Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7  (อ่าน 102981 ครั้ง)

ออฟไลน์ theG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ลำไยยย หมั่นไส้คนมีฟามร้ากกกก  :katai4:
อ่านตอนนี้จบก็ยังค้าง แงง รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ QueenPlai

  • twitter - @khunhappymoon gmail - JangPlailiiz@gmail.com
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทำไมหวานกันได้ขนาดนี้ ฮืออ เขินนนน อ่านแล้วต้องอมยิ้มตลอดมันปวดแก้มนะ ฮือออ อยากได้ซันมาเป็นหมอนข้างไว้ที่บ้าน

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 2

               
ดูเหมือนจะมีคนยังไม่ชินที่ต้องมีคนอื่นนอนร่วมเตียง...
               
ทุกเช้าผมมักจะรู้สึกตัวเมื่อพบว่าอ้อมแขนของตัวเองว่างเปล่า ไร้ไออุ่นจากคนที่กกกอดไว้เมื่อคืน ลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าเจ้าของร่างบอบบางขยับออกไปนอนจ้องผมตาแป๋วเหมือนในเช้าวันนั้นด้วยแววตายากจะเข้าใจ
               
“ทำไมชอบหนีกู” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางดึงคนตัวเล็กเข้ามาใกล้
               
“เปล่าหนีนะครับ” ได้ยินเสียงตอบพึมพำขณะขยับเข้ามาในอ้อมกอดอย่างว่าง่าย
             
ไม่ต้องรอให้ผมถามหาคำอธิบาย เจ้าของใบหน้าใสก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง เอ่ยกระซิบคล้ายกับกำลังบอกตัวเอง
               
“แค่อยากมองให้แน่ใจ... ว่าไม่ได้ฝันไป”
               
ผมหลุดหัวเราะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก้มลงกดจูบที่หน้าผาก พลางกอดกระชับอ้อมแขนแน่นแกล้งก่ายขาให้มันกลายร่างเป็นหมอนข้างจำเป็น แล้วเอ่ยถามอย่างขบขันปนเอ็นดู 

“แล้วแบบนี้ไม่ชัดกว่าหรือไง”
               
พอได้คำตอบเป็นการพยักหน้าหงึกหงักผมก็หัวเราะพลางซุกจมูกลงกับกระหม่อม กดจูบ สูดกลิ่นแชมพูบนกลุ่มผมนุ่มที่แสนหลงใหล หลับตาซึมซับกลิ่นกายที่เสพติดซ้ำๆ เพื่อกล่อมตัวเองให้เข้าสู่นิทราอีกครั้ง

แต่ตอนที่กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ ผมกลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยของเหตุการณ์บางอย่าง... คลับคล้ายคลับคลาว่าหลายๆ ครั้งที่ผมมาอาศัยนอนสลบเหมือดอยู่ที่โซฟาหลังเลิกงาน... ก็มักจะรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าไอ้ตี๋กำลังยืนมองผมด้วยสายตาทำนองนี้เหมือนกัน

ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ

...แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าไม่ใช่แค่ฝันไป
 
               
ผมกับไอ้ตี๋ตารางเรียนไม่ตรงกัน ข้อนั้นเราต่างรู้ดี
               
เพราะเรียนเก็บหน่วยกิตมาจนเกือบครบแล้ว พอขึ้นปีสี่ผมก็เลยเหลือวิชาที่จำเป็นต้องเรียนอีกแค่สองตัว เป็นโปรเจ็กต์จบกับอีกหนึ่งวิชาเสริมที่ไม่ได้ซีเรียสอะไร ไอ้ตี๋เองก็เหลืออีกสี่ตัวมันเลยเข้ามหาลัยบ่อยกว่าผมที่เข้าคณะอาทิตย์ละไม่กี่ครั้ง
               
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มักจะตื่นพร้อมมันเป็นประจำ ตั้งแต่ยังไม่ได้คบกัน

ต่างกันตรงที่...
               
“มองอะไรครับ”
               
คราวนี้ผมไม่ต้องแอบมอง
               
ปกติเวลาที่มาค้างที่ห้องไอ้ตี๋ ผมจะรู้สึกตัวตอนที่มันลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ จัดการนู่นนี่ก่อนออกไปเรียน มันไม่ได้ปลุกผมหรอก แต่ผมแค่ชอบมองจนติดเป็นนิสัย ฟังเสียงการเคลื่อนไหวในห้องจากโซฟารับแขกจนรู้ว่ามันทำอะไรบ้างก่อนออกไป แล้วหลับต่อจนกระทั่งใกล้เวลาเรียนโน่นแหละถึงจะตื่น เพื่อเดินไปที่ครัวแล้วรอดูว่าแต่ละวันเจ้าของห้องจะแปะโน้ตไว้ว่าวันนี้ในครัวมีอะไรให้ผมกิน
               
เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเพิ่งสังเกตเหมือนกันว่ามันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรามาตั้งนาน
               
“มองแฟน” ผมตอบตามตรงแกล้งยิ้มกรุ้มกริ่มหวังแซวให้คนตัวเล็กเขินหน้าแดงสักที
               
แต่แทนที่จะเป็นแบบนั้นไอ้ตี๋กลับชะงักมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อหันมาทำหน้าประหลาดใส่ผมแทน
               
“ต้องออกตัวแรงขนาดนั้น?”
               
ผมหัวเราะเสียงดังกับอาการตีมึนของมันแล้วลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง จ้องอีกคนอยู่อย่างนั้น จนเจ้าของร่างบอบบางหันมามองอย่างไม่ชอบใจทั้งที่หูเปลี่ยนเป็นสีแดง
               
“มันอึดอัดนะครับ”
               
ผมยักไหล่แกล้งอ้าแขนเรียกร้องให้คนตัวเล็กเข้ามาหา “กอดหน่อย”
               
“ไม่เอา เดี๋ยวเสื้อยับ” แล้วก็โดนปฏิเสธแทบจะทันที
               
“โห่ ตี๋” ผมโอดครวญอย่างไม่จริงจัง ไอ้ตี๋เลยทำหน้าเหม็นเบื่อใส่กันก่อนจะหันไปแต่งตัวต่ออย่างไม่ให้เสียเวลา
               
“แล้วนี่ไปยังไง” ก่อนหน้านี้ผมรู้ว่ามันเดินไปมหาลัย เพราะหออยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินประมาณสิบนาทีได้ ก่อนจะนั่งรถรางไฟฟ้าต่อเข้าไปในคณะตัวเอง
               
ผมมองว่ามันลำบาก เลยอาสาไปส่งหลายครั้ง แต่ก็นั่นแหละครับ... คุณตี๋เขาไม่ยอม
               
แต่ตอนนี้สถานะมันเปลี่ยนไปแล้วไง ผมว่าผมสามารถตื๊อไปส่งมันได้โดยอ้างหน้าที่ของแฟนที่แสนดี
               
"เพื่อนมารับครับ”
               
อ้าว...
               
“เพื่อนไหน” ผมขมวดคิ้วทันที ทั้งเซ็งที่อดทำหน้าที่แฟน และข้องใจว่าใครคือเพื่อนไอ้ตี๋
               
“บอกไปก็ไม่รู้จักหรอกครับ” นั่นสิ ผมกับมันรู้จักกันมาตั้งนาน แต่ก็ไม่เคยพาเข้าไปคลุกคลีกับสังคมของกันและกันสักที
               
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันไง
               
“เคยไปที่ร้านมั้ย?” ผมถามต่อ ตะล่อมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
               
“คิดว่าไม่นะครับ”
               
“ผู้หญิงผู้ชาย?” ...นี่แหละประเด็นสำคัญ
               
ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วมองนิดหน่อย ก่อนจะตอบคำถาม “ผู้ชายครับ”
               
“งั้นเดี๋ยวไปส่งเอง” ผมว่าพลางลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยืนหน้าตู้เสื้อผ้าข้างไอ้ตี๋ หยิบกางเกงยีนมาใส่
               
เพื่อนผู้ชายไหนวะ ผมไม่ยักรู้ว่ามี ปกติเพื่อนไอ้ตี๋ที่เคยเห็นผ่านๆ ก็มีแต่ผู้หญิง นี่ถึงขั้นมารับไปเรียนด้วยก็คงสนิทพอตัว
               
ใครวะ กูข้องใจ
               
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเขาก็มาถึงแล้ว”
               
“เขานี่ใคร ช่วยเจาะจงกว่านี้หน่อยได้มั้ยตี๋” ผมโพล่งถามออกไป จนคนตัวเล็กหันมาเลิกคิ้วทำหน้างุนงงใส่ แต่แวบเดียวก็เหมือนจะเข้าใจว่าผมเกรี้ยวกราดเรื่องอะไร
               
“นี่เรียกว่าหึงหรือเปล่าครับ?”
               
ผมชะงัก ใบ้แดกไปพักหนึ่งก่อนตีมึน “ปะ...เปล่า”

ใครมันจะไปยอมรับง่ายๆ
               
“อ๋อ”พอได้ยินแบบนั้น คนตัวเล็กก็พยักหน้า ดวงตาเรียวมองมาเหมือนเข้าใจ “ตกใจหมดเลยครับ คิดว่าถูกหึงเข้าซะแล้ว”

แต่จากคำพูดนี่แม่งไม่ได้เข้าใจอะไรเลย

“ขอโทษนะครับที่เข้าใจผิด” แถมยังสบตาผมด้วยสีหน้าหมาหงอยก่อนอธิบาย “ผมเพิ่งมีแฟนครั้งแรก... เผลอคิดเข้าข้างตัวเองเฉยเลย”

โว้ยย

ใช่มั้ย มันใช่เวลามาทำตัวน่ารักมั้ยล่ะตี๋

“หึง” สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับ พลางรวบตัวมันมากอดไว้อย่างหมั่นไส้

เสื้อยับอะไร ใครจะไปสน

“เป็นใครอ่ะ ทำไมต้องมารับแฟนกู”

“คุณซัน”

“บอกมันเลยว่าเดี๋ยวไปเอง” ผมงอแง ซุกหน้าลงกับไหล่คนตัวเล็กกว่าหวังอ้อนให้ตามใจ

แต่แน่นอนว่าไม่ง่าย

“ไม่ได้ครับ”

ดื้อจังโว้ย แฟนใคร

“ตี๋” ผมเบ้หน้าเมื่อคนในอ้อมกอดผละออกไป แต่ไอ้ตี๋ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนเลย

“เขาออกมาแล้วน่ะครับ ยกเลิกตอนนี้เสียมารยาทตาย”

เออ ก็จริง

“แต่ว่า...”

“ซัน” ยังไม่ทันจะเถียงอีกฝ่ายก็เรียกชื่อผมห้วนๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวผมพร้อมตีเสียงดุไม่จริงจัง “อย่าดื้อสิครับ”

“...” เล่นซะผมไปไม่เป็น

“คราวหน้าค่อยไปส่งนะ” พอเห็นผมนิ่ง มุมปากบางก็ยกยิ้มอย่างได้ใจ มองด้วยสายตาขบขัน แล้วน็อคเอาท์ผมอีกครั้งด้วยการเขย่งตัวขึ้นมาจุ๊บแก้มกันเบาๆ

“...”

เอาเข้าไป...

“แล้วเจอกันที่ร้านนะครับ”

“...”

ชิบหาย... แพ้ราบคาบอีกแล้วกู



ผมใช้เวลาตั้งสติอยู่พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวว่าตกหลุมพรางเข้าให้อย่างจังเมื่อไอ้ตี๋หายออกจากห้องไป กลับมานั่งหงุดหงิดตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองลืมถามรายละเอียดให้หายข้องใจ เพื่อนไอ้ตี๋เป็นใคร หน้าตายังไง สนิทแค่ไหน มารับไปส่งกันบ่อยแค่ไหนไม่ได้ถามเลยสักอย่าง

แต่ก่อนจะทึ้งผมตัวเองจนหัวล้าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา โชว์แจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียว เป็นข้อความจากคนที่เพิ่งออกจากห้องไป

ลิ้งค์เฟสบุ๊คที่พอกดเข้าไปเป็นโปรไฟล์ของผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่ผมกำลังสงสัยว่าเป็นใคร กวาดสายตาอ่านไทม์ไลน์คร่าวๆ ก็รู้เรื่องทั้งหมดที่ผมกำลังข้องใจ ชื่อ หน้าตา ความสนิทสนมที่ดูจะไม่น่ากังวลอะไรจากรูปหมู่หลายใบที่มันกับไอ้ตี๋ร่วมเฟรมกันแต่ไม่ได้มีท่าทางใกล้ชิดมากมาย

และที่สำคัญไปกว่านั้น... คือสถานะที่ขึ้นเด่นหราว่ากำลังคบหากับผู้หญิงอีกคนในกลุ่มเดียวกัน

‘มีแฟนแล้ว?’

ผมพิมพ์ตอบ เผลอยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว

‘ครับ’

‘สบายใจได้แล้วเนอะ’

ไม่นานก็อีกฝ่ายก็ตอบกลับ ซึ่งทำผมยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะแกล้งตีมึน

‘ก็ไม่ได้อะไร’

คราวนี้มันส่งสติ๊กเกอร์กลอกตามา

‘เหรอครับ’

ผมหัวเราะขำ แล้วพิมพ์ข้อความไปตามจริง

‘สบายใจโคตร’

‘นอนต่อละ’

'ตั้งใจเรียนนะ'

ไม่ลืมที่จะกดสติ๊กเกอร์กวนตีนปิดท้าย

อีกฝ่ายอ่านแล้ว ก่อนจะหายไปพักหนึ่งจนผมคิดว่ามันคงไม่พิมพ์อะไรตอบกลับมาจึงโยนโทรศัพท์ลงเตียง ทิ้งตัวลงนอนและกำลังจะหลับตา

ติ๊ง~

แต่ว่าเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้นมาอีก ผมหยิบมาดูไม่รู้จะแหกปากยิ้มยังไงให้สมกับความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

‘มีแซนด์วิชกับนมอยู่ในครัว’

'กินก่อนมันจะชืดเอานะครับ'

เนี่ย... ก็ชอบทำตัวน่ารักแบบเนี้ย

แล้วจะไม่ให้ผมหวงได้ไง

   



วันนี้ผมมีธุระเรื่องโปรเจ็กต์เลยต้องเข้าคณะตั้งแต่บ่าย กว่าจะเลิกก็เล่นเอาเย็น อยากจะกลับหอไปอาบน้ำก่อนไปทำงานแต่คิดว่าคงไม่ทัน เพราะต้องไปรอรับอีกคนเพื่อกินข้าวเย็นก่อนอยู่ดี
   
ผมเช็คเวลาแล้วว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเลิกเรียนของไอ้ตี๋ เลยตรงดิ่งจากคณะตัวเองไปที่คณะบริหารทันทีที่เสร็จธุระตัวเอง ไม่ได้บอกล่วงหน้าหรอกว่าจะไปรับ กะว่าจะเซอร์ไพรซ์ แล้วอีกอย่าง ผมพอจะเดาได้ว่าถ้าบอกไปไอ้ตี๋คงไม่ยอมให้ผมไปนั่งแกร่วรอมัน เอาเป็นว่าถ้าใกล้เวลาแล้วค่อยบอกมันแล้วกัน พอถึงตอนนั้นก็คงปฏิเสธอะไรไม่ทันแล้ว
   
เมื่อก่อนผมกับเพื่อนมากินข้าวที่โรงอาหารคณะนี้บ้างตามประสาเด็กวิศวะบ้าเห่อที่พอได้ยินว่าสาวบริหารน่ารักก็ยกโขยงกันมาเสพอาหารตา ไม่คิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจุดประสงค์ของตัวเองจะเปลี่ยนไป จากส่องสาวมาเป็นนั่งคอยหนุ่มบริหารหน้าใสแทน
   
คิดแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกัน

แต่ทำไงได้ ใครใช้ให้ไอ้ตี๋ของผมน่ารักจนห้ามใจไม่ไหวขนาดนั้น
   
ผมเดินอาดๆ เข้ามาใต้ตึกบริหารท่ามกลางสายตามากมายที่มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าไอ้เด็กวิศวะที่ใส่เสื้อช็อปคณะเด่นหรานี่มันเสนอหน้ามาอยู่ตรงนี้ทำไม แต่ด้วยความหน้าด้านก็เลยไม่ได้สนใจ ผมเดินไปหาที่นั่งว่างๆ ในมุมที่ไม่เตะตาเกินไปก่อนจะไถโทรศัพท์ฆ่าเวลา
   
“พี่ซัน?” แต่นั่งได้สักพักก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อตัวเอง
   
“ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ก็เห็นเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ยิ้มกว้างมองหน้าผมคล้ายกับดีใจ
   
ใครวะ... เหมือนจะคุ้นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้
   
“พิมพ์ไงคะ ที่เมื่อก่อนเคยไปที่ร้านบ่อยๆ” ดูเหมือนเธอจะอ่านสีหน้าผมออกถึงได้แนะนำตัวเองพลางนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
   
“อ๋อ ไม่เจอกันนานเลย” ผมนึกตามก่อนจะย้อมพยักหน้าเมื่อจำได้... เลือนราง แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อก่อนมีลูกค้าประจำหน้าตาแบบนี้จริงๆ
   
“พอดีช่วงหลังพิมพ์ยุ่งๆ น่ะค่ะเลยไม่ค่อยได้ไป แล้วพี่ซันล่ะคะยังทำงานที่ร้านนั้นอยู่มั้ย?” เธอเลิกคิ้ว เอียงคอเล็กน้อยท่าทางสงสัย
   
“ทำๆ สองทุ่มถึงตีสามเหมือนเดิม” ผมยิ้มตอบเหมือนเคย
   
หลายคนชอบบอกว่าท่าทางแบบนี้ของผมมันดูเฟรนด์ลี่เกินไป ถึงจะแค่รู้จักแต่ทุกครั้งที่สนทนากับใครผมก็มักจะพูดจาเหมือนสนิทสนมกันได้ เป็นคล้ายๆ พรสวรรค์ที่ทำให้เข้าสังคมง่ายโดยไม่ต้องพยายาม
   
แต่บางทีมันก็เป็นดาบสองคม ผมรู้ดี
   
“ถ้าว่างเมื่อไหร่พิมพ์จะไปที่ร้านอีกนะคะ กาแฟอร่อยมากเลย” ผมเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้ามีท่าทีเขินอายเล็กน้อยตอนที่พูดออกมา แต่เพราะไม่ได้คิดอะไร จึงหัวเราะกลับไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
   
“พูดจาน่ารัก เดี๋ยวคราวหน้าลดราคาให้พิเศษเลย”
   
“แล้วนี่พี่ซันมาคณะพิมพ์ทำไมเหรอคะ หรือว่ามารอใคร” เธอหัวเราะเสียงใสก่อนจะหันซ้ายหันขวาแล้วเปลี่ยนคำถาม
   
“มารอแฟนอ่ะ”
   
“แฟน?” สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำตอบของผม ก่อนจะเอ่ยพึมพำ “พี่ซัน... มีแฟนแล้วเหรอคะ?”
   
“อื้ม... อ้าว นั่นไง มาแล้ว” ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังรอลงลิฟต์มาพอดี
   
ทั้งที่มันอยู่เกือบในสุด แถมถูกรายล้อมด้วยคนกลุ่มใหญ่ แต่ผมก็ยังเห็นหน้าตี๋ๆ ของมันเป็นคนแรก ไม่รู้ทำไม

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยิ้มกว้างออกมาและกำลังจะให้สัญญาณ แต่ยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกหรือยกมือ ไอ้ตี๋ก็หันมาทางนี้พอดี ดวงตาเรียวสองข้างเบิกกว้างขึ้นเล็กๆ เหมือนตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นมองหน้าผมสลับกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมด้วยสายตาอ่านยาก ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
   
อะไรวะ? ผมว่ามันเห็นผมแล้วนะ
   
“งั้นเดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบผมก็เดินออกจากโต๊ะแล้วสาวเท้าตามคนตัวเล็กออกไปทันที แต่ดูเหมือนไอ้ตี๋จะยิ่งเร่งฝีเท้าหนีปะปนไปกับผู้คน
   
“ตี๋” จนกระทั่งผมตะโกนเรียกพร้อมกับเร่งฝีเท้าจนตามไปคว้าแขนไว้ได้นั่นแหละมันถึงหันกลับมา

“ไม่เห็นกูเหรอ” ถามออกไปทั้งที่รู้ชัดๆ อยู่แล้วว่าเมื่อกี้ผมสบตากับมัน
   
“คุณซัน...” มันเรียกชื่อผม ท่าทางอึกอักร้อนลน ก่อนจะดึงแขนตัวเองกลับไป

“มาที่นี่ทำไมครับ” ดวงตาสองข้างมองซ้ายมองขวาเหมือนหวาดระแวง 
   
และผมพอจะรู้แล้วว่ามันกำลังระแวงอะไร เมื่อมองตามแล้วเห็นว่าผู้คนมากมายกำลังมองมาที่เราอย่างให้ความสนใจ
   
“ที่โด๊ปยาจนถูกหามส่งโรงบาลไง”

“ใช่หลีดคณะที่เคยมีข่าวเรื่องศัลยกรรมป่ะ?”

“เค้าเป็นเกย์จริงเหรอ?”

“นั่นแฟนเหรอ?”

“คนนั้นเคยคบกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?”

“กินกันเองเหรอ?”

เสียงซุบซิบดังขึ้นนั่นยิ่งทำให้ไอ้ตี๋ถอยห่างออกไปในขณะที่ผมเริ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้จะมาสงสัยเรื่องคนอื่นทำไม

“กูมารับมึง” ผมตอบคำถามไอ้ตี๋ พยายามไม่สนใจเสียงนินทาที่ดังขึ้นราวกับพวกเราไม่ได้อยู่ตรงนี้

มารยาทไม่มีกันหรือไง

“ไปกินข้าวกัน” พูดจบผมก็คว้ามือมันมาจับไว้อีกครั้ง และคราวนี้ไม่ยอมให้ดึงออกง่ายๆ ก่อนจะลากมันออกมาจากตึกโดยไม่สนใจว่าเสียงนินทาจะดังขึ้นอีกแค่ไหน

จนกระทั่งมาถึงรถผมถึงได้ปล่อยมือ เปิดประตูให้ไอ้ตี๋เข้าไปนั่งข้างคนขับขณะที่ตัวเองเดินอ้อมมานั่งหลังพวงมาลัย ออกรถมาโดยไร้บทสนทนาใดๆ ในหัวผมมีคำถามมากมายประดังเข้ามาอย่างห้ามไม่ได้ และคิดว่าในหัวไอ้ตี๋เองก็คงมีคำถามไม่ต่างกัน

“ผู้หญิงที่นั่งด้วยนั่น น้องพิมพ์เหรอครับ?” บรรยากาศบนรถเงียบอยู่นาน จนไอ้ตี๋เป็นคนถามขึ้นมาระหว่างติดไฟแดง

“มึงรู้จัก?” ผมหันไปเลิกคิ้วถาม ไอ้ตี๋เลยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า

“เป็นลูกค้าประจำที่ร้านนี่ครับ”

สมกับเป็นไอ้ตี๋ เรื่องใส่ใจลูกค้านี่เป็นที่หนึ่งจริงๆ

“อืม เขาจำกูได้เลยเข้ามาทัก มานั่งคุยเป็นเพื่อนระหว่างรอ”

“เหรอครับ” มันยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตา สีหน้าที่เห็นทำให้ผมเดาไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไร “ผมว่าน้องเขาดูชอบคุณนะครับ”

แต่แล้วประโยคต่อมาของมันก็ทำให้ผมเข้าใจ

“แล้วไง”

“...”

“กูบอกเขาไปแล้วว่ามาหาแฟน”

เข้าใจแม้กระทั่งสีหน้าตกใจและแววตาหวาดระแวงที่ส่งมาทันทีที่ผมพูดอย่างเจาะจงออกไปอย่างตั้งใจให้เห็นว่าผมไม่แคร์ในสิ่งที่มันกำลังกังวล

ไอ้ตี๋มองหน้าผมนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะทำสีหน้าอ่านยากอีกครั้งพลางเรียกชื่อผมเบาๆ

“คุณซัน”

“...” ไม่รู้ทำไมสัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมกำลังเดาว่าประโยคต่อมาไอ้ตี๋จะพูดอะไร

“ถ้าเป็นไปได้... ช่วยอย่าบอกใครอีกได้มั้ยครับ เรื่องที่เราคบกัน”

และมันก็เดาถูกอย่างน่าเจ็บใจ

ผมไม่ตอบในทันที แต่ขมวดคิ้วมองหน้าไอ้ตี๋พักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีกลับมาจ้องถนนอีกครั้งเมื่อสัญญาณไฟจรจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว เหยียบคันเร่งพลางปล่อยให้ความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัวก่อนหน้านี้ไหลเวียนต่อไป เพื่อหาคำตอบที่มั่นใจ

ผมว่าผมรู้ว่าไอ้ตี๋กำลังคิดอะไร และรู้ว่าทำไมมันถึงพูดแบบนี้ออกมา มันชัดเจนจะตาย ทั้งสายตาหวาดระแวง และสีหน้าที่คล้ายกับจะเจ็บปวดปนน้อยใจตอนที่มันได้ยินคำพูดของคนเหล่านั้นที่กำลังเอ่ยถึงเรา

ผมว่าผมเข้าใจ...

“ไม่เอา”

คำตอบมันถึงได้ชัดเจน

“คุณซัน...”

“กูไม่สนหรอก ว่าใครจะมองเรายังไง”

เพราะรู้ว่ามันคิดอะไร ถึงได้ไม่สามารถยอมให้มันจมอยู่ในความคิดแบบนั้นได้... ไม่สามารถปล่อยให้มันเอาความคิดของคนอื่นมากระทบความรู้สึกตัวเองได้อีก...

“ถ้าจะไม่ให้บอกใครเรื่องที่คบกัน... งั้นไม่คบมันตั้งแต่แรกไม่ดีกว่าหรือไง”

และคราวนี้ผมจะเป็นคนกำจัดขยะพวกนั้นออกจากความคิดมันเอง






-----------------------------------------------------
ไม่มีอะไรจะบอก นอกจากรออ่านตอนหน้านะคะ 55555 
จะพยายามมาให้เร็วกว่านี้ค่ะ :katai4:

ปล. ช่วงนี้จะอัพดึกหน่อยเพราะว่าแค่เวลาประมาณนี้น่ะค่ะ
ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ถูกถีบไปหน้าอื่นก่อนที่คนอ่านจะตื่นเนอะ 55555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 01:21:30 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
จัดการพวกขี้เม้าท์เลยค่ะซัน ใครทำน้อง มันต้องตาย !!!!   :m31:; :m31:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
จะดักตีพวกขี้นินทาให้หัวแบะเลย  :beat: :beat:

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เบือพวกเสียงนกเสียงกา รำคาญมาก ทำไม่ทำละพวกแกจะทำไม จัดการพวกมันเลยคะซัน ให้หาทางกลับห้องไม่เจอ เอาแบบงายเงิบ !!!

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พวกขี้เม้านี่ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่นเลยจริงๆ

ออฟไลน์ SoSweetCB

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เจ้าพวกบ้าเลิกนินทาน้องสักทีเถอะ ;-; ซันปกป้องตี๋ด้วยนะ

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยตี๋
สนใจเสียงของคนที่อยุ่ข้างๆเราดีกว่า
เชื่อในตัวซันนะ เราเชื่อว่าซันปกป้องตี๋ได้

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 3

               
ดูเหมือนผมจะพูดแรงไป... ไอ้ตี๋ถึงได้ไม่เอ่ยอะไรอีกเลย
               
ที่คิดไว้ว่าพอได้ยินคำประชดประชันของผมแล้วมันจะเปลี่ยนใจ กลับกลายเป็นว่ามันเอาแต่นิ่งเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรมาตลอดทาง จนกระทั่งกินข้าวเย็นเสร็จแล้วมาที่ร้านเราก็ยังไม่ได้คุยกัน

“ไหงคู่ข้าวใหม่ปลามันถึงได้ทำท่าเหมือนทะเลาะกันล่ะครับ”

มึงก็จมูกไวจังเลย

ผมถลึงตาใส่ไอ้นายที่ยังเสนอหน้าอยู่ในร้านทั้งที่ผมยังต้องเข้ากะแทนมันไปถึงวันพรุ่งนี้ มันมารับไอ้มิ่งน่ะครับ เห็นว่าหลังเลิกงานมีนัดไปดูหนังกัน ชีวิตคู่แม่งสุขสันต์เหลือเกิน

อันที่จริงพี่โมจะทำโทษให้ผมกับไอ้ตี๋ทำแทนกะของไอ้มิ่งเหมือนกัน เพราะตอนพวกเราไม่อยู่ก็ได้มันนี่แหละมาช่วย แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ ขอเปลี่ยนเป็นเพิ่มเงินตามจำนวนวันที่มันมาทำงานแทน ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่มันทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจหรืออะไร แต่แค่ไม่อยากให้ไอ้ตี๋ทำงานเพิ่มอีก คนอะไรป่วยง่ายอย่างกับอะไรดี ถ้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีกคงได้ตายขึ้นมาจริงๆ

“เฮ้ย นี่พี่ทะเลาะกันจริงดิ” พอเห็นว่าผมไม่เถียงอะไร ไอ้นายก็ทำตาโตอย่างตกใจ ยื่นหน้าข้ามเคาน์เตอร์มาถามอย่างคนขี้เสือกเหมือนเคย “โกรธกันเรื่องไรอ่ะ”ผมเหลือบสายตามองไอ้ตี๋ที่ยืนชงกาแฟ สีหน้ามันเหมือนไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังหูผึ่งฟังบทสนทนา

“มีคนไม่อยากให้กูเปิดเผยเรื่องคบกัน” ผมพูดเสียงดัง รู้ว่าไอ้ตี๋ต้องได้ยิน มันถึงได้ขมวดคิ้ว ชะงักมือที่กำลังผสมกาแฟแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาตีหน้านิ่งเหมือนเดิม

“อ้าว แต่ผมบอกไอ้มิ่งไปแล้วอ่ะ เป็นไรมั้ยพี่โช”

แล้วไหงมึงพูดจาเหมือนเข้าข้างไอ้ตี๋ซะงั้นวะไอ้เด็กเวร

“มึงต้องบอกว่ามันเหลวไหลสิ้นดีสิวะ” ผมผลักหัวไอ้นาย แต่สายตาเหลือบมองอีกคนที่ตั้งใจพูดประโยคนี้ให้ได้ยิน “เป็นแฟนกัน แล้วจะหลบๆ ซ่อนๆ ทำไม”

ไอ้ตี๋ไม่ได้มีท่าทีอะไร มันชงกาแฟเสร็จก็จัดใส่ถาดเดินไปเสิร์ฟให้ลูกค้าด้วยรอยยิ้มตามมารยาทเหมือนเคย ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่อึดอัดกับความเงียบระหว่างเราแทบบ้าตาย

อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเล่นแง่นักหรอก แต่ถ้ามันยังยืนยันว่าจะให้เรื่องที่คบกันเป็นความลับ ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน
ทำไมต้องสนใจสายตาคนอื่นขนาดนั้น คำนินทาเวรๆ นั่นก็เหมือนกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องแคร์

“พี่นี่แม่ง...” ผมละสายตาจากไอ้ตี๋มามองไอ้นายที่ส่ายหัวเอือมระอา “ทำไมไม่คุยกันดีๆ อ่ะ”

“...”

“ดื้อทั้งคู่ระวังจะคบไม่ยืดนะพี่”

“อ้าว แช่งกู” ผมแยกเขี้ยว แต่ไอ้นายกลับหัวเราะ

“เปล่าแช่ง นี่พูดจริง” มันว่าพลางยืดตัวขึ้นเตรียมตัวเพราะไอ้มิ่งออกมาจากหลังร้านพอดี “กว่าจะได้คบกันก็ลุ้นตั้งนาน”

“...”
         
“อย่าให้มันพังเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย” พูดจบก็ขอตัวเดินต้อยๆ ตามแฟนตัวเองออกไปจากร้าน ในขณะที่ผมหันกลับมามองไอ้ตี๋อีกครั้ง ถอนหายใจกับตัวเอง

อดยอมรับไม่ได้ว่า ก็จริงของไอ้นายมัน
 
               



แต่ถึงอย่างนั้นจะให้ยอมง่ายๆ มันก็ไม่ใช่
               
บอกแล้วไงว่าผมอยากกำจัดปมในใจของไอ้ตี๋ให้หายไป ไม่อยากให้มันแคร์ใครที่ไม่ควรแคร์... แต่ไม่ได้ตั้งใจประชดประชันแบบนั้นหรอก อยากหาวิธีที่ค่อยเป็นค่อยไปกว่านี้เหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรทำยังไง ตอนที่มีข่าวลือของมันใหม่ๆ ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องสนใจ แต่เห็นได้ชัดว่ามันทำไม่ได้ คำพูดร้ายๆ ของคนรอบข้างยังมีอิทธิพลกับมันไม่ต่างจากสมัยมัธยม มันทำให้ผมอดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ที่ไม่ได้รู้จักมันตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ได้ปกป้องมันจากคำนินทาที่สร้างปมในใจที่ยากเกินเยียวยาให้มัน
               
 ผมถอนหายใจเกินร้อยครั้งแล้วตั้งแต่เข้าร้านจนปิดร้าน หรือกระทั่งกลับหอมาก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจซ้ำๆ

อึดอัดชิบหายเลยโว้ย

ยิ่งไอ้ตี๋ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ในใจผมก็ยิ่งหงุดหงิด มันทำท่าเหมือนไม่เป็นไร ผมจะทำอะไรก็ตามใจแบบนี้ยิ่งทำผมร้อนใจ
ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้วะเนี่ยตี๋

แต่ถึงจะหงุดหงิดแค่ไหน ความหน้าด้านของผมก็มากพอจะทำให้ยังตีหน้ามึนขึ้นมานอนบนเตียงมันอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายตีโพยตีพายงอนเขาเอง

“ปิดไฟนะครับ”

“อืม”

แถมยังทิ้งทิฐิทั้งหมดทันทีที่ทั้งห้องมืดลง ถือวิสาสะรวบคนตัวเล็กมากอดไว้อย่างทุกวัน

ก็ผมติดหมอนข้างนี่ครับ ให้ทำไง... ถึงวันนี้หมอนข้างจะหันหลังให้ ไม่กอดกลับเหมือนคืนก่อนๆ ก็ตามที

นึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านี้ แต่ก็รู้แหละว่าคุยตอนนี้คงไม่ได้อะไร ต้องปล่อยให้ไอ้ตี๋มันเปิดใจก่อนถึงจะเริ่มเคลียร์กันได้ ผมไม่ควรรีบร้อนเกินไป ยิ่งไอ้ตี๋ไม่เคยคบใครมาก่อนยิ่งต้องใจเย็น ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์อาจจะพังไม่เป็นท่าอย่างที่ไอ้นายว่าจริงๆ

“คุณซัน” ผมบอกตัวเองให้ปลงและพยายามข่มตา แต่คนที่ปล่อยให้กอดอยู่นานกลับเรียกชื่อผมออกมาเบาๆ

“...” ผมไม่ได้ตอบ แค่กระชับอ้อมกอดให้รู้ว่ายังไม่หลับ และกำลังรอฟัง

“เรากำลังทะเลาะกันจริงๆ เหรอครับ” ไอ้ตี๋เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถาม น้ำเสียงฟังดูประหม่าขณะไล้มือไปตามปลายนิ้วของผมที่โอบรอบเอวตัวเองไว้เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง

“เปล่า” ผมตอบตามจริง เราไม่ได้ทะเลาะกัน มันยังไม่ถึงขั้นนั้น

ถึงจะรู้จักกันมานาน แต่ผมรู้ดีว่าการเปลี่ยนสถานะมันยังมีเรื่องมากมายที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันใหม่ มีระยะห่างระหว่างเราที่ถ้าอยากให้มันลดลง ต่างคนต่างต้องเปิดใจปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปอย่างเต็มใจ และตอนนี้ผมกำลังพยายามทำลายระยะห่างที่ว่านั่นอย่างใจเย็น

“ผมไม่อยากให้เราทะเลาะกัน” เอ่ยเสียงเบาพลางสอดประสานนิ้วตัวเองกับนิ้วผมแล้วจับไว้แน่น “ขอโทษนะครับที่พูดออกไปแบบนั้น”

ผมหลุดยิ้มกว้างออกมา ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือข้างที่เหลือไปเปิดโคมไฟที่เพิ่งถูกดับ แล้วลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยที่ยังกอดคนตัวเล็กไว้แนบกาย บังคับให้นั่งอยู่บนตักกัน

“กูก็เหมือนกัน” ซุกใบหน้าลงกับซอกคอก่อนจะขบเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวคนตัวเล็กที่ตีหน้ามึนอยู่นาน เข้าใจในทันทีที่วันนี้มันเอาแต่นิ่งไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกอะไร

แค่ไม่รู้จะแสดงออกมายังไงเท่านั้นเอง

"กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ไม่อยากให้เราทะเลาะกัน”

เจ้าของดวงตาเรียวหันกลับมาสบตาด้วยสีหน้าเหมือนโล่งใจ แต่แววตายังแฝงไปด้วยความกังวลจนสังเกตได้

“คุณเคยคบแต่ผู้หญิง แล้วอยู่ๆ ก็...”

เดาไม่ยากเลยสักนิดว่ามันกำลังกังวลเรื่องอะไร

“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเราคบกันคุณจะโดนนินทา”

“กูไม่แคร์” ผมส่ายหน้าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม

“แต่ผมแคร์” ไอ้ตี๋เถียง ทำสีหน้ายุ่งยากก่อนจะถอนหายใจ มองมาด้วยสายตาจริงจัง  “ผมเคยผ่านมันมาก่อน เข้าใจดีว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน และผมก็ไม่อยากให้เรื่องแย่ๆ แบบนี้มันเกิดขึ้นกับคุณ”

“...”

“ผมเป็นห่วงนะครับ”

รู้แหละว่าไม่ใช่เวลา แต่สารภาพว่าพอได้ยินอะไรแบบนี้ตรงๆ แล้วหัวใจมันโคตรจะพองโต

ทำไมทำตัวน่ารักอีกแล้ววะเนี่ยตี๋
         
“กูรู้” ผมยิ้มกว้าง พลางก้มลงไปกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากบาง จนถูกดันออกแล้วขมวดคิ้วมุ่นมองด้วยสีหน้าเหมือนไม่ชอบใจ
               
“ผมซีเรียสนะครับ” ผมหลุดหัวเราะเบาๆ แต่ไม่วายกดจูบลงไปอีกครั้ง
               
“รู้แล้วครับ”
               
“คุณซัน...!”
               
“ซันก็เป็นห่วงตี๋เหมือนกัน” จากที่อ้าปากจะด่าคนตรงหน้าก็ได้แต่อ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินผมเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเอง
               
ตั้งแต่รู้จักกันมาจนกระทั่งคบกันผมไม่เคยเรียกแทนตัวด้วยชื่อเลยสักครั้ง แต่คราวนี้ผมต้องอ้อน เพราะต้องการให้มันฟังผมอย่างจริงจัง
               
“ตี๋” ผมเรียก ยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียจมูกเข้ากับปลายจมูกของคนที่นั่งนิ่งแต่แก้มเปลี่ยนสีขึ้นมา “ซันรู้นะว่าตี๋คิดอะไร รู้ว่าพูดแบบนั้นทำไม เข้าใจหมดทุกอย่างนั่นแหละ... แต่ซันไม่ได้แคร์จริงๆ”
               
“...”
               
“จะโดนนินทา จะโดนหาว่าคบผู้หญิงบังหน้าอะไรก็ช่าง ปากใครใครก็พูดได้ เขาไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง แล้วเราจะไปให้ค่าทำไม”

“...”

“สิ่งที่ซันสนใจมีอย่างเดียวคือความรู้สึกตี๋นะ เข้าใจมั้ย”
               
“คุณซัน...” มันทำท่าจะเถียงอะไรอีก แต่ผมก็ขัดขึ้นมา
               
“ตอนนี้ตี๋มัวแต่สนใจคำนินทา เอาคำพูดบ้าๆ ของใครไม่รู้มาใส่ใจ แล้วซันอ่ะ คำพูดซันไม่มีความหมายเลยหรือไง...”
               
“เดี๋ยวก่อน” เสียงของผมหายไปทันทีที่ถูกมือบางยกขึ้นมาปิดปากไว้ ส่งสายตาจริงจังว่าให้หยุดพูดเสียที
               
“ทำไมถึงไม่เข้าใจ...” ผมดึงมือมันออก กำลังจะพูดต่ออย่างไม่ยอม แต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียงดัง
               
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”

“...”

“เข้าใจแล้ว แต่ว่า...” อยู่ๆ ก็อึกอัก ขมวดคิ้วมุ่น มองผมเคืองๆ ก่อนที่สุดท้ายจะหลบสายตายกหัวเข่าตัวเองขึ้นมาแล้วซุกใบหน้าลงไปบ่นพึมพำ “ให้ตาย... ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้กัน”

งงอยู่สักพัก กว่าจะรู้ความหมายของคำพูดนั้นผ่านใบหูที่เป็นสีแดงจัดของคนตัวเล็กที่แทบจะขดตัวเป็นก้อนกลม

แล้วใครสั่งใครสอนให้เขินแล้วน่ารักขนาดนี้วะเนี่ยตี๋

 
ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแกล้งก้มหน้าลงไปเกยคางไว้บ่นไหล่ กระซิบเบาๆ ให้ลมหายใจคลอเคลียกับหูแดงๆ อย่างได้ใจ

“แล้วได้ผลป่ะ”
               
“ไม่” มันส่ายหน้าส่งเสียงปฏิเสธในลำคอทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าความจริงเป็นยังไง
               
น่ามันเขี้ยวชะมัด
               
...ว่าแล้วก็ของับหูสักที
               
“...!” ไอ้ตี๋สะดุ้งโหยง แต่ก็ยังคงซุกหน้ากับเข่าไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากัน ผมเลยแกล้งเซ้าซี้ซุกหน้าลงกับกลุ่มผมหอมไล่จูบจากกระหม่อม ขมับ จนถึงใบหูที่โผล่พ้นออกมาเพียงส่วนเดียวอีกครั้ง
               
“ทีนี้จะเลิกใส่ใจคนอื่นได้หรือยัง” เอ่ยถาม

รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่ก็แค่อยากให้มันรับปากเท่านั้น
               
“สนแค่คำพูดซันคนเดียวนะครับโช” 

รับปากว่าจากนี้จะแคร์ผมแค่คนเดียว

“..." ไอ้ตี๋เงียบไปนาน เอาแต่นั่งซุกหน้ากับเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้น ซึ่งผมก็ไม่คิดจะทำอะไรนอกจากรอ

จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ เจ้าของใบหูแดงเถือกยอมโผล่ดวงตาเรียวขึ้นมามองหน้าผมที่ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่งขึ้นสีชัดยิ่งกว่า

“ถ้ารับปากแล้ว จะเลิกพูดแบบนี้หรือเปล่าครับ” แต่ยังไม่วายตีมึนทำน้ำเสียงงุ่นง่านเอือมระอาเหมือนเคย

“แบบไหน” ผมแกล้งไขสือ

“ที่เรียกตัวเองว่าซัน... ห้ามพูดอีกเด็ดขาดเลย” ผมหัวเราะลั่น ยื่นหน้าเข้าไปจนหน้าผากชิดกัน ใช้ปลายจมูกดุนดันแก้มใสให้มันยอมเผยใบหน้าส่วนที่เหลือออกมา

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่...” ตอบพึมพำ มุดหน้าลงยิ่งกว่าเดิม

โกหกไม่เนียนเหมือนเคย

“แล้วทำไมหน้าแดง” แต่คราวนี้ผมไม่ยอมให้หนีหรอก พอทำท่าจะซุกหน้าลงไปอีกครั้งก็ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้ามันไว้ บังคับให้เงยหน้าขึ้นมาจนได้

จะเรียกบังคับก็ไม่ถูก เพราะเจ้าของใบหน้าใสก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแค่ตีหน้ามุ่ย ทำน้ำเสียงบูดบึ้งเอาแต่ใจ

“เพราะร้อนน่ะครับ”

“เหรอ” ผมยิ้มขำถือวิสาสะทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่ยังดื้อดึงไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองทั้งที่ร่างกายกำลังแสดงออกชัดเจน

“แล้วตอนนี้ร้อนกว่าป่ะ” แกล้งถามยียวน เมื่อถอนจูบออกมาแล้วพบว่าหน้ามันยิ่งแดงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร นอกจากแรงบีบจากฝ่ามือที่ยกขึ้นมากำคอเสื้อผมไว้จนแน่นดูคล้ายกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังประหม่า ขณะกัดริมฝีปากล่างตัวเองเหมือนไม่รู้จะทำยังไง

อยู่ๆ ก็เหมือนจะมีลูกระเบิดหล่นลงมากลางกบาลทันทีที่ได้เห็นสีหน้าแบบที่ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะได้เห็น

ทนมองได้ไม่นาน สุดท้ายก็ฉกฉวยริมฝีปากลงไปอย่างอดใจไม่ไหว บังคับให้เปิดปาก มอบสัมผัสที่ทวีความหนักหน่วงกว่าเดิม จนกระทั่งได้รับการตอบกลับอย่างเต็มใจ เรียวลิ้นที่ตอบสนองราวกับจะเพิ่มความร้อนให้ร่างกายที่เกาะเกี่ยวแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจของกันและกัน

“หึ” ผมหลุดหัวเราะในลำคอขณะที่ผละออกมาให้คนตัวเล็กได้ตักตวงอากาศหายใจอีกครั้ง แตะหน้าผากค้างไว้กับหน้าผากใสปล่อยลมหายใจร้อนๆ คลอเคลียไม่ห่าง แล้วกระซิบชิดริมฝีปากเบาๆ

“เชื่อละว่าร้อนจริง”

ถูกมองค้อนเข้าให้ แต่ก็ยังหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ หวังจะเข้าครอบครองลมหายใจซ้ำ แต่ก็ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าจนต้องชะงัก

“คุณซัน” ดวงตาเรียวสวยยังคงฉายแววความกังวล แบบที่ทำให้ผมไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้หงุดหงิด กลับอยากปลอบประโลมจนประกายความกังวลนี้หายไป

“ครับ?”

มองหน้าผมอย่างลังเลอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ออกมา “แน่ใจแล้วจริงๆ เหรอครับ?”

“...”

“ยอมรับได้จริงๆ เหรอครับที่ต้องคบกับผู้ชาย” น้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจ หวั่นไหวรุนแรงจนผมต้องยื่นหน้าเข้าไปจูบหน้าผากเบาๆ

“ถ้ารับไม่ได้จะมาอยู่ตรงนี้ทำไม” พูดจบก็ไม่รอให้เจ้าหนูจำไมได้ถามอะไรต่อ ปิดปากอีกฝ่ายไว้ด้วยริมฝีปากตัวเอง...

ผมกระชับอ้อมกอดแน่น แนบริมฝีปากลงไปซ้ำๆ บดเบียด... เน้นย้ำ... ส่งผ่านทุกความรู้สึกออกไปด้วยสัมผัสอันแสนหวาน ในขณะที่อีกฝ่ายก็ตอบรับมันและส่งกลับมาไม่ต่างกัน...

ไม่นาน... ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นมามากมายเกินต้านทาน

ผมพลิกตัวขึ้นมาดันร่างเล็กให้นอนราบ ก่อนจะโถมทับร่างกายตัวเองตามไปอย่างรวดเร็ว การกระทำทุกอย่างดำเนินไปทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละออกจากกัน มือข้างหนึ่งของผมประคองไว้ที่แผ่นหลังบอบบาง ลูบไล้แผ่วเบา ในขณะที่อีกข้างนวดเฟ้นตามส่วนอื่นของร่างกาย... ยิ่งสัมผัส ความต้องการทบทวีจนอดไม่ได้ ถือวิสาสะสอดมือเข้าไปใต้สาบเสื้อเพื่อสัมผัสผิวเนียน

เคล้าคลึง...บีบคั้น จนได้ยินเสียงครางหวานปนเสียงหายใจหนักๆ อย่างเร้าอารมณ์

ผมผละจูบออกมาแล้วไล้ริมฝีปากไปตามใบหน้าใส ไล่ไปจนถึงปลายคาง ฉกฉวยลงไปที่ซอกคอหอมกรุ่น กดจูบ... ดูดดุน ทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเอาแต่ใจ คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว เมื่อผมถือวิสาสะถลกเสื้อยืดสีขาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเคลื่อนริมฝีปากลงไปพรมจูบทั่วผิวบอบบาง

“ดะ... เดี๋ยวครับ...” เสียงแหบสั่นพยายามร้องห้าม แต่ร่างบางกลับบิดเร่าทันทีที่เรียวลิ้นลากไล้ไปยังจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก โลมเลียชิมรสจนพอใจ ทว่าปลอบประโลมจนคนที่ผลักไสยอมโอนอ่อนผ่อนตาม

ผมยิ้มมุมปากก่อนจะฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายตกอยู่ในห้วงความรู้สึกหวามไหว เคลื่อนริมฝีปากต่ำลงไป... กดจูบลงบนจุดอ่อนไหวที่กำลังตื่นตัว

“คะ... คุณซัน!” สะดุ้งเฮือกเรียกชื่อผมอย่าตื่นตระหนก ทำท่าจะกระถดตัวหนีแต่ผมก็รั้งสะโพกไว้ เงยหน้าขึ้นสบตาอย่างเว้าวอน

“ไม่... ไม่เอา” มองคนที่ส่ายหน้ารัวแต่ร่างกายกลับตอบสนองตรงกันข้ามแล้วได้แต่ยิ้มขำ กดจูบลงไปตรงส่วนเดิมอีกครั้ง...

แต่คราวนี้ลากลิ้นผ่านผิวผ้าบางอย่างเชื่องช้า... แสดงความต้องการ

จนกระทั่งเสียงปฏิเสธเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวาน จึงใช้นิ้วเกี่ยวรั้งขอบกางเกงลงเผยให้เห็นส่วนที่กำลังขยายตัวด้วยแรงอารมณ์

ผมเผลอเลียริมฝีปาก พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกประหลาดที่เข้าจู่โจมจนรู้สึกปวดหนึบบริเวณส่วนลับที่กำลังพองโตคับแน่นไม่แพ้กัน ร้อนรุ่มไปหมดราวกับยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ... ไฟปรารถนา ที่ผลักดันให้ผมตัดสินใจเคลื่อนใบหน้าลงไป ครอบครองส่วนที่กำลังร้อนจัดไว้... ด้วยริมฝีปากตัวเอง

“คุณซัน...” ไม่สนใจเสียงร้องห้าม หรือมือบางอันไร้เรี่ยวแรงที่พยายามจะดันไหล่ผมออกไป ก้มหน้าลงไล้เลียส่วนร้อนตรงหน้าด้วยความรู้สึกคล้ายกับเด็กที่กำลังละเลียดของหวานอันโอชะที่ไม่เคยลิ้มลอง

มอบสัมผัสลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยมอบให้ผู้ชายคนไหน โดยไม่รู้สึกรังเกียจ หรือตะขัดตะขวงใจใดๆ ...ตรงกันข้าม... กลับเป็นฝ่ายสุขสมขึ้นมาเสียเอง

“ซัน...” ได้ยินเสียงแหบพร่าเรียกชื่อผมเบาๆ ขณะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองตามจังหวะของเรียวลิ้นและริมฝีปากที่กำลังอุกอาจอย่างเอาแต่ใจ มือบางเลื่อนขึ้นมาขยุ้มกลุ่มผมของผมไว้ แต่มืออีกข้างกลับปัดป่ายสะเปะสะปะอย่างหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ จนผมต้องเอื้อมมือไปคว้ามือบางสอดประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วกุมไว้อย่างนั้นอย่างปลอบประโลม
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่อาจห้าม ไฟปรารถนาลามเลีย โหมกระหน่ำ จนร่างกายคล้ายจะลุกไหม้

ผมใช้ริมฝีปากปรนเปรอพร้อมกับตักตวงรสสัมผัสหวานล้ำด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ พร้อมกับมองเจ้าของใบหน้าใสที่ชุ่มเหงื่อ เจือหยาดน้ำตาแห่งความเสียวซ่านแล้วรู้สึกคล้ายกับทุกส่วนข้างในกำลังจะระเบิดออกมาในทุกวินาที 

“ซัน...” ยิ่งได้ยินเสียงแหบพร่าเอ่ยชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา พยายามรั้งใบหน้าขึ้นไปหา ผมยิ่งดื้อดึง ครองครองตัวตนอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากตัวเองอยู่อย่างนั้น... เร่งเร้าจังหวะ รุกไล่รุนแรง... จนกว่ามันจะคลายความทรมาน

เพียงไม่นาน... เสียงครางหวานก็ดังลั่น ร่างบอบบางกระตุกเกร็ง ปลดปล่อยออกมาจนเต็มโพรงปาก ล้นทะลักอย่างไม่อาจควบคุม... ซึ่งผมก็พร้อมจะกลืนกินทุกหยาดหยดโดยไม่มีความลังเล

“ซัน... ซันครับ” คราวนี้ผมเคลื่อนตัวขึ้นไปอย่างไม่คิดอิดออด มองใบหน้าที่ผ่านความรู้สึกสุขสมและยังเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอย่างพึงพอใจ ยิ้มบางๆ ขณะปล่อยให้นิ้วเรียวปาดคราบน้ำรักออกจากริมฝีปากให้เบาๆ ดวงตาคู่สวยหยาดเยิ้มด้วยน้ำตามองหน้าผมนิ่งอยู่นาน ก่อนจะกระซิบเรียกชื่อผมอีกครั้ง แล้วเป็นฝ่ายรั้งใบหน้าของผมลงไปประทับจูบเสียงเอง

บดริมฝีปากแนบแน่น ไล้ลิ้นสอดเข้ามาตามรอยแยกของฟัน เกี่ยวกระหวัดกวาดสะเปะสะปะไปทั่วราวกับจะชำระล้างริมฝีปากให้กัน จนผมหลุดเสียงครางต่ำในลำคอกับสัมผัสวาบหวาม ที่โหมกระหน่ำไฟปรารถนาซึ่งยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้ทวีความรุนแรง

เริ่มไล้ลากริมฝีปากไปตามใบหน้าและซอกคอหอมกรุ่นที่เคยพรมจูบทั่วทุกตารางนิ้วอีกครั้ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่แผ่นอกซึ่งกำลังกระเพื่อมไหวตามจังหวะหายใจ แช่สัมผัสอยู่ตรงนั้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความถี่ของการเต้นของหัวใจ แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เคลื่อนใบหน้าขึ้นไปกดจูบบนริมฝีปากบาง แล้วกระซิบเบาๆ

“รัก”

เอ่ยย้ำเหตุผลของทุกการกระทำ เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ

“ได้ยินมั้ย?” กระซิบถามทั้งที่รู้คำตอบผ่านจังหวะการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยันจากเจ้าของร่างกายที่นิ่งไป ปล่อยให้หยาดน้ำหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตา เผยรอยยิ้มกว้าง พลางพยักหน้ารัว

ผมหัวเราะ กดจูบอีกครั้ง แล้วก้มลงกัดปลายคางด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงมากดจูบซ้ำลงตรงตำแหน่งหัวใจ ปลอบประโลมด้วยกลัวว่ามันจะทำงานหนักเกินไปจนพังทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำในสิ่งที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จไป

“โชกุนครับ”

ยังหรอก... ยังไม่อนุญาตให้หัวใจวาย

“ต่อเลยนะ”

เพราะถ้ามันจะวาย... ก็ต้องตายพร้อมกัน

...บนสวรรค์ชั้นสูงสุดที่ผมกำลังจะพาไป






------------------------------------------------------------------------------
น่าจะเป็นตอนที่ตรงกับชื่อหลงตะวันที่สุดแล้วล่ะค่ะ  :hao6:
อยากทอล์กมากมาย แต่เขินอ่ะ เอาไว้เม้าท์มอยใหม่ตอนหน้านะคะ 55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อ่านจบขอมองบนให้กับความรักคู่นี้
หมั่นเว่อร์ จะทำร้ายคนโสดกันไปถึงไหน
โอ๊ยยย อิจฉาจ้า

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
อ่านจบขอมองบนให้กับความรักคู่นี้
หมั่นเว่อร์ จะทำร้ายคนโสดกันไปถึงไหน
โอ๊ยยย อิจฉาจ้า


ใจร้ายยยย 55555555555

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
แอร๊ยยยยยยยย
เขินนนนนนนนนนนน

ไม่รู้ใครหลงใคร มัวเมาพอกันทั้งคู่
คนอ่านเลยพรอยหลงตามไปด้วยเลย
 :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอ้ยยยยยยยยยยยย อิจมาก!!!!

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
หวานเฟ่ออ นังซันตลกงอนเค้าเองแล้วก็หายเอง55

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :jul1:  :jul1: เลือดพุ่งมากกกกก หลงตะวันที่แท้ทรู ยกนี้ให้ตี๋โดนน็อคบ้างง ฮือออ  :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2017 13:16:18 โดย 05th_of_06th »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เหม็นฟามรักฟามหลงนี้ !! ขอซันหนึ่งที่ค่ะ อยากได้คนแบบนี้มาปกป้องเรา  :hao7:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 4 [ 50% ]
   

[ Shogun’s Part ]


มีความสุขขนาดนี้... ได้จริงๆ เหรอครับ?

ผมถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำๆ ในทุกๆ วันที่ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับฝันไป ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีวันนี้ วันที่ผมได้ตื่นมาในอ้อมกอดของเขา... ได้เห็นใบหน้ายามหลับใหลที่ผมเคยแอบมองอยู่ห่างๆ ในระยะเพียงลมหายใจคั่นเท่านั้น

นี่มัน... ความฝันชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง...

คิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยืนยันให้ตัวเองแน่ใจด้วยการขยับใบหน้าเข้าไปฝังจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากของคนที่กำลังหลับใหล หัวใจยังคงเต้นแรงไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราจูบกัน และมันยิ่งทวีขึ้นทุกวัน เมื่อทุกๆ รอยจูบของเขามันสื่อสารทุกความรู้สึกออกมาไม่มีปิดบัง ราวกับจะตอกย้ำลงไปหัวใจที่ยังคงหวั่นไหวของผม ว่าไม่มีอะไรต้องกลัว ให้ผมมั่นใจว่าถ้อยคำที่เขาพูดมาคือความจริง...

คำว่ารักที่ได้ยินอยู่ข้างหูทุกคืนก่อนหลับไป ดังก้องชัดเจนเมื่อเขากระซิบมันซ้ำไปซ้ำมายามที่เรากอดก่าย แนบกายสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน แลกเปลี่ยนลมหายใจ... ค่อยๆ ซึมลึกลงไปในตัวตนของกันและกัน ใช้ร่างกายที่สอดประสานแนบแน่นในทุกๆ วินาทีแทนคำสัตย์ที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

“ผมเชื่อคนง่ายนะ รู้มั้ย” กระซิบพลางยกมือขึ้นมาแตะปลายจมูกโด่งเบาๆ อย่างคาดโทษที่เขาทำให้ผมหวั่นไหวได้ขนาดนี้

ไม่รู้ว่าตัวเองยิ้มกว้างขนาดไหนขณะไล่สายตามองใบหน้าของเขาซ้ำๆ อยู่นานก่อนจะลักลอบกดจูบลงไปอีกครั้ง ลงน้ำหนักมากกว่าเดิมด้วยความมันเขี้ยว 

“...!” แต่คราวนี้คนถูกขโมยจูบกลับงับริมฝีปากผมไว้ ไม่ยอมให้ผละออกง่ายๆ และกลับกลายเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาหยอกล้ออย่างซุกซน

“แต๊ะอั๋งว่ะ” ตั้งข้อหากันทั้งที่ตัวเองนั่นแหละฉวยโอกาส ผมตีหน้าบึ้งทั้งที่แก้มร้อนฉ่า เห็นดวงตาคมเปล่งประกายวาววับอย่างคนทะเล้นแล้วเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาจนอยากจะหันหน้าหนี

แต่ทำได้ที่ไหน

พอเห็นผมขยับตัวหน่อยแขนแข็งแกร่งก็รวบหลังผมไปกอดไว้ ร่างกายเปลือยเปล่าแนบสนิทอีกครั้งชวนให้หัวใจเต้นรัว
ไม่ไหว... เหมือนเขาจะทำให้ผมหัวใจวายได้จริงๆ

“รีบตื่นทำไม ยังเช้าอยู่เลย” เสียงทุ้มถามเสียงแผ่ว ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดอยู่ระหว่างคิ้วตามจังหวะของคำพูดที่เอ่ยออกมา

เช้าที่ไหน นี่มันจะเที่ยงแล้วครับ

ผมเถียงในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะรู้ตัวว่าตื่นเร็วเกินไปจริงๆ เพราะวันนี้เป็นวันหยุด เลยไม่มีเรียน ถ้าเป็นปกติผมคงตื่นสายกว่านี้ เพราะกว่าจะปิดร้าน เก็บร้านเสร็จก็เกือบสว่าง แถมเมื่อคืนนี้ยัง...

นั่นแหละ ความจริงผมควรนอนลากยาวจนถึงเย็นเลยด้วยซ้ำ

“หิวน่ะครับ” ผมเฉไฉ ทั้งที่ความจริงไม่ได้รู้สึกหิวเลยสักนิด ซันถอยใบหน้าออกมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปาก

“อือ หิวเหมือนกัน”

สาบานเถอะว่าความหมายเดียวกัน

“อยากกินแอปเปิ้ล” ว่าจบก็งับลงมาที่แก้มทั้งสองข้างแล้วหัวเราะลั่นเมื่อเห็นผมเบิกตากว้างทำหน้าไม่ถูกไปหลายวินาที

เดี๋ยวก็โดนแอปเปิ้ลอาบยาพิษหรอกครับ!

“ซัน” ผมเรียกเสียงนิ่ง ไร้คำสรรพนามนำหน้า

“...” และมันได้ผลเมื่อคนที่กำลังชอบใจหยุดขำ ก้มหน้าลงมาสบตากันอย่างประหลาดใจ

ผมอมยิ้มแล้วเรียกซ้ำ “ซัน”

“เดี๋ยว” เขาเบรกผมใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง

ดูเหมือนจะมีแอปเปิ้ลสองลูกกำลังสุกน่ากินอยู่ตรงหน้าผมนะครับ

เข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมถึงอดใจไม่ไหว ผมยิ้มก่อนจะฉกฉวยริมฝีปากลงไปบนแก้มทั้งสองข้างของเขาเบาๆ...

ถ้าแอปเปิ้ลสองลูกนี้มียาพิษจริง... ก็คงเป็นยาพิษที่หวานที่สุดเท่าที่ผมเคยชิม

“ตี๋~” เขาลากเสียงยาว สีหน้างอแงงุ่นง่านเหมือนเด็กที่ถูกแกล้งแต่ไม่รู้ต้องทำยังไง
   
คิดว่าตัวเองน่ารักมากมั้ย?
   
“บอกความลับให้มั้ยครับ” ผมหัวเราะ แล้วกระซิบถาม ถอยใบหน้าออกมาเพื่อที่จะสบตาเขาได้ชัดเจน
   
“ที่เรียกซันว่าคุณเพราะอยากแกล้งน่ะครับ”
   
“หือ?” เขาทำหน้าไม่เข้าใจ
   
“ผมคุยกับคนอื่นอย่างสนิทสนมได้ทั้งที่เจอครั้งเดียว แต่กับซันผมไม่อยาก...”
   
“...”
   
“ตอนแรกมันเป็นเพราะผมไม่ชอบหน้า อยากยุ่งกับซัน ไม่อยากสนิทสนม เลยสร้างระยะห่างเอาไว้ แต่ตอนหลังมันไม่ใช่...” ผมยกมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มใสเบาๆ ขณะที่มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่กำลังมองลึกเข้ามาเช่นกัน
   
“เพราะซันเอาแต่แกล้ง ผมก็ยิ่งหมั่นไส้ แต่ยิ่งพูดเพราะด้วยก็ยิ่งกวนให้ผมหลุดทำตัวหยาบคายใส่ คนอะไรนิสัยไม่ดี” ผมเบ้ปากตีหน้าดุใส่เขา แต่เจ้าตัวกลับหัวเราะ รวบมือผมไปจูบที่ปลายนิ้วเบาๆ ก่อนจะกลับมาสบตากันอีกครั้งด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
   
สายตาแบบที่ผมหลงใหล
   
“แต่ผมชอบมากเลย” ผมดึงมือที่ยังกุมกันไว้มากดจูบเบาๆ ลงที่หลังมืออีกฝ่ายบ้าง กดแช่ไว้อย่างนั้นหวังจะใช้มือของเขาบดบังใบหน้าที่คงจะดูประหลาดเมื่อต้องเอ่ยเรื่องน่าอาย “รอยยิ้มกว้างๆ ของซัน สายตาที่มองมาตอนที่แกล้งผมได้... มันน่ารักมากเลย”
   
เดิมทีผมไม่ใช่คนยิ้มง่าย ไม่ใช่คนร่าเริงอะไร แต่เพราะภาพลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป ทำให้ผมพยายามเปลี่ยนตัวเองมากมายเพื่อให้ใครต่อใครมองผมอย่างเอ็นดู ซึ่งพออยู่กับเขามันไม่ใช่ ผมหงุดหงิดได้ อยากจะตีหน้าบึ้งคว่ำปากแค่ไหนก็ไม่เป็นไร มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมากเมื่อผมสามารถแสดงด้านแย่ๆ ใส่ใครสักคนได้โดยที่เขาไม่ว่าอะไร... ผม
สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสบายใจ โดยที่เขายังคงมองผมด้วยสายตาเอ็นดู... เหมือนสายตาที่เขากำลังมองผมอยู่ตอนนี้
   
สายตาที่ทำให้ผมหัวใจของผมหัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ทุกที... และเขาต้องจับได้แน่ในเมื่อร่างกายของเราสองคนยังแนบสนิทโดยไร้สิ่งใดกั้นอยู่แบบนี้
   
“หึ” เขาจ้องผมอยู่นานเหมือนกำลังซึมซับทุกความรู้สึกที่ผมส่งไป มุมปากที่เคยยิ้มบางๆ ค่อยๆ คลี่กว้างขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะ หลบสายตาผมแวบหนึ่งราวกับกำลังอาย แต่ไม่ทันไรก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา มองหน้าผมนิ่งอีกครั้ง

คราวนี้เนิ่นนานเหมือนจะใช้สายตาหวานล้ำนี้กักขังผมไว้ชั่วนิรันดร์
   
“โช...” เสียงทุ้มเรียกชื่อผมพลางยื่นหน้าเข้ามาฝังจูบลงบนหน้าผากผมเบาๆ
   
“...”
   
“โช...” เรียกซ้ำไปซ้ำมาขณะไล่ริมฝีปากลงมาที่ดวงตา ปลายจมูก ข้างแก้ม...

จนกระทั่งถึงริมฝีปากเสียงออดอ้อนก็ยังคงเรียกชื่อผมอยู่อย่างนั้น 

“โชกุนครับ”

“...”

“คืนนี้ลางานสักวันเนอะ” ว่าจบก็ฉกฉวยริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ทั้งที่ริมฝีปากยังแตะกัน ไม่คิดจะคัดค้านคำขอแสนเอาแต่ใจ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจะห้ามได้ และที่สำคัญไปกว่านั้น... ผมแน่ใจว่าตัวเองก็ต้องการสิ่งเดียวกัน
จริงอยู่ว่าทุกวินาทีที่เราสัมผัสกัน ในใจผมก็ยังสั่นคลอนด้วยความไม่มั่นใจ แต่เขาก็ช่วยปัดเป่ามันออกไปทุกครั้ง
ปลอบโยนและให้คำมั่นผ่านการกระทำที่ไม่เคยเร่งรัดจัดวาง...

ซันไม่ยัดเยียดความเชื่อใจ กลับค่อยๆ สร้างความเชื่อมั่นอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป บรรจงถมหลุมลึกในใจผมด้วยมือทั้งสองข้างอย่างถะนุถนอม กลบเกลี่ยเรียบเนียน ทว่ามั่นคงพอที่จะพาผมเหยียบย่างผ่านมันไป กุมมือผมไว้แผ่วเบาทว่าหนักแน่นพอที่จะทำให้ผมมั่นใจว่าเขาจะไม่ปล่อยผมไว้กลางทาง

เขารู้ว่ายังไม่ใช่วันนี้แน่... วันที่ผมจะทิ้งความหวาดกลัวที่สั่งสมมานานแล้วตามเขาไปทุกหนแห่งโดยไร้ข้อแม้ แต่แน่ล่ะว่าคงอีกไม่นาน...

หัวใจที่กำลังตกลกไปในหลุมลึกอย่างช้าๆ สักวันคงไม่อาจถอนตัว มัวเมากับความรักที่เขามอบให้โดยไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด... แม้กระทั่งเปลวไฟที่รายล้อมอยู่บนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ที่พร้อมจะแผดเผาร่างกายผมจนแหลกสลาย

อีกไม่นานผมคงเชื่อมั่นหมดใจ ว่าถ้าเป็นพระอาทิตย์ดวงนี้ล่ะก็...ผมจะไม่เป็นอะไร

เขาจะยอมโอบกอดผมไว้ ยอมกลายเป็นเปลวไฟที่อบอุ่นเพียงหลอมละลาย.... คลายทุกความหนาวเหน็บที่เกาะกินอยู่ในหัวใจผมให้หายไป ตลอดกาล








----------------------------------------------------------------------------
ตอนนี้ขออนุญาตมาแค่ครึ่งเดียวก่อนนะคะ
รู้สึกว่าความรู้สึกมันยังต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว
และยังคงอยากให้ความรู้สึกนี้มันฟุ้งอยู่แบบนี้ต่อไปสักพักน่ะค่ะ  :o8:
ถ้าใครไม่ชอบอ่านทีละครึ่งช่วยรออีกแป๊บนึงนะคะ
เดี๋ยวที่เหลือจะตามมาในวันพรุ่งนี้ค่ะ ^^


   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2017 21:21:23 โดย makok_num »

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ตลบอบอวนไปด้วยความรักจริงๆคะ
แบบอ่านละเคลิ้มไปกะความรักของทั้งคู่เลย

แต่พอมาอ่านทอร์กทำไมคนแต่งบอกว่า
อยากให้บรรยากาศแบบนี้ฟุ้งต่อไปอีกสักพัก
คืออะไรอ่าาาาาา ต่อจากนี้มันจะมีอะไรคะ
ยังจะมีมาม่าชามโตรออยุ่อีกเหรอคะ
มาม่าหม้อที่ผ่านมาแค่ออเดิฟใช่ไหมคะ
 :hao7: :hao7:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ความรู้สึกมันฟุ้งจริงงงง ฟุ้งไปด้วยอะไรหวานนๆเต็มไปหมดด ฮืออออ อ่านแล้วเขินตามมไปหมดเลย  :o8: :o8:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อู้ววววววววววววววววววว หวานเหลือเกิน
หวานจนมดขึ้น
หวานไม่เกรงใจเจ้าที่เจ้าทาง
อ่านแล้วได้แต่อู้วววววววววว
หลงกันเข้าไป
เคล็ดลับความลับอาจจะอยู่ที่น้ำมันพราย ที่ป้ายใส่กัน
ไม่งั้นไม่น่าหวานได้ขนาดนี้ 55555555555555555555555

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
หมอไหนคะโช จะไปทำบ้าง ของเขาแรงจริง  :hao5:

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น้ำตาลเราขึ้นไปหมดแล้วค้าาา ของเขาแรงจริงๆเด้อ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
-ต่อ-

หลงตะวัน : 4 [100%]


“สรุปว่าดีกันแล้ว?” คำถามที่ได้ยินทำเอาผมชะงักมือที่กำลังเก็บอุปกรณ์ชงกาแฟแวบหนึ่ง แต่ก็ทำไขสือไม่รู้ไม่ชี้ต่อได้ เพราะผมไม่ใช่คนที่ถูกถาม

“เออ” คนถูกถามจริงๆ ตอบห้วนๆ กลับไปใส่เจ้าเด็กขี้สงสัยที่นั่งท้าแขนเกาะเคาน์เตอร์อีกฝั่งมองพวกผมสลับกันด้วยสีหน้ามีเลศนัย

“ผมถามเคล็ดลับได้ป่ะว่าทำยังไงถึงได้ดีกันเร็ว” ผมชะงักมือตัวเองอีกครั้ง เผลอหันไปมองเจ้าของคำถามโดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำหน้ายังไง

รู้แต่ว่าแก้มร้อนฉ่าอย่างกับวางอยู่บนเตาไฟก็ไม่ปาน

เจ้านายมองหน้าผมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “โอเค ดูจากหน้าพี่โชแล้วน่าจะถามไม่ได้”

เด็กแสบ!

“อย่ามาแซวแฟนกู” แต่คนที่แสบยิ่งกว่าคงเป็นหัวโจกที่พอได้ยินแบบนั้นก็ร่วมขำ จนผมต้องหันไปถลึงตาใส่ แต่เจ้าตัวก็ไม่สะทกสะท้านอะไร กลับอมยิ้มเดินเข้ามาแย่งอุปกรณ์ในมือผมไปพร้อมกับกดริมฝีปากลงมาบนขมับผมเร็วๆ  จนดังจุ๊บ ก่อนชิ่งหนีไปที่อ่างล้างจาน ทิ้งให้ผมตกใจจนทำหน้าไม่ถูกต่อหน้านายที่ส่งสายตาล้อเลียนอย่างไม่คิดจะปิดบัง

อีกแล้ว ทำแบบนี้อีกแล้ว

คืนนี้ทั้งคืนผมทำงานไม่เป็นสุขเลยสักนิด เพราะเขาเอาแต่หาเรื่องแต๊ะอั๋งกันตลอดเวลา ถ้าอยู่สองคนผมจะไม่ว่าเลย แต่นี่มันในร้านนะครับ ถึงลูกค้าจะกลับไปหมดแล้ว และซันก็ฉวยโอกาสเร็วมากจนแม้แต่ผมยังตั้งตัวไม่ทัน ก็ใช่ว่ามันจะทำเรื่องแบบนี้ได้ตามใจนะครับ

อย่างตอนนี้ แค่สบตานายหน้าผมก็ร้อนจะแทบจะระเบิดแล้ว ให้ตาย

“พี่โชหน้าแดงมาก โคตรน่ารัก”

แล้วจะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา...

“ไอ้มิ่งๆๆๆ” แต่คนที่เดือดร้อนกว่ากลับเป็นร่างสูงที่รีบปรี่ออกมาจากอ่างล้างจานชี้หน้านายแล้วส่งเสียงร้องเรียกคนที่กำลังนั่งสะลึมสะลืออ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะใกล้เคาน์เตอร์เสียงดังจนเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วงุนงง

“แฟนมึงเต๊าะแฟนกูอ่ะ มาดูเร็ว” คนขี้ฟ้องตะโกนบอก

“ไอ้พี่ซัน!” นายโวยวายขึ้นมาอย่างไม่จริงจัง ดูจากรอยยิ้มขำๆ ตอนหยิบเมล็ดกาแฟที่ใส่โหลตกแต่งเคาน์เตอร์ขึ้นมาปาใส่รุ่นพี่จอมกวน

เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เลย

แต่คนถูกฟ้องดูเหมือนจะไม่รู้ว่าสองตัวแสบนี่กำลังล้อเล่น มิ่งเดินมาที่เคาน์เตอร์ตามที่ซันเรียก มองหน้านายก่อนจะเบือนสายตามาที่ผมแล้วยิ้ม

“พี่โชหน้าแดงจัง... น่ารัก”

ดะ... เดี๋ยวสิครับ ไหงหันมาเล่นงานผมเล่า!

ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาดันแว่นตัวเองเก้อๆ อึกอักไปหมดในขณะที่พวกที่เหลือพากันหัวเราะเสียงดัง คุกคาม... แบบนี้มันเข้าข่ายคุกคามกันชัดๆ เลย

พอไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยแกล้งเฉไฉด้วยการหนีมาล้างจานต่อจากที่ซันล้างไว้มันดื้อๆ นี่แหละ แต่ทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้ยินเสียงร้องห้าม

“เฮ้ย เดี๋ยวล้างเอง”

คราวนี้ผมหันไปตีหน้านิ่งใส่ร่างสูงที่มายืนข้างกันทำท่าจะแย่งแก้วกาแฟในมือผมไปอย่างไม่ยอม นอกจากจะหาเรื่องแต๊ะอั๋งกันตลอดเวลาแล้ว เรื่องที่ทำให้ผมไม่พอใจอีกอย่างคือวันนี้เขาแทบไม่ให้ผมแตะงานอะไรเลยนอกจากชงกาแฟ

“แค่ชงกาแฟก็เหนื่อยแล้วไง ปล่อยที่เหลือให้กูทำก็ได้” เหมือนอ่านใจผมออก เขาจึงรีบแย้งทันที

ผมถอนหายใจ เงยหน้าสบตาร่างสูงอย่างเหนื่อยหน่าย “อย่าสปอยล์กันนักสิครับ”

“...”

“เป็นแฟนนะ ไม่ได้เป็นง่อย” มุมปากบางอมยิ้มทันทีที่ผมพูดจบ

ดุขนาดนี้ก็ยังไม่สะทกสะท้านอยู่ดี คนอะไร

“ซันไปนั่งพักเถอะ เดี๋ยวผมทำเอง” ผมบอก ซันหัวเราะกลับมาเบาๆ

“โอเค ยอม” เขายกมือสองข้างอย่างยอมแพ้ แต่กว่าจะถอยออกไป ก็ทิ้งจังหวะอยู่นาน เอาแต่จ้องผมด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหนีก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงกว่านี้ และหน้าจะร้อนขึ้นมาจนถูกล้ออีก

“ทำไมเดี๋ยวนี้พี่โชเรียกพี่ว่าซันเฉยๆ แล้วอ่ะ” เจ้าเด็กขี้สงสัยยังตั้งคำถามไม่เลิกเมื่อซันเดินกลับไปนั่งหน้าเคาน์เตอร์ปล่อยให้ผมล้างจาน

ไม่คิดว่าจะมีคนสังเกตเหมือนกันว่าสรรมพนามที่ผมใช้เรียกซันมันเปลี่ยนไป... หลังจากวันก่อนที่ผมบอกความลับออกไป
ก็แค่... รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องระยะห่างต่อไปแล้วน่ะครับ

อีกอย่าง เวลาเรียกชื่อเฉยๆ แล้วเหมือนเขาจะชอบใจ เหมือนจะมีหางโผล่ออกมากระดิกดิ๊กๆ ให้เห็นแทบทุกครั้งเลย

“แปลกเหรอ” คราวนี้มิ่งเป็นคนถาม ผมไม่ได้หันกลับไปมองแต่หูก็ยังฟังบทสนทนาต่อไป

“แปลกดิ” นายว่า “มันดูสนิทสนมกว่าปกติ”

“แต่เขาเป็นแฟนกันก็ต้องสนิทสนมดิ”

ทำไมคู่นี่มันขี้สงสัยกันขนาดนี้

“ใช่เรื่องที่พวกมึงต้องเสือกมั้ยเนี่ย” ซันเอ่ยเหมือนที่ในใจผมคิดพอดี แต่แทนที่จะสลด นายกลับหัวเราะเบาๆ แล้วเปลี่ยนคำถามในประเด็นเดียวกัน

“แล้วเดี๋ยวนี้พี่ซันเรียกพี่โชว่าอะไร”

คนถูกถามเงียบไป พร้อมๆ กับผมที่ชะงักมือ

“กะ... ก็เรียกไอ้ตี๋ไง” เขาอึกอัก พูดเสียงดังกว่าปกติจนสังเกตได้ ผมลอบยิ้ม แกล้งล้างแก้วต่อทั้งที่ใบสุดท้ายนี่ผมถูวนไปมาจนแทบจะสึกอยู่แล้ว

“โม้สัส ลับหลังก็เรียกชื่อเฉยๆ เหมือนกันอ่ะดิ” นายสันนิษฐานด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะแก้ตัวว่ายังไง

“โช โชกุนครับ งี้เหรอ โห แม่งโคตรอ้อนเลย”

“ไอ้เหี้ยนาย!” แต่คนถูกอ่านใจถูกกลับเถียงไม่ออก เลยได้แต่โวยวายเสียงดังจนผมหลุดหัวเราะออกมา

ใช่ว่าผมไม่เคยสงสัยว่าทำไมเขาไม่เคยเรียกชื่อผมในที่สาธารณะ กลับยังเรียกฉายากวนๆ ที่ตัวเองตั้งอยู่แบบนั้นทั้งที่พักหลังเวลาอยู่ด้วยกันสองคนเขาเรียกชื่อผมบ่อยจะตาย

ซึ่งผมพอจะเดาได้นะว่าทำไม...

“พี่ซันหน้าแดงจัง” ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองตามเสียงมิ่งแล้วยิ่งยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อเห็นว่าใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจริงๆ

“เหมือนหมาปวดขี้อ่ะ ไม่เห็นน่ารักเหมือนพี่โชเลยวะ”

“พวกมึงหุบปากแล้วไสหัวออกจากร้านไปเลยไป” คนถูกแซวตะโกนไล่กลบเกลื่อนความอายของตัวเอง

ผมมองอาการประดักประเดิดเก้อเขินของเขาแล้วหันกลับมาลอบหัวเราะเบาๆ กับตัวเองอีกครั้ง รู้เลยว่าสีหน้าตัวเองก็คงไม่ต่างกัน เพราะงั้นขอหนีเอาตัวรอดก่อนโดนแซว

คิดว่าดีแล้วล่ะที่ผมยังเรียกผมว่าไอ้ตี๋เหมือนเดิม ไม่อย่างนั้นคงได้แต่ต่างคนต่างเขินจนไม่เป็นอันทำอะไร

แล้วอีกอย่าง ผมออกจะดีใจ... ที่ได้เป็นไอ้ตี๋ของเขาแค่คนเดียว






วันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาอีกครั้งโดยที่ชีวิตประจำวันของเราระหว่างนั้นไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก มันดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ผมกลับรู้สึกราวกับว่ามีสิ่งพิเศษเพิ่มขึ้นมาในแต่ละวัน มันอาจเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบใส่ลงมาอย่างเป็นธรรมชาติจนไม่ทันได้สนใจ เป็นความใส่ใจในความไม่ใส่ใจที่ผมรู้ดีว่าเป็นนิสัยที่ติดตัวเขามานาน

“เข้าห้องน้ำป่ะ” ซันหันมาถามหลังจากเราเดินออกมาจากโรงหนัง

“ผมรอตรงนี้ดีกว่า” ผมปฏิเสธ แล้วนั่งลงที่โซฟา มองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายไปทางห้องน้ำ ก่อนจะก้มลงมองป๊อปคอร์นที่เหลืออยู่ก้นถังแล้วลอบยิ้มกับตัวเอง

มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จัก...ที่เรามาดูหนังในโรงด้วยกัน

ผมไม่ทันสังเกตเลยจนกระทั่งเขาชวน มันไม่ใช่หนังพิเศษอะไร แค่แอนิเมชั่นภาคต่อที่ผมรู้รายละเอียดเกือบทั้งเรื่องแล้วจากสปอยล์ที่เจอเกลื่อนกราดเพราะหนังใกล้จะออกจากโรง แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่อบอวลอยู่ในหัวใจตลอดการดูหนังกลับแตกต่างจากทุกครั้งที่ผมนั่งอยู่ในโรง

ไม่รู้สึกเหงา ทั้งที่ไม่ได้คุยกัน ต่างคนต่างจดจ่ออยู่กับหนัง มีหันมายิ้มให้กันบ้างเวลาเจอมุกตลก เวลาเรื่องดำเนินไปจนถึงตอนที่รู้สึกชอบจนอยากจะแชร์ความรู้สึกกับใครสักคน แค่ผมหันไปข้างตัว ก็จะเห็นดวงตาคู่สวยจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาเหมือนรับรู้ว่าผมต้องการจะสื่ออะไร มือที่จับกันอยู่ทำให้อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศไม่หนาวอีกต่อไป
และผมพบว่าหัวใจของตัวเองสูบฉีดดีเกินไปทุกครั้งที่เขาบีบมือผมเบาๆ

“ตกลงว่าเป็นจริงๆ ใช่ป่ะ หลีดบริหารคนนั้น” แต่แล้วความรู้สึกทุกอย่างก็เหมือนจะพังทลายลงอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากโซฟาอีกตัวด้านหลังที่ถูกออกแบบพนักพิงให้สูงขึ้นมาจนบังศีรษะคนนั่ง

เอาอีกแล้ว... คำนินทา

“โชกุนอ่ะนะ? เป็นดิ ชัดเจน”
   
อยากจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องตัวเองเหมือนกัน แต่ได้ยินชื่อตัวเองเด่นหราอยู่ในบทสนทนาขนาดนั้นก็ไม่รู้จะหลอกตัวเองยังไงเหมือนกัน
   
“แล้วตกลงนางสอยพี่ซันหลีดวิศวะไปกินจริงๆ ใช่ป่ะ”
   
“โห มาดูหนังแถมนั่งสวีทมองตากันขนาดนั้น ฉันว่าไม่รอด”

ไม่อยากจะใส่ใจ แต่พอได้ยินชื่ออีกคนถูกพาดพิงแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ขึ้นมา

“เสียดายย”

ผมทำให้ชื่อเสียงเขาเสียหายจนได้

ถึงซันจะบอกแล้วบอกอีกว่าไม่แคร์ แต่ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ บางทีเขาอาจจะแค่พูดเพื่อให้ผมสบายใจ...

“ตี๋” แต่แล้วความคิดฟุ้งซ่านของผมก็ถูกทำลงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกทั้งที่เจ้าตัวก็ยืนอยู่ข้างหลังผมนี่เอง มันดังพอที่จะทำให้บทสนทนาของคนพวกนั้นชะงัก แล้วหนึ่งในนั้นก็ชะโงกหน้าออกมามองว่าพวกเราเป็นใคร ก่อนจะทำสีหน้าตกใจ ไม่นานก็พากันกระวีกระวาดลุกออกไป

ผมถอนหายใจ แล้วถือป๊อบคอร์นที่เหลืออยู่ลุกขึ้นบ้าง “ไปกันเถอะครับ”

จงใจถือถังป๊อบคอร์นในฝั่งที่เขายืนอยู่เพราะรู้ดีว่าเจ้าของมือหนาเตรียมตัวจะคว้ามือผมไปจับไว้เหมือนตอนที่เราเดินมา โดยลืมไปว่าเราไม่ควรให้ใครเห็น

“มึงได้ยินใช่ป่ะ” แต่แทนที่จะเดินเขากลับเอ่ยถามออกมาตามตรง ผมเงยหน้าสบตา ถึงไม่ตอบซันก็คงเดาได้ เขาถึงได้ยิ้มออกมาบางๆ “กูก็ได้ยิน”

“...” ผมขมวดคิ้ว แต่เขากลับหัวเราะ

“ครั้งแรกเลยเนี่ยที่โดนนินทาระยะเผาขนขนาดนี้” แววตาที่มองมาไม่ได้ฉายแววกังวลอย่างที่ผมหวาดกลัว กลับดูขบขัน เหมือนกับเจอเรื่องตลกไร้สาระปกติในชีวิตประจำวัน

“ที่เขาว่าพระพุทธเจ้าก็ยังโดนนินทานี่ท่าจะจริง” พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเองเหมือนค้นพบสัจจธรรม ก่อนจะก้มลงยิ้มบางๆ ให้ผมอีกครั้ง ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาอ่านใจผมออกเหมือนทุกครั้ง

“ถ้าไม่อยากได้ยินก็ปิดหูเอาแล้วกัน” มือสองข้างยื่นมาปิดหูผมไว้แทนมือที่ไม่ว่างเพราะต้องถือถังป๊อปคอร์น “ร้องเพลงดังๆ กลบเสียงไปเลยก็ได้อ่ะ”

“เพลงอะไรครับ” สุดท้ายผมก็หลุดอมยิ้ม ขณะที่ร่างสูงที่เลิกคิ้วทำท่านึกเพลง ไม่อยากคาดหวังให้เขาร้องเพลงซึ้งๆ ออกมาหรอก เพราะรู้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

“บาบาบา บาบานาน่า...”

แล้วผมคิดผิดที่ไหน

ถึงกับหลุดหัวเราะ มองเจ้าของเสียงทุ้มที่ร้องเพลงตามตัวการ์ตูนในแอนิเมชั่นอย่างขำๆ แล้วรู้สึกได้ว่าความกังวลที่มีอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง

ที่คิดว่าเขาแค่แกล้งไม่ใส่ใจเพื่อให้ผมสบายใจ กลายเป็นความคิดงี่เง่าเมื่อเห็นแววตาของเขาที่บ่งบอกย้ำชัดว่านอกจากความรู้สึกของผมแล้ว เขาก็ไม่คิดจะสนใจคำพูดของใครอีก... ผมเอง ก็ควรทำแบบนั้นไม่ใช่หรือไง นอกจากเขาแล้วผมไม่ควรเอาคำพูดแย่ๆ ของใครมาใส่ใจ เลิกคิดเองเออเอง แล้วเรียนรู้ที่จะมองแค่สายตาคู่นี้ที่สื่อความรู้สึกชัดเจนอยู่ตลอดเวลา เปิดเผย ไร้การปิดบัง ไม่มีทางปล่อยให้ผมคลางแคลงใจ

เมื่อเห็นผมสบายใจ ซันก็ยิ้มกว้างกว่าเดิมพลางจับไหล่ผมหมุนไปตรงทางออก แอบอาศัยจังหวะที่ผมหันหลังฉกฉวยริมฝีปากลงมาบนกระหม่อมเร็วๆ ก่อนจะดันหลังผมให้เดินนำหน้าไป พร้อมกับเสียงร้องเพี้ยนๆ ที่หลอกหลอนอยู่ข้างหูผมไปตลอดทาง จนกระทั่งเข้ามาอยู่ในลิฟต์ที่มีผู้โดยสารแค่สองคนเขาก็ยังไม่หยุดฮึมฮัม ผมส่ายหน้าเอือมๆ ทั้งที่ยังยิ้มกว้าง ขณะที่เปลี่ยนไปถือป๊อปคอร์นในมืออีกข้าง เพื่อเปิดโอกาสให้เขาเอื้อมมือมากุมมือผมไว้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ อีกต่อไป

และมันก็เหมือนกับหลายๆ ครั้ง ที่ผมรับรู้ได้ทันที่ว่าหัวใจมันกลับมาเต้นแรงอย่างไม่อาจห้าม เมื่อเขาบีบมือผมเป็นจังหวะตามเพลงเบาๆ

ให้ตาย... ผู้ชายคนนี้จะทำให้ผมตกหลุมรักเขาซ้ำๆ ไปอีกกี่ร้อยกี่พันครั้งกัน










------------------------------------------------------------
ที่บอกว่าอยากให้ความรู้สึกซีนแรกมันฟุ้งอยู่สักพัก
เพราะซีนหลังๆ มันไร้สาระจ๊นนน 5555
กลัวเพลงบาบาน่าของเจ้าซันจะกลบบรรยากาศซึ้งๆ ที่ตี๋อุตส่าห์บรรจงสร้างมาเฉยๆ น่ะค่ะ ไม่ได้จะมีดราม่าอะไร  :hao5:

แอบทอล์กยาวได้มั้ย อยากพูดถึงคาแร็กเตอร์ซันมากเลย (ไม่อยากอ่านก็ข้ามได้เลยนะคะ มันไร้สาระ 555)
ตั้งแต่ต้นมาเราว่าหลายๆ คนอ่านแล้วคงรู้สึกว่าซันเป็นพระเอกที่ธรรมดามากกก ไม่ได้จัดอยู่ในคาแร็กเตอร์พระเอกพิมพ์นิยม ไร้ซึ่งความกร๊าวใจใดๆ เคยมีคนบอกว่าเป็นคู่ที่ไม่น่าเอาใจช่วยเลยด้วยซ้ำ 55555
แต่เราชอบคาแร็กเตอร์นี้มาก เราไม่ต้องอวย ไม่ต้องยัดเยียดอะไรใส่เขาเลย
เคยคิดเหมือนกันว่าอยากพรีเซ้นซ์ในความเป็นหนุ่มฮอตของซันเพื่อให้ดึงดูดคนอ่าน แต่เอาเข้าจริงทำไม่ได้ 5555
เขียนไปเขียนมาทั้งสถานการณ์ ฟีลลิ่ง อะไรหลายๆ อย่างมันไม่ได้เลยเว้ยเฮ้ย
ส่วนหนึ่งเราว่าเพราะทั้งเรื่องมาซันเอาแต่อยู่กับตี๋อ่ะ พูดถึงตี๋ตลอดเวลา ไม่ค่อยพูดถึงตัวเอง
คงสังเกตได้บ้างว่าตอนอยู่กับคนอื่นซันเป็นอีกแบบเลยนะ มีความแพรวพราว มีความคาสโนว่า
แต่พออยู่กับตี๋ทีไรกลายเป็นลูกหมากากๆ ที่ยอมเขาไปหมด (เขาหลงของเขามาแต่ไหนแต่ไรอ่ะเนอะ)

ที่บ่นมานี่ไม่ใช่อะไร แค่กำลังย้อนกลับไปอ่านเชนตรีแล้วเห็นความแตกต่างของพระเอกสองเรื่องนี้น่ะค่ะ 5555
จริงๆ ก็ชอบทั้งสองคาแร็กเตอร์เลย อารมณ์แบบ ถ้ายกพี่เชนเป็นสามี คงให้เจ้าซันนี่เป็นมนุษย์แฟน อะไรแบบนั้น

เผลอทอล์กยาวกว่าเนื้อหาแล้วมั้ง ตัดจบมันห้วนๆ งี้เลยแล้วกันนะคะ 5555
ขอโทษที่ลั่นวาจาว่าจะอัพเมื่อวาน พอดีเรากลับจากทำงานก็เพลียกมากจนหลับยาว แง้งง หวังว่าจะไม่มาช้าไปเนอะ -..-

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆ เลยค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2017 04:54:36 โดย makok_num »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ
เหมือนต่างคนต่างก็ยอมลงให้กัน โอ้ยยยยย
จริงๆเราว่าซันนี่น่าจะเป็นผชในฝันของอีกหลายคนค่ะ
ไม่ต้องดีเลิศเลอขอแค่ธรรมดาๆพอดีๆพอค่ะ  :hao6:

ออฟไลน์ 05th_of_06th

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอาจริงๆมันก็ยังฟุ้งอยู่นะะ มันขำแต่ยังอยู่ในฟีลทุ่งดอกไม้บานอ่ะ อาจจะมีแดด มีฝน แต่ดอกไม้ในทุ่งยังเบ่งบาน อรั๊ยย ชอบจังค่ะ :-[ :-[

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
แอร๊ยยยยยย เขินตัวบิดไปหมดแล้วค่าาาาา
ชอบเวลาคู่นี้อยุ่ด้วยกันจังเลยค่ะ
แบบมันดูละมุน ตลบอบอวนไปด้วยความรักอะ

แต่อยากให้ตี๋มั่นใจในความรักครั้งนี้นะ
อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา
แค่จับมือกันไว้แน่นๆก้พอ

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
เหม็นความรักของนังซันมากจริงๆ ตอนแรกแบบบ ไม่สนนนน อหห มาหลงตะวันแล้วหัวปักหัวปลำเลยนะยะ 555555 หลงเข้าไปปป ฟินสุดดดด

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
คนโสดตายเรียบ เจอแบบนี้เข้าไป งื้ออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด