๆ ผอมจนจะเหลือแต่กระดูกแล้ว” ผมยื่นอาหารสารพัดอย่างที่ซื้อมาให้พี่โมที่รับไปอย่างงงๆ
   
“ซันไม่เข้าไปหาโชหน่อยเหรอ อุตส่าห์รอมาตั้งนาน ป่านนี้น่าจะตื่นแล้ว”
   
ผมแกล้งเบ้หน้า “ไม่เอาอ่ะ เสียเวลา ผมหนีไปอ่านหนังสือก่อนดีกว่า”
   
“งั้นเดี๋ยวถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ พี่ให้โชไลน์ไปบอกนะ” พี่โมไม่ได้ขัดอะไร แค่ยิ้มให้แล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง “ขอบใจมากนะซัน ถ้าไม่ได้ซันโชคงแย่”
   
“ไม่หรอกพี่” ...ยังมีไอ้นายอีกทั้งคน
   
ผมไม่เอ่ยประโยคหลังออกไป แค่ยิ้มบางๆ พลางบอกลา “งั้นผมไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวอ่านหนังสือไม่ทัน”

ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของพี่โมว่า

ต่อให้ไม่มีผม ไอ้นายก็คงไม่ปล่อยให้ไอ้ตี๋เป็นอะไร





“ซัน”

“อืม...” ผมครางหงุดหงิดพลางพลิกตัวหนี แต่เสียงหวานก็ยังกระซิบลงมาที่ข้างหูอย่างกวนใจ

“ซัน จะเที่ยงคืนแล้วนะ ไม่ไปทำงานเหรอ”

“...” ผมลืมตาขึ้นมา แต่ยังแน่นิ่ง ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะตอบกลับไป “ขี้เกียจอ่ะ” ว่าพลางพลิกตัวกลับไปกอดก่ายร่างบางที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างกัน

ผมเพิ่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อเย็น เพื่อนที่เพิ่งสอบเสร็จเหมือนกันพยายามคะยั้นคะยอให้ไปดื่มฉลอง แต่เพราะไม่มีอารมณ์จะเมา เลยหาข้ออ้างมาขลุกอยู่ที่หอพราวแทน หลังจากทำเรื่องที่ทำเป็นประจำจนพอใจทั้งสองฝ่าย ผมก็หลับเป็นตายจนมาถึงตอนนี้อย่างที่เห็น

“แปลกจัง ปกติซันกระตือรือร้นจะตาย” พราวหัวเราะประหลาดใจ ขณะที่มือบางลูบหัวผมที่ซุกอยู่กับช่วงตัวของเธอไปมา
ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มทะเล้น ก่อนจะขบริมฝีปากลงกับไหปลาร้าได้รูปเบาๆ “อยากอยู่กับพราว”

“ไม่หลงกลหรอกนะ” คราวนี้เจ้าของใบหน้าหวานหัวเราะเสียงใส พยายามเก็บอาการเขินอายไว้ แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกได้เหมือนทุกที 

ไหนบอกไม่หลงกล?

ผมยิ้ม ไม่ได้ว่าอะไรต่อ แต่ผละออกมานั่งพิงหัวเตียง หยิบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวขึ้นมาจุดสูบเงียบๆ รสชาติบุหรี่ที่ร้างลาไปนานถูกละเลียดอย่างช้าๆ อ้อยอิ่งราวกับกำลังรอเวลาบางอย่าง

“ปกติไม่เห็นซันสูบเลย” พราวเลิกคิ้ว ขยับเข้ามาในอ้อมแขนผมอีกครั้ง แนบใบหน้าลงกับแผ่นอกอย่างออดอ้อน

“ก็ไม่บ่อย” ผมตอบแค่นั้น ไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เลิกสูบไปได้ตั้งนาน หรือแม้กระทั่งสาเหตุที่เผลอหยิบมันติดมือมาด้วยอีกครั้งก็ไม่อยากจะสาวถึง

แค่รู้สึกอยากสูบขึ้นมา ก็เท่านั้น

“มีเรื่องเครียดเหรอ?”

“...” คราวนี้ผมไม่ตอบ ปล่อยควันขุ่นออกจากร่างกายอย่างช้าๆ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ป่านนี้ไอ้ตี๋คงกำลังสาปแช่งผมอยู่ที่ไม่โผล่หัวไปทำงาน แถมไม่ได้ลา...

แต่พอคิดอีกทีมันอาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เพราะคงมีไอ้นายเป็นลูกมือคอยช่วยอย่างดีเหมือนทุกวัน

หลังกลับจากเฝ้าไข้ไอ้ตี๋เมื่อวาน ผมก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย อย่างที่บอกไปว่าผมมีสอบอีกหนึ่งตัว ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาก็เลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือให้ทัน วันเดย์มิราเคิลที่แท้จริง ยังดีที่ตอนเรียนผมทำโจทย์ด้วยตัวเองตลอด ไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์ หรือไม่ก็ให้เพื่อนติวเดี๋ยวนั้นเลย เรียกว่าสั่งสมบารมีมาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้ตอนลงสนามจริง

ข้อสอบที่ว่ายากยังผ่านมาได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกประหลาดที่ติดอยู่ในใจ ทำไมไม่รู้วิธีแก้ไข

ผมว่าปัญหาคือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร

“หรือว่าเพราะเรื่องนั้น?” พราวเงยหน้าขึ้นถาม ผมขมวดคิ้ว

“เรื่องไหน?”

แต่พอเห็นผมทำหน้าไม่เข้าใจ เธอก็เปลี่ยนสีหน้าไป ก่อนจะเฉไฉ

“เปล่าหรอก” ว่าพลางผละออกไป หยิบเสื้อผ้าที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวม “หิวมั้ย ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ”

ผมดับบุหรี่ที่สูบจนหมดมวน แล้วยิ้มบางๆ “พราวทำให้กินหน่อยสิ”

ที่จริงคือขี้เกียจจะตาย ป่านนี้แล้วจะมีร้านอาหารที่ไหนเปิดอีก ผมไม่มีอารมณ์จะมาขับรถตระเวนหาหรอกนะ

“ก็ได้นะ มีมาม่าเหลือพอดี” พราวยักไหล่ ทำท่าจะลุกไปที่ครัว

“ไม่เอาอ่ะ” ผมเบ้หน้า กินมาม่าตอนนี้ได้ท้องอืดกันพอดี

“งั้นซันอยากกินอะไรอ่ะ” พราวหันมาเลิกคิ้ว

ผมชะงัก พยายามคิดว่าอยากกินอะไร แต่ในหัวกลับเผลอนึกภาพไปถึงว่าถ้าเป็นหอไอ้ตี๋คงได้กินโยเกิร์ต หรือไม่ก็ธัญพืชอบราดนม อาหารไขมันต่ำที่รสชาติไม่เอาอ่าวสิ้นดี

แล้วมันจะแปลกมั้ยถ้าตอนนี้ผมอยากกินไอ้อาหารรสชาติไม่เอาอ่าวพวกนั้น

“มาม่าก็ได้”

แปลกสัส... กูตอบเอง

“อะไรเนี่ย เปลี่ยนใจเร็วจัง” พราวเอ่ยกลั้วหัวเราะ แล้วลุกขึ้นยืน แต่ไม่วายหันกลับมามองผมก่อนจะก้มลงมากัดริมฝีปากกันเหมือนหมั่นไส้ “รอแป๊บนึงนะคะคุณชาย”

ผมหัวเราะเบาๆ มองร่างบางที่เดินออกจากห้องไป ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาจุดสูบ ตั้งใจว่าถ้าหมดมวนนี้จะตามออกไป

พอสูบบุหรี่เสร็จผมก็ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าลวกๆ บิดขี้เกียจพอให้ร่างกายหายเมื่อยล้า ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนมา ที่ครัวเล็กๆ เชื่อมกับโซนรับแขกพราวกำลังยืนเอนหลังพิงเคาน์เตอร์หน้าเตาที่มีหม้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่ เธอดูไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ ทั้งที่น้ำเดือดแล้ว ใบหน้าสวยก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือสีหน้าจดจ่อจนผมขำออกมาเบาๆ

“เดี๋ยวก็ไฟไหม้หรอก” ผมว่าพลางเดินเข้าไปปิดเตา เส้นมาม่าที่ถูกจับโยนลงไปกำลังอืดได้ที่ มีไข่สองฟองโปะหน้าพอเป็นพิธีไม่ให้ดูแห้งแล้งเกินไป

ผมยกอาหารมื้อดึกของเราไปวางไว้บนโต๊ะอาหารเล็กๆ สำหรับสองคน หันกลับมาก็ยังเห็นว่าพราวเล่นมือถืออยู่ไม่วางตา

“มีอะไรในนั้นนักหนา” ผมเลิกคิ้ว

พราวจึงเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแปลกๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ตัวเองมาให้ “นี่เด็กซันนี่” สีหน้าเธอฉายแววขบขัน จนผมขมวดคิ้วงุนงง พลางหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูหน้าจอที่ค้างไว้

มันคือหน้าเพจดังของมหาลัยที่ผมมักเห็นหน้าตัวเองถูกเอาไปโพสต์ลงบ่อยๆ ตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ผมไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคิดว่ามันเป็นเพจไร้สาระ แต่คราวนี้รูปที่โพสต์ กับแคปชั่นที่โชว์หราอยู่ทำให้ผมไม่สามารถปล่อยผ่านได้


‘ภาพจากร้านกาแฟคิ้วท์บอยอันเลื่องลือ น้องโช บริหารคนดีเป็นลมคาร้านเลยจ้า เค้าเม้าท์กันว่านางโด๊ปยาจนช็อก ยาอะไรทำให้คิ้วท์บอยของฉันสลบเหมือดขนาดนี้ ใครรู้อินบ๊อกซ์มาบอกบุญป้าที เผื่อป้ามียาดีกว่าแนะนำนะจ๊ะ คริ~’


ยาเชี่ยอะไรล่ะ!

ผมแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งหลังจากที่อ่านแคปชั่นจบ ภาพเหตุการณ์คืนนั้นที่ผมอุ้มไอ้ตี๋ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกถูกโพสต์และถูกวิจารณ์ไปต่างๆ นานาไม่ต่ำกว่าร้อยคอมเม้นต์

แต่สิ่งที่ทำให้ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมคือความคิดเห็นบนสุดที่ถูกคนกดไลค์มากมาย ทั้งที่มันไร้สาระสิ้นดี


‘ยาลดความอ้วนไง เราเคยอยู่บ้านใกล้นาง จำได้ว่าเคยถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะกินยาลดความอ้วนเกินขนาด สงสัยจะยังไม่เข็ด’

 
แค่นั้นยังไม่พอ พอกดเข้าไปดูในข้อความที่ตอบความคิดเห็นยังเจอคนที่คอมเม้นต์แสดงตัวว่ารู้จักไอ้ตี๋อีกเต็มไปหมด แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นคอมเม้นต์ที่มีรูปคุ้นตาถูกแนบมาด้านล่าง


‘พี่โชที่เคยเรียนที่ XXX ใช่ป่ะ ว่าแล้วเชียวหน้าคุ้นๆ แต่ไม่ชัวร์’


รูปที่ผมเคยเห็นในโทรศัพท์มือถือของไอ้นาย แต่คราวนี้ภาพถูกครอปออกจนเหลือแค่ใบหน้าของไอ้ตี๋คนเดียว


‘กรี๊ดดด นี่คนเดียวกันจริงเหรอ มาไกลอะไรเบอร์นี้’

‘มาไกลมากนะคะคนนี้’

‘ศัลยกรรมป่ะ’

‘หมอไหนคะ ทำไมเสกให้ผีกลายเป็นเทพบุตรได้ขนาดนี้’

‘ศัลย์ฯ ชัวร์’

‘เป็น...ถูกมะ?’

ศัลยกรรม...

เกย์...


และอีกสารพัดคำที่คนพวกนี้จะสรรหามาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความคึกคะนอง

เสือกอะไรวะ!
   
ผมกด  Report เพจทันทีโดยไม่ต้องรอให้อ่านครบทุกความคิดเห็น ลืมไปซะสนิทว่านี่เป็นโทรศัพท์และแอคเคาท์ของพราว พอรู้ตัวผมก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้เธอที่เริ่มตักมาม่าจากหม้อแบ่งใส่ถ้วย มองผมด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
   
“ซันดูร้อนใจนะ”
   
“เรากลับก่อนนะ” ผมลุกขึ้นหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บข้าวของของตัวเองอย่างรีบร้อน
   
“จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ” พราวเดินตามมากอดอกมองหน้าประตู
   
ผมไม่ตอบ หยิบกระเป๋ากับกุญแจรถออกมา

“ซัน!” แต่เมื่อจะเดินผ่านร่างบางออกไป แขนของผมกลับถูกคว้าเอาไว้แน่น “พราวไม่ให้ไป”

“อย่าเพิ่งงี่เง่าได้มั้ย” ผมสะบัดแขนออก

ห้ามยังไงผมก็ต้องไปอยู่ดี ไม่รู้ว่าไอ้ตี๋เห็นรูปกับข้อความพวกนี้หรือยัง

เชี่ยเอ๊ย! มันใช่เรื่องที่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงคนอื่นเหรอวะ

“ถ้าซันไป พราวจะไม่ให้กลับมาอีกแล้วนะ” แต่พราวกลับรั้งแขนผมไว้อีกครั้ง ผมหันกลับไปขมวดคิ้วมองเจ้าของดวงตาที่เคยแฝงความออดอ้อน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแววตาเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ

“พราว” ผมพยายามใจเย็น

“พราวจะไม่ทนเป็นเครื่องมือให้ซันอีก” เธอเอ่ยด้วยสายตาจริงจัง

ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ก่อนจะดึงแขนตัวเองกลับมา “ก็ตามใจ”

ยังไงซะผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรมาตั้งแต่แรก มันไม่ได้ช่วยให้ใครรู้สึกอะไรเลยสักนิด

“วีกำลังจะกลับมา”

“...” แต่แล้วผมก็ชะงัก เมื่อได้ยินชื่อที่หลีกเลี่ยงที่จะได้ยินมานาน

“พราวตั้งใจจะไปบอกตั้งแต่ที่ร้านกาแฟคืนนั้น แต่ดูเหมือนซันจะไม่ได้สนใจเลย”

“...”

“วีกำลังจะกลับมา และถ้าซันอยากทำตามแผนเดิม ซันต้องอยู่กับพราว” ผมหันกลับไปมองใบหน้าที่ยับย่นด้วยความรู้สึกหลากหลายจนยากจะอธิบาย

คล้ายกับเธอกำลังสมเพช เสียใจ และเหมือนจะได้ใจที่ตัวเองเอ่ยข้ออ้างนี้ขึ้นมาและหวังว่ามันจะหยุดผมได้
แต่เปล่าเลย

“เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

พูดจบผมก็เดินออกจากห้องมา โดยไม่สนใจแล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังจะมีสีหน้ายังไง

ไม่สนใจ แม้ว่าเธอจะเอ่ยชื่อ ‘แฟนเก่า’ ของผมออกมาเพื่อรั้งผมไว้อีกหลายต่อหลายครั้ง

บอกแล้วไง ว่าสิ่งที่เราทำ มันโคตรจะโง่เง่า และไม่มีประโยชน์อะไรมาตั้งแต่แรก


(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:08:16 โดย makok_num »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด