พิมพ์หน้านี้ - Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: makok_num ที่ 15-04-2017 00:52:07

หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-04-2017 00:52:07
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




---------------------------------------------------------------------------------------
Just Before Sunrise
เมื่อตะวันฉายแสง
#ซันโช


(https://www.img.in.th/images/33a3c3a61fd89cda7cc56c4369726493.jpg)




เขาเหมือนกับดวงตะวันในยามเช้า

ที่ส่องสว่าง... ทว่าไม่แผดเผา

ฉายแสงอบอุ่น...

ขณะโอบกอดหัวใจของผมอย่างอ่อนโยน




----------------------------------------------------------
Part I : ก่อนตะวัน

Part II : หลังตะวัน

Part III : หลงตะวัน  


- Fin -




----------------------------------------------------------------------


นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของตัวละครที่เคยปรากฏตัวในเรื่อง Just Another Guy  (#เชนตรี) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52722.0) ค่ะ
ซันเพื่อนซี้ที่ตรีเคยแอบรัก กับน้องตี๋โชที่แอบรักตรีอีกทีหนึ่ง 55555
ไทม์ไลน์ของทั้งสองเรื่องพัวพันกันเล็กน้อย แต่จะพยายามไม่ให้งงนะคะ
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
จะพยายามมาอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนค่ะ

ปล. ติดตามการอัพเดตได้ที่แฟนเพจ makok_num (https://www.facebook.com/makoknum.writer/?ref=aymt_homepage_panel) นะคะ (พอดีไม่ได้แยกเพจของอีกนามปากกา แฮ่)


ขอบคุณค่ะ

-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทนำ [ 15/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-04-2017 01:04:12
บทนำ


“พี่โม หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้เจ้าของร้านคนสวยทันทีที่เปิดประตู ก่อนจะเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ด้วยความคุ้นเคย

“อ้าวซัน มาพอดี มาช่วยพี่ชิมกาแฟสูตรใหม่หน่อยสิ” พี่โมที่ง่วนอยู่กับการชงกาแฟเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างกวักมือเรียกให้ไปชิมกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จพอดี

แล้วมีเหรอที่คนน่ารักอย่างผมจะปฏิเสธ สาวเท้าเดินไปหาพี่โมอย่างเร็วด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจ่อริมฝีปาก รับกลิ่นหอมละมุนเป็นลำดับแรก แล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย

“หืม อร่อยยย” ผมเบิกตากว้าง แทบจะตะโกนด้วยความตื่นเต้น

ถึงจะไม่ใช่คนช่ำชองเรื่องกาแฟนัก แต่ประสบการณ์การทำงานที่ร้านมาร่วมสองปีก็ทำให้พอจะแยกแยะได้บ้างว่ากาแฟแบบไหนอร่อย หรือแบบไหนไม่ต่างจากน้ำล้างจาน
   
ซึ่งส่วนใหญ่กาแฟในร้านล้วนผ่านการคัดสรรจากเมล็ดกาแฟคุณภาพดี นำมาคั่วในอุณหภูมิพอเหมาะ บดอย่างพิถีพิถันและกลั่นออกมาเป็นกาแฟที่หอมกลุ่นรสชาติขมทว่าละมุนลิ้น ถ้าได้ลองชิมครั้งเดียวก็คงจะติดใจ เหมือนผมนี่ไง ชิมไปชิมมากลายเป็นเบ๊เขามาจะสองปีเข้าไปแล้ว อร่อยระดับนั้นเลยจริงๆ
   
ครับ... กำลังไท-อินสินค้ากันหน้าด้านๆ เลย
   
“ขนาดพี่เพิ่งฝึกทำซันยังทำตาวาวขนาดนี้ ถ้าได้ชิมฝีมือคนคิดสูตรไม่น้ำตาไหลเลยเหรอ” พี่โมเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะเมื่อผมจิบกาแฟอีกรอบแล้วยกนิ้วโป้งให้รัวๆ
   
“หืม หมายถึงใครอ่ะพี่” ผมถาม วางกาแฟที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วลงบนเคาน์เตอร์

“โชน่ะ” พี่โมยิ้มกริ่ม หยิบกาแฟขึ้นไปจิบบ้างแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางภูมิใจ

ทำไมผมไม่แปลกใจเลยวะพอได้ยินว่าเป็นฝีมือใคร

ส่วนผสมที่ลงตัวจนกลายเป็นรสชาติที่หอมกรุ่นหวานละมุนขนาดนี้ เท่าที่ผมรู้จักก็มีแต่ไอ้ตี๋เท่านั้นแหละครับที่ทำได้

“พี่ว่าจะเริ่มทำตัวนี้ขายอาทิตย์หน้า ซันว่าดีมั้ย”

“ดีครับพี่ แต่อยากลองชิมฝีมือไอ้ตี๋อ่ะ มันยังไม่มาเหรอ” ผมถาม ชะโงกหน้ามองอีกคนที่ไม่เห็นอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้วย

“โชอยู่หลังร้าน เดี๋ยวพี่ไปตามให้แล้วกัน จะไปเอาเมล็ดกาแฟมาเพิ่มด้วย”

“ขอบคุณคร้าบ” ผมลากเสียงยาวอย่างทะเล้น พี่โมเลยส่ายหน้าเอือมๆ แล้วตีมาที่แขนผมทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้าน ทิ้งให้ผมเฝ้าเคาน์เตอร์คนเดียว

เพราะช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงสอบ ลูกค้าช่วงดึกจึงมีไม่มากเท่าไหร่ ยิ่งเที่ยงคืนแบบนี้ลูกค้าคนสุดท้ายเพิ่งจะเดินออกจากร้านไป ทำให้บรรยากาศเงียบเหงายังไงชอบกล

แต่ไม่นานก็มีลูกค้าใหม่เดินเข้ามา ตอนที่ผมเก็บแก้วและเช็ดตัวที่เพิ่งว่างเสร็จพอดี

“สภาพมึงนี่ ยับเยินกว่านี้ก็ผ้าขี้ริ้วเถอะ” คำทักทายที่บ่งบอกถึงความคุ้นเคยถูกเอ่ยออกจากปากเมื่อร่างพังๆ ของไอ้เพื่อนรักเดินเข้ามาในร้าน ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ

ลูกค้าประจำยามดึกที่มานั่งลืมตาครึ่งเดียวจ้องหน้าจอแล็ปท็อปของตัวเองจนถึงเช้า

“ไง” ใช้เวลาประมวลผลอยู่นานกว่าไอ้เอ๋อตรีจะเอ่ยคำทักทายออกมา

ถ้าลำบากก็ไม่ต้องก็ได้นะมึง สงสาร

“เหมือนเดิมใช่ป่ะ” ผมว่าไม่ต้องรอให้มันพยักหน้าเฉื่อยๆ กลับมาก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ วางแก้วกาแฟเปล่าลงซิงค์ แล้วเริ่มชงชามิ้นต์เย็นๆ ให้มัน

ไอ้ตรีมันไม่ค่อยกินกาแฟครับ ทำงานหามรุ่งหามค่ำยังไงก็น้อยครั้งที่จะพึ่งคาเฟอีนที่มากับรสชาติปนขมของกาแฟ ผมเลยเสนอว่าให้มันกินชาที่มีคาเฟอีนเหมือนกัน แต่รสชาติหลากหลายกว่า น่าจะถูกปาก และพอมันขออะไรก็ได้เย็นๆ ผมเลยเลือกชามิ้นต์ที่เย็นไปถึงลำไส้ให้มัน จนติดใจมาจนถึงทุกวันนี้

ใช้เวลาสักพักก็ได้ชามิ้นต์เย็นๆ มาเสิร์ฟให้ไอ้เพื่อนซอมบี้ที่เปิดแล็บท็อปขึ้นมาคลิกเม้าส์รัวๆ จนแทบจะเป็นจังหวะเดียวกับเสียงเพลงของร้าน

ดูเหมือนพอขึ้นปีสี่งานไอ้ตรีจะหนักขึ้นไปอีกเท่าตัว ได้ข่าวว่าเทอมนี้มันต้องออกแบบโรงแรมเป็นสิบๆ ชั้นที่พ่วงห้างสรรพสินค้าเข้าไป ตอนได้ยินก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันยากยังไง เพราะที่บ้านผมทำธุรกิจโรงแรม ก็เห็นห้องแม่งก็เหมือนๆ กันไปหมด แต่พอมันมาถามเรื่องนู้นเรื่องนี้พวกรายละเอียดยิบย่อยเรื่องระบบการจัดการ ก็รู้ทันทีว่าการที่ที่บ้านทำธุรกิจโรงแรมไม่ได้ทำให้ผมฉลาดเรื่องโรงแรมเลยสักนิด มิน่าถึงได้ถูกเฉดหัวออกมาไม่ถูกบังคับให้สานต่อธุรกิจเหมือนพวกพี่ชาย

“เอาจริงๆ นะ กูว่ามึงควรนอน” ผมพูดกลั้วหัวเราะพลางยื่นมือไปผลักหัวไอ้ตรีที่เหมือนตาจะปิดเต็มที

นี่มึงมานั่งฝืนสังขารอยู่ทำไมเนี่ย

“พรุ่งนี้กูต้องส่งงาน” มันตอบสั้นๆ ทิ้งระยะเหมือนประมวลผลไม่ทันเหมือนเคย ผมเลยหัวเราะออกมาอีก เห็นแบบนี้แล้วอยากจะแบ่งเวลานอนให้แม่งสักสิบชั่วโมง

ถึงจะไม่ใช่ช่วงสอบ แต่ก็อย่างที่มันบอกว่ามีงานต้องส่ง ไอ้ตรีเลยมาเกือบทุกวัน มันบอกว่าช่วงนี้สตูดิโอที่คณะมันตัดไฟหลังสี่ทุ่ม เลยไม่สะดวกที่จะทำงาน ทำที่หอก็ไม่ได้ เพราะนอกจากเตียงนอนจะทำให้เสียสมาธิ ยังมีคนที่ทำให้เสียสมาธิอีก

นั่นไง พอคิดถึงก็มาเลย ผมผงกหัวทักทายร่างสูงที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามา ก่อนจะหันไปบอกคนที่น่าจะคิดถึงกว่าให้รู้ตัว

“ไอ้ตรี พี่เชนมา” ว่าพลางยิ้มแซว ไอ้เพื่อนตัวดีละสายตาจากหน้าจอแล็ปท็อปหันไปมองประตูร้านที่ถูกเปิดออกด้วยร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่ถูกปลดเนกไทกับกระดุมเม็ดบนลงมาลวกๆ สูทตัวนอกถูกถอดออกมาถือไว้เหมือนร้อนจนทนไม่ไหว ใบหน้าคมดูอิดโรยมาแต่ไกล ไม่แพ้คนที่ส่งยิ้มบางๆ ไปให้เป็นการทักทาย

นี่มันคู่รักซอมบี้ชัดๆ

กำลังแข่งกันว่าใต้ตาใครจะคล้ำกว่าเหรอวะ

“หวัดดีพี่” ผมยกมือไหว้พี่เชนที่เดินมาที่เคาน์เตอร์แล้วยื่นเงินให้โดยไม่ต้องเอ่ยปากสั่งเครื่องดื่มใดๆ

เอสเพรสโซ่ร้อนเหมือนเคย

กินตอนนี้กะจะตาค้างยันเที่ยงคืนของอีกวันเลยหรือไงพี่ผม

“งานเป็นไงบ้างพี่” ผมยื่นเงินทอนให้พร้อมกับถามสารทุกข์สุขดิบตามประสาน้องรหัสที่ดี พี่เชนแค่ยักไหล่ตอบกลับมาไม่ว่าอะไร แต่เห็นหน้าตายุ่งๆ แบบนี้ก็เป็นคำตอบได้อย่างดีว่าชีวิตการทำงานที่พี่ผมกำลังเผชิญอยู่เป็นยังไง

นี่ขนาดทำงานบริษัทพ่อตัวเองนะครับ ไหงสภาพยับเยินขนาดนี้

คิดเงินเสร็จผมก็เอ่ยแซวพี่รหัสพอเป็นพิธีก่อนจะมองแผ่นหลังแมนๆ ที่แสนอิจฉาเดินไปหาหวานใจที่หันกลับไปทำหน้าง่วงใส่จอแล็ปท็อปอีกรอบเรียบร้อย แต่แทนที่จะนั่งลงตรงข้ามกันเหมือนทุกที พี่เชนกลับยืนอยู่หลังไอ้ตรี มองมันนิ่งๆ พักหนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ ร้านที่ว่างเปล่า แล้วหันกลับมาหาผมที่เลิกคิ้วงงๆ

“?” อะไรของเขาวะ

“ไอ้ซัน” เขาว่าพลางชี้มือไปด้านหลัง

“ฮะ?” ซึ่งผมก็โง่หันตามมือพี่แกไปทันที

แต่ก็ไม่เจออะไรนอกจากความว่างเปล่า กำลังจะหันกลับมาถามว่ามีอะไร ก็เห็นว่าเจ้าตัวเพิ่งยืดตัวขึ้นเต็มความสูง ในขณะที่เพื่อนผมนั่งเบิกตากว้าง กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วมองแฟนตัวเองแน่นแล้วก้มหน้างุดลงอีกครั้งจนคางแทบจะชิดกับคอ

ขึ้นสีแดงตั้งแต่หูยันคอขนาดนี้ ไม่ต้องก็รู้ว่าเมื่อกี้พี่เชนทำอะไร

แหม่... แผนสูงจังเว้ย

พี่ผมเองครับ พี่ผม

“เหนื่อย” ผมมองพี่เชนที่ตีหน้ามึนเดินล้วงกระเป๋าไปนั่งฝั่งตรงข้ามไอ้ตรีพลางบ่นเบาๆ แล้วอดแซวขำๆ ไม่ได้

“โห่ เนียนนะครับ” แต่มีหรือที่พี่รหัสผมจะแคร์ พี่แกไม่หันมามองหน้าผมด้วยซ้ำ แค่หยิบเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจ

เสียงนกเสียงกาชัดๆ เลยกูเนี่ย

“วันหลังไล่ผมไปหลังร้านเลยก็ได้นะพี่ ไม่ต้องเกรงใจ” ผมยังแซวต่อกลั้วหัวเราะ จนไอ้เพื่อนตัวดีที่เงียบอยู่หลายวินาทีตั้งสติได้แล้วกันมาตีหน้าเข้มใส่

“หุบปากไปเลยมึง” 

แหมที่งี้ทำเป็นตาสว่าง ท่าทางจูบพี่เชนจะฤทธิ์แรงกว่าคาเฟอีนในชาอีกนะนั่น

อยากจะแซวต่ออยู่หรอก แต่เห็นหน้าที่แดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกของแม่งก็ขำจนไม่จำเป็นต้องแซวละ ผมเลยหัวเราะเสียงดังทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวไปชงกาแฟ

“...!” แต่ก็ต้องชะงักไปอีกรอบ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูเชื่อมหลังร้านพอดี

ประตูที่เปิดไม่ถึงครึ่งดี กับสีหน้าแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้อีกนั่นแหละว่ามันเห็นช็อตเด็ดที่ผมพลาดเข้าเต็มๆ

ชิบหายมาก... มึงมาถูกจังหวะได้ชิบหายมากเลยตี๋

ผมขมวดคิ้ว มองหน้าคนที่ซ่อนอยู่หลังประตูจนรู้ตัว หันมาสบตาด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร สักพักก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเปิดประตูออกมายืนหลังเครื่องทำกาแฟ

“ผมชงเอง” ว่าแล้วก็เริ่มชงกาแฟโดยที่ไม่ต้องถามสักคำว่าพี่เชนสั่งอะไร

“...” ในขณะที่ผมยังคงมองเสี้ยวหน้าด้านข้างนั้นอย่างพยายามจะอ่านความรู้สึก

จนกระทั่งเอสเพรสโซ่ร้อนมาวางอยู่ตรงหน้า พร้อมกับคนทำที่หันกลับมาเลิกคิ้วงงๆ พยักเพยิดไปทางกาแฟแล้วออกคำสั่ง

“เอาไปเสิร์ฟสิครับ”

“...” แต่ผมยังยืนนิ่ง สบตาตี่ๆ ของมันอยู่อย่างนั้นอย่างตั้งคำถาม จนคนตรงหน้าถอนหายใจออกมาพลางทำหน้าเอือมระอาใส่ผมเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ ก่อนจะเอ่ยคำที่ผมกำลังอยากได้ยิน

“ผมไม่เป็นไรหรอกน่า”

พอได้ยินคำยืนยันพร้อมกับแววตาที่มีแต่ความรำคาญไร้วี่แววความหม่นเศร้าอย่างที่กังวล ผมถึงได้ยิ้มกว้าง ยื่นมือออกไปขยี้ผมคนตัวเล็กกว่าแรงๆ ทีหนึ่งจนถูกฟาดแขนและมองมาด้วยสีหน้าปนรำคาญยิ่งกว่าเก่า ผมหัวเราะเบาๆ แล้วยักไหล่ ก่อนจะถือถาดกาแฟออกมาเสิร์ฟให้พี่เชนอย่างสบายใจ

ให้มันได้แบบนี้สิตี๋ ก็สัญญากันไว้แล้วนี่หว่า ว่าต่อไปนี้จะไม่เป็นไร

สัญญาว่าจะเลิกเสียใจ แล้วทำให้ตัวเองมีความสุขสักที






----------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้พี่เชนกับตรีแย่งซีนสุด 55555
ย้ำอีกทีว่าตัวละครเรื่องนี้มาจากนิยายเรื่อง Just Another Guy (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52722.0) (#เชนตรี) นะคะ
ไทม์ไลน์สัมพันธ์กันนิดหน่อย แต่จะพยายามไม่ให้งงค่ะ
ใครเคยผ่านพระเอกแมนๆ นิ่งๆ อย่างพี่เชนมา ต้องขอโทษล่วงหน้าเลยค่ะที่พระเอกเรื่องนี้จะไม่เป็นแบบนั้น
ถึงจะเป็นน้องรหัสพี่เชน แต่ซันมันมาสายกากค่ะ ความเท่ไม่ได้ขี้เล็บพี่รหัสแน่นอน 55555

ฝากคอมเม้นต์หน่อยน้า
หรือส่งฟีดแบ็คทางทวิตเตอร์ ติด #ซันโช ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณค่า

-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 1 [ 15/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-04-2017 17:28:13
ก่อนตะวัน : 1

               
หลายเดือนก่อนหน้านี้
 
               
ผมทำงานที่ร้านพี่โมมาตั้งแต่ก่อนขึ้นปีสามจนตอนนี้จะขึ้นปีสามเทอมสองแล้วก็ยังทำอยู่ แปลกใจเหมือนกันที่ไม่โดนไล่ออกสักที ทั้งที่ก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไร อาศัยแดกกาแฟฟรีไปวันๆ 

ที่ผมมาสมัครงานร้านนี้เพราะช่วงนั้นพี่เชนไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ ทิ้งให้ไอ้ตรีอยู่เชียงใหม่คนเดียว ทั้งที่เป็นช่วงปิดเทอม และมีบ้านที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ไอ้ตรีดันเสือกขยันอยากหางานพาร์ทไทม์ทำระหว่างปิดเทอมซะงั้น ซึ่งมันไม่แปลกหรอก ผมได้ยินว่าไอ้ตรีทำงานพิเศษมาตั้งแต่สอบติดคณะสถาปัตย์ฯ ที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ใครจะไปคิด ว่าความขยันครั้งนี้ของไอ้เพื่อนตัวดี จะนำพาเรื่องวุ่นวาย ที่มาพร้อมกับตัววุ่นวายที่ทำให้ผมต้องสละเวลาปิดเทอมอันมีค่ามาทำงานพิเศษทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสคำว่าลูกจ้างมาก่อน
               
ตัววุ่นวายที่ว่าจะเป็นใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่โช
               
ไอ้ตี๋หน้าแมวที่ฉวยโอกาสตอนที่พี่เชนไม่อยู่มาด้อมๆ มองๆ ปลาย่างโดยที่ไม่สำเหนียกเลยว่าเจ้าของปลาเขารักเขาหวงของเขาขนาดไหน ถึงขั้นส่งผมมาเป็นบอดี้การ์ดคอยคุมไอ้ตรีไว้ไม่ให้คลาดสายตา
               
ตอนแรกก็มาเฝ้าเฉยๆ มานั่งๆ นอนๆ เล่นมือถือฆ่าเวลารอไอ้ตรีออกกะไปวันๆ คอยส่งสัญญาณให้พี่เชนถ้าหากว่าไอ้ตี๋ทำตัวมีพิรุธ แล้วระดับไอ้ซันแล้ว ถ้าได้ลองจับตาดูใคร รับรองได้เลยว่าผู้ต้องสงสัยดิ้นไม่หลุดแน่นอน
ไอ้ตี๋แม่งมีพิรุธเต็มไปหมด ตั้งแต่ผมเหยียบเข้ามาในร้านพี่โมวันแรกก็ได้กลิ่นความพยายามเป็นมือที่สามของแม่งมาแต่ไกล ทั้งพยายามส่งสายตา มือไม้เป็นปลาหมึก แถมยังชอบเข้าไปใกล้ไอ้ตรีเกินจำเป็น เพราะแบบนั้นผมเลยรู้สึกหมั่นไส้มันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
               
เป็นแค่ไอ้ตี๋ ริอาจมาตั้งตัวเป็นศัตรูหัวใจพี่รหัสผม อยากไปเจอยมบาลหรือไง
               
สุดท้ายผมเลยตัดสินใจสมัครเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่ร้านตามคำเหน็บแนมของไอ้ตรีซะเลย เพราะนอกจากจะทำให้ผมกันท่าไอ้ตรีได้ง่ายแล้ว ยังทำให้เห็นปฏิกิริยาต่างๆ ของไอ้ตี๋ได้ง่ายขึ้นอีกต่างหาก ยิ่งตอนที่มาทำงานช่วงแรกๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ตรีลงไปหาพี่เชนที่กรุงเทพฯ พอดี ผมเลยได้พักงานจากการระแวดระวังปลาย่าง มาสังเกตอีกคนได้เต็มที่
               
ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดขนาดนั้นหรอก ก็แค่สงสัยว่ามาสักพักละว่าท่าทางเฟรนด์ลี่เกินจำเป็นของไอ้ตี๋นี่มันของจริงหรือเสแสร้ง บางทีมันอาจจะแค่แกล้งทำตัวเป็นคนดียิ้มแย้มแจ่มใสให้ไอ้ตรีตายใจตกหลุมพรางมันง่ายขึ้นเฉยๆ
แล้วก็จริงอย่างที่คิด เมื่อรู้จักกันไปได้สักพัก ผมก็ได้รู้ว่าภายใต้หน้ากากยิ้มแย้มแจ่มใสของมันมีอะไรมากกว่าที่เห็น… เปล่าหรอก มันไม่ได้เป็นคนเสแสร้งแกล้งตอแหลอะไรทำนองนั้น แต่เป็นเพราะมันกำลังพยายามซ่อนบางอย่างเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มพวกนั้นต่างหาก
               
พยายามซ่อนอดีต ที่ไม่อยากให้ใครจดจำ
               
แต่ความลับไม่มีในโลกฉันใด อดีตของไอ้ตี๋ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดบังได้ตลอดไปฉันนั้น
               
ไม่รู้จะโทษอะไรเหมือนกันที่มันดันทำความลับแตกเอาง่ายๆ เพราะมันไม่สบายและไอ้ตรีไปเยี่ยมไข้ ถึงได้เห็นอะไรๆ ที่มันไม่อยากให้ใครเห็น
               
ไอ้ตี๋หล่อหน้าใสขวัญใจสาวๆ ในมหาลัย กลับมีอดีตเป็นไอ้โชกุนอ้วนดำที่ใครๆ ก็พากันเหยียดในสมัยมัธยม
               
แต่ที่สำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก คือเรื่องของจิตใจ...

หัวใจของมันที่มีให้ไอ้ตรีมาตั้งแต่ม.ปลาย

ความซับซ้อนของเรื่องนี้ก็คือ ตอนม. ปลาย ไอ้ตรีแอบชอบเพื่อนสนิทคนหนึ่งของมัน... นั่นคือผมเอง

ผมที่โง่ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่าคนข้างตัวกำลังคิดอะไร ทำร้ายจิตใจมันซ้ำๆ เพราะไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทมีความรู้สึกที่ผมไม่เคยคิดถึงซ่อนอยู่ ผมกลายเป็นศัตรูหัวใจของไอ้ตี๋ไปโดยปริยาย แม้ว่าสุดท้ายแล้วผมจะปฏิเสธไปในวันที่ไอ้ตรีตัดสินใจสารความความในใจออกมา

คงไม่มีใครทันคิด ว่าคนสามคนที่เคยอยู่โรงเรียนเดียวกันและมีความสัมพันธ์ซับซ้อนแบบนี้จะกลับมาพัวพันกันอีกครั้ง ในร้านกาแฟเล็กๆ สถานที่ที่นำไปสู่ความยุ่งเหยิงเมื่อความลับที่เก็บไว้มานานถูกเปิดเผยออกมาผ่านรูปถ่ายเพียงใบเดียว
รูปถ่ายที่ผม ไอ้ตรี และไอ้ตี๋อยู่ในเฟรมเดียวกันในวันปัจฉิมนิเทศ

รูปถ่ายที่ผมเป็นคนฉีกเองกับมือ แล้วบอกให้ไอ้ตี๋ตัดใจ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องจมกับความรู้สึกแย่ๆ จนหลงทำอะไรผิดๆ ไปอีก

คืนที่ถูกจับได้ สิ่งที่ไอ้ตี๋เลือกทำคือการพยายามแย่งไอ้ตรีไปด้วยวิธีที่ไม่ควร แต่ดวงมันคงจะถึงฆาตจริงๆ นั่นแหละ เพราะพี่เชนดันลางานและมาหาไอ้ตรีที่ร้านในวันนั้นพอดี พอรู้ว่าไอ้ตรีไปที่ห้องไอ้ตี๋ก็รีบแจ้นไปหา แถมเจอในจังหวะที่... เป็นผมก็คงเลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน

ผลก็คือไอ้ตี๋ถูกอัดจนยับเยิน ถ้าไอ้ตรีไม่ลากพี่เชนออกไป มันคงได้ลงหลุมไม่ได้ผุดได้เกิดไปแล้ว
               
ถึงมันจะเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ที่ไปยุ่งกับคนมีเจ้าของ แต่สภาพที่สะบักสะบอมแถมอมทุกข์เพราะความรู้สึกผิดก็ทำเอาผมอดสงสารไม่ได้ ผมแวะเวียนมาเยี่ยมไข้ไอ้ตี๋ พร้อมกับคะยั้นคะยอให้มันกลับไปทำงานเพราะเดาออกว่าที่มันเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเป็นเพราะไม่อยากเจอหน้ากับไอ้ตรี แต่ถ้าไม่เผชิญหน้าแล้วจะรู้ได้ไงว่าแม่งไม่ได้โกรธมัน ให้อภัยไปตั้งแต่ตอนที่เห็นมันสลบไปเพราะพายุหมัดของพี่เชนแล้ว

แต่ให้อภัยกับให้ใจมันคนละส่วนกัน เพราะต่อให้ไอ้ตรีกับมาคุยกับมันได้เป็นปกติ แต่ก็ใช่ว่าไอ้ตรีจะเลิกรักพี่เชนแล้วหันมารักมัน... เป็นผมก็คงโคตรรู้สึกแย่เหมือนกัน ทั้งที่อดทน และยึดมั่นในความรักขนาดนั้น แต่กลับต้องผิดหวังถึงสองครั้งสองครา

พอคิดได้แบบนั้นแล้วในใจลึกๆ ของผมกลับมีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมา...

รู้หรอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของผมที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่รู้เลยว่าใครมีความรู้สึกยังไงโดยมีผมเข้าไปพัวพัน แต่ถึงอย่างนั้นการได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนทำให้ใครคนหนึ่งอกหักมันก็ยากที่จะปล่อยผ่านไป
               
โดยเฉพาะคนคนนั้นเป็นคนที่ผมรู้สึกสนิทใจด้วยไปแล้วในระดับหนึ่ง
               
ตอนที่รู้ว่าไอ้ตรีชอบผม ผมสับสนจนไม่รู้ว่าจะทำยังไง ถึงได้ตีตัวออกห่าง โชคดีที่ไอ้ตรีเองก็เหมือนตั้งใจจะออกห่างจากผมอยู่แล้วเหมือนกันมันจึงง่ายที่จะหลบหน้า ผมคิดว่าทุกอย่างคงจะผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งได้มาเจอกันอีกที ผมถึงได้รู้ว่าผมคิดถึงไอ้ตรีแค่ไหน เพื่อนดีๆ อย่างมันหายากชนิดที่ว่าต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็คงหาไม่ได้อีกแล้ว

คงเพราะแบบนั้นมั้งผมเลยไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับไอ้ตี๋... ไม่อยากให้มันหลบหน้าผม หลบหน้าไอ้ตรี เพียงเพราะต้องการหนีอดีต หนีความรู้สึกที่แก้ไขไม่ได้
               
จริงอยู่ที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน และเรื่องวุ่นวายพวกนั้นผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นมา แต่... ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบอะไรสักอย่าง
               
รับผิดชอบความรู้สึกไอ้ตี๋ รับผิดชอบต่อโอกาสที่ผมอาจจะมีส่วนพรากไป...
               
ถ้าผมรู้ความรู้สึกไอ้ตรีเร็วขึ้น ผมคงปฏิเสธมันได้เร็วกว่านี้ และตอนนั้นไอ้ตี๋ก็อาจจะได้เข้ามาหาไอ้ตรี ได้ทำความรู้จัก ได้สารภาพรักก่อนที่ไอ้ตรีจะมีใคร
               
บางทีมันอาจจะไม่ต้องมานั่งเสียใจ ที่ตัวเองมาช้าเกินไปจนคว้าหัวใจคนที่รักไว้ไม่ทัน
 
               

“อ่ะ วันนี้กูให้มึงเมา” ผมว่าพลางยื่นแก้วเหล้าให้ไอ้ตี๋ที่นั่งเหม่อมองคูปองส่วนลดของร้านพี่โมที่มันเอามาให้เป็นของขวัญอีกคนด้วยสายตาที่ผมไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
               
วันนี้เป็นวันเกิดไอ้ตรี แถมเป็นวันกลับมาคืนดีกันของไอ้ตรีกับพี่เชน
               
ช่วงที่ผ่านมาทั้งสองคนมีปัญหากัน เรื่องที่ทางบ้านไอ้ตรีไม่ยอมรับพี่เชน กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นต้องเลิกรา ไอ้ตรีเฮิร์ตไปหลายเดือนกว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี ดูก็รู้ว่าสองคนนั่นรักกันแค่ไหน เพราะงั้นต่อให้เป็นช่วงที่พี่เชนหายไปจากชีวิตไอ้ตรี แต่ใครบางคนแถวนี้ก็ไม่สามารถหาโอกาสแทรกเข้าไปในหัวใจของมันได้เลย
               
จนวันนี้พี่เชนกลับมาหาไอ้ตรีอีกครั้ง กลับมาเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของมัน จึงไม่แปลกที่ของขวัญชิ้นอื่นๆ ในคืนนี้จะหมดความสำคัญไป
               
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีใครเอาคูปองส่วนลดของร้านญาติตัวเองมาเป็นของขวัญให้คนอื่นอยู่แล้วป่ะวะ ไม่รู้มันงกหรือเอาฮา
               
“ผมไม่ดื่ม” พูดสั้นๆ พลางปรายตาขึ้นมาทำสีหน้าเหมือนผมกำลังพูดไร้สาระ
               
ก็จริง ผมไม่เห็นมันไม่แตะแอลกอฮอล์เลยตั้งแต่มา เอาแต่นั่งกินน้ำเปล่าแกร่วๆ กับกับแกล้มเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
               
“จริงอ่ะ?” ผมเลิกคิ้ว ไม่คิดว่าแม่งจะอนามัยจ๋าขนาดนี้
               
ตอนที่มันโดนพี่เชนต่อยจนนอนซมแล้วผมไปเฝ้าไข้ถึงได้รู้ว่าไอ้ตี๋มันเดินสายเฮลตี้ที่แท้ทรู คงเพราะเคยอ้วนมาก่อน และไม่อยากกลับไปรูปร่างแบบนั้นอีก มันเลยพยายามควบคุมอาหาร เสบียงในห้องแม่งยังเป็นผลไม้ ธัญพืชอบ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำอะไรเทือกๆ นั้นเลย จะกินข้าวทีก็ต้องไม่ทอดไม่มัน มีร้านอาหารออแกนิคที่กินเป็นประจำ และทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายถ้าผมไม่ได้ซื้อจากร้านนั้นไปให้
               
เรื่องมากชิบหาย
               
 “ไม่เมาก็ร้องไห้ไม่ได้ดิตี๋” ผมว่า
               
“ทำไมผมต้องร้องไห้” แล้วก็โดนทำหน้าระอาใจใส่เหมือนเคย
               
“...” เออว่ะ แล้วทำไมไอ้ตี๋มันต้องร้องไห้วะ
               
ไม่รู้อ่ะ ผมแค่รู้สึกว่าแม่งน่าจะอยากร้องไห้ หลังจากเจอสถานการณ์ที่เจอคนที่แอบชอบกลับไปคืนดีกับแฟนแบบนั้น และเหล้าก็เป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะทำให้มันร้องไห้ได้ง่ายขึ้น และไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง
               
ขณะที่ผมทำสายตาหลุกหลิกพยายามหาคำอธิบายในหัว ก็ได้ยินเสียงคนตรงหน้าถอนหายใจเบาๆ มองหน้าผมอย่างรู้ทัน

“ถ้าเป็นเรื่องตรี ผมไม่เป็นไรหรอก” ว่าพลางยกน้ำเปล่าในแก้วตัวเองขึ้นมาจิบ แล้วมองผ่านผมไปยังเวทีที่ชั่วโมงที่แล้วไอ้ตรีเพิ่งขึ้นร้องเพลงก่อนที่พี่เชนจะมา “แค่กำลังคิดว่าตอนตรีเล่นกีตาร์นี่เท่ชะมัด”

“ตรงไหนวะ!” ผมหลุดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง “มึงไม่ได้ยินตอนมันเล่นเพี้ยนเหรอ แถมพอพี่เชนโผล่มาก็เสือกหยุดเล่นกลางคันเอาแต่ร้องไห้เป็นเด็กอนุบาล ไม่เห็นจะเท่ตรงไหน”

ผมได้ยินเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจ พร้อมด้วยสายตาจิกกัดที่ส่งมา

อ่ะ กูไม่ขัดก็ได้ เท่ก็เท่วะ เห็นแก่ที่มึงอกหักซ้ำซากหรอกนะถึงได้ยอม
               
“แต่ก็แอบเศร้าอยู่นิดๆ แฮะ”
               
นั่นไง กูว่าแล้ว ไม่เศร้าได้ไง เค้าหิ้วกันไปต่อหน้าต่อตาขนาดนั้น
               
“งั้นแดก” ผมว่าพลางกระแทกเหล้าที่รินไว้ส่งไปตรงหน้าไอ้ตี๋
               
แต่แทนที่มันจะรับไปดื่มแต่โดยดีกลับเท้าคางมองแก้วเหล้าสลับกับมองหน้าผมแล้วส่งสายตาประหลาดมาให้
               
“ดื่มให้หน่อยสิ” เหมือนกับจะอ้อน
               
นี่กูตาฝาดหรืออะไร ร้อยวันพันปีแม่งเคยอ้อนที่ไหน วันๆ เอาแต่สั่งให้ผมเสิร์ฟกาแฟ
               
“เออๆ” แล้วทำไมกูถึงยอมหยิบแก้วเหล้ามาดื่มเองง่ายๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
               
“ยังไม่เห็นหายเศร้า”
               
“อ้าว ก็กูเป็นคนแดกมั้ย แล้วมึงจะหายเศร้าได้ไง” ผมขมวดคิ้ว ยกหลังมือเช็ดคราบแอลกอฮอล์ที่ริมฝีปาก
               
“ผมแค่คิดว่ามันจะเหมือนกัน”
               
“อะไรเหมือน?”
               
“ก็ถ้าเห็นคุณซันดื่ม ผมก็คงรู้สึกเหมือนได้ดื่มเหมือนกัน และถ้าคุณซันเมา ผมก็คงจะรู้สึกเหมือนได้เมา แล้วก็อาจจะหายเศร้าได้บ้างเหมือนกัน”
               
ตรรกะเชี่ยไร?
               
“เพราะงั้น...” เว้นวรรค ก่อนจะรินแอลกอฮอล์เพียวๆ ใส่แก้วที่เพิ่งว่างลง “ลองดื่มอีกสักแก้วมั้ยครับ”
               
“เออได้” แล้วผมก็เสือกเชื่อตรรกะป่วยๆ ของมัน แล้วคว้าเหล้ามากระดกอีกแก้วอย่างง่ายดาย
               
“เริ่มรู้สึกดีขึ้นมานิดๆ แล้วครับ”

“ฮะ?” ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นมุมปากบางยกขึ้นนิดๆ เหมือนอารมณ์ดีขึ้นจริงๆ

“งั้นอีกแก้วนะ” ว่าพลางรินเหล้าให้ผมอีกครั้ง คราวนี้เติมน้ำแข็งให้อีกต่างหาก

“เออๆ” ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่ามันได้ผล แต่พอเห็นตาตี่ๆ นั่นดูเป็นประกายไร้แววหม่นเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้แล้วมันก็ไม่อยากจะขัดใจ

ไม่ใช่ว่าโง่ให้มันมอมเหล้านะครับ แค่ไม่อยากจะขัดใจ

“อีกแก้วนะครับ”

ไม่ได้โง่...จริงๆ

“เอออ!” 
               
ถ้ากูเมาแล้วมึงไม่หายเศร้านะตี๋... แม่จะตีให้ตาตี่กว่าเดิมเลย
 
               

แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ตี๋มันหายเศร้าได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะสุดท้ายก็เมาเป็นหมาภาพตัดตั้งแต่มันพาขึ้นรถแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตะวันแยงตาลุกขึ้นมาบนเตียงที่คุ้นตา แต่รู้ว่าไม่เคยนอน
               
เตียงไอ้ตี๋ ห้องไอ้ตี๋ ผมจำได้ดีเพราะเพิ่งมาขลุกอยู่ด้วยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
               
ผมโอดครวญเพราะความปวดกบาลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นตั้งใจจะไปอ้วกในห้องน้ำให้หายแฮงค์สักที แต่พอเปิดประตูออกมาก็เห็นร่างอีกคนที่นอนขดอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกในสภาพชุดเดียวกับเมื่อคืน หัวเยินหน้าเยินเหมือไปฟัดกับหมามา
               
ไม่รู้ทำไมพอเห็นสภาพแบบนั้นผมถึงหลุดขำออกมาเบาๆ มองอยู่สักพักก่อนจะเดินกลับไปเอาผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวให้มัน
               
แต่ไม่รู้ว่าคลุมแรงไปหรือไอ้ตี๋มันตื่นง่าย ถึงได้งัวเงียลุกขึ้นมา

“คุณซันเหรอ” ว่าพลางลุกขึ้นมานั่งขยี้ตาทำหน้างุ่นง่านให้ผมขำหนักกว่าเดิม

หน้าแม่งยู่ยี่มาก อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเลย

“ขำอะไรครับ” แต่ไม่ทันไรก็กลับมาทำเสียงดุตีหน้าเอือมใส่ผมอีกละ ทั้งที่ตายังไม่ตื่นดีแถมหาวหวอดใหญ่ออกมานั่นล่ะ

“หน้ามึงตลก” เห็นแล้วหมั่นไส้ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปบีบแก้มเล็กๆ นั่นให้มันบูดบี้ยิ่งกว่าเดิม “ตานี่ลืมแล้วเหรอตี๋ ทำไมกูไม่เห็นลูกตามึงเลย”

เพียะ!

“โอ๊ย!” หัวเราะได้ไม่ทันไรก็ต้องร้องลั่นเมื่อฝ่ามืออรหันต์ฟาดผัวะลงมาบนแขนผมเต็มๆ จนต้องรีบชักมือออกก่อนมันจะฟาดอีกทีจนแขนผมหัก

ไรวะหยอกเล่นนิดเดียว

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอมยิ้ม มองคนที่เอื้อมมือไปหยิบแว่นบนโต๊ะหน้าโซฟามาใส่ พยายามจะถลึงตามองผมผ่านเลนส์หนาๆ พร้อมกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา

“ปวดหัวมั้ยครับ” ถามพลางหาวจนตาปิดอีกรอบ

“โคตร” ว่าแล้วก็ยกมือกุมขมับทันที ถึงเมื่อกี้จะลืมอาการปวดหัวไปสักพักก็เถอะ

“งั้นไปล้างหน้าล้างตาก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวหาอะไรอุ่นๆ ให้กิน”

“เป็นห่วงกูด้วย?” พอผมแกล้งพูดเล่นหน่อย ก็ตีหน้านิ่งทำตาดุใส่อีกละ

“จะกินไม่กิน?”

“กิน”

แหม แล้วผมเคยเถียงคุณตี๋เขาได้สักครั้งเหรอครับ
 

ผมเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำอย่างที่ไอ้ตี๋บอก ส่องกระจกเห็นสภาพตัวเองแล้วอยากจะถอนคำพูดก่อนหน้านี้ที่ไปล้อไอ้ตี๋เอาไว้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างผมหน้าตาผมเผ้านี่โคตรกระเซอะกระเซิง เสื้อผมตัวเดิมก็เหม็นอย่างกับไปคลุกเหล้ามา เละเทะกว่าเขาซะอีกยังมีหน้าไปถากถาง ไม่เจียมกะลาหัวเลยกู

เยินกว่านี้ก็ผ้าขี้ริ้วเถอะ!

“ตี๋ อาบน้ำได้ป่ะ” ผมถามหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปหาเจ้าของห้องที่ยืนอยู่ในครัวซึ่งเชื่อมกับห้องรับแขก

“ไม่ได้ครับ”

“โห่ ไรวะ ตัวเหม็นอ่ะ”

“...”

“อยากอาบน้ำ”

พอผมเริ่มงอแง มันก็ถอนหายใจใส่ “กลับไปอาบที่ห้องตัวเองสิครับ”

“โห่ แค่ยืมใช้ห้องน้ำแค่นี้ทำหวง”

“แค่ให้ยืมอ้วกเมื่อวานก็เกินพอแล้วครับ” ยิ่งทำหน้าเอือมเหมือนรำคาญเต็มทน

“กูอ้วกด้วย?”

ไม่เห็นจำได้

“ครับ”

“ถึงอย่างนั้น...”

“เต็มพื้น และผมเป็นคนเก็บ”

“โอะ”
               
ฉิบหาย นั่นยิ่งจำไม่ได้ใหญ่
               
โอเค ยอม ถือว่ามีชนักติดหลังอยู่ เลิกงอแง
               
ผมสงบปากสงบคำแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้บาร์ตรงครัวมีน้ำเปล่าใส่แก้ววางไว้ให้อยู่ก่อนแล้วผมเลยยกขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด แล้วคนที่ง่วนกับการชงอะไรสักอย่างก็เดินมาวางแก้วชาไว้ตรงหน้า
               
“ดื่มนี่ก่อนครับ เดี๋ยวผมไปอุ่นโจ๊กให้” แล้วก็หันหลังไปหยิบถุงโจ๊กออกมาจากตู้เย็น เทลงชามใส่ไมโครเวฟให้ในขณะที่ผมนั่งจิบน้ำผึ้งมะนาวที่มันชงให้รอไปพลาง
               
ไอ้ตี๋ชงเป็นแต่กาแฟ แต่ทำอาหารไม่เป็น ผมเลยเดาว่าโจ๊กนั่นมันคงซื้อมาเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะรู้ว่าตื่นมาผมคงแฮงค์และโคตรหิวแน่ เห็นแบบนั้นแล้วก็อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ปากทำเป็นดุ ทำหน้าเอือมระอาเหมือนรำคาญผมเต็มทน แต่เอาเข้าจริงมันกลับใจดีกับผมกว่าที่คิด 
               
“เป็นห่วงกูถึงขั้นซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้ให้เลยเหรอตี๋”
               
“จะกินไม่กิน” และคงจะใจดีกว่านี้ ถ้าผมไม่ขยันกวนตีนมันอ่ะนะ
               
เห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้นี่หว่า ยิ่งแหย่ให้มันตีหน้ายุ่งหรือหลุดพูดคำหยาบออกมาได้บ้างผมก็ยิ่งรู้สึกชอบใจอย่างประหลาด เหมือนได้แกล้งคนขี้เก๊กให้เสียอาการอะไรแบบนั้น สนุกดี

“ปกติเมาเป็นหมาแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ” ระหว่างรอโจ๊กได้ที่เจ้าของตาชั้นเดียวหลังกรอบแว่นก็หันมากอดอกถามสีหน้าเหมือนข้องใจ

รู้สึกเหมือนโดนด่ายังไงชอบกล

“ก็ใครมอมกูอ่ะ” พอผมโบ้ยความผิดให้ ก็ถอนหายใจอีกรอบ หันไปสวมถุงมือกันร้อนแล้วหยิบโจ๊กออกจากไมโครเวฟที่ส่งเสียงเตือนขึ้นมาพลางส่ายหัว บ่นพึมพำ

“ไม่เอาแล้ว ไม่ให้เมาแล้ว จะไม่ให้แตะเหล้าอีกเด็ดขาดเลย”

“ได้ยินนะตี๋” ผมตะโกนบอกกลั้วหัวเราะ เรียกให้คนที่บ่นพึมพำหันมาทำตาขวางใส่ ก่อนจะยกโจ๊กมาวางตรงหน้าแบบขอไปที

“รีบกินแล้วรีบไปอาบน้ำเลยครับ เหม็นเหล้าจะแย่”

ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าสุดท้ายมันก็ยอมให้ผมยืมห้องน้ำ ก่อนจะรับคำเสียงทะเล้นให้คนตัวเล็กกว่าเบ้ปากทำหน้าคว่ำยิ่งกว่าเดิม

“คร้าบบบ”

“รำคาญ!”

“ฮ่าๆๆ...”

อะไรอ่ะ มอมเค้าจนเมาเองแล้วมาพาลใส่กันงี้ ไม่น่ารักเลยว่ะตี๋



--------------------------------------------------------------------------
ช่วงต้นเป็นการปูสถานการณ์จากเรื่องเก่า ใครที่ยังไม่เคยอ่าน #เชนตรี หวังว่าจะไม่งงนะคะ (ถ้างงบอกได้เลยนะคะ)
หรือใครอยากรู้เรื่องราวแบบละเอียดสามารถกลับไปอ่าน #เชนตรี ได้นะคะ
คลิกตรงชื่อเรื่องนี้เลย :: Just Another Guy
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52722.0)
เหตุการณ์ในตอนนี้คือหลังจากบทส่งท้ายในเรื่องเชนตรีค่ะ
หลังจากที่พี่เชนหิ้วตรีออกจากร้านไปแล้วทิ้งซันกับตี๋ไว้สองคน 5555
ยังไงก็ฝาก #ซันโช ด้วยน้า ทิ้งคอมเม้นต์ไว้สักนิดจะชื่นใจมากเลยค่ะ ^^

ขอบคุณค่า

-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 16-04-2017 14:10:30
ก่อนตะวัน : 2
               
               
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่ที่หอไอ้ตี๋ ตอนแรกมันไม่ยอมหรอก จะไล่กลับท่าเดียว แต่พออ้างว่าเดี๋ยวก็ต้องไปทำงานพร้อมกัน มันเลยทำหน้าขัดใจ แต่ก็เลิกไล่แล้วปล่อยให้ผมนอนเปื่อยอยู่บนโซฟารับแขกส่วนตัวเองก็หายเข้าห้องนอนไป
               
อาการแฮงค์ที่เล่นงานทำให้ผมไม่อยากโงหัวขึ้นมาเลยตลอดบ่าย หลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีก็สองทุ่มกว่าแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าระหว่างนั้นมันเอาเสื้อผ้าที่ผมใส่เมื่อคืนไปซักแห้งให้ เพราะเห็นใจที่ต้องใส่เสื้อผ้าของมันที่ตัวเล็กกว่าผมไซส์นึง พอเห็นผมตื่นก็รีบเร่งให้ผมแต่งตัวแล้วรีบออกมาทั้งที่เหลือเวลาอีกเกือบสองชั่วโมง ผมกับไอ้ตี๋ทำงานกะสี่ทุ่มถึงตีสาม ก่อนร้านปิดและเปิดใหม่อีกทีตอนแปดโมงเช้า
               
ก่อนหน้านี้ร้านเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่เพราะพนักงานมีน้อย ลำพังพี่โมที่เป็นเจ้าของร้านคนเดียวก็ดูแลทั้งวันไม่ไหว ยังดีที่มีไอ้ตี๋ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ไว้ใจได้มาช่วยงาน พี่โมเลยช่วยเด็กอีกสองคนดูแค่กะกลางวัน ปล่อยหน้าที่ดูแลร้านให้ไอ้ตี๋ตั้งแต่สี่ทุ่มเป็นต้นไป มีแวะมาตรวจความเรียบร้อยบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่มย่าม ให้ไอ้ตี๋ดูแลร้านเหมือนเป็นเจ้าของอีกคน
               
เพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอมด้วยแหละที่ร้านเลยไม่ยุ่งเท่าไหร่ แต่ขึ้นเทอมใหม่เมื่อไหร่ก็คงจะวุ่นวายไม่น้อย ยิ่งเทอมหน้าตารางเรียนผมแน่นมากจนทำทั้งอาทิตย์ไม่ได้ น่าเป็นห่วงว่าไอ้ตี๋ทำงานคนเดียวคงได้หัวหมุนกันไปข้างทั้งที่ตัวเองก็เรียนหนัก แต่ได้ยินพี่โมเปรยๆ เหมือนกันว่าจะจ้างคนเพิ่ม ซึ่งผมก็ว่าดี เพราะถึงไอ้ตี๋มันจะไม่ได้บ่นอะไร แต่บางครั้งความเหนื่อยของมันก็แสดงออกมาทางสายตาชัดเจน
               
“ตี๋ กินข้าวก่อนป่ะ” ผมถามหลังจากเดินมาได้ครึ่งทาง และเห็นร้านอาหารออแกนิคเจ้าประจำของไอ้ตี๋ยังไม่ปิดพอดี
               
หอไอ้ตี๋ไม่ไกลจากร้านพี่โมเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินสิบนาทีได้ ผมเลยจอดรถไว้หอมันแล้วเดินมาด้วยกัน ขากลับจะได้หาเรื่องเดินกลับมาส่งมันด้วย ถึงจะใกล้แค่ไหนก็เถอะ แต่เดินกลับคนเดียวดึกๆ มันน่ากลัวจะตาย แล้วไอ้ตัวเล็กนี่ก็ดันเรื่องมากไม่ค่อยให้ผมไปส่งด้วย ชอบไล่ผมกลับก่อนอยู่นั่น ไม่รู้จะเล่นตัวอะไรนักหนา
               
“ครับ” มันรับคำสั้นๆ หลังจากมองนาฬิกา คงเพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กลางวัน
               
ผมกับไอ้ตี๋เดินเข้ามาในร้านที่คนบางตาเพราะอีกครึ่งชั่วโมงร้านจะปิดแล้ว ไอ้ตี๋สั่งสลัดออแกนิคซึ่งเป็นเมนูแนะนำของร้าน ในขณะที่ผมสั่งสปาเกตตี้หอยลายซึ่งจำได้ว่าอร่อย ผมใช้เวลากินไม่นานด้วยปริมาณเท่าหยิบมือ ในขณะที่อีกคนยังละเลียดสลัดในจานไม่ถึงครึ่ง ไม่รู้เคี้ยวเอื้องหรือไง ผมเลยสั่งของหวานเป็นไอติมสตรอเบอร์รี่ชีสมาตอบท้าย
               
“ยังกินไหวอยู่เหรอครับ” พอไอติมมาวางตรงหน้า คนฝั่งตรงข้ามก็ขมวดคิ้วถามทันที
               
“โหตี๋ นี่ยังไม่ถึงครึ่งท้องกูเลยเหอะ” ผมบ่นพลางตักไอติมเข้าปาก แล้วพยักหน้ากับรสชาติที่ถูกปาก

“กินป่ะ” ยื่นไปให้คนที่ขมวดคิ้วมองอยู่พอดี
               
“กินของหวานตอนนี้เดี๋ยวก็อ้วนกันพอดี” บ่นพึมพำ ทั้งที่กว่าจะละสายตาจากไอติมผมได้ก็เล่นเอาตาตี่ๆ นั่นแทบจะเหล่
               
“ไม่อ้วนหรอก ไอติมผลไม้” ผมคะยั้นคะยอ
               
“ของหวานก็คือของหวานครับ”
               
“เค้าบอกว่าไม่ใส่น้ำตาลนะ” ...แต่ชีสนี่เป็นก้อนๆ เลยครับ
               
“...”
               
“กูกินหมดอย่ามาเสียดายที่หลังนะ”
               
“...” เงียบ
               
“คำเดียวก็ได้อ่ะ อร่อยจริงๆ แล้วมึงจะติดใจ” ว่าพลางตักไอติมแบบพอดีคำยื่นไปจ่อปากคนที่ทำเป็นเมินตักสลัดเข้าปากทั้งที่สายตาบอกว่าอยากกิน
               
“คำเดียวนะครับ” สุดท้ายไอ้ตี๋ก็ทนลูกตื๊อผมไม่ไหว ถอนหายใจเบาๆ
               
“อ้า...” พอผมทำท้าจะป้อน คนตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว มองผมสลับกับไอติม ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับปลายช้อนจากมือผมไปเอาใส่ปากเอง
               
แหม เล่นตัวจังครับคุณ
               
ผมมองคนที่ลืมตัวตักไอติมคำที่สองกินก็ได้แต่อมยิ้ม สังเกตมาสักพักว่าแล้วว่าต่อให้พยายามคุมอาหารแค่ไหน แต่แต่ละอาทิตย์ก็จะมีวันที่มันปล่อยให้ตัวเองได้กินของหวาน อ้างว่าต้องชิมขนมในร้านทั้งที่หน้าตาดูมีความสุขออกนอกหน้าทุกที
               
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถึงหน้าจะนิ่งแต่สายตาที่เป็นประกายออกมาก็บ่งบอกว่ารสชาติไอติมคงถูกปากเจ้าตัว
               
“ถ้าพรุ่งนี้กลับไปอ้วนอีกทำไงอ่ะ” ยกมือขึ้นมาเท้าคางถามยิ้มๆ ผมอดไม่ได้ที่จะแซว
               
พอได้ยินแบบนั้นไอ้ตี๋ก็หยุดกิน ตาชั้นเดียวคู่เดิมมองมาอย่างเอือมๆ เหมือนเคย
               
“เฮ้ย ล้อเล่น กินต่อเหอะ” ผมพยายามจะเลื่อนถ้วยไปให้ใกล้มันกว่าเดิม แต่ไอ้ตี๋กลับวางช้อนแล้วกลับไปจัดการกับสลัดของตัวเอง เมินทั้งผมทั้งไอ้ติม
               
งอนเฉย
               
“โห่ ซีเรียสขนาดนั้นเลย?”
               
คราวนี้ไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมา ถอนหายใจมองผมเหมือนพูดอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้ว “กับบางคน บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ”
               
“ดุอีกละ” ผมเบ้หน้า
               
“ก็คุณปากหมาอ่ะ”
               
ถ้าจะด่าขนาดนั้นก็ไม่ต้องขึ้นต้นสุภาพก็ได้ครับตี๋
               
“ขอโทษคร้าบบบ คราวหน้าจะระวังคำพูด โอเคป่ะ”
               
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องยอม แต่ก็จริงอย่างไอ้ตี๋ว่าแหละ บางทีผมก็ปากหมา พูดหรือทำอะไรไม่ค่อยคิด แถมไม่ค่อยใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้างเท่าไหร่ หลายครั้งถึงได้ทำร้ายความรู้สึกใครต่อใครไปโดยไม่รู้ตัว
               
“ละลายหมดแล้วเนี่ยตี๋ช่วยกินหน่อย” ผมว่าพลางตักไอติมขึ้นมากินคำหนึ่งแล้วยื่นช้อนส่งให้มัน
               
“...”
               
“ไม่อ้วนหรอก ผอมขนาดนี้ขุนอีกสิบปีก็ไม่อ้วน”

“...”

“ถึงอ้วนก็ไม่เห็นเป็นไร ตัวกลมๆ ก็น่ารักดีออก”

“ถ้ากินแล้วจะหุบปากใช่มั้ยครับ” ยิ่งพูดก็ยิ่งถูกทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วยอมรับช้อนไป
แต่โดยดี
               
ผมทำท่ารูดซิปปาก แล้วปล่อยให้คนตรงหน้าตักไอติมกิน ท่าทางมีความสุขขึ้นทุกทีที่ได้รับรสชาติหวานอมเปรี้ยวเข้าปาก
               
“อร่อยดิ”
               
“ก็งั้นๆ” แต่พอผมถามดันทำเป็นยักไหล่ เลื่อนไอติมกลับคืนมาให้เหมือนมันไม่ได้อร่อยขนาดนั้น
               
“น่ะ เมื่อกี้ยังสอนให้คนอื่นระวังคำพูดอยู่เลย” ผมแกล้งเบ้หน้า

“...”

“เจ้าของร้านมาได้ยินคงเสียใจแย่” คราวนี้ไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้ว ถอนหายใจใส่ผมอีกรอบ แล้วเปลี่ยนคำตอบตัวเอง
               
“อร่อยครับ อร่อยมาก”
               
เล่นเอาผมหลุดยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปขยี้หัวคนขี้เก๊กอย่างหมั่นไส้ จนถูกฟาดกลับมาแรงๆ ให้ร้องโอดโอยเหมือนทุกที
               
ปากหนักขนาดนี้ เอาหินถ่วงไว้ป่ะเนี่ยตี๋
 

พอกินมื้อเย็นเสร็จ พวกผมก็มาถึงร้านก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงได้ ไอ้ตี๋เลยให้พี่โมกับพนักงานอีกคนกลับไปพัก แล้วจัดการที่เหลือต่ออย่างไม่มีขาดตกบกพร่องใดๆ ในขณะที่ผมนั่งแกร่วไม่มีอะไรทำมาหลายชั่วโมง

ยิ่งช่วงหลังเที่ยงคืนนี่เป็นอะไรที่เงียบเหงาจนผมแทบจะเอาเวลาไปนั่งนับยุง นั่งไถโทรศัพท์จนไม่รู้จะดูอะไรก็วาง ปล่อยให้สมองคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทั้งเรื่องไร้สาระ ไปยันเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล

แต่ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับเรื่องของไอ้เพื่อร่วมกะ ที่แย่งหน้าที่ผมไปจนหมดนี่แหละ 

ตั้งแต่เรื่องที่ผมโคตรเหม็นหน้ามันตอนมาทำงาน แล้วไม่รู้อีท่าไหนถึงจับพลัดจับผลูมาญาติดีกันผมก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นเพราะพอรู้ว่ามันเคยเป็นเพื่อนสมัยมัธยมก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา ถึงจะคุยกันนับครั้งได้ก็เถอะ

โลกนี้มันกลมอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ แหละ ใครจะไปคิดว่าคนที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนอย่างผม ไอ้ตี๋ แล้วก็ไอ้ตรีจะโคจรมาเจอกันอีก อันที่จริงพอนึกไปนึกมาผมเพิ่งจำได้ว่าเคยเจอมันมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ

ถึงจะไม่ได้เจอกันเป็นการส่วนตัว แต่ก็ได้ยินชื่อเลื่องลือในวงการเชียร์ลีดเดอร์ในมหาลัย คืองี้ครับ ตอนปีหนึ่งไอ้ตี๋
กับผม เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์คณะเหมือนกัน ถึงมันจะเรียนบริหาร ส่วนผมเรียนวิศวะ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีกิจกรรมรวมหลีดให้สองคณะได้มาเจอกันอยู่หลายครั้ง
               
แต่ช่วงนั้นผมไม่ได้สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่... เรียกว่าไม่ค่อยสนใจผู้ชายรอบข้างมากกว่า ด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดี แถมอัธยาศัยดีมาตั้งแต่เด็ก พอเข้ามหาลัยจึงไม่น่าแปลกใจที่รอบกายผมจะห้อมล้อมไปด้วยสาวๆ มากมาย เสียดาย ตอนนั้นผมมีแฟนแล้ว... เออ ผมว่าควรข้ามเรื่องนี้ไป เพราะมันไม่ใช่ประเด็น
               
แล้วประเด็นคืออะไรวะ?
               
อ่อ พอนึกไปนึกมาผมว่าผมจำได้ตี๋ได้นะ ผู้ชายตาตี่ๆ ตัวเล็กๆ ขาวๆ ที่อยู่ในดงสาวๆ ไม่แพ้กัน ตอนนั้นใครๆ ก็บอกว่าน้องโชบริหารแสนน่ารัก นิสัยดี เฟรนด์ลี่กับทุกคน
               
แล้วดูตอนนี้ดิ... ผมว่าแม่งคนละคนชัดๆ เลย
               
ไอ้ตี๋ที่ผมรู้จักแม่งโคตรหยิ่ง ยิ้มยาก ขี้รำคาญ แถมชอบทำหน้าเหม็นเบื่อตลอดเวลาอีกต่างหาก
               
“เอ็มไปรอที่โต๊ะก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเสิร์ฟให้”

แล้วเสือกเลือกปฏิบัติกับกูคนเดียวด้วยนะ กับคนอื่นนี่ยิ้มหวานเชียว
               
“มองอะไรครับ” นั่นไง ไม่ทันไรก็หันมาทำตาเขียวใส่อีกแล้ว
               
ก็อย่างว่า คนเคยเป็นศัตรูหัวใจกันมาก่อน จะให้เลิกอคติไปเลยก็คงยากอ่ะเนอะ
               
“ถ้าจะยืนมองเฉยๆ ก็มาชงกาแฟดีกว่า” ว่าพลางยื่นกาแฟที่ตวงแล้วมาให้
               
“แค่สงสัยว่าทำไมมึงไม่ค่อยยิ้มให้กูเลย” ผมยักไหล่ แล้วลุกขึ้นเดินไปอยู่หลังเครื่องทำกาแฟคว้าตัวกรองกาแฟในมือไอ้ตี๋มาอัด
               
“เฮ้อ” ระหว่างแพคกาแฟ ผมก็ได้ยินคนข้างๆ ถอนหายใจ มองหน้าผมเหมือนพูดอะไรไร้สาระเหมือนเคย
                 
“อยากเห็นยิ้มหวานๆ แบบที่ยิ้มให้คนอื่นอ่ะ ได้มะ” ผมยัดกาแฟเข้าเครื่องชงแล้วหันมาแกล้งฉีกยิ้มพร้อมกับทำตาปิ๊งๆ อย่างน่ารัก
               
“ไม่ได้ครับ”
               
“โห่ ทีกับคนอื่นยังยิ้มได้เลย” 
               
“ก็คุณไม่เหมือนคนอื่นนี่ครับ”
               
“...” ผมชะงัก
               
“...”

ไอ้ตี๋แม่งก็เสือกชะงักด้วยอีกต่างหาก

“ถ้าจะกวนก็ถอยไปเลยครับ” สตั๊นท์กันไปสักพักไอ้ตี๋ก็เป็นคนเปลี่ยนเรื่อง เบียดตัวมายืนแทนผม หยิบกาแฟช็อตที่กลั่นเสร็จพอดีไปใส่ส่วนผสมตามที่ลูกค้าสั่งอย่างชำนาญ

ผมมองมันแล้วก็เผลอหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง ถึงจะเฉไฉไม่อธิบาย แต่ผมก็พอจะเข้าใจหรอกว่าคำว่าไม่เหมือนคนอื่นของมันคืออะไร
               
เพราะรู้จักกันมาสักพัก ถึงได้รู้ว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของมัน ไอ้ตี๋โชหน้าบูด ขี้รำคาญ แถมไว้ตัวยิ่งกว่าอะไร ไม่ใช่คนเฟรนด์ลี่ น่ารักน่าชังเหมือนที่มันแสดงให้ใครๆ เห็น เพราะแบบนั้นแหละผมถึงสบายใจที่จะอยู่กับมันในแบบนี้ ดีกว่าต้องมานั่งมองมันปั้นหน้ายิ้มหวาน ซ่อนความรู้สึกไว้หลังตาตี่ๆ ที่พอยิ้มก็หยีจนมองไม่เห็นแววตา
               
ที่ว่าไม่เหมือนคนอื่น คงเป็นเพราะความสนิทใจ ที่มันสามารถแสดงตัวตนอีกด้านต่อหน้าผมได้ โดยไม่ต้องพยายามปั้นแต่งอะไร
               
ยกเว้นเรื่องหนึ่งที่ผมไม่ค่อยแน่ใจ ว่าภายใต้ใบหน้าปกติของมันกำลังรู้สึกยังไง...
               
“ตี๋ ถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ตกใจตัวเองเหมือนกัน ที่อยู่ๆ ก็ทำน้ำเสียงจริงจัง
               
“ครับ?”
               
“เรื่องไอ้ตรีน่ะ...” มึงตัดใจได้หรือยัง
               
“อะไรนะครับ”
               
“เปล่า ไม่มีอะไร”
               
สุดท้ายก็ไม่กล้าถาม เพราะกลัวว่าจะไปตอกย้ำความรู้สึกบางอย่างของมันขึ้นมา และในใจผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร
               
เพราะเมื่อคืน ถึงจะเมาจนจำไม่ได้ว่าความเมาของผมทำให้ไอ้ตี๋หายเศร้าได้จริงหรือเปล่า 

แต่ผมแน่ใจ ว่าในความทรงจำสุดท้าย... ผมเห็นมันร้องไห้ออกมา




---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงที่ยังว่างจะอัพถี่หน่อย
ถ้ามีคนผ่านมาเห็นบ้างก็ฝาก #ซันโช ด้วยนะคะ ^^

ขอบคุณค่ะ
-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 17-04-2017 13:35:57
มาแล้ว ๆ ตามมาแล้ว
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 17-04-2017 16:23:20
รอๆ จ้า ตามลุ้นคู่ซันกับโช
โชสู้ๆ ตัดใจจากตรีให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-04-2017 18:29:54
ซัน โช  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 3 [ 17/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-04-2017 21:17:53
ก่อนตะวัน : 3

               
ผมตั้งใจกับตัวเองไว้ว่าจะไถ่โทษกับไอ้ตี๋ด้วยการทำให้มันสมหวัง
               
ทำให้มันได้มีความรักอีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องเผชิญความเจ็บปวด

ตั้งแต่รู้เรื่องในอดีต ผมก็เชื่อมาตลอดว่าตัวเองมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบในความเจ็บปวดของมัน ถึงจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่การอยู่ผิดที่ผิดทางของผมก็ส่งผลร้ายแรงต่อความรู้สึกมันอยู่ดี แต่ผมย้อนกลับไปเลิกเป็นเพื่อนกับไอ้ตรีไม่ได้ ถึงย้อนได้ ผมก็ไม่อยากเลิกคบกับมันอยู่ดี เพราะงั้นผมเลยคิดว่าบางทีถ้ามีโอกาสผมจะยื่นมือออกไปช่วยอะไรมันบ้าง อย่างน้อยได้หาทางช่วยให้มันตัดใจจากไอ้ตรี ให้มันได้มีความสุขสักที หลังจากที่ผิดหวังซ้ำซากมานาน
               
ผมเอาแต่คิดแบบนั้น จนไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่า ผมยังไม่เคยถามไอ้ตี๋สักคำ ว่านั่นใช่สิ่งที่มันต้องการหรือเปล่า
               
               
“พี่โม หวัดดีครับ” ผมเอ่ยทักทายเจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์
               
“หวัดดีจ้าซัน” พี่โมยิ้มรับก่อนจะหันกลับไปเช็ดเครื่องชงกาแฟต่อ
               
เปิดเทอมมาได้เดือนกว่า ชีวิตผมวุ่นวายอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด เรียนหนักอย่างกับไปรบ ไหนจะกิจกรรมที่เยอะยิ่งกว่าวิบากกรรม บางทีหมดสภาพจนต้องกลับหอไปนอนตาย โชคดีที่พี่โมลดกะให้เหลือแค่อาทิตย์ละสามวันคืออังคาร ศุกร์ เสาร์ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แวะมานอกเวลาบ่อยๆ เผื่อว่าที่ร้านมีอะไรให้ทำ ยิ่งช่วงนี้บางคณะแม่งมีสอบ มีส่งงานกันแล้ว ไม่รู้ว่าอาจารย์รีบหรือกลัวนักศึกษาไม่ได้เรียนหนักตาย
               
โดยเฉพาะคณะของไอ้เพื่อนรักผมนี่ ตัวดีเลย
               
“ไงไอ้ตรี” เดินไปทักทายซอมบี้ประจำร้านที่นั่งรัวเม้าส์เสียงดังอยู่บนโต๊ะในสุดติดเคาน์เตอร์เหมือนเดิม
               
“เออ” มันตอบแค่นั้น ไม่เงยหน้ามองผมด้วยซ้ำ
               
แหม นับวันจะยิ่งพูดห้วนสั้นเหมือนพี่เชนเข้าไปทุกที
               
พอเห็นมันยุ่งๆ ผมก็ไม่อยากจะกวนวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ตรงข้ามมันแล้วเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วเอ่ยถาม “ไอ้ตี๋อ่ะพี่”
               
“อยู่หลังร้านอ่ะ ช่วยเด็กใหม่เช็กกาแฟ”
               
“เด็กใหม่?” มิน่าพี่โมถึงยังอยู่ร้าน ทั้งที่มันจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว
               
ปกติพี่โมไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่มีบ้านหลังเล็กๆ ไกลจากมหาลัยไปอีก ทุกวันก็จะขับรถมาเปิดร้าน พอถึงเวลาเปลี่ยนมือให้ไอ้ตี๋ก็จะกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว
               
“เออใช่ ลืมบอกเลย พี่จ้างเด็กใหม่มาแล้วนะ เป็นรุ่นน้องที่คณะโชพอดี ต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงไอ้ตี๋ของซันแล้วนะ” พี่โมพูดกลั้วหัวเราะ
               
“อะไรพี่ ผมไม่ได้เป็นห่วงมันสักหน่อย”
               
“อ้าว เห็นไม่มีงานก็ยังมาถามหาแทบทุกวัน พี่ก็คิดว่าซันเป็นห่วงโช” พี่โมทำหน้าตกใจ แต่แววตาดูมีเลศนัยยังไงชอบกล ผมเลยเบ้หน้าก่อนจะส่งเสียงโห่ออกมาเบาๆ
               
“ก็แวะมารอสมน้ำหน้าไง ตัวก็นิดเดียวข้าวก็ไม่ค่อยแดก ยังจะเสือกทำงานเกินตัวอีก ถ้าเป็นลมคาร้านเมื่อไหร่ผมจะหัวเราะให้”
               
“จ้าๆ งั้นฝากหัวเราะเผื่อพี่ด้วยนะ มานู่นแล้ว” พี่โมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางประตูเชื่อมหลังร้านที่คนถูกนินทาเดินออกมาพอดี
               
ข้างหลังไอ้ตี๋มีอีกคนเดินตามมาด้วย เป็นเด็กหน้าใส เครื่องหน้าแบบนิปปอนสไตล์ ตัวใหญ่กว่าไอ้ตี๋นิดหน่อย แต่น่าจะน้อยกว่าผม เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงยิงฟันครบสามสิบสองซี่ตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมกับพี่โมพร้อมกัน
               
“วันนี้ไม่มีกะนี่ครับ” เห็นหน้าผมที่ไรแม่งก็ถามแบบนี้ทุกครั้ง ไม่รู้ว่ามันความจำสั้นหรือไล่กันทางอ้อม
               
แต่ดูจากการที่หุบยิ้มเปลี่ยนเป็นหน้าเหม็นเบื่อใส่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นอย่างหลัง
               
“แวะมาดูหน้าพนักงานใหม่ไง เนอะพี่โมเนอะ” ผมหันไปกระแซะถามี่โม ซึ่งก็ให้ความร่วมมืออย่างดี
               
“อ่ะ แนะนำตัวเลยละกัน นี่พี่ซันนะปีสามรุ่นเดียวกับโช ทำงานกะเดียวกันแต่สลับวันกับเรา”
               
ไอ้เด็กใหม่หน้าใสหันมายกมือไหว้ผมด้วยรอยยิ้มเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ “หวัดดีครับพี่ซัน ผมชื่อนายครับอยู่ปีหนึ่งคณะบริหาร มาทำงานวันนี้วันแรก” แนะนำตัวเป็นทางการจังวะ
               
ผมรับไหว้ แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วหันไปวอแวใสอีกคน “ตี๋ อยากกินลาเต้อ่ะ”
               
แล้วก็ไม่วายโดนทำหน้าเอือมกลับมา “เดี๋ยวพี่โมกลับเลยก็ได้นะครับ ผมกับนายดูร้านต่อเอง”
               
ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่ามีผมด้วยอีกคน
               
แหม เจอเด็กใหม่หน้าใสกิ๊งเข้าไปหน่อยนี่ เมินของเก่าอย่างกูเลยนะตี๋
               
“โอเค งั้นพี่ฝากด้วยนะ” พี่โมยิ้ม ก่อนจะวางผ้า หันไปล้างมือแล้วกลับไปเอาของหลังร้านแล้วเดินออกมาโบกมือลาอีกรอบ พวกเรายกมือไหว้โบกมือส่งพี่โมจนออกจากร้าน ก่อนผมจะหันมาย้ำความต้องการของตัวเองอีกที
               
“ตี๋~ ลาเต้” วันนี้มีเรียนตั้งแต่เช้าลากยาวถึงสองทุ่ม ร่างกายต้องการกาแฟนมมาก
               
“พี่ซันให้ผมชงให้มั้ยครับ ผมเคยทำมาบ้าง แล้วเมื่อเย็นพี่โมก็สอนทำสูตรของที่ร้านแล้วด้วย” แต่คนที่ตอบดันเป็นไอ้เด็กนายที่เสนอตัวด้วยรอยยิ้มกว้างเกินจำเป็นเหมือนเดิม
               
เขาจ้างมึงมาโฆษณายาสีฟันป่ะเนี่ย จะยิ้มอะไรขนาดนั้น
               
“ไม่เอา” ผมเบ้หน้า
               
ไม่ไว้ใจอ่ะ กลัวชงแล้วไม่ถูกปากเหมือนไอ้ตี๋ ปกติถ้าเป็นพี่โมก็พออนุโลมให้อยู่หรอก แต่นี่เด็กใหม่ไง ยังไม่มั่นใจในฝีมือ
               
“ไม่เป็นไร นายไปทำอย่างอื่นก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” พอเห็นไอ้เด็กนายนี่หน้าจ๋อยไป ไอ้ตี๋ก็ยื่นมือมาตบบ่าปลอบใจด้วยรอยยิ้มใจดีแบบที่ผมได้รับ
               
“ครับ งั้นเดี๋ยวผมล้างแก้วให้นะ” ว่าจบก็ส่งยิ้มประจบหนึ่งทีแล้วหันไปจัดการแก้วกับจานของหวานที่วางอยู่ในซิ้งค์
               
“เฮ้อ” พอไอ้เด็กนายละสายตา ไอ้ตี๋ก็หันมาถอนใจใส่ผมทันที “เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวน่ารำคาญสักทีครับ” ปากบ่นพลางมือก็หันกดเครื่องบดกาแฟใส่ที่ตวง
               
“แล้วเมื่อไหร่จะเลิกด่าอ่ะ” ผมเบ้หน้า ลากเก้าอี้มานั่งฟุบหน้ามองไอ้ตี๋ชงกาแฟพร้อมโอดครวญ “เหนื่อยอ่ะ วันนี้เรียนโคตรเยอะ”
               
ไม่รู้ลูกค้าคนอื่นเป็นหรือเปล่า แต่ผมชอบนะเวลาที่ได้มองบาริสต้าชงกาแฟ ตั้งแต่ตอนบด ตอนตวงกาแฟ เกลี่ยให้หน้าเรียบ แล้วมาอัดช้าๆ ก่อนเข้าเครื่องชงรอให้กาแฟจนกลั่นออกมาเป็นกาแฟช็อต เพื่อใส่ส่วนผสมอื่นลงไปจนได้เป็นกาเฟลาเต้รสชาติกลมกล่อม แต่ละขั้นตอนดูใส่ใจพิถีพิถันไปหมด โดยเฉพาะตอนเทโฟมนมลงไปให้กลายเป็นลวดลายลาเต้อาร์ตบนหน้ากาแฟ มองแล้วเพลินดี
               
“เหนื่อยก็ไม่ต้องมาสิครับ ไม่มีงานสักหน่อย” ทิ้งระยะจนชงกาแฟเสร็จไอ้ตี๋ก็หันมาออกปากไล่
               
“ก็มากินลาเต้ฝีมือตี๋ไง ไม่ดีใจเหรอ” ผมแกล้งทำหน้าล้อเลียน จนไอ้ตี๋ทำหน้าเหม็นเบื่อ แทบจะกระแทกแก้วกาแฟใส่หน้า
               
“ลายลิงอีกละ” ผมบ่นทันทีเมื่อเห็นว่าลาเต้อาร์ตคราวนี้เป็นหน้าลิงตลกๆ ที่ถึงจะไม่บูดเบี้ยวเหมือนตอนที่มันฝึกทำแรกๆ แต่มันก็ตลกอยู่ดี
               
“นี่ลายพิเศษเลยนะครับ ไม่เคยทำให้ลูกค้าคนไหนเลย” ทำมาเป็นแกล้งยิ้มอวดอ้างสรรพคุณ
               
“ไม่ดีใจหรอกนะตี๋”
               
พิเศษห่าอะไรล่ะ มันด่าผมทางอ้อมชัดๆ ไอ้ตี๋มันชอบหาว่าผมเหมือนลิงที่ชอบทำเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ วอแวใส่หูมัน แถมไม่ด่าตรงๆ แต่สวมวิญญาณบาริสต้าทำลาเต้อาร์ตมาด่ากันแบบเก๋ๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ารสชาตินุ่มถูกปากแถมยังขอให้ทำยากเย็นขนาดนี้นะ ผมแกล้งเททิ้งข้อหาหมั่นไส้ไปแล้ว
               
เพล้ง!
               
ยกกาแฟขึ้นมาละเลียดรสชาติได้ไม่ทันไร ก็แทบจะสำลักตายเมื่อได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นมาจากด้านหลัง
               
“เฮ้ย! นาย” คนที่โวยวายขึ้นมาคนแรกคือไอ้ตี๋ที่รีบปรี่เข้าไปหาไอ้เด็กใหม่หน้าใสทันที
               
ส่วนผมก็หันไปผงกหัวขอโทษลูกค้าที่ตกใจหันมามองเป็นตาเดียว จนทุกคนละความสนใจก็หันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น
               
“ทำไรเนี่ย เจ็บตรงไหนมั้ย” ไอ้ตี๋ทำหน้าตาตื่นจับคนตัวโตกว่าหันซ้ายหันขวาสำรวจความปลอดภัยยกใหญ่

“ขอโทษพี่ แก้วมันหลุดมือ” ไอ้เด็กนายละล่ำละลักขอโทษพลางก้มลงหยิบเศษแก้วบนพื้น แต่ดูท่าว่าจะรีบเกินไป เศษแก้วคมๆ เลยบาดมือเข้าให้

“โอ๊ย!”

“เฮ้ย เป็นไรมั้ย” ไอ้ตี๋รีบนั่งตาม ยกมือเด็กนายขึ้นมาดู จากตรงนี้ผมเห็นเลือดสีแดงไหลซึมออกมาจากนิ้วชี้ของ
มัน แต่เด็กนั่นก็ยังยิ้มกว้างพลางส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรครับพี่ แผลเล็กนิดเดียว” 

“ไม่เป็นไรอะไรเนี่ย เลือดออกขนาดนี้ มานี่ พี่พาไปล้างแผลใส่ยา” ไอ้ตี๋ลุกขึ้นในขณะที่มือยังจับนิ้วเด็กนั่นอยู่ก่อน
หันมาหาผม
               
“ซันกวาดเศษแก้วให้ด้วยนะ” ยังไม่ทันจะรับปากก็ลากคนเจ็บไปปฐมพยาบาลหลังร้าน
               
ถึงกับรีบจนลืมพูดสุภาพเลยนะตี๋ เป็นห่วงอะไรขนาดนั้น นิ้วชี้มันอยู่ไกลหัวใจนะเว้ย รู้ยัง

ได้แต่บนในใจ ขณะที่ลุกขึ้นไปหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงขึ้นมาเก็บเศษแก้วตามคำไหว้วาน ผมอยู่มาตั้งนานยังไม่เคยทำแก้วแตกสักใบ แล้วไอ้เด็กนั่นทำอีท่าไหนวะเนี่ย มาวันแรกก็จัดซะแล้วหนึ่งใบ กระจอกอะไรเบอร์นั้น

ผมกวาดไปบ่นไปจนพื้นสะอาดก็เอาเศษแก้วทิ้งลงถังขยะก่อนจะกลับมานั่งหน้าเคาน์เตอร์เหมือนเดิม แล้วนั่นไปทำแผลกันที่เนปาลเหรอวะ ทำไมนานขนาดนี้ นี่ถ้าไม่มีกูเฝ้าเคาน์เตอร์ให้ไม่โดนยกเค้าไปหมดแคชเชียร์แล้วเรอะ

“ไอ้ซัน กระเป๋ามึง” ขณะที่ผมชะโงกหน้ามองดูว่าเมื่อไหร่ประตูหลังร้านจะเปิดออกมา เสียงยานๆ ง่วงๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นมาให้สะดุ้งหันไปมอง

ไอ้ตรีวางกระเป๋าที่ผมฝากไว้ลงบนเคาน์เตอร์ สภาพมันคือกำลังหอบข้าวของกลับทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงคืนกว่า

“ทำไมวันนี้กลับเร็ววะ” ปกติอยู่ยันเช้านู่นกว่าจะกลับที่วางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะเพราะกะว่าจะไปนั่งคุยเล่นกับมันซะหน่อย

“ไม่ไหวแล้วว่ะ เบลอ”

เออ มึงดูใกล้ตายจริงแหละ ขนาดพูดยังดีเลย์เลย

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นวะ” แต่ยังไม่วายถามด้วยความเป็นห่วงคนอื่นตามนิสัย

ผมยักไหล่ “เด็กใหม่ไอ้ตี๋ทำแก้วแตก”

“อ้าว แล้วเป็นไรป่ะ”

มึงนั่งใกล้เคาน์เตอร์ขนาดนี้ทำไมไม่รู้เรื่องเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่ขี้เสือกเลยว่ะ เพื่อนใครวะ

“แก้วบาด ไอ้ตี๋พาไปปฐมพยาบาลที่เนปาลแล้ว”

“ฮะ?” นอกจากจะไม่ขี้เสือกยังไม่เกตมุกอีก

“เออช่างแม่ง ละนี่มึงกลับไง ขับรถไหวเหรอ ตามึงยังจะลืมไม่ขึ้นเลย” ผมเลิกสนใจสีหน้างุนงงของมันแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม

“เดี๋ยวพี่เชนมารับ ใกล้ถึงแล้ว”

“อ่อ” มีสามีเป็นสารถีนี่มันดีแบบนี้เอง “แล้วมึงกับพี่เชนเป็นไงบ้างวะช่วงนี้ ยุ่งทั้งคู่อ่ะดิ”

“อืม” มันพยักหน้าเนือยๆ

“ต่างคนต่างยุ่งระวังความเหินห่างจะทำให้ความรักขึ้นรานะจ๊ะเพื่อน”

“ขึ้นราพ่อง!”

ผมหัวเราะ ไม่ได้แซวอะไรต่อเพราะดูท่าว่าไอ้ตรีจะรับมุกอะไรไม่ไหว และแซวไปก็ไม่มีผลอะไร รู้ว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ทั้งมันกับพี่เชนฝ่าฟันอะไรกันมามากมาย เพราะฉะนั้นต่อให้ไม่ได้เจอกันยังไง ความรักของสองคนนี้ก็ไม่มีวันขึ้นรา

จะว่าไปความโลกกลมอีกอย่าง ก็คงต้องยกให้เรื่องของไอ้ตรีกับพี่เชนนี่แหละ ใครจะไปคิดว่าหลังจากอกหักจากผมแล้ว วันหนึ่งคนที่ไอ้ตรีลงเอยด้วยจะเป็นพี่รหัสผมเอง ใกล้ตัวเกินคาด

แต่ก็ต้องขอบคุณความโลกกลมนี่แหละ ที่ช่วยคลี่คลายความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ตรีให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ ไม่เหมือนก่อนหน้านั้นที่มองหน้ากันไม่ติดเป็นปีๆ แล้วก็ต้องกราบขอบพระคุณพี่เชนด้วยที่เข้ามาในชีวิตไอ้ตรี ช่วยเยียวยาแผลให้ให้มัน กลับมามีความสุขได้อย่างทุกวันนี้...

เดี๋ยวนะ... เยียวยาแผลใจเหรอ

เออว่ะ ทำไมผมลืมคิดเรื่องนี้ไปเลยวะ

“ไอ้ตรี” ผมรีบเรียกชื่อเพื่อนรักอย่างนึกอะไรขึ้นได้ “ตอนนี้มึงมีความสุขมากมั้ยวะ”

“ฮะ? อะไรของมึง”

“ก็ที่มึงคบกับพี่เชน มึงมีความสุขมากมั้ย”

“อะ...เออ” ถึงจะยังทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายมันก็ตอบพึมพำ พร้อมกับหน้าที่ขึ้นสีแดงไปยันหู

“แล้วมึง... ตัดใจจากกูได้เด็ดขาดแล้วใช่ป่ะวะ” กระดากปากเหมือนกันที่ต้องมาถามอะไรที่ฟังดูหลงตัวเองแบบนี้ แต่อยากรู้ เลยต้องถาม

“เออดิ มึงถามเชี่ยไรเนี่ย ถ้าพี่เชนมาได้ยินนี่ชะตาขาดเลยนะ”

เออจริง พี่เชนขี้หึงชิบหาย พูดเรื่องที่ไอ้ตรีเคยชอบผมขึ้นมาให้ได้ยินไม่ได้เลย เตรียมตัวหัวขาดอย่างเดียว

“กูแค่กำลังคิด...”

“คิดว่า?”

“ถ้าเราอกหัก ทางเดียวที่จะหายได้ก็คือการหาคนใหม่ป่ะวะ”

“เหรอวะ” มันทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจ

“ต้องใช่ดิ อย่างตอนกู...” ผมชะงักไป เพราะนึกขึ้นได้ว่ามันไม่ใช่กรณีศึกษาที่ดี “กูหมายถึง อย่างตอนมึงอ่ะ ที่ตัดใจจากกูได้ ก็เพราะมีพี่เชนหรือเปล่า”

“...”

“ถ้างั้น... มึงว่า ไอ้ตี๋มันจะตัดใจจากมึงได้ ถ้ามีใครเข้ามาป่ะวะ” ผมเปลี่ยนเสียงให้เบาลง ไม่ลืมที่จะหันไปมองข้างหลังให้แน่ใจว่าไอ้ตี๋ยังไม่มา

แม่งไปเนปาลกันจริงๆ เปล่าวะ นินทาไปหน้านึงแล้วแม่งยังไม่โผล่หัวเลย

“...”

ไอ้ตรีนิ่งไป ผมเดาว่ามันคงอึดอัดใจที่จะพูดเรื่องนี้ เพราะมันเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ทำให้ไอ้ตี๋อกหัก แล้วทั้งสองคนก็ยังอยู่ในช่วงพยายามรักษาระยะห่างกัน เพื่อคงความสัมพันธ์ไว้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น

“กูว่า... กูจะช่วยไอ้ตี๋ว่ะ”

“...”

“กูจะทำให้มันตัดใจได้ กลับมามีความสุขอีกครั้งได้ สมหวังเรื่องความรักกับใครๆ เขาสักที”

“มึง...” ไอ้ตรีขมวดคิ้วเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างจนผมลุ้น

“กูไม่เข้าใจที่มึงพูดอ่ะ”

อ้าวไอ้สัส ที่แม่งนิ่งคือแม่งประมวลผลไม่ทันถูกมะ?

“เออช่างแม่ง” ผมแทบจะคว่ำโต๊ะ

แต่เห็นหน้ามันก็เข้าใจ เบลอขนาดนี้กูท่องก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกให้ฟังตอนนี้แม่งก็ไม่น่าจะเข้าใจ

“มึงไปหาผัวมึงไป พี่เชนมาโน่นแล้ว” ผมออกปากไล่ เมื่อเห็นร่างสูงๆ ของใครอีกคนกำลังจะเดินเข้าร้านมา

“งั้นกูไปนะ” บอกลา ทำท่าจะเดินออกไป แต่ยังไม่ทันจะพ้นสามก้าว ก็หันกลับมาใหม่ขมวดคิ้วมองผมอีกรอบ
ด้วยสีหน้ามึนๆ เหมือนเคย

“ไอ้ซัน” แต่มันก็ยังพูดออกมา ทั้งที่ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ

“ว่า?”

“กูไม่รู้หรอกว่ามึงจะทำอะไร แต่พี่เชนไม่ใช่ตัวแทนมึงนะ”

“...”

“ตอนเขาเข้ามา เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อเป็นตัวแทนใคร มึงเข้าใจใช่มั้ย”

“...”

“แล้วกูว่า การที่คนคนหนึ่งจะตัดใจจากคนหนึ่งได้ ทางที่ดีที่สุดมันอาจเป็นการใช้เวลา มากกว่าการลากใครเข้า
มาเจ็บเพิ่มหรือเปล่าวะ”   
               
“...”
               
“มึงลองคิดดูดีๆ ก่อนจะทำอะไรละกัน” พูดจบก็บอกลาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้ผมนิ่งค้าง ทบทวนความคิดตัวเองใหม่อีกครั้ง
               
ผมว่าผมเข้าใจที่ไอ้ตรีพูดนะ การหาคนใหม่มาเยียวยาอาจจะไม่ใช่หนทางแก้ไข
               
แต่ถึงอย่างนั้น ในทางกลับกัน ตัวผมเองรู้ดีไม่แพ้ใคร...

ว่าเวลาก็ไม่ใช่ทางออกเหมือนกัน






---------------------------------------------------------------------------------
โอ้ยยย คิดว่าจะไม่มีใครอ่านเเล้วค่ะ
คิดอยู่ว่าชิบเป๋งนี่อัพไว้อ่านเองเหรอ 5555
ไม่เป็นไรเนอะ ถือเป็นช่วงศึกษาดูใจ
แต่ตั้งใจว่าถ้าอัพไปสักสิบตอนแล้วยังไม่ค่อยมีคนอ่านคงต้องกลับไปพิจารณาตัวเองใหม่แล้วล่ะค่ะ
พล็อตไม่น่าสนใจ ไม่สนุก หรือเขียนไม่รู้เรื่อง หรือยังไง5555
เพราะความสัมพันธ์ตัวละครมันเชื่อมกับเรื่องก่อนด้วย เลยกลัวว่าคนอ่านจะไม่เข้าใจค่ะ
ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ อาจจะต้องขออนุญาตลบเขียนใหม่ทั้งหมด
หรืออาจจะแก้ไขให้มันแยกออกมาจากเรื่องเก่าอย่างสิ้นเชิงนะคะ
ยังไงตอนนี้ก็ฝาก #ซันโช ที่เป็นพล็อตนี้ไว้ก่อนน้า ^^

ขอบคุณค่ะ
-- Martian --

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 2 [ 16/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 17-04-2017 21:31:13
ติดตามจ้า  จะตามไปอ่านเรื่องก่อน  นะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : บทที่ 3 [ 17/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 18-04-2017 14:27:00
มีน้องใหม่มาแระ

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปหนอ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise : ก่อนตะวัน 4 [ 19/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 19-04-2017 22:27:30
ก่อนตะวัน : 4

   
ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก
   
แต่ก็พอจะรู้กว่าการอกหักแม่งเฮงซวยแค่ไหน มันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกใครก็ไม่รู้ยื่นมีดเข้ามาแทงจนเกิดแผลเหวอะหวะที่ต่อให้รักษาหาย ก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้เตือนใจ
   
มันทำให้ผมนึกภาพไม่ออก ว่าหัวใจของไอ้ตี๋ทนมาได้ยังไง โดยที่ยังทำเหมือนไม่เป็นอะไร

นึกไม่ออกเลยว่าข้างในมันกำลังทรมานแค่ไหนกับการแบกรับความเจ็บปวดไว้บนไหล่เล็กๆ นั่นคนเดียว
   
อาจจะจริงอย่างที่ไอ้ตรีบอก การตัดใจจากคนคนหนึ่งคงต้องใช้เวลา แต่ถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ? ถ้าเวลาไม่ได้ช่วยอะไร มันจะยังมีทางอื่นที่ดีกว่าอีกมั้ย?
   
ผมว่ามี

   
“ซัน วันนี้ก็จะไปที่ร้านอีกเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อผมลุกขึ้นจากเตียง หยิบเสื้อผ้าตัวเองขึ้นมาสวมแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาพาดบ่าทันทีเมื่อตื่นมาแล้วพบว่าเวลาล่วงเลยมาจนตีหนึ่งกว่าแล้ว
   
ไม่น่าเผลอหลับไปเลย
   
“อื้อ”
   
“ไหนบอกว่าวันอาทิตย์ไม่มีงานไง” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดถูกส่งมาให้ผมหันกลับไป ยื่นมือไปหยิกแก้มใสๆ ด้วยความเอ็นดู
   
“แวะเข้าไปดูหน่อยไง เผื่อมีอะไรให้ทำ” ข้ออ้างที่ใช้ทุกครั้ง จนเชื่อไปแล้วว่าคิดแบบนั้นจริงๆ
   
“พราวคิดว่าวันนี้จะค้าง นี่ก็ดึกแล้วนะ ที่ร้านคงไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกมั้ง” เจ้าของเสียงหวานเบ้หน้า ทำเสียงไม่ค่อยพอใจ ผมเลยหัวเราะ เลื่อนมือมาบีบจมูกเล็กๆ เบาๆ
   
“ไม่ยุ่งอะไร ใกล้สอบกลางภาคแล้วคนไปอ่านหนังสือเยอะจะตาย”
   
เผลอๆ ไอ้ตี๋อาจจะกำลังหัวหมุนตาย
   
“งั้นพราวไปด้วยได้ป่ะ” คราวนี้ร่างบางเลยใช้ท่าไม้ตายเบียดร่างที่มีเพียงผ้าห่มผืนหนาปิดบังท่อนล่างเข้ามาเกาะแขนผมไว้ ใช้หน้าอกหน้าใจถูไถเหมือนตอนที่บอกให้ผมมาติวหนังสือด้วยกัน
   
ผิดก็แต่คราวนี้ไม่มีเสื้อบางๆ หุ้มไว้เหมือนเมื่อกลางวัน สัมผัสมันจึงแตกต่างออกไป
   
ผมก้มลงมองแขนตัวเอง ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตาร่างบางอย่างหักห้ามใจ แล้วเลิกคิ้วถามอย่างจงใจหยอกล้อ

“ไปทำอะไร ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสือจนหมดแรงแล้วเหรอ”
   
“ซันอ่ะ!” เธอแหวะใส่ แต่ใบหน้าขึ้นสีด้วยความอาย
   
แหงล่ะ ไอ้ที่หมดแรงเพราะอ่านหนังสือที่ไหน ตั้งแต่มาอ่านชีทยังไม่ถึงครึ่งหน้าด้วยซ้ำ
   
“พราวนอนพักเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า” ผมว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปจูบแก้มใสเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง
   
“ตัวเองก็มีเรียนเช้าเหมือนกันอ่ะ แต่ก็เห็นไปร้านนั่นแทบทุกวัน” แต่มือบางกลับไม่ยอมปล่อยให้ผมไปง่ายๆ ยังรั้งเอาไว้ดึงมือผมไปทาบใบหน้าของตัวเองไว้พลางส่งสายตาเว้าวอน “วันนี้ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
   
“ไม่ได้ครับ” ผมยิ้ม ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยแก้มใสเบาๆ
   
“ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าฐานะอย่างซันจะไปทำงานพิเศษทำไมให้เหนื่อยเปล่า”
   
ก็ไม่เหนื่อยนะ...

ผมเถียงในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป ไม่อยากจะต่อความยาวสาวสาเหตุที่ไม่เคยถามตัวเองจริงๆ จังๆ เหมือนกัน
   
“ชักอยากรู้แล้วว่าร้านนั้นมีอะไรดี”
   
“กาแฟอร่อยนะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ดึงมือตัวเองกลับมา “วันหลังพราวลองไปสิ”
   
“งั้นวันหลังซันพาพราวไปนะ” ไม่ทันไรเสียงหวานก็กลับมาอ้อนอีกครั้ง

“...” ผมไม่ตอบ แค่ส่งยิ้มที่คนตรงหน้าก็คงจะรู้ดีว่าหมายความว่ายังไง

ถ้าไปด้วยกันก็ต้องมานั่งตอบคำถามอีกว่าเป็นอะไรกัน ซึ่งผมไม่มีคำตอบให้

เพราะอันที่จริงเราไม่ได้เป็นอะไรกัน

แค่คนที่รู้จัก มีความสัมพันธ์ เติมเต็มในส่วนที่ขาดให้กันเพียงชั่วคราวก็เท่านั้น

“หึ ก็ได้ ถ้าพราวจะไปเมื่อไหร่ ซันต้องเลี้ยงด้วยล่ะ” พอเห็นว่าตื๊อไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนเป็นยื่นข้อเสนอใหม่ ที่ทำให้ผมได้แต่หัวเราะออกมา โน้มตัวลงไปจูบลาอีกครั้งแล้วรับปากเบาๆ
   
“รับทราบครับ”

   


ดูท่าผมจะเดาผิดไปนิดหน่อยที่คิดว่าไอ้ตี๋จะหัวหมุนจนอยากได้ความช่วยเหลือจากผม
   
ลืมไปซะสนิทว่าตอนนี้มันมีอีกคนมาช่วยแบ่งเบาภาระแล้ว
   
“อ้าว หวัดดีครับพี่ซัน”
   
“อ่า” ผมพยักหน้ารับไหว้ไอ้นายก่อนจะหันไปหาอีกคนที่ยืนชงกาแฟอยู่หลังเคาน์เตอร์
   
ไอ้ตี๋ไม่ได้เอ่ยทักทาย พอผมยิ้มแล้วยักคิ้วให้มันก็ทำหน้าเอือมกลับมา
   
“วันนี้มาดึกจังพี่ ลูกค้ากลับจะหมดแล้วเนี่ย” ไอ้นายที่เพิ่งจะเก็บแก้วเช็ดโต๊ะเสร็จเดินกลับมาถามอย่างอารมณ์ดี
   
ยังยิ้มจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่เหมือนเดิม
   
“อ่านหนังสือเพลินว่ะ” ผมตอบยิ้มๆ คนอายุน้อยกว่าเลยทำตาโตเหมือนไม่เชื่อกัน
   
“โห ดูไม่ออกเลยอ่ะว่าเป็นคนขยัน”
   
อ้าวไอ้สัส ลามปาม

“จริงๆ กูหลับ” แต่ก็จริง เลยไม่ได้ว่าอะไร แค่เปลี่ยนคำตอบตัวเองแบบขำๆ

ทำงานมาได้เดือนกว่าแล้วถึงจะคนละวัน แต่เพราะแวะมาประจำ เลยทำให้ผมกับมันเริ่มสนิทกันมากขึ้นกว่าตอนแรก ด้วยนิสัยสบายๆ เข้ากับคนง่ายทั้งคู่เลยคุยถูกคอถึงขึ้นเล่นหัวเล่นหางกันได้อย่างรวดเร็ว
   
“นั่นไง ผมว่าแล้ว หัวเหอกระเซิงมาซะขนาดนี้”
   
ผมยกมือขึ้นมาลูบผมตัวเองทันที ก่อนออกจากหอพราวมาก็ไม่ทันได้เช็คสภาพตัวเองให้ดี เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าสภาพน่าจะดูไม่ได้พอตัว
   
ไม่รู้ทำไม พอคิดได้แบบนั้นตาก็ดันเหลือบไปมองไอ้ตี๋ที่หันมาสบตาพอดี
   
“...”
   
“...” ทั้งที่ก็ไม่มีอะไรให้พูดทั้งคู่แท้ๆ
   
“เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟเองพี่” แต่ต่างคนต่างก็ละสายตาออกเมื่อได้ยินเสียงไอ้นาย ที่หันไปยิ้มกว้างจับถาดในมือคนตัวเล็กกว่าทำท่าจะแย่งมาถือ
   
“อื้ม ฝากด้วยนะ” แล้วไอ้ตี๋ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี
   
“ทีกูไปเสิร์ฟให้ไม่เห็นยิ้มงี้” พอไอ้นายเดินออกไปผมก็หันมาเบ้ปาก หรี่ตามองด้วยความอดหมั่นไส้ไม่ได้
   
“ก็ปกติคุณไม่ได้อาสานี่ครับ ผมไล่ให้ไปทำทั้งนั้น”
   
เออ ก็จริง ปกติกว่าผมจะไปเสิร์ฟกาแฟได้ ไอ้ตี๋ต้องไล่ประมาณรอบละสามครั้งจนคำว่า ‘ไปเสิร์ฟกาแฟครับ’ หลอนไปยันในฝัน
   
ช่วยไม่ได้ ก็หน้าไอ้ตี๋ตอนออกคำสั่งนู่นนี่แม่งตลกดี
   
“เถียงอะไรกันอีกครับพวกพี่” เสิร์ฟกาแฟเสร็จด้วยความเร็วแสงไอ้นายก็เดินกลับมาถามด้วยน้ำเสียงขบขัน
   
มันเห็นภาพที่ผมกับไอ้ตี๋กัดกันแบบนี้เป็นประจำ จากที่ช่วงแรกไม่ชินก็เปลี่ยนเป็นขำ จนมองเป็นเรื่องตลกในชีวิตประจำวันแม่งไปแล้วมั้ง
   
“ก็ไอ้ตี๋ดิ แม่งลำเอียง” ได้ทีผมก็ฟ้องใหญ่ เบ้หน้าใส่ไอ้คนสองมาตรฐานที่ถลึงตากลับมา “ทีกับมึงนะพูดดี๊ดี ทีกับกูนี่ด่าเอาๆ”
   
“หืม?” เลิกคิ้วพลางหันไปมองหน้าคนตัวเล็กกว่าที่ส่งสายตาเหมือนจะบอกว่าอย่าเชื่อผม “ก็พี่ซันชอบไปกวนพี่โชเขาก่อนอ่ะ”
   
แล้วก็ได้ผลเมื่อไอ้เด็กเวรนี่ดันเข้าข้างไอ้ตี๋หน้าตาเฉย
   
“อ้าว ไหงกูผิด” พอเห็นผมเหวอ ไอ้นายก็หัวเราะชอบใจ

“ไม่รู้อ่ะ เรื่องนี้ผมเข้าข้างรุ่นพี่ผมสุดใจเลย” ไม่พอ ยังถือวิสาสะยกมือขึ้นกอดคอไอ้ตี๋ไว้อีกต่างหาก
   
ผมเห็นไอ้ตี๋ผงะไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยอมให้แต๊ะอั๋งเฉยเลย
   
ทั้งที่ปกติหวงตัวจะตาย ผมแตะนิดแตะหน่อยก็ฟาดจนมือแทบหัก แต่ทำไมทีกับคนอื่นนี่แม่งยอมให้แตะง่ายจัง กอดคอขนาดนั้นยังไม่โดนว่าสักคำ 
   
เนี่ย ไม่เรียกว่าลำเอียงแล้วจะเรียกอะไร
   
“แต่ผมอยากให้พี่โชดุผมบ้างนะ” ไม่ทันได้เถียงอะไร ไอ้รุ่นน้องหน้าใสก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มกว้างเกินจำเป็นเหมือนเคย
   
“เวลาพี่โชทำหน้าดุแล้วน่ารักดี”
   
“...”
   
“...”
   
บทสนทนาค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น เมื่อทั้งผมและไอ้ตี๋ต่างเงียบไป  เห็นหน้าอีกฝ่ายก็พอจะรู้ว่าคงตกใจไม่น้อยที่ได้ยินคนชมตัวเองโต้งๆ แถมยังอยู่ในระยะที่หน้าห่างกันไม่ถึงฟุตอีกต่างหาก

“เอ้อ...” ผมส่งเสียง แต่เหมือนสมองมันประมวลผลหาคำพูดไม่ทัน ถึงได้ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบลงอีกรอบ จนกระทั่งมีลูกค้าคนใหม่เข้าร้านมา
   
“ทำงานกันดีกว่าครับ” ไอ้ตี๋ถึงเหมือนเพิ่งได้สติ ผละออกจากอ้อมแขนของไอ้นายเดินไปรับออเดอร์ที่หน้าแคชเชียร์
   
ผมมองตามด้วยความคิดบางอย่างที่ผุดเข้ามาในหัว ยิ่งหันกลับมาแล้วเห็นว่ารุ่นน้องตัวดีกำลังมองไอ้ตี๋อยู่เหมือนกันก็ยิ่งแน่ใจ ว่าไม่ได้คิดไปเอง
   
นี่ไอ้ตี๋กำลังโดนจีบ ถูกมะ?
   
   



อันที่จริง ผมสังเกตมาสักพักแล้วว่าไอ้นายพยายามจะตีสนิทกับไอ้ตี๋เกินกว่ารุ่นพี่ในคณะ หรือเพื่อนร่วมงาน ตอนแรกๆ ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่เพราะดูจากภายนอกไอ้นายก็เป็นผู้ชายแมนๆ ไม่ต่างจากผม แต่ของแบบนี้มันวัดได้ที่ไหน อย่างพี่เชนไง ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเจอใครแมนเท่าพี่เขาเลย แต่สุดท้ายก็ดันมาลงเอยกับไอ้ตรี จะด้วยความใกล้ชิด ด้วยเห็นนิสัยใจคอไอ้ตรี หรืออะไรก็เถอะ ผมว่ามันพิสูจน์ชัดเจนเลยนะว่าถ้าคนเราจะรักกัน เรื่องเพศแม่งก็แทบจะไม่สำคัญเลย
เพราะแบบนั้นผมเลยคิดว่าเป็นไปได้เหมือนกัน ที่ไอ้นายจะชอบไอ้ตี๋

ยิ่งเห็นพฤติกรรมหลายๆ อย่างตลอดเดือนที่ผ่านมา ผมก็ค่อนข้างมันใจ ถึงไอ้นายจะเป็นคนยิ้มง่าย คุยเก่ง แต่รอยยิ้มและบทสนทนาที่มันมีให้ผมกับไอ้ตี๋ก็ต่างกันชนิดที่ว่าแยกออกได้ไม่ยาก ไหนจะสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย กับสายตาหวานเยิ้มที่ผมแอบเห็นมันส่งให้ไอ้ตี๋อยู่บ่อยๆ ดูออกง่ายดายเลยว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

แบบนี้มัน... ยิ่งทำให้ผมเดินหน้าตามสิ่งที่ตั้งใจได้ง่ายขึ้นไม่ใช่หรือไง?

เดิมทีผมตั้งใจจะหาใครสักคนมาให้ไอ้ตี๋ทำความรู้จัก ผมรู้จักคนเยอะ สมาคมกับคนหน้าตาดี นิสัยพอใช้ได้อยู่มากมาย กำลังคิดว่าจะหาคนที่เหมาะสม หาจังหวะดีๆ ให้สองคนได้ทำความรู้จักกัน เหมือนการจับคู่ให้กลายๆ แต่จะถึงขึ้นศึกษาดูใจ หรือสานสัมพันธ์ต่อหรือไม่ ก็แล้วแต่ไอ้ตี๋มัน

แต่ตอนนี้ผมว่าผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้วล่ะ เพราะดูเหมือนว่าคนที่เหมาะสม จะเข้ามาในจังหวะที่เหมาะสมพอดี

“พี่โชเห็นรูปคืนสปิริตไนต์ที่เพจมหาลัยลงป่ะ หน้าผมโคตรตลกเลยอ่ะ” ไอ้นายถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังช่วยคนตัวเล็กกว่าเก็บแก้วกับจานบนโต๊ะที่ว่างลงเมื่อถึงเวลาร้านปิด ผมพลิกป้ายหน้าร้านเป็น Closed ก่อนจะเดินเข้าไปช่วยยกเก้าอี้ขึ้นอีกแรง

งานสปิริตไนต์เพิ่งถูกจัดไปเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน วันนั้นพี่โมถึงขั้นปิดร้านตั้งแต่เย็นเพราะอยากให้เราไปร่วมกิจกรรมของมหาลัย ยิ่งปีสามนี่วุ่นวายพอตัว ต้องเป็นฝ่ายควบคุมนู่นนี่จนน่าปวดหัว โชคดีคณะผมคนเยอะพอแบ่งหน้าที่แล้วก็เลยไม่ต้องทำงานหนักมาก เนียนอู้ได้บ้างตามอัธยาศัย
   
“ยังไม่เห็นอ่ะ” ไอ้ตี๋ว่าพลางเช็ดโต๊ะไปพลางอย่างไม่ค่อยใส่ใจ แต่ไอ้นายก็ยังกระตือรือร้นชวนคุย วางแก้วกับจานลงบนโต๊ะหนึ่งแล้วควักโทรศัพท์ออกมาโชว์
   
“เนี่ย ดูดิ อ้าปากหวอเลย โคตรเด๋อ”
   
“เออ ตลกจริงด้วย” ว่าพลางหัวเราะเบาๆ
   
มึงช่วยใส่ความจริงใจเข้าไปด้วยได้มั้ยเนี่ยตี๋
   
“ใช่มะ ผมกำลังดูคอนเสิร์ตเพลินๆ อ่ะ ใครจะไปรู้ว่ามีคนแอบถ่าย แล้วดูหน้าโคตรมัน หัวก็พัง อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายนะ ผมจะไปเผาบ้านมัน” แต่ดูเหมือนไอ้นายจะไม่ได้เอะใจอะไร ยังคงเล่นใหญ่สานต่อบทสนทนา
   
“ไปขอให้เขาลบดิ”
   
“ไม่เอาอ่ะ ไม่กล้า” มันย่นหน้า แต่ปากก็ยังบ่นขมุบขมิบไม่หยุด “รูปดีๆ กว่านี้ไม่มีหรือไงเนี่ย ทำไมลงรูปนี้วะ”
     
ผมเห็นไอ้ตี๋ยิ้มๆ ไม่ตอบอะไร ไม่ทันไรไอ้นายก็ชวนคุยต่อ
   
“นี่ต้องรูปนี้ดีกว่า น่ารักกว่าเยอะ ผมถึงขั้นต้องเซฟเก็บไว้เลย” มันเอียงโทรศัพท์ให้ไอ้ตี๋ดู แล้ววินาทีต่อมาผมก็เห็นตาตี่ๆ เบิกกว้างอย่างตกใจ
   
“เฮ้ย ขุดทำไมเนี่ย ลบเลย” มันโวยวายทำท่าจะแย่งโทรศัพท์มา แต่เพราะตัวเตี้ยกว่าพอไอ้นายชูโทรศัพท์จนสุดแขนก็เลยไม่สามารถ
   
“ไม่เห็นเป็นไรเลยพี่ น่ารักดีออก” มันหัวเราะลั่นเขย่งเท้าหนีคนที่พยายามจะกระโดดโหยงเหยงอย่างเสียอาการ
   
รูปไรวะ อยากเสือก
   
“เฮ้ย! พี่ซัน” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปคว้าโทรศัพท์แม่งมาซะเลย
   
ผมก้มลงมองหน้าจอที่ค้างอยู่หน้าเดิม เป็นรูปผู้ชายตัวเล็กๆ ผอมๆ คนหนึ่งที่แต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็มในชุดนักศึกษาสมัยเป็นเชียร์ลีดเดอร์มหาลัย
   
“เชี่ย นี่มึงเหรอ” ผมเบิกตากว้าง “ตัวโคตรเล็กอ่ะตี๋ แดกข้าวบ้างป่ะเนี่ย”

“นั่นดิ พี่โชแม่งหุ่นบางกว่าพวกผู้หญิงอีก ดูไม่ออกเลยว่าเคยอ้วนมาก่อน” ไอ้นายพูดขำๆ
   
“...”

“...”

แต่ทั้งผมกับไอ้ตี๋ชะงัก
   
“มึงไปเอามาจากไหนว่ามันเคยอ้วน” ผมมองหน้าไอ้ตี๋แล้วเห็นมันสายตามันหลุบลงต่ำ ทั้งที่คงสงสัยเหมือนกันก็เลยถามออกไป
   
“เอ่อ...” ไอ้นายทำท่าตกใจ สีหน้ามีพิรุธเหมือนถูกจับได้
   
“ไอ้นาย” พอผมทำเสียงคาดคั้น มันเลยยิ่งหงอย ดึงโทรศัพท์ออกไปจากมือผมแล้วเปิดรูปหนึ่งให้ดู
   
เป็นรูปไอ้ตี๋สมัยมัธยม...
   
“พอดีเพื่อนผมมันเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่อ่ะ พอบอกว่าผมทำงานกับพี่โช มันเลยเอารูปนี้ให้ดูว่าใช่โชเดียวกันหรือเปล่า” มันหันไปสารภาพกับไอ้ตี๋ที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร

ถึงจะไม่ใช่รูปถ่ายมันโดยตรง มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเป็นจุดโฟกัสแต่ภาพผู้ชายตัวอ้วนแว่นหนาเตอะอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง ก็เห็นชัดพอจะจำได้ว่านั่นคือไอ้ตี๋ สีหน้ากังวลฉายขึ้นมาทันทีที่ไอ้ตี๋เห็นรูปตัวเองในมือถือของรุ่นน้อง

แน่ล่ะ ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันอยากลบตัวตนในอดีตของมันจะตาย มันลงทุนหนีมาเรียนไกลถึงที่นี่ สมัครแอคเคาท์โซเชียลต่างๆ ใหม่ ไม่คบค้าสมาคมกับใครที่จะขุดคุ้ยประวัติขึ้นมา ก็เพื่อหนีจากความหลังที่ทำให้มันฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่เข้าตาจนถูกกดให้ต่ำด้วยคำพูดล้อเลียนนานา หรือแม้กระทั่งเรื่องรสนิยมเรื่องเพศของมันก็ถูกเอามาพูดในแง่ลบ สร้างความอับอาย ด้วยความคะนองปาก ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องมากนัก แต่เท่าที่รู้จักกันดูเหมือนการกระทำพวกนั้นจะทำให้ไอ้ตี๋กลายเป็นคนเก็บตัว ซึมเศร้า และทำทุกวิถีทางเพื่อหลบเลี่ยงตัวเองจากสังคมที่เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์โดยไม่นึกถึงจิตใจมัน อดทนจนกระทั่งขึ้นมหาลัย มันถึงได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ และลบอดีตเลวร้ายพวกนั้นไป

แต่ดูท่าว่าจะทำได้ยาก... หรือบางทีอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ได้

ดูดิ ไม่ทันไร อดีตที่มันพยายามจะลืมก็หวนกลับมาหาอีกครั้ง โดยทันให้ตั้งตัว

“พี่โช... โกรธเหรอ” ไอ้นายถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ หลังจากเงียบไปพักใหญ่

“ปะ...เปล่า” ไอ้ตี๋เหมือนเพิ่งรู้ตัวเลยยิ้มออกมาบางๆ ได้ยินแบบนั้นไอ้นายก็ถอนหายใจเบาๆ

“เฮ้อ รอดตัวไป ผมคิดว่าพี่จะโกรธที่ละลาบละล้วงเรื่องของพี่มากเกินไป”

“บ้า จะโกรธทำไม” มันยังคงยิ้ม ทั้งที่สายตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย

“จริงนะ? งั้น...ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ผมเก็บรูปนี้ไว้ได้มั้ย”

“...”

“ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะ แค่อยากเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจ คนที่เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นขนาดนี้ได้ ผมนับถือมากเลย”

“...”

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนในรูปถ่าย เห็นสีหน้ามันก็รู้ว่ากำลังลำบากใจ ถึงจะพูดให้ดูดียังไง รูปถ่ายนั่นก็เป็นเครื่องเตือนความทรงจำที่ไอ้ตี๋อยากจะลืมอยู่ดี

“ได้สิ” แต่เพียงไม่นาน ไอ้ตี๋ก็ยิ้มบางๆ ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยคำอนุญาต... ที่ผมรู้ว่าไม่ได้มาจากใจ
แม่ง ทำไมไม่ปฏิเสธไปวะ

“ขอบคุณครับพี่”

ไอ้นี่ก็ขอบคุณเหี้ยอะไร มึงอ่านสายตาไม่ออกหรือไงว่ามันไม่ได้เต็มใจอนุญาตอ่ะ โง่ชิบ

ผมอยากจะสบถออกมาดังๆ แต่ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูรูปพร้อมกับความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามา

“เฮ้ย กูก็เรียนที่นี่ ดูดิในรูปนี้ก็มีกู” แกล้งทำน้ำเสียงตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกไปแตะที่หน้าจอโทรศัพท์ในมือไอ้นาย ตั้งใจจะขยายแบ็คกราวน์ด้านหลังไอ้ตี๋ที่มีใครไม่รู้นั่งอยู่เป็นกลุ่มใหญ่

“เฮ้ย! พี่ซัน” แต่ดันเลื่อนนิ้วสะเปะสะปะไปหน่อยเลยกดโดนปุ่มดีลีทพอดี

แถมพลาดกดยืนยันการลบอีกต่างหาก

“อ้าว เชี่ย ไหนเดี๋ยวกูเอาคืนให้” ผมพูดหน้าตาย แย่งโทรศัพท์ในมือมันมากดเข้าไปดูไฟล์รูปที่เพิ่งลบไป แล้วกดลบในนั้นอีกที

“เฮ้ย อะไรเนี่ยพี่” ไอ้นายโวยวายขึ้นมา ทำท่าจะแย่งโทรศัพท์กลับไป ขณะที่ผมเลื่อนรูปในอัลบั้มไปเรื่อยๆ กวาดสายตาดูว่ามีรูปอื่นอีกมั้ย พอแน่ใจว่าไม่มีก็คืนโทรศัพท์ให้แล้วเอ่ยขอโทษไม่จริงจัง

“โทษทีว่ะ กูจำปุ่มสลับกัน”

แถสัส แม่งก็เห็นตัวหนังสือคำว่าดีลีทอยู่ชัดๆ

รู้หรอกว่าอีกไม่นานมันคงหารูปมาใหม่มาได้อีก แต่แค่เห็นว่าตอนนี้ไม่มีรูปนั้นอยู่ในมือถือไอ้นายผมก็สบายใจละ

“ได้เหรอวะพี่” มันเหวอไปเลยเมื่อเจอสกิลตอแหลหน้าตายของผม ก้มดูโทรศัพท์ในมือพอเห็นว่ารูปไม่อยู่แล้วก็ทำหน้าเสียดายขึ้นมา ผมเลยเอื้อมมือไปตบบ่ามันสองสามที

“เอาน่า รูปนั้นเห็นหน้ากูไม่ชัดหรอก เดี๋ยวเอารูปอื่นให้ดู”

“ผมอยากดูรูปพี่ที่ไหนเล่า!”

“อ้าวเหรอ”

“พี่ซันแม่ง...” ไอ้นายทำท่าจะโวยวายอีก แต่ก็หุบปากทันควันเมื่อได้ยินเสียงจากคนที่เงียบไปนาน

“ฮะๆ”

ถึงจะแค่แวบเดียว แต่นั่นก็เป็นเสียงหัวเราะไม่กี่ครั้งของไอ้ตี๋ ที่ไม่ใช่แค่แกล้งขำไปผ่านๆ อย่างทุกที

“เถียงกันเป็นเด็กๆ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงบ่นอย่างไม่จริงจัง เรียกให้ไอ้นายที่เพิ่งเงียบไป โวยวายขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่โชก็ดูพี่ซันดิ แกล้งผมชัดๆ เลย”

“อะไร ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจ” ผมเถียง ละสายตาจากริมฝีปากบางที่ยังแต้มรอยยิ้มขึ้นมามองหน้ามู่ทู่ของไอ้เด็กข้างตัว

“ไม่ได้ตั้งใจอะไรเนี่ย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจงใจลบอ่ะ”

“รำคาญ เลิกบ่นแล้วเอาแก้วไปล้างไปมึงอ่ะ ชักช้าชิบหาย เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับบ้านกันพอดี” ผมโบกมือส่งๆ ออกปากไล่อย่างไม่ใส่ใจ

“พี่ซันแม่งๆๆ” ไอ้นายเลยได้แต่ทำท่ากระฟัดกระเฟียด หอบถาดที่ใส่แก้วกับจานกลับไปที่เคาน์เตอร์อย่างทำอะไรไม่ได้ นอกจากบ่นพึมพำไปตลอดทาง

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าไอ้ตี๋ที่มองผมกลับเหมือนกัน มันส่ายหน้าเอือมๆ แต่แววตาดูโล่งใจ ผมเลยรู้ว่าดีแล้วที่ทำแบบนั้นลงไป

“ไม่เนียนเลยนะครับ”

“...”

“แต่ก็ขอบคุณ”

อย่างน้อยแค่ทำให้ไอ้ตี๋ยิ้มออกมาแบบนี้ได้สักครั้ง ผมก็พอใจ






------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆ แล้วแกใส่ใจความรู้สึกตี๋มากนะซัน
รู้ตัวป่ะ?


ปล. อยากได้ชื่อไทย เลยลองคิดดู พบว่าใส่แล้วชื่อมันดูเต็มขึ้นเหมือนกันนะ 5555
หวังว่าจะถูกใจกันค่ะ

-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 4 [ 19/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 20-04-2017 06:40:18
 o13
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 4 [ 19/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 20-04-2017 10:45:43
พระเอกสายกากสินะ
 :laugh:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 4 [ 19/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 21-04-2017 13:38:21
เปิดมา 4 ตอน

ได้ตำแหน่งพระเอกสายกากเสียแล้วซันเอ้ยยย!!  :m20:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 4 [ 19/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 21-04-2017 22:00:45
น่ารักดีนะ ถึงจะเคยอ่านเรื่องเชนตรี แต่ยังอ่านไม่จบอ่ะ
แต่เรื่องนี้ นายเอกพูดสุภาพมากเลยยย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 5 [ 22/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 22-04-2017 06:18:49
ก่อนตะวัน : 5

   
นับวันไอ้ตี๋กับไอ้นายชักจะสนิทกันออกนอกหน้าเข้าไปทุกที
   
ต่อให้มองจากดาวอังคารแบบไม่ต้องส่องกล้องมายังเห็นชัดเลยว่ามีคนแถวนี้กำลังจีบกัน
   
“งานออกร้านปีนี้สาขาพี่ขายอะไรอ่ะ”
   
“น่าจะเครื่องดื่ม”
   
“โห งี้ก็สบายเลยดิ มีพี่โชเป็นบาริสต้ามือดีขนาดนี้ต้องขายดีอยู่แล้ว”
   
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ไม่ได้ขายกาแฟ เป็นพวกน้ำปั่นง่ายๆ ใครก็ทำได้”
   
“แต่พี่โชทำอร่อยสุดอ่ะ”
   
“ขนาดนั้นเลย?” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงหัวเราะใสๆ แล้วก็ได้แต่หมั่นไส้
   
ระริกระรี้เชียวนะตี๋
   
แล้วแก้วมีอยู่กี่ใบ มึงจะไปยืนเบียดแย่งกันล้างทำไมตั้งนานสองนาน
   
“จริงนะพี่ ที่ร้านลูกค้าเยอะขนาดนี้เพราะรสชาติเครื่องดื่มถูกปากจนต้องมาประจำไง”
   
“เวอร์ เพราะเป็นช่วงใกล้สอบหรอก”

ยัง ยังไม่เลิกหัวร่อต่อกระซิกกันอีก
   
“ไม่... อันนั้นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่กาแฟพี่โชอร่อยจริงๆ ผมไปถามลูกค้าตอนนี้ยังได้เลย”
   
“ครับๆ เชื่อแล้ว”
   
รำคาญ
   
“ไอ้นายมารับออเดอร์ดิ๊” ผมส่งเสียงเรียกทันทีที่เห็นลูกค้าคนใหม่เดินเข้าร้านมา
   
“อ้าว พี่ซันรับไปก่อนดิ ผมยังไม่ว่าง” มันหันมาทั้งที่มือยังแช่อยู่ในซิ้งค์ล้างจาน
   
“กูก็ไม่ว่าง อ่านหนังสืออยู่” ผมชูชีทที่ค้างอยู่หน้าเดิมมาเป็นชั่วโมงให้มันดู
   
อุตส่าห์หอบมาด้วย แต่เสือกไม่มีสมาธิอ่านเกินห้านาทีสักที
   
“โห่พี่ แป๊บเดียว”
   
“เรื่อง วันนี้ไม่ใช่กะกู” ผมยักไหล่ในจังหวะที่ลูกค้าหาโต๊ะนั่งวางกระเป๋าเสร็จและเดินมาถึงเคาน์เตอร์พอดี
   
“ผมรับเอง” ไอ้ตี๋พูดขึ้นมาเพื่อตัดปัญหา คงกลัวว่าถ้าปล่อยไว้แล้วลูกค้าเห็นพวกผมเกี่ยงกันไม่รับออเดอร์มันจะดูไม่ดี
   
“เฮ้ยพี่โช ไม่เป็นไร หน้าที่ผมเอง”
   
อ่ะ ทีงี้ละยอมง่ายเชียว สอพลอจริงไอ้เด็กเวร
   
“พี่ซันแม่ง” แต่ตอนเดินผ่านยังไม่วายมาค้อนใส่ ผมเลยยักคิ้วกลับไปอย่างตั้งใจกวนตีน
   
ผมมองไอ้นายที่เดินไปทำหน้าที่รับออเดอร์จากลูกค้าที่ดูเหมือนจะยังลังเลเลือกเครื่องดื่มไม่ได้ ก่อนจะวางชีทบนเคาน์เตอร์ แล้วลุกขึ้นลากเก้าอี้ไปหาอีกคนที่ยืนอยู่หน้าซิ้งค์ล้างจาน
   
ตุบ!
   
“เฮ้ย!” คนตัวเล็กโวยวายเสียงดังขึ้นมาทันทีที่ผมใช้เข่าดันข้อพับมันจนขาอ่อนทรุดลงมานั่งบนเก้าอี้ได้พอดิบพอดี
   
“เสียงดังว่ะ” ผมหัวเราะ ขณะที่ไอ้ตี๋จ้องมาจนตาแทบถลน
   
ถ้าหนังตาบนกับล่างมันเปิดกว้างได้มากกว่านี้อ่ะนะ
   
“เล่นอะไรครับ” มันทำหน้าเอือมเมื่อเห็นว่าเป็นผม ทำท่าจะลุกขึ้นมาจนต้องกดไหล่บางๆ ให้นั่งลงไปอีกครั้งอย่างบังคับ
   
“ไม่ได้เล่น” ว่าพลางดึงแก้วกาแฟที่มันถืออยู่ในมือวางกลับไปในอ่าง แล้วยื่นผ้าเช็ดมือให้แทน “พักบ้างมึงอ่ะ หน้าเป็นศพแล้ว”
   
อย่างที่ไอ้ตี๋บอก อาทิตย์หน้าก็จะเข้าฤดูกาลสอบแล้ว เพราะงั้นบรรดานักศึกษาก็เลยพากันยกโขยงมานั่งอ่านหนังสือที่ร้านจนแน่น เที่ยงคืนแล้วคนก็ยังเยอะอยู่ แต่ส่วนใหญ่นั่งแช่กับกาแฟแก้วเดียวมาตั้งแต่สี่ทุ่มนั่นแหละ เลยยังรับมือไหว จนกว่าจะถึงเวลาปิดร้านที่ต้องเก็บโต๊ะ ล้างจานจนมือหงิก
   
อยากจะเดินไปบอกลูกค้าทุกคนว่าช่วยเก็บขยะที่โต๊ะไปทิ้งลงถังใจจะขาด แต่ถ้าทำงั้นมีหวังคงโดนด่าเปิง... โดยไอ้ตี๋อ่ะนะ
   
ก็คุณเขาถือคติลูกค้าคือพระเจ้านี่ครับ
   
ประเด็นคือไม่ใช่แค่พวกที่นั่งจับกลุ่มกันเต็มร้านนั่นที่ต้องสอบ พวกผมเองก็ต้องอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ เหมือนกัน และมันยากเมื่อเรายังต้องทำงาน ถึงจะมีจังหวะให้อ่านตอนว่างบ้าง แต่เวลาที่มีสมาธิจนอ่านอย่างต่อเนื่องได้ก็ต้องรอให้เลิกงานอยู่ดี
   
และคนที่ทำงานหนักสุดก็คือไอ้ตี๋ ที่หามรุ่มหามค่ำอาทิตย์ละเจ็ดวัน
   
“กูมีเพื่อนเป็นซอมบี้คนเดียวพอแล้ว ไม่อยากได้มึงมาเพิ่มอีกคนหรอก” ผมพูดขำๆ ยอมปล่อยไหล่บางออกเมื่อคนตัวเล็กยอมนั่งแต่โดยดี

“ขอบคุณครับ” ไอ้ตี๋เช็ดมือเสร็จก็ยื่นผ้ากลับมาให้ ผมวางมันไว้ที่เดิมแล้วหันมาหรี่ตามองเจ้าของใบหน้าอิดโรยที่ไม่ส่งเสียงบ่นเหมือนทุกที

“ทำไมคราวนี้ไม่ด่าวะ มึงไม่สบายจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ยตี๋” ยกมือขึ้นมาอังหน้าผากใส แต่ไม่พบความผิดปกติของอุณหภูมิร่างกายก็แปลกใจ

“ชอบให้ด่าเหรอครับ” ยิ่งแปลกใจไปกันใหญ่เมื่อไม่ถูกฟาดจนมือแทบหัก แต่ไอ้ตี๋กลับแค่เอี้ยวตัวหลบมือผม สีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

ผมหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร แตะมือกลับไปที่หน้าผากใสอีกครั้ง แล้วเลื่อนลงมาที่ลำคอจนแน่ใจว่ามันไม่ได้เป็นไรแน่ๆ จึงดึงมือกลับมา

สงสัยจะเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ

“เดี๋ยวกูล้างเอง” ผมว่า พับแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นจนถึงข้อศอกแล้วหันกลับมาล้างแก้วต่อแทน

มันเหลืออีกไม่กี่ใบเท่านั้นเอง

“เฮ้ย ไปไหน” ผมโพล่งขึ้นมาเมื่อไอ้ตี๋ทำท่าจะลุกอีกครั้ง

มันเบิกตากว้างนิดๆ ท่าทางประหลาดใจก่อนจะพยักหน้าไปทางเครื่องชงกาแฟ

“ไปช่วยนายชงกาแฟครับ”

“ไม่ต้องไป” เผลอโพล่งโดยไม่ทันคิดอีกครั้ง

“บอกให้นั่งพัก”

“ผมพักพอแล้ว”

ดื้อจังวะ

“ไม่ได้” ผมขมวดคิ้ว กดไหล่มันนั่งลงที่เดิม

“ทำไมครับ” ไอ้ตี๋ทำหน้าขัดใจ ผมเลยยักไหล่ เอ่ยคำตอบที่เพิ่งคิดได้ออกไปทันควัน

“กูอยากได้กำลังใจในการล้างจาน”

ไม่ทันฉุกคิดสักนิดว่าแม่งเป็นข้ออ้างที่โคตรจะปัญญาอ่อนเลย


แล้วไอ้ตี๋ก็นั่งเฝ้าผมจนล้างจานเสร็จ... อันที่จริง เรียกว่านั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ จนผมล้างจานเสร็จถึงจะถูก ตอนแรกเห็นนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ก็แปลกใจ ไม่คิดว่าพอหันกลับมาจะเห็นว่าตาตี่ๆ นั่นปิดสนิททั้งที่นั่งกอดอกอยู่จริงๆ ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อยากให้หลับต่อเหมือนกัน แต่ให้นั่งคอพับคออ่อนอยู่ตรงนี้ก็คงเมื่อนตาย อยากน้อยเรียกให้ไปฟุบหลับที่เคาน์เตอร์ก็ยังดี

“ตี๋... เฮ้ย!”

ปุบ!

แต่ขณะที่ผมกำลังจะปลุกหัวของไอ้ตี๋ก็ดันโดนแรงโน้มถ่วงดึงไปด้านข้าง โชคดีที่ผมเข้าไปรองไว้ได้ทันก่อนที่มันจะตกจากเก้าอี้พอดิบพอดี

“หืม?” มันส่งเสียงครางขึ้นมาเบาๆ พลางลืมตา แต่พอเห็นว่าร่างตัวเองเอียงอยู่ในอ้อมแขนผม ก็รีบเด้งกลับขึ้นมานั่งตัวตรงอีกครั้งท่าทางตกใจทั้งที่ยังงัวเงีย

“ไปนอนดีๆ ไป” ผมว่า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกรอบ

เกือบหัวโหม่งพื้นแล้วมั้ยล่ะตี๋

“ผมไม่เป็นไรครับ” แต่มันก็ยังจะดื้อ ลุกขึ้นเดินไปที่เคาน์เตอร์ทั้งที่ยังหาวหวอดใหญ่

“อ้าวพี่โช ง่วงก็ไปงีบก่อนก็ได้นะพี่ ผมทำต่อได้” ไอ้นายที่เพิ่งเดินไปเสิร์ฟกาแฟพร้อมเก็บโต๊ะที่เพิ่งว่างลงเดินกลับมาทำหน้าเป็นห่วงเป็นใย ขณะที่ผมเดินกลับมาสำทับอีกที

“เออ เดี๋ยวกูกับไอ้นายจัดการตรงนี้เอง มึงไปพักเหอะ”

แต่ไอ้ตี๋คนดื้อก็ยังถอนหายใจมองพวกผมเหมือนกำลังทำให้เป็นเรื่องใหญ่ “ผมไหวครับ อีกไม่กี่ชั่วโมงร้านก็จะปิดแล้ว”
เดี๋ยวกูปิดแม่งตอนนี้เลย ดื้ออะไรนักหนาวะ

ผมกำลังจะเถียงออกไป แต่ก็ต้องชะงักไว้เมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาพอดี เปิดจังหวะให้ไอ้ตี๋ยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างเพื่อหนีได้เหมือนเดิม

“ทำงานเถอะครับ” ว่าพลางเดินไปที่แคชเชียร์

“เดี๋ยวกู...” ผมชะงักไปอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าลูกค้าที่ยืนอยู่หน้าแคชเชียร์เป็นใคร คิ้วที่ขมวดด้วยความหงุดหงิดคลายลงเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจที่เข้ามาแทน “พราว?”

คราวนี้ทั้งไอ้ตี๋และไอ้นายต่างหันมามองผมด้วยสีหน้าสงสัยไม่แพ้กัน เมื่อผมทำท่าว่าจะรู้จักผู้หญิงขาวสวยหมวยตัวเล็กตรงหน้า

“ไง” เธอยิ้ม ส่งสายตาวาววับมาให้ “มาให้เลี้ยงแล้วนะ”

แวบหนึ่ง... ผมหันกลับไปสบตากับไอ้ตี๋ ทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม





“อืม กาแฟอร่อยจริงด้วย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นหลังจากจิบลาเต้ร้อนที่ผมเป็นคนแนะนำเข้าไป

“บอกแล้วไง” ผมพูดยิ้มๆ เหลือบตากลับไปมองคนชงที่ยืนทำนู่นทำนี่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ทั้งที่สีหน้าง่วงนอนเต็มแก่

เหลืออีกชั่วโมงเดียวร้านก็จะปิดแล้ว ผมจะรอให้ถึงตอนนั้นแล้วกัน จะได้ไล่ให้มันไปนอนแบบไม่มีข้ออ้างได้สักที

“ซันทำงานที่นี่มานานหรือยัง” หันกลับมาอีกครั้งเมื่อคนนั่งตรงข้ามเอ่ยถาม

“ก็ เกือบปีแล้ว” ผมตอบ เลื่อนสายตากลับไปที่เดิมอีกครั้ง คราวนี้เห็นไอ้ตี๋นั่งพักหลังจากชงเครื่องดื่มเสร็จ แล้วไอ้นายก็คงจะอาสามาเสิร์ฟให้เหมือนเคย

มันไม่ได้ฟุบหลับ แค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมานั่งกดสักพัก แต่คงไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยวางโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมาแล้วดันสบตาผมเข้าพอดี

“?”

“...”

“แต่วันนี้ก็ไม่ใช่เวรของซันใช่มั้ย” โชคดีที่พราวเอ่ยคำถามใหม่ ทำให้ผมหันกลับมาหาเธออีกครั้ง ไม่ได้ตอบคำถามที่ถูกส่งมาทางสายตาของมัน

“ก็...นะ เราเอาชีทมาอ่านที่นี่อ่ะ” ผมตอบ รู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างเกินจำเป็นไปหน่อย แต่คงไม่เป็นไร “แล้วนี่พราวมาทำไมเหรอ” ผมถามกลับบ้าง

ตอนนั้นที่เธอบอกว่าจะมา ผมก็ไม่คิดว่าจะมาจริงๆ หรอก ปกติพราวกับผมไม่ค่อยมาสุงสิงกันในที่สาธารณะเท่าไหร่ เจอหน้าที่คณะก็มีทักทายบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย มองเผินๆ เหมือนคนไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ก็เลยอดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ ก็โผล่มา

“พราวมากินกาแฟบ้างไม่ได้เหรอ” ว่าพลางหัวเราะเสียงใส แล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “เอาหนังสือมาอ่านก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ให้ซันติวให้ด้วย”

“เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น” ผมตอบยิ้มๆ สายตาเลื่อนกลับไปหลังเคาน์เตอร์โดยไม่รู้ตัว

เห็นไอ้นายกำลังคุยอะไรสักอย่างพลางหัวร่อต่อกระซิกกับไอ้ตี๋เหมือนเมื่อชั่วโมงก่อน

“ติวเหมือนวันนั้นไง” แต่อยู่ๆ มือบางก็เลื่อนมาจับมือผมไว้แล้วลูบไปมา

ผมสะดุ้งนิดๆ แล้วหันกลับมาขมวดคิ้วเตือนให้รู้ว่านี่เป็นที่สาธารณะพลางชักมือกลับมาวางข้างตัว

“ซันนี่อ่านง่ายจัง” แต่พราวกลับหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แต่เหมือนพราวจะรู้ว่าผมต้องการคำอธิบาย ถึงได้ถ่วงเวลาด้วยการยกกาแฟขึ้นจิบอย่างอ้อยอิ่ง

“อ่านง่ายยังไง” จนผมต้องถามออกมาตรงๆ

เธอหัวเราะอีกครั้ง หลังจากวางแก้วกาแฟลง “คนไหนแฟนซันเหรอ?” แต่กลับเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้ว

“เรายังไม่มีแฟน พราวก็รู้”

จะมีได้ยังไง...

“นั่นสินะ งั้นเปลี่ยนคำถามดีกว่า คนไหนเหรอคนที่ซันกำลังสนใจ”

“...” ผมไม่ได้ตอบ การเปลี่ยนคำถามของพราวไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย กลับทำผมหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ อย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงหงุดหงิด

“อย่างนี้พราวก็ต้องเตรียมตัวตกกระป๋องแล้วใช่มั้ย ถ้าซันมีคนใหม่มาดามใจให้แล้ว”

“...”

“แต่ก็ระวังหน่อยนะ ถ้ายังไม่แน่ใจก็อย่าลากเข้ามายุ่งดีกว่า ใช่ว่าทุกคนจะรับได้เหมือนพราว”

“...”

“ไม่มีใครอยากเป็นตัวสำรองหรอก... เอ๊ะ ไม่สิ เป็นยิ่งกว่าตัวสำรองซะอีกนี่เนอะ”

“พราว” ผมปราม เมื่อเธอเริ่มจะล้ำเส้นเกินไป บทสนทนานี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะที่ไหน

“โอ๊ะ โทษที” เธอหยุดพูดแล้วยักไหล่ขอโทษส่งๆ “ตกลงว่าใครคือผู้โชคดีคนนั้น?” แต่ยังไม่วายทำเป็นหันไปกวาดสายตามองหาใครสักคน ไม่นานก็หันกลับมาทำสายตามีเลศนัย

อะไรวะ

“เจอแล้ว” ว่าพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง “ไม่ยักรู้นะว่าซันได้หมด”

“ได้หมดอะไร” ผมขมวดคิ้ว ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว

นี่มันมาป่วนกันชัดๆ ไม่ใช่หรือไง

“ก็คนที่ยืนหลังเคาน์เตอร์นั่นไง”

ผมหันกลับไปมองก็เห็นว่าตอนนี้คนเดียวที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ก็คือไอ้ตี๋ ซึ่งเบือนหน้าหนีทันทีที่เราสบตากัน

“พราวเห็นเขามองมา”

“...”

“แล้วก็เห็นซันหันไปมองเขาบ่อยๆ เหมือนกัน”

“ไร้สาระ” ผมส่ายหน้าขำๆ ผมมองไอ้ตี๋บ่อยๆ ที่ไหนกัน

ก็แค่... สงวัยว่ามันจะน็อกไประหว่างทำงานหรือเปล่าก็เท่านั้น

“งั้นเหรอ” พราวเลิกคิ้ว จิบกาแฟอีกครั้งแล้วลุกขึ้นยืน โน้มหน้าลงมาหาผม ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจ

“จะทำอะไร” ผมขมวดคิ้วถาม แวบหนึ่งสายตาเลื่อนกลับไปมองหลังเคาน์เตอร์โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

“เห็นมั้ย...”

“...”

“ขนาดตอนนี้ซันยังเอาแต่มองเขาเลย”

จนกระทั่งได้ยินเสียงหวานกระซิบข้างหู พร้อมกับเห็นสีหน้าอ่านยากของไอ้ตี๋ที่กำลังมองมา ถึงได้รู้ว่าสายตาของตัวเองไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ผู้หญิงตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว





ปกติแล้วพราวไม่เคยสร้างความลำบากใจให้ผมเลย

อย่างที่เคยบอกว่าเราต่างรู้ดีว่าเราอยู่ในสถานะไหน เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่สร้างความผูกพันที่จะนำปัญหามาให้กันและกัน และเธอก็ปฏิบัติตัวแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งคืนนี้

คำพูดของพราวกำลังกวนใจผม

มันไร้สาระ ผมรู้... ใครๆ ก็รู้

เป็นคำพูดไม่มีที่มาที่ไปที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอพูดออกมาทำไม แถมยังทำสายตาจริงจัง

ก็ถูกแหละที่ผมมองไอ้ตี๋จริง แต่นั่นก็แค่เพราะความเป็นห่วง กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไประหว่างทำงานเท่านั้น ไม่ได้มีนัยยะอะไรแอบแฝงเหมือนที่พราวเข้าใจผิดเลย

เห็นทีคราวหน้าที่เจอกันคงต้องพูดให้ชัดอีกทีว่าเธอไม่ควรคิดไปไกล

“อ้าว พี่โชไปไหนอ่ะพี่” ไอ้นายถามทันทีที่เปิดประตูเข้ามาจากหลังร้านหลังจากหอบขยะไปทิ้ง

ตอนนี้ร้านปิดแล้ว พวกเราจึงช่วยกันเก็บกวาดคนละไม้ละมือเพราะอยากกลับไปนอนเต็มแก่ เดี๋ยวต้องตั้งนาฬิกาปลุกขึ้นมาอ่านหนังสืออีก วันนี้ยังทำแบบฝึกหัดได้ไม่ถึงครึ่งชีทเลย

“กูไล่ไปนอนที่โซฟานู่น” ผมเพยิดหน้าไปทางโซฟาหนังตัวยาวสำหรับนั่งหลายๆ โต๊ะ

เห็นสภาพไอ้ตี๋ตอนช่วยกันเก็บจานแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่ผมไม่อยากให้มันเดินกลับหอคนเดียวเลยบอกว่าจะไปส่ง ให้งีบรอระหว่างผมล้างจาน แล้วตอนจะปิดร้านค่อยปลุกมันอีกที ไม่รู้เพราะเหนื่อยหรืออะไร มันถึงไม่เถียงสักคำ แค่พยักหน้ารับแล้วหลบไปนอนแต่โดยดี

“ให้พักบ้างก็ดี ผมเห็นพี่เขาดูเพลียๆ มาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว”

“เออ ไล่ไปพักก็ไม่ยอม”

“จริง ไม่รู้จะดื้ออะไรนักหนา” ไอ้นายหัวเราะเห็นด้วย แล้วเดินมาช่วยผมล้างจาน

“เฮ้ย เดี๋ยวกูทำเอง มึงกลับเลยก็ได้” ผมว่า วันนี้มันทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว ผมซะอีกที่นั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ช่วยอะไร

“ไม่เป็นไรพี่ หน้าที่ผม”

“อ่าๆ ขอบใจ” ผมไม่เถียง ขยับให้มันเข้ามาช่วยแต่โดยดี ดีเหมือนกัน จะได้เสร็จเร็วๆ

“เออพี่ ถามหน่อยดิ” ล้างได้ไม่ทันไรก็หาเรื่องชวนคุยตามประสาคนเงียบปากไม่เป็น

“อะไร”

“ทำไมพี่เรียกพี่โชว่าตี๋อ่ะ”

ถามเชี่ยไรเนี่ย ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ

“ก็มันตี๋อ่ะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ตาตี่ๆ ตัวขาวๆ เชื้อจีนเต็มกระบอกขนาดนั้นไม่เรียกตี๋ให้เรียกอะไรวะ

“เออ ก็จริง” มันพยักหน้าเออออ “งั้นผมเรียกว่าพี่ตี๋บ้างได้ป่ะ น่ารักดี”

“ไม่ได้” ตอบทันควัน

ไอ้นายสะดุ้งนิดๆ หันมามองผมอย่างตกใจ “เฮ้ยพี่ เสียงดังทำไม”

“ก็...” ผมหยุดคิด “มึงอย่ามาเลียนแบบกูดิ๊” แกล้งตีหน้าหงุดหงิดแบบทีเล่นทีจริง

“โห่ ขี้หวงว่ะ” มันโอดครวญพลางหยิบแก้วที่ล้างแล้วไปคว่ำ แล้วหันมาถาม “งั้นผมเรียกพี่เขาว่าไรดี”

ทำไมมึงจริงจังกับเรื่องไร้สาระ

“ตัวเล็กดีมะ”

“ไม่ได้!” แล้วทำไมกูถึงจริงจังไปกับแม่งด้วยวะเนี่ย

“พี่! เสียงดัง เดี๋ยวพี่โชตื่นพอดี” มันปราม ยกนิ้วขึ้นมาจุปากให้ผมเบาเสียงลง

“มึงก็เรียกมันว่าโชเฉยๆ นั่นแหละ” ผมขมวดคิ้ว ยอมหรี่เสียงตัวเองโดยดี

“เออๆ พี่โชเฉยๆ ก็พี่โชเฉยๆ” ไอ้นายพยักหน้าแบบขอไปที แล้วก้มหน้าก้มตาล้างอุปกรณ์ชงกาแฟต่อ ไม่วายบ่นงึมงำ “พี่ซันแม่ง วันนี้ขี้หงุดหงิดจังวะ”

กูได้ยินนะนั่นน่ะ

แต่ผมไม่รู้จะเถียงอะไร เลยต่างคนต่างเงียบ ทำงานไปเหมือนไม่มีอะไรจะคุย

ผมปล่อยให้ในหัวคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งคำพูดของพราววนเข้ามาในหัวอีกครั้ง และมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะกำจัดไปให้พ้นๆ สักที

“ไอ้นาย” และทางเดียวที่จะจำกัดได้รวดเร็วที่สุดเท่าที่ผมคิดได้ตอนนี้คือการพิสูจน์ “มึงคิดยังไงกับไอ้ตี๋วะ”

“...”

พิสูจน์ว่าคำพูดของพราวมันไร้สาระจริงๆ

“มึงชอบมันใช่ป่ะ”

ด้วยการทำความตั้งใจเดิมที่เผลอลืมไปจนไม่มีความคืบหน้ามานาน ให้สำเร็จสักที

“พี่รู้ได้ไง”

“ชัดขนาดนั้นมาจากดาวอังคารยังรู้เลย” ผมเบ้หน้าหมั่นไส้ ไอ้นายเลยหัวเราะเจื่อนๆ ยกนิ้วเปียกๆ ขึ้นมาเกาท้ายทอยตัวเองใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ

“ก็...พี่เขาน่ารักดี”

แล้วที่มาเหนียมอายใส่กูนี่คิดว่าน่ารัก?

“ชอบหรือไม่ชอบก็พูดมา” ผมเร่ง รู้สึกรำคาญตาขึ้นมาตะหงิดๆ

“เฮ้ยพี่ อะไรเนี่ย อยู่ๆ มาถาม” มันเงยหน้าขึ้นมาโวยวาย หน้าตาสื่อถึงความไม่เข้าใจสุดขีด

ผมเลยถอนใจ คว่ำแก้วใบสุดท้ายลงบนตะแกรง แล้วล้างมือ

“ถ้ามึงจะจีบ กูก็สนับสนุน” หันไปสบตาไอ้นายอย่างจริงจัง “มึงเป็นคนดี ถ้าไอ้ตี๋คบกับมึงกูก็สบายใจ”

“...”

“ถ้ามีอะไรให้ช่วย ก็บอกได้ กูจะช่วยเต็มที่เลย” ผมตบบ่ามันเบาๆ แล้วหันไปหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเคาน์เตอร์พอเป็นพิธี เตรียมตัวไปปลุกตี๋จะได้กลับหอไปนอนดีๆ สักที

“พี่พูดจริงอ่ะ” ไอ้นายถามเหมือนไม่แน่ใจ ผมเลยหันไปทำหน้ารำคาญใส่อย่างไม่จริงจัง
   
“เออ”

“งั้น... พี่ช่วยอะไรผมอย่างได้มั้ย” ไม่ทันคิดว่าไอ้นายจะเอ่ยปากขอขึ้นมาทันที

“ช่วยอะไร” ผมเลิกคิ้ว ตั้งใจฟัง

มันทำท่าลังเลอยู่พักหนึ่งเหมือนไม่กล้า แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็สูดหายใจสบตาผมอีกครั้ง มีความมุ่งมั่นจริงใจใงอยู่ในนั้นชัดเจน

“พี่ช่วยอยู่ห่างพี่โชสักพักสิ”

“...”

“ให้โอกาสผมกับพี่โชอยู่กันตามลำพังสักสองสามอาทิตย์... แล้วผมจะเดินหน้าจีบพี่เขาเอง”

มันเป็นวิธีที่ฟังดูเข้าท่าดี ผมได้ช่วย และมันก็ได้ลงมือด้วยตัวเอง ในฐานะคนที่อยากเป็นพ่อสื่ออย่างผม ก็ควรเห็นด้วย และตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด

แต่ว่า...

“ไม่ได้” คำที่ตอบออกไปโดยอัตโนมัติกลับตรงข้ามสิ้นเชิง

“อ้าว”

“กูจะอยู่”

“...”

“มึงจะจีบไอ้ตี๋ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสายตากูเท่านั้น... เข้าใจมั้ย”

“หา?”

เออ เข้าใจก็เหี้ยแล้ว กูยังไม่เข้าใจตัวเองเลย

ชิบหาย... นี่ผมพูดบ้าอะไรออกไปวะ







----------------------------------------------------------------
พี่ซันแม่ง... (เลียนแบบเสียงนาย) หมาหวงก้างชัดๆ
ตอนเขียนแอบขัดใจเล็กๆ เหมือนกันที่ซันไม่รู้ใจตัวเองสักที
ดูแลเขาขนาดนี้ยังจะมาทำซึน
แต่ก็น้า... เจ้าซันเป็นพระเอกสายกากนี่นา 55555
ยังไงก็ให้โอกาสโง่ไปสักพักก่อนนะคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 5 [ 22/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 22-04-2017 08:31:30
ซันเอ๊ยยยยยย
5555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 5 [ 22/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 22-04-2017 13:31:01
โถ.มดแดง. อุตส่าห์แอบแฝง พวงมะม่วง ♫~*  :hao3:

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 5 [ 22/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-04-2017 15:10:18
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 5 [ 22/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-04-2017 14:11:06
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 5 [ 22/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: May@love ที่ 23-04-2017 15:05:27
ตามมาอ่านแล้วจ้า

ซันแม่งบื้อและต่อมความรู้สึกช้าเหมือนเดิม

โชอาจจะเสียใจเพราะนังซันบื้อแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 24-04-2017 02:56:42
ก่อนตะวัน : 6
   
[ Shogun’s Part ]


ช่วงนี้รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตมันวุ่นวายขึ้นยังไงชอบกล

เปล่าครับ... ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียนหรอก เรื่องพวกนั้นยังพอรับมือไหว

แต่ที่รับมือไม่ได้เนี่ย คือตัววุ่นวายสองคนนี่ต่างหาก

“พวกมึงจะไปไหนอ่ะ” เสียงทุ้มถามขึ้นทันทีที่นายเปิดประตูหลังร้านให้และผมกำลังจะเดินเข้าไป

“ไปเอาเมล็ดกาแฟครับ” ผมตอบเนือยๆ

“ต้องแห่กันไปสองคนเลย?” เขาเลิกคิ้ว ยิ่งทำให้ใบหน้าที่ดูกวนอยู่แล้วยิ่งกวนเข้าไปใหญ่

ผมไม่ตอบ แค่ถอนหายใจหน่ายๆ

บางทีคำถามของซันก็ไร้สาระเกินไปนะครับ

“ผมไปเอาน้ำแข็งมาเติม” นายเป็นคนตอบแทน คนที่นั่งอ่านชีทอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงวางปากกาลุกขึ้นมา

“กูช่วย”

“ผมยกคนเดียวได้”

“กูมีน้ำใจไง”

“พี่อ่านหนังสือไปเหอะ”

“กูอยากพักสายตา”

“พี่ซันแม่ง...”

น่ารำคาญ

ปัง

ผมขี้เกียจยืนฟังสองคนนี้เถียงกัน เพราะฟังมาแทบทั้งคืนแล้วจึงเดินมาหลังร้านก่อนพร้อมกับดึงประตูปิด รอให้ตกลงกันได้ค่อยตามมาก็แล้วกัน

ไม่ทันไรทั้งสองคนก็เดินตามเข้ามา ห้องเก็บของดูเล็กลงถนัดตาเมื่อมีผู้ชายสามคนยัดกันอยู่ข้างใน ผมหยิบกาแฟกระสอบเล็กเสร็จก็เตรียมจะเดินออก ปล่อยให้สองคนนั่นช่วยกันยกกระสอบน้ำแข็งไป

“อ้าว พี่ซัน ไหนบอกมาช่วย” แต่มีใครบางคนกลับตามผมมาหน้าตาเฉย

“อ้าว ไหนมึงบอกยกคนเดียวได้” ยังจะหันไปเถียงอีก

“แล้วพี่เดินตามมาทำไมวะเนี่ย” นายโวยวาย ขณะที่ผมหันมามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างตัว ขมวดคิ้วส่งสายตาถามว่ากำลังเล่นอะไร

“มากูช่วย” แต่คนตรงหน้าแกล้งทำเป็นไขสือ พลางเอื้อมมือมาแย่งกระสอบกาแฟไปจากมือผม แล้วเดินออกจากห้องเก็บของไป

ผมถอนหายใจอีกรอบอย่างอดไม่ได้

กวนตีนว่ะ

ผมกลับมาหลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง ในจังหวะที่มีลูกค้าเข้าพอดี จึงเดินไปรับออเดอร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนทุกที วันนี้เป็นสุดท้ายของการสอบมิดเทอมแล้ว ลูกค้าช่วงดึกจึงไม่เยอะเหมือนอาทิตย์ก่อน แต่ก็ยังมีบางคณะที่ยังสอบไม่เสร็จ อย่างซันก็ยังเหลือสอบอีกตัวหนึ่งถึงต้องมาถ่างตานั่งอ่านหนังสืออยู่ ในขณะที่ผมเพิ่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนบ่าย เล่นเอาเกือบตายเหมือนกันเพราะกว่าจะทำงานเสร็จก็เกือบเช้า แล้วกลับไปก็ยังต้องอ่านหนังสืออีก โชคดีที่มีเพื่อนสรุปบทเรียนไว้ให้ เพราะเห็นใจที่ผมต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจนตัวเป็นเกลียวสภาพเหมือนศพไปทุกวัน

“วันหลังไม่ต้องมาอาสาช่วยอะไรอีกเลยนะไอ้พี่ซัน” ได้ยินเสียงนายบ่นอุบที่สุดท้ายก็ต้องยกน้ำแข็งมาเทใส่ถังข้างเคาน์เตอร์คนเดียว ในขณะที่อีกคนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่สะทกสะท้านอะไร

“กูเพิ่งนึกได้ว่าน้ำแข็งมันก็ไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้นไง”

“ลาเต้ร้อนครับ” ผมรีบหันไปบอกคนที่กำลังเทเมล็ดกาแฟลงเครื่องบดก่อนที่สองคนนี้จะเริ่มเถียงอะไรกันอีก

วันนี้ผมเหนื่อยมาก แถมรู้สึกปวดหัวนิดๆ ด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอให้หุบปากทั้งคู่เลย

“มึงชงดิ” แต่ร่างสูงกลับถอยหลังออกมา เปิดทางให้ผมเป็นคนชงกาแฟแทน

ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติถ้าเป็นลาเต้ก็มักจะถูกยกให้เป็นหน้าที่ผมเสมอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้งที่ก็สอนไปแล้ว ตอนชงให้ผมชิมรสชาติก็ใช้ได้แล้ว แต่พอให้ชงทีไรก็จะบ่ายเบี่ยงเอาแต่หลบไปนั่งดูอยู่เฉยๆ ทุกที

อย่างตอนนี้ถึงจะไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าคนที่ทำเป็นกลับไปเปิดชีทอ่านกำลังมองมาไม่วางตา

ทำตัวเหมือนว่างเลยนะครับ

“พี่ซันเหลือสอบกี่ตัว” ได้ยินเสียงนายลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ แล้วถามอย่างชวนคุย

เด็กนี่คุยเก่งชะมัด ผมว่าผมอัธยาศัยดีแล้วยังเทียบไม่ได้เลย เพราะบางครั้งผมไม่อยากคุยก็จะตอบห้วนๆ ถึงปากจะยิ้มแต่ในใจก็อดเบื่อหรือรำคาญไม่ได้ ซันรู้เรื่องนี้ดี เหมือนใช้เวลาตลอดพาร์ทไทม์ศึกษาพฤติกรรมผมยังไงยังงั้น เขาจับได้เสมอเวลาผมยิ้ม หรือหัวเราะไม่จริงใจ แล้วก็มักจะหาเรื่องมาเหน็บแนมหรือมาแหย่ให้ผมหลุดทำหน้ารำคาญใส่ทุกที

นิสัยไม่ดี

“ตัวนึง มึงมาสอบแทนกูดิ๊”

“จ้างผมดิ” แต่กับนาย ผมไม่เห็นเขาทำสีหน้าหงุดหงิดเลย ดูเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีเกินไปจนบางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไรบ่มเพาะให้กลายมาเป็นคนดีได้ขนาดนั้น คนอะไร ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยังยิ้มสดใสได้อย่างจริงใจ ขนาดโดนซันกวนใส่บ่อยๆ ยังไม่เห็นน้องมันว่าอะไรเท่าไหร่เลย ยังคุยเล่นได้ บางครั้งหัวเราะชอบใจรับมุกกันไปมา

คุยกันถูกคอก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ต้องซึมซับนิสัยกวนตีนของคนพี่มาให้ผมปวดหัวเพิ่มก็พอ

“พี่โชเพิ่งสอบบัญชีตัวสุดท้ายไปใช่มั้ย เป็นไงบ้างพี่” คราวนี้นายหันมาถามผม ซึ่งยังตอบอะไรไม่ได้เพราะกำลังเทโฟมนมใส่แก้วอยู่

วาดแขนจนเกิดลวดลายต้นสนบนหน้ากาแฟแล้วจึงวางแก้วลงเตรียมเสิร์ฟพลางหันมาตอบยิ้มๆ

“ก็โอเคนะ มีเพื่อนติวให้เลยไม่ยากเท่าไหร่”

“เพื่อนไหนวะ” พูดจบเสียงอีกคนก็โพล่งขึ้นมาทันที

ผมหันไปขมวดคิ้ว มันใช่เรื่องที่ต้องสงสัยด้วยเหรอครับ

ซันมองหน้าผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถามอะไรไม่เข้าท่าออกมา ก่อนจะกลับมายิ้มมุมปากทำหน้ากวนเหมือนเดิม “กูตกใจไง ที่มึงมีเพื่อนกับเขาด้วย”

กวนตีนอีกแล้วนะครับ

“เอากาแฟไปเสิร์ฟเลยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ยื่นถาดกาแฟให้คนปากมากที่เบ้หน้าอิดออดแต่ก็ยอมลุกไปเสิร์ฟให้อยู่ดี

วันนี้ไม่ใช่เวรเขา แต่ซันก็ยังมา อันที่จริงเขาก็มาตลอดนั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้พี่โมแบ่งกะทำไม นายก็อีกคน อยู่ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาก็มาที่ร้านทุกวันทั้งที่ไม่ใช่เวร สองคนนี้อ้างว่ามาหาที่อ่านหนังสือแต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นพวกเขาอ่านเท่าไหร่เลย ยังช่วยผมเสิร์ฟกาแฟ ทำนู่นทำนี่ไปตามประสาทั้งที่ผมพยายามบอกแล้วว่าไม่จำเป็น

ถ้าอยากได้เวลางานเพิ่มทำไมไม่ไปบอกพี่โมกันล่ะครับ ไม่เข้าใจ

“พี่โช ไม่สบายป่ะเนี่ย หน้าซีดๆ นะครับ” เสียงนายร้องทักหลังจากผมถอนหายใจหนักๆ แล้วนั่งฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ทันทีที่ว่างงาน

อยู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัวมากกว่าเดิมเฉยเลย

“ไหน” ผมไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงทุ้มของคนที่เพิ่งถูกไล่ให้ไปเสิร์ฟกาแฟก็ดังขึ้นมา

ซันวางถาดลงแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากกันเบาๆ คิ้วเข้มขมวดนิดๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ผิดปกติ

“ตัวรุมๆ นะตี๋”

“ผมไม่เป็นไรครับ” ผมปัดมือหนาออก ซุกหน้าลงกับแขนตัวเองหลบไม่ให้ถูกแตะอีก

ไม่ค่อยชอบให้ใครมาแตะตัวเลยอ่ะ

ยิ่งสีหน้าเหมือนเป็นห่วงกันแบบนั้น... มันทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก

“อย่าดื้อดิ เดี๋ยวปิดร้านเลย กลับไปนอน” เขาว่าพลางดึงแขนผมออกทำท่าจะบังคับให้ลุก แต่ผมขืนตัวไว้

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“พี่โช ไปพักเหอะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งก็ได้” นายทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่อีกคน

“ไม่ได้” แต่คนเถียงกลับไม่ใช่ผม ซันโพล่งขึ้นมาทันทีเหมือนลืมตัว ก่อนจะหันไปพูดอึกอักใส่คนอายุน้อยกว่า “รถมึงเป็นมอไซค์อ่ะ อันตราย เกิดไอ้ตี๋เป็นลมตกรถตายห่าขึ้นมาทำไง”

“งั้นผมยืมรถพี่” ว่าพลางแบมือขอกุญแจ

“ไม่ได้โว้ย” แต่ก็โดนปฏิเสธเสียงแข็งอยู่ดี “ลูกกู กูขับได้คนเดียว”

“พี่ซัน!”

ทำไมอยู่ๆ ถึงเถียงเรื่องไร้สาระกันอีกแล้วล่ะครับ

“สนุกกันมากมั้ยครับ” ผมลุกขึ้นถ้ามด้วยความเหนื่อยใจ ทั้งสองคนเลยหันกลับมาเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังทำตัวงี่เง่าแค่ไหน “ถ้าสนุกก็เถียงกันต่อไปเลยนะ ผมขอไปงีบหลังร้านแป๊บนึง”

“เฮ้ย พี่โช...” นายทำท่าจะเถียงอะไรขึ้นมาอีก แต่เพราะมีลูกค้าเข้าพอดีจึงต้องฝากไว้ก่อนเพื่อไปรับออเดอร์แทน “รอแป๊บนะพี่โช เดี๋ยวผมไปส่งเอง”

ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่เถียงในใจไปแล้วว่าไม่ได้จะกลับ แล้วก็ต้องหันกลับมามองอีกคนที่ยังวอแวไม่เลิก “กลับหอเลย เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ”

“ตี๋” เขาย่นหน้า คงคิดว่าผมดื้อเต็มที

“เอางี้” ผมถอนใจ พยายามหาข้อสรุปที่พอใจทั้งสองฝ่าย “ถ้าหลับแล้วไม่ดีขึ้นผมจะกลับ โอเคมั้ยครับ”

ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือผมจนได้

“โอเค แต่มึงนอนตรงนี้แหละ” ยื่นเงื่อนไขพร้อมกับกดไหล่ผมให้นั่งลงที่เดิม

“ไม่ได้ครับ ลูกค้าเห็นมันจะดูไม่ดี” ผมขมวดคิ้ว อยากลุกขึ้นแต่ก็โดนบังคับให้นั่งลงอยู่ดี

“ช่างหัวลูกค้า นอนตรงนี้ อยู่ในสายตากู” น้ำเสียงออกคำสั่งที่ไม่ได้ยินบ่อยนักกับคำพูดที่ฟังดูแปลกหู ทำเอาผมชะงัก หาคำมาเถียงไม่ออก จนคนตรงหน้าถอดแจ็กเกตที่สวมอยู่ออกมารองบนเคาน์เตอร์พร้อมกับกดหัวบังคับให้ผมนอนลง ก็ได้แต่จำยอมพร้อมกับเอ่ยเบาๆ ด้วยความเหนื่อยเต็มกลืน

“ขอบคุณครับ” ผมหลับตา ปล่อยให้ความอ่อนเพลียที่เล่นงานมาตลอดวันพาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดายในเวลาไม่ถึงนาที






หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าฝันหรือละเมอตื่นขึ้นมาจริงๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ๆ ที่แตะลงมาบนหน้าผากเบาๆ พร้อมกับเสียงทุ้มที่เหมือนดังอยู่ไกลๆ

“เหมือนตัวจะร้อนขึ้นเลยว่ะ”

“ผมว่าพากลับเลยดีกว่า เดี๋ยวผมอุ้มเอง”

“เดี๋ยววว ไม่ต้องเลยมึงอ่ะ”

“เฮ้ย อะไรเนี่ยพี่ ขวางทำไม”

“อุ้มเหี้ยอะไรล่ะ คิดว่าไอ้ตี๋จะยอมเหรอ มึงไม่ต้องไปโดนตัวมันเลย เดี๋ยวตื่นมาก็งอแงไม่ให้ไปส่งอีก”

“แล้วจะเอาไง”

“ลูกค้าจะหมดแล้ว เดี๋ยวกูปิดร้านเลย มึงไปซื้อยามาให้มันไป”

“ไม่เอาอ่ะ พี่แหละไป ผมจะดูแลพี่โช”

“มึงอย่าเพิ่งมางี่เง่าดิ๊”

“พี่แหละงี่เง่า ไหนบอกจะเป็นพ่อสื่อให้ผมไง”

“กูก็สื่ออยู่นี่ไง”

“สื่อเชี่ยอะไรของพี่เนี่ย”

“เดี๋ยวนี้ขึ้นเชี่ยกับกูละ?”

“ก็พี่ทำตัวสับปลับอ่ะ”

“อ้าว คราวนี้ด่ากูเลยนะครับน้องนาย”

“ก็พี่ซันแม่ง... ไหนบอกจะช่วยวะ เอาแต่ขัดแข้งขัดขากันชัดๆ”

“กูขัดอะไรมึงอ่ะ”

“ก็เมื่อกี้ ทำไมไม่ให้ผมไปส่งพี่โช”

“ก็บอกแล้วไงว่ารถมึงเป็นมอไซค์”

“ผมถึงยืมรถพี่ไง”

“กูหวงรถมึงไม่รู้เหรอ”

“เนี่ย ไม่เรียกขัดแข้งขัดขาแล้วเรียกอะไร” 

“ช่างแม่ง กูไปซื้อเองยาอ่ะ มึงดูไอ้ตี๋ไปละกัน”

“โอเค ตามนั้น”

“ดูเฉยๆ นะมึง ห้ามแดก ถ้ากูรู้ว่ามึงแอบลักหลับตอนแม่งไม่สบาย กูแจ้งความจริงๆ นะ”

“นี่พี่เห็นผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย”

“ไม่รู้อ่ะ ห้ามยุ่ง ห้ามแตะ ไม่เข้าใกล้เกินสองเมตรได้ยิ่งดี”

“เออๆ พี่รีบไสหัวไปซื้อยาเลยไป”

“เดี๋ยวกูมา” ว่าจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินห่างออกไป พร้อมกับที่ใครบางคนเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ รับรู้ได้ว่าฝ่ามือหนากำลังจะยื่นมาแตะหน้าผาก แต่สัมผัสได้แค่ไรผมก็ดึงกลับลงไปพร้อมกับบ่นพึมพำ

“แตะก็ไม่ได้”

“...”

“พี่ซันแม่ง เป็นพ่อสื่อหรือเป็นพ่อพี่โชกันแน่วะ ขี้หวงสัสเลย”

“...”

พ่อสื่อหรือพ่ออะไรกัน...?

รอให้ผมมีแรงตื่นอีกรอบก่อนเถอะ จะคาดคั้นให้อธิบายให้ฟัง ทั้งคู่เลย

   



ไม่รู้ว่าหลับไปอีกนานเท่าไหร่ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นใครอยู่รอบตัวแล้ว
   
เรื่องเมื่อกี้... คือความฝันเหรอ?
   
ฝันบ้าบออะไรเนี่ย ท่าจะไม่สบายจริงๆ
   
ผมลุกขึ้นมาด้วยความมึนงงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แถมยังรู้สึกเคืองตานิดหน่อยเพราะไม่ได้ถอดคอนแท็คเลนส์ก่อนนอน
   
“อ้าวพี่โช ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงมั่ง” นายที่เพิ่งเดินกลับมาจากเก็บโต๊ะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร “เฮ้ยพี่ หน้ายังซีดอยู่เลย”
   
อันที่จริงผมยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย แต่เพราะไม่อยากให้เป็นห่วงเลยได้แต่ปฏิเสธไป
   
“ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร” ว่าพลางกวาดสายตามองไปทั่วร้าน ตอนนี้เหลือลูกค้าเพียงสามสี่โต๊ะเท่านั้น แต่ป้ายหน้าร้านที่ถูกพลิกด้าน Closed ขึ้นก่อนเวลาก็บ่งบอกว่าวันนี้เราไม่รับลูกค้าเพิ่มอีก
   
ถึงจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าคงต้องทำวิธีนี้ สภาพผมคงรับลูกค้าเพิ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่อยากวางมือให้ซันกับนายแค่สองคน เพราะคนหนึ่งก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ จะใช้งานมากไปก็เกรงใจ ส่วนอีกคนก็ถือเป็นพนักงานใหม่ ปล่อยให้ทำงานคนเดียวก็ไม่ได้อีก
   
“แล้วนี่ซันไปไหน” ผมเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีวี่แววร่างสูงที่ควรจะส่งเสียงกวนๆ ให้ได้ยินตั้งแต่ผมตื่นแล้ว
   
“ไปซื้อยาอ่ะ แต่มันดึกแล้ว ร้านยาน่าจะหายากหน่อย” ว่าพลางเอาแก้วไปวางไว้ที่ซิ้งค์ล้างจาน
   
ซื้อยา? นี่มัน... เหมือนกับบทสนทนาที่ผมได้ยินในฝันเลย
   
หรือว่าจะไม่ได้ฝันจริงๆ ชักจะสับสนแล้วแฮะ
   
“พี่โชไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ นั่งเฉยๆ เลย ที่เหลือผมจัดการเอง” นายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส แต่สายตายังคงเจือความเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มรับ ไม่เถียงอะไร แต่เอ่ยถามในสิ่งที่กำลังข้องใจแทน
   
“นาย ตอนพี่หลับ ได้คุยอะไรกับซันหรือเปล่า”
   
“ครับ?” รุ่นน้องหันกลับมาเลิกคิ้วถาม แต่ไม่ทันไรดวงตาคมก็เบิกกว้างขึ้น สีหน้าเหมือนถูกจับได้
   
“เกี่ยวกับเรื่องพ่อสื่อ... อะไรสักอย่าง” ยิ่งพอผมจี้ถูกจุด นายก็ยิ่งทำหน้าตาตื่น ดูมีพิรุธสุดๆ
   
“เฮ้ย พี่โชได้ยินเหรอ”
   
“นิดหน่อย แต่ไม่ค่อยเข้าใจ” ผมว่า สายตายังคงจับจ้องไปยังรุ่นน้องที่ทำสายตาหลุกหลิก เหมือนพยายามจะหาข้อแก้ตัว 

“พ่อสื่ออะไร?” ผมเลยถามออกไปตรงๆ ไม่เปิดจังหวะให้หาข้ออ้างได้
   
นายขมวดคิ้ว มองผมอย่างลังเล แต่เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงล่ะมั้ง น้องถึงได้ถอนหายใจ พลางทำหน้าหงอยขึ้นมา
   
“ถ้าบอก พี่โชห้ามโกรธผมนะ”
   
“อืม”
   
“ห้ามเกลียดด้วย”
   
"ไม่เกลียดหรอก” ผมหัวเราะนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลนั่น
   
เรื่องอะไรกันแน่ ทำไมต้องกลัวผมโกรธขนาดนั้น
   
“คือว่า...” ทำท่าลังเล แต่พอเห็นผมสบตาอย่างตั้งใจฟังจึงสารภาพออกมาตามตรง “พี่ซันเขาคิดว่าผมชอบพี่อ่ะ”
.   
“หืม?”
   
ผมขมวดคิ้วงุนงง แต่ไม่นานก็จับต้นชนปลายได้ พอจะเข้าใจแล้วว่าพ่อสื่อถูกใช้ในบริบทแบบไหน
   
“เขาบอกว่าจะช่วยผมจีบพี่”
   
ผมถอนหายใจเอือมๆ คนอะไรยุ่งจริง นี่ถ้าอยู่ผมคงด่าให้สักที
   
“เดี๋ยวพี่บอกให้ว่าเข้าใจผิด” ผมว่า ตั้งใจจะเคลียร์เรื่องนี้เอง
   
“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก” แต่นายกลับเถียงขึ้นมา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อจนสังเกตได้
   
นี่อย่าบอกนะ...
   
“ผมชอบพี่จริงๆ”
   
“นาย...” ผมได้แต่เรียกชื่อเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดยังไง
   
ไม่ใช่ว่าผมจะซื่อจนไม่รู้ว่าพฤติกรรมนายมันแปลก ที่เขาพยายามเข้าใกล้ผม พยายามช่วยเหลือนู่นนี่มันก็ชัดเจน แต่เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี และมีแนวโน้มว่าจะทำแบบนี้กับทุกคน ถึงได้พยายามปัดความคิดพวกนั้นให้ตกไป
   
ไม่ทันคิดเผื่อว่าถ้าเด็กคนนี้ชอบผมขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง
   
“โห... สีหน้าพี่โชโคตรชัดเจนเลย” ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน นายถึงได้พูดแบบนั้นออกมา “ดีนะที่ผมเผื่อใจไว้แล้ว” ถอนหายใจเบาๆ เหมือนโล่งอกกับตัวเอง
   
“...”

“อันที่จริงพี่โชเป็นคนแสดงออกชัดเจนมากเลยรู้ตัวป่ะ” เอ่ยกลั้วหัวเราะ มองหน้าผมอย่างขบขัน “คนที่พี่สนิทใจ กับคนที่คบไปงั้นๆ พี่แสดงออกคนละอย่างเลย... เสียดายที่ผมเป็นอย่างหลัง” 

“ขอโทษนะ คือพี่...ยังรับใครเข้ามาไม่ได้” ผมเอ่ยเสียงเบา ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมา แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงใจ เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนตลอดระยะเวลาที่รู้จักกัน

ผมมักจะเคลือบใบใบหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง เมื่ออยู่กับคนที่ไม่ได้สนิทใจ ก็เหมือนกับที่นายพูด ผมแบ่งคนด้วยการแสดงออกอย่างชัดเจน

“ผมรู้ พี่เหมือนมีใครอยู่ในใจ”

“...” ผมเงียบไป เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะอ่านง่ายขนาดนั้น

“ผมถึงได้เผื่อใจไว้ไง กำแพงพี่มันหนาเกินไปจนผมไม่มั่นใจว่าจะปีนข้ามไปได้ตั้งแต่แรก” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“...” ไม่รู้ว่าคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า ผมถึงได้คิดว่าสายตาของนายไม่ได้มีความเจ็บปวด หรือเสียใจแบบคนอกหัก เขายังคงยิ้มให้ผมอย่างจริงใจเหมือนที่ผ่านมา
   
“ผมล่ะโคตรอิจฉาพี่ซันเลย”
   
แต่คำพูดนั้นทำให้ผมเบ้หน้า “อิจฉาทำไม พี่เกลียดเขาจะตาย” คนอะไรทำตัวน่ารำคาญอยู่ได้ตลอดเวลา
   
“เนี่ย ขนาดพี่พูดว่าเกลียดผมยังอิจฉาเลย” นายหัวเราะออกมาเสียงดัง “พี่ซันแม่ง ทำยังไงวะ พี่ถึงเปิดใจให้ขนาดนี้”
   
เปิดใจ? นี่ผมไปเปิดใจให้หมอนั่นตอนไหนกัน ดูเหมือนนายจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว
   
“พอได้พูดแล้วสบายใจดีอ่ะ รู้งี้บอกตั้งแต่แรกแล้ว”
   
“...” ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไง

ผมเคยสารภาพรักมาก่อน และคำว่าขอโทษ หรือขอบคุณหลังจากคำปฏิเสธ มันทำให้รู้สึกแย่พอกัน ข้อนั้นผมรู้ดี

“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดขนาดนั้น ผมไม่เป็นไร ใช่ว่าอกหักครั้งแรกซะเมื่อไหร่”

“ไม่เป็นไรจริงนะ” ผมถาม พยายามสบตาให้รู้ว่าเขาไม่ได้โกหกหรือหัวเราะกลบเกลื่อน แต่คนตรงหน้าก็ยังคงยิ้มสดใส ไม่มีวี่แววความเสียใจฉายออกมาให้เห็นเหมือนเดิม

“จริงดิ ผมว่าผมยังไม่ได้ชอบพี่ขนาดนั้นอ่ะ ตอนแรกเห็นพี่น่ารักดี เลยอยากลองทำความรู้จักดู แต่รู้ว่าไม่มีหวังตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเดินหน้าไปไกลกว่านี้ ขอบคุณนะพี่ที่บอกตรงๆ”

“อืม” ผมยิ้มตอบ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่านายดูเหมือนจะไม่เป็นไรจริงๆ

ทำยังไงผมถึงจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีแบบนี้ได้บ้างนะ... บางทีผมอาจจะรับมือกับการอกหักได้ดีขึ้น

อย่างน้อยก็คงไม่ปล่อยให้มันเป็นแผลเรื้อรัง ทำร้ายตัวเองมาจนป่านนี้

“งั้นเดี๋ยวผมไปล้างจานต่อนะ พี่โชพักเถอะ หน้าซีดเป็นกระดาษแล้วเนี่ย” นายว่าพลางดันหลังผมกลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะหันกลับไปยืนหลังซิ้งค์ล้างจานอีกครั้ง

“เออพี่” แต่ไม่ทันไรก็หันกลับมาพูดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ต้องบอกพี่ซันนะ เรื่องที่เราคุยกัน”

“?” ผมทำหน้าสงสัย เพราะตั้งใจจะคาดคั้นอีกคนทันทีที่กลับมา

พ่อสื่ออะไรกัน ยุ่งไม่เข้าเรื่องนักเชียว

“แล้วถ้าผมทำตัวเหมือนยังจีบพี่อยู่ไม่ต้องคิดมากนะ ผมแค่อยากแกล้งไอ้พี่ซันมัน”

“หา?”

“หมั่นไส้อ่ะ ปากบอกว่าจะช่วยผมจีบพี่ซะดิบดี พอเอาเข้าจริงๆ ดันขัดแข้งขัดขาผมอย่างกับจะจีบเอง”

“ดะ...เดี๋ยวสิ” จีบอะไรกันล่ะ

“เอาเป็นว่า เข้าใจตรงกันว่าผมไม่ได้จีบพี่จริงๆ ก็พอ โอเคป่ะ”

“อะ...อืม” ผมอึกอักอย่างตั้งรับไม่ทัน ไม่ค่อยเข้าใจว่าเด็กนี่จะทำอะไร แต่สมองผมคงจะเบลอเกินไป ถึงได้หาคำมาโต้แย้งไม่ได้จนต้องพยักหน้าเออออตาม

แถมพิษไข้ยังทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัวอีกต่างหาก





ไม่รู้ว่าไปซื้อยาถึงไหนกันจนป่านนี้ซันถึงยังไม่มา

ลูกค้าในร้านเหลือเพียงสองโต๊ะที่ทำท่าว่าจะนั่งอยู่อีกนาน จนผมคิดว่าร้านก็คงจะต้องปิดตอนตีสามเหมือนเดิม ผมเผลอหลับไปอีกตื่นนึงแต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าที่ควร แต่เพราะไม่อยากหลับอีกเลยหาอะไรทำฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ รอปิดร้านจะได้กลับไปพักผ่อนทีเดียว

ผมเล่นมือถือจนไม่มีอะไรให้ดู จึงเปลี่ยนมาหยิบชีทของซันที่วางทิ้งไว้ขึ้นมาอ่าน มันเป็นวิชาคำนวณโครงสร้างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ศัพท์และตัวเลขชวนปวดหัวยังไม่น่าปวดหัวเท่าลายมือไก่เขี่ยที่เขียนเหมือนชาตินี้ไม่เคยผ่านการคัดตัวบรรจงมาก่อน นี่เรียนมาจนถึงปริญญาตรีได้ไงวะเนี่ย

แถมนอกจากการแก้โจทย์แล้วบางหน้ายังมีคำตลกๆ เขียนไว้ ตัวอักษรที่เหมือนจะโวยวายออกมาได้ด้วยน้ำเสียงแบบที่เจ้าของชีทชอบทำ ผมเปิดดูผ่านๆ อย่างขำๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงแผ่นที่ไม่มีลายมือเขียนไว้ เหมือนยังอ่านไม่ถึง ใต้โจทย์ที่ยาวเกือบสี่บรรทัดมีรูปวาดประหลาดๆ ที่แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร

ไม่รู้ทำไมผมต้องใส่ใจกับมันขนาดนี้เหมือนกัน แต่ก็นั่งพิจารณาอยู่นานกว่าจะแกะได้ว่ามันรูปร่างเหมือนคน... ยืนหันข้าง แล้วก็... เหมือนในมือจะถืออะไรสักอย่าง รูปร่างคล้ายกับ... แก้วกาแฟ?

เดี๋ยวนะ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ ยังไงชอบกล

ผมปัดความคิดไร้สาระของตัวเองให้ตกไป ก่อนจะวางชีทลงที่เดิมเพราะรู้สึกว่าตัวเลขในนั้นจะเล่นงานจนผมปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว หัวใจเต้นตุบๆ ยิ่งเหมือนจะสูบเลือดไปทำให้สมองผมระเบิดออกมา ตาก็พร่าเบลอจนต้องยกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆ

“เฮ้ยพี่โช โอเคป่ะ” นายหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมขยี้ตาตัวเองยกใหญ่

“สงสัยใส่คอนแท็คเลนส์นานเกินอ่ะ ตาเบลอๆ” ผมว่าพลางลุกขึ้นยืน กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัส “เดี๋ยวมานะ”
ผมบอกแล้วปลีกตัวมาหลังร้าน จัดการถอดคอนแท็คเลนส์ที่ใส่มานานจนล้า บวกกับความปวดหัวยิ่งทำให้รู้สึกว่าทัศนวิสัยแย่จนเกินทน
   
ตุบ
   
แต่ทันทีที่ถอดคอนแท็คเลนส์ออก ภาพที่เห็นก็เบลอไปหมด ผมเผลอปัดกระปุกน้ำยาล้างคอนแท็คเลนส์ตก และพอจะก้มหยิบก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
   
ปวดหัวชะมัด ให้ตาย
   
“ตี๋ ซื้อยามาให้แล้ว มากินเร็ว” เสียงเรียกดังมาจากประตู แต่เมื่อผมหันไปร่างสูงกลับดูเลือนรางจนจับเป็นภาพไม่ได้
   
“คุณซัน...” เสียงของผมแหบพร่าอย่างน่าตกใจ รับรู้ได้ว่าเผลอปล่อยให้น้ำยาล้างคอนแท็คตกจากมืออีกครั้ง และไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่สะสมมาทั้งวันมันหายไปไหน ราวกับมีอะไรบางอย่างสูบมันออกไปจากร่างกายผมกะทันหัน ส่งผลให้ขาทั้งสองข้างทรุดไปดื้อๆ จนผมล้มลงกระแทกพื้นอย่างจัง
   
ตุบ!
   
“เฮ้ย! ตี๋!” ผมได้ยินเสียงโวยวานที่เหมือนดังมาจากไกลๆ อาจเพราะสติที่เริ่มเลือนรางลงทุกที

“ตี๋! ทำใจดีๆ ไว้ ตี๋! เชี่ยเอ๊ย ไอ้นาย เรียกรถพยาบาลเร็ว!” และสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้ คืออ้อมแขนแข็งแกร่งที่ยกร่างผมไปแนบอกอย่างง่ายดาย สีหน้ากระวนกระวาย และสายตาเป็นห่วงเป็นใย ที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทั้งที่พยุงสติไม่ไหวอีกต่อไป

สายตาที่บอกว่าผมจะต้องไม่เป็นไร

ผมจะปลอดภัย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนคู่นี้ของเขา



-----------------------------------------------------------------------------------
สองตัวป่วนนี่น่าตีจริงๆ 555555
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีดราม่าหนักๆ เท่าไหร่ ใสๆ อ่านสบายๆ ค่ะ (คิดว่านะ -.-)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีใครอ่านแล้ว ใจแป้วเหมือนกัน 5555
แต่ปกติเวลาอัพนิยาย แค่เห็นคนเม้นต์คนเดียวก็เป็นกำลังใจให้เราเขียนจนจบแล้วค่ะ แค่รู้ว่าไม่ได้อัพไว้อ่านเองก็พอแล้ว 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆ นะคะ ^^






*ถึงตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้
รู้สึกเหมือนช่วงนี้อยู่ในสภาวะซึมเศร้ายังไงชอบกล แต่มันหายทุกครั้งที่เปิดเวิร์ดขึ้นมาและเริ่มเขียน
เหมือนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำของพวกนาย มันช่วยเยียวยาความรู้สึกแย่ๆ ให้หายไปได้
ดังนั้นเลยรู้สึกขอบคุณมาก ขอบคุณความกวนของเจ้าซัน ความมองโลกในแง่ดีของนาย ความน่ารักแบบหยิ่งๆ ของโชที่ทำให้เราลืมเรื่องที่ติดอยู่ในใจไปได้สักพัก
รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ปล่อยให้เรื่องราวของพวกนายแล่นอยู่ในหัว หรือพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษร
จะพยายามทำให้ทุกคนรักพวกนายอย่างที่เรารักนะ จะไม่ทำให้ผิดหวัง
ขอบคุณอีกครั้งที่เกิดมา


รัก

-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: temaripik ที่ 24-04-2017 04:41:55
มาให้กำลังใจคนเขียน
สู้ๆน้าาาาาา นิยายสนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 24-04-2017 08:55:22
อ้าวตี๋ เป็นอารายยย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-04-2017 15:14:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: imissyou ที่ 24-04-2017 15:34:01
แหม่

เวลาเจ็บป่วยนี่แหละเนะที่จะเห็นอ๊กเห็นใจกันเนะ  :hao3:

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-04-2017 23:09:35
อ้าวๆๆๆ ตี๋ อย่าเพิ่งเป็นไรนะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-04-2017 11:47:59
 :hao7: ขี้หวง
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 6 [ 24/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: coldcream ที่ 25-04-2017 12:59:19
ตามมาจาก #เชนตรี แล้วค่ะ ชอบสำนวนและการเดินเรื่องค่ะ สนุกมากเลย เอาใจช่วย #ซันโช ให้รู้ใจกันเร็วๆน้า น้องนายจะเป็นพ่อสื่อซะเองเหรอลูก น่ารักมาก ขอคู่ให้น้องด้วยนะค้า :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 7 [ 26/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-04-2017 06:13:10
ก่อนตะวัน : 7

   
ไอ้ตี๋แม่ง... โคตรแย่
   
แย่มาก ทำไมไม่ดูแลตัวเองเลยวะ ทำงานหนักจนไข้ขึ้นเป็นลมขนาดนี้ได้ไง โคตรแย่
   
ถ้าฟื้นเมื่อไหร่ผมด่ามันแน่ จะไม่ให้แตะงานอะไรเลยเป็นเดือนๆ ด้วย คอยดู
   
“ซัน กลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ” พี่โมเดินมาแตะบ่าผมที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงพยายามสะกดจิตให้คนที่ไม่ได้สติลืมตาขึ้นมาเสียที
   
“อยากให้ไอ้ตี๋ตื่นก่อนอ่ะพี่ เผื่อมันอยากกินอะไร” ผมหันไปตอบ การอดนอนมาทั้งคืนทำให้รู้สึกอ่อนเพลียจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับเบาๆ
   
“เฮ้ย ไม่เป็นไร พี่ดูแลเอง”
   
“แต่...” ผมเงียบลง ไม่แน่ใจว่าควรจะยกข้ออ้างอะไรขึ้นมาพูดต่อ รู้สึกว่าตอนนี้สมองทำงานช้าลงเต็มที
   
“โชไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้ว ไม่ต้องห่วงขนาดนั้น” พี่โมเอ่ยยิ้มๆ บีบบ่าผมเบาๆ ให้คลายความกังวล
   
จริงอยู่ที่ผมเองก็ได้ยินที่หมอบอกว่าอาการไอ้ตี๋ไม่หนักมาก แค่หมดสติไปเพราะพักผ่อนน้อย บวกกับมีไข้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นโคม่าอะไร มันฟื้นขึ้นมาเมื่อคืนครั้งหนึ่ง แต่หมอให้พักผ่อนรอดูอาการคืนหนึ่งก่อนก็เลยต้องนอนโรงพยาบาล ผมอยู่เฝ้ามันตลอดทั้งคืนเพราะก่อนหลับไปไอ้ตี๋ให้โทรไปบอกพี่โมว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่อยากให้ขับรถมากลางดึก ผมเลยอาสาอยู่เฝ้ามันแทน
   
ผมไม่ได้หลับเลยจนกระทั่งถึงเช้า เพราะกลัวว่าไอ้ตี๋จะไข้ขึ้นขึ้นมากลางดึกอีก พยาบาลที่เข้ามาเช็คทุกสองชั่วโมงบอกว่ามันไม่เป็นอะไร ไข้ลดลงแล้วแต่ผมก็ยังข่มตาหลับไม่ได้อยู่ดี
   
“ผมรอให้มันตื่นก่อนค่อยกลับได้มั้ยพี่” พอหาข้ออ้างไม่ได้ ผมเลยเปลี่ยนเป็นขอร้องแทน
   
ไม่รู้อ่ะ ผมยังไม่อยากกลับ รอด่ามันก่อน
   
คนอะไรไม่เจียมตัวสัสเลย ไม่สบายแล้วยังเสือกจะฝืนทำงานจนดึกดื่นอีก
   
“โอเค งั้นซันไปหาอะไรกินก่อนไป ไปพักสายตาด้วย เฝ้ามาทั้งคืนแล้ว เบื่อแย่”
   
“ก็ได้ครับ” ผมตอบรับ แต่ไม่วายหันกลับไปมองไอ้ตี๋ที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวใสดูซีดกว่าปกติ แต่ก็ถือว่าดูดีกว่าเมื่อคืน ผมเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่ามันดูผอมลงว่าอาทิตย์ก่อนมาก ไม่รู้วันๆ ได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า
   
กลับไปเมื่อไหร่จะขุนให้อ้วนเลย คอยดู
   
“งั้นเดี๋ยวผมซื้อข้าวมาให้ไอ้ตี๋ด้วยนะ”
   
“โอเค” พี่โมที่หัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า “ถ้าโชรู้ว่าซันเป็นห่วงขนาดนี้คงดีใจแย่”
   
ผมเบ้หน้า “ผมไม่ได้อยากเป็นห่วงสักหน่อย”
   
ใครใช้ให้มาเป็นลมต่อหน้าต่อตากันวะ กูตกใจจนเกือบกรี๊ดแล้วอ่ะเมื่อคืน ดีนะตอนล้มหัวไม่ได้ฟาดพื้น ไม่อย่างนั้นอาจได้นอนโรงพยาบาลยาวกว่านี้ พูดแล้วก็หงุดหงิดชิบ ไล่ให้กลับไปนอนก็ไม่ยอม ดื้อนักหนา เป็นไงล่ะ แม่ง...
   
“ดีแล้วล่ะที่มีซันคอยอยู่ข้างๆ โชร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ป่วยบ่อย ยิ่งตอนอ้วนโรคประจำตัวอย่างเยอะ ถึงจะดูแลตัวเองจนดีขึ้นแล้วแต่บางโรคก็ไม่ได้หายขาด พี่ยังกังวลอยู่เลยตอนที่ให้ทำงานกะดึก บอกแล้วว่าถ้าไม่ไหวจะเลิกทำก็ได้ แต่เขาก็ไม่ยอม”
   
“ดื้อชิบ” ผมบ่นอุบ นึกภาพออกเลยตอนที่ไอ้ตี๋ดื้อตาใสทั้งที่ร่างกายเหมือนจะไม่ไหวอยู่แล้ว
   
“นั่นสิ พ่อแม่โชเขาฝากฝังพี่ไว้ แต่พี่ก็อยู่ไกล ดูแลตลอดเวลาไม่ได้ โชคดีจริงๆ ที่มีซันคอยเป็นหูเป็นตาแทน” พี่โมเอื้อมมือมาตบหลังผมเบาๆ ส่งสายตาขอบอกขอบใจ
   
จะว่าไป ผมเพิ่งนึกได้ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวมันเลย รู้แค่ว่ามันเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่โม สนิทกันมากเลยถูกชวนมาทำงานที่ร้านจนตอนนี้เลื่อนขั้นเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญไปแล้ว แต่ผมไม่เคยเห็นมันพูดถึงพ่อกับแม่เลย ตอนมัธยมก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นจะรู้ว่าพวกท่านเป็นใคร ทำงานอะไรซะด้วย... แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปก้าวก่ายล่ะนะ
   
“ซันไปล้างหน้าล้างตากินข้าวก่อน เดี๋ยวพี่ดูแลต่อเอง ถ้าโชตื่นเมื่อไหร่พี่จะโทรไปบอก”
   
“ครับ” ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยมา สายตามองกลับไปที่ไอ้ตี๋พลางคิดในใจอีกครั้งว่าถ้าฟื้นขึ้นมาผมจะด่ามันให้เข็ดเลย จริงๆ

   



ผมใช้เวลาในฟู้ดคอร์ดของโรงพยาบาลได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ เลือกข้าวจากร้านที่คนว่างที่สุดมากินเร็วๆ ก่อนจะเดินหาร้านอาหารที่คิดว่าไอ้ตี๋น่าจะกินได้แล้วซื้อกลับมาให้มัน ไม่ลืมที่จะหอบผลไม้กับของบำรุงร่างกายติดไม้ติดมือมาเต็มไปหมด ทั้งที่รู้ว่าเดี๋ยวมันก็ออกจากโรงพยาบาล
   
ผมเดินกลับมายังห้องพักผู้ป่วยที่ไอ้ตี๋อยู่อีกครั้ง เปิดประตูเข้าไปและหวังว่ามันจะตื่นมาสักที
   
และมันก็ตื่นอยู่อย่างที่คิดจริงๆ แถมใบหน้ายังดูสดใส ด้วยรอยยิ้มแบบที่ผมไม่เคยได้รับ
   
“พี่โชแม่ง ทำคนตกอกตกใจกันทั้งร้านเลยรู้ป่ะ” ก็แหงล่ะ ผมไม่ใช่ไอ้นายที่กำลังพูดจ้ออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอารมณ์ดีไม่แพ้กัน
   
“พี่ซันแทบจะร้องไห้แล้วอ่ะ ตอนที่อุ้มพี่ออกมา” ถ้าเป็นปกติ ได้ยินมันนินทาแบบนั้นผมคงเสนอหน้าออกไปด่ามันสักที
   
แต่วันนี้ผมคงเหนื่อยเกินไปแหละ ถึงได้ปล่อยให้ตัวเองยืนอยู่หน้าประตู ไม่ได้ส่งเสียงอะไร
   
“ขอโทษที” คนป่วยยิ้มเจื่อน สีหน้าดูรู้สึกผิด “ไม่คิดว่าอยู่ๆ จะเป็นลม”
   
“โห หน้าซีดขนาดนั้น ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าพี่เป็นไรขึ้นมานี่ความผิดผมเลยนะที่ทำให้พี่หยุดงานไม่ได้”
   
“เฮ้ย พี่ดื้อเอง ไม่ใช่ความผิดนายเลย”
   
“งั้นคราวหลังไม่ดื้อแบบนี้แล้วนะพี่ ไหว้เลย” ไอ้นายยกมือไหว้ปลกๆ ขอร้องอย่างติดตลก “ถ้าไม่ไหวต้องรีบบอกเลยนะ ผมจะรีบพาพี่กลับหอทันทีเลย”

“เวอร์ไปแล้ว”

“เวอร์ตรงไหน ผมเป็นห่วงพี่มากนะ ถ้าไม่ติดว่าต้องปิดร้านนี่ผมตามมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
   
“ดีแล้ว ตามมาก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก พี่หลับทั้งคืน” ไอ้ตี๋ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากบางที่เคยซีดดูมีสีขึ้นกว่าเมื่อกี้ตอนที่ยังหลับอยู่
   
คงดีขึ้นมากแล้วล่ะ ถึงได้คุยเล่นหยอกล้อกับได้นายได้ขนาดนั้น
   
“มีพี่ซันอยู่ผมก็หายห่วงแหละ” แวบหนึ่งผมเห็นไอ้นายเหมือนจะหันมาทางนี้ และไม่รู้ทำไมผมถึงได้ถอยออกมา รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามันไม่ทันสังเกตเห็นผม
   
ผมเดินออกจากห้องมาพลางปิดประตูเสียงเบาๆ ไม่อยากให้คนที่อยู่ข้างในรู้ตัว ดูเหมือนว่าการที่ไอ้นายมาเยี่ยมจะทำให้ไอ้ตี๋ดีขึ้นไม่น้อย ผมเห็นแบบนั้นแล้วก็สบายใจ จิตใต้สำนึกผมบอกว่าควรปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ตามลำพัง เพราะบางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสดี ที่ผมจะได้ทำหน้าที่พ่อสื่อตามที่ตัวเองตั้งใจได้บ้าง แม้ว่าความจริงแล้วผมแทบไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลย
   
แค่ถอยออกมา และหวังว่าความเป็นห่วงเป็นใยที่ไอ้นายแสดงออกมาจะทำให้ไอ้ตี๋ใจอ่อน แล้วยอมเดินหน้าความสัมพันธ์กับมันสักที
   
“อ้าวซัน กลับมาแล้วเหรอ” พี่โมที่เดินมาจากฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามหลังจากที่ผมเดินออกจากห้องมาได้ไม่กี่ก้าว “แล้วนี่จะไปไหน ทำไมไม่เข้าไปในห้องอ่ะ” เลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าทิศทางที่ผมกำลังจะไปไม่ใช่ห้องพักของไอ้ตี๋
   
“คือผมเพิ่งนึกได้ว่าพรุ่งนี้มีสอบอ่ะพี่ ยังอ่านหนังสือไม่จบด้วย เลยว่าจะกลับก่อน” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ไม่ได้โกหกซะทีเดียว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองมีสอบจริงๆ
   
“อ้าว ตายแล้ว ทำไมไม่บอก เฝ้าโชทั้งคืนขนาดนี้จะมีแรงอ่านหนังสือเหรอ”
   
“ไหวพี่ สบายมาก” ผมฉีกยิ้มอวดเก่ง ทั้งที่รู้สึกเพลียจนอยากจะสลบมันเสียตรงนี้เลย
   
“แน่ใจนะ หน้าซันดูเพลียมาก ไม่ใช่ว่าหักโหมจนเข้าโรงบาลอีกคน” พี่โมขมวดคิ้ว สีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
   
“แน่ใจ โห่พี่ ผมระดับไหนแล้ว ไม่ได้อ่อนแอแบบไอ้ตี๋สักหน่อย” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เออพี่ ฝากนี่ให้ไอ้ตี๋ด้วยนะ บอกมันว่าให้แดกเยอะๆ ผอมจนจะเหลือแต่กระดูกแล้ว” ผมยื่นอาหารสารพัดอย่างที่ซื้อมาให้พี่โมที่รับไปอย่างงงๆ
   
“ซันไม่เข้าไปหาโชหน่อยเหรอ อุตส่าห์รอมาตั้งนาน ป่านนี้น่าจะตื่นแล้ว”
   
ผมแกล้งเบ้หน้า “ไม่เอาอ่ะ เสียเวลา ผมหนีไปอ่านหนังสือก่อนดีกว่า”
   
“งั้นเดี๋ยวถ้าออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ พี่ให้โชไลน์ไปบอกนะ” พี่โมไม่ได้ขัดอะไร แค่ยิ้มให้แล้วเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง “ขอบใจมากนะซัน ถ้าไม่ได้ซันโชคงแย่”
   
“ไม่หรอกพี่” ...ยังมีไอ้นายอีกทั้งคน
   
ผมไม่เอ่ยประโยคหลังออกไป แค่ยิ้มบางๆ พลางบอกลา “งั้นผมไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวอ่านหนังสือไม่ทัน”

ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของพี่โมว่า

ต่อให้ไม่มีผม ไอ้นายก็คงไม่ปล่อยให้ไอ้ตี๋เป็นอะไร





“ซัน”

“อืม...” ผมครางหงุดหงิดพลางพลิกตัวหนี แต่เสียงหวานก็ยังกระซิบลงมาที่ข้างหูอย่างกวนใจ

“ซัน จะเที่ยงคืนแล้วนะ ไม่ไปทำงานเหรอ”

“...” ผมลืมตาขึ้นมา แต่ยังแน่นิ่ง ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะตอบกลับไป “ขี้เกียจอ่ะ” ว่าพลางพลิกตัวกลับไปกอดก่ายร่างบางที่นอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างกัน

ผมเพิ่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อเย็น เพื่อนที่เพิ่งสอบเสร็จเหมือนกันพยายามคะยั้นคะยอให้ไปดื่มฉลอง แต่เพราะไม่มีอารมณ์จะเมา เลยหาข้ออ้างมาขลุกอยู่ที่หอพราวแทน หลังจากทำเรื่องที่ทำเป็นประจำจนพอใจทั้งสองฝ่าย ผมก็หลับเป็นตายจนมาถึงตอนนี้อย่างที่เห็น

“แปลกจัง ปกติซันกระตือรือร้นจะตาย” พราวหัวเราะประหลาดใจ ขณะที่มือบางลูบหัวผมที่ซุกอยู่กับช่วงตัวของเธอไปมา
ผมเงยหน้าขึ้นไปยิ้มทะเล้น ก่อนจะขบริมฝีปากลงกับไหปลาร้าได้รูปเบาๆ “อยากอยู่กับพราว”

“ไม่หลงกลหรอกนะ” คราวนี้เจ้าของใบหน้าหวานหัวเราะเสียงใส พยายามเก็บอาการเขินอายไว้ แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกได้เหมือนทุกที 

ไหนบอกไม่หลงกล?

ผมยิ้ม ไม่ได้ว่าอะไรต่อ แต่ผละออกมานั่งพิงหัวเตียง หยิบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวขึ้นมาจุดสูบเงียบๆ รสชาติบุหรี่ที่ร้างลาไปนานถูกละเลียดอย่างช้าๆ อ้อยอิ่งราวกับกำลังรอเวลาบางอย่าง

“ปกติไม่เห็นซันสูบเลย” พราวเลิกคิ้ว ขยับเข้ามาในอ้อมแขนผมอีกครั้ง แนบใบหน้าลงกับแผ่นอกอย่างออดอ้อน

“ก็ไม่บ่อย” ผมตอบแค่นั้น ไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เลิกสูบไปได้ตั้งนาน หรือแม้กระทั่งสาเหตุที่เผลอหยิบมันติดมือมาด้วยอีกครั้งก็ไม่อยากจะสาวถึง

แค่รู้สึกอยากสูบขึ้นมา ก็เท่านั้น

“มีเรื่องเครียดเหรอ?”

“...” คราวนี้ผมไม่ตอบ ปล่อยควันขุ่นออกจากร่างกายอย่างช้าๆ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ป่านนี้ไอ้ตี๋คงกำลังสาปแช่งผมอยู่ที่ไม่โผล่หัวไปทำงาน แถมไม่ได้ลา...

แต่พอคิดอีกทีมันอาจจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ เพราะคงมีไอ้นายเป็นลูกมือคอยช่วยอย่างดีเหมือนทุกวัน

หลังกลับจากเฝ้าไข้ไอ้ตี๋เมื่อวาน ผมก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีกเลย อย่างที่บอกไปว่าผมมีสอบอีกหนึ่งตัว ตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาก็เลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือให้ทัน วันเดย์มิราเคิลที่แท้จริง ยังดีที่ตอนเรียนผมทำโจทย์ด้วยตัวเองตลอด ไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์ หรือไม่ก็ให้เพื่อนติวเดี๋ยวนั้นเลย เรียกว่าสั่งสมบารมีมาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้ตอนลงสนามจริง

ข้อสอบที่ว่ายากยังผ่านมาได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกประหลาดที่ติดอยู่ในใจ ทำไมไม่รู้วิธีแก้ไข

ผมว่าปัญหาคือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร

“หรือว่าเพราะเรื่องนั้น?” พราวเงยหน้าขึ้นถาม ผมขมวดคิ้ว

“เรื่องไหน?”

แต่พอเห็นผมทำหน้าไม่เข้าใจ เธอก็เปลี่ยนสีหน้าไป ก่อนจะเฉไฉ

“เปล่าหรอก” ว่าพลางผละออกไป หยิบเสื้อผ้าที่ตกอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสวม “หิวมั้ย ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ”

ผมดับบุหรี่ที่สูบจนหมดมวน แล้วยิ้มบางๆ “พราวทำให้กินหน่อยสิ”

ที่จริงคือขี้เกียจจะตาย ป่านนี้แล้วจะมีร้านอาหารที่ไหนเปิดอีก ผมไม่มีอารมณ์จะมาขับรถตระเวนหาหรอกนะ

“ก็ได้นะ มีมาม่าเหลือพอดี” พราวยักไหล่ ทำท่าจะลุกไปที่ครัว

“ไม่เอาอ่ะ” ผมเบ้หน้า กินมาม่าตอนนี้ได้ท้องอืดกันพอดี

“งั้นซันอยากกินอะไรอ่ะ” พราวหันมาเลิกคิ้ว

ผมชะงัก พยายามคิดว่าอยากกินอะไร แต่ในหัวกลับเผลอนึกภาพไปถึงว่าถ้าเป็นหอไอ้ตี๋คงได้กินโยเกิร์ต หรือไม่ก็ธัญพืชอบราดนม อาหารไขมันต่ำที่รสชาติไม่เอาอ่าวสิ้นดี

แล้วมันจะแปลกมั้ยถ้าตอนนี้ผมอยากกินไอ้อาหารรสชาติไม่เอาอ่าวพวกนั้น

“มาม่าก็ได้”

แปลกสัส... กูตอบเอง

“อะไรเนี่ย เปลี่ยนใจเร็วจัง” พราวเอ่ยกลั้วหัวเราะ แล้วลุกขึ้นยืน แต่ไม่วายหันกลับมามองผมก่อนจะก้มลงมากัดริมฝีปากกันเหมือนหมั่นไส้ “รอแป๊บนึงนะคะคุณชาย”

ผมหัวเราะเบาๆ มองร่างบางที่เดินออกจากห้องไป ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาจุดสูบ ตั้งใจว่าถ้าหมดมวนนี้จะตามออกไป

พอสูบบุหรี่เสร็จผมก็ลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าลวกๆ บิดขี้เกียจพอให้ร่างกายหายเมื่อยล้า ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนมา ที่ครัวเล็กๆ เชื่อมกับโซนรับแขกพราวกำลังยืนเอนหลังพิงเคาน์เตอร์หน้าเตาที่มีหม้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่ เธอดูไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ ทั้งที่น้ำเดือดแล้ว ใบหน้าสวยก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือสีหน้าจดจ่อจนผมขำออกมาเบาๆ

“เดี๋ยวก็ไฟไหม้หรอก” ผมว่าพลางเดินเข้าไปปิดเตา เส้นมาม่าที่ถูกจับโยนลงไปกำลังอืดได้ที่ มีไข่สองฟองโปะหน้าพอเป็นพิธีไม่ให้ดูแห้งแล้งเกินไป

ผมยกอาหารมื้อดึกของเราไปวางไว้บนโต๊ะอาหารเล็กๆ สำหรับสองคน หันกลับมาก็ยังเห็นว่าพราวเล่นมือถืออยู่ไม่วางตา

“มีอะไรในนั้นนักหนา” ผมเลิกคิ้ว

พราวจึงเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมแปลกๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ตัวเองมาให้ “นี่เด็กซันนี่” สีหน้าเธอฉายแววขบขัน จนผมขมวดคิ้วงุนงง พลางหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูหน้าจอที่ค้างไว้

มันคือหน้าเพจดังของมหาลัยที่ผมมักเห็นหน้าตัวเองถูกเอาไปโพสต์ลงบ่อยๆ ตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ผมไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะคิดว่ามันเป็นเพจไร้สาระ แต่คราวนี้รูปที่โพสต์ กับแคปชั่นที่โชว์หราอยู่ทำให้ผมไม่สามารถปล่อยผ่านได้


‘ภาพจากร้านกาแฟคิ้วท์บอยอันเลื่องลือ น้องโช บริหารคนดีเป็นลมคาร้านเลยจ้า เค้าเม้าท์กันว่านางโด๊ปยาจนช็อก ยาอะไรทำให้คิ้วท์บอยของฉันสลบเหมือดขนาดนี้ ใครรู้อินบ๊อกซ์มาบอกบุญป้าที เผื่อป้ามียาดีกว่าแนะนำนะจ๊ะ คริ~’


ยาเชี่ยอะไรล่ะ!

ผมแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งหลังจากที่อ่านแคปชั่นจบ ภาพเหตุการณ์คืนนั้นที่ผมอุ้มไอ้ตี๋ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกถูกโพสต์และถูกวิจารณ์ไปต่างๆ นานาไม่ต่ำกว่าร้อยคอมเม้นต์

แต่สิ่งที่ทำให้ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมคือความคิดเห็นบนสุดที่ถูกคนกดไลค์มากมาย ทั้งที่มันไร้สาระสิ้นดี


‘ยาลดความอ้วนไง เราเคยอยู่บ้านใกล้นาง จำได้ว่าเคยถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะกินยาลดความอ้วนเกินขนาด สงสัยจะยังไม่เข็ด’

 
แค่นั้นยังไม่พอ พอกดเข้าไปดูในข้อความที่ตอบความคิดเห็นยังเจอคนที่คอมเม้นต์แสดงตัวว่ารู้จักไอ้ตี๋อีกเต็มไปหมด แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นคอมเม้นต์ที่มีรูปคุ้นตาถูกแนบมาด้านล่าง


‘พี่โชที่เคยเรียนที่ XXX ใช่ป่ะ ว่าแล้วเชียวหน้าคุ้นๆ แต่ไม่ชัวร์’


รูปที่ผมเคยเห็นในโทรศัพท์มือถือของไอ้นาย แต่คราวนี้ภาพถูกครอปออกจนเหลือแค่ใบหน้าของไอ้ตี๋คนเดียว


‘กรี๊ดดด นี่คนเดียวกันจริงเหรอ มาไกลอะไรเบอร์นี้’

‘มาไกลมากนะคะคนนี้’

‘ศัลยกรรมป่ะ’

‘หมอไหนคะ ทำไมเสกให้ผีกลายเป็นเทพบุตรได้ขนาดนี้’

‘ศัลย์ฯ ชัวร์’

‘เป็น...ถูกมะ?’

ศัลยกรรม...

เกย์...


และอีกสารพัดคำที่คนพวกนี้จะสรรหามาวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความคึกคะนอง

เสือกอะไรวะ!
   
ผมกด  Report เพจทันทีโดยไม่ต้องรอให้อ่านครบทุกความคิดเห็น ลืมไปซะสนิทว่านี่เป็นโทรศัพท์และแอคเคาท์ของพราว พอรู้ตัวผมก็ยื่นโทรศัพท์คืนให้เธอที่เริ่มตักมาม่าจากหม้อแบ่งใส่ถ้วย มองผมด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
   
“ซันดูร้อนใจนะ”
   
“เรากลับก่อนนะ” ผมลุกขึ้นหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บข้าวของของตัวเองอย่างรีบร้อน
   
“จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ” พราวเดินตามมากอดอกมองหน้าประตู
   
ผมไม่ตอบ หยิบกระเป๋ากับกุญแจรถออกมา

“ซัน!” แต่เมื่อจะเดินผ่านร่างบางออกไป แขนของผมกลับถูกคว้าเอาไว้แน่น “พราวไม่ให้ไป”

“อย่าเพิ่งงี่เง่าได้มั้ย” ผมสะบัดแขนออก

ห้ามยังไงผมก็ต้องไปอยู่ดี ไม่รู้ว่าไอ้ตี๋เห็นรูปกับข้อความพวกนี้หรือยัง

เชี่ยเอ๊ย! มันใช่เรื่องที่ต้องมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงคนอื่นเหรอวะ

“ถ้าซันไป พราวจะไม่ให้กลับมาอีกแล้วนะ” แต่พราวกลับรั้งแขนผมไว้อีกครั้ง ผมหันกลับไปขมวดคิ้วมองเจ้าของดวงตาที่เคยแฝงความออดอ้อน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแววตาเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ

“พราว” ผมพยายามใจเย็น

“พราวจะไม่ทนเป็นเครื่องมือให้ซันอีก” เธอเอ่ยด้วยสายตาจริงจัง

ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ก่อนจะดึงแขนตัวเองกลับมา “ก็ตามใจ”

ยังไงซะผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรมาตั้งแต่แรก มันไม่ได้ช่วยให้ใครรู้สึกอะไรเลยสักนิด

“วีกำลังจะกลับมา”

“...” แต่แล้วผมก็ชะงัก เมื่อได้ยินชื่อที่หลีกเลี่ยงที่จะได้ยินมานาน

“พราวตั้งใจจะไปบอกตั้งแต่ที่ร้านกาแฟคืนนั้น แต่ดูเหมือนซันจะไม่ได้สนใจเลย”

“...”

“วีกำลังจะกลับมา และถ้าซันอยากทำตามแผนเดิม ซันต้องอยู่กับพราว” ผมหันกลับไปมองใบหน้าที่ยับย่นด้วยความรู้สึกหลากหลายจนยากจะอธิบาย

คล้ายกับเธอกำลังสมเพช เสียใจ และเหมือนจะได้ใจที่ตัวเองเอ่ยข้ออ้างนี้ขึ้นมาและหวังว่ามันจะหยุดผมได้
แต่เปล่าเลย

“เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

พูดจบผมก็เดินออกจากห้องมา โดยไม่สนใจแล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังจะมีสีหน้ายังไง

ไม่สนใจ แม้ว่าเธอจะเอ่ยชื่อ ‘แฟนเก่า’ ของผมออกมาเพื่อรั้งผมไว้อีกหลายต่อหลายครั้ง

บอกแล้วไง ว่าสิ่งที่เราทำ มันโคตรจะโง่เง่า และไม่มีประโยชน์อะไรมาตั้งแต่แรก


(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 7 [ 26/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 26-04-2017 06:13:40
(ต่อ)


ผมมาถึงร้านพี่โมในเวลาอันรวดเร็ว เหยียบคันเร่งจนมิดเมื่อถนนหลังเที่ยงคืนแทบจะไร้สิ่งกีดขวาง ไม่สนใจที่จะไปจอดรถในที่จอดของร้านด้วยซ้ำ แต่ขับมาเทียบฟุตบาธหน้าร้านอย่างเร่งรีบจนคนข้างในหันมามองเป็นตาเดียว

“พี่ซัน” คนแรกที่ทักผมคือไอ้นายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ตามลำพัง สีหน้ามันดูไม่สดใสเหมือนทุกวัน บ่งบอกอะไรได้เป็นอย่างดี

“ไอ้ตี๋ไปไหน” ผมถามเสียงดัง สอดสายตาหาคนตัวเล็กที่ต้องการมาเห็นหน้าให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นอะไรกับเรื่องบ้าๆ ที่ใครก็ไม่รู้กุขึ้นมา

ผมพยายามโทรหามันแล้ว แต่ดูเหมือนไอ้ตี๋จะปิดเครื่องไว้เลยโทรไม่ติด ยิ่งทำให้ผมร้อนใจแทบจะทนไม่ไหว

“กลับหอไปแล้ว” ไอ้นายตอบเสียงเบา หลบสายตาผม “ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะพี่”

พอมันพูดแบบนี้ผมก็รู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร

ไอ้ตี๋คงรู้เรื่องรูปนั่นแล้ว และรูปสมัยมัธยมที่ผมเห็นใต้โพสต์นั้นก็คงมาจากเพื่อนไอ้นาย

“บอกให้เพื่อนมึงลบรูปนั่นซะ” ผมบอก น้ำเสียงเรียบนิ่งแบบที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะใช้

“เดี๋ยวกูมา” ว่าจบผมก็เร่งฝีเท้าออกจากร้าน และขับรถมุ่งหน้าไปที่หอไอ้ตี๋ทันที
   
โชคดีที่ผมเคยจิ๊กกุญแจสำรองของมันเอาไว้ตอนที่ไอ้ตี๋ป่วยคราวก่อนจึงไม่ลำบากในการเข้าหอมันนัก ผมขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่มันพัก และแทบจะวิ่งไปที่หน้าห้องด้วยความร้อนใจ
   
ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง
   
ปังๆๆ
   
ผมทุบประตูเสียงดัง อยากจะถือวิสาสะไขประตูเข้าไปเลยเหมือนกัน แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความร้อนใจของผมอาจทำให้มันตกใจเกินไป และอีกใจหนึ่ง... ผมอยากได้เวลาเตรียมใจ ในการหาคำพูดที่อาจจะต้องใช้เพื่อปลอบใจมัน
   
แกรก~
   
รออยู่พักใหญ่จนเกือบจะทุบอีกหน ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับใบหน้าขาวใสที่ดูมึนงง
   
“มาทำอะไรดึกดื่นครับ” พอเห็นหน้าผมก็ขมวดคิ้วถาม สีหน้าดูไม่พอใจเหมือนอย่างเคย
   
“นี่มึง...” ไม่เป็นไรเลยเหรอ
   
หน้าตาท่าทางไอ้ตี๋ดูปกติซะจนผมเหวอไปเลย ใบหน้าติดเอาแต่ใจกับแววตาที่เคยมองผมด้วยความเอือมระอายังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่มีวี่แววของไอ้ตี๋ที่ฟูมฟายเสียใจเพราะพิษโซเชียลอย่างที่คิดภาพไว้เลยสักนิด
   
“มีอะไรครับ” ยกมือขึ้นกอดอก ถามย้ำ
   
ผมกะพริบตาปริบๆ มองมันอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ชิบหาย นี่กูเข้าใจผิดไปเองเป็นตุเป็นตะเลยเหรอ
   
“กูเห็น... รูป...” ผมอึกอัก พยายามอธิบายจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน
   
บางทีไอ้ตี๋อาจจะยังไม่เห็นรูปนั่นก็ได้ ถึงได้มีท่าทีปกติแบบนี้
   
“ผมรู้แล้วครับ” ไอ้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างเอือมๆ
   
อ้าว ก็เห็นแล้วนี่หว่า
   
“แล้วมึง... โอเคนะ” ผมหรี่ตามองมันอย่างไม่แน่ใจ
   
ไอ้ตี๋เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ”
   
“...”
   
“ตอนมัธยมยังโดนมาหนักกว่านี้”
   
แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่มันหลบสายตาผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ทุกอย่างก็เฉลยออกมาว่ามันไม่ได้โอเคอย่างที่แสดงออก
   
ไอ้ตี๋กำลังพยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเองภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของมัน
   
กูว่าแล้วไง
   
“แล้วอีกอย่างมันเป็นเรื่องจริง” ดวงตาเรียวเล็กกลับมาสบตาผมด้วยสายตาแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังรู้สึกยังไงอีกครั้ง “ผมเคยช็อกเข้าโรงพยาบาลเพราะกินยาลดความอ้วนจริงๆ”
   
“ตี๋...” ผมชะงักไป ไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากจะพูดอะไร ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และตอนที่เห็นข้อความผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
   
แต่มันจะสำคัญอะไร
   
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ มันเป็นวิธีที่ได้ผลเร็ว” ว่าพลางยักไหล่ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
   
เชี่ยเอ๊ย อย่าทำหน้าแบบนั้นได้มั้ยตี๋
   
“งั้นมึงศัลยกรรมด้วยเหรอ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปากหมาถามออกไปแบบนั้น
   
แค่ไม่อยากเห็นมันทำหน้าแบบนี้... ใบหน้าที่เคลือบด้วยความเข้มแข็งทั้งที่ข้างในอาจจะกำลังแตกสลาย
   
“...” มันไม่ตอบ
   
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าแม่งจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า สิ่งที่ผมต้องการรู้ตอนนี้ ไม่ใช่คำตอบว่าทุกอย่างคือความจริงหรือไม่เลยสักนิด
   
ที่ผมต้องการรู้ แค่อย่างเดียว... ก็คือความรู้สึกไอ้ตี๋ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาถึงนี่ด้วยความร้อนใจขนาดนี้
   
“มึงแดกยา ศัลยกรรม เป็นเกย์ แล้วยังมีอะไรอีก”
   
“...”
   
“ที่มึงเป็นลมคาร้านเพราะแดกยาลดความอ้วนเกินขนาดด้วยถูกมะ”
   
“คุณซัน!” คราวนี้มันเรียกชื่อผมเสียงดังเหมือนทนไม่ไหว แหงล่ะ จะมีใครรู้ดีกว่าผมว่าอะไรเป็นอะไร
   
ผมเฝ้าไข้มันมาทั้งคืน ได้ยินมาจากหมอกับหูว่ามันเป็นลมเพราะอะไร แต่ก็อดประชดออกไปไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่ทำเหมือนไม่เป็นอะไรแบบนั้น
   
“ถ้าจะมาพูดจาไร้สาระก็กลับไปดีกว่าครับ” แต่จนแล้วจนรอด ไอ้ตี๋ก็ปรับสีหน้ากลับมาหยิ่งยโสเหมือนเดิมจนได้มือบางเอื้อมไปจับบานประตูให้ปิดลงเพื่อไล่กัน
   
“อ้อ แล้ววันหลังถ้าจะขาดงาน ช่วยโทรมาลาก่อนหนึ่งวันด้วยนะครับ” พูดจบประตูก็ปิดลง พร้อมกับเสียงของผมที่หลุดเรียกชื่อมันออกมา
   
“โชกุน...”

ปัง

แต่ก็ไม่ทัน
   
เชี่ยเอ๊ย! งี่เง่าชิบ!
   
ทำไมต้องปิดบังความรู้สึกตัวเองตอนอยู่ต่อหน้าด้วยวะตี๋
   
ที่ผ่านมาผมคิดไปเองคนเดียวหรือไงว่าผมคือคนที่มันสนิทใจด้วย จนพร้อมจะเล่า หรือแสดงออกความรู้สึกทุกอย่างออกมา
   
 “...” ผมยืนสบถพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น มองบานประตูที่เพิ่งปิดลงด้วยความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ
   
ทั้งที่ถ้าอยากคุยให้รู้เรื่อง ผมจะไขประตูเข้าไปเลยก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรอ...
   
รอให้มันเป็นคนเปิดรับผมเข้าไป ทั้งที่ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่ามันจะยอมเปิดออกมา
   
แกรก...
   
และไม่นาน คำเรียกร้องในใจของผมก็เป็นจริง
   
เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างของไอ้ตี๋ที่ค่อยๆ เดินออกมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง แต่คราวนี้แววตาของมันกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
   
“คุณไม่น่ามาเลย...” เงยหน้ามองผมอย่างคาดโทษ ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างกำลังสั่นระริก ปฏิเสธคำพูดของตัวเองอย่างชัดเจน
   
ผมรู้ว่ามันดีใจที่เห็นผม
   
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เอ่ยเสียงเบา พลางกัดริมฝีปากตัวเองราวกับกำลังข่มใจ ผมเลยยิ้มตอบกลับไป
   
“อืม มึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
   
“ผมแค่อยากเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนใหม่ ไม่ใช่คนที่น่าสมเพชแบบนั้น คุณเข้าใจใช่มั้ย”
   
ผมพยักหน้า “กูเข้าใจ”
   
“แต่พวกเขาไม่เข้าใจ...”
   
“ช่างหัวพวกมัน” ผมเถียงทันที ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเมื่อคิดได้ว่าการกระทำอันสิ้นคิดของใครหลายคน กำลังส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนตรงหน้าอย่างร้ายแรง

“แต่ว่า...”

“มึงจะแคร์คนพวกนั้น หรือแคร์กู เลือกมา” ผมยื่นข้อเสนอด้วยน้ำเสียงดุๆ อย่างไม่จริงจัง

และมันก็ได้ผลเมื่อไอ้ตี๋หัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาเรียวสวยเงยขึ้นสบตาผม ยังคงสั่นระริก และวาววับไปด้วยม่านน้ำตาที่มันพยายามข่มเอาไว้

“ผมร้องไห้ได้มั้ย”

มันใช่เรื่องที่ต้องถามเหรอวะตี๋

“ทำไมจะไม่ได้”

ไอ้ตี๋คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา แต่เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าขาวใสก็เริ่มขมวดคิ้ว กัดริมฝีปากตัวเองแน่น เหมือนพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมคล้ายกับจะเว้าวอน

“เคยมีคนบอกว่าผมหน้าตาน่าเกลียด... ตอนร้องไห้ก็ยิ่งน่าเกลียด...” พูดได้เท่านั้นหยดน้ำตาใสๆ ก็ไหลลงมาอาบแก้มเนียนราวกับไม่สามารถสะกดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป

“...” 

“แต่ผมไม่อยากแอบไปร้องไห้คนเดียวอีกแล้ว... ฮึก... ไม่อยาก...”

หมับ!

ไม่ทันพูดอะไรต่อ ผมก็คว้าร่างมันมากอดไว้ กอดแน่นๆ ไม่ให้มันพูดอะไรได้อีกนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหล สะอึกสะอื้นกับไหล่ผมจนกว่าจะพอใจ

“อย่าคิดแบบนั้นดิตี๋” ผมลูบหัวมันเบาๆ เอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงจริงใจกว่าครั้งไหนๆ “มึงไม่ได้น่าเกลียด ไม่น่าเกลียดเลยสักนิด”

“ฮึก...”

“มึงน่ารักจะตาย จะยิ้ม จะหน้าบึ้ง หรือจะร้องไห้จนหน้าบูดหน้าเบี้ยวยังไง มึงก็ยังน่ารัก... น่ารักมาก ได้ยินมั้ย”

ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดแบบนั้นเหมือนกัน รู้แต่ว่ามันไม่ใช่แค่คำปลอบใจ...

เพราะทุกสิ่งที่ผมพูดออกไป คือความจริงที่สัมผัสได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์






----------------------------------------------------------------------
เอาดราม่ากรุบกริบมาเสิร์ฟน้อ   :katai5:
ความจริงอยากตัดเล่าทีละประเด็น แต่เขียนไปเขียนมา เล่าทีเดียวสองปมเลยดีกว่าค่ะ หวังว่าจะรับกันทันนะ 5555
ใครยังไม่เคยอ่านเชนตรีขอเท้าความนิดนึงว่า วี คือ แฟนเก่า ของซันที่เคยปรากฏในเรื่องก่อนค่ะ (เดี๋ยวจะเล่าละเอียดอีกทีตอนนางมีบทนะคะ 5555)
ที่ต้องดึงตัวละครนี้กลับมาเพราะว่าเรื่องนั้นซันออกตัวแรงว่ารักวีมากๆ ถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟายตอนเค้าทิ้งไป
เราไม่อยากให้ความรักในเรื่องนั้นดูปลอม ซันลืมง่ายๆ เลยหยิบประเด็นนี้มาเล่นในเรื่องนี้อีกทีค่ะ
แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นตัวแปรอะไรสำคัญอะไรขนาดนั้นค่ะ แค่มาสะกิดต่อมเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาแฟนเก่าเนอะ 55555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า

-- Martian --
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 7 [ 26/4/2560 ] : P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-04-2017 15:43:23
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 8 [ 29/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 29-04-2017 03:52:46
ก่อนตะวัน : 8

   
“ผมไม่เห็นคุณที่โรงพยาบาล” ผมหันไปเลิกคิ้วมองคนข้างตัวที่เอ่ยคำถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
   
หลังจากร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่เกือบชั่วโมง ไอ้ตี๋ก็หยุดร้องได้สักที ด้วยความดีความชอบที่เป็นคนปลอบมันจนดีขึ้น พอผมบอกว่าดึกแล้วขี้เกียจขับรถกลับมันจึงยอมให้มานั่งเล่นในห้องได้ ผมไม่ได้บอกว่าจะค้าง แต่แน่นอนว่าผมจะเนียนค้างที่นี่เพื่อดูอาการมันอีกสักหน่อย
   
เกิดอยากร้องไห้ขึ้นมาอีก จะได้หาทางทำอะไรสักอย่าง...
   
ผมไม่เคยกอดไอ้ตี๋มาก่อน อันที่จริงน้อยครั้งมากที่จะกอดผู้ชายสักคน โดยเฉพาะการกอดปลอบตอนร้องไห้ ที่เคยทำอย่างมากก็แค่ตบบ่า บอกว่าไม่เป็นไร แต่ไม่เคยคิดจะกอดเลยสักครั้ง
   
มันแปลก... ผมเองก็เพิ่งนึกได้
   
แต่พอเห็นว่าอ้อมกอดของผมทำให้ไอ้ตี๋หยุดร้องไห้ได้ ความแปลกนั้นก็ถูกทดแทนด้วยความโล่งใจ และเลิกใส่ใจมันในความคิดไปโดยปริยาย
   
“กูกลับมาอ่านหนังสือ” ผมว่าพลางเบือนหน้าออกมา
   
ทีวีในห้องรับแขกฉายหนังสักเรื่องที่มั่นใจว่าเคยดู แต่ผมไม่คิดจะค้นหาคำตอบว่ามันคือเรื่องอะไร ในหัวกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนแทบจะจับใจความไม่ได้ ขณะที่ปล่อยให้หนังดำเนินไปเรื่อยๆ
   
“อ่อ ครับ” มันพึมพำเสียงเบา
   
ผมเหลือบสายตามองไอ้ตี๋ก็พบว่าดวงตาที่บวมเป่งของมันกำลังจดจ้องอยู่ที่หน้าจอ แต่สายตาดูเหม่อลอยไม่ต่างกัน
   
“แล้วมึงเป็นไงบ้าง หายป่วยยัง” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
   
ถึงตอนอยู่โรงพยาบาลไข้จะลดแล้ว แถมหมอก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นไรมาก แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ไอ้ตี๋แม่งชอบฝืนสังขารตัวเอง
   
“...” มันไม่ตอบ ผมจึงขมวดคิ้วยกมือขึ้นไปยังหน้าผากใส
   
“แล้ววันนี้มึงได้ไปทำงานป่ะเนี่ย” เลื่อนมือแตะจนทั่วใบหน้า แน่ใจแล้วว่าอุณหภูมิร่างกายมันปกติ แม้ว่าหน้าจะดูแดงๆ ชอบกล
   
“ครับ” มันตอบแค่นั้น หันหน้ามามองผมแวบหนึ่งแล้วหลบสายตาไป “แต่กลับมาก่อน”
   
คงเพราะเรื่องรูปนั่น
   
ผมคิดไว้แล้วว่ามันคงจะแคร์เรื่องนี้มาก มันพยายามหนีอดีตมาเป็นปีๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกขุดคุ้ยมาวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ไม่คิดมากก็บ้าแล้ว
   
“ดีแล้ว” ผมว่า เอื้อมมือออกไปตบบ่ามันเบาๆ “จริงๆ มึงยังไม่ควรไปทำงานด้วยซ้ำ หยุดทั้งอาทิตย์ไปเลย”
   
คราวนี้ไอ้ตี๋หันกลับมาย่นคิ้วใส่ผมเหมือนพูดอะไรไม่เข้าท่า
   
“กูพูดจริงนะตี๋ สุขภาพมึงสำคัญ เรื่องร้านเดี๋ยวกูกับไอ้นายดูเองก็ได้”
   
“...”
   
“ชาวบ้านเขาเป็นห่วงมึงกันจะตายห่า มึงหัดห่วงตัวเองบ้างเหอะ” ผมบ่นอุบ ผลักหัวคนที่ยังมองมาด้วยสายตาไม่เชื่อฟัง
   
“ผมไม่เป็นไรสักหน่อย”
   
“ยังจะมาเถียง” ผมดุ “แล้วนี่มานั่งอยู่ทำไม ทำไมไม่ไปนอน” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ จะตีสองเข้าไปแล้วไอ้ตี๋ยังมาตีหน้ามึนนั่งดูหนังข้างผมอยู่ได้
   
“ก็คุณยังไม่กลับ” มันขมวดคิ้ว
   
“กูบอกตอนไหนว่าจะกลับ” ผมตีหน้าตาย
   
“อ้าว”
   
“อ้าวอะไร กูบอกแล้วว่าขี้เกียจขับรถ” ผมยักไหล่ เอนตัวทำท่าจะนอนบนโซฟาหน้าตาเฉย “หลบดิ๊มึงอ่ะ กูจะนอนตรงนี้” ไล่คนที่นั่งขวางรัศมีการเอนตัวให้หลบไป ไอ้ตี๋กะพริบตามองหน้าผมงงๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหลบสักทีผมจึงทิ้งตัวลงหนุนตักมันซะเลย
   
“คุณซัน!” มันเรียกชื่อผม สีหน้าดูตกใจจนน่าขำ
   
“ถ้ามึงไม่ถอยกูก็จะนอนอยู่งี้แหละ” ผมแกล้งหลับตากอดอก แล้วพลิกตัวหันหน้าเข้าหามัน กลิ่นกายที่เคยสัมผัสได้ผ่านๆ
 ชัดเจนขึ้นเมื่อจมูกซุกลงใกล้หน้าท้องบาง

   
“...” ไอ้ตี๋เงียบไป สัมผัสได้ถึงความเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แต่มันกลับไม่ขยับตัวหนีเหมือนทุกที
   
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองใบหน้าที่อยู่เหนือกว่าของไอ้ตี๋ที่กำลังก้มลงมาสบตาผมเช่นกัน
   
“...” ความเงียบอัดแน่นเต็มบรรยากาศ เมื่อทั้งผมทั้งมันต่างไม่มีใครพูดอะไร เสียงทีวีกลายเป็นเสียงประกอบที่ไม่มีใครใส่ใจ
   
ไม่รู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรบางอย่างที่อยู่ในแววตาของไอ้ตี๋ หรือเพราะอยากเห็นหน้ามันให้ชัดกว่านี้ รู้ตัวอีกที ผมก็ชะโงกหน้าขึ้นมาจากตักมัน ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าเรียวที่ยังคงมองมาด้วยสายตาอ่านยากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบา...
   
กริ๊งงง
   
ชิบหาย!
   
โครม!
   
ผมตกใจจนเสียหลักตกโซฟา ในขณะที่ไอ้ตี๋ก็สะดุ้งสุดแรง กะพริบตาปริบๆ มองมาด้วยสีหน้างุนงง
   
โทรศัพท์ใครวะ!
   
เออ ของกูเอง
   
“ฮัลโหล” ผมควักโทรศัพท์มือถือที่กำลังส่งเสียงอยู่ในกระเป๋า พร้อมกับลุกขึ้นมานั่งพิงโซฟา มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกาหลังคอตัวเองเก้อๆ
   
เมื่อกี้นี้มัน... เชี่ยอะไรวะ
   
[ พี่ซัน พี่โชเป็นไงบ้างพี่ ]
   
ไอ้นาย
   
พอรู้ว่าใครโทรมา สายตาผมก็เหลือบไปมองคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟ้าโดยอัตโนมัติ ไอ้ตี๋หันมาสบตาผมแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะลุกออกไป พร้อมๆ กับผมที่ลุกขึ้น ปลีกตัวเดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง
   
“ไม่เป็นไรแล้ว” กว่าจะหาคำตอบเจอก็ใช้เวลาพักใหญ่ ผมลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะสูดเอาอากาศเย็นๆ นอกระเบียงเข้าไป
   
เผื่อมันจะทำให้อะไรที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในใจผมสงบลงได้บ้าง
   
[ จริงเหรอพี่ ] ไอ้นายทำน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อ
   
“เออ” ผมตอบห้วนๆ ยกมือขึ้นมายีผมจนยุ่งโดยไม่รู้ตัว “ถ้าเป็นห่วงนักมึงก็มาหามันดิ แต่มันจะนอนแล้วนะ” ไม่เข้าใจสักนิดว่าผมจะพูดจาย้อนแย้งแบบนั้นออกไปทำไม
   
[ ไปไม่ได้หรอกพี่ ร้านยังไม่ปิดเลย ] ไอ้นายทำเสียงหงอย [ แล้วอีกอย่างพี่โชคงไม่อยากเจอหน้าผมแล้ว ] และยิ่งหงอยกว่าเดิมในประโยคต่อมา
   
“เฮ้ย อย่าคิดมากดิ ไม่ใช่ความผิดมึง”
   
[ แต่ผมน่าจะบอกให้เพื่อนลบรูปนั้นไปตั้งนานแล้ว ]
   
ผมเงียบไปพักหนึ่ง เพื่อหาคำพูดที่จะทำให้มันสบายใจ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น รวมถึงเพื่อนไอ้นายด้วย คนพวกนั้นไม่ได้รู้จักไอ้ตี๋เหมือนที่ผมรู้ และพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้มันจะเซ้นซิทีฟสำหรับมัน
   
“เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบแหละ” ผมว่า เดี๋ยวนี้กระแสอะไรก็อยู่ได้ไม่นานทั้งนั้น มาแค่ให้พอได้วิจารณ์ แล้วก็หายไปกับสายลม
   
ที่ทำได้ก็คงเป็นการดูแลจิตใจของคนที่โดนกระทำ
   
ผมหันกลับเข้าไปมองในห้องรับแขกอีกครั้ง เห็นไอ้ตี๋กำลังง่วนอยู่กับการจัดหมอน และวางผ้าห่มผืนหนาไว้บนโซฟา พอรู้ตัวว่าผมกำลังมองอยู่มันก็หันมาสบตากันด้วยสีหน้าอ่านยากอีกครั้ง แต่เพียงแวบเดียวก็หายไป กลับกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังขอบคุณ
   
รอยยิ้มที่ไม่ได้รับบ่อยนักคงทำให้ผมตกใจจนหัวใจมันเต้นแรงขึ้นมา
   
“แต่ถ้ามึงอยากไถ่โทษเดี๋ยวกูช่วยเอง”
   
รอยยิ้มที่ทำให้รู้ว่าผมควรทำอะไรสักอย่าง...
   
[ อะไรวะพี่ ]
   
“เออน่า เชื่อใจพ่อสื่ออย่างกูเถอะ”
   
เพื่อไม่ให้มันกวนใจผมเกินจำเป็น

   




วันต่อมา
   
โครม!
   
เชี่ยเอ๊ยย ทำไมมันลำบากยากเย็นขนาดนี้วะ
   
เป็นแค่ข้าวต้ม จำเป็นต้องทำยากเย็นขนาดนี้เลยเหรอวะ ถึงจะเป็นข้าวต้มกุ้งทรงเครื่องสูตรชาววังก็เหอะ
   
วังไหนไม่รู้ด้วย กูเสิร์ชอินเตอร์เนตเอา
   
แต่แค่ล้างกุ้งก็ไม่รอดแล้วไง
   
“ทำอะไรครับ” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงคนดังมาจากด้านหลัง
   
หันกลับไปก็เจอไอ้ตี๋ยืนกอดอกอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ใบหน้ายู่ยี่ใต้กรอบแว่นหน้ากำลังมองมาเหมือนไม่สบอารมณ์ที่ต้องตื่นนอนก่อนเวลาอันควรเพราะเสียงโครมครามที่ผมเป็นคนทำ

ตาบวมหมดเลยว่ะ เมื่อคืนน่าจะหาอะไรให้มันประคบก่อนนอนสักหน่อย
   
“ข้าวต้ม” ผมตอบ ยกมือขึ้นเกาคางตัวเองแก้เก้อ
   
ไอ้ตี๋ขมวดคิ้ว แล้วขยับเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้ามองซากกุ้งที่หล่นกระจายอยู่เต็มอ่างล้างจานเกือบครึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ
   
“ทำไปทำไมครับ”
   
อ้าว ถามอะไรโง่ๆ วะตี๋
   
“ทำให้มึงกินไง” ผมโพล่งเสียงดัง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแม่งขวานผ่าซากเกินไป เลยเบาเสียงลง “อาหารคนป่วย”
   
มันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ซื้อเอาก็ได้นี่ครับ”
   
เออก็จริง
   
ผมเบ้หน้า มองมันอย่างคาดโทษที่ไม่เข้าใจความใส่ใจ “ก็กูอยากทำเองไม่ได้หรือไง”
   
คราวนี้มันเลยเดินมายืนข้างผม หยิบกะละมังใส่กุ้งที่ล้างแล้วออกมาจากอ่างล้างจาน
   
“ทำเองน่ะได้ครับ... ถ้าทำเป็น” ไม่วายทำหน้าเอือมใส่กันเหมือนเคย
   
"กูก็เสิร์ชกูเกิ้ลอยู่นี่ไง มึงแม่ง อย่ามาขัดความพยายามกูดิ๊” พว่าพลางดันหลังมันให้หลบไป “คนป่วยไปนั่งรอไกลๆ เลยไป เดี๋ยวกูจัดการเอง”
   
“จะรอดเหรอครับ” มันขืนตัวไว้เมื่อผมไล่ให้ไปนั่งรอที่เคาน์เตอร์บาร์
   
“รอดดิ ระดับกูนะตี๋” ได้ทีก็คุยโว ทั้งที่เคยเข้าครัวกับชาวบ้านเขาที่ไหน ครัวที่ห้องตัวเองยังมีไว้ประดับบารมีเพิ่มค่าเช่าไปงั้นๆ
   
“ห้ามเผาครัวนะครับ” ถึงจะยอมให้ผมดันหลังจนไปนั่งบนเก้าอี้ได้สำเร็จแต่ก็ไม่วายหันมาทำหน้าไม่ไว้ใจกัน
   
“เออ”
   
เห็นกูกากระดับนั้นเชียว
   
“เปลี่ยนใจแล้ว ออกไปกินข้างนอกดีกว่า” ทำท่าจะกระโดดลงจากเก้าอี้มาอีกรอบ
   
“ตี๋!” ผมโวยวาย “ถ้าลุกกูงอนนะ” กอดอกเบ้หน้าเหมือนเด็กสามขวบทั้งที่รู้ว่าเป็นคำขู่ที่ปัญญาอ่อนสิ้นดี
   
ไอ้ตี๋มันเคยแคร์ผมที่ไหน โกรธให้ตายก็ต้องหายเองตลอดป่ะวะ
   
“ก็ได้ครับ” แต่ผิดคาด คราวนี้ไอ้ตี๋กลับถอนหายใจเบาๆ แต่ยอมกลับไปนั่งรอแต่โดยดี “แต่อย่าเผาครัวนะครับ”
   
“รู้แล้ว” ผมรับคำขำๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวฟูๆ ของคนตัวเล็กกว่าเร็วๆ ไม่เปิดโอกาสให้มันได้ด่าก็เดินกลับมายืนหน้าเตาอีกครั้ง
   
โอเค ข้าวต้มกุ้งสูตรชาววัง เริ่ม!
   
ผมให้สัญญาณตัวเองในการทำมื้อเช้าอีกครั้งในใจ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านสูตรคร่าวๆ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่นี่หว่า ต้มน้ำซุปให้เดือดแล้วใส่กุ้ง... ชิบหายไม่มีน้ำซุป
   
น้ำเปล่าได้ป่ะวะ
   
ผมเหลือบมองไอ้ตี๋ที่นั่งมองมาไม่วางตา กูเกร็งนะเนี่ย แต่สกิลการทำอาหารมันไม่ต่างจากผมนักหรอก เพราะงั้นใส่น้ำเปล่าแทนน้ำซุปแม่งคงไม่เอะใจ
   
“ไหวแน่เหรอครับ”
   
“ตี๋ อย่าเพิ่งขัดดิ” ผมโวยวาย แล้วหันกลับมาจดจ่อกับการทำข้ามต้มอีกครั้ง
   
อ่านหนังสือสอบกูยังไม่ตั้งใจขนาดนี้ ให้ตายเหอะ คิดถูกหรือคิดผิดวะเนี่ยที่ดันอวดดีจะทำอาหารเอง
   
ผีเข้ากูแน่ๆ ถึงได้ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้
   
ผมคิดไปบ่นไปรอจนเนื้อกุ้งเริ่มสุกก็ใส่ข้าวสวยทที่เตรียมไว้ลงไปตามสูตร คนให้เข้ากัน แล้วปรุงรสตามใจชอบ... ตามใจชอบ?
   
ไอ้สัส สูตรเชี่ยไรเนี่ย มึงจบแค่ตรงนี้ได้ยังไง!
   
ผมเหลือบมองไอ้ตี๋อีกครั้ง พยายามไม่ส่งสายตาให้มันจับได้ว่ากำลังอยู่ในความชิบหาย เห็นไอ้ตี๋ส่งสายตาไม่ไว้ใจกลับมาก็รีบฉีกยิ้มกว้างเอาตัวรอดไว้ก่อน มันถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเอือมให้ผมนิดหน่อย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความขบขัน
   
จะหัวเราะกันมันยังเร็วไปนะเว้ยตี๋!
   
ผมรีบหันกลับมาจัดการกับข้ามต้มในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ อีกครั้ง ปิดหน้าจอโทรศัพท์ ช่างแม่งมันแล้วสูตร หันไปลังเลกับเครื่องปรุงที่กวาดซื้อมาแบบลวกๆ พร้อมกับวัตถุดิบอื่นๆ เมื่อเช้าแล้วสูดหายใจลึก
   
ปรุงรสตามใจชอบ... งั้นเอาตามที่กูชอบแล้วกันนะตี๋
   
ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าข้าวต้มเวรนี่จะเสร็จ ผมจัดการปิดเตา แล้วตักข้าวต้มใส่ถ้วยอย่างอารมณ์ดี เลือกกุ้งตัวใหญ่ๆ ให้ไอ้ตี๋ที่มองตามเหมือนทึ่งนิดๆ ที่ในที่สุดมันก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
   
เละไปหน่อยแต่แดกได้แน่นอน
   
“บอกแล้วครัวไม่ไหม้” ผมฉีกยิ้มอย่างภูมิใจ แต่ไอ้ตี๋กลับยักไหล่ไม่ใส่ใจ
   
ผมวางข้าวต้มของตัวเองลงฝั่งตรงข้ามมัน แล้วเดินไปรินน้ำกลับมาสองแก้วอย่างเต็มในบริการ นั่งลงตรงข้ามไอ้ตี๋ที่รออยู่แล้วส่งสัญญาณให้เริ่มกิน
   
“...”
   
“...”
   
หวาน... สัส! นี่ข้าวต้มหรือทับทิมกรอบ
   
ผมว่าตอนอยู่ในหมอมันไม่ได้รสชาตินี้นะ พอลงถ้วยแล้วทำปฏิกิริยาอะไรกับเซรามิกป่ะวะ
   
“อร่อยดีนะครับ” ปล่อยเวลาไปสักพัก ไอ้ตี๋ก็เอ่ยออกมา พลางตักข้าวต้มอีกคำเข้าปาก
   
ผมนี่อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ อร่อยพ่อง มันแดกไม่ได้เว้ยตี๋ ไม่ต้องปลอบใจกู
   
แต่เพราะเห็นไอ้ตี๋ยังคงตักเข้าปากเหมือนอร่อยอย่างที่ปากว่าจริงๆ ผมก็อดไม่ได้ที่จะตักข้าวต้มขึ้นชิมอีกครั้ง...
   
ซึ่งผลแม่งก็เหมือนเดิม
   
ขนาดกุ้งยังหวานเลยสัส!
   
ผมวางช้อนลงทันที เอื้อมมือไปแย่งช้อนไอ้ตี๋ที่กำลังจะกระเดือกข้าวต้มเวรนี่เข้าปากอีกคำแล้วเลื่อนชามหนี ไอ้ตี๋มองหน้าผมที่ถือข้าวต้มทั้งสองถ้วยไปวางไว้ที่อ่างล้างจานงงๆ ขณะที่ผมเดินกลับมานั่งที่เดิมแล้วถอนหายใจ
   
“ตี๋ มึงว่า คนป่วยนี่แดกพิซซ่าได้มะ”
   
มันมองผม ส่ายหน้าเอือมเหมือนเคย 

แต่สุดท้ายกลับหลุดขำออกมา







-------------------------------------
เจ้าซันเอ๊ยยย  :ling2:

ปล. เรื่องเอื่อยไปมั้ยนะ หวังว่าจะถูกใจกันนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

--Martian--
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 8 [ 29/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 29-04-2017 19:06:22
55555
ความพยายามเป็นเลิศมากซัน
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทที่ 8 [ 29/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: temaripik ที่ 29-04-2017 19:22:46
นอกจาความโง่ของซันแล้วยังจะมีดราม่าด้วยอ่อ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 9 [ 30/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 30-04-2017 16:42:27
ก่อนตะวัน : 9

   
ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมกับไอ้นายต้องทำงานกะดึกที่ร้านกันสองคน ไอ้ตี๋แวะเวียนมาดูด้วยความเป็นห่วงบ้าง แต่ผมไม่เคยให้มันอยู่เกินเที่ยงคืน พอมันดื้อผมก็ขู่ว่าจะไล่ลูกค้าแล้วปิดร้านซะ และเพราะได้รับการอนุมัติมากจากพี่โมแล้วไอ้ตี๋มันเลยยอมกลับไปแต่โดยดี
   
อาการป่วยของมันดีขึ้นมาก การได้กลับมาพักผ่อนอย่างเพียงพอทำให้หน้าตามันกลับมาดูสดใสเป็นปกติอีกครั้ง แต่เรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจมัน ก็คือข่าวลือนั่น...
   
จริงอยู่ที่เวลาผ่านไปเรื่องเมาท์มอยไม่เข้าท่าก็เงียบลง เพจเจ้าปัญหาถูกปิดลง แต่ก็กลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้งในเวลาไม่นาน แต่คงรู้ว่าสาเหตุที่ถูกปิดคืออะไรแอดมินเลยหยุดเล่นประเด็นของไอ้ตี๋ไป ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนเวลากลับไปลบล้าง
   
ทุกวันนี้ลูกค้าหลายคนที่มาที่ร้านต่างก็จ้องมองไอ้ตี๋ด้วยสายตาประหลาด บ้างก็ซุบซิบนินทาออกนอกหน้าจนผมแทบอยากจะไล่ออกจากร้านไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ถึงไอ้ตี๋จะบอกว่าไม่เป็นอะไร ชินแล้ว หรืออะไรก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าในใจมันก็คงยังรู้สึกแย่อยู่ดี
   
ผมแวะไปหามันที่ห้องทุกคืนหลังเลิกงาน ใช้ข้ออ้างเดิมๆ ว่าหออยู่ไกลจากร้าน ขี้เกียจขับรถกลับกลางดึกแล้วถือวิสาสะใช้กุญแจสำรองที่ยังไม่ได้คืนไขเข้าห้องไปโดยไม่คิดจะเกรงใจ แต่ความเป็นห่วงของผมผิดคาดเสียที่ไหน เพราะช่วงแรกที่โผล่เข้าไป ก็ยังเห็นไอ้ตี๋นั่งซึมไม่หลับไม่นอนในห้องรับแขกอยู่เลย มันบอกไม่ชินที่ต้องนอนเร็ว ผมก็ไม่รู้จะบังคับยังไง เลยได้แต่นั่งเป็นเพื่อน ดูหนัง หรือหาอะไรทำให้มันง่วงเร็วๆ ผมรอให้มันหลับก่อนแล้วค่อยอาศัยโซฟาตัวเดิมต่างเตียงนอนหลับจนเช้าแล้วค่อยกลับหอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเรียน
   
“วันหลังไม่หอบเสื้อผ้ามาอยู่นี่เลยเหรอครับ” เจ้าของห้องหันมาทำหน้าเอือมทันทีที่เห็นผมเปิดประตูเข้ามาตอนเกือบจะตีสี่เหมือนเคย
   
“ได้เหรอวะ” ผมแกล้งทำตาลุกวาว ไอ้ตี๋เลยทำหน้าเหม็นเบื่อไปกันใหญ่
   
ผมหัวเราะลั่นเดินไปนั่งข้างมันพลางยกมือขึ้นมาขยี้หัวฟูๆ แรงๆ อย่างมันเขี้ยว ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เวลาไอ้ตี๋ถอดคอนแท็กเลนส์แล้วเปลี่ยนมาใส่แว่นทรงลุงหนาเตอะแบบนี้แล้วมันดู... น่ามันเขี้ยวกว่าปกติ
   
โดยเฉพาะทำหน้าบู้บี้หงุดหงิดใส่ผมแบบนี้เนี่ย
   
“ความจริงไม่จำเป็นต้องมาแล้วก็ได้นะครับ” มันว่า ปัดมือผมออกจากหัวตัวเองอย่างแรง “ผมสบายดีแล้ว ไม่มีไข้แล้วด้วย”
   
ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่วันแรก จนตอนนี้ครบอาทิตย์แล้วผมก็ยังโผล่หัวมาอยู่ดี ไม่รู้ทำไมมันไม่เลิกบ่นสักที
   
“บอกแล้วไงว่ากูขี้เกียจขับรถ” ผมยักไหล่ เอนหลังพิงพนักโซฟาทำตัวสบายเหมือนอยู่หอตัวเอง
   
“แล้วทำไมมึงยังไม่นอนอีก” จริงอยู่ที่สามสี่วันก่อนมันบอกว่านอนไม่หลับเพราะไม่ชินเวลา แต่สองสามวันที่ผ่านมาพอผมมาถึงหอมันก็หลับไปก่อนเหมือนปรับเวลาได้แล้วแท้ๆ
   
“ดูหนังอยู่ครับ” มันตอบสั้นๆ พยักหน้าไปทางหนังที่ถูกฉายอยู่บนทีวีจอยักษ์
   
“เฮ้ย กูชอบเรื่องนี้ นางเอกน่ารัก” ผมทำน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้านักแสดงคนโปรดอยู่ในจอ จำได้ทันทีว่ามันคือหนังเรื่อง Love Rosie
   
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนสนิทคู่หนึ่งที่ต่างคิดเกินเพื่อน แต่ก็มีเหตุให้คลาดกันไปมา ไม่รู้ความรู้สึกของกันและกันสักที กว่าจะลงเอยกันได้ก็เล่นเอาลุ้นจนเหนื่อย อันที่จริงผมไม่ค่อยอินกับหนังแนวนี้เท่าไหร่หรอก มันใสไปหน่อย แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้นางเอกน่ารักมาก แถมเรื่องก็ฟีลกู๊ดดี เลยจัดให้เป็นหนังโปรดเรื่องหนึ่ง
   
ไอ้ตี๋มองผมอย่างทึ่งนิดๆ ที่ชอบอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ลุกขึ้นจากโซฟาทำท่าจะเดินไปที่ครัว
   
“หิวน้ำมั้ยครับ” มันหันมาถาม ผมเลยพยักหน้ารัวๆ “มีขนมด้วย จะกินมั้ยครับ”
   
โห ห้องไอ้ตี๋มีขนมเนี่ยนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็น
   
“เอาคร้าบ” ผมแกล้งยิ้มกว้างยียวน จนใบหน้าแสนใจดีผิดปกติของไอ้ตี๋กลับมาเป็นสีหน้าเหม็นเบื่ออีกรอบ ก่อนคนตัวเล็กจะเดินเข้าครัวไป
   
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วหันกลับมาดูหนังอีกครั้ง จากที่ดูเหมือนเรื่องจะดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้ว เป็นช่วงที่พระเอกอยู่กินกับผู้หญิงคนอื่นและเริ่มรู้ใจตัวเองว่าคิดถึงนางเอกแค่ไหน ผมหันไปมองไอ้ตี๋ที่ตระเตรียมของกินให้อยู่ในครัว เห็นสีหน้าตั้งอกตั้งใจของมันแล้วนึกขำขึ้นมา ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาที่จอเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินหอบขนมกับน้ำกลับมา
   
“แป๊บนะ” ผมบอก ก้มลงดันโต๊ะกระจกหน้าโซฟาออกไป แล้วหยิบผ้านวมที่ไอ้ตี๋เอามาให้ผมห่มนอนลงไปปูที่พื้นต่างเบาะนั่ง หยิบหมอนอิงมาวางสองใบ ใบหนึ่งผมเอามาพิงหลัง ส่วนอีกใบเอามาให้ไอ้ตี๋ ตบที่ข้างตัวปุๆ สองทีให้มันลงมานั่งด้วยกัน
   
“จริงจังไปมั้ยครับ” มันส่ายหน้าขำๆ
   
ผมเลยขำตอบ พลางเอ่ยแซว “แล้วที่หอบเสบียงมาขนาดนี้ไม่จริงจังเลยมั้งตี๋”
   
ไอ้ตี๋ไม่ได้ว่าอะไร แค่ยักไหล่วางขนมกับน้ำที่ถือมาวางบนโต๊ะแต่โดยดี ผมหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายมองคนที่ไม่ยอมนั่งลงสักที
   
“เดี๋ยวผมเอาผลไม้มาให้กินด้วยดีกว่า” มันพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ครัวอีกครั้ง
   
ผมมองตามขำๆ ดูก็รู้ว่าขนมขบเคี้ยวพวกนี้มันเตรียมมาให้ผมคนเดียว ปกติไอ้ตี๋ไม่ค่อยกินมื้อดึก ถึงกิน ก็ไม่ใช่พวกขนมแคลลอรี่สูงพวกนี้แน่ๆ ส่วนใหญ่ของที่แช่ในตู้เย็นมันมีแต่ผลไม้ หรือไม่ก็อาหารไขมันต่ำ ตามประสาคนควบคุมน้ำหนัก
   
ตัวแห้งขนาดนั้น ไม่รู้จะควบคุมห่าอะไรอีก
   
แต่เอาเถอะ แค่รู้ว่ามันกินอาหารครบสามมื้อ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นลมเป็นแล้งไปอีกผมก็พอใจแล้ว ผมละสายตาจากร่างโปร่งบางที่กำลังหยิบผลไม้จากตู้เย็นออกมาล้าง ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนของไอ้ตี๋แล้วถือวิสาสะหยิบผ้าห่มที่อยู่บนเตียงมันมาเพราะรู้สึกว่าอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องค่อนข้างเย็น ไอ้ตี๋ใส่แค่ชุดนอนบางๆ เดี๋ยวแม่งก็ไม่สบายขึ้นมาอีก ขี้เกียจหอบไปหาหมอให้เหนื่อย ป้องกันไว้ก่อนแล้วกัน
   
พอเดินออกมาคนตัวเล็กกว่าก็เดินถือจานแอปเปิ้ลออกมาจากครัวพอดี มันเลิกคิ้วมองผมที่หอบผ้าห่มอยู่ส่งสายตาเหมือนจะด่ากันว่าไม่มีความเกรงใจหน่อยหรือไง แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วเดินไปนั่งบนผ้าห่มที่ผมปูไว้
   
“อ่ะ” ผมนั่งลงข้างๆ แล้วโยนผ้าห่มใส่ตักมัน เอื้อมมือไปหยิบซองขนมออกมาแกะกินพลางดูหนังไปพลางอย่างสบายใจ ไอ้ตี๋มองผมมึนๆ แวบหนึ่งก่อนจะสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา หลังพิงโซฟา เหยียดขาออกไปไว้ใต้โต๊ะกระจกข้างๆ กับขาผมที่พาดอยู่ก่อนแล้ว เป็นท่าสบายที่ผมใช้เวลานอนแผ่ดูบอลอยู่ที่ห้อง หรือเวลาเล่นเกม แต่ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนมานั่งแผ่อยู่ข้างๆ แบบนี้
   
จะว่าไปก็นานแล้วนะที่ผมไม่ได้เข้าโรงหนัง เพราะปกติถ้าจะไปก็ต้องมีคนชวน ไม่ว่าจะเพื่อน หรือแฟน...
   
แต่ตอนนี้ไม่มีทั้งคู่อ่ะ วันๆ ติดแหง็กอยู่ที่ร้านกาแฟจนเช้าก็ไม่รู้ว่าจะหาเวลาไหนไปเหมือนกัน
   
“มึงชอบดูหนังป่ะ” ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมก็อยากถามขึ้นมา
   
ไอ้ตี๋เงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “ครับ”
   
“ไปกับใคร” ผมขมวดคิ้วนิดๆ พลางหยิบขนมเข้าปากไปเรื่อยๆ
   
“คนเดียวครับ”
   
“หา?” คราวนี้หันมามองคนข้างตัวอย่างตกใจ
   
เท่าที่จำได้ ไอ้ตี๋แม่งเพื่อนเยอะจะตาย โดยเฉพาะสาวๆ คณะมันใครๆ ก็อยากสนิทกับไอ้ตี๋ทั้งนั้น ด้วยดีกรีเชียร์ลีดเดอร์มหาลัยพ่วงด้วยตำแหน่งคิ้วท์บอย แต่จะว่าไป... ผมยังไม่เคยเห็นมันสนิทกับใครจริงๆ สักคน ส่วนใหญ่เป็นพวกที่คบกันผ่านๆ เหมือนสร้างคอนเนคชั่นเพื่อความสนุกสนานไปงั้นๆ
   
“ไปคนเดียวตลอดเลยอ่ะนะ” ผมถามต่อ มันหันมาขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจว่าจะถามทำไม แต่ก็ยอมตอบน้ำเสียงเนือยๆ
   
“ไม่ทุกครั้งหรอกครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ไปคนเดียว”
   
“ชอบไปคนเดียวเหรอ?”
   
“ก็ไม่เชิงครับ แค่ไม่รู้จะไปดูกับใคร”
   
“...”
   
“แล้วอีกอย่าง ดูคนเดียวสบายใจดีนะครับ ไม่มีใครชวนคุยให้เสียสมาธิดี” พูดโดยที่ไม่หันมามองหน้าผม
   
อ้าว เหมือนด่ากู
   
ผมหุบปากฉับ แต่ไม่วายยกมือขึ้นขยี้หัวคนที่แอบเหน็บกันอย่างหมั่นไส้ จนไอ้ตี๋เหลือบสายตามามองเคืองๆ แล้วปัดมือผมออกแรงๆ เหมือนเคย
   
ผมหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปที่จออีกครั้ง แต่จดจ่อได้ไม่นานความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามา ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดหน้าจอ เข้าแอพลิเคชั่นของโรงหนังเจ้าดัง แล้วเข้าไปในหน้าสำหรับโชว์โปรแกรมหนังที่กำลังฉาย ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้คนข้างตัว
   
“มึงอยากดูเรื่องไหน เลือกมา”
   
ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้ว มองโทรศัพท์สลับกับหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
   
“ทำไมต้องเลือกครับ”
   
เลือกไปทำขนมเบื้องมั้งตี๋ ถุย
   
“เลือกๆ มาเหอะน่า” ผมไม่ตอบ แต่เร่งเร้าให้มันจิ้มมาสักเรื่องสักที ไอ้ตี๋ทำหน้าเคลือบแคลง แต่คงเพราะรู้ว่าถ้าไม่เลือกผมก็จะตื๊อจนรำคาญ สุดท้ายเลยถอนหายใจแล้วจิ้มเลือกชื่อหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา
   
“พอใจยังครับ” ว่าพลางเบือนหน้ากลับไปที่จอเหมือนเดิม

ผมมองหนังที่มันเลือกแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว

แม่งชอบหนังรักหวานแหววเหรอวะ
   
แต่ก็ดี น่าจะเข้ากับสถานการณ์ดี เผลอๆ อาจจะอินกับหนังจนอะไรๆ มันเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้บ้าง...
   
ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมให้ไอ้ตี๋เลือกหนังที่มันอยากดูทำไม เพราะกำลังจะชวนมันไปดูหนังไง... แต่ไม่ใช่ผมหรอกนะที่เป็นคนชวน
   
ตอนที่มันบอกว่าปกติไปดูหนังคนเดียว อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันคงจะเหงาน่าดู และคงจะดีถ้ามีใครไปนั่งดูเป็นเพื่อน... ประจวบเหมาะกับที่ผมเพิ่งนึกได้พอดี ว่ายังไม่ได้ทำอย่างที่รับปากไว้กับไอ้นายเลย
   
หน้าที่พ่อสื่อที่ผมเกือบจะลืมไปแล้ว ด้วยความวุ่นวายหลายๆ อย่าง ยิ่งตอนเกิดเรื่อง ไอ้นายกับไอ้ตี๋ก็เจอกันน้อยลง ไอ้นายยังรู้สึกผิดอยู่ที่เพื่อนมันเป็นคนปล่อยรูปในอดีตของไอ้ตี๋จนกระพือไฟนินทาให้ลุกโหมไปกันใหญ่ ถึงไอ้ตี๋จะไม่ว่าอะไร แต่สีหน้าหงอยๆ ของไอ้นายก็ทำให้ผมอดสงสารไม่ได้
   
เห็นทีคงต้องหาโอกาสทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนกลับมาสนิทชิดเชื้อเหมือนเดิม... ไม่สิ ต้องมากกว่าเดิม
   
เพราะถ้าไม่ใช่ไอ้นาย ผมก็นึกไม่ออกแล้วว่าคนที่จะเข้ามาช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำซ้ำๆ ของไอ้ตี๋จะเป็นใคร
   
“ต่อไปไม่ต้องดูหนังคนเดียวแล้วนะตี๋” ผมเอ่ยพึมพำ มองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังจดจ่อดูหนังอย่างตั้งใจ
   
“อะไรนะครับ” มันหันมาเลิกคิ้วถาม
   
“...” เล่นเอาผมผงะเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าหน้าอยู่ใกล้กันขนาดนี้
   
“?”
   
“อะไรล่ะ กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ วู้ ดูหนังไปตี๋” นิ่งไปพักใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอแกล้งพูดเฉไฉพลางผลักหัวคนที่จ้องมาให้หันกลับไปที่หน้าจอ
   
พอเห็นไอ้ตี๋เลิกสนใจ ผมจึงเบือนหน้าหนีออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่อยู่ๆ ความรู้สึกประหลาดก็เล่นขึ้นมาในอก ผมขมวดคิ้ว ปัดความรู้สึกไร้ที่มาที่ไปนั่นออก และปล่อยความคิดวนเวียนอยู่กับการวางแผนเรื่องไอ้ตี๋กับไอ้นาย คิดวนไปวนมาจนแน่ใจว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย จนแทบไม่ได้สนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เลยสักนิด และอาจเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันใช้แรงใช้สมองมากเกินไป สุดท้ายก็เลยเพลียจนพยุงหนังตาไว้ไม่ไหว เผลอหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า
   
ก่อนจะตื่นมารับรู้ว่าไอ้ตี๋เองก็เผลอหลับพิงไหล่ผมอยู่ข้างๆ กัน
   
ใบหน้าตอนหลับปุ๋ยไร้พิษภัยของมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา

   




หลายวันต่อมา
   
หลังอาทิตย์สอบมิดเทอม หลายคณะก็หาทางให้นักศึกษาปลดปล่อยด้วยการผลัดกันจัดกิจกรรมรื่นเริงอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นตอนปีหนึ่งผมคงตื่นเต้นระริกระรี้พาเพื่อนยกโขยงไปทุกงาน แต่อย่างว่า สังขารมันไม่เที่ยง พอขึ้นปีแก่ก็ไม่มีความกระตือรือร้นอะไรทั้งนั้น ลำพังแค่ไปเรียน แล้วต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟต่อร่างก็แทบพังแล้ว
   
แต่เพราะวันนี้ว่างหรอกถึงแวะมา
   
งานออกร้านของคณะบริหารที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อให้นักศึกษาได้ลองเรียนรู้วิธีการขาย การตลาด การวางแผนต่างๆ จากสถานการณ์จริง และเพราะเป็นกิจกรรมคณะที่ไอ้ตี๋ต้องรับผิดชอบด้วย พี่โมเลยอนุญาตให้ปิดร้านตั้งแต่หัวค่ำ เพราะยังไงซะช่วงนี้ลูกค้าก็น้อยอยู่แล้ว
   
ผมเดินเข้ามาในงานได้ไม่ถึงสิบก้าวก็ติดแหง็กไม่พ้นประตูทางเข้า คนเยอะชิบหายเลย อย่างกับรวมเด็กทั้งมหาลัยไว้ในงาน แต่ก็อย่างว่าแหละ สอบเสร็จทั้งทีใครๆ ก็อยากปลดปล่อย แถมใครๆ ก็รู้ว่าสาวบริหารเลื่องลือเรื่องความน่ารักยิ่งกว่าคณะไหนๆ พวกที่มาส่วนใหญ่เลยถือว่ามาเอาอาหารตามากกว่าจะสนใจกิจกรรม
   
“เชี่ย สาวบูธนั้นโคตรน่ารัก” ใครสักคนในกลุ่มพูดขึ้นมา ในขณะที่ผมยังชะเง้อคอหาบูธของเด็กปีสาม
   
มันบอกว่าขายน้ำนี่หว่า อยู่ไหนวะ
   
“ไอ้ซัน ไปป่ะ”
   
“ฮะ?” ผมสะดุ้งสุดตัวหันมาเบิกตากว้างใส่เพื่อนทั้งกลุ่มอย่างตกใจจนพวกมันขมวดคิ้วใส่
   
“เป็นเชี่ยไรมึง เห็นชะเง้อคอมองหาอะไรมาตั้งแต่เข้างานละ”
   
“ไหนๆ มึงสนใจบูธไหนบอกกูมา”
   
“นัดสาวไว้เหรอวะ”
   
สาวพ่อง!
   
ผมไม่ได้ตอบพวกเพื่อนเวรที่รัวคำพูดใส่ไม่หยุด ก่อนจะแกล้งหัวเราะเฉไฉอย่างแนบเนียน “ไหน เมื่อกี้มึงบอกบูธไหนเด็ดนะ”
   
แค่นั้นแหละ ไอ้พวกหื่นนี่ก็รีบทำตาลุกวาวพยักเพยิดหน้าไปทางเดียวกัน “ร้านยำๆ”
   
ผมมองตามเห็นบูธขายสารพัดยำที่มีแม่ค้าสาวสวยน่ารักยืนเรียกลูกค้าอยู่สองสามคนก็ยิ้มออกมา “เออ โคตรน่ารัก”

   พอผมพยักหน้าเห็นด้วยพวกเราก็เฮโลพากันฝ่าฝูงชนตรงไปที่บูธนั้นทันที แต่ยังไม่ทันจะถึงก็มีเหตุให้ผมต้องหยุดฝีเท้าตัวเองลง
   
“ใช่คนที่มีข่าวว่ากินยาจนน็อคคาร้านกาแฟป่ะ”
   
จะมีสักกี่คนกันที่มีข่าวแบบนั้นในช่วงนี้
   
“ตัวจริงน่ารักอ่ะ”
   
“เห็นว่าศัลมาทั้งตัวป่ะ”
   
“หมอไหนวะ โคตรธรรมชาติเลย”
   
หมับ!
   
รู้ตัวอีกที มือผมก็คว้าเข้าที่ข้อมือของเจ้าของบทสนทนาที่กำลังจะเดินผ่านไปซะแล้ว
   
ชิบหาย ลืมตัว
   
“อะ... เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ทั้งสองคนหันมามองผมอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่แววตาทั้งสองคู่ถึงได้เจือไปด้วยความหวาดกลัวเล็กๆ
   
พอรู้ตัวผมจึงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง
   
“บูธไหนครับ”
   
“คะ?”
   
“คนที่พูดถึงเมื่อกี้ อยู่บูธไหนเหรอครับ” งัดเอาความสุภาพที่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาเต็มคราบแล้วถามอย่างใจเย็น
   
ถึงข้างในจะไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ก็เหอะ
   
รู้จักหรือไงถึงมานินทาเขาอยู่แบบนี้
   
“ตะ... ตรงนู้นค่ะ ร้านขายน้ำปั่น” เธออึกอัก ยกมือขึ้นชี้เข้าไปด้านในอย่างเก้ๆ กังๆ
   
“อ่อ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มกว้าง แล้วปล่อยมือที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอออกแรงบีบจนแขนขาวๆ ขึ้นสี ต้องเอ่ยขอโทษอีกทีก่อนจะปล่อยให้พวกเธอเดินไป
   
“อะไรวะไอ้ซัน” หันกลับมามองเพื่อนกลุ่มใหญ่ของตัวเองที่มองมาด้วยความงุนงงแล้วได้แต่หัวเราะตอบไป
   
“กูหิวน้ำว่ะ เดี๋ยวมา”
   
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าผมจะเดินฝ่าคนมาจนถึงบูธขายน้ำของไอ้ตี๋ แต่ก็ช้ากว่าอีกคนอยู่ดี
   
“อ้าวพี่ซัน มาด้วยเหรอพี่”
   
“เออ” ผมพยักหน้าตอบไอ้นาย ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ง่วนอยู่กับการทำน้ำปั่นให้ลูกค้าอยู่
   
ไอ้ตี๋เหลือบสายตากลับมามองผมอย่างประหลาดใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้ทักทายอะไร พอเห็นมันเมินผมก็ยิ่งอยากแกล้ง เลยเดินเข้าไปยักคิ้วทักทายด้วยประโยคที่พูดจนติดปาก

“ตี๋ ลาเต้”

รู้แหละว่าร้านมันไม่ได้ขาย แค่พอใจที่เห็นมันหันมาทำหน้าเอือมใส่เหมือนทุกที

“มาถึงก็กวนตีนเลยนะพี่” ไอ้นายพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา ในขณะที่อีกคนสัมทับด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

“นั่นสิ ถ้าจะมากวนก็อย่าเกะกะหน้าร้านครับ”
   
แหม นี่ก็ดุกูจังเลย
   
“นี่ลูกค้านะตี๋” ผมโวยติดตลก ก่อนจะก้มหน้าเลือกเมนูบนป้ายที่ตั้งอยู่หน้าร้าน “เอาโกโก้ปั่นแก้วนึง” เลือกพอเป็นพิธีไม่ให้ไอ้ตี๋มันออกปากไล่อีก ผมมองตามคนตัวเล็กที่หันกลับไปทำโกโก้ปั่นให้ตามออเดอร์แล้วยิ้มออกมาที่เห็นมันว่าง่ายกว่าตอนอยู่ที่ร้านเยอะเลย
   
รู้งี้ลาออกมาเป็นลูกค้าถาวรเลยดีมั้ยเนี่ย
   
“จ้องขนาดนั้นอยากกินโกโก้หรืออยากกินคนปั่นพี่” เสียงไอ้นายถามขึ้นมากลั้วหัวเราะ แต่พอผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าพูดอะไร แม่งเสือกยักไหล่ทำหน้าตากวนตีนตอบกลับมา

“มึงมาไงเนี่ย” ผมหันไปถาม ละสายตาจากไอ้ตี๋ที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำโกโก้ปั่น

“ผมก็เด็กบริหารนะเว้ย” มันหัวเราะ ทำหน้าเหมือนผมถามอะไรโง่ๆ

คำพูดประชัดประชันนี่ได้มาจากไอ้ตี๋ใช่มั้ยฮะ เด็กเวร

“แล้วมึงไม่ต้องไปออกร้านกับเขาเหรอ” ผมเปลี่ยนคำถาม อันที่จริงตอนแรกก็ตั้งใจจะถามคำถามนี้แหละ แต่
อยากเกริ่นก่อนไม่ได้ไง?
   
“ปีผมจัดสอยดาวตรงหน้างานอ่ะ คนเยอะแล้วไม่มีอะไรให้ทำเลยมาช่วยพี่โชขายน้ำ” มันพูดยิ้มๆ เบือนสายตาไปทางไอ้ตี๋ที่มองมาแล้วยิ้มให้เหมือนกัน
   
เห็นแบบนั้นก็เข้าใจว่ามันสองคนคงกลับมาคุยกันได้สนิทใจเหมือนเดิมแล้ว
   
“อ่อ” ผมพยักหน้าเออออ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ตี๋ยื่นน้ำปั่นมาให้พอดี
   
“สี่สิบบาทครับ”
   
“จ่ายเป็นรอยยิ้มแทนได้ป่ะ” ผมแกล้งกวนตีน ยิ้มกว้างจนตาหยี ซึ่งไอ้ตี๋ก็ไม่รับมุกเหมือนเคย
   
แต่แปลกที่อเห็นมันทำหน้าเหม็นเบื่อผมก็ยิ่งขำ ควักแบงค์ร้อยออกมาจากกระเป๋าสตางค์ให้มันแล้วบอกไม่ต้องทอน ไอ้ตี๋ไม่ได้แย้งอะไร แค่ยักไหล่แล้วยื่นแบงค์ให้ผู้หญิงอีกคนที่เป็นคนคุมกระปุกเงิน นอกจากไอ้ตี๋แล้วสีหน้าทุกคนดูยินดีมากกับทิปจำนวนหกสิบบาทของผมจนหลุดขำออกมาอีกรอบ ยกโกโก้ปั่นขึ้นดูด แล้วยกนิ้วให้คนที่ยืนมองอยู่จนมันตีหน้าตึงเบือนหน้าหนีกลับไป จึงบอกลาไอ้นาย
   
“กูไปละ”
   
“อ้าว พี่ไม่อยู่ต่ออ่ะ ช่วยกันขาย” มันเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจที่คราวนี้ยอมไปง่ายๆ ทั้งที่ปกติถ้าเห็นไอ้ตี๋อยู่ผมจะวอแวจนโดนด่าให้เสียหมาก่อนค่อยเลิกกวนตีนมัน
   
แต่คราวนี้คงไม่จำเป็นแล้วมั้ง
   
“กูมากับเพื่อนว่ะ” ผมบอก ก่อนจะบอกลาอีกครั้ง “ไปละ ขอให้ขายดีๆ” ไม่ลืมที่จะหันไปมองไอ้ตี๋ที่กำลังมองกันอยู่พอดีแล้วส่งยิ้มยียวนใส่เหมือนทุกที
   
ต่างกันที่คราวนี้มันไม่ได้ทำสีหน้ารำคาญกลับมา แววตาฉายแสงประหลาดบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออกว่าคืออะไร
   
แต่ก่อนที่จะเข้าใจผมก็ละสายตาเดินจากมาพร้อมกับทำสิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้
   
เดิมทีผมกังวลนิดหน่อยว่าถ้าไอ้ตี๋มาออกร้านวันนี้มันจะเจอคนมากมายที่มองมันด้วยสายตาแปลกๆ เพราะข่าวลือนั่น แต่พอได้มาเห็นว่าสีหน้าของมันดูปกติ แถมยังมีไอ้นายอยู่เป็นเพื่อนแล้วผมก็สบายใจ
   
ถ้าเป็นไอ้นาย ผมไว้ใจ ว่ามันจะช่วยไอ้ตี๋ได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร
   
เพราะแบบนั้นผมเลยส่งรางวัลไปให้มัน

   
‘เฮ้ยพี่ซัน อะไรเนี่ย’

   
หลังจากส่งข้อความไปได้ไม่นาน ไอ้นายก็ตอบไลน์กลับมา

   
‘ตั๋วหนัง’

   
โค้ดตั๋วหนังรอบดึกสองใบ เรื่องที่ได้ตี๋เคยบอกไว้ว่าอยากดู

   
‘เออรู้ แต่พี่ส่งมาให้ผมทำไม’
   
‘รางวัลไง’
   
‘ฮะ?’
   
   
ผมไม่ได้อธิบาย แต่ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มกวนตีนตอบกลับไป

   
‘มึงรู้แหละว่าต้องทำไง : )’
   
   
ไอ้นายอ่านข้อความแล้วหายไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบกลับมา

   
‘พี่ซันแม่ง...’
   
‘แน่ใจนะว่าจะเอางี้อ่ะ’
   
‘...’
   
‘แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน’

   
บทสนทนาจบลงแค่ตรงนั้น พร้อมกับการโกหกตัวเองครั้งใหญ่

ว่าผมไม่เข้าใจความหมายของมัน



----------------------------------------------------------------------
เปลี่ยนชื่อจากซันเป็นซึนดีมั้ยนะ 55555
สังเกตตัวเองบ้างมั้ยว่าคิดแต่เรื่องตี๋ตลอดเวลา  :ling2:
ตอนสองตอนนี้เอื่อยหน่อยนะคะ แต่ความสัมพันธ์กำลังจะพัฒนาแล้ววว
จริงๆ เราแอบชอบความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นการส่วนตัว ชอบที่เขาดูแลใส่ใจกัน ถึงจะยังตีมึนกันอยู่ แต่การแสดงออกมันทำให้เห็นว่าเป็นห่วงอีกคนโดยธรรมชาติ เราว่ามันน่ารักดี แต่ยังไงความชัดเจนก็ย่อมดีกว่าเนอะ 5555

ฝากเอาใจช่วย #ซันโช ด้วยนะคะ

ขอบคุณค่า
-- Martian --

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 9 [ 30/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 30-04-2017 17:57:12
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ไงงงงงงงงงง  :ling1:
สนุกมากค่ะ จะติดตามเป็นเงาตามนิยายเรื่องนี้เลยทีเดียว
น้องตี๋ของเราาาาาาา

ถ้าซันยังจะทำอย่างนี้เราจะไม่เชียร์แล้วนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 9 [ 30/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-04-2017 18:03:01
สงสารโชอ่ะ ไม่ว่ายังไงก็ยังมีคนนินทาอยู่ดี
อย่าไปสนใจเลยนะโช
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 9 [ 30/4/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 30-04-2017 21:14:52
อ่านรวดเดียวจบ อ่านกี่ตอนๆก็อยากด่าซันว่าไอ้โง่ตลอด คนนึงก็หลอกตัวเองอีกคนก็ปากแข็ง เฮ้อ อยากให้มีเหตุการณ์ให้สองคนนี้ง้างปากยอมรับกันซักที

ปล.แวบไปอ่านคู่ตรีแป๊ป
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise #ซันโช : ก่อนตะวัน 10 [ 1/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 01-05-2017 06:22:41
ก่อนตะวัน : 10
[/b]

   
แต่จะมีเหตุผลอะไรให้ผมเสียใจ
   
ในเมื่อผมตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปด้วยความหวังดีกับทุกคน ถ้าผมจับคู่ไอ้นายกับไอ้ตี๋ได้ ไอ้ตี๋ก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับความรักครั้งเก่า ในขณะที่ไอ้นายก็จะได้สมหวังกับคนที่มันรู้สึกดีๆ ด้วย
   
ส่วนผม... ก็จะได้กำจัดความรู้สึกผิดที่มีต่อไอ้ตี๋ไปได้สักที
   
เพราะคิดแบบนั้น ผมเลยทำแบบนั้นลงไป
   
ใครจะไปรู้ แค่หนังรักเรื่องเดียวอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดก็ได้ การได้นั่งในโรงหนังมืดๆ บรรยากาศเป็นใจ อาจทำให้ไอ้นายกล้าทำอะไรมากกว่าที่เคย...
   
ถ้ามันสารภาพออกมา...
   
“ซัน จะไปไหนน่ะ” ร่างบางที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยชื่อผมอย่างประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ผมก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงมาใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน
   
หลังกลับจากงานออกร้าน ผมก็มาอยู่ที่หอพราว เธอหายโกรธผมมาสักพักแล้ว และเราก็กลับมาปฏิบัติต่อกันเหมือนเคย ต่างกันตรงที่คราวนี้ผมบอกไว้อย่างชัดเจนว่าระหว่างเราจะไม่มีอะไรมากกว่าเพื่อนนอน ไม่มีความผูกพันทางใจ หรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าเธองอแงรั้งผมไว้เหมือนวันนั้น ผมจะไป และไม่กลับมาอีก
   
เธอบอกว่าเธอเข้าใจ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจแค่ไหนเหมือนกัน

“เราเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ” ผมบอก หยิบกุญแจรถที่โยนไว้ข้างเตียงขึ้นมา และกำลังจะเดินออกจากห้อง

“ซัน...” ทว่า เธอเรียกชื่อผมไว้อีกครั้ง

“...” ผมขมวดคิ้วมองร่างบางที่เดินมาขวางหน้า กำลังจะเอ่ยปากย้ำเรื่องที่ตกลงกัน

แต่พราวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร “รีบขนาดนั้นเชียว”

เธอเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาจับเสื้อผมที่หยิบขึ้นมาสวมลวกๆ เพื่อติดกระดุมให้ ผมไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเธอติดกระดุมเสร็จ มองใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มเล็กๆ โดยที่ไม่สบตาผมแล้วคาดเดาว่าเธอกำลังคิดอะไร

“หล่อแล้ว” แต่สิ่งที่ผมกำลังค้นหาก็ถูกซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มสดใสที่มีให้กันเหมือนทุกที

“เดี๋ยวไลน์หานะ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นขยี้หัวร่างบางอย่างเอ็นดู เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหลีกทางให้ผมเดินจากมา
   
ผมรู้ว่ามันดูเห็นแก่ตัว แต่เราตกลงกันแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรก ตอนเธอเข้ามา เธอเป็นคนพูดเองว่าจะไม่เรียกร้องอะไร ขอแค่ได้ตัวผมเท่านั้น ส่วนเรื่องหัวใจ เธอรู้ดีว่าตอนนี้ผมให้มันกับใครไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกกับใครอีกคนตกค้างอยู่มากมาย
   
แต่พอเห็นแววตาของพราววันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องทบทวนเรื่องของเธอใหม่อีกที

   




ผมออกจากหอพราวมาถึงห้างที่อยู่ใกล้ที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทำให้ชั้นทั่วไปถูกปิดใช้งาน เหลือแค่ชั้นโรงหนังที่อยู่ด้านบนสุดเท่านั้น
   
ตั๋วที่ผมจองเป็นรอบห้าทุ่มพอดี แสดงว่ายังทัน
   
ผมยืนแออัดอยู่กับคนมากมายในลิฟต์ที่มาดูหนังเหมือนกันด้วยความรู้สึกที่อยากจะเร่งให้ไอ้เครื่องจักรคับแคบนี่ขึ้นไปถึงชั้นบนสักที
   
ติ๊ง~
   
พอลิฟต์เปิดออก ผมก็รีบแทรกตัวออกมา เดินตรงไปที่หน้าโรงหนังแล้วคาดว่าจะได้เจอร่างคุ้นตาของคนสองคน
   
แล้วก็เจอเข้าจริงๆ
   
ที่โซฟารับรองหน้าทางเข้า ไอ้นายกำลังนั่งกินป๊อบคอร์นอยู่กับอีกคนด้วยท่าทางสนุกสนานกว่าปกติ ผมชะงักฝีเท้าลง ไม่ได้เดินเข้าไปหา คิดมาตั้งแต่ตอนขับรถแล้วว่าจะยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่เข้าไปก้าวก่าย แค่เห็นภาพตรงหน้าที่พวกมันหัวร่อต่อกระซิกกันมีความสุขผมก็โล่งใจแล้ว คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ลงมือช่วย
   
จนกระทั่งคนสองคนยืนขึ้นเมื่อถึงเวลาฉายหนัง... ผมถึงได้รู้ว่าผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่ไม่ใช่ไอ้ตี๋
   
เชี่ยอะไรวะเนี่ย
   
“ไอ้นาย” ผมเดินตรงเข้าไปหาทันที เรียกเสียงดังจนตัวเองยังตกใจ
   
“อ้าว พี่ซัน” ไอ้นายหันมามองหน้าผมงงๆ แต่ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดไว้
   
“นี่ใคร” ผมถาม มองผู้ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างมัน เห็นชัดๆ แล้วว่าไม่ใช่ไอ้ตี๋ ถึงจะตัวเล็กๆ ขาวๆ เหมือนกันแต่หน้าตาบ้องแบ๊วตาโตเท่าลูกแมวนี่ก็ต่างจากไอ้ตี๋ลิบลับ
   
“พี่มาได้ไงเนี่ย?” แต่มันไม่ตอบ กลับเอ่ยถามผมก่อนทำหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าตามมา”
   
“เปล่าเว้ย” ผมปฏิเสธทันควัน ก่อนจะอึกอัก “กะ...กูก็มาดูหนัง”

ถึงจะยังไม่มีตั๋วหนังสักใบก็เหอะ
   
“อ่อ บังเอิญจังนะครับ” มันพยักหน้า ก่อนจะยิ้มขำ “แล้วบังเอิญดูเรื่องเดียวกันด้วยป่ะ”
   
มันใช่เวลามาตั้งข้อสงสัยกับกูเหรอวะ
   
“มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกูเลยนะว่าไอ้เตี้ยนี่เป็นใคร” ผมขมวดคิ้วถามย้ำอย่างข้องใจ
   
“เตี้ยเลยเหรอพี่ มันแค่ตัวเล็กเอง” แต่ไอ้นายก็ยังเล่นไม่เลิก มันหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปโยกหัวคนข้างตัว ที่ยังตีหน้ามึนมองมาที่ผมงงๆ ก่อนจะแนะนำตัวเองทั้งที่มีมือไอ้นายวางอยู่บนหัว
   
“ผมชื่อมิ่งครับ”
   
กูไม่ได้อยากรู้เลยว่ามึงชื่ออะไร
   
ผมหันหน้าไปมองไอ้นายอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง “นี่มันหมายความว่าไงวะ แล้วไอ้ตี๋ไปไหน”
   
“ตี๋นี่หมายถึงพี่โชป่ะ” ยังไม่ทันที่ไอ้นายจะตอบคำถามผม ไอ้เด็กมิ่งนี่ก็หันไปกระซิบถามแทรกขึ้นมา
   
“มึงรู้จักไอ้ตี๋ด้วย?” คราวนี้ผมหันมาเลิกคิ้วใส่คนตัวเล็กอย่างข้องใจ
   
ถ้างั้นไม่รู้เหรอวะ ว่าไอ้นายมันกำลังจีบไอ้ตี๋อยู่ เสนอหน้ามาดูหนังกับมันทำไม
   
“ครับ” แต่มันยังตอบหน้าซื่อ ไม่สนใจสายตาเชือดเฉือนของผมเลยสักนิด “ผมทำงานร้านพี่โมเหมือนกัน แต่กะเช้า”
   
อ้าว... กูไม่เห็นคุ้นหน้า
   
“พี่นี่แม่ง... เหลือเชื่อเลยว่ะ” ขณะที่ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ ไอ้นายก็พูดขึ้นมาสีหน้าเอือมๆ
   
ผมที่งงอยู่แล้วยิ่งโง่ไปกันใหญ่
   
“ถึงขั้นตามมาดูผมกับพี่โชเดตกันนี่มันใช่หน้าที่พ่อสื่อแน่เหรอวะ” มันเลิกคิ้วถามกลั้วหัวเราะ
   
“คะ... ใครบอกว่ากูตามมาดู กูแค่มาดูหนัง” ผมปฏิเสธ แต่น้ำเสียงอึกอักก็ชัดเจนว่าโกหก
   
“แน่ใจ๊?” ไอ้นายเลิกคิ้วกวนตีนใส่ ผมเลยชักสีหน้าแล้วสารภาพออกไปตามตรง
   
“ก็... กูเคยบอกแล้วไง ว่ามึงจะจีบไอ้ตี๋ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสายตากู”
   
“แบบนั้นมันเรียกว่าจีบได้ตรงไหนวะพี่” ไอ้นายมองผมขำๆ ก่อนจะถอนหายใจ “ผมสารภาพก็ได้ ว่าผมตัดใจจากพี่โชไปตั้งนานแล้ว”
   
“ฮะ?” คราวนี้ผมเหวอแดกกว่าเดิม
   
ตัดใจเชี่ยไร มึงยังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่เรอะ
   
“ผมสารภาพกับพี่โชไปแล้วว่าผมชอบพี่เขา” เหมือนอ่านใจผมได้ ไอ้นายเลยพูดขึ้นมา
   
“ตะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมกะพริบตาปริบๆ งงไม่รู้จะงงยังไง
   
“วันที่พี่โชไม่สบาย เขาได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน”
   
ผมนึกอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร จนไอ้นายต้องเฉลยออกมา
   
“เขารู้หมดแล้วว่าพี่พยายามจะเป็นพ่อสื่อให้ผม”
   
อ้าว ชิบหาย
   
“พอไม่มีอะไรต้องปิด ผมเลยสารภาพรักไป แล้วก็โดนปฏิเสธมาเรียบร้อย” มันยักไหล่ เอื้อมมือออกไปกอดคอคนตัวเล็กกว่า มองหน้าเหมือนจะยืนยันคำพูดตัวเอง
   
ทำไมมันดูสบายใจจังวะ ตัดใจได้แล้วจริงดิ?
   
แต่จากการที่มันควงไอ้เด็กมิ่งนี่มาดูหนังด้วยท่าทางมีความสุขวันนี้ ก็คงเป็นคำตอบอย่างดีว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ตี๋แล้วจริงๆ
   
“ทำไมมึงไม่บอกกู” ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไง ในใจมันสับสนไปหมด เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
   
“หมั่นไส้พี่ไง แม่ง หวงจะตายเสือกจะทำมาเป็นยกให้ผม สับปลับชะมัดคนอะไร”
   
ด่ากูอีกละ ความเคารพนี่ไม่ต้องมีให้กันแล้วใช่มั้ยครับไอ้น้องนาย
   
“พี่ไม่ต้องมาทำหน้างั้นเลย ที่ผมพูดนี่จริงทุกคำ”
   
“...” ผมไม่รู้จะเถียงอะไร ได้แต่มองหน้าไอ้เด็กปีนเกลียวนี่มึนๆ
   
“ถ้าอยากเจอพี่โชก็นู่น เขากลับหอไปนอนตั้งนานแล้ว” คำพูดของมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองขับรถถ่อมาถึงนี่ทำไม

ถ้าไม่มีไอ้ตี๋ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ต่อ
   
“ผมบอกแล้วว่าพี่จะเสียใจทีหลัง” ไอ้นายเอ่ยขำๆ พลางชูโทรศัพท์ที่มีโค้ดตั๋วหนังที่ผมซื้อให้ขึ้นมา “ค่าตั๋วเนี่ย ผมไม่คืนนะ”
   
เกตละ ที่มันบอกว่าอย่ามาเสียใจทีหลังคือเรื่องอะไร
   
แผนจับคู่ล่มไม่เป็นท่า เสียตังค์ฟรี แถมยังโดนเด็กอำจนเสียหมาหมดกูเนี่ย โง่กว่านี้ก็สัตว์เซลล์เดียวแล้ว!
   
“เด็กเวร” ผมส่งสายตาคาดโทษไอ้นาย แต่หันไปเล่นงานอีกคน
   
“เฮ้ยพี่ นี่ของผม” ไอ้นายโวยวายขึ้นมาทันทีที่ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวไอ้เด็กมิ่งที่ยืนตีหน้ามึนอยู่ข้างมัน ผมเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะผละมือถอยหลังออกมา
   
“เออ ดูหนังให้คุ้มค่าตั๋วกูแล้วกัน”
   
ที่นั่งโซฟาด้วยสัส เปลืองชิบหายเลย

ใช่เรื่องมั้ย ที่ต้องมาเสียตังค์เลี้ยงหนังมันกับเด็กใหม่เนี่ย
   
“ขอบคุณที่เลี้ยงหนังนะครับ” อยู่ๆ ไอ้เด็กมิ่งก็พูดขึ้นมาหน้าซื่อพลางยกมือไหว้ผมจนไอ้นายหัวเราะเสียงดัง
   
อ่ะ นี่รวมหัวกันกวนตีนกูถูกมะ
   
“สัส กูไปละ เชิญพวกมึงสวีทกันตามสบาย” ผมว่าเซ็งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา
   
"พี่ซัน” แต่เสียงไอ้นายตะโกนเรียกให้หันกลับไปอีกครั้ง มันมองหน้าผมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานก็ถอนหายใจ เหมือนเปลี่ยนใจเอ่ยคำพูดอื่นขึ้นมาแทน

“พี่แม่ง เป็นพ่อสื่อที่เหี้ยมากเลยรู้ตัวป่ะ”

เดี๋ยวนี้ขึ้นเหี้ยกับกูแล้วด้วยเว้ย เด็กเวร

“เออ” แต่แทนที่จะด่ามัน ผมกลับยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมกับหลุดหัวเราะออกมา

บางที ผมอาจจะเป็นพ่อสื่อที่เหี้ยอย่างที่ไอ้นายว่าจริงๆ






ผมขับรถมาที่หอไอ้ตี๋ทันที่หลังออกจากห้าง

ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมา แต่ใจหนึ่งกลับคิดว่าผมควรมารับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป

ไอ้ตี๋ต้องไม่ชอบใจแน่ ที่ผมพยายามจับคู่มันให้ไอ้นาย ถึงมันจะรู้มานานแล้ว แถมไม่ได้ว่าอะไร แต่นั่นอาจเพราะไอ้นายขอให้เก็บไว้ก่อนเพื่อแกล้งผมก็ได้

ก๊อกๆ

เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมจะมีมารยาทเคาะประตู เพราะปกติคงไขกุญแจสำรองเข้าไปแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่ามีชนักติดหลังอยู่ไง

ยืนรออยู่ไม่นาน คนตัวเล็กกว่าก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าใสใต้กรอบแว่นหนาเหมือนเหม็นขี้หน้าผมเต็มทน

“วันนี้จะมากวนอะไรครับ”

ผมเป็นคนยังไงในสายตามันวะเนี่ย

“วันนี้ไม่กวน มาขอโทษ” ผมย่นหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้หงอยลงเผื่อคนฟังจะใจอ่อนไม่ดุกัน

“เรื่องอะไรครับ” มันเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ

นี่ถ้าผมไม่บอก มันก็คงระลึกไม่ได้ใช่มั้ย หรือเนียนๆ ไม่พูดดีวะ

“เรื่องไอ้นาย” ได้ที่ไหน...

ไอ้ตี๋ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แต่ไม่นานก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ แล้วถอนหายใจ

“เรื่องพ่อสื่อนั่นเหรอครับ” กอดอก มองหน้าอย่างคาดโทษกัน

ผมพยักหน้า พยายามอ่านสีหน้ามันว่ารู้สึกยังไง เห็นคิ้วที่ขมวดนิดๆ สายตาเคืองๆ นั่นก็บอกได้ว่ากำลังไม่พอใจอย่างชัดเจน

“ทำไมเป็นคนขี้เสือกล่ะครับ”

“นั่นไง ว่าแล้วต้องโดนด่า” แถมคราวนี้เลเวลอัพ ใช้คำหยาบขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปอีกต่างหาก

“ว่าแล้วแล้วทำทำไมล่ะครับ”

“ก็กู...” ผมชะงัก ไม่รู้จะอธิบาเหตุผลของตัวเองยังไง

“ทำไปทำไมครับ”

โอ้ย เสียงแข็งไปอีก

“ก็อยากช่วยไง” ผมตอบ เสียงเบากว่าที่ตั้งใจ

“ช่วยอะไร?”

คราวนี้ผมเงยหน้าขึ้นสบตา พูดสิ่งที่อยู่ในใจ “เผื่อมึงจะทำใจเรื่องไอ้ตรีง่ายขึ้น”

ไอ้ตี๋ชะงักนิดหน่อย แววตาแสดงความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา แต่เพียงแวบเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเรียบนิ่ง ฉายแววไม่พอใจอีกครั้ง
“ด้วยการจับคู่ผมกับนายน่ะเหรอครับ?”

“ก็... ไอ้นายมันชอบมึง”

“แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องเข้ามายุ่งเลย”

ตี๋ครับ อย่าดุ กูใจบาง

“ผมดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่” ผมปฏิเสธทันควัน เงยหน้าสบตากับดวงตาเรียวที่จ้องกันอย่างต้องการคำตอบ

มันไม่ใช่ความสงสารแน่ๆ แต่ผมแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มันเข้าใจ จะบอกว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่อาจจะเป็นต้นเหตุให้มันไม่สมหวังกับไอ้ตรี ผมก็รู้ดีว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักพอกับสิ่งที่ผมทำ

ก็แค่... อยากให้มันมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ แค่นี้ไม่ได้หรือไง

“กูอยากให้มึงเลิกทำหน้าเศร้าสักที” สุดท้ายผมก็ได้แต่ถอนใจ ตอบออกไปตามความรู้สึกตรงๆ

“...”

“อกหักมันเจ็บ กูเข้าใจ แต่มึงเศร้าตลอดไปไม่ได้ป่ะวะ” สบตามันด้วยสายตาจริงจังกว่าครั้งไหนๆ “หลายปีแล้วนะที่มึงยึดติดกับไอ้ตรี เมื่อไหร่จะเริ่มต้นใหม่สักที”

ผมกำลังสอนมัน ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่ตัวเองพูดเลยสักนิด

เริ่มต้นใหม่เหรอ? แม้แต่ผมตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย

แต่ช่างตัวผมปะไร ผมแค่อยากเห็นมันก้าวต่อไปอย่างมีความสุขสักที

“กูก็แค่หวังดี” พูดไปก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ

ปกติเคยพูดอะไรแบบนี้ที่ไหน ได้แต่ปากหมาใส่ไปวันๆ พอนึกครึ้มพูดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้หน่อยเล่นเอาทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

“หวังดีด้วยการหาผู้ชายคนใหม่มาให้ผมเนี่ยนะครับ” เลิกคิ้ว แค่เห็นสีหน้ามันผมก็รู้สึกเหมือนถูกด่าจนลืมทางกลับบ้านแล้ว

“อะ...เออ”

“ขี้เสือกจริงๆ”

อ่ะ ย้ำเข้าไป

ผมหดคอทำหน้าหงอยกว่าเดิม โดนขนาดนี้ก็ไม่รู้จะเถียงยังไง สงสัยจะยุ่งเกินไปจริงๆ

“หึ” แต่หงอได้ไม่นาน ก็ต้องประหลาดใจกับเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นมา

เกือบจะคิดว่าหูฝาดไปแล้ว ถ้าหากไม่เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามุมปากบางของไอ้ตี๋ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจริงๆ มันมองหน้าผมพักหนึ่งด้วยแววตาที่เจือไปด้วยความระอาปนขบขัน ร่างโปร่งบางขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้างหนึ่งของผมขึ้นไปวางบนหัวตัวเอง

“ถ้าอยากช่วย... แค่นี้ก็พอครับ” ว่าพลางจับมือผมลูบหัวตัวเองไปมา

ผมนุ่มๆ ที่พอผมแตะทีไรคนหวงตัวก็จะฟาดเข้าให้จนแขนเกือบหักทุกที

“ถ้าเห็นผมทำหน้าเศร้าอีกเมื่อไหร่ ก็แค่ทำแบบนี้... หรือไม่ก็ทำตัวน่ารำคาญเหมือนทุกที แค่นี้ผมก็ลืมแล้วว่ากำลังเศร้าเรื่องอะไร”

“...”

“เพราะต้องมาใช้สมองคิดคำด่าคุณแทน”

ผมยิ้มกว้างกับคำพูดเหน็บแนมของไอ้ตี๋ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำหนักมือเป็นขยี้หัวมันแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

เล่นดุซะกูตกอกตกใจหมดเลยแม่ง แสบนักนะตี๋

“โอ๊ย คุณซัน” มันโวยวายเสียงดัง พยายามผละตัวหนี แต่ผมก็คว้าคอคนตัวเล็กกว่าไว้ แล้วยีหัวมันแรงกว่าเดิม

“ทีนี้หายเศร้ายัง” ผมหัวเราะลั่น รวบรวมความหมั่นไส้ที่สะสมไว้มาใช้ในครั้งเดียว

นานๆ ทีแม่งจะยอมให้เล่นหัว ขอเก็บแต้มหน่อยเหอะ

“มันเจ็บนะ!” ไอ้ตี๋ร้องโวยวายพร้อมกับตีแขนผมรัวๆ จนแดงไปหมดถึงได้ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระอีกครั้ง มองผมยุ่งๆ กับใบหน้ามู่ทู่ขอมันแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เปลี่ยนใจแล้ว ห้ามแตะหัวผมอีกเลยนะครับ” มันบ่นพึมพำพลางดันแว่นที่เกือบจะหลุดออกมาให้เข้าที่ ในขณะที่ผมยังคงยิ้ม มองหน้ามันอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที

“...” จนกระทั่งไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วนิ่งไป

ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหน้ามันด้วยสายตาแบบไหน ตอนที่ขยับเข้าไปใกล้จนร่างประชิดกัน แล้วกระซิบออกมาเบาๆ

“งั้นเปลี่ยนเป็นทำแบบนี้ได้มั้ย” ไม่รอให้ตอบคำถาม ถือวิสาสะคว้าร่างของมันเข้ามาในอ้อมแขน กอดไว้... ไม่หลวมแต่ก็ไม่รัดแน่นเกินไป

“...” ไอ้ตี๋เหมือนจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขัดขืนที่จะออกจากอ้อมกอดไปด้วยซ้ำ

“ถ้าทำแบบนี้... มึงจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า” เอ่ยคำถาม แม้จะแน่ใจแล้วว่าคำตอบคืออะไร

จากจังหวะการเต้นของหัวใจที่สัมผัสได้ชัดเจน

“ไม่ครับ” แต่คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันยังค่ำ

ทั้งที่กำลังซุกใบหน้าลงกับอกผมราวกับเจอที่ปลอดภัย

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วจับคนตัวเล็กโยกไปมาอย่างหมั่นไส้

“โกหกไม่เนียนเลยว่ะตี๋”

วินาทีนั้น... แม้แต่ผมยังรู้ตัว

ว่าไม่ใช่แค่ไอ้ตี๋... ที่รู้สึกดีกับอ้อมกอดนี้เพียงคนเดียว




------------------------------------------------
ถามว่าทำไมอัพเร็ว เพราะตอนนี้ตี๋น่ารัก เลยไม่อยากเก็บไว้คนเดียวค่ะ 555555
ใครเคยอ่านเชนตรีจะรู้ว่าเราค่อนข้างผีบ้าในเรื่องอัพนิยายนิดหน่อย
เอาอารมณ์เข้าว่า เขียนได้ตอนไหนก็อัพมันตอนนั้นเลย   :hao7:
ถือซะว่าเป็นของขวัญวันแรงงานก็แล้วกันนะคะ

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ ดีใจมากๆ ที่เห็นคนเข้ามาอ่าน แวะมาแสดงความคิดเห็นคนละเม้นต์สองเม้นต์ 5555 เป็นยาชูกำลังที่ดีมากๆ เลยค่ะ รบกวนอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ^^







 
   
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 10 [ 1/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-05-2017 08:49:41
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 10 [ 1/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: temaripik ที่ 01-05-2017 13:06:11
ฉันก็คิดอยู่ตลอดนะ ว่าจะมีอะไรดราม่าไปกว่าความโง่ของซัน
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 10 [ 1/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-05-2017 17:13:45
ขยาดด่ายังสุภาพนะตี๋ 55555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : ก่อนตะวัน 11 [ 5/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 05-05-2017 03:42:39
ก่อนตะวัน : 11

   
หมดสอบมิดเทอมไม่ทันไร ฤดูกาลสอบไฟนอลอันหนักหน่วงก็มาถึงอีกระลอก
   
เนื้อหาการเรียนปีสามเทอมสองเข้มข้นซะจนสมองผมแทบจะระเบิด ยังดีที่อ่านไว้แต่เนิ่นๆ บ้าง ไม่งั้นก็ไม่รู้จะยัดเนื้อหาทั้งหมดเข้าไปในหัวรวดเดียวได้ยังไง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงมาอัดเอาช่วงก่อนสอบตามสันดานขี้เกียจอยู่หรอก แต่นี่ใกล้จะเรียนจบแล้วไง ก็เลยต้องตั้งใจขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นป๊ากับแม่คงได้ไล่ออกจากกองมรดกจริงๆ
   
ถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ผมก็ยังมาทำงานที่ร้านพี่โมอยู่ ถือโอกาสพกหนังสือมาอ่านระหว่างเข้ากะเหมือนสอบคราวที่แล้ว แต่ครั้งนี้ยังอยู่อ่านต่อจนหลังเลิกงาน
   
เป็นไอเดียไอ้นายมันล่ะ ที่คิดว่าไหนๆ พวกเราก็ทำงานดึกกันอยู่แล้ว เลยรวมหัวมาติวหนังสือด้วยกันซะเลย พอลูกค้าหมด พวกเราก็จัดการเก็บขยะ ล้างแก้วล้างจานเสร็จภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แล้วจัดการยึดโต๊ะที่ว่างตามอัธยาศัย ถึงผมจะเป็นเด็กวิศวะคนเดียวในหมู่เด็กบริหาร แต่การมีเพื่อนอ่านหนังสือย่อมดีกว่าอ่านคนเดียว อย่างน้อยก็มีคนชวนกันคุยแก้ง่วงได้บ้าง
   
แต่หลังจากอ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ดูท่าว่าจะมีคนเริ่มไม่ไหว
   
“ไหวป่ะตี๋” ผมหันไปถามคนที่ทำท่าจะสัปหงกคาชีทอยู่รอมร่อ
   
ตอนนี้ตีห้ากว่าแล้ว แถมไอ้ตี๋ก็ทำงานมาทั้งคืน จึงไม่แปลกที่จะอยู่ในสภาพนี้ แต่คนที่น็อกคนแรกคือไอ้เด็กมิ่งที่ไอ้นายชวนมาติวด้วยกัน รายนั้นแม่งหลับตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยด้วยซ้ำ
   
“อื้อ” มันพยักหน้า แต่หน้าโคตรงอแงเลย
   
ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปขยี้ผมมันอย่างอดไม่ได้ ตอนอ่านหนังสือแม่งใส่แว่นด้วย หน้าตายิ่งดูน่ามันเขี้ยวไปกันใหญ่ 
   
เออ สงสัยจะง่วงจริง คราวนี้ถึงได้ไม่ด่าอะไรที่ถูกเล่นหัว แค่หันมาทำหน้าบู้บี้ใส่ แต่หนังตาบนกับล่างนี่แทบจะติดกันอยู่แล้ว
   
“มึงนอนก็ได้นะ” ผมบอกกลั้วหัวเราะ ดูยังไงไอ้ตี๋ก็น่าจะฝืนสังขารต่อไม่ไหวแล้ว มันมองหน้าผมนิ่งอย่างลังเล ก่อนจะวางชีทในมือลง
   
“ขอครึ่งชั่วโมงนะครับ” พูดงึมงำพลางชูหนึ่งนิ้วขึ้นมา แล้วกอดอกเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยสภาพพร้อมตายจริงจัง

“มานี่” ผมหัวเราะ ดึงไอ้ตี๋ให้เอนลงมาหนุนตักผมแทน
   
“ไม่เป็นไรครับ” คนตัวเล็กกว่าขืนตัว เบิกตากว้างนิดหน่อยท่าทางตกใจ
   
“นอนมาเหอะ แค่ครึ่งชั่วโมงไม่ทำให้ขากูเป็นตะคริวหรอก ดูไอ้มิ่งดิ นอนตักไอ้นายมาเป็นชั่วโมงแล้วแม่งยังไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมร่ายยาวเพราะคิดว่าไอ้ตี๋มันเกรงใจ หันไปพาดพิงไอ้นายที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกฟากหนึ่งจนมันเงยหน้าขึ้นมามองขำๆ
   
“...” ไอ้ตี๋มองหน้าผมเอือมๆ สีหน้าเหมือนจะบอกว่ามันกังวลเรื่องนั้นซะที่ไหน แต่ไม่รอให้มันโต้แย้งอะไร ผมก็บังคับให้มันเอนหัวลงมาหนุนตักผมจนได้
   
“มึงจะได้เหยียดขาด้วยไง” ผมว่า ไม่ใส่ใจสีหน้าไม่พอใจของไอ้ตี๋ “นอนไป เดี๋ยวกูปลุก”
   
“ขอบคุณครับ” คงเพราะง่วงจนไม่มีแรง หรือไม่ก็คงไม่อยากจะเถียงให้เสียเวลา มันถึงได้ยอมหลับตาอย่างว่าง่าย

ไม่ถึงนาทีต่อมาเสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็บ่งบอกว่ามันหลับสนิทเรียบร้อย... หลับง่ายจังวะ
   
ผมมองคนบนตักยิ้มๆ กำลังจะหันกลับมาอ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่บนใบหน้ามัน
   
ลืมถอดแว่นเฉยว่ะ คนเรา
   
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเอื้อมมือไปถอดแว่นให้คนที่นอนหลับอยู่บนตัก พยายามทำมือเบาที่สุดเพื่อไม่ให้มันรู้สึกตัว พอถอดแว่นให้เสร็จผมก็ขยับตัวช้าๆ ถอดเสื้อแจ็กเกตของตัวเองออกมาคลุมให้มัน เพราะคิดว่าเสื้อเชิ้ตบางๆ ตัวเดียวคงไม่ทำให้มันหลับสบายเท่าไหร่ ภายใต้อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศเย็นๆ แบบนี้
   
“แหม อย่างกับไข่ในหินเลยนะพี่” เสียงไอ้นายทำให้ผมละสายตาจากใบหน้าของคนที่กำลังหลับปุ๋ยขึ้นมามองหน้ามัน
   
“อะไรๆ” เห็นสีหน้ากวนตีนนั่นแล้วอดไม่ได้ที่จะเอาเรื่องด้วยน้ำเสียงเบากว่าปกติหลายเท่า “ทีมึงยังให้ไอ้มิ่งหนุนตักได้เลย”
   
มันเลิกคิ้ว ก้มมองคนที่หลับปุ๋ยบนตักตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม “มันเหมือนกันที่ไหน”
   
“แล้วมันไม่เหมือนยังไง” ผมถามอย่างข้องใจ “กูกับไอ้ตี๋สนิทกันกว่าพวกมึงด้วยซ้ำ”
   
พอได้ยินผมเถียง ไอ้นายก็เบ้ปากส่ายหน้าเอือมๆ
   
“โวะ คุยกับพี่แม่งเสียเวลาว่ะ ตอนเด็กแดกยากันฉลาดเข้าไปหรือไง”
   
เดี๋ยววว กูว่าคำด่ามึงชักจะแอดวานซ์ขึ้นทุกวันแล้วนะไอ้นาย
   
“อ่านหนังสือไปเลยมึงอ่ะ” ผมย่นหน้าใส่ไอ้เด็กปีนเกลียวพลางปายางลบไปใส่มันด้วยความรำคาญ ให้มันบ่นพึมพำก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือไปตามสั่ง

“อื้อ...” แต่คงเพราะขยับตัวมากไป คนที่หลับอยู่ถึงได้ส่งเสียงเหมือนไม่พอใจขึ้นมา

อ้าว ชิบหาย
   
“อย่าไป” มือบางคว้ามือข้างที่ผมเพิ่งใช้ปายางลบใส่ไอ้นายเอาไว้ เหมือนจะห้ามไม่ให้ไปไหนเหมือนที่พึมพำ
   
“...” ผมชะงักค้างไปทันที เพราะคิดว่าตัวเองทำให้ไอ้ตี๋ตื่น เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องโดนด่า

แต่ทว่าพอพลิกตัวนอนตะแคงในท่าที่สบายได้ เสียงหายใจก็กลับมาสม่ำเสมอ ในขณะที่สอดนิ้วมือเข้ามาประสานกับนิ้วทั้งห้าของผมแผ่วเบา

อะ...เอ่อ... เดี๋ยวดิ
   
“อยู่ก่อน...” แต่ไม่ทันไร เสียงทุ้มก็ละเมออะไรบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง เป็นคำพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่น่าจะมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน     
   
“อยู่กับผมก่อนนะ...”
   
“...”
   
“นะครับ”
   
ละ... แล้วใครมันจะไปไหนวะตี๋...
   
“พี่ซันเป็นไร หน้าแดงแปร๊ดเลย”
   
“ฮะ? กู...กู...” ผมไม่รู้จะตอบคำถามไอ้นายยังไง เลยได้แต่พูดติดอ่างอยู่หลายคำ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ยอมแพ้ดื้อๆ แม่ง
   
“เฮ้ยพี่ อยู่ดีๆ เป็นไรไปเนี่ย” ไอ้นายเริ่มโวยวายเมื่อเห็นอาการแปลกประหลาดของผม จนต้องยกมือทำสัญลักษณ์โอเคให้มันรู้ว่าผมไม่เป็นไร ทั้งที่ยังฟุบอยู่กับโต๊ะ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปให้มันเห็นว่าตอนนี้หน้าผมหมดสภาพยังไง สายตาแอบเหลือบมองไอ้คนที่ยังจับมือผมไว้แน่น ทั้งที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วได้แต่สบถออกมาในใจ
   
เชี่ยเอ๊ยยย สงสัยโด๊ปกาแฟเยอะไป... ใจสั่นชิบหายเลย

   



การสอบไฟนอลผ่านพ้นไป พร้อมกับร่างกายที่แทบจะแหลกกันไปข้าง
   
โดยเฉพาะช่วงวันท้ายๆ ที่ต้องสอบติดๆ กันไม่มีเว้นวันนี่เรียกว่าฆ่ากันไปเลยดีกว่า ทรมานชิบหาย อยากพัก อยากนอนตายสามวันติดให้รู้แล้วรู้รอด
   
แต่ทำไม่ได้
   
สอบเสร็จตอนเย็น นอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องแหกตาตื่นมาทำงานพาร์ทไทม์ต่อ วันนี้เป็นวันศุกร์ เวรผมทำงาน และเพราะเป็นวันสุดท้ายของการสอบด้วย ไอ้นายเลยไม่โผล่มาช่วยเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งร้านเลยมีแค่ผมกับไอ้ตี๋แล้วก็ลูกค้าอีกสองโต๊ะเท่านั้น
   
“ง่วง” ผมบ่นพลางเอนตัวพิงคนตัวเล็กกว่าที่นั่งเล่นมือถืออยู่ข้างกัน
   
“ฟุบหน้ากับเคาน์เตอร์ไปสิครับ” มันผลักผมกลับมา
   
โห่ ไรวะ ทีอาทิตย์ก่อนกูยังให้หนุนตักเลย
   
แต่ไม่ทวงบุญคุณหรอก เพราะเสือกเสนอตัวเอง

แล้วอีกอย่าง... พอนึกถึงเรื่องคืนนั้นแล้วมันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

วันนั้นกว่าผมจะปลุกไอ้ตี๋ได้ ก็เลยครึ่งชั่วโมงไปนานโข ไม่ใช่ว่ามันปลุกยากหรืออะไรหรอก ก็แค่เห็นว่ามันกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก ฝ่ามือยังถูกมันจับเอาไว้จนชื้นเหงื่อไปหมด ผมนั่งอยู่อย่างนั้นหนังสือหนังหาแทบไม่ได้แตะ จนกระทั่งฟ้าสว่างนั่นแหละ ไอ้ตี๋มันถึงได้คลายมือออก รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเอง

แล้วกูก็โดนด่าเหมือนเคย ที่ไม่ปลุกมัน

   
“ตี๋” ผมมองไอ้ตี๋อยู่นาน ก่อนจะเผลอเรียกออกมา ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าอยากพูดอะไร
   
“ครับ?”
   
“...” พอมันหันมาเลิกคิ้วถาม เลยได้แต่ใบ้แดกไปหลายวินาที
   
“เรื่องไอ้ตรี...” ผมชะงักคำพูดตัวเองไว้ เพราะคิดได้ว่ามันเป็นคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปเอาซะเลย
   
แต่ผมแค่อยากรู้ ว่าความรู้สึกของมันที่มีต่อไอ้ตรี ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า
   
ลดลงบ้างไหม หรือยังเท่าเดิม
   
ผมคิดมาหลายวันว่าการที่พักหลังๆ ไอ้ตรีไม่ค่อยเข้ามาที่ร้านเหมือนเคย จะช่วยให้ความรู้สึกของไอ้ตี๋เบาบางลงหรือเปล่า ทั้งยังมีผมกับไอ้นายคอยป่วนชวนทำโน่นทำนี่อยู่ข้างๆ จะทำให้มันลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปได้บ้างมั้ย
   
แต่พอคิดอีกที ตั้งแต่เรียนจบมัธยมจนกลับมาเจอไอ้ตรีอีกทีที่ร้านนี้ ก็ใช้เวลาตั้งนาน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเลิกชอบไอ้ตรีได้เลย
   
บอกแล้ว บางทีเวลาก็ไม่ช่วยอะไร
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คงเพราะเห็นผมเงียบไปพักใหญ่ มันเลยขมวดคิ้วถามขึ้นมา
   
“เปล่า กูแค่อยากกินลาเต้ ชงให้หน่อยดิ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่รู้ว่าไม่เนียน แต่โชคดีที่ก่อนไอ้ตี๋จะได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์ผมก็มีคนโทรเข้ามาพอดี หยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นสายจากไอ้ตรี

เพิ่งบ่นถึงเอง ตายยากชิบหายเลย
   
“ว่า?” ผมรับโทรศัพท์สั้นๆ เดินออกมาคุยหลังร้าน
   
[ มึงสอบเสร็จยัง ]
   
ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยอย่างแปลกใจ “เสร็จแล้ว มีไร”
   
[ ไปเที่ยวกันป่ะ ]
   
“ฮะ?”
   
[ พี่เชนชวนขึ้นดอย ] คงเพราะผมทำน้ำเสียงตกใจออกนอกหน้าเกินไป มันเลยรีบอธิบาย [ ไปตั้งแคมป์คืนนึง มีเพื่อนพี่เชนไปด้วย พวกเตอร์อ่ะ มึงสนป่ะ ]
   
ผมเงียบไปสักพัก ไม่ใช่ว่าไม่สน แต่เกิดมายังไม่เคยไปตั้งแคมป์นอนกลางดินกินกลางทรายกับเขาสักที ขนาดอยู่เชียงใหม่มาสามปีอย่างมากก็แค่ขับรถกินลมชมวิวแถวนี้แล้วก็กลับ ไม่เคยค้างคืน
   
“เออ ไป” คิดอยู่สักพักก็ตอบตกลง
   
ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว ไปเที่ยวพักผ่อนหน่อยก็ดีเหมือนกัน เดือนหน้าผมก็จะฝึกงานแล้วด้วย คงไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวอีกจนกว่าจะเรียนจบนู่นเลย คิดแล้วก็ใจหาย เวลาผ่านไปเร็วชะมัด ไม่ทันไรก็จะขึ้นปีสี่แล้ว เหมือนเพิ่งเข้ามหาลัยมาเมื่อวานเอง... พอเรียนจบก็ต้องออกไปทำงานตามสายที่เรียนมาอย่างเต็มตัว คงไม่ได้มาทำพาร์ทไทม์เหมือนเคย
   
แต่ถ้าไอ้ตี๋คงยังทำงานที่นี่เหมือนเดิมใช่มั้ยวะ ก็มันเป็นหุ้นส่วนร้านไปแล้วนี่หว่า อีกอย่าง มันทำงานหนักขนาดนี้คงรักร้านนี้อยู่พอตัว
   
“เออมึง” ผมเรียกขึ้นมาเมื่อนึกได้ “กูพาคนอื่นไปด้วยได้มะ”
   
[ ใครวะ ]
   
“ไอ้ตี๋”
   
พอได้ยินคำตอบผม ไอ้ตรีก็เงียบไปทันที ผมเลยต้องรีบพูดต่อก่อนที่มันจะเข้าใจอะไรผิดไป
   
“มันทำงานมาทั้งเทอมเลยอ่ะ อยากให้มันพักบ้าง แต่ถ้ามึงไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะ กูเข้าใจ” ผมพูดเผื่อไว้ เพราะยังไงซะไอ้ตรีกับไอ้ตี๋ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไหนจะพี่เชนที่เคยมีคดีร่วมกันอีก ลำพังมาที่ร้านได้โดยไม่พุ่งเข้ามาชกหน้ามันอีกสักรอบนี่ก็ถือว่าเมตตามันมากแล้ว
   
[ หึ นี่มึงกับโชสนิทกันถึงขั้นไหนแล้ววะ ] ไอ้ตรีหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยแซว [ เมื่อก่อนไม่ชอบขี้หน้ากันไม่ใช่? ]
   
“ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบโว้ย” ผมเบ้หน้าพูดเสียงดัง ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดแบบนั้นจริงจัง
   
ไอ้ตรีหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะตอบกลับมา [ เออ พามาดิ ไปกันหลายๆ คนน่าจะสนุกดี ]
   
ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
   
[ งั้นเดี๋ยวกูแชทบอกอีกทีว่าไปวันไหน ]
   
“โอเค” ผมตอบรับสั้นๆ ก่อนจะตัดสาย
   
ในใจกำลังคิดว่ายังไงก็อยากให้ไอ้ตี๋ไปให้ได้... ไม่ใช่แค่อยากให้มันพักผ่อนจากการเรียนและก้มหน้าก้มตาทำงานมาตลอดทั้งเทอม
   
แต่ยังหวังผลพลอยได้อย่างอื่นที่อาจจะเกิดตามมา...
   
ไหนๆ หาคนใหม่ให้มันไม่ได้ ก็อยากลองใช้วิธีอื่นแทน
   
ถ้ามันยังหวัง ก็อยากทำให้รู้ว่าไม่ควรหวัง...
   
ผมกำลังคิดว่า... บางทีการราดยาลงที่แผลตรงๆ อาจเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็ได้

   




กว่าไอ้ตี๋จะยอมตอบตกลงมาด้วยกันได้ เรียกว่าผมต้องตื๊อมันจนถึงวินาทีสุดท้าย พอบอกว่าไปเที่ยวกับไอ้ตรีกับพี่เชน สีหน้ามันก็ดูลังเลขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าตัวเองเคยทำเรื่องไม่ดีไว้ แถมสถานะมือที่สามก็ยังติดตัวมันอยู่จนทุกวันนี้ จึงไม่แปลกที่พอเห็นหน้าพี่เชนมันก็หันมาถามว่าควรกลับดีหรือเปล่า
   
ใครจะให้กลับ
   
ผมดูออกเหมือนกันว่าพี่เชนดูไม่ค่อยพอใจที่มันมาด้วย แถมยังพยายามทำตัวติดกับไอ้ตรีตลอดเวลาเพื่อกันพวกเราออกห่าง แต่แบบนั้นก็ยิ่งดี ไอ้ตี๋มันจะได้เห็นว่าพี่เชนเขารักเขาหวงไอ้ตรีมากแค่ไหน... ไม่มีทางที่มันจะไปแทรกกลางได้
   
การไปเที่ยวกินเวลาสั้นๆ แค่สองวันหนึ่งคืน พวกเราเริ่มเดินทางกันตั้งแต่เช้า โดยรถยนต์หนึ่งคันกับบิ๊กไบค์หนึ่งคัน บิ๊กไบค์เนี่ย ของพี่เชนเขา แน่นอนว่าคนที่สามารถซ้อนได้ก็มีคนเดียว ส่วนที่เหลืออีกห้าคนก็ต้องเข้าไปอัดกันในรถห้าประตูของพี่เตอร์ไปโดยปริยาย ทริปนี้มีกันทั้งหมดเจ็ดคน ไอ้ตรี พี่เชน ผม ไอ้ตี๋ แล้วก็พี่เตอร์ พี่ต้า พี่วินเพื่อนสนิทของพี่เชน เป็นเพื่อนในคณะที่ฟอร์มวงดรตรีด้วยกัน เล่นประจำในผับชื่อดังที่ถ้าพูดชื่อไปใครๆ ในมหาลัยก็รู้จัก ผมเคยไปดูพวกพี่เขาเล่นกันอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งก็รู้สึกโคตรประทับใจ
   
กินอะไรกันเข้าไปวะถึงได้เทพปานนั้น
   
ผมไม่รู้ว่าพอเรียนจบพวกพี่เขาจะยังเล่นอยู่หรือเปล่า แต่มันคงน่าเสียดายถ้าวงต้องยุบไป วงดนตรีที่มีความสามารถ มีเสน่ห์ขนาดนั้น ถ้าอยากเอาทางนี้จริงจังก็คงมีอนาคตไกล จะว่าผมอวยก็ได้ แต่ผมโคตรคลั่งไคล้พวกพี่เขาเลย โดยเฉพาะพี่เชน ด้วยความเป็นพี่รหัสผมเลยได้ใกล้ชิดกว่าคนอื่น ได้รู้นิสัยใจคอพี่เขาถึงได้รู้ว่าพี่เชนเป็นคนเท่แค่ไหน ด้วยนิสัยแมนๆ แบบลูกผู้ชายตัวจริง ทำให้ผมยกพี่เขาขึ้นหิ้งเป็นไอดอลในดวงใจคนหนึ่งเลย และการที่พี่เขาคบกับไอ้ตรีที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็ไม่ได้ทำให้ผมนับถือพี่เขาลดลง พี่เชนยังโคตรแมนในสายตาผมเสมอ แถมผมกลับชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษ และเอาใจใส่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างน่าตกใจของพี่เขาด้วยซ้ำ
   
มันยิ่งย้ำให้ผมรู้ว่ารสนิยมทางเพศของคนเรา แม่งไม่ได้เกี่ยวกับบุคลิกภายใน หรือนิสัยใจคอเลย
   
อันที่จริงผมก็ไม่ควรตัดสินใครว่าแมนหรือไม่แมน จากคนที่เขารักมาตั้งแต่แรก
   
 “ไหวป่ะตี๋” ผมเอ่ยถามหลังจากเราเดินขึ้นเขากันมาได้สักระยะ คนตัวเล็กที่เดินนำหน้าผมอยู่ก็เริ่มมีทีท่าเหนื่อยหอบ
   
ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่จุดพักระหว่างทางไปตั้งแคมป์ เป็นจุดชมวิวบนยอดเขาชื่อดังที่ผมเคยเห็นคนริวิวในอินเตอร์เนตมากมาย แต่กว่าจะไปถึงจุดชมวิวได้ ก็ต้องเดินขึ้นเขากันไปกว่าสิบกิโล คนอื่นๆ นี่นำหน้ากันไปไกลแล้ว เหลือผมกับไอ้ตี๋ที่เดินรั้งท้ายอยู่กับไกด์อีกคนที่คอยช่วยดูความปลอดภัย
   
ไอ้ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเคยเป็นนักบาสของคณะ เล่นกีฬาอื่นบ้าง ถึงช่วงหลังจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่ยังไงก็ถึกกว่าอีกคนที่ไม่ทันไรก็หน้าซีดเหงื่อตกแล้ว
   
 ลืมไปเหมือนกันว่าปกติไอ้ตี๋มันไม่ค่อยได้ออกแรง ข้าวก็ไม่ค่อยจะแดก แต่จะให้หันหลังกลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย ระยะทางคงพอๆ กับเดินไปให้สุดทางเลย
   
“ไหวครับ” มันตอบ ยังคงดื้อตาใสทั้งที่เหงื่อไหลเต็มหน้าผากจนผมเผลอยกแขนเสื้อเช็ดออกให้มัน
   
ไอ้ตี๋ผงะไปนิดๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร รอจนผมเช็ดเหงื่อให้เสร็จก็กลับมาดื้อใส่อีกรอบ “คุณนำไปก่อนก็ได้ ผมเดินไปกับไกด์เอง”
   
ผมหันไปมองไกด์เด็กที่หยุดเดินตามพวกเรา แล้วหันกลับมาเบ้หน้าใส่ “ไม่เอา กูเหนื่อย”
   
ไม่รู้จะรีบเดินไปทำไมด้วย ยังไงก็ถึงเหมือนกัน อีกอย่างเดินช้าๆ ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ระหว่างทางก็ถือว่าได้เสพบรรยากาศดีๆ
   
“อ่ะน้ำ” ผมเปิดฝาขวดน้ำของตัวเองที่เหลืออยู่ค่อนขวดแล้วยื่นให้ไอ้ตี๋ มันเลิกคิ้วมองมาอย่างลังเลจนผมต้องเอาปากขวดไปจ่อปากมันอย่างบังคับ
   
“แดกไป ของมึงหมดแล้วนี่” มองขวดน้ำเปล่าๆ ที่มันถืออยู่เหมือนจะบอกว่ามันไม่มีทางเลือก ไอ้ตี๋เลยยอมรับน้ำของผมไปจิบแล้วคืนมา

ผมส่ายหน้า “แดกให้หมดเลยก็ได้ กูไม่หิว”

“แต่...”

“เดี๋ยวข้างหน้าก็มีจุดพักมั้ง กูเห็นไอ้ตรีมีน้ำด้วย เดี๋ยวไปขอมันแดกเอา” ผมว่าแล้วดันขวดน้ำไปจ่อปากไอ้ตี๋อีกครั้งบังคับให้มันดื่มให้หมดๆ ไปซะ

“ขอบคุณครับ” พอมันกินเสร็จผมก็ดึงขวดเปล่าทั้งของมันของตัวเองกลับมา กะว่าเจอขยะข้างหน้าจะได้ทิ้งทีเดียว

“เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว ทนหน่อยนะตี๋” ขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าพอให้หายมันเขี้ยวสักทีแล้วดันหลังให้มันเดินนำหน้าไป

อีกพักใหญ่กว่าพวกเราจะถึงจุดชมวิว มันสวยมากจริงๆ นั่นแหละ ยอดเขาสูงเสียดฟ้า มองออกไปเห็นลานก้อนเมฆสีขาวที่ปกคลุมเหนือป่าทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับว่าอยู่คนละโลกกับทุกวันที่ผ่านมา นึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้พกกล้องดีๆ ติดมาเหมือนไอ้ตรี แต่ได้เสพด้วยตาก็คุ้มค่ามากแล้วที่เดินมาไกลขนาดนี้

“ชอบมะ” ผมสะกิดคนที่ปลีกตัวออกมายืนชมวิวคนเดียวพลางยื่นน้ำที่จิ๊กมาจากคนอื่นอีกทีให้มัน

ไม่ทันเตรียมใจว่าไอ้ตี๋จะหันมายิ้มให้ด้วยสีหน้าที่ต่างไปจากทุกที

“สวยมากเลยครับ”
   
“...”     
   
สีหน้ามีความสุขซะจนผมได้แต่เงียบไป
   
“...” ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ ไอ้ตี๋มันถึงได้ชะงัก แล้วก็ต่างคนต่างเงียบไปทั้งคู่ ยืนสบตากันอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้สายลมเย็นที่พัดมาพาให้เรือนผมที่เคยเป็นทรงกระจัดกระจาย เผยกรอบหน้าขาวใสของคนตรงหน้าออกมา
   
สังเกตมานานแล้วเหมือนกันว่าหน้าตาไอ้ตี๋มันน่ารัก ตาตี่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ดูรับกับจมูกที่ไม่โด่งเกินไป แถมปากก็เป็นกระจับเล็กๆ จะยิ้มหรือหุบปากนิ่งๆ ก็ดูน่ามอง แต่ที่ทำให้ใครๆ ต่างก็ชอบ คงเป็นเวลาที่มันยิ้มกว้างเห็นฟันแทบจะครบทุกซี่ จนตาตี่ๆ หยีโค้งเป็นสระอิ... เหมือนเมื่อกี้
   
ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆ ผมก็มีความคิดผุดขึ้นมาว่า อยากให้ไอ้ตี๋กลับไปเป็นตี๋อ้วนดำ แว่นหนาเตอะที่ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้มากกว่า
   
ถ้าเป็นแบบนั้นคนที่มันสนิทด้วย ก็คงมีผมคนเดียว...
   
“ขอบคุณครับ” จนกระทั่งไอ้ตี๋เอ่ยขึ้นมา รับขวดน้ำที่ผมถือค้างไว้ไปเปิดดื่มแก้กระหาย แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
   
ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ปัดความคิดไร้สาระก่อนหน้านี้ออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปเกาะราวกันตกข้างคนตัวเล็กกว่า แกล้งเอื้อมมือไปขยี้หัวมันแรงๆ จนโดนฟาดเข้าให้หนึ่งทีถึงยอมชักมือกลับมาเท้าแขนลงกับราวกั้น มองวิวสวยๆ ข้างหน้าแล้วยิ้มออกมาแบบไร้เหตุผล
   
อากาศดี บรรยากาศดี วิวดี ไม่แปลกที่ไอ้ตี๋จะยิ้มได้แบบนั้น มันเหนื่อยมาเยอะแล้ว ได้มาผ่อนคลายบ้างคงช่วยเติมพลังได้อย่างดี เห็นแบบนี้แล้วอยากพามาอีก...
   
“ไอ้ซัน โช มาถ่ายรูปกัน” ยืนรับลมชมวิวอยู่สักพักก็ได้ยินไอ้ตรีตะโกนขึ้นมา หันไปมองก็เห็นว่ามันกับคนอื่นๆ ยืนรวมตัวกันอยู่ที่จุดถ่ายรูปยอดนิยมเรียบร้อยแล้ว
   
“ปะ” ผมหันไปบอกได้ตี๋ที่ตอนนี้ขมวดคิ้ว ท่าทางลังเล
   
“จะดีเหรอครับ ผม...”
   
ผมไม่รอให้มันพูดจบ แล้วถือวิสาสะจับมือมันลากออกมาทันที เข้าใจว่าในสถานการณ์แบบนี้มันคงกำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนนอก 

แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครคิดแบบนั้น
   
“มาเที่ยวทั้งที ไม่มีรูปถือว่าพลาดนะตี๋”
   
พอได้ยินแบบนั้นมันก็ยอมตามมาโดยดี พวกเราก็ตั้งกล้องถ่ายรูปรวมกัน โดยที่ทุกคนยืนเรียงกันโง่ๆ ไร้การโพสท่าลั้ลลาใดๆ แทบไม่มีใครยิ้มเลยด้วยซ้ำนอกจากผมกับไอ้ตรี กับไอ้ตี๋ที่ยิ้มนิดๆ อย่างเก้ๆ กังๆ ทุกรูปที่ถ่ายออกมาแม่งเป็นงั้นหมดเลย ตอนผมกับไอ้ตรีมาเช็กรูปยังได้แต่ขำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมีคนอื่นรอถ่ายอยู่ สุดท้ายก็เลยได้รูปแค่นั้น
   
รูปที่ผมไม่ทันสังเกตเหมือนกัน ว่ามือของผมกับไอ้ตี๋ยังคงจับกันไว้ ตั้งแต่รูปแรกยันรูปสุดท้าย





-----------------------------------------------------
มาถึงจุดเชื่อมต่อเหตุการณ์ของสองเรื่องเข้าด้วยกันแล้ว
เป็นจุดที่เราว่ามีบางอย่างเผยออกมานะ 55555
ตอนหน้าจะจบพาร์ทก่อนตะวันแล้วค่ะ แล้วเรามาเริ่มนับหนึ่งใหม่กับพาร์ทหลังตะวันกันนะ
มาดูกันว่าซันจะหายโง่เลิกหลอกตัวเองตอนไหน 5555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ เป็นกำลังให้ได้มาก
ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนจบเลยนะคะ ไม่ชอบตรงไหนก็ติได้เสมอเลยค่ะ  :L2:

-- Martian --    
   
   
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 11 [ 5/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-05-2017 16:38:28
  :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 11 [ 5/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-05-2017 21:16:12
ตี๋ละเมอถึงใครอ่าาาาา
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : ก่อนตะวัน 12 [ 6/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 06-05-2017 22:06:54
ก่อนตะวัน : 12

   
หลังจากเดินลงมาจากเขา พวกเราก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่จุดตั้งแคมป์ต่อทันทีเพราะกลัวว่าจะค่ำเสียก่อน ไอ้ตี๋ท่าจะเหนื่อยก็เลยหลับมาตลอดทาง หัวกระแทกกระจกไปหลายครั้งจนผมต้องดึงตัวมันเอนมาพิงไหล่ไว้เพราะสงสาร ถือว่าตอบแทนละกันที่ก่อนหน้าหนีผมก็เผลอหลับทิ้งตัวไปซบไหล่มันเหมือนกัน แถมไม่ถูกด่าอีก นั่งรถมาสักพักก็ดันหลับตามไปตอนไหนไม่แน่ใจ แต่ตื่นมาอีกทีก็ถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว
   
“พวกมึงไปหาฟืนมาก่อกองไฟนะ เดี๋ยวพวกกูกางเต็นท์เอง” พี่เตอร์หันมาบอกระหว่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากท้ายรถ ผมกับไอ้ตี๋มองหน้ากันมึนๆ คงเพราะเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ จนไอ้ตี๋หันไปพยักหน้ารับแล้วเดินนำผมถึงได้บิดขี้เกียจตามไป 
จุดกางเต็นท์ที่พวกเราต้องนอนคืนนี้เป็นป่าสนของอุทยานแห่งชาติที่มีไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมากางต็นท์ตากอากาศ แต่วันนี้นักท่องเที่ยวไม่เยอะนัก พวกเราก็เลยได้จุดดีๆ ที่ไม่ต้องไปแออัดกับใคร เป็นมุมสงบที่อยู่ห่างจากจุดชมวิวไม่ไกลอีกต่างหาก
   
“อันนั้นไม่น่าจะใช้ได้นะครับ” ไอ้ตี๋ว่าเมื่อผมหยิบกิ่งไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมามั่วซั่ว คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วแล้วเดินมาใกล้ ใช้มือข้างหนึ่งหอบกิ่งไม้ไว้ ในขณะที่อีกข้างคัดกิ่งไม้ที่ใช้ไม่ได้ออกจากอ้อมแขนผม
   
“ไม่เคยเรียนลูกเสือเหรอครับ”
   
โดนด่าเฉย
   
“ก็เคย แต่กูไม่ได้มีหน้าที่ก่อไฟนี่หว่า” ผมเบ้หน้า ตอนเข้าค่ายผมมีหน้าที่แค่เอนเตอร์เทนคนในหมู่บังหน้าการอู้งานเท่านั้นแหละ
   
“แต่ก็น่าจะรู้นะครับว่าก่อไฟต้องใช้กิ่งไม้แห้ง”
   
แหม ด่ากูโง่ตรงๆ เลยก็ได้นะตี๋ เหน็บแบบนี้เจ็บกว่าอีก!
   
“คร้าบบบ รู้แล้วเนี่ย” ผมแกล้งรับคำเสียงทะเล้น ก่อนจะแย่งกิ่งไม้แห้งในอ้อมแขนเล็กๆ นั่นมาหอบไว้เอง
   
“หาเอาใหม่สิครับ มาแย่งผมทำไม” ดวงตาเรียวมองมาอย่างไม่พอใจ
   
“กูเลือกไม่เป็นไง มึงก็หยิบๆ มาละกันเดี๋ยวกูถือให้”

“มันหนักนะครับ ช่วยกันขนน่ะดีแล้ว” ไอ้ตี๋ขมวดคิ้ว ทำท่าจะเดินเข้ามาแย่งกิ่งไม้จากมือผมจนต้องเบี่ยงตัวหลบ
   
“เอาเหอะน่ะ แค่นี้แขนกูไม่หักหรอก” ...แขนมึงต่างหาก ดูบอบบางขนาดนั้นเกิดขนของหนักๆ มากเกินจนแขนหักก็ชงกาแฟไม่ได้พอดี
   
พอเห็นผมดื้อแพ่ง ไอ้ตี๋เลยได้แต่ส่ายหน้า ส่งสายตาบอกว่าเตือนผมแล้วนะ ก่อนจะเดินนำไปหากิ่งไม้มาเพิ่มอีก มันต้องใช้พอสมควรเพราะเราต้องจุดไฟให้ความอบอุ่นกันทั้งคืน บนเขาแบบนี้อุณหภูมิต่างจากข้างล่างลิบลับ นี่ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่ตกดีอากาศยังเย็นเลย ลองดึกกว่านี้ถ้าไม่มีกองไฟคงได้หนาวตาย
   
“มึงเอาเสื้อกันหนาวมากี่ตัวตี๋” อดไม่ได้ที่จะถามเมื่อนึกว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นลงขนาดไหน
   
ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วงงๆ ก่อนจะตอบ “ตัวเดียวครับ”
   
หมายถึงไอ้ตัวที่ใส่อยู่เนี่ยอ่ะนะ
   
“เฮ้ย จะพอได้ไง” ผมโวยวายพลางแย่งกิ่งไม้ที่มันไม่ยอมส่งให้มาถือไว้อีก “เดี๋ยวดึกๆ ก็หนาวตายหรอก”
   
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีถุงนอน” มันเถียง “แล้วอีกอย่างก่อกองไฟเดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”
   
คิดง่ายชิบ ถ้าเกิดหนาวจนทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ กูจะหัวเราะให้
   
“ยังไงกันไว้ก็ดีกว่า กูมีอีกตัวอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวกลับเต็นท์ไปเอามาใส่เลย” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่สีหน้าไอ้ตี๋ก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังกัน
   
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ” ว่าพลางถอนหายใจเหมือนทุกที “ห่วงตัวเองเถอะ เสื้อเลอะดินหมดแล้ว กลับเต็นท์ไปเปลี่ยนด้วยนะ เดี๋ยวจะคันเอา” บ่นคืนพร้อมกับยกมือขึ้นมาปัดๆ เศษกิ่งไม้ที่เลอะเสื้อผมออกเบาๆ
   
เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเสื้อตัวเองเลอะดินที่ติดอยู่กับกิ่งไม้เต็มไปหมด แต่แค่นี้คงไม่ทำให้เป็นอะไรหรอก ปัดๆ ก็ออกหมดแล้ว ผมไม่ได้เถียงอะไรไอ้ตี๋ แค่คิดในใจว่าถ้ากลับไปที่เต็นท์ค่อยบังคับให้มันสวมเสื้อกันหนาวของผมอีกรอบก็แล้วกัน ไม่อยากให้มันไม่สบาย พี่โมยิ่งบอกว่าไอ้ตี๋ร่างกายอ่อนแออยู่ด้วย
   
“แค่นี้น่าจะพอแล้วมั้ง กลับกันเถอะ” มันว่าพลางหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือสองข้าง แล้วรีบเดินนำกลับเต็นท์ไป ไม่ให้ผมแย่งมาถือไว้แทนได้อีก
   
เป็นตัวอะไร ทำไมดื้อขนาดนี้วะเนี่ยตี๋

   




ผมว่าในค่ายลูกเสือ ไอ้ตี๋แม่งก็ไม่ได้ทำหน้าที่ก่อไฟเหมือนกัน ทำมาเป็นว่าผม แต่พอเอาฟืนมาวางเสร็จก็ยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกจนพี่เตอร์ต้องมาช่วยทำแทนให้อยู่ดี สุดท้ายก็ยืนไร้ประโยชน์อยู่กับผมนี่แหละ ปล่อยให้พวกผู้เชี่ยวชาญเขาจัดการไป
   
นอกจากก่อไฟให้ความอบอุ่นแล้ว เรายังใช้กองไฟนี้ในการทำอาหารเย็นด้วย รื้อฟื้นความทรงจำค่ายลูกเสือของแท้ แต่แน่นอนว่าตัวไร้ประโยชน์อย่างผมก็ยังไร้ประโยชน์เสมอต้นเสมอปลาย ปล่อยให้ไอ้ตรีที่มีดีกรีเป็นลูกชายเจ้าของร้านอาหารไทยในอิตาลีทำหน้าที่พ่อครัวไป

ด้วยความที่ต้องมาตั้งแคมป์กลางป่ากลางเขา อาหารก็เลยเป็นอะไรง่ายๆ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับเนื้อย่างนิดๆ หน่อยๆ   สำหรับผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่กับไอ้ตี๋... ปกติมันไม่กินทั้งสองอย่างเลย
   
ผมผิดเองแหละที่ไม่รอบคอบ ลืมบอกเรื่องอาหารที่ไอ้คนตัวเล็กนี่ไม่ชอบ จะบอกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย สุดท้ายเลยได้เห็นมันกินมื้อเย็นนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธีเพราะเกรงใจไอ้ตรี
   
โชคดีที่ก่อนขึ้นเขามาผมไม่ลืมซื้อของกินจากร้านสะดวกซื้อข้างล่างมาเผื่อให้มัน
   
“อ่ะ” ผมยื่นแซนวิชโฮลวีตไส้ทูน่าให้ไอ้ตี๋หลังจากที่พวกเราปลีกตัวออกมานั่งใต้ต้นสนห่างจากเต็นท์พอสมควร เพราะอยู่ๆ พี่เชนกับไอ้ตรีก็สวีทกันตอนที่พวกพี่เตอร์ออกไปสูบบุหรี่เฉย ผมกับไอ้ตี๋เลยไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ปล่อยให้เขาหวานกันตามลำพัง อีกอย่าง ผมหาจังหวะเอาแซนวิชนี่ให้ไอ้ตี๋อยู่แล้วด้วย

“เมื่อเย็นมึงไม่ค่อยได้กินนี่” ผมว่าเมื่อเห็นว่ามันหันมาทำหน้างงๆ ไอ้ตี๋เลยผงกหัวขอบคุณแล้วหยิบแซนวิชไปกัดคำโต
อาหารเย็นที่กระเดือกไปคงไม่ถึงท้องอย่างที่คิด

“เอาอีกมะ” ผมหยิบธัญพืชอัดแท่งซองเล็กออกมาจากกระเป๋าให้มันอีก ไอ้ตี๋ทำหน้างงอีก ก่อนจะถามกลั้วหัวเราะ

“พกอะไรมานักหนาเนี่ย”

“ก็รู้ไงว่าคนแถวนี้แม่งกินยาก” ถึงคราวผมทำหน้าเอือมบ้าง

แม่งกินยากจริงๆ คราวหน้าถ้ามาอีกก็ห่อข้าวขึ้นมากินเองเหอะ

ผมนั่งมองมันกินเงียบๆ แล้วเผลอยิ้มออกมา แค่แดกธัญพืชอัดแท่งเองทำไมต้องทำหน้าตามีความสุขขนาดนั้น เนื้อย่างกับมาม่าของไอ้ตรีอร่อยกว่านี้ตั้งหลายเท่าด้วยซ้ำ

“มึงรู้สึกยังไง” เผลอปากไวขึ้นมาเมื่อนึกถึงภาพที่ไอ้ตรีกับพี่เชนสวีทกันเมื่อกี้ ไอ้ตี๋เองก็เห็นเต็มๆ เหมือนกัน... สีหน้ามีความสุขของไอ้ตรีแบบที่มันคงไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้

“รู้สึกอะไร?” มันเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นแหละ ผมถึงนึกได้ว่าคำถามผมแม่งโคตรจะไร้ที่มาที่ไปอีกแล้ว

“ก็...” เว้นวรรคอย่างไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็ถามออกไป “เรื่องเมื่อกี้...”

ผมขมวดคิ้วอย่างกังวล แต่ไอ้ตี๋กลับยักไหล่ “ไม่ได้รู้สึกอะไร”

“จริงอ่ะ?” 

“ทำไม อยู่ๆ เกิดเป็นห่วงขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตัวเองชวนมาเพราะอยากให้ผมเห็นภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือไง” มันเลิกคิ้วถามกลับ

อ้าวชิบหาย มันรู้ทัน

 “อะ...อะไร กูแค่ชวนมาเฉยๆ” พยายามเฉไฉแต่ก็รู้ตัวว่าไม่เนียน

นี่ผมอ่านง่ายถึงขนาดที่มันดูออกได้เลยเหรอวะว่าผมตั้งใจจะทำอะไร ตอนที่พยายามเป็นพ่อสื่อให้ไอ้นายก็ทีนึงแล้ว

“ผมไม่เป็นไร ขอบใจ” ไอ้ตี๋ว่าพลางหัวเราะเบาๆ

ท่าทางมันดูสบายๆ จนน่าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าข้างในมันจะไม่ได้รู้สึกอะไร อาจจะเหมือนเรื่องรูปที่เป็นข่าวลือนั่นก็ได้ ที่มันพยายามปกปิดความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้ผมเห็น

แต่ไม่เป็นไร...ยังไงซะผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆ เพื่อปลอบใจมัน ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

“กูรู้ว่ามึงยังเจ็บอยู่... แต่เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเอง”

คงเพราะไม่ค่อยได้ยินคำพูดดีๆ ออกจากปากผมสักเท่าไหร่ ไอ้ตี๋ถึงทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมา

“อืม” มันพยักหน้า สบตาผมด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

เพราะไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้มาก่อน มันเลยทำให้ผมตกใจจนต้องเฉไฉเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาอีกที

“ไม่เห็นดาวเลยว่ะ” ว่าพลางเอนหลังนอนราบลงไปบนพื้นชื้นๆ ด้านหลัง

ยังไงก็มาเพื่อนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่แล้ว ก็เอาให้มันคลุกดินจริงๆ ไปเลยแล้วกัน

ผมมองไปทางไอ้ตี๋ที่เงยหน้ามองท้องฟ้าหม่นๆ ไร้แสงดาวตามผม ก่อนที่ปากมันจะลั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“พรุ่งนี้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”

“ฮะ?”

เออ ตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็ชวน...

แต่มาบนเขาทั้งที มีจุดชมวิวสวยๆ อีกต่างหาก ถ้าได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าก็น่าจะสดชื่นดีไม่ใช่หรือไง

 “เขาว่ากันว่าพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่” พอเห็นไอ้ตี๋ทำหน้างงก็พูดออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดทำไม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาตอนสบตาคนตรงหน้าที่มองมาอย่างไม่เข้าใจความหมาย

“เผื่อว่ามึงจะรู้ตัวสักที ว่าชีวิตมึงก็เริ่มต้นใหม่ได้เหมือนกัน”

ไอ้ตี๋เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี มีท่าทีลังเลแปลกๆ จนผมเริ่มใจแป้วว่ามันอาจจะไม่ไป

แต่สุดท้ายมันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้แสงดาวอีกครั้ง แล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

“เอาดิ”






ผมกับไอ้ตี๋กลับมาที่เต็นท์กันหลังจากนั้นไม่นาน คนอื่นๆ ยังนั่งดื่มเบียร์เล่นกีตาร์ร้องเพลงไปพลางด้วยบรรยากาศที่เป็นใจ จนเวลาล่วงเลยไปประมาณตีสามกว่าๆ ถึงแยกย้ายกันไปนอน ผมกับไอ้ตี๋นอนเต็นท์หลังเดียวกัน ในขณะที่พี่เชนนอนกับไอ้ตรี ส่วนพี่เตอร์ พี่ต้า พี่วินนอนหลังใหญ่สุดรวมกัน

อาจจะเพราะแปลกที่ หรือเพราะมันหนาวเกินไปก็ไม่รู้ ขนาดดื่มไปพอสมควร แถมดึกขนาดนี้ผมก็ยังนอนไม่หลับ ได้แต่นอนตาค้างอยู่เป็นชั่วโมงๆ

“นอนไม่หลับเหรอครับ” คงเพราะผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ ไอ้ตี๋ถึงได้รู้แล้วถามขึ้นมา

“กูทำให้ตื่นเหรอ โทษที” ผมพลิกตัวกลับไปหามันแล้วถามอย่างรู้สึกผิด

ไม่ทันรู้ตัวว่าเต็นท์มันแคบจนต้องนอนใกล้กันขนาดที่อีกไม่ถึงฟุตจมูกก็แทบจะแตะกันอยู่แล้ว

มันเงียบไปสักพัก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมก็ยังไม่หลับเหมือนกัน”

“...” ผมยังคงเงียบมองหน้ามันอยู่อย่างนั้นหลายวินาที แน่ใจว่ามันน่าจะเห็นผมไม่ชัดเพราะถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน แถมแสงที่มาจากกองไฟนอกเต็นท์ก็คงไม่เพียงพอให้มันดูออกว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหน...

ขนาดผมเองยังไม่ค่อยแน่ใจสีหน้าตัวเองเลย

“พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นหรือยังครับ” พอมันถาม ผมถึงได้สติกลับมา รู้ตัวว่าจ้องหน้าอีกฝ่ายนานเกินไป

“มะ... ไม่รู้ว่ะ” ผมอึกอัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นอีกที “ในนี้บอกว่าขึ้นตอนตีห้าครึ่ง ก็เหลือประมาณชั่วโมงนึง”

แบบนี้คงไม่ได้นอนแล้วมั้ง เพราะถ้าหลับ ก็อาจจะลากยาวจนตื่นมาดูไม่ทัน

“งั้นเราไปนั่งรอดีมั้ย” ไอ้ตี๋เองก็คงคิดเหมือนกัน

ผมยิ้ม พยักหน้า แล้วลุกขึ้นมาจากถุงนอน ไอ้ตี๋ลุกตาม หันไปหยิบแว่นสายตาในกระเป๋าขึ้นมาสวมลวกๆ แทนคอนแทกเลนส์

“มองเห็นเหรอนั่นน่ะ” ผมถามกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นแว่นตาทรงลุงของมันขึ้นฝ้าขาวจนไม่น่าจะมองเห็นอะไร เอื้อมมือออกไปถอดออกมาเช็ดกับเสื้อของตัวเองให้ จนแน่ใจว่ามันกลับมาใสเหมือนเดิมแล้วถึงใส่กลับเข้าไปให้มัน

“ขอบคุณครับ” ไอ้ตี๋พึมพำ พลางดันแว่นให้เข้าที่สีหน้าเหมือนตั้งตัวไม่ทัน แต่ก่อนที่จะออกจากเต็นท์ได้ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อกันหนาวของผมที่มันถอดไว้ขึ้นมา

“ข้างนอกมันหนาว มึงไม่ต้องมาดื้อเลย” ถือวิสาสะสวมให้ ไม่เปิดโอกาสให้มันปฏิเสธ รูดซิปเสื้อตัวโคร่งกว่าคนใส่จนสุดถึงคอก็พอใจ มุดออกมาจากเต็นท์พลางยืนบิดขี้เกียจรอมัน

อากาศดีชะมัด อยากพกกลับไปข้างล่างด้วยเลย

ไอ้ตี๋มุดตามออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ ยืนสูดอากาศอยู่ข้างกันด้วยสีหน้าที่ดูอารมณ์ดี

“จะชวนคนอื่นไปด้วยมั้ยครับ” มันกระซิบ เพราะตอนนี้ทุกคนนอนกันหมดแล้ว

“ไม่เอาอ่ะ” ผมปฏิเสธทันที ก่อนที่สมองจะนึกเหตุผลออก “ให้พวกพี่เขาพักแหละ แดกเบียร์ไปตั้งเยอะ เดี๋ยวต้องขับรถกลับกันอีก”

ไอ้ตี๋ไม่ได้ว่าอะไร ผมเลยเริ่มเดินนำมันออกไป ยังดีที่ทางอุทยานติดไฟตามทางให้ มันเลยไม่มืดมากนัก เดินลัดป่าสนเข้าไปไม่ไกลก็ถึงจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นอยู่เหมือนกันประปราย แสงไฟตรงนี้น้อยกว่าระหว่างทาง คงเพราะไม่อยากให้แสงอื่นมารบกวนแสงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

ผมกับไอ้ตี๋หามุมเหมาะได้ก็พากันนั่งลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำค้างนั่นแหละ เปิดโทรศัพท์ดูเวลาก็พบว่าเหลืออีกประมาณยี่สิบนาที ยังไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเลย

“เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นมาก่อนมั้ยครับ” ไอ้ตี๋กระซิบถามขึ้นมา นั่งชันเข่าซบหน้าลงหันมาทางผม

“ก็เคย แต่ส่วนใหญ่เป็นทะเล” ส่วนใหญ่โรงแรมกับรีสอร์ตของบ้านผมจะอยู่แถวทะเล ดังนั้นช่วงพักร้อนก็เลยไปเที่ยวทะเลเป็นว่าเล่น ถึงได้เบื่อจนต้องหนีมาเรียนบนเขาบนดอยนี่ไง

“สวยมั้ยครับ” ผมเลิกคิ้ว มองคนตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ

“มึงไม่เคยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเหรอ”

ไอ้ตี๋ส่ายหน้า “ปกติไม่ค่อยได้เที่ยวน่ะครับ”

สังเกตจากที่วันๆ มันเอาแต่หลับหูหลับตาทำงานแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่

“สวยดิ สวยมาก” ผมยิ้ม นึกภาพที่เห็นกี่ครั้งก็ยังประทับใจ “ถ้ามึงอยากเห็น วันหลังกูจะพาไป”

เผลอชวนออกไปอีกแล้ว ทั้งที่ไม่แน่ใจว่ามันจะอยากไป

ไอ้ตี๋ไม่ได้ตอบอะไร แค่เบือนหน้าออกไปทอดสายตามองทิวเขาไกลๆ ที่อีกไม่นานตะวันดวงใหญ่จะโผล่ขึ้นมา

“ถือเป็นคำสัญญาหรือเปล่าครับ” อยู่ๆ มันก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังกระซิบกับตัวเอง ก่อนจะหันมาสบตา
กับผมอีกครั้งด้วยสายตาที่แปลกไป “ไม่อยากให้ใช่เลย”

เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหว... หวาดกลัว

“...”

“คำสัญญาปากเปล่ามันเชื่อไม่ได้”

“...”

“แต่มันก็ยาก ที่ได้ยินแล้วจะทำใจให้ไม่เชื่อเหมือนกันนะครับ” ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเหมือนกำลังพูดเรื่องน่าขำ ทั้งที่แววตาของมันไม่ได้ขำไปด้วยเลย

ผมอยากจะเถียงออกมา แต่ก็คิดได้ว่าจริงอย่างที่มันพูด... ถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้จริง ก็ไม่ควรให้สัญญา

แต่ว่า... ถ้าผมมีหลักประกันล่ะ

อย่างน้อย ครั้งหนึ่งผมก็ทำตามคำพูดของตัวเองได้จริง ด้วยการพามันมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันนี้

แค่นี้จะเพียงพอให้มันเชื่อใจคำพูดของผมได้มั้ย?

...ผมไม่กล้าถามออกไป เพราะสุดท้าย ผมก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำมันได้อยู่ดี

“สวยจริงๆ นะครับ” เงียบกันไปนานกว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมา ทำให้ผมเบือนหน้ากลับไปยังท้องฟ้าที่เริ่มขึ้นสีแดง

พระอาทิตย์ที่เป็นเจ้าของแสงค่อยๆ เคลื่อนกายขึ้นมาแตะขอบฟ้าก่อนเวลา เผยตัวออกมาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังรอคอย นักท่องเที่ยวคนอื่นพากันยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปส่งตื่นตะลึงในความสวยงามที่ไม่ได้หาง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ต่างกับพวกผมที่เพียงทอดสายตามองออกไป ซึมซับความสวยงามนั้นอยู่เงียบๆ นานนับนาที

ผมหันกลับมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่ถูกแสงยามเช้าส่องกระทบจนดูเป็นประกาย สายตาที่มองออกไปราวกับว่ากำลังหลุดลอยตามพระอาทิตย์ดวงนั้นไป สร้างความรู้สึกประหลาดบางอย่างให้ก่อตัวขึ้นมาในใจผมทันทีที่มอง

“ตี๋... ที่ก่อนหน้านี้กูบอกว่าชีวิตมึงเริ่มต้นใหม่ได้เหมือนพระอาทิตย์น่ะ... กูหมายความแบบนั้นจริงๆ นะ”

ความรู้สึกที่ผลักดันให้ผมพูดออกไป ขณะที่เอื้อมมือออกไปสัมผัสผมคนตรงหน้าแผ่วเบา

“?”

“เพราะฉะนั้นเรื่องไอ้ตรี... ช่วยหยุดมันไว้แค่ก่อนพระอาทิตย์จะพ้นขอบฟ้านี่ได้มั้ย”

รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังสบตาคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังแค่ไหน... เพราะผมกำลังคิดอย่างที่พูดจริงๆ

“มึงจะฟูมฟาย ร้องไห้ ตีอกชกตัวยังไงก็ได้ จนกว่ามึงจะพอใจ”

และมันคงดี ถ้าไอ้ตี๋ทำได้อย่างที่ผมขอ
 
“แต่กูให้เศร้าได้แค่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะตี๋”

เพราะถ้ามันก้าวออกมาจากความเจ็บปวดได้... ผมก็พร้อมจะทำสิ่งที่ตั้งใจไว้

“เฮิร์ตให้เต็มที่... แล้วหลังจากนี้กูจะทำให้มึงมีความสุขเอง”
   
คราวนี้ผมกล้าสัญญา...      






----------------------------------------------------
ตอนหน้าจะเริ่มรับหนึ่งใหม่กับพาร์ทหลังตะวันนะคะ
เรื่องจะเดินหน้ามากกว่านี้แน่นอน 55555
ฝาก #ซันโช ค่า

ขอบคุณค่ะ
-- Martian --   

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : ก่อนตะวัน 12 [ 6/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-05-2017 23:22:08
ชอบการตบเข้าชื่อเรื่องมาก อิอิ
เริ่มต้นใหม่นะตี๋... ซึ่งจริงๆ ตี๋อาจเริ่มใหม่นานแล้ว
แต่บางคนซึนอยู่เลยไม่รู้ 5555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลังตะวัน 1 [ 14/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 14-05-2017 07:27:15
หลังตะวัน : 1

   
[ Shogun’s Part ]
   

ปัจจุบัน



ผมไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น
   
ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาพูดมันออกมาทำไม... เหมือนกับที่ไม่แน่ใจกับการกระทำอีกหลายๆ อย่างที่เขาแสดงออกตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
   
เขาอยู่กับผม ในวันที่ผมร้องไห้... กอดผมไว้ ในวันที่ผมทุกข์ใจ
   
มันไม่ใช่สิ่งปกติที่ผมเคยได้รับจากใครสักคน
   
ซันเป็นคนดี ข้อนั้นผมรู้... อาจจะรู้ดีกว่าใครจากการที่เฝ้าสังเกตเขามานานในฐานะคนที่ตรีเคยแอบรัก
   
ตั้งแต่มัธยมเขามักเป็นศูนย์กลางของคนมากมายอยู่เสมอ เป็นแสงสว่างสดใสที่ใครเห็นก็รู้สึกอบอุ่นใจ ถึงจะสนิทกับตรีที่สุด แต่ในโลกของเขาก็มีคนมากมายที่เขาให้ความสำคัญ ใส่ใจอยู่ภายใต้การทำเหมือนไม่ใส่ใจในแบบของเขา
   
ผมคิดว่าตัวผมเองก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น
   
แต่ตอนนี้... กลับรู้สึกว่าการใส่ใจของเขา มันกำลังรบกวนความคิดของผม...


‘กูให้เศร้าได้แค่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะตี๋’

‘เฮิร์ตให้เต็มที่... แล้วหลังจากนี้กูจะทำให้มึงมีความสุขเอง’

   
โดยเฉพาะคำพูดพวกนี้...
   
ผ่านมาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ไปเที่ยวคราวนั้น แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมผมถึงสลัดพวกมันออกไปจากหัวไม่ได้สักที
   
อาจเพราะน้ำเสียงของเขาที่ฟังดูจริงใจ สายตาที่มองมาอย่างจริงจัง... หรือฝ่ามือหนาที่ลูบอยู่บนหัวผมอย่างแผ่วเบา... 
ทุกอย่างยังทิ้งร่องรอยอยู่ในความทรงจำ ชัดเจนหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
   
บอกแล้วว่าคำสัญญาปากเปล่าน่ะน่ากลัว แค่ได้ยินครั้งเดียวก็เผลอปักใจเชื่อไปแล้ว ทำยังไงดี
   
“พี่โช เป็นไร เหม่อเชียว” ผมได้สติอีกครั้งเมื่อนายเดินมาสะกิดเบาๆ
   
“ฮะ?” ไม่ทันฟังว่าน้องพูดอะไร

ช่วงนี้ผมใจลอยอยู่บ่อยๆ จนบางทีก็รำคาญตัวเอง
   
“พี่ไม่สบายป่ะเนี่ย” นายเลิกคิ้วถาม สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใย สงสัยกลัวผมเป็นลมเป็นแล้งระหว่างทำงานไปอีกเหมือนคราวนั้น
   
“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ
   
เข้าใจว่าคนตรงหน้าหวังดีตามประสาเพื่อนร่วมงานเท่านั้น เพราะตั้งแต่คืนนั้นที่ผมพูดกับนายออกไปตรงๆ น้องก็ดูไม่ได้เฮิร์ตอะไร แถมไม่ทันไรก็เริ่มต้นใหม่กับเด็กที่พี่โมเพิ่งรับเข้ามาทำงานกะเช้าแทนคนเก่าที่ลาออกไป ความสัมพันธ์ดูไปด้วยดีจนผมอดอิจฉาไม่ได้
   
ทำยังไงถึงจะทำใจได้เร็วแบบนั้น? ผมเองก็อยากจะเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน... แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง
   
ต้องขอบคุณการไปเที่ยวในครั้งนั้นที่ทำให้ความรู้สึกของผมมันชัดเจนขึ้นมา ผมเลิกเศร้า เลิกคร่ำครวญแม้แต่ในใจ ต่อให้ภาพของตรีกับพี่เชนจะบาดตาแค่ไหน ผมก็ไม่เป็นไร ซ้ำยังรู้สึกดีที่เห็นพวกเขารักกันขนาดนั้น
   
ในที่สุดผมตัดใจจากตรีได้

แต่น่าเศร้าที่ผมเลิกหวาดกลัวความผิดหวังไม่ได้... ผมอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับมันเป็นครั้งที่สอง และคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะมีความรักอีก
   
ถ้าไม่รักก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่หวัง ก็ไม่ผิดหวัง... ผมบอกตัวเองอย่างนั้นซ้ำๆ และคิดว่ามันจะปกป้องหัวใจตัวเองได้ พยายามอยู่กับตัวเองให้มากเข้าไว้ ไม่เปิดรับใครเข้ามาทำร้ายหัวใจได้อีก

มันคงทำได้ง่าย... ถ้าไม่มีเขา

“พี่ซันมาพอดี มาดูพี่โชดิ ท่าจะไม่สบาย” นายว่าพร้อมกับหันไปทางประตูที่ร่างสูงแสนคุ้นตาเปิดเข้ามาพอดี

ฟ้องทำไมเนี่ย

“ฮะ? มึงป่วยเหรอตี๋”

ผมส่ายหน้าหวือ ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่สบาย ไอ้เจ้านาย...

“ไหนดูดิ๊” แต่ซันไม่เชื่อ เขาเดินมาหลังเคาน์เตอร์ทั้งที่ยังไม่ได้วางกระเป๋า ขยับเข้ามาแตะฝ่ามือลงบนหน้าผากผม “ตัวไม่ร้อนนี่หว่า”

“...” ก็ไม่ได้เป็นไรนี่ครับ

“แต่หน้าแดง”

“...”

“เออจริง หน้าแดงมากอ่ะพี่โช” นายยื่นหน้ามาสัมทับ เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูก หลบสายตาลงต่ำพร้อมกับถอยหลังออกมา

“ผมว่า... ผมปวดหัวนิดหน่อย” โอเค ป่วยก็ได้

ซันขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สบายใจ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มาให้แล้วกดไหล่ผมนั่งลง “งั้นมึงพักก่อน เดี๋ยวกูไปเอายาให้”

“มะ...” ผมกำลังจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ไม่ทัน ซันถอดกระเป๋าตัวเองวางลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

“พักเถอะพี่โช เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟเอง” นายเองก็ทำหน้าเป็นห่วงก่อนจะหยิบเค้กกับกาแฟที่ผมเตรียมไว้ไปเสิร์ฟให้โดยไม่รอให้ผมแย้งอะไร ยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่

ไม่น่าพูดพล่อยๆ เลย ทำเขาเดือดร้อนไปกันหมด

ผมถอนหายใจ มองไปยังหลังร้านที่เปิดประตูค้างไว้ เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังค้นกล่องปฐมพยาบาลด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ แล้วรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

เห็นมั้ย... ทีนี้เข้าใจผมหรือยัง ว่าความเป็นคนดีของเขามันกวนใจผมยังไง

ทำไมต้องทำเหมือนกำลังใส่ใจกันแบบนั้น... ไม่รู้เลยหรือไง ว่ามันทำให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ การจะไม่ตั้งความหวัง ไม่ปล่อยใจให้รักใครง่ายๆ อีก... เป็นไปได้ยากขึ้นทุกที

ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองต้องทำยังไง ใจหนึ่งบอกผมว่าการกระทำเหล่านี้มันไม่ปกติ... ไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นเพื่อนเขาทำกัน แต่อีกใจ มันย้ำความเจ็บปวดครั้งเก่าขึ้นมา เพื่อเตือนว่าไม่เอาแล้วนะความผิดหวัง ไม่อยากใจพังซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิมอีกแล้ว

“ตี๋ ยาแก้ปวดหมดอ่ะ เดี๋ยวกูไปซื้อ...” ผมสะดุ้งเมื่อน้ำเสียงห่วงใยดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่เดินออกมาจากหลังร้าน แต่ยังไม่ทันพูดจบ ซันก็ชะงัก ดวงตาของเขาชัดเจนว่ามองผ่านร่างผมไป ทำให้ผมต้องเหลียวกลับไปมอง

เพิ่งรู้ตัวว่ามีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามา...

ลูกค้าที่ผมจำได้ว่าหน้าตาเหมือน ‘แฟนเก่า’ ของเขาที่เคยอยู่คณะเดียวกัน

“หวัดดีซัน” เจ้าของเสียงหวานที่เข้ากับใบหน้าสวยเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มบาง ในขณะที่คนถูกทักยังคงนิ่งค้างอยู่หลายวินาที ก่อนจะทำได้แค่เอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมา

“วี...” ดวงตาของเขากำลังสั่นไหว ด้วยประกายความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่าง

และผมก็ได้คำตอบของคำถาม ที่กำลังเอ่ยถามตัวเอง

“ขอตัวก่อนนะครับ” กระซิบเสียงเบาจนคิดว่าไม่มีใครได้ยินและปลีกตัวเดินออกมาหลังร้านทันที เพราะไม่อยากอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนั้น แต่ไม่วายหันกลับไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่อีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าสายตาที่ผมเห็นมันไม่ผิดพลาด เพ่งพิจารณาไม่นาน ซันกลับมาสบตาผม ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูจะปิดลง

และผมก็ได้คำตอบเป็นความเจ็บปวดที่กำลังสะท้อนออกมาจากแววตาของเขาอย่างชัดเจน

มันทำให้ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เกือบไปแล้วเชียว...

ผมเกือบปล่อยใจให้พลาดคิดไปไกล เกือบจะเผลอหลอกตัวเองอีกครั้งว่ามันมีความเป็นไปได้... ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไร ความห่วงใยของเขาที่มีให้ผม ไม่ได้ต่างจากความหวังดีที่มีให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย... มันก็เท่านั้น

ต้องขอบคุณเธอคนนั้น ที่ทำให้ผมได้สติขึ้นมา ไม่อย่างนั้นผมคง...

เฮ้อ

โชคดี... ที่ยังไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้…

โชคดีจริงๆ






ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันต่อหลังจากนั้น ผมขลุกอยู่หลังร้านอยู่สักพักนายก็มาตามออกไปช่วยชงกาแฟ พอออกมาก็ไม่เห็นทั้งคู่ยืนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนกัน และไม่อยากจะใส่ใจ อันที่จริง ตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรเลย

สงสัยจะป่วยอย่างที่นายว่า

“พี่โช ไหวหรือเปล่า สีหน้าไม่ดีเลย”

“เหรอ” ผมส่งเสียงกลับไป ทั้งที่มันไม่ใช่ประโยคที่ควรตอบด้วยคำถาม พอเห็นนายขมวดคิ้วงง ผมจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก แค่เหนื่อยๆ น่ะ”

คราวนี้ไม่โกหกแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยมากอย่างไม่มีที่มาที่ไปจริงๆ

“พักก็ได้นะพี่ เดี๋ยวพี่ซันกลับมาผมให้พี่ซันช่วยเอง”

“...” เขาอาจจะไม่กลับมาก็ได้

ผมไม่ได้พูดออกไป แค่ส่ายหน้า ส่งสายตาว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปรับออเดอร์จากลูกค้าที่เดินเข้าร้านมาพอดี

“โกโก้ร้อนค่ะ” ผมรับเงินมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยคำพูดเดิมๆ ก่อนจะหันไปจัดการกับเครื่องดื่มตามที่ลูกค้าสั่งไว้

“อ้าว พี่ซัน” แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงนายเรียกชื่อใครอีกคน

ผมหันกลับไปมอง เห็นซันเดินเข้าร้านมาเพียงลำพังก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ร่างสูงเดินมาที่เคาน์เตอร์ แล้วพูดจาเล่นหัวกับนายปกติ ก่อนจะเดินมาหาผม

“ได้ยาหรือยังตี๋”

“...” ผมไม่ตอบ สบตาเขาอย่างตั้งคำถามโดยไม่ตั้งใจ

“งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อให้นะ” แล้วก็ได้คำตอบเป็นความหม่นแสงในแววตา

ยังเจ็บปวดอยู่สินะ... เรื่องผู้หญิงคนนั้น

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธสั้นๆ สีหน้าคงจริงจังพอที่จะทำให้ซันเลิกดันทุรังจะมาดูแลผมอีก

บางทีอาจไม่ใช่เพราะผม แต่อาจเป็นเขาเองก็ได้ ที่กำลังเหนื่อยเกินกว่าจะมาดูแลใครในสถานการณ์ที่กำลังแบกความสับสนบางอย่างไว้ จนสะท้อนออกมาให้เห็นในแววตา

“งั้น... เดี๋ยวกูมา” เขาพูดขึ้นมา หลบสายตาผมก่อนจะหมุนตัวเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน

นายที่ยืนอยู่หันมาสงสัยในท่าทางแปลกๆ ของพวกเราแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร ผมหันกลับมาชงโกโก้อีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ... แต่ก็ได้แต่พยายาม

ผมสลัดแววตาที่ดูสับสนและเจ็บปวดของเขาออกจากหัวไม่ได้ และกำลังคิดว่าผมควรทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป
เหมือนที่เขาเคยทำให้ผม

“นาย พี่ฝากชงต่อให้หน่อยนะ” พูดจบผมก็วางแก้วเครื่องดื่มที่ยังผสมไม่เสร็จลง ก่อนจะหมุนตัวเดินตามอีกคนไปยังหลังร้าน

ซันไม่ได้อยู่ในห้องเก็บของอย่างที่คิดไว้ ผมจึงเปิดประตูหลังที่เชื่อมกับด้านนอกออกไป ก่อนจะเห็นเขานั่งพิงผนังอยู่ไม่ไกล

บุหรี่สีขาวในมือ และกลิ่นควันที่กำลังฟุ้งกระจายในอากาศทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ เพราะจำไม่ได้ว่าเขาเคยใช้มัน... นี่เครียดถึงขนาดนั้นเชียว?

“ผมไม่เห็นรู้เลยว่าคุณสูบ” ผมบอกให้คนที่กำลังเหม่อรู้ตัวพลางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ

“เฮ้ย ออกมาทำไม เหม็น” เขาทำหน้าตกใจ ก่อนจะทิ้งมวนบุหรี่ที่ยังสูบไม่ถึงครึ่งพลางปัดป่ายควันให้จางหายไป

พอเห็นแบบนั้นมันก็อดไม่ได้ที่จะตีหน้าเอือมกลับไป “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”

อย่ามาทำเป็นใส่ใจ แม้แต่ตอนนี้ได้มั้ย
   
บทสนทนาหยุดลงที่ตรงนั้นสักพัก ซันไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบระบายอารมณ์ เขาเพียงนั่งนิ่งๆ ทอดมองออกไปที่กลุ่มต้นไม้หลังกำแพงกั้นเขตร้าน สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ในขณะที่ผมก็กำลังมองเสี้ยงหน้าด้านข้างของเขา พลางคิดว่าตัวเองควรจะทำยังไง
   
ควรปล่อยให้เขานั่งเงียบๆ หรือควรพูดอะไร? ทำไมผมคิดไม่ออกเลย
   
“วีเขามาชวนกูไปเลี้ยงส่ง” สุดท้ายก็เป็นเขาที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาโดยไม่มองหน้าผม “เห็นว่าจะเรียนต่อ และทำงานที่นู่นเลย คงอีกนานกว่าจะได้กลับมา”
   
จำได้ว่าแฟนเก่าของซันเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ก่อนที่พวกเขาจะเลิกกัน
   
ถ้าแบบนี้ หมายความว่าอีกนานกว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกด้วยใช่มั้ย... หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นไป มันยากที่จะกลับมาต่อติดได้ด้วยหรือเปล่า
   
“ตอนแรกจะไม่มาชวนกู แต่เพราะอยู่สายรหัสเดียวกัน อยากถือโอกาสเลี้ยงสายรหัสไปด้วย ก็เลยมา” พูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ความเงียบคลุมบรรยากาศอีกครั้ง
   
“แล้วคุณจะไปหรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถาม ไม่ใช่คำถามที่คิดว่าจะช่วยอะไรได้ แค่อยากถามออกไปเท่านั้น
   
ซันหันมาเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้า “บอกไปแล้วว่าจะไป”
   
ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ดีแล้วล่ะครับ”
   
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่มันดี
   
“ยังเจ็บอยู่เหรอครับ” คราวนี้ผมถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่มองมาก่อนแล้วอย่างต้องการซึมซับความรู้สึกเขา
   
“...” มันยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และสับสนอย่างยากจะอธิบาย
   
“มันยากมากเลยใช่มั้ย” ส่งยิ้มบางๆ เพื่อบอกว่าผมเข้าใจ... ผมเองก็เคยผ่านความรู้สึกนั้นมา “คราวนี้ถึงตาผมปลอบใจคุณบ้างแล้ว” เอ่ยติดตลก ทั้งที่ยังสบตากับดวงตาที่มีแต่ความหวั่นไหว
   
“...” กลายเป็นแววตาแบบที่ผมไม่เข้าใจ
   
“อยากให้กอดหรือเปล่าครับ” เหมือนที่เขาทำให้ผม มันถูกพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้รู้สึกดีขึ้นได้มาก จริงๆ

ซันไม่ตอบอะไร เขาหัวเราะเบาๆ เบือนหน้าหนีไป ก่อนจะหันกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

ไม่ทันไรตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปซบกับอกกว้าง ถูกรวบกอดเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่งที่รัดแน่นกว่าทุกที

“ตี๋”

“...”

“ตี๋” เขาเรียกชื่อผมซ้ำ แต่ไม่พูดอะไร กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนหน้าผมฝังอยู่กับอก สัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นรัว แต่ไม่รู้ว่ากำลังบ่งบอกถึงอะไร

เหมือนที่ผมไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังสื่อออกมาจากหัวใจผมที่กำลังเต้นในจังหวะคล้ายๆ กัน
   
ว่าแต่ ตั้งใจจะมาปลอบใจเขาไม่ใช่หรือไง... ไหงกลายเป็นผมที่ถูกกอดไว้แน่นเสียเอง






----------------------------------------------------------------
แอบหายไปวุ่นวายกับชีวิตมานิดหน่อยค่ะ (ตอนนี้ก็ยังวุ่นวายอยู่) 5555
หวังว่าจะเขียนเรื่องนี้ให้จบก่อนไปฝึกงาน
พาร์ทหลังตะวันโทนเรื่องมันจะต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย... ใช่ค่ะ ดราม่ามันจะมารวมกันอยู่ในพาร์ทนี้ 5555
แต่ไม่ต้องห่วงนะ มาแค่ให้พอหน่วงๆ เอง  :hao5:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ

-- Martian --











   



   
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 1 [ 14/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-05-2017 03:39:11
อ่านไปก็ลุ้นไปปว่านะรักกันตอนไหนค่ะ 55555

อารมณ์เหมือนเฉียดไปเฉียดมา
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลังตะวัน 2 [ 14/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 23-05-2017 14:12:20
2


การมาของวีทำให้ทุกอย่างน่าสับสน... ในขณะที่บางอย่างก็กำลังชัดเจน

ผมรู้สึกเหมือนกับว่าระหว่างเรามีบางอย่างติดค้าง แต่ในทางกลับกัน ก็เหมือนจะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก...

มันน่าปวดหัวเมื่อพบว่าตอนนี้ในใจผมมีความรู้สึกหลายอย่างตีรวนกันเต็มไปหมดจนแยกไม่ออกว่ากำลังคิดหรือรู้สึกยังไงกันแน่ ผมเคยคิดว่าผมยังรักเธอ และรอให้วีกลับมา แต่ในวินาทีที่เห็นเธอกลับมาอยู่ตรงหน้า ผมกลับ... ไม่ได้รู้สึกดีใจ
เพราะการกระทำและแววตาของวีที่มองมามันชัดเจนว่าเราจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้ หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ผมไม่แน่ใจ... และไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้ยังไงเหมือนกัน

"ซัน รอนานหรือเปล่า" พราวที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาวดูสวยสะดุดตาวิ่งมาหาด้วยสีหน้าสดใส

ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่หันไปยิ้ม ทิ้งก้นบุหรี่ในมือแล้วใช้เท้าบี้ก่อนจะหันมาเปิดประตูรถให้เธอ อ้อมไปนั่งฝั่งคนขับแล้วเริ่มสตาร์ทรถออกมาจากหอพักเงียบๆ

วันนี้เป็นวันเลี้ยงส่งวีตามที่เคยบอก ความจริงเรานัดกันไว้ประมาณสองทุ่ม แต่ตอนนี้จะปาเข้าไปสามทุ่มแล้วผมก็ยังไปไม่ถึงร้าน ยังเอ้อระเหยอ้อยอิ่งอย่างไม่เร่งรีบ

แน่นอนว่าผมจงใจ... เพราะไม่อยากอยู่ในงานนานเกินจำเป็น คิดไว้ว่าให้ของขวัญร่ำลาตามประสาเพื่อนเสร็จก็คงกลับ

และอีกเหตุผลหลัก ผมเพียงแค่ต้องการให้วีกับพราวเจอกัน... เพื่อให้เป็นไปตามแผนการโง่ๆ ที่เราเคยตกลงกันเมื่อนานมาแล้ว

ผมควงกับพราวเพื่อประชดวี...

ในวันที่ผมกำลังจะเป็นจะตายเพราะอกหัก พราวเข้ามาหาผมด้วยเหตุผลนี้ เธอกับวีเคยบาดหมางเรื่องผู้ชายกันมาก่อน ผมไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด แต่ก็หลวมตัวตอบตกลงเพราะคิดว่าเราต่างก็มีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย พราวได้ความสะใจ ส่วนผม... อาจจะได้วีกลับคืนมา

แต่พราวคงลืมไป ว่าผมคือผู้ชายที่วีไม่เอา

และมันก็เป็นเรื่องโง่เง่าที่ผมคิดว่ามันจะทำให้วีเสียใจ เสียดาย หรือรู้สึกอะไรก็แล้วแต่จนกลับมาหาผม แต่ความจริงแล้วไม่เลย มันไม่มีประโยชน์อะไร เธอไม่สนใจด้วยซ้ำต่อให้พราวจะไปวอแวกับเธอแค่ไหน ต่อให้ผมจงใจให้วีเห็นรูปถ่ายของผมกับพราวที่ยืนยันว่าเรามีความสัมพันธ์กันไปไกล เธอก็ไม่แม้แต่จะติดต่อกลับมาหาผมสักครั้ง

แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย...

ผมควรทำให้เรื่องที่มันคาราคาซังอยู่ในใจจบลงไปเสียที

“หวัดดีครับพี่เชน พี่ฟ้า” ผมยกมือไหว้คนอาวุโสสุดในโต๊ะ หลังจากเดินเข้ามาในร้านอาหารที่ถูกปิดเพื่อจัดงานเลี้ยงส่งแบบส่วนตัว ทุกโต๊ะเต็มไปด้วยบรรดาคนในคณะที่ผมค้นหน้าค่าตากันดี ส่วนโต๊ะที่วีนั่งอยู่เป็นโต๊ะที่รวมสายรหัสเรา

“นี่พราวครับ” ผมผายมือไปยังผู้หญิงที่มาด้วยกัน เธอยิ้มหวานยกมือไหว้ทักทายพี่ๆ ตามผม

พี่เชนกับพี่ฟ้ารับไหว้ผมพอเป็นพิธี สีหน้าพี่เชนดูข้องใจนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วแอลกอฮอล์ของตัวเองขึ้นมาดื่มเงียบๆ แล้วหันหน้าหนีไปยังเวทีที่มีโฟล์คซองเล่นคลอ ผมรับไหว้รุ่นน้องคนอื่นๆ ที่หันมาทักทายครบทั้งโต๊ะเสร็จก็หันไปมองหน้าวี เห็นว่าเธอเองก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน

“ขอโทษที่มาช้านะ” ผมบอก แต่วีกำลังเบือนสายตาไปที่พราว สีหน้าเธอดูประหลาดใจ ก่อนจะกลายเป็นสายตาแบบที่ผมอ่านไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ส่งยิ้ม

“ไม่เป็นไร  นั่งสิ เดี๋ยวเราเรียกพนักงานให้”

ผมยิ้มรับแล้วหันไปดึงเก้าอี้ออกมาให้พราวนั่งก่อน เธอยิ้ม ยกมือขึ้นมาลูบแขนผม แต่สายตากลับมองเลยไปที่ผู้หญิงอีกคน

ประกายความไม่เป็นมิตรที่ส่งออกมาจากแววตาทั้งคู่บ่งบอกว่าพวกเธอคงเคยมีเรื่องผิดใจกันจริงๆ

“อยากกินอะไร” ผมหันไปถามพราวเมื่อพนักงานเดินมายื่นเมนูให้เรา เธอหันมายิ้มกว้างให้ผมอย่างจงใจทำให้ดูหวานเชื่อมก่อนจะพูดอย่างเอาใจ

“เราเอาเหมือนซันเลย” ผมเลยยิ้มๆ บางๆ กลับไป หันไปสั่งเมนูแนะนำของร้านที่หนึ่ง

“ซันไม่กินเหรอ” พราวเลิกคิ้ว

“เราไม่หิว” ผมว่า ก่อนจะหันไปรับเครื่องดื่มจากน้องรหัสที่ส่งมาให้พอดี

เหล้าเพียวๆ ถูกเสิร์ฟให้อย่างรู้งาน เพราะเคยไปดื่มกับสายรหัสอยู่หลายครั้ง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคงเป็นการที่ผมรับแก้วมาแล้วกระดกจนหมดแก้วในครั้งเดียว

“รีบไปไหนน้องชาย” พี่ฟ้าถามกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นว่าผมส่งแก้วเปล่ากลับไปให้น้องรหัสรินเหล้าให้ทันที

ผมเลิกคิ้ว เพิ่งรู้ตัวว่ารีบร้อนเกินไป เลยยิ้มกลบเกลื่อนขึ้นมา “เลี้ยงส่งทั้งทีนี่พี่” หันไปมองหน้าวี แต่เธอกลับหลบสายตา มีสีหน้าเจื่อนลง

บรรยากาศมันกระอักกระอ่วนซะจนคนรอบข้างคงสัมผัสได้ โดยเฉพาะพี่เชนกับพี่ฟ้าที่มองหน้าพวกเราสลับกัน

“งั้นเปิดขวดใหม่เลยมะ” สุดท้ายพี่ฟ้าก็เอ่ยขึ้นมาขำๆ แต่เมื่อไม่มีใครขัด ก็สั่งให้บริกรนำเหล้ามาเสิร์ฟเพิ่มจริงๆ
   
แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ดื่ม คนในโต๊ะที่กินอาหารกันอิ่มแล้วก็เริ่มเรียกร้องให้เติมเหล้าใส่แก้ว บทสนทนาเริ่มสนุกขึ้นเมื่อเริ่มมีแอลกอฮอล์มาเป็นตัวเร้าบรรยากาศ ผมพูดบ้างตามประสา แต่น้อยลงกว่าทุกครั้ง เมื่อในหัวยังมีหลายเรื่องที่กันจนบางครั้งก็เผลอหลุดความคิดออกจากบทสนทนา

“ซันไหวมั้ย” พราวเอียงตัวมากระซิบถามเมื่อผมเริ่มนั่งเหม่อดื่มแอลกอฮอล์ไปเรื่อยๆ ผมจึงหันไปยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ พลางรินแอลกอฮอล์ใส่แก้วที่ว่างลงอีกครั้ง ขณะที่สายตาเหลือบไปเห็นพี่ใหญ่ทั้งสองคนของสายที่กำลังกระซิบกระซาบคุยอะไรบางอย่างกันพอดี

ผมเกือบลืมไปเลยว่าพี่เชนกับพี่ฟ้าเคยคบกัน ก่อนที่พี่เชนจะเป็นแฟนกับไอ้ตรี... จำได้ว่ามีข่าวไม่ดีเรื่องที่พี่ฟ้านอกใจ แต่เพราะทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร เรื่องมันเลยเงียบไปโดยที่ทุกอย่างคลุมเครือ ยิ่งหลังเลิกกันพี่เชนหันไปคบกับไอ้ตรี ประเด็นมันเลยถูกเบี่ยงไปเรื่องที่พี่เชนหันไปคบผู้ชายแทน

ถึงอย่างนั้นพี่เขาก็ดูไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง ซ้ำยังกลับมาเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้โดยไม่แคร์เรื่องเม้าท์มอย

ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง... ขนาดผมที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไร ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากเลยที่จะกลับมาสนิทใจกับคนที่เลิกกันไปแล้วได้แบบนั้น...

สายตาของผมเบือนกลับมาหาเจ้าของงานเลี้ยงส่งอีกครั้ง วียังคงไม่หันมาสบตาผม เธอพยายามจะเบือนหน้าหนี แต่สายตาที่ดันไปปะทะกับคนข้างตัวข้างผมพอดี ก็ยิ่งขับให้สีหน้ากระอักกระอ่วนของเธอทวียิ่งกว่าเดิม เมื่อผมมองพราว เห็นสายตาที่เธอมองไปยังวีก็เข้าใจ สายตาเจ็บปวด คาดโทษ และไม่ให้อภัย เป็นสายตาแบบที่ผมเองก็คงเผลอแสดงออกไปเหมือนกัน แต่แปลก ที่พอเห็นสีหน้าทุกข์ใจของวีแล้วผมกลับไม่ได้รู้สึกดี ไม่ได้สะใจอย่างที่ควรเป็น พราวเองก็เช่นกัน สายตาของเธอไม่มีตรงไหนที่บ่งบอกว่ารู้สึกอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว

นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่? งี่เง่าชะมัด

“เราลืมของขวัญไว้ในรถ เดี๋ยวมานะ” ผมบอก ก่อนจะลุกขึ้นไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปดึงแขนพราวให้ลุกตาม ตอนแรกเธอมองผมตาขวาง ยื้อแขนไว้อย่างขัดขึ้น แต่เมื่อผมไม่ปล่อยสุดท้ายพราวก็ยอมตามมาท่าทางประฟัดกระเฟียดบ่งบอกว่าไม่เต็มใจ

ผมลากเธอมาที่รถ ไปยังฝั่งข้างคนขับแล้วเปิดประตูให้เธอเข้าไป แต่พราวขืนตัวไว้

“ซันจะทำอะไร”

“กลับกันเถอะ” ผมตอบสั้นๆ พยายามจะดันตัวพราวเข้ารถอีกครั้งแต่เธอสะบัดมือผมออก

“ซันเป็นบ้าอะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่าเรามาที่นี่ทำไม!” เสียงหวานตหวาดมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

เธอต่างหากที่ไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่เราทำมันไม่มีประโยชน์อะไร

“ที่เราต้องทำคือทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวดที่กล้ามาหักหลังเราไม่ใช่หรือไง แล้วดูที่ซันทำสิ ตรงไหนกันที่เรียกว่าเอาคืน!” ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“พราว” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับแขนเธอแต่ก็ถูกปัดทิ้งอีกครั้ง

“ในเมื่อซันใจอ่อน พราวก็จะเป็นคนจัดการเอง” เธอทำท่าจะหมุนตัวหนี แต่ผมคว้าข้อมือรั้งไว้ได้ทัน

“พอได้แล้ว!” คราวนี้ผมขึ้นเสียงใส่เธอบ้าง หลับตาอย่างข่มอารมณ์แล้วดึงร่างบางให้หันกลับมาสบตา “ที่เราทำ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พราวไม่เห็นเหรอ”

“...”

“วีรู้สึกผิด รู้สึกแย่ แล้วยังไง? ทำให้ผู้หญิงคนนั้นทุกข์ใจ แล้วมันแก้ไขอะไรได้หรือไง?”

“...”

“สุดท้ายเราก็ไม่ได้รู้สึกดี... พราวเองก็เหมือนกัน”

มันเป็นความจริงที่ผมรู้มานาน แต่ที่ยังดันทุรัง เพราะยิ่งนานวันเข้า เหตุผลที่ผมยังเก็บพราวไว้ยิ่งบิดเบือนไปทุกที... เป็นเหตุผลที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่เกี่ยวกับวี

“สายตาที่วีมองพราวมันมีแต่ความรู้สึกผิด พราวเห็นใช่มั้ย” คราวนี้ร่างบางก้มหน้า เม้มปากแน่นเพื่อกลั้นน้ำตา แต่ว่าคงไม่ทัน น้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

“ถ้าเห็นแล้ว พราวเองก็รู้ตัวใช่มั้ยว่าตัวเองมองกลับไปด้วยสายตาแบบไหน” ผมเอื้อมมือไปเชยคางเธอขึ้นแล้วปาดออกไปเบาๆ ผมรู้ว่าพราวเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเมื่อเราสบตากัน

“ซันไม่เข้าใจ... ฮึก” เจ้าของใบหน้าหวานส่ายหน้าแต่ยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ผมยิ้มบางๆ แล้วดึงเธอมากอดไว้

“เข้าใจสิ เราเข้าใจ” ลูบหลังเธอเบาๆ อย่างปลอบโยน “แต่ยิ่งเราเอาเค้ามาใส่ใจ เรายิ่งไม่มีความสุขไม่ใช่หรือไง”

“ฮึก...”

“ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไป ต่างคนต่างก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว... เราจมปลักกับอดีตมานานพอแล้ว” แปลกดี ที่พอพูดแบบนั้นออกไป ในใจผมก็เหมือนจะปล่อยได้จริงๆ

อดีตที่เคยเจ็บปวด เหมือนเป็นเพียงก้อนหินเย็นชืดที่กำไว้อย่างไร้ความรู้สึก และพร้อมจะขว้างทิ้งลงไปยังก้นเหวลึก... ไม่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายใครได้อีก

หลังจากปล่อยให้ร่างบางร้องไห้กับอกตัวเองจนพอใจ ผมก็ผละออกมาช่วยปาดน้ำตาออกจากหน้าเธอเบาๆ “พราวรอในรถก่อนนะ เดี๋ยวเรามา” ผมบอก หมุนตัวเข้าไปที่รถ หยิบเอากล่องของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา

“ซัน”

“หืม?” แต่ก่อนที่จะได้เดินไปไหน ก็ถูกรั้งไว้อีกครั้ง พราวมองหน้าผมด้วยสายตาอ่านยาก เธอเม้มปาก เหมือนข่มความรู้สึกอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยออกมา

“หลังจากนี้ เราจะไม่ได้เจอซันอีกใช่มั้ย” ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่เธอพยายามห้ามไม่ให้ไหลออกมา

“...”

คงเพราะรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมจะไม่ดึงเธอมากอดเพื่อปลอบใจอีก

“ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ซันหนีไปทั้งๆ ที่เราเอาชื่อวีมาอ้าง เราก็รู้ว่าซันไม่ต้องการเราแล้ว”

“ขอโทษนะ” ผมก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี

บอกแล้วไง ว่าผมรู้มาตั้งนานแล้ว เรื่องที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับวี... ก็แค่มีเหตุผลที่ยังไม่อยากยอมรับเท่านั้น

 “จริงๆ เราผิดเองที่คิดตื้นๆ ว่าแค่ใช้ซันเป็นเครื่องมือแล้วจะไม่ผูกพัน ไม่คิดอะไร” พราวมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะแสยะยิ้ม น้ำตาไหลออกมาแต่เธอก็เบือนหน้าหนีแล้วปาดมันออกลวกๆ

“ใครจะไปรู้ว่าซันจะน่ารักขนาดนี้”

เป็นคำชมที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออกเลยสักนิด ในเมื่อสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแบบที่ผมพยายามมองข้ามมาตลอด ผมพยายามตีตัวออกห่างจากพราวหลังจากที่เธอเริ่มแสดงปฏิกิริยาอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม ทำให้เธอเข้าใจว่าเรามีสัมพันธ์กันได้แค่ตัว และไม่ควรเอาหัวใจมายุ่งเกี่ยวกัน... แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน

“ยัยนั่นโง่ชะมัดที่ทิ้งซันไป” เธอเอ่ยติดตลกทั้งที่น้ำตาเริ่มนองหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผมอีกครั้ง “เราก็โง่เหมือนกัน ที่ทำให้ซันรักไม่ได้”

 ผมได้แต่ยิ้มอย่างไม่รู้จะทำยังไง รู้ดีว่าเรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ เพราะถ้าทำได้ ผมคงบอกให้มันรักพราว  มากกว่าจะรู้สึกกับใครอีกคนที่ไม่ควร...
 



ผมเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งตามลำพัง คนในโต๊ะหันมามองด้วยสายตาตั้งคำถาม ผมจึงไปบอกไปว่ากำลังจะกลับโดยไม่อธิบาย คนที่ยังติดใจมีแค่วีที่มองมาไม่วางตา แต่ผมก็เพียงยิ้มแล้วยื่นกล่องของขวัญในมือให้เธอ

“อ่ะ นี่ของขวัญ” วีรับไป ไม่ได้เปิดดูทันที สีหน้าเธอยังดูเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ “เดินทางดีๆ ล่ะ” ผมว่าแล้วหันไปบอกลาคนอื่นๆ ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะมา

“เดี๋ยวซัน” แต่ยังไม่ทันไปถึงรถ วีก็ตามออกมา

เธอเดินมาหยุดตรงหน้าผม สีหน้าเหมือนมีบางอย่างจะพูด แต่ดูลำบากใจ จนผมหัวเราะ และถามออกไป “มีอะไร ยัยตัวเล็ก”

สรรพนามที่ไม่ได้ใช้มานานทำให้เธอชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ

“ซัน...ยังรู้สึกกับเราอยู่หรือเปล่า?”

“...”

“เราเคยคิดว่าซันเลิกรักเราแล้ว แต่วันนี้ที่ซันมากับพราว... มันทำให้เราไม่แน่ใจ” เธอมองหน้าผม สีหน้าลำบากใจ “ที่ทั้งสองคนคบกัน มันเกี่ยวกับเราใช่มั้ย?”

ที่เคยได้ยินบ่อยว่าสีหน้าและการกระทำของผมมันอ่านง่าย วันนี้หมดความข้องใจแล้ว เพราะแม้แต่วียังรู้เลย ว่าทั้งหมดที่ทำไปเพราะอะไร

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง “เราเคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน... แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่” ว่าพลางสบตากลับไปด้วยสายตาจริงใจ

“เราไม่ได้รักวีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ”

“...”

“ไม่ได้โกรธเรื่องในอดีตแล้วด้วย ไม่ต้องกังวล”

“...”

“เรื่องทั้งหมดระหว่างเรามันจบลงแล้ว ไม่ต้องรู้สึกติดค้างอะไรแล้ว เข้าใจมั้ย” ผมเอื้อมมือออกไปลูบผมวีเบาๆ

คนตัวเล็กกว่ามองหน้าผมนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่ใบหน้าหวานจะเริ่มบิดเบี้ยวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา

“ขอบคุณนะ... ขอบคุณ” วีพร่ำพูดคำนั้นพร้อมกับพยายามปาดน้ำตา ผมหัวเราะแล้วจับหัวเล็กๆ โยกไปมาอย่างเอ็นดู

ตั้งแต่เกิดมาผมเคยแต่ได้รับความรักจนชิน ทั้งจากที่บ้าน ที่โรงเรียน จนเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนที่รายล้อมอยู่รอบกายต่างหยิบยื่นความรักความเป็นดูมาให้ ไม่เคยถูกทำลายน้ำใจให้เจ็บช้ำเลยสักครั้ง มีผู้หญิงมากมายพร้อมจะเข้าหา ให้ผมเป็นฝ่ายเลือกจนบางครั้งก็ไม่เห็นคุณค่าในความสัมพันธ์ แต่กับวี... มันเป็นครั้งแรกที่ผมมั่นใจว่าผมกำลังตกหลุมรักใครสักคน รักจนหมดใจ... โดยไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนแรกที่หยิบยื่นความเสียใจให้ผมเสียเอง

เหมือนถูกพระเจ้าลงโทษล่ะมั้ง

รสชาติของการทรยศหักหลังที่ได้รับมันสาหัสจนผมไม่คิดว่าตัวเองจะผ่านมาได้ ผมสับสน ไม่เข้าใจ เหมือนติดอยู่ในกับดักที่หลุดออกไปไม่ได้ ได้แต่จมปลักอยู่ในคำถามที่ยากจะหาคำตอบมาเป็นปีๆ

แต่ตอนนี้ผมรู้วิธีที่จะก้าวขาออกมาจากความรู้สึกพวกนั้นแล้ว เรียนรู้แล้วว่าถ้าตัดความรู้สึกอยากเอาชนะ อยากหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมตัวเองถึงถูกหักหลัง... ผมก็ไม่ได้เสียใจมากมายขนาดนั้น

“พราวยังอยู่หรือเปล่า” หลังจากเงียบไปนานเพื่อจัดการความรู้สึกตัวเอง วีก็เอ่ยถามขึ้นมา

“อยู่ที่รถ”

“วีขอคุยอะไรกับพราวหน่อยได้มั้ย” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ผมเลิกคิ้ว แต่ดูจากสถาการณ์ที่ดูเหมือนใกล้จะจบเต็มทีแล้วก็ไม่ได้ขัดอะไร

ผมคิดว่าต้องให้เวลาเธอสองคนอยู่กันตามลำพังจึงยังไม่เดินตามไป เดินไปนั่งหลบมุมตรงที่สูบบุหรี่ของร้าน แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ คิดอะไรไปพลางๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีคนเดินมานั่งข้างๆ จึงหันมามอง

เป็นพี่เชนที่นั่งเงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบบุหรี่ออกมา... จะว่าไป พี่เขาเลิกบุหรี่แล้วนี่หว่า แล้วมานั่งตรงนี้ทำไม

“จะกลับแล้วเหรอพี่” ผมถามออกไป ทั้งที่รู้แล้วว่าพี่เขามานั่งทำไม

คงเห็นว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจ ถึงได้มานั่งเป็นเพื่อนสินะ

“อืม” ตอบสั้นๆ ก่อนที่ดวงตาคมจะหันมามองผมเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจอีกครั้ง “มึงยังชอบวีอยู่เหรอ”

แต่คราวนี้พี่เขายอมเอ่ยถาม

ผมส่ายหน้า “เคยคิดว่ายังชอบ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่” ตอบแบบเดียวกับที่เพิ่งตอบวีไป

“กูก็ว่า” พี่เชนพึมพำเบาๆ คล้ายกับยืนยันกับตัวเอง

หมายความว่าไงวะเนี่ยพี่

เราต่างคนต่างเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่พี่เชนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันมาขมวดคิ้วมองผมด้วยสายตาดุๆ แบบที่ชอบทำ

“มึงนี่... อย่าโง่ให้มากนัก”

“...”

“ระวังจะเสียใจทีหลัง” พูดจบก็เดินล้วงกระเป๋าออกไป ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำความเข้าใจคำพูดไร้ที่มาที่ไปนั้นต่อสักวินาที

แต่ผมไม่คิดจะตามไปถาม อะไรบางอย่างบอกว่าผมเองก็รู้ว่าพี่เชนหมายถึงเรื่องอะไร และมันยิ่งชัดเจนเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นมา พอหยิบมาดูเบอร์ก็พบว่าเป็นเบอร์ของไอ้ตี๋ ผมดับบุหรี่ที่ยังสูบไม่ถึงครึ่งมวนทันที ทั้งที่แค่โทรศัพท์ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายได้กลิ่นบุหรี่สักหน่อย ผมมองเบอร์ที่โชว์อยู่สักพัก ยังไม่ยอมกดรับ ราวกับจะรอให้ความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมาในอกตอนนี้ชัดเจนขึ้นอีกสักนิด จนแน่ใจ...

[ เป็นยังไงบ้างครับ ] พอรับสายน้ำเสียงห่วงใยที่ไม่ได้ยินบ่อยนักทำให้ผมชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

ตั้งแต่ก่อนมา พอผมบอกว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงส่งวี สีหน้าของมันก็ดูกังวลใจยิ่งกว่าผมที่ต้องเป็นคนมาเองเสียอีก

“ตี๋” และสีหน้านั้นก็ติดอยู่ในหัวผมทั้งวัน แม้กระทั่งตอนนี้

[ เมาหรือเปล่าครับ? ขับรถไหวมั้ย หรือให้ผมไปรับดี ]

ผมหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าทั้งที่มันไม่เห็น ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ทุกความรู้สึกที่ถูกกดไว้กลับมาปนเปกันอีกครั้งจนอยากจะทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป

[ คุณซัน? ]

“ไปหาได้มั้ย” ยกนิ้วขึ้นมากดหัวตาตัวเองไว้ เพราะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ถูกความสับสนมากมายผลักดันออกมา

[...]

“กูไปหามึงนะ...”

[...]

“นะ...” ผมอ้อนวอน จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจผ่านปลายสายที่ดังขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงเอือมระอา

[ ปกติก็ไม่เคยขออนุญาตนี่... ]

“...”

[ เดี๋ยวจะชงนมอุ่นๆ ไว้ให้ รีบมาก่อนมันจะชืดเอานะครับ ]

ได้ยินแค่นั้นทุกความรู้สึกที่ปิดกั้นเอาไว้ ก็ผลักดันให้น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลออกมาจริงๆ

เมื่อชั่วขณะที่ความห่วงใยถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียงที่เจือความเอือมระอา เป็นชั่วขณะเดียวที่ผมรับรู้ได้ว่ากำลังความรู้สึกที่ผมสร้างขึ้นมา กำลังทำลายตัวเองอ่างช้าๆ และไม่นานก็คงจะสลายไป เหลือไว้เพียงความจริงที่ผมซ่อนไว้ ไม่ให้ใครเข้าถึงได้...

แม้กระทั่งตัวเอง





------------------------------------------
ตี๋~  :hao5:



หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 2 [ 23/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-05-2017 20:55:42
ตี๋น่ารักกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-05-2017 12:41:15
หลังตะวัน : 3

   
เพราะดื่มเข้าไปมากจนใครต่อใครก็ไม่อยากให้ขับรถกลับ สุดท้ายพราวจึงรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้ผมตอนขากลับ ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงสองคนคุยอะไรกันและไม่คิดจะถาม แต่ดูจากสีหน้าและท่าทางผมคิดว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี

บรรยากาศในรถเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศแผ่วเบา แต่พวกเราก็ไม่คิดจะมีใครเอ่ยหรือเปิดเพลงขึ้นมา คงเพราะต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิดตัวเองจนไม่อยากจะเสียเวลาสร้างบรรยากาศใดๆ จนกระทั่งรถหยุดลงที่หอไอ้ตี๋
   
“ขอบคุณมากนะ” ผมเอ่ยพลางเปิดประตูรถกำลังจะก้าวออกไป
   
“ซัน” แต่ก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเสียงหวานเรียกเอาไว้ “เขาคือผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”

“...” ผมลังเลที่จะตอบ เพราะแม้แต่ตัวเองยังไม่แน่ใจ จะตอบว่าใช่... ผมก็กลัวใจตัวเอง

แต่การไม่ตอบก็เป็นคำตอบแล้วไม่ใช่หรือไง

“ทำไม?”

ผมยิ้ม ส่ายหน้า พยายามสลัดความว้าวุ่นที่อยู่ในใจออกไปเพื่อหาคำตอบให้ แต่ก็ทำไม่ได้

นั่นสิ... ทำไมกัน

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

สุดท้ายผมก็ได้แต่ตอบไปแบบนั้นอย่างคนโง่ที่เอาแต่หนีปัญหาเหมือนเดิม




ใช้เวลาพักใหญ่ กว่าผมจะลากเท้าเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องอันคุ้นเคย ยืนชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู ไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา พร้อมกับใบหน้าขาวใสใต้กรอบแว่นหนาที่ดูเป็นกังวล

“มาช้านะครับ” ขมวดคิ้วตำหนิ ทั้งที่สายตากวาดมองไปทั่วร่างผมเหมือนจะสำรวจว่ายังสบายดีอยู่ไหม


“ไม่ได้ขับรถมาเองใช่มั้ย?”

ผมส่ายหน้า คงเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งออกมาจากร่างกายทำให้คนตรงหน้าถามอย่างเป็นห่วง

“ดีแล้วครับ เข้ามานั่งก่อน” เปิดประตูกว้างให้ผมเดินเข้าไป ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดิมอย่างหมดเรี่ยวแรง แอลกอฮอล์คงเพิ่งออกฤทธิ์เดี๋ยวนี้เอง อะไรๆ ในหัวผมมันถึงตีกันยุ่งเหยิงจนปวดหัวไปหมด

“เดี๋ยวผมไปเอานมอุ่นมาให้นะ หรืออยากกินอะไรมั้ยครับ” ผมเอาแต่ส่ายหน้าตอบ เจ้าของน้ำเสียงใจดียิ่งมองมาอย่างกังวล ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ครัว

ผมมองตามแผ่นหลังบางไปโดยไม่ละสายตา มองทุกการกระทำและสีหน้าเป็นห่วงที่มองกลับมาเป็นระยะจากในครัว เผลอยกมือขึ้นมานวดหน้าอกตัวเองเมื่อพบว่าความรู้สึกที่ซ่อนไว้มันเอ่อล้นจนแทบทะลักออกมา นับตั้งแต่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายตอนเปิดประตู ความวุ่นวายใจของผมยิ่งทวีคูณ เมื่อรับรู้ว่าน้ำเสียง และการกระทำที่แสดงถึงความห่วงใยมีอิทธิพลแค่ไหนกับหัวใจตัวเอง

เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนกัน... ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมันส่งผลกับความรู้สึกของผมขนาดนี้

ไม่ทันได้ตอบคำถามในความคิด นมอุ่นๆ แก้วหนึ่งก็วางลงตรงหน้าผมพร้อมกับน้ำเปล่า ไอ้ตี๋นั่งลงข้างๆ มองหน้าผมที่ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้ามันเช่นกัน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ขยับแว่นหนาเลิกคิ้วถามอย่างงุนงงในปฏิกิริยาที่คงจะแปลกไปอย่างชัดเจน

ผมส่ายหน้าอีกครั้ง ยังคงไม่เอ่ยอะไรขณะหยิบนมขึ้นมาจิบไม่กี่อึกแล้ววางลง เดิมที ผมก็ไม่ได้มาเพื่อดื่มนมอยู่แล้ว ที่อ้อนวอนอยากมาหา ก็เพราะอยากมาเจอหน้า... เผื่อจะทำให้รู้ตัวสักทีว่าตัวเองรู้สึกยังไง

กำแพงที่ผมสร้างไว้ มันทลายลงไปหมดหรือยัง

“ยังไงคืนนี้นอนบนเตียงก็ได้นะครับ อาบน้ำก่อนก็ได้จะได้สบายตัว” ถ้าเป็นปกติ ผมคงใช้สันดานปากหมาเอ่ยแซวไปแล้วที่มันมาทำดีกับผมผิดวิสัย แต่คราวนี้ผมกลับแค่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สบตาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังมองออกไปด้วยสายตาแบบไหน

รู้แค่ว่าเป็นสายตาแบบที่ทำให้อีกฝ่ายแสดงอาการประหม่าออกมา

“ผมทิ้งร้านไว้กับนาย ยังไงคงต้องกลับไปช่วย...”

ไอ้ตี๋ทำท่าจะลุกออกไป แต่ผมก็รั้งแขนมันไว้ ดึงให้ลงมานั่งอีกครั้ง... บนตักของผม

“คะ... คุณซัน!” ส่งเสียงร้องลั่นเมื่อผมใช้อ้อมแขนโอบรัดจากด้านหลังบังคับไม่ให้หนี

“อย่าไป”

“...” คนที่พยายามดิ้นสงบลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้อนวอน ผมยิ้มอย่างพอใจ แล้วซุกหน้าลงกับไหล่บางที่เกร็งขึ้นเล็กน้อยเพราะการกระทำอุกอาจแบบที่ผมไม่เคยทำ

ความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในอกยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีเมื่อได้อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายอันคุ้นเคย... กลิ่นที่ผมเสพติด แต่ปฏิเสธด้วยการบอกตัวเองมาตลอดว่าไม่มีอะไร ไม่ต่างจากกลิ่นหอมอื่นๆ ที่ผมได้รับในชีวิตประจำวัน

ต้องขอบคุณแอลกอฮอล์หรือเปล่านะ ที่ทำให้ผมยอมรับความจริงข้อนั้นได้อย่างง่ายดาย

และความจริงอีกหลายๆ ข้อ ที่กำลังชัดเจนขึ้นมาในใจ

“เมาจริงๆ สินะครับ” เอ่ยพร้อมกับถอนใจ ด้วยน้ำเสียงเหมือนกับจะตัดพ้อแบบที่ไม่เคยได้ยิน

ผมส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ยังซุกอยู่กับไหล่บาง กอดกระชับแน่นขึ้นไม่สนใจแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแปลกแค่ไหน

ถึงจะเคยกอด แต่ก็ไม่ใช่แบบนี้... ความรู้สึกนี้

“รู้ตัวหรือเปล่าครับว่าทำอะไรอยู่”

"..."

ผมอยากตอบว่ารู้ รู้ดีที่สุด แต่ก็กลัวคำถามต่อไปที่จะตามมา

ทำแบบนี้ทำไม?

ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมยังตอบไม่ได้...

“เป็นวันที่แย่เหรอครับ” เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา

“อืม”

“ถ้ายอมให้กอด จะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่าครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมามองเสี้ยวหน้าของคนในอ้อมแขนที่ทอดสายตามองไปทางอื่นอย่างเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร ก่อนจะเกยคางไว้บนไหล่ พยักหน้าตอบไป

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้น... ก็หายกันแล้วนะครับ”

“...” ผมชะงักไม่แน่ใจว่าไอ้ตี๋หมายถึงอะไร แต่ไม่นานสมองก็ประมวลผลได้จากความทรงจำตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

ผมเคยกอดปลอบใจมันสองครั้ง เรื่องข่าวลือบ้าๆ ของมัน และเรื่องไอ้ตรี... และไอ้ตี๋ก็ยอมให้ผมกอดในวันที่ผมกลับมาเจอกับวี ปลอบใจผมทั้งที่ไม่รู้เลยว่าสาเหตุจริงๆ ที่ผมกลุ้มใจคืออะไร

ไม่ใช่เพราะการได้เจอวี แต่เป็นเพราะการที่ได้เจอกันมันยิ่งเป็นการยืนยันว่าผมไม่ได้มีวีอยู่ในหัวใจอีกต่อไป...

เป็นอีกหนึ่งความจริงที่ผมเพิ่งยอมรับได้... คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

สิ่งที่ได้ตี๋พูด คงหมายถึงอ้อมกอดนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย... หมายความว่าที่ผ่านมาที่มันทำดีกับผม อยู่กับผมตอนที่ไม่สบายใจ เป็นเพราะรู้สึกติดค้างกับสิ่งที่ผมเคยทำให้ แค่นั้นสินะ

มีแต่ผมใช่มั้ย ที่รู้สึกว่าการกอดมันเป็นเหมือนสิ่งเสพติด พอได้ลองแค่ครั้งเดียวก็โหยหา จดจำ และคิดถึงสัมผัสนี้แทบตลอดเวลา

“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามันอยากออกจากอ้อมกอดของผมแค่ไหน

รังเกียจขนาดนั้นเลยหรือไง

“ตี๋” ผมเรียก น้ำเสียงอ่อนแรงจนน่าขำ แต่ถึงอย่างนั้นคนในอ้อมกอดก็ยังนิ่ง รอฟัง “วันนี้กูพาผู้หญิงคนอื่นไป เพื่อประชดวี ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร”

“...”

“น่าสมเพชใช่มั้ย?” ผมยิ้มออกมาอย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง ทั้งเรื่องที่ทำก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน

ผมกำลังเรียกร้องความสนใจ ทำตัวน่าสงสารเพื่อให้มันเห็นใจผมอีกครั้ง อย่างน้อยแค่รั้งเอาไว้ให้ได้กอดนานขึ้นอีกหน่อยก็ยังดี

ไอ้ตี๋เงียบไปสักพัก ก่อนจะขยับหมุนตัวหันหน้ามาหาผม ดวงตาคู่สวยมองลึกเข้ามาในตา และผมพบว่ามันแฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลายไม่ต่างกัน

มันสบตาผมอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มออกมาจางๆ “ใครๆ ก็ทำเรื่องน่าสมเพชได้เพื่อความรักไม่ใช่เหรอครับ”

“...”

“ผมเองก็เคยทำ จำได้มั้ย” ผมนึกย้อนกลับไปที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกือบพลาดพลั้งทำร้ายได้ตรี แต่โชคดีที่ยังยับยั้งชั่งใจไว้ทัน

ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น... จุดเริ่มต้นของความรู้สึกผิด ที่นำพาไปสู่ความรู้สึกอื่นๆ ที่ทำให้ผมสับสนจนแทบบ้าอยู่ทุกวันนี้

“นั่นสินะ” ...ใครๆ ก็คงเคยทำเรื่องน่าสมเพชเพื่อความรักกันทั้งนั้น

ผมเอง ขนาดเคยพลาดพลั้งไปแล้ว ก็ยังไม่คิดจะเข็ดด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่เป็นอะไร” มือเรียวยกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ผมหลับตา ซึบซับความรู้สึกอบอุ่นนั้นไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อถูกถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

“เริ่มต้นใหม่ได้มั้ยครับ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนา จ้องมาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

คล้ายกับจะตัดพ้อก็ไม่ใช่ จะให้กำลังใจผมก็ไม่เชิง

เป็นสายตาแบบที่ทำให้ผมหวั่นไหว... แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ควรคิดไกล

“เหมือนที่คุณเคยขอผม ลืมผู้หญิงคนนั้นไป แล้วเริ่มต้นใหม่ได้มั้ยครับ” มือที่อยู่บนหัว เลื่อนลงมาแนบแก้ม ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลม

ความอ่อนโยนที่ได้รับยิ่งทำให้หัวใจที่เต้นไม่ปกติ เต้นแรงขึ้นจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมา เผลอยกมือขึ้นมากุมมือข้างนั้นไว้ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน

“แล้วมึง... เริ่มต้นใหม่ได้หรือยัง?” เอ่ยคำถามที่ค้างคาใจโดยที่ยังคงสบตาคู่สวยที่มองมาอย่างตกใจแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็หลบสายตาไป

“...” แทนที่จะได้คำตอบ ผมกลับเห็นใบหน้าใสขึ้นสีระเรื่อ แต่ดวงตากลับดูหม่นเศร้า และรอยยิ้มจางๆ ของมันก็ยิ่งทำให้อ่านยากว่ากำลังรู้สึกอะไร

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด จนหน้าผากชิดกันเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่ตัวเองต้องการ แต่เหมือนจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้น เมื่อคนในอ้อมกอดสะดุ้ง มองมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ ยิ่งสบตากันก็ยิ่งเจอแต่ความว้าวุ่นยากอธิบาย จนผมไม่อยากจะค้นหาอะไรอีก

ถ้ามีทางอื่นที่จะพิสูจน์ได้ก็คงดี

ขึ้นอยู่กับว่า คนตรงหน้าจะยอมให้ผมพิสูจน์ไหม...

“ตี๋” เอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ทว่าอีกฝ่ายคงได้ยินชัด เพราะอยู่ใกล้กันเพียงลมหายใจคั่นเท่านั้น

“...” มันไม่ได้ตอบอะไร กัดริมฝีปากตัวเองด้วยสีหน้าลังเลใจ

คงเพราะรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร

“ตี๋...” ยังคงเรียกซ้ำๆ อย่างเว้าวอน

และทันทีมันหันกลับมาสบตา มือที่เคยกุมมือมันไว้ยกขึ้นมาถอดแว่นหนาที่แสนจะเกะกะออกไป มืออีกข้างประคองใบหน้าใส ก่อนจะดึงใบมาใกล้ จนแน่ใจว่าจะไม่ถอยหนีจึงจรดริมฝีปากลงไป ขโมยลมหายใจอีกฝ่ายตามที่ตั้งใจ

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมจูบกับผู้ชาย... ผมเคยจูบกับไอ้ตรี เพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ได้รักผมแล้ว และมันได้ผล

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมต้องการใช้จูบนี้พิสูจน์อะไรบางอย่าง...

แต่ดูเหมือนมันจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง

แทนที่จะได้คำตอบ กลับกลายเป็นการกวนน้ำใสๆ ให้เต็มไปด้วยฝุ่น ขุ่นข้นจนยิ่งยากจะค้นหาอะไรได้ เมื่อริมฝีปากแตะกัน มันไม่ได้ถอยหนี ทว่าไม่ได้ยินยอม เหมือนยังมีกำแพงบางอย่างกั้นไม่ให้ผมละลาบละล้วงเข้าไปจนต้องผละออกมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ช้อนสายตามองคนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตากัน จนต้องยกมือขึ้นมาประคองบังคับใบหน้าใสที่ขึ้นสีจัดให้เงยหน้ากลับมาสบสายตาที่กำลังฉายแววเว้าวอน ขอร้องให้มันยอมให้ผมค้นลึกเข้าไปในใจ

ต้องลึกกว่านี้... ต้องล้วงเข้าไปให้ลึกถึงก้นบึ้งความรู้สึก ทั้งของมัน... และของตัวผมเอง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็รั้งท้ายทอยมันลงมาแล้วกดจูบลงไปอีกครั้ง มอบสัมผัสที่แตกต่าง ...เน้นย้ำ ทว่าแผ่วเบา บดคลึงจนคนที่พยายามจะขัดขืนโอนอ่อน ก่อนจะค่อยๆ บังคับริมฝีปากบางให้เปิดออกพร้อมกับสอดเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปอย่างช้าๆ ละลาบละล้วง ทว่าไม่จาบจ้วง เพื่อที่จะได้ละเลียดชิมรสหวานจนพอใจ พร้อมกับบังคับให้อีกฝ่ายจะยอมคายความรู้สึกออกมา

โดยไม่ทันคิดว่า การพาตัวเองก้าวไปข้างหน้าช้าๆ จะทำให้ผมตกหลุมลึก สู่เส้นทางเย้ายวนใจอันไร้ทางออกโดยไม่รู้ตัว

จากแค่ริมฝีปากแตะกัน กลับกลายเป็นความต้องการล้ำลึกเพียงเสี้ยววินาที... ยิ่งได้ก็ยิ่งทวีความต้องการ กลายเป็นผึ้งแสนโลภ ที่ใช้ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดตักตวงน้ำหวาน อย่างไม่กลัวว่าจะสำลักตาย

"ดะ... เดี๋ยว..." เสียงแหบพร่าดังเคล้ากับเสียงหอบหนัก มือบางยกขึ้นมายันไหล่ผมไว้ หยุดริมฝีปากที่กำลังฉกฉวยลงไปอีกครั้ง หลังจากเปิดโอกาสให้ผละออกไปตักตวงอากาศหายใจ

"ตี๋" แต่ผมไม่คิดจะฟังเสียงร้องห้าม ดื้อดึงที่จะกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางซ้ำๆ เรียกร้อง อ้อนวอนจนกระทั่งฝ่ามือที่เคยผลักใส เปลี่ยนมาโอบรอบคอผมไว้ พยุงร่างอันอ่อนแรงไม่ให้ร่วงหล่นลงไป

เสียงครางอย่างพอใจดังแผ่วเบาเมื่อผมกระชับอ้อมกอดแน่น รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้เพื่อบดเบียดริมฝีปากแนบชิดกว่าเคย ลิ้นร้อนรุกไล่จนได้รับการตอบสนองเชื่องช้า งุ่มง่าม ทว่าแทนที่จะหงุดหงิด กลับยิ่งขับความต้องการที่ซุกซ่อนไว้ให้ทวีความรุนแรงขึ้นมา

โดยไม่รู้ตัวผมอาศัยจังหวะที่ริมฝีปากดูดดึงช่วงชิงลมหายใจของกันและกัน ลูบไล้ฝ่ามือสะเปสะปะไปทั่วร่างกายบอบบาง พร้อมกับใช้มืออีกข้างไล่นิ้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตจนร่างกายขาวเนียนในส่วนที่ยังสัมผัสไม่ถึงเปิดเผยออกมา

“อึก... คุณซัน”  เสียงแหบพร่าเรียกชื่อผมอย่างตกใจทันทีที่ผมผละริมฝีปากออก เปลี่ยนเป้าหมายไปยังซอกคอหอมกรุ่น ขบกัดจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ส่งเสียงร้องประหลาดออกมาแผ่วเบา มือเรียวยกขึ้นมาดันแผ่นอกผมไว้คล้ายจะห้ามอีกครั้ง แต่แรงที่ส่งกลับไม่มากพอที่จะหยุดยั้งอะไร ผมยังคงฝังริมฝีปากตัวเองไปตามผิวกายขาวเนียน ทั้งไล้เลีย ขบกัดฝากร่องรอยคมเขี้ยวไว้ทุกหนแห่งเท่าที่จะทำได้

“คุณซัน...” เสียงกระซิบเอ่ยชื่อผมดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงจริงจังพอที่จะทำให้ผมผละริมฝีปากออกมา เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าที่ขมวดคิ้วมุ่น สบตากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ

“จะทำ... แบบนี้จริงๆ เหรอครับ” กระซิบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

ผมไม่ตอบ แต่ส่งสายตาเว้าวอนกลับไป... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไฟปรารถนาที่เผลอจุดขึ้นมา มันไม่สามารถดับลงได้ง่ายๆ

...ไม่ใช่ตอนที่ผมกำลังถลำลึก... และอยากจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้อย่างไม่คิดจะลังเล

“ถ้าทำไปแล้ว... ห้ามมาเสียใจทีหลังนะครับ” คงเพราะอ่านสายตาผมออก เสียงทุ้มจึงเอ่ยออกมาแผ่วเบา แวบหนึ่งผมเห็นความเศร้าฉายชัดขึ้นมาในแววตา

แต่ไม่ทันได้ถาม... มือบางก็ยกขึ้นมาประคองใบหน้าผมไว้ ก่อนจะเป็นฝ่ายจรดริมฝีปากลงมา

บดเบียด เคล้าคลึงมอบสัมผัสหอมหวานมาให้ โดยที่ผมตอบรับอย่างไม่คิดจะคัดค้านใดๆ คนตัวเล็กวาดขาขึ้นมาคร่อมบนตักผมไว้ ขยับสะโพกเข้ามาใกล้จนหัวใจเต้นรัว ผมส่งเสียงครางในลำคอเมื่อนิ้วเรียวเริ่มไล่ปลดกระดุมเสื้อให้กัน ลากไล้ไปตามแผ่นอกอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่งราวกับจงใจจะทำให้ทรมาน...

ชั่วขณะหนึ่งผมกลายเป็นฝ่ายถูกนำในจังหวะเนิบนาบ ทว่ากลับร้อนแรงจนกระตุ้นให้ไฟปรารถนาที่อยู่ในกายยิ่งลุกโหมจนคล้ายจะเผาไหม้หัวใจให้เป็นจุล ทนไม่ไหวจนต้องดันร่างคนยียวนกดแนบลงไปกับโซฟา พลิกตัวขึ้นมาเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมไว้เสียเอง

คนใต้ร่างร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อผมเริ่มใช้ริมฝีปากรุกเร้า ไล่จูบทั่วใบหน้า ซอกคอ ก่อนจะเลื่อนลงมากัดเม้มบนจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก หยอกล้อจนสัมผัสถึงแรงเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนจังหวะไปอย่างชัดเจน

ฝ่ามือยังคงลูบไล้เคล้าคลึงตามร่างกายขาวเนียน พลางบดเบียดสะโพกเข้าไปแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงส่วนกลางร่างกายของอีกฝ่ายที่กำลังโป่งนูนตอบสนองสัมผัสวาบหวามไม่แพ้กัน มันยิ่งทำให้ทุกอย่างยากที่จะหยุดยั้ง ผมเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปพรมจูบทั่วใบหน้าใสอีกครั้ง พร้อมกับค่อยๆ สอดมือเข้าไปในขอบกางเกงของอีกฝ่ายโดยไม่ให้ตั้งตัว

"...!!" คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกทำท่าจะกระถดหนี แต่ผมก็ตามไปครอบครองริมฝีปากบาง กดจูบปลอบประโลมจนคนใต้ร่างกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง หลอกล่อให้ตอบรับสัมผัสหอมหวาน บิดเบือนความสนใจจากมือที่กำลังเลื่อนลงไปปลดกระดุมกางเกง 

ออกแรงดึงเพียงน้อยนิด รั้งขอบกางเกงหลุดจากสะโพกสวย เปิดเปลือยให้เห็นสัดส่วนของร่างกายที่ถูกซ่อนไว้ใต้อาภรณ์ ผมไล่สายตามองไปตามร่างกายเปลือยเปล่าใต้ร่างด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกใหม่ที่แล่นขึ้นมา

ไม่ได้รังเกียจ หรืออยากถอยหนี... แต่คล้ายกับบางอย่างในใจกำลังจะระเบิดออก

ทั้งที่มีทุกสิ่งบนร่างกายเหมือนๆ กัน แต่กลับอยากสัมผัส ครอบครองในทุกสัดส่วนราวกับเด็กน้อยที่ต้องการลิ้มรสขนมหวานที่ไม่เคยชิม

"อย่ามอง..." เผลอจับจ้องอยู่นานจนกระทั่งถูกเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงขาดห้วง มือบางเอื้อมมารั้งใบหน้าเบี่ยงเบนให้กลับไปสนใจใบหน้าใสที่ขึ้นสีด้วยความอายที่ไม่อาจปกปิดได้ ดูน่ารักซะจนอดใจไม่ไหว ต้องฉกฉวยริมฝีปากลงไปช่วงชิงลมหายใจอีกฝ่ายอีกครั้ง ใช้ลิ้นไล้เลียดูดดุนรีดน้ำหวานซ้ำๆ พร้อมกับไล่มือไปทั่วร่างนวดคลึงปลอบประโลม หวังให้เคยชิน ก่อนจะหยุดลงตรงส่วนร้อนกลางลำตัว

"ให้กูทำนะ" กระซิบข้างหู เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

ไม่รอคำตอบ เริ่มขยับฝ่ามืออย่างช้าๆ เมื่อเห็นชัดว่ามันกำลังทรมาน เสียงครางแผ่วยิ่งกระตุ้นให้ผมเร่งจังหวะรูดรั้งรัวเร็วตามแรงปรารถนาจนร่างเล็กบิดเร่า ร้องผวาขณะเอื้อมมือออกมาโอบรอบคอผมไว้แน่น

“ซัน... อึก... ซัน” น้ำเสียงแหบพร่าที่กระซิบเรียกชื่อผมโดยไร้สรรพนามนำหน้า ยิ่งนำพาไฟปรารถนาให้ลุกลามจนผมควบคุมไม่ได้ ปรนเปรออีกฝ่ายจนพอใจ ก่อนจะใช้น้ำเหนียวข้นที่ชะโลมทั่วฝ่ามือ นำทางให้นิ้วหนึ่งชำแรกเข้าไปในที่ช่องทางด้านหลังอย่างระมัดระวัง แต่ถึงอย่างนั้นไอ้ตี๋ก็ยังร้องลั่น ผวาจนต้องหยุดเพื่อกดจูบลงไปบนเรียวปากบาง ปลอบประโลมซ้ำๆ เพื่อให้คลายความตกใจ

เนิ่นนานจนแน่ใจว่าคนตัวเล็กหายตื่นตระหนกกับสัมผัสแปลกใหม่ที่มอบให้ จึงเริ่มกดนิ้วลงไปอีกครั้ง ริมฝีปากยังคงไม่ผละออกจากกัน ซ้ำยิ่งไร้ช่องว่างเมื่อแขนที่โอบรอบคอกอดรัดดึงรั้งใบหน้าเข้าไปให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม ลิ้นที่เคยตักตวงด้วยความละโมบ เปลี่ยนเป็นมอบสัมผัสอ่อนโยนเพื่อผ่อนคลาย ขณะสอดนิ้วกดลึกลงไปสำรวจด้านในร่างกายอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ค่อยเป็นค่อยไป ขยับเข้าออกจนร่างเล็กบิดเร่าแอ่นตัวรับสัมผัสวาบหวามด้วยสีหน้าเย้ายวนจนผมแทบจะคลั่งตาย

"ซัน... ช่วย... ช่วยที..." เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเอ่ยชื่อผมพร้อมกับเรียกร้องอย่างเต็มใจ ผมก็ไม่รอช้าที่จะปลดกางเกงตัวเอง เผยส่วนที่ปวดหนึบคับแน่นอยู่ภายในให้พ้นความทรมาน

บดจูบที่ทวีความรุนแรงตามไฟปรารถนา พลางจับขาเรียวให้เกาะเกี่ยวสะโพกหนา ก่อนจะบดเบียดร่างกายแนบชิด ค่อยๆ นำพาส่วนร้อนที่กำลังขยายตัวเข้าไปแทนที่นิ้วมือซึ่งใช้สำรวจช่องทางก่อนหน้า

กดลึก...แนบสนิท ก่อนจะแช่อยู่อย่างนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายปรับตัว

"ตี๋..." รู้สึกอึดอัดจนครางไม่เป็นเสียงขณะซุกซบลงขบกัดซอกคอที่ฝากรอยไว้จนไร้ที่ว่าง ลากลามไปถึงใบหูเล็กอย่างระบายอารมณ์ ได้ยินเสียงสะอื้นดังคลอกับเสียงครางแผ่ว เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าใสที่ชโลมไปด้วยเหงื่อซึ่งผุดซึมทั่วร่างกายจนเปียกชุ่มไม่ต่างกัน นัยน์ตาหวานเยิ้มที่แต่งแต้มด้วยหยาดน้ำที่หางตา ทำให้ผมก้มหน้าลงไปจรดริมฝีปากกดซับหยดน้ำนั้นไว้ ไล้เลีย ลากลิ้นลงไปทั่วใบหน้าใส พรมจูบปลอบประโลมซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้เบื่อ เพื่อรั้งรอให้คนตัวเล็กหายตกใจกับสัมผัสอันไม่คุ้นเคย

“โช... โชกุน” เผลอเอ่ยกระซิบเรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายออกมา ไม่ทันเตรียมใจว่ามันจะยิ่งทำให้ความร้อนที่กำลังโอบรัดส่วนกลางร่างกายตอบสนองจนไม่อาจทนไหวอีกต่อไป

ไฟในใจเริ่มลุกโหมอีกครั้งเมื่อผมเริ่มขยับ จูบซ้ำๆ มอบสัมผัสอ่อนหวานลึกซึ้งที่ไม่เคยมอบให้ใคร เสียงครางสุขสมปนเปจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร ดังเคล้ากับเสียงร่างกายเหนอะหนะที่กระทบกันอย่างน่าอาย สองร่างไขว่คว้ากอดก่าย จนแนบสนิทไร้ช่องว่างใดๆ ปล่อยให้แรงอารมณ์นำพาให้ถลำลึกอย่างที่ใจปรารถนา

มากขึ้น... และมากขึ้นอีกในท่วงทำนองแสนหวานยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการ...

ชั่ววินาทีหนึ่งที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปไกลเกินห้าม ผมเกิดคำถามเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่การกระทำของผมพาให้นึกย้อนกลับไปถึงสาเหตุของมัน

ผมทำแบบนี้ทำไม?

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมทำลงไปเพราะเมา... เพราะเศร้า... หรือเพราะบรรยากาศพาไป

กว่าจะยอมรับคำตอบได้ ก็ตอนที่ไฟปรารถนาพาร่างกายไต่ระดับจนถึงจุดสูงสุด ทุกอย่างกลับมาสงบนิ่ง ขาวโพลนทว่าสุขสม เป็นชั่วขณะที่ผมค้นพบว่าสิ่งรอบกายไม่มีความหมายใดๆ เช่นเดียวกับที่รู้ชัดเจนว่าสิ่งที่เอ่อล้นอยู่ในใจไม่ใช่ความเศร้า ...และสิ่งที่ทำไปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะความเมาเลยสักนิด

“โชกุน...” วินานี้นั้นผมรู้แค่ว่าตัวเองไม่ต้องการอะไรอีก นอกจากกอดร่างเล็กไว้แนบอก ซึบซับความสุขที่กำลังล้นทะลัก กักเก็บไว้ให้นาน

และยังอยากจะโอบกอด กลืนกินอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ...แต่เพียงผู้เดียว




-----------------------------------------------------------------------
เขียนยากจังเลยอ่ะ ;^;
เป็นตอนที่มีหลายความรู้สึกมากที่อยากจะสื่อ ไม่รู้ด้วยว่าสื่อถึงมั้ย
ยังไงก็ติได้เสมอเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-06-2017 23:19:54
โอ้ยยยยชอบมากกกกกกกกกกค่ะะะะะ ยิ่งตอนล่าสุดนี่เราคิดว่าฉากนี้เป็นอะไรที่มากกว่าการ make love มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง ฮื่ออ เขียนดีมาก ชอบมากกก ติดตามนะคะ อย่าให้โชต้องอยู่กับความรู้สึกไม่แน่นอนนะซัน รักก็บอกไปเลยยย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 06-06-2017 03:39:08
สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบเลย
ขอให้รีบบอกความในใจกันเถอะนะ
โชดูมีอะรในใจเยอะมาก ถ้าซันไม่รีบบอก กลัวโชจะหนีไป
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Preenp ที่ 06-06-2017 23:27:17
ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากเลย :impress2:
ติดตามนะคะ o13
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: janehh ที่ 07-06-2017 12:49:23
อ่านรวดเดียวเลยยย สนุกมากกกก ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrInceZz ที่ 08-06-2017 22:23:10
สนุกมากกกกกกค่ะ ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลังตะวัน 4 [ 11/6/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 11-06-2017 04:06:07
หลังตะวัน : 4


               
[ Shogun’s Part ]
 
           
‘เริ่มต้นใหม่ได้มั้ยครับ’
           
‘…ลืมผู้หญิงคนนั้นไป แล้วเริ่มต้นใหม่ได้มั้ย...’
 
               
กล้าขอออกไปได้ยังไง ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้...
               
ผมจะเริ่มต้นใหม่ได้ยังไง ในเมื่อคนที่ผมกำลังมีใจให้ ยังมีรักฝังใจให้ผู้หญิงอีกคน
               
“ยังรักมากเหรอครับ” เอ่ยถามแผ่วเบา ทั้งที่รู้ว่าเสียงตัวเองไม่อาจส่งถึงคนที่นอนหลับสนิทอยู่เคียงข้างกาย ร่างเปลือยเปล่ายังคงแนบชิดก่ายเกยกันอยู่บนโซฟาใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกหยิบมาตอนไหน แขนแข็งแกร่งโอบรัดผมไว้ ขณะที่ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนปลายจมูกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
               
“ยังเจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอ” ยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มใส ระมัดระวังไม่ให้รบกวนจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว
               
รู้ดีว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นจากบาดแผลในใจ ไม่คิดโกรธเคืองใดๆ แม้ว่าจะถูกใช้เป็นที่ระบาย เพื่อลบเลือนความเจ็บปวดที่ถูกสร้างโดยใครอีกคน

ต้องโทษตัวเองที่โลภ... หลงระเริงกับความต้องการชั่ววูบ ถูกความสุขสมชักจูงจนถลำลึกทำสิ่งที่ไม่ควรลงไป ไร้สติขนาดนั้นได้ยังไง แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง
               
ที่ซันทำคงเพียงเพราะพลาดพลั้งจากความเมา มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ผมล่ะ... จะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง กับสิ่งที่ทำลงไป?
               
ตอนนี้ก็เช่นกัน... ผมจะหาข้ออ้างอะไรมารองรับการกระทำอันฉวยโอกาสของตัวเอง ที่ลักลอบจรดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากใส... ปลายจมูก... และริมฝีปากที่กดจูบซ้ำๆ ลงมาอย่างอ่อนโยนตลอดทั้งคืน
               
เพราะเป็นครั้งแรกจึงทั้งงุ่มง่ามและตื่นตระหนก แต่เขาก็ยังใจเย็น ไม่เร่งเร้า ทำทุกอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ทำให้ผมเจ็บ
               
แต่มันคงยากเกินไป เมื่อลืมตาขึ้นมามันถึงได้ปวดระบมไปทั้งร่าง ปวดหนึบไปหมดทั้งกาย... รวมถึงหัวใจ
               
ผมกดจูบลงไปอีกครั้งสัมผัสอย่างระมัดระวัง แผ่วเบาราวกับไม่ได้แตะต้อง ก่อนจะผละออกมาเพื่อมองใบหน้าคนหลับใหลที่เอาแต่จับจ้องมานานนับตั้งแต่ลืมตา

ไม่อยากให้รู้ตัว ไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไร

แค่อยากจะบอกว่าผมเต็มใจในทุกสิ่งทุกอย่าง แค่ได้อยู่เคียงข้าง ได้ปลอบใจ เหมือนที่คุณเคยทำให้ผมตลอดมา... แค่นั้นก็พอ
 

ทุกอย่างมันยากลำบากไปหมดในเช้าวันนี้

หลักจากกอดกกซบอกหนาซึมซับความอบอุ่นจนพอใจ ผมก็ขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า พยายามไม่ส่งเสียงร้องออกมากับความรวดร้าวที่ถูกทิ้งไว้ทั่วร่างกาย

เจ็บจนอยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องกลั้นไว้เพราะไม่อยากให้เสียงสะอื้นรบกวนคนขี้เซา

หยิบแว่นตากรอบหนาขึ้นมาสวมแล้วหันกลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง ร่องรอยที่คั่งค้างอยู่ทั่วร่างยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความจริง ผมยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเห็นแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน ไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกยังไง

มีความสุขจนแทบคลั่ง แต่ก็ตระหนักดีว่ามันเป็นเพียงความสุขชั่วคราว เหมือนความฝันที่พอตื่นมาทุกอย่างก็หายไปเหลือเพียงความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ตัวเองเผลอไผลทำเรื่องที่ไม่ควร

ไม่รู้ว่าจะมองหน้าเขายังไงแล้ว

ทำไมถึงทำลงไปได้... โง่จริงๆ

ถอนหายใจอีกหลายครั้งก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าซ้ำๆ หวังเรียกสติตัวเองกลับมา เผื่อจะรู้ว่าควรทำยังไงต่อไป แต่ก็เหมือนจะไม่ช่วยอะไร จนสุดท้ายก็ได้แต่บอกให้ตัวเองช่างมัน

ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน... แบบนั้นคงดีกว่าทั้งกับผมและเขา

แต่ความตั้งใจนั้นก็ถูกสั่นคลอนทันทีที่ออกจากห้องน้ำมาแล้วพบว่าร่างสูงยืนรออยู่หน้าประตู ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ดวงตาหลุบต่ำโดยอัตโนมัติก่อนจะทันได้เห็นใบหน้าของคนที่เพิ่งตื่นนอน แต่ระดับสายตาที่อยู่ตรงลำคอแกร่งก็ทำให้เห็นว่าผิวเนื้อใต้คางไล่ไปจนถึงไหล่กว้าง มีรอยคมขีดข่วนของเล็บและคมเขี้ยวสองสามรอยปรากฏชัดขึ้นมา อยากจะเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรเอาสายตาตัวเองไปไว้ตรงไหน ในเมื่อทั่วร่างกายกำยำที่ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า เต็มไปด้วยร่องรอยน่าอายที่ตัวเองฝากไว้ไม่ต่างกัน

ทำยังไงดี ผมอยากจะหายไปจากตรงนี้ซะให้รู้แล้วรู้รอด

“อะ...เอ่อ...” ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ พยายามนึกคำพูดที่ควรจะพูดออกไป แต่ยังไงก็คิดไม่ออกสักที

นี่มันไม่เห็นจะเป็นธรรมชาติตรงไหนเลย

“ตี๋...” แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ผมก็รวบรวมสติพูดตัดหน้าออกไปเสียก่อน

“อะ... อาบน้ำก่อนนะครับ กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้กิน” แต่พอได้ยินเสียงเขา คำพูดออกมาง่ายดาย คำพูดเฉไฉที่เอ่ยขัดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มฉาบฉวย ก่อนจะเบียดตัวเดินจากมาโดยไม่สบตา เพราะไม่อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร

ผมยังไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น ยังไม่อยากเห็นสีหน้าเขาที่คงจะเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

อย่างน้อยให้ผมได้เตรียมใจก่อนสักนิด ได้ซึมซับความรู้สึกสุขสมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไว้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นเพียงฝันร้ายที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ของพวกเราไปตลอดกาล

ผมเดินเข้ามาในครัวเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์เมื่อแน่ใจว่าร่างสูงไม่ได้เดินตามมา เสียงประตูห้องน้ำปิดลง ทั้งห้องเหมือนเหลือเพียงผมกับมวลความเงียบงันอันน่าอึดอัดจนแทบจะทนไม่ไหว ถอนหายใจกับตัวเองอีกหลายครั้ง พยายามรวบรวมสติตัวเองกลับมาเพื่อหาอะไรอุ่นๆ ให้เขากินอย่างที่บอก

ในตู้เย็นมีโจ๊กที่ผมซื้อเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน...

ตั้งแต่ที่เขามาขอสลับกะกับนายเพราะต้องไปงานเลี้ยงส่งวี ผมก็รู้ทันทีว่าเขาคงกลับมาในสภาพที่ไม่ปกติ...

เพิ่งรู้ว่าตัวเองกระวนกระวายแค่ไหน ก็ตอนที่ถูกทักว่าเอาแต่มองประตูร้านสลับกับโทรศัพท์จนไม่มีกะจิตกะใจทำงาน โดนถามถึงสาเหตุหลายครั้งแต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ไม่สบายใจทั้งที่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เป็นห่วง...ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง

ผมตัดสินใจอยู่นานกว่าจะโทรไปเพื่อถามไถ่ อย่างน้อยถ้าเขาเป็นอะไรก็อาจจะพอช่วยได้ ถ้าเมา... ผมจะไปรับ ถ้ากำลังเศร้า... ผมจะรีบไปตรงนั้น จะปลอบใจจนกว่าจะหาย จะร้องไห้ก็ได้ ผมจะให้ยืมไหล่ จะให้แกล้ง กวนตีนจนกว่าจะพอใจ แค่ให้เขากลับมายิ้มได้ก็พอ

เพราะแบบนั้นถึงได้ดีใจที่ได้ยินว่าเขาจะมาหา... เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าแค่คำขอสั้นๆ ของเขามันมีอิทธิพลกับหัวใจของผมแค่ไหน

ผมฝากร้านไว้กับนาย เพื่อกลับมาเตรียมนมอุ่นๆ ให้เขาตามที่บอกไว้ ไม่วายแวะซื้อโจ๊กเตรียมไว้ให้ ทั้งที่เขาไม่ได้ขอ... ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะค้างคืน

เผลอทำเกินหน้าที่จนรู้สึกละอายใจ

แต่มันน่าละอายยิ่งกว่าเมื่อทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป... อาศัยความเมาของอีกฝ่ายฉวยโอกาสทำตามอำเภอใจอย่างไม่น่าให้อภัย

“ตี๋” ผมหลุดจากภวังค์ความฟุ้งซ่านเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลัง เผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะตั้งสติ ปั้นยิ้มเตรียมไว้ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวที่เจ้าตัวแอบเอามาเนียนทิ้งไว้ นับตั้งแต่วันที่ผมแกล้งประชดไปว่าให้เขาหอบเสื้อผ้ามา

ทั้งที่ก่อนหน้านี้มองว่ามันรกหูรกตา เปลืองพื้นที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกใจหาย เมื่อคิดได้ว่าต่อไปมันคงไม่จำเป็น

หลังจากวันนี้ เขาอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมอีกเลยก็ได้ ทำยังไงดี

“มีแต่โจ๊กนะครับ” บอกก่อนจะปิดเตา เอื้อมมือไปหยิบชามออกมาเพื่อตักโจ๊กใส่ พยายามทำตัวนิ่งเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“กูขอโทษ” แต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

เป็นคำต้องห้ามของเช้าวันนี้ที่ผมไม่อยากจะได้ยิน

ขอโทษ... ไม่ได้ตั้งใจ... ทำไปเพราะเมา...

คิดว่าผมไม่รู้เลยหรือไง ทำไมยังใจร้ายเอ่ยมันออกมา

“ช่างเถอะครับ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่ท้วงในใจ ขณะที่ความจริงทำได้เพียงปั้นยิ้ม พร้อมกับหันไปสบตา “อย่าพูดถึงมันเลย”

ต้องทำให้เขารู้ว่าไม่เป็นอะไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องใส่ใจ

แต่สุดท้ายริมฝีปากกลับหนักอึ้งจนไม่สามารถยิ้มต่อไปได้ ต้องเบือนหน้าหนีกลับมา ซ่อนใบหน้าและแววตาของตัวเองไว้ ไม่ให้เขาเห็นว่าตอนนี้มันกำลังฉายความรู้สึกแบบไหนออกไป

“ตี๋ ฟังก่อน”

“...!!”  สะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างสูงกลับไม่ยอมเลิกรา ขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะคว้าเข้ามาที่แขนผมคล้ายจะดึงให้กลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง เผลอสะบัดแขนออกจากมือเขาอย่างแรงจนไม่ทันมองว่าข้างตัวมีชามโจ๊กที่วางไว้ในตำแหน่งที่มือตวัดไปพอดิบพอดี

เพล้ง!

“ตี๋!” ได้ยินเสียงตะโกนเรียกดังขึ้นมาในขณะที่โลกของผมคล้ายจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนไกลออกไป แม้แต่เสียงโวยวายของร่างสูงที่คุกเข่าลงตรงหน้าปัดเศษโจ๊กร้อนๆ ที่กระเด็นลงมาบนเท้าให้ผมโดยไม่สนใจเลยว่าเท้าตัวเองก็โดนลวกเหมือนกัน

ทำไมถึงยังทำแบบนี้... ทำไมยังทำดีกับผมได้อีก...

“ผมไม่เป็นไร” ผมดึงเท้าตัวเองออกมา ก้าวถอยหลังช้าๆ มองเจ้าของใบหน้าตื่นตระหนกที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา “ขอโทษนะครับ คงไม่ได้กินข้าวเช้าแล้ว”

“ตี๋...” แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่คล้ายจะพรั่งพรูออกมา

“ถ้ายังไงจะกลับเลยก็ได้นะครับ”

ความรู้สึกที่ผมไม่อยากจะคาดเดาว่าคืออะไร

“ให้กูรับผิดชอบนะ” แต่เท้าที่กำลังจะก้าวหนีกลับต้องชะงักลงอีกครั้ง หมุนตัวกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

“ตั้งใจจะทำอะไรครับ” ไม่สามารถปั้นยิ้มได้อีกต่อไป เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน

“กูอยากรับผิดชอบเรื่องที่ทำไปเมื่อคืน” แต่ซันก็ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“...”

“กูรู้ว่ากูเมา แต่ว่า...”
               
“ไม่จำเป็นครับ”

เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน

“ตี๋” เขาเอ่ยชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา อ้าปากเหมือนพยายามจะพูดบางอย่างแต่ผมไม่เปิดโอกาสให้ได้เอ่ยอะไร

ไม่อยากฟังคำพูดที่จะทำให้หัวใจมันเจ็บมากไปกว่านี้แล้วจริงๆ

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ” ผมหลับตา ข่มความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงอีกครั้ง เอ่ยออกไปด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน

“อย่าลืมสิครับว่าเราต่างก็เป็นผู้ชาย มันไม่มีอะไรเสียหาย... เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาขอรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”

“แต่กู...”
 
“อย่าทำแบบนี้เลยครับ” ผมเอ่ยขัด พร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ ขณะที่ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังกดทับลงมาจนหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ 

“เพราะแบบนี้ใช่มั้ย ตรีถึงได้ชอบคุณ...” เผลอเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจอย่างไม่อาจควบคุมได้ คำพูดมากมายที่เคยได้แต่เก็บไว้ในความคิดถูกเอ่ยออกไป เมื่อเห็นดวงตาหวั่นไหวของอีกฝ่ายที่มองกลับมา

“เพราะคุณใจดีเกินไป คนที่อยู่ใกล้ๆ ถึงได้เผลอใจชอบคุณไปหมด”

“...”

“อย่าให้ความหวังดีของตัวเองทำร้ายคนอื่นเลยครับ”

“...”

“ทำแบบนี้ผมยิ่งลำบากใจนะ”

“...”
               
“ผมเคยผิดหวังมาครั้งนึงแล้ว... และมันเจ็บเจียนตาย” รู้เลยว่าใบหน้าของตัวเองกำลังบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกที่ประดังขึ้นมาจนยากที่จะสบตาอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

“...”

“ขอร้อง อย่าหยิบยื่นความหวังที่เป็นไปไม่ได้มาให้ผมอีกเลยนะ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มออกไป เพื่อให้เขารู้ว่าผมไม่เป็นอะไร เขาไม่จำเป็นต้องฝืนใจรับผิดชอบใดๆ กับสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างทำพลาดไป

“ถ้าอยากจะรับผิดชอบจริงๆ หลังจากนี้ช่วยกลับไปเป็นเหมือนเดิม ได้มั้ยครับ”

“...”

“ลืมๆ มันไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ย”

เพราะผมเต็มใจ และพร้อมจะยอมรับผลในสิ่งที่ตัวเองทำไป

“แต่ถ้าลำบากใจ จะไม่มาเจอกันอีกก็ได้”

“...”

“เลือกมาสักทางนะครับ... ผมจะรอคำตอบจากคุณ”

ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ต้องยอมรับให้ได้ทั้งนั้น

“ตี๋”

“แต่ตอนนี้กลับไปก่อนเถอะนะ” ผมพูดขัดอีกครั้งเมื่อเขาทำท่าจะเอ่ยอะไรออกมา

“...”

 “นะครับ”

“กูขอโทษ” ซันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้เมื่อผมไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนใจ ยังคงผลักไสเขาออกไปด้วยสายตา

“ขอโทษจริงๆ” เขาเอ่ยย้ำ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปช้าๆ ไม่วายหันกลับมาสบตาผมอีกครั้งด้วยสายตาที่ดูสับสนจนยากจะอธิบาย

ผมมองตามจนกระทั่งเจ้าของแผ่นหลังกว้างลับสายตาไป ในจังหวะเดียวกับที่ทุกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจผมพังทลาย กลายเป็นเศษซากความรู้สึกที่ผุพังและยังถูกเหยียบย่ำซ้ำๆ จนแหลกละเอียดยากที่จะเก็บมันขึ้นมาประกอบใหม่ได้

ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเผื่อใจเอาไว้ คิดว่าถ้าถอนตัวออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ จะไม่เป็นอะไร

แต่มันคงสายเกินไป

เอาเข้าจริง คำพูดที่ว่าเผื่อใจเอาไว้ก็ไม่มีความหมาย... เมื่อรู้ตัวอีกที ก็ถูกเขาครอบครองพื้นที่ไปแล้วทั้งใจ

เมื่ออยู่ลำพัง ผมจึงปล่อยร่างกายที่หนักอึ้งทรุดลงกับพื้นอย่างหมดสภาพด้วยความรู้สึกอ่อนแรงที่โถมเข้าเล่นงานจนทนไม่ไหวอีกต่อไป หลายความรู้สึกปะปนกันอยู่ในใจจนแยกไม่ออกว่าความรู้สึกไหนมีมากกว่า สายตาเหลือบไปเห็นสองเท้าของตัวเองที่ถูกลวกจนเห่อแดงแต่กลับไม่รู้สึกอะไร

คงเพราะมีแผลอื่นที่เจ็บกว่า

เจ็บ... จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้น้ำตาที่กักเก็บไว้ล้นทะลักออกมา ก่อนจะตระหนักได้ว่าเมื่อไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นแสนอ่อนโยนคอยปลอบใจ การร้องไห้คราวนี้ก็เหมือนจะทรมานกว่าครั้งไหนๆ เพิ่งรู้ชัดก็ตอนนี้ว่าการกอดขาตัวเองไม่ได้ช่วยให้หายเศร้า และการพยายามซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองข้างก็ไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นที่ดังไปทั่วห้องได้

“ฮึก...” ตอนนี้ผมอยากให้มีใครสักคนอยู่ตรงนี้ บอกผมทีว่าเรื่องทุกอย่างมันผิดพลาดที่ตรงไหน ผมทำอะไรผิดนักหนาทำไมถึงได้กลับมาสู่วังวนความเจ็บปวดแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา

และถ้าเป็นไปได้ ช่วยบอกผมทีว่าควรทำยังไง จะให้ขอร้องก็ได้ แต่ช่วยหน่อยได้มั้ย

ไม่เอาแล้วได้มั้ยครับ ความเจ็บระดับนี้





------------------------------
เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วตี๋ ลูกกก ;^;
อดทนอีกนิดนะคะ คิดว่าอีกประมาณสองตอนก็จะจบพาร์ทหลังตะวันแล้ว
จะไถ่โทษที่ทำให้ตี๋ร้องไห้อย่างสาสมแน่นอนค่ะ สาบานเลย!

ก่อนหน้านี้แอบคิดมาสักพักว่านิยายตัวเองเป็นเรื่องเดียวในเล้าหรือเปล่าที่ไม่มีคนอ่าน 5555 ดังนั้นเลยดีใจทุกครั้งเลยค่ะที่เห็นคอมเม้นต์เพิ่มขึ้นมา อ่านแล้วรู้ว่ามีคนเห็นข้อดีของนิยายเราแล้วรู้สึกปลื้มใจมาก ขอบคุณมากเลยนะคะ
แต่ถ้าใครอ่านแล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไรนะ เรื่องหน้าเอาใหม่ เราจะหาพล็อตที่น่าสนใจกว่านี้ พยายามพัฒนางานเขียนให้ดีต่อไปเรื่อยๆ หวังว่าจะยังมีคนให้โอกาสกัน ^^


ฝาก #ซันโช ด้วยนะคะ
อยากรีบเขียนให้ถึงตอนเขาสวีทกันจะแย่แล้วค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 3 [ 24/5/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 11-06-2017 10:11:15
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
ใจเย็นเด้อออออออออออ
นี่ก็เข้าใจโชนะ ว่าการที่ได้ยินว่าขอโทษ
เหมือนเค้าเสียใจที่มีอะไรกับเรา
แต่ใจเย็นนนนนนนนนนนนน
ซันมีประโยคต่อท้าย ช่วยกันฟังก่อนนนนนนนนน
จะร้องไห้  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 4 [ 11/6/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 12-06-2017 08:14:23
กีสสส ตี๋น้อยยยย
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 4 [ 11/6/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-06-2017 17:14:38
ซันปากหนักมากกกกกกกกกกกก วุ้ย ทำโชกุนเสียใจได้ไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 4 [ 11/6/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-06-2017 17:25:21
เป็นเราก็คิดแหล่ะว่าซันไม่ตั้งใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าขอโทษ มันก็ไม่อยากฟังอะไรแล้วค่ะ มานี่มาลูก น้องโช มาให้แม่กอดดดด  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 4 [ 11/6/2560 ] : P.2
เริ่มหัวข้อโดย: xxhelloworld ที่ 13-06-2017 00:55:35
น้ำตาจะไหล ทำไมซันไม่พูดอะไรให้เคลียร์ ทำไมไม่เคลียร์ความรู้สึกตัวเอง สงสารตี๋ ไม่ร้องนะลูก สงสาร
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 14-06-2017 21:06:25
หลังตะวัน : 5

   
ไหนบอกจะรอคำตอบจากผมไง แล้วทำไมถึงเป็นฝ่ายหนีไปซะเอง
   
แบบนี้มันมัดมือชกกันนี่หว่าตี๋ ใจร้ายชิบเป๋ง
   
“วันนี้ก็ไม่มา” ไอ้นายหันมาบอกทันทีที่คนข้างตัวสะกิดบอกว่าผมเข้ามาในร้านแล้วชะเง้อคอมองหลังเคาน์เตอร์หาคนที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งหลังเคาน์เตอร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก

ผมไม่เจอไอ้ตี๋อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น... ทั้งที่ถูกยื่นข้อเสนอให้ แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าผมไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย

ผมยังอยากเจอหน้ามัน แต่ในทางกลับกัน ก็ไม่อาจจะทำเป็นลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้...

ทุกร่องรอย ทุกสัมผัส กลิ่นหอมกรุ่นทั่วร่าง หรือแม้กระทั่งรสชาติของจูบที่ได้ลิ้มลองยังคงตราตรึงอยู่ในใจราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน

แต่สิ่งที่ติดแน่นอยู่ในความทรงจำไม่แพ้กัน ก็คือสายตาคู่นั้น...

สายตาที่ผลักไสให้ผมต้องยอมถอยห่างออกมาอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ รู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเลวทรามแค่ไหนก็ตอนที่ได้เห็นแววตาเจ็บปวดแสนจะบรรยาย

เพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองผมถึงกับทำแบบนั้นลงไป... ถึงแม้จะไม่ได้รุนแรง และแน่ใจว่าทุกสัมผัสที่มอบให้ล้วนซื่อตรงจากใจ แต่พอมีสติก็เพิ่งคิดได้ว่านั่นมันไม่ต่างจากการขืนใจอีกคนเลยไม่ใช่หรือไง?

สมควรแล้วล่ะที่จะโดนไล่ สมควรแล้วที่ไอ้ตี๋มันจะไม่อยากเจอหน้าผมอีก ก็ใครใช้ให้เผลอทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับมันอย่างไม่น่าให้อภัย

จะทำให้มีความสุขอะไรกัน... นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังกลับกลายเป็นคนหยิบยื่นความเจ็บปวดให้มันเสียเอง

“ถามจริง พี่กับพี่โชมีเรื่องอะไรกัน” ไอ้นายกระชากผมออกจากภวังค์เอ่ยคำถามเดิมที่ไม่ได้คำตอบมาหลายวัน

“มึงเจอมันหรือเปล่า” วันนี้ก็เหมือนกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่อะไรที่จะบอกให้คนภายนอกรับรู้ ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เพราะกลัวอีกคนจะเสียหาย ต่อให้อึดอัดแทบตายก็บอกใครไม่ได้ ปรึกษาใครไม่ได้เลย

“เจอ” ไอ้นายถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผม “แต่พี่โชไม่ได้อธิบายอะไร แค่บอกว่าคืนนี้มาทำงานไม่ได้ ให้มิ่งมาอยู่กะแทน” ผมเหลือบสายตามองเจ้าของชื่อที่กำลังรับออเดอร์จากลูกค้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์อย่างไม่รู้จะทำยังไง

อยากเจอ... อยากขอโทษ... อยากกอด อยากบอกความรู้สึกตัวเองออกไป... แต่จะกล้าไปสู้หน้ามันอีกได้ยังไง ในเมื่อการกระทำของอีกฝ่ายก็ย้ำชัดแล้วว่ายังไม่ให้อภัย

บางทีมันอาจจะเกลียดผมไปแล้วด้วยซ้ำ

“พี่ซัน” ไอ้นายเรียกชื่อผมอีกครั้ง น้ำเสียงมันจริงจังเมื่อผมยังไม่ยอมบอกอะไร “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” คราวนี้คำถามยิ่งเจือปนไปด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ

“...”

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างพี่โชที่ถึงขนาดทำงานจนเป็นลมคาร้าน จะขาดงานไปโดยไม่มีเหตุผล”

“...”

“แล้วสภาพพี่สองคนตอนนี้แม่งโคตรทำให้ผมเป็นห่วงเลย”

“มันเป็นยังไงบ้าง” ผมเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามแทนที่จะตอบคำถามอีกครั้ง

“แย่” ไอ้นายเบ้หน้า ให้คำจำกัดความ้พียงคำเดียว “พี่เองก็ไม่ต่าง”

“กูไม่ได้เป็นอะไร”

“ที่พูดเนี่ยส่องกระจกหรือยัง” เป็นคำพูดเหน็บแนมที่ปกติผมคงด่ากลับไป แต่คราวนี้กลับไม่คิดต่อปากต่อคำ เพราะลึกๆ รู้ดีว่าตัวเองกำลังแย่แค่ไหน ในใจมันอัดอั้นเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกำลังควบแน่นอยู่ในนั้นรอวันระเบิดออกมา

“กูไม่เป็นไร” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนยันคำโกหกเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง ถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งพลางลุกขึ้นยืน หยิบบางอย่างออกมาจากในกระเป๋ายื่นให้ไอ้นายเหมือนทุกวัน

หลอดยาเล็กๆ ที่ตั้งใจซื้อมาให้ เพราะจำได้ดีว่าเท้าที่โดนโจ๊กร้อนๆ ลวกของไอ้ตี๋มันแดงแค่ไหน ตอนนั้นผมตกใจแทบตาย แต่ไอ้ตี๋กลับนิ่งเฉย และมองผมด้วยสายตาเย็นชา... สายตาที่ทำเอาผมตัวชาไม่ต่างกัน

รู้ว่ามันผ่านมาตั้งหลายวันแต่ก็อดห่วงไม่ได้... ผิวบอบบางขนาดนั้นถ้าเป็นรอยแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง

ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่มีทางรับผิดชอบได้ เหมือนกับความรู้สึกที่เสียไป ผมไม่รู้เลยว่าจะใช้อะไรบรรเทาความเจ็บปวดที่คงจะฝังลงไปในหัวใจของมันไม่ต่างจากรอยแผลเป็น

“ขอโทษนะพี่” ไอ้นายปฏิเสธ ก่อนจะหันไปหยิบหลอดยาอีกสามหลอดมาวางให้ตรงหน้า

ผมได้แต่แค่นยิ้มอย่างสมเพชตัวเองจับใจ ก่อนจะโยนยาอีกหลอดลงไปในกองความหวังดีที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ

“พี่ซัน” กำลังจะหมุนตัวเดินออกจากร้านมาแต่ว่าเสียงเรียกจากไอ้นายก็ทำให้หยุดฝีเท้าตัวเองไว้ “ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกพี่มีปัญหาอะไร”

“...” ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของมัน

“แต่พี่รู้ตัวแล้วใช่มั้ย”

“...” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ามันจับได้มาตั้งนานว่าผมรู้สึกยังไง

“รู้แล้วใช่มั้ยว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร”

“...”

“รู้หรือยัง ว่าสิ่งที่พี่ทำให้พี่โช... มันไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาทำกัน”

คราวนี้ผมหันไปตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ...ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทุกความรู้สึกที่ค่อยๆ เผยตัวในทุกวินาทีตอกย้ำว่าผมโง่และขี้ขลาดแค่ไหน

เพราะที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ไม่เคยยอมรับต่างหาก

เอาแต่หลอกตัวเองอยู่ได้... ทั้งที่ทุกอย่างออกจะชัดเจน




ผมชอบผู้หญิง และคิดว่าตัวเองยังชอบผู้หญิงมาตลอด

เพราะแบบนั้นถึงได้ตกใจที่อยู่ๆ วันหนึ่งตัวเองก็เผลอใจมองผู้ชายขึ้นมา

ไม่ได้รังเกียจ... เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไม

ตอนแรกคิดว่าเพราะไอ้ตี๋มันหน้าตาน่ารัก มองทีไรก็ไม่อยากละสายตา แต่ยิ่งได้รู้จัก ก็รู้ว่ามันมีอะไรที่มากกว่าหน้าตา นิสัยปากร้ายแต่ใจดี ชอบตีหน้าบึ้งใส่ แต่ผมก็รู้ว่ามันจริงใจกับผมแค่ไหน กับคนอื่นที่มักจะปั้นหน้ายิ้มให้ เหมือนเสแสร้งแต่ผมก็รู้ว่ามันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่เพียงปกป้องตัวเองไม่ให้กลับไปอยู่ในวันร้ายๆ แบบที่เคยเจอ

เป็นคนที่ภายนอกดูสดใส แต่ในแววตากลับฉายความเหงา... ความเศร้าที่ผมไม่อาจสัมผัสได้

คิดมาตลอดว่าเพราะแบบนั้นก็เลยสงสาร รู้สึกผิดที่เคยอยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่กลับไม่เคยสนใจ ไม่เคยช่วยอะไรมันได้ ซ้ำยังเป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของปมในใจที่จนป่านนี้ก็ยากที่จะบอกได้ว่าหายดีหรือยัง

รู้สึกผิด อยากจะรับผิดชอบ อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข จนพยายามพาตัวเองเข้าไปหลังเส้นที่มันขีดไว้...กระทั่งหลงลืมเจตนาที่ตั้งใจ พอได้เข้าใกล้ ก็ยิ่งอยากจะใกล้มากกว่า ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าขาตัวเองตกลงมาในหลุมลึกที่ยากจะกลับหลัง

นานวันก็ยิ่งรู้ว่าความรู้สึกมันไปไกลกว่าแค่สงสาร หรือรู้สึกผิด... ยังมีอีกหลายอย่างปะปนอยู่ในนั้น

ชัดเจนขึ้นทุกวันจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป

อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียง อยากกวนตีนให้มันถอนหายใจใส่ซ้ำๆ ยิ่งถูกตีหน้าบึ้งใส่ก็ยิ่งชอบใจ... เพราะมันทำให้รู้ว่าพอไอ้ตี๋ยิ้มให้ หัวใจของผมเต้นแรงขนาดไหน... รอยยิ้มที่มีอิทธิพลกว่าที่ตัวเองเข้าใจ ได้เห็นครั้งหนึ่งก็เฝ้ารออยากจะเห็นครั้งต่อไป

และถ้าเป็นไปได้... ก็อยากจะครอบครองรอยยิ้มนั้นไว้แค่คนเดียว

ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดที่ถูกเก็บงำไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จนกระทั่งคืนนั้น...

คืนที่กำแพงของผมพังทลาย เหมือนกล่องแพนโดร่าที่ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เพียงเพราะสัมผัสเดียว

สัมผัสที่ลึกล้ำเกินตั้งใจ ทว่าหอมหวานกว่าที่เคยจินตนาการ เหมือนก้าวเข้าไปยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความฝัน สุขสมเหมือนได้ขึ้นสวรรค์... แต่ในขณะเดียวกันก็ทรมานด้วยรสชาติของความจริง

ความจริงที่ว่านั่นไม่ใช่สวรรค์ที่คนเห็นแก่ตัวอย่างผมจะอาจเอื้อม

ทั้งที่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่านี่คือผลของสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าการกระทำทุกอย่างที่อยู่เหนือความยับยั้งชั่งใจ... ล้วนเกิดจากความต้องการลึกๆ ของหัวใจตลอดมา

ยิ่งทบทวนก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งเดียวที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำได้ คือการกระชากความรู้สึกที่เคยซ่อนไว้ในใจออกมาอย่างไร้การปิดบัง ดังนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เวลาย้อนกลับได้ ผมก็คงจะทำมันลงไปอีก โดยไม่คิดจะไตร่ตรองใดๆ ...

ปล่อยให้ไฟปรารถนาควบคุมร่างกายอย่างสิ้นเชิง

“หมดสภาพเลยนะมึง” เสียงเพื่อนรักเอ่ยทักทายหลังจากที่ผมเปิดระตูให้และถูกมองหัวจรดเท้าอย่างระอาใจ

“มึงมาทำไม” ถามขณะเดินนำเข้ามาในห้องทิ้งตัวนั่งบนโซฟาใหญ่ที่ใช้ซุกหัวนอนต่างเตียง

เพราะเคยชินกับการนอนบนโซฟาแคบๆ จากห้องของอีกคน พอต้องกลับมานอนห้องตัวเอง ถึงได้ใช้มันเป็นตัวผสานความรู้สึกให้เหมือนได้อยู่ในห้องนั้นอีกครั้ง

“น้องนายบอกให้ช่วยมาตาม” ไอ้ตรีว่าพลางขยับเข้ามายืนกอดอกค้ำหัวกัน “มึงเป็นอะไร ทำไมไม่ไปทำงาน”

“กูป่วย” ตอแหลตอบไป ก่อนจะจับชายผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวไว้ กดเลื่อนช่องทีวีที่นั่งจ้องมาทั้งวันแต่ไม่ได้โฟกัสอะไร จนมาหยุดอยู่ตรงช่องที่ฉายหนังที่เคยชอบพอดี

Love Rosie...

รีบปิดทันทีพร้อมกับโยนลงไปในลิสต์ของหนังที่ไม่คิดจะดูอีกต่อไป ไม่ใช่แค่เพราะพระเอกแม่งโง่ชิบหาย แต่เพราะมันเตือนให้นึกถึงคนที่กำลังทรมานผมด้วยความคิดถึงแทบบ้าตาย

“เมาเหรอ?” มันถาม ยื่นหน้าเข้ามาดมตัวผมก่อนจะถอยกลับไป “ก็ไม่ได้กลิ่นเหล้านี่หว่า”

เออ จะได้กลิ่นได้ไง ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลย

แตะไม่ได้ เมาไม่ได้... ถ้ากินเข้าไปต้องใช้เป็นข้ออ้างเพื่อไปหาแน่

ถึงอยากเจอหน้าแค่ไหนก็ต้องห้ามใจไว้ ไม่อยากถูกเกลียดยิ่งกว่าเดิม ไม่อยากถูกผลักไสไปตลอดกาล... ถ้าเป็นแบบนั้นคงได้ตายจริงๆ

“น้องบอกว่ามึงกับโชมีปัญหากัน ปัญหาอะไร?” ถูกยิงคำถามนี้อีกครั้ง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง

“...”

“ไอ้ซัน”

 “มึงกลับไปได้แล้วไป ไม่งั้นกูจะฟ้องพี่เชนว่ามึงมาอ่อยกูถึงห้อง” พอตอบไม่ได้ผมเลยงอแง

“พี่เชนรออยู่ข้างล่าง” แต่ไอ้ตรีกลับไม่สะทกสะท้าน

“...”
   
“ฝากมาบอกมึงด้วยว่าอย่าโง่นัก” ด่าหน้าตายก่อนจะเบียดลงมานั่งข้างปลายเท้าผม กอดอกมองมาอย่างไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้คำตอบ

“ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ไม่รู้ว่าพอคบกับพี่เชนแล้วซึมซับความโหดมาหรือยังไง ออร่าความน่ากลัวของไอ้ตรีถึงได้เหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเลเวล

“ไม่มีอะไร” แต่ผมก็ยังดื้อด้านดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงหนีปัญหามันซะเลย

ต่อให้เป็นไอ้ตรี ก็ไม่รู้จะอธิบายถึงสิ่งที่ตีรวนอยู่ในหัวผมจนยุ่งเหยิงยากจะเข้าใจนี่ยังไง

“ไอ้ซัน กูเพื่อนมึงนะ”

“...”

“โชก็เพื่อนกูเหมือนกัน”

“มันเป็นไงบ้าง... กลับมาทำงานหรือยัง?” พอได้ยินชื่อคนที่คิดถึงอยู่ทุกวัน ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“ยัง” มันตอบก่อนจะถอนหายใจ “เหมือนจะไม่สบาย”

ผมชะงักไป ก่อนจะโงหัวขึ้นมามองหน้าคนส่งสารอย่างต้องการคำอธิบาย “มันเป็นอะไร”

ไอ้ตรีส่ายหน้า “ไม่รู้ ที่แน่ๆ คงไม่ได้ป่วยการเมืองแบบมึง”

ผมไม่ได้สนใจคำประชดประชัน หัวใจกำลังสั่นไหวจนสัมผัสได้

ทั้งที่ผมถอยออกมาเพราะกลัวว่าการทู่ซี้ไปรอเจอหน้ามันจะทำให้ไอ้ตี๋ไม่สบายใจ แล้วนี่อะไร ทำไมถึงมีข่าวว่าไม่สบายกายขึ้นมาอีกวะ

“ไอ้ตรี” ผมลุกขึ้นมานั่ง ยกมือกุมขมับอย่างไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

แค่คิดว่ามันกำลังไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ก็เริ่มทรมานในอกขึ้นมาอีกแล้ว “มึงไปหามันหน่อยได้มั้ย”

“...”

“ไปดูมันให้กูที”

อย่างน้อยถ้าเป็นไอ้ตรี ก็คงไม่ถูกผลักไส ดีไม่ดีมันอาจจะมีกำลังใจ หายป่วยไวขึ้นก็ได้... ใช่มั้ย?

“ไม่เอา” แต่คำขอร้องของผมกลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมไม่ไปดูเอง”

ไอ้ตรีขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่เข้าใจ เมื่อผมส่ายหน้า สบตากลับไปด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย

“กูไปไม่ได้... ยังไปตอนนี้ไม่ได้”

“ไอ้ซัน...” คงเพราะจับอะไรได้จากแววตา สีหน้าไอ้ตรีถึงได้เปลี่ยนไป “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

คราวนี้มันไม่ได้ใช้น้ำเสียงคาดคั้น แต่กลับแสดงความเป็นห่วงชัดจนผมเงียบไป

“กู...” สีหน้าที่ทำให้ผมไว้ใจ และยอมสารภาพสิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจมาหลายวันให้ฟัง “กูเผลอทำไม่ดีกับไอ้ตี๋”
   
“เรื่องไม่ดีอะไร?”

“กูทำเรื่องฝืนใจมัน”

“เรื่องฝืนใจ? หมายถึง...”

“...”

“ไอ้ซัน!” คงเพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ถึงไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น แค่สบตากันไอ้ตรีก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร มันเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“กูไม่ได้ตั้งใจ... ไม่สิ กูตั้งใจ” ผมพูดกลับไปมา พร้อมกับยกมือกุมขมับอีกครั้งอย่างสับสนในตัวเอง “วันนั้นกูเมา แต่กูมีสติ มึงเข้าใจมั้ย”

“...”
   
“กูรู้ว่ากูทำอะไร แต่กูควบคุมไม่ได้... ไม่ได้อยากควบคุมด้วยซ้ำ”

“มึงทำ... จริงๆ เหรอ?” ไอ้ตรีเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด ถึงได้ถามย้ำ และผมก็ยืนยันด้วยการพยักหน้าตอบไป

“ทั้งที่เขาไม่เต็มใจเหรอ?”

“...” คราวนี้ผมตอบไม่ได้

ไม่รู้ว่าการไม่ขัดขืนคือความเต็มใจมั้ย รู้แต่ว่าสายตาที่มันมองผมหลังจากตื่นขึ้นมามีแต่ความเจ็บปวดแค่ไหน เป็นสายตาแบบที่ผมบอกตัวเองมาตลอดว่าไม่อยากเห็น ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นต้นเหตุเสียเอง

ทั้งที่เฝ้าถะนุถนอมมาตั้งนาน แต่กลับเป็นคนทำร้ายมันอย่างไม่น่าให้อภัย

“แล้วทีนี้จะทำยังไง” ไอ้ตรีขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ได้ คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมาย

“กูไม่รู้” ผมถอนหายใจเบาๆ “กูอยากรับผิดชอบความรู้สึกไอ้ตี๋... แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง มันไม่ให้โอกาสกูได้อธิบายอะไรเลย” ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ อย่างจนปัญญา นึกถึงคำพูดทุกคำที่ไอ้ตี๋พูด แล้วรู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“มึงจะอธิบายอะไร?”

“...”

“มึงทำแบบนั้นลงไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะเมา” ไอ้ตรีขมวดคิ้วถามอย่างคาดคั้น ด้วยสีหน้าหนักใจ คงเพราะผมเอาแต่พูดวกไปวนมาอย่างหาทางออกไม่ได้ มันถึงพยายามจะช่วยกระตุ้นให้

“กู...อยากรู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมัน” ผมเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสารภาพออกไปตามตรง รู้สึกหมดหนทางจนต้องยื่นมือออกไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคน

“...”

“มึงก็เห็น... หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับไอ้ตี๋... มันแปลก... เป็นความแปลกที่กูคิดว่าเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย มึงเข้าใจกูมั้ย”

“เข้าใจ” ไอ้ตรีขยับเข้ามาใกล้ ตบบ่าผมเบาๆ สายตาที่มองมาบ่งบอกว่าไม่ได้ตอบไปงั้นๆ มันเข้าใจจริงๆ และอาจจะเข้าใจตัวผมมากกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ

“กูไม่ได้รังเกียจนะ แต่ไม่รู้ว่ะ กูไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความรู้สักตัวเองได้”

“...”

“กูสับสน อยากรู้ว่ามันคืออะไร อยากแน่ใจ...” ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง ขณะพรั่งพรูความรู้สึกออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง

“แล้วมึงแน่ใจหรือยัง”

คำถามของไอ้ตรีทำให้ผมชะงัก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “แน่ใจ ไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อนเลย”

“...”

“กูควรทำยังไงดี ตอนนี้กูไม่รู้แล้วว่าจะสู้หน้ามันยังไง” ความผิดที่ทำไว้ มันเลวร้ายจนตัวเองยังไม่อยากจะให้อภัย

“แล้วมึงจะหนีแบบนี้ต่อไปเหรอ?”

“...”

“ทนได้เหรอถ้าไม่ได้เจอหน้าอีก”

ผมส่ายหน้ารัวโดยไม่ต้องหยุดคิด “ไม่ได้... แบบนั้นกูคงไม่ไหว”

แค่ตอนนี้ก็ทรมานจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

“งั้นคำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” มันว่า มองหน้าผมแล้วส่งยิ้มจางๆ มาให้ด้วยสายตาที่เหมือนจะช่วยชี้ทางออกจากเขาวงกตอันซับซ้อนนี้ให้...

ทางออกที่อยู่ตรงหน้าผมมานานแต่ไม่ยอมก้าวออกไป เหมือนเด็กขี้ขลาดที่ถ้าไม่มีคนดันหลังก็จะไม่ยอมเดินหน้าไปไหน

“ไอ้ตรี”

“...”

“กูรักไอ้ตี๋ว่ะ... รักจริงๆ” ยอมจำนน สารภาพหมดเปลือกอย่างไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก

พอได้ยินแบบนั้นไอ้ตรีก็หัวเราะเบาๆ “รู้แล้ว คนเขาดูออกกันทั้งบาง มีแต่มึงนั่นแหละที่งั่ง ไม่รู้ใจตัวเองสักที”
ผมยิ้มออกมาบ้าง นึกขำในความโง่เง่าของตัวเอง

“มีคนนึงที่ยังไม่รู้” แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความหวั่นใจ “กูบอกมันได้มั้ย?”

“...”

“ถ้าขอโอกาส มันจะให้กูหรือเปล่า”

“มาถามกูแล้วได้อะไร”

“กูกลัว... กลัวว่ามันจะยังตัดใจจากมึงไม่ได้ กลัวว่ามันจะยังไม่อยากมีใคร... กลัวว่าถ้าสารภาพออกไป แล้วมันจะหนีกู...”

ไอ้ตรีมองหน้าผมนิ่งพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจ

“มึงรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงกลับมารู้สึกสบายใจกับโชได้”

ผมส่ายหน้า ไม่แน่ใจว่ามันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทำไม แต่ก็รอฟัง คงเพราะรู้ว่าคำพูดของมันจะยืนยันบางอย่างให้ผมมั่นใจ

“เพราะมึงไง”

“...”

“เพราะมีมึงกูถึงเห็นโชยิ้มได้ เพราะมีมึงกูถึงมั่นใจว่าโชจะตัดใจจากกูได้”

“...”

“คราวนี้ก็เหมือนกัน ถึงมึงจะเผลอข้ามขั้นไปหน่อย แต่ตอนนี้มึงรู้ใจตัวเองแล้ว กูเชื่อว่ามึงจะแก้ไขทุกอย่างได้”

“...”

“บนโลกนี้ ถ้าไม่ใช่มึงกูก็นึกไม่ออกแล้วว่าใครจะทำให้โชมีความสุขได้อีก... มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย”

ผมนิ่งไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเมื่อคิดตามได้ ไอ้ตรีจึงยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสบายใจ

“ทีนี้มึงได้คำตอบหรือยังว่าต้องทำยังไงต่อไป”

“อืม” คราวนี้ผมตอบได้อย่างง่ายดาย เพราะมีคำตอบเดียวที่อยู่ในใจ

เดิมที... มันคือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอด เพียงแต่วิธีการมันยังไม่ใช่... แต่คราวนี้สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ มันต่างออกไป
ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองจะแก้ไขทุกอย่างได้เหมือนที่ไอ้ตรีพูดมั้ย ไม่แน่ใจสักนิดว่าไอ้ตี๋จะให้อภัย

แต่สาบานว่าผมจะทำทุกทางเท่าที่จะทำได้

หลังจากนี้ผมจะทำให้ไอ้ตี๋มีความสุขให้ได้... ด้วยตัวผมเอง







----------------------------------------------------------------
เขียนตอนนี้แล้วก็ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าซันนี่มันหลงตี๋จริงๆ นะ
หลงขนาดนี้ทำไมไม่รู้ตัววะ 55555

ตอนแรกตั้งใจจะอัพอาทิตย์ละตอน เพราะกำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน
แต่เอาเข้าจริงก็ค้างเองจนต้องรีบมาเขียนต่อซะงั้น ฮืออ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ
ตอนหน้าจบพาร์ทหลังตะวันแล้ววว มานับถอยหลังรอกินของหวานกันเถอะค่ะ 55555

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมานะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-06-2017 22:10:03
ไปค่ะซันนนน จัดการ !!  :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 14-06-2017 22:46:19
รีบไปง้อเรวๆเลยซัน
เรื่องแบบนี้ปล่อยไว้นานไม่ดี
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 14-06-2017 23:41:03
รู้ใจตัวเองสักทีนะ ไปง้อเร็ววว
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Preenp ที่ 15-06-2017 01:07:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-06-2017 17:32:16
โอยยย ซันรีบไปหาโชเลยยยยย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: xxhelloworld ที่ 15-06-2017 17:36:39
ซัน! วิ่งดิซันวิ่งงงงง!  :z3:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ▲TEACHCHY▼ ที่ 15-06-2017 22:39:26
เราเคยอ่านเชนตรีเมื่อนานมาแล้วเลยไม่คิดว่าจะมีภาคต่อของคู่นี้
ทั้งที่ชื่อเรื่องก็คล้ายไหนจะ #ซันโช นั่นอีกทำไมเราไม่เอ๊ะใจเลยนะ
เกือบพลาดแล้วไหมล่ะ :katai1:

เราติดตามนะคะ แม้จะเข้ามาอ่านช้าไปนิด
สนุกดี ชอบตอนจูบกันมากกก ซันมันต้องหลงตี๋มากๆแน่เลย
ขอให้ถึงเวลาหวานเร็วๆ อิอิ
น้องตี๋น่ารัก เรื่องสังคมโซเชี่ยวที่น้องกำลังเจออยู่นี่ทำเรารู้สึกแย่มากเลยค่ะ
อินมาก คือไม่เคยโดนหรอกแต่เห็นบ่อยมาก
คือที่พิมพ์ๆว่าเขาน่ะไม่รู้หรอกว่าทำร้ายเขามากขนาดไหน  :angry2:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 16-06-2017 11:48:27
ซันวิ่งสิวิ่ง
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 5 [ 14/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 16-06-2017 14:32:44
ซันวิ่งสิวิ่ง
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-06-2017 13:48:52
หลังตะวัน : 6

   
รู้แล้วว่าต้องทำยังไง แต่มันง่ายที่ไหน แค่ควานหาคำทักทายในหัวยังไม่เจอเลย
   
ผมควรเริ่มยังไงดี
   
ผมเดินวนไปวนมาอยู่หน้าหอไอ้ตี๋ มองขึ้นไปยังระเบียงห้องบนชั้นที่จำได้ดีว่ามีคนที่อยากเจออยู่ในนั้น แสงไฟจากในห้องส่องสว่างชัดมาจนถึงระเบียงเมื่อพระอาทิตย์บอกลาท้องฟ้าไปแล้ว วันนี้ไอ้ตี๋มีเรียนแค่ครึ่งวัน และปกติตอนนี้ก็คงจะเตรียมตัวไปทำงาน แต่ไอ้ตรีเพิ่งบอกว่ามันไม่สบาย... บางทีอาจจะนอนซมอยู่บนเตียงทั้งวัน ด้วยความดื้อด้านของมันที่ถ้าไม่อาการหนักจริงๆ ก็คงไม่ไปโรงพยาบาล
   
เวร ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรน ใจแม่งเข้าไปอยู่ในห้องแล้ว แต่เท้ามันไม่ยอมก้าวไปไหนสักที
   
ปกติผมขี้ขลาดขนาดนี้เลยเหรอวะ ให้ตาย!
   
ผมเดินวนไปวนมาอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ขยำหัวตัวเองจนใกล้พัง ก่อนจะถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน กุญแจกับคีย์การ์ดสำรองที่เคยจิ๊กไว้ยังคงมีประโยชน์จนกระทั่งผมเดินออกจากลิฟต์และเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องอันคุ้นเคย
   
รู้ดีว่าไม่ควรถือวิสาสะไขเข้าไป จึงได้แต่เคาะแล้วถอยออกมา
   
“...”
   
ยืนรออยู่นานแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีคนเปิดประตู
   
ก๊อกๆๆ
   
ตัดสินใจเคาะอีกครั้งด้วยความดังที่มากกว่าเดิม 

และคราวนี้ในความเงียบงันผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากอีกฝั่งของประตู
   
หัวใจมันเต้นรัวตามระยะห่างของเงาที่เข้าใกล้มา แต่แล้วก็เหมือนจะหล่นวูบลงไปเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ายืนนิ่ง ค้างอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน
   
“ตี๋” และเมื่อได้ยินว่าคนอีกฝั่งขยับ แสงที่ลอดผ่านบานประตูเริ่มวูบไหวอีกครั้ง ผมก็เรียกรั้งเอาไว้ก่อนที่มันจะหนีไป

“กูรู้นะว่ามึงอยู่ตรงนี้” มองที่ตาแมว และคิดว่าคนข้างในก็อาจจะกำลังใช้มันมองมายังผมเช่นกัน แม้จะไม่ยอมตอบอะไรกลับมาสักคำก็ตาม
   
“ไหนมึงบอกจะรอคำตอบไง” อ้างคำพูดของมันที่เคยทิ้งไว้ในวันสุดท้ายที่เจอกันขึ้นมา หวังว่าจะเป็นประเด็นที่ใช้ในการรั้งมันเอาไว้ได้

“...”

“ไหนบอกจะให้กูเลือก ว่าจะให้ลืมเรื่องคืนนั้นไป หรือจะไม่มาเจอหน้ามึง”
   
“...”
   
“แล้วทำไมถึงเป็นฝ่ายหนีไปเอง” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงถึงความโกรธหรือไม่พอใจ แต่เจือไปด้วยความน้อยใจชัดเจน
   
“...”
   
แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ยังคงเงียบสนิท

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ บอกตัวเองว่าไม่ควรเร่งเร้า ก่อนจะก้าวถอยหลัง วางกุญแจสำรองห้องมันไว้ที่หน้าประตู
   
“วันนี้มึงจะไม่เปิดก็ได้ แต่พรุ่งนี้กูจะมาใหม่...”

“...”

“จะมาทุกวันจนกว่ามึงจะยอมฟังคำตอบจากกูจริงๆ” ตั้งใจจะให้เห็นเจตนาว่าต่อให้ผมไขเข้าไปเองได้ แต่ผมพร้อมจะรอ... รอให้มันเป็นฝ่ายเปิดรับผมเข้าไปอีกครั้ง เหมือนกับคราวที่มันยอมให้ผมก้าวเข้าไปเข้าใจความเศร้าของมันอย่างเต็มใจ
   
แกรก
   
ไม่คิดว่าจะได้ผล จนกระทั่งหมุนตัวทำท่าจะกลับ เสียงลูกบิดที่รอฟังก็ดังขึ้นเรียกให้ผมชะงักฝีเท้าหันกลับไปมอง
   
หัวใจเหมือนจะรัวกลองได้ตอนที่เห็นประตูค่อยๆ เปิดออก แต่เพียงแวบเดียวก็คล้ายกับใจจะสลาย ตอนที่เห็นว่าเจ้าของใบหน้าที่ผมกำลังโหยหามีสภาพย่ำแย่แค่ไหน... ร่างกายที่ดูผอมบางอยู่แล้วยิ่งดูซูบลงกว่าครั้งล่าสุดที่เจอจนสังเกตได้ ดวงตาใต้กรอบแว่นหนาดูบวมแดง และใบหน้าขาวก็ซีดเซียวดูไร้เรี่ยวแรงจนน่ากลัวว่าจะล้มพับลงไป

ไอ้ตี๋ไม่สบายอย่างที่ไอ้ตรีว่าจริงๆ
   
“ตอบมาสิครับ” ผมแทบไม่ได้สนใจประโยคที่เอ่ยออกมา สนแต่ว่าเสียงของมันแหบแห้งขนาดไหน ในใจคิดแต่ว่าอยากกอด อยากเข้าไปใกล้ๆ... อยากจะทำอะไรให้มันกลับมาสดใสได้เหมือนเดิม
   
แต่แค่จะยื่นมือออกไปแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิร่างกายยังไม่กล้า
   
ผมแม่ง โคตรขี้ขลาดเลยจริงๆ
   
“ตี๋” ผมครางชื่อมันเสียงแผ่ว คิ้วขมวดแน่นมองเจ้าของดวงตาคู่สวยที่โหยหามาหลายวัน

“มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะครับ” แต่มันกลับหลบสายตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบที่ไม่เคยได้ยิน

ถึงปกติมันจะไม่ได้พูดดีๆ กับผมนัก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป... กลายเป็นน้ำเสียงที่แสดงความผลักไสอย่างชัดเจน

“โกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มขืนๆ กับตัวเอง ก่อนจะถามออกไป หัวใจทวีความปวดหนึบขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าของมัน

“เกลียดกูมากเลยใช่มั้ย?”

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ก็กลับไปเถอะครับ” ว่าจบก็ทำท่าจะเดินเข้าห้องไป แต่ผมก็ไวพอที่จะรั้งแขนมันไว้ และสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ผิดปกติชัดเจน

ไม่ได้ร้อนจัดถึงขนาดมีไข้ แต่ก็สูงกว่าคนทั่วไปจนรับรู้ได้ผ่านฝ่ามือ

“ได้ยินว่ามึงไม่สบาย” ผมยอมปล่อยมือออกเมื่อเจ้าของแขนบางหันกลับมามองด้วยสายตาที่ทวีความเย็นชา แต่ก็ยังสู้สบสายตาเพื่อให้รู้ว่าผมมาด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง

“ครับ” มันตอบ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวและมือข้างหนึ่งยังจับอยู่ที่ประตู “ผมอยากพักผ่อน ช่วยกลับไปก่อนเถอะครับ”

“ตี๋ อย่าหนีกูแบบนี้” พอมันทำท่าจะหนี ผมก็ยื้อต่ออีกครั้ง ไอ้ตี๋จึงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

“ผมเปล่าหนี”
   
“แล้วที่ทำอยู่นี่อะไร”

“...” คราวนี้มันชะงักไป ให้คำตอบไม่ได้ เพราะเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการหลบหน้าผมจริงๆ

“กูขอโทษ... ขอโทษจริงๆ แต่อย่าหลบหน้ากูแบบนี้” เอ่ยคำเดียวที่วนอยู่ในใจเป็นพันๆ ครั้งพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับต้นแขนที่ผ่ายผอมจนแทบจะกำได้มิดในมือเดียว

“...”

“ให้กูรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำได้มั้ย”

“พอได้แล้วครับ” มันถอนหายใจหนักๆ ออกมา มองมือของผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
คล้ายจะโกรธ แต่ก็ดูสับสน ไม่เข้าใจ และแฝงไปด้วยความเจ็บปวดลึกๆ ข้างใน

“ที่ผมพูดไปคราวก่อนไม่เข้าใจเลยเหรอ”

“...”

“คุณจะรับผิดชอบยังไง คบกับผมงั้นเหรอ? หรือว่าแต่งงาน” มุมปากบางแสยะยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกจากมือผมไป “ก่อนจะพูดออกมา คิดบ้างหรือเปล่าครับว่ามันหมายความว่ายังไง”

“...”

“รับได้แล้วเหรอครับที่ตัวเองมีอะไรกับผู้ชาย”

“ตี๋” ผมขมวดคิ้วเรียก หวังให้มันหยุดประชดประชัน

“รับได้เหรอครับที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักตลอดไป” แต่ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าก็ยังมองผมแล้วยิ้มหยัน ก่อนทำท่าจะถอยหลังเดินเข้าห้องไป

“...”

“ถ้ารับไม่ได้ ก็อย่าขอรับผิดชอบอะไรเลย” ประตูกำลังจะปิดลง และผมก็รู้ว่ามันคงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะพูดในสิ่งที่ตั้งใจ จึงรีบยื่นมือออกไปกันไว้ โดยไม่สนใจว่าบานไม้สีขาวจะหนีบเข้าที่แขนเต็มๆ

กึก!

“คุณซัน!” ไอ้ตี๋เปิดประตูออกมาอีกครั้ง สีหน้าตื่นตระหนกขณะดึงมือของผมขึ้นมาสำรวจบาดแผล แต่มันไม่ได้เจ็บอะไร ถึงจะขึ้นรอยแดง แต่ผมไม่คิดจะใส่ใจ เพราะมีสิ่งอื่นที่อยากพูดออกไปจนทนไม่ไหว

“รัก”

“...” คนตรงหน้าชะงัก ละสายตาจากแขนมามองหน้าผมอย่างงุนงงระคนตกใจ

“ไม่ใช่แค่รับได้... แต่เต็มใจรับผิดชอบเพราะรัก ได้ยินมั้ย” ผมขยับเข้าไปใกล้ เพื่อจะสบตาให้แน่ใจว่ามันจะเห็นความจริงใจของผมได้ชัดเจน

“นี่คุณ...เมาอีกแล้วเหรอ?” แต่คนตัวเล็กกว่ากลับหลบสายตาอีกครั้ง แววตาดูสับสนและหวั่นไหวในเวลาเดียวกัน

“เปล่า ไม่ได้เมา” ผมส่ายหน้ายืนยัน

จะให้พิสูจน์ยังไงก็ได้ แต่ผมแน่ใจว่าตัวเองกำลังมีสติครบถ้วยทุกประการ

“คืนนั้น... ระหว่างเรา กูก็ไม่ได้ทำไปเพราะเมา” คราวนี้ไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมามองผม สบตาด้วยความไม่เข้าใจ

“พะ...พูดอะไรออกมา” เสียงของมันเริ่มสั่น ก้าวถอยหลังทำท่าจะหนีอีกครั้งแต่ผมก็รั้งแขนมันไว้ อยากจะดึงมากอดด้วยซ้ำแต่ก็รู้ว่ายังทำไม่ได้ จนกว่าจะพูดให้มันเข้าใจ

“ตี๋ ฟังกูนะ ฟังกูก่อน” ผมขอร้อง สบตาดวงตาที่กำลังวูบไหวอย่างเว้าวอน “กูขอโทษที่ทำแบบนั้น ขอโทษที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ... แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างที่ทำเพราะกูตั้งใจ”

“...”

“มันโคตรเห็นแก่ตัวที่กูพิสูจน์หัวใจตัวเองด้วยวิธีแบบนั้น แต่ขอโอกาสให้กูได้มั้ย ให้กูได้แก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำได้มั้ย”

“คุณซัน...”

“ที่มึงให้กูเลือก บอกเลยว่ากูเลือกไม่ได้... ไม่ว่าจะข้อไหนก็เลือกไม่ได้ทั้งนั้น”

“...”

“กูลืมเรื่องคืนนั้นไม่ได้ พอๆ กับทนคิดถึงมึงไม่ได้ ถึงได้หน้าด้านโผล่หัวมานี่ไง”

“ดะ...เดี๋ยว”

“ตี๋...”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น!” มันขึ้นเสียง สะบัดแขนออกจากมือผม ถลึงตามองมาด้วยความสับสนจนสะท้อนออกมาในแววตา

“...”

“ตั้งใจจะทำอะไรครับ” คิ้วขมวดเข้าหากัน ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูคล้ายกับจะร้องไห้เต็มทน “กำลังล้อเล่นอะไร”

“ไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้คิดจะล้อเล่นเลยสักนิด” ผมยืนยันด้วยสีหน้าจริงจัง “กูรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่ตอนนี้กูแน่ใจ... แน่ใจยิ่งกว่าอะไร”

“...”

“กูเคยปฏิเสธไอ้ตรี เพราะไม่ได้ชอบผู้ชาย... แล้วดูตอนนี้ดิ คนที่กูตกหลุมรักหัวปักหัวปำดันเป็นผู้ชาย... ดันเป็นมึง” ยิ้มจางๆ อย่างนึกสมเพชที่กลืนน้ำลายตัวเองเข้าอย่างจัง ก่อนจะสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง ด้วยความจริงใจทั้งหมดที่มี

“กูรักมึง ตี๋”

“นะ... นี่มันอะไรกัน...” แต่พอได้ยินคำสารภาพ ไอ้ตี๋ก็ยิ่งดูตกใจและทวีความสับสนเกินกว่าจะบรรยาย “คุณกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร”

“ตี๋...” ผมกำหมัดแน่น รู้สึกปวดไปหมดทั้งใจเมื่อพบว่ามันไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดออกไป “กูรู้ว่ากูเห็นแก่ตัว กูทำมึงเสียใจ หน้าด้านแค่ไหนที่ยังกล้ามาพูดแบบนี้กับมึง แต่กูไม่อยากเสียมึงไปจริงๆ”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะครับ” มันขมวดคิ้วมองผมด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

ผมส่ายหน้ารัว ไม่คิดจะหยุดคำพูดที่พรั่งพรูเข้ามาในหัว เพราะหวาดกลัวเหลือเกินว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย และถ้าไม่พูดทั้งหมดออกไป ก็คงไม่ได้พูดอีกเลยตลอดกาล

“ให้โอกาสกูนะตี๋ มึงอาจจะยังตัดใจจากไอ้ตรีไม่ได้ หรือมึงอาจจะยังไม่อยากมีใคร แต่กูไม่สนใจอะไรแล้ว กูรักมึง ได้ยินมั้ย”

“พอได้แล้วครับ”

 “กูผิดเองที่ไม่ได้เจอมึงเร็วกว่านี้ ไม่ได้เจอมึงก่อนที่มึงจะรักไอ้ตรี ไม่อย่างนั้นกูคงทำให้มึงรักกูแทนได้ กูมั่นใจ” พูดพล่าม อวดอ้างออกไป ทั้งที่กำลังกลัวจับใจว่าจะถูกผลักไส กลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากวันนี้

ถ้ามันหนีไปอีก ผมจะทำยังไง

“คุณซัน...”

คงทรมานกว่านี้อีกหลายเท่า... คงคิดถึงจนบ้าตายขึ้นมาจริงๆ

“ตอนนี้มึงอาจจะโกรธกู เกลียดกู แต่อย่าไล่กูไปเลยนะ ให้กูอยู่ข้างๆ เหมือนเดิมได้มั้ย... ให้กูรอก็ได้ นานแค่ไหนก็ได้ แต่กู...!”

กำลังอ้อนวอน ขอร้องอย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ แต่กลับถูกหยุดคำพูดทุกอย่างไว้... ด้วยริมฝีปากของอีกคน
   
ริมฝีปากร้อนจัดที่ทาบทับลงมาแนบสนิท กดเน้นราวกับจะกลืนกินคำพูดทั้งหมดลงไป ทำให้ผมได้แต่ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น

ตกใจ... ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายกลับทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม กับรสจูบชวนฝันที่ไม่ต่างจากคืนนั้น
   
นี่มัน... อะไรกัน
   
“บอกให้หยุดได้แล้วไง” เมื่อถอนริมฝีปากออก คนตัวเล็กก็เงยหน้ามองผมด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย มือบางข้างที่ไม่ได้ถือแว่นไว้กำปกเสื้อผมไว้แน่น คล้ายกับกำลังตกใจ และมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน
   
“โช...” เนิ่นนานกว่าผมจะหาเสียงตัวเองเจอ เผลอเรียกชื่อจริงของมันออกไปแผ่วเบา ในขณะที่คนตรงหน้าหลบสายตาพลางพูดพึมพำ

“ทำไม ใจร้ายขนาดนี้”

“...”
   
“ทำไม...ถึงเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ครับ” เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจ ว่ามันมีบางอย่างที่ผิดพลาดไประหว่างเรา
   
ความผิดพลาดที่เกิดจากความโง่และขี้ขลาดของผมเอง

“ผมคิดมาตลอดว่าที่คุณนอนกับผมเพราะเสียใจจากคุณวี... แล้วนี่มันอะไร” แต่ตอนนี้ผมว่าผมเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร... รู้แล้วว่าจูบเมื่อกี้คืออะไร และความเจ็บปวดในแววตาที่ได้เห็นในวันนั้นมันหมายความว่ายังไง...

ไม่ใช่เพราะรังเกียจ... แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิด ที่คิดว่าผมยังรักใครอีกคน

“ผมเอาแต่บอกตัวเองว่าไม่ควรหวัง ไม่ควรรู้สึกอะไรกับคุณ เพราะคุณไม่มีทางชอบผู้ชาย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงได้...”
รู้แล้วว่าไม่ได้มีแค่ตัวเองที่รู้สึกไปอยู่ฝ่ายเดียว

“ตี๋...”
   
“รู้มั้ยครับว่าร้องไห้คนเดียวมันทรมานแค่ไหน...”
   
“...”
   
“แล้วทำไม... ฮึก... ทำไมถึงปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่ตั้งหลายวัน” 
   
“ตี๋” ผมดึงร่างบอบบางเข้ามากอดไว้แน่นเมื่อมันเริ่มสะอื้นไห้ ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
   
อยู่ๆ หัวใจที่เคยสั่นไหว ก็กลับมาเต้นรัวอีกครั้งเมื่อปะติปะต่อชิ้นส่วนที่ผิดพลาดเข้าด้วยกันใหม่จนได้ภาพที่สมบูรณ์ ความสุขเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาในใจ เมื่อไร้การปิดบังหรือความเข้าใจผิดที่ทำให้ต้องเก็บงำความรู้สึกอีกต่อไป
   
“กูไม่ได้รักวีแล้ว ไม่ได้สนใจใครทั้งนั้นนอกจากมึง ได้ยินมั้ย” พูดซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจ ขณะที่คนในอ้อมกอดเริ่มร้องไห้หนักกว่าเดิม
   
“คนใจร้าย... ทำไมถึง... ได้ใจร้ายขนาดนี้” ถูกคาดโทษซ้ำและไม่คิดจะแก้ตัว เพราะรู้ว่ามันเป็นความผิดผมเต็มๆ ที่ไม่ยอมพูดให้คนตรงหน้าเข้าใจ ไม่มีความกล้าพอที่จะอธิบายความรู้สึกตัวเองออกไปตั้งแต่ต้น ปล่อยให้ต่างคนต่างเข้าใจผิดอยู่ได้ตั้งนาน

โง่จริงๆ
   
อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ กับความงี่เง่าของตัวเอง ก่อนจะผละอ้อมกอดออกแล้วโน้มหน้าลงไปหาคนตัวเล็กกว่าจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน
   
“ตาช้ำหมดแล้ว” ว่าพลางปาดน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่หยุดออกให้อย่างแผ่วเบา
   
“อย่าร้อง”

“ฮึก...”

“ทำไมขี้แยขนาดนี้วะตี๋” ผมถามกลั้วหัวเราะแต่ยังไม่หยุดเช็ดน้ำตา

“แล้วมันเพราะใคร” เจ้าของดวงตาแดงช้ำเบะปากมองหน้ากัน ทำน้ำเสียงเอาแต่ใจทั้งที่ยังสะอื้นไม่หาย

“ขอโทษ ขอโทษนะ” ผมดึงมันเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง ลูบหลังปลอบประโลมพร้อมกับเอ่ยขอโทษซ้ำๆ อย่างรู้สึกผิดจับใจ จนคนในอ้อมแขนส่ายหัวไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยท่าทางงอแง

“คุณซัน...”

“...”

“ไม่เอาแล้วนะครับ... ไม่เอาแบบนี้แล้ว ไม่อยากทรมานขนาดนี้แล้ว”

“...”

“ผมตัดใจจากตรีได้แล้ว ตัดใจได้ตั้งนานแล้ว ได้ยินมั้ยครับ”

“...”

“เพราะงั้นไม่รอแล้วได้มั้ย ไม่ให้รออะไรทั้งนั้น... ฮึก” แล้วอยู่ๆ ก็กลับมาสะอึกสะอื้นยกใหญ่จนต้องมุดหัวกลับเข้ามาซบอกผมอีกครั้งด้วยความอาย ผมหัวเราะเบาๆ พลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จับตัวคนขี้แยโยกเบาๆ ก่อนจะกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่ม เอ่ยกระซิบรับคำ

“ไม่รอ... กูก็ไม่อยากรออะไรแล้วเหมือนกัน”

กอดปลอบสลับกับเช็ดน้ำตาให้อยู่อย่างนั้น โดยไม่คิดจะเร่งเร้าใดๆ

ปล่อยให้ร้องไห้จนพอใจ พร้อมสัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ไอ้ตี๋จะเสียน้ำตา





ใช้เวลาอยู่นานกว่าเสียงร้องไห้จะหยุดลง ผมพาไอ้ตี๋เข้ามาในห้องเพื่อพักผ่อน ในขณะที่ตัวเองก็นอนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการพูดคุย บอกสิ่งที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ออกไป เพื่อไม่ให้มีเรื่องที่เข้าใจผิด หรือคิดไปเองอีก พูดออกไปจนแน่ใจว่าไม่เหลืออะไรคั่งค้างอยู่ในใจ ก่อนต่างคนต่างเงียบแล้วเอาแต่นอนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ซึมซับความสุขใจที่เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงได้โดยไม่เสียอีกคนหนึ่งไป แถมยังได้รู้ว่าที่จริงแล้วใจตรงกันมาตั้งนาน

ดีจริงๆ ที่ตัดสินใจมา

“จูบได้มั้ย?” เอ่ยถามออกไปตามความรู้สึกหลังจากที่ไล่สายตามองใบหน้าใสอยู่นาน ไอ้ตี๋เบิกตากว้างยกมือปิดปากตัวเองไว้แล้วส่ายหน้ารัว

“ไม่ได้ครับ”

“อ้าว” ผมเหวอไป เพราะไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธทันควัน

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ” คนตรงหน้าขมวดคิ้ว สีหน้ายุ่งยากใจ หลบสายตาไปครั้งหนึ่งก่อนจะมองหน้าผมใหม่แล้วเอ่ยพึมพำ

“เดี๋ยวติดไข้”

พอได้ยินเหตุผลผมก็หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ กระซิบเสียงเบา

“ทีเมื่อกี้ยังจูบได้” ยิ้มมุมปาก ทวนความจำของคนป่วยที่ฉวยโอกาสจูบกันเพื่อให้ผมหยุดพูดพล่ามเรื่องไร้สาระ

“อันนั้นมัน...” สายตาหลุกหลิกเหมือนพยายามคิดคำแก้ตัว แต่คงคิดไม่ออก ถึงได้กลับมามองผมด้วยสีหน้าเอาแต่ใจ

“ลงโทษไงครับ” พึมพำทั้งที่ยังเอามือปิดปากตัวเองไว้ จนผมอดไม่ได้ที่จะกัดลงไปบนหลังมือด้วยความหมั่นไส้
ก็จริงของมัน ผมสมควรถูกลงโทษจริงๆ

แต่แค่นั้นมันจะไปพอได้ยังไง

“คุณซัน…!” สบโอกาสตอนที่ไอ้ตี๋ตกใจจนคลายมือออกพร้อมกับอ้าปากเตรียมด่ากันฉกฉวยริมฝีปากลงไปอีกครั้ง...บนริมฝีปากบาง
   
เจ้าของร่างบอบบางดูเหมือนจะตกใจ ทำท่าจะถอยหนีออกไปจนผมต้องใช้มือข้างหนึ่งรั้งเอวบางไว้ จนสองร่างแนบชิดกว่าเดิม บดจูบเนิ่นนานกระหวัดลิ้นดูดดุนราวกับตั้งใจจะกดซับความร้อนออกจากร่างกายอีกฝ่ายมากักเก็บบรรเทาไว้ที่ตัวเอง
   
ตักตวงจนคนในอ้อมกอดทักท้วงขออากาศหายใจ จึงได้ผละริมฝีปากออกมาแต่ยังคงแตะหน้าผากไว้กับหน้าผากร้อน ใช้นิ้วเกลี่ยคราบน้ำออกจากริมฝีปากหวานเชื่อมก่อนจะยิ้มยียวน
   
“งั้นให้ลงโทษสองครั้งเลย”
   
คนตัวเล็กกว่าถลึงตามองผมอย่างไม่พอใจ แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีจัดก็บ่งบอกว่าไม่ได้จริงจัง 

ไม่นานก็กลับมาทำสีหน้าอ่อนลงอีกครั้ง มือบางยกขึ้นมาเกลี่ยใบหน้าผมเบาๆ ไล่สายตามองตั้งแต่หน้าผาก ดวงตา จมูก ริมฝีปาก และปลายคางด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย เหมือนจะมีความสุข แต่ก็ยังไม่มั่นใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวั่นไหว ขณะเอ่ยคำถามออกมา
   
“พรุ่งนี้ถ้าตื่นมา คุณจะยังอยู่ตรงนี้มั้ย?”
   
ผมหัวเราะเบาๆ จับมือมันมากดจูบลงไปบนฝ่ามือก่อนจะพยักหน้า “อยู่ดิ”

“...”

“จะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ ต่อให้ถูกไล่ก็ไม่ไป จะหน้าด้านเกาะแกะมึงเป็นลูกลิงจนรำคาญตายไปเลย” ยืนยันด้วยคำพูดติดตลก แต่คนตรงหน้าคงมองออกว่ามันล้วนมาจากใจ ถึงได้คลายคิ้วที่ขมวดลง เผยยิ้มบางอย่างพอใจ

“นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไข้ขึ้นกันพอดี” ผมว่าพลางลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู

รู้แหละว่าร้องไห้ไปขนาดนั้น ถ้าไข้ขึ้นก็คงไม่แปลกอะไร วางแผนไว้ในใจแล้วว่าตื่นมาต้องพามันไปหาหมอให้ได้ แต่ตอนนี้คงต้องให้นอนพักผ่อนไปก่อนเพราะรู้ว่ามันคงดื้อไม่ยอมไป

“ครับ” รับคำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนอนลืมตามองหน้ากันไม่มีทีท่าว่าจะหลับตา

แล้วมาคงมาครับอะไร

“ถึงตาจะตี่แต่ก็แกล้งหลับไม่เนียนหรอกนะตี๋” ผมแซวกลั้วหัวเราะ จนถูกเบ้หน้าใส่ แต่แวบเดียวก็กลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้งด้วยสีหน้าคล้ายกับจะงอแง

“ซัน”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็เรียกชื่อโดยไร้คำนำหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับเข้ามาซุกหน้าลงกับอกแล้วยกเมื่อขึ้นมาโอบร่างผมไว้ ราวกับกลัวว่าจะหายไปจริงๆ

“ตี๋...”

“ปกติผมติดหมอนข้างน่ะครับ”

ขี้โม้สัส ในห้องนี้มีหมอนข้างสักใบที่ไหน
   
ผมหัวเราะออกมาเสียงดังกับความปากแข็งตีหน้ามึนของมัน วาดแขนกอดกลับไป กระชับอ้อมกอดแน่น พลางยกขาขึ้นมาก่ายบนกายบาง ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงไปบนกระหม่อมอย่างเอ็นดู เลื่อนริมฝีปากลงมาที่ข้างใบหูแล้วแกล้งกัดเบาๆ
   
“มึงนั่นแหละหมอนข้าง”




------------------------------------------
ขอหมอนข้างแบบตี๋หนึ่งอัตรา  :hao5:

ไม่คิดว่าตอนนี้จะเขียนยากเพราะเขียนร่างไว้เยอะมาก คิดว่าพอเขียนจริงคงแค่หยิบๆ มาใช้
แต่พอถึงเวลาต้องตัดออกไปหลายประโยคมากก เสียดาย
อยากให้จังหวะมันออกมาพอดี ไม่รีบเกินไป ไม่ช้าเกินไป ไม่ดราม่าจนแบบ... จะลีลาทำไม อะไรแบบนั้น 5555
ไม่รู้ว่าสื่อออกมาได้ดีแค่ไหน ยังไงก็ติได้เสมอเลยนะคะ

ตอนนี้เริ่มพาร์ทหลงตะวันแล้วล่ะ เป็นพาร์ทที่โนดราม่า และมีแต่ชูก้าร์ล้วนๆ เลยค่ะอยากจะเตือน 5555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-06-2017 15:42:57
เราพร้อมกระโจนลงหลุมรักน้องโชแล้ววว ลูกกกก ทำไมน่าเอ็นดูขนาดนี้  :ling1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-06-2017 17:57:51
อยากได้น้องตี๋มากกกอดเอง
นี่ถ้าซันไม่รู้ใจตัวเองเราแย่งละนะคะเนี่ย  :hao6:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 17-06-2017 20:10:55
จะหลงอะไรกันเบอร์นี้
หลงกกันมากกกกกกกกกกก  :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 18-06-2017 08:01:44
ในที่สุดตี๋ก้จะมีความสุขกะเค้าสักที
ดีใจๆ ขอแบบหวานๆ น้ำตาลทะลักเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-06-2017 11:56:52
ดีต่อใจมากๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลังตะวัน 6 [ 17/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 18-06-2017 12:27:50
น้องโซ พี่ว่างอยากเป็นหมอนข้างให้หนู...
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 19-06-2017 01:19:36
หลงตะวัน : 1

   
เช้ามาคนที่หายไปจากอ้อมกอดกลับเป็นอีกคน
   
ผมขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตา เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วไม่มีไออุ่นจากคนข้างกาย แต่พอลืมตาก็พบว่ามันไม่ได้หายไปไหน แค่ถอยห่างออกไปนอนตาแป๋วจ้องหน้ากันอยู่ที่ขอบเตียง
   
“...!” พอเห็นว่าผมลืมตาก็สะดุ้งนิดๆ กะพริบตาปริบๆ เหมือนถูกจับได้ ก่อนจะพลิกตัวหนีไปนอนหันหลังให้กันเฉยเลย
   
“เป็นอะไร” ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือออกไปรั้งคนตัวเล็กเข้ามาแนบกายเพราะเห็นว่าอีกนิดก็จะตกเตียง

“รังเกียจกันหรือไง” แกล้งถามไปอย่างนั้นพร้อมกับเกยคางไว้บนไหล่ เอียงคอมองใบหน้าที่คล้ายว่ากำลังมีบางอย่างอยู่ในใจ
   
“เปล่าครับ” รีบปฏิเสธทันควัน เอียงหน้ากลับมาหาผมในระยะที่จมูกชนกัน ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะตอบเสียงเบาเหมือนไม่มั่นใจ “กลัวว่าจะแปลกน่ะครับ”
   
“หือ? แปลกอะไร” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่คนในอ้อมกอดเบือนหน้าหนีไป พวงแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีจัดขึ้นมา
   
“คุณคงไม่เคยตื่นมาบนเตียงเดียวกับผู้ชาย”
   
หือ?
   
ผมชะงักกับคำตอบที่เหนือความคาดหมาย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
   
“เออ โคตรแปลก” อดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่อีกครั้งให้คนตัวเล็กเอียงหน้ากลับมาขมวดคิ้วมุ่นมองหน้ากัน แล้วฉวยโอกาสนั้นกดจูบลงไปบนริมฝีปากบาง แกล้งจนพอใจแล้วค่อยถอยใบหน้าออกมาสบตาคนที่ยังตกใจแล้วยิ้มกว้าง เอ่ยความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจออกมา
   
“แต่โคตรมีความสุขเลย” พูดจบก็ซุกซบใบหน้าลงกับไหล่บางอีกครั้งพร้อมกระชับอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม

สูดกลิ่นหอมกรุ่น ซึมซับไออุ่นจากร่างกายที่ช่วยเติมน้ำเลี้ยงหัวใจในเช้าวันใหม่ที่พิเศษกว่าวันไหนๆ ที่ผ่านมา

ลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่า คงมีความสุขเป็นบ้าถ้าได้ตื่นมาแล้วได้เจอหน้ามันเป็นคนแรกทุกวัน





ตอนกลางวันผมต้องพาไอ้ตี๋ไปหาหมอจนได้ เพราะหลังจากต่างคนต่างหลับไปอีกรอบคนในอ้อมกอดก็เหมือนจะตัวรุมๆ ขึ้นมา ตอนแรกยังทำเป็นดื้อจะไม่ไป จนต้องขู่ว่าถ้าคืนนี้ไม่หายผมจะรักษาให้ถึงได้ยอม

ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคิดว่าวิธีรักษาของผมคืออะไร ถึงได้มีท่าทีลนลาน แถมใบหน้ายังขึ้นสีแดงซ่านไปถึงคอ

น่ารัก...

รู้มานานแล้วแหละว่ามันน่ารัก แต่ไม่คิดว่าตอนเขินจะน่ารักจนใจพังขนาดนี้

โว้ยย ทำไงดี แค่คิดถึงหน้ามันผมก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้เลยทั้งวัน จะบ้าตาย

“น่าหมั่นไส้โคตร” แต่เป็นอันต้องหดมุมปากลงหนึ่งมิลเมื่อได้ยินเสียงเหน็บแนมจากเพื่อนร่วมงาน หันไปมองก็เห็นไอ้นายยืนกอดอกเบ้หน้าส่งสายตาแสดงความหมั่นไส้ออกมา

“วันก่อนนู้นยังทำเหมือนจะเป็นจะตาย แล้วไอ้สีหน้าลั้ลลานี่อะไร เป็นไบโพล่าร์เหรอวะพี่ซัน” ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังอารมณ์ดีอยู่คงได้ดีดกะโหลกข้อหาพูดจาปีนเกลียวสีกที แต่คราวนี้ผมแค่ยักไหล่ลอยหน้าลอยตากลับไป

ช่างหัวมัน คนมีความสุขใครจะทำไม

“อาการหนัก” ไอ้รุ่นน้องที่ทำตัวไม่เหมือนรุ่นน้องเท่าไหร่ บ่นพึมพำพลางส่ายหน้าระอาใจ จนผมหลุดหัวเราะ หยิบเมล็ดกาแฟปาใส่อย่างไม่จริงจัง

“ชงกาแฟไปเถอะมึงอ่ะ”
   
หลังจากหายหัวไปหลายวัน พอกลับมาทำงานก็ถูกพี่โมหักเงินเดือน และรับโทษโดยการเข้ากะแทนไอ้นายตามจำนวนวันที่หายไปตามระเบียบ ไอ้ตี๋ก็โดนเหมือนกัน แต่เพราะมันป่วยอยู่พี่โมเลยให้พักจนกว่าจะหาย ครั้นจะให้ผมดูร้านคนเดียวก็ไม่มีใครไว้ใจ สุดท้ายไอ้นายก็เลยอาสามาช่วยจนกว่าไอ้ตี๋จะกลับมาทำงาน
   
เกือบจะสงสารอยู่หรอก ถ้าไอ้เด็กเวรนี่ไม่เอาแต่แซวตั้งแต่ผมกลับมา
   
“ถามจริง คบกันแล้ว?”
   
สรรหาคำถามมาเซ้าซี้อยู่ได้ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ได้คำตอบเดิม
   
“เสือก”
   
“โห่ พี่ซันแม่ง ขี้กั๊ก”
   
กั๊กเหี้ยอะไรล่ะ เรื่องของกูมั้ยเนี่ย
   
“ถามมากกูจะไปฟ้องไอ้มิ่งว่ามึงยังมีเยื่อใยให้ไอ้ตี๋” ผมแกล้งขู่
   
“อ้าวพี่ ถามแค่นี้ต้องเล่นถึงบ้านแตกเลย” อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมันหน้าเหวอ แต่ก็ยังไม่วายเสนอหน้าเข้ามารัวคำถามอีกชุดใหญ่
   
“ตกลงว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น? พี่กับพี่โชมีปัญหาอะไร? แล้วกลับมาดีกันได้ไง? ถึงขั้นคบกันยัง?”
   
“เสือกอะไรขนาดนี้” ปกติเห็นชอบมองนิ่งๆ ยิ้มๆ จริงๆ เป็นคนงี้เองเหรอวะ
   
“ก็ผมอยากรู้”
   
“มึงจะรู้ไปทำไม”
   
“ก็ผมลุ้นอยู่ไง” ผมเลิกคิ้วเมื่อมันทำหน้าจริงจัง “ตะหงิดใจมาตั้งแต่ตอนที่พี่เสนอตัวเป็นพ่อสื่อให้แต่เสือกกั๊กพี่โชไว้แล้วว่ามันต้องมีอะไร ยิ่งเห็นพี่หวงก้างก็ยิ่งโคตรหมั่นไส้ จริงๆ เชียร์ให้พี่โชมีแฟนให้พี่อกแตกตายไปเลยด้วยซ้ำ”
   
อ้าว ไอ้นี่...
   
“แต่ผมก็ลุ้นให้พี่รู้ใจตัวเองสักทีเหมือนกัน” เกือบจะด่าแล้วถ้ามันไม่กลับลำ พลางยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนรู้ทัน “ทีนี้รู้หรือยังว่าคนที่ทำให้พี่โชมีความสุขได้ มีแค่พี่คนเดียว”
   
ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดแบบเดียวกับที่ไอ้ตรีเคยพูดไว้ ไม่อยากจะอวยตัวเองแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นความจริง ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนเดียวที่ดูแลไอ้ตี๋ได้ แต่เป็นเพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองอยากให้ไอ้ตี๋มีความสุขมากกว่าใครๆ ที่ผ่านมาถึงได้หาวิธีต่างๆ นานามาช่วยให้มันเลิกเสียใจจากความรักที่ไม่สมหวังสักที
   
ไม่ทันคิดว่าวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดจะเป็นการยอมรับใจตัวเอง

ถึงจะรู้ตัวช้าไปนิด แต่ก็อย่างที่เคยบอกไว้ ไม่ว่ายังไงต่อไปนี้ผมจะทำให้ไอ้ตี๋มีความสุขให้ได้ ด้วยตัวผมเอง
   
“ตกลงว่าคบกันแล้ว?” ไอ้นายวกกลับมาคำถามเดิม ปลุกผมจากภวังค์ และคราวนี้ผมยิ้ม พยักหน้าตอบมัน ไม่ยึกยักอีกต่อไป
   
“เออ” เขินนิดๆ ที่ต้องป่าวประกาศ แต่ด้วยความหน้าด้านที่สั่งสมมาก็เลยยังพูดต่ออย่างมั่นใจ “คบแล้ว”
   
“...”
   
“รักมาก ห้ามแตะ” ไม่วายหวงก้างด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
   
จากคำพูดและการแสดงออกของไอ้นายก็รู้หรอกว่ามันไม่ได้ชอบไอ้ตี๋ในเชิงชู้สาวแล้ว แต่ขอกันท่าไว้ก่อน ก็ไอ้ตี๋ของผมน่ารักจะตาย เกิดมันกลับมาหวั่นไหวอีกทำไง

“แหม ใครจะกล้าแตะ ถึงอยากเขาก็ไม่ให้ผมแตะหรอก เนอะพี่โชเนอะ” มันทำเสียงล้อเลียนมองเลยผมไปด้านหลัง ขณะที่ผมเบิกตากว้างรีบหันตามอย่างตกใจเมื่อได้ยินชื่อคนที่เพิ่งบอกรักอย่างไม่มีกระดากอายใดๆ

แทบจะเอาหัวโขกเคาน์เตอร์ตอนที่เห็นว่าไอ้ตี๋ในสภาพมีผ้าปิดปากครึ่งหน้า สวมแว่นหนาเตอะยืนนิ่งค้างกะพริบตาปริบๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์จริงๆ

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้ยินทุกคำ

“ไอ้เชี่ยนาย” ไม่รู้จะทำไงเลยได้แต่หันมาเข่นเขี้ยวใส่ไอ้คนถามที่ยักไหล่ หัวเราะเสียงดังแล้วหลบฉากเข้าหลังร้านไป

ผมหันกลับมาหาไอ้ตี๋ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้ามาหลังเคาน์เตอร์แล้วจัดนู่นจัดนี่หน้าตาตาย ทั้งที่หูเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างชัดเจน... ถ้าให้ทาย ใบหน้าใต้หน้ากากอนามัยนั่นก็คงขึ้นสีไม่ต่างกัน

เอาวะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมที่เขินอยู่คนเดียว

“มึงมาทำไมอ่ะ” ถามเมื่อนึกขึ้นได้ขณะที่ไอ้ตี๋หยิบผ้ากันเปื้อนขึ้นมาใส่เตรียมตัวทำงาน

บอกแล้วว่าให้พักผ่อน กว่าจะคะยั้นคะยอกล่อมจนกินยาหลับไปได้ก็ตั้งนาน แล้วไหงตื่นมาเสนอหน้าอยู่นี่เฉยเลย

“ทำงานไงครับ”

“ตี๋” ผมเรียกเสียงดุ กอดอกมองหน้าคนที่ทำเป็นเฉไฉจัดโน่นจัดนี่รอลูกค้าเข้า แต่ทนโดนจ้องได้ไม่นาน สุดท้ายก็หันมาถอนหายใจใส่กัน

“ผมไม่เป็นไรแล้ว”

ดื้อชะมัด

“ไม่มีไข้แล้วล่ะ”

“...”

“ตัวไม่ร้อนแล้วเนี่ย เห็นมั้ยครับ” พอเห็นผมยังจ้องไม่เลิกก็ทำเสียงอ่อน เอื้อมมือมาจับมือผมไปแตะหน้าผากตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำ เล่นเอาชะงัก เกิดอาการอึกอักขึ้นมากะทันหัน

“ตะ... แต่หมอบอกให้มึงพักไง”

ทำไมอยู่ๆ ทำตัวเหมือนอ้อนอ่ะ กูไปไม่เป็นเลย
   
“ผมตื่นมาแล้วนอนไม่หลับน่ะครับ” บ่นพึมพำดึงมือผมลงจากหน้าผาก แต่ยังไม่ปล่อยมือ
   
“...”

“สงสัยเพราะไม่มีหมอนข้าง” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเถียงอะไร คนตรงหน้าก็ช้อนสายตาขึ้นมาสบตาด้วยดวงตาใสซื่อจนผมชะงักไป
   
“แล้วอีกอย่าง..." มันทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ก็เว้นวรรค ดวงตาแสดงประกายบางอย่างที่ผมตามไม่ทัน

"หายไปหลายชั่วโมงแล้วนะครับ...”
   
ก่อนเอ่ยคำพูดที่เจ้าตัวรู้ว่าถ้าพูดออกมาคงปิดเกมน็อคเอาท์ผมได้อย่างสวยงาม
   
“คิดถึงมากเลย”
   
“...”
   
นั่นแหละครับ... กูยอม
   
   



ถึงจะยอมให้ทำงาน แต่ก็ไม่ถึงขั้นให้โหมทำคนคนเดียวเหมือนทุกวัน หน้าที่ไอ้ตี๋คืนนี้มีแค่ยืนหน้าแคชเชียร์เท่านั้น ที่เหลือผมกับไอ้นายเป็นคนจัดการ ทั้งชงกาแฟ ล้างจาน เช็ดโต๊ะ ยกของ ผมไม่ให้มันแตะสักอย่าง ต่อให้อ้อนแค่ไหนก็ไม่ให้ทำ
   
แต่เหมือนคนตัวเล็กจะรู้ทัน ถึงได้ไม่ขอทำอะไรนอกเหนือจากนั้น ยอมนั่งเฉยๆ รอรับออเดอร์จากลูกค้าที่นานๆ จะโผล่มาสักคนเพราะไม่ใช่ช่วงที่ต้องโต้รุ่งอ่านหนังสือจนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน ไอ้นายช่วยล้างจานให้ก่อนจะขอตัวกลับไปก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเดิมทีวันนี้ก็ไม่ใช่เวรมัน แค่ที่ช่วยมาทั้งคืนก็ถือว่าเกินหน้าที่มันมามากแล้ว

ผมทำงานที่เหลือโดยมีอีกคนมองตามไปทุกที่เหมือนอยากช่วย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกผมกำชับไว้ว่าถ้ายังไม่อยากกลับก็ต้องนั่งพัก ห้ามออกแรง
   
 “ตี๋” ผมเรียกหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จแล้วกลับมาหลังเคาน์เตอร์ ยกมือขึ้นอังหน้าผากคนที่เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมองเพราะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ระดับต่ำกว่าก่อนจะพยักหน้าพอใจกับตัวเอง
   
ตัวไม่ร้อนแล้วจริงๆ
   
“บอกแล้วไงครับ ว่าหายแล้ว” ได้ทีทำเป็นออกตัว ถึงมีหน้ากากปิดอยู่ครึ่งหน้าก็พอจะเดาได้ว่ามันกำลังทำหน้ายังไง
   
คงไม่พอใจที่ผมไม่ยอมให้แตะงานอะไรเลย
   
“รอหายจริงๆ ก่อนแล้วค่อยอวดดีนะครับคุณ” ว่าพลางขยี้หัวมันเบาๆ อย่างเอ็นดูปนหมั่นไส้ แต่คราวนี้กลับไม่ถูกฟาดเหมือนทุกที ไอ้ตี๋เพียงก้มหน้าบ่นพึมพำอะไรสักอย่างกับตัวเองอีกแป๊บหนึ่ง ดูตลกจนผมหลุดขำออกมาก่อนจะหันไปจัดการกับเครื่องชงกาแฟ
   
แต่เพราะนึกอะไรขึ้นได้เลยหยุดมือไว้ก่อน หันกลับมามองไอ้ตี๋ที่ยังจ้องกันไม่เลิกแล้วถามอย่างรู้ทัน
   
“อยากชงกาแฟป่ะ”
   
“ครับ” หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง เมื่อมันพยักหน้าตอบแบบไม่คิดเลย
   
“งั้นขอลาเต้ที่นึง” แกล้งสวมบทบาทเป็นลูกค้าคนสุดท้ายก่อนจะถอยออกมานั่งแทนคนที่ลุกออกไปยืนหลังเครื่องชงกาแฟ
    
เท้าคางมองท่าทางคล่องแคล่วทว่าพิถีพิถันในทุกกระบวนการแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม ถึงจะเสียดายนิดๆ ที่มีหน้ากากปิดไว้ทำให้ไม่เห็นใบหน้าอีกครึ่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นมาทุกครั้งที่ได้เห็นภาพนี้ลดลง
เคยบอกหรือเปล่าว่าเวลาไอ้ตี๋ใส่แว่นแล้วน่ารักกว่าปกติ ยิ่งบวกกับท่าทางตอนตั้งใจชงกาแฟแบบที่ผมหลงใหลยิ่งทำเอาหัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะกระเด็นออกมา

“รู้มั้ยว่ากูมองมึงตอนชงกาแฟทุกวัน” ตัดสินใจเอ่ยถามขณะที่สายตาอีกคนจับจ้องอยู่ที่เครื่องกลั่นกาแฟ... และสายตาของผมก็จ้องที่มันอีกที
   
“ครับ” ตอบโดยไม่หันกลับมามอง
   
สาเหตุคงเพราะใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออีกรอบนั่นแหละ
   
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” อดประหลาดใจไม่ได้

คิดว่าตัวเองเนียนแล้วเชียว
   
คนตัวเล็กเงียบไป หยิบกาแฟช็อตขึ้นมาผสมลงในแก้วใบเล็กให้ผม ก่อนจะเริ่มวาดโฟมนมเป็นลาเต้อาร์ตซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมโปรดปราน ยิ่งตอนนี้ในร้านมีเพียงแสงไฟสลัวของส่วนเคาน์เตอร์เท่านั้น ภาพตรงหน้าจึงไม่ต่างจากฉากหนึ่งในหนังที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศละมุนละไม
   
“คุณเคยวาดรูปไว้บนชีท” ตอบอ้อมแอ้มพร้อมกับเสิร์ฟกาแฟให้ ผมขมวดคิ้วนึกอยู่สักพักว่าชีทอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้เลยหรี่ตามอง
   
“แอบดูชีทกู?”
   
คนตรงหน้าอึกอัก พูดเฉไฉเหมือนเคย “ก็... แค่หาอะไรอ่านเล่นๆ น่ะครับ”
   
“...”
   
“ภาพวาดกากๆ แต่ก็พอเดาออกว่าอะไร”
   
“...”
   
“หลังจากนั้นก็เลยเพิ่งสังเกต... ว่าถูกมองจริงๆ” เอ่ยพลางหลบสายตา ท่าทางประหม่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
"เขินป่ะ" เห็นแบบนั้นแล้วอดไม่ได้แต่จะเย้าแหย่ออกไปจนอีกฝ่ายทำเสียงกระเง้ากระงอดบ่นพึมพำ

"ใช่เรื่องที่ต้องถามเหรอครับ"
   
ผมหัวเราะเบาๆ ที่มันไม่ตอบคำถาม แต่ก็ไม่คิดจะคาดคั้น ในเมื่อคำตอบก็เห็นอยู่ชัดเจน เปลี่ยนคำถามใหม่ขณะใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวคนตัวเล็กเข้ามายืนระหว่างขาทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าปลายจมูกตัวเองอยู่ตรงตำแหน่งปลายคางได้รูปพอดี
   
“แล้วอยากรู้มั้ยว่าทุกครั้งที่มองกูคิดอะไร” เป็นคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่คนเดียว

"..."

"กูคิดว่า..." เมื่อไม่มีเสียงตอบจึงตัดสินใจจะเฉลย ใช้มืออีกข้างเกี่ยวผ้าปิดปากที่แสนเกะกะออกไป

ไม่ลืมจะดึงแว่นหนาออกด้วยเพราะรู้ว่าถึงจะชอบให้มันใส่แว่นแค่ไหน... แต่ในสถานการณ์นี้คงไม่จำเป็น
   
“ถ้าได้ทำแบบนี้สักครั้งก็คงดี”

พูดจบก็รั้งใบหน้าไอ้ตี๋ให้โน้มลงมาหา... แล้วมอบจุมพิตแผ่วเบา
   
ฉับพลัน รสจูบที่หอมหวานกว่าในจินตนาการ ก็กลายเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานยิ่งกว่ารสชาติของลาเต้ในทันที 




--------------------------------------------
หลงกันเบาๆ เนอะกับบทแรก  :katai2-1:
เป็นตอนที่เขียนๆ แล้วแบบ... เหม็นความรัก 55555
มาอัพเร็วอีกแล้วอ่ะ ถามว่าทำไม เพราะนังคนเขียนค้างเองอีกแล้วค่ะ
ความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่าเจ้าซันก็คือฉันเอง แงงง
จั่วหัวว่าไม่ค่อยว่างมาทำไมตั้งหลายตอนอ่ะ 55555555

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ที่เป็นกำลังใจให้อีกครั้งนะคะ (และจะขอบคุณอีกหลายๆ ครั้ง)
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า ^^
   
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 19-06-2017 10:16:52
เขินนน โรแมนมาก หายกากแล้วก็งี้ละเนอะ ตี๋รีบหายป่วยนะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 19-06-2017 15:07:47
น้ำมันพราย
ทั้งสองคนนี้ต้องเล่นน้ำมันพรายใส่กันแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-06-2017 16:29:00
โชอ้อนมากกกกกก
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 20-06-2017 19:36:42
หลงกันเข้าไป ฮือออ พอรู้ใจกันแล้วก็หวานกันใหญ่เลย -///- รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Preenp ที่ 21-06-2017 00:11:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 21-06-2017 08:37:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 21-06-2017 12:38:03
อ่านไปเบาหวานขึ้นตายละเนี่ย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-06-2017 12:53:33
ยังหลงได้มากกว่านี้แน่นอน รอเขากลับไปนัวเนียกันที่ห้องงงงง  :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: theG ที่ 21-06-2017 16:20:50
ลำไยยย หมั่นไส้คนมีฟามร้ากกกก  :katai4:
อ่านตอนนี้จบก็ยังค้าง แงง รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 1 [ 19/6/2560 ] : P.3
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPlai ที่ 24-06-2017 16:45:50
ทำไมหวานกันได้ขนาดนี้ ฮืออ เขินนนน อ่านแล้วต้องอมยิ้มตลอดมันปวดแก้มนะ ฮือออ อยากได้ซันมาเป็นหมอนข้างไว้ที่บ้าน
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 25-06-2017 01:11:18
หลงตะวัน : 2

               
ดูเหมือนจะมีคนยังไม่ชินที่ต้องมีคนอื่นนอนร่วมเตียง...
               
ทุกเช้าผมมักจะรู้สึกตัวเมื่อพบว่าอ้อมแขนของตัวเองว่างเปล่า ไร้ไออุ่นจากคนที่กกกอดไว้เมื่อคืน ลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าเจ้าของร่างบอบบางขยับออกไปนอนจ้องผมตาแป๋วเหมือนในเช้าวันนั้นด้วยแววตายากจะเข้าใจ
               
“ทำไมชอบหนีกู” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางดึงคนตัวเล็กเข้ามาใกล้
               
“เปล่าหนีนะครับ” ได้ยินเสียงตอบพึมพำขณะขยับเข้ามาในอ้อมกอดอย่างว่าง่าย
             
ไม่ต้องรอให้ผมถามหาคำอธิบาย เจ้าของใบหน้าใสก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง เอ่ยกระซิบคล้ายกับกำลังบอกตัวเอง
               
“แค่อยากมองให้แน่ใจ... ว่าไม่ได้ฝันไป”
               
ผมหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก้มลงกดจูบที่หน้าผาก พลางกอดกระชับอ้อมแขนแน่นแกล้งก่ายขาให้มันกลายร่างเป็นหมอนข้างจำเป็น แล้วเอ่ยถามอย่างขบขันปนเอ็นดู 

“แล้วแบบนี้ไม่ชัดกว่าหรือไง”
               
พอได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงักผมก็หัวเราะพลางซุกจมูกลงกับกระหม่อม กดจูบ สูดกลิ่นแชมพูบนกลุ่มผมนุ่มที่แสนหลงใหล หลับตาซึมซับกลิ่นกายที่เสพติดซ้ำๆ เพื่อกล่อมตัวเองให้เข้าสู่นิทราอีกครั้ง

แต่ตอนที่กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ ผมกลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยของเหตุการณ์บางอย่าง... คลับคล้ายคลับคลาว่าหลายๆ ครั้งที่ผมมาอาศัยนอนสลบเหมือดอยู่ที่โซฟาหลังเลิกงาน... ก็มักจะรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าไอ้ตี๋กำลังยืนมองผมด้วยสายตาทำนองนี้เหมือนกัน

ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ

...แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่แค่ฝันไป
 
               
ผมกับไอ้ตี๋ตารางเรียนไม่ตรงกัน ข้อนั้นเราต่างรู้ดี
               
เพราะเรียนเก็บหน่วยกิตมาจนเกือบครบแล้ว พอขึ้นปีสี่ผมก็เลยเหลือวิชาที่จำเป็นต้องเรียนอีกแค่สองตัว เป็นโปรเจ็กต์จบกับอีกหนึ่งวิชาเสริมที่ไม่ได้ซีเรียสอะไร ไอ้ตี๋เองก็เหลืออีกสี่ตัวมันเลยเข้ามหาลัยบ่อยกว่าผมที่เข้าคณะอาทิตย์ละไม่กี่ครั้ง
               
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มักจะตื่นพร้อมมันเป็นประจำ ตั้งแต่ยังไม่ได้คบกัน

ต่างกันตรงที่...
               
“มองอะไรครับ”
               
คราวนี้ผมไม่ต้องแอบมอง
               
ปกติเวลาที่มาค้างที่ห้องไอ้ตี๋ ผมจะรู้สึกตัวตอนที่มันลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ จัดการนู่นนี่ก่อนออกไปเรียน มันไม่ได้ปลุกผมหรอก แต่ผมแค่ชอบมองจนติดเป็นนิสัย ฟังเสียงการเคลื่อนไหวในห้องจากโซฟารับแขกจนรู้ว่ามันทำอะไรบ้างก่อนออกไป แล้วหลับต่อจนกระทั่งใกล้เวลาเรียนโน่นแหละถึงจะตื่น เพื่อเดินไปที่ครัวแล้วรอดูว่าแต่ละวันเจ้าของห้องจะแปะโน้ตไว้ว่าวันนี้ในครัวมีอะไรให้ผมกิน
               
เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเพิ่งสังเกตเหมือนกันว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรามาตั้งนาน
               
“มองแฟน” ผมตอบตามตรงแกล้งยิ้มกรุ้มกริ่มหวังแซวให้คนตัวเล็กเขินหน้าแดงสักที
               
แต่แทนที่จะเป็นแบบนั้นไอ้ตี๋กลับชะงักมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อหันมาทำหน้าประหลาดใส่ผมแทน
               
“ต้องออกตัวแรงขนาดนั้น?”
               
ผมหัวเราะเสียงดังกับอาการตีมึนของมันแล้วลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง จ้องอีกคนอยู่อย่างนั้น จนเจ้าของร่างบอบบางหันมามองอย่างไม่ชอบใจทั้งที่หูเปลี่ยนเป็นสีแดง
               
“มันอึดอัดนะครับ”
               
ผมยักไหล่แกล้งอ้าแขนเรียกร้องให้คนตัวเล็กเข้ามาหา “กอดหน่อย”
               
“ไม่เอา เดี๋ยวเสื้อยับ” แล้วก็โดนปฏิเสธแทบจะทันที
               
“โห่ ตี๋” ผมโอดครวญอย่างไม่จริงจัง ไอ้ตี๋เลยทำหน้าเหม็นเบื่อใส่กันก่อนจะหันไปแต่งตัวต่ออย่างไม่ให้เสียเวลา
               
“แล้วนี่ไปยังไง” ก่อนหน้านี้ผมรู้ว่ามันเดินไปมหาลัย เพราะหออยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินประมาณสิบนาทีได้ ก่อนจะนั่งรถรางไฟฟ้าต่อเข้าไปในคณะตัวเอง
               
ผมมองว่ามันลำบาก เลยอาสาไปส่งหลายครั้ง แต่ก็นั่นแหละครับ... คุณตี๋เขาไม่ยอม
               
แต่ตอนนี้สถานะมันเปลี่ยนไปแล้วไง ผมว่าผมสามารถตื๊อไปส่งมันได้โดยอ้างหน้าที่ของแฟนที่แสนดี
               
"เพื่อนมารับครับ”
               
อ้าว...
               
“เพื่อนไหน” ผมขมวดคิ้วทันที ทั้งเซ็งที่อดทำหน้าที่แฟน และข้องใจว่าใครคือเพื่อนไอ้ตี๋
               
“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอกครับ” นั่นสิ ผมกับมันรู้จักกันมาตั้งนาน แต่ก็ไม่เคยพาเข้าไปคลุกคลีกับสังคมของกันและกันสักที
               
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันไง
               
“เคยไปที่ร้านมั้ย?” ผมถามต่อ ตะล่อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
               
“คิดว่าไม่นะครับ”
               
“ผู้หญิงผู้ชาย?” ...นี่แหละประเด็นสำคัญ
               
ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วมองนิดหน่อย ก่อนจะตอบคำถาม “ผู้ชายครับ”
               
“งั้นเดี๋ยวไปส่งเอง” ผมว่าพลางลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยืนหน้าตู้เสื้อผ้าข้างไอ้ตี๋ หยิบกางเกงยีนมาใส่
               
เพื่อนผู้ชายไหนวะ ผมไม่ยักรู้ว่ามี ปกติเพื่อนไอ้ตี๋ที่เคยเห็นผ่านๆ ก็มีแต่ผู้หญิง นี่ถึงขั้นมารับไปเรียนด้วยก็คงสนิทพอตัว
               
ใครวะ กูข้องใจ
               
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเขาก็มาถึงแล้ว”
               
“เขานี่ใคร ช่วยเจาะจงกว่านี้หน่อยได้มั้ยตี๋” ผมโพล่งถามออกไป จนคนตัวเล็กหันมาเลิกคิ้วทำหน้างุนงงใส่ แต่แวบเดียวก็เหมือนจะเข้าใจว่าผมเกรี้ยวกราดเรื่องอะไร
               
“นี่เรียกว่าหึงหรือเปล่าครับ?”
               
ผมชะงัก ใบ้แดกไปพักหนึ่งก่อนตีมึน “ปะ...เปล่า”

ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆ
               
“อ๋อ”พอได้ยินแบบนั้น คนตัวเล็กก็พยักหน้า ดวงตาเรียวมองมาเหมือนเข้าใจ “ตกใจหมดเลยครับ คิดว่าถูกหึงเข้าซะแล้ว”

แต่จากคำพูดนี่แม่งไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

“ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด” แถมยังสบตาผมด้วยสีหน้าหมาหงอยก่อนอธิบาย “ผมเพิ่งมีแฟนครั้งแรก... เผลอคิดเข้าข้างตัวเองเฉยเลย”

โว้ยย

ใช่มั้ย มันใช่เวลามาทำตัวน่ารักมั้ยล่ะตี๋

“หึง” สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับ พลางรวบตัวมันมากอดไว้อย่างหมั่นไส้

เสื้อยับอะไร ใครจะไปสน

“เป็นใครอ่ะ ทำไมต้องมารับแฟนกู”

“คุณซัน”

“บอกมันเลยว่าเดี๋ยวไปเอง” ผมงอแง ซุกหน้าลงกับไหล่คนตัวเล็กกว่าหวังอ้อนให้ตามใจ

แต่แน่นอนว่าไม่ง่าย

“ไม่ได้ครับ”

ดื้อจังโว้ย แฟนใคร

“ตี๋” ผมเบ้หน้าเมื่อคนในอ้อมกอดผละออกไป แต่ไอ้ตี๋ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนเลย

“เขาออกมาแล้วน่ะครับ ยกเลิกตอนนี้เสียมารยาทตาย”

เออ ก็จริง

“แต่ว่า...”

“ซัน” ยังไม่ทันจะเถียงอีกฝ่ายก็เรียกชื่อผมห้วนๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวผมพร้อมตีเสียงดุไม่จริงจัง “อย่าดื้อสิครับ”

“...” เล่นซะผมไปไม่เป็น

“คราวหน้าค่อยไปส่งนะ” พอเห็นผมนิ่ง มุมปากบางก็ยกยิ้มอย่างได้ใจ มองด้วยสายตาขบขัน แล้วน็อคเอาท์ผมอีกครั้งด้วยการเขย่งตัวขึ้นมาจุ๊บแก้มกันเบาๆ

“...”

เอาเข้าไป...

“แล้วเจอกันที่ร้านนะครับ”

“...”

ชิบหาย... แพ้ราบคาบอีกแล้วกู



ผมใช้เวลาตั้งสติอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวว่าตกหลุมพรางเข้าให้อย่างจังเมื่อไอ้ตี๋หายออกจากห้องไป กลับมานั่งหงุดหงิดตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองลืมถามรายละเอียดให้หายข้องใจ เพื่อนไอ้ตี๋เป็นใคร หน้าตายังไง สนิทแค่ไหน มารับไปส่งกันบ่อยแค่ไหนไม่ได้ถามเลยสักอย่าง

แต่ก่อนจะทึ้งผมตัวเองจนหัวล้าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา โชว์แจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียว เป็นข้อความจากคนที่เพิ่งออกจากห้องไป

ลิ้งค์เฟสบุ๊คที่พอกดเข้าไปเป็นโปรไฟล์ของผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ผมกำลังสงสัยว่าเป็นใคร กวาดสายตาอ่านไทม์ไลน์คร่าวๆ ก็รู้เรื่องทั้งหมดที่ผมกำลังข้องใจ ชื่อ หน้าตา ความสนิทสนมที่ดูจะไม่น่ากังวลอะไรจากรูปหมู่หลายใบที่มันกับไอ้ตี๋ร่วมเฟรมกันแต่ไม่ได้มีท่าทางใกล้ชิดมากมาย

และที่สำคัญไปกว่านั้น... คือสถานะที่ขึ้นเด่นหราว่ากำลังคบหากับผู้หญิงอีกคนในกลุ่มเดียวกัน

‘มีแฟนแล้ว?’

ผมพิมพ์ตอบ เผลอยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว

‘ครับ’

‘สบายใจได้แล้วเนอะ’

ไม่นานก็อีกฝ่ายก็ตอบกลับ ซึ่งทำผมยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะแกล้งตีมึน

‘ก็ไม่ได้อะไร’

คราวนี้มันส่งสติ๊กเกอร์กลอกตามา

‘เหรอครับ’

ผมหัวเราะขำ แล้วพิมพ์ข้อความไปตามจริง

‘สบายใจโคตร’

‘นอนต่อละ’

'ตั้งใจเรียนนะ'

ไม่ลืมที่จะกดสติ๊กเกอร์กวนตีนปิดท้าย

อีกฝ่ายอ่านแล้ว ก่อนจะหายไปพักหนึ่งจนผมคิดว่ามันคงไม่พิมพ์อะไรตอบกลับมาจึงโยนโทรศัพท์ลงเตียง ทิ้งตัวลงนอนและกำลังจะหลับตา

ติ๊ง~

แต่ว่าเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้นมาอีก ผมหยิบมาดูไม่รู้จะแหกปากยิ้มยังไงให้สมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

‘มีแซนด์วิชกับนมอยู่ในครัว’

'กินก่อนมันจะชืดเอานะครับ'

เนี่ย... ก็ชอบทำตัวน่ารักแบบเนี้ย

แล้วจะไม่ให้ผมหวงได้ไง

   



วันนี้ผมมีธุระเรื่องโปรเจ็กต์เลยต้องเข้าคณะตั้งแต่บ่าย กว่าจะเลิกก็เล่นเอาเย็น อยากจะกลับหอไปอาบน้ำก่อนไปทำงานแต่คิดว่าคงไม่ทัน เพราะต้องไปรอรับอีกคนเพื่อกินข้าวเย็นก่อนอยู่ดี
   
ผมเช็คเวลาแล้วว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเลิกเรียนของไอ้ตี๋ เลยตรงดิ่งจากคณะตัวเองไปที่คณะบริหารทันทีที่เสร็จธุระตัวเอง ไม่ได้บอกล่วงหน้าหรอกว่าจะไปรับ กะว่าจะเซอร์ไพรซ์ แล้วอีกอย่าง ผมพอจะเดาได้ว่าถ้าบอกไปไอ้ตี๋คงไม่ยอมให้ผมไปนั่งแกร่วรอมัน เอาเป็นว่าถ้าใกล้เวลาแล้วค่อยบอกมันแล้วกัน พอถึงตอนนั้นก็คงปฏิเสธอะไรไม่ทันแล้ว
   
เมื่อก่อนผมกับเพื่อนมากินข้าวที่โรงอาหารคณะนี้บ้างตามประสาเด็กวิศวะบ้าเห่อที่พอได้ยินว่าสาวบริหารน่ารักก็ยกโขยงกันมาเสพอาหารตา ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจุดประสงค์ของตัวเองจะเปลี่ยนไป จากส่องสาวมาเป็นนั่งคอยหนุ่มบริหารหน้าใสแทน
   
คิดแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกัน

แต่ทำไงได้ ใครใช้ให้ไอ้ตี๋ของผมน่ารักจนห้ามใจไม่ไหวขนาดนั้น
   
ผมเดินอาดๆ เข้ามาใต้ตึกบริหารท่ามกลางสายตามากมายที่มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าไอ้เด็กวิศวะที่ใส่เสื้อช็อปคณะเด่นหรานี่มันเสนอหน้ามาอยู่ตรงนี้ทำไม แต่ด้วยความหน้าด้านก็เลยไม่ได้สนใจ ผมเดินไปหาที่นั่งว่างๆ ในมุมที่ไม่เตะตาเกินไปก่อนจะไถโทรศัพท์ฆ่าเวลา
   
“พี่ซัน?” แต่นั่งได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อตัวเอง
   
“ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ก็เห็นเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ยิ้มกว้างมองหน้าผมคล้ายกับดีใจ
   
ใครวะ... เหมือนจะคุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้
   
“พิมพ์ไงคะ ที่เมื่อก่อนเคยไปที่ร้านบ่อยๆ” ดูเหมือนเธอจะอ่านสีหน้าผมออกถึงได้แนะนำตัวเองพลางนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
   
“อ๋อ ไม่เจอกันนานเลย” ผมนึกตามก่อนจะย้อมพยักหน้าเมื่อจำได้... เลือนราง แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อก่อนมีลูกค้าประจำหน้าตาแบบนี้จริงๆ
   
“พอดีช่วงหลังพิมพ์ยุ่งๆ น่ะค่ะเลยไม่ค่อยได้ไป แล้วพี่ซันล่ะคะยังทำงานที่ร้านนั้นอยู่มั้ย?” เธอเลิกคิ้ว เอียงคอเล็กน้อยท่าทางสงสัย
   
“ทำๆ สองทุ่มถึงตีสามเหมือนเดิม” ผมยิ้มตอบเหมือนเคย
   
หลายคนชอบบอกว่าท่าทางแบบนี้ของผมมันดูเฟรนด์ลี่เกินไป ถึงจะแค่รู้จักแต่ทุกครั้งที่สนทนากับใครผมก็มักจะพูดจาเหมือนสนิทสนมกันได้ เป็นคล้ายๆ พรสวรรค์ที่ทำให้เข้าสังคมง่ายโดยไม่ต้องพยายาม
   
แต่บางทีมันก็เป็นดาบสองคม ผมรู้ดี
   
“ถ้าว่างเมื่อไหร่พิมพ์จะไปที่ร้านอีกนะคะ กาแฟอร่อยมากเลย” ผมเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ามีท่าทีเขินอายเล็กน้อยตอนที่พูดออกมา แต่เพราะไม่ได้คิดอะไร จึงหัวเราะกลับไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
   
“พูดจาน่ารัก เดี๋ยวคราวหน้าลดราคาให้พิเศษเลย”
   
“แล้วนี่พี่ซันมาคณะพิมพ์ทำไมเหรอคะ หรือว่ามารอใคร” เธอหัวเราะเสียงใสก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วเปลี่ยนคำถาม
   
“มารอแฟนอ่ะ”
   
“แฟน?” สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำตอบของผม ก่อนจะเอ่ยพึมพำ “พี่ซัน... มีแฟนแล้วเหรอคะ?”
   
“อื้ม... อ้าว นั่นไง มาแล้ว” ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังรอลงลิฟต์มาพอดี
   
ทั้งที่มันอยู่เกือบในสุด แถมถูกรายล้อมด้วยคนกลุ่มใหญ่ แต่ผมก็ยังเห็นหน้าตี๋ๆ ของมันเป็นคนแรก ไม่รู้ทำไม

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยิ้มกว้างออกมาและกำลังจะให้สัญญาณ แต่ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกหรือยกมือ ไอ้ตี๋ก็หันมาทางนี้พอดี ดวงตาเรียวสองข้างเบิกกว้างขึ้นเล็กๆ เหมือนตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นมองหน้าผมสลับกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมด้วยสายตาอ่านยาก ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
   
อะไรวะ? ผมว่ามันเห็นผมแล้วนะ
   
“งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบผมก็เดินออกจากโต๊ะแล้วสาวเท้าตามคนตัวเล็กออกไปทันที แต่ดูเหมือนไอ้ตี๋จะยิ่งเร่งฝีเท้าหนีปะปนไปกับผู้คน
   
“ตี๋” จนกระทั่งผมตะโกนเรียกพร้อมกับเร่งฝีเท้าจนตามไปคว้าแขนไว้ได้นั่นแหละมันถึงหันกลับมา

“ไม่เห็นกูเหรอ” ถามออกไปทั้งที่รู้ชัดๆ อยู่แล้วว่าเมื่อกี้ผมสบตากับมัน
   
“คุณซัน...” มันเรียกชื่อผม ท่าทางอึกอักร้อนลน ก่อนจะดึงแขนตัวเองกลับไป

“มาที่นี่ทำไมครับ” ดวงตาสองข้างมองซ้ายมองขวาเหมือนหวาดระแวง 
   
และผมพอจะรู้แล้วว่ามันกำลังระแวงอะไร เมื่อมองตามแล้วเห็นว่าผู้คนมากมายกำลังมองมาที่เราอย่างให้ความสนใจ
   
“ที่โด๊ปยาจนถูกหามส่งโรงบาลไง”

“ใช่หลีดคณะที่เคยมีข่าวเรื่องศัลยกรรมป่ะ?”

“เค้าเป็นเกย์จริงเหรอ?”

“นั่นแฟนเหรอ?”

“คนนั้นเคยคบกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?”

“กินกันเองเหรอ?”

เสียงซุบซิบดังขึ้นนั่นยิ่งทำให้ไอ้ตี๋ถอยห่างออกไปในขณะที่ผมเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้จะมาสงสัยเรื่องคนอื่นทำไม

“กูมารับมึง” ผมตอบคำถามไอ้ตี๋ พยายามไม่สนใจเสียงนินทาที่ดังขึ้นราวกับพวกเราไม่ได้อยู่ตรงนี้

มารยาทไม่มีกันหรือไง

“ไปกินข้าวกัน” พูดจบผมก็คว้ามือมันมาจับไว้อีกครั้ง และคราวนี้ไม่ยอมให้ดึงออกง่ายๆ ก่อนจะลากมันออกมาจากตึกโดยไม่สนใจว่าเสียงนินทาจะดังขึ้นอีกแค่ไหน

จนกระทั่งมาถึงรถผมถึงได้ปล่อยมือ เปิดประตูให้ไอ้ตี๋เข้าไปนั่งข้างคนขับขณะที่ตัวเองเดินอ้อมมานั่งหลังพวงมาลัย ออกรถมาโดยไร้บทสนทนาใดๆ ในหัวผมมีคำถามมากมายประดังเข้ามาอย่างห้ามไม่ได้ และคิดว่าในหัวไอ้ตี๋เองก็คงมีคำถามไม่ต่างกัน

“ผู้หญิงที่นั่งด้วยนั่น น้องพิมพ์เหรอครับ?” บรรยากาศบนรถเงียบอยู่นาน จนไอ้ตี๋เป็นคนถามขึ้นมาระหว่างติดไฟแดง

“มึงรู้จัก?” ผมหันไปเลิกคิ้วถาม ไอ้ตี๋เลยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า

“เป็นลูกค้าประจำที่ร้านนี่ครับ”

สมกับเป็นไอ้ตี๋ เรื่องใส่ใจลูกค้านี่เป็นที่หนึ่งจริงๆ

“อืม เขาจำกูได้เลยเข้ามาทัก มานั่งคุยเป็นเพื่อนระหว่างรอ”

“เหรอครับ” มันยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา สีหน้าที่เห็นทำให้ผมเดาไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไร “ผมว่าน้องเขาดูชอบคุณนะครับ”

แต่แล้วประโยคต่อมาของมันก็ทำให้ผมเข้าใจ

“แล้วไง”

“...”

“กูบอกเขาไปแล้วว่ามาหาแฟน”

เข้าใจแม้กระทั่งสีหน้าตกใจและแววตาหวาดระแวงที่ส่งมาทันทีที่ผมพูดอย่างเจาะจงออกไปอย่างตั้งใจให้เห็นว่าผมไม่แคร์ในสิ่งที่มันกำลังกังวล

ไอ้ตี๋มองหน้าผมนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะทำสีหน้าอ่านยากอีกครั้งพลางเรียกชื่อผมเบาๆ

“คุณซัน”

“...” ไม่รู้ทำไมสัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมกำลังเดาว่าประโยคต่อมาไอ้ตี๋จะพูดอะไร

“ถ้าเป็นไปได้... ช่วยอย่าบอกใครอีกได้มั้ยครับ เรื่องที่เราคบกัน”

และมันก็เดาถูกอย่างน่าเจ็บใจ

ผมไม่ตอบในทันที แต่ขมวดคิ้วมองหน้าไอ้ตี๋พักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีกลับมาจ้องถนนอีกครั้งเมื่อสัญญาณไฟจรจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เหยียบคันเร่งพลางปล่อยให้ความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัวก่อนหน้านี้ไหลเวียนต่อไป เพื่อหาคำตอบที่มั่นใจ

ผมว่าผมรู้ว่าไอ้ตี๋กำลังคิดอะไร และรู้ว่าทำไมมันถึงพูดแบบนี้ออกมา มันชัดเจนจะตาย ทั้งสายตาหวาดระแวง และสีหน้าที่คล้ายกับจะเจ็บปวดปนน้อยใจตอนที่มันได้ยินคำพูดของคนเหล่านั้นที่กำลังเอ่ยถึงเรา

ผมว่าผมเข้าใจ...

“ไม่เอา”

คำตอบมันถึงได้ชัดเจน

“คุณซัน...”

“กูไม่สนหรอก ว่าใครจะมองเรายังไง”

เพราะรู้ว่ามันคิดอะไร ถึงได้ไม่สามารถยอมให้มันจมอยู่ในความคิดแบบนั้นได้... ไม่สามารถปล่อยให้มันเอาความคิดของคนอื่นมากระทบความรู้สึกตัวเองได้อีก...

“ถ้าจะไม่ให้บอกใครเรื่องที่คบกัน... งั้นไม่คบมันตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าหรือไง”

และคราวนี้ผมจะเป็นคนกำจัดขยะพวกนั้นออกจากความคิดมันเอง






-----------------------------------------------------
ไม่มีอะไรจะบอก นอกจากรออ่านตอนหน้านะคะ 55555 
จะพยายามมาให้เร็วกว่านี้ค่ะ :katai4:

ปล. ช่วงนี้จะอัพดึกหน่อยเพราะว่าแค่เวลาประมาณนี้น่ะค่ะ
ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ถูกถีบไปหน้าอื่นก่อนที่คนอ่านจะตื่นเนอะ 55555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-06-2017 01:55:07
จัดการพวกขี้เม้าท์เลยค่ะซัน ใครทำน้อง มันต้องตาย !!!!   :m31:; :m31:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 25-06-2017 03:40:18
จะดักตีพวกขี้นินทาให้หัวแบะเลย  :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 25-06-2017 08:47:08
เบือพวกเสียงนกเสียงกา รำคาญมาก ทำไม่ทำละพวกแกจะทำไม จัดการพวกมันเลยคะซัน ให้หาทางกลับห้องไม่เจอ เอาแบบงายเงิบ !!!
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-06-2017 09:46:24
พวกขี้เม้านี่ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นเลยจริงๆ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 25-06-2017 23:54:55
เจ้าพวกบ้าเลิกนินทาน้องสักทีเถอะ ;-; ซันปกป้องตี๋ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 2 [ 25/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 27-06-2017 02:58:48
อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยตี๋
สนใจเสียงของคนที่อยุ่ข้างๆเราดีกว่า
เชื่อในตัวซันนะ เราเชื่อว่าซันปกป้องตี๋ได้
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-06-2017 22:37:31
หลงตะวัน : 3

               
ดูเหมือนผมจะพูดแรงไป... ไอ้ตี๋ถึงได้ไม่เอ่ยอะไรอีกเลย
               
ที่คิดไว้ว่าพอได้ยินคำประชดประชันของผมแล้วมันจะเปลี่ยนใจ กลับกลายเป็นว่ามันเอาแต่นิ่งเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรมาตลอดทาง จนกระทั่งกินข้าวเย็นเสร็จแล้วมาที่ร้านเราก็ยังไม่ได้คุยกัน

“ไหงคู่ข้าวใหม่ปลามันถึงได้ทำท่าเหมือนทะเลาะกันล่ะครับ”

มึงก็จมูกไวจังเลย

ผมถลึงตาใส่ไอ้นายที่ยังเสนอหน้าอยู่ในร้านทั้งที่ผมยังต้องเข้ากะแทนมันไปถึงวันพรุ่งนี้ มันมารับไอ้มิ่งน่ะครับ เห็นว่าหลังเลิกงานมีนัดไปดูหนังกัน ชีวิตคู่แม่งสุขสันต์เหลือเกิน

อันที่จริงพี่โมจะทำโทษให้ผมกับไอ้ตี๋ทำแทนกะของไอ้มิ่งเหมือนกัน เพราะตอนพวกเราไม่อยู่ก็ได้มันนี่แหละมาช่วย แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ ขอเปลี่ยนเป็นเพิ่มเงินตามจำนวนวันที่มันมาทำงานแทน ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่มันทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจหรืออะไร แต่แค่ไม่อยากให้ไอ้ตี๋ทำงานเพิ่มอีก คนอะไรป่วยง่ายอย่างกับอะไรดี ถ้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีกคงได้ตายขึ้นมาจริงๆ

“เฮ้ย นี่พี่ทะเลาะกันจริงดิ” พอเห็นว่าผมไม่เถียงอะไร ไอ้นายก็ทำตาโตอย่างตกใจ ยื่นหน้าข้ามเคาน์เตอร์มาถามอย่างคนขี้เสือกเหมือนเคย “โกรธกันเรื่องไรอ่ะ”ผมเหลือบสายตามองไอ้ตี๋ที่ยืนชงกาแฟ สีหน้ามันเหมือนไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังหูผึ่งฟังบทสนทนา

“มีคนไม่อยากให้กูเปิดเผยเรื่องคบกัน” ผมพูดเสียงดัง รู้ว่าไอ้ตี๋ต้องได้ยิน มันถึงได้ขมวดคิ้ว ชะงักมือที่กำลังผสมกาแฟแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาตีหน้านิ่งเหมือนเดิม

“อ้าว แต่ผมบอกไอ้มิ่งไปแล้วอ่ะ เป็นไรมั้ยพี่โช”

แล้วไหงมึงพูดจาเหมือนเข้าข้างไอ้ตี๋ซะงั้นวะไอ้เด็กเวร

“มึงต้องบอกว่ามันเหลวไหลสิ้นดีสิวะ” ผมผลักหัวไอ้นาย แต่สายตาเหลือบมองอีกคนที่ตั้งใจพูดประโยคนี้ให้ได้ยิน “เป็นแฟนกัน แล้วจะหลบๆ ซ่อนๆ ทำไม”

ไอ้ตี๋ไม่ได้มีท่าทีอะไร มันชงกาแฟเสร็จก็จัดใส่ถาดเดินไปเสิร์ฟให้ลูกค้าด้วยรอยยิ้มตามมารยาทเหมือนเคย ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่อึดอัดกับความเงียบระหว่างเราแทบบ้าตาย

อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเล่นแง่นักหรอก แต่ถ้ามันยังยืนยันว่าจะให้เรื่องที่คบกันเป็นความลับ ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน
ทำไมต้องสนใจสายตาคนอื่นขนาดนั้น คำนินทาเวรๆ นั่นก็เหมือนกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องแคร์

“พี่นี่แม่ง...” ผมละสายตาจากไอ้ตี๋มามองไอ้นายที่ส่ายหัวเอือมระอา “ทำไมไม่คุยกันดีๆ อ่ะ”

“...”

“ดื้อทั้งคู่ระวังจะคบไม่ยืดนะพี่”

“อ้าว แช่งกู” ผมแยกเขี้ยว แต่ไอ้นายกลับหัวเราะ

“เปล่าแช่ง นี่พูดจริง” มันว่าพลางยืดตัวขึ้นเตรียมตัวเพราะไอ้มิ่งออกมาจากหลังร้านพอดี “กว่าจะได้คบกันก็ลุ้นตั้งนาน”

“...”
         
“อย่าให้มันพังเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย” พูดจบก็ขอตัวเดินต้อยๆ ตามแฟนตัวเองออกไปจากร้าน ในขณะที่ผมหันกลับมามองไอ้ตี๋อีกครั้ง ถอนหายใจกับตัวเอง

อดยอมรับไม่ได้ว่า ก็จริงของไอ้นายมัน
 
               



แต่ถึงอย่างนั้นจะให้ยอมง่ายๆ มันก็ไม่ใช่
               
บอกแล้วไงว่าผมอยากกำจัดปมในใจของไอ้ตี๋ให้หายไป ไม่อยากให้มันแคร์ใครที่ไม่ควรแคร์... แต่ไม่ได้ตั้งใจประชดประชันแบบนั้นหรอก อยากหาวิธีที่ค่อยเป็นค่อยไปกว่านี้เหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรทำยังไง ตอนที่มีข่าวลือของมันใหม่ๆ ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องสนใจ แต่เห็นได้ชัดว่ามันทำไม่ได้ คำพูดร้ายๆ ของคนรอบข้างยังมีอิทธิพลกับมันไม่ต่างจากสมัยมัธยม มันทำให้ผมอดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ที่ไม่ได้รู้จักมันตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ได้ปกป้องมันจากคำนินทาที่สร้างปมในใจที่ยากเกินเยียวยาให้มัน
               
 ผมถอนหายใจเกินร้อยครั้งแล้วตั้งแต่เข้าร้านจนปิดร้าน หรือกระทั่งกลับหอมาก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจซ้ำๆ

อึดอัดชิบหายเลยโว้ย

ยิ่งไอ้ตี๋ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ในใจผมก็ยิ่งหงุดหงิด มันทำท่าเหมือนไม่เป็นไร ผมจะทำอะไรก็ตามใจแบบนี้ยิ่งทำผมร้อนใจ
ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้วะเนี่ยตี๋

แต่ถึงจะหงุดหงิดแค่ไหน ความหน้าด้านของผมก็มากพอจะทำให้ยังตีหน้ามึนขึ้นมานอนบนเตียงมันอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายตีโพยตีพายงอนเขาเอง

“ปิดไฟนะครับ”

“อืม”

แถมยังทิ้งทิฐิทั้งหมดทันทีที่ทั้งห้องมืดลง ถือวิสาสะรวบคนตัวเล็กมากอดไว้อย่างทุกวัน

ก็ผมติดหมอนข้างนี่ครับ ให้ทำไง... ถึงวันนี้หมอนข้างจะหันหลังให้ ไม่กอดกลับเหมือนคืนก่อนๆ ก็ตามที

นึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านี้ แต่ก็รู้แหละว่าคุยตอนนี้คงไม่ได้อะไร ต้องปล่อยให้ไอ้ตี๋มันเปิดใจก่อนถึงจะเริ่มเคลียร์กันได้ ผมไม่ควรรีบร้อนเกินไป ยิ่งไอ้ตี๋ไม่เคยคบใครมาก่อนยิ่งต้องใจเย็น ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์อาจจะพังไม่เป็นท่าอย่างที่ไอ้นายว่าจริงๆ

“คุณซัน” ผมบอกตัวเองให้ปลงและพยายามข่มตา แต่คนที่ปล่อยให้กอดอยู่นานกลับเรียกชื่อผมออกมาเบาๆ

“...” ผมไม่ได้ตอบ แค่กระชับอ้อมกอดให้รู้ว่ายังไม่หลับ และกำลังรอฟัง

“เรากำลังทะเลาะกันจริงๆ เหรอครับ” ไอ้ตี๋เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถาม น้ำเสียงฟังดูประหม่าขณะไล้มือไปตามปลายนิ้วของผมที่โอบรอบเอวตัวเองไว้เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง

“เปล่า” ผมตอบตามจริง เราไม่ได้ทะเลาะกัน มันยังไม่ถึงขั้นนั้น

ถึงจะรู้จักกันมานาน แต่ผมรู้ดีว่าการเปลี่ยนสถานะมันยังมีเรื่องมากมายที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันใหม่ มีระยะห่างระหว่างเราที่ถ้าอยากให้มันลดลง ต่างคนต่างต้องเปิดใจปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปอย่างเต็มใจ และตอนนี้ผมกำลังพยายามทำลายระยะห่างที่ว่านั่นอย่างใจเย็น

“ผมไม่อยากให้เราทะเลาะกัน” เอ่ยเสียงเบาพลางสอดประสานนิ้วตัวเองกับนิ้วผมแล้วจับไว้แน่น “ขอโทษนะครับที่พูดออกไปแบบนั้น”

ผมหลุดยิ้มกว้างออกมา ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือข้างที่เหลือไปเปิดโคมไฟที่เพิ่งถูกดับ แล้วลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยที่ยังกอดคนตัวเล็กไว้แนบกาย บังคับให้นั่งอยู่บนตักกัน

“กูก็เหมือนกัน” ซุกใบหน้าลงกับซอกคอก่อนจะขบเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวคนตัวเล็กที่ตีหน้ามึนอยู่นาน เข้าใจในทันทีที่วันนี้มันเอาแต่นิ่งไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกอะไร

แค่ไม่รู้จะแสดงออกมายังไงเท่านั้นเอง

"กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ไม่อยากให้เราทะเลาะกัน”

เจ้าของดวงตาเรียวหันกลับมาสบตาด้วยสีหน้าเหมือนโล่งใจ แต่แววตายังแฝงไปด้วยความกังวลจนสังเกตได้

“คุณเคยคบแต่ผู้หญิง แล้วอยู่ๆ ก็...”

เดาไม่ยากเลยสักนิดว่ามันกำลังกังวลเรื่องอะไร

“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเราคบกันคุณจะโดนนินทา”

“กูไม่แคร์” ผมส่ายหน้าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม

“แต่ผมแคร์” ไอ้ตี๋เถียง ทำสีหน้ายุ่งยากก่อนจะถอนหายใจ มองมาด้วยสายตาจริงจัง  “ผมเคยผ่านมันมาก่อน เข้าใจดีว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน และผมก็ไม่อยากให้เรื่องแย่ๆ แบบนี้มันเกิดขึ้นกับคุณ”

“...”

“ผมเป็นห่วงนะครับ”

รู้แหละว่าไม่ใช่เวลา แต่สารภาพว่าพอได้ยินอะไรแบบนี้ตรงๆ แล้วหัวใจมันโคตรจะพองโต

ทำไมทำตัวน่ารักอีกแล้ววะเนี่ยตี๋
         
“กูรู้” ผมยิ้มกว้าง พลางก้มลงไปกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากบาง จนถูกดันออกแล้วขมวดคิ้วมุ่นมองด้วยสีหน้าเหมือนไม่ชอบใจ
               
“ผมซีเรียสนะครับ” ผมหลุดหัวเราะเบาๆ แต่ไม่วายกดจูบลงไปอีกครั้ง
               
“รู้แล้วครับ”
               
“คุณซัน...!”
               
“ซันก็เป็นห่วงตี๋เหมือนกัน” จากที่อ้าปากจะด่าคนตรงหน้าก็ได้แต่อ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินผมเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเอง
               
ตั้งแต่รู้จักกันมาจนกระทั่งคบกันผมไม่เคยเรียกแทนตัวด้วยชื่อเลยสักครั้ง แต่คราวนี้ผมต้องอ้อน เพราะต้องการให้มันฟังผมอย่างจริงจัง
               
“ตี๋” ผมเรียก ยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียจมูกเข้ากับปลายจมูกของคนที่นั่งนิ่งแต่แก้มเปลี่ยนสีขึ้นมา “ซันรู้นะว่าตี๋คิดอะไร รู้ว่าพูดแบบนั้นทำไม เข้าใจหมดทุกอย่างนั่นแหละ... แต่ซันไม่ได้แคร์จริงๆ”
               
“...”
               
“จะโดนนินทา จะโดนหาว่าคบผู้หญิงบังหน้าอะไรก็ช่าง ปากใครใครก็พูดได้ เขาไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง แล้วเราจะไปให้ค่าทำไม”

“...”

“สิ่งที่ซันสนใจมีอย่างเดียวคือความรู้สึกตี๋นะ เข้าใจมั้ย”
               
“คุณซัน...” มันทำท่าจะเถียงอะไรอีก แต่ผมก็ขัดขึ้นมา
               
“ตอนนี้ตี๋มัวแต่สนใจคำนินทา เอาคำพูดบ้าๆ ของใครไม่รู้มาใส่ใจ แล้วซันอ่ะ คำพูดซันไม่มีความหมายเลยหรือไง...”
               
“เดี๋ยวก่อน” เสียงของผมหายไปทันทีที่ถูกมือบางยกขึ้นมาปิดปากไว้ ส่งสายตาจริงจังว่าให้หยุดพูดเสียที
               
“ทำไมถึงไม่เข้าใจ...” ผมดึงมือมันออก กำลังจะพูดต่ออย่างไม่ยอม แต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียงดัง
               
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”

“...”

“เข้าใจแล้ว แต่ว่า...” อยู่ๆ ก็อึกอัก ขมวดคิ้วมุ่น มองผมเคืองๆ ก่อนที่สุดท้ายจะหลบสายตายกหัวเข่าตัวเองขึ้นมาแล้วซุกใบหน้าลงไปบ่นพึมพำ “ให้ตาย... ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้กัน”

งงอยู่สักพัก กว่าจะรู้ความหมายของคำพูดนั้นผ่านใบหูที่เป็นสีแดงจัดของคนตัวเล็กที่แทบจะขดตัวเป็นก้อนกลม

แล้วใครสั่งใครสอนให้เขินแล้วน่ารักขนาดนี้วะเนี่ยตี๋

 
ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแกล้งก้มหน้าลงไปเกยคางไว้บ่นไหล่ กระซิบเบาๆ ให้ลมหายใจคลอเคลียกับหูแดงๆ อย่างได้ใจ

“แล้วได้ผลป่ะ”
               
“ไม่” มันส่ายหน้าส่งเสียงปฏิเสธในลำคอทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าความจริงเป็นยังไง
               
น่ามันเขี้ยวชะมัด
               
...ว่าแล้วก็ของับหูสักที
               
“...!” ไอ้ตี๋สะดุ้งโหยง แต่ก็ยังคงซุกหน้ากับเข่าไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากัน ผมเลยแกล้งเซ้าซี้ซุกหน้าลงกับกลุ่มผมหอมไล่จูบจากกระหม่อม ขมับ จนถึงใบหูที่โผล่พ้นออกมาเพียงส่วนเดียวอีกครั้ง
               
“ทีนี้จะเลิกใส่ใจคนอื่นได้หรือยัง” เอ่ยถาม

รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่ก็แค่อยากให้มันรับปากเท่านั้น
               
“สนแค่คำพูดซันคนเดียวนะครับโช” 

รับปากว่าจากนี้จะแคร์ผมแค่คนเดียว

“..." ไอ้ตี๋เงียบไปนาน เอาแต่นั่งซุกหน้ากับเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้น ซึ่งผมก็ไม่คิดจะทำอะไรนอกจากรอ

จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ เจ้าของใบหูแดงเถือกยอมโผล่ดวงตาเรียวขึ้นมามองหน้าผมที่ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่งขึ้นสีชัดยิ่งกว่า

“ถ้ารับปากแล้ว จะเลิกพูดแบบนี้หรือเปล่าครับ” แต่ยังไม่วายตีมึนทำน้ำเสียงงุ่นง่านเอือมระอาเหมือนเคย

“แบบไหน” ผมแกล้งไขสือ

“ที่เรียกตัวเองว่าซัน... ห้ามพูดอีกเด็ดขาดเลย” ผมหัวเราะลั่น ยื่นหน้าเข้าไปจนหน้าผากชิดกัน ใช้ปลายจมูกดุนดันแก้มใสให้มันยอมเผยใบหน้าส่วนที่เหลือออกมา

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่...” ตอบพึมพำ มุดหน้าลงยิ่งกว่าเดิม

โกหกไม่เนียนเหมือนเคย

“แล้วทำไมหน้าแดง” แต่คราวนี้ผมไม่ยอมให้หนีหรอก พอทำท่าจะซุกหน้าลงไปอีกครั้งก็ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้ามันไว้ บังคับให้เงยหน้าขึ้นมาจนได้

จะเรียกบังคับก็ไม่ถูก เพราะเจ้าของใบหน้าใสก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแค่ตีหน้ามุ่ย ทำน้ำเสียงบูดบึ้งเอาแต่ใจ

“เพราะร้อนน่ะครับ”

“เหรอ” ผมยิ้มขำถือวิสาสะทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่ยังดื้อดึงไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองทั้งที่ร่างกายกำลังแสดงออกชัดเจน

“แล้วตอนนี้ร้อนกว่าป่ะ” แกล้งถามยียวน เมื่อถอนจูบออกมาแล้วพบว่าหน้ามันยิ่งแดงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร นอกจากแรงบีบจากฝ่ามือที่ยกขึ้นมากำคอเสื้อผมไว้จนแน่นดูคล้ายกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังประหม่า ขณะกัดริมฝีปากล่างตัวเองเหมือนไม่รู้จะทำยังไง

อยู่ๆ ก็เหมือนจะมีลูกระเบิดหล่นลงมากลางกบาลทันทีที่ได้เห็นสีหน้าแบบที่ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะได้เห็น

ทนมองได้ไม่นาน สุดท้ายก็ฉกฉวยริมฝีปากลงไปอย่างอดใจไม่ไหว บังคับให้เปิดปาก มอบสัมผัสที่ทวีความหนักหน่วงกว่าเดิม จนกระทั่งได้รับการตอบกลับอย่างเต็มใจ เรียวลิ้นที่ตอบสนองราวกับจะเพิ่มความร้อนให้ร่างกายที่เกาะเกี่ยวแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจของกันและกัน

“หึ” ผมหลุดหัวเราะในลำคอขณะที่ผละออกมาให้คนตัวเล็กได้ตักตวงอากาศหายใจอีกครั้ง แตะหน้าผากค้างไว้กับหน้าผากใสปล่อยลมหายใจร้อนๆ คลอเคลียไม่ห่าง แล้วกระซิบชิดริมฝีปากเบาๆ

“เชื่อละว่าร้อนจริง”

ถูกมองค้อนเข้าให้ แต่ก็ยังหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ หวังจะเข้าครอบครองลมหายใจซ้ำ แต่ก็ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าจนต้องชะงัก

“คุณซัน” ดวงตาเรียวสวยยังคงฉายแววความกังวล แบบที่ทำให้ผมไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้หงุดหงิด กลับอยากปลอบประโลมจนประกายความกังวลนี้หายไป

“ครับ?”

มองหน้าผมอย่างลังเลอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ออกมา “แน่ใจแล้วจริงๆ เหรอครับ?”

“...”

“ยอมรับได้จริงๆ เหรอครับที่ต้องคบกับผู้ชาย” น้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจ หวั่นไหวรุนแรงจนผมต้องยื่นหน้าเข้าไปจูบหน้าผากเบาๆ

“ถ้ารับไม่ได้จะมาอยู่ตรงนี้ทำไม” พูดจบก็ไม่รอให้เจ้าหนูจำไมได้ถามอะไรต่อ ปิดปากอีกฝ่ายไว้ด้วยริมฝีปากตัวเอง...

ผมกระชับอ้อมกอดแน่น แนบริมฝีปากลงไปซ้ำๆ บดเบียด... เน้นย้ำ... ส่งผ่านทุกความรู้สึกออกไปด้วยสัมผัสอันแสนหวาน ในขณะที่อีกฝ่ายก็ตอบรับมันและส่งกลับมาไม่ต่างกัน...

ไม่นาน... ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นมามากมายเกินต้านทาน

ผมพลิกตัวขึ้นมาดันร่างเล็กให้นอนราบ ก่อนจะโถมทับร่างกายตัวเองตามไปอย่างรวดเร็ว การกระทำทุกอย่างดำเนินไปทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละออกจากกัน มือข้างหนึ่งของผมประคองไว้ที่แผ่นหลังบอบบาง ลูบไล้แผ่วเบา ในขณะที่อีกข้างนวดเฟ้นตามส่วนอื่นของร่างกาย... ยิ่งสัมผัส ความต้องการทบทวีจนอดไม่ได้ ถือวิสาสะสอดมือเข้าไปใต้สาบเสื้อเพื่อสัมผัสผิวเนียน

เคล้าคลึง...บีบคั้น จนได้ยินเสียงครางหวานปนเสียงหายใจหนักๆ อย่างเร้าอารมณ์

ผมผละจูบออกมาแล้วไล้ริมฝีปากไปตามใบหน้าใส ไล่ไปจนถึงปลายคาง ฉกฉวยลงไปที่ซอกคอหอมกรุ่น กดจูบ... ดูดดุน ทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเอาแต่ใจ คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว เมื่อผมถือวิสาสะถลกเสื้อยืดสีขาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเคลื่อนริมฝีปากลงไปพรมจูบทั่วผิวบอบบาง

“ดะ... เดี๋ยวครับ...” เสียงแหบสั่นพยายามร้องห้าม แต่ร่างบางกลับบิดเร่าทันทีที่เรียวลิ้นลากไล้ไปยังจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก โลมเลียชิมรสจนพอใจ ทว่าปลอบประโลมจนคนที่ผลักไสยอมโอนอ่อนผ่อนตาม

ผมยิ้มมุมปากก่อนจะฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายตกอยู่ในห้วงความรู้สึกหวามไหว เคลื่อนริมฝีปากต่ำลงไป... กดจูบลงบนจุดอ่อนไหวที่กำลังตื่นตัว

“คะ... คุณซัน!” สะดุ้งเฮือกเรียกชื่อผมอย่าตื่นตระหนก ทำท่าจะกระถดตัวหนีแต่ผมก็รั้งสะโพกไว้ เงยหน้าขึ้นสบตาอย่างเว้าวอน

“ไม่... ไม่เอา” มองคนที่ส่ายหน้ารัวแต่ร่างกายกลับตอบสนองตรงกันข้ามแล้วได้แต่ยิ้มขำ กดจูบลงไปตรงส่วนเดิมอีกครั้ง...

แต่คราวนี้ลากลิ้นผ่านผิวผ้าบางอย่างเชื่องช้า... แสดงความต้องการ

จนกระทั่งเสียงปฏิเสธเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวาน จึงใช้นิ้วเกี่ยวรั้งขอบกางเกงลงเผยให้เห็นส่วนที่กำลังขยายตัวด้วยแรงอารมณ์

ผมเผลอเลียริมฝีปาก พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกประหลาดที่เข้าจู่โจมจนรู้สึกปวดหนึบบริเวณส่วนลับที่กำลังพองโตคับแน่นไม่แพ้กัน ร้อนรุ่มไปหมดราวกับยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ... ไฟปรารถนา ที่ผลักดันให้ผมตัดสินใจเคลื่อนใบหน้าลงไป ครอบครองส่วนที่กำลังร้อนจัดไว้... ด้วยริมฝีปากตัวเอง

“คุณซัน...” ไม่สนใจเสียงร้องห้าม หรือมือบางอันไร้เรี่ยวแรงที่พยายามจะดันไหล่ผมออกไป ก้มหน้าลงไล้เลียส่วนร้อนตรงหน้าด้วยความรู้สึกคล้ายกับเด็กที่กำลังละเลียดของหวานอันโอชะที่ไม่เคยลิ้มลอง

มอบสัมผัสลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยมอบให้ผู้ชายคนไหน โดยไม่รู้สึกรังเกียจ หรือตะขัดตะขวงใจใดๆ ...ตรงกันข้าม... กลับเป็นฝ่ายสุขสมขึ้นมาเสียเอง

“ซัน...” ได้ยินเสียงแหบพร่าเรียกชื่อผมเบาๆ ขณะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองตามจังหวะของเรียวลิ้นและริมฝีปากที่กำลังอุกอาจอย่างเอาแต่ใจ มือบางเลื่อนขึ้นมาขยุ้มกลุ่มผมของผมไว้ แต่มืออีกข้างกลับปัดป่ายสะเปะสะปะอย่างหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ จนผมต้องเอื้อมมือไปคว้ามือบางสอดประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วกุมไว้อย่างนั้นอย่างปลอบประโลม
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่อาจห้าม ไฟปรารถนาลามเลีย โหมกระหน่ำ จนร่างกายคล้ายจะลุกไหม้

ผมใช้ริมฝีปากปรนเปรอพร้อมกับตักตวงรสสัมผัสหวานล้ำด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ พร้อมกับมองเจ้าของใบหน้าใสที่ชุ่มเหงื่อ เจือหยาดน้ำตาแห่งความเสียวซ่านแล้วรู้สึกคล้ายกับทุกส่วนข้างในกำลังจะระเบิดออกมาในทุกวินาที 

“ซัน...” ยิ่งได้ยินเสียงแหบพร่าเอ่ยชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา พยายามรั้งใบหน้าขึ้นไปหา ผมยิ่งดื้อดึง ครองครองตัวตนอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากตัวเองอยู่อย่างนั้น... เร่งเร้าจังหวะ รุกไล่รุนแรง... จนกว่ามันจะคลายความทรมาน

เพียงไม่นาน... เสียงครางหวานก็ดังลั่น ร่างบอบบางกระตุกเกร็ง ปลดปล่อยออกมาจนเต็มโพรงปาก ล้นทะลักอย่างไม่อาจควบคุม... ซึ่งผมก็พร้อมจะกลืนกินทุกหยาดหยดโดยไม่มีความลังเล

“ซัน... ซันครับ” คราวนี้ผมเคลื่อนตัวขึ้นไปอย่างไม่คิดอิดออด มองใบหน้าที่ผ่านความรู้สึกสุขสมและยังเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอย่างพึงพอใจ ยิ้มบางๆ ขณะปล่อยให้นิ้วเรียวปาดคราบน้ำรักออกจากริมฝีปากให้เบาๆ ดวงตาคู่สวยหยาดเยิ้มด้วยน้ำตามองหน้าผมนิ่งอยู่นาน ก่อนจะกระซิบเรียกชื่อผมอีกครั้ง แล้วเป็นฝ่ายรั้งใบหน้าของผมลงไปประทับจูบเสียงเอง

บดริมฝีปากแนบแน่น ไล้ลิ้นสอดเข้ามาตามรอยแยกของฟัน เกี่ยวกระหวัดกวาดสะเปะสะปะไปทั่วราวกับจะชำระล้างริมฝีปากให้กัน จนผมหลุดเสียงครางต่ำในลำคอกับสัมผัสวาบหวาม ที่โหมกระหน่ำไฟปรารถนาซึ่งยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้ทวีความรุนแรง

เริ่มไล้ลากริมฝีปากไปตามใบหน้าและซอกคอหอมกรุ่นที่เคยพรมจูบทั่วทุกตารางนิ้วอีกครั้ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่แผ่นอกซึ่งกำลังกระเพื่อมไหวตามจังหวะหายใจ แช่สัมผัสอยู่ตรงนั้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความถี่ของการเต้นของหัวใจ แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เคลื่อนใบหน้าขึ้นไปกดจูบบนริมฝีปากบาง แล้วกระซิบเบาๆ

“รัก”

เอ่ยย้ำเหตุผลของทุกการกระทำ เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ

“ได้ยินมั้ย?” กระซิบถามทั้งที่รู้คำตอบผ่านจังหวะการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยันจากเจ้าของร่างกายที่นิ่งไป ปล่อยให้หยาดน้ำหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตา เผยรอยยิ้มกว้าง พลางพยักหน้ารัว

ผมหัวเราะ กดจูบอีกครั้ง แล้วก้มลงกัดปลายคางด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงมากดจูบซ้ำลงตรงตำแหน่งหัวใจ ปลอบประโลมด้วยกลัวว่ามันจะทำงานหนักเกินไปจนพังทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำในสิ่งที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จไป

“โชกุนครับ”

ยังหรอก... ยังไม่อนุญาตให้หัวใจวาย

“ต่อเลยนะ”

เพราะถ้ามันจะวาย... ก็ต้องตายพร้อมกัน

...บนสวรรค์ชั้นสูงสุดที่ผมกำลังจะพาไป






------------------------------------------------------------------------------
น่าจะเป็นตอนที่ตรงกับชื่อหลงตะวันที่สุดแล้วล่ะค่ะ  :hao6:
อยากทอล์กมากมาย แต่เขินอ่ะ เอาไว้เม้าท์มอยใหม่ตอนหน้านะคะ 55555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 27-06-2017 22:50:20
อ่านจบขอมองบนให้กับความรักคู่นี้
หมั่นเว่อร์ จะทำร้ายคนโสดกันไปถึงไหน
โอ๊ยยย อิจฉาจ้า
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 27-06-2017 22:53:54
อ่านจบขอมองบนให้กับความรักคู่นี้
หมั่นเว่อร์ จะทำร้ายคนโสดกันไปถึงไหน
โอ๊ยยย อิจฉาจ้า


ใจร้ายยยย 55555555555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 27-06-2017 22:58:32
แอร๊ยยยยยยยย
เขินนนนนนนนนนนน

ไม่รู้ใครหลงใคร มัวเมาพอกันทั้งคู่
คนอ่านเลยพรอยหลงตามไปด้วยเลย
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 27-06-2017 23:22:25
โอ้ยยยยยยยยยยยย อิจมาก!!!!
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 28-06-2017 01:45:09
หวานเฟ่ออ นังซันตลกงอนเค้าเองแล้วก็หายเอง55
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 28-06-2017 13:13:05
 :jul1:  :jul1: เลือดพุ่งมากกกกก หลงตะวันที่แท้ทรู ยกนี้ให้ตี๋โดนน็อคบ้างง ฮือออ  :-[
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-06-2017 13:34:59
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 3 [ 27/6/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-06-2017 21:49:50
เหม็นฟามรักฟามหลงนี้ !! ขอซันหนึ่งที่ค่ะ อยากได้คนแบบนี้มาปกป้องเรา  :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%] [ 2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 02-07-2017 19:51:18
หลงตะวัน : 4 [ 50% ]
   

[ Shogun’s Part ]


มีความสุขขนาดนี้... ได้จริงๆ เหรอครับ?

ผมถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำๆ ในทุกๆ วันที่ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับฝันไป ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีวันนี้ วันที่ผมได้ตื่นมาในอ้อมกอดของเขา... ได้เห็นใบหน้ายามหลับใหลที่ผมเคยแอบมองอยู่ห่างๆ ในระยะเพียงลมหายใจคั่นเท่านั้น

นี่มัน... ความฝันชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง...

คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยืนยันให้ตัวเองแน่ใจด้วยการขยับใบหน้าเข้าไปฝังจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากของคนที่กำลังหลับใหล หัวใจยังคงเต้นแรงไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราจูบกัน และมันยิ่งทวีขึ้นทุกวัน เมื่อทุกๆ รอยจูบของเขามันสื่อสารทุกความรู้สึกออกมาไม่มีปิดบัง ราวกับจะตอกย้ำลงไปหัวใจที่ยังคงหวั่นไหวของผม ว่าไม่มีอะไรต้องกลัว ให้ผมมั่นใจว่าถ้อยคำที่เขาพูดมาคือความจริง...

คำว่ารักที่ได้ยินอยู่ข้างหูทุกคืนก่อนหลับไป ดังก้องชัดเจนเมื่อเขากระซิบมันซ้ำไปซ้ำมายามที่เรากอดก่าย แนบกายสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน แลกเปลี่ยนลมหายใจ... ค่อยๆ ซึมลึกลงไปในตัวตนของกันและกัน ใช้ร่างกายที่สอดประสานแนบแน่นในทุกๆ วินาทีแทนคำสัตย์ที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

“ผมเชื่อคนง่ายนะ รู้มั้ย” กระซิบพลางยกมือขึ้นมาแตะปลายจมูกโด่งเบาๆ อย่างคาดโทษที่เขาทำให้ผมหวั่นไหวได้ขนาดนี้

ไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มกว้างขนาดไหนขณะไล่สายตามองใบหน้าของเขาซ้ำๆ อยู่นานก่อนจะลักลอบกดจูบลงไปอีกครั้ง ลงน้ำหนักมากกว่าเดิมด้วยความมันเขี้ยว 

“...!” แต่คราวนี้คนถูกขโมยจูบกลับงับริมฝีปากผมไว้ ไม่ยอมให้ผละออกง่ายๆ และกลับกลายเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาหยอกล้ออย่างซุกซน

“แต๊ะอั๋งว่ะ” ตั้งข้อหากันทั้งที่ตัวเองนั่นแหละฉวยโอกาส ผมตีหน้าบึ้งทั้งที่แก้มร้อนฉ่า เห็นดวงตาคมเปล่งประกายวาววับอย่างคนทะเล้นแล้วเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาจนอยากจะหันหน้าหนี

แต่ทำได้ที่ไหน

พอเห็นผมขยับตัวหน่อยแขนแข็งแกร่งก็รวบหลังผมไปกอดไว้ ร่างกายเปลือยเปล่าแนบสนิทอีกครั้งชวนให้หัวใจเต้นรัว
ไม่ไหว... เหมือนเขาจะทำให้ผมหัวใจวายได้จริงๆ

“รีบตื่นทำไม ยังเช้าอยู่เลย” เสียงทุ้มถามเสียงแผ่ว ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดอยู่ระหว่างคิ้วตามจังหวะของคำพูดที่เอ่ยออกมา

เช้าที่ไหน นี่มันจะเที่ยงแล้วครับ

ผมเถียงในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะรู้ตัวว่าตื่นเร็วเกินไปจริงๆ เพราะวันนี้เป็นวันหยุด เลยไม่มีเรียน ถ้าเป็นปกติผมคงตื่นสายกว่านี้ เพราะกว่าจะปิดร้าน เก็บร้านเสร็จก็เกือบสว่าง แถมเมื่อคืนนี้ยัง...

นั่นแหละ ความจริงผมควรนอนลากยาวจนถึงเย็นเลยด้วยซ้ำ

“หิวน่ะครับ” ผมเฉไฉ ทั้งที่ความจริงไม่ได้รู้สึกหิวเลยสักนิด ซันถอยใบหน้าออกมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปาก

“อือ หิวเหมือนกัน”

สาบานเถอะว่าความหมายเดียวกัน

“อยากกินแอปเปิ้ล” ว่าจบก็งับลงมาที่แก้มทั้งสองข้างแล้วหัวเราะลั่นเมื่อเห็นผมเบิกตากว้างทำหน้าไม่ถูกไปหลายวินาที

เดี๋ยวก็โดนแอปเปิ้ลอาบยาพิษหรอกครับ!

“ซัน” ผมเรียกเสียงนิ่ง ไร้คำสรรพนามนำหน้า

“...” และมันได้ผลเมื่อคนที่กำลังชอบใจหยุดขำ ก้มหน้าลงมาสบตากันอย่างประหลาดใจ

ผมอมยิ้มแล้วเรียกซ้ำ “ซัน”

“เดี๋ยว” เขาเบรกผมใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง

ดูเหมือนจะมีแอปเปิ้ลสองลูกกำลังสุกน่ากินอยู่ตรงหน้าผมนะครับ

เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงอดใจไม่ไหว ผมยิ้มก่อนจะฉกฉวยริมฝีปากลงไปบนแก้มทั้งสองข้างของเขาเบาๆ...

ถ้าแอปเปิ้ลสองลูกนี้มียาพิษจริง... ก็คงเป็นยาพิษที่หวานที่สุดเท่าที่ผมเคยชิม

“ตี๋~” เขาลากเสียงยาว สีหน้างอแงงุ่นง่านเหมือนเด็กที่ถูกแกล้งแต่ไม่รู้ต้องทำยังไง
   
คิดว่าตัวเองน่ารักมากมั้ย?
   
“บอกความลับให้มั้ยครับ” ผมหัวเราะ แล้วกระซิบถาม ถอยใบหน้าออกมาเพื่อที่จะสบตาเขาได้ชัดเจน
   
“ที่เรียกซันว่าคุณเพราะอยากแกล้งน่ะครับ”
   
“หือ?” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ
   
“ผมคุยกับคนอื่นอย่างสนิทสนมได้ทั้งที่เจอครั้งเดียว แต่กับซันผมไม่อยาก...”
   
“...”
   
“ตอนแรกมันเป็นเพราะผมไม่ชอบหน้า อยากยุ่งกับซัน ไม่อยากสนิทสนม เลยสร้างระยะห่างเอาไว้ แต่ตอนหลังมันไม่ใช่...” ผมยกมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มใสเบาๆ ขณะที่มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่กำลังมองลึกเข้ามาเช่นกัน
   
“เพราะซันเอาแต่แกล้ง ผมก็ยิ่งหมั่นไส้ แต่ยิ่งพูดเพราะด้วยก็ยิ่งกวนให้ผมหลุดทำตัวหยาบคายใส่ คนอะไรนิสัยไม่ดี” ผมเบ้ปากตีหน้าดุใส่เขา แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะ รวบมือผมไปจูบที่ปลายนิ้วเบาๆ ก่อนจะกลับมาสบตากันอีกครั้งด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
   
สายตาแบบที่ผมหลงใหล
   
“แต่ผมชอบมากเลย” ผมดึงมือที่ยังกุมกันไว้มากดจูบเบาๆ ลงที่หลังมืออีกฝ่ายบ้าง กดแช่ไว้อย่างนั้นหวังจะใช้มือของเขาบดบังใบหน้าที่คงจะดูประหลาดเมื่อต้องเอ่ยเรื่องน่าอาย “รอยยิ้มกว้างๆ ของซัน สายตาที่มองมาตอนที่แกล้งผมได้... มันน่ารักมากเลย”
   
เดิมทีผมไม่ใช่คนยิ้มง่าย ไม่ใช่คนร่าเริงอะไร แต่เพราะภาพลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป ทำให้ผมพยายามเปลี่ยนตัวเองมากมายเพื่อให้ใครต่อใครมองผมอย่างเอ็นดู ซึ่งพออยู่กับเขามันไม่ใช่ ผมหงุดหงิดได้ อยากจะตีหน้าบึ้งคว่ำปากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมากเมื่อผมสามารถแสดงด้านแย่ๆ ใส่ใครสักคนได้โดยที่เขาไม่ว่าอะไร... ผม
สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสบายใจ โดยที่เขายังคงมองผมด้วยสายตาเอ็นดู... เหมือนสายตาที่เขากำลังมองผมอยู่ตอนนี้
   
สายตาที่ทำให้ผมหัวใจของผมหัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ทุกที... และเขาต้องจับได้แน่ในเมื่อร่างกายของเราสองคนยังแนบสนิทโดยไร้สิ่งใดกั้นอยู่แบบนี้
   
“หึ” เขาจ้องผมอยู่นานเหมือนกำลังซึมซับทุกความรู้สึกที่ผมส่งไป มุมปากที่เคยยิ้มบางๆ ค่อยๆ คลี่กว้างขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะ หลบสายตาผมแวบหนึ่งราวกับกำลังอาย แต่ไม่ทันไรก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา มองหน้าผมนิ่งอีกครั้ง

คราวนี้เนิ่นนานเหมือนจะใช้สายตาหวานล้ำนี้กักขังผมไว้ชั่วนิรันดร์
   
“โช...” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมพลางยื่นหน้าเข้ามาฝังจูบลงบนหน้าผากผมเบาๆ
   
“...”
   
“โช...” เรียกซ้ำไปซ้ำมาขณะไล่ริมฝีปากลงมาที่ดวงตา ปลายจมูก ข้างแก้ม...

จนกระทั่งถึงริมฝีปากเสียงออดอ้อนก็ยังคงเรียกชื่อผมอยู่อย่างนั้น 

“โชกุนครับ”

“...”

“คืนนี้ลางานสักวันเนอะ” ว่าจบก็ฉกฉวยริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ทั้งที่ริมฝีปากยังแตะกัน ไม่คิดจะคัดค้านคำขอแสนเอาแต่ใจ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจะห้ามได้ และที่สำคัญไปกว่านั้น... ผมแน่ใจว่าตัวเองก็ต้องการสิ่งเดียวกัน
จริงอยู่ว่าทุกวินาทีที่เราสัมผัสกัน ในใจผมก็ยังสั่นคลอนด้วยความไม่มั่นใจ แต่เขาก็ช่วยปัดเป่ามันออกไปทุกครั้ง
ปลอบโยนและให้คำมั่นผ่านการกระทำที่ไม่เคยเร่งรัดจัดวาง...

ซันไม่ยัดเยียดความเชื่อใจ กลับค่อยๆ สร้างความเชื่อมั่นอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป บรรจงถมหลุมลึกในใจผมด้วยมือทั้งสองข้างอย่างถะนุถนอม กลบเกลี่ยเรียบเนียน ทว่ามั่นคงพอที่จะพาผมเหยียบย่างผ่านมันไป กุมมือผมไว้แผ่วเบาทว่าหนักแน่นพอที่จะทำให้ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ปล่อยผมไว้กลางทาง

เขารู้ว่ายังไม่ใช่วันนี้แน่... วันที่ผมจะทิ้งความหวาดกลัวที่สั่งสมมานานแล้วตามเขาไปทุกหนแห่งโดยไร้ข้อแม้ แต่แน่ล่ะว่าคงอีกไม่นาน...

หัวใจที่กำลังตกลกไปในหลุมลึกอย่างช้าๆ สักวันคงไม่อาจถอนตัว มัวเมากับความรักที่เขามอบให้โดยไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด... แม้กระทั่งเปลวไฟที่รายล้อมอยู่บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ที่พร้อมจะแผดเผาร่างกายผมจนแหลกสลาย

อีกไม่นานผมคงเชื่อมั่นหมดใจ ว่าถ้าเป็นพระอาทิตย์ดวงนี้ล่ะก็...ผมจะไม่เป็นอะไร

เขาจะยอมโอบกอดผมไว้ ยอมกลายเป็นเปลวไฟที่อบอุ่นเพียงหลอมละลาย.... คลายทุกความหนาวเหน็บที่เกาะกินอยู่ในหัวใจผมให้หายไป ตลอดกาล








----------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้ขออนุญาตมาแค่ครึ่งเดียวก่อนนะคะ
รู้สึกว่าความรู้สึกมันยังต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว
และยังคงอยากให้ความรู้สึกนี้มันฟุ้งอยู่แบบนี้ต่อไปสักพักน่ะค่ะ  :o8:
ถ้าใครไม่ชอบอ่านทีละครึ่งช่วยรออีกแป๊บนึงนะคะ
เดี๋ยวที่เหลือจะตามมาในวันพรุ่งนี้ค่ะ ^^


   
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%][2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 02-07-2017 23:46:18
ตลบอบอวนไปด้วยความรักจริงๆคะ
แบบอ่านละเคลิ้มไปกะความรักของทั้งคู่เลย

แต่พอมาอ่านทอร์กทำไมคนแต่งบอกว่า
อยากให้บรรยากาศแบบนี้ฟุ้งต่อไปอีกสักพัก
คืออะไรอ่าาาาาา ต่อจากนี้มันจะมีอะไรคะ
ยังจะมีมาม่าชามโตรออยุ่อีกเหรอคะ
มาม่าหม้อที่ผ่านมาแค่ออเดิฟใช่ไหมคะ
 :hao7: :hao7:

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%][2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 03-07-2017 00:19:06
ความรู้สึกมันฟุ้งจริงงงง ฟุ้งไปด้วยอะไรหวานนๆเต็มไปหมดด ฮืออออ อ่านแล้วเขินตามมไปหมดเลย  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%][2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 03-07-2017 00:27:38
อู้ววววววววววววววววววว หวานเหลือเกิน
หวานจนมดขึ้น
หวานไม่เกรงใจเจ้าที่เจ้าทาง
อ่านแล้วได้แต่อู้วววววววววว
หลงกันเข้าไป
เคล็ดลับความลับอาจจะอยู่ที่น้ำมันพราย ที่ป้ายใส่กัน
ไม่งั้นไม่น่าหวานได้ขนาดนี้ 55555555555555555555555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%][2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-07-2017 01:01:49
หมอไหนคะโช จะไปทำบ้าง ของเขาแรงจริง  :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%][2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 04-07-2017 01:09:46
น้ำตาลเราขึ้นไปหมดแล้วค้าาา ของเขาแรงจริงๆเด้อ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 4 [100%][2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 04-07-2017 04:49:16
-ต่อ-

หลงตะวัน : 4 [100%]


“สรุปว่าดีกันแล้ว?” คำถามที่ได้ยินทำเอาผมชะงักมือที่กำลังเก็บอุปกรณ์ชงกาแฟแวบหนึ่ง แต่ก็ทำไขสือไม่รู้ไม่ชี้ต่อได้ เพราะผมไม่ใช่คนที่ถูกถาม

“เออ” คนถูกถามจริงๆ ตอบห้วนๆ กลับไปใส่เจ้าเด็กขี้สงสัยที่นั่งท้าแขนเกาะเคาน์เตอร์อีกฝั่งมองพวกผมสลับกันด้วยสีหน้ามีเลศนัย

“ผมถามเคล็ดลับได้ป่ะว่าทำยังไงถึงได้ดีกันเร็ว” ผมชะงักมือตัวเองอีกครั้ง เผลอหันไปมองเจ้าของคำถามโดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำหน้ายังไง

รู้แต่ว่าแก้มร้อนฉ่าอย่างกับวางอยู่บนเตาไฟก็ไม่ปาน

เจ้านายมองหน้าผมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “โอเค ดูจากหน้าพี่โชแล้วน่าจะถามไม่ได้”

เด็กแสบ!

“อย่ามาแซวแฟนกู” แต่คนที่แสบยิ่งกว่าคงเป็นหัวโจกที่พอได้ยินแบบนั้นก็ร่วมขำ จนผมต้องหันไปถลึงตาใส่ แต่เจ้าตัวก็ไม่สะทกสะท้านอะไร กลับอมยิ้มเดินเข้ามาแย่งอุปกรณ์ในมือผมไปพร้อมกับกดริมฝีปากลงมาบนขมับผมเร็วๆ  จนดังจุ๊บ ก่อนชิ่งหนีไปที่อ่างล้างจาน ทิ้งให้ผมตกใจจนทำหน้าไม่ถูกต่อหน้านายที่ส่งสายตาล้อเลียนอย่างไม่คิดจะปิดบัง

อีกแล้ว ทำแบบนี้อีกแล้ว

คืนนี้ทั้งคืนผมทำงานไม่เป็นสุขเลยสักนิด เพราะเขาเอาแต่หาเรื่องแต๊ะอั๋งกันตลอดเวลา ถ้าอยู่สองคนผมจะไม่ว่าเลย แต่นี่มันในร้านนะครับ ถึงลูกค้าจะกลับไปหมดแล้ว และซันก็ฉวยโอกาสเร็วมากจนแม้แต่ผมยังตั้งตัวไม่ทัน ก็ใช่ว่ามันจะทำเรื่องแบบนี้ได้ตามใจนะครับ

อย่างตอนนี้ แค่สบตานายหน้าผมก็ร้อนจะแทบจะระเบิดแล้ว ให้ตาย

“พี่โชหน้าแดงมาก โคตรน่ารัก”

แล้วจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา...

“ไอ้มิ่งๆๆๆ” แต่คนที่เดือดร้อนกว่ากลับเป็นร่างสูงที่รีบปรี่ออกมาจากอ่างล้างจานชี้หน้านายแล้วส่งเสียงร้องเรียกคนที่กำลังนั่งสะลึมสะลืออ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะใกล้เคาน์เตอร์เสียงดังจนเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วงุนงง

“แฟนมึงเต๊าะแฟนกูอ่ะ มาดูเร็ว” คนขี้ฟ้องตะโกนบอก

“ไอ้พี่ซัน!” นายโวยวายขึ้นมาอย่างไม่จริงจัง ดูจากรอยยิ้มขำๆ ตอนหยิบเมล็ดกาแฟที่ใส่โหลตกแต่งเคาน์เตอร์ขึ้นมาปาใส่รุ่นพี่จอมกวน

เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เลย

แต่คนถูกฟ้องดูเหมือนจะไม่รู้ว่าสองตัวแสบนี่กำลังล้อเล่น มิ่งเดินมาที่เคาน์เตอร์ตามที่ซันเรียก มองหน้านายก่อนจะเบือนสายตามาที่ผมแล้วยิ้ม

“พี่โชหน้าแดงจัง... น่ารัก”

ดะ... เดี๋ยวสิครับ ไหงหันมาเล่นงานผมเล่า!

ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาดันแว่นตัวเองเก้อๆ อึกอักไปหมดในขณะที่พวกที่เหลือพากันหัวเราะเสียงดัง คุกคาม... แบบนี้มันเข้าข่ายคุกคามกันชัดๆ เลย

พอไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยแกล้งเฉไฉด้วยการหนีมาล้างจานต่อจากที่ซันล้างไว้มันดื้อๆ นี่แหละ แต่ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงร้องห้าม

“เฮ้ย เดี๋ยวล้างเอง”

คราวนี้ผมหันไปตีหน้านิ่งใส่ร่างสูงที่มายืนข้างกันทำท่าจะแย่งแก้วกาแฟในมือผมไปอย่างไม่ยอม นอกจากจะหาเรื่องแต๊ะอั๋งกันตลอดเวลาแล้ว เรื่องที่ทำให้ผมไม่พอใจอีกอย่างคือวันนี้เขาแทบไม่ให้ผมแตะงานอะไรเลยนอกจากชงกาแฟ

“แค่ชงกาแฟก็เหนื่อยแล้วไง ปล่อยที่เหลือให้กูทำก็ได้” เหมือนอ่านใจผมออก เขาจึงรีบแย้งทันที

ผมถอนหายใจ เงยหน้าสบตาร่างสูงอย่างเหนื่อยหน่าย “อย่าสปอยล์กันนักสิครับ”

“...”

“เป็นแฟนนะ ไม่ได้เป็นง่อย” มุมปากบางอมยิ้มทันทีที่ผมพูดจบ

ดุขนาดนี้ก็ยังไม่สะทกสะท้านอยู่ดี คนอะไร

“ซันไปนั่งพักเถอะ เดี๋ยวผมทำเอง” ผมบอก ซันหัวเราะกลับมาเบาๆ

“โอเค ยอม” เขายกมือสองข้างอย่างยอมแพ้ แต่กว่าจะถอยออกไป ก็ทิ้งจังหวะอยู่นาน เอาแต่จ้องผมด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงกว่านี้ และหน้าจะร้อนขึ้นมาจนถูกล้ออีก

“ทำไมเดี๋ยวนี้พี่โชเรียกพี่ว่าซันเฉยๆ แล้วอ่ะ” เจ้าเด็กขี้สงสัยยังตั้งคำถามไม่เลิกเมื่อซันเดินกลับไปนั่งหน้าเคาน์เตอร์ปล่อยให้ผมล้างจาน

ไม่คิดว่าจะมีคนสังเกตเหมือนกันว่าสรรมพนามที่ผมใช้เรียกซันมันเปลี่ยนไป... หลังจากวันก่อนที่ผมบอกความลับออกไป
ก็แค่... รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องระยะห่างต่อไปแล้วน่ะครับ

อีกอย่าง เวลาเรียกชื่อเฉยๆ แล้วเหมือนเขาจะชอบใจ เหมือนจะมีหางโผล่ออกมากระดิกดิ๊กๆ ให้เห็นแทบทุกครั้งเลย

“แปลกเหรอ” คราวนี้มิ่งเป็นคนถาม ผมไม่ได้หันกลับไปมองแต่หูก็ยังฟังบทสนทนาต่อไป

“แปลกดิ” นายว่า “มันดูสนิทสนมกว่าปกติ”

“แต่เขาเป็นแฟนกันก็ต้องสนิทสนมดิ”

ทำไมคู่นี่มันขี้สงสัยกันขนาดนี้

“ใช่เรื่องที่พวกมึงต้องเสือกมั้ยเนี่ย” ซันเอ่ยเหมือนที่ในใจผมคิดพอดี แต่แทนที่จะสลด นายกลับหัวเราะเบาๆ แล้วเปลี่ยนคำถามในประเด็นเดียวกัน

“แล้วเดี๋ยวนี้พี่ซันเรียกพี่โชว่าอะไร”

คนถูกถามเงียบไป พร้อมๆ กับผมที่ชะงักมือ

“กะ... ก็เรียกไอ้ตี๋ไง” เขาอึกอัก พูดเสียงดังกว่าปกติจนสังเกตได้ ผมลอบยิ้ม แกล้งล้างแก้วต่อทั้งที่ใบสุดท้ายนี่ผมถูวนไปมาจนแทบจะสึกอยู่แล้ว

“โม้สัส ลับหลังก็เรียกชื่อเฉยๆ เหมือนกันอ่ะดิ” นายสันนิษฐานด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะแก้ตัวว่ายังไง

“โช โชกุนครับ งี้เหรอ โห แม่งโคตรอ้อนเลย”

“ไอ้เหี้ยนาย!” แต่คนถูกอ่านใจถูกกลับเถียงไม่ออก เลยได้แต่โวยวายเสียงดังจนผมหลุดหัวเราะออกมา

ใช่ว่าผมไม่เคยสงสัยว่าทำไมเขาไม่เคยเรียกชื่อผมในที่สาธารณะ กลับยังเรียกฉายากวนๆ ที่ตัวเองตั้งอยู่แบบนั้นทั้งที่พักหลังเวลาอยู่ด้วยกันสองคนเขาเรียกชื่อผมบ่อยจะตาย

ซึ่งผมพอจะเดาได้นะว่าทำไม...

“พี่ซันหน้าแดงจัง” ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองตามเสียงมิ่งแล้วยิ่งยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อเห็นว่าใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจริงๆ

“เหมือนหมาปวดขี้อ่ะ ไม่เห็นน่ารักเหมือนพี่โชเลยวะ”

“พวกมึงหุบปากแล้วไสหัวออกจากร้านไปเลยไป” คนถูกแซวตะโกนไล่กลบเกลื่อนความอายของตัวเอง

ผมมองอาการประดักประเดิดเก้อเขินของเขาแล้วหันกลับมาลอบหัวเราะเบาๆ กับตัวเองอีกครั้ง รู้เลยว่าสีหน้าตัวเองก็คงไม่ต่างกัน เพราะงั้นขอหนีเอาตัวรอดก่อนโดนแซว

คิดว่าดีแล้วล่ะที่ผมยังเรียกผมว่าไอ้ตี๋เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นคงได้แต่ต่างคนต่างเขินจนไม่เป็นอันทำอะไร

แล้วอีกอย่าง ผมออกจะดีใจ... ที่ได้เป็นไอ้ตี๋ของเขาแค่คนเดียว






วันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาอีกครั้งโดยที่ชีวิตประจำวันของเราระหว่างนั้นไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก มันดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ผมกลับรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งพิเศษเพิ่มขึ้นมาในแต่ละวัน มันอาจเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบใส่ลงมาอย่างเป็นธรรมชาติจนไม่ทันได้สนใจ เป็นความใส่ใจในความไม่ใส่ใจที่ผมรู้ดีว่าเป็นนิสัยที่ติดตัวเขามานาน

“เข้าห้องน้ำป่ะ” ซันหันมาถามหลังจากเราเดินออกมาจากโรงหนัง

“ผมรอตรงนี้ดีกว่า” ผมปฏิเสธ แล้วนั่งลงที่โซฟา มองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายไปทางห้องน้ำ ก่อนจะก้มลงมองป๊อปคอร์นที่เหลืออยู่ก้นถังแล้วลอบยิ้มกับตัวเอง

มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จัก...ที่เรามาดูหนังในโรงด้วยกัน

ผมไม่ทันสังเกตเลยจนกระทั่งเขาชวน มันไม่ใช่หนังพิเศษอะไร แค่แอนิเมชั่นภาคต่อที่ผมรู้รายละเอียดเกือบทั้งเรื่องแล้วจากสปอยล์ที่เจอเกลื่อนกราดเพราะหนังใกล้จะออกจากโรง แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่อบอวลอยู่ในหัวใจตลอดการดูหนังกลับแตกต่างจากทุกครั้งที่ผมนั่งอยู่ในโรง

ไม่รู้สึกเหงา ทั้งที่ไม่ได้คุยกัน ต่างคนต่างจดจ่ออยู่กับหนัง มีหันมายิ้มให้กันบ้างเวลาเจอมุกตลก เวลาเรื่องดำเนินไปจนถึงตอนที่รู้สึกชอบจนอยากจะแชร์ความรู้สึกกับใครสักคน แค่ผมหันไปข้างตัว ก็จะเห็นดวงตาคู่สวยจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาเหมือนรับรู้ว่าผมต้องการจะสื่ออะไร มือที่จับกันอยู่ทำให้อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไม่หนาวอีกต่อไป
และผมพบว่าหัวใจของตัวเองสูบฉีดดีเกินไปทุกครั้งที่เขาบีบมือผมเบาๆ

“ตกลงว่าเป็นจริงๆ ใช่ป่ะ หลีดบริหารคนนั้น” แต่แล้วความรู้สึกทุกอย่างก็เหมือนจะพังทลายลงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากโซฟาอีกตัวด้านหลังที่ถูกออกแบบพนักพิงให้สูงขึ้นมาจนบังศีรษะคนนั่ง

เอาอีกแล้ว... คำนินทา

“โชกุนอ่ะนะ? เป็นดิ ชัดเจน”
   
อยากจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องตัวเองเหมือนกัน แต่ได้ยินชื่อตัวเองเด่นหราอยู่ในบทสนทนาขนาดนั้นก็ไม่รู้จะหลอกตัวเองยังไงเหมือนกัน
   
“แล้วตกลงนางสอยพี่ซันหลีดวิศวะไปกินจริงๆ ใช่ป่ะ”
   
“โห มาดูหนังแถมนั่งสวีทมองตากันขนาดนั้น ฉันว่าไม่รอด”

ไม่อยากจะใส่ใจ แต่พอได้ยินชื่ออีกคนถูกพาดพิงแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ขึ้นมา

“เสียดายย”

ผมทำให้ชื่อเสียงเขาเสียหายจนได้

ถึงซันจะบอกแล้วบอกอีกว่าไม่แคร์ แต่ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ บางทีเขาอาจจะแค่พูดเพื่อให้ผมสบายใจ...

“ตี๋” แต่แล้วความคิดฟุ้งซ่านของผมก็ถูกทำลงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกทั้งที่เจ้าตัวก็ยืนอยู่ข้างหลังผมนี่เอง มันดังพอที่จะทำให้บทสนทนาของคนพวกนั้นชะงัก แล้วหนึ่งในนั้นก็ชะโงกหน้าออกมามองว่าพวกเราเป็นใคร ก่อนจะทำสีหน้าตกใจ ไม่นานก็พากันกระวีกระวาดลุกออกไป

ผมถอนหายใจ แล้วถือป๊อบคอร์นที่เหลืออยู่ลุกขึ้นบ้าง “ไปกันเถอะครับ”

จงใจถือถังป๊อบคอร์นในฝั่งที่เขายืนอยู่เพราะรู้ดีว่าเจ้าของมือหนาเตรียมตัวจะคว้ามือผมไปจับไว้เหมือนตอนที่เราเดินมา โดยลืมไปว่าเราไม่ควรให้ใครเห็น

“มึงได้ยินใช่ป่ะ” แต่แทนที่จะเดินเขากลับเอ่ยถามออกมาตามตรง ผมเงยหน้าสบตา ถึงไม่ตอบซันก็คงเดาได้ เขาถึงได้ยิ้มออกมาบางๆ “กูก็ได้ยิน”

“...” ผมขมวดคิ้ว แต่เขากลับหัวเราะ

“ครั้งแรกเลยเนี่ยที่โดนนินทาระยะเผาขนขนาดนี้” แววตาที่มองมาไม่ได้ฉายแววกังวลอย่างที่ผมหวาดกลัว กลับดูขบขัน เหมือนกับเจอเรื่องตลกไร้สาระปกติในชีวิตประจำวัน

“ที่เขาว่าพระพุทธเจ้าก็ยังโดนนินทานี่ท่าจะจริง” พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองเหมือนค้นพบสัจจธรรม ก่อนจะก้มลงยิ้มบางๆ ให้ผมอีกครั้ง ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาอ่านใจผมออกเหมือนทุกครั้ง

“ถ้าไม่อยากได้ยินก็ปิดหูเอาแล้วกัน” มือสองข้างยื่นมาปิดหูผมไว้แทนมือที่ไม่ว่างเพราะต้องถือถังป๊อปคอร์น “ร้องเพลงดังๆ กลบเสียงไปเลยก็ได้อ่ะ”

“เพลงอะไรครับ” สุดท้ายผมก็หลุดอมยิ้ม ขณะที่ร่างสูงที่เลิกคิ้วทำท่านึกเพลง ไม่อยากคาดหวังให้เขาร้องเพลงซึ้งๆ ออกมาหรอก เพราะรู้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

“บาบาบา บาบานาน่า...”

แล้วผมคิดผิดที่ไหน

ถึงกับหลุดหัวเราะ มองเจ้าของเสียงทุ้มที่ร้องเพลงตามตัวการ์ตูนในแอนิเมชั่นอย่างขำๆ แล้วรู้สึกได้ว่าความกังวลที่มีอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง

ที่คิดว่าเขาแค่แกล้งไม่ใส่ใจเพื่อให้ผมสบายใจ กลายเป็นความคิดงี่เง่าเมื่อเห็นแววตาของเขาที่บ่งบอกย้ำชัดว่านอกจากความรู้สึกของผมแล้ว เขาก็ไม่คิดจะสนใจคำพูดของใครอีก... ผมเอง ก็ควรทำแบบนั้นไม่ใช่หรือไง นอกจากเขาแล้วผมไม่ควรเอาคำพูดแย่ๆ ของใครมาใส่ใจ เลิกคิดเองเออเอง แล้วเรียนรู้ที่จะมองแค่สายตาคู่นี้ที่สื่อความรู้สึกชัดเจนอยู่ตลอดเวลา เปิดเผย ไร้การปิดบัง ไม่มีทางปล่อยให้ผมคลางแคลงใจ

เมื่อเห็นผมสบายใจ ซันก็ยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางจับไหล่ผมหมุนไปตรงทางออก แอบอาศัยจังหวะที่ผมหันหลังฉกฉวยริมฝีปากลงมาบนกระหม่อมเร็วๆ ก่อนจะดันหลังผมให้เดินนำหน้าไป พร้อมกับเสียงร้องเพี้ยนๆ ที่หลอกหลอนอยู่ข้างหูผมไปตลอดทาง จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในลิฟต์ที่มีผู้โดยสารแค่สองคนเขาก็ยังไม่หยุดฮึมฮัม ผมส่ายหน้าเอือมๆ ทั้งที่ยังยิ้มกว้าง ขณะที่เปลี่ยนไปถือป๊อปคอร์นในมืออีกข้าง เพื่อเปิดโอกาสให้เขาเอื้อมมือมากุมมือผมไว้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อีกต่อไป

และมันก็เหมือนกับหลายๆ ครั้ง ที่ผมรับรู้ได้ทันที่ว่าหัวใจมันกลับมาเต้นแรงอย่างไม่อาจห้าม เมื่อเขาบีบมือผมเป็นจังหวะตามเพลงเบาๆ

ให้ตาย... ผู้ชายคนนี้จะทำให้ผมตกหลุมรักเขาซ้ำๆ ไปอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งกัน










------------------------------------------------------------
ที่บอกว่าอยากให้ความรู้สึกซีนแรกมันฟุ้งอยู่สักพัก
เพราะซีนหลังๆ มันไร้สาระจ๊นนน 5555
กลัวเพลงบาบาน่าของเจ้าซันจะกลบบรรยากาศซึ้งๆ ที่ตี๋อุตส่าห์บรรจงสร้างมาเฉยๆ น่ะค่ะ ไม่ได้จะมีดราม่าอะไร  :hao5:

แอบทอล์กยาวได้มั้ย อยากพูดถึงคาแร็กเตอร์ซันมากเลย (ไม่อยากอ่านก็ข้ามได้เลยนะคะ มันไร้สาระ 555)
ตั้งแต่ต้นมาเราว่าหลายๆ คนอ่านแล้วคงรู้สึกว่าซันเป็นพระเอกที่ธรรมดามากกก ไม่ได้จัดอยู่ในคาแร็กเตอร์พระเอกพิมพ์นิยม ไร้ซึ่งความกร๊าวใจใดๆ เคยมีคนบอกว่าเป็นคู่ที่ไม่น่าเอาใจช่วยเลยด้วยซ้ำ 55555
แต่เราชอบคาแร็กเตอร์นี้มาก เราไม่ต้องอวย ไม่ต้องยัดเยียดอะไรใส่เขาเลย
เคยคิดเหมือนกันว่าอยากพรีเซ้นซ์ในความเป็นหนุ่มฮอตของซันเพื่อให้ดึงดูดคนอ่าน แต่เอาเข้าจริงทำไม่ได้ 5555
เขียนไปเขียนมาทั้งสถานการณ์ ฟีลลิ่ง อะไรหลายๆ อย่างมันไม่ได้เลยเว้ยเฮ้ย
ส่วนหนึ่งเราว่าเพราะทั้งเรื่องมาซันเอาแต่อยู่กับตี๋อ่ะ พูดถึงตี๋ตลอดเวลา ไม่ค่อยพูดถึงตัวเอง
คงสังเกตได้บ้างว่าตอนอยู่กับคนอื่นซันเป็นอีกแบบเลยนะ มีความแพรวพราว มีความคาสโนว่า
แต่พออยู่กับตี๋ทีไรกลายเป็นลูกหมากากๆ ที่ยอมเขาไปหมด (เขาหลงของเขามาแต่ไหนแต่ไรอ่ะเนอะ)

ที่บ่นมานี่ไม่ใช่อะไร แค่กำลังย้อนกลับไปอ่านเชนตรีแล้วเห็นความแตกต่างของพระเอกสองเรื่องนี้น่ะค่ะ 5555
จริงๆ ก็ชอบทั้งสองคาแร็กเตอร์เลย อารมณ์แบบ ถ้ายกพี่เชนเป็นสามี คงให้เจ้าซันนี่เป็นมนุษย์แฟน อะไรแบบนั้น

เผลอทอล์กยาวกว่าเนื้อหาแล้วมั้ง ตัดจบมันห้วนๆ งี้เลยแล้วกันนะคะ 5555
ขอโทษที่ลั่นวาจาว่าจะอัพเมื่อวาน พอดีเรากลับจากทำงานก็เพลียกมากจนหลับยาว แง้งง หวังว่าจะไม่มาช้าไปเนอะ -..-

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆ เลยค่า
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 4 [100%][4/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 04-07-2017 12:51:20
อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ
เหมือนต่างคนต่างก็ยอมลงให้กัน โอ้ยยยยย
จริงๆเราว่าซันนี่น่าจะเป็นผชในฝันของอีกหลายคนค่ะ
ไม่ต้องดีเลิศเลอขอแค่ธรรมดาๆพอดีๆพอค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 4 [100%][4/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 05-07-2017 00:59:28
เอาจริงๆมันก็ยังฟุ้งอยู่นะะ มันขำแต่ยังอยู่ในฟีลทุ่งดอกไม้บานอ่ะ อาจจะมีแดด มีฝน แต่ดอกไม้ในทุ่งยังเบ่งบาน อรั๊ยย ชอบจังค่ะ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 4 [100%][4/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 05-07-2017 07:07:30
แอร๊ยยยยยย เขินตัวบิดไปหมดแล้วค่าาาาา
ชอบเวลาคู่นี้อยุ่ด้วยกันจังเลยค่ะ
แบบมันดูละมุน ตลบอบอวนไปด้วยความรักอะ

แต่อยากให้ตี๋มั่นใจในความรักครั้งนี้นะ
อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา
แค่จับมือกันไว้แน่นๆก้พอ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 4 [100%][4/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 05-07-2017 11:59:30
เหม็นความรักของนังซันมากจริงๆ ตอนแรกแบบบ ไม่สนนนน อหห มาหลงตะวันแล้วหัวปักหัวปลำเลยนะยะ 555555 หลงเข้าไปปป ฟินสุดดดด
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 4 [100%][4/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-07-2017 20:05:14
คนโสดตายเรียบ เจอแบบนี้เข้าไป งื้ออออ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 4 [100%][4/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: chanabang ที่ 05-07-2017 20:50:16
น่ารักมากกกกกกกก กอไก่ ล้านนตัว
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช :หลงตะวัน 5 [07/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 07-07-2017 00:24:44
หลงตะวัน : 5


ผมกำลังหงุดหงิด... หงุดหงิดมากๆ

เพราะเมื่อวานเย็นดันมีคนดื้อเดินตากฝนไปที่ร้าน แถมยังทนทำงานทั้งคืนโดยไม่บอกให้ผมรู้ เช้ามาก็เลยมีไข้อ่อนๆ จนต้องนอนซมอยู่หอโดยที่ผมทำอะไรไม่ได้เพราะดันมีควิซวันนี้พอดี เป็นห่วงแทบบ้าตายแต่ก็ต้องพยายามจดจ่ออยู่กับกระดาษข้อสอบตรงหน้าเพราะรู้ว่ายิ่งทำเสร็จเร็วเท่าไหร่ ก็จะได้กลับไปหาเร็วเท่านั้น โชคดีที่เป็นตัวนอกที่เนื้อหาไม่ได้เข้มข้นอะไร ตอนเรียนก็เข้าใจอยู่แล้ว เลยไม่ต้องเสียเวลามากมาย

ผมทำควิซเสร็จและออกมาคนแรกของห้อง กำลังจะตรงดิ่งไปยังรถที่จอดอยู่อีกตึก ซึ่งต้องผ่านโรงอาหารกลางของมหาลัยเลยนึกขึ้นได้ว่าควรซื้ออะไรไปให้ไอ้ตี๋กินสักหน่อย เมื่อเช้ากว่าจะบังคับให้ตื่นมาหาอะไรรองท้องก่อนกินยาได้ก็ตั้งนาน ผมว่าตอนนี้มันก็คงยังไม่คิดจะลุกขึ้นมากินมื้อกลางวัน

“ไอ้ซัน!” ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากไหนสักแห่งหลังจากสั่งข้าวต้มในร้านอาหารตามสั่งและกำลังนั่งรออย่างร้อนรน หันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนสี่คนของตัวเองที่ยืนเกะกะทำตัวเด่นหราเพราะอยู่ในเสื้อช็อปวิศวะแถมหน้าเหี้ยมกันทั้งฝูง

“หายหัวเลยนะมึงอ่ะ ที่คณะก็ไม่เจอ” ถูกสายตาประณามทันทีที่พวกมันเดินมานั่งล้อมวงโต๊ะเดียวกันทั้งที่ไม่ได้ออกปากชวน

“กูไม่ว่าง” ผมตอบไปแค่นั้น พลางชะเง้อมองว่าข้าวต้มได้หรือยัง แต่เห็นคิวที่ร้านต้องทำแล้วก็ได้แต่ถอนใจ

“ไม่ว่างเชี่ยไร มึงมีเรียนแค่กี่ตัว”

ก็จริงของพวกมัน...ที่บอกว่าไม่ว่างก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นแหละ เพราะนอกจากทำงานที่ร้านกาแฟ วันที่ไม่มีเรียนผมก็แทบไม่ได้ออกไปไหน นั่งเขียนเล่มวิจัยอยู่ที่หอไอ้ตี๋ แทนที่จะออกไปจับกลุ่มรวมหัวทำงานกับเพื่อนฝูงเหมือนเดิม

“ไลน์กลุ่มก็ไม่อ่านไม่ตอบนะครับ ค่าตัวแพงจัง”

“เป็นห่าอะไรไม่พอใจใครในกลุ่มก็บอกมา”

ผมหัวเราะ เมื่อไอ้พวกเพื่อเวรเริ่มตีหน้าน้อยใจใส่มาเป็นชุด “ไม่พอใจพ่อมึงสิ กูก็แค่...”

แค่อะไรวะ

“ติดเมีย?” ดันมีคนปากไวคิดแทนให้ในขณะที่ผมชะงัก มองหน้าพวกขี้เสือกเรียงตัวก่อนจะอมยิ้ม

“เออ” ยอมรับทันทีไม่มีอิดออด

แต่แทนที่จะถูกแซวเหมือนทุกครั้ง เพื่อนผมกลับนิ่งไป หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะส่งหน่วยกล้าตายถามออกมา
               
“ตอนนี้มึงคบใครวะ” เว้นวรรคกลืนน้ำลายทำหน้าลำบากใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดตรงๆ “ช่วงนี้มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับมึง...”

ผมเดาไว้แล้วแหละว่าเป็นเรื่องอะไร

ผมยังไม่ได้บอกใครในกลุ่มเลยเรื่องที่คบกับไอ้ตี๋ อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าจะคบใคร ทั้งที่ปกติแล้วเรื่องแบบนี้ไอ้พวกหูไวตาไว้นี่จะรู้โดยที่ผมไม่ต้องเป็นฝ่ายพูดเองด้วยซ้ำ

“จริงเหรอวะ?” พอเห็นผมเงียบ พวกมันก็ยิ่งสงสัย ยื่นหน้าเข้ามาอย่างเต็มความเสือก ไร้ความเกรงใจ

ผมหัวเราะ ไม่ได้รู้สึกซีเรียสอะไร คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องบอก แค่มันยังไม่มีโอกาสให้เจอกันครบแก๊งแบบนี้เท่านั้น

“จริง... คนที่กูคบอยู่ตอนนี้เป็นผู้ชาย”

“...” ทุกคนในกลุ่มหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง สีหน้าเหมือนอยากจะถามแต่ไม่รู้ว่าต้องถามอะไร ผมเลยพูดต่อให้

“พวกมึงก็เคยเจอนะ คนที่ทำงานด้วยกันที่ร้านกาแฟอ่ะ” ผมเคยยกพวกไปอ่านหนังสือที่ร้าน แต่ตอนนั้นความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ตี๋ยังไม่มาไกลถึงขั้นนี้ พวกมันรู้แค่ว่าพวกผมดูสนิทกันดี แต่คงเดาไม่ออกหรอกว่าภายใต้ความสนิทสนมมันมีอะไรที่มากกว่านั้น

ขนาดผมยังไม่ทันรู้ตัวเลย

“งั้นที่มึงลงทุนทำพาร์ทไทม์ทั้งที่บ้านรวยจะตายห่านี่เพราะคนนั้น?” โดนคำถามนี้ไปผมถึงกับชะงักอีกรอบ

มันเคยเป็นคำถามที่ตอบยากนะ แต่คราวนี้ผมกลับคิดว่ามันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก

“เออ” ที่เคยลังเลไม่ใช่เพราะตอบไม่ได้ แต่ผมพยายามบ่ายเบี่ยงความจริงที่อยู่ตรงหน้ามาตลอดต่างหาก

ผมจะทนยืนหลังขดหลังแข็งอยู่หลังเคาน์เตอร์ทำไม ทนเสิร์ฟกาแฟไปทำไม ทั้งที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเฉียดเข้าใกล้คำว่างานบริการ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเห็นหน้าทุกวัน อยากอยู่ใกล้จนได้กลิ่นละมุนคล้ายกาแฟหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

“มึงจริงจัง?”

“จริงจัง” ตอบคำถามโดยไม่ต้องฉุกคิดอีกครั้ง ในเมื่อแน่ใจชัดเจนทุกอย่าง

ผมมองหน้าเพื่อนที่เหมือนไม่รู้จะแสดงปฏิกิริยายังไงกับสิ่งที่เพิ่งรู้ ก่อนจะลุกขึ้นเมื่อป้าร้านข้าวตะโกนเรียกให้ไปเอาข้าวต้มพอดี แต่รู้ว่าจะไปเฉยๆ มันก็กะไร เลยยิ้มให้ไอ้พวกเพื่อนตัวดีก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“กูรู้ว่าพวกมึงตกใจ แต่คนนี้กูจริงจังจริงๆ ว่ะ” ท่าทางของผมอาจดูเหมือนพูดเล่นปกติ แต่พวกมันคงรู้ดีว่าผมกำลังจะสื่ออะไร

“ถ้ารับไม่ได้ก็บอกแล้วกัน กูจะได้รู้ว่าต้องทำยังไง” พูดจบก็เดินไปจ่ายเงิน รับข้าวต้มมาแล้วหันไปยกมือบอกลาพอเป็นพิธี ในขณะที่พวกมันมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่พอจะเดาออกว่ากำลังคิดอะไร

เดินออกจากโรงอาหารมาได้ไม่นานเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดัง... เป็นไลน์กลุ่มที่ผมไม่ได้เข้าไปเช็กสักพัก ค้างข้อความที่ยังไม่ได้อ่านไว้เกือบร้อย แต่คราวนี้รู้ว่าหัวข้อที่คุยเป็นเรื่องของตัวเอง ก็เลยเข้าไปอ่านแทบจะทันที

แล้วก็ต้องหลุดขำเมื่อนึกหน้าเจ้าของข้อความที่ผลัดกันส่งมารัวๆ
 

‘มึงจะรีบไปไหนไอ้เหี้ยซัน ไม่คิดจะรอฟังเพื่อนฟังฝูงเลย?’

‘รับไม่ได้พ่อมึงสิ’

‘มึงแค่ชอบผู้ชายนะครับ  ไม่ได้ไปฆ่าใคร จะดึงดราม่าทำเชี่ยอะไร’

‘ว่างเมื่อไหร่พวกกูจะแวะไปแซวถึงร้าน มึงเตรียมใจเลย’
 

อ่านจบผมก็กดส่งสติ๊กเกอร์กวนตีนกลับไป โดนพวกมันแซวต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องไร้สาระเหมือนเคย ถึงจะบอกว่าไม่ซีเรียสอะไร แต่ก็อดโล่งใจไม่ได้ที่สุดท้ายแล้วทุกคนเข้าใจ ไม่ได้มองผมแปลกไปเพียงเพราะรสนิยมที่เปลี่ยนไป

อันที่จริงคบกันมาตั้งนาน ก็รู้อยู่แล้วแหละว่าพวกมันคงไม่มีปัญหา เพราะแบบนั้นผมเลยมั่นใจที่จะยื่นมือออกไปจับมือไอ้ตี๋ไว้แน่นตั้งแต่แรกโดยไม่ลังเล

 
               


กว่าจะมาถึงหอผมก็ต้องฝ่ามรสุมรถติดเกือบยี่สิบนาที ทั้งที่หอแม่งก็อยู่ห่างแค่ไม่กี่กิโล ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีรถยนต์ไปเพื่ออะไร ขี่อูฐแม่งยังถึงเร็วกว่าอีก จากที่หายหงุดหงิดไปแล้วก็กลับมาหงุดหงิดใหม่ เมื่อยี่สิบนาทีที่ผ่านมาผมติดต่อไอ้ตี๋ไม่ได้เลย โทรก็ไม่ติด ข้อความอะไรก็ไม่ตอบ ถ้าไม่รีบกลับห้องมาจนเห็นว่าโทรศัพท์มันแบตหมดข้างๆ คนตัวเล็กที่นอนซุกผ้าห่มอยู่บนเตียงเฉยๆ ผมคงได้คลั่งตายจริงๆ

ผมวางถุงข้าวต้มลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งบนเตียง ยื่นมือไปอังหน้าผากชื้นเหงื่อ มองใบหน้าคนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมา สารภาพว่าก่อนหน้าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดคือการที่ไอ้ตี๋ไม่ดูแลตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าป่วยง่าย หงุดหงิดตัวเองที่เอาใจใส่ไม่พอ ถ้ามันไม่สารภาพตอนมีไข้แล้ว ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันตากฝนมา พาลถึงขึ้นหงุดหงิดลมฟ้าลมฝนที่ดันตกไม่เลือกเวลา ทำแฟนผมป่วยซะได้ แต่พอเห็นสีหน้าไร้เดียงสาเจือปนความเหนื่อยล้าทั้งที่ยังหลับอยู่แบบนี้ความหงุดหงิดทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เหลือแต่ความเป็นห่วงที่เอ่อล้นขึ้นมาเต็มหัวใจ

ผมถอนหายใจอีกรอบ ก้มลงไปกดจูบบนหน้าผากเบาๆ หวังปลอบประโลมให้คนตัวเล็กคลายความทรมาน แช่ริมฝีปากอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะผละออกมาเมื่อสัมผัสได้ว่าจังหวะหายใจของมันเริ่มเปลี่ยนไป ไอ้ตี๋ขยับนิดหน่อยท่าทางเหมือนกำลังไม่สบายตัว ผมถอยออกมามองหน้าคนหลับใหลที่ส่งเสียงงึมงำในลำคอแต่ยังไม่ลืมตา ตัดสินใจลุกขึ้นถอดเสื้อช็อปที่ใส่อยู่ออกจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ก่อนปีนขึ้นเตียงอีกรอบซุกร่างเข้าไปใต้ผ่าห่ม โอบกอด แนบกายลงบนร่างกายที่อุ่นจนร้อนของอีกคน
               
“อื้อ... ซัน?” เสียงครางแหบๆ ดังขึ้นมาทันทีเมื่อผมซุกหน้าลงกับซอกคอ พรมจูบไปทั่วราวกับจะใช้ริมฝีปากตัวเองดูดซับอุณหภูมมิร้อนๆ ออกจากร่างกายที่กำลังอ่อนเพลีย
               
“ตัวยังร้อนอยู่เลย” ผมพึมพำขณะที่ริมฝีปากยังคงจรดอยู่บนผิวเนียน จูบซ้ำไปซ้ำมา พลางคิดในใจว่าถ้าแบ่งไข้มาไว้ที่ผมได้บ้างก็คงดี
               
ผมแข็งแรงนะ เป็นนักกีฬาคณะด้วย ป่วยก็ไม่ทรมานมากหรอก แบ่งมาหน่อยไม่ได้เหรอ
               
“จูบมันใช้ลดไข้ไม่ได้นะครับ” ได้ยินเสียงงัวเงียบ่นพึมพำ ผมเงยหน้าขึ้นไปจนอยู่ในระดับเดียวกัน มองเจ้าของใบหน้าใสที่พยายามจะลืมตาขึ้นมามอง แต่สุดท้ายก็หลับตางอแง
               
“ง่วงอ่ะ ขอหลับต่ออีกห้านาทีได้มั้ยครับ” ผมยิ้มขำกับตาตี่ๆ ที่ลืมไม่ขึ้นอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดขี้ตาให้จนคนตัวเล็กย่นหน้า พยายามจะเบือนหน้าหนีแต่ผมก็ตามไปเช็ดให้จนหมดอยู่ดี 

“ซัน” คราวนี้ดวงตาเรียวเลยมองค้อนใส่ผมได้ถนัด ผมแกล้งย่นหน้ากลับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอีกครั้ง จรดริมฝีปากลงไปที่ขมับแล้วเอ่ยแกมบังคับ

“กินข้าวกินยาก่อนค่อยนอน”

แน่ล่ะว่าเจ้าตัวทำท่าจะไม่ยอม แต่ผมก็จับให้ลุกขึ้นจนได้ บังคับให้นั่งพิงหัวเตียงรอจนผมเอาข้าวต้มไปใส่ถ้วยให้เสร็จพร้อมเตรียมยาหลังอาหารออกมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่นที่ยกขึ้นมากางบนเตียง ในขณะที่ไอ้ตี๋มองผมอยู่ไม่วางตา สีหน้าเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ

“ป้อนมะ?” ผมแกล้งถามไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้ว่าคนดื้อคงไม่ยอม

แต่ที่ไหนได้ คนตัวเล็กกว่ากลับไม่ตอบอะไร เพียงขยับเข้ามาใกล้ นั่งชันขาวางคางไว้บนเข่าทั้งสองข้างแล้วอ้าปากรออย่างว่าง่าย ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา พยายามข่มใจไม่เข้าไปฟัดคนป่วย ทำหน้าที่ตัวเองด้วยการตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าแล้วป้อนให้

“คราวนี้ไม่หวานแฮะ” กินไปคำหนึ่งก็เลิกคิ้วทำท่าประหลาดใจ

“แหงสิ ก็ซื้อมา” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ป้อนอีกคำ

นึกถึงข้าวต้มเชื่อมฝีมือตัวเองแล้วรู้สึกอนาถใจหน่อยๆ ตอนนั้นอะไรทำให้มั่นใจว่าจะทำอาหารได้วะ

“ผมชอบอันเดิมมากกว่า” ว่าพลางตีหน้าซื่อ ผมยิ้มขำอีกรอบพลางป้อนข้าวต้มไอ้ตี๋ไปเรื่อยๆ

“ไม่ต้องมาเอาใจเลยครับคุณน่ะ” ทำท่าจะยื่นหน้าเข้าจูบ แต่คนที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปากก็ยกมือขึ้นมาดันหน้าผมไว้ 

“ห้ามจูบ เดี๋ยวติดไข้” เอ่ยทั้งที่น่าจะรู้ว่าห้ามไม่เคยได้ สุดท้ายผมก็ดึงมือมันลงแล้วฉวยริมฝีปากลงไปเร็วๆ

คิ้วได้รูปขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ กลืนข้าวต้มที่อยู่ในปากจนหมดก่อนจะเริ่มดุที่ผมไม่ยอมฟัง "ผมจริงจังนะ คราวก่อนไม่ติด แต่คราวนี้อาจจะติดก็ได้"

"ไม่เป็นไร" ผมเถียง กำลังจะจูบอีกรอบแต่เจ้าตัวก็รีบหนีผมด้วยการซุกหน้าลงกับเข่าโผล่มาแค่ตาตี่ๆ ที่สบตาผมด้วยสายตาที่คล้ายกับกำลังอ้อน

"จะไม่เป็นไรได้ไง”

“...”

“ถ้าซันป่วย แล้วใครจะดูแลผม"

ชิบหาย นี่มันท่าไม้ตาย 

"แล้วอีกอย่าง...” เว้นวรรคไปนานก่อนจะโผล่หน้าออกมาพร้อมยกมือขึ้นแตะปากผม ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมาคล้ายกับจะช่วยเช็ดพิษไข้ที่อาจถูกส่งผ่านริมฝีปากมา “ตอนนี้ผมไม่มีแรงดูแลซันอ่ะ"

"..."

"รอผมแข็งแรงก่อนแล้วค่อยป่วยได้มั้ยครับ"

“...”

“แล้วผมจะดูแลอย่างดีเลย”

โอเค กูยอม

ข้อดีเดียวของการที่ไอ้ตี๋ไม่สบายคือการอ้อนที่เลเวลอัพนี่แหละ ให้ตาย  น่ารัก... น่ารักมากจนอดใจไม่ไหวต้องยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มสักที

"งั้นก็รีบหายดิ"

ขออีกที...

"หายตอนนี้เลย"

อีกที...

"หายเร็วๆๆ" สุดท้ายก็โลภมาก ไล่ริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้า เว้นไว้เพียงริมฝีปากที่ถูกห้ามอย่างจำยอม

"ซันนน" คนถูกแกล้งเรียกชื่อผมอย่างรำคาญ พยายามดันไหล่ผมออกห่าง แต่ผมกลับยิ่งเบียดตัวเข้าไปใกล้ กอดร่างบอบบางไว้ ซุกหน้าลงกับซอกคอขาว แล้วบรรจงฝังจูบลงไปแผ่วเบา

"หายได้แล้วครับ เป็นห่วงจะแย่แล้ว"




พอกินข้าวกินยาเสร็จไอ้ตี๋ก็หลับปุ๋ยไปอีกรอบ

ผมโทรไปบอกพี่โมพร้อมขอให้ไอ้นายเข้ากะแทนแล้วคืนนี้ก็เลยไม่ต้องไปทำงาน ผมนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ไอ้ตี๋ทั้งวัน พอถึงหัวค่ำก็ปลุกมันขึ้นมากินข้าวกินยา เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้จนมั่นใจแล้วว่าอุณหภูมิร่างกายใกล้จะกลับมาเป็นปกติ จึงปล่อยให้คนป่วยนอนพัก ส่วนตัวเองก็หอบโปรเจ็กต์ที่ยังค้างอยู่ย้ายออกมาทำข้างนอก ใช้ผ้าห่มผืนหนาปูพื้นตรงโต๊ะกระจกหน้าทีวีแล้วนั่งเอนหลังพิงโซฟาเหมือนตอนที่นอนเอกขเนกดูหนังกับไอ้ตี๋

คืนนี้ผมถูกเนรเทศออกมานอนโซฟา เพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้นอนกอดเพราะไม่อยากให้ติดไข้ ถึงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่แต่ก็ไม่คิดจะขัดอะไร ยอมรับแต่โดยดีว่าการปล่อยให้มันพักผ่อนเงียบๆ ดีกว่ามีผมคอยรบกวน

อาจเพราะการทำงานกะดึกทำให้ต้องนอนเช้าเป็นปกติ คืนนี้ผมเลยไม่ง่วงเท่าไหร่ ทำงานไปเพลินๆ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว ผมละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊ค ยืดแขนบิดขี้เกียจ ตั้งใจว่าจะเข้าไปดูอาการไอ้ตี๋อีกรอบแต่ก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าคนที่ควรนอนอยู่บนเตียงกลับกำลังยืนมองผมอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัยทำให้ผมนิ่วหน้าถามอย่างงุนงง

“จะไปไหน” คนตัวเล็กส่ายหน้า เดินมานั่งชันเข่าข้างๆ หันหน้ามาทางผมแล้วจ้องนิ่งๆ 

“ไม่นอนเหรอครับ” ถามเสียงอู้อี้เพราะอยู่ใต้หน้ากากอนามัยที่ตอนนี้ผมก็ไม่เข้าใจว่าใส่ทำไม

“ทำงานอยู่อ่ะ” ผมตอบ ขยับเข้าไปใกล้ยกมืออังหน้าผากใสแล้วยิ้มอย่างพอใจ

ตัวไม่ร้อนแล้วว่ะ... แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังวางใจไม่ได้หรอก

“ตื่นมาทำไม”

“ผมนอนไม่หลับ”

“หือ?” ผมเลิกคิ้ว ตาแม่งปรือขนาดนี้ ดูยังไงก็ง่วงอยู่ชัดๆ คงเป็นเพราะยาที่กินไปนั่นแหะ

“ผมดูทีวีได้มั้ยครับ” ยังไม่ทันได้ถามอะไร คนข้างตัวก็เอ่ยขึ้นมาก่อน “เผื่อดูแล้วจะง่วง”

“ให้แค่ชั่วโมงเดียวนะ” ผมลังเลอยู่สักพักก็ตามใจ ปล่อยให้คนตัวเล็กกดเปิดทีวีลดเสียงจนเบาสุดในขณะที่ผมก้มหน้าลงทำงานที่ค้างไว้

ทำได้ไม่นานก็ต้องหยุด รู้สึกชัดเจนว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังจ้องผมไม่วางตา ไม่มีวี่แววว่าจะหันไปสนใจทีวีที่ฉายรายการรอบดึกอยู่เลยแม้แต่น้อย ผมขมวดคิ้วมองหน้าเจ้าของดวงตาเรียวอย่างงุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มขำ

“โชกุน ถ้าจะมานั่งจ้องกันก็กลับไปนอนเลยครับ” ออกคำสั่งเหมือนมันเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไม่ยอมนอนกลางวัน

“ทำงานเถอะครับ ผมจะไม่กวน” แต่เจ้าตัวกลับส่ายหัว นั่งกอดเข่าจ้องผมต่อบ่งบอกว่าจะไม่ยอมไป

ดื้ออีกละ

แต่ผมก็ไม่ขัดอะไร ทำเป็นก้มหน้าก้มตาทำงานอีกรอบ แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมา ย่นหน้ามองคนเอาแต่ใจอย่างหมั่นไส้ก่อนจะส่ายหน้าขำๆ ย้ายโน้ตบุ๊คที่อยู่บนตักขึ้นไปวางบนโต๊ะแล้วตบหน้าขาที่ว่างลงสองสามที

“มานี่มา”

เข้าใจตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม แล้วหน้ากากอนามัยนั่นมีไว้ทำไม เพราะงั้นก็เลยอดยิ้มกว้างไม่ได้เมื่อคนตัวเล็กขยับมานั่งแทนที่โน้ตบุ๊คของผม เบี่ยงตัวหันข้างอย่างต้องการหามุมที่จะจ้องหน้ากันได้ถนัด

"ขอบคุณครับ" เอ่ยพึมพำพร้อมกะพริบตาปริบๆ ผมหัวเราะเบาๆ อีกครั้งพลางฝังจูบลงไปที่กระหม่อม รู้สึกมันเขี้ยวจนแกล้งกอดแน่นๆ ทีหนึ่งก่อนจะเอ่ยแกมบังคับ

“ทีนี้ก็หลับได้แล้ว” มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากดหัวคนตัวเล็กซบอกตัวเองไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมหลับตาอย่างว่าง่าย

ใช้เวลาไม่นานคนในอ้อมแขนก็นิ่งไป น้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมาทำให้ผมรู้ว่าเข้าสู่นิทราไปแล้ว ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง ตั้งใจจะดึงหน้ากากอนามัยออกให้เพราะกลัวว่าจะหายใจไม่สะดวก แต่แล้วก็ชะงักมือค้างไว้กลางอากาศ มองใบหน้าคนที่หลับใหลนิ่งๆ นึกถึงคำสั่งห้ามเมื่อกลางวันแล้วเกิดลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ฝืนใจไม่ไหว

มีผ้าปิดปากอยู่นี่ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

คิดขำๆ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไปบนหน้ากากอนามัย ตรงตำแหน่งริมฝีปากพอดิบพอดี กดจูบเนิ่นนานก่อนจะผละออกมาแล้วเอ่ยกระซิบคำเดิมๆ ที่พูดกรอกหูอีกคนยามหลับใหลทุกๆ วัน

เคยได้ยินเหมือนกันว่าการพูดคำว่ารักพร่ำเพรื่อมันทำให้ดูไม่จริงใจ แต่ความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจมากมายมันไม่รู้จะเอาไปเก็บตรงไหน... แต่ไม่ได้อยากจะยัดเยียด ไม่อยากเร่งเร้าให้รีบเชื่อใจ คิดแค่ว่าอยากจะพูดมันออกไป ต่อให้อีกคนไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไร 

เพราะผมเชื่อว่าการกระทำทุกอย่างที่แสดงออกไป... ก็สื่อความหมายเดียวกัน






--------------------------------------------------------------------
ขออนุญาตสโลว์ไลฟ์อีกตอนนะคะ ;^;
ทีแรกตั้งใจจะมีอีกซีน แต่รู้สึกว่าค้างความรู้สึกของตอนนี้ไว้ตรงนี้น่าจะดีกว่าอีกแล้วค่ะ แง้งง
เบื่อความหวานของคู่นี้หรือยังคะ อย่าเพิ่งเลี่ยนจนเลิกอ่านนะ อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วค่ะ ทนหน่อยๆ (ตบบ่า) 5555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ ดีใจมากๆ ที่หลายคนไม่ทิ้งกันกลางทาง ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย  :hao5:
ไม่ชอบตรงไหนก็ติได้เสมอเลยนะคะ น้อมรับและพร้อมปรับปรุงค่ะ ^^





   
   


หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 5 [07/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 07-07-2017 00:44:25
โชพอป่วยแล้วเลเวลอัพเด้อ
นางร้ายนาจาาา ไม่ธรรมดา
นี่เป็นซันพูดเลยว่าจะหวงกว่าซันอีก จะฟัดทั้งวัน
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 5 [07/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 07-07-2017 01:19:45
อยากกัดน้องตี๋เหลือเกิน หวานมากก ขี้อ้อนที่สุดเลย ถ้านี่เป็นซันก็คงอดใจไม่ไหวเช่นกัน แอ่กก
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 5 [07/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 07-07-2017 06:49:35
แอร๊ยยยยยนย
ซันกับตี๋เวลาอยุ่ด้วยกันนี้มันดีจริงๆ
ละมุนละไม ตลบอบอวนไปด้วยความรัก
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 13-07-2017 22:05:04
หลงตะวัน : 6

   
แล้วพวกมันก็มาจริงๆ ครับ

“น่ารัก”

“มาคราวก่อนน่ารักขนาดนี้มั้ยวะ” เพื่อนสี่ตัวของผมยืนบ่นพึมพำมองหน้ากันเลิ่กลั่กอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ในขณะที่ไอ้ตี๋ที่ยืนรอรับออเดอร์อยู่ขยับแว่นท่าทางอึกอัก มองหน้าผมอย่างงุนงงที่อยู่ๆ ผมก็หอบเพื่อนมา

ตั้งใจจะพามาที่ไหน วันนี้ผมเข้าคณะไปตรวจความคืบหน้าโปรเจ็กต์พร้อมกับหาข้อมูลเพิ่มเติมตามปกติ แต่ตอนจะออกมาดันเจอพวกมันดักรออยู่ที่รถ แถมถือวิสาสะยัดกันเข้ารถผมทันทีพร้อมกับบังคับให้พามาที่ร้านโดยไม่ฟังคำคัดค้านใดๆ

พวกเพื่อนเวร ดูดิ๊ ไอ้ตี๋มันตกใจหมด

“จะแดกอะไร” ผมถอนหายใจ เดินเข้าไปวางกระเป๋าแล้วมายืนหน้าแคชเชียร์แทน วันนี้เป็นเวรไอ้นาย แต่มันไลน์มาบอกตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วว่าจะเข้าสาย ตอนนี้หลังเคาน์เตอร์ถึงได้มีไอ้ตี๋คนเดียว

“กูไม่อยากสั่งกับมึงอ่ะ” เพื่อนผมพากันเบ้ปากใส่ ก่อนจะเมินคำถามแล้วหันไปสนใจคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมแทน

“ที่ร้านอะไรอร่อยบ้างอ่ะครับ” พอมีคนหนึ่งเปิดปากแซวพวกที่เหลือก็แห่แซวตามทันที

“เอาแบบที่กินแล้วติดใจจนอยากมาทุกวันแบบไอ้ซันเลยอ่ะ”

“ไอ้โง่! ไอ้เหี้ยซันมันติดใจกาแฟที่ไหน มันติดใจคนชง”

“ยังงี้ไม่เรียกติดแล้ว เรียกเป็นทาส”

“หว่ายยย” 

ไอ้พวกเหี้ย!

ผมกำลังจะตะโกนด่าออกไปแล้ว ถ้าไม่ติดที่ว่าคนข้างตัวเอื้อมมือมากำชายเสื้อผมไว้ทำให้ต้องหุบปากฉับ หันไปมองก็เห็นเจ้าของดวงตาเรียวกำลังกะพริบตาปริบๆ มองผมงงๆ ปนตกใจ

“ซัน?”

พอได้ยินไอ้ตี๋เรียกชื่อผมเท่านั้นแหละ พวกเพื่อนชั่วของผมก็เปิดปากปล่อยหมาออกมาอีกรอบ

“โห มึงทนได้ไงเนี่ย”

“แค่เรียกชื่อเฉยๆ ทำไมมันดูอ้อนจังวะ”

“น่ารักเหี้ยๆ”

“เป็นกูก็หลงอ่ะ”

“สรุปเอาน้ำล้างตีนสี่ที่นะครับคุณลูกค้า” ผมประชดก่อนจะเจ้ากี้เจ้าการสั่งน้ำให้พวกมันเหมือนๆ กันโดยไม่รอคำตอบให้เสียเวลา รู้แล้วว่าจุดประสงค์พวกแม่งไม่ได้อยู่ที่กาแฟเลยสักนิดเดียว

“ไปนั่งรอไป๊ เกะกะ” ผมโบกมือไล่อย่างรำคาญ พวกมันทำเป็นเบ้ปากใส่ ก่อนจะหันไปยิ้มแซวไอ้ตี๋อีกรอบกว่าจะยอมเดินไปนั่งโต๊ะใหญ่ที่ว่างอยู่ ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แล้วหันมาหาไอ้ตี๋ที่มองอยู่ก่อนพอดี มือยังกำอยู่ที่ชายเสื้อผมสีหน้าดูลำบากใจ

ผมว่าผมรู้นะว่าเรื่องที่มันกำลังกังวลคืออะไร เลยยิ้มออกมาบางๆ พลางดึงมือที่จับอยู่ที่ชายเสื้อมากุมไว้ในขณะที่อีกข้างยกขึ้นมาลูบหัวคนตัวเล็กกว่าเบาๆ

“ตกใจอ่ะดิ” ผมเลิกคิ้วถามล้อเลียน แต่คนตรงหน้ากลับขมวดคิ้ว ยังไม่คลายความกังวล

“เพื่อนซันรู้แล้ว?”

“อือ” พยักหน้าพลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยระหว่างคิ้วที่ย่นเข้าหากันให้คลายลง
   
“ไม่เป็นไรเหรอครับ” เจ้าตัวคงรู้ว่าเผลอทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก ถึงได้ยอมคลายคิ้วที่ขมวดแต่ยังไม่วายเอ่ยคำถามด้วยความไม่แน่ใจ
   
“เป็นดิ...” แกล้งตอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าของดวงตาเรียวเบิกตากว้าง มองผมอย่างตกใจระคนเป็นห่วงอย่างชัดเจน “มีแต่เพื่อนปากหมาอ่ะ เป็นห่วงแฟน”
   
“...”
   
“เนี่ย โดนแซวนิดเดียวก็หน้าแดงเป็นลูกเชอร์รี่แล้ว” ว่าพลางเลื่อนมือลงมาบีบแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อตั้งแต่เมื่อกี้แรงๆ “ถ้าโดนมากกว่านี้ไม่เขินจนแก้มระเบิดเลยหรือไง”
   
ถ้าอยู่ในห้องแค่สองคนคงจะฟัดให้หายมันเขี้ยวสักที แต่นี่อยู่ร้าน ถึงตอนนี้ลูกค้าจะไม่เยอะก็เหอะ แต่ก็ต้องท่องนโมพุทโธห้ามใจไว้ ยิ่งมีไอ้พวกเพื่อนเวรนั่งมองอยู่ยิ่งอันตราย ขืนโชว์หวานต่อหน้ามีหวังโดนแซวไปอีกร้อยปี
   
“เลิกพูด แล้วไปชงกาแฟเถอะครับ” แต่จะทนไม่ได้ก็เพราะคนตรงหน้าทำเป็นตีหน้าเอือมใส่ แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มเขินออกมาแบบน่ารักชิบหายนี่แหละ
   
แม่งเอ๊ย ถ้าจับจูบตอนนี้ แล้วโดนแซวร้อยปีจริงๆ ก็คุ้มไม่ใช่เหรอวะ

   




“ตกลงคืนนี้มึงไปกับพวกกูนะ” ยืนเป็นเพื่อนไอ้ตี๋เฝ้าเคาน์เตอร์ได้ไม่นาน ไอ้นายก็มาทำงาน ผมเลยถูกไล่ให้มานั่งคุยกับเพื่อนที่โต๊ะเพราะไอ้ตี๋เห็นว่านานๆ เพื่อนจะมาที่ร้านที แต่ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังผลักผมลงหลุมพรางที่ไอ้พวกเพื่อนเวรสร้างไว้
   
ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่มันแห่ขึ้นรถมาว่าเจตนาคงไม่ได้แค่ต้องการมาแซวผมกับไอ้ตี๋แน่ และตอนนี้ผมก็รู้กระจ่างชัดแล้วว่าเจตนาแอบแฝงของพวกมันคือต้องการชวนผมไปร้านเหล้า ฉลองเนื่องในโอกาสที่ผมกับไอ้ตี๋คบกัน
   
ตอแหลมากครับ อยากแดกเฉยๆ ก็พูดมา
   
“กูไม่ค่อยอยากว่ะ” ผมบอกตามตรง วันนี้โคตรเพลียเลย อยากเคลียร์โปรเจ็กต์ให้ได้ตามเป้าด้วย เพิ่งคุยกับอาจารย์มากำลังมีไฟ ไม่อยากให้ไฟมันมอดซะก่อนจะได้เริ่มทำอะไร

แล้วอีกอย่าง ถ้าผมไป ใครจะอยู่ช่วยไอ้ตี๋เฝ้าร้าน... เออ มีไอ้นายไง
   
แต่ไอ้นายไม่ใช่ผมไง เฝ้าร้านได้แต่เฝ้าไอ้ตี๋ไม่ได้ รายนั้นแม่งยิ่งชอบทำตัวน่ารักเรี่ยราดจนผมอยากจะขังไว้ในห้องให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
   
“ไม่อยากเหี้ยอะไร ติดเมียก็บอกมา” พอเห็นผมปฏิเสธไอ้เพื่อนตัวดีก็เบ้หน้าใส่ เอ่ยอย่างรู้สันดาน
   
“คุณเขาดุเหรอวะ มา เดี๋ยวกูขออนุญาตให้” ว่าจบก็ลุกขึ้นจากโต๊ะไปหาคนตัวเล็กที่ยืนเฝ้าอยู่หลังเคาน์เตอร์โดยที่สายตามองมายังกลุ่มผมเป็นระยะ ผมรีบลุกตามไปทันทีแต่ยังไม่ทันได้ค้านอะไรไอ้เพื่อนเวรก็เสนอหน้าถามไอ้ตี๋ไปก่อนจะถึงตัวซะอีก
   
“โชครับ ขอพาไอ้ซันไปกินเหล้านะ” ทำเสียงอ่อนเสียงหวานอ้อนไอ้ตี๋ต่อหน้าต่อตาผมเลย
   
“ครับ?” ไอ้ตี๋ทำหน้างง หันมามองผมเหมือนจะถามว่าเรื่องอะไร
   
“พอดีมันบอกว่าจะไม่ไปถ้าโชไม่อนุญาตอ่ะ”
   
“อนุญาตพ่อมึง!” ผมโวยและกำลังจะลากคอเพื่อนเวรที่ยืนเกะกะเคาน์เตอร์ออกไป แต่ยังไม่ทันไรเสียงของคนที่ตีหน้างงอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยออกมา
   
“ไปเถอะครับ ผมไม่ได้ว่าอะไร” แถมมองผมตาใส เหมือนอนุญาตให้ไปจริงๆ
   
“ตี๋~” ผมครวญคราง แสดงสีหน้าว่าไม่อยากไปสุดๆ แต่คนที่เข้าใจดันเป็นไอ้นายที่หัวเราะพรืดออกมา ในขณะที่คนตรงหน้าผมยังตีหน้างง เหมือนไม่เข้าใจว่าผมงอแงอะไร
   
รั้งกันไว้หน่อยเถอะครับ ไหว้ล่ะ
   
“โอเค คุณเขาอนุญาตแล้วโว้ย ไปพวกมึง” ว่าจบก็ตวัดแขนกลับมาเป็นฝ่ายลากคอผมออกจากร้าน ในขณะที่พวกที่เหลือตามมาพร้อมเอ่ยพร้อมกันอย่างรู้งาน
   
“โชกุน ขอบคุณคร้าบ~”
   
นี่พวกมึงเป็นคณะตลกหรือไง

   
 ต่อให้ปฏิเสธให้ตาย สุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนมาส่งพวกมันที่ร้านอยู่ดี เพราะพวกแม่งวางแผนมาตั้งแต่แรกไงถึงได้พากันยัดมาในรถผมคันเดียว สุดท้ายก็ต้องรอส่งพวกมันกลับด้วยเพราะไม่มีใครมีรถสักคน 

แต่เพราะใช้ข้ออ้างเรื่องขับรถนี่แหละผมถึงรอดตัวไม่ต้องกินเหล้าได้ แค่นั่งคุยกับพวกมันเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็กปีแก่ที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมหาลัย ขุดเรื่องตั้งแต่รับน้องตอนปีหนึ่งขึ้นมาเล่าแล้วหัวเราะตลกโปกฮากันไปทั้งที่มันก็แทบจะไม่มีเรื่องใหม่ เป็นเรื่องเดิมๆ ที่พูดขึ้นมาในวงเหล้าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยเบื่อสักที
   
“เดี๋ยวกูมานะ” ผมว่า ก่อนจะปลีกตัวออกมาจากวง
   
นั่งมาเพลินๆ จนตอนนี้ตีสามกว่าเข้าไปแล้ว ร้านเหล้าปิดไปตั้งแต่เที่ยงคืน แต่เพราะตรงที่เรานั่งเป็นส่วนเอาท์ดอร์ก็เลยนั่งต่อได้ ถึงแม้ร้านจะปิดไฟ และไม่ขายเครื่องดื่มแล้วก็ตาม ผมเดินออกมานอกร้านใกล้กับลานจอดรถพลางกดโทรศัพท์หาไอ้ตี๋ที่ป่านนี้คงจะกำลังปิดร้านอยู่
   
[ ครับ ] รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับ
   
“ปิดร้านเสร็จหรือยัง” ผมถามกลับไปพลางดูเวลา
   
[ เสร็จแล้วครับ ] ปลายสายตอบกลับมา

[ ซันเมาหรือเปล่า ห้ามขับรถนะ ] ผมหลุดยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินคำถามแสดงความเป็นห่วงเป็นใย

“ไม่ได้เมาครับ ไม่ได้กินเลย”

ปกติด้วยสันดานแล้ว ต่อให้กินเหล้า แต่ถ้าขับรถไหวผมก็มักจะกลับด้วยตัวเอง แต่อยู่ๆ วันนี้ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้กินได้ สาเหตุหนึ่งคงเพราะพรุ่งนี้ผมต้องเข้าคณะตอนบ่าย แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นมาในใจ... เป็นเพราะนึกถึงหน้าใครอีกคน
   
[ ดีแล้วครับ ] ยิ่งได้ยินน้ำเสียงโล่งอกแบบนี้ ก็ยิ่งรู้สึกดีที่ตัวเองรู้จักยับยั้งชั่งใจ...

กลับไปกระดิกหางขอรางวัลสักหน่อยดีมั้ย
   
“แล้วนี่กลับยังไง” ผมถาม ที่โทรหาก็เพราะเป็นห่วงเรื่องนี้แหละ ดูเวลาแล้วผมคงกลับไปหาไม่ทันแน่ๆ 
   
เคยบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าถึงหอไอ้ตี๋จะใกล้ร้านแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ชอบให้มันเดินกลับคนเดียว ช่วงก่อนจะคบกันผมถึงขั้นหาข้ออ้างด้วยการเอารถไปจอดไว้หอมัน ลามปามถึงขั้นหน้าด้านไปขออาศัยนอนโซฟาห้องคุณเขา จนกลายเป็นความเคยชินที่ต้องกลับพร้อมกันทุกวัน แต่พอคบกันข้ออ้างเหล่านั้นก็ไม่จำเป็น ผมเป็นห่วงอย่างเปิดเผยได้ อยากไปไหนผมก็ไปส่งได้ในฐานะแฟน

ถ้ารู้ว่าจะทำตามใจตัวเองได้แบบนี้ รู้งี้สารภาพรักไปตั้งนาน
   
[ นายไปส่งครับ ] เว้นวรรคไปพักหนึ่ง ปลายสายก็ตอบกลับมา

ตอนแรกคิดว่าคนดื้อจะตอบว่ากลับเอง แต่พอได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา... รู้ว่าผมเป็นห่วงอยู่สินะ

น่ารักว่ะ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะจับฟัดสักที

“โอเค” ผมรับคำสั้นๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยคำเดียวกัน

[ โอเคครับ ]

แต่ยังไม่วางสาย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีอีกหนึ่งคำถาม...

โกหกอ่ะ จริงๆ ไม่รู้หรอก แต่กำลังรอให้มันถาม

[ แล้ว... จะกลับเมื่อไหร่ครับ ]

เพราะแบบนั้นถึงได้หลุดยิ้มกว้างกว่าเดิมตอนที่ได้ยินคำถามที่ต้องการ

ให้ตาย อยากกลับไปหาตอนนี้เลยได้มั้ย

“เดี๋ยวกลับแล้ว ขอไปส่งเพื่อนก่อนนะ”

[ โอเคครับ ]

“โอเค” เราพูดคำเดิมซ้ำขณะถือสายไว้ ยังไม่มีใครยอมวาง ฟังเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายผ่านสายโทรศัพท์สักพัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เหมือนโทรจีบกันเลยว่ะ” ผมพึมพำพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย

ก็ไม่รู้จะเขินทำไมเหมือนกัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่โทรคุยกันสักหน่อย แต่... ไม่รู้ดิ มันเป็นความรู้สึกประหลาดดีที่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นสถานการณ์ที่... สร้างความคิดถึงในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งผมไม่รู้จะอธิบายยังไง

รู้แต่ว่ามันทำให้หัวใจอุ่นวาบขึ้นมา และอยากจะวาร์ปไปหาซะเดี๋ยวนี้เลย

[ วางได้แล้ว ] ต่างคนต่างเงียบไปอีกครั้งก่อนปลายสายจะเอ่ยกลั้วหัวเราะ

[ ขับรถดีๆ นะครับ ] ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะวางสายไป สงสัยรู้ว่าถ้ารอผม คงฟ้าสว่างนู่นแหละกว่าจะได้วาง

ผมยิ้มค้างกับตัวเองอยู่สักพัก ก่อยจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและกำลังจะเดินกลับเข้าร้านไปตามไอ้พวกเพื่อนเวร แต่พอหมุนตัวกลับมาก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ามีใครบางคนยืนกอดอกมองอยู่ด้านหลัง เจ้าของใบหน้าหวานยิ้มบางๆ ออกมาทันทีที่ผมหันไปสบตา

“ไงซัน”

“พราว?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเธอในที่แบบนี้ แถมเวลานี้อีกต่างหาก

นับตั้งแต่หลังงานเลี้ยงส่งวีคืนนั้น ผมก็ไม่ได้เจอพราวอีกเลย ไม่ได้ไปหา ไม่ได้ติดต่อ เหมือนเราต่างรู้กันดีว่าถึงเวลาต้องแยกย้าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะมองหน้ากันไม่ติด เพราะเราไม่ได้จากกันด้วยไม่ดี ตรงกันข้าม ผมกลับคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่น่ารำคาญ ออกจะตรงไปตรงมาสามารถเปิดใจคุยกันได้หลายเรื่องด้วยซ้ำ ต่างจากผู้หญิงคนหลายๆ คนที่ผมเคยคลุกคลี

“ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ” ร่างบางอันคุ้ยเคยเอ่ยทักทาย พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาหาในระยะที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ที่อยู่ในลมหายใจ

“พราวเมาเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว เอ่ยถามออกไป

“กินไปนิดหน่อยน่ะ” เสียงหวานหัวเราะเบาๆ

“แล้วนี่มากับใคร” ผมเปลี่ยนคำถาม มองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักพราวเลย เธอมองตามสายตาผม ก่อนจะยักไหล่ท่าทางไม่ใส่ใจ

“มากับเพื่อน แต่กลับกันหมดแล้ว ซันล่ะ?”

“มากับเพื่อนเหมือนกัน” ผมตอบ ขมวดคิ้วพลางโน้มตัวมองคนตรงหน้าในระดับสายตา

ให้ตาย ตาเยิ้มขนาดนี้ไม่ได้กินไปนิดเดียวแล้วมั้ง

“พราวจะกลับยังไง ให้เราโทรเรียกใครมั้ย” แต่แทนที่จะตอบคำถาม เจ้าของดวงตาหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะหน้าผม เกลี่ยเบาๆ แล้วยิ้มกว้าง

“ซันนี่ ยังน่ารักเหมือนเดิมเลย” 

ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของเธอ แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงเป็นแค่คำพูดเรื่อยเปื่อยของคนเมา แล้วถามย้ำอีกครั้ง

“ให้เราเรียกใครให้มารับมั้ย?”

มองหน้าผมอยู่พักใหญ่ พราวก็ส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้างอแง “ไม่เอา...” 

ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ในขณะที่พราวหัวเราะออกมาอีกครั้ง ดวงตากลมโตจ้องหน้าผมนิ่งด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย พร้อมกับใบหน้าหวานที่เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นจนจมูกแทบจะแตะกัน ขณะที่นิ้วเรียวเกี่ยวกุญแจรถของตัวเองออกมาจากกระเป๋า แกว่งไกวจนได้ยินเสียงพวงกุญแจกระทบกันข้างหู แล้วกระซิบเบาๆ

“พราวอยากให้ซันไปส่งพราว”






ผมตัดสินใจโยนกุญแจรถตัวเองให้เพื่อนที่นั่งคุยกันจนสร่างแล้ว ส่วนตัวเองก็ขับรถพราวมาส่งเธอที่หอ อย่างที่บอกว่าต่อให้เราไม่ได้ติดต่อกัน แต่ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้ เพราะในใจก็ยังเป็นห่วงในฐานะเพื่อนอยู่ดี

ตอนแรกผมกะว่าส่งเธอถึงหอผมก็จะกลับ แต่เพราะพราวบอกว่ามีของของผมที่เคยลืมไว้ บวกกับสภาพเจ้าตัวที่ดูแล้วน่าเป็นห่วงว่าจะไม่สามารถเดินถึงห้องได้ ผมเลยตัดสินใจขึ้นมาส่ง

“ไหวมั้ยเนี่ย” ผมถามกลั้วหัวเราะ ขณะเดินตามร่างบางไปตามทาง ไม่ได้เข้าไปประคอง แต่ก็คอยระวังหลังให้ เผื่อว่าคนที่เดินโซเซบนรองเท้าส้นสูงจะล้มลงมา พราวหัวเราะเบาๆ พยุงตัวเองเดินต่อจนถึงประตูห้องอันคุ้นเคย

ไขประตูเข้ามาได้เธอก็สลัดรองเท้าส้นสูงออกก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เวียนหัวชะมัด”

“ไหนบอกดื่มไปนิดเดียวไง” ผมว่าพลางเดินไปที่ครัว รินน้ำมาให้เจ้าของห้องดื่มโดยไม่ถามอะไร พราวมองแก้วน้ำที่ผมวางไว้ให้นิ่งๆ ไม่ยอมหยิบไป ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

“ซัน...” เอ่ยชื่อผม แต่ไม่ยอมพูดอะไร เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมด้วยสายตาอ่านยากอีกครั้ง จนผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเรามันเปลี่ยนไป ถึงได้ผละออกมา มองหาสิ่งที่พราวบอกว่าลืมไว้

“ไหนเหรอ ของของเรา”

พราวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “อยู่ในห้องนอน”

ผมพยักหน้า พลางเดินเข้าไปในห้องนอนตามที่บอก ก็เห็นว่าบนโต๊ะข้างเตียงมีนาฬิกาข้อมือของตัวเองวางทิ้งไว้ จึงเดินไปหยิบมาใส่ ก่อนจะกวาดสายตามองหาอย่างอื่นแต่ไม่เห็นอะไรที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นของตัวเองอีก เลยหันไปถามเจ้าของห้องเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินตามมา

“มีแค่นี้เหรอ...”

แกรก

แต่พอหันกลับมาก็เห็นว่าพราวกำลังปิดประตูห้องนอนพอดี

“พราว?” เสียงล็อกประตูทำให้ผมขมวดคิ้ว เรียกชื่อเธอออกไป

“คืนนี้ค้างที่นี่นะ” แต่ร่างบางกลับเดินเข้ามาประชิดตัวสวมกอดผมไว้พลางเงยหน้ากระซิบจนลมหายใจร้อนๆ ละต้นคอ

มันเป็นสัญญาณที่เราต่างรู้กันดีว่าหมายถึงอะไร...

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงยิ้มให้เธอและปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป แต่ตอนนี้คงไม่ได้

“พราว” ผมเรียกชื่อเธออีกครั้ง ดันไหล่ร่างบางให้นั่งลงบนเตียงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้เรามีแฟนแล้ว”

ถึงข่าวลือเรื่องผมกับไอ้ตี๋จะเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์แค่ไหน ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้ บางทีพราวอาจจะไม่เคยได้ยินก็ได้ ถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา

“ว่าแล้วเชียว” แต่ผมคงเข้าใจผิด พอได้ยินแบบนั้นพราวก็หัวเราะออกมา เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วเอ่ยคำถามที่ดูเหมือนเธอจะค้างคาใจตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันหน้าร้านเหล้า “คนที่ร้านกาแฟนั่นเหรอ”

“อืม” ผมยอมรับตามตรง พราวขมวดคิ้วมองผมสีหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ดูสับสนวุ่นวายในคราวเดียวกัน

มันคงแปลกน่าดูที่ผมเคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอย่างเธอ แต่อยู่ๆ กลับเปลี่ยนใจไปคบกับผู้ชาย

“ตกลงว่าซันเป็นเกย์จริงๆ เหรอ?”

ผมหัวเราะพลางยักไหล่ “ก็คงงั้น”

เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอให้ได้อยู่ข้างๆ ไอ้ตี๋ก็พอ

“เราพิสูจน์ได้มั้ย” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกฉีกยิ้มร้าย ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาดึงใบหน้าผมให้โน้มลงไป

“อย่าดีกว่า” แต่ผมก็ขืนตัวไว้ เอ่ยขำๆ ก่อนจะเฉไฉพาตัวเองออกมาอยู่ในระยะปลอดภัย “ตกลงว่าของที่ลืมไว้มีแค่นาฬิกาอย่างเดียวใช่มั้ย?”

“นานแค่ไหนแล้ว?” แต่แทนที่จะตอบ พราวกลับขมวดคิ้ว เอ่ยถามคล้ายกับมันเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่สามารถตอบได้จึงเงียบไป พราวจึงมองผมนิ่ง แค่นหัวเราะ ก่อนจะถามใหม่

“งั้นเปลี่ยนเป็นถามว่าซันรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ดีมั้ย?”

“พราว”

“ตั้งแต่คุยกับพราวแล้วใช่มั้ย” เธอแค่นหัวเราะออกมาอีกครั้ง ยกมือขึ้นมากุมขมับพลางส่ายหน้าไปมา “น่าสมเพจริงๆ”

“...” ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ในเมื่อสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง... ถ้าสืบสาวกลับไป ผมรู้ตัวดีว่าผมมีใจให้ไอ้ตี๋มาตั้งนาน... อาจจะก่อนคุยกับพราวด้วยซ้ำ

“นอกจากจะใช้ประชดวีแล้ว ยังใช้พราวเพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย... ใช้กันซะคุ้มเลยนะซัน” เธอเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่แววตาไร้ความขบขัน

“ขอโทษนะ” ผมได้แต่พูดแค่นั้น รู้ดีว่าการกระทำของตัวเองมันไม่ต่างจากที่เธอพูดนัก

จริงอยู่ที่เรื่องวีมันเป็นการตกลงปลงใจร่วมกัน แต่หลังจากนั้น... หลังจากที่ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้คิดอะไรกับวีแล้ว ผมกลับยังไปมาหาสู่กับพราว เพียงเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง

ต้องการยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นเกย์ ต้องการรู้ว่าความจริงแล้วผมกำลังรู้สึกยังไง... และมันก็ได้ผล เพราะตลอดเวลาที่อยู่กับพราว ผมกลับยังนึกถึงแต่หน้าไอ้ตี๋ แถมมีบางครั้งบางที ที่ผมมาหาเธอ เพียงเพราะต้องการจะหนีความรู้สึกตัวเองที่ทวีขึ้นทุกวัน... ไม่ต่างจากการหลอกใช้เธอ 

มันโคตรจะเลวที่ผมทำแบบนั้น แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนแล้วจริงๆ 

“มันแย่ตรงที่ ต่อให้รู้ตัวว่าถูกหลอกใช้... พราวก็เกลียดซันไม่ลงอยู่ดี” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกแค่นยิ้มออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดวงตากลับทอประกายบางอย่างที่ผมไม่อาจเข้าใจ

คล้ายกับจะตัดพ้อ แต่ก็ดูร้ายกาจอย่างยากจะอธิบาย

“งั้นพราวขอทำให้ซันเกลียดพราวแทนแล้วกัน” ผมยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเธอเอ่ยประโยคนั้นออกมา พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมาจากกระเป๋า แล้วยื่นมาให้ตรงหน้า

“เฮ้ย!” แต่เมื่อเห็นหน้าจอที่ค้างอยู่ผมก็เบิกตากว้าง ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ คว้าโทรศัพท์มาถือไว้เองเพื่อดูให้แน่ใจ ว่าหน้าต่างแชทของแอพพลิเคชั่นไลน์ เป็นชื่อแอคเคาท์และรูปโปรไฟล์ของคนที่ผมคิดจริงๆ

มันคือไลน์ของไอ้ตี๋

“ทำบ้าอะไรเนี่ย!” แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ผมตกใจจนขึ้นเสียง ไม่ใช่เรื่องที่พราวมีไลน์ไอ้ตี๋ได้ยังไง แต่เป็นเพราะข้อความ
ล่าสุดที่เธอเพิ่งส่งไป... รูปถ่ายเพียงรูปเดียวที่อยู่ในกล่องสนทนา

รูปที่ผมยืนใส่นาฬิกาอยู่ตรงหัวเตียงของพราว

ถ้าหากดูเผินๆ มันคงเป็นเพียงรูปถ่ายธรรมดาที่ไม่น่าสงสัยอะไร ไม่ได้ล่อแหลมหรือดูอันตรายเลยสักนิด แต่เพราะผมรู้ดีว่าเจตนาของคนส่งคืออะไร ถึงได้รู้สึกร้อนใจขึ้นมา

และมันยิ่งน่าหวั่นใจ เมื่อเห็นว่ามุมขวาของรูปขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว แต่กลับไม่ตอบอะไรกลับมาแม้แต่ข้อความเดียว





--------------------------------------------------
กลัวว่าจะเบื่อความหวานกัน เลยหาอะไรมาตัดเลี่ยนให้ค่ะ 5555
เข้าสู่ครึ่งหลังของพาร์ทหลงตะวันแล้วล่ะ (คิดไว้ว่าน่าจะมีประมาณ12ตอนค่ะ)
ใกล้จบเต็มทีแล้วค่ะ เริ่มใจหายนิดๆ เนอะ  :hao5:
ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้อีกครั้งนะคะ
ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ยังไงก็ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนจบเลยนะคะ
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่า
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 13-07-2017 22:54:53
ใจพี่
อย่าเกิดอะไรขึ้นเลย
พราวนี่ร้ายมาก
ความพระเอกของซันได้ทำร้ายตัวเองแล้ว เฮ้อ
บางคนก็ไม่ควรไปดีด้วยจริงๆนะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: aunszMT ที่ 13-07-2017 23:40:17
น้องตี๋ของพี่ จะคิดมากแค่ไหนนะ จะร้องไห้รึป่าว นังพราวทำไมหล่อนไม่จบห่ะ!!
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 14-07-2017 00:11:58
จบแบบนี้มันน่าตีๆๆๆๆๆๆๆ 
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 14-07-2017 10:14:53
โอ้ยยยยยยยยย
ซันรีบเลย รีบกลับบ้านไปเคลียร์กะตี๋เลย
ป่านนี้คิดมาก นอยด์แตกไปแล้วมั้งเนี้ย

อยากอ่านตอนต่อไปมากกกกก
อยากเหนเค้าง้อกันแบบหวานๆ 5555



หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-07-2017 23:05:09
ความเป็นคนดีนี้ ไงล่ะคะะะะะะ หึ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 6 [13/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 15-07-2017 01:25:09
โอ๊ยยยย พราววววว นังข่นเลววววว
ตี๋ต้องสตรองนะลูกกกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 15-07-2017 16:21:33
หลงตะวัน : 7

   
ผมได้แต่ยืนตัวชา สมองไม่ยอมสั่งการอะไรขณะมองพราวเอื้อมมือมาดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองกลับไป ริมฝีปากเคลือบลิปสติกผุดยิ้มน้อยๆ คล้ายกับพอใจในปฏิกิริยาของผม ก่อนจะเอ่ยออกมา
   
“ขอโทษนะซัน”
   
“...”
   
“ดูเหมือนเรื่องนี้พราวจะได้รับบทเป็นตัวร้ายน่ะ” ผมจ้องหน้าเธอนิ่ง นานพอจะทำให้รู้ว่าการกระทำ คำพูด และความรู้สึกของคนตรงหน้ามันต่างกัน
   
เธอเหยียดยิ้มและใช้คำพูดร้ายกาจ แต่แววตากลับดูหม่นเศร้าและกำลังสั่นระริกด้วยความรู้สึกบางอย่างอย่างสังเกตได้
   
“พราว” ผมถอนหายใจ ยังคงตกใจและงุนงงจนต้องเงียบไปสักพักเพื่อคิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไร
   
แต่ดูเหมือนมันจะยากขึ้นเมื่อในหัวมีแต่ภาพของอีกคน... ป่านนี้ไอ้ตี๋จะเป็นยังไง กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมเห็นรูปแล้วถึงไม่ตอบอะไรกลับมา ไม่ถามสักคำว่าคืออะไร น่าจะโทรหาผม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือโวยวายออกมาบ้างก็ยังดี... ไม่ใช่เงียบไปแบบนี้
   
อยากกลับไปหาแล้ว อยากอธิบาย แต่รู้ดีว่ายังทำไม่ได้ถ้าตรงนี้ยังไม่เคลียร์
   
“ทำแบบนี้ทำไม” สุดท้ายก็ได้แต่ถามคำถามโง่ๆ ออกไปทั้งที่คำตอบมันก็ออกจะทนโท่ว่าเธอต้องการอะไร
   
เธอกำลังพยายามสร้างความเข้าใจผิดระหว่างผมกับไอ้ตี๋ ต้องการให้เราทะเลาะกัน
   
พราวแค่นหัวเราะ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู

“ถือซะว่าเอาคืนกับสิ่งที่ซันทำแล้วกัน” เธอว่าพลางเปิดประตูเพื่อไล่กัน “ทีนี้ซันก็ไปได้แล้ว”

ผมถอนหายใจ เดินออกจากห้องนอนมาโดยไม่อิดออดอะไร แต่ก็ไม่วายหันกลับไปมองร่างบางอีกครั้ง เริ่มเข้าใจว่าทำไมเธอเลือกทางแบบนี้... ซึ่งมันก็เหมาะกับคนอย่างพราวดี

บางทีการแตกหักไปเลย อาจจะทำให้สบายใจมากกว่าการถนอมน้ำใจ จนปล่อยให้อะไรมันคาราคาซังก็ได้

“รู้ใช่มั้ยว่าทำแบบนี้แล้วจะกลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้” ผมถาม ขณะที่พราวนิ่งไป ก่อนจะเหยียดยิ้มออกมา

“พราวไม่ได้อยากเป็นเพื่อนซัน”

“เราจะมองหน้ากันไม่ติด ไม่สิ... ต้องบอกว่าหน้าพราว เราก็ไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ”

คราวนี้เธอเม้มปาก สีหน้าดูกล้ำกลืนแต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “อืม”

ผมขมวดคิ้ว จ้องเธอนิ่งอีกครั้ง แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ถ้าพราวต้องการแบบนั้นก็ตามใจ”

น่าแปลกเมื่อทบทวนกับตัวเองแล้วผมกลับพบว่าตัวเองไม่ได้เกลียดพราวอย่างที่เจ้าตัวต้องการ... ไม่ได้โกรธด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะผมเห็นด้วยกับเธอว่าผมควรได้รับบทเรียนบ้างกับสิ่งที่ตัวเองทำ

และอีกอย่าง... ผมคิดว่าผมมั่นใจ ว่ามันจะไม่เป็นไร

“แต่รู้มั้ยว่าสิ่งที่พราวทำมันไม่มีประโยชน์อะไร”

สิ่งที่เธอทำไม่มีทางส่งผลอะไรระหว่างเรา
   
“ต่อให้รูปนั้นทำให้เราถูกเข้าใจผิดจริง เราก็จะผ่านไปได้”
   
ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนเหมือนกัน แค่รู้สึกว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่...

“ถ้าเป็นโช... ยังไงก็เข้าใจ”

“...”

“ถ้าเป็นโชกุน ต้องรู้แน่ ว่าเราไม่ได้มีใคร”

“...”

“มันมีเหตุผลอีกเป็นร้อยเป็นพันเลยที่จะทำให้เรากับโชเลิกกัน... แต่ไม่ใช่การนอกใจ”

ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดทั้งหมดนั่นออกไปด้วยสีหน้าแบบไหน ถึงได้ทำให้พราวนิ่งไป ก่อนที่สุดท้ายเธอจะหัวเราะออกมา

“ซันนี่... น่ารักจริงๆ”






จากที่คิดว่าจะยืมรถพราวกลับหอ สุดท้ายผมก็ต้องเปลี่ยนใจโทรเรียกเพื่อนมา โชคดีที่พวกมันยังไม่กลับถึงได้แวะมารับผมได้โดยไม่เสียเวลา พวกมันสงสัยน่าดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไร ตลอดทางเอาแต่จ้องโทรศัพท์มือถือตัวเอง มองเบอร์ที่ไม่กล้าโทรออก สลับกับหน้าจอแชทที่ไม่กล้าพิมพ์อะไรออกไปอยู่อย่างนั้นด้วยความร้อนใจ

คำแก้ตัวมากมายผุดขึ้นมาในสมอง แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง ถ้าผมแสดงออกไปตอนนี้ก็เหมือนร้อนตัว รู้ว่าต้องรอคุยกันตอนเจอหน้าถึงจะเข้าใจ แต่ตอนนี้นี้อึดอัดชิบหายเลย

“ไอ้เหี้ยซัน มึงดูเครียดมาก ไม่เป็นไรแน่นะ” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยดังขึ้นมาจากคนขับ

“ไม่เป็นไร” ผมตอบ ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านั้น ขณะเงยหน้าขึ้นมองถนน สลับกับโทรศัพท์ตัวเองอีกครั้ง
อย่างที่บอกว่าเห็นพวกมันใกล้สร่างเมากันหมดแล้วผมถึงยอมโยนกุญแจรถให้ และตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่ขับรถ เพราะถึงจะไม่ได้ดื่ม แต่ตอนนี้ผมไม่มีสมาธิพอที่จะโฟกัสกับถนนตรงหน้าแน่นอน โชคดีที่ถนนมันโล่งมากจึงทำให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีรถก็เลี้ยวเข้ามาตรงทางเข้าหอจนได้

“กูไปก่อนนะ ขับรถดีๆ” ผมแทบจะกระโดดลงจากรถทันทีทั้งที่ยังจอดไม่สนิท บอกลาพอเป็นพิธีแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าหอมา

สมองผมกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อพยายามหาคำอธิบาย... ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นปากดีว่าไอ้ตี๋จะต้องเข้าใจอยู่เลย แต่ตอนนี้แม้แต่ประโยคเริ่มเรื่องผมยังคิดไม่ได้

ถ้ามันโกรธจะทำยังไง ถ้าโดนโวยวายใส่จะต้องพูดอะไร หรือถ้ามันร้องไห้...

บ้าเอ๊ย ห้ามร้องไห้เชียว

อะไรก็ได้ แต่อย่าร้อง ผมเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้มันเสียใจ และผมไม่อยากผิดสัญญาไวขนาดนี้

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งร้อนใจ รีบสาวเท้าไปจนถึงหน้าห้องอย่างรวดเร็วก่อนจะไขประตูเข้าไป ตอนแรกคิดว่าจะถูกล็อกจากข้างในอีกชั้นเสียอีก แต่ผิดคาดที่ผมกลับเปิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย

และยิ่งผิดคาดไปกันใหญ่ เมื่อเข้ามาจนถึงห้องนอนกลับพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน

“โช...” แต่ยังไม่ทันจะได้มองหา คนที่คิดว่าควรจะอยู่บนเตียงกลับเดินออกมาจากอีกทาง

คนตัวเล็กเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพเพิ่งอาบน้ำมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันอยู่ที่เอว ร่างกายผอมบางและเส้นผมหนาที่ถูกผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมอยู่มีหยดน้ำเกาะพราว

แล้วอยู่ๆ คำพูดที่เคยอยู่ในหัวก็หายไป ผมได้แต่ยืนนิ่ง รอดูปฏิกิริยาของอีกคน คิดไปต่างๆ นานาว่ามันจะพูดถึงเรื่องนั้นยังไง และผมควรจะแก้ตัวยังไง ในขณะที่เจ้าของดวงตาเรียวกำลังไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า หยุดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแถวอกซ้ายสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้งแล้วยิ้มบางๆ

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

“...” ผมชะงัก นั่นไม่ใช่คำถามที่คิดว่าจะได้ยิน

ไม่โวยวาย ไร้ปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ากำลังโกรธขึ้งใดๆ... แต่ก็ใช่ว่าผมจะมองไม่ออกว่าในแววตามีอะไรบางอย่างที่ปิดบังไว้

“ซันนอนก่อนก็ได้นะ ผมขอเช็ดผมก่อน” ว่าพลางเบือนหน้าหนี เดินเลี่ยงผมเข้าไปในห้องนอนเพื่อใส่เสื้อผ้า

ผมยังคงยืนอยู่หน้าประตู มองเจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่กำลังค้นตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงผ้ากับเสื้อยืดตัวโคร่งเพราะเป็นของผมขึ้นมาใส่ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเดินเข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กไว้จากด้านหลัง

“ซัน?”

นึกไปถึงคราวก่อนที่เราความคิดเห็นไม่ตรงกัน เรื่องสายตาของคนภายนอกที่ทำให้เราปั้นปึ่งใส่กัน แล้วก็เข้าใจว่าทำไมไอ้ตี๋ถึงทำแบบนี้...

เพราะไม่อยากชวนทะเลาะ ไม่อยากผิดใจกัน ถึงได้ทำเป็นปิดหูปิดตาสินะ

บ้าชะมัด

“ทำไมไม่พูดอะไรสักคำ” ผมพึมพำ ซุกหน้าลงกับไหล่บางพลางรัดอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม “แล้วแบบนี้จะอธิบายได้ยังไง”
คำพูดมากมายในหัวที่ผมเตรียมไว้ กลายเป็นหมดความหมายไปหมดเมื่อมันไม่ยอมถามอะไร คนในอ้อมกอดเงียบไปนาน ก่อนจะเอียงหน้ากลับมาถาม “หมายถึงอะไรครับ”

ยังจะมาทำไขสืออีก น่าตีชิบ

ผมถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง ก่อนจะผละอ้อมกอดออก จับคนตัวเล็กให้หมุนกลับมาเผชิญหน้า

“เรื่องพราว” คราวนี้ไอ้ตี๋เบิกตากว้างขึ้นมาทันทีที่ผมเป็นฝ่ายพูดออกไปเอง “เค้าส่งรูปมาให้ใช่มั้ย”

คนตรงหน้ากะพริบตาปริบๆ มองผมนิ่งสักพักก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว “รู้ด้วยเหรอครับ”

“อืม” ผมตอบ ก่อนจะทำสีหน้ากระเง้ากระงอดใส่ “ทำไมเห็นแล้วถึงไม่ว่าอะไรเลย”

“ผม...” เว้นวรรคไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจพลางเดินไปนั่งบนเตียงแล้วเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ผมไม่รู้จะพูดอะไร”

ก่อนที่แววตาจะเริ่มสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่ผมคิดไว้
   
“ผมกลัว...” แล้วสุดท้ายก็สารภาพสิ่งที่คิดออกมาตามตรง “ถ้ามันมีอะไรมากกว่ารูปที่ส่งมาจะทำยังไง”

“โช” ผมเรียก ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆ จับใบหน้าให้หันมาสบตาแล้วมองด้วยสีหน้าจริงจัง “มันไม่มีอะไร”

“แล้วไปหาเธอทำไมครับ” คนตัวเล็กขมวดคิ้ว มองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ได้ไปหา แค่บังเอิญเจอกัน”

ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ดูสับสนจนผมขมวดคิ้วตาม “แต่เธอบอกว่าซันไปหา”

“ฮะ?” ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมาอีกครั้ง จับไหล่บางให้หันมามองหน้ากันตรงๆ เพื่ออธิบาย “ไม่ได้ไปหา แค่บังเอิญเจอกันจริงๆ” ย้ำคำพูดเดิมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกว่าเดิม

“พราวเมา ก็เลยขับรถไปส่งที่ห้อง แค่นั้นเอง”

“ต้องเข้าไปถึงห้องนอนเลยเหรอครับ”

“แค่ไปเอานาฬิกา นี่ไง” ผมชูนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมา ไอ้ตี๋มองตาม แต่สีหน้าไม่บ่งบอกอะไร

ผมได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ เพราะไม่รู้จะทำยังไงคนตรงหน้าถึงจะเข้าใจ ยิ่งมันนิ่งแบบนี้ผมยิ่งเดาใจไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไร กลัวว่ามันจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“โช กำลังคิดอะไรอยู่ บอกได้มั้ย” สุดท้ายผมก็ทนความอึดอัดไม่ไหว เว้าวอนออกมาตรงๆ

“เชื่อที่พูดบ้างมั้ย กำลังโกรธอยู่หรือเปล่า ช่วยบอกที” ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางยกมือขึ้นมาสางผมเปียกๆ ที่ลู่ลงมาปรกหน้าออกไป ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงไปบนหน้าผากใส

“อย่าเก็บไว้ในใจ” กระซิบเบาๆ แล้วก้มหน้าลงมาสบตาอีกครั้ง “ซันไม่อยากให้โชระแวง”

ถ้าต้องคบกันโดยที่อีกฝ่ายอยู่ในความไม่เชื่อใจ ไม่สบายใจ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่จะคบกัน

ไอ้ตี๋ขมวดคิ้วมองผม เม้มปากท่าทางเหมือนกำลังไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา “ผมถามได้มั้ยครับ”

ผมเลยยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า

“ซันคบกับผมเพื่อประชดใครหรือเปล่า”
   
“หมายความว่าไง?”
   
ไอ้ตี๋ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าซันนอนกับเธอเพื่อประชดแฟนเก่า ให้ผมระวังไว้”
   
“หา?”
   
“จริงหรือเปล่าครับ”
   
ผมขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ตอนพราวเอาไลน์ให้ดูไม่มีข้อความพวกนี้ หมายความว่าเธอเพิ่งส่งมาทีหลังงั้นเหรอ
   
ให้ตาย ร้ายชะมัด

นี่กะจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดจริงๆ เลยใช่มั้ย
   
“ไม่จริง” แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอธิบาย “กับพราวมันเป็นแบบนั้น... แต่ตอนนี้ไม่ใช่”
   
รู้เลยว่ากรรมตามสนองมันเป็นยังไง เคยใช้ความรู้สึกเป็นเครื่องมือ แล้วตอนนี้ก็กำลังถูกเล่นงานด้วยการใช้ความรู้สึกเหมือนกัน
   
“เรื่องวีมันจบไปแล้ว จบไปตั้งนานแล้ว” ผมยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไว้อีกครั้ง “เรื่องพราวก็เหมือนกัน ตอนนี้มันจบแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครแล้วทั้งนั้น” พูดอย่างจริงจังเพื่อให้มั่นใจ แทบจะอ้อนวอนด้วยซ้ำ เพราะถ้ามันไม่เชื่อ ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

ลุ้นจนเผลอกลั้นหายใจ เมื่อมันมองหน้าผมนิ่ง แววตายากจะอธิบาย ก่อนที่สุดท้ายจะถอนหายใจเบาๆ พลางจ้องผมกลับด้วยสายตาจริงจังไม่แพ้กัน

“ซัน... ขอโทษนะที่ผมไม่มั่นใจ” ดวงตาเรียวคล้ายจะปะปนด้วยความรู้สึกผิดและตัดพ้อในคราเดียว “ผมควรจะเชื่อใจซันมากกว่านี้ แต่ว่า มันก็อดสงสัยไม่ได้”
   
“ไม่เป็นไร” ผมหลุดหัวเราะ เมื่อดูเหมือนอะไรๆ จะเริ่มคลี่คลาย ถึงจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีแล้วที่มันยอมฟัง 

“สงสัยอะไรก็ถาม โอเคมั้ย” ผมบอกพลางจับผ้าขนหนูคลุมหัวเปียกๆ แล้วเช็ดให้เบาๆ

ผมไม่อยากให้เราเลิกกัน เพราะงั้นถ้าความเข้าใจผิดครั้งนี้ทำให้ความเชื่อใจลดลงจริง สิ่งที่ผมทำได้ก็คงมีแค่พยายามสร้างมันขึ้นมาใหม่เท่านั้น... แต่บอกแล้วไงว่าผมโชคดีที่ไหนที่คนข้างๆ เป็นไอ้ตี๋

คนที่พร้อมจะเข้าใจผม ไม่ว่าจะเรื่องอะไร
   
“โอเคครับ” หลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ไม่นานก็ตีหน้ามุ่ย ยื่นมือออกมาตรงหน้าผม “งั้น... ผมเช็กโทรศัพท์ได้มั้ย”
   
ผมหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาปลดล็อกแล้วส่งให้ทันทีด้วยความบริสุทธิ์ใจ 
   
ไอ้ตี๋เลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างชั่งใจนิดหน่อย แต่ก็หยิบโทรศัพท์ แล้วขยับไปนั่งพิงหัวเตียงสวมบทบาทแฟนขี้หึงที่กำลังแอบเช็กโทรศัพท์แฟน ผมหัวเราะอย่างเอ็นดู ก่อนจะขยับตามไปนั่งข้างๆ ลอบอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักขณะที่มันกำลังเคร่งเครียดกับการเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ
   
ผมยืดตัวเกยคางลงบนหัวคนที่เอนร่างลงมาพิงบนตัวผมอย่างสบาย มือสองข้างเช็ดผมให้เจ้าตัวที่ดูเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเพิ่งสระผมมา มองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองก็พบว่าถูกกดเข้าแอพลิเคชั่นไลน์เป็นอย่างแรก เพราะมันรู้ว่าเป็นช่องทางที่ผมใช้ติดต่อใครต่อใครมากกว่าแอพอื่นๆ นิ้วเรียวเลื่อนผ่านแชทล่าสุดที่ส่วนใหญ่เป็นไลน์กลุ่มที่ผมไม่ได้สนใจจนขึ้นแจ้งเตือนรวมกันเป็นร้อยๆ ข้อความ
   
เดาได้ไม่ยากว่าไอ้ตี๋คงกำลังเลื่อนหาแชทของผมกับพราว แต่มันตกลงไปไกลทีเดียว เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้ติดต่อกันมานาน
   
“อันนี้เหรอครับ” แต่พอค้นเจอดันหันกลับมาถามกันด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ
   
เป็นการเช็กโทรศัพท์ที่โคตรจะไม่มีความน่ากลัว นี่ถ้าผมคุยกับคนอื่นจริงแล้วลบแชทก็รอดตัวแล้วไม่ใช่หรือไงวะ
   
เจ้าของใบหน้าใสก้มหน้าก้มตาเลื่อนโทรศัพท์ผมอีกครั้งเมื่อผมพยักหน้า ในขณะที่ผมเปลี่ยนมาเกยคางบนไหล่ หยุดเช็ดผมแล้วใช้แขนสองข้างลงมากอดเอวบางไว้แทน 
   
“ไม่น่าดูเลยอ่ะ” เลื่อนอ่านข้อความในแชทได้ไม่น่าก็กดออก วางโทรศัพท์แล้วหันมาตีหน้าบึ้งใส่กัน “ทำไมมีแต่ข้อความชวนไปที่ห้องล่ะครับ”
   
ผมชะงัก เพราะไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าคุยกับพราวแต่เรื่องทำนองนั้น
   
“นอนด้วยกัน... บ่อยเหรอครับ” พอเห็นผมไม่พูดอะไร ไอ้ตี๋ก็เอียงตัวกลับมา เอ่ยถามเสียงเบา
   
“อืม” ผมตอบตามตรง รู้ว่ามันจะทำให้ฝ่ายหญิงดูไม่ดี แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะสนใจใครแล้ว นอกจากคนตรงหน้า ถ้าไม่ยอมรับความจริง ก็กลัวว่าจะยิ่งทำลายความเชื่อใจ
   
“คิดอะไรกับเธอหรือเปล่าครับ” พอผมยอมรับ ไอ้ตี๋กลับยิ่งตีหน้ามุ่ยกว่าเดิม
   
“ไม่ได้คิด”
   
“ไม่หวั่นไหวเลยเหรอครับ” คราวนี้ผมหัวเราะ ยกตัวคนตัวเล็กให้หมุนกลับมาเผชิญหน้าทั้งที่ยังนั่งคร่อมอยู่บนตัก
   
“ไม่เลยสักนิด” 

ผมกับพราวตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่มีเรื่องหัวใจมาเกี่ยวข้อง และต้องยอมรับตามตรงว่าผมเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่มีเซ็กซ์กับคนที่ไม่ได้รักได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร

“แต่ก็ยังนอนกับเธอ” แต่คนตรงหน้ากลับหงอยลงจนผมต้องรีบอธิบาย
   
“เซ็กซ์ไม่ได้แปลว่ารัก”

กับพราวยิ่งไม่ใช่... ต่อให้เรานอนด้วยกันบ่อยแค่ไหน แต่ผมก็มั่นใจว่าไม่ได้รักเธอ

“แต่ซันรักผมหลังจากเรามีเซ็กซ์กัน”

“ไม่ใช่” ผมตอบทันควันเมื่อไอ้ตี๋สรุปความแบบนั้น

“ไม่ใช่เพิ่งรัก แต่เพิ่งรู้ว่ารัก... มันไม่เหมือนกัน” ผมขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง

จริงอยู่ที่ผมกับพราวเราต่างก็พึงพอใจทั้งสองฝ่าย แต่มันก็เป็นเพียงความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น... แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ตี๋

ความสัมพันธ์ที่ทำให้รู้ว่าการมีอะไรกับคนที่รัก มันมีค่าที่มากกว่าความสุขชั่วคราวเหล่านั้นอย่างเทียบไม่ได้

“ถ้างั้น... พิสูจน์ได้มั้ยครับ” นิ่งไปสักพักกว่าจะเอ่ยออกมา

“หือ?” ผมได้แต่เลิกคิ้วงุนงงขณะที่มือบางยกขึ้นมาแตะใบหน้าผมแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยไปมา พลางอธิบาย

“พิสูจน์ว่ามันไม่เหมือนกัน”

“...”

“พิสูจน์คำพูดตัวเอง ว่าซันรักผมโดยไม่มีเซ็กซ์มาเกี่ยวข้องได้จริงๆ” เสียงกระซิบแผ่วดังชัดเจนเมื่อเจ้าของใบหน้าใสเคลื่อนมาจนหน้าผากแตะกัน ดวงตาเรียว จ้องเข้ามาในดวงตาผมราวกับกำลังท้าทาย “สักเดือนนึงก็พอ”

“...”

“ทำได้มั้ยครับ”

ให้ตาย... ทำไมอยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเข้าไปในหลุมที่โคตรจะอันตรายยังไงก็ไม่รู้วะ

“ได้”

แต่ถึงจะรู้ว่ามันอันตราย ผมก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าไว้ จนทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนน    

“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกัดลงมาเบาๆ ที่ปลายจมูกผมคล้ายจะบอกว่าคำตอบผมเป็นที่พอใจ “น่ารักมากครับ”

เอ่ยชมเสร็จก็ผละออกไป ไล่สายตาทั่วใบหน้าผม ก่อนจะหยุดลงตรงอกซ้าย... ตำแหน่งเดิมที่ดวงตาเรียวหยุดไว้ตอนที่ผมเดินเข้าห้องมา

แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าคนตรงหน้ามองอะไร เมื่อสังเกตเห็นรอยลิปสติกจางๆ ที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่รู้ตัว

“เค้ากอดซันใช่มั้ย” กลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง พลางยกนิ้วขึ้นมาลูบรอยนั้นไปมาราวกับพยายามจะทำให้มันหลุดออกไป
แต่แน่ล่ะว่ามันไม่ได้หลุดง่ายๆ ใบหน้าใสจึงยิ่งย่นคิ้วอย่างขัดใจ ก่อนที่นิ้วเรียวจะเปลี่ยนจากพยายามเช็ดเป็นแกะกระดุมเสื้อผมออกแทน ผมหัวเราะเบาๆ ยอมให้คนตัวเล็กกระทำกับร่างกายตัวเองตามใจ ไม่กี่วินาทีต่อมาเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ถูกถอดโยนทิ้งไปที่พื้นข้างเตียง

“ทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า” พอจัดการกับรอยที่ไม่อยากเห็นเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมาถาม

ผมส่ายหน้า แกล้งตีหน้ามุ่ยบ้าง “ใครจะกล้า”

“ดีแล้วครับ” ริมฝีปากบางจึงคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วอีกครั้ง สีหน้าเหมือนกำลังมีเรื่องยุ่งยากใจ

“ทำยังไงดี” ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนเสื้อตัวโคร่งเสียดสีกับหน้าท้องผมเบาๆ ขณะซบหน้าลงกับไหล่ผมแล้วเอ่ยพึมพำ “แบบนี้เรียกว่าหึงใช่มั้ยครับ” ผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้คลุมหัวไว้ร่วงไปตั้งนานแล้ว ทำให้ผมชื้นๆ สัมผัสกับคอของผมโดยตรง

แทนที่จะรู้สึกรำคาญ กลิ่นแชมพูที่ผมชอบ กลับปลุกปั่นความรู้สึกอื่นขึ้นมาแทน

นี่มัน... ยั่วกันชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง

แต่เพราะข้อตกลงที่เพิ่งลั่นวาจาออกไป ทำให้ผมต้องห้ามใจไม่ให้ตัวเองทำอะไรมากกว่าการฝังจูบลงบนขมับ และพยายามข่มอารมณ์

ชิบหาย... ผมถอนคำพูดตอนนี้ทันมั้ย ตั้งเดือนนึงใครจะไปทนได้วะ

“ผมเคยคิดว่าการหึงมันเป็นเรื่องงี่เง่า” แต่ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจ เจ้าของลมหายใจร้อนๆ จึงเลื่อนใบหน้าขึ้นไปกระซิบ พลางกัดใบหูผมเบาๆ 

ผมเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะ เหลือเชื่อกับสิ่งที่มันทำ แต่ไม่คิดจะต่อว่าอะไร ปล่อยให้ฟันซุกซนขบกัดเนื้อหนังตัวเองจนกว่าจะพอใจ มือข้างหนึ่งโอบรัดเอวบางแนบร่างไว้ ในขณะที่อีกข้างแทรกอยู่ในกลุ่มผมชื้น ลูบไปมาอย่างเอ็นดู

“แต่ตอนนี้ผมกำลังงี่เง่า...” เสียงทุ้มหวานยังคงเอ่ยความรู้สึกตัวเองออกมาตรงๆ ขณะที่สัมผัสของฟันคมๆ เลื่อนลงมาที่สันกราม

“งี่เง่ามากๆ”  ไล่ลงไปที่ลำคอ...

“ผมหวงนะ”   ลามไปที่หัวไหล่เปลือยเปล่า พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ

“ดังนั้นขอเลย...” เว้นวรรคไปพักหนึ่งก่อนที่ลมหายใจร้อนๆ จะลากต่ำลงไป พร้อมกับริมฝีปากที่หยุดลงตรงอกซ้าย...

ตำแหน่งเดียวกับที่มีรอยลิปสติกฝังไว้บนเสื้อที่ผมเคยใส่...

“อย่าให้ใครมาฝากรอยลิปสติกไว้แบบนี้อีกเชียว”

แล้วจัดการทดแทนมันด้วยรอยฟันของตัวเอง ที่ขบกัดลงมาบนผิวเนื้อของผม... จนขึ้นสีชัดเจน




--------------------------------------------------------------------------
ร้ายกว่าพราวก็ตี๋นี่แหละ
ถ้าจะงี่เง่าแล้วน่ารักขนาดนี้ เป็นซันจะยอมให้งี่เง่าด้วยตลอดชีวิตเลยค่ะ  :hao7:
จากตอนที่แล้วมีใครเตรียมทิชชู่ไว้บ้างมั้ย? ไม่ต้องทิ้งเนอะ ไม่ได้เช็ดน้ำตาก็เช็ดกำเดาแทน 5555

จริงๆ ปมเรื่องนี้มีเเค่ความรู้สึกของตี๋อย่างเดียวเลย
ทุกวันนี้เหมือนซันกำลังทำคะแนน สร้างความเชื่อใจเติมลงไปในหัวใจที่มีแต่ความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจของตี๋
ไม่รู้ว่าตอนนี้เติมได้มากแค่ไหนแล้ว แต่คงใกล้เต็มแล้วล่ะ 5555

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ใกล้จบเต็มทีแล้วค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrInceZz ที่ 15-07-2017 17:04:58
เชียร์ตี๋ สมน้ำหน้าซัน หึหึหึ
 :z1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-07-2017 21:47:07
ตี๋แสบนะ 5555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 15-07-2017 22:59:10
ไหนคือบทลงโทษของซันเหรอ
แหม่ บทลงโทษเข้าทางจริงจริ๊ง
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 15-07-2017 23:36:19
 :mew4: :hao7: อหหหห! เหมือนเห็นลูกมีพัฒนาการจากประถมเข้าม.ปลาย5555 น่ารักจังงเลนยยยจ้ะหนูโช อิๆๆ เอาให้อยู่หมัดไปเลย นังซันคนเกียมัว555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 16-07-2017 00:36:14
อดไปนะซัน
แต่ตี๋ยั่วขนาดนี้
ถ้าเปนเราเราไม่ทนนะ 555

ตี๋เวอร์ชั่นนี้ดีสุดๆไปเลยค่ะ
มีความหึงได้น่ารัก น่าหยิกมากกกกกก
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 16-07-2017 02:30:01
อยากจับโชปั้นเป็นก้อน โยนเข้าปาก เคี้ยวๆ แล้วกลืนลงท้องไปเลย เอ็นดูวววววววววว
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 7 [15/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-07-2017 09:55:09
เราติดตาม คุณคนเขียนมาตั้งแต่พี่เชน-ตรี สนุกมาก
เรื่องนี้เราก็อ่านมาทีละนิด ไม่ใช่ว่าไม่สนุกนะ เรากลัวอ่านจบไว55
ขอบคุณในความขยันลงเรื่อง

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 18-07-2017 01:38:38
หลงตะวัน : 8
[/b]

   
พนันได้เลยว่าผมจะต้องตายภายในหนึ่งเดือนนี้นี่แหละ... ต้องตายแน่ๆ
   
ที่ผ่านมาผมมั่นใจมาตลอดว่าตัวเองไม่ใช่พวกบ้ากาม ขาดเซ็กซ์ไม่ได้หรืออะไรทำนองนั้นนะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความมั่นใจนั้นเหมือนจะถูกสั่นคลอนหนักขึ้นทุกที

เพราะตั้งแต่รับปากว่าจะจำศีลหนึ่งเดือนไป... ผมก็คิดดีกับไอ้ตี๋ไม่ได้อีกเลย

แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่ความผิดผมคนเดียว
   
จุ๊บ
   
“...!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อล้างจานอยู่ดีๆ ก็มีสัมผัสนุ่มหยุ่นของริมฝีปากแตะลงมาที่ไหล่ พร้อมกับแผ่นหลังที่ถูกทาบลงมาด้วยร่างอุ่นๆ ของคนที่มายืนซ้อนหลังเขย่งสุดตัวเพื่อหยิบแก้วที่อยู่เหนือหัวผม
   
“อา... ขอโทษครับ แก้วมันอยู่สูงไปหน่อย” แต่แทนที่ได้สิ่งที่ต้องการแล้วจะถอยออกไป คนตัวเล็กกว่ากลับเอ่ยออกมาเบาๆ ทั้งที่ลมหายใจยังคลอเคลียอยู่ที่คอผมอย่างนั้น
   
“...” กูนี่สตั๊นท์ไปเลย
   
ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกไป ปล่อยให้ผมยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่กับการถูกลอบสังหารแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
   
เนี่ย! แล้วจะให้คิดดีได้ยังไง ความยั่วของคุณเขาน้อยๆ ซะที่ไหน กะเล่นผมให้ตายคาร้านชัดๆ
   
“อย่าให้ครบเดือนเชียว” ผมได้แต่บ่นพึมพำ ล้างมือแล้วเดินไปตีหน้ากระเง้ากระงอดใส่คนที่ทำเป็นชงกาแฟไม่สนใจ อยากจะเข้าไปฟัดให้หายมันเขี้ยวสักที ถ้าไม่ติดที่ว่าถ้าลองได้ฟัดครั้งหนึ่งคงอยากฟัดอีกหลายๆ ที แล้วสุดท้ายคงจะตบะแตกขึ้นมาจริงๆ
   
หลังยอมรับบทลงโทษแต่โดยดีในวันนั้น ผมก็เหมือนถูกขังไว้ในวัดเส้าหลินเพื่อทดสอบความอดทน เจ้าสำนักคือคุณโชกุนที่พอรู้ว่าจุดอ่อนของผมคืออะไร ก็เล่นงานได้ตรงจุดและเล่นเอาผมแทบคลั่งตายไปหลายที ดูอย่างเมื่อกี้ดิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นผมที่เป็นฝ่ายลอบแต๊ะอั๋งมัน เล็มนู่นนิดชิมนี่หน่อย แกล้งให้คนตัวเล็กตีหน้าปั้นปึ่งปนเขินอายใส่ แล้วไหงตอนนี้นี้ถึงสลับกันได้ กลายเป็นผมที่ถูกลอบแทะเล็มซะเอง
   
พอรู้ว่ายั่วขึ้นก็เอาใหญ่เลยนะครับ ร้ายชิบเป๋งเลย แฟนใคร
   
“ลาเต้ได้แล้วครับ” ว่าพลางวางกาแฟลงตรงหน้า สีหน้าดูไม่มีความยินดียินร้ายอะไรกับความว้าวุ่นใจของผม

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ย่นหน้ากลับไปอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้ผมนุ่มแรงๆ จนถูกปัดมือออกถึงได้หยุดแกล้ง หันกลับมาก้มหน้าก้มตาปั่นงานที่ค้างไว้ในโน้ตบุ๊คที่พกมา
   
อีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเข้าสู่ไฟนอลแล้ว และก่อนหน้านั้นผมก็ต้องส่งโปรเจ็กต์ ช่วงนี้เลยปั่นงานหัวหมุนจนแทบไม่ได้ทำอะไร ต้องอุทิศเวลาทั้งหมดให้เล่มวิจัยที่ถูกแก้แล้วแก้อีกจนอยากจะเผาทิ้งแม่งมัน
   
แต่ข้อดีคือผมจะได้เบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองออกมาจากไอ้ตี๋บ้าง เชื่อเถอะว่าการหันมาเพ่งสมาธิกับการทำงาน ได้ผลกว่าการนั่งท่องนโมพุทโธเป็นไหนๆ โดยเฉพาะในเวลาที่คุณเขาอัพเลเวลความน่ารักอย่างจงใจปั่นหัวผมแบบนี้
   
“ไปนั่งที่โต๊ะดีๆ เถอะครับ” คงเพราะเห็นว่าผมนั่งทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องยืดหลังบิดขี้เกียจหลายทีเพราะนั่งไม่สบายคนข้างๆ ถึงได้เอ่ยขึ้นมา
   
“ขี้เกียจย้ายอ่ะ” ผมเบ้หน้ายกลาเต้ดื่มแล้วหมุนไหล่ตัวเองไปมา
   
ก่อนหน้านี้ลูกค้าเต็มร้านผมเลยต้องหอบคอมระเห็จมาทำงานที่เคาน์เตอร์แทน แต่ตอนนี้เกือบจะตีสามแล้ว ลูกค้าคนสุดท้ายเพิ่งเดินออกจากร้านไปเมื่อกี้นี้เอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ขี้เกียจขนของไปนั่งที่อื่นอยู่ดี
   
“งั้นเก็บร้านเลยดีมั้ยครับ” เงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาก่อนจะถามพลางขยับเข้ามายืนซ้อนหลังนวดไหล่ให้
   
แรงบีบเค้นที่ไม่มากเกินไปทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้สมาธิผมหลุดกระจัดกระจายได้ง่ายๆ เหมือนกัน
   
“ยั่วกันอีกแล้วอ่ะ” ผมบ่นจับมือข้างหนึ่งออกมาจากไหล่แล้วแกล้งงับเบาๆ
   
คนถูกกัดเบิกตากว้าง ทำท่าจะถึงมือตัวเองกลับแต่ผมจับไว้แน่น ไอ้ตี๋เลยตีหน้าบึ้งใส่ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

“ยั่วอะไรล่ะครับ” มือข้างที่ว่างเปลี่ยนจากนวดเป็นตีไหล่ผมแทน

“ปล่อยเลย ผมจะเก็บร้านแล้ว” พยายามจะดึงมือที่ถูกจับไว้ออกไปอีกที แต่ผมก็ยังไม่ยอมปล่อย มองหน้ามันนิ่งแล้วหมุนกลับไปหา ดึงตัวคนตัวเล็กเข้ามาใกล้แล้วใช้ขาทั้งสองข้างหนีบสะโพกไว้
   
“โช” เอ่ยชื่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ยกมืออีกข้างขึ้นมาโอบแผ่นหลังบาง เงยหน้าขึ้นสบตา “คิดเรื่องนั้นหรือยัง?”
   
“...” ไม่ต้องบอกรายละเอียดมากมายก็ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะเข้าใจว่าผมหมายถึงเรื่องอะไร
   
ผมเพิ่งขอให้มันย้ายไปอยู่ด้วยกัน...
   
ถึงจะเช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่มาตลอดสี่ปี แต่อันที่จริงครอบครัวผมมีบ้านอยู่ที่นี่เหมือนกัน เป็นบ้านพักตากอากาศที่เชื่อมกับรีสอร์ตซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการที่พี่ชายคนโตกำลังดูแล คิดไว้นานแล้วว่าจะย้ายเข้าไปอยู่หลังจากเรียนจบ เพราะตั้งใจจะปักหลักหางานอยู่ที่นี่ ผมทำเรื่องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นต์แล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มขนของเพราะยังไม่มีเวลา

แล้วอีกอย่าง... ผมอยากได้คำตอบจากอีกคนก่อนว่าจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน
   
เพราะถ้ามันไม่ตกลง ผมคงเปลี่ยนเป็นย้ายข้าวของที่มีตอนนี้ไปอยู่หอไอ้ตี๋แทน

จริงอยู่ที่ปลายทางไม่ต่างกัน แต่สำหรับคนถูกถาม มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจได้ง่ายๆ เหตุผลหนึ่งคือระยะทาง เพราะบ้านที่ว่าอยู่นอกตัวเมืองออกไปไกลพอสมควร จะเดินทางไปที่ร้านพี่โมก็ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง ต่างจากหอไอ้ตี๋แค่เดินไม่กี่สิบก้าวก็ถึง แต่ก็มีข้อดีตรงที่บรรยากาศดี แถมมีพื้นที่มากกว่าอยู่หอพักหลายเท่าตัว
   
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยังลังเล... คือความไม่มั่นใจ... ความหวาดกลัวบางอย่างที่สะท้อนออกมาในแววตาทุกครั้งที่ผมวกกลับมาถามคำถามนี้กับมัน
   
“ผมว่ามัน... ค่อนข้างไกล” ทำท่าอึกอักเอ่ยคำพูดเดิมๆ เหมือนพยายามจะเฉไฉ

แต่เพราะผมยังจ้องอยู่ถึงได้ถอนหายใจหนักๆ ออกมาอย่างยอมแพ้ เพราะผมเคยบอกไว้แล้วว่าถ้ามีอะไรให้พูดกันตรงๆ
   
“ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นตัวเลือกที่ดี”
   
“...”
   
“ถ้าวันหนึ่งเราเลิกกัน...” พูดได้เท่านั้น เสียงทุ้มก็เงียบไป ทำสีหน้ายุ่งยากใจแบบที่ผมเข้าใจดีว่าหมายความว่ายังไง ลึกๆ แล้วเราต่างคิดตรงกันว่าอยากจะรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ตลอดกาล แต่อีกใจหนึ่งเราต่างรู้ดีเช่นกันว่ามันไม่มีอะไรแน่นอน

ต่อให้ผมยืนยันหนักแน่นแค่ไหนว่าเราจะไม่มีวันเลิกกัน แต่มันก็เป็นเพียงแค่คำพูดที่กำหนดอนาคตไม่ได้ ไม่แปลกอะไรที่ไอ้ตี๋มันจะกลัว
   
“โอเค” ผมเผลอถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ปล่อยมือแล้วหมุนตัวกลับมาพับหน้าจอโน้ตบุ๊ค ซดลาเต้จนหมดเพื่อเตรียมตัวปิดร้าน
   
ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมค่อยถามใหม่

“ซัน” แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกจากเก้าอี้ คนตัวเล็กกว่าก็จับไหล่ผมให้หันไปเผชิญหน้าอีกครั้ง ขมวดคิ้วทำท่าดุใส่กัน “อย่าเพิ่งงอแงสิครับ”

“...” ผมเลิกคิ้ว กะพริบตาปริบๆ รอฟังเจ้าของดวงตาเรียวที่มองมาอย่างหนักใจ แล้วถอนหายใจออกมาบ้าง

“ผมยังไม่ทันได้ปฏิเสธเลย” ว่าพลางยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดเหนือริมฝีปากผมที่น่าจะเลอะคราบกาแฟ ก่อนจะดึงนิ้วกลับไปดูดเบาๆ แล้วยิ้มออกมาบางๆ

“เอาเป็นว่าผมขอเวลาคิดอีกหน่อยนะ”

โอ้โห รู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าไอ้ที่ท่าทางที่ทำอยู่นี่โคตรยั่วเลย

“หึ” จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่รู้ล่ะ แต่เล่นมาทำแบบนี้ต่อหน้ากันผมก็ไม่คิดจะทนดึงคนขี้อ่อยกลับเข้ามาประชิดร่างอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือออกไปดึงท้ายทอยมันลงมาเพื่อรับจูบของผมไป ขบเม้มหยอกเย้าด้วยความมันเขี้ยวอยู่พักหนึ่งก่อนจะผละออกมา

“โอเค” คลี่ยิ้มมุมปากอย่างขบขันเมื่อเห็นอีกคนเบิกตากว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว

“...”

“จะให้เวลาคิด จนกว่าจะได้ยินว่าตกลง” เอาแต่ใจยิ่งกว่าคำพูดคือริมฝีปากที่ดื้อดึงกดจูบลงไปอีกครั้ง กดรั้งท้ายทอยคนที่ยืนอยู่สูงกว่าไว้เพื่อให้ริมฝีปากแนบสนิทยิ่งกว่าเดิม มอบสัมผัสล้ำลึกที่เต็มไปด้วยความเว้าวอนให้จนได้ยินเสียงหลุดครางเบาๆ ร่างบางทรุดตัวลงมาพิงอกผมไว้ราวกับหมดเรี่ยวแรง ครอบครองลมหายใจอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนาน และคงจะดึงดันรุกเร้าอยู่อย่างนั้น ถ้าหากว่าไม่มีเสียงบางอย่างดังขัดขึ้นมา

กริ๊ง~

“...!” มือบางยกขึ้นมาผลักอกผมออกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมเองก็ตกใจเกินกว่าจะขัดขืนอะไร ยอมปล่อยคนตัวเล็กที่กระโดดผึงห่างออกไปไกล ก่อนจะลุกขึ้นหันตามเสียงที่ประตู

“ระ... ร้านปิดแล้วเหรอคะ” ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่อย่างเก้ๆ กังๆ ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าเธอทันเห็นฉากจูบของพวกเราเข้าอย่างจัง

“เอ่อ...” ผมอึกอัก ยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเก้อๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าอีกคน แต่พอเห็นมันยืนนิ่งค้าง หน้าแดง เบิกตากว้างเหมือนวิญญาณหลุดไปแล้วก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา แล้วถือวิสาสะหันไปตอบเอง

“ครับ ปิดแล้วครับ” ผงกหัวขอโทษพอเป็นพิธี ในขณะที่ลูกค้าเองก็ผงกหัวกลับมาเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะเดินออกจากร้านไปแต่ก็ไม่วายหันกลับมามองพวกผมด้วยสีหน้าเขินอายจนพ้นสายตา

ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง ส่ายหน้าขำๆ กับเรื่องไม่คาดฝันเมื่อครู่ แต่พอหันกลับมาเห็นอีกคนย่นหน้าจ้องเขม็งมาก็ต้องหยุดขำ

“ซัน” เอ่ยเรียกเสียงต่ำจนผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา แม้ว่าสายตาดุๆ ที่ขัดกับใบหน้าที่แดงลามไปถึงหูนั่นจะน่ารักแค่ไหนก็ตาม

“ไม่ให้จูบแล้ว...” กัดริมฝีปากที่บวมนิดๆ ของตัวเองแน่นพลางเอ่ยพึมพำ

“...”

“จนกว่าจะครบกำหนดหนึ่งเดือน ห้ามจูบอีกเด็ดขาดเลยนะครับ”

“หะ...หา!?”

เดี๋ยวสิครับ... แค่ข้อตกลงเดิมผมก็ต้องอดทนจนแทบคลั่งตายแล้ว ถ้าเพิ่มห้ามจูบเข้าไปอีก...

ไม่ตายตอนนี้แล้วจะตายตอนไหนวะ






ผมไม่คิดว่ามันจะจริงจัง จนกระทั่งเห็นว่าไอ้ตี๋ไม่ยอมพูดอะไรเลยตอนที่เราเก็บร้าน หรือตลอดทางกลับหอ มันเอาแต่เงียบ คิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ในใจ พอกลับมาถึงห้องก็เดินหนีไปล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนตัวเก่งทันที

“งอนเหรอ” ในที่สุดผมก็เปิดปากถาม พลางเดินเข้าไปโอบรอบเอวบาง ซุกหน้าลงบนไหล่อย่างออดอ้อน สูดกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ซึมซาบลงมาบนเสื้อยืดตัวโคร่งที่เคยเป็นของผม จนกลายเป็นกลิ่นเดียวกัน

คนตัวเล็กที่ยืนทาครีมอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตากันผ่านกระจก ขมวดคิ้วเล็กๆ อย่างงุนงง ก่อนจะปฏิเสธ “เปล่านี่ครับ”

ผมเบ้ปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ถ้าไม่งอนแล้วทำไมเงียบอ่ะ”

พอได้ยินแบบนั้น ก็ชะงักไป ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่น่ะครับ”

ผมไม่ทันได้ถามว่าเรื่องอะไร ไอ้ตี๋ก็ผละออกจากอ้อมกอด หมุนตัวกลับมาตีหน้ามุ่ยใส่ผมแล้วกำชับคำพูดตัวเอง “แต่เรื่องไม่ให้จูบนี่พูดจริงนะ”

“ง่ะ...”

“ชอบทำอะไรเอาแต่ใจนัก โดนทำโทษไปเลยครับ” ว่าพลางทำท่าเหมือนคุณครูที่กำลังลงโทษเด็กซน

“มันเกินไป” ผมโอดครวญ รั้งเอวบางเข้ามากอดไว้ซบหน้าลงกับไหล่อีกครั้งแล้วเริ่มงอแง “จะฆ่ากันจริงๆ หรือไง”

ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนคนตัวเล็กจะผละออกจากอ้อมกอดเบ้ปากใส่ผมอย่างสะใจ “ก็สมควรแล้วครับ”

“ตี๋~” ผมลากเสียงพลางเดินตามไปนั่งข้างๆ คนที่หนีไปนอนบนเตียงก่อนจะเริ่มต่อรอง “อาทิตย์ละครั้งก็ยังดี”
   
ทำไมต้องมาต่อรองอะไรแบบนี้วะเนี่ย ดูเป็นคนหื่นๆ ยังไงชอบกล

“ไม่เอา”

“วันละครั้ง”

คราวนี้ดวงตาเรียวมองหน้าผมเหมือนจะถามว่าอะไร อาทิตย์ละครั้งยังไม่ได้เลย แล้วทำไมดันขอมากกว่าเดิม

แต่อาทิตย์ละครั้งมันก็น้อยไปอ่ะ ขนาดวันละครั้งยังยากที่จะทนเลย

“ปกติตั้งหลายครั้งต่อวัน” ผมว่า คนตรงหน้าชะงักไปแวบหนึ่งก่อนจะเถียงทั้งที่ใบหน้าเห่อขึ้นสีระเรื่อ

“แต่ตอนนี้ถูกทำโทษอยู่นี่ครับ”

“ยอมรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งไง” ผมยังดึงดัน เผลอยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสายตาที่แสดงความใจอ่อนออกมา เอนตัวลงนอนตรงหน้าเพื่อสบตาก่อนจะเริ่มใช้ลูกอ้อนประจำ

“วันละครั้ง”

“...”

“นะ”

“...”

“นะครับโช”

“โลภมากจัง” และมันก็ได้ผลเมื่อคนตรงหน้าย่นหน้าแดง พลางเอ่ยพึมพำ “วันละครั้ง”

ผมยิ้มกว้างจนกลายเป็นหัวเราะ โอบแขนรั้งคนตัวเล็กมากอดไว้อย่างได้ใจ แต่ก็ไม่วายถูกตีหน้ามุ่ยใส่ “ไม่เอาที่สาธารณะ”

ผมหัวเราะอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารัว

“ไม่เอาที่สาธารณะ” เอ่ยย้ำพลางฝังจูบลงบนหน้าผากใสก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นในขณะที่คนตัวเล็กกว่าก็ขยับเข้ามาซุกซบอกกัน

ต่างคนต่างเงียบไปนาน จนผมคิดว่าอีกคนหลับแล้วถึงได้เอื้อมแขนไปปิดไฟที่หัวเตียงเตรียมนอนบ้าง แต่ยังไม่ทันได้หลับตาก็ได้ยินเสียงเบาๆ เอ่ยเรียกขึ้นมา

“ซัน”

“หืม?”

“ผมน่ะ... ไม่ชอบโรงเรียนเลย” แปลกใจนิดหน่อยที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมา แต่ก็รอฟังโดยไม่แย้งอะไร “ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ทุกวันได้ยินแต่คำถากถาง คำนินทา”

“...”

“มันกลายเป็นสถานที่แย่ๆ มีแต่ความทรงจำแย่ๆ ที่ถ้ากลับไปที่นั่นอีก ผมก็คงจะนึกถึงแต่เรื่องพวกนั้น”

แต่ไม่นานก็เริ่มเข้าใจความหมายที่จะสื่อ เมื่อคนในอ้อมกอดเงยหน้าขึ้นมาสบตากันภายใต้แสงรำไรของพระอาทิตย์ที่ใกล้ขึ้นเต็มทีผ่านมู่ลี่ที่ติดไว้ตรงหน้าต่างบานใหญ่ของห้องนอน

“ดังนั้นเรื่องบ้าน... ผมเลยคิดหนัก ไม่กล้าตัดสินใจ”

รู้แล้วว่าเรื่องที่รบกวนจิตใจจนอีกฝ่ายเอาแต่เงียบมาตลอดทางกลับหอคืออะไร
   
“ถ้าวันหนึ่งเราเลิกกัน... ถ้าผมเกิดสร้างความทรงจำแย่ๆ ทิ้งเอาไว้... ซันจะทำยังไง”

“...” พอได้ยินคำอธิบายผมก็ถึงกับเงียบไป ใจหนึ่งรู้สึกตำหนิที่มันคิดมากจนกลายเป็นความกังวล แต่อีกใจกลับกำลังตื้นตันที่ได้รู้ว่าทุกสิ่งที่มันคิดเผื่อไว้ ก็เพื่อผมคนเดียว

“แต่ว่าถึงจะคิดแบบนั้น สุดท้ายผมก็ยังเห็นแก่ตัว” ว่าพลางขมวดคิ้ว นิ้วเรียวยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ ทำสีหน้ายุ่งยากใจขณะที่ดวงตาเรียวสบตาผมก่อนจะเอ่ยความปรารถนาที่อยู่ในใจออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“ผมอยากอยู่กับซัน”

“...”

“อยากอยู่กับซันมากๆ” 

“...”

“ขอผม... ไปอยู่ด้วยได้มั้ยครับ”

ผมยิ้มกว้าง มองใบหน้าออดอ้อนนั้นอย่างเอ็นดู ดึงคนตัวเล็กเข้ามาซุกอกอีกครั้ง รัดอ้อมแขนแน่นขึ้นพลางกดจูบหนักๆ ลงไปบนกระหม่อมอย่างหมั่นไส้
 

“หึ” หลุดหัวเราะออกมา เมื่อคิดว่าเรื่องที่มันกังวล ไม่ได้ส่งผลกับการตัดสินใจของผมเลยแม้แต่นิด

เพราะต่อให้สุดท้ายมันกลายเป็นความทรงจำที่แย่ของผมจริงๆ ...ก็ไม่เป็นไร

“ไปสิ ไปอยู่ด้วยกัน”

ไม่ว่ายังไง... มันก็จะกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิตของผมอยู่ดี





-----------------------------------
หนูโชขี้กลัวเหลือเกินนน ;^;
แต่ใต้ความขี้กลัวก็ยังมีความกล้าที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา คงเพราะเรียนรู้แล้วว่าถ้าพูดกับซัน จะไม่เป็นไร
ตอนที่เขียนเรื่องนี้ หลายครั้งเราจะรู้สึกว่าเออเนอะ ถ้าไม่ใช่สองคนนี้ เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้อ่ะ
ถ้าไม่ใช่โช ซันคงไม่ใจเย็นขนาดนี้ หรือถ้าไม่ใช่ซัน โชก็คงไม่กล้าพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาแบบนี้
โชคดีจริงๆ นะคะที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน 55555

ตอนจบใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เหมือนเห็นนาฬิกาทรายที่กำลังนับถอยหลังตั้งอยู่ตรงหน้าเลยอ่ะ 5555
ใจหายเหมือนกันเนอะ เรื่องนี้คนอ่านไม่เยอะ แต่รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อ่านฟีดแบ็คที่ส่งกลับมาจากทุกทาง
สารภาพว่าตอนอัพเรากลัวสุดๆ อย่างที่เคยบอกว่าเป็นพล็อตที่ธรรมดามาก คาแร็กเตอร์ก็ดูจะไร้ความดึงดูดมากๆ จนกังวลไปหมด  :hao5:
ดังนั้นจะรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะเวลาที่มีคนบอกว่าการเขียนเราพัฒนา ตอนแรกคิดว่าแค่อย่างน้อยถ้าเขาอ่านเชนตรีมาแล้วไม่รู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้ก็พอใจแล้วค่ะ จริงๆ 555555 ชอบที่หลายๆ คนบอกว่ามันเป็นนิยายที่มีสีขาวสว่าง อยากจะยกความดีความชอบให้เจ้าซันเลย เพราะตอนแรกจะให้โชบรรยาย แต่คิดว่าเรื่องมันคงจะหม่นหมองน่าดูเพราะหนูโชมีปมในใจ สุดท้ายเลยใช้ซันที่อยู่ในสถานะผู้เยียวยาบรรยายแทนเพราะอยากให้เป็นนิยายที่อ่านสบายๆ คลายเครียดมากกว่า ^^

บ่นเยอะอีกแล้วอ่ะ ขอหน่อยนะคะ กลัวจบแล้วไม่ได้บ่น 555555

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่า   
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 18-07-2017 02:11:51
โอ๊ยน่อ
จะรักกันไปถึงไหน
โชนั่นมันอะไรรรร ขี้ยั่วมากก
อย่าว่าเป็นซันเลย เรายังไม่ทนนนนนนนนนนนน  :oo1:  :oo1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-07-2017 06:14:34
เพิ่งตามมาอ่านค่ะ ชอบบ  o13
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 18-07-2017 07:02:23
 :impress2:หนูโชของเราโตขึ้นแล้วจ้าาาาาาา อัพเรเวลความอ้อนความอ่อยด้วยยย น่ารักกกกกกก
ย้ายตามคุณซันเค้าไปเหอะ สงสารหมาเหงา5555
ปล.จะจบแล้วหรออออออ งื้อออ ใจหายยย
ปล.สอง แต่สนุกมากเลยนะคะ ยอมใจ
ปล.สามขอยาวๆก็ดี5555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-07-2017 09:44:58
 :L2: :L1: :pig4:

โช ดีอะ

เรื่องของโช มันสะท้อนความจริงนะ ความปากเสียของคนที่พูดไม่คิด
ว่ามันส่งผลกับคนที่ถูกหมายหัวแค่ไหน

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-07-2017 10:17:05
ชอบที่ถึงโชกุนจะกังวลเยอะแยะ
แต่ก็บอก ก็อธิบายให้ฟัง ไม่ใช่เก็บไว้คนเดียว
คู่นี้มันน่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 18-07-2017 23:34:34
ชอบตอนที่โชบอกว่า ขอไปอยู่ด้วยอ่ะ ฮือออออออ ถ้าเป็นเราจะบอกโชว่า มาเลยโช มาแต่ตัวก็ได้ 5555
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 8 [18/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 21-07-2017 14:58:08
โชน่ารัก  :haun4: :pighaun:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 9 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 22-07-2017 21:12:41
หลงตะวัน : 9

   
[ Shogun’s Part ]


ซันเคยมีประวัตินอกใจ...

เรียกเป็นประวัติได้มั้ยนะ ในเมื่อมันไม่ใช่ความจริง

สมัยมัธยม มันคงเป็นเรื่องปกติที่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จะน่าสนใจกว่าเนื้อหาวิชาการในบทเรียน โดยเฉพาะกับหนุ่มหล่อตัวท็อปอย่างเขา ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็มีแต่คนจับตามอง ชีวิตรักของซันกลายเป็นเรื่องสาธารณะโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ... ซันกำลังคบใคร หรือเพิ่งเลิกกับใครมักกลายเป็นหัวข้อที่หลายๆ วงสนทนายกมาพูดกัน

แต่มีครั้งหนึ่งที่มันกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์... เรื่องที่ซันเลิกกับดาวโรงเรียนเพราะว่าแอบนอกใจ... ใครๆ ก็พูดแบบนั้น

ข่าวลือไปในทิศทางเดียวกัน และเขาก็ไม่คิดจะโต้แย้งใดๆ

ซันกลายเป็นเสือผู้หญิง คนหลายใจ เป็นคาสโนว่าตัวพ่อ... หรืออะไรก็ตามแล้วแต่คนจะนิยาม แปลกดีที่พอมีข่าวลือแบบนั้น คนกลับเข้าหาเขามากกว่าเดิม ทั้งผู้หญิงที่เห็นว่าฉายาเหล่านั้นยิ่งขับให้เขาดูมีเสน่ห์ และผู้ชายที่เห็นค่านิยมของการคบซ้อนเป็นเรื่องเท่มากกว่าการรักเดียวใจเดียว

แปลกดี... ที่พอเป็นเขา ใครๆ ก็พากันหลับหูหลับตาเข้าข้างกันไปหมด ยกเว้นผม...

จำได้ว่าตอนนั้นตัวเองได้แต่ประณามเขาอยู่ในใจ ที่ต่อให้ข่าวลือกระพือแรงแค่ไหน เจ้าตัวก็ดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย มันกลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ หงุดหงิดแทบบ้าตอนที่เห็นว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น คนเดียวที่พยายามแก้ข่าวให้เขาก็คือตรี... ผู้ชายแสนดีที่เป็นรักแรกของผม ตอนนั้นผมคิดว่าตรีปกป้องเขามากเกินไป ทำไมถึงให้ท้ายผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นอยู่ได้ ทำไมถึงยังรักเขา ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเขาไม่มีความซื่อสัตย์

ผมเอาแต่คิดแบบนั้น จนกระทั่งความจริงปรากฏขึ้นมาว่าไม่มีการนอกใจ... ข่าวลือที่เกิดเป็นเพียงเรื่องที่กุขึ้นมาอย่างสนุกปากของคนที่พยายามสร้างเหตุผลลมๆ มาตอบคำถามว่าคนสองคนที่เพอร์เฟ็กต์มากๆ จะเลิกกันทำไมเท่านั้น มันกลายเป็นลมหวนที่พัดกลับทิศทาง... ทว่าผลลัพธ์ไม่ต่างกันเท่าไหร่

ไม่ว่ายังไงซันก็คือซัน... พระอาทิตย์ดวงเดิมที่ฉายแสงสว่างสดใสโดยไม่หวั่นไหวกับกระแสลมใดๆ

ในขณะที่ผมกลับมาทบทวนตัวเอง และถูกโจมตีด้วยความรู้สึกผิดกับความคิดไร้สาระที่เกิดขึ้นเพียงเพราะอคติบังตา... เชื่อตามข่าวลือบ้าๆ พวกนั้นได้ยังไง ในเมื่อผมสังเกตเขามาเป็นปีๆ ย่อมรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้จริงใจไม่แพ้ใคร
   
ยิ่งได้รู้จัก ได้ใกล้ชิด ได้เห็นทุกการกระทำ ได้ยินทุกคำพูด รับรู้ทุกอย่างที่สื่อผ่านแววตา ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าไม่เชื่อเขา... บนโลกนี้ผมก็คงไม่สามารถเชื่อใครได้อีกแล้วจริงๆ

ซันโกหกไม่เก่งเลยสักนิด... ต่อให้พยายามแค่ไหน สุดท้ายเจ้าตัวก็จะเป็นฝ่ายหลุดความจริงออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี

ดังนั้นในวินาทีที่เขาอธิบายเรื่องภาพถ่ายที่ผู้หญิงคนนั้นส่งมาให้ ผมจึงเชื่อทุกคำพูดของเขาโดยไร้ข้อแม้... จะว่าใจง่ายก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่าไม่เห็นร่องรอยการโกหกใดๆ ในแววตาคู่นั้นของเขาที่จ้องมาอย่างซื่อตรง

“ห้องสะอาดจัง” หลังจากเอาแต่คิดเรื่อยเปื่อยตลอดทาง นั่นคือคำพูดแรกที่ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่ซันเปิดประตู เดินนำผมเข้ามาในห้องของตัวเอง
   
ห้องสีขาวสะอาด กับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่นสบายตา กับข้าวของที่จัดเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างต่างจากที่ผมจินตนาการ... คิดว่าจะรกกว่านี้ซะอีก
   
“จ้างแม่บ้านไง” แต่เขาก็ทำลายภาพลักษณ์คุณชายเจ้าระเบียบของตัวเองลงด้วยการหันมาพูดขำๆ พลางจับหัวผมโยกไปมา
   
แต่ผมสนใจสิ่งอื่นเกินกว่าจะปัดมือเขาออกไป ยังคงกวาดมองไปทั่วห้องที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขาราวกับจะเก็บทุกรายละเอียดไว้ด้วยสายตา... มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้มาห้องของซัน เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าตั้งแต่รู้จักกัน ผมยังไม่เคยมาเหยียบห้องเขาเลยสักครั้ง เพราะเคยชินกับการมีเขาอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ไม่เคยคิดว่าการที่วันหนึ่งได้เข้ามาในพื้นที่ของอีกคนบ้างจะรู้สึกยังไงจนกระทั่งวินาทีนี้

ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกที่มา แต่ผมกลับรู้สึกคล้ายกับว่ามันเป็นสถานที่คุ้นเคย  อบอุ่น เรียบง่าย และปลอดภัยไม่ต่างจากเจ้าของเลยสักนิด
   
“มองอะไรนักหนาครับ อยากย้ายมาอยู่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ ขยี้หัวผมแรงๆ ทีหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมายืนซ้อนหลังเพื่อโอบแขนรอบคอผมไว้แล้วดันให้เดินต่อไป
   
วอแวจนน่าหมั่นไส้ แต่ถึงจะยิ่งทำให้เดินลำบากกว่าเดิม ผมก็ไม่คิดจะว่าอะไร เดินตามแรงดันของเขาพลางกวาดสายตามองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกดุนหลังเข้ามาในห้องนอนที่สภาพต่างจากข้างนอกลิบลับ ข้าวของถูกรื้อออกมากระจัดกระจาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่ส่วนหนึ่งถูกโยนๆ ไว้บนเตียงในขณะที่ส่วนใหญ่ถูกยัดในกระเป๋าเดินทางลวกๆ จนล้นออกมา
   
ซันต้องย้ายออกจากอพาร์ทเม้นต์ของเขาภายในอาทิตย์หน้า พวกเราเลยจำเป็นต้องมาเก็บของกันเพื่อขนไปไว้ที่บ้านของเขาก่อน ในขณะที่ผมทำเรื่องย้ายหอไว้หลังปิดเทอมซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ฤดูกาลสอบไฟนอลครั้งสุดท้ายของพวกเรา

ไม่ทันได้เตรียมใจเหมือนกันว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ ถึงผมจะแน่ใจแล้วว่าหลังเรียนจบคงทำงานที่ร้านต่อไป แต่อดรู้สึกใจหายไม่ได้ที่กำลังจะผ่านพ้นช่วงเวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยและก้าวเข้าสู่โลกของการเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว
   
“ไม่รู้ต้องเก็บยังไงอ่ะ” ผมหลุดจากภวังค์อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำข้างหู น้ำเสียงออดอ้อนแบบที่ทำให้ผมรู้สึกแพ้อยู่เป็นประจำ เหมือนรู้ว่าต้องถูกบ่นแน่ถ้าผมเห็นสภาพข้าวของที่เจ้าตัวบอกว่าจะมาเก็บก่อนตั้งแต่เช้า แต่สุดท้ายกลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
   
“แต่ไม่ใช่ยัดไปเรื่อยแบบนี้สิครับ” แต่สุดท้ายผมก็ดุอยู่ดี
   
เข้าใจแล้วที่เขาบอกว่าจะจ้างคนมาแพ็คของให้เพราะอะไร ถ้าผมไม่บอกว่าจะช่วย คุณชายคงได้ใช้เงินแก้ปัญหาจริงๆ
   
ผมถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะผละจากอ้อมกอดไปรื้อเสื้อผ้าจากกระเป๋าออกมากองรวมกับตัวอื่นๆ ที่อยู่บนเตียง มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งพลางคิดว่าควรเริ่มเก็บจากตรงไหนก่อนแล้วหันไปถามคนที่เดินตามมานั่งมองผมนิ่งๆ อยู่ที่ปลายเตียง
   
“หยิบกล่องตรงนั้นให้หน่อยครับ” ผมว่าพลางชี้มือไปบนหลังตู้เสื้อผ้าที่มีกล่องพลาสติกสามสี่กล่องวางไว้

“นี่คร้าบ” ซันลุกขึ้นไปหยิบมาเรียงไว้ให้อย่างว่าง่าย แต่ก็ไม่วายทำหน้ากรุ้มกริ่มล้อเลียนให้ผมย่นหน้าใส่ ก่อนจะไล่เปิดดูทีละกล่องและพบว่ามันไม่มีอะไรนอกจากของจิปาถะที่ดูเหมือนจะเป็นของสะสมมากกว่าของใช้

“พวกนี้ใส่รวมกันได้มั้ยครับ” แต่ผมก็หันไปถามเพื่อความแน่ใจ ซันขยับลงมานั่งพื้นข้างๆ ชะโงกหน้ามองก่อนจะพยักหน้ารัว

“งั้นเดี๋ยวผมเอาพวกนี้ใส่รวมกันนะ จะได้เอากล่องที่เหลือไปใส่อย่างอื่นด้วย” ผมว่าพลางมองไปบนโต๊ะเขียนหนังสือที่มีแต่พวกอุปกรณ์การเรียน “ซันไปจัดของบนโต๊ะก่อนแล้วกัน อะไรจำเป็นต้องใช้ก็แยกไว้นะครับ เดี๋ยวเผลอแพ็คไปด้วยแล้วมันจะวุ่นวาย”

“...”

“ส่วนเสื้อผ้า เดี๋ยวผมเก็บให้ ซันแยกที่จะใส่ไว้นะครับ จะได้เอากลับห้องเรา”

“...” ผมก้มหน้าก้มตาพูดยาวเหยียดแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบอะไร เลยหันกลับไปมองคนที่นั่งขัดสมาธิมองผมอยู่อย่างแปลกใจ แต่ก็ยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นใบหน้ากรุ่มกริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ ขณะที่ดวงตาฉายแววบางอย่างออกมาชัดเจน

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป เขาถึงได้มองแบบนั้น แต่ไม่ทันได้ถาม ซันก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ทาบริมฝีปากลงมาเบาๆ แล้วผละออกอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งเป็นสระอิ ฟันเรียงสวยเกือบครบสามสิบสองซี่แบบที่ทำให้ใจผมแกว่งทุกทีที่เห็น

“โคตรน่ารักเลย”

อะ... อะไร ทำไมอยู่ๆ มาชมกันเฉย

แถมจูบเสร็จก็ขยี้หัวผมทีหนึ่งแล้วลุกออกไปเลย ทิ้งให้ผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองแผ่นหลังกว้างของคนที่ทำเป็นตีมึนขะมักเขม้นจัดของบนโต๊ะด้วยความงุนงง ขณะที่หัวใจกำลังเต้นโครมครามอย่างห้ามไม่ได้

เพราะโควต้าจูบวันละครั้ง ทำให้หลายวันที่ผ่านมาเขาเหมือนจะไตร่ตรองเสมอก่อนจะทาบริมฝีปากลงมา ต้องมั่นใจก่อนว่าถ้าจูบไปแล้วจะไม่นึกเสียดาย และทุกครั้งมันมักจะเป็นจูบที่พรากลมหายใจราวกับว่าถ้าไม่ตักตวงเอาไว้ เขาอาจจะขาดอากาศหายใจไประหว่างวัน

แต่จูบเมื่อกี้กลับแตกต่างออกไป... เพียงแค่แตะริมฝีปากลงมาแผ่วเบา ไร้การตักตวงหรือไตร่ตรองใดๆ ไม่ใช่จูบดูดดื่มด้วยซ้ำ... แต่กลับแผ่ซ่านความอบอุ่นไปทั้งหัวใจ

ทำไมถึงได้ขยันหาวิธีใหม่ๆ มาทำให้ผมแพ้ราบคาบได้ตลอดเลย

ผมได้แต่ย่นหน้าใส่ลับหลัง พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงอาการเขินมากเกินไป ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบจิตสงบใจลงได้ แล้วกลับมาโฟกัสกับการย้ายของออกจากกล่องหนึ่งไปรวมอยู่ที่กล่องใหญ่โดยไม่ใช่พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด

แต่จัดได้ไม่เท่าไหร่ผมก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อหยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมา เป็นกล่องพลาสติกทรงสูงที่มองเข้าไปเห็นว่าข้างในบรรจุรูปถ่ายเอาไว้จำนวนหนึ่ง ผมถือวิสาสะหยิบออกมาหนึ่งใบเพราะสถานที่ในภาพมันคุ้นตา และเห็นชัดว่าคนในภาพนั้นคือผมกับซัน

เป็นภาพถ่ายตอนที่เราไปเที่ยวกับพวกตรี จากในภาพ น่าจะเป็นตอนที่ผมกับซันยืนคุยกันบนยอดเขาก่อนถูกเรียกไปถ่ายรูปรวม

“อัดไว้ด้วยเหรอครับ” ผมยิ้มออกมาพลางเดินถือกล่องใส่รูปเดินไปหาซันที่กำลังง่วนอยู่การจัดของบนโต๊ะ เขาหันมาเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะยิ้มตามเมื่อเห็นรูปในมือผม

“ไอ้ตรีมันอัดมาให้อ่ะ บอกให้เอามาแบ่งกัน” ฝ่ามือหนาเอื้อมมาหยิบกล่องไปถือให้ขณะที่ผมวางรูปเดิมลงและหยิบรูปต่อๆ ไปขึ้นมาดู ส่วนใหญ่เป็นรูปแอบถ่ายผมกับซัน ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าพวกเราตัวติดกันแทบจะตลอดทริป จนกระทั่งมาเห็นรูปถ่ายนี่แหละ

“ผมไม่เห็นได้เลย” ผมถามพลางหลุดยิ้มกับรูปที่พวกเรานั่งล้อมวงรอบกองไฟกัน และซันพยายามจะเล่นกีตาร์ทั้งที่ฝีมือไม่เอาอ่าว ผมนั่งอยู่ข้างๆ และทำสีหน้าเหม็นเบื่อใส่เขาในณะที่คนอื่นๆ กำลังหัวเราะตัวโยน

ก่อนที่ภาพต่อมาจะเป็นภาพที่ผมหลุดยิ้มออกมาบ้าง...

จำได้ดีว่าเพราะเสียงเพลงห่วยๆ ของเขา ทำให้บรรยากาศที่เจือปนด้วยความกระอักกระอ่วนกลับกลายเป็นสดใสได้อย่างเหลือเชื่อแค่ไหน เป็นคนที่มีบรรยากาศรอบตัวอบอุ่นไม่แพ้แสงไฟที่ใช้บรรเทาความหนาวเหน็บในคืนนั้นเลย

“ก็อยากเก็บไว้เองทุกรูปเลยอ่ะ” คนขี้หวงตอบกลั้วหัวเราะพลางทิ้งสะโพกพิงกับโต๊ะเขียนหนังสือ ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือกล่องไว้รั้งตัวผมให้ขยับเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้าลงมาจนหน้าผากแตะกันเพื่อดูรูปด้วยกัน ผมเบ้หน้าใส่คำตอบของเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหยิบรูปอื่นออกมา เป็นรูปถ่ายรวมที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเราสองคนยืนจับมือกัน

“นี่แอบแต๊ะอั๋งกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเหรอครับ” ผมแกล้งเลิกคิ้วถาม ซันยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนจะแกล้งงับปลายจมูกผมเบาๆ

“ดูดีๆ ตัวเองก็จับไว้เหมือนกันเหอะ” ว่าพลางตีสีหน้ายียวน “แบบนี้เรียกแต๊ะอั๋งร่วมป่ะครับ”

ผมเบ้หน้าใส่อีกรอบ ก่อนจะทำเป็นเฉไฉก้มหน้าดูรูปถ่ายต่อไป นึกถึงบรรยากาศตอนนั้นแล้วอยากจะไปอีกสักครั้ง ทั้งๆ ที่ปกติผมไม่ใช่คนชอบเที่ยว โดยเฉพาะการเที่ยวเป็นกลุ่มเนี่ย นอกจากไปทัศนศึกษาซึ่งค่อนข้างน่าเบื่อ ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวแบบนี้เลย ต้องขอบคุณซันจริงๆ ที่ชวนผมไป

“เอ๊ะ...” ผมนึกอะไรเพลินๆ อยู่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่อยู่ก้นกล่องขึ้นมา

มันแปลกที่สุดในบรรดารูปถ่ายทุกใบ เพราะไม่ใช่รูปถ่ายจากทริปนั้น... และที่สำคัญ มันมีเพียงครึ่งใบ

รูปถ่ายสมัยมัธยมที่ผมจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเคยเก็บมันไว้เป็นของสำคัญ เอาไว้เตือนใจว่าสักวันผมจะก้าวข้ามชีวิตอันน่าสมเพชเข้าไปในโลกที่มีแต่แสงสว่างได้อย่างเปิดเผยบ้าง... เดิมที มันเป็นรูปที่มีจุดโฟกัสอยู่ที่ซัน ตรี กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ยืนโพสต์ท่าอยู่ด้านหน้า ในขณะที่มีผมติดมาอย่างบังเอิญขณะกำลังนั่งมองตรีอยู่ไกลๆ

แต่ตอนนี้อีกครึ่งที่มีตรีกับเพื่อนอีกคนกลับถูกฉีกทิ้งไป จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งที่มีแค่ผมกับซัน

“อา... นั่นมัน...” คนเก็บรูปไว้ส่งเสียงอึกอักขึ้นมาอย่างร้อนตัว ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงรูปถ่ายกลับไป ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าทำไมรูปนี้ถึงมาอยู่กับเขาได้

“ซันบอกให้ผมทิ้ง” ผมว่า เมื่อเขาเอาแต่หลบสายตาเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง

ในวันที่ผมถูกจับได้ว่าแอบชอบตรี เขาเป็นคนฉีกรูปนี้เพื่อบอกให้ผมทิ้งอดีตไป แต่ในวันที่ผมตั้งใจจะทำลายรูปทิ้ง กลับพบว่าครึ่งหนึ่งมันหายไป... ใครจะคิด ว่าคนที่เก็บมันไว้จะเป็นคนที่ฉีกมันเองกับมือ

“ก็...” เขาอึกอัก วางกล่องรูปลงแล้วยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเก้อๆ แล้วถอนหายใจออกมา “แค่เก็บมา เพราะคิดว่าอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้อีกไง” เขาเริ่มอธิบาย ดวงตาคู่สวยเลื่อนมาสบตาผมอีกครั้งราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ในใจ

“อยากเห็นสายตาแบบนี้ อยากเห็นสีหน้ามีความสุขทั้งที่ได้แต่มองจากที่ไกลๆ”

“...”

“ตั้งใจมาตลอดว่าถ้าได้เห็นอีกเมื่อไหร่ จะเป็นคนทำให้สมหวังเอง” เขายิ้มกว้างอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

ในขณะที่ผมได้แต่นิ่งไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไร... เหมือนหัวใจกำลังถูกสัมผัสอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม และสายตาที่ทวีความอ่อนโยนในทุกๆ ประโยคที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีนั่น ทุกอย่างที่เป็นเขาตอนนี้ล้วนทำให้หัวใจของผมสั่นไหว และสุขสงบในเวลาเดียวกัน

“แล้วอีกอย่าง มันเป็นรูปคู่รูปแรกเลยนะ” เขาพูดขำๆ ก้มหน้ามองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง “ไม่เคยรู้เลยว่าอยู่ใกล้กันขนาดนั้น โคตรเสียดาย”

“...”

“ถ้าได้รู้จักกันเร็วกว่านี้คงดีเนอะ”

“ซัน...”

“คงได้กอดเร็วกว่านี้ ได้จูบมากกว่านี้ ได้บอกรักตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีเรื่องไอ้ตรีให้เสียใจ”

“ถึงผมจะอยู่ในสภาพแบบนั้นเหรอครับ” อดไม่ได้ที่จะถาม เพราะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าเราเจอกันตั้งแต่ตอนนั้นจะเป็นยังไง

เขาจะยังปฏิบัติกับผมแบบนี้มั้ย หรือแค่มองผมอย่างดูถูกไม่ต่างจากใครๆ

“เออ นั่นดิ...” ซันเงยหน้าขึ้นมาสบตา แกล้งทำท่านึกนิดหน่อย แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม

“แต่ถ้าเป็นคนนี้อ่ะ... ยังไงก็รัก” ก้มหน้าลงมากดจูบหนักๆ บนหน้าผาก ผมหลุดหัวเราะเบาๆ แล้วขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม
ไม่คิดจะถามอะไรอีก ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นแค่การเอาใจหรือคิดแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้วินาทีนี้ คือการกอดเขาไว้... ดึงใบหน้าของร่างสูงลงมารับจูบของผมไป เพื่อบอกว่าผมได้รับทุกๆ ความรู้สึกของเขา และรู้สึกขอบคุณมากแค่ไหน

ซันชะงักไปเหมือนไม่ทันได้ตั้งตัว ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายรุกล้ำ มอบจูบแสนอ่อนหัดให้เขาอยู่นาน จนกระทั่งเกือบจะหมดลมหายใจเสียเองถึงได้ผละออกมา มองใบหน้าเหวอหนักของคนตัวสูงกว่าแล้วได้แต่หลุดขำ

แต่ไม่นานก็ถูกครอบครองริมฝีปากอีกครั้งด้วยจูบที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
 
มือหนารั้งท้ายทอยผมเอาไว้ เอียงใบหน้าปรับองศาเพื่อให้ริมฝีปากเราแนบสนิทไร้ช่องว่าง รสจูบแสนหวานที่มอมเมาให้เคลิบเคลิ้มจนลืมไปแล้วว่านี่มันเกินโควต้าจูบวันละครั้ง... และกำลังจะนำพาไปสู่การละเลยข้อตกลงอีกอย่างระหว่างเรา

รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกแขนแข็งแกร่งยกร่างสลับขึ้นมาเป็นฝ่ายนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างง่ายดาย ได้ยินเสียงข้าวของถูกปัดร่วงกระจัดกระจายเมื่อร่างสูงโถมตัวเข้ามาใกล้กว่าเดิมหลังจากผละให้ผมได้หายใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนกดจูบลงมาอีกครั้ง เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัด รุกเร้า และร้อนแรงแทบจะหลอมละลาย

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากพรมจูบไปทั่วใบหน้าระหว่างรอให้ผมหายใจ อาศัยจังหวะที่ริมฝีปากร้อนจัดกำลังง่วนอยู่กับการขบกัดไปทั่วใบหูและซอกคอ ถอดแว่นออกวางไว้ให้พ้นระยะอันตราย ก่อนที่อีกฝ่ายจะฉกฉวยริมฝีปากลงมาอีกครั้ง บดจูบย้ำๆ ด้วยสัมผัสที่ทวีความรุนแรงราวกับจะบอกว่าเส้นความอดทนของเขาใกล้จะขาดเต็มที

และอีกไม่กี่วินาทีก็คงกลายเป็นสัตว์ร้ายคลุ้มคลั่งที่ปล่อยให้ความหิวโหยกลืนกินผมลงไปทั้งตัว

“...” แต่ชั่วขณะที่ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังจะไปไกลเกินห้าม ริมฝีปากที่พรากลมหายใจผมซ้ำๆ ก็หยุดชะงัก

ฝ่ามือซุกซนที่ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมจนถึงเม็ดสุดท้ายโดยไม่รู้ตัวนิ่งค้างอยู่บนแผ่นหลังพักใหญ่ ก่อนจะทิ้งลงข้างกายเหมือนหมดเรี่ยวแรง

“ฮื่อ...” เสียงครางงอแงดังขึ้นหลังจากร่างสูงผละริมฝีปากออกไป ซบหน้าลงกับไหล่ที่เกือบเปลือยของผมพลางส่ายหน้าไปมา “เกือบไปแล้วอ่ะ”

ผมหลุดหัวเราะ รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

จะว่าไปก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าสุดท้ายเขาทำตามข้อตกลงหนึ่งเดือนนั่นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร

บอกแล้วไง ว่ายังไงผมก็จะเชื่อใจเขาอยู่ดี

“อันตรายสัสๆ ทำไมขี้ยั่วงี้วะ” เสียงทุ้มบ่นพึมพำขณะกดจูบหนักๆ ลงมาบนไหล่และซอกคอของผมเหมือนทำได้แค่นั้น มือข้างเดิมรั้งเอวผมเข้าไปกอดไว้ แกล้งรัดอ้อมกอดแน่นอย่างหมั่นไส้กัน ขณะที่ผมยิ้มขำ ทั้งประหลาดใจ และปลื้มใจที่เขายอมหยุดและทำตามสัญญาที่ให้ไว้

เดิมทีมันเป็นเพียงข้อเรียกร้องงี่เง่าที่ผมอยากทำโทษในความเจ้าเสน่ห์เกินไปจนน่าหมั่นไส้ของเขาก็เท่านั้น ไม่คิดว่าซันจะยอมทนเป็นอาทิตย์ๆ ทั้งที่โดนผมแกล้งสารพัด แม้กระทั่งตอนนี้...

สารภาพตามตรงว่าอันที่จริง ผมใจอ่อนตั้งแต่เขาตอบตกลงแล้วด้วยซ้ำ เพราะในตอนนั้นสายตาของเขายืนยันชัดเจนว่าสิ่งเดียวที่ต้องการคือความเชื่อใจจากผม... ไม่ใช่สิ่งอื่นใด

“คนดี” ผมหลุดปากเรียกเขาออกไปตามที่ใจคิด ก่อนจะดึงใบหน้าคนที่กำลังงอแงขึ้นมากดจูบลงไปบนโหนกแก้มทั้งสองข้างเบาๆ “น่ารัก”

“น่ารักมากๆ” ตามด้วยริมฝีปากบางที่คว่ำลงทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่กันทันทีที่ผมถอนจูบออกมา

“โชครับ... ถ้าจะทำขนาดนี้เอาปากกาบนโต๊ะมาแทงกันเลยดีกว่า” ครวญครางพลางซบหน้าลงกับไหล่ผมอีกรอบขบกัดเหมือนลูกหมาที่กำลังคันฟันอยากกัดทุกสิ่งรอบตัวจนผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง ยกมือขึ้นโอบรอบคอเขาไว้แล้วกดจูบลงไปบนขมับอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยวไม่แพ้กัน

“ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้ครับ”






กว่าจะเก็บของในห้องนอนเสร็จก็เย็นมากแล้ว แถมกินพลังงานจนคุณชายงอแงขอเก็บที่เหลือวันหลัง เราเลยตัดสินใจพักไว้แล้วโทรสั่งอาหารมากินกัน ก่อนจะผลัดกันอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมยืมเสื้อผ้าซันใส่เพราะชุดเดิมเต็มไปด้วยเหงื่อและคงเหนอะตัวแย่ถ้าต้องใส่มันต่อไปตลอดทั้งคืน

เสื้อยืดโคร่งๆ กับกางเกงที่ตัวใหญ่กว่าผมไซส์หนึ่งมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของต่างจากเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ทุกวันนี้ที่มีกลิ่นของผมปะปนอยู่จนแยกไม่ออกแล้วว่าเป็นกลิ่นใคร หรือแม้แต่บนเตียงที่ไม่ได้ใช้งานมานานก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเขาหลงเหลือเอาไว้ มันคงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจราวกับนั่งอยู่ในห้องตัวเอง
   
“อ้วนขึ้นป่ะเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากเดินมานั่งซ้อนหลังผมทำตัวเป็นพนักพิงต่างหัวเตียง
   
ถ้าเป็นเมื่อก่อนได้ยินใครทักแบบนี้ผมคงจิตตก กังวลจนวิ่งไปส่องกระจกอยู่นานสองนานด้วยความไม่มั่นใจ แต่หลังจากอยู่กับซัน และเห็นชัดว่าเขาพยายามขุนผมให้อ้วนขึ้นด้วยสารพัดอาหารทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ผมก็เหนื่อยใจที่จะต้องมานั่งนับแคลอรี่เหมือนที่เคยทำ
   
“จะได้กอดนุ่มขึ้นไงครับ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่สายตากำลังจดจ่ออยู่บนชีทสรุปบทเรียนที่พกมาอ่านฆ่าเวลา
   
อย่างที่บอกว่าไฟนอลกำลังใกล้เข้ามา ดังนั้นทุกวินาทีเลยมีค่า รู้ดีว่าตัวเองมีเวลาน้อยกว่าคนอื่นเพราะต้องทำงาน ก็เลยต้องเริ่มก่อนคนอื่นเขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเร่งอ่านเอาทีหลัง ซึ่งเสี่ยงมากที่จะอ่านไม่ทัน
   
“หนาย~” คนขี้แกล้งลากเสียงยียวน ก่อนจะโอบแขนรอบเอวผม รัดแน่นพลางจับโยกไปมา “นุ่มขึ้นจริงด้วยอ่ะ”
   
“ซัน” ผมทำเสียงดุอย่างรำคาญ แต่ตีหน้านิ่งได้ไม่นานก็หลุดขำเมื่อจมูกโด่งๆ กดลงมาที่แก้มพลางพึมพำ
   
“เพิ่มตรงนี้ให้ด้วยดิ” ก่อนจะก้มลงซุกไหล่แล้วสูดกลิ่นจนได้ยินเสียงลมหายใจ “ตรงนี้ด้วย”
   
“...”
   
“ตรงนี้” งับเบาๆ ตรงต้นแขนที่อยู่ใต้เสื้อยืดตัวบาง
   
“อ่านหนังสือไปเลยครับ” ผมดุ ใช้ชีทในมือเคาะหัวคนทะเล้นจนหยุดวอแว แต่ก็ยังไม่วายหลุดขำที่แกล้งผมได้ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบชีทของตัวเองมาอ่านบ้างพลางดึงตัวผมลงไปพิงอกกว้างเพื่อให้นั่งสบาย
   
ไม่นานทั้งห้องก็เงียบกริบ ต่างคนต่างจมลงสู่เนื้อหาการเรียนเงียบๆ ไม่มีใครส่งเสียงรบกวนกัน แถมยังใช้ร่างกายของอีกคนแทนการระบายความคิดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
   
เช่นตอนนี้ที่พอถึงข้อที่เป็นโจทย์ยากๆ ผมก็จะเผลอลากนิ้วทดเลขบนหลังมือเขาที่วางอยู่บนเข่าที่ชันขึ้นมาข้างหนึ่ง ในขณะที่ซันเวลาที่เขาต้องใช้สมาธิในการจำ เจ้าตัวก็จะกดจูบซ้ำๆ ลงมาบนกระหม่อมผมพลางเอ่ยเนื้อหาที่ต้องจำ
   
แปลกดีที่เราปล่อยให้อีกฝ่ายทำแบบนั้นโดยไม่รู้สึกรำคาญ กลับรู้สึกสบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวแบบนี้ และเชื่อเถอะว่าเวลาที่เขาท่องจำสลับไปมามันน่ารักมากจนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปแกล้งกัดริมฝีปากเจ้าตัวเบาๆ
   
เรานั่งอ่านหนังสือกันอยู่นาน จนกระทั่งเจ้าของไหล่กว้างที่ผมพิงอยู่ถอนหายใจหนักๆ วางชีทลงข้างๆ พลางทิ้งตัวลงมาวางคางบนไหล่กอดผมไว้หลวมๆ แล้วบ่นพึมพำ
   
“ง่วง” ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูนาฬิกาแล้วพบว่ามันยังพอมีเวลา
   
“หลับก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมปลุกเอง” ผมบอก ไม่คิดจะห้ามเพราะรู้ว่าหลายคืนที่ผ่านมาเขาต้องอดหลับอดนอนปั่นโปรเจ็กต์ให้ทัน คืนหลังๆ เขาไม่ได้กลับไปที่ห้องด้วยซ้ำ ไม่ต้องถามถึงที่ร้านเลย ผมต้องจัดการลางานและสลับเวรนายมาทำแทนให้เพื่อที่เขาจะได้ทำงานโดยไม่ต้องกังวล
   
“อืม” เสียงงัวเงียรับคำสั้นๆ แต่แทนที่จะขยับไปนอนดีๆ เขากลับหลับตาแล้วซบหน้าลงกับไหล่ผม ขณะที่แขนสองข้างกอดรอบเอวไว้คล้ายกำลังกอดหมอนข้างก็ไม่ปาน
   
“ลงไปนอนดีๆ สิครับ” ผมว่าพยายามแกะมือออกจากเอว แต่ฝ่ามือหนากลับจับมือผมไว้แทน

“ซัน...” ผมกำลังจะดุ แต่ก็ไม่ทันเขาเถียงทั้งที่เสียงงึมงำ
   
“แบบนี้สบายแล้ว”
   
สบายที่ไหนกัน ถ้าตื่นมาปวดหลังผมจะตีซ้ำให้ดู
   
แต่รู้ว่าเถียงไปก็คงไร้ประโยชน์ เลยปล่อยให้คนดื้อนอนท่านั้น ติดตรงที่มือของเขายังคงจับมือผมอยู่เลยทำให้ยังอ่านหนังสือไม่ได้ กำลังจะอ้าปากบอก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็เรียกชื่อผมขึ้นมา
   
“โช...”
   
“...” ผมเงียบและรอฟัง ในขณะที่เจ้าของเสียงเว้นวรรคไปนาน มือข้างที่จับมือผมอยู่วนไปมาอยู่ที่นิ้วนางราวกับว่ากำลังวัดขนาดของมัน

และเพราะมัวแต่สงสัยในการกระทำนั้น ผมจึงไม่ทันได้ตั้งตัวตอนที่เสียงทุ้มเอ่ยบางอย่างออกมาเบาๆ
   
“แต่งงานกันมั้ย”
   
“...” 
   
อะ... อะไรนะ
   
ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่เสียงของเขามันเบาและงัวเงียเกินกว่าจะจับใจความได้ แถมคนพูดก็ดูเหมือนไม่พร้อมจะเอ่ยทวน

ซันเงียบไป ขณะที่ฝ่ามือเปลี่ยนมาประสานนิ้วมือผมไว้หลวมๆ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท และลมหายใจร้อนๆ ที่คลอเคลียอยู่ตรงลำคอก็สม่ำเสมออย่างคนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา
   
ผมขมวดคิ้วมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังหลับใหล ไม่กล้าปลุกเจ้าตัวขึ้นมาถามว่าพูดอะไร เลยได้แต่ถอนหายใจ เบ้ปากงอแงอยู่ในใจคนเดียว

จากที่ตั้งใจจะอ่านหนังสือต่อ ตอนนี้กลับกลายเป็นสมาธิกระจัดกระเจิงจนอ่านไม่ได้ วางชีทลงแล้วซุกไซ้ใบหน้าลงกับซอกคออีกฝ่าย แล้วกัดเบาๆ อย่างหมั่นไส้
   
นิสัยไม่ดี... มาแกล้งให้คนอื่นใจสั่นขนาดนี้แล้วหลับหนีกันได้ยังไง





------------------------------------------------------------------------
ใครอ่านจบตอนนี้แล้วใจสั่นตามโชจะรู้สึกขอบคุณมากเลยค่ะ 5555
แต่เชื่อว่าคงมีหลายคนอยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้าเจ้าซัน ปลุกขึ้นมาให้พูดให้ชัดๆ มากกว่าใช่มั้ยคะ  :hao7:
เอาน่า มันยังไม่ถึงเวลาไงคะ (ตบบ่าๆ)

ยิ่งใกล้จบยิ่งรู้สึกว่าเขียนยากยังไงไม่รู้อ่ะ
เหมือนต้องปลดปล่อยความรู้สึกหลายๆ อย่างที่เคยกั๊กไว้ออกมาหมดหน้าตัก
เหนื่อยมาก แต่ก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
หวังว่าอ่านแล้วจะชอบกันนะคะ แต่ถ้าหวานเกินไปจนเลี่ยนก็ต้องขออภัย บอกได้นะคะ เราจะยื่นน้ำมะนาวให้ 55555

ฝาก #ซันโช เหมือนเดิมนะคะ
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นต์คือกำลังใจจริงๆ ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 9 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-07-2017 21:32:23
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 9 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 22-07-2017 21:59:29
เป็นการบรรยายที่ทำให้รู้สึกว่า ซันรักโชมากจริงๆ
อบอุ่นหัวใจสุดๆ เลยค่ะะะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 9 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: CLShunny ที่ 22-07-2017 23:11:15
โอ๊ยยยยยย!!!! เหม็นความรักไปหทดเลยจ้าาาาา เหม็นความ รักของเค้าทั้งสองง556555 นังซันผู้เป็นเจนเทิลแมนแบดบอยดูมีความสบสนในบทเดียว55555 นุ้งโชคนดีของเราเป็นกว้างแสนยั่วอีกคน น่ารักจริงๆๆไไไไ ยิ่งอ่านยิ่งหลงตะวันมากเลยจ้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 9 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-07-2017 02:08:21
ยิ่งอ่านยิ่งหลงน้องโช ฮื่ออ ลูกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง#ซันโช :หลงตะวัน 9 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 23-07-2017 08:35:38
โอ้ยยยยยย
คนมีความรักนี้มันน่าหมั่นไส้จริงๆ
แค่นั่งอ่านหนังสือจำเปนต้องใกล้ชิดขนาดนั้นไหม
แล้วความวอแวของซันนี้คืออะไร

นึกว่าตอนนั้ซันจะตบะแตกซะแล้ว
โชกุนเกือบโดนกินรวบหัวรวบหางละเนี้ย
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช :หลงตะวัน 10 [29/07/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 29-07-2017 15:12:03
 
หลงตะวัน : 10
               
         
หลุดปากขอแต่งงานได้ยังไง... แม้แต่แหวนสักวงยังไม่มี
               
แล้วอีกอย่าง ประเทศไทยแม่งไม่มีกฎหมายรองรับการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอีกต่างหาก... ทำไมวะ?
               
ผมไม่สนใจกฎหมาย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าทะเบียนสมรสมันสำคัญ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนสองคนที่รักกัน ถึงไม่สามารถแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันโดยชอบธรรมได้ เพียงเพราะเรามีเพศสภาพที่เหมือนกัน
               
ถึงอย่างนั้นผมก็อยากแต่งงาน... อยากมีอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน
               
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกมันมาไกลขนาดนี้ ถลำลึกขนาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร ยิ่งใกล้ชิด ก็ยิ่งพบว่ามันคือความสุขที่ยากจะสรรหาได้จากที่ไหน... เป็นครั้งแรกเลยที่คนที่พอใจกับการใช้ชีวิตไปวันๆ ล่องไปลอยมาอย่างผม จะคิดถึงการมีอนาคตร่วมกับคนอื่นขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามาเป็นความธรรมดาในชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้

ถามตัวเองอยู่หลายต่อหลายรอบว่าทำไม... มันก็ไม่มีคำตอบอื่น นอกจากผมอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับไอ้ตี๋ มีมันอยู่ข้างๆ แบบนี้ต่อไป ไม่ต้องตลอดกาลก็ได้ แค่ทุกวัน... จนกว่าจะแก่ตาย
               
แต่ผมใจร้อนเกินไป เอาแต่ใจถามออกไปโดยลืมว่ามันยังมีปัจจัยอีกหลายเรื่องที่ต้องเอามาคิดก่อนตัดสินใจ

เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมคิดถึงเป็นเรื่องแรกเลย คือครอบครัว... ผมมัวแต่คิดว่าความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคนจนลืมไปว่าในความเป็นจริงเรายังมีคนอื่นรอบตัวที่มีความสำคัญเกินกว่าจะมองข้ามความรู้สึกของพวกเขาไป

จริงอยู่ว่าครอบครัวผมไม่ใช่พวกซีเรียสอะไร ป๊ากับแม่ไม่เคยมาก้าวก่ายชีวิตรักของผมเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้บอก และไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะคิดยังไงที่อยู่ๆ ผมก็หันมาคบกับผู้ชาย แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือครอบครัวไอ้ตี๋... ผมไม่เคยถาม จึงไม่รู้พื้นเพเลยสักนิดว่าครอบครัวมันเป็นแบบไหน... ผมยังจำได้เรื่องที่พ่อไอ้ตรีไม่ยอมให้มันคบผู้ชาย กว่ามันกับพี่เชนจะฝ่าฟันมาได้ก็ถึงขั้นแตกหักกันไปทีหนึ่ง... พอคิดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

ถ้าหากว่ามีครอบครัวของเราคนใดคนหนึ่งเกิดรับไม่ได้ล่ะ... จะเป็นยังไง

ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนพี่เชน ไม่ได้อดทนเก่งเหมือนไอ้ตรี ไม่รู้วิธีจัดการแก้ปัญหายากๆ ในชีวิตเลยสักนิด ติดจะเป็นคนขี้ขลาดด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาหลายๆ ปัญหาผมมักจะเลี่ยงการเผชิญหน้า ตีหน้าเฉไฉ ใช้การกระณีประนอมเข้าว่าจนบางทีก็คาราคาซังกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวตามมาทีหลัง

แต่คราวนี้ผมจริงจังเกินกว่าจะปล่อยผ่าน...

ผมอยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน อย่างน้อยถ้ามันจะเป็นอุปสรรคหนึ่งที่ผมต้องฝ่าฟัน ผมก็อยากรู้และหาวิธีรับมือกับมัน

“โช...” ผมส่งเสียงเรียกงัวเงียเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าเจ้าของตักที่ใช้หนุนต่างหมอนก่อนนอนหายไป
               
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยลืมตาลุกขึ้นมากวาดสายตาไปทั่วห้องนอนที่ตอนนี้ไม่มีสัมภาระอื่นนอกจากเตียง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นเงาของคนที่มองหา ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องนอนมาทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา
               
เป็นไปตามคาด ไอ้ตี๋อยู่ข้างนอกจริงๆ ผมหลุดยิ้มออกมาแล้วลากเท้าบิดขี้เกียจเข้าไปหาเจ้าของร่างเล็กที่กำลังง่วนกับการเดินไปเดินมาแถวชั้นวางของในห้องนั่งเล่น
               
 “ทำอะไร” เอ่ยถามพลางคว้าเอวบางมากอดไว้ สูดกลิ่นกาย ซุกหน้าลงกับไหล่แบบที่ชอบทำ
               
“หือ? ตื่นแล้วเหรอครับ” คนในอ้อมแขนส่งเสียงประหลาดใจก่อนจะหมุนตัวกลับมาตอบคำถาม “ผมกำลังจะแพ็คกล่องสุดท้าย เลยลองมาเช็คดูว่าลืมเก็บอะไรหรือเปล่า”
               
ผมเลิกคิ้ว มองไปยังกล่องกระดาษที่ตั้งเรียงอยู่ในห้องรับแขกแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จำได้ว่าก่อนผมจะอิดออดขอนอนพักมันยังเหลืออีกประมาณสามสี่กล่องที่ยังแพ็คไม่เสร็จ แต่ตอนนี้ทุกกล่องถูกปิดเทปกาวและวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมสำหรับขนย้าย อาทิตย์นี้เรามาขลุกอยู่ในห้องผมตอนกลางวันเพื่อเก็บของกัน เหนื่อยก็พัก หยิบหนังสือมาอ่าน หลับสักงีบก่อนไปทำงานที่ร้าน แล้วกลับไปนอนห้องไอ้ตี๋ วนอยู่แบบนี้ทั้งอาทิตย์จนถึงกำหนดย้ายออกในวันพรุ่งนี้         

“หนีมาแพ็คของเนี่ยนะ” ผมบ่น                                                           

น่าตีว่ะ แทนที่จะรอกัน ผมขอหลับแป๊บเดียวเอง
               
แต่พอเห็นผมงอแงคนตรงหน้ากลับหัวเราะ “แพ็คเสร็จก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
               
“ก็ไม่ชอบเวลาตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าอ่ะ” ผมอ้อน รัดอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางโน้มตัวแตะหน้าผากลงไปกับหน้าผากใส ถูจมูกตัวเองเข้ากับปลายจมูกโด่งจนคนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วตีหน้ายุ่งเหมือนทุกครั้งที่ผมทำแบบนี้
               
รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเขิน แต่หนีไปไหนไม่ได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักจนอดไม่ได้ที่จะฟัดแก้มนิ่มๆ สักที แต่แกล้งได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นว่ามือที่ยกขึ้นมาดันอกผมกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ ก้มลงมองก็พบว่ามันคือซองบุหรี่ยี่ห้อโปรดที่ซื้อมาตั้งนานแล้วแต่ใช้ไปเพียงไม่กี่มวน
               
“ซันยังใช้อยู่มั้ย?” เงยหน้าขึ้นมาถามทั้งที่ดวงตาเรียวฉายคำตอบที่ตัวเองต้องการออกมาชัดเจน ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแย่งซองบุหรี่มาโยนใส่ถุงขยะที่อยู่ไม่ไกลแล้วส่ายหน้า

“เลิกแล้ว” ผมไม่ได้ติด อันที่จริงระยะหลังมานี่ไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ เพราะมีอย่างอื่นให้สนใจเกินกว่าจะนึกถึงมัน

แล้วอีกอย่างที่สำคัญกว่านั้น คือผมเป็นห่วงสุขภาพของไอ้ตี๋ “พอดีคนแถวนี้ป่วยง่ายอ่ะ ไม่อยากเพิ่มควันพิษ”

พอได้ยินเหตุผล ‘คนแถวนี้’ ที่ว่าก็ตีหน้าบึ้งกลับมาทันที

“ควรเลิกเพราะห่วงสุขภาพตัวเองดีกว่านะครับ” เป็นประโยคที่โคตรน่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง พลางดันหลังร่างเล็กเข้าไปติดเคาน์เตอร์วางของข้างทีวีที่ตอนนี้ว่างเปล่า

“โอเค...” อุ้มขึ้นไปนั่งบนนั้น แทรกตัวอยู่ระหว่างขาเรียวพลางเงยหน้ามองใบหน้าใสที่ตอนนี้อยู่ในระดับสูงกว่าแล้วเปลี่ยนคำตอบใหม่ 

“เลิกเพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งตาย ไม่ทันได้เห็นคนแถวนี้ตอนแก่ดีมั้ย” ช้อนตามองด้วยสายตาของลูกหมาที่กำลังขอรางวัลจากเจ้านาย

อยากจูบแทบตาย แต่เพราะเผลอใช้โควต้าของตัวเองไปแล้วตั้งแต่เช้าเลยได้แค่คลอเคลีย ไล้จมูกไปกับแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อทั้งที่เจ้าตัวกำลังทำหน้าเหนื่อยหน่ายกับลูกอ้อนที่ผมหยิบมาใช้จนอีกฝ่ายรู้ทัน

“นิสัยเสียจริงๆ” แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังหลุดขำ บ่นพึมพำก่อนจะจับหน้าผมให้อยู่นิ่งๆ แล้วทาบริมฝีปากลงมา

เราตกลงกันไว้ว่าห้ามผมจูบเกินวันละครั้ง... แต่กรณีที่คุณเขาเป็นฝ่ายจูบก่อนผมไม่นับ ดังนั้นผมไม่ได้ทำผิดกติกา

“หึ” หลุดหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ ขณะดึงคนตัวเล็กเข้ามาแนบกายพร้อมกับเผยอริมฝีปากล่อลวงให้เรียวลิ้น
ร้อนล่วงล้ำเข้ามาง่ายๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว

สัมผัสแผ่วเบา เจือไปด้วยความเขินอาย แต่ทว่าหวานล้ำจนทำให้หัวใจผมเต้นเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังเร็วกว่าเข็มวินาที...

และคงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ริมฝีปากแตะกันนานกว่านี้ เมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงขีดกำจัดความอดทนจึงถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง มองริมฝีปากบางที่ผมอยากครอบครองซ้ำๆ คลี่ยิ้มหวาน ขณะที่หน้าผากยังแตะกัน ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ยังทาบอยู่บนหน้าเกลี่ยแก้มผมเบาๆ พลางกดปลายจมูกลงมาหยอกล้อกับปลายจมูกผม คลอเคลียไปมาอยู่นานจนกระทั่งผมเป็นฝ่ายยอมแพ้ ก้มหน้าลงซุกกับไหล่บางพลางบ่นพึมพำ

“หิวแล้วอ่ะ ไปกินข้าวกัน”

เฉไฉแดกข้าวไว้ก่อนแล้วกัน ก่อนจะตบะแตกเผลอแดกอย่างอื่นขึ้นมาจริงๆ
 





กินข้าวเย็นเสร็จก็เพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆ พวกเราเลยไปที่ร้านก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง ไอ้มิ่งยังไม่ออกกะด้วยซ้ำ แต่พี่โมดูเหมือนจะมีธุระ ตรงเคาน์เตอร์เลยมีไอ้ตัวเสนอหน้ามาทำแทน

“เฮ้ย พี่ซันมาพอดี” พอเห็นหน้าผมมันก็ทักเหมือนกำลังรออยู่ทันที ผมเลยเลิกคิ้วตีหน้ากวนกลับไป

“อะไร?” มือข้างหนึ่งยังจับมือบางไว้ ดึงให้เดินตามมานั่งที่โต๊ะว่างหน้าเคาน์เตอร์เพราะรู้ว่ามันกำลังหนีไปทำงานทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา

“มีคนมาหาพี่อ่ะ” ไอ้นายพยักหน้าไปทางโต๊ะหนึ่งด้านหลังที่ผมไม่ทันสังเกตตอนเข้ามาว่ามีใบหน้าของคนคุ้นตานั่งอยู่ และตอนนี้มันก็กำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาคล้ายกับมีบางอย่างอยากจะบอก

“ไอ้ตรีอ่ะนะ...” กำลังนึกสงสัยว่าถ้าไอ้ตรีมาหาจะบอกทำไม แต่ไม่ทันไรก็ต้องหยุดชะงัก รู้แล้วว่าคนที่ไอ้นายหมายถึง
ไม่ใช่ไอ้เพื่อนสนิทที่โผล่หัวมานั่งแช่อยู่ในร้านแทบทุกวัน

“ไม่ใช่ ผู้หญิงที่อยู่กับพี่ตรีดิ”

ไม่ต้องเอ่ยย้ำก็รู้ เมื่อ ‘ผู้หญิง’ คนที่ว่าหันกลับมายิ้มให้ ใบหน้าแสนคุ้นเคยที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ยังคงฉายแววสดใส ทว่าดูเจ้าอารมณ์ไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เจอ

“คุณนาย...” เผลอหลุดสรรพนามคุ้นปากออกมา ในขณะที่รับรู้ได้ว่าฝ่ามือของอีกคนที่กุมไว้ ค่อยๆ ถูกดึงออกไปพร้อมกับร่างเล็กที่ถอยห่างพลางยกมือไหว้ทักทาย

“สวัสดีครับ”

เพราะเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน จึงไม่แปลกที่ไอ้ตี๋จะรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร ถึงได้รักษาระยะห่างระหว่างผมไว้... เหลือเพียงสถานะเพื่อนคนหนึ่งของลูกชาย
 
ป๊ากับแม่ผมแต่งงานเร็วและวางแผนมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะอยากคุยกับลูกได้เหมือนเพื่อนมากกว่า แต่หลังจากมีพี่ชายคนโตกับพี่สาวคนรองผมก็ไม่ได้คุมกำเนิด อีกสิบปีให้หลังเลยมีผมขึ้นมา... เรียกว่าผิดแผนนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ความผิดพลาด

ออกจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำเพราะการเป็นลูกคนเล็กที่อายุห่างจากพี่ๆ เป็นสิบปี ทำให้ผมได้รับการประคบประหงมเหมือนมีพ่อแม่สี่คน ได้รับความรักจากครอบครัวจนล้น ถูกตามใจสารพัดมาตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็แค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยเดี๋ยวก็ได้ แทบไม่เคยถูกขัดใจเลยตั้งแต่เกิดมา

ครั้งเดียวที่ร้ายแรงจนถึงขั้นจำได้ก็คือตอนที่คุณนายไม่ยอมให้ผมเรียกแม่เพราะไม่อยากแก่ เป็นเรื่องไร้สาระที่ทุกคนในบ้านมองว่ามันขำ แต่ผมกลับเถียงหน้าดำหน้าแดง ก่อนที่สุดท้ายผมจะประชดเรียกคุณนายว่าคุณนายจนติดปากชินหูมาจนถึงทุกวันนี้

“เหมือนรู้เลยอ่ะว่ากำลังอยากเจอ” ว่าพลางกอดเอวบางไว้ ดันร่างผู้ให้กำเนิดเข้าไปในห้อง ขณะที่แม่กวาดสายตามองไปทั่วห้องที่เหลือแต่เฟอร์นิเจอร์โล่งๆ ที่ได้มาตั้งแต่ตอนเช่า

“อยากเจอแล้วทำไมไม่ไปหาล่ะ”

“คุณนายกับป๊านั่นแหละเที่ยวเพลินจนไม่ติดต่อมา”

หลังจากโยนกิจการที่มีอยู่ให้พี่ทั้งสองคนป๊ากับแม่ก็วางแผนเที่ยวรอบโลกกันทันที ช่วงไหนเดินทางก็จะหายหน้าหายตาเป็นเดือนๆ เหมือนไม่รู้ว่าโลกนี้เค้ามีโซเชียลมีเดียให้ติดต่อกัน ถึงจะเป็นห่วง แต่พวกเราสามพี่น้องก็ลงความเห็นกันว่าจะแค่ตามอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ป๊ากับแม่เที่ยวอย่างสบายใจ ขอแค่ให้ส่งข่าวเป็นระยะ หรือคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็ติดต่อกลับมาบ้างก็พอ

“แล้วป๊าไม่มาด้วยเหรอครับ” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ ปกติสองคนตัวติดกันจะตาย ทำตัวเหมือนข้าวใหม่ปลามันทั้งๆ ที่อยู่กินกันมาหลายสิบปี

“ดูหลานอยู่บ้านนู่น” แม่ตอบ “ฉันมาหาเพราะซีกับแซนด์บอกว่าซันจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่รีสอร์ต”

ซีคือพี่ชายคนโตของผม คนที่ตอนนี้เป็นทั้งพี่ใหญ่ และคุณพ่อของลูกชายวัยเก้าขวบคนหนึ่ง ส่วนแซนด์คือพี่สาวคนรองที่นอกจากจะเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของผมแล้ว ยังเป็นแม่จริงๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสามขวบและกำลังจะมีลูกสาวอีกคนในอีกสี่เดือน

“แล้วนี่เก็บของเสร็จหรือยัง” กวาดสายตามองไปรอบห้องอีกครั้ง เหมือนสำรวจของตกค้างเหมือนที่ใครอีกคนเพิ่งทำ

ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้า “หมดแล้วครับ มีคนมาช่วย” แม่เลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ถามว่าใคร กลับหันมามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

“ซันจะหางานทำเองจริงๆ เหรอ”

ทุกคนในบ้านเข้าใจแบบนั้นตั้งแต่ผมหันมาเรียนสายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการบริหารโรงแรมอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร ป๊ากับแม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำตามใจ และคอยซัพพอร์ตให้เท่าที่จำเป็น

“ครับ” ผมตอบ พลางทิ้งตัวลงนอนบนตักที่แสนคิดถึง กอดเอวซุกหน้าลงกับหน้าท้องนุ่มๆ แล้วถูไปมา “คุณนายไม่ต้องห่วงเลย ซันดูแลตัวเองได้”

“รู้แล้ว เข้าใจตั้งแต่มาขออนุญาตทำงานร้านกาแฟแล้ว” แม่หัวเราะ พร้อมกับฝ่ามืออุ่นๆ ที่ขยี้ลงมาบนหัวแรงๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

ผมหัวเราะบ้าง ผละหน้าออกมานอนมองเจ้าของใบหน้าต้นแบบของตัวเองที่ชราตามวัย แต่กลับมีดวงตาที่สดใสเหมือนสาวสะพรั่งแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง รู้สึกอุ่นใจจนคิดว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายวัน ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด

ไม่มีทางเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะรับไม่ได้ในสิ่งที่ผมเป็น

“คุณนาย... ถ้าซันไม่เหมือนคนอื่น คุณนายจะผิดหวังมั้ย” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ก็ตัดสินใจลองเชิงถามออกมา

“หือ?” แม่เลิกคิ้ว มองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยขำๆ “ซันเคยเหมือนใครด้วยเหรอ”

“โห่ คุณนาย~” ผมลากเสียงงอแง แม่หัวเราะพลางลูบหัวผมเบาๆ

“มีอะไรก็ว่ามา”

คงเพราะจับได้ว่าผมมีบางอย่างอยากจะพูดจึงเปลี่ยนเป็นถามด้วยน้ำเสียงใจดี ผมเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดสิ่งที่คิดไว้

“แม่... ซันมีคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตแล้วนะ”

ลุกขึ้นนั่งเพื่อสบตาให้รู้ว่ากำลังจริงจัง “แต่ถ้าไม่ใช่คนที่แม่กับป๊าหวัง จะเป็นไรมั้ย”

ถึงจะคิดเอาไว้ว่าคงไม่ถูกต่อต้านอะไร แต่ก็อดเผื่อใจไว้ไม่ได้ ว่ามันอาจไม่ง่ายอย่างที่ต้องการ

“ซันอยากแต่งงานกับเค้า แต่ซันมีหลานให้แม่แบบพี่ซี พี่แซนด์ไม่ได้นะครับ”

“...”

“คนที่ซันรักเป็นผู้ชาย”

แม่จ้องหน้าผมนิ่งสักพัก ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ พลางถอนหายใจ “ว่าแล้วเชียว”

“หือ?” ผมเลิกคิ้วกับปฏิกิริยาของแม่เมื่อได้ยินคำสารภาพของผม

ว่าแล้วเชียว? หมายความว่าไง

“ซีบอกหมดแล้วเรื่องข่าวลือที่ซันคบผู้ชาย ตอนเจอตรีก็เลยลองถามดู แต่ตรีบอกให้มาถามซันเอง แต่แค่นั้นก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องจริง”

“อ้าว...” ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน

“คนที่เดินมาด้วยกันที่ร้านกาแฟใช่มั้ย” แม่เลิกคิ้ว ในขณะที่ผมยังไม่เลิกประหลาดใจ

“รู้ได้ไง”

“โอ้โห ก็ลูกชายเล่นเดินจับมือกันมาซะขนาดนั้น คิดว่าฉันไม่เห็นหรือไง” แกล้งเบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูอ่อนโยนอีกครั้ง “ซันจริงจังใช่มั้ย”

“อื้อ” ผมพยักหน้ารัวๆ ขยับเข้าไปใกล้ กอดเอวแม่ไว้ แล้วถามเสียงอ้อน “แม่ไม่ว่าเหรอครับ”

“ตกใจ แต่ไม่ว่า” ดวงตาของแม่ยังคงอ่อนโยน ขณะเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ “แต่ตกใจกว่า ที่ซันพูดออกมาว่าอยากแต่งงาน"

"..."

"ดูซันจะรักคนนี้มาก”

“ครับ รักมาก” ผมยิ้ม แล้วทิ้งตัวลงหนุนตักแม่อย่างผ่อนคลายอีกครั้งเมื่อรู้ว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไปด้วยดี “อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตเหมือนป๊ากับคุณนาย”

พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ลูบหัวผมไปมาแล้วเริ่มถามต่อ

“ชื่อโชกุนใช่มั้ย” ผมพยักหน้า ตอนอยู่ในร้าน ไอ้ตี๋มีโอกาสได้แนะนำตัวสั้นๆ แล้วขอปลีกตัวไปทำงาน ส่วนผมกับแม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระกับไอ้ตรีต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ผมจะพาออกมาเพราะแม่ถามว่าเก็บของเสร็จหรือยัง

“อยากคุยด้วยสักหน่อย แต่ซันก็ลากออกมาก่อน”

ผมหัวเราะ แล้วแกล้งพูดติดตลก “กลัวถ้ารู้ว่าเป็นแฟน คุณนายจะวีนใส่มันไง ห้ามแตะเชียว คนนี้หวงมาก” 

จำได้ดีว่าสายตาที่มองมายังผมกับแม่เป็นระยะ เต็มไปด้วยความกังวล คงเพราะผมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพื่อบ่งบอกสถานะระหว่างเรา ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากบอกแม่ด้วยตัวเองก่อน ยังไม่อยากให้ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน เพราะถ้าเกิดมันไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ คนที่จะเจ็บตัวที่สุดคงไม่พ้นไอ้ตี๋

ผมอยากแน่ใจก่อนว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้โดยไม่ทำร้ายจิตใจมัน

“คบกันมานานหรือยัง” แม่เปลี่ยนคำถามหลังจากแกล้งย่นหน้าหมั่นไส้ใส่ผม

“เพิ่งคบกันครับ แต่รู้จักมานานแล้วนะ มันเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับซันด้วย” ถึงตอนมัธยมแทบเรียกไม่ได้ว่ารู้จักก็เถอะ

“เดี๋ยวจะโชว์รูปสมัยมัธยมให้ดู คุณนายต้องตกใจแน่ ไม่เหมือนตอนนี้เลย” ผมว่าพลางล้วงกระเป๋าตังค์หยิบรูปถ่ายเก่าๆ ที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งใบออกมายื่นให้แม่ดู

“คนนี้เหรอ?” แม่เบิกตากว้าง ชี้ไอ้ตี๋ที่อยู่ไกลๆ

ผมหัวเราะ “ใช่ ไม่เหมือนเลยเนอะ”

แม่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะยื่นรูปกลับมา

“มันพยายามแทบตายเลยนะกว่าจะเหลือตัวเท่านี้” ผมบอกกลั้วหัวเราะ นึกถึงนิสัยจุกจิกกับการกินของมันแล้วนึกขำ

เดี๋ยวจะขุนจนกลับไปอ้วนเหมือนตอนนั้นให้ดู

“แล้วที่ซันชอบเขานี่ เพราะเขาดูดีขึ้นงั้นเหรอ”

“หึ ไม่เกี่ยวเลย” ผมส่ายหน้ารัว “ไอ้ตี๋เป็นคนดี”

“เป็นคนน่ารักมาก จนอยากจะรู้จักให้เร็วกว่านี้” ผมมองรูปในมือ มองดวงตาเป็นประกายของไอ้ตี๋แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

เคยคิดว่าถ้าได้เห็นมันมองใครแบบนี้อีกครั้งจะทำให้สมหวัง... ไม่ทันคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นตัวเองที่ถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้องมา

ดวงตาที่ทำให้ผมมีความสุขจนไม่อยากจะแบ่งปันให้ใคร

“อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว ไม่น่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่าตั้งหลายปี”

“บางทีคนที่ใช่ ก็ต้องมาในเวลาที่เหมาะด้วย เหมือนฉันกับป๊าไง กว่าเราจะรักกันได้ก็คลาดกันอยู่ตั้งนาน...”

“พอเลยคุณนาย” ผมแย้ง ก่อนแม่จะเริ่มเล่ามหากาพย์ความรักของตัวเองให้ฟังเป็นรอบที่ล้าน “วันนี้คุณนายต้องฟังเรื่องของซัน ห้ามเล่าเรื่องตัวเอง”

แม่ทำหน้าหมั่นไส้ใส่ผมอีกรอบเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะก้มหน้ามองผมด้วยสายตาจริงจังทว่าเจือไปด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง

“ตอนนี้ซันมีความสุขใช่มั้ย” มือบางขยับลูบหัวผมไปมา

“ครับ” พอได้ยินคำตอบ แม่ก็พยักหน้าพอใจ

“ดีแล้ว... ไม่ว่าเรื่องอะไร แม่อยากให้ซันมีความสุข รู้ใช่มั้ย” ผมยิ้มบ้าง เมื่อสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองของแม่เปลี่ยนไป

“ไม่ต้องถามเลยว่าแม่กับป๊าจะผิดหวังมั้ย เพราะซันไม่เคยทำให้เราผิดหวัง”

“...”

“ซันเป็นลูกชายที่ดีที่สุดเท่าที่ในชีวิตแม่คนหนึ่งจะมีได้ เข้าใจมั้ย” ผมยิ้มกว้าง พยักหน้ารัวๆ รู้สึกเหมือนหัวใจได้รับสารอาหารเต็มอิ่มขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ยินแม่พูดแบบนี้

กับบางครอบครัวมันอาจเป็นเรื่องแปลกที่มานั่งพูดหวานๆ ใส่กันแบบนี้ แต่กับครอบครัวเรา มันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราต่างเชื่อว่าคำพูดดีๆ การแสดงออกว่ากำลังภูมิใจในตัวกันและกัน เป็นสิ่งง่ายๆ ที่เติมพลังชีวิตได้ดีกว่าวิตามินใดๆ

“ถ้าเข้าใจก็พาโชกุนไปที่บ้านได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกให้ป๊าเลื่อนทริปเนปาลไปอีกสักสามสี่เดือน”

คราวนี้ผมหัวเราะลั่น กอดเอวแม่ไว้ ถูหน้าไปมา แล้วเอ่ยเอาใจ

“แม่ใคร ทำไมทั้งสวยทั้งใจดี”
 





หลังจากคุยกันอีกสักพัก ผมก็พาแม่ไปส่งที่รีสอร์ต เพราะไหนๆ ก็มาเลยถือโอกาสไปตรวจความเรียบร้อยด้วยซะเลย ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง เลยไม่ทันได้บอกไอ้ตี๋ว่าวันนี้จะค้างกับแม่ แถมคุณนายก็เอาแต่เม้าท์มอยเรื่องไปเที่ยวให้ผมฟังจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เช้าวันใหม่เข้าไปแล้ว

ผมลาแม่แล้วกลับมาที่หอไอ้ตี๋ตอนหกโมงเช้าพอดี เข้าใจว่าป่านนี้ไอ้ตี๋คงหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีแสงไฟในห้องรับแขกลอดออกจากช่องใต้ประตูเข้ามาที่ทางเดิน พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นว่าร่างของคนที่กำลังคิดถึงนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาในสภาพชุดทำงาน แถมยังสวมแว่นตาไว้อีกต่างหาก

ทำไมมานอนนี่วะ...

หรือว่ารออยู่?

ผมเลิกคิ้วกับตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ใบหน้าใส ดึงแว่นตาออกให้อย่างเบามือเพราะไม่อยากทำให้ตื่น

“กลับมาแล้วเหรอครับ” แต่สุดท้ายไอ้ตี๋ก็รู้สึกตัวจนได้ มันถามเสียงงัวเงียพลางขยี้ตา

รออยู่จริงๆ ด้วยอ่ะ

ผมหัวเราะเบาๆ วางแว่นที่เพิ่งถอดให้ ก่อนจะปีนขึ้นไปเบียดตัวบนโซฟาแคบๆ สอดแขนให้หนุนต่างหมอนแล้วกดจูบลงที่หน้าผากเบาๆ

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าจะนอนค้าง” ยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบผม เกลี่ยไปทั่วใบหน้าง่วงงุนที่ดูน่ารักเกินไปจนใจสั่นไปหมด

“ไม่เป็นไรครับ” เสียงงัวเงียตอบกลับมา พยายามลืมตาทั้งที่มันดูหนักอึ้งจนเหมือนจะปิดลงทุกที

ท่าทางจะเพลียน่าดู ยิ่งช่วงใกล้สอบ ไอ้ตี๋ก็ยิ่งยุ่ง ทั้งเรื่องอ่านหนังสือ เรื่องร้าน แถมมันยังต้องมาช่วยผมแพ็คของเก็บห้องทั้งวันอีก

“แล้วแม่ซัน...” ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมา แต่ว่าไม่ทันจบก็ชะงัก คิ้วขมวดนิดๆ ด้วยสีหน้ากังวลแบบที่ผมเห็นในร้าน

ผมรู้ว่ามันจะถามอะไร ถึงได้ยิ้ม จรดหน้าผากลงกับเจ้าของหน้าผากใสที่ใกล้หลับเต็มที คลอเคลียปลายจมูกไปมา ก่อนจะกระซิบเบาๆ

“ปิดเทอมนี้จองตัวนะครับ” มองสีหน้างุนงงปนงัวเงียแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม อดไม่ได้ที่จะงับปลายจมูกคนน่ารักเบาๆ แล้วบอกความตั้งใจ “จะพาไปบ้าน”

“...!?” พอดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจ ผมก็หลุดหัวเราะออกมา

“ไปนะ” แกล้งอ้อนถาม พลางกดจูบหนักๆ ลงไปบนแก้มทั้งสองข้าง
               
“...”

“นะ” พอเห็นว่ามันยังไม่หายตะลึงก็แกล้งงับปลายจมูกอีกรอบ แล้วเลื่อนไปที่หน้าผากหนึ่งที

“นะๆๆ” กลับมาคลอเคลียปลายจมูกเข้าด้วยกัน พลางส่งสายตาออดอ้อน จนกระทั่งเห็นดวงตาเรียวฉายแววเข้าใจ แล้วอมยิ้มพร้อมพยักหน้า ผมจึงยิ้มกว้างไล่ริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง

“ไปหาป๊ากับแม่กัน”

หยุดคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปาก รั้งรออยู่สักพัก จนเจ้าของดวงตาเรียวค่อยๆ หลับตาลงอย่างฝืนความง่วงไม่ไหว จึงทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่ยังทิ้งรอยยิ้มไว้บางๆ

ไม่ได้ล่วงล้ำหรือตักตวงความหวานอย่างเอาแต่ใจเหมือนเคย เป็นเพียงจูบแผ่วเบา เพื่อบอกให้สบายใจ... ไม่มีอะไรต้องกังวล

แค่อยู่ในอ้อมกอดผม แล้วหลับฝันดีก็พอ





---------------------------------------------------------------
เวลาเขียนนิยายอีกเรื่องที่สนุกคือการคิดปูมหลังตัวละคร
ตั้งแต่คิดคาร์แร็กเตอร์ ก็ต้องคิดไปถึงว่าเค้าเกิดมาในครอบครัวแบบไหนทำไมถึงเป็นคนแบบนี้
อย่างคาแร็กเตอร์ซัน เราว่าถ้าเขามีครอบครัวแบบนี้คงน่ารักดี สำหรับเรามันสมเหตุสมผลที่เขาจะเป็นแบบนี้
เพราะได้รับความรักมามาก ก็เลยแบ่งปันคนอื่นได้มาก ถูกใส่ใจมามาก ก็เลยใส่ใจคนอื่นมากๆ เหมือนกัน
แต่ในทางกลับกันก็ขี้งอแงเอาแต่ใจมากๆ ด้วย 55555
อาจไม่ใช่คาแร็กเตอร์พระเอกในฝัน แต่เชื่อว่าคนอ่านก็คงเอ็นดูนางเหมือนกันใช่มั้ย เนอะ

อีกสองตอนจะจบแล้วว
รอหน่อยนะ ช่วงนี้วุ่นๆ ไม่ค่อยมีเวลาเขียนเลย

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 10 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 30-07-2017 12:12:31
แอร๊ยยยยย
เค้าจะพาเข้าบ้านกันแล้วววววว

ชอบคุณแม่ซันจังเลยค่ะน่ารักมาก
เปนครอบครัวสมัยใหม่เข้าใจลูก
ไม่ดุไม่ว่า แถมเปนกำลังใจมห้อีกตั้งหาก

ครอบครัวผ่านแล้วแบบนี้
ต่อไปก้เตรียมงานแต่งได้แล้วนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 10 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ▲TEACHCHY▼ ที่ 01-08-2017 21:37:33
เลี่ยนความรักอะ ชิ
แต่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ5555
โชน่ารักมากกกกกกกก
ทำไมน่ารักอะ

ชอบตอนอ่านหนังสือ จูบย้ำๆจำซ้ำๆ
ถ้าเป็นเราคงไม่มีสมาธิอะ :hao7:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 10 [22/07/2560 ] : P.5
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 01-08-2017 22:11:32
คิดถึงซันโชแล้ว
ช่วงนี้เราขาดความหวาน
ซันโชช่วยมาเติมให้หน่อยยยยยย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 10 [29/07/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-08-2017 14:13:15
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : หลงตะวัน 10 [29/07/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 06-08-2017 06:51:07
ซันเอาตี๋ไปซ่อนไว้ไหน
รีบพาออกมาเร็วๆ
คนอ่านคิดถึงจะแย่แล้วววว
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 11 [08/08/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-08-2017 09:16:13
หลงตะวัน : 11

 
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่ หลังแต่งงานพี่ชายกับพี่สาวผมไม่ได้แยกตัวออกไป เพราะตั้งใจกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันแบบนี้เรื่อยๆ มันไม่ใช่กฎ ไม่มีใครรั้งให้เราอยู่ด้วยกัน ป๊ากับแม่สร้างบ้านให้เป็นของขวัญแต่งงานทั้งสองครอบครัวด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายทุกคนก็มาสุมหัวกันอยู่ที่บ้านใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตา
               
มันถึงได้วุ่นวายแบบนี้ไง
               
“อาซันนน~” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมลากยาวตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว จนเจ้าตัวแสบวิ่งมาถึงหน้าประตูพุ่งเข้ามากระโดดกอดขาไว้ได้นั่นแหละถึงจะเงียบลง
               
หมับ!
               
“...!”
 
พลาดตรงที่คนที่เจ้าตัวเล็กกอดอยู่ดันไม่ใช่ผม...
 
“ว้ายยย ผิดคน” ผมร้องแซว นั่งคุกเข่าเบ้หน้าล้อเลียนใส่หลานชายที่เหวอไปทันทีที่เห็นว่าคนที่กอดอยู่ไม่ใช่คนที่ตัวเองตั้งใจ ขณะที่คนถูกกอดมองหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างตกใจอยู่สักพัก ก็ย่อตัวลงยิ้มหวานทักทาย
               
“หวัดดีครับ”
               
เจ้าตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ มองหน้าไอ้ตี๋เหมือนยังช็อกค้างอยู่หลายวินาที ก่อนจะหันมามองหน้าผมทั้งที่ยังกอดขามันไว้ 
 
“อาซัน... ใครอ่ะ” แกล้งกระซิบเบาๆ เหมือนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน
               
ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง แกล้งยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูหลานเหมือนเวลาเราแกล้งแอบเม้าท์คนอื่นๆ ในบ้านกัน “แฟนอา”
               
คราวนี้ตัวแสบถึงกับเบิกตากว้าง มองหน้าผมสลับกับไอ้ตี๋พลางกัดปากเขินๆ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือ เดินถอยหลังออกไปสองสามก้าว แล้วเริ่มวิ่งกลับเข้าไปในบ้านพร้อมเสียงตะโกน
               
“คุณย่า แฟนอาซันมาแล้ว~”
               
ทำตัวเป็นทรโข่งบอกข่าวให้คนที่คงจะนั่งรออยู่ข้างในให้รับรู้การมาถึงของพวกเรา ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมามองหน้าคนข้างตัว
               
“เมื่อกี้ชื่อเจ้าภู เป็นลูกพี่ซี พี่ชายคนโต” แนะนำตัวแทนเจ้าตัวเล็กที่แต๊ะอั๋งแฟนผมตั้งแต่แรกเจอ ก่อนจะเอ่ยถึงอีกคนที่ยังไม่เห็นตัว
 
“เดี๋ยวจะเจอลูกพี่แซนด์ พี่สาวคนรองอีกคน ชื่อน้องภา น่ารักมาก ตอนไม่งอแงอ่ะนะ” ผมพูดติดตลก ขณะที่ไอ้ตี๋ยิ้มนิดๆ พยักหน้าเข้าใจ พลางมองตามแผ่นหลังน้อยๆ ที่เพิ่งลับสายตาไปด้วยแววตาคล้ายกับกำลังกังวล
               
เพราะเป็นบ้านตัวเอง ถึงจะไม่ได้กลับมาพักใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดอะไร เลยไม่ทันคิดว่าคนที่เพิ่งมาครั้งแรกอย่างมันจะรู้สึกประหม่าแค่ไหน โดยเฉพาะเป็นการมาในฐานะแฟนของลูกชายเจ้าของบ้านแบบนี้
               
ยังกะในละครที่ตัวเอกพาลูกสะใภ้เข้าบ้านอะไรแบบนั้นเลยว่ะ
               
“ตื่นเต้นเนอะ” ผมย่นหน้า ทำเป็นว่าตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เอื้อมมือไปจับฝ่ามือชื้นเหงื่อของมันไว้แล้วบีบเบาๆ “ครั้งแรกเลยเนี่ยที่พาแฟนมา”
               
เจ้าของดวงตาเรียวมองผมอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมองมือที่กุมกันไว้ เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ตอบผมด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลง
               
เห็นแบบนั้นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ไม่วายอยากจะแกล้งให้หายมันเขี้ยวสักที
               
“ขอกำลังใจหน่อย” ว่าจบก็ฉกฉวยริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากบางเร็วๆ แล้วผละออกมา
 
“ซะ...ซัน!” เห็นสีหน้าตกใจของคนที่ตั้งตัวไม่ทันก็หลุดหัวเราะ ยกมือที่กุมอยู่ขึ้นมาจูบหนักๆ ลงไปครั้งหนึ่ง ส่งสายตาบอกว่าไม่ต้องกังวล
 
“พร้อมมั้ย?” ผมถาม มองดวงตาเรียวที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากตกใจเป็นผ่อนคลาย ส่ายหน้าเอือมๆ เพราะรู้ทันว่าที่ผมแกล้งก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
 
“ครับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มตอบพลางพยักหน้าเบาๆ
 
ผมยิ้มกว้างอย่างพอใจ กดจูบลงบนหลังมืออีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะพาคนตัวเล็กเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่มาหลายสิบปี
 
แต่แทนที่จะเจอครอบครัวนั่งอยู่พร้อมหน้า ห้องรับแขกโล่งกว้างกลับไร้เงาของคนอาศัย มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะบ่ายวันอาทิตย์แบบนี้บ้านเรามักจะไปนั่งรวมตัวกันในสวนหลังบ้าน ทำตัวฟรีสไตล์กับวันที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า มีปาร์ตี้บ้าง หรือบางครั้งแค่นั่งพูดคุยสัพเพเหระไปตามประสา
 
แต่วันนี้มีวาระพิเศษ มันจึงไม่ใช่บ่ายวันอาทิตย์ธรรมดา เพราะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้านทุกคนเลยดูจะตั้งหน้าตั้งตารอคอย
 
ดูจากในกรุ๊ปไลน์ครอบครัวที่ทุกคนติดตามความเคลื่อนไหวของผมตั้งแต่ยังไม่สตาร์ทรถออกจากเชียงใหม่ก็พอจะเดาได้ แทบทุกชั่วโมงผมต้องคอยให้ไอ้ตี๋พิมพ์ตอบให้ว่าตอนนี้ถึงไหน หรือโชกุนอยากกินอะไร พวกพี่ๆ จะได้เตรียมของว่างไว้ให้ทันทีที่เรามา
 
 
อีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าวันนี้เป็นวาระพิเศษก็คือป๊าลงมือทำมื้อเย็นด้วยตัวเอง ต้องขอบคุณไอ้ตี๋จริงๆ ที่ทำให้เราได้กินอาหารฝีมือเชฟใหญ่ของครอบครัวที่ไม่ได้กินมานาน
 
ป๊าของผมทำอาหารอร่อยมาก ในขณะที่แม่ทำอาหารไม่เป็น ในทางกลับกัน เรื่องบริหารจัดการป๊าไม่ค่อยเก่ง จึงเป็นเหตุผลที่ต้องมีแม่ผมคอยจัดการนู่นนี่ตั้งแต่ในบ้าน รวมไปถึงกิจการของครอบครัว เวลาที่มองป๊ากับแม่ หลายครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า ทั้งสองคนเป็นส่วนเติมเต็มที่ลงตัว เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ
 
“ชิมหน่อย” พอได้ยินจากแม่บ้านว่าป๊ากับแม่ยังอยู่ในครัว ผมเลยพาไอ้ตี๋มาที่นี่ก่อน ไม่ทันคิดว่าจะเจอช็อตเด็ดตอนที่คุณนายอ้อนขอชิมอาหารจากกระทะที่ป๊ากำลังทำพอดี
 
“เป็นไง?”
 
“อร่อยมาก”
 
“อะแฮ่ม!” สวีทกันจนผมต้องส่งเสียงกระแอมออกไปด้วยความหมั่นไส้ที่ได้เห็นฉากสวีทต่อหน้าต่อตา “ลูกชายมาแล้ว สนใจหน่อยครับ” ผมยิ้มแซว ขณะที่ป๊ากับแม่หันมาเลิกคิ้วมองแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัวผมที่ยกมือไหว้ทักทายด้วยท่าทางเกร็งๆ
 
“สวัสดีครับ”
 
“สวัสดีจ้ะ” พอรับไหว้เสร็จ แม่กับป๊าก็หันมามองผมยิ้มๆ แล้วหันไปพยักหน้าใส่กันอย่างมีเลศนัย
 
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในใจสองคนนี้กำลังแซวผมยกใหญ่ จนผมต้องรีบโวยวายออกไปอย่างร้อนตัว
 
“ห้ามแซว!” รู้สึกทันทีว่าหน้ากับลังเห่อร้อนขึ้นมา จนต้องหลบมายืนด้านหลังไอ้ตี๋ ซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงบนไหล่คนตัวเล็กกว่าที่ทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจปฏิกิริยาของผมที่อยู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมา
 
ตอนก่อนเข้ามายังปลอบไอ้ตี๋ว่าไม่ต้องเกร็งอยู่เลย แล้วไหงตอนนี้มายืนเขินพ่อแม่ตัวเองวะเนี่ยกู
 
“ใครแซว แค่จะบ่นว่ามาช้า” แม่แกล้งทำเป็นยักไหล่ ในขณะที่ป๊าหัวเราะแล้วหันไปทำอาหารที่ทำค้างไว้ ผมเบ้หน้า ไม่เชื่อแต่ไม่ได้แย้งอะไร กลับหันไปโบ้ยใส่อีกคน
 
“โทษคนนี้เลย มัวแต่บอกให้ผมแวะซื้อของฝากให้ป๊ากับคุณนาย มาช้าเลยเห็นมั้ย”
 
“อะ... เอ๊ะ... ผม...” พอถูกโยนความผิดให้ คนที่ได้แต่ยืนเงียบอยู่นานก็ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้นมองซ้ายมองขวาอึกอักเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง จนทั้งผมกับแม่หลุดหัวเราะออกมา ในขณะที่ป๊าหันมายิ้มให้อย่างเอ็นดู
 
“น่ารักอ่ะดิ” ได้ทีผมจึงอวยใหญ่ ย้ายมายืนข้างๆ เพื่อมองใบหน้าใสที่ขึ้นสีระเรื่อสบตาผมอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ บีบมือข้างที่ยังกุมกันไว้เบาๆ เพื่อย้ำว่า เห็นมั้ย ไม่มีอะไรต้องกังวล
 
“น่ารักมาก” แม่ว่า พลางเดินเข้ามาลูบหัวลูบไหล่ไอ้ตี๋แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม “ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ โชกุน”
 
เป็นคำพูดธรรมดาที่เหมือนจะปลดล็อกอะไรบางอย่างในใจของคนที่เอาแต่ยืนเกร็งทำหน้าไม่ถูกอยู่นาน ให้คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา เห็นแบบนี้แล้วผมอยากจะคว้ามากอดสักที ติดตรงที่แม่ผมไวกว่าเลื่อนมือลงมาจับมือบางไว้ แล้วทำท่าจะลากมันออกไป
 
“เดินทางมาเหนื่อยๆ ออกไปนั่งพักที่สวนดีกว่า พี่ๆ รอเจอหน้าน้องโชกุนแย่แล้ว” ผมมองท่าทางเห่อสมาชิกใหม่ของคุณนายแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ทำท่าจะเดินตามออกไป แต่ก็ถูกเชฟใหญ่รั้งไว้เสียก่อน
 
“ซันมาช่วยป๊าทำอาหารนี่มา”
 
“โห่ ป๊า ซันก็อยากไปนั่งที่สวนอ่ะ” ผมโอดครวญ มองตามแม่กับไอ้ตี๋ตาละห้อย แต่ก็ไม่มีใครช่วยอะไร แถมคุณนายยังแกล้งยักไหล่ทำท่าไม่ยี่หระใส่อีกต่างหาก
 
“ช่วยไม่ได้ แฟนซันขโมยลูกมือป๊าไปก่อน ซันก็ต้องมาทำแทน” แต่พอได้ยินเหตุผลที่ป๊าหยิบมาอ้าง ผมก็หลุดหัวเราะอีกครั้ง เดินเข้าไปอยู่หน้าเตาอย่างยอมจำนน
 
รู้ดีว่าที่ป๊าให้ผมอยู่ต่อไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ช่วยจริงๆ แต่คงเพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะคุย
 
“ย้ายของเข้าบ้านเสร็จแล้วใช่มั้ย” ไม่ทันไรก็เอ่ยปากถาม ทั้งที่มือยังหยิบเครื่องปรุงอะไรต่อมิอะไรใส่ลงไปในกระทะไม่หยุด
 
“ครับ”
 
“ของโชกุนด้วยใช่มั้ย” คราวนี้ป๊าหันมาเลิกคิ้วถาม ผมเลยยิ้มแล้วพยักหน้ากลับไป
 
“ครับ ย้ายเข้าไปอยู่ได้สองสามวันแล้ว” เรื่องที่ผมกับไอ้ตี๋จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน เป็นที่รู้กันภายในครอบครัวแล้ว ไม่มีใครคัดค้านอะไร แถมป๊ากับแม่ยังพร้อมจะส่งคนมาอำนวยความสะดวกให้ แค่มันบอกว่าขาดเหลืออะไร แต่ไอ้ตี๋ก็ยังเป็นไอ้ตี๋ นอกจากคำขอบคุณมันก็ไม่คิดจะร้องขออะไรอีกด้วยความเกรงใจ
 
หลังจากย้ายของออกจากอพาร์ตเมนต์ผมเสร็จ หลังไฟนอลเราก็ต้องเริ่มเก็บของเตรียมย้ายออกจากหอไอ้ตี๋กันอีกรอบ เหนื่อยกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะมีทั้งของผมของไอ้ตี๋ แต่พอย้ายของออกหมดจนเหลือแต่ห้องเปล่าๆ ความรู้สึกที่ฉายชัดขึ้นมาก็คือความใจหายที่เราจะไม่ได้อยู่ที่นั่นกันต่อไป
 
ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ...แต่มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นภายในห้องเล็กๆ นั่นจนกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าระหว่างเรา
 
จนถึงตอนนี้เรายังไม่ชินกับบ้านหลังใหญ่ โซฟาตัวใหม่ เตียงใหม่ ที่ดูจะกว้างเกินไปเมื่อเทียบกับโซฟาหรือเตียงแคบๆ ที่เราเบียดกันนอนมานาน แต่ถึงอย่างนั้นการได้เห็นหน้าอีกคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ก็ทำให้อุ่นใจจนลืมไปเลยว่ามันหลังใหญ่แค่ไหน
 
“แม่บอกว่าซันอยากแต่งงาน” เงียบไปสักพักเพื่อตักอาหารใส่จาน ป๊าก็เอ่ยเรื่องใหม่ขึ้นมา
 
“ครับ” ผมตอบตามตรง เพราะกลับมาครั้งนี้ก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำเรื่องนี้ให้เคลียร์
 
ป๊าหันมามองหน้าผม ยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นจานอาหารมาให้ผมไปวางรวมไว้กับจานอื่นๆ แล้วเอ่ยแซว “ใจร้อนเหมือนกันนะเรา”
 
ผมหัวเราะบ้าง ยักไหล่พลางเอ่ยขำๆ “ไม่รู้จะรอไปทำไม”
 
จำได้ดีว่ามันเป็นคำพูดของเวลาเรื่องความรักของตัวเองให้ฟัง พอถึงตอนที่คบกัน หรือแม้กระทั่งตอนตัดสินใจแต่งงาน เหตุผลเดียวสั้นๆ ที่ป๊าให้ คือไม่รู้ว่าจะรอไปทำไม
 
ผมกับไอ้ตี๋ก็เหมือนกัน... ผมพูดว่าเสียดายกับตัวเองเป็นพันๆ ครั้งที่ไม่ได้เจอมันมาตั้งนาน... และผมก็ไม่อยากจะต้องมานั่งเสียดายแบบนั้นอีก
 
เราต่างรู้ดีว่าระยะเวลาที่เราทำความรู้จักกันมันไม่ใช่ช่วงสั้นๆ เรามองกันและกันมานาน เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น และมั่นใจยิ่งกว่าอะไรว่าอีกฝ่ายคือความสุขของชีวิตที่ตามหามานาน...
 
ดังนั้นถ้าใครบอกว่าผมตัดสินใจเร็วเกินไป ผมขอเถียงขาดใจเลยจริงๆ
 
“แล้วนี่ ครอบครัวโชกุนเขาว่ายังไง” ป๊าเอ่ยถาม พร้อมกับเริ่มทำอาหารจานใหม่ซึ่งผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากหยิบวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่เตรียมไว้แล้วยื่นให้
               
“ยังไม่ได้เจอเลยครับ” ผมตอบตามตรง อันที่จริง เรื่องแต่งงานนี่ก็เหมือนจะเป็นแค่ผมที่คิดอยู่ฝ่ายเดียว ยังไม่ได้พูด ไม่ได้บอกอะไรสักอย่างกับไอ้ตี๋ เพราะยังไม่มีจังหวะเวลาที่คิดว่าสมควร
 
แต่แน่ล่ะว่าอีกไม่นาน หัวใจผมมันตะโกนออกมาแล้วว่าไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเสียเปล่าอีกเลยแม้แต่วินาที
 
“กลัวมั้ย” อยู่ๆ ป๊าก็ถามขึ้นมา ราวกับรู้ความคิดในใจ
               
เหตุผลเดียวที่ผมยังไม่พร้อมจะถามเรื่องนี้กับไอ้ตี๋ ก็เพราะยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะใจครอบครัวไอ้ตี๋ได้ ไม่รู้จะหยิบยกอะไรมาเป็นหลักประกัน ในเมื่อชีวิตก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
 
“กลัวครับ” ผมพยักหน้า สารภาพออกไปอย่างไม่อาย
 
เกิดมายังไม่เคยกังวลขนาดนี้ คงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ไอ้ตี๋รู้ว่าจะต้องมารู้จักครอบครัวผมนั่นแหละ... ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร จะถูกต่อต้าน หรือทำอะไรไม่ถูกใจมั้ย เป็นเรื่องที่จินตนาการไม่ออกเลย
 
“แต่ป๊าไม่ต้องห่วงนะ”
 
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน... เชื่อว่าต้องผ่านไปได้ แค่มีไอ้ตี๋คอยกุมมือไว้ อยู่ข้างๆ เหมือนที่ผ่านมาก็พอ
 
“ลูกป๊าไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว”
 
พอได้ยินคำพูดแสนมั่นอกมั่นใจของผม ป๊าก็หัวเราะ เอื้อมมือมาขยี้หัวกันแรงๆ เหมือนทุกครั้งที่ผมพูดถูกใจ
 
“โตเป็นผู้ใหญ่สักทีนะเรา” เอ่ยด้วยแววตาที่ทั้งหมั่นไส้ทั้งภูมิใจ
 
...คงเพราะได้เห็นลูกชายคนเล็กที่เอาแต่ออดอ้อนออเซาะให้คนอื่นตามใจไปวันๆ เริ่มคิดที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
 
               




กว่าป๊าจะทำอาหารเสร็จก็ถึงเวลามื้อเย็นพอดี ผมที่ขี้เกียจเต็มทีเลยมีหน้าที่ไปตามคนในบ้านมากินข้าว ปล่อยให้ป๊ากับแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารไป
 
“ไง น้องชาย” ทันทีที่ก้าวผ่านประตูมาคนแรกที่เอ่ยทักทายก็คือพี่แซนด์ที่นั่งคุยอยู่กับพวกผู้หญิงบนโต๊ะจิบน้ำชา ผมพยักหน้ารับกวนๆ ก่อนจะมองเลยพี่ซีกับพี่เขยที่ยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่งไปยังสนามหญ้าที่มีผ้าปิ๊กนิกปูไว้ แต่กลับไม่มีใครนั่ง
 
คนสามคนที่ควรจะอยู่บนนั้น กลับลงมานั่งเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าอย่างสนุกสนาน ไม่สนใจเลยสักนิดว่าเนื้อตัวจะมอมแมมกันแค่ไหน
 
“มีคนช่วยเลี้ยงหลานแล้วนะ” ผมหัวเราะออกมากับคำพูดติดตลกของพี่แซนด์
 
เพราะทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมหนีไม่พ้นต้องดูแลสองตัวแสบที่คนหนึ่งขี้งอแง ส่วนอีกคนก็ซนจนผมแทบจะเป็นไมเกรนตาย หลานเคยติดผมแจ แต่ท่าทางคราวนี้คงต้องยกตำแหน่งให้อีกคนที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม
 
ไม่รู้ว่าเล่นอะไรกัน ถึงได้หัวเราะเสียงดังกันขนาดนั้น สีหน้ามีความสุขซะจนผมอิจฉาเลย
               
“ป๊าให้มาตามไปกินข้าวอ่ะ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทั้งที่รู้ตัวว่ากำลังยิ้มกว้างจนหน้าบานแค่ไหน แม่กับพี่แซนด์ถึงได้ส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะหันไปตามพวกผู้ชาย เจ้าภูพอเห็นว่าพวกผู้ใหญ่แยกย้ายก็รีบวิ่งตามไปอย่างรู้ทันทีว่าได้เวลากินข้าวเย็น ทิ้งน้องสาวไว้ในอ้อมแขนของอีกคนที่เลิกคิ้วประหลาดใจเพราะเพิ่งสังเกตเห็นผม
 
อะไร ไม่ทันไรก็ถูกหลานแย่งความสำคัญซะแล้ว น่าน้อยใจว่ะ
 
“เสร็จแล้วเหรอครับ” 
 
“อืม เหนื่อยมาก ร้อนด้วย” ผมงอแง แต่แทนที่จะเห็นใจกันไอ้ตี๋กลับยิ้มขำ ยกมือข้างที่ไม่ได้อุ้มน้องภาขึ้นมาจัดผมที่ลู่ลงเพราะเหงื่อให้ผมเบาๆ
 
“อยากกินฝีมือซันจะแย่แล้ว”
 
อยากจะแย้งอยู่หรอกว่าผมทำได้แต่ส่งเครื่องปรุงให้ป๊ากับตักใส่จาน แต่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นหัวใจมันก็พอโตขึ้นมา อยากจะดึงมาจูบให้หายมันเขี้ยวสักที แต่ก็กลัวว่าจะประเจิดประเจ้อเกินไป เลยต้องแกล้งลูกไม้เฉไฉ ใช้หลานเป็นเครื่องมือ
 
“น้องภา คิดถึงอาซันมั้ย” ถามเจ้าตัวเล็กที่เป็นตัวคั่นอยู่ตรงกลางด้วยสีหน้าไม่ประสีประสา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
 
“มาให้อาหอมแก้มหน่อยเร็ว” แตะจมูกลงไปบนแก้มกลมใส...
 
แต่ขณะเดียวกัน ก็จงใจกดริมฝีปากลงไป ในตำแหน่งริมฝีปากของคนอุ้มอย่างพอดิบพอดี
               
 




สำหรับผมมันเป็นเย็นวันอาทิตย์ที่แสนเรียบง่าย เป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านตามวิธีของครอบครัวเรา มื้อเย็นฝีมือป๊า การหยิบอัลบั้มภาพขึ้นมาเล่าประกอบเรื่องราวน่าตื่นเต้นของคุณนาย เสียงความวุ่นวายของเด็กๆ การผลัดเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในวงเล็กๆ ที่มีตั้งแต่เรื่องตลกขบขันไปจนถึงเรื่องจริงจัง
 
ไอ้ตี๋ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการนั่งฟังทุกคนที่แย่งกันหาเรื่องมาคุยกับมันแล้วยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนัก มันหันหน้ามามองผมเป็นระยะเหมือนจะบอกว่าขอบคุณที่พามาซ้ำๆ
 
ความประหม่าในทีแรกอันตรธานหายไป เหลือเพียงความสบายใจ ผ่อนคลายไม่ต่างจากตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคน และถ้าผมไม่ได้อวยครอบครัวตัวเองเกินไป... ผมว่าผมมองเห็นประกายความสุขเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่นั้น ที่ผมเฝ้ามองมานาน       
 
หลังจากนั่งเล่นอยู่สักพัก ป๊าก็เรียกผมกับพี่ซีเข้าไปในห้องทำงาน คุยเรื่องรีสอร์ตที่เชียงใหม่ที่จะให้ผมช่วยดูแล แลกกับบ้านที่ผมกับไอ้ตี๋อยู่ปัจจุบัน ถึงจะไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะรีสอร์ตไม่ได้ใหญ่มาก แถมมีผู้จัดการประจำอยู่แล้ว เอาเข้าจริงเรียกได้ว่าผมแทบไม่ได้ช่วยอะไร แค่ต้องตรวจและเซ็นเอกสารที่สุดท้ายก็ต้องส่งให้พี่ซีเช็กอีกทีอยู่ดี
 
“อ้าวพี่” ผมร้องทักเมื่อกำลังจะเดินกลับห้องตัวเองแล้วเจอพี่สาวกับพี่เขยเดินออกมาพอดี ในอ้อมแขนพี่เขยอุ้มน้องภาที่หลับอุตุอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวบ่งบอกว่าก่อนหน้านี้หลานคงเข้าไปเล่นในห้องผมมา เหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน แล้วหลานๆ จะมาวิ่งซนอยู่กับผมสักพัก อ้อนให้ผมเล่านิทานให้ฟัง ก่อนที่พ่อแม่จะมาอุ้มออกไปหลังจากที่ทั้งสองคนหลับไป
 
“เจ้าภูยังอยู่ในห้องเหรอ” พอคิดได้แบบนั้นผมเลยเอ่ยถาม เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่างขึ้นมาทันที
 
“อืม เห็นว่าคืนนี้จะนอนห้องซัน” พี่แซนด์เอ่ยขำๆ เหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร
 
นั่นไง ผิดไปจากที่กลัวที่ไหน
 
ถึงบางครั้งพี่ซีจะอนุญาตให้เจ้าภูนอนห้องผมได้ แต่ต้องไม่ใช่ครั้งนี้ดิ...
 
วันนี้ทั้งวันผมยังไม่มีเวลาส่วนตัวกับไอ้ตี๋เลยนะครับ เพราะเจ้าตัวแสบที่หันมาติดแฟนผมแจ เรียกหาทุกๆ ห้านาที แถมรายนั้นก็ยังปล่อยให้หลานนัวเนียทั้งหอมทั้งกอดยิ่งกว่าที่ผมได้ทั้งเดือนอีก
 
แต่คืนนี้ผมไม่ยอมหรอก ยังไงก็ต้องทวงตำแหน่งตัวเองคืนให้ได้ คอยดูเลย
 
“น้องภู...” แต่ยังไม่ทันจะเรียกชื่อหลานเต็มคำก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก กลืนเสียงตัวเองลงไปขณะที่เจ้าตัวแสบหันมาจุ๊ปากใส่ชี้ไม้ชี้มือไปยังคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างตัว
 
“ภูเล่านิทานให้อาโชฟัง” พอเห็นหน้าผมก็รีบคุยโวยกใหญ่ ยกนิทานเรื่องโปรดที่ชอบอ้อนให้ผมเล่าให้ฟังก่อนนอนประจำขึ้นมา ผมเดินเข้าไปขยี้หัวหลานอย่างเอ็นดูก่อนจะเอ่ยชม
 
“ทำดีมาก” หันกลับมามองคนตัวเล็กที่นอนหลับอุตุอยู่อีกครั้ง ก่อนจะโน้มตัวลงไปกดจูบลงบนหน้าผากใสเบาๆ
 
กว่าจะนั่งรถมาถึงก็หลายชั่วโมง แถมยังต้องมารับมือกับเจ้าตัววุ่นที่ตามติดไม่ยอมห่าง ไม่แปลกที่มันจะเหนื่อยจนหลับสนิทขนาดนี้
 
“ทำไมอาซันถึงจูบอาโชอ่ะครับ” พอเห็นผมทำแบบนั้น เจ้าตัวเล็กก็เบิกตากว้าง เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
 
ผมหัวเราะเบาๆ ทิ้งตัวลงนอนข้างหลานคนละฝั่งกับไอ้ตี๋ก่อนจะตอบออกไป
 
“เพราะอาซันรักอาโชไง” ผมไม่รู้ว่าหลานเข้าใจที่ผมพูดมั้ย แต่หลังจากกะพริบตาปริบๆ มองหน้ากันสักพัก เจ้าตัวเล็กก็หันกลับไปกดจูบบนหน้าผากคนที่กำลังหลับบ้างแล้วหันมายิ้มกว้างให้ผม
 
“ผมก็รักอาโชเหมือนกัน” ผมหลุดหัวเราะกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย ก่อนจะแกล้งเบ้หน้าไม่ยอมรับ
 
“อารักมากกว่า” คราวนี้กดริมฝีปากลงไปที่แก้มทั้งสองข้าง ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ไม่ยอมแพ้ ทำตามบ้างแถมยังทำเป็นจูบเสียงดังข่มผมอีกต่างหาก
 
ผมอมยิ้ม กำลังจะเล่นเกมต่อด้วยการเล็งไปที่ปาก แต่ยังไม่ทันจะได้ยื่นหน้าเข้าไป คนที่กำลังหลับกลับเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาทาบริมฝีปากลงมาเสียเอง
 
จุ๊บ!
 
“...!”
 
“นอนได้แล้วครับ” เอ่ยงัวเงียทั้งที่ยังหลับตา อาศัยจังหวะที่ผมยังนิ่งค้างกดจูบลงไปบนหน้าผากหลานครั้งหนึ่ง
 
เป็นสัญญาณสงบศึกที่ได้ผลชะงัด
 
“ฝันดี...” พูดยังไม่ทันจบก็หลับสนิทไปอีกครั้ง ริมฝีปากบางยังคงทิ้งรอยยิ้มไว้จางๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังฝันดีอย่างที่ตัวเองว่า
 
ผมกับเจ้าภูมองหน้ากันขำๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากทำเสียงจุ๊ๆ พร้อมกัน ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะมุดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคนโปรดคนใหม่ที่สนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน ไม่นานก็หลับตามกันไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ผมมองทั้งสองคนที่กำลังหลับใหล ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจเมื่อนึกได้ว่าจนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้อยู่กับไอ้ตี๋ตามลำพัง
 
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหยิบของที่เตรียมไว้ออกมา แกะและสวมเข้าที่คอของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ถือโอกาสสอดแขนให้หนุน พร้อมกับกอดรวบทั้งอาทั้งหลานที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมมองสิ่งที่เป็นประกายวาวอยู่บนลำคอขาวเนิ่นนานก่อนจะกดจูบลงไป ไล่ริมฝีปากแผ่วเบาขึ้นไปที่ปลายคาง และริมฝีปากอีกครั้ง ทาบหน้าผากลงกับหน้าผาก แตะปลายจมูกเข้ากับปลายจมูกเพื่อสัมผัสไออุ่นของลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยคำที่หาโอกาสพูดมาทั้งวัน
 
“ขอบคุณครับที่มา”
 
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 12 [08/08/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-08-2017 09:17:10
หลงตะวัน : 12
               
[ Shogun’s Part ]
 
มันมีหลากหลายความรู้สึกไปหมด ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างสวมอยู่ที่คอ...
 
สร้อยเส้นเล็กๆ ที่มีจี้เป็นแหวนสองห้อยไว้... วงหนึ่งใหญ่กว่า ในขณะที่อีกวงมีขนาดตรงกับขนาดนิ้วนางข้างซ้ายของผมพอดี
 
ทั้งตกใจ ไม่เข้าใจ สับสนงุนงงในขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นมาจนต้องยกมือกุมไว้ ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาลักลอบเอามาสวมให้ตอนไหน อยากถามจะแย่ว่านี่มันเรื่องอะไร แต่สุดท้ายก็ได้แต่คิดวุ่นวายอยู่ในหัวตัวเอง ปล่อยให้คนขี้เซาหลับสนิทต่อไป เพราะรู้ว่าเขาคงเพลียมากจากการขับรถทางไกล แถมยังต้องเข้าครัว กับช่วยกันดูแลสองตัวยุ่งที่เอาแต่เล่นซนจนผมหมดแรงไม่แพ้กัน
 
การมาเจอครอบครัวซัน ทำให้ผมรู้ชัดเจนเลยว่าทำไมซันถึงได้น่ารักนัก ทุกคนในบ้านใจดีมาก ทั้งน่ารัก เอาใจใส่ และให้บรรยากาศอบอุ่นสบายๆ เหมือนกับซัน จากที่ประหม่าแทบตายในตอนแรก ผมกลับค่อยๆ ผ่อนคลาย และสุดท้ายก็ถูกทลายกำแพงอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากที่ซันทำ 
 
อยากจะขอบคุณเขาสักพันครั้งที่ให้โอกาสผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่น่ารักขนาดนี้ ได้สัมผัสบรรยากาศของครอบครัวแสนอบอุ่นที่ผมแทบลืมไปแล้วว่าเป็นยังไง
 
“อืม... ตื่นแล้วเหรอ” เสียงงัวเงียจากคนที่ผมนอนมองอยู่นานเอ่ยถาม ดวงตาคมลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะปิดลงไปอีกครั้ง หยีตาเหมือนสู้แสงไม่ไหวขณะที่แขนทั้งสองข้างที่โอบผมไว้หลวมๆ กระชับแน่นดึงผมเข้าแนบกายอย่างโหยหา
 
น้องภูถูกคุณแม่มาปลุกไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า ทำให้ตอนนี้บนเตียงเหลือแค่ผมกับคนขี้เซาที่ยังส่งเสียงครางงัวเงียในลำคอไม่เลิก ขณะกดจูบลงมาบนหน้าผาก โหนกแก้ม และริมฝีปากผม ราวกับเป็นกิจวัตรที่ต้องทำหลังตื่นนอน
 
“ซัน...” ผมเรียกเสียงกระเง้ากระงอดพลางถูจมูกเข้ากับจมูกโด่งเพื่ออ้อนให้เขาลืมตา 
 
“หือ?” คราวนี้เจ้าตัวเลยหรี่ตาขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผม “อะไรครับ”
 
ไม่รู้ว่าถามเพราะแกล้งไขสือหรือเพราะเพิ่งตื่นเลยยังมึนอยู่กันแน่ ผมเลยตีหน้าบึ้ง ชูแหวนที่ห้อยอยู่กับคอตัวเองขึ้นมาเป็นหลักฐาน
 
“นี่อะไรครับ” พอเห็นแบบนั้นเขาก็เลิกคิ้ว แกล้งตีหน้ามึนตอบอย่างไม่ยี่หระ
 
“แหวนไง”
 
“ซัน” ผมหน้าบึ้งกว่าเก่า มันไม่เห็นจะเป็นคำอธิบายตรงไหนเลย
 
สุดท้ายซันก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กระชับอ้อมกอดพลางทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
 
“มันคือคำถาม”
 
“คำถาม?”
 
“อืม” เขาพยักหน้า ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง
 
“คำถาม... ว่าพร้อมจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือยัง”
 
“...” เอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สบตาเขากลับด้วยความตกใจ
 
ไม่ใช่ว่าเดาไม่ได้ว่าแหวนสองวงนี้มันหมายความว่ายังไง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทั้งสีหน้า แววตา หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเรียบง่ายทว่าอบอุ่นของเขา มันก็อดทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
 
“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ แต่ฝากแหวนไว้ก่อน อยากใส่เมื่อไหร่ก็บอก โอเคมั้ย”
 
“ซัน...” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ... ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอ่ยอะไร มือข้างที่กุมแหวนอยู่กำไว้แน่น หัวใจมันทั้งรู้สึกอุ่นวาบ และรู้สึกผิดไปพร้อมกันเมื่อเข้าใจว่าที่เขาพูดแบบนั้นเพราะอะไร
 
เพราะรู้ว่าผมยังไม่พร้อม ถึงได้ไม่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ยังคงยิ้มให้ และพูดอย่างสบายๆ ให้เวลาผมได้คิด ตัดสินใจเหมือนทุกๆ เรื่องที่เขายอมรอผมตลอดมา ไม่เร่งรัด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะคาดคั้นให้ผมอึดอัดใจ
 
เพราะแบบนั้น... ผมถึงได้แพ้ให้เขาได้ทุกที
 
“ตั้งใจจะให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ยังหาจังหวะไม่ได้ จะบอกก่อนนอน เจ้าภูก็ดันมานอนด้วยซะอีก” สบตาผมขำๆ แล้วกดจูบซ้ำๆ ลงมาทั่วใบหน้าอีกครั้ง
 
“ขอแต่งงานตอนเพิ่งตื่นนี่ไม่โรแมนติกเลยว่ะ” ยิ่งเห็นผมยังนิ่งค้างเจ้าตัวก็ยิ่งมีท่าทีขบขัน ย่นหน้าใส่กันทีหนึ่ง พลางยกฝ่ามือหนาขึ้นมาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าให้เบาๆ
 
“น่าจะพูดใหม่ แล้วลงไปนั่งคุกเข่าดีมั้ย”
 
คราวนี้ผมถึงกับหลุดหัวเราะบ้าง ส่ายหน้าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นๆ ของเขาอีกครั้ง “ดีแล้วครับ”
 
“...”
 
“แบบนี้ดีที่สุดแล้ว”
 
ทุกอย่างที่เขาทำ มันดีเกินไปสำหรับผมแล้วจริงๆ
 
 




ไม่เคยรู้ตัวสักนิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้รับมาตลอด จนกระทั่งเช้านั้นที่ผมได้มานั่งทบทวนกับตัวเองว่าที่ผ่านมา ซันทำอะไรให้ผมบ้าง ในขณะที่ตัวเองยังคงขลาดกลัว เข็ดกับความเจ็บปวดครั้งก่อนจนไม่กล้าก้าวข้ามออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
 
เห็นแก่ตัว คิดแค่ว่าถ้าผมยังอยู่ตรงนี้ แล้วยังมีเขาอยู่ข้างๆ คงไม่เป็นไร ไม่ต้องพยายามให้มากเกินไป ไม่ต้องพาตัวเองไปเสี่ยงกับความรัก ความลุ่มหลงที่สักวันหนึ่งก็คงจะค่อยๆ จางหายไป จนสุดท้ายอาจไม่เหลืออะไร
 
ไม่ฉุกคิดเลยสักนิด ว่าต่อให้มันเป็นแบบนั้นจริง... ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
 
แค่ความสุขทุกวันนี้ ก็มีค่าเกินกว่าที่จะความเจ็บปวดไหนๆ จะมาลบล้างได้แล้วไม่ใช่หรือไง? ต่อให้อนาคตจะเป็นยังไง มันก็คงไม่ได้ทำให้ผมเสียใจที่วันนี้ยอมก้าวออกมาเพื่อโอบกอด และกุมมือเขาไว้ให้แน่นกว่าเดิม
 
“นี่มัน... สุสาน?” ซันเลิกคิ้วถามทันทีเมื่อผมพาเขามาที่ฮวงซุ้ยแห่งหนึ่งระหว่างกำลังขับรถออกนอกเมือง
 
ตั้งแต่สอบเสร็จ เราวางแผนไว้ว่าหลังจากเยี่ยมครอบครัวซันแล้วจะไปเที่ยวทะเลกัน ซันมีบ้านพักตากอากาศติดชายหาดสวยๆ ที่ครอบครัวมักจะไปพักผ่อนกันประจำ เขาบอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่นสวยมาก เลยอยากให้ผมไปดูสักครั้ง ก่อนที่เราจะต้องกลับเชียงใหม่เพื่อไปทำงาน
 
แต่ก่อนจะถึงทะเล ผมมีที่หนึ่งที่อยากจะให้เขาแวะก่อน ถึงได้ขอร้องให้ซันขับรถมา แม้ว่าจะอยู่คนละเส้นทาง
 
“โช...” เขาเรียกชื่อผมเมื่อเราเดินเข้ามาในตัวสุสานเรื่อยๆ โดยที่ผมยังไม่ได้อธิบายอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้ว ถึงได้บีบมือผมเบาๆ ขณะเดินตามมา จนถึงหลุมศพสามหลุมที่อยู่ข้างกัน บนเนินเขาสงบใกล้ร่มไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาทั้งสามคนเป็นอย่างดี
 
“นี่อากง อาม่าแล้วก็ป๊าผมเอง” ผมแนะนำ หันไปสบตาซันที่มองกลับมาด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก ทั้งตกใจ เข้าใจ และสายตาบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจ
 
ผมยิ้ม ขยับเข้าไปยืนใกล้เขามากกว่าเดิมสอดนิ้วตัวเองเข้ากับนิ้วเรียวๆ ของเขา แล้วบีบมือกลับไปเบาๆ เพื่อบอกว่าผมไม่เป็นไร
 
ความโศกเศร้าจากการสูญเสียมันผ่านไปตั้งนานแล้ว
 
“ตอนเด็กๆ ป๊ากับแม่ผมแยกทางกัน ผมอยู่กับครอบครับป๊ามาตลอด เจอแม่บ้างนานๆ ครั้ง เพราะท่านมีครอบครัวใหม่อยู่ที่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมา” ผมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองที่ไม่ได้เล่าให้ใครฟังมานาน
 
ไม่ใช่เพราะว่าต้องการปิดบังอะไร แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีใครอยากฟัง มันไม่ใช่เรื่องเล่าจรรโลงใจ ออกจะทำให้คนฟังลำบากใจนิดๆ ด้วยล่ะมั้งที่ต้องมานั่งทำหน้าไม่ถูกหาคำปลอบใจ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่ค่อยอยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่ ไม่อยากให้ใครมาเป็นห่วง หรือสงสารกับเรื่องราวที่ผมทำใจยอมรับได้ตั้งนาน
 
แต่เพราะเป็นซัน ผมถึงรู้ว่าผมสามารถเล่าได้... เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เมื่อผมเอ่ยปากพูด เขาจะตั้งใจฟัง และเข้าใจผมเสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร
 
“อากงเสียไปตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมเลยจำท่านไม่ค่อยได้นัก แต่อาม่าบอกว่าอากงใจดี” ผมพูดยิ้มๆ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองซันก็พบว่าเขากำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
 
รอยยิ้มที่บ่งบอกว่าผมสามารถเล่าต่อไปได้โดยไม่ทำให้เขาอึดอัดใจ
 
“ส่วนป๊า... เป็นคนดุนิดๆ” ผมย่นหน้า
 
จริงๆ ก็ไม่นิดเท่าไหร่ นึกไปถึงตอนที่ป๊าดุจนผมร้องไห้ ต้องให้อาม่ามานั่งปลอบตั้งนานกว่าจะหาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลัวขึ้นมา แต่ก็ใช่ว่าป๊าจะดุตลอดเวลา บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดพวกผู้ใหญ่นักหรอก แต่ก็เข้าใจว่าทุกอย่างที่ท่านทำก็เพราะเป็นห่วงผมมากกว่าใคร
 
“ตอนที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ ป๊าโกรธมาก ไม่คุยกับผมเป็นเดือนๆ”
 
“...”
 
“แต่ตอนหลัง ถึงจะยังไม่เข้าใจ แต่ป๊าก็ไม่ได้ต่อต้าน ไม่ได้ห้ามหรือดุด่าถ้าผมจะชอบผู้ชาย เพราะงั้นซันไม่ต้องห่วงนะ” ผมแกล้งพูดติดตลกบ้าง ร่างสูงจึงหันกลับมาย่นหน้าใส่ เอื้อมมือมาขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้
 
“ใครห่วงกัน” ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนแทบจะยืนซ้อนหลัง ก่อนจะยกมือข้างที่จับกันอยู่ขึ้นไปกดจูบที่หลังมือผมแผ่วเบาแล้วเอ่ยถาม “แล้วอาม่าดุมั้ย”
 
ผมส่ายหน้าทันที “คนนี้ยิ่งไม่ต้องห่วงเลย” หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของอาม่าที่แต้มอยู่บนใบหน้าแทบตลอดเวลา
 
“อาม่าใจดีมาก เข้าใจผมทุกอย่าง ตอนที่ทะเลาะกับป๊า ก็ได้อาม่านี่แหละที่คอยไกล่เกลี่ยให้ตลอด”
 
“...”
 
“ตอนที่ป๊าเสีย ผมต้องอยู่กับอาม่าสองคน ท่านไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็นเลยสักครั้ง ยังเลี้ยงดูผมอย่างดีจนได้ขึ้นมหาลัย... อาม่าเข้มแข็งมาก แถมรวยมากอีกต่างหาก” เอ่ยขำๆ ก่อนจะเอนหัวลงไปซบไหล่ซัน นึกถึงความหลังตอนที่ยังมีอาม่าอยู่ด้วยกัน
 
ตอนมัธยม มันเป็นช่วงที่ลำบากสำหรับผม ตอนนั้นถ้าไม่มีอาม่าอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ คอยบอกว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะผ่านมันมาด้วยตัวเองได้ยังไง ยิ่งคิดถึง ผมก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณ อยากกอดท่านอีกสักครั้ง ขอบคุณซ้ำๆ ที่ทำให้ผมอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...
 
อยู่มาจนถึงวันที่ได้เห็นฟ้าหลังฝนอันสดใสที่ไม่เคยจินตนาการ
 
“อยากเจอเลย” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขาแล้วพบว่าซันกำลังยิ้มบางๆ ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจว่าผมรักอาม่าแค่ไหน
 
มือหนาเอื้อมมือลูบหัวผม ก่อนจะดึงเข้าไปหาเพื่อจูบหน้าผาก แล้วกอดไว้แน่นพลางกระซิบแผ่วเบา “เตรียมคำพูดไว้ตั้งเยอะแยะ กลัวแทบตายว่าถ้าถูกห้ามไม่ให้คบจะทำยังไง แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วก็โล่งใจ... ทั้งสามคนต้องไม่ว่าอะไรแน่ๆ”
 
ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพราะเข้าใจดีในสิ่งที่เขากลัว เหมือนตอนที่ผมไปเจอครอบครัวซัน ก็เตรียมคำพูดไว้ในหัวมากมายเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริง คำพูดพวกนั้นก็ไม่มีความหมายเลย
 
“เช่นอะไรบ้างครับ... คำพูดที่เตรียมไว้น่ะ” ผมแกล้งถาม ซันเลยผละอ้อมกอดออก เลิกคิ้วกวนๆ ก่อนจะยิ้มแล้วหันไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพของอาม่า
 
“สวัสดีครับอาม่า ผมชื่อซันนะครับ เป็นแฟนโชกุน” ฝ่ามือหนายื่นออกมาหาผมที่ได้แต่หัวเราะ ยื่นมือออกไปให้เขาจับอีกครั้ง แล้วนั่งลงข้างๆ กัน
 
“ผมรักโชกุน... รักมาก อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตเลย” มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ยังคงยิ้มทว่าสายตามองตรงไปที่หลุมศพอย่างจริงจังแล้วหัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมา
 
“อาม่าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลโชกุนอย่างดี จะเป็นแฟนที่ดี และในอนาคตจะเป็นสามีที่ดีแน่ๆ ผมรับรอง”
 
“...”
 
“ผมไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน แต่ผมมั่นใจว่าจะไม่ทำให้อาม่าผิดหวัง”
 
“...”
 
“เพราะงั้น... อาม่าให้ผมแต่งงานกับโชกุนนะครับ” ดวงตาคมหันกลับมาสบตาผม ราวกับเขากำลังขออนุญาตอย่างจริงจัง
 
ไม่ใช่กับอาม่า... แต่เป็นผม
 
คำพูดทุกคำของเขา สื่อโดยมาถึงผมที่นั่งอยู่ตรงนี้โดยตรง... ไม่ใช่ใครที่ไหน
 
“ซัน...” พอเข้าใจแบบนั้นผมจึงเรียกชื่อเขาออกไป เงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงแล้วเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ “ที่ผมพาซันมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้เหมือนกัน”
 
“...” และเหมือนกับทุกครั้งที่เขามองกลับมาอย่างตั้งใจฟัง
 
“ผมอยากพาซันมาเจอครอบครัว มาเห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาของผมเป็นยังไง และต่อจากนี้จะเป็นยังไง”
 
“...”
 
“พออาม่าเสียผมก็ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ญาติคนเดียวที่รู้จักก็คือพี่โม ญาติฝั่งแม่ที่ทั้งแม่ทั้งป๊าฝากให้คอยดูแลผมห่างๆ มานาน”
 
“...”
 
“พี่โมไม่เคยคิดว่าผมเป็นภาระ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็โตแล้ว โตพอที่จะต้องออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง...”
 
“...”
 
“ดังนั้น คำถามของซัน ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม...” ผมเว้นวรรค แกะสร้อยจากคอตัวเองออกมา วางแหวนทั้งสองวงไว้บนฝ่ามือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
 
“ซัน... ถ้าตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ผู้ชายตัวเปล่า เอาแต่ใจ แถมขี้กลัวมากๆ...” ยื่นออกไปตรงหน้าซันที่ยิ้มกว้าง ราวกับรู้แล้วว่าประโยคต่อไปของผมจะเป็นอะไร
 
“ซันยังจะอยากอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตมั้ยครับ”
 
เพราะแบบนั้นเขาถึงได้รับแหวนวงหนึ่งกลับไป และเอ่ยคำตอบออกมาอย่างง่ายดาย ไม่มีความลังเลสักนิดในแววตา
 
“อยากสิ”
 
“...”
 
“อยากอยู่แล้ว เพราะงั้น...” เขาเว้นวรรค หมุนตัวหันกลับมาหาผม เอื้อมมือมาดึงมือข้างซ้ายของผมไปจับไว้ ก่อนจะเอ่ยคำขออย่างเป็นทางการ
 
“แต่งงานกันนะครับโชกุน”
 
น้ำเสียงของเขายังคงเรียบง่ายเจือไปด้วยความอบอุ่นใจ จะต่างกันก็ตรงที่ครั้งนี้แววตาของเขา ดูเป็นประกายกว่าครั้งไหนๆ
 
... ผมเองก็คงไม่ต่างกัน
 
“ครับ” พยักหน้าตอบรับ พลางมองนิ้วนางข้างซ้ายที่ถูกบรรจงสวมแหวนให้ด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ในใจ รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตัวเองกว้างกว่าครั้งไหนๆ ขณะเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ก่อนจะจับมือข้างซ้ายของเขามาสวมแหวนให้บ้างด้วยมือสั่นๆ ที่ทำเอาเจ้าของแหวนหลุดขำ ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
 
เราจับมือข้างที่มีแหวนของกันและกัน มองมันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายหัวเราะพลางกดจูบลงมาบนหลังมือของผมแล้วโอบไหล่ดึงร่างผมเข้าไปในอ้อมกอด เอ่ยกระซิบแผ่วเบา
 
“ทีนี้... ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันได้หรือยัง”
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทส่งท้าย[08/08/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-08-2017 09:20:36
บทส่งท้าย : เมื่อตะวันฉายแสง

[ Shogun's Part ]

 
มันคือหลุมพราง...
 
หลุมพรางแสนร้ายกาจของหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ล่อลวงให้ผมก้าวขาเหยียบลงไปในกับดักแสนเย้ายวนอย่างเต็มใจ
 
ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราปล่อยให้ร่างกายทำตามความปรารถนา ปลดเปลื้องความโหยหาที่กักเก็บมานาน... อาจเป็นตอนที่เขาพาผมเข้ามาในบ้านที่ได้ยินเสียงคลื่นทะเลและบรรยากาศแสนเป็นใจ... ตั้งแต่ตอนที่เขาชวนผมออกไปที่ระเบียงเพื่ออวดดาวมากมายที่หาไม่ได้บนท้องฟ้าเหนือเมืองใหญ่ที่มีแต่แสงไฟรบกวน
 
หรืออาจเป็นเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ ที่เขาโอบกอดผมจากด้านหลัง แล้วกระซิบว่าหมดเวลาลงโทษเขาแล้ว...
 
หลังจากนั้นผมถึงไม่สามารถรับรู้อะไรอีกเลย... นอกจากเสียงริมฝีปากที่สัมผัสกัน
 
จูบเนิ่นนาน พรากลมหายใจ ทว่าหอมหวานจนไม่อาจผละออกจากกันได้แม้สักวินาที... ปล่อยให้ร่างสูงนำทางผมจากระเบียงมาถึงห้องนอนโดยที่ริมฝีปากยังคงบดเบียด เรียวลิ้นจาบจ้วง ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยไฟปรารถนาที่ยากจะดับ...
 
ตึง!
 
เสียงประตูที่ปิดลงอย่างแรงทำให้ผมผงะออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่ทันไรก็ถูกกดจูบลงมาอีกครั้ง เรียวลิ้นชื้นสอดเข้ามาตักตวง พรากลมหายใจซ้ำๆ ราวกับโหยหาเวลานี้มานาน
 
แว่นของผมถูกถอดออกไปตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มจูบกัน และตอนนี้คนมือไวก็ปลดกระดุมเสื้อของผมจนถึงเม็ดสุดท้ายอย่างคล่องแคล่ว เปลี่ยนเป้าหมายลงไปที่กางเกงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมยังคงลนลาน งุ่มง่ามอยู่กับกระดุมเม็ดบนของเขาจนเจ้าตัวหัวเราะในลำคอเบาๆ ผละจูบออกมองหน้าผมแล้วยิ้มล้อเลียน
 
“น่ารัก” แกล้งกดจูบไปทั่วใบหน้า ขบกัดลงมาจนถึงซอกคอ เพื่อรั้งรอให้ผมจัดการกับเสื้อเชิ้ตของตัวเอง
 
และเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลด พร้อมๆ กับเสื้อที่ถูกถอดออกไป เขาก็ให้รางวัลผมด้วยการทาบริมฝีปากลงมา...มอมเมาผมด้วยสัมผัสที่ลึกล่ำยิ่งกว่า อาศัยจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มเลื่อนริมฝีปากลงไป... ฝากรอยจูบไว้ทั่วทุกตารางนิ้วที่เรียวลิ้นและฟันคมเลื่อนผ่าน ลากลามตั้งแต่ซอกคอ แผ่นอก หน้าท้อง... หรือแม้กระทั่งส่วนร้อนกลางลำตัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นในตัวบาง
 
“ซะ...ซัน...” ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากางเกงถูกปลดลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้าตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงปราการสุดท้ายที่กำลังจะถูกกำจัดทิ้งไปไม่ต่างกัน
 
“ดะ... เดี๋ยว... เดี๋ยวครับ...!” พยายามร้องห้ามทั้งที่รู้ว่ามันไม่เคยได้ผล
 
แม้ว่าดวงตาคมจะมองกลับมาอย่างเว้าวอน แต่การกระทำกลับแสนเอาแต่ใจ เมื่อนิ้วเรียวเกี่ยวเอาสิ่งเดียวที่ยังปกปิดส่วนน่าอายของผมไว้ได้ ลิ้นร้อนๆ ของเขาก็ถือวิสาสะแตะลงมา ไล้เลียส่วนปลายที่แสนอ่อนไหวแผ่วเบา
 
แค่นั้นก็ทำเอาผมแทบคลั่ง ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนที่เขาครอบครองทั้งหมดไว้ด้วยริมฝีปากผมจะเสียอาการแค่ไหน ผมผวาสุดตัว พ่นลมหายใจหนัก พยายามสะกดกลั้นเสียงน่าอายไว้...แต่สุดท้ายมันก็เล็ดลอดออกมาจนได้ ได้ยินคนเอาแต่ใจหัวเราะในลำคอเบาๆ ขณะสอดตัวเข้ามาพาดขาข้างหนึ่งของผมไว้ที่หัวไหล่ ประคองสะโพกไว้ เหมือนรู้ว่าผมกำลังจะยืนไม่ไหว... ด้วยความร้อนและสัมผัสที่ราวกับจะหลอมผมให้ทรุดลงไปละลายอยู่แทบเท้าเขาได้จริงๆ
 
“อึก... ซัน...” ความรู้สึกที่ทวีขึ้นทุกวินาทีทำให้ผมไม่อาจควบคุมได้แม้กระทั่งลมหายใจ คว้ามือข้างหนึ่งขยุ้มกลุ่มผมของคนที่คุกเข่าลงตรงหน้าอย่างต้องการคลายความทรมาน มืออีกข้างถูกกุมไว้แน่น สอดประสานนิ้วมืออย่างปลอบประโลม

ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องมาที่ผม มองใบหน้าแสนน่าอายด้วยแววตาของหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่กำลังกลืนกินเหยื่ออย่างสุขสม ขณะที่ริมฝีปากยังรุกเร้า รัวเร็วราวกับจะเร่งให้ผมหายทรมาน...

ไม่นานเขาก็พาผมไปแตะจุดสูงสุดตามใจปรารถนา...
 
และเป็นอีกครั้งที่เขากลืนกินทุกหยาดหยดของมันลงไปอย่างไม่สนใจเสียงประท้วงห้าม
 
ซันถอนริมฝีปากออกมา ก่อนจะเบือนหน้าลงไปกดจูบลงบนต้นขาด้านในที่พาดอยู่บนไหล่ซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะปลอบให้มันหายกระตุกเกร็ง ตรีตราจองด้วยรอยจูบสีหวานไปทั่ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ได้แต่ยืนหอบหายใจอย่างตั้งสติไม่ได้ แล้วยิ้มอย่างพอใจ
 
“ซัน...” ผมเรียกชื่อเขาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง มองที่ริมฝีปากบางที่ยังฉาบด้วยคราบน้ำจนดูเชื่อมหวานเพื่อบอกให้เขารู้ถึงสิ่งที่ต้องการ ร่างสูงจึงยืดตัวขึ้นเพื่อทาบริมฝีปากลงมา พร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างประคองร่างผมไว้ไม่ให้ร่วงล้มลงไปด้วยหมดเรี่ยวแรง
 
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในภวังค์ที่มีเพียงเสียงริมฝีปากสัมผัสกันอีกครั้ง เสียงคลื่นทะเลยังคงเป็นฉากหลังที่แผ่วเบาเกินกว่าใครจะสนใจ รสจูบเนิบนาบปลอบประโลมกลายเป็นจูบที่รุกไล่ ร้อนแรงตามไฟปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่ พร้อมกับร่างที่กอดก่ายประคองกันไปจนถึงเตียง
 
ฝ่ามือหนาผลักผมล้มลงกับเบาะนุ่ม ก่อนจะตามมาคร่อมไว้ทันที ริมฝีปากร้อนจัดฉกฉวยลงมารวดเร็วไม่ต่างกัน ลากลามไปทั่วใบหน้าและซอกคอ ขบกัดไปทั่วผิว...ฝากทิ้งรอยไว้ทั่วทุกตารางนิ้วซ้ำไปซ้ำมา มือข้างหนึ่งกวาดสะเปะสะปะไปทั่วร่าง ขณะที่อีกข้างอยู่ที่สะโพกลูบไล้ไปมาอยู่นานก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วหนึ่งชำแรกเข้ามาในร่างกายจนผมสะดุ้งเฮือก
 
เขาใช้รสจูบแสนหวานเบี่ยงเบนความสนใจของผมออกจากความเจ็บเบื้องล่าง ประคองกอดไว้เมื่อผมเริ่มบิดเร่าด้วยความทรมานจากการเพิ่มจำนวนพลางขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ เพื่อสร้างความเคยชิน... แต่ในทางกลับกันก็โหมความต้องการของผมให้เพิ่มขึ้นทุกที
 
ซันผละริมฝีปากออกไปเหมือนรู้ว่าผมกำลังต้องการอะไร คลี่ยิ้มร้ายออกมา พลางกดจูบไปทั่วไปหน้าผมอีกครั้ง... รั้งรอ คลอเคลียริมฝีปากอยู่ที่ใบหูและซอกคอ ลากลิ้นเลียไปทั่วจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก ลามลงไปกดจูบซ้ำๆ บนหน้าท้องที่กระเพื่อมหนักด้วยแรงหอบของผมราวกับจงใจกลั่นแกล้งกัน
 
ดวงตาคมเหลือบขึ้นมาสบตาผมด้วยสายตาร้ายกาจอีกครั้ง ก่อนที่นิ้วของเขาจะเปลี่ยนเป็นขยับเนิบนาบ เชื่องช้า และทำท่าจะหยุดลงในขณะที่ความปรารถนาของผมกำลังทบทวีเกินกว่าจะปล่อยให้เจือจาง...

ผมลืมไปเลยว่าเขาเจ้าเล่ห์แค่ไหน ถึงได้สามารถล่อลวงให้ผมเป็นฝ่ายร้องขอสัมผัสจากเขาอย่างน่าอายได้ทุกที มันยิ่งตอกย้ำชัดว่าเขาช่ำชองเรื่องแบบนี้ เมื่อทุกครั้งที่อยู่บนเตียง เจ้าลูกหมาขี้อ้อน กลับสามารถกลายร่างเป็นหมาป่าตัวร้าย... ยั่วเย้า และทรงสเน่ห์จนผมเชื่อว่าเหยื่อทุกรายพร้อมกระโจนเข้าสู่คมเขี้ยวแสนอันตรายโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร... เพียงชายตามอง
 
“ซัน... ซันครับ” จนสุดท้ายผมต้องเป็นฝ่ายส่งเสียงออดอ้อนเขาเสียเอง รั้งใบหน้าคนขี้แกล้งให้หันมารับจูบแสนอ่อนหัดของผมไป ส่งผ่านความปรารถนาในใจอย่างไม่อาจปิดบัง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอก็รู้ว่าเขาพอใจ และพร้อมจะให้ในสิ่งที่ผมต้องการ
 
ในที่สุดสัมผัสของนิ้วเรียว ก็ถูกทดแทนด้วยสิ่งใหญ่กว่าที่สอดเข้ามาอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับความคับแน่นที่แสนคุ้นเคย...
 
พรึ่บ!
 
“...!”
 
แต่ก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะทำอะไรได้มากกว่านั้น ผมก็เป็นฝ่ายหยุดไว้ด้วยการเอื้อมแขนออกไปโอบรอบคอเขาไว้ รั้งใบหน้าเข้ามากดจูบแนบสนิทกว่าเดิมเพื่อสะกดกลั้นเสียงน่าอายที่เกิดจากการใช้แรงทั้งหมดพลิกร่างตัวเองขึ้นไปคร่อมอยู่บนตักแกร่งที่รองรับผมไว้เป็นอย่างดี
 
เรียนรู้ที่จะใช้รสจูบแสนหวานเบี่ยงเบนความสนใจเหมือนที่เขาทำ กดน้ำหนักของร่างกายลงไปบนส่วนร้อนจัดที่กำลังขยายตัวของอีกคน...กลืนกินตัวตนของเขาไว้จนหมด... จาบจ้วง ล่วงล้ำเข้ามาในส่วนที่ลึกสุดของร่างกาย จนคนที่เพิ่งถูกบังคับให้อยู่ใต้ร่างเปลี่ยนจังหวะหายใจ... หลุดเสียงร้องแหบพร่า ก่อนจะผละจูบออกไป เงยหน้ามองผมอย่างประหลาดใจ
 
“หึ...” แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ สายตาเจ้าเล่ห์เจือความพึงพอใจและท้าทาย
 
คล้ายกับเรากำลังเล่นเกมที่มีความปรารถนาเป็นเดิมพัน...
 
ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ จึงลอบขี้โกงด้วยการยกมือขึ้นประคองใบหน้าเขาไว้ แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากบางซ้ำๆ เพื่อกลืนกินเสียงน่าอาย ไม่ให้เล็ดลอดออกมา กระตุ้นเรียวลิ้นรุกไล่ ใช้สัมผัสร้อนแรงของเขาเบี่ยงเบนความสนใจจากความอึดอัดคับแน่นจนแทบจะทนไม่ไหว
 
ไม่นาน... เดิมพันครั้งนี้ก็ได้ผู้ชนะ... เมื่อผมผละจูบออกมาและพบว่าเจ้าของดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังมีสีหน้าทรมาน
 
เขากดจูบหนักๆ ลงมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วไล่ริมฝีปากไปทั่วใบหน้าผมอย่างหมั่นไส้ รั้งท้ายทอยให้จรดหน้าผากลงไป ขณะที่ริมฝีปากเผยอออกพ่นลมหายใจร้อนๆ ในจังหวะหนักหน่วงด้วยแรงอารมณ์... รู้ดีว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ เพราะตัวตนที่แทรกเข้ามาจนสุดเต้นตุบอยู่ในร่างกายจนสัมผัสได้
 
“โช...” ไม่ทันไรเสียงแหบพร่าก็กระซิบเรียกชื่อผมออกมา พลางขบกัดใบหู ไล้เลียลงมาจนถึงลำคอ และหัวไหล่ใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางที่ถูกปลดกระดุมจนหมดแต่ยังไม่ถูกถอดทิ้งไป
 
“ขยับนะ...” ร้องขอแผ่วเบา ทว่าแววตาคล้ายกับคนใกล้คลั่งเต็มที
 
“...”
 
“นะครับ...” ส่งเสียงออดอ้อน ขณะเขี้ยวคมขบกัดลงมาซ้ำๆ เพื่อคลายความทรมาน
 
เป็นคราวที่ผมได้ยิ้มมุมปากอย่างพอใจบ้าง เกลี่ยนิ้วเบาๆ บนหน้าใสที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะแกล้งกดจูบที่โหนกแก้ม หยอกเย้าริมฝีปากแถวใบหูแล้วเอ่ยกระซิบเสียงแผ่ว
 
“คนดี”
 
คนถูกชมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา แกล้งงับจมูกผมกลับอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อผมเริ่มขยับอย่างตามใจ ยกสะโพกขึ้นลงในจังหวะเนิบนาบ ละเลียดชิมรสชาติความทรมานทว่าแสนสุขสมไปพร้อมๆ กัน
 
อารมณ์ที่กักเก็บไว้ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นทีละขั้นอย่างไม่เร่งเร้า แต่กลับทวีความหอมหวานขึ้นในทุกๆ วินาที มือที่ประคองอยู่บนใบหน้าเขาตกลงไปที่ไหล่กว้าง เผลอจิกปลายนิ้วบนกล้ามเนื้อแน่นตึงอย่างหาที่ระบาย หน้าผากของเรายังคงแตะกัน ปลายจมูกสัมผัสเฉียดไปมาขณะแข่งกันพ่นลมหายใจหนักๆ จากไฟปรารถนาที่กำลังลุกลาม
 
ยิ่งนานเข้าผมยิ่งรู้ตัวว่าที่แท้ตัวเองไม่ได้เป็นฝ่ายนำ ทุกจังหวะของบทเพลงรักกลับถูกคนใต้ร่างควบคุม นำพาผมไปตามท่วงทำนองที่เขาต้องการ ฝ่ามือหนาประคองสะโพกของผมไว้ ลักลอบบังคับมันตามใจ... สอนให้ผมเรียนรู้ที่จะปรนเปรอตัวเองพร้อมๆ กับเอาใจกันด้วยสัมผัสแสนหวานอย่างแนบเนียน 
 
“ซัน...” ผมส่งเสียงกระเง้ากระงอดเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเมื่อริมฝีปากบางฉกฉวยลงมาเพียงชั่วเวลาสั้นๆ คล้ายกับจะแกล้งยั่วกัน หลบหลีกดึงดันที่จะผละออกไปเพื่อมองใบหน้าที่กำลังทำสีหน้าน่าอายของผมราวกับว่าอยากจะบันทึกมันไว้ด้วยสายตา ยิ่งผมเผลอหลุดปากส่งเสียงครางอย่างอดไม่ได้ เขาก็ยิ่งย่ามใจ ยิ้มมุมปากสลับกับกดจูบย้ำๆ ในทุกช่วงจังหวะที่ร่างกายสอดประสานอย่างเอาแต่ใจ
 
“น่ารัก” กระซิบแผ่วเบาหลังจากกดจูบลงมาอีกครั้ง มองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ระคนเอ็นดูจนผมอยากจะมุดหน้าหนีด้วยความอาย
 
ร้ายกาจเกินไปแล้ว... ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้... ทำไมถึงได้แกล้งให้ผมปั่นป่วนจนแพ้ราบคาบได้ทุกที
 
ผมได้แต่กระเง้ากระงอดอยู่ในใจ ก่อนที่จังหวะรักแสนเนิบนาบ ที่ค่อยๆ ถูกเร่งเร้าจะกลายเป็นเพลงที่ถูกแผดเผาไปทั่วร่าง แผ่นอกสั่นสะท้าน... ลำตัวบิดเร่าอย่างน่าละอาย... เสียงที่พยายามสะกดกลั้นเล็ดรอดออกมาจากลำคอซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัว
 
“ซะ...ซัน...ซันครับ” ไม่ทันไรก็ได้ยินน้ำเสียงขาดห้วงของตัวเองเรียกชื่อเขาอย่างเว้าวอนอีกครั้ง ได้ยินเสียงครางเจือปนกับเสียงหอบหนักเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะไม่ไหว ร่างกายสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ที่ใกล้แตะจุดสูงสุดเต็มที ขณะที่อีกคนก็กำลังเร่งจังหวะตามมาจนทัน
 
“โชครับ...” ดวงตาคมช้อนมองผมด้วยสายตาเชื่อมหวาน ก่อนจะเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงเว้าวอนไม่ต่างกัน
 
“...”
 
“พร้อมกันนะ” พูดจบกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้ง แนบสนิทและลึกซึ้งไม่ต่างจากสัมผัสเบื้องล่างที่พากันและกันไต่ระดับสูงสุดถึงสรวงสวรรค์
 
เมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนที่ออกมาจากร่างกายของกันและกัน... ผมก็ผวากอดเขาแน่น ขณะที่ซันเองก็รัดอ้อมแขนโอบร่างที่กำลังเกร็งสะท้านของผมไว้ไม่ต่าง...

ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนอีกครั้ง...
 
สองร่างแนบกายสนิทไร้ช่องว่าง ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่วทั้งห้องอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายผละออก มองหน้าผมแล้วยิ้มบางๆ ...กดจูบลงมาที่หางตาซับหยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าซึมออกมาตั้งแต่ตอนไหน ไล่ริมฝีปากไปทั่วใบหน้าผมซ้ำไปซ้ำมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกลับมาแตะหน้าผากเข้าด้วยกัน สบตาและยิ้มมุมปากร้ายกาจอีกครั้งขณะกระซิบคำล้อเลียน
 
“คนเก่ง”
 
ผมย่นหน้าใส่อย่างไม่ชอบใจ แต่ไม่ทันไรก็หลุดขำออกมา เกลี่ยมือไปบนผม มองไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อแต่กลับน่าหลงใหลของเขาแล้วอดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไป โดยไม่ทันฉุกคิดว่ามันจะไปกระตุ้นให้หมาป่าแสนร้ายกาจตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง... จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ พร้อมกับมือหนาที่รั้งท้ายทอยผมไว้ไม่ให้ถอนริมฝีปากออก กลับเป็นฝ่ายบดเบียด รุกล้ำเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ เสื้อเชิ้ตตัวบางที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อถูกถอดออกจนร่างกายเปลือยเปล่าโดยสมบูรณ์ ก่อนที่ร่างผมจะถูกดันให้นอนราบลงกับเตียง
 
“ดะ... เดี๋ยวครับ” ร้องผวาอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อริมฝีปากร้อนจัดหันไปจู่โจมแผ่นอกที่ถูกฝากรอยจูบจนไร้ที่ว่าง ไล้เลียจุดอ่อนไหวจุดไฟปรารถนาอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ถอนตัวตนของตัวเองออกไป... ส่วนร้อนจัดกลับมาขยายจนคับแน่นชวนให้ร่างกายที่เพิ่งผ่อนคลายบิดเกร็งขึ้นมา
 
แต่แทนที่จะรั้งรอตามเสียงห้ามเจ้าของร่างกำยำกลับยิ่งเอาแต่ใจ ฝ่ามือหนาที่นวดเค้นคลึงไปทั่วร่างกายเลื่อนมาคว้าลงที่กลางลำตัวของผม ก่อนจะเริ่มขยับช้าๆ เพื่อปลุกปั่นอารมณ์ให้กัน
 
“ฮื่อ... ซัน...” ส่งเสียงประท้วงแผ่วเบา เมื่อถูกสัมผัสจากทั้งสองทางไปพร้อมกัน รู้ดีว่าถ้าเขายังดื้อดึงจะใช้ฝ่ามือปรนเปรอผมไปพร้อมกับขยับตัวตนเข้าออกอยู่อย่างนั้น... ผมคงทนได้ไม่นาน
 
สุดท้ายผมก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง... หยาดน้ำขาวข้นเปรอะเปื้อนไปทั่วลำตัว... ทบของเก่าที่ยังไม่ทันเป็นคราบ ร่างกายกระตุกเกร็งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความอ่อนหัด ขณะที่ช่องทางด้านหลังยังคงถูกกระตุ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะค่อยๆ
 เร่งจังหวะ ราวกับเขาไม่อยากรั้งรอให้ผมได้พักเลยสักวินาที
 
“ทำไม... ถึงได้โลภ...ขนาดนี้ครับ” เอ่ยตัดพ้อแผ่วเบา ขณะที่คนเจ้าเล่ห์เงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง กดจูบลงมาทั่วใบหน้าซ้ำไปซ้ำมาราวกับต้องการปลอบประโลมเอาใจ
 
“อีกครั้งเดียวนะ...” กระซิบออดอ้อน คลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกผมไปมา
 
“นะครับ” กดจูบหยอกเย้าไปทั่วใบหน้า จนในที่สุดผมก็หัวเราะเบาๆ ส่ายหัวเอือมระอาแล้วส่งสายตาตำหนิอย่างไม่จริงจัง
 
“เอาแต่ใจจริงๆ” พอรู้ว่าผมอนุญาต คนเอาแต่ใจก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ฝ่ามือหนาสอดประสานกับมือผมแล้วกดไว้เหนือหัว... บีบแน่นและคลายลงตามจังหวะของร่างกายที่แนบสนิทไร้ช่องว่างไม่ต่างกัน
 
เสียงความเหนอะหนะกระทบกันอย่างน่าอายดังก้องแข่งกับเสียงคลื่นทะเลไกลๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า... ร่างกายสอดประสานกอดก่ายกันไว้ซ้ำไปซ้ำมา... และคราวนี้เขาแทบไม่ยอมผละริมฝีปากออกไป ราวกับจะเอาใจผม ที่เรียกร้องจูบของเขาแทบทุกขณะของลมหายใจ...

ในทางกลับกัน... ก็มอบสัมผัสลึกล้ำที่ส่งผ่านทุกความรู้สึกลงมากับเรียวลิ้นและริมฝีปากร้อนจัดที่บดเบียดลงมาเนิ่นนาน... ราวกับจะฝังรอยจูบนี้ไว้ชั่วนิรันดร์
 

- มีต่อค่ะ -
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : บทส่งท้าย[08/07/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-08-2017 09:21:33
-ต่อ-


ถ้าเมื่อคืนคือการเอาคืนที่ผมทำโทษเขาตลอดหนึ่งเดือน... มันก็เป็นการเอาคืนที่ทบต้นทบดอกอย่างสาสมโดยไม่ต้องคำนวณ
 
กว่าจะรู้ว่าครั้งเดียวที่เขาขอมันไม่มีอยู่จริง ก็หลวมตัวหลงเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสแสนหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหมดเรี่ยวแรง อยากจะต่อว่าเจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่โลภมากทำตามอำเภอใจ แต่ก็ว่าได้ไม่เต็มปาก... เพราะสุดท้ายตัวเองก็เผลอไผลปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำไม่ต่างกัน
 
“โช” ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สติห้วงสุดท้าย อยู่กับผมในตอนที่ร่างกายชุ่มเหงื่อของตัวเองถูกกอดไว้ หลักจากถูกพาไต่ระดับอารมณ์ไปถึงจุดสูงสุดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
 
“โชกุนครับ” ได้ยินเสียงเรียกอีกทีจึงลืมตาขึ้นมา และพบว่าเจ้าของอ้อมแขนที่กอดไว้ทั้งคืนไม่ได้อยู่บนเตียง กลับยืนเรียกผมอยู่ด้านหลัง แต่ผมเพลียเกินกว่าจะเอ่ยปากถามอะไร ปล่อยให้หนังตาหนักๆ ปิดลงอีกครั้งอย่างไม่อาจต้านทาน
 
“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จมูกโด่งจะซุกลงมาที่ไหล่ กดจูบไล่ขึ้นไปจนถึงขมับซ้ายก่อนจะกระซิบอีกครั้ง “อาบน้ำกัน”
 
ไม่รอให้ผมตอบอะไร อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ยกร่างเปลือยเปล่าของผมขึ้นมาอย่างง่ายดาย ในใจงอแงปฏิเสธ ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงขัดขืนจนต้องปล่อยให้เขาอุ้มออกจากเตียงทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ร่างกายสัมผัสกับอุณภูมิที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาพาผมเข้ามาในห้องน้ำที่น่าจะผ่านการเปิดน้ำอุ่นเอาไว้ ผมกำลังจะหลับอีกครั้งอย่างรู้สึกผ่อนคลาย แต่กลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างกายถูกวางให้นั่งลงบนวัตถุเย็นๆ
 
กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็ตอนที่นิ้วเรียวของอีกคนรุกล้ำเข้ามาในร่างกาย เพื่อกวาดเอาสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในออกมาให้กัน
 
“อะ...อื้อ... ซัน...” ผมผวาร้องเรียกชื่อเขาออกมาอีกครั้ง ส่งสายตาเว้าวอนทั้งที่หน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย
 
“ผม... ผมทำเองได้” จับแขนเขาไว้พยายามผลักออกไป แต่กลับไม่ต่างอะไรจากการวางมือไว้เฉยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
 
“ไม่เป็นไร” ร่างสูงโน้มตัวลงมากดจูบบนหน้าผากพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือข้างที่เหลือเอื้อมมาจับแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของผมไปพาดบ่าไว้ ให้ผมเกาะเกี่ยวพยุงร่างตัวเอง
 
สุดท้ายผมก็ได้แต่ทิ้งตัวซบอกหนา ซุกหน้าร้อนฉ่าลงกับไหล่กว้างเพื่อหลบซ่อนความอาย ปล่อยให้เขาล้วงทำความสะอาดต่อ จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคราบใดหลงเหลืออยู่จึงถอนนิ้วออกไป ยกร่างปวกเปียกของผมขึ้นมาอีกครั้งแล้วพาเดินต่อไปยังอ่างอาบน้ำที่อยู่ด้านใน เช็คอุณหภูมิจนแน่ใจแล้วจึงวางร่างผมลง แล้วตามมานั่งซ้อนหลังเป็นเบาะรองให้กัน
 
ผมเอนหลังซบอกกว้างอย่างหมดแรง ปล่อยให้อ้อมแขนอุ่นโอบกอดร่างตัวเอง ขณะที่จมูกโด่งคลอเคลียซุกไซ้อยู่กับไหล่และซอกคอของผมราวกับจะสูดดม กักเก็บกลิ่นกายเอาไว้ในทุกลมหายใจ
 
“ซัน” รู้ตัวว่าอุณหภูมิที่ไม่ร้อนเกินไป และสัมผัสแสนสบายทำให้ผมเคลิ้ม จึงต้องเตือนไว้ก่อนที่จะเผลอหลับเข้าจริงๆ

"หือ?"
 
“ปลุกผมนะ” ถูใบหน้าเข้ากับใบหน้าอีกคนอย่างออดอ้อนเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นผมเหนื่อยเกินกว่าจะทำสิ่งที่เราตั้งใจไว้ “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
 
คนถูกอ้อนเงียบไปนาน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
 
“โอเค” ยอมรับคำขอพร้อมกับกดจูบลงมาที่ขมับแผ่วเบา “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
 
เมื่อได้ยินคำตอบที่พอใจ ผมก็ปล่อยให้ดวงตาหนักๆ ปิดลงอีกครั้ง แน่นิ่งทว่ายังไม่อยากจะหลับ เพราะกำลังรอบางอย่าง...
 
ซึ่งเขาไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอนาน... หลังจากฝ่ามือหนาเลื่อนมาจับมือของผมไว้ ลูบไปมาตรงตำแหน่งแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่พักหนึ่ง แล้วประทับจูบลงไป เขาก็เอ่ยมันออกมาแผ่วเบา
 
“รักโชนะครับ”
 
คำพูดที่เขาไม่เคยรู้ว่าผมได้ยิน... และรอที่จะได้ฟังมันทุกครั้งก่อนหลับไป





 
 
“หน้าโคตรง่วงเลย” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะทันทีเมื่อผมขยับตัวนั่งกอดเข่าซุกหน้าลงกับแขนอย่างงัวเงีย
 
เพราะรับปากผมไว้ว่าจะปลุกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ตอนนี้พวกเราเลยนั่งอยู่ที่ชายหาด รอเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะฉายแสงขึ้นมาในอีกไม่กี่นาที แต่กว่าจะถึงตอนนั้นผมกลัวว่าตัวเองจะหลับไปอีกรอบ... สายลมเย็นๆ กับเสียงคลื่นทะเลไม่ต่างจากเพลงกล่อมที่ทำให้ดวงตาที่หนักอึ้งของผมพร้อมจะปิดลงได้ทุกวินาทีจริงๆ
 
ไม่อยากจะโทษเขา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะตีโพยตีพายในใจ ว่าที่หมดสภาพขนาดนี้เพราะใคร
 
“กลับไปนอนมั้ย” คนถูกคาดโทษในใจเอ่ยถามพลางเอื้อมมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกไป รอยยิ้มจางๆ เจือไปด้วยความเป็นห่วงจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้ารัวๆ
 
“ผมไหว” พยายามจะถลึงตาสุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องซุกหน้าลงกับเข่าอย่างหมดแรง
 
“ผมอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับซัน” เอ่ยพึมพำราวกับกำลังพูดกับตัวเอง แต่รู้ดีว่าคนตรงหน้าก็ได้ยิน เขาถึงได้ยิ้มพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ
 
“รู้แล้ว...”
 
“...”
 
“ทนอีกหน่อยเนอะ” โน้มตัวลงมากดจูบลงขมับครั้งหนึ่ง "เนอะๆๆ" ก่อนจะแกล้งซุกจมูก งับแก้มผมหลายๆ ก่อกวนไม่ให้หลับ

ผมหัวเราะ ก่อนจะผลักหน้าเขาออกไปอย่างปัดรำคาญ ซันเลยยิ้มขบขันเปลี่ยนเป็น เลื่อนมือมาเกลี่ยใบหน้าผมไปมา... สบตากันนิ่งนาน ราวกับจะใช้ดวงตาคู่นั้นเฝ้าระวังไม่ให้ผมหลับไปจนพลาดโอกาสสำคัญ
 
โอกาสที่เขาจะได้ทำตามคำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยเกือบจะสัญญา...
 
ในวันที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนเขาด้วยกัน ซันบอกว่าถ้าผมอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเขาจะพามา ถึงผมจะเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่อยากให้สัญญา แต่ว่าเอาเข้าจริงผมกลับจำคำพูดนั้นได้ขึ้นใจ เพราะแบบนั้นถึงได้รู้ดีว่าตัวเองดีใจแค่ไหน ที่ได้ยินเขาชวนจริงๆ
 
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าใจความสำคัญที่ผมต้องการกลับไม่ใช่การนั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีพระอาทิตย์ ไม่ต้องมีน้ำทะเลหรือชายหาดสวยๆ ก็ได้... แค่มีซัน
 
แค่เห็นเขานั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันก็ทำให้ผมอิ่มใจมากกว่าวิวไหนๆ ในโลกแล้วจริงๆ
 
“มาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ได้ถึงแสงสีส้มที่กำลังฉาบขึ้นมาบนท้องฟ้ากว้าง ลบความมืดยามค่ำคืนด้วยแสงสว่างที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้าระมัดระวัง
 
แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับยังนั่งนิ่ง ไม่คิดจะสนใจมัน...
 
สิ่งเดียวที่ตราตรึงดวงตาเอาไว้ คือเสี้ยวหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบของคนที่ผมตกหลุมรักซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน เฝ้าพิจารณาและถามตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าทำไมกัน... ทำไมต้องเป็นเขาที่ทลายกำแพงในใจของผมได้ซ้ำๆ จนแหลกละเอียด กลายเป็นฝุ่นผงปลิวหายไปกับสายลม
 
เพราะดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องมาอย่างหวังดี และซื่อตรง... หรือเพราะมือคู่นั้นที่มักจะเข้ามาโอบกอด กุมมือผมไว้เพื่อบอกว่าผมไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย...
 
เพราะริมฝีปากที่กดจูบลงมาซ้ำๆ ทั้งปลอบประโลม และมอบสัมผัสลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครที่ไหน... หรือเป็นเพราะเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยทุกคำพูดออกมาอย่างจริงใจ และกระซิบบอกรักยามผมหลับในทุกๆ วัน
 
คำถามที่ผมเสียเวลาถามตัวเองมาตั้งนาน ทั้งๆ ที่คำตอบมันอยู่ตรงหน้า... ชัดเจน... ไร้คำตอบอื่นใด
 
ที่เขาทำลายกำแพงเข้ามาได้ ก็เพราะเขาคือซัน... พระอาทิตย์ดวงนี้ที่อยู่ข้างๆ ผมตลอดมา ดวงตะวันที่ฉาบแสง แทรกซึมเข้ามาในท้องฟ้ามืดมนของผมอย่างช้าๆ ...จนกลายเป็นสีสว่างได้อย่างน่าอัศจรรย์
 
มันถึงไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่ผมจะตกหลุมรักเขาซ้ำๆ... และมากขึ้นในทุกๆ วัน
 
แต่จำได้... ว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพูดคำนั้นออกไป
 
“หือ? ไหนบอกจะดูพระอาทิตย์ขึ้นไง แล้วมานั่งมองหน้ากันอยู่งี้คืออะไรครับ”
 
“ซัน...” เพราะงั้นถึงได้ฉวยโอกาสตอนที่เขาหันกลับมาสบตาอีกครั้ง ยื่นใบหน้าเข้าไปกดจูบเจ้าตัวครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดดังก้องอยู่ในใจเสมอออกไป “รัก...”
 
“...”

“ได้ยินมั้ยครับ?” เงยหน้าขึ้นถาม เมื่อเขาเอาแต่นิ่งค้าง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง สบตาผมเหมือนไม่แน่ใจ
 
“ได้ยิน” แต่ไม่นานก็จับใจความได้ จึงพยักหน้าตอบก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา กว้างขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะเบาๆ
 
ผมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อคนเอาแต่ใจขยับเข้ามาคลอเคลีย ออดอ้อนร้องขอแผ่วเบา
 
“พูดอีกทีสิ”
 
อดไม่ได้ที่จะงับจมูกโด่งเบาๆ อย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงไปทางบนริมฝีปากบาง กระซิบในสิ่งที่เขาอยากได้ยินซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่คิดอิดออดปิดบัง
 
“รัก...”

ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงเคยหวาดกลัวที่จะเอ่ยมันออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเพียงไม่กี่คำที่ทำให้หัวใจคนฟังพองโตขึ้นมาราวกับได้รับสารอาหารอันอิ่มหนำ
 
“รักซันนะครับ” แต่ต่อไปนี้ผมจะพยายามพูดมันออกไป

เอ่ยทุกความรู้สึก สบตาให้เขารู้ว่าผมสื่อมันออกมาจากใจจริง... ผมพร้อมจะทิ้งทุกความกลัว

พร้อมจะเชื่อใจ... เพื่อก้าวไปข้างหน้ากับเขานับจากนี้ไป

"รักโชเหมือนกัน" เพราะแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ทิ้งให้ผมเดียวดาย

เราต่างยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อได้แลกเปลี่ยนความในใจ โน้มตัวเข้าหากันเพื่อทาบริมฝีปากอีกครั้ง... แตะสัมผัสเพียงแผ่วเบา ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งเพื่อมองหน้ากัน สบตาเนิ่นนานราวกับกำลังซึมซับทุกความรู้สึกผ่านดวงตา ปล่อยให้แสงอาทิตย์ของวันใหม่ฉาบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายโดยไม่มีใครคิดจะหันกลับไปสนใจมันสักเสี้ยววินาที... ต่อให้เป็นคนร้องขอเอง แต่ผมกลับไม่รู้สึกเสียดายสักนิดที่จะไม่ได้เห็นความสวยงามของมัน
 
เพราะสำหรับผมแล้ว... คนตรงหน้าก็ให้แสงสว่างงดงามไม่แพ้กัน เป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวที่เติมเต็มหัวใจให้ผม... เป็นดวงตะวันในยามเช้า ที่ส่องสว่าง... ทว่าไม่แผดเผา
 
ดวงตะวัน... ที่ฉายแสงอบอุ่น... ขณะโอบกอดหัวใจของผมไว้ อย่างอ่อนโยน




--------------------------------------------------------------
ตั้งใจไว้ตั้งแต่เหลือสองตอนสุดท้ายว่าจะอัพทั้งหมดพร้อมกัน
เพราะต้องการความต่อเนื่องของอารมณ์
ขอโทษด้วยที่หายไปนาน เพราะยิ่งครั้งสุดท้าย เรายิ่งกังวลไปหมด
อยากทำให้ดี อยากสื่อทุกอย่างให้ครบถ้วนไม่เหลืออะไรติดค้าง
ก็เลยแก้นานมาก เขียนบรรทัดเดิมซ้ำไปซ้ำมาตั้งหลายรอบเลยค่ะ 55555
หวังว่าจะถูกใจกัน

มีหลายเรื่องเลยที่อยากจะบ่นให้ฟังในตอนจบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ลืมเกือบหมด... (ฮืออ)
เรื่องที่จำได้คือ เรื่องความรักของทั้งสองคน ทุกครั้งที่เขียนเรากังวลตลอดอ่ะว่ามันล้นไปหรือเปล่า
รักกันเกินไปมั้ย แอบถามคนอ่านตลอดว่าเลี่ยนมั้ยคะ 5555 แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้แก้ไขอะไรอยู่ดี
ขนาดตัวเองยังแอบท้วงเลยว่ามันเป็นความรักในอุดมคติ ไม่มีแบบนี้จริงๆ หรอก (ทั้งนี้ทั้งนั้นคือยังไม่เคยสัมผัสสักครั้งเลยค่ะ 5555) แต่อีกใจก็บอกว่าช่างหัวมัน ถูกนังซันกรอกหูว่าจะรักกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยจะเป็นไร ไม่ใช่เพราะมันคือนิยาย แต่เพราะพอลองคิดภาพในหัวแล้ว สำหรับสองคนนั้นมันเป็นความรักที่สมเหตุสมผลดีน่ะค่ะ ^^
อีกเรื่องคือชีวิตน้องโช (อ้างอิงตอนหลงตะวัน 12) เราร่างตอนนี้มานาน เคยตั้งใจจะเอาเป็นฉากจบด้วยซ้ำ เป็นตอนที่โชกุนปลดเปลื้องทุกอย่างออกมาในใจ ออกมาจากเซฟโซนของตัวเองแล้วจริงๆ ที่เอาปูมหลังที่ค่อนข้างดราม่าของโชมาไว้ตอนท้ายก็เพราะว่าไม่อยากให้กลายเป็นนายเอกที่น่าสงสารขนาดนั้นน่ะค่ะ ไม่อยากให้อ่านด้วยความคิดที่ติดค้างว่าเพราะโชไม่เหลือใครซันเป็นคนเดียวที่ช่วยได้ แต่อยากให้เห็นตอนที่ชีวิตมีซันเข้ามาก่อนมากกว่า อยากให้อ่านถึงตรงนั้นแล้วรู้สึกว่า ที่เคยคิดไว้ว่าซันเข้ามาเป็นแสงสว่าง... มันกลายเป็นอะไรที่สว่างยิ่งกว่า เพราะก่อนหน้านี้มันมืดมาก เหมือนท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นจริงๆ อะไรแบบนั้น
เรื่องสุดท้ายคือเรื่อง nc... จะบ่นสั้นๆ เพราะเขินค่ะ 5555 จะบอกว่าก่อนเขียนเรื่องนี้แทบไม่ได้แตะ nc เลย นิยายที่อ่านก็ไม่ค่อยเจอฉากแบบนี้ ยิ่งเรื่องเขียนนี่... ไม่เคยคิดจะเขียนด้วยซ้ำอ่ะ
ตอนเขียนครั้งแรกนี่หมกมุ่นมาก ขู่เข็ญให้เพื่อนหาเอ็นซีดีๆ มาให้อ่าน แต่สุดท้ายก็ได้แค่นี้แหละค่ะ 5555 ดังนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดช่วยบอกกันด้วยนะคะ กระซิบก็ได้ แบบ... แกๆ เค้าไม่ได้ทำกันอย่างนั้นเว้ย (ขอรายละเอียดด้วยก็ดีค่ะ -..-) อย่าปล่อยเราเขียนอะไรเด๋อๆ นะ

เนี่ย ขนาดลืมไปบ้างยังบ่นยาวขนาดนี้เลยอ่ะ ถ้าจำได้ทั้งหมดนี่ขึ้นเป็นนิยายตอนใหม่ได้เลยมั้ง 55555 ขอลงท้ายด้วยการขอบคุณอีกหลายๆ ครั้ง ขอบคุณมากๆ ที่แวะเข้ามาอ่านกัน ขอบคุณทุกคนที่กรุณาฝากคอมเม้นต์ไว้ ติด #ซันโช ในทวิตเตอร์ให้ได้ชื่นใจ ดีใจมากที่ไม่ปล่อยให้เราอัพเองอ่านเองอยู่คนเดียว ;^;

ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

รัก
- Martian -

 
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง #ซันโช : แจ้งข่าว [08/08/2560 ] : P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 08-08-2017 09:25:02
แจ้งข่าวการตีพิมพ์

เหมือนจะไม่เคยบอกอย่างเป็นทางการเลย ว่าเรื่อง Just Before Sunrise เมื่อตะวันฉายแสง จะออกเล่มกับสำนักพิมพ์ Hermit นะคะ ที่เดียวกับ เชนตรีเลย แต่กำหนดการยังไม่แน่นอน ถ้าปั่นต้นฉบับทัน ก็น่าจะได้อ่านกันประมาณต้นปีหน้าเนอะ
ยังไงถ้ามีความคืบหน้าจะมาอัพเดตอีกทีค่ะ
ฝากติดตามด้วยนะ ^^
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Preenp ที่ 08-08-2017 10:04:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-08-2017 11:59:46
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 08-08-2017 16:14:57
แอร๊ยยยยยย
ขอรับบริจาตเลือดกรุ๊ปบีหน่อยค่า
เสียเลือดให้กับซันโชจนจะหมดตัวแล้วววว

เปนตอนจบที่ดีต่อใจเรามากกกก
คือมันสมบูรณ์แบบจริงๆค่ะ
ครอบครัวซันก้น่ารักมาก

จะรอเล่มนะคะ
ขอตอนพิเศษเยอะๆน้า
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Zestful ที่ 08-08-2017 20:21:14
จบแล้ววววว
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีดีออกมานะคะ
รักซันโชมากๆ เลยยย อบอุ่นหัวใจสุดๆ
 :L1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-08-2017 23:06:30
ขอบคุณมากๆ สำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
โชซันเป็นคู่ที่น่ารักจริงๆ
โชกุนผ่านอะไรมาเยอะมาก สงสารเลยอ่ะ
ส่วนซันก็ดีดี๊ดี ถ้าไม่ใช่ซันนี่ไม่ยกโชกุนให้จริงๆ นะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-08-2017 08:52:46
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-08-2017 09:19:20
เป็นนิยายที่ครบรสจริงๆ ค่ะ สนุกมาก มันละมุนไปด้วยความรัก ความเข้าใจกัน เป็นอะไรที่ดีต่อใจจริงๆ ค่ะ
รวมเล่มไม่พลาดแน่ๆ ค่ะเชนกับตรีก็ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: mayachiwit ที่ 09-08-2017 21:44:40
ดีใจที่มีเรื่องของซัน-โชมาให้อ่าน เราตามมาจาก just another guy หลงรักเชน-ตรีมาก รีบเม้นท์ก่อนแล้ว
ตามอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:บทส่งท้าย[08/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 11-08-2017 22:45:14
สนุกมากๆ เลยคะ. ขอตอนพิเศษด้วยน้าาาาา

รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ

 :mew2:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : ตอนพิเศษ 1 [17/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 17-08-2017 23:50:00
ตอนพิเศษ : 1

   
เคยได้ยินเหมือนกันว่าการแต่งงานมันเป็นมากกว่าเรื่องของคนสองคน และผมก็พิสูจน์ด้วยตัวเองจนรู้แล้วว่ามันไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้มีเรื่องยุ่งยากมากมายที่ผมกับไอ้ตี๋ต้องจัดการ ไม่ใช่แค่เรื่องจัดงาน แต่เรายังต้องคอยรับมือกับหลายๆ คำถามที่ถูกส่งมาจากคนรอบกาย ถึงเราจะเห็นพ้องต้องกันว่าไม่อยากให้มันเป็นงานใหญ่ มีแค่คนสนิทคุ้นเคยมาเป็นสักขีพยาน แต่ถึงอย่างนั้นการเลือกจัดการแทบทุกอย่างด้วยตัวเองก็เล่นเอาสายตัวแทบขาดไปเลยเหมือนกัน
   
แต่เพราะแบบนั้น... มันถึงคุ้มค่าที่สุดเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ

“มึงจำเป็นต้องมานั่งเฝ้าขนาดนี้เลยเหรอ” ไอ้ตรีถามกลั้วหัวเราะ หลังจากแอบรัวชัตเตอร์ถ่ายรูปผมชุดใหญ่ให้สมกับหน้าที่ตากล้องประจำงาน ผมหันไปเลิกคิ้วมองหน้ามัน ไม่รู้ตัวว่ามุมปากยังคงยกเป็นรอยยิ้มกว้างเพราะยิ้มค้างอยู่แบบนี้มานาน

“ใครเฝ้า กูมานั่งพักเฉยๆ” ยังทำเป็นปากแข็งทั้งที่ไม่ทันไรก็หันกลับไปจ้องอีกคนที่กำลังถูกจับแต่งตัวเป็นตุ๊กตาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบติดกระดุมจรดคอ หูกระต่ายสีดำถูกผูกและจัดให้อยู่ตรงกลางปกเสื้ออย่างพิถีพิถัน

ทั้งที่ชุดก็คล้ายๆ กัน ต่างตรงที่ของผมถูกผูกด้วยเนกไทสีดำเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่บนตัวอีกคนมันถึงได้ดึงดูดจนผมละสายตาไม่ได้มานับชั่วโมง ไม่รู้ว่านอกจากเส้นผมหนาที่ถูกเซตเป็นทรงอย่างดีแล้วพี่โมทำอะไรอีกหรือเปล่า ใบหน้าของไอ้ตี๋ถึงได้ดูสดใสกว่าปกติ จนคนมองอย่างผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

“หึ” เผลอมองนานจนไม่ทันรู้ตัวว่าไอ้ตากล้องประจำงานแอบถ่ายตัวเองไปอีกกี่รูป หันมาอีกทีก็เห็นไอ้ตรีกำลังยิ้มมุมปาก มองผมอย่างมีเลศนัย จนต้องย่นหน้าโบกมือไล่อย่างขำๆ

“ถ่ายอะไรกูนักหนา ไปถ่ายไอ้ตี๋นู่น” คนถูกพาดพิงพอได้ยินชื่อตัวเองก็เหลือบตาขึ้นมาสบตาผมผ่านกระจก ส่งสายตาคาดใส่ผมผ่านกระจกทันทีที่ตกเป็นเป้าเลนส์กล้องของไอ้ตรี แต่เพียงไม่นานก็หลุดอมยิ้มหลบสายตาลงอย่างเขินอายให้ผมยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม

หยิบสูทตัวนอกขึ้นมาสวมแล้วลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปหาทันทีที่พี่โมสวมสูทตัวนอกให้ไอ้ตี๋เสร็จ และหลบฉากออกมายิ้มแหย่ผมเหมือนรู้ว่ารอเวลานี้อยู่นาน คนขี้กังวลยังสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผมไปยืนซ้อนหลังโอบไหล่บาง หอมแก้มใสฟอดใหญ่ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบนขมับ กดจูบย้ำๆ แล้วแช่ริมฝีปากไว้อย่างนั้น ซึมซับความอบอุ่นผ่านร่างกายที่สัมผัสกัน

“เดี๋ยวเสื้อก็ยับหรอกครับ” บ่นพึมพำทั้งที่ซุกหน้าลงกับแขนผมอย่างเขินอาย ใบหน้าใสกลายเป็นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู 
ผมยิ้มกว้าง กดจูบหนักๆ ลงไปอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนมาเกยคางไว้บนไหล่ สบตากับดวงตาเรียวผ่านกระจกบานใหญ่เนิ่นนานจนได้คำตอบว่าที่วันนี้ไอ้ตี๋ดูสดใสกว่าปกติไม่ได้เกี่ยวกับการแต่งตัว... แต่เป็นเพราะดวงตาที่ทอประกายความสุขจนเอ่อล้นออกมา

“ตื่นเต้นมากเลย” อยู่ๆ คนตัวเล็กก็หมุนตัวกลับมาหาเพื่อกอดผมแล้วสารภาพเสียงเบา ผมหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะกอดกลับ กระชับอ้อมแขนจับคนตัวเล็กกว่าโยกไปมา

“เหมือนกัน” ไม่ปฏิเสธหรอกว่าไม่รู้สึกอะไร ในเมื่อหัวใจมันเต้นรัวจนอีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้

ทั้งที่ข้างนอกนั่นก็มีแต่คนรู้จัก สนิทสนมกันมานานจนคิดว่าไม่มีอะไรต้องอาย แต่เอาเข้าจริงก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งคิดว่าต้องออกไปป่าวประกาศความรักของตัวเองต่อหน้าใครๆ ต่อให้ปกติจะเป็นคนหน้าด้านแค่ไหน แต่งานนี้ผมก็เขินจนมือไม้สั่นไปหมดอย่างที่ไม่เคยเป็น

ต้องขอบคุณคนในอ้อมกอดที่ทดแทนความตื่นเต้นด้วยความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางร่างกาย ไม่อย่างนั้นคงได้หมกตัวอยู่ในห้องแต่งตัวกันทั้งคู่ไม่กล้าออกไปไหน

“พร้อมหรือยัง”

ขอบคุณมือข้างนี้ที่กุมมือกันไว้ ยอมเดินเคียงข้างกันไป ในวันที่ผมมีความสุขจนอยากจะร้องไห้ออกมา

“ครับ”

ขอบคุณรอยยิ้มแสนน่ารัก ที่ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า คนนี้แหละที่ทำให้คนอย่างผมอยากแต่งงาน อยากป่าวประกาศให้ทั้งโลกรับรู้ว่าเราจะเป็นของกันและกัน...นานเท่านาน





มันเป็นเพียงงานแต่งงานเล็กๆ ที่คนนอกมองว่าช่างไม่สมศักดิ์ศรีลูกชายเจ้าของกิจการรีสอร์ตชื่อดัง ไม่มีของตกแต่งหรูหราอลังการ ไม่มีเค้กสิบชั้นหรือรูปสลักน้ำแข็งประดับงาน มีเพียงพิธีทางศาสนาสั้นๆ และการรวมกลุ่มกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ฟังคำอวยพร และเคล็ดลับการครองชีวิตคู่จากป๊าและแม่ คำขอบคุณของพี่โมที่พูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งน้ำตา พูดคุยทักทายกับเพื่อนๆ ที่ต่างแสดงความยินดีปนแซวที่ผมเป็นฝั่งเป็นฝานำหน้าทุกคน

ส่วนหนึ่งที่งานไม่เงียบเกินไปต้องยกความดีความชอบให้พิธีกรของงานคือไอ้นายกับไอ้มิ่งที่คนหนึ่งโคตรอเลิร์ตส่วนอีกคนก็โคตรมึนเรียกเสียงหัวเราะปนเอ็นดูจากคนทั้งงาน แต่ข้อเสียคือผมโดนแฉเรื่องที่เคยเสนอตัวเป็นพ่อสื่อให้ไอ้นาย โดยแก้ตัวอะไรไม่ได้เพราะมันมีหลักฐานเป็นรูปตอนอยู่ในร้านที่ผมตามติดไอ้ตี๋แจจนไม่เปิดโอกาสให้มันแม้กระทั่งรูปแอบถ่ายไว้มโนด้วยซ้ำ เรื่องเหนือความคาดหมายอีกอย่างคือวิดีโองานแต่งที่ผมไม่คิดว่าจะมี ดันถูกไอ้ตรีเอามาเซอร์ไพรซ์ด้วยบรรยากาศในห้องแต่งตัวที่ผมเพิ่งรู้ว่าความจริงแล้วมันอัดเป็นวิดีโอไว้ ไม่ใช่ภาพนิ่งอย่างที่เข้าใจ เพราะแบบนั้นพวกผมเลยยิ่งถูกแซวยกใหญ่ จนคนตัวเล็กอายม้วนต้องมุดหน้าซุกอกผมไว้นานนับนาที

ฉากเต้นรำกลางหมู่ดาวถูกทดแทนด้วยเพลงสนุกๆ จากวง The Quantum ที่รวมตัวกันเฉพาะกิจหลังจากห่างหายกันไปพักใหญ่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยท่วงทำนองแสนหวานของเพลงที่ผมจำได้แม่นว่าพี่เชนเป็นคนแต่งเอง ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ผมกับไอ้ตี๋ก็ยิ้มไม่หุบที่วันทั้งวันผ่านไปด้วยดีกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศเรียบง่าย ทว่าอบอุ่นไม่ต่างจากการนั่งกินข้าวสังสรรค์กันภายในครอบครัว

“อ้าว ซัน” ผมชะงักฝีเท้าเมื่อกำลังจะเดินกลับเข้าไปในงานแล้วสวนกับพี่โมเข้าพอดี ผมเพิ่งไปส่งป๊ากับแม่ที่รีสอร์ตมา หลังจากแขกเหรื่อแยกย้ายกันกลับเกือบหมดแล้ว เหลือแต่พวกเพื่อนๆ ผมที่นั่งดื่มกันต่อเพราะเปิดห้องที่รีสอร์ตไว้ให้ เลยไม่ต้องกังวลว่าจะกลับไม่ไหว

“พี่โมจะกลับแล้วเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหม” เอ่ยถาม เพราะผมเตรียมห้องไว้ให้ครอบครัวพี่โมเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรจ้ะ ให้เด็กไปส่งก็ได้ ซันกลับไปอยู่กับเพื่อนเถอะ” พี่โมปฏิเสธ ผมจึงหันเรียกเด็กที่รอแสตนด์บายส่งแขกอยู่แล้วให้เตรียมรถมารับพี่โมไปส่งที่ห้องพักซึ่งอยู่ไม่ไกล

“ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยงาน” ผมยกมือไหว้จากใจ ถ้าไม่ได้พี่โมเป็นธุระให้ หลายๆ เรื่องคงไม่ผ่านไปอย่างราบรื่นแบบนี้

“พี่ต่างหากต้องขอบคุณซัน คิดไม่ผิดจริงๆ ที่แอบเชียร์มาตั้งนาน” พี่โมเอ่ยแซว จนผมหลุดหัวเราะเบาๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเก้อๆ ด้วยความอาย แต่ไม่นานญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของไอ้ตี๋ก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้งอย่าตั้งใจฟัง

“พี่เพิ่งคุยกับแม่ของโช เค้าฝากมาขอบคุณซันเหมือนกัน”

ก่อนหน้านี้เราส่งการ์ดเชิญไปให้แม่ไอ้ตี๋ที่ต่างประเทศเหมือนกัน แต่ดูเหมือนท่านจะไม่สะดวกมา จึงฝากพี่โมเป็นธุระแทน ซึ่งพี่โมก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนเป็นแม่อีกคนของไอ้ตี๋จริงๆ

“ขอบใจมากที่ที่ผ่านมาช่วยดูแลโชอย่างดี แล้วก็ขอบคุณที่จะดูแลโชหลังจากนี้ไป ขอให้ทั้งสองคนคิดถึงช่วงเวลานี้ไว้ แล้วใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข แล้วก็ห้ามทำน้องโชกุนเสียใจด้วย เข้าใจไหม” ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง เมื่อได้ฟังคำฝากฝังจากคุณแม่ยาย ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป

“ครับ สัญญาเลย”

เพราะอยากทำทุกอย่างให้ครบถ้วนถูกต้อง ผมจึงขอให้ไอ้ตี๋ติดต่อแม่ตัวเองเพื่อขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ได้คุยกับท่านครั้งหนึ่งก็รู้ว่าเป็นคนใจดี ถึงทั้งสองคนจะค่อนข้างห่างเหินกันอย่างที่ไอ้ตี๋เคยบอก... แต่ก็ไม่ถึงขั้นกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แม้จะมีบรรยากาศของความอึดอัดอยู่บ้างตอนคุยกัน แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความรัก ความเป็นห่วงที่ทั้งสองคนมีให้กันอย่างชัดเจน

เพราะถ้าไม่รัก ไม่ห่วง คงไม่ให้พี่โมมาคอยดูแลแบบนี้... รับรู้สารทุกข์สุขดิบของไอ้ตี๋โดยที่ไม่มายุ่มย่ามให้มันอึดอัดใจ เพราะรู้ว่าตัวเองผิดที่เป็นฝ่ายหายหน้าไป อย่างเรื่องที่เราคบกัน แม่ไอ้ตี๋ก็รู้มาตั้งนานแล้วผ่านพี่โมที่เป็นหูเป็นตาส่งข่าวให้ เพราะงั้นตอนที่ผมโทรไปถึงได้ไม่มีวี่แววของความตกใจ แถมยังดีใจด้วยซ้ำที่ในที่สุดลูกชายมีคนรัก...และได้รู้จักรักใครสักคน ท่านรู้แม้กระทั่งเรื่องที่ไอ้ตี๋ขี้กลัวและสร้างกำแพงจากคนรอบข้างแค่ไหน เพราะแบบนั้นถึงได้เป็นห่วง และหวังให้มันทำลายกำแพงนั้นลงสักที

มันทำให้ผมเพิ่งคิดได้เหมือนกันว่าที่ไอ้ตี๋เอาแต่คิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่มีคนรัก ผมว่าไม่จริงเลยสักนิด... มีคนรักมันมากกว่าที่มันคิด เพียงแต่มันเป็นความรักที่แสดงออกด้วยวิธีที่แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่โมอีกครั้งอย่างขอบคุณจากใจ คราวนี้พี่โมยิ้มรับ อวยพรให้ผมกับไอ้ตี๋อีกรอบ ก่อนจะขึ้นรถกลับรีสอร์ตไป

พอยืนส่งพี่โมจนลับสายตา ผมก็กำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงาน แต่ไม่ทันไรก็เจออีกสองคนกำลังเดินออกมา ท่าทางกำลังจะกลับเหมือนกัน

“ไงมึง” ไอ้ตรียิ้มทักทาย ในขณะที่พี่เชนมองหน้ากันนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร

“กลับแล้วเหรอวะ” เลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ เพราะคิดว่าทั้งสองคนจะอยู่ต่อ

“อืม พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้าอ่ะ พี่เชนมีงาน” ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองพี่รหัสสุดหล่อ แล้วยกมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณมากนะพี่ที่มาเล่นดนตรีให้” เดิมทีผมจะจ้าง แต่พวกพี่ๆ เขากลับไม่ยอม มาเล่นให้ฟรีแถมยังขนเครื่องดนตรีมาเองจนผมเกรงใจ พี่เชนยิ้มมุมปากกลับมา เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะเหลือบสายตามองคนข้างตัวแล้วเอ่ยหน้าตาย

“รองานแต่งกูค่อยไปใช้คืน” ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ก็ช่วยเป็นสักขีพยานว่างานต่อไปคงไม่พ้นของไอ้เพื่อนตัวดีที่ยืนหน้าแดงตกใจกับคำพูดแฟนตัวเองอยู่ตรงหน้านี่แน่นอน

“โอเคเลยพี่” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ส่งสายตาแซวไอ้ตรี

“เออมึง เข้าไปดูโชหน่อยก็ดี ไม่รู้ป่านนี้เพื่อนมึงล่อลวงไปถึงไหนแล้ว” แต่ไม่ทันไร มันก็เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“ล่อลวงอะไร” ผมเลิกคิ้วไม่เข้าใจ คราวนี้ไอ้ตรีเลยหัวเราะบ้าง พยักหน้าเข้าไปในงานที่ตอนนี้คงจะเหลือแต่เพื่อนๆ ผม

“ไปดูดิ กูเห็นเพื่อนมึงหลอกให้โชกินเหล้าอ่ะ ป่านนี้เมาพับไปแล้วมั้ง”   

“หา?” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะพยักหน้าขำๆ “โอเค เดี๋ยวกูไปดู”

ในหัวพยายามนึกว่าถ้าไอ้ตี๋ถูกมอมเหล้าจริงจะเป็นยังไง เพราะอย่าว่าแต่เมาเลย ผมยังไม่เคยเห็นมันแตะแอลกอฮอล์เลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา แต่ก็รู้ว่าที่ไม่กินก็เพราะไม่ชอบเท่านั้น ไม่ใช่เพราะมันแพ้หรือมีอะไรร้ายแรง

ผมบอกลาพี่เชนกับไอ้ตรีอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกัน กลับเข้ามาในงานที่ตอนนี้แทบจะร้างผู้คน เหลือเพียงคนงานที่กำลังเก็บจาน กับโต๊ะด้านหน้าสุดที่มีพวกเพื่อนๆ ผมนั่งล้อมวงกันอยู่แต่กลับไม่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายเหมือนเคยก็ประหลาดใจ ก่อนจะได้คำตอบเมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วเห็นว่าพวกมันกำลังนั่งมองคนตัวเล็กที่นั่งชันเข่าขดตัวเป็นก้อนอยู่บนเก้าอี้เหมือนไม่รู้จะทำยังไง

“ไอ้เชี่ยซัน! ช่วยด้วย” พอเห็นหน้าผมก็ทำท่าตื่นเต้นยกใหญ่ พร้อมใจกันชี้นิ้วไปที่ไอ้ตี๋อย่างโบ้ยความรับผิดชอบให้กัน

“พวกมึงทำอะไรเนี่ย” ผมเลิกคิ้วถาม ก่อนจะเดินไปนั่งคุกเข่าที่พื้นข้างๆ คนตัวเล็กที่ยังซุกหน้าอยู่กับเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้น 

“โช... โชครับ” จนผมลูบหัวเบาๆ พร้อมกับเรียกชื่อถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมา

“ซัน” และเชื่อเถอะว่าหน้าแดงๆ กับน้ำเสียงอ้อนๆ นี่โคตรมีพลังทำลายล้างจนผมถึงกับชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยแซวขำๆ

“เมาเหรอครับคุณน่ะ” มือที่ยังคงวางอยู่บนเรือนผมนุ่มถูกเจ้าตัวยกมือขึ้นมาจับไว้ ก่อนจะเอาไปทาบแก้มแดงๆ ของตัวเอง แล้วย่นหน้ากระซิบเบาๆ ด้วยท่าทางอายๆ

“ผมคิดว่าเป็นน้ำเปล่า” พอได้ยินแบบนั้นผมก็หันไปมองไอ้พวกเพื่อนเวรที่นั่งล้อมวงอยู่อย่างรู้ทัน

“มันสลับแก้ว!”

“เชี่ยอะไร มึงนั่นแหละ”

“ก็มึงบอกให้แกล้งอ่ะ”

“มึงเลยตัวเริ่ม” คนร้อนตัวโทษกันจนครบวง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“โดนไปแก้วเดียว ใครจะไปคิดว่าจะขดตัวเป็นดักแด้งี้วะ น่ารักสัด” อยากจะเอาเรื่องพวกแม่งเหมือนกันที่มาแกล้งคนของผม แต่พอหันกลับมามองเจ้าของใบหน้าแดงๆ ที่ยังขดตัวแต่เอียงหน้ามามองผมด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอดแล้วก็อยากจะขอบคุณมากกว่า 

จริงของพวกมัน... เวลาคุณเขาเมานี่น่ารักชิบหายเลย

“ผมง่วงมากเลย” ยิ่งทำเสียงงอแงก็ยิ่งน่ารักจนผมเผลอยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปากทีหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว เกลี่ยนิ้วบนใบหน้าร้อนๆ ไปมาก่อนจะพยักหน้าตามใจ

“โอเค ไปนอนกัน” ถูกไอ้พวกเพื่อนเวรส่งเสียงแซวแต่ไม่คิดจะสนใจ หันหลังแล้วย่อตัวลงให้คนตัวเล็กที่ขยับมาขี่หลังกันอย่างว่าง่าย

“หาทางกลับเองนะพวกมึงอ่ะ” แกล้งเตะคนตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหมั่นไส้

ถูกพวกมันโห่แซวยกใหญ่จนอยากจะยกเท้าให้ แต่ก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร เพราะต้องพาคนงอแงออกมาจากงาน พาเข้ามาในบ้านจนถึงห้องนอนแล้วจึงวางลงบนเตียง

“เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้นะ” ผมบอกก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนก็ถูกคว้ามือไว้โดยคนที่ยังนั่งมุดหน้าลงกับเข่าตัวเองขดตัวเป็นดักแด้อีกรอบอย่างน่าเอ็นดู

“ซัน”

“หืม?” ผมนั่งลงข้างๆ อีกครั้งตามเสียงเรียก แต่แทนที่จะเอ่ยอะไรต่อ ไอ้ตี๋กลับมองหน้าผมนิ่ง แล้วเรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา 

“ซัน”

“อะไรครับ” ถามกลั้วหัวเราะ พลางใช้มือข้างที่เหลือเกลี่ยแก้มใสที่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นมาทาบลงบนมือผมอีกทีพลางหลับตาลงคล้ายกับจะซึมซับไออุ่นนี้ไว้พักใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาสบตาผม สีหน้าเหมือนมีเรื่องมากมายอยากเอ่ย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไร

“โช...” แต่ถึงไม่พูดอะไร ผมพอจะเดาได้ เพราะความรู้สึกมากมายมันถูกสื่อออกมาผ่านแววตาที่เริ่มมีน้ำใสๆ เอ่อคลอขึ้นมา

“ไหนบอกว่าง่วงไง” ผมแกล้งถามยิ้มๆ พลางยื่นหน้าเข้าไปจูบเบาๆ แตะหน้าผากแช่ไว้ คลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกแดงๆ ที่พ่นลมหายใจร้อนเจือไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์

“ซันครับ” เนิ่นนานกว่าน้ำเสียงออดอ้อนจะเอ่ยชื่อผมออกมาอีกครั้ง เอียงใบหน้าแตะริมฝีปากร้อนจัดลงมาบนฝ่ามือผมที่ยังทาบอยู่บนแก้มตัวเองก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ   

“ทำยังไงดี... ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย” คลี่ยิ้มกว้างทั้งที่หยาดน้ำค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างเหมือนกลั้นไม่ไหว ใช่จะไม่รู้ว่ามันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ตลอดทั้งวัน เพราะทุกครั้งที่หันไปสบตาก็มักจะเห็นว่าดวงตาคู่สวยมีหยาดน้ำเอ่อคลอ แต่คงเพราะไม่อยากให้ตัวเองดูขี้แยเกินไป ถึงได้ฮึบเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออะไร สุดท้ายถึงได้มาทนไม่ไหวเอาตอนนี้เอง 

“ผมเคยชินกับการผิดหวังมานาน... ไม่เห็นรู้เลยว่าการถูกรักมันจะดีขนาดนี้” เอ่ยพึมพำทั้งที่สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเอ็นดู ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้ ลูบหัวเบาๆ ปล่อยให้ร้องไห้จนกว่าจะพอใจ 

ถึงจะเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้ไอ้ตี๋ร้องไห้อีก... แต่คราวนี้คงไม่เป็นไร เพราะน้ำตาที่กำลังไหลไม่ได้เกิดจากความเสียใจ แต่เป็นเพราะความสุขที่ล้นอยู่ในใจมันระบายออกมาเป็นหยาดน้ำมากมายเกินจะเก็บไหว

“ขอบคุณนะครับ” กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจนสัมผัสได้ กดจูบบนเรือนผมหอมซ้ำๆ พลางจับคนตัวเล็กโยกไปมาเหมือนปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้งอแง ก่อนจะกระซิบแทนคำขอบคุณด้วยประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในใจ...

“ซันรักโชนะ”   

และไม่สามารถเอ่ยอะไรต่อได้ เพราะรู้ดีว่าขืนเอ่ยออกไปอีกคำเดียว... ความสุขที่ล้นอยู่เต็มอกก็คงดันให้น้ำตาของผมไหลทำลักออกมาจนกลายเป็นคนขี้แยไม่แพ้กัน








--------------------------------------------------------------
สารภาพว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่อินกับการแต่งงานเลยค่ะ
ตอนแรกตั้งใจว่าจะข้ามฉากนี้ไป เขียนชีวิตหลังแต่งงานเลยด้วยซ้ำ 5555
แต่สุดท้ายก็ดึงกลับมา ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน คงเพราะมันทำให้เรื่องสมบูรณ์กว่า
เป็นงานแต่งในแบบที่เราคิดว่าทั้งสองคนน่าจะอยากให้เป็น
เรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่มีซีนหวานซึ้งใดๆ อย่างที่ซันบอก ว่าเหมือนแค่มานั่งกินข้าวกันภายในครอบครัว 555

คิดว่าคงอัพตอนพิเศษให้อ่านกันอีกประมาณ 1-2 ตอนนะคะ
ฝากติดตามด้วยน้า ^^
 
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ1[17/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-08-2017 02:58:18
ทำไมโชกุนทำอะไรก็ดูน่าย่ำยีตลอดคะ ดูเป็นสีขาวที่ทำให้แปดเปื้อนกี่ครั้งก็กลับมาขาวบริสุทธิ์ได้ตลอด ลูกมากก อยากบีบ ฮื่อออ ดีใจกับน้องโช ขอบคุณซันที่เข้ามาฉายแสงให้ชีวิตของน้องมีชีวิตชีวาขึ้นมา ฮือออ เราอินกับฉากนี้มาก คิดว่าถ้าเป็นคนอื่นคงไม่อินขนาดนี้ แต่พอนี่เป็นซัน คนโดนของอ่ะ พอแต่งงานแล้วนี่แบบเชื่อสนิทใจเลย ยอมใจในความรักความหลง โชกุนลูกแม่จะต้องมีความสุขทุกๆวันนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ1[17/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Numai ที่ 18-08-2017 20:13:28
จะมี E-book ไหมคะ

อยากได้.....

 :mew3:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : ตอนพิเศษ 2 [20/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 20-08-2017 01:10:59
ตอนพิเศษ : 2

   
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้เวลาเดิมของทุกวันส่งเสียงดังขึ้นมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะดับไปด้วยฝีมือของคนในอ้อมกอดผมที่ขยับตัวยุกยิก ส่งเสียงงัวเงียอยู่พักหนึ่งก่อนจะต้องลุกจากเตียง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกเช้าจนผมจำได้แม้จะยังกึ่งหลับกึ่งตื่นไม่อยากลืมตา

...และจำได้ดีว่าก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดผมในทุกๆ วัน จะได้รับการทักทายยามเช้าเป็นสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงมาบนริมฝีปากแผ่วเบา

“อรุณสวัสดิ์ครับ” ตามด้วยเสียงกระซิบแสนหวานที่ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่ไออุ่นของร่างกายเปลือยเปล่าที่กกกอดไว้ทั้งคืนจะผละออกไป เรียกให้ผมปรือตาขึ้นมามองเจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่ลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง หาวหวอดใหญ่พลางบิดขี้เกียจไปมาอย่างน่าเอ็นดู

ยิ้มออกมาบางๆ ขณะมองตามทุกการเคลื่อนไหว จนกระทั่งคนตัวเล็กหายไปในห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว จึงปล่อยให้ตัวเองหลับต่อ รั้งรอจนได้ยินเสียงกระซิบอีกครั้งที่ข้างหู

“ซัน ตื่นได้แล้วครับ” หนังตาที่หนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังละล้าละลังยังไม่อยากตื่นเต็มตา พอผมไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ คุณนาฬิกาปลุกจำเป็นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางแกล้งถูปลายจมูกไปทั่วหน้าผมอย่างก่อกวน

“คุณชาย ตื่นเร็ว” สรรพนามที่ยกขึ้นมาล้อเลียนทำให้ผมหลุดหัวเราะตาม ก่อนจะเอาคืนด้วยการโอบแขนรอบเอวบางแล้วยกคนตัวเล็กกว่าขึ้นมานอนบนร่างตัวเองอีกครั้ง

“บอกให้เรียกคุณสามีไง” เรียกร้องคำสรรพนามที่เคยขอไว้ตั้งแต่หลังแต่งงานใหม่ๆ แต่ไม่เคยได้ยินสักที

“งั้นก็นอนต่อไปเถอะครับ” เจ้าของใบหน้าใสเอ่ยหน้าตาย ทำท่าจะลุกออกไปจนผมต้องรั้งอ้อมกอดไว้ ส่งเสียงเว้าวอน

“โห่ ตี๋~”

“ปล่อยครับ เสื้อยับ” แทนที่จะเห็นใจ คุณตี๋ของผมกลับยิ่งทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ แถมยกข้ออ้างประจำขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าต่อให้ยับไปทั้งตัวผมก็ยังจะกอดไว้อยู่ดี

แต่คนในอ้อมกอดยังคงนอนเกยคางบนอก มองหน้าผมนิ่งนานด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นมา มือสองข้างยกขึ้นมาประคองใบหน้าผมไว้ขณะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนๆ รินรดปลายจมูก คลอเคลียอยู่สักพัก... แล้วกดจูบลงมาแผ่วเบา

“ตื่นได้แล้วครับ... คุณสามี” กระซิบคำที่อยากได้ยินชิดริมฝีปาก พร้อมกับช้อนสายตาขึ้นมาสบตา ดูเหมือนจะใจกล้าทว่าแววตาเจือไปด้วยความเขินอาย ใบหน้าขาวใสกลับกลายเป็นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู

ในขณะที่ผม... เหมือนจะหยุดหายใจไปแล้วตั้งแต่ถูกเรียกว่าสามี

ให้ตาย... พอได้ยินจริงๆ ก็เสือกไปไม่เป็น หัวใจเต้นตึกตักจนน่ากลัวว่ามันจะวาย และคนตัวเล็กที่นอนทับอกอยู่ก็คงสัมผัสได้ถึงจังหวะที่เปลี่ยนไป ถึงได้ยิ้มบางๆ ออกมา

“หึ” บอกเลยว่ายิ่งทำสีหน้าแบบนี้ก็อย่ามาเรียกร้องให้ปล่อยซะให้ยาก

ดูนาฬิกาแล้วก็ยังพอมีเวลาซะด้วย...

พรึ่บ!

ผมจัดการพลิกตัวขึ้นมาคร่อมคนตัวเล็กที่ส่งเสียงร้องพลางเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่ไม่เปิดโอกาสให้ได้แย้งอะไรด้วยการปิดปากเอาไว้ด้วยริมฝีปากตัวเอง รบเร้าเนิ่นนานกว่าคนใต้ร่างจะโอนอ่อนผ่อนตาม ตอบรับด้วยสัมผัสแสนหวานที่เล่นเอาอารมณ์ที่เพิ่งถูกปลุกขึ้นมายิ่งลุกลาม

“คุณภรรยาครับ...” แกล้งเรียกกลับจนถูกย่นหน้าใส่ แต่ไม่ทันไรก็หลุดยิ้มอ่อนใจ ขณะที่ผมไล่สายตามองร่างบอบบางในชุดเตรียมออกไปทำงานเต็มยศแล้วอดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไปอีกครั้ง กระซิบชิดริมฝีปากล้อเลียน

“จะพยายามไม่ให้เสื้อยับแล้วกันเนอะ”






ชีวิตหลังแต่งงานของเราสองคนไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก เรายังตื่นพร้อมกัน กินข้าวเช้าพร้อมกัน ออกไปทำงาน และกลับมานอนเตียงเดียวกันในทุกๆ วัน จะต่างก็ตรงที่ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับมันเปลี่ยนไป จากที่แค่นั่งเรียนไปวันๆ ตอนนี้ผมกลายเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำงานอยู่บริษัทพี่เชน ในขณะที่คุณตี๋ของผมก็ได้เลื่อนขั้นเป็นคนดูแลร้านเต็มตัว จัดการแทบทุกส่วนแทนพี่โมที่กำลังจะเปิดร้านอีกสาขาหนึ่งนอกเมือง ข้อดีคือคุณเขาจะเข้ามาที่ร้านเมื่อไหร่ก็ได้ แถมไม่ต้องทำงานโต้รุ่งบั่นทอนสุขภาพร่างกายให้ผมเป็นห่วงเหมือนสมัยมหาลัย

แต่ก็ต้องหันมาเป็นห่วงเรื่องอื่นแทน...

“ขอโทษนะ รอนานไหม” ร่างบอบบางในเสื้อเชิ้ตตัวใหม่เรียบกริบละล่ำละลักขอโทษขอโพยยกใหญ่ แทบจะวิ่งลงจากรถไปหาใครอีกคนที่ยืนรออยู่หน้าร้านที่ยังไม่เปิดทำการ

“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง” เจ้าของร่างกำยำลุกขึ้นยิ้มรับ ผมนั่งมองอยู่สักพักก็ตัดสินใจเปิดประตูรถตามออกไปกอดคอคนตัวเล็กไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

“คนนี้เหรอลูกชายเฮีย” แกล้งเลิกคิ้วถาม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่ผ่านรูปถ่ายที่ไอ้ลูกหมานี่ส่งมาให้ผมทางไลน์
ตั้งแต่ได้ยินว่ามีเด็กส่งขนมคนใหม่มาแทนเฮียเจ้าของร้านที่เกษียณตัวเองไป ไลน์ติดต่องานก็แจ้งเตือนไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งที่ไม่เห็นมีอะไรต้องคุย ขนมก็เหมือนเดิม สั่งเท่าเดิมทุกวัน แถมที่สำคัญ รูปหน้าแม่งที่แนบมาพร้อมรูปขนมก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย

“สวัสดีครับ” ถึงท่าทางจะยังดูงงๆ แต่มันก็ยกมือไหว้ผมตามมารยาท มองพวกเราสลับกันสักพัก ก็ชะงักไปเมื่อสายตาหยุดอยู่แถวนิ้วที่สวมแหวนข้างเดียวกับอีกคน

เออ ผมตั้งใจกระดิกนิ้วให้มันเห็นเองอ่ะ

และถ้าตามันไม่บอด ก็คงเห็นด้วยว่าเหนือไหปลาร้าที่โผล่พ้นปกเสื้อที่ผมจงใจรั้งให้เผยขึ้นมา มีร่องรอยที่ผมฝากไว้เพื่อบอกว่า คนนี้ของกู

“ซัน ไม่รีบไปทำงานเดี๋ยวรถติดนะครับ” น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาทำให้ผมละสายตาจากไอ้ลูกหมา ก้มมองนาฬิกา กะเวลาคร่าวๆ แล้วคิดว่ายังทัน เลยหันมาจัดการเรื่องที่ยังค้างคา

“อยากกินลาเต้อ่ะ” ไม่ได้จะโวยวายอะไรหรอก เพราะรู้ว่ามันจะดูงี่เง่าเกินไป แค่อยากทำอะไรสักอย่างให้ไอ้ลูกหมานี่รู้ว่าเจ้าของเนื้อที่มันเล็งไว้กำลังระแคะระคายแล้วหนีไปก็เท่านั้น

“ทันเหรอครับ ยังไม่ได้เปิดเครื่องชงเลย” คนตัวเล็กเลิกคิ้วถาม

“อยากกินฝีมือตี๋” แต่ผมยังดื้อดึง จนคุณเขายอมก้มดูนาฬิกาบ้างก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

“งั้นเข้ามารอในร้านก่อนครับ ส่วนขนมยกเข้าไปวางที่เดิมได้เลยนะเดี๋ยวพี่จัดการเอง” ปิดท้ายด้วยการส่งยิ้มหวานให้ไอ้เด็กส่งขนมก่อนจะหันไปเปิดประตูเดินนำเข้าไปในร้านก่อน ขณะที่ผมหันมาสบตาไอ้ลูกหมาตัวโต แล้วยิ้มบางๆ

“กิจการเป็นไงบ้าง ตั้งแต่พ่อเลิกไปขายดีไหม” อันที่จริงก็ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นที่ต้องถาม แต่คิดไปคิดมาใส่ใจไว้บ้างก็ไม่เสียหาย

“ก็... ดีครับ แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจค่อยไม่ดี ลูกค้าก็หายไปบ้าง” มันตอบอึกอัก ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะแสดงน้ำใจด้วยการตบบ่าหนาเบาๆ

“เข้าใจๆ มีลูกค้าดีๆ ก็รักษาไว้นะ... กิจการที่พ่ออุตส่าห์สร้างไว้ ถ้ามาเจ๊งรุ่นเราก็คงน่าเสียดาย... เนอะ”

“...”

“เอาขนมวางไว้ก็ได้ เดี๋ยวพี่ยกเข้าไปให้เอง” สาบานว่าผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่มองหน้าผมหวาดๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าต้องการอะไร แต่อีกไม่นานก็คงเข้าใจเมื่อผมควักกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นนามบัตรให้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“มีอะไรก็ติดต่อพี่ได้นะ โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่เรื่องงาน... แชทผ่านไลน์ร้านมันคงไม่ดี”

“...” ดูจากสีหน้าตกใจ ก็คงเดาออกว่าผมรู้แล้วว่ามันทำอะไร

“แล้วก็อย่าทักมาดึกมากล่ะ... มันรบกวนเวลาส่วนตัว”

ไม่ได้ตั้งใจจะขู่ บอกแล้วว่าแค่อยากให้รู้ว่าระแคะระคาย... แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ไอ้ลูกหมาตัวโตยกมือไหว้ผมปลกๆ ก่อนจะเดินตัวปลิวกลับรถส่งขนมไป ผมยิ้มอย่างพอใจกับตัวเอง ก่อนจะยกกล่องขนมเข้าไปในร้าน พลางยิ้มประจบให้อีกคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ มองมาอย่างคลางแคลงใจ

“ทำอะไรครับ” ถามขึ้นมาทันทีที่ผมวางกล่องขนมไว้ที่เคาน์เตอร์ แถมเอาใจด้วยการแกะออกมาจัดเรียงในตู้ให้ระหว่างรอกาแฟ

“จัดขนมไง” ผมตอบหน้าตาย ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นมาก่อนจะถามใหม่

“ไปขู่อะไรน้องเขา” คราวนี้ผมหลุดหัวเราะ รู้ว่าปกปิดไม่ได้ก็ลุกขึ้นไปยืนซ้อนหลังแล้วกอดเอวบางไว้

“ไม่ได้ขู่” ทำน้ำเสียงออดอ้อนพลางเกยคางไว้บนไหล่ มองเจ้าของดวงตาเรียวที่มองกลับมาอย่างไม่เชื่อแล้วหลุดยิ้มอีกครั้ง “แค่อยากให้รู้ว่าไม่ชอบให้แชทมา”
   
“...”
   
“ก็คนมันหวง” พอเห็นสายตาดุๆ ผมเลยยิ่งอ้อน จนคนในอ้อมกอดส่ายหน้าเอือมๆ ก่อนจะย้ำความบริสุทธิ์ใจ
   
“มันไม่มีอะไรหรอกครับ ผมบอกไปตั้งแต่แรกว่าแต่งงานแล้ว ถึงเขามายุ่มย่ามผมก็ไม่คิดสนใจ” หมุนตัวกลับมาสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง

"ก็บางคนมันหน้าด้านไง" ผมเถียง ทำน้ำเสียงน้อยใจ ต่อให้ไว้ใจคนของตัวเองแค่ไหน แต่ไอ้พวกแมวขโมยเดี๋ยวนี้มันน่ากลัวจะตาย ใครจะไปกล้าทั้งปลาย่างไว้เฉยๆ กัน

"ผมดูแลตัวเองได้" คนดื้อยังคงทำน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมา "แล้วอีกอย่าง..."

ว่าพลางยกมือขึ้นมาดึงคอเสื้อของตัวเองลง เผยรอยสีกุหลาบอีกสองสามรอยที่ผมแอบทำไว้เมื่อเช้าแล้วมองอย่างคาดโทษกัน

“ทิ้งรอยไว้ทุกวันขนาดนี้... ใครๆ ก็รู้แหละครับ ว่าหวงมาก”

คราวนี้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง มองใบหน้าใสที่ขึ้นสีระเรื่อแล้วอดไม่ได้ที่จะงับแก้มใสเบาๆ กดจูบบนริมฝีปากบางพลางเอ่ยขำๆ

“คิดว่าเนียนแล้วเชียว”

เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเคย เลยหาวิธีแสดงความเป็นเจ้าของไว้อย่างแยบยล ใครจะไปรู้ว่าคุณเขาจะรู้ทันมาตั้งนาน แถมยังอนุญาตให้ทำสัญลักษณ์ไว้เงียบๆ ทุกวัน... โคตรน่ารักเลย





การไม่ได้เห็นหน้าเกือบทั้งวัน เล่นเอาผมแทบจะเฉาตาย ยังดีที่ออฟฟิศอยู่ห่างจากร้านไม่ไกล ช่วงกลางวันผมถึงแวะมาหาได้ ได้กินข้าวด้วยกัน ได้กินลาเต้รสชาติเดิมก่อนกลับไปทำงานใหม่ ถือว่าได้เติมกำลังใจระหว่างวัน เพราะยังถือเป็นช่วงเรียนรู้งาน หน้าที่ผมเลยไม่มีอะไรมาก นอกจากติดตามช่วยเหลือนายช่าง... ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร พี่รหัสสุดหล่อของผมนั่นเอง คนทั้งออฟฟิศเข้าใจว่าผมใช้เส้นสาย แต่เพราะเคยพิสูจน์ตัวเองไว้ตั้งแต่ตอนฝึกงาน ผ่านจุดที่ถูกเหม็นขี้หน้าไปแล้ว เลยไม่ค่อยกังวล

เอาเข้าจริงที่ถูกเข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะพนักงานใหม่อย่างผมได้รับงานจากวิศวกรที่เป็นอนาคตผู้บริหารบริษัทโดยตรงนี่ก็คงจะไม่ใช่โอกาสที่คนปกติเขาได้กัน แต่เพราะมันเป็นอย่างนั้นผมยิ่งต้องขยัน เรียนรู้งานให้เร็ว ให้สมกับที่พี่เชนไว้ใจ ตักตวงทุกอย่างที่พี่เขาโยนให้เพื่อพัฒนาตัวเอง แล้วลบคำสบประมาททั้งหลายทั้งมวลด้วยผลงาน
ซึ่งไอ้ที่ยากน่ะ ไม่ใช่ตรงนั้นเลย แต่เป็นอีกงานที่ต้องรับมือต่างหาก

[ เดี๋ยวพรุ่งนี้คงมีคนเอาเอกสารไปให้เซ็น แกเช็กให้ดีแล้วกัน อย่าให้พลาดเหมือนคราวที่แล้ว ] น้ำเสียงจริงจังที่ส่งผ่านปลายสายมาเล่นเอาผมที่เหนื่อยมาทั้งวันถึงกับกุมขมับ อยากจะงอแงกลับไปแต่รู้ว่าถ้าพี่ชายเข้าโหมดนี้เมื่อไหร่มีแต่ต้องตั้งใจฟัง

[ แล้วช่วงไฮซีซั่นฉันอยากให้แกเข้าไปเช็กความเรียบร้อยบ้าง เข้าใจใช่ไหม ]

“ครับ” ได้แต่ตอบรับด้วยคำเดิมๆ อย่างไม่อาจโต้แย้งอะไร ทั้งที่ในใจนี่อยากจะร้องไห้เต็มทน ปลายสายคงจับอารมณ์ผมได้ถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

[ เหนื่อยหน่อยนะ แต่ฉันต้องให้แกช่วยจริงๆ ] ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับไป

“ผมเข้าใจ” ภาระหน้าที่ที่พี่ซีแบกรับไว้มันหนักหนากว่าผมหลายเท่า รับมาแค่นี้ก็ถือว่าเอาแต่ใจมากแล้ว

[ ขอบใจมาก ] พี่ซีเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนนึกขึ้นได้ [ อ้อ แล้วเจ้าภูฝากบอกว่าเมื่อไหร่แกกับโชกุนจะกลับมาเยี่ยมบ้าน รบเร้าอยู่ทุกวันว่าอยากเจอ ]

“อยากเจอผมเหรอ” ผมถามกลั้วหัวเราะซึ่งก็โดนตอกหน้ากลับมาทันควัน

[ อยากเจอโชกุน ]

“โห่” แกล้งโอดครวญ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาอีหร็อบนี้ ตั้งแต่มีคนโปรดคนใหม่ หลานก็ลืมหน้าผมไปแล้ว

“ยังมีอะไรต้องคิดถึงอีกครับ เล่นคอลมาแทบทุกวัน” ว่าแล้วก็หันกลับไปมองคนที่กำลังเฟซไทม์อยู่กับหลานอย่างสบายใจอยู่บนโซฟา มองใบหน้ายิ้มแย้มแล้วนึกอิจฉาขึ้นมาที่ถูกแย่งเวลาไปชั่วโมงกว่าเข้าให้แล้ว

[ แกก็กลับมาหาหลานบ้างแล้วกัน ได้เจอสักครั้งคงเลิกงอแงให้คอลหาบ้าง ] พี่ซีพูดขำๆ แต่จะเชื่อได้เหรอ ผมว่ามีหวังได้ติดยิ่งกว่าเดิม เกิดคอลมาทุกวันผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่ากันพอดี

[ แค่นี้ก่อนแล้วกัน ฝากทางนั้นด้วย ]

“ครับ” ผมรับคำก่อนที่พี่ซีจะตัดสายไป ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมา สูดอากาศบริสุทธิ์นอกระเบียงอีกรอบ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปหากำลังใจที่ยังติดพันอยู่กับเจ้าตัวเล็กที่คุยจ้อไม่หยุดเรื่องที่โรงเรียน

เมื่อก่อนเวลาติดต่อกลับไปที่บ้านผมก็จะได้เฟซไทม์คุยกับหลานอยู่บ้าง แต่อยู่ๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนที่ผมโทรไปคุยเรื่องงานกับพี่ชาย เจ้าตัวเล็กก็โผล่มางอแงเรื่องที่พี่ซีไม่ยอมซื้อเกมใหม่ให้เพราะเพิ่งซื้อไป พอเห็นว่าผมยุ่งอยู่ก็หันไปเรียกร้องความสนใจจากอีกคน จนคุณเขายอมคอลไปหา แล้วไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหนหลานถึงยอมฟัง แถมหลังจากนั้นยังหาเรื่องคอลมาแทบทุกวัน คุยหงุงหงิงกันอย่างกับแฟนอีกคนจนผมชักจะหึงแล้ว

“ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้วครับ”

[ ครับ ]

ว่าง่ายขนาดไหนก็ดูเอาแล้วกัน

“ฝันดีครับ”

[ อาโช~ ] ทำน้ำเสียงออดอ้อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้จอ ทำปากจู๋เรียกร้องให้คนทางนี้ขยับหน้าเข้าไปเหมือนกัน

แต่จูบผ่านจอมันจะไปฟินอะไร ผมเลยหวังดีทำแทนให้ด้วยการโน้มตัวข้ามโซฟาไปฝังจูบลงบนแก้มใสฟอดใหญ่จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงหันกลับมามอง

[ อาซัน! ] แต่คนโวยวายกลับเป็นอีกคนที่คงเห็นช็อตเด็ดเข้าจังๆ เลยทำสีหน้ากระเง้ากระงอดน้อยใจที่ตัวเองอยู่ไกลจนอดฟัดแก้มนุ่มจริงๆ

ผมแกล้งหัวเราะสะใจ ก่อนจะกระโดดข้ามพนักโซฟาไปนั่งซ้อนหลัง กอดคนตัวเล็กไว้ พลางยื่นหน้าข้ามไหล่ไปหาคนที่ตีหน้ามุ่ยอยู่ในจอแล้วเอ่ยอย่างคนชนะ

“นอนไปเลยเด็กนก” ดูหน้าก็รู้ว่าอยากโวยวาย แต่เพราะรับปากไว้ว่าจะนอนเลยทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็บอกฝันดีอีกครั้งแล้วจบการสนทนาไป

ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปปิดหน้าจอ ขณะที่คนในอ้อมกอดเอียงหน้ากลับมาหรี่ตามองเอือมๆ “แกล้งเด็กสนุกไหมครับ”

“ก็นิดนึง” ผมตอบขำๆ พลางกดจูบลงไปบนขมับ ไล่ริมฝีปากลงมาจนถึงซอกคอขาว ซุกไซ้ซึมซับกลิ่นสบู่จางๆ ที่ทิ้งไว้บนร่างกายอบอุ่นที่ทำให้ผมหายเหนื่อยทุกๆ วัน แค่ได้โอบกอดกัน

“เหนื่อยไหมครับ” ยิ่งได้ยินคำถามด้วยความเป็นห่วงก็ยิ่งเหมือนยาชูกำลัง ต่อให้เหนื่อยจนร่างพังแค่ไหนก็บรรเทาได้ในทันที

“เมื่อกี้เหนื่อย แต่ตอนนี้หายแล้ว” ผมว่าพลางเอนตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟาตัวใหญ่ รั้งร่างของอีกคนมานอนก่ายไว้ แนบร่างกายทุกส่วนเข้าด้วยกันอย่างต้องการไออุ่น ซึ่งคุณเขาก็ไม่ได้คัดคาดอะไร ขยับท่านอนจนสบายพลางโอบผมกลับอย่างเอาใจ

เราปล่อยให้เวลาผ่านไปพักใหญ่โดยไม่มีใครเอ่ยอะไร แค่ซึมซับไออุ่นของกันและกันไว้ราวกับกำลังชาร์ตพลังงาน ผมซุกจมูกสูดผมหอมพลางไล้นิ้วไปตามแผ่นหลังบาง มืออีกข้างแทรกอยู่ในเส้นผมหนาลูบไปมาเพลินๆ

“ซัน” เนิ่นนานกว่ามีคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา คนตัวเล็กเอื้อมมือมาจับมือข้างที่เล่นหัวตัวเองอยู่ออกไป สอดนิ้วของตัวเองเข้ามากระชับมือผมไว้แล้วถามเสียงเบา “ซันอยากมีลูกไหมครับ”

เป็นคำถามที่ทำเอาผมเลิกคิ้ว เพราะไม่เคยคิดถามตัวเองมาก่อน และไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ถึงถาม แต่ก็ตอบออกไปทันควัน

“ไม่อยาก” พอได้ยินคำตอบคนในอ้อมกอดก็เงยหน้าขึ้นมาหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อกัน

“ไม่ต้องมาตอบเอาใจเลย”

ผมหลุดหัวเราะ กดจูบลงไปที่หน้าผากอีกครั้งอย่างมันเขี้ยวก่อนจะยืนยัน “ไม่อยากจริงๆ”

รู้ดีว่ามันไม่ใช่คำตอบเอาใจ ไม่ใช่เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ถึงได้พูดออกไป แต่เป็นเพราะพอพิจารณาดีๆ แล้วผมรู้สึกว่าการมีลูกมันยุ่งยากเกินไป แค่ที่ผ่านมาได้ช่วยเลี้ยงเจ้าสองแสบเป็นครั้งคราวก็เล่นเอาผมปวดหัวแทบตาย

แล้วอีกอย่าง...

“อยากอยู่สองคนแบบนี้ไปเรื่อยๆ มากกว่า” เอ่ยด้วยสายตาจริงจังพร้อมกับยิ้มกว้าง เรียกให้อีกคนยิ้มตามก่อนจะเบือนหน้าหนีแนบแก้มลงกับอกผมอีกครั้ง

“แต่ผมอยากมีนะ”

“หืม?” ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะรั้งร่างบอบบางขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันแล้วแกล้งขมวดคิ้วถาม “จะนอกใจผมไปหาผู้หญิงที่ไหนครับ”

พอได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็หลุดหัวเราะ ส่ายหน้าเอือมๆ เหมือนผมกำลังพูดเรื่องไร้สาระ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจ้องหน้าผมนิ่งนาน

“ผมอยากให้มีซันอีกคน...” ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกลี่ยแก้มกันเบาๆ พลางสบตาผมด้วยแววตาที่ทำให้หัวใจที่เคยสงบเต้นรัวขึ้นมา

“คนที่ใจดี แล้วก็น่ารัก... เหมือนซันของผม” ยิ่งเห็นรอยยิ้มบางๆ ประดับมุมปาก ผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่า ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากอย่างอดใจไม่ไหว พลิกตัวกลับมาเป็นฝ่ายคร่อมคนตัวเล็กไว้ ช่วงชิงลมหายใจอยู่นานกว่าจะผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งพลางกระซิบชิดริมฝีปากบาง

“น่ารักไปป่ะครับคุณน่ะ”

อดตัดพ้อในใจไม่ได้ ว่าทำไมคนคนเดิมถึงทำให้ผมตกหลุมรักใหม่อยู่ได้ทุกวัน








---------------------------------------------------------------
เจ้าซันแอบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น (มั้ยนะ?) แต่ก็ยังหลงตี๋หัวปักหัวปำเหมือนเดิม อาจจะหลงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ  :hao7:
เราไม่อยากเขียนลงลึกเรื่องชีวิตการงานมากนัก เพราะอยากคงธีมคนหลงเมียติดห้องไว้ 5555
อาจจะเล่าผ่านๆ นิดนึง ถ้าไม่สมจริงหรือผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า ^^
ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ2[20/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-08-2017 17:24:26
เหม็นความรักที่สุดดดดดด  :hao7:
หัวข้อ: Re: [Hermit Books] Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ1[17/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 20-08-2017 20:27:04
จะมี E-book ไหมคะ

อยากได้.....

 :mew3:

ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าจะมีไหม ต้องขึ้นอยู่กับทางสนพ.น่ะค่ะ ;^;
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ2[20/08/2560 ]:P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-08-2017 03:15:12
โอ้ย~~~ มันอิ่มอุ่นไปทั้งหัวใจ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ3[24/08/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 24-08-2017 16:36:16
ตอนพิเศษ : 3

   
ดูเหมือนว่าการโหมงานหนักตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาจะเล่นงานผมเข้าให้แล้วจริงๆ
   
จากที่คิดว่าตัวเองแข็งแรง ป่วยยาก ร่างกายทำด้วยเหล็ก จนเผลอปล่อยปละละเลยไปพักใหญ่ สุดท้ายกลับโดนหวัดโง่ๆ เล่นงานเข้าจนได้ ด้วยความที่ตอนแรกมีแค่ไอกับน้ำมูกไหลเลยคิดว่าคงไม่เป็นไรมาก เลยฝืนสังขารไปออกไซต์มาเมื่อวาน ใครจะไปคิดว่าตื่นเช้ามาจะปวดหัวหนัก แถมไข้ขึ้นจนไปทำงานไม่ไหว
   
โชคดีที่ไม่เอาไข้ไปติดอีกคน
   
“อืม ยังไงตอนเย็นพี่จะเข้าไปอีกที ขอบใจมาก” คิดถึงก็มาพอดี 

ผมหรี่ตาที่หนักอึ้งขึ้นมามองคนตัวเล็กที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับชามข้าวต้มหอมฉุยขณะที่มืออีกข้างถือโทรศัพท์แนบหู คุยธุระกับเด็กที่ร้านเสร็จก่อนที่จะก้าวเข้ามาข้างเตียง วางชามข้าวต้มบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ ผม
   
“เป็นยังไงบ้างครับ” เอ่ยถามพลางวางทาบมือลงมาบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ คลี่ยิ้มบางที่มุมปากเมื่อรับรู้ว่าอาการไม่หนักเท่าเมื่อเช้าที่ไข้ขึ้นจนต้องบังคับให้ไปหาหมอ

“หายปวดหัวแล้ว” ผมยิ้มตาม บอกอาการให้อุ่นใจพร้อมกับดึงมือบางลงมาทาบแก้มตัวเองอย่างออดอ้อน ขณะที่เจ้าของนิ้วเรียวเกลี่ยแก้มกันสักพัก ก็ผละออกไป

“กินข้าวก่อนนะครับ จะได้กินยา” ว่าพลางขยับหมอนมารองหลังให้ผมที่ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงอย่างรู้งาน คนตัวเล็กหันไปหยิบชามข้าวต้มขึ้นมาคนพลางเป่าให้หายร้อนสักพักก็ตักมาจ่อปากผมที่อ้าปากรับอย่างว่าง่าย

อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นคุณเขาตั้งอกตั้งใจเป่าข้าวต้มให้หายร้อนเพื่อป้อนกันโดยไม่ต้องขอสักคำ

“ยิ้มอะไรครับ” พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นสีหน้าผมก็เลิกคิ้วประหลาดใจ ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะอ้าปากรับข้าวต้มคำใหม่ ทำเป็นเคี้ยวถ่วงเวลาขณะมองดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแล้วหลุดยิ้มกว้างกว่าเดิม

“ชักอยากป่วยนานๆ แล้ว”

“หือ?”

“จะได้มีคนเอาใจ” พอได้ยินคำตอบ มือที่กำลังคนข้าวต้มก็ถึงกับชะงักไป ก่อนจะส่ายหน้าหน่ายๆ ป้อนข้าวต้มให้อีกคำแล้วเอ่ยย้ำคำพูดตัวเอง

“เคยบอกแล้วไง ว่าถ้าซันป่วยผมจะดูแลเอง”

ถึงจะจำได้ขึ้นใจ แต่พอได้ยินอีกครั้งมันก็อดดีใจออกนอกหน้าไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่ามีไข้ ผมคงยื่นหน้าเข้าไปจูบให้หายมันเขี้ยวสักที แต่อีกคนคงจับได้ว่ากำลังคิดอะไร ถึงได้ยิ้มอ่อนใจ

“แต่ป่วยแล้วจูบไม่ได้นะครับ” ยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดริมฝีปากผมเบาๆ ไม่แน่ใจว่าเช็ดคราบข้าวต้มที่เลอะให้หรือว่าต้องการจะยั่วให้ผมอยากหาย ถึงได้ยิ้มหวานจูงใจพร้อมกับเอ่ยประโยคที่จำได้เหมือนกันว่าตัวเองเคยพูดไว้ ตอนที่ขอร้องให้คุณเขาหายป่วยสักที

“เพราะงั้น หายได้แล้วครับ เป็นห่วงจะแย่แล้ว”

ให้ตาย... ต้องทำยังไงถึงจะหายป่วยได้ เดี๋ยวนี้เลย





ถึงไข้จะลดแล้ว ก็ใช่จะหายภายในวันเดียว ผมเพลียจนได้แต่นอนเป็นผักอยู่บนเตียงทั้งวัน แต่ก็หลับไม่สนิทเพราะครั่นเนื้อครั่นตัว แถมไอ้อาการเจ็บคอกับไอนี่ก็โคตรน่ารำคาญ จนอยากจะตัดคอตัวเองทิ้งแม่งมัน

“ซัน เช็ดตัวหน่อยนะครับ” ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกข้างหู

“อืม...” ส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะบิดตัวงัวเงียอยู่สักพักจึงลืมตาลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง คนตัวเล็กกว่าขยับเข้ามาปลดกระดุมเสื้อที่ใส่อยู่ออกให้เพื่อเช็ดตัว

“ยังปวดหัวไหมครับ” ถอดเสื้อให้ผมเสร็จก็ยกหลังมือแตะลงมาบนหน้าผากและลำคอ

“ไม่แล้ว” ผมยิ้ม ถูใบหน้าเข้ากับมือที่แนบอยู่บนแก้มอย่างออดอ้อน

เห็นคุณเขาต้องมาคอยดูแล หาข้าวหายาให้ แถมนั่งเฝ้าผมด้วยสีหน้าเป็นห่วงทั้งวันแล้วรู้สึกผิดจะแย่ โคตรไม่ชอบที่ตัวเองอ่อนแอจนเป็นภาระให้อีกคนแบบนี้

“เหนื่อยป่ะ” ผมถามขณะมองเจ้าของมือบางใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดไปตามร่างกายให้อย่างเบามือคล้ายกับว่ากลัวผมจะเจ็บ คนตัวเล็กเลยช้อนสายตาขึ้นมาสบตาก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“เหนื่อยอะไรครับ” ผมดึงเอวบางให้ขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ซบหน้าลงกับไหล่แล้วกระซิบพึมพำ

“เหนื่อยที่ต้องดูแลคนป่วยไง”

ชะงักไปสักพักก่อนจะตอบด้วยคำถาม “แล้วซันดูแลผมเหนื่อยไหมครับ”

เป็นคำถามที่ทำให้ผมชะงักไปเหมือนกัน เงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาเรียวสักพักก่อนจะให้คำตอบอย่างง่ายดาย

“ไม่อ่ะ” คนตรงหน้ายิ้มกว้าง หันไปวางผ้าชุบน้ำที่ใช้แล้วลงบนกะละมัง ก่อนจะให้คำตอบเดียวกัน

“ผมก็ไม่เหนื่อย” สบตาด้วยความจริงใจ ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายที่สะท้อนขึ้นมาจากความรู้สึกของตัวเอง
ตอนนั้นผมรู้สึกยังไง ตอนนี้คุณเขาก็คงรู้สึกเหมือนกัน... เราไม่เคยคิดว่าอีกคนเป็นภาระ ตรงกันข้าม กลับอยากดูแลเหมือนเป็นร่างกายตัวเอง

“ไม่เหนื่อย แต่ทรมานเหมือนกันเนอะ” ย่นหน้าลำบากใจ พลางขยับเข้ามาใกล้เพื่อกอดผมไว้ ซบหน้าลงกับไหล่จนลมหายใจอุ่นๆ คลอเคลียอยู่กับซอกคอ “อยากป่วยแทนจัง” 

ผมหลุดหัวเราะ แล้วกดจูบลงไปบนขมับหนักๆ สักทีด้วยความมันเขี้ยว

“ทีนี้เข้าใจหรือยัง... ว่าเวลาตัวเองป่วย คนเป็นห่วงเขาก็ทรมาน” ก่อนหน้านี้ผมเป็นฝ่ายดูแลก็เลยเข้าใจ และคิดว่าตอนนี้คุณเขาก็คงเข้าใจแล้วเหมือนกัน ว่าไม่ว่าจะต้องเห็นอีกคนไม่สบาย หรือเป็นฝ่ายไม่สบายซะเองมันก็รู้สึกแย่ทั้งนั้น

“เพราะงั้นไม่ป่วยบ่อยแล้วนะ โอเคไหม”

“ครับ” พยักหน้ารัวๆ เหมือนเด็กที่ถูกบอกว่าอย่าทำผิดอีกยังไงยังงั้น

ผมหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง พลางกระชับอ้อมกอดแน่นจับคนที่ซุกหน้าอยู่กับไหล่โยกไปมาอย่างหมั่นไส้ ทดกับตัวเองในใจไว้ว่าถ้าหายป่วยเมื่อไหร่จะจับฟัดให้สมกับที่มาทำตัวน่ารักใส่ผมอยู่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน




หลังจากเช็ดตัวและให้ยาก่อนนอนผมเสร็จ คนตัวเล็กก็ขึ้นมานอนบนเตียงอีกฝั่ง ทั้งที่ผมบอกว่าคืนนี้อยากให้นอนแยกห้องกัน แต่คุณเขาก็ยังต่อรองด้วยการบอกว่ารอให้ผมหลับก่อนแล้วจะออกไป เราไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนมองหน้ากันอยู่นาน หลุดยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแบบนี้มาพักใหญ่ เพราะต่างคนต่างก็ต้องทำงาน ยิ่งช่วงหลังๆ ผมเริ่มออกไซต์บ้างก็เลยยุ่งกว่าปกติ บางทีต้องกลับบ้านทีหลัง หรือบางวันก็ไม่ได้กลับเพราะต้องตามพี่เชนไปต่างจังหวัด เพราะงั้นต่อให้วันนี้ทั้งวันผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนเป็นผักให้อีกคนคอยดูแล แต่ผมก็ถือว่ามันเป็นวันที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อยากซึมซับมันไว้ อยากให้เวลาหมุนช้าลงอีกนิดเพื่อมองใบหน้าและรอยยิ้มที่แสนน่ารักนี้ให้นานกว่าเดิมสักหน่อย แต่คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่กินไป สุดท้ายผมถึงพยุงหนังตาไว้ไม่ไหว และเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ได้สติอีกทีก็ตอนที่แสงอาทิตย์ลอดผ้าม่านเข้ามากระทบเปลือกตา ผมตื่นขึ้นมาและกำลังตั้งท่าจะบิดขี้เกียจแต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงโอบรัดรอบศีรษะหลวมๆ ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าคนที่รับปากว่าจะรอจนผมหลับแล้วออกไปดันขยับเข้ามาใกล้ สอดแขนมาให้หนุนต่างหมอน พร้อมกับดึงใบหน้าไปซบกับแผ่นอกบาง แอบกอดกันไว้ทั้งคืนโดยที่ผมไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ดื้อจัง” ผมบ่นทั้งที่ริมฝีปากคลี่ยิ้มที่รู้ว่าอีกฝ่ายติดผมขนาดไหน

แต่จะว่าอะไรได้ ในเมื่อผมก็ติดคุณเขาไม่น้อยเหมือนกัน

เพราะแบบนั้นแทนที่จะผลักไส ผมกลับเลือกที่จะค่อยๆ ลอบลุกออกจากเตียงไป ค้นกล่องพยาบาลแล้วกลับมาใหม่พร้อมกับหน้ากากอนามัยสวมคาดปากไว้ ก่อนจะปีนขึ้นเตียงอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ... มองใบหน้าที่กำลังหลับใหลอย่างเอ็นดู ก่อนจะค่อยๆ สอดตัวเข้าไปในอ้อมกอดเล็กๆ และกำลังจะแกล้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ซัน...” ตกใจจนเกือบจะสะดุ้งตอนที่อยู่ๆ อีกคนก็พึมพำชื่อผมออกมา แต่ก็ทิ้งระยะไปนานจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเจ้าตัวยังหลับตาอยู่เลยรู้ว่าคงละเมอ ผมหัวเราะเบาๆ ซุกหน้าลงกับอกอุ่นๆ แล้วหลับตา แต่จังหวะที่กำลังจะเคลิ้มหลับก็รับรู้ได้ว่าคนตัวเล็กขยับตัว อ้อมแขนเล็กๆ โอบกอดผมไว้แน่นขึ้น พร้อมกับสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงมาบนหน้าผากครั้งหนึ่ง ตามด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา...

“ผมรักซันนะ” 

พนันได้เลยว่าตื่นมาอีกทีผมจะหายดี... ด้วยถ้อยคำที่เป็นยิ่งกว่ายาแก้ไข้ทุกขนานที่เพิ่งกินไป...


--------------------------------------------------------------
ทั้งที่เป็นตอนสุดท้ายที่จะอัพ แต่ดันสั้นจิ๊ดเดียว ฮืออ ขอโทษด้วยค่ะ เป็นตอนที่ไม่อยากให้เลิฟซีนใดๆ มากลบจริงๆ  :hao5:
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยฟังเพลงคู่ชีวิต ของ Cocktail
มันมีท่อนนึงที่เรามักจะนึกถึงเป็นท่อนแรก และร้องได้แค่นั้น
ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี... (ใช่ค่ะ เราร้องได้แค่นี้ 55555)
เราว่ามันเป็นเพลงที่เข้ากับชีวิตคู่ของสองคนนี้ดีนะ
ขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดตอนนี้ขึ้นมา ^^

ไม่รู้จะต้องย้ำอีกกี่รอบถึงจะสมกับที่อยากจะขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันถึงตอนนี้นะคะ
ขอบคุณที่รักโช เอ็นดู (ปนหมั่นไส้) เจ้าซัน 55555
ทุกฟีดแบ็กที่ส่งกลับมาเราได้รับและทำให้มีกำลังใจเขียนต่อมาจนจบจริงๆ ค่ะ
ขอบคุณมากๆ หลังจากนี้ก็มารอเล่มด้วยกันเนอะ ^^


รัก
-Martian-
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ3[24/08/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-08-2017 17:44:08
ตาลุกเป็นไฟแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ3[24/08/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ming88 ที่ 27-08-2017 21:43:52
สนุกมากๆเลย ขอบคุณมากค่ะ ชอบซันจัง   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ3[24/08/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-08-2017 17:41:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: makok_num ที่ 21-09-2017 20:24:58
ตอนพิเศษ : 4

[Shogun's Part ]
   
ผมเคยถามตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่ามันจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่กันนะ... ความรักที่เรามีให้กัน เมื่อไหร่กันที่มันจะจืดจางจนไม่เหลืออะไรเลย
               
สักสิบปี... ยี่สิบปี... หรือแม้กระทั่งปีเดียวก็ไม่อาจผ่านพ้นไป
ขอโทษที่นิสัยเสียๆ มันติดตัวมานาน ถึงทำให้ลึกๆ ในใจผมยังคงหลงเหลือความกลัวแสนงี่เง่าแบบนี้อยู่อย่างไม่รู้จะแก้ยังไง แต่ผมมั่นใจว่ามันกำลังลดลง... และเชื่อเถอะว่าผมกำลังจะทำให้มันหายไป ไม่สิ... จะบอกว่าเป็นฝีมือของผมคงไม่ได้ ในเมื่อคนที่ทำให้มันหายไปจริงๆ ก็คืออีกคน... ที่ขยันเติมความเชื่อมั่นลงมาในใจ จนทำให้คำถามนั้นมันค่อยๆ หายไป จากที่เคยถามทุกวัน ก็กลับกลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง... หนึ่งเดือน จนกระทั่งผมเลิกให้สาระกับมัน
ของแบบนั้นจะเกิดขึ้นตอนไหนใครจะรู้กัน อาจจะเป็นอนาคตแสนไกล หรือบางทีมันอาจจะจบลงพรุ่งนี้ก็ได้... ช่างปะไร
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการที่ทุกวันนี้ผมยังได้อยู่ข้างเขา และมีความสุขมากๆ เท่านั้นก็พอ
               
“จะอาบน้ำก่อนไหมครับ” ผมถามพลางวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะทำงาน มองคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานที่คนของรีสอร์ตทิ้งไว้ให้อย่างเห็นใจ
               
พอใกล้ช่วงไฮซีซั่นดูเหมือนจะมีหลายส่วนที่ต้องจัดการ รายงานปรับปรุง กับรายละเอียดค่าใช้จ่ายยาวเหยียดถูกส่งมาให้ซันเช็กทันทีที่เขากลับบ้าน ทั้งที่ควรจะได้พักหลังจากทำงานมาทั้งวันกลับยังต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำอีกงาน
               
“ขออ่านอันนี้อีกแป๊บหนึ่ง” แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่สบตาผม เขาก็ยังส่งยิ้มให้ทุกครั้ง ราวกับอะไรบางอย่างในตัวผมมันทำให้เขามีพลัง
               
อะไรนะ... อยากรู้จัง
               
แต่ใครจะกล้าถาม...
               
“ผมช่วยไหมครับ” ผมบอกพลางหยิบแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งขึ้นมา เป็นรายงานบัญชีที่ผมคิดว่าน่าจะพอช่วยอะไรได้พอดี ผมยืนอ่านเอกสารในมือไปทีละหน้า อ่านทีละบรรทัดอย่างรอบคอบแล้วกลับมาเช็กซ้ำอีกที ก่อนจะวางลงบนโต๊ะให้เขาแล้วสรุปให้เขาฟัง
               
“อันนี้เป็น...หือ?” พูดได้ไม่กี่คำก็ชะงักไป เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วตั้งคำถามให้คนที่กำลังนั่งเท้าคางมองกันด้วยสายตาคล้ายจะขบขันปนมันเขี้ยว ก่อนที่คนขี้แกล้งจะเอื้อมมือมาคว้าเอวผมไปนั่งตักแล้วกัดลงมาบนใบหูเบาๆ
               
“น่ารัก” คำชมนั่นคงจะทำให้หน้าร้อนๆ ของผมขึ้นสีจัดอย่างไม่ต้องสงสัย
               
ทั้งที่คิดว่าควรจะชินได้แล้ว เพราะมากกว่านี้ก็เคยทำ แต่ผมกลับยังหวั่นไหว หัวใจเต้นแรงกับสัมผัส และคำชมเล็กๆ น้อยๆ ของเขาราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกทุกคราวอย่างน่าอาย
               
“เดี๋ยวผมอ่านให้ฟังแล้วซันรอเซ็นแล้วกันนะครับ” แถมยังใช้มุกเดิมๆ ตีหน้าบึ้งแกล้งเฉไฉทั้งที่รู้ว่าเขาจับไต๋ได้ตั้งนาน
               
“ครับคุณเลขาฯ” ซันหัวเราะแซวแล้วกดจูบลงมาที่แก้มฟอดใหญ่ 
ผมดันหน้าเขาออกอย่างหมั่นไส้ ปล่อยให้เขาย้ายมาซุกหน้าลงกับไหล่ขณะที่ผมอ่านข้อความในเอกสารให้ฟังช้าๆ ตั้งใจว่าจะให้เขาค่อยๆ พิจารณาแต่ดูท่าว่าเจ้าตัวฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะจมูกโด่งๆ เอาแต่ง่วนอยู่กับการซุกไซ้สูดดมไปทั่วไหล่และลำคอราวกับเป็นขนมที่เขาโปรดปรานแต่ต้องห้ามใจไม่ให้รับประทาน
             
“ตัดผมแบบนี้แล้วเซ็กซี่จัง” กระซิบพลางกดจูบลงมาตรงท้ายทอยที่โล่งขึ้นจากการตัดผมใหม่ ซ้ำยังไล้เลียจนผมสะดุ้งสุดตัว กำลังจะหันไปโวยวายใส่ แต่เมื่อเอาแฟ้มลงก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามือซุกซนกำลังวุ่นวายอยู่กับกระดุมเสื้อผมอย่างเบามือ
               
“ซนจังนะครับ” จัดการฟาดลงไปแรงๆ ทีหนึ่ง ตั้งใจว่าจะดุให้เข็ด แต่พอเห็นสีหน้ายิ้มกริ่มของเขาแล้วก็สู้ไม่ไหว
               
“รีบๆ ทำงานได้แล้ว” แล้วก็ได้แต่ตีหน้าบึ้งใส่ พลางไถหน้าผากตัวเองกับลำคอแกร่งอย่างงอแง
               
“โอเคๆ” ซันหัวเราะแล้วแกล้งยกมือยอมแพ้ กดจูบหนักลงมาบนกระหม่อมครั้งหนึ่งแล้วยอมปล่อยให้ผมเริ่มอ่านเอกสาร 

แต่เพียงไม่นานมือไม้ที่อยู่ไม่สุขก่อนหน้านี้ก็กลับมาพยายามวนเวียนแถวกระดุมเสื้อที่ยังไม่ถูกติดให้ดีจนผมต้องหันไปส่งสายตาตำหนิ ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือแฟ้มดึงมือเขาออก แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนมาประสานนิ้วผมไว้ หมุนแหวนแต่งงานเล่นไปมาสักพักก่อนจะยกขึ้นมาจูบซ้ำๆ ตั้งแต่ปลายนิ้วถึงข้อมือ

สุดท้ายผมก็หลุดหัวเราะกับความวอแวไม่เลิกของซัน ปล่อยให้เขาทำตามใจ แล้วหันมาโฟกัสกับเอกสารในมือใหม่... แม้มันจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ตาม ผมให้เวลาซันพิจารณาแล้วเซ็นเอกสาร ก่อนจะหยิบเล่มต่อไปขึ้นมาอ่าน ทำแบบนั้นซ้ำๆ จนกองเอกสารลดลงในเวลาไม่นาน
               
“อืม... อันนี้เป็นเอกสารรายงานเรื่องพนักงานที่ซันเคยจัดการไปแล้ว ผมว่า...” ผมชะงักอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำหนักตัวและจังหวะลมหายใจของเขาที่แปลกไป
               
“ซัน?” พอผมเรียกแล้วเขาไม่ขานรับก็ยิ่งแน่ใจว่าคนที่ใช้ไหล่ผมต่างหมอนอยู่คงเผลอหลับไป ทั้งๆ ที่อยู่ในท่าไม่สบาย
               
คงจะเหนื่อยมากจริงๆ
               
ผมปิดเอกสารในมือพลางหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วผมเองก็ชักจะง่วงเหมือนกัน แต่จะให้หลับไปทั้งยังไม่ได้อาบน้ำแบบนี้ก็คงไม่ไหว ยิ่งอีกคนยิ่งไม่ต้องสงสัย เห็นบ่นว่าไปออกไซต์มาทั้งอากาศร้อนๆ แบบนั้นคงจะอยากอาบน้ำกว่าผมซะอีก ว่าแล้วก็ค่อยๆ ขยับตัว ดึงมือออกจากการเกาะกุมของฝ่ามือหนาที่คลายออกแล้วลุกออกมาอย่างแผ่วเบา มองคนที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่กับโต๊ะทำงานแล้วจัดท่านอนให้เขาได้นอนสบายขึ้นสักพัก ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำมาเปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง ตั้งใจว่าอยากให้เขาได้นอนแช่สบายๆ เดินไปหยิบเทียนหอมกลิ่นที่ซันชอบมาจุดทิ้งไว้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายเผื่อจะช่วยให้หายเหนื่อยบ้าง
               
ผมจัดนู่นเตรียมนี่ไปเรื่อยพลางฮัมเพลงที่ติดจากร้านกาแฟมาโดยไม่รู้ตัว พอทุกอย่างเรียบร้อยจึงตั้งท่าจะหมุนตัวกลับไปเรียกคนที่หลับคาโต๊ะทำงานมาอาบน้ำสักที
               
“เพลงอะไรอ่ะ”
               
“...!”
               
แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับก็ถูกกอดหมับเข้าจากด้านหลังจนเผลอสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ผมขมวดคิ้วเอียงหน้าไปมองค้อนใส่คนขี้แกล้งที่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง แต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะเมื่อเขาไม่สะทกสะท้านอะไร แถมยังฮัมเพลงเลียนแบบผมด้วยสีหน้าจริงจัง
               
“โคตรคุ้นเลย เพลงอะไรนะ” ไอ้น้ำเสียงกระตือรือร้นนี่มันอะไร เมื่อกี้ยังเห็นหลับคอพับคออ่อนอยู่แท้ๆ
               
“ถ้าตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำครับ” ผมตีหน้ามึนไม่ตอบคำถาม ทำท่าจะแกะแขนกำยำที่กอดเอวอยู่ออกไป แต่เจ้าตัวกลับรัดแน่นกว่าเดิม ก้มหน้าลงมาแกล้งกระซิบผะแผ่วข้างหูด้วยประโยคที่ทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกจนได้
               
“อาบด้วยกัน”

“ไม่...อะ!” แถมยิ่งร้อนไปกันใหญ่เมื่อหมุนตัวกลับมาเพื่อผลักเขาออกแต่กลับพบว่าร่างสูงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า โดยที่ชุดทำงานถูกทิ้งเป็นซากไว้ตามทาง

หะ... ให้ตาย ทำไมถึง...

“อาบน้ำกันๆ” พอเห็นผมชะงักกระอักกระอ่วนเขาก็ยิ่งชอบใจ คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะรวบตัวผมไว้แล้วอุ้มขึ้นมาอย่างง่ายดายโดยที่ผมได้แต่ผวาร้องเสียงดัง

“ซัน! ไม่เอา!”

ผมไม่อยากโวยวายนักหรอก... ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยอาบน้ำด้วยกัน แต่ว่า... ทุกครั้งมันไม่เคยหยุดแค่อาบน้ำเลยไง... แล้ววันนี้เขาก็เหนื่อยมาทั้งวัน...

“เฮ้ย!” แต่ต่อให้ห้ามยังไงสุดท้ายผมก็แพ้จนได้ เมื่อคนขี้แกล้งจงใจปล่อยผมลงมาในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มจนเปียกไปทั้งตัว

“ต้องอาบแล้วล่ะ” พอแกล้งผมได้เจ้าตัวก็หัวเราะพอใจ ทิ้งตัวลงไปนั่งฝั่งตรงข้าม ยิ้มจนตาเป็นสระอิมองผมที่มุ่ยหน้าตาขวางกลับไป

“นิสัยไม่ดี” ผมพึมพำ แต่คนตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้านอะไร ยังคงเอนหลังพิงอ่างท่าทางสบายๆ ขณะที่ค่อยๆ หุบยิ้มจนเหลือแค่จุดเล็กๆ บนมุมปาก สบตานิ่งนานด้วยสายตาที่แสดงออกชัดเจนว่าต้องการอะไร

“หึ” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมหลุดหัวเราะออกมากับความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจของเขา ที่ทำให้ผมแพ้ราบคาบทุกที โดยเฉพาะดวงตาคมที่มองตรงมาอย่างซื่อตรงคู่นี้ซึ่งดึงดูดให้ผมขยับเข้าไปใกล้ มอบสิ่งที่เขาต้องการโดยไร้ข้อโต้แย้งใดๆ

[1]“It’s the simple things you do... I just can’t get enough of you...” ผมยืดตัวขึ้นนั่งคุกเข่าให้ร่างกายท่อนบนโผล่พ้นผิวน้ำ ค่อยๆ ยกมือแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางที่เปียกแนบร่างตัวเองออกช้าๆ แกล้งร้องเพลงถ่วงเวลาหลังจากแตะริมฝีปากลงไปครั้งหนึ่งแล้วผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

“It’s that perfume that you wear and the way you do your hair… that I love so much...” เนื้อเพลงที่เขาถามก่อนหน้านี้ถูกเอ่ยออกมาแบบแทบไม่มีทำนอง... ราวกับเป็นแค่ประโยคทั่วๆ ไป แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดวงตาคู่สวยเป็นประกายขึ้นมาด้วยความรู้สึกมากมาย

“And it’s the simple things you say… and how in bed we play…” กลับมายิ้มกว้างจนกลายเป็นหัวเราะเมื่อผมปลดกระดุมเสื้อจนถึงเม็ดสุดท้าย แล้วเปลี่ยนเป็นยกแขนขึ้นคล้องลำคอแกร่ง แกล้งคลอเคลียปลายจมูกเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่เงยขึ้นมารองรับการหยอกล้ออย่างเต็มใจ

“It’s the way you kiss my cheek when you think that I’m asleep... I love it so much...”

และเมื่อจบประโยคนั้นร่างของผมก็ถูกดึงเข้าไปแนบชิดอย่างหมดความอดทน ฝ่ามือหนากระชากเสื้อผมออกไป ริมฝีปากที่รั้งรอคลอเคลียอยู่พักใหญ่ถูกครอบครองจนไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก... นอกจากตอบรับสัมผัสที่ทำให้ร่างกายร้อนยิ่งกว่าอุณหภูมิของน้ำที่แช่อยู่

...และร้อนขึ้นทุกที

ไม่นาน... เสื้อผ้าทั้งหมดของผมก็ถูกปลดทิ้ง กลายเป็นซากกองอยู่ที่พื้น... พร้อมๆ กับความตั้งใจเดิมที่อยากจะให้เขาพักผ่อนอย่างเต็มที่ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย... ด้วยความปรารถนาที่ผมเองก็ไม่สามารถจะหยุดมันได้เช่นกัน




[1] The Simple Things - Michael Carreon


-----------------------------------------------------------------
ใครบอกว่าจะอัพตอนที่แล้วเป็นตอนสุดท้ายคะ ตีปาก
กลืนน้ำลายตัวเองเฉยจ้า พอดีว่าเพิ่งเขียนตอนพิเศษจบแล้วนึกได้ว่ายังไม่ได้อัพพาร์ทน้องโชกุนเลย
เลยแอบเอามาหยอดไว้อีกหนึ่งตอนค่ะ หวังว่าจะถูกใจ  :hao7:

ไหนๆ ก็จบแล้วอัพเดตนิดนึง เรื่องนี้มีตอนพิเศษ 8 ตอนนะคะ (พาร์ทซัน 4 โชกุน 4)
เหมือนจะเยอะ แต่ไม่ได้ยาวมากค่ะ รวมๆ แล้วไม่ถึง 40 หน้าเอสี่ 5555
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็จะได้ออกออกต้นปีหน้าเนอะ
ถ้ามีความคืบหน้ายังไงจะมาอัพเดตอีกทีค่ะ
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า


ขอบคุณค่า
- Martian -
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-09-2017 20:48:09
ฮื่ออออออ  อยากจะร้องไห้ ขอบคุณประสบการณ์ทุกอย่างที่ทำให้น้องมีวันนี้ นังซันรักหลงจนไม่กล้ามีใครแล้วววว โชกุนคือฮอตมากกก เหมือนไฟที่ค่อยๆแรงขึ้นเรื่อยๆไม่ได้ลุกพรึ่บแบบกะทันหัน น่ารักมากกก อยากเปย์  :ling1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: 1O019_ ที่ 21-09-2017 20:54:59
ดีใจมากที่มาอัพพาร์ทโชกุน
คิดถึงโชมากกกก
แล้วก็ชอบเพลงนี้มากกกก
รอเปย์นะคะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: 05th_of_06th ที่ 21-09-2017 23:16:59
ฮือออออออ ร้อนแรงอะไรเบอร์นั้นคะลูกโช งื้อออออออ ตัวเองก็หลงเค้าไม่ต่างกันเล๊ยยยย :o8:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: manami1155 ที่ 21-09-2017 23:32:00
โชกุนพอออกเรือนแล้วแซ่บขึ้นน้าาาา
ซันต้องเอาอะไรแบบนี้มาสอนแน่ๆ

ดีใจที่มีตอนพิเศษเพิ่มให้หายคิดถึงนะคะ
จะรอรวมเล่มอย่างใจจดใจจ่อเลยค่า
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-09-2017 23:39:41
 :-[
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-09-2017 11:31:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 22-09-2017 15:45:27
 :L2: o13
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: gibari ที่ 26-10-2017 16:05:39
ซันกับโชเนี่ย ทำให้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจมากๆเลยล่ะค่ะ
เป็นแบบอย่างความรักที่ดีมากๆ อย่างใครๆต่างก็อยากใฝ่ฝันที่จะมีชีวิตแบบนี้บ้าง

อ่านจบแล้วรู้สึกฟุ้งๆดีจังเลยค่ะ
นั่งกอดโทรศัพท์ไปซักพัก ให้จิตใจได้ซึมซับกับความน่ารักของทั้งคู่อ่ะ
ดีต่อใจ  :sad4:

ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: gibebk ที่ 30-10-2017 21:24:41
 :-[
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ #ซันโช : หลงตะวัน 4 [50%] [ 2/7/2560 ] : P.4
เริ่มหัวข้อโดย: iiamerror_ ที่ 07-11-2017 14:19:38
ตอนนี้แบบหวานละมุนละไมเหลือเกินพ่อคุณ นุ้งโชช่างน่ารักซะจริง มิน่าซันถึงทนไม่ไหวที่จะรักนุ้ง งืออออออ เขิน
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: lalun ที่ 08-11-2017 13:43:40
สนุกมากเลยค่ะ
พาร์ทหลงตะวันนี่ตายไปเล้ยยยย
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 17-12-2017 09:59:36
แอร๊ยยยยย

เพิ่งเห็นเรื่องนี้ พลาดไปได้ไง

มาเม้นไว้ก่อน เดี๋ยวตามอ่านทีหลัง มั่นใจฝีมือนักเขียนอยู่แล้ว สนุกแน่นอน :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 18-12-2017 22:52:33
ชอบมาก..กกกกกก อยากให้รู้  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Mamars ที่ 02-01-2018 18:50:41
เป็นเรื่องทีืน่ารักมากๆเลย อ่านแล้วไม่สะดุด ลงตัวพอดีค่ะ เราว่าในชีวิตจริงต้องมีคนรักกันแบบซันโช ไม่ได้มีแต่ในนิยายแน่ๆค่ะ :pig4: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 04-01-2018 16:07:13
เหม็นความรักของเขากับคุณเขาเหลือเกินนน โอ๊ยยยย อิจฉา
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-01-2018 14:46:24
ว่าคู่โน้นแซ่บแล้ว คู่นี้แซ่บเวอร์กว่าอีก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-01-2018 13:49:03
อื้อหือออ ร้อนแรงมาก ยิ่งชัดเจนยิ่งร้อนแรงนะคะ

โชมัดใจซันได้อยู่หมัดตั้งแต่ไม่ทัน ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งไม่รอดค่ะ
น่ารักมากเลยค่ะ ในที่สุดก็ผ่านความไม่แน่ใจกันมาได้ จนชัดเจน

โชน่าฟัดมาก กังวลแทนซันตลอด แต่ซันทำได้ดี
ความซื่อตรงสักทีของซัน ทำให้โชกุนพ่ายแพ้ และได้อยู่กับรักจริง
และความซื่อตรงของโชกุน ทำให้ซันก้าวข้ามความไม่ยอมรับในที่สุด

น่ารักมากค่ะ หวานกันทุกที่ทุกเวลา
โชกุนก็ช่างยั่วทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ซันก็อาการหนัก เห็นคนตัวเล็กทำอะไร ก็อยากจับฟัดไปหมด

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ สนุกมาก บอกเลย

หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: mjpnta ที่ 22-01-2018 02:48:18
อ่านแล้วอยากกรี๊ดดดดดดดดดด อยากมีซันเป็นของตัวเอง แงงงงๆ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 10-02-2018 09:23:50
ชอบมากๆน่ารักกก ทั้งคู่เลยยย /////
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 20-02-2018 10:03:43
สวัสดีค่ะตามมาจากเชนกับตรี  สำหรับคู่ซันกับโชนี้ให้ความรู้สึกละมุนละไมหวานๆเรื่อยๆคนละฟีลกับคู่เชนกับตรีจริงๆคู่นั้นอ่านไปก็อึดอัดไปแถมตอนดราม่าก็ทำเอาน้ำตาซึมไปด้วย  เราชอบพระเอกแบบซันนะชอบที่เขียนให้ซันสกินชิพกับโชบ่อยๆเราว่ามันทำให้เรารู้สึกได้ถึงความรักที่มีให้อีกคน  แล้วเราก็ชอบพาร์ทของโชมากๆมันดูเป็นไปได้จริงๆสำหรับความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่ไม่มากเกินไปหรือเป็นนายเอกจ๋ามากไปมันดูพอดีๆพอเหมาะ  สำหรับเรื่องนี้เราว่าคุณคนเขียนเขียนได้ดีขึ้นมากๆสำนวนการบรรยายก็ดีขึ้นแล้วก็ตอนncก็เขียนได้ดีค่ะมันให้ความรู้สึกรักหวานๆลึกซึ้งเหมาะกับคำว่าคู่ชีวิตดีค่ะคุณคนเขียนมั่นใจได้ค่ะว่ามันดีจริง  ขอบคุณมากนะคะแล้วจะรออ่านผลงานอื่นๆนะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 18-03-2018 20:54:02
 o18
กรี๊ดมากกกกกกกกกก ฟหกด อ่านรวดเดียวจบแรกๆค่อดหมั่นใส้เจ้าหมากากคนบ้าอะไรง่าวมากกกกก จนอยากไปสู่ขอน้องตี๋ น้องตี๋ก็น่ารักกกกคนอะไรน่ารักน่าฉุดจับปั้นเป็นก้อนกลมแล้วกลืนเข้าท้องขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักน่ารักค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: iNklaNd ที่ 23-03-2018 19:33:21
หลงเมียเบอร์แรงมากๆ ซัน
พอมารักน้องตี๋ นางเปลี่ยนไปเลย
แพ้ตี๋ราบคาบ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PuppyPp ที่ 10-04-2018 23:11:44
ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณไรท?เตอร์ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆขนาดนี้มามห้อ่านค่ะ

พล๊อตเรื่องดีมาก คาแรคเตอร์ของซันและโชกุนน่ารักมากกกกกกกกกกกก เหมาะวมกับนิยายฟิวกู๊ดที่สุด

ส่วนตัวคิดว่าซันเป็นพระเอกที่น่ารักมากๆ อาจจะไม่ใช่พระเอกพิมพ์นิยม แต่ได้ใจเราไปเต็มๆ ชอบบบบ ชอบคาแรคเตอร์แบบนี้

โชกุนก็เป็นเคะที่น่ารักมาก ไม่งี่เง่าเลย มีความมุ้งมิ้ง อ่านแล้วเอ็นดูสุดๆ

 :impress2:

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: por_pla4u ที่ 09-05-2018 00:15:13
คู่ซันโชนี่อบอุ่นละมุนตุ่นเชียว ฟิ้นฟิน  :hao3:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 08-07-2018 15:36:50
สนุกมากค่ะ. หวานมั่กๆๆๆ.  :กอด1:
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 21-08-2018 20:57:39
 :o8:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 05-09-2018 23:41:44
อยากได้แบบซันซักคน อิอิ
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 27-09-2018 19:56:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 23-11-2018 04:46:42
อบอุ่นมากกก  :o8: ซันโคตรดีอยากได้แบบนี้บ้าง!
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 24-07-2019 11:06:34
น่ารักกกกกก น่ารักมากกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากได้โชกุนเป็นของตัวเอง :hao7:
อิจฉาซันที่ได้หนุบหนับโชกุน อ้ะะะะะะะ :hao5:
หัวข้อ: Re: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Jely ที่ 11-04-2020 21:30:20
 :pig4: เพิ่งมีโอกาสได้อ่าน อยากบอกว่าซันโชน่ารักมากเลย 
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ