Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7  (อ่าน 103003 ครั้ง)

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
(ต่อ)


ผมมาถึงร้านพี่โมในเวลาอันรวดเร็ว เหยียบคันเร่งจนมิดเมื่อถนนหลังเที่ยงคืนแทบจะไร้สิ่งกีดขวาง ไม่สนใจที่จะไปจอดรถในที่จอดของร้านด้วยซ้ำ แต่ขับมาเทียบฟุตบาธหน้าร้านอย่างเร่งรีบจนคนข้างในหันมามองเป็นตาเดียว

“พี่ซัน” คนแรกที่ทักผมคือไอ้นายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ตามลำพัง สีหน้ามันดูไม่สดใสเหมือนทุกวัน บ่งบอกอะไรได้เป็นอย่างดี

“ไอ้ตี๋ไปไหน” ผมถามเสียงดัง สอดสายตาหาคนตัวเล็กที่ต้องการมาเห็นหน้าให้แน่ใจว่ามันจะไม่เป็นอะไรกับเรื่องบ้าๆ ที่ใครก็ไม่รู้กุขึ้นมา

ผมพยายามโทรหามันแล้ว แต่ดูเหมือนไอ้ตี๋จะปิดเครื่องไว้เลยโทรไม่ติด ยิ่งทำให้ผมร้อนใจแทบจะทนไม่ไหว

“กลับหอไปแล้ว” ไอ้นายตอบเสียงเบา หลบสายตาผม “ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะพี่”

พอมันพูดแบบนี้ผมก็รู้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร

ไอ้ตี๋คงรู้เรื่องรูปนั่นแล้ว และรูปสมัยมัธยมที่ผมเห็นใต้โพสต์นั้นก็คงมาจากเพื่อนไอ้นาย

“บอกให้เพื่อนมึงลบรูปนั่นซะ” ผมบอก น้ำเสียงเรียบนิ่งแบบที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะใช้

“เดี๋ยวกูมา” ว่าจบผมก็เร่งฝีเท้าออกจากร้าน และขับรถมุ่งหน้าไปที่หอไอ้ตี๋ทันที
   
โชคดีที่ผมเคยจิ๊กกุญแจสำรองของมันเอาไว้ตอนที่ไอ้ตี๋ป่วยคราวก่อนจึงไม่ลำบากในการเข้าหอมันนัก ผมขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่มันพัก และแทบจะวิ่งไปที่หน้าห้องด้วยความร้อนใจ
   
ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง
   
ปังๆๆ
   
ผมทุบประตูเสียงดัง อยากจะถือวิสาสะไขประตูเข้าไปเลยเหมือนกัน แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าความร้อนใจของผมอาจทำให้มันตกใจเกินไป และอีกใจหนึ่ง... ผมอยากได้เวลาเตรียมใจ ในการหาคำพูดที่อาจจะต้องใช้เพื่อปลอบใจมัน
   
แกรก~
   
รออยู่พักใหญ่จนเกือบจะทุบอีกหน ประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับใบหน้าขาวใสที่ดูมึนงง
   
“มาทำอะไรดึกดื่นครับ” พอเห็นหน้าผมก็ขมวดคิ้วถาม สีหน้าดูไม่พอใจเหมือนอย่างเคย
   
“นี่มึง...” ไม่เป็นไรเลยเหรอ
   
หน้าตาท่าทางไอ้ตี๋ดูปกติซะจนผมเหวอไปเลย ใบหน้าติดเอาแต่ใจกับแววตาที่เคยมองผมด้วยความเอือมระอายังไงก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่มีวี่แววของไอ้ตี๋ที่ฟูมฟายเสียใจเพราะพิษโซเชียลอย่างที่คิดภาพไว้เลยสักนิด
   
“มีอะไรครับ” ยกมือขึ้นกอดอก ถามย้ำ
   
ผมกะพริบตาปริบๆ มองมันอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ชิบหาย นี่กูเข้าใจผิดไปเองเป็นตุเป็นตะเลยเหรอ
   
“กูเห็น... รูป...” ผมอึกอัก พยายามอธิบายจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน
   
บางทีไอ้ตี๋อาจจะยังไม่เห็นรูปนั่นก็ได้ ถึงได้มีท่าทีปกติแบบนี้
   
“ผมรู้แล้วครับ” ไอ้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างเอือมๆ
   
อ้าว ก็เห็นแล้วนี่หว่า
   
“แล้วมึง... โอเคนะ” ผมหรี่ตามองมันอย่างไม่แน่ใจ
   
ไอ้ตี๋เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ”
   
“...”
   
“ตอนมัธยมยังโดนมาหนักกว่านี้”
   
แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่มันหลบสายตาผม พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ทุกอย่างก็เฉลยออกมาว่ามันไม่ได้โอเคอย่างที่แสดงออก
   
ไอ้ตี๋กำลังพยายามปกปิดความรู้สึกของตัวเองภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยของมัน
   
กูว่าแล้วไง
   
“แล้วอีกอย่างมันเป็นเรื่องจริง” ดวงตาเรียวเล็กกลับมาสบตาผมด้วยสายตาแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังรู้สึกยังไงอีกครั้ง “ผมเคยช็อกเข้าโรงพยาบาลเพราะกินยาลดความอ้วนจริงๆ”
   
“ตี๋...” ผมชะงักไป ไม่แน่ใจว่าตัวเองอยากจะพูดอะไร ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และตอนที่เห็นข้อความผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
   
แต่มันจะสำคัญอะไร
   
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ มันเป็นวิธีที่ได้ผลเร็ว” ว่าพลางยักไหล่ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
   
เชี่ยเอ๊ย อย่าทำหน้าแบบนั้นได้มั้ยตี๋
   
“งั้นมึงศัลยกรรมด้วยเหรอ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมปากหมาถามออกไปแบบนั้น
   
แค่ไม่อยากเห็นมันทำหน้าแบบนี้... ใบหน้าที่เคลือบด้วยความเข้มแข็งทั้งที่ข้างในอาจจะกำลังแตกสลาย
   
“...” มันไม่ตอบ
   
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าแม่งจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า สิ่งที่ผมต้องการรู้ตอนนี้ ไม่ใช่คำตอบว่าทุกอย่างคือความจริงหรือไม่เลยสักนิด
   
ที่ผมต้องการรู้ แค่อย่างเดียว... ก็คือความรู้สึกไอ้ตี๋ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาถึงนี่ด้วยความร้อนใจขนาดนี้
   
“มึงแดกยา ศัลยกรรม เป็นเกย์ แล้วยังมีอะไรอีก”
   
“...”
   
“ที่มึงเป็นลมคาร้านเพราะแดกยาลดความอ้วนเกินขนาดด้วยถูกมะ”
   
“คุณซัน!” คราวนี้มันเรียกชื่อผมเสียงดังเหมือนทนไม่ไหว แหงล่ะ จะมีใครรู้ดีกว่าผมว่าอะไรเป็นอะไร
   
ผมเฝ้าไข้มันมาทั้งคืน ได้ยินมาจากหมอกับหูว่ามันเป็นลมเพราะอะไร แต่ก็อดประชดออกไปไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่ทำเหมือนไม่เป็นอะไรแบบนั้น
   
“ถ้าจะมาพูดจาไร้สาระก็กลับไปดีกว่าครับ” แต่จนแล้วจนรอด ไอ้ตี๋ก็ปรับสีหน้ากลับมาหยิ่งยโสเหมือนเดิมจนได้มือบางเอื้อมไปจับบานประตูให้ปิดลงเพื่อไล่กัน
   
“อ้อ แล้ววันหลังถ้าจะขาดงาน ช่วยโทรมาลาก่อนหนึ่งวันด้วยนะครับ” พูดจบประตูก็ปิดลง พร้อมกับเสียงของผมที่หลุดเรียกชื่อมันออกมา
   
“โชกุน...”

ปัง

แต่ก็ไม่ทัน
   
เชี่ยเอ๊ย! งี่เง่าชิบ!
   
ทำไมต้องปิดบังความรู้สึกตัวเองตอนอยู่ต่อหน้าด้วยวะตี๋
   
ที่ผ่านมาผมคิดไปเองคนเดียวหรือไงว่าผมคือคนที่มันสนิทใจด้วย จนพร้อมจะเล่า หรือแสดงออกความรู้สึกทุกอย่างออกมา
   
 “...” ผมยืนสบถพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้น มองบานประตูที่เพิ่งปิดลงด้วยความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ
   
ทั้งที่ถ้าอยากคุยให้รู้เรื่อง ผมจะไขประตูเข้าไปเลยก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรอ...
   
รอให้มันเป็นคนเปิดรับผมเข้าไป ทั้งที่ไม่แน่ใจเลยสักนิดว่ามันจะยอมเปิดออกมา
   
แกรก...
   
และไม่นาน คำเรียกร้องในใจของผมก็เป็นจริง
   
เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างของไอ้ตี๋ที่ค่อยๆ เดินออกมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง แต่คราวนี้แววตาของมันกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
   
“คุณไม่น่ามาเลย...” เงยหน้ามองผมอย่างคาดโทษ ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างกำลังสั่นระริก ปฏิเสธคำพูดของตัวเองอย่างชัดเจน
   
ผมรู้ว่ามันดีใจที่เห็นผม
   
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” เอ่ยเสียงเบา พลางกัดริมฝีปากตัวเองราวกับกำลังข่มใจ ผมเลยยิ้มตอบกลับไป
   
“อืม มึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
   
“ผมแค่อยากเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนใหม่ ไม่ใช่คนที่น่าสมเพชแบบนั้น คุณเข้าใจใช่มั้ย”
   
ผมพยักหน้า “กูเข้าใจ”
   
“แต่พวกเขาไม่เข้าใจ...”
   
“ช่างหัวพวกมัน” ผมเถียงทันที ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเมื่อคิดได้ว่าการกระทำอันสิ้นคิดของใครหลายคน กำลังส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนตรงหน้าอย่างร้ายแรง

“แต่ว่า...”

“มึงจะแคร์คนพวกนั้น หรือแคร์กู เลือกมา” ผมยื่นข้อเสนอด้วยน้ำเสียงดุๆ อย่างไม่จริงจัง

และมันก็ได้ผลเมื่อไอ้ตี๋หัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาเรียวสวยเงยขึ้นสบตาผม ยังคงสั่นระริก และวาววับไปด้วยม่านน้ำตาที่มันพยายามข่มเอาไว้

“ผมร้องไห้ได้มั้ย”

มันใช่เรื่องที่ต้องถามเหรอวะตี๋

“ทำไมจะไม่ได้”

ไอ้ตี๋คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา แต่เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าขาวใสก็เริ่มขมวดคิ้ว กัดริมฝีปากตัวเองแน่น เหมือนพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ แต่สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมคล้ายกับจะเว้าวอน

“เคยมีคนบอกว่าผมหน้าตาน่าเกลียด... ตอนร้องไห้ก็ยิ่งน่าเกลียด...” พูดได้เท่านั้นหยดน้ำตาใสๆ ก็ไหลลงมาอาบแก้มเนียนราวกับไม่สามารถสะกดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป

“...” 

“แต่ผมไม่อยากแอบไปร้องไห้คนเดียวอีกแล้ว... ฮึก... ไม่อยาก...”

หมับ!

ไม่ทันพูดอะไรต่อ ผมก็คว้าร่างมันมากอดไว้ กอดแน่นๆ ไม่ให้มันพูดอะไรได้อีกนอกจากปล่อยให้น้ำตาไหล สะอึกสะอื้นกับไหล่ผมจนกว่าจะพอใจ

“อย่าคิดแบบนั้นดิตี๋” ผมลูบหัวมันเบาๆ เอ่ยกระซิบด้วยน้ำเสียงจริงใจกว่าครั้งไหนๆ “มึงไม่ได้น่าเกลียด ไม่น่าเกลียดเลยสักนิด”

“ฮึก...”

“มึงน่ารักจะตาย จะยิ้ม จะหน้าบึ้ง หรือจะร้องไห้จนหน้าบูดหน้าเบี้ยวยังไง มึงก็ยังน่ารัก... น่ารักมาก ได้ยินมั้ย”

ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดแบบนั้นเหมือนกัน รู้แต่ว่ามันไม่ใช่แค่คำปลอบใจ...

เพราะทุกสิ่งที่ผมพูดออกไป คือความจริงที่สัมผัสได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์






----------------------------------------------------------------------
เอาดราม่ากรุบกริบมาเสิร์ฟน้อ   :katai5:
ความจริงอยากตัดเล่าทีละประเด็น แต่เขียนไปเขียนมา เล่าทีเดียวสองปมเลยดีกว่าค่ะ หวังว่าจะรับกันทันนะ 5555
ใครยังไม่เคยอ่านเชนตรีขอเท้าความนิดนึงว่า วี คือ แฟนเก่า ของซันที่เคยปรากฏในเรื่องก่อนค่ะ (เดี๋ยวจะเล่าละเอียดอีกทีตอนนางมีบทนะคะ 5555)
ที่ต้องดึงตัวละครนี้กลับมาเพราะว่าเรื่องนั้นซันออกตัวแรงว่ารักวีมากๆ ถึงขั้นร้องไห้ฟูมฟายตอนเค้าทิ้งไป
เราไม่อยากให้ความรักในเรื่องนั้นดูปลอม ซันลืมง่ายๆ เลยหยิบประเด็นนี้มาเล่นในเรื่องนี้อีกทีค่ะ
แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นตัวแปรอะไรสำคัญอะไรขนาดนั้นค่ะ แค่มาสะกิดต่อมเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาแฟนเก่าเนอะ 55555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า

-- Martian --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2017 06:24:14 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 8

   
“ผมไม่เห็นคุณที่โรงพยาบาล” ผมหันไปเลิกคิ้วมองคนข้างตัวที่เอ่ยคำถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
   
หลังจากร้องไห้เป็นเผาเต่าอยู่เกือบชั่วโมง ไอ้ตี๋ก็หยุดร้องได้สักที ด้วยความดีความชอบที่เป็นคนปลอบมันจนดีขึ้น พอผมบอกว่าดึกแล้วขี้เกียจขับรถกลับมันจึงยอมให้มานั่งเล่นในห้องได้ ผมไม่ได้บอกว่าจะค้าง แต่แน่นอนว่าผมจะเนียนค้างที่นี่เพื่อดูอาการมันอีกสักหน่อย
   
เกิดอยากร้องไห้ขึ้นมาอีก จะได้หาทางทำอะไรสักอย่าง...
   
ผมไม่เคยกอดไอ้ตี๋มาก่อน อันที่จริงน้อยครั้งมากที่จะกอดผู้ชายสักคน โดยเฉพาะการกอดปลอบตอนร้องไห้ ที่เคยทำอย่างมากก็แค่ตบบ่า บอกว่าไม่เป็นไร แต่ไม่เคยคิดจะกอดเลยสักครั้ง
   
มันแปลก... ผมเองก็เพิ่งนึกได้
   
แต่พอเห็นว่าอ้อมกอดของผมทำให้ไอ้ตี๋หยุดร้องไห้ได้ ความแปลกนั้นก็ถูกทดแทนด้วยความโล่งใจ และเลิกใส่ใจมันในความคิดไปโดยปริยาย
   
“กูกลับมาอ่านหนังสือ” ผมว่าพลางเบือนหน้าออกมา
   
ทีวีในห้องรับแขกฉายหนังสักเรื่องที่มั่นใจว่าเคยดู แต่ผมไม่คิดจะค้นหาคำตอบว่ามันคือเรื่องอะไร ในหัวกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนแทบจะจับใจความไม่ได้ ขณะที่ปล่อยให้หนังดำเนินไปเรื่อยๆ
   
“อ่อ ครับ” มันพึมพำเสียงเบา
   
ผมเหลือบสายตามองไอ้ตี๋ก็พบว่าดวงตาที่บวมเป่งของมันกำลังจดจ้องอยู่ที่หน้าจอ แต่สายตาดูเหม่อลอยไม่ต่างกัน
   
“แล้วมึงเป็นไงบ้าง หายป่วยยัง” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
   
ถึงตอนอยู่โรงพยาบาลไข้จะลดแล้ว แถมหมอก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นไรมาก แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี ไอ้ตี๋แม่งชอบฝืนสังขารตัวเอง
   
“...” มันไม่ตอบ ผมจึงขมวดคิ้วยกมือขึ้นไปยังหน้าผากใส
   
“แล้ววันนี้มึงได้ไปทำงานป่ะเนี่ย” เลื่อนมือแตะจนทั่วใบหน้า แน่ใจแล้วว่าอุณหภูมิร่างกายมันปกติ แม้ว่าหน้าจะดูแดงๆ ชอบกล
   
“ครับ” มันตอบแค่นั้น หันหน้ามามองผมแวบหนึ่งแล้วหลบสายตาไป “แต่กลับมาก่อน”
   
คงเพราะเรื่องรูปนั่น
   
ผมคิดไว้แล้วว่ามันคงจะแคร์เรื่องนี้มาก มันพยายามหนีอดีตมาเป็นปีๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะถูกขุดคุ้ยมาวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ไม่คิดมากก็บ้าแล้ว
   
“ดีแล้ว” ผมว่า เอื้อมมือออกไปตบบ่ามันเบาๆ “จริงๆ มึงยังไม่ควรไปทำงานด้วยซ้ำ หยุดทั้งอาทิตย์ไปเลย”
   
คราวนี้ไอ้ตี๋หันกลับมาย่นคิ้วใส่ผมเหมือนพูดอะไรไม่เข้าท่า
   
“กูพูดจริงนะตี๋ สุขภาพมึงสำคัญ เรื่องร้านเดี๋ยวกูกับไอ้นายดูเองก็ได้”
   
“...”
   
“ชาวบ้านเขาเป็นห่วงมึงกันจะตายห่า มึงหัดห่วงตัวเองบ้างเหอะ” ผมบ่นอุบ ผลักหัวคนที่ยังมองมาด้วยสายตาไม่เชื่อฟัง
   
“ผมไม่เป็นไรสักหน่อย”
   
“ยังจะมาเถียง” ผมดุ “แล้วนี่มานั่งอยู่ทำไม ทำไมไม่ไปนอน” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ จะตีสองเข้าไปแล้วไอ้ตี๋ยังมาตีหน้ามึนนั่งดูหนังข้างผมอยู่ได้
   
“ก็คุณยังไม่กลับ” มันขมวดคิ้ว
   
“กูบอกตอนไหนว่าจะกลับ” ผมตีหน้าตาย
   
“อ้าว”
   
“อ้าวอะไร กูบอกแล้วว่าขี้เกียจขับรถ” ผมยักไหล่ เอนตัวทำท่าจะนอนบนโซฟาหน้าตาเฉย “หลบดิ๊มึงอ่ะ กูจะนอนตรงนี้” ไล่คนที่นั่งขวางรัศมีการเอนตัวให้หลบไป ไอ้ตี๋กะพริบตามองหน้าผมงงๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหลบสักทีผมจึงทิ้งตัวลงหนุนตักมันซะเลย
   
“คุณซัน!” มันเรียกชื่อผม สีหน้าดูตกใจจนน่าขำ
   
“ถ้ามึงไม่ถอยกูก็จะนอนอยู่งี้แหละ” ผมแกล้งหลับตากอดอก แล้วพลิกตัวหันหน้าเข้าหามัน กลิ่นกายที่เคยสัมผัสได้ผ่านๆ
 ชัดเจนขึ้นเมื่อจมูกซุกลงใกล้หน้าท้องบาง

   
“...” ไอ้ตี๋เงียบไป สัมผัสได้ถึงความเกร็งอย่างเห็นได้ชัด แต่มันกลับไม่ขยับตัวหนีเหมือนทุกที
   
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มองใบหน้าที่อยู่เหนือกว่าของไอ้ตี๋ที่กำลังก้มลงมาสบตาผมเช่นกัน
   
“...” ความเงียบอัดแน่นเต็มบรรยากาศ เมื่อทั้งผมทั้งมันต่างไม่มีใครพูดอะไร เสียงทีวีกลายเป็นเสียงประกอบที่ไม่มีใครใส่ใจ
   
ไม่รู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไรบางอย่างที่อยู่ในแววตาของไอ้ตี๋ หรือเพราะอยากเห็นหน้ามันให้ชัดกว่านี้ รู้ตัวอีกที ผมก็ชะโงกหน้าขึ้นมาจากตักมัน ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าเรียวที่ยังคงมองมาด้วยสายตาอ่านยากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบา...
   
กริ๊งงง
   
ชิบหาย!
   
โครม!
   
ผมตกใจจนเสียหลักตกโซฟา ในขณะที่ไอ้ตี๋ก็สะดุ้งสุดแรง กะพริบตาปริบๆ มองมาด้วยสีหน้างุนงง
   
โทรศัพท์ใครวะ!
   
เออ ของกูเอง
   
“ฮัลโหล” ผมควักโทรศัพท์มือถือที่กำลังส่งเสียงอยู่ในกระเป๋า พร้อมกับลุกขึ้นมานั่งพิงโซฟา มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกาหลังคอตัวเองเก้อๆ
   
เมื่อกี้นี้มัน... เชี่ยอะไรวะ
   
[ พี่ซัน พี่โชเป็นไงบ้างพี่ ]
   
ไอ้นาย
   
พอรู้ว่าใครโทรมา สายตาผมก็เหลือบไปมองคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนโซฟ้าโดยอัตโนมัติ ไอ้ตี๋หันมาสบตาผมแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะลุกออกไป พร้อมๆ กับผมที่ลุกขึ้น ปลีกตัวเดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่ระเบียง
   
“ไม่เป็นไรแล้ว” กว่าจะหาคำตอบเจอก็ใช้เวลาพักใหญ่ ผมลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะสูดเอาอากาศเย็นๆ นอกระเบียงเข้าไป
   
เผื่อมันจะทำให้อะไรที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่ในใจผมสงบลงได้บ้าง
   
[ จริงเหรอพี่ ] ไอ้นายทำน้ำเสียงเหมือนไม่เชื่อ
   
“เออ” ผมตอบห้วนๆ ยกมือขึ้นมายีผมจนยุ่งโดยไม่รู้ตัว “ถ้าเป็นห่วงนักมึงก็มาหามันดิ แต่มันจะนอนแล้วนะ” ไม่เข้าใจสักนิดว่าผมจะพูดจาย้อนแย้งแบบนั้นออกไปทำไม
   
[ ไปไม่ได้หรอกพี่ ร้านยังไม่ปิดเลย ] ไอ้นายทำเสียงหงอย [ แล้วอีกอย่างพี่โชคงไม่อยากเจอหน้าผมแล้ว ] และยิ่งหงอยกว่าเดิมในประโยคต่อมา
   
“เฮ้ย อย่าคิดมากดิ ไม่ใช่ความผิดมึง”
   
[ แต่ผมน่าจะบอกให้เพื่อนลบรูปนั้นไปตั้งนานแล้ว ]
   
ผมเงียบไปพักหนึ่ง เพื่อหาคำพูดที่จะทำให้มันสบายใจ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น รวมถึงเพื่อนไอ้นายด้วย คนพวกนั้นไม่ได้รู้จักไอ้ตี๋เหมือนที่ผมรู้ และพวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้มันจะเซ้นซิทีฟสำหรับมัน
   
“เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบแหละ” ผมว่า เดี๋ยวนี้กระแสอะไรก็อยู่ได้ไม่นานทั้งนั้น มาแค่ให้พอได้วิจารณ์ แล้วก็หายไปกับสายลม
   
ที่ทำได้ก็คงเป็นการดูแลจิตใจของคนที่โดนกระทำ
   
ผมหันกลับเข้าไปมองในห้องรับแขกอีกครั้ง เห็นไอ้ตี๋กำลังง่วนอยู่กับการจัดหมอน และวางผ้าห่มผืนหนาไว้บนโซฟา พอรู้ตัวว่าผมกำลังมองอยู่มันก็หันมาสบตากันด้วยสีหน้าอ่านยากอีกครั้ง แต่เพียงแวบเดียวก็หายไป กลับกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังขอบคุณ
   
รอยยิ้มที่ไม่ได้รับบ่อยนักคงทำให้ผมตกใจจนหัวใจมันเต้นแรงขึ้นมา
   
“แต่ถ้ามึงอยากไถ่โทษเดี๋ยวกูช่วยเอง”
   
รอยยิ้มที่ทำให้รู้ว่าผมควรทำอะไรสักอย่าง...
   
[ อะไรวะพี่ ]
   
“เออน่า เชื่อใจพ่อสื่ออย่างกูเถอะ”
   
เพื่อไม่ให้มันกวนใจผมเกินจำเป็น

   




วันต่อมา
   
โครม!
   
เชี่ยเอ๊ยย ทำไมมันลำบากยากเย็นขนาดนี้วะ
   
เป็นแค่ข้าวต้ม จำเป็นต้องทำยากเย็นขนาดนี้เลยเหรอวะ ถึงจะเป็นข้าวต้มกุ้งทรงเครื่องสูตรชาววังก็เหอะ
   
วังไหนไม่รู้ด้วย กูเสิร์ชอินเตอร์เนตเอา
   
แต่แค่ล้างกุ้งก็ไม่รอดแล้วไง
   
“ทำอะไรครับ” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงคนดังมาจากด้านหลัง
   
หันกลับไปก็เจอไอ้ตี๋ยืนกอดอกอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ใบหน้ายู่ยี่ใต้กรอบแว่นหน้ากำลังมองมาเหมือนไม่สบอารมณ์ที่ต้องตื่นนอนก่อนเวลาอันควรเพราะเสียงโครมครามที่ผมเป็นคนทำ

ตาบวมหมดเลยว่ะ เมื่อคืนน่าจะหาอะไรให้มันประคบก่อนนอนสักหน่อย
   
“ข้าวต้ม” ผมตอบ ยกมือขึ้นเกาคางตัวเองแก้เก้อ
   
ไอ้ตี๋ขมวดคิ้ว แล้วขยับเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้ามองซากกุ้งที่หล่นกระจายอยู่เต็มอ่างล้างจานเกือบครึ่งแล้วส่ายหน้าเบาๆ
   
“ทำไปทำไมครับ”
   
อ้าว ถามอะไรโง่ๆ วะตี๋
   
“ทำให้มึงกินไง” ผมโพล่งเสียงดัง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแม่งขวานผ่าซากเกินไป เลยเบาเสียงลง “อาหารคนป่วย”
   
มันเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ซื้อเอาก็ได้นี่ครับ”
   
เออก็จริง
   
ผมเบ้หน้า มองมันอย่างคาดโทษที่ไม่เข้าใจความใส่ใจ “ก็กูอยากทำเองไม่ได้หรือไง”
   
คราวนี้มันเลยเดินมายืนข้างผม หยิบกะละมังใส่กุ้งที่ล้างแล้วออกมาจากอ่างล้างจาน
   
“ทำเองน่ะได้ครับ... ถ้าทำเป็น” ไม่วายทำหน้าเอือมใส่กันเหมือนเคย
   
"กูก็เสิร์ชกูเกิ้ลอยู่นี่ไง มึงแม่ง อย่ามาขัดความพยายามกูดิ๊” พว่าพลางดันหลังมันให้หลบไป “คนป่วยไปนั่งรอไกลๆ เลยไป เดี๋ยวกูจัดการเอง”
   
“จะรอดเหรอครับ” มันขืนตัวไว้เมื่อผมไล่ให้ไปนั่งรอที่เคาน์เตอร์บาร์
   
“รอดดิ ระดับกูนะตี๋” ได้ทีก็คุยโว ทั้งที่เคยเข้าครัวกับชาวบ้านเขาที่ไหน ครัวที่ห้องตัวเองยังมีไว้ประดับบารมีเพิ่มค่าเช่าไปงั้นๆ
   
“ห้ามเผาครัวนะครับ” ถึงจะยอมให้ผมดันหลังจนไปนั่งบนเก้าอี้ได้สำเร็จแต่ก็ไม่วายหันมาทำหน้าไม่ไว้ใจกัน
   
“เออ”
   
เห็นกูกากระดับนั้นเชียว
   
“เปลี่ยนใจแล้ว ออกไปกินข้างนอกดีกว่า” ทำท่าจะกระโดดลงจากเก้าอี้มาอีกรอบ
   
“ตี๋!” ผมโวยวาย “ถ้าลุกกูงอนนะ” กอดอกเบ้หน้าเหมือนเด็กสามขวบทั้งที่รู้ว่าเป็นคำขู่ที่ปัญญาอ่อนสิ้นดี
   
ไอ้ตี๋มันเคยแคร์ผมที่ไหน โกรธให้ตายก็ต้องหายเองตลอดป่ะวะ
   
“ก็ได้ครับ” แต่ผิดคาด คราวนี้ไอ้ตี๋กลับถอนหายใจเบาๆ แต่ยอมกลับไปนั่งรอแต่โดยดี “แต่อย่าเผาครัวนะครับ”
   
“รู้แล้ว” ผมรับคำขำๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวฟูๆ ของคนตัวเล็กกว่าเร็วๆ ไม่เปิดโอกาสให้มันได้ด่าก็เดินกลับมายืนหน้าเตาอีกครั้ง
   
โอเค ข้าวต้มกุ้งสูตรชาววัง เริ่ม!
   
ผมให้สัญญาณตัวเองในการทำมื้อเช้าอีกครั้งในใจ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านสูตรคร่าวๆ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่นี่หว่า ต้มน้ำซุปให้เดือดแล้วใส่กุ้ง... ชิบหายไม่มีน้ำซุป
   
น้ำเปล่าได้ป่ะวะ
   
ผมเหลือบมองไอ้ตี๋ที่นั่งมองมาไม่วางตา กูเกร็งนะเนี่ย แต่สกิลการทำอาหารมันไม่ต่างจากผมนักหรอก เพราะงั้นใส่น้ำเปล่าแทนน้ำซุปแม่งคงไม่เอะใจ
   
“ไหวแน่เหรอครับ”
   
“ตี๋ อย่าเพิ่งขัดดิ” ผมโวยวาย แล้วหันกลับมาจดจ่อกับการทำข้ามต้มอีกครั้ง
   
อ่านหนังสือสอบกูยังไม่ตั้งใจขนาดนี้ ให้ตายเหอะ คิดถูกหรือคิดผิดวะเนี่ยที่ดันอวดดีจะทำอาหารเอง
   
ผีเข้ากูแน่ๆ ถึงได้ทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้
   
ผมคิดไปบ่นไปรอจนเนื้อกุ้งเริ่มสุกก็ใส่ข้าวสวยทที่เตรียมไว้ลงไปตามสูตร คนให้เข้ากัน แล้วปรุงรสตามใจชอบ... ตามใจชอบ?
   
ไอ้สัส สูตรเชี่ยไรเนี่ย มึงจบแค่ตรงนี้ได้ยังไง!
   
ผมเหลือบมองไอ้ตี๋อีกครั้ง พยายามไม่ส่งสายตาให้มันจับได้ว่ากำลังอยู่ในความชิบหาย เห็นไอ้ตี๋ส่งสายตาไม่ไว้ใจกลับมาก็รีบฉีกยิ้มกว้างเอาตัวรอดไว้ก่อน มันถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเอือมให้ผมนิดหน่อย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความขบขัน
   
จะหัวเราะกันมันยังเร็วไปนะเว้ยตี๋!
   
ผมรีบหันกลับมาจัดการกับข้ามต้มในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ อีกครั้ง ปิดหน้าจอโทรศัพท์ ช่างแม่งมันแล้วสูตร หันไปลังเลกับเครื่องปรุงที่กวาดซื้อมาแบบลวกๆ พร้อมกับวัตถุดิบอื่นๆ เมื่อเช้าแล้วสูดหายใจลึก
   
ปรุงรสตามใจชอบ... งั้นเอาตามที่กูชอบแล้วกันนะตี๋
   
ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าข้าวต้มเวรนี่จะเสร็จ ผมจัดการปิดเตา แล้วตักข้าวต้มใส่ถ้วยอย่างอารมณ์ดี เลือกกุ้งตัวใหญ่ๆ ให้ไอ้ตี๋ที่มองตามเหมือนทึ่งนิดๆ ที่ในที่สุดมันก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
   
เละไปหน่อยแต่แดกได้แน่นอน
   
“บอกแล้วครัวไม่ไหม้” ผมฉีกยิ้มอย่างภูมิใจ แต่ไอ้ตี๋กลับยักไหล่ไม่ใส่ใจ
   
ผมวางข้าวต้มของตัวเองลงฝั่งตรงข้ามมัน แล้วเดินไปรินน้ำกลับมาสองแก้วอย่างเต็มในบริการ นั่งลงตรงข้ามไอ้ตี๋ที่รออยู่แล้วส่งสัญญาณให้เริ่มกิน
   
“...”
   
“...”
   
หวาน... สัส! นี่ข้าวต้มหรือทับทิมกรอบ
   
ผมว่าตอนอยู่ในหมอมันไม่ได้รสชาตินี้นะ พอลงถ้วยแล้วทำปฏิกิริยาอะไรกับเซรามิกป่ะวะ
   
“อร่อยดีนะครับ” ปล่อยเวลาไปสักพัก ไอ้ตี๋ก็เอ่ยออกมา พลางตักข้าวต้มอีกคำเข้าปาก
   
ผมนี่อยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ อร่อยพ่อง มันแดกไม่ได้เว้ยตี๋ ไม่ต้องปลอบใจกู
   
แต่เพราะเห็นไอ้ตี๋ยังคงตักเข้าปากเหมือนอร่อยอย่างที่ปากว่าจริงๆ ผมก็อดไม่ได้ที่จะตักข้าวต้มขึ้นชิมอีกครั้ง...
   
ซึ่งผลแม่งก็เหมือนเดิม
   
ขนาดกุ้งยังหวานเลยสัส!
   
ผมวางช้อนลงทันที เอื้อมมือไปแย่งช้อนไอ้ตี๋ที่กำลังจะกระเดือกข้าวต้มเวรนี่เข้าปากอีกคำแล้วเลื่อนชามหนี ไอ้ตี๋มองหน้าผมที่ถือข้าวต้มทั้งสองถ้วยไปวางไว้ที่อ่างล้างจานงงๆ ขณะที่ผมเดินกลับมานั่งที่เดิมแล้วถอนหายใจ
   
“ตี๋ มึงว่า คนป่วยนี่แดกพิซซ่าได้มะ”
   
มันมองผม ส่ายหน้าเอือมเหมือนเคย 

แต่สุดท้ายกลับหลุดขำออกมา







-------------------------------------
เจ้าซันเอ๊ยยย  :ling2:

ปล. เรื่องเอื่อยไปมั้ยนะ หวังว่าจะถูกใจกันนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

--Martian--
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2017 23:09:02 โดย makok_num »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
55555
ความพยายามเป็นเลิศมากซัน

ออฟไลน์ temaripik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นอกจาความโง่ของซันแล้วยังจะมีดราม่าด้วยอ่อ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 9

   
ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมกับไอ้นายต้องทำงานกะดึกที่ร้านกันสองคน ไอ้ตี๋แวะเวียนมาดูด้วยความเป็นห่วงบ้าง แต่ผมไม่เคยให้มันอยู่เกินเที่ยงคืน พอมันดื้อผมก็ขู่ว่าจะไล่ลูกค้าแล้วปิดร้านซะ และเพราะได้รับการอนุมัติมากจากพี่โมแล้วไอ้ตี๋มันเลยยอมกลับไปแต่โดยดี
   
อาการป่วยของมันดีขึ้นมาก การได้กลับมาพักผ่อนอย่างเพียงพอทำให้หน้าตามันกลับมาดูสดใสเป็นปกติอีกครั้ง แต่เรื่องหนึ่งที่ยังรบกวนจิตใจมัน ก็คือข่าวลือนั่น...
   
จริงอยู่ที่เวลาผ่านไปเรื่องเมาท์มอยไม่เข้าท่าก็เงียบลง เพจเจ้าปัญหาถูกปิดลง แต่ก็กลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้งในเวลาไม่นาน แต่คงรู้ว่าสาเหตุที่ถูกปิดคืออะไรแอดมินเลยหยุดเล่นประเด็นของไอ้ตี๋ไป ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนเวลากลับไปลบล้าง
   
ทุกวันนี้ลูกค้าหลายคนที่มาที่ร้านต่างก็จ้องมองไอ้ตี๋ด้วยสายตาประหลาด บ้างก็ซุบซิบนินทาออกนอกหน้าจนผมแทบอยากจะไล่ออกจากร้านไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ถึงไอ้ตี๋จะบอกว่าไม่เป็นอะไร ชินแล้ว หรืออะไรก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าในใจมันก็คงยังรู้สึกแย่อยู่ดี
   
ผมแวะไปหามันที่ห้องทุกคืนหลังเลิกงาน ใช้ข้ออ้างเดิมๆ ว่าหออยู่ไกลจากร้าน ขี้เกียจขับรถกลับกลางดึกแล้วถือวิสาสะใช้กุญแจสำรองที่ยังไม่ได้คืนไขเข้าห้องไปโดยไม่คิดจะเกรงใจ แต่ความเป็นห่วงของผมผิดคาดเสียที่ไหน เพราะช่วงแรกที่โผล่เข้าไป ก็ยังเห็นไอ้ตี๋นั่งซึมไม่หลับไม่นอนในห้องรับแขกอยู่เลย มันบอกไม่ชินที่ต้องนอนเร็ว ผมก็ไม่รู้จะบังคับยังไง เลยได้แต่นั่งเป็นเพื่อน ดูหนัง หรือหาอะไรทำให้มันง่วงเร็วๆ ผมรอให้มันหลับก่อนแล้วค่อยอาศัยโซฟาตัวเดิมต่างเตียงนอนหลับจนเช้าแล้วค่อยกลับหอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเรียน
   
“วันหลังไม่หอบเสื้อผ้ามาอยู่นี่เลยเหรอครับ” เจ้าของห้องหันมาทำหน้าเอือมทันทีที่เห็นผมเปิดประตูเข้ามาตอนเกือบจะตีสี่เหมือนเคย
   
“ได้เหรอวะ” ผมแกล้งทำตาลุกวาว ไอ้ตี๋เลยทำหน้าเหม็นเบื่อไปกันใหญ่
   
ผมหัวเราะลั่นเดินไปนั่งข้างมันพลางยกมือขึ้นมาขยี้หัวฟูๆ แรงๆ อย่างมันเขี้ยว ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เวลาไอ้ตี๋ถอดคอนแท็กเลนส์แล้วเปลี่ยนมาใส่แว่นทรงลุงหนาเตอะแบบนี้แล้วมันดู... น่ามันเขี้ยวกว่าปกติ
   
โดยเฉพาะทำหน้าบู้บี้หงุดหงิดใส่ผมแบบนี้เนี่ย
   
“ความจริงไม่จำเป็นต้องมาแล้วก็ได้นะครับ” มันว่า ปัดมือผมออกจากหัวตัวเองอย่างแรง “ผมสบายดีแล้ว ไม่มีไข้แล้วด้วย”
   
ได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่วันแรก จนตอนนี้ครบอาทิตย์แล้วผมก็ยังโผล่หัวมาอยู่ดี ไม่รู้ทำไมมันไม่เลิกบ่นสักที
   
“บอกแล้วไงว่ากูขี้เกียจขับรถ” ผมยักไหล่ เอนหลังพิงพนักโซฟาทำตัวสบายเหมือนอยู่หอตัวเอง
   
“แล้วทำไมมึงยังไม่นอนอีก” จริงอยู่ที่สามสี่วันก่อนมันบอกว่านอนไม่หลับเพราะไม่ชินเวลา แต่สองสามวันที่ผ่านมาพอผมมาถึงหอมันก็หลับไปก่อนเหมือนปรับเวลาได้แล้วแท้ๆ
   
“ดูหนังอยู่ครับ” มันตอบสั้นๆ พยักหน้าไปทางหนังที่ถูกฉายอยู่บนทีวีจอยักษ์
   
“เฮ้ย กูชอบเรื่องนี้ นางเอกน่ารัก” ผมทำน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้านักแสดงคนโปรดอยู่ในจอ จำได้ทันทีว่ามันคือหนังเรื่อง Love Rosie
   
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนสนิทคู่หนึ่งที่ต่างคิดเกินเพื่อน แต่ก็มีเหตุให้คลาดกันไปมา ไม่รู้ความรู้สึกของกันและกันสักที กว่าจะลงเอยกันได้ก็เล่นเอาลุ้นจนเหนื่อย อันที่จริงผมไม่ค่อยอินกับหนังแนวนี้เท่าไหร่หรอก มันใสไปหน่อย แต่อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้นางเอกน่ารักมาก แถมเรื่องก็ฟีลกู๊ดดี เลยจัดให้เป็นหนังโปรดเรื่องหนึ่ง
   
ไอ้ตี๋มองผมอย่างทึ่งนิดๆ ที่ชอบอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ลุกขึ้นจากโซฟาทำท่าจะเดินไปที่ครัว
   
“หิวน้ำมั้ยครับ” มันหันมาถาม ผมเลยพยักหน้ารัวๆ “มีขนมด้วย จะกินมั้ยครับ”
   
โห ห้องไอ้ตี๋มีขนมเนี่ยนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็น
   
“เอาคร้าบ” ผมแกล้งยิ้มกว้างยียวน จนใบหน้าแสนใจดีผิดปกติของไอ้ตี๋กลับมาเป็นสีหน้าเหม็นเบื่ออีกรอบ ก่อนคนตัวเล็กจะเดินเข้าครัวไป
   
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วหันกลับมาดูหนังอีกครั้ง จากที่ดูเหมือนเรื่องจะดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้ว เป็นช่วงที่พระเอกอยู่กินกับผู้หญิงคนอื่นและเริ่มรู้ใจตัวเองว่าคิดถึงนางเอกแค่ไหน ผมหันไปมองไอ้ตี๋ที่ตระเตรียมของกินให้อยู่ในครัว เห็นสีหน้าตั้งอกตั้งใจของมันแล้วนึกขำขึ้นมา ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาที่จอเมื่อเห็นร่างโปร่งบางเดินหอบขนมกับน้ำกลับมา
   
“แป๊บนะ” ผมบอก ก้มลงดันโต๊ะกระจกหน้าโซฟาออกไป แล้วหยิบผ้านวมที่ไอ้ตี๋เอามาให้ผมห่มนอนลงไปปูที่พื้นต่างเบาะนั่ง หยิบหมอนอิงมาวางสองใบ ใบหนึ่งผมเอามาพิงหลัง ส่วนอีกใบเอามาให้ไอ้ตี๋ ตบที่ข้างตัวปุๆ สองทีให้มันลงมานั่งด้วยกัน
   
“จริงจังไปมั้ยครับ” มันส่ายหน้าขำๆ
   
ผมเลยขำตอบ พลางเอ่ยแซว “แล้วที่หอบเสบียงมาขนาดนี้ไม่จริงจังเลยมั้งตี๋”
   
ไอ้ตี๋ไม่ได้ว่าอะไร แค่ยักไหล่วางขนมกับน้ำที่ถือมาวางบนโต๊ะแต่โดยดี ผมหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายมองคนที่ไม่ยอมนั่งลงสักที
   
“เดี๋ยวผมเอาผลไม้มาให้กินด้วยดีกว่า” มันพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ครัวอีกครั้ง
   
ผมมองตามขำๆ ดูก็รู้ว่าขนมขบเคี้ยวพวกนี้มันเตรียมมาให้ผมคนเดียว ปกติไอ้ตี๋ไม่ค่อยกินมื้อดึก ถึงกิน ก็ไม่ใช่พวกขนมแคลลอรี่สูงพวกนี้แน่ๆ ส่วนใหญ่ของที่แช่ในตู้เย็นมันมีแต่ผลไม้ หรือไม่ก็อาหารไขมันต่ำ ตามประสาคนควบคุมน้ำหนัก
   
ตัวแห้งขนาดนั้น ไม่รู้จะควบคุมห่าอะไรอีก
   
แต่เอาเถอะ แค่รู้ว่ามันกินอาหารครบสามมื้อ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นลมเป็นแล้งไปอีกผมก็พอใจแล้ว ผมละสายตาจากร่างโปร่งบางที่กำลังหยิบผลไม้จากตู้เย็นออกมาล้าง ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนของไอ้ตี๋แล้วถือวิสาสะหยิบผ้าห่มที่อยู่บนเตียงมันมาเพราะรู้สึกว่าอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องค่อนข้างเย็น ไอ้ตี๋ใส่แค่ชุดนอนบางๆ เดี๋ยวแม่งก็ไม่สบายขึ้นมาอีก ขี้เกียจหอบไปหาหมอให้เหนื่อย ป้องกันไว้ก่อนแล้วกัน
   
พอเดินออกมาคนตัวเล็กกว่าก็เดินถือจานแอปเปิ้ลออกมาจากครัวพอดี มันเลิกคิ้วมองผมที่หอบผ้าห่มอยู่ส่งสายตาเหมือนจะด่ากันว่าไม่มีความเกรงใจหน่อยหรือไง แต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วเดินไปนั่งบนผ้าห่มที่ผมปูไว้
   
“อ่ะ” ผมนั่งลงข้างๆ แล้วโยนผ้าห่มใส่ตักมัน เอื้อมมือไปหยิบซองขนมออกมาแกะกินพลางดูหนังไปพลางอย่างสบายใจ ไอ้ตี๋มองผมมึนๆ แวบหนึ่งก่อนจะสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนา หลังพิงโซฟา เหยียดขาออกไปไว้ใต้โต๊ะกระจกข้างๆ กับขาผมที่พาดอยู่ก่อนแล้ว เป็นท่าสบายที่ผมใช้เวลานอนแผ่ดูบอลอยู่ที่ห้อง หรือเวลาเล่นเกม แต่ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนมานั่งแผ่อยู่ข้างๆ แบบนี้
   
จะว่าไปก็นานแล้วนะที่ผมไม่ได้เข้าโรงหนัง เพราะปกติถ้าจะไปก็ต้องมีคนชวน ไม่ว่าจะเพื่อน หรือแฟน...
   
แต่ตอนนี้ไม่มีทั้งคู่อ่ะ วันๆ ติดแหง็กอยู่ที่ร้านกาแฟจนเช้าก็ไม่รู้ว่าจะหาเวลาไหนไปเหมือนกัน
   
“มึงชอบดูหนังป่ะ” ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ผมก็อยากถามขึ้นมา
   
ไอ้ตี๋เงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้า “ครับ”
   
“ไปกับใคร” ผมขมวดคิ้วนิดๆ พลางหยิบขนมเข้าปากไปเรื่อยๆ
   
“คนเดียวครับ”
   
“หา?” คราวนี้หันมามองคนข้างตัวอย่างตกใจ
   
เท่าที่จำได้ ไอ้ตี๋แม่งเพื่อนเยอะจะตาย โดยเฉพาะสาวๆ คณะมันใครๆ ก็อยากสนิทกับไอ้ตี๋ทั้งนั้น ด้วยดีกรีเชียร์ลีดเดอร์มหาลัยพ่วงด้วยตำแหน่งคิ้วท์บอย แต่จะว่าไป... ผมยังไม่เคยเห็นมันสนิทกับใครจริงๆ สักคน ส่วนใหญ่เป็นพวกที่คบกันผ่านๆ เหมือนสร้างคอนเนคชั่นเพื่อความสนุกสนานไปงั้นๆ
   
“ไปคนเดียวตลอดเลยอ่ะนะ” ผมถามต่อ มันหันมาขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจว่าจะถามทำไม แต่ก็ยอมตอบน้ำเสียงเนือยๆ
   
“ไม่ทุกครั้งหรอกครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ไปคนเดียว”
   
“ชอบไปคนเดียวเหรอ?”
   
“ก็ไม่เชิงครับ แค่ไม่รู้จะไปดูกับใคร”
   
“...”
   
“แล้วอีกอย่าง ดูคนเดียวสบายใจดีนะครับ ไม่มีใครชวนคุยให้เสียสมาธิดี” พูดโดยที่ไม่หันมามองหน้าผม
   
อ้าว เหมือนด่ากู
   
ผมหุบปากฉับ แต่ไม่วายยกมือขึ้นขยี้หัวคนที่แอบเหน็บกันอย่างหมั่นไส้ จนไอ้ตี๋เหลือบสายตามามองเคืองๆ แล้วปัดมือผมออกแรงๆ เหมือนเคย
   
ผมหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปที่จออีกครั้ง แต่จดจ่อได้ไม่นานความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามา ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดหน้าจอ เข้าแอพลิเคชั่นของโรงหนังเจ้าดัง แล้วเข้าไปในหน้าสำหรับโชว์โปรแกรมหนังที่กำลังฉาย ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้คนข้างตัว
   
“มึงอยากดูเรื่องไหน เลือกมา”
   
ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้ว มองโทรศัพท์สลับกับหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
   
“ทำไมต้องเลือกครับ”
   
เลือกไปทำขนมเบื้องมั้งตี๋ ถุย
   
“เลือกๆ มาเหอะน่า” ผมไม่ตอบ แต่เร่งเร้าให้มันจิ้มมาสักเรื่องสักที ไอ้ตี๋ทำหน้าเคลือบแคลง แต่คงเพราะรู้ว่าถ้าไม่เลือกผมก็จะตื๊อจนรำคาญ สุดท้ายเลยถอนหายใจแล้วจิ้มเลือกชื่อหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา
   
“พอใจยังครับ” ว่าพลางเบือนหน้ากลับไปที่จอเหมือนเดิม

ผมมองหนังที่มันเลือกแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว

แม่งชอบหนังรักหวานแหววเหรอวะ
   
แต่ก็ดี น่าจะเข้ากับสถานการณ์ดี เผลอๆ อาจจะอินกับหนังจนอะไรๆ มันเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้บ้าง...
   
ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมให้ไอ้ตี๋เลือกหนังที่มันอยากดูทำไม เพราะกำลังจะชวนมันไปดูหนังไง... แต่ไม่ใช่ผมหรอกนะที่เป็นคนชวน
   
ตอนที่มันบอกว่าปกติไปดูหนังคนเดียว อยู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันคงจะเหงาน่าดู และคงจะดีถ้ามีใครไปนั่งดูเป็นเพื่อน... ประจวบเหมาะกับที่ผมเพิ่งนึกได้พอดี ว่ายังไม่ได้ทำอย่างที่รับปากไว้กับไอ้นายเลย
   
หน้าที่พ่อสื่อที่ผมเกือบจะลืมไปแล้ว ด้วยความวุ่นวายหลายๆ อย่าง ยิ่งตอนเกิดเรื่อง ไอ้นายกับไอ้ตี๋ก็เจอกันน้อยลง ไอ้นายยังรู้สึกผิดอยู่ที่เพื่อนมันเป็นคนปล่อยรูปในอดีตของไอ้ตี๋จนกระพือไฟนินทาให้ลุกโหมไปกันใหญ่ ถึงไอ้ตี๋จะไม่ว่าอะไร แต่สีหน้าหงอยๆ ของไอ้นายก็ทำให้ผมอดสงสารไม่ได้
   
เห็นทีคงต้องหาโอกาสทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนกลับมาสนิทชิดเชื้อเหมือนเดิม... ไม่สิ ต้องมากกว่าเดิม
   
เพราะถ้าไม่ใช่ไอ้นาย ผมก็นึกไม่ออกแล้วว่าคนที่จะเข้ามาช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำซ้ำๆ ของไอ้ตี๋จะเป็นใคร
   
“ต่อไปไม่ต้องดูหนังคนเดียวแล้วนะตี๋” ผมเอ่ยพึมพำ มองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังจดจ่อดูหนังอย่างตั้งใจ
   
“อะไรนะครับ” มันหันมาเลิกคิ้วถาม
   
“...” เล่นเอาผมผงะเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าหน้าอยู่ใกล้กันขนาดนี้
   
“?”
   
“อะไรล่ะ กูยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ วู้ ดูหนังไปตี๋” นิ่งไปพักใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอแกล้งพูดเฉไฉพลางผลักหัวคนที่จ้องมาให้หันกลับไปที่หน้าจอ
   
พอเห็นไอ้ตี๋เลิกสนใจ ผมจึงเบือนหน้าหนีออกมา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่อยู่ๆ ความรู้สึกประหลาดก็เล่นขึ้นมาในอก ผมขมวดคิ้ว ปัดความรู้สึกไร้ที่มาที่ไปนั่นออก และปล่อยความคิดวนเวียนอยู่กับการวางแผนเรื่องไอ้ตี๋กับไอ้นาย คิดวนไปวนมาจนแน่ใจว่าสิ่งที่กำลังจะทำมันจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย จนแทบไม่ได้สนใจหนังที่กำลังฉายอยู่เลยสักนิด และอาจเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันใช้แรงใช้สมองมากเกินไป สุดท้ายก็เลยเพลียจนพยุงหนังตาไว้ไม่ไหว เผลอหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า
   
ก่อนจะตื่นมารับรู้ว่าไอ้ตี๋เองก็เผลอหลับพิงไหล่ผมอยู่ข้างๆ กัน
   
ใบหน้าตอนหลับปุ๋ยไร้พิษภัยของมันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา

   




หลายวันต่อมา
   
หลังอาทิตย์สอบมิดเทอม หลายคณะก็หาทางให้นักศึกษาปลดปล่อยด้วยการผลัดกันจัดกิจกรรมรื่นเริงอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นตอนปีหนึ่งผมคงตื่นเต้นระริกระรี้พาเพื่อนยกโขยงไปทุกงาน แต่อย่างว่า สังขารมันไม่เที่ยง พอขึ้นปีแก่ก็ไม่มีความกระตือรือร้นอะไรทั้งนั้น ลำพังแค่ไปเรียน แล้วต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟต่อร่างก็แทบพังแล้ว
   
แต่เพราะวันนี้ว่างหรอกถึงแวะมา
   
งานออกร้านของคณะบริหารที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อให้นักศึกษาได้ลองเรียนรู้วิธีการขาย การตลาด การวางแผนต่างๆ จากสถานการณ์จริง และเพราะเป็นกิจกรรมคณะที่ไอ้ตี๋ต้องรับผิดชอบด้วย พี่โมเลยอนุญาตให้ปิดร้านตั้งแต่หัวค่ำ เพราะยังไงซะช่วงนี้ลูกค้าก็น้อยอยู่แล้ว
   
ผมเดินเข้ามาในงานได้ไม่ถึงสิบก้าวก็ติดแหง็กไม่พ้นประตูทางเข้า คนเยอะชิบหายเลย อย่างกับรวมเด็กทั้งมหาลัยไว้ในงาน แต่ก็อย่างว่าแหละ สอบเสร็จทั้งทีใครๆ ก็อยากปลดปล่อย แถมใครๆ ก็รู้ว่าสาวบริหารเลื่องลือเรื่องความน่ารักยิ่งกว่าคณะไหนๆ พวกที่มาส่วนใหญ่เลยถือว่ามาเอาอาหารตามากกว่าจะสนใจกิจกรรม
   
“เชี่ย สาวบูธนั้นโคตรน่ารัก” ใครสักคนในกลุ่มพูดขึ้นมา ในขณะที่ผมยังชะเง้อคอหาบูธของเด็กปีสาม
   
มันบอกว่าขายน้ำนี่หว่า อยู่ไหนวะ
   
“ไอ้ซัน ไปป่ะ”
   
“ฮะ?” ผมสะดุ้งสุดตัวหันมาเบิกตากว้างใส่เพื่อนทั้งกลุ่มอย่างตกใจจนพวกมันขมวดคิ้วใส่
   
“เป็นเชี่ยไรมึง เห็นชะเง้อคอมองหาอะไรมาตั้งแต่เข้างานละ”
   
“ไหนๆ มึงสนใจบูธไหนบอกกูมา”
   
“นัดสาวไว้เหรอวะ”
   
สาวพ่อง!
   
ผมไม่ได้ตอบพวกเพื่อนเวรที่รัวคำพูดใส่ไม่หยุด ก่อนจะแกล้งหัวเราะเฉไฉอย่างแนบเนียน “ไหน เมื่อกี้มึงบอกบูธไหนเด็ดนะ”
   
แค่นั้นแหละ ไอ้พวกหื่นนี่ก็รีบทำตาลุกวาวพยักเพยิดหน้าไปทางเดียวกัน “ร้านยำๆ”
   
ผมมองตามเห็นบูธขายสารพัดยำที่มีแม่ค้าสาวสวยน่ารักยืนเรียกลูกค้าอยู่สองสามคนก็ยิ้มออกมา “เออ โคตรน่ารัก”

   พอผมพยักหน้าเห็นด้วยพวกเราก็เฮโลพากันฝ่าฝูงชนตรงไปที่บูธนั้นทันที แต่ยังไม่ทันจะถึงก็มีเหตุให้ผมต้องหยุดฝีเท้าตัวเองลง
   
“ใช่คนที่มีข่าวว่ากินยาจนน็อคคาร้านกาแฟป่ะ”
   
จะมีสักกี่คนกันที่มีข่าวแบบนั้นในช่วงนี้
   
“ตัวจริงน่ารักอ่ะ”
   
“เห็นว่าศัลมาทั้งตัวป่ะ”
   
“หมอไหนวะ โคตรธรรมชาติเลย”
   
หมับ!
   
รู้ตัวอีกที มือผมก็คว้าเข้าที่ข้อมือของเจ้าของบทสนทนาที่กำลังจะเดินผ่านไปซะแล้ว
   
ชิบหาย ลืมตัว
   
“อะ... เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ทั้งสองคนหันมามองผมอย่างตกใจ ไม่รู้ว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่แววตาทั้งสองคู่ถึงได้เจือไปด้วยความหวาดกลัวเล็กๆ
   
พอรู้ตัวผมจึงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง
   
“บูธไหนครับ”
   
“คะ?”
   
“คนที่พูดถึงเมื่อกี้ อยู่บูธไหนเหรอครับ” งัดเอาความสุภาพที่ไม่ค่อยได้ใช้ออกมาเต็มคราบแล้วถามอย่างใจเย็น
   
ถึงข้างในจะไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ก็เหอะ
   
รู้จักหรือไงถึงมานินทาเขาอยู่แบบนี้
   
“ตะ... ตรงนู้นค่ะ ร้านขายน้ำปั่น” เธออึกอัก ยกมือขึ้นชี้เข้าไปด้านในอย่างเก้ๆ กังๆ
   
“อ่อ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มกว้าง แล้วปล่อยมือที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเผลอออกแรงบีบจนแขนขาวๆ ขึ้นสี ต้องเอ่ยขอโทษอีกทีก่อนจะปล่อยให้พวกเธอเดินไป
   
“อะไรวะไอ้ซัน” หันกลับมามองเพื่อนกลุ่มใหญ่ของตัวเองที่มองมาด้วยความงุนงงแล้วได้แต่หัวเราะตอบไป
   
“กูหิวน้ำว่ะ เดี๋ยวมา”
   
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าผมจะเดินฝ่าคนมาจนถึงบูธขายน้ำของไอ้ตี๋ แต่ก็ช้ากว่าอีกคนอยู่ดี
   
“อ้าวพี่ซัน มาด้วยเหรอพี่”
   
“เออ” ผมพยักหน้าตอบไอ้นาย ก่อนจะหันไปมองอีกคนที่ง่วนอยู่กับการทำน้ำปั่นให้ลูกค้าอยู่
   
ไอ้ตี๋เหลือบสายตากลับมามองผมอย่างประหลาดใจนิดหน่อย แต่ไม่ได้ทักทายอะไร พอเห็นมันเมินผมก็ยิ่งอยากแกล้ง เลยเดินเข้าไปยักคิ้วทักทายด้วยประโยคที่พูดจนติดปาก

“ตี๋ ลาเต้”

รู้แหละว่าร้านมันไม่ได้ขาย แค่พอใจที่เห็นมันหันมาทำหน้าเอือมใส่เหมือนทุกที

“มาถึงก็กวนตีนเลยนะพี่” ไอ้นายพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา ในขณะที่อีกคนสัมทับด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

“นั่นสิ ถ้าจะมากวนก็อย่าเกะกะหน้าร้านครับ”
   
แหม นี่ก็ดุกูจังเลย
   
“นี่ลูกค้านะตี๋” ผมโวยติดตลก ก่อนจะก้มหน้าเลือกเมนูบนป้ายที่ตั้งอยู่หน้าร้าน “เอาโกโก้ปั่นแก้วนึง” เลือกพอเป็นพิธีไม่ให้ไอ้ตี๋มันออกปากไล่อีก ผมมองตามคนตัวเล็กที่หันกลับไปทำโกโก้ปั่นให้ตามออเดอร์แล้วยิ้มออกมาที่เห็นมันว่าง่ายกว่าตอนอยู่ที่ร้านเยอะเลย
   
รู้งี้ลาออกมาเป็นลูกค้าถาวรเลยดีมั้ยเนี่ย
   
“จ้องขนาดนั้นอยากกินโกโก้หรืออยากกินคนปั่นพี่” เสียงไอ้นายถามขึ้นมากลั้วหัวเราะ แต่พอผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าพูดอะไร แม่งเสือกยักไหล่ทำหน้าตากวนตีนตอบกลับมา

“มึงมาไงเนี่ย” ผมหันไปถาม ละสายตาจากไอ้ตี๋ที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำโกโก้ปั่น

“ผมก็เด็กบริหารนะเว้ย” มันหัวเราะ ทำหน้าเหมือนผมถามอะไรโง่ๆ

คำพูดประชัดประชันนี่ได้มาจากไอ้ตี๋ใช่มั้ยฮะ เด็กเวร

“แล้วมึงไม่ต้องไปออกร้านกับเขาเหรอ” ผมเปลี่ยนคำถาม อันที่จริงตอนแรกก็ตั้งใจจะถามคำถามนี้แหละ แต่
อยากเกริ่นก่อนไม่ได้ไง?
   
“ปีผมจัดสอยดาวตรงหน้างานอ่ะ คนเยอะแล้วไม่มีอะไรให้ทำเลยมาช่วยพี่โชขายน้ำ” มันพูดยิ้มๆ เบือนสายตาไปทางไอ้ตี๋ที่มองมาแล้วยิ้มให้เหมือนกัน
   
เห็นแบบนั้นก็เข้าใจว่ามันสองคนคงกลับมาคุยกันได้สนิทใจเหมือนเดิมแล้ว
   
“อ่อ” ผมพยักหน้าเออออ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ตี๋ยื่นน้ำปั่นมาให้พอดี
   
“สี่สิบบาทครับ”
   
“จ่ายเป็นรอยยิ้มแทนได้ป่ะ” ผมแกล้งกวนตีน ยิ้มกว้างจนตาหยี ซึ่งไอ้ตี๋ก็ไม่รับมุกเหมือนเคย
   
แต่แปลกที่อเห็นมันทำหน้าเหม็นเบื่อผมก็ยิ่งขำ ควักแบงค์ร้อยออกมาจากกระเป๋าสตางค์ให้มันแล้วบอกไม่ต้องทอน ไอ้ตี๋ไม่ได้แย้งอะไร แค่ยักไหล่แล้วยื่นแบงค์ให้ผู้หญิงอีกคนที่เป็นคนคุมกระปุกเงิน นอกจากไอ้ตี๋แล้วสีหน้าทุกคนดูยินดีมากกับทิปจำนวนหกสิบบาทของผมจนหลุดขำออกมาอีกรอบ ยกโกโก้ปั่นขึ้นดูด แล้วยกนิ้วให้คนที่ยืนมองอยู่จนมันตีหน้าตึงเบือนหน้าหนีกลับไป จึงบอกลาไอ้นาย
   
“กูไปละ”
   
“อ้าว พี่ไม่อยู่ต่ออ่ะ ช่วยกันขาย” มันเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจที่คราวนี้ยอมไปง่ายๆ ทั้งที่ปกติถ้าเห็นไอ้ตี๋อยู่ผมจะวอแวจนโดนด่าให้เสียหมาก่อนค่อยเลิกกวนตีนมัน
   
แต่คราวนี้คงไม่จำเป็นแล้วมั้ง
   
“กูมากับเพื่อนว่ะ” ผมบอก ก่อนจะบอกลาอีกครั้ง “ไปละ ขอให้ขายดีๆ” ไม่ลืมที่จะหันไปมองไอ้ตี๋ที่กำลังมองกันอยู่พอดีแล้วส่งยิ้มยียวนใส่เหมือนทุกที
   
ต่างกันที่คราวนี้มันไม่ได้ทำสีหน้ารำคาญกลับมา แววตาฉายแสงประหลาดบางอย่างที่ผมอ่านไม่ออกว่าคืออะไร
   
แต่ก่อนที่จะเข้าใจผมก็ละสายตาเดินจากมาพร้อมกับทำสิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้
   
เดิมทีผมกังวลนิดหน่อยว่าถ้าไอ้ตี๋มาออกร้านวันนี้มันจะเจอคนมากมายที่มองมันด้วยสายตาแปลกๆ เพราะข่าวลือนั่น แต่พอได้มาเห็นว่าสีหน้าของมันดูปกติ แถมยังมีไอ้นายอยู่เป็นเพื่อนแล้วผมก็สบายใจ
   
ถ้าเป็นไอ้นาย ผมไว้ใจ ว่ามันจะช่วยไอ้ตี๋ได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร
   
เพราะแบบนั้นผมเลยส่งรางวัลไปให้มัน

   
‘เฮ้ยพี่ซัน อะไรเนี่ย’

   
หลังจากส่งข้อความไปได้ไม่นาน ไอ้นายก็ตอบไลน์กลับมา

   
‘ตั๋วหนัง’

   
โค้ดตั๋วหนังรอบดึกสองใบ เรื่องที่ได้ตี๋เคยบอกไว้ว่าอยากดู

   
‘เออรู้ แต่พี่ส่งมาให้ผมทำไม’
   
‘รางวัลไง’
   
‘ฮะ?’
   
   
ผมไม่ได้อธิบาย แต่ส่งสติ๊กเกอร์ยิ้มกวนตีนตอบกลับไป

   
‘มึงรู้แหละว่าต้องทำไง : )’
   
   
ไอ้นายอ่านข้อความแล้วหายไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบกลับมา

   
‘พี่ซันแม่ง...’
   
‘แน่ใจนะว่าจะเอางี้อ่ะ’
   
‘...’
   
‘แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน’

   
บทสนทนาจบลงแค่ตรงนั้น พร้อมกับการโกหกตัวเองครั้งใหญ่

ว่าผมไม่เข้าใจความหมายของมัน



----------------------------------------------------------------------
เปลี่ยนชื่อจากซันเป็นซึนดีมั้ยนะ 55555
สังเกตตัวเองบ้างมั้ยว่าคิดแต่เรื่องตี๋ตลอดเวลา  :ling2:
ตอนสองตอนนี้เอื่อยหน่อยนะคะ แต่ความสัมพันธ์กำลังจะพัฒนาแล้ววว
จริงๆ เราแอบชอบความสัมพันธ์ของสองคนนี้เป็นการส่วนตัว ชอบที่เขาดูแลใส่ใจกัน ถึงจะยังตีมึนกันอยู่ แต่การแสดงออกมันทำให้เห็นว่าเป็นห่วงอีกคนโดยธรรมชาติ เราว่ามันน่ารักดี แต่ยังไงความชัดเจนก็ย่อมดีกว่าเนอะ 5555

ฝากเอาใจช่วย #ซันโช ด้วยนะคะ

ขอบคุณค่า
-- Martian --

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2017 02:16:08 โดย makok_num »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ไงงงงงงงงงง  :ling1:
สนุกมากค่ะ จะติดตามเป็นเงาตามนิยายเรื่องนี้เลยทีเดียว
น้องตี๋ของเราาาาาาา

ถ้าซันยังจะทำอย่างนี้เราจะไม่เชียร์แล้วนะ  :katai1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารโชอ่ะ ไม่ว่ายังไงก็ยังมีคนนินทาอยู่ดี
อย่าไปสนใจเลยนะโช

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่านรวดเดียวจบ อ่านกี่ตอนๆก็อยากด่าซันว่าไอ้โง่ตลอด คนนึงก็หลอกตัวเองอีกคนก็ปากแข็ง เฮ้อ อยากให้มีเหตุการณ์ให้สองคนนี้ง้างปากยอมรับกันซักที

ปล.แวบไปอ่านคู่ตรีแป๊ป

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 10
[/b]

   
แต่จะมีเหตุผลอะไรให้ผมเสียใจ
   
ในเมื่อผมตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปด้วยความหวังดีกับทุกคน ถ้าผมจับคู่ไอ้นายกับไอ้ตี๋ได้ ไอ้ตี๋ก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจกับความรักครั้งเก่า ในขณะที่ไอ้นายก็จะได้สมหวังกับคนที่มันรู้สึกดีๆ ด้วย
   
ส่วนผม... ก็จะได้กำจัดความรู้สึกผิดที่มีต่อไอ้ตี๋ไปได้สักที
   
เพราะคิดแบบนั้น ผมเลยทำแบบนั้นลงไป
   
ใครจะไปรู้ แค่หนังรักเรื่องเดียวอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดก็ได้ การได้นั่งในโรงหนังมืดๆ บรรยากาศเป็นใจ อาจทำให้ไอ้นายกล้าทำอะไรมากกว่าที่เคย...
   
ถ้ามันสารภาพออกมา...
   
“ซัน จะไปไหนน่ะ” ร่างบางที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำเอ่ยชื่อผมอย่างประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ผมก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงมาใส่เสื้อผ้าอย่างรีบร้อน
   
หลังกลับจากงานออกร้าน ผมก็มาอยู่ที่หอพราว เธอหายโกรธผมมาสักพักแล้ว และเราก็กลับมาปฏิบัติต่อกันเหมือนเคย ต่างกันตรงที่คราวนี้ผมบอกไว้อย่างชัดเจนว่าระหว่างเราจะไม่มีอะไรมากกว่าเพื่อนนอน ไม่มีความผูกพันทางใจ หรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าเธองอแงรั้งผมไว้เหมือนวันนั้น ผมจะไป และไม่กลับมาอีก
   
เธอบอกว่าเธอเข้าใจ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอเข้าใจแค่ไหนเหมือนกัน

“เราเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ” ผมบอก หยิบกุญแจรถที่โยนไว้ข้างเตียงขึ้นมา และกำลังจะเดินออกจากห้อง

“ซัน...” ทว่า เธอเรียกชื่อผมไว้อีกครั้ง

“...” ผมขมวดคิ้วมองร่างบางที่เดินมาขวางหน้า กำลังจะเอ่ยปากย้ำเรื่องที่ตกลงกัน

แต่พราวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร “รีบขนาดนั้นเชียว”

เธอเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาจับเสื้อผมที่หยิบขึ้นมาสวมลวกๆ เพื่อติดกระดุมให้ ผมไม่ได้ว่าอะไร จนกระทั่งเธอติดกระดุมเสร็จ มองใบหน้าหวานที่กำลังยิ้มเล็กๆ โดยที่ไม่สบตาผมแล้วคาดเดาว่าเธอกำลังคิดอะไร

“หล่อแล้ว” แต่สิ่งที่ผมกำลังค้นหาก็ถูกซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มสดใสที่มีให้กันเหมือนทุกที

“เดี๋ยวไลน์หานะ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นขยี้หัวร่างบางอย่างเอ็นดู เธอหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหลีกทางให้ผมเดินจากมา
   
ผมรู้ว่ามันดูเห็นแก่ตัว แต่เราตกลงกันแบบนี้ไว้ตั้งแต่แรก ตอนเธอเข้ามา เธอเป็นคนพูดเองว่าจะไม่เรียกร้องอะไร ขอแค่ได้ตัวผมเท่านั้น ส่วนเรื่องหัวใจ เธอรู้ดีว่าตอนนี้ผมให้มันกับใครไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีความรู้สึกกับใครอีกคนตกค้างอยู่มากมาย
   
แต่พอเห็นแววตาของพราววันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องทบทวนเรื่องของเธอใหม่อีกที

   




ผมออกจากหอพราวมาถึงห้างที่อยู่ใกล้ที่สุดในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ทำให้ชั้นทั่วไปถูกปิดใช้งาน เหลือแค่ชั้นโรงหนังที่อยู่ด้านบนสุดเท่านั้น
   
ตั๋วที่ผมจองเป็นรอบห้าทุ่มพอดี แสดงว่ายังทัน
   
ผมยืนแออัดอยู่กับคนมากมายในลิฟต์ที่มาดูหนังเหมือนกันด้วยความรู้สึกที่อยากจะเร่งให้ไอ้เครื่องจักรคับแคบนี่ขึ้นไปถึงชั้นบนสักที
   
ติ๊ง~
   
พอลิฟต์เปิดออก ผมก็รีบแทรกตัวออกมา เดินตรงไปที่หน้าโรงหนังแล้วคาดว่าจะได้เจอร่างคุ้นตาของคนสองคน
   
แล้วก็เจอเข้าจริงๆ
   
ที่โซฟารับรองหน้าทางเข้า ไอ้นายกำลังนั่งกินป๊อบคอร์นอยู่กับอีกคนด้วยท่าทางสนุกสนานกว่าปกติ ผมชะงักฝีเท้าลง ไม่ได้เดินเข้าไปหา คิดมาตั้งแต่ตอนขับรถแล้วว่าจะยืนมองอยู่ไกลๆ ไม่เข้าไปก้าวก่าย แค่เห็นภาพตรงหน้าที่พวกมันหัวร่อต่อกระซิกกันมีความสุขผมก็โล่งใจแล้ว คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ลงมือช่วย
   
จนกระทั่งคนสองคนยืนขึ้นเมื่อถึงเวลาฉายหนัง... ผมถึงได้รู้ว่าผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่ไม่ใช่ไอ้ตี๋
   
เชี่ยอะไรวะเนี่ย
   
“ไอ้นาย” ผมเดินตรงเข้าไปหาทันที เรียกเสียงดังจนตัวเองยังตกใจ
   
“อ้าว พี่ซัน” ไอ้นายหันมามองหน้าผมงงๆ แต่ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดไว้
   
“นี่ใคร” ผมถาม มองผู้ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างมัน เห็นชัดๆ แล้วว่าไม่ใช่ไอ้ตี๋ ถึงจะตัวเล็กๆ ขาวๆ เหมือนกันแต่หน้าตาบ้องแบ๊วตาโตเท่าลูกแมวนี่ก็ต่างจากไอ้ตี๋ลิบลับ
   
“พี่มาได้ไงเนี่ย?” แต่มันไม่ตอบ กลับเอ่ยถามผมก่อนทำหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าตามมา”
   
“เปล่าเว้ย” ผมปฏิเสธทันควัน ก่อนจะอึกอัก “กะ...กูก็มาดูหนัง”

ถึงจะยังไม่มีตั๋วหนังสักใบก็เหอะ
   
“อ่อ บังเอิญจังนะครับ” มันพยักหน้า ก่อนจะยิ้มขำ “แล้วบังเอิญดูเรื่องเดียวกันด้วยป่ะ”
   
มันใช่เวลามาตั้งข้อสงสัยกับกูเหรอวะ
   
“มึงยังไม่ได้ตอบคำถามกูเลยนะว่าไอ้เตี้ยนี่เป็นใคร” ผมขมวดคิ้วถามย้ำอย่างข้องใจ
   
“เตี้ยเลยเหรอพี่ มันแค่ตัวเล็กเอง” แต่ไอ้นายก็ยังเล่นไม่เลิก มันหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปโยกหัวคนข้างตัว ที่ยังตีหน้ามึนมองมาที่ผมงงๆ ก่อนจะแนะนำตัวเองทั้งที่มีมือไอ้นายวางอยู่บนหัว
   
“ผมชื่อมิ่งครับ”
   
กูไม่ได้อยากรู้เลยว่ามึงชื่ออะไร
   
ผมหันหน้าไปมองไอ้นายอีกครั้งอย่างเอาเรื่อง “นี่มันหมายความว่าไงวะ แล้วไอ้ตี๋ไปไหน”
   
“ตี๋นี่หมายถึงพี่โชป่ะ” ยังไม่ทันที่ไอ้นายจะตอบคำถามผม ไอ้เด็กมิ่งนี่ก็หันไปกระซิบถามแทรกขึ้นมา
   
“มึงรู้จักไอ้ตี๋ด้วย?” คราวนี้ผมหันมาเลิกคิ้วใส่คนตัวเล็กอย่างข้องใจ
   
ถ้างั้นไม่รู้เหรอวะ ว่าไอ้นายมันกำลังจีบไอ้ตี๋อยู่ เสนอหน้ามาดูหนังกับมันทำไม
   
“ครับ” แต่มันยังตอบหน้าซื่อ ไม่สนใจสายตาเชือดเฉือนของผมเลยสักนิด “ผมทำงานร้านพี่โมเหมือนกัน แต่กะเช้า”
   
อ้าว... กูไม่เห็นคุ้นหน้า
   
“พี่นี่แม่ง... เหลือเชื่อเลยว่ะ” ขณะที่ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ ไอ้นายก็พูดขึ้นมาสีหน้าเอือมๆ
   
ผมที่งงอยู่แล้วยิ่งโง่ไปกันใหญ่
   
“ถึงขั้นตามมาดูผมกับพี่โชเดตกันนี่มันใช่หน้าที่พ่อสื่อแน่เหรอวะ” มันเลิกคิ้วถามกลั้วหัวเราะ
   
“คะ... ใครบอกว่ากูตามมาดู กูแค่มาดูหนัง” ผมปฏิเสธ แต่น้ำเสียงอึกอักก็ชัดเจนว่าโกหก
   
“แน่ใจ๊?” ไอ้นายเลิกคิ้วกวนตีนใส่ ผมเลยชักสีหน้าแล้วสารภาพออกไปตามตรง
   
“ก็... กูเคยบอกแล้วไง ว่ามึงจะจีบไอ้ตี๋ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสายตากู”
   
“แบบนั้นมันเรียกว่าจีบได้ตรงไหนวะพี่” ไอ้นายมองผมขำๆ ก่อนจะถอนหายใจ “ผมสารภาพก็ได้ ว่าผมตัดใจจากพี่โชไปตั้งนานแล้ว”
   
“ฮะ?” คราวนี้ผมเหวอแดกกว่าเดิม
   
ตัดใจเชี่ยไร มึงยังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่เรอะ
   
“ผมสารภาพกับพี่โชไปแล้วว่าผมชอบพี่เขา” เหมือนอ่านใจผมได้ ไอ้นายเลยพูดขึ้นมา
   
“ตะ...ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมกะพริบตาปริบๆ งงไม่รู้จะงงยังไง
   
“วันที่พี่โชไม่สบาย เขาได้ยินเรื่องที่เราคุยกัน”
   
ผมนึกอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องอะไร จนไอ้นายต้องเฉลยออกมา
   
“เขารู้หมดแล้วว่าพี่พยายามจะเป็นพ่อสื่อให้ผม”
   
อ้าว ชิบหาย
   
“พอไม่มีอะไรต้องปิด ผมเลยสารภาพรักไป แล้วก็โดนปฏิเสธมาเรียบร้อย” มันยักไหล่ เอื้อมมือออกไปกอดคอคนตัวเล็กกว่า มองหน้าเหมือนจะยืนยันคำพูดตัวเอง
   
ทำไมมันดูสบายใจจังวะ ตัดใจได้แล้วจริงดิ?
   
แต่จากการที่มันควงไอ้เด็กมิ่งนี่มาดูหนังด้วยท่าทางมีความสุขวันนี้ ก็คงเป็นคำตอบอย่างดีว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ตี๋แล้วจริงๆ
   
“ทำไมมึงไม่บอกกู” ผมขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกยังไง ในใจมันสับสนไปหมด เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
   
“หมั่นไส้พี่ไง แม่ง หวงจะตายเสือกจะทำมาเป็นยกให้ผม สับปลับชะมัดคนอะไร”
   
ด่ากูอีกละ ความเคารพนี่ไม่ต้องมีให้กันแล้วใช่มั้ยครับไอ้น้องนาย
   
“พี่ไม่ต้องมาทำหน้างั้นเลย ที่ผมพูดนี่จริงทุกคำ”
   
“...” ผมไม่รู้จะเถียงอะไร ได้แต่มองหน้าไอ้เด็กปีนเกลียวนี่มึนๆ
   
“ถ้าอยากเจอพี่โชก็นู่น เขากลับหอไปนอนตั้งนานแล้ว” คำพูดของมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าตัวเองขับรถถ่อมาถึงนี่ทำไม

ถ้าไม่มีไอ้ตี๋ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ผมจะอยู่ต่อ
   
“ผมบอกแล้วว่าพี่จะเสียใจทีหลัง” ไอ้นายเอ่ยขำๆ พลางชูโทรศัพท์ที่มีโค้ดตั๋วหนังที่ผมซื้อให้ขึ้นมา “ค่าตั๋วเนี่ย ผมไม่คืนนะ”
   
เกตละ ที่มันบอกว่าอย่ามาเสียใจทีหลังคือเรื่องอะไร
   
แผนจับคู่ล่มไม่เป็นท่า เสียตังค์ฟรี แถมยังโดนเด็กอำจนเสียหมาหมดกูเนี่ย โง่กว่านี้ก็สัตว์เซลล์เดียวแล้ว!
   
“เด็กเวร” ผมส่งสายตาคาดโทษไอ้นาย แต่หันไปเล่นงานอีกคน
   
“เฮ้ยพี่ นี่ของผม” ไอ้นายโวยวายขึ้นมาทันทีที่ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวไอ้เด็กมิ่งที่ยืนตีหน้ามึนอยู่ข้างมัน ผมเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะผละมือถอยหลังออกมา
   
“เออ ดูหนังให้คุ้มค่าตั๋วกูแล้วกัน”
   
ที่นั่งโซฟาด้วยสัส เปลืองชิบหายเลย

ใช่เรื่องมั้ย ที่ต้องมาเสียตังค์เลี้ยงหนังมันกับเด็กใหม่เนี่ย
   
“ขอบคุณที่เลี้ยงหนังนะครับ” อยู่ๆ ไอ้เด็กมิ่งก็พูดขึ้นมาหน้าซื่อพลางยกมือไหว้ผมจนไอ้นายหัวเราะเสียงดัง
   
อ่ะ นี่รวมหัวกันกวนตีนกูถูกมะ
   
“สัส กูไปละ เชิญพวกมึงสวีทกันตามสบาย” ผมว่าเซ็งๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา
   
"พี่ซัน” แต่เสียงไอ้นายตะโกนเรียกให้หันกลับไปอีกครั้ง มันมองหน้าผมทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานก็ถอนหายใจ เหมือนเปลี่ยนใจเอ่ยคำพูดอื่นขึ้นมาแทน

“พี่แม่ง เป็นพ่อสื่อที่เหี้ยมากเลยรู้ตัวป่ะ”

เดี๋ยวนี้ขึ้นเหี้ยกับกูแล้วด้วยเว้ย เด็กเวร

“เออ” แต่แทนที่จะด่ามัน ผมกลับยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมกับหลุดหัวเราะออกมา

บางที ผมอาจจะเป็นพ่อสื่อที่เหี้ยอย่างที่ไอ้นายว่าจริงๆ






ผมขับรถมาที่หอไอ้ตี๋ทันที่หลังออกจากห้าง

ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมา แต่ใจหนึ่งกลับคิดว่าผมควรมารับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป

ไอ้ตี๋ต้องไม่ชอบใจแน่ ที่ผมพยายามจับคู่มันให้ไอ้นาย ถึงมันจะรู้มานานแล้ว แถมไม่ได้ว่าอะไร แต่นั่นอาจเพราะไอ้นายขอให้เก็บไว้ก่อนเพื่อแกล้งผมก็ได้

ก๊อกๆ

เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมจะมีมารยาทเคาะประตู เพราะปกติคงไขกุญแจสำรองเข้าไปแล้ว แต่ตอนนี้เพิ่งรู้ตัวว่ามีชนักติดหลังอยู่ไง

ยืนรออยู่ไม่นาน คนตัวเล็กกว่าก็เปิดประตูออกมา ใบหน้าใสใต้กรอบแว่นหนาเหมือนเหม็นขี้หน้าผมเต็มทน

“วันนี้จะมากวนอะไรครับ”

ผมเป็นคนยังไงในสายตามันวะเนี่ย

“วันนี้ไม่กวน มาขอโทษ” ผมย่นหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้หงอยลงเผื่อคนฟังจะใจอ่อนไม่ดุกัน

“เรื่องอะไรครับ” มันเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ

นี่ถ้าผมไม่บอก มันก็คงระลึกไม่ได้ใช่มั้ย หรือเนียนๆ ไม่พูดดีวะ

“เรื่องไอ้นาย” ได้ที่ไหน...

ไอ้ตี๋ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แต่ไม่นานก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ แล้วถอนหายใจ

“เรื่องพ่อสื่อนั่นเหรอครับ” กอดอก มองหน้าอย่างคาดโทษกัน

ผมพยักหน้า พยายามอ่านสีหน้ามันว่ารู้สึกยังไง เห็นคิ้วที่ขมวดนิดๆ สายตาเคืองๆ นั่นก็บอกได้ว่ากำลังไม่พอใจอย่างชัดเจน

“ทำไมเป็นคนขี้เสือกล่ะครับ”

“นั่นไง ว่าแล้วต้องโดนด่า” แถมคราวนี้เลเวลอัพ ใช้คำหยาบขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปอีกต่างหาก

“ว่าแล้วแล้วทำทำไมล่ะครับ”

“ก็กู...” ผมชะงัก ไม่รู้จะอธิบาเหตุผลของตัวเองยังไง

“ทำไปทำไมครับ”

โอ้ย เสียงแข็งไปอีก

“ก็อยากช่วยไง” ผมตอบ เสียงเบากว่าที่ตั้งใจ

“ช่วยอะไร?”

คราวนี้ผมเงยหน้าขึ้นสบตา พูดสิ่งที่อยู่ในใจ “เผื่อมึงจะทำใจเรื่องไอ้ตรีง่ายขึ้น”

ไอ้ตี๋ชะงักนิดหน่อย แววตาแสดงความรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา แต่เพียงแวบเดียวก็เปลี่ยนกลับมาเรียบนิ่ง ฉายแววไม่พอใจอีกครั้ง
“ด้วยการจับคู่ผมกับนายน่ะเหรอครับ?”

“ก็... ไอ้นายมันชอบมึง”

“แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะต้องเข้ามายุ่งเลย”

ตี๋ครับ อย่าดุ กูใจบาง

“ผมดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่” ผมปฏิเสธทันควัน เงยหน้าสบตากับดวงตาเรียวที่จ้องกันอย่างต้องการคำตอบ

มันไม่ใช่ความสงสารแน่ๆ แต่ผมแค่ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มันเข้าใจ จะบอกว่ารู้สึกผิดกับเรื่องที่อาจจะเป็นต้นเหตุให้มันไม่สมหวังกับไอ้ตรี ผมก็รู้ดีว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักพอกับสิ่งที่ผมทำ

ก็แค่... อยากให้มันมีความสุขกว่าที่เป็นอยู่ แค่นี้ไม่ได้หรือไง

“กูอยากให้มึงเลิกทำหน้าเศร้าสักที” สุดท้ายผมก็ได้แต่ถอนใจ ตอบออกไปตามความรู้สึกตรงๆ

“...”

“อกหักมันเจ็บ กูเข้าใจ แต่มึงเศร้าตลอดไปไม่ได้ป่ะวะ” สบตามันด้วยสายตาจริงจังกว่าครั้งไหนๆ “หลายปีแล้วนะที่มึงยึดติดกับไอ้ตรี เมื่อไหร่จะเริ่มต้นใหม่สักที”

ผมกำลังสอนมัน ทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่ตัวเองพูดเลยสักนิด

เริ่มต้นใหม่เหรอ? แม้แต่ผมตอนนี้ยังทำไม่ได้เลย

แต่ช่างตัวผมปะไร ผมแค่อยากเห็นมันก้าวต่อไปอย่างมีความสุขสักที

“กูก็แค่หวังดี” พูดไปก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ

ปกติเคยพูดอะไรแบบนี้ที่ไหน ได้แต่ปากหมาใส่ไปวันๆ พอนึกครึ้มพูดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้หน่อยเล่นเอาทำหน้าไม่ถูกเหมือนกัน

“หวังดีด้วยการหาผู้ชายคนใหม่มาให้ผมเนี่ยนะครับ” เลิกคิ้ว แค่เห็นสีหน้ามันผมก็รู้สึกเหมือนถูกด่าจนลืมทางกลับบ้านแล้ว

“อะ...เออ”

“ขี้เสือกจริงๆ”

อ่ะ ย้ำเข้าไป

ผมหดคอทำหน้าหงอยกว่าเดิม โดนขนาดนี้ก็ไม่รู้จะเถียงยังไง สงสัยจะยุ่งเกินไปจริงๆ

“หึ” แต่หงอได้ไม่นาน ก็ต้องประหลาดใจกับเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นมา

เกือบจะคิดว่าหูฝาดไปแล้ว ถ้าหากไม่เงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ามุมปากบางของไอ้ตี๋ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจริงๆ มันมองหน้าผมพักหนึ่งด้วยแววตาที่เจือไปด้วยความระอาปนขบขัน ร่างโปร่งบางขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้างหนึ่งของผมขึ้นไปวางบนหัวตัวเอง

“ถ้าอยากช่วย... แค่นี้ก็พอครับ” ว่าพลางจับมือผมลูบหัวตัวเองไปมา

ผมนุ่มๆ ที่พอผมแตะทีไรคนหวงตัวก็จะฟาดเข้าให้จนแขนเกือบหักทุกที

“ถ้าเห็นผมทำหน้าเศร้าอีกเมื่อไหร่ ก็แค่ทำแบบนี้... หรือไม่ก็ทำตัวน่ารำคาญเหมือนทุกที แค่นี้ผมก็ลืมแล้วว่ากำลังเศร้าเรื่องอะไร”

“...”

“เพราะต้องมาใช้สมองคิดคำด่าคุณแทน”

ผมยิ้มกว้างกับคำพูดเหน็บแนมของไอ้ตี๋ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำหนักมือเป็นขยี้หัวมันแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

เล่นดุซะกูตกอกตกใจหมดเลยแม่ง แสบนักนะตี๋

“โอ๊ย คุณซัน” มันโวยวายเสียงดัง พยายามผละตัวหนี แต่ผมก็คว้าคอคนตัวเล็กกว่าไว้ แล้วยีหัวมันแรงกว่าเดิม

“ทีนี้หายเศร้ายัง” ผมหัวเราะลั่น รวบรวมความหมั่นไส้ที่สะสมไว้มาใช้ในครั้งเดียว

นานๆ ทีแม่งจะยอมให้เล่นหัว ขอเก็บแต้มหน่อยเหอะ

“มันเจ็บนะ!” ไอ้ตี๋ร้องโวยวายพร้อมกับตีแขนผมรัวๆ จนแดงไปหมดถึงได้ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระอีกครั้ง มองผมยุ่งๆ กับใบหน้ามู่ทู่ขอมันแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เปลี่ยนใจแล้ว ห้ามแตะหัวผมอีกเลยนะครับ” มันบ่นพึมพำพลางดันแว่นที่เกือบจะหลุดออกมาให้เข้าที่ ในขณะที่ผมยังคงยิ้ม มองหน้ามันอยู่อย่างนั้นนานหลายวินาที

“...” จนกระทั่งไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วนิ่งไป

ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหน้ามันด้วยสายตาแบบไหน ตอนที่ขยับเข้าไปใกล้จนร่างประชิดกัน แล้วกระซิบออกมาเบาๆ

“งั้นเปลี่ยนเป็นทำแบบนี้ได้มั้ย” ไม่รอให้ตอบคำถาม ถือวิสาสะคว้าร่างของมันเข้ามาในอ้อมแขน กอดไว้... ไม่หลวมแต่ก็ไม่รัดแน่นเกินไป

“...” ไอ้ตี๋เหมือนจะตกใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขัดขืนที่จะออกจากอ้อมกอดไปด้วยซ้ำ

“ถ้าทำแบบนี้... มึงจะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า” เอ่ยคำถาม แม้จะแน่ใจแล้วว่าคำตอบคืออะไร

จากจังหวะการเต้นของหัวใจที่สัมผัสได้ชัดเจน

“ไม่ครับ” แต่คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันยังค่ำ

ทั้งที่กำลังซุกใบหน้าลงกับอกผมราวกับเจอที่ปลอดภัย

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วจับคนตัวเล็กโยกไปมาอย่างหมั่นไส้

“โกหกไม่เนียนเลยว่ะตี๋”

วินาทีนั้น... แม้แต่ผมยังรู้ตัว

ว่าไม่ใช่แค่ไอ้ตี๋... ที่รู้สึกดีกับอ้อมกอดนี้เพียงคนเดียว




------------------------------------------------
ถามว่าทำไมอัพเร็ว เพราะตอนนี้ตี๋น่ารัก เลยไม่อยากเก็บไว้คนเดียวค่ะ 555555
ใครเคยอ่านเชนตรีจะรู้ว่าเราค่อนข้างผีบ้าในเรื่องอัพนิยายนิดหน่อย
เอาอารมณ์เข้าว่า เขียนได้ตอนไหนก็อัพมันตอนนั้นเลย   :hao7:
ถือซะว่าเป็นของขวัญวันแรงงานก็แล้วกันนะคะ

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ ดีใจมากๆ ที่เห็นคนเข้ามาอ่าน แวะมาแสดงความคิดเห็นคนละเม้นต์สองเม้นต์ 5555 เป็นยาชูกำลังที่ดีมากๆ เลยค่ะ รบกวนอยู่ด้วยกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เลยนะคะ ^^







 
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2017 17:43:48 โดย makok_num »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ temaripik

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ฉันก็คิดอยู่ตลอดนะ ว่าจะมีอะไรดราม่าไปกว่าความโง่ของซัน

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขยาดด่ายังสุภาพนะตี๋ 55555

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 11

   
หมดสอบมิดเทอมไม่ทันไร ฤดูกาลสอบไฟนอลอันหนักหน่วงก็มาถึงอีกระลอก
   
เนื้อหาการเรียนปีสามเทอมสองเข้มข้นซะจนสมองผมแทบจะระเบิด ยังดีที่อ่านไว้แต่เนิ่นๆ บ้าง ไม่งั้นก็ไม่รู้จะยัดเนื้อหาทั้งหมดเข้าไปในหัวรวดเดียวได้ยังไง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงมาอัดเอาช่วงก่อนสอบตามสันดานขี้เกียจอยู่หรอก แต่นี่ใกล้จะเรียนจบแล้วไง ก็เลยต้องตั้งใจขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นป๊ากับแม่คงได้ไล่ออกจากกองมรดกจริงๆ
   
ถึงจะเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ผมก็ยังมาทำงานที่ร้านพี่โมอยู่ ถือโอกาสพกหนังสือมาอ่านระหว่างเข้ากะเหมือนสอบคราวที่แล้ว แต่ครั้งนี้ยังอยู่อ่านต่อจนหลังเลิกงาน
   
เป็นไอเดียไอ้นายมันล่ะ ที่คิดว่าไหนๆ พวกเราก็ทำงานดึกกันอยู่แล้ว เลยรวมหัวมาติวหนังสือด้วยกันซะเลย พอลูกค้าหมด พวกเราก็จัดการเก็บขยะ ล้างแก้วล้างจานเสร็จภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แล้วจัดการยึดโต๊ะที่ว่างตามอัธยาศัย ถึงผมจะเป็นเด็กวิศวะคนเดียวในหมู่เด็กบริหาร แต่การมีเพื่อนอ่านหนังสือย่อมดีกว่าอ่านคนเดียว อย่างน้อยก็มีคนชวนกันคุยแก้ง่วงได้บ้าง
   
แต่หลังจากอ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ดูท่าว่าจะมีคนเริ่มไม่ไหว
   
“ไหวป่ะตี๋” ผมหันไปถามคนที่ทำท่าจะสัปหงกคาชีทอยู่รอมร่อ
   
ตอนนี้ตีห้ากว่าแล้ว แถมไอ้ตี๋ก็ทำงานมาทั้งคืน จึงไม่แปลกที่จะอยู่ในสภาพนี้ แต่คนที่น็อกคนแรกคือไอ้เด็กมิ่งที่ไอ้นายชวนมาติวด้วยกัน รายนั้นแม่งหลับตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยด้วยซ้ำ
   
“อื้อ” มันพยักหน้า แต่หน้าโคตรงอแงเลย
   
ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปขยี้ผมมันอย่างอดไม่ได้ ตอนอ่านหนังสือแม่งใส่แว่นด้วย หน้าตายิ่งดูน่ามันเขี้ยวไปกันใหญ่ 
   
เออ สงสัยจะง่วงจริง คราวนี้ถึงได้ไม่ด่าอะไรที่ถูกเล่นหัว แค่หันมาทำหน้าบู้บี้ใส่ แต่หนังตาบนกับล่างนี่แทบจะติดกันอยู่แล้ว
   
“มึงนอนก็ได้นะ” ผมบอกกลั้วหัวเราะ ดูยังไงไอ้ตี๋ก็น่าจะฝืนสังขารต่อไม่ไหวแล้ว มันมองหน้าผมนิ่งอย่างลังเล ก่อนจะวางชีทในมือลง
   
“ขอครึ่งชั่วโมงนะครับ” พูดงึมงำพลางชูหนึ่งนิ้วขึ้นมา แล้วกอดอกเอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยสภาพพร้อมตายจริงจัง

“มานี่” ผมหัวเราะ ดึงไอ้ตี๋ให้เอนลงมาหนุนตักผมแทน
   
“ไม่เป็นไรครับ” คนตัวเล็กกว่าขืนตัว เบิกตากว้างนิดหน่อยท่าทางตกใจ
   
“นอนมาเหอะ แค่ครึ่งชั่วโมงไม่ทำให้ขากูเป็นตะคริวหรอก ดูไอ้มิ่งดิ นอนตักไอ้นายมาเป็นชั่วโมงแล้วแม่งยังไม่เห็นเป็นไรเลย” ผมร่ายยาวเพราะคิดว่าไอ้ตี๋มันเกรงใจ หันไปพาดพิงไอ้นายที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกฟากหนึ่งจนมันเงยหน้าขึ้นมามองขำๆ
   
“...” ไอ้ตี๋มองหน้าผมเอือมๆ สีหน้าเหมือนจะบอกว่ามันกังวลเรื่องนั้นซะที่ไหน แต่ไม่รอให้มันโต้แย้งอะไร ผมก็บังคับให้มันเอนหัวลงมาหนุนตักผมจนได้
   
“มึงจะได้เหยียดขาด้วยไง” ผมว่า ไม่ใส่ใจสีหน้าไม่พอใจของไอ้ตี๋ “นอนไป เดี๋ยวกูปลุก”
   
“ขอบคุณครับ” คงเพราะง่วงจนไม่มีแรง หรือไม่ก็คงไม่อยากจะเถียงให้เสียเวลา มันถึงได้ยอมหลับตาอย่างว่าง่าย

ไม่ถึงนาทีต่อมาเสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็บ่งบอกว่ามันหลับสนิทเรียบร้อย... หลับง่ายจังวะ
   
ผมมองคนบนตักยิ้มๆ กำลังจะหันกลับมาอ่านหนังสือของตัวเองต่ออีกครั้ง แต่ก็ชะงักเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่บนใบหน้ามัน
   
ลืมถอดแว่นเฉยว่ะ คนเรา
   
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเอื้อมมือไปถอดแว่นให้คนที่นอนหลับอยู่บนตัก พยายามทำมือเบาที่สุดเพื่อไม่ให้มันรู้สึกตัว พอถอดแว่นให้เสร็จผมก็ขยับตัวช้าๆ ถอดเสื้อแจ็กเกตของตัวเองออกมาคลุมให้มัน เพราะคิดว่าเสื้อเชิ้ตบางๆ ตัวเดียวคงไม่ทำให้มันหลับสบายเท่าไหร่ ภายใต้อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศเย็นๆ แบบนี้
   
“แหม อย่างกับไข่ในหินเลยนะพี่” เสียงไอ้นายทำให้ผมละสายตาจากใบหน้าของคนที่กำลังหลับปุ๋ยขึ้นมามองหน้ามัน
   
“อะไรๆ” เห็นสีหน้ากวนตีนนั่นแล้วอดไม่ได้ที่จะเอาเรื่องด้วยน้ำเสียงเบากว่าปกติหลายเท่า “ทีมึงยังให้ไอ้มิ่งหนุนตักได้เลย”
   
มันเลิกคิ้ว ก้มมองคนที่หลับปุ๋ยบนตักตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม “มันเหมือนกันที่ไหน”
   
“แล้วมันไม่เหมือนยังไง” ผมถามอย่างข้องใจ “กูกับไอ้ตี๋สนิทกันกว่าพวกมึงด้วยซ้ำ”
   
พอได้ยินผมเถียง ไอ้นายก็เบ้ปากส่ายหน้าเอือมๆ
   
“โวะ คุยกับพี่แม่งเสียเวลาว่ะ ตอนเด็กแดกยากันฉลาดเข้าไปหรือไง”
   
เดี๋ยววว กูว่าคำด่ามึงชักจะแอดวานซ์ขึ้นทุกวันแล้วนะไอ้นาย
   
“อ่านหนังสือไปเลยมึงอ่ะ” ผมย่นหน้าใส่ไอ้เด็กปีนเกลียวพลางปายางลบไปใส่มันด้วยความรำคาญ ให้มันบ่นพึมพำก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือไปตามสั่ง

“อื้อ...” แต่คงเพราะขยับตัวมากไป คนที่หลับอยู่ถึงได้ส่งเสียงเหมือนไม่พอใจขึ้นมา

อ้าว ชิบหาย
   
“อย่าไป” มือบางคว้ามือข้างที่ผมเพิ่งใช้ปายางลบใส่ไอ้นายเอาไว้ เหมือนจะห้ามไม่ให้ไปไหนเหมือนที่พึมพำ
   
“...” ผมชะงักค้างไปทันที เพราะคิดว่าตัวเองทำให้ไอ้ตี๋ตื่น เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องโดนด่า

แต่ทว่าพอพลิกตัวนอนตะแคงในท่าที่สบายได้ เสียงหายใจก็กลับมาสม่ำเสมอ ในขณะที่สอดนิ้วมือเข้ามาประสานกับนิ้วทั้งห้าของผมแผ่วเบา

อะ...เอ่อ... เดี๋ยวดิ
   
“อยู่ก่อน...” แต่ไม่ทันไร เสียงทุ้มก็ละเมออะไรบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง เป็นคำพูดงึมงำด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่น่าจะมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน     
   
“อยู่กับผมก่อนนะ...”
   
“...”
   
“นะครับ”
   
ละ... แล้วใครมันจะไปไหนวะตี๋...
   
“พี่ซันเป็นไร หน้าแดงแปร๊ดเลย”
   
“ฮะ? กู...กู...” ผมไม่รู้จะตอบคำถามไอ้นายยังไง เลยได้แต่พูดติดอ่างอยู่หลายคำ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ยอมแพ้ดื้อๆ แม่ง
   
“เฮ้ยพี่ อยู่ดีๆ เป็นไรไปเนี่ย” ไอ้นายเริ่มโวยวายเมื่อเห็นอาการแปลกประหลาดของผม จนต้องยกมือทำสัญลักษณ์โอเคให้มันรู้ว่าผมไม่เป็นไร ทั้งที่ยังฟุบอยู่กับโต๊ะ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นไปให้มันเห็นว่าตอนนี้หน้าผมหมดสภาพยังไง สายตาแอบเหลือบมองไอ้คนที่ยังจับมือผมไว้แน่น ทั้งที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วได้แต่สบถออกมาในใจ
   
เชี่ยเอ๊ยยย สงสัยโด๊ปกาแฟเยอะไป... ใจสั่นชิบหายเลย

   



การสอบไฟนอลผ่านพ้นไป พร้อมกับร่างกายที่แทบจะแหลกกันไปข้าง
   
โดยเฉพาะช่วงวันท้ายๆ ที่ต้องสอบติดๆ กันไม่มีเว้นวันนี่เรียกว่าฆ่ากันไปเลยดีกว่า ทรมานชิบหาย อยากพัก อยากนอนตายสามวันติดให้รู้แล้วรู้รอด
   
แต่ทำไม่ได้
   
สอบเสร็จตอนเย็น นอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องแหกตาตื่นมาทำงานพาร์ทไทม์ต่อ วันนี้เป็นวันศุกร์ เวรผมทำงาน และเพราะเป็นวันสุดท้ายของการสอบด้วย ไอ้นายเลยไม่โผล่มาช่วยเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งร้านเลยมีแค่ผมกับไอ้ตี๋แล้วก็ลูกค้าอีกสองโต๊ะเท่านั้น
   
“ง่วง” ผมบ่นพลางเอนตัวพิงคนตัวเล็กกว่าที่นั่งเล่นมือถืออยู่ข้างกัน
   
“ฟุบหน้ากับเคาน์เตอร์ไปสิครับ” มันผลักผมกลับมา
   
โห่ ไรวะ ทีอาทิตย์ก่อนกูยังให้หนุนตักเลย
   
แต่ไม่ทวงบุญคุณหรอก เพราะเสือกเสนอตัวเอง

แล้วอีกอย่าง... พอนึกถึงเรื่องคืนนั้นแล้วมันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

วันนั้นกว่าผมจะปลุกไอ้ตี๋ได้ ก็เลยครึ่งชั่วโมงไปนานโข ไม่ใช่ว่ามันปลุกยากหรืออะไรหรอก ก็แค่เห็นว่ามันกำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก ฝ่ามือยังถูกมันจับเอาไว้จนชื้นเหงื่อไปหมด ผมนั่งอยู่อย่างนั้นหนังสือหนังหาแทบไม่ได้แตะ จนกระทั่งฟ้าสว่างนั่นแหละ ไอ้ตี๋มันถึงได้คลายมือออก รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเอง

แล้วกูก็โดนด่าเหมือนเคย ที่ไม่ปลุกมัน

   
“ตี๋” ผมมองไอ้ตี๋อยู่นาน ก่อนจะเผลอเรียกออกมา ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าอยากพูดอะไร
   
“ครับ?”
   
“...” พอมันหันมาเลิกคิ้วถาม เลยได้แต่ใบ้แดกไปหลายวินาที
   
“เรื่องไอ้ตรี...” ผมชะงักคำพูดตัวเองไว้ เพราะคิดได้ว่ามันเป็นคำถามที่ไม่มีที่มาที่ไปเอาซะเลย
   
แต่ผมแค่อยากรู้ ว่าความรู้สึกของมันที่มีต่อไอ้ตรี ยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า
   
ลดลงบ้างไหม หรือยังเท่าเดิม
   
ผมคิดมาหลายวันว่าการที่พักหลังๆ ไอ้ตรีไม่ค่อยเข้ามาที่ร้านเหมือนเคย จะช่วยให้ความรู้สึกของไอ้ตี๋เบาบางลงหรือเปล่า ทั้งยังมีผมกับไอ้นายคอยป่วนชวนทำโน่นทำนี่อยู่ข้างๆ จะทำให้มันลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปได้บ้างมั้ย
   
แต่พอคิดอีกที ตั้งแต่เรียนจบมัธยมจนกลับมาเจอไอ้ตรีอีกทีที่ร้านนี้ ก็ใช้เวลาตั้งนาน แต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเลิกชอบไอ้ตรีได้เลย
   
บอกแล้ว บางทีเวลาก็ไม่ช่วยอะไร
   
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คงเพราะเห็นผมเงียบไปพักใหญ่ มันเลยขมวดคิ้วถามขึ้นมา
   
“เปล่า กูแค่อยากกินลาเต้ ชงให้หน่อยดิ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ทั้งที่รู้ว่าไม่เนียน แต่โชคดีที่ก่อนไอ้ตี๋จะได้พูดอะไรต่อ โทรศัพท์ผมก็มีคนโทรเข้ามาพอดี หยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นสายจากไอ้ตรี

เพิ่งบ่นถึงเอง ตายยากชิบหายเลย
   
“ว่า?” ผมรับโทรศัพท์สั้นๆ เดินออกมาคุยหลังร้าน
   
[ มึงสอบเสร็จยัง ]
   
ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยอย่างแปลกใจ “เสร็จแล้ว มีไร”
   
[ ไปเที่ยวกันป่ะ ]
   
“ฮะ?”
   
[ พี่เชนชวนขึ้นดอย ] คงเพราะผมทำน้ำเสียงตกใจออกนอกหน้าเกินไป มันเลยรีบอธิบาย [ ไปตั้งแคมป์คืนนึง มีเพื่อนพี่เชนไปด้วย พวกเตอร์อ่ะ มึงสนป่ะ ]
   
ผมเงียบไปสักพัก ไม่ใช่ว่าไม่สน แต่เกิดมายังไม่เคยไปตั้งแคมป์นอนกลางดินกินกลางทรายกับเขาสักที ขนาดอยู่เชียงใหม่มาสามปีอย่างมากก็แค่ขับรถกินลมชมวิวแถวนี้แล้วก็กลับ ไม่เคยค้างคืน
   
“เออ ไป” คิดอยู่สักพักก็ตอบตกลง
   
ไหนๆ ก็สอบเสร็จแล้ว ไปเที่ยวพักผ่อนหน่อยก็ดีเหมือนกัน เดือนหน้าผมก็จะฝึกงานแล้วด้วย คงไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวอีกจนกว่าจะเรียนจบนู่นเลย คิดแล้วก็ใจหาย เวลาผ่านไปเร็วชะมัด ไม่ทันไรก็จะขึ้นปีสี่แล้ว เหมือนเพิ่งเข้ามหาลัยมาเมื่อวานเอง... พอเรียนจบก็ต้องออกไปทำงานตามสายที่เรียนมาอย่างเต็มตัว คงไม่ได้มาทำพาร์ทไทม์เหมือนเคย
   
แต่ถ้าไอ้ตี๋คงยังทำงานที่นี่เหมือนเดิมใช่มั้ยวะ ก็มันเป็นหุ้นส่วนร้านไปแล้วนี่หว่า อีกอย่าง มันทำงานหนักขนาดนี้คงรักร้านนี้อยู่พอตัว
   
“เออมึง” ผมเรียกขึ้นมาเมื่อนึกได้ “กูพาคนอื่นไปด้วยได้มะ”
   
[ ใครวะ ]
   
“ไอ้ตี๋”
   
พอได้ยินคำตอบผม ไอ้ตรีก็เงียบไปทันที ผมเลยต้องรีบพูดต่อก่อนที่มันจะเข้าใจอะไรผิดไป
   
“มันทำงานมาทั้งเทอมเลยอ่ะ อยากให้มันพักบ้าง แต่ถ้ามึงไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะ กูเข้าใจ” ผมพูดเผื่อไว้ เพราะยังไงซะไอ้ตรีกับไอ้ตี๋ก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไหนจะพี่เชนที่เคยมีคดีร่วมกันอีก ลำพังมาที่ร้านได้โดยไม่พุ่งเข้ามาชกหน้ามันอีกสักรอบนี่ก็ถือว่าเมตตามันมากแล้ว
   
[ หึ นี่มึงกับโชสนิทกันถึงขั้นไหนแล้ววะ ] ไอ้ตรีหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยแซว [ เมื่อก่อนไม่ชอบขี้หน้ากันไม่ใช่? ]
   
“ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบโว้ย” ผมเบ้หน้าพูดเสียงดัง ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดแบบนั้นจริงจัง
   
ไอ้ตรีหัวเราะอีกรอบ ก่อนจะตอบกลับมา [ เออ พามาดิ ไปกันหลายๆ คนน่าจะสนุกดี ]
   
ผมยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
   
[ งั้นเดี๋ยวกูแชทบอกอีกทีว่าไปวันไหน ]
   
“โอเค” ผมตอบรับสั้นๆ ก่อนจะตัดสาย
   
ในใจกำลังคิดว่ายังไงก็อยากให้ไอ้ตี๋ไปให้ได้... ไม่ใช่แค่อยากให้มันพักผ่อนจากการเรียนและก้มหน้าก้มตาทำงานมาตลอดทั้งเทอม
   
แต่ยังหวังผลพลอยได้อย่างอื่นที่อาจจะเกิดตามมา...
   
ไหนๆ หาคนใหม่ให้มันไม่ได้ ก็อยากลองใช้วิธีอื่นแทน
   
ถ้ามันยังหวัง ก็อยากทำให้รู้ว่าไม่ควรหวัง...
   
ผมกำลังคิดว่า... บางทีการราดยาลงที่แผลตรงๆ อาจเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็ได้

   




กว่าไอ้ตี๋จะยอมตอบตกลงมาด้วยกันได้ เรียกว่าผมต้องตื๊อมันจนถึงวินาทีสุดท้าย พอบอกว่าไปเที่ยวกับไอ้ตรีกับพี่เชน สีหน้ามันก็ดูลังเลขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าตัวเองเคยทำเรื่องไม่ดีไว้ แถมสถานะมือที่สามก็ยังติดตัวมันอยู่จนทุกวันนี้ จึงไม่แปลกที่พอเห็นหน้าพี่เชนมันก็หันมาถามว่าควรกลับดีหรือเปล่า
   
ใครจะให้กลับ
   
ผมดูออกเหมือนกันว่าพี่เชนดูไม่ค่อยพอใจที่มันมาด้วย แถมยังพยายามทำตัวติดกับไอ้ตรีตลอดเวลาเพื่อกันพวกเราออกห่าง แต่แบบนั้นก็ยิ่งดี ไอ้ตี๋มันจะได้เห็นว่าพี่เชนเขารักเขาหวงไอ้ตรีมากแค่ไหน... ไม่มีทางที่มันจะไปแทรกกลางได้
   
การไปเที่ยวกินเวลาสั้นๆ แค่สองวันหนึ่งคืน พวกเราเริ่มเดินทางกันตั้งแต่เช้า โดยรถยนต์หนึ่งคันกับบิ๊กไบค์หนึ่งคัน บิ๊กไบค์เนี่ย ของพี่เชนเขา แน่นอนว่าคนที่สามารถซ้อนได้ก็มีคนเดียว ส่วนที่เหลืออีกห้าคนก็ต้องเข้าไปอัดกันในรถห้าประตูของพี่เตอร์ไปโดยปริยาย ทริปนี้มีกันทั้งหมดเจ็ดคน ไอ้ตรี พี่เชน ผม ไอ้ตี๋ แล้วก็พี่เตอร์ พี่ต้า พี่วินเพื่อนสนิทของพี่เชน เป็นเพื่อนในคณะที่ฟอร์มวงดรตรีด้วยกัน เล่นประจำในผับชื่อดังที่ถ้าพูดชื่อไปใครๆ ในมหาลัยก็รู้จัก ผมเคยไปดูพวกพี่เขาเล่นกันอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งก็รู้สึกโคตรประทับใจ
   
กินอะไรกันเข้าไปวะถึงได้เทพปานนั้น
   
ผมไม่รู้ว่าพอเรียนจบพวกพี่เขาจะยังเล่นอยู่หรือเปล่า แต่มันคงน่าเสียดายถ้าวงต้องยุบไป วงดนตรีที่มีความสามารถ มีเสน่ห์ขนาดนั้น ถ้าอยากเอาทางนี้จริงจังก็คงมีอนาคตไกล จะว่าผมอวยก็ได้ แต่ผมโคตรคลั่งไคล้พวกพี่เขาเลย โดยเฉพาะพี่เชน ด้วยความเป็นพี่รหัสผมเลยได้ใกล้ชิดกว่าคนอื่น ได้รู้นิสัยใจคอพี่เขาถึงได้รู้ว่าพี่เชนเป็นคนเท่แค่ไหน ด้วยนิสัยแมนๆ แบบลูกผู้ชายตัวจริง ทำให้ผมยกพี่เขาขึ้นหิ้งเป็นไอดอลในดวงใจคนหนึ่งเลย และการที่พี่เขาคบกับไอ้ตรีที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็ไม่ได้ทำให้ผมนับถือพี่เขาลดลง พี่เชนยังโคตรแมนในสายตาผมเสมอ แถมผมกลับชื่นชมในความเป็นสุภาพบุรุษ และเอาใจใส่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างน่าตกใจของพี่เขาด้วยซ้ำ
   
มันยิ่งย้ำให้ผมรู้ว่ารสนิยมทางเพศของคนเรา แม่งไม่ได้เกี่ยวกับบุคลิกภายใน หรือนิสัยใจคอเลย
   
อันที่จริงผมก็ไม่ควรตัดสินใครว่าแมนหรือไม่แมน จากคนที่เขารักมาตั้งแต่แรก
   
 “ไหวป่ะตี๋” ผมเอ่ยถามหลังจากเราเดินขึ้นเขากันมาได้สักระยะ คนตัวเล็กที่เดินนำหน้าผมอยู่ก็เริ่มมีทีท่าเหนื่อยหอบ
   
ตอนนี้พวกเราอยู่กันที่จุดพักระหว่างทางไปตั้งแคมป์ เป็นจุดชมวิวบนยอดเขาชื่อดังที่ผมเคยเห็นคนริวิวในอินเตอร์เนตมากมาย แต่กว่าจะไปถึงจุดชมวิวได้ ก็ต้องเดินขึ้นเขากันไปกว่าสิบกิโล คนอื่นๆ นี่นำหน้ากันไปไกลแล้ว เหลือผมกับไอ้ตี๋ที่เดินรั้งท้ายอยู่กับไกด์อีกคนที่คอยช่วยดูความปลอดภัย
   
ไอ้ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เพราะเคยเป็นนักบาสของคณะ เล่นกีฬาอื่นบ้าง ถึงช่วงหลังจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่ยังไงก็ถึกกว่าอีกคนที่ไม่ทันไรก็หน้าซีดเหงื่อตกแล้ว
   
 ลืมไปเหมือนกันว่าปกติไอ้ตี๋มันไม่ค่อยได้ออกแรง ข้าวก็ไม่ค่อยจะแดก แต่จะให้หันหลังกลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย ระยะทางคงพอๆ กับเดินไปให้สุดทางเลย
   
“ไหวครับ” มันตอบ ยังคงดื้อตาใสทั้งที่เหงื่อไหลเต็มหน้าผากจนผมเผลอยกแขนเสื้อเช็ดออกให้มัน
   
ไอ้ตี๋ผงะไปนิดๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร รอจนผมเช็ดเหงื่อให้เสร็จก็กลับมาดื้อใส่อีกรอบ “คุณนำไปก่อนก็ได้ ผมเดินไปกับไกด์เอง”
   
ผมหันไปมองไกด์เด็กที่หยุดเดินตามพวกเรา แล้วหันกลับมาเบ้หน้าใส่ “ไม่เอา กูเหนื่อย”
   
ไม่รู้จะรีบเดินไปทำไมด้วย ยังไงก็ถึงเหมือนกัน อีกอย่างเดินช้าๆ ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่ระหว่างทางก็ถือว่าได้เสพบรรยากาศดีๆ
   
“อ่ะน้ำ” ผมเปิดฝาขวดน้ำของตัวเองที่เหลืออยู่ค่อนขวดแล้วยื่นให้ไอ้ตี๋ มันเลิกคิ้วมองมาอย่างลังเลจนผมต้องเอาปากขวดไปจ่อปากมันอย่างบังคับ
   
“แดกไป ของมึงหมดแล้วนี่” มองขวดน้ำเปล่าๆ ที่มันถืออยู่เหมือนจะบอกว่ามันไม่มีทางเลือก ไอ้ตี๋เลยยอมรับน้ำของผมไปจิบแล้วคืนมา

ผมส่ายหน้า “แดกให้หมดเลยก็ได้ กูไม่หิว”

“แต่...”

“เดี๋ยวข้างหน้าก็มีจุดพักมั้ง กูเห็นไอ้ตรีมีน้ำด้วย เดี๋ยวไปขอมันแดกเอา” ผมว่าแล้วดันขวดน้ำไปจ่อปากไอ้ตี๋อีกครั้งบังคับให้มันดื่มให้หมดๆ ไปซะ

“ขอบคุณครับ” พอมันกินเสร็จผมก็ดึงขวดเปล่าทั้งของมันของตัวเองกลับมา กะว่าเจอขยะข้างหน้าจะได้ทิ้งทีเดียว

“เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว ทนหน่อยนะตี๋” ขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าพอให้หายมันเขี้ยวสักทีแล้วดันหลังให้มันเดินนำหน้าไป

อีกพักใหญ่กว่าพวกเราจะถึงจุดชมวิว มันสวยมากจริงๆ นั่นแหละ ยอดเขาสูงเสียดฟ้า มองออกไปเห็นลานก้อนเมฆสีขาวที่ปกคลุมเหนือป่าทอดยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับว่าอยู่คนละโลกกับทุกวันที่ผ่านมา นึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้พกกล้องดีๆ ติดมาเหมือนไอ้ตรี แต่ได้เสพด้วยตาก็คุ้มค่ามากแล้วที่เดินมาไกลขนาดนี้

“ชอบมะ” ผมสะกิดคนที่ปลีกตัวออกมายืนชมวิวคนเดียวพลางยื่นน้ำที่จิ๊กมาจากคนอื่นอีกทีให้มัน

ไม่ทันเตรียมใจว่าไอ้ตี๋จะหันมายิ้มให้ด้วยสีหน้าที่ต่างไปจากทุกที

“สวยมากเลยครับ”
   
“...”     
   
สีหน้ามีความสุขซะจนผมได้แต่เงียบไป
   
“...” ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ ไอ้ตี๋มันถึงได้ชะงัก แล้วก็ต่างคนต่างเงียบไปทั้งคู่ ยืนสบตากันอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้สายลมเย็นที่พัดมาพาให้เรือนผมที่เคยเป็นทรงกระจัดกระจาย เผยกรอบหน้าขาวใสของคนตรงหน้าออกมา
   
สังเกตมานานแล้วเหมือนกันว่าหน้าตาไอ้ตี๋มันน่ารัก ตาตี่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ดูรับกับจมูกที่ไม่โด่งเกินไป แถมปากก็เป็นกระจับเล็กๆ จะยิ้มหรือหุบปากนิ่งๆ ก็ดูน่ามอง แต่ที่ทำให้ใครๆ ต่างก็ชอบ คงเป็นเวลาที่มันยิ้มกว้างเห็นฟันแทบจะครบทุกซี่ จนตาตี่ๆ หยีโค้งเป็นสระอิ... เหมือนเมื่อกี้
   
ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆ ผมก็มีความคิดผุดขึ้นมาว่า อยากให้ไอ้ตี๋กลับไปเป็นตี๋อ้วนดำ แว่นหนาเตอะที่ใครๆ ก็ไม่อยากเข้าใกล้มากกว่า
   
ถ้าเป็นแบบนั้นคนที่มันสนิทด้วย ก็คงมีผมคนเดียว...
   
“ขอบคุณครับ” จนกระทั่งไอ้ตี๋เอ่ยขึ้นมา รับขวดน้ำที่ผมถือค้างไว้ไปเปิดดื่มแก้กระหาย แล้วเบือนหน้าไปอีกทาง
   
ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ปัดความคิดไร้สาระก่อนหน้านี้ออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปเกาะราวกันตกข้างคนตัวเล็กกว่า แกล้งเอื้อมมือไปขยี้หัวมันแรงๆ จนโดนฟาดเข้าให้หนึ่งทีถึงยอมชักมือกลับมาเท้าแขนลงกับราวกั้น มองวิวสวยๆ ข้างหน้าแล้วยิ้มออกมาแบบไร้เหตุผล
   
อากาศดี บรรยากาศดี วิวดี ไม่แปลกที่ไอ้ตี๋จะยิ้มได้แบบนั้น มันเหนื่อยมาเยอะแล้ว ได้มาผ่อนคลายบ้างคงช่วยเติมพลังได้อย่างดี เห็นแบบนี้แล้วอยากพามาอีก...
   
“ไอ้ซัน โช มาถ่ายรูปกัน” ยืนรับลมชมวิวอยู่สักพักก็ได้ยินไอ้ตรีตะโกนขึ้นมา หันไปมองก็เห็นว่ามันกับคนอื่นๆ ยืนรวมตัวกันอยู่ที่จุดถ่ายรูปยอดนิยมเรียบร้อยแล้ว
   
“ปะ” ผมหันไปบอกได้ตี๋ที่ตอนนี้ขมวดคิ้ว ท่าทางลังเล
   
“จะดีเหรอครับ ผม...”
   
ผมไม่รอให้มันพูดจบ แล้วถือวิสาสะจับมือมันลากออกมาทันที เข้าใจว่าในสถานการณ์แบบนี้มันคงกำลังคิดว่าตัวเองเป็นคนนอก 

แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครคิดแบบนั้น
   
“มาเที่ยวทั้งที ไม่มีรูปถือว่าพลาดนะตี๋”
   
พอได้ยินแบบนั้นมันก็ยอมตามมาโดยดี พวกเราก็ตั้งกล้องถ่ายรูปรวมกัน โดยที่ทุกคนยืนเรียงกันโง่ๆ ไร้การโพสท่าลั้ลลาใดๆ แทบไม่มีใครยิ้มเลยด้วยซ้ำนอกจากผมกับไอ้ตรี กับไอ้ตี๋ที่ยิ้มนิดๆ อย่างเก้ๆ กังๆ ทุกรูปที่ถ่ายออกมาแม่งเป็นงั้นหมดเลย ตอนผมกับไอ้ตรีมาเช็กรูปยังได้แต่ขำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมีคนอื่นรอถ่ายอยู่ สุดท้ายก็เลยได้รูปแค่นั้น
   
รูปที่ผมไม่ทันสังเกตเหมือนกัน ว่ามือของผมกับไอ้ตี๋ยังคงจับกันไว้ ตั้งแต่รูปแรกยันรูปสุดท้าย





-----------------------------------------------------
มาถึงจุดเชื่อมต่อเหตุการณ์ของสองเรื่องเข้าด้วยกันแล้ว
เป็นจุดที่เราว่ามีบางอย่างเผยออกมานะ 55555
ตอนหน้าจะจบพาร์ทก่อนตะวันแล้วค่ะ แล้วเรามาเริ่มนับหนึ่งใหม่กับพาร์ทหลังตะวันกันนะ
มาดูกันว่าซันจะหายโง่เลิกหลอกตัวเองตอนไหน 5555

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ เป็นกำลังให้ได้มาก
ช่วยอยู่ด้วยกันไปจนจบเลยนะคะ ไม่ชอบตรงไหนก็ติได้เสมอเลยค่ะ  :L2:

-- Martian --    
   
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-05-2017 01:53:26 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตี๋ละเมอถึงใครอ่าาาาา

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ก่อนตะวัน : 12

   
หลังจากเดินลงมาจากเขา พวกเราก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่จุดตั้งแคมป์ต่อทันทีเพราะกลัวว่าจะค่ำเสียก่อน ไอ้ตี๋ท่าจะเหนื่อยก็เลยหลับมาตลอดทาง หัวกระแทกกระจกไปหลายครั้งจนผมต้องดึงตัวมันเอนมาพิงไหล่ไว้เพราะสงสาร ถือว่าตอบแทนละกันที่ก่อนหน้าหนีผมก็เผลอหลับทิ้งตัวไปซบไหล่มันเหมือนกัน แถมไม่ถูกด่าอีก นั่งรถมาสักพักก็ดันหลับตามไปตอนไหนไม่แน่ใจ แต่ตื่นมาอีกทีก็ถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว
   
“พวกมึงไปหาฟืนมาก่อกองไฟนะ เดี๋ยวพวกกูกางเต็นท์เอง” พี่เตอร์หันมาบอกระหว่างช่วยกันขนสัมภาระลงจากท้ายรถ ผมกับไอ้ตี๋มองหน้ากันมึนๆ คงเพราะเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ จนไอ้ตี๋หันไปพยักหน้ารับแล้วเดินนำผมถึงได้บิดขี้เกียจตามไป 
จุดกางเต็นท์ที่พวกเราต้องนอนคืนนี้เป็นป่าสนของอุทยานแห่งชาติที่มีไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมากางต็นท์ตากอากาศ แต่วันนี้นักท่องเที่ยวไม่เยอะนัก พวกเราก็เลยได้จุดดีๆ ที่ไม่ต้องไปแออัดกับใคร เป็นมุมสงบที่อยู่ห่างจากจุดชมวิวไม่ไกลอีกต่างหาก
   
“อันนั้นไม่น่าจะใช้ได้นะครับ” ไอ้ตี๋ว่าเมื่อผมหยิบกิ่งไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นขึ้นมามั่วซั่ว คนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วแล้วเดินมาใกล้ ใช้มือข้างหนึ่งหอบกิ่งไม้ไว้ ในขณะที่อีกข้างคัดกิ่งไม้ที่ใช้ไม่ได้ออกจากอ้อมแขนผม
   
“ไม่เคยเรียนลูกเสือเหรอครับ”
   
โดนด่าเฉย
   
“ก็เคย แต่กูไม่ได้มีหน้าที่ก่อไฟนี่หว่า” ผมเบ้หน้า ตอนเข้าค่ายผมมีหน้าที่แค่เอนเตอร์เทนคนในหมู่บังหน้าการอู้งานเท่านั้นแหละ
   
“แต่ก็น่าจะรู้นะครับว่าก่อไฟต้องใช้กิ่งไม้แห้ง”
   
แหม ด่ากูโง่ตรงๆ เลยก็ได้นะตี๋ เหน็บแบบนี้เจ็บกว่าอีก!
   
“คร้าบบบ รู้แล้วเนี่ย” ผมแกล้งรับคำเสียงทะเล้น ก่อนจะแย่งกิ่งไม้แห้งในอ้อมแขนเล็กๆ นั่นมาหอบไว้เอง
   
“หาเอาใหม่สิครับ มาแย่งผมทำไม” ดวงตาเรียวมองมาอย่างไม่พอใจ
   
“กูเลือกไม่เป็นไง มึงก็หยิบๆ มาละกันเดี๋ยวกูถือให้”

“มันหนักนะครับ ช่วยกันขนน่ะดีแล้ว” ไอ้ตี๋ขมวดคิ้ว ทำท่าจะเดินเข้ามาแย่งกิ่งไม้จากมือผมจนต้องเบี่ยงตัวหลบ
   
“เอาเหอะน่ะ แค่นี้แขนกูไม่หักหรอก” ...แขนมึงต่างหาก ดูบอบบางขนาดนั้นเกิดขนของหนักๆ มากเกินจนแขนหักก็ชงกาแฟไม่ได้พอดี
   
พอเห็นผมดื้อแพ่ง ไอ้ตี๋เลยได้แต่ส่ายหน้า ส่งสายตาบอกว่าเตือนผมแล้วนะ ก่อนจะเดินนำไปหากิ่งไม้มาเพิ่มอีก มันต้องใช้พอสมควรเพราะเราต้องจุดไฟให้ความอบอุ่นกันทั้งคืน บนเขาแบบนี้อุณหภูมิต่างจากข้างล่างลิบลับ นี่ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่ตกดีอากาศยังเย็นเลย ลองดึกกว่านี้ถ้าไม่มีกองไฟคงได้หนาวตาย
   
“มึงเอาเสื้อกันหนาวมากี่ตัวตี๋” อดไม่ได้ที่จะถามเมื่อนึกว่าตอนกลางคืนอากาศจะเย็นลงขนาดไหน
   
ไอ้ตี๋หันมาเลิกคิ้วงงๆ ก่อนจะตอบ “ตัวเดียวครับ”
   
หมายถึงไอ้ตัวที่ใส่อยู่เนี่ยอ่ะนะ
   
“เฮ้ย จะพอได้ไง” ผมโวยวายพลางแย่งกิ่งไม้ที่มันไม่ยอมส่งให้มาถือไว้อีก “เดี๋ยวดึกๆ ก็หนาวตายหรอก”
   
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีถุงนอน” มันเถียง “แล้วอีกอย่างก่อกองไฟเดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”
   
คิดง่ายชิบ ถ้าเกิดหนาวจนทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ กูจะหัวเราะให้
   
“ยังไงกันไว้ก็ดีกว่า กูมีอีกตัวอยู่ในกระเป๋า เดี๋ยวกลับเต็นท์ไปเอามาใส่เลย” ผมบ่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่สีหน้าไอ้ตี๋ก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อฟังกัน
   
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ” ว่าพลางถอนหายใจเหมือนทุกที “ห่วงตัวเองเถอะ เสื้อเลอะดินหมดแล้ว กลับเต็นท์ไปเปลี่ยนด้วยนะ เดี๋ยวจะคันเอา” บ่นคืนพร้อมกับยกมือขึ้นมาปัดๆ เศษกิ่งไม้ที่เลอะเสื้อผมออกเบาๆ
   
เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่าเสื้อตัวเองเลอะดินที่ติดอยู่กับกิ่งไม้เต็มไปหมด แต่แค่นี้คงไม่ทำให้เป็นอะไรหรอก ปัดๆ ก็ออกหมดแล้ว ผมไม่ได้เถียงอะไรไอ้ตี๋ แค่คิดในใจว่าถ้ากลับไปที่เต็นท์ค่อยบังคับให้มันสวมเสื้อกันหนาวของผมอีกรอบก็แล้วกัน ไม่อยากให้มันไม่สบาย พี่โมยิ่งบอกว่าไอ้ตี๋ร่างกายอ่อนแออยู่ด้วย
   
“แค่นี้น่าจะพอแล้วมั้ง กลับกันเถอะ” มันว่าพลางหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือสองข้าง แล้วรีบเดินนำกลับเต็นท์ไป ไม่ให้ผมแย่งมาถือไว้แทนได้อีก
   
เป็นตัวอะไร ทำไมดื้อขนาดนี้วะเนี่ยตี๋

   




ผมว่าในค่ายลูกเสือ ไอ้ตี๋แม่งก็ไม่ได้ทำหน้าที่ก่อไฟเหมือนกัน ทำมาเป็นว่าผม แต่พอเอาฟืนมาวางเสร็จก็ยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูกจนพี่เตอร์ต้องมาช่วยทำแทนให้อยู่ดี สุดท้ายก็ยืนไร้ประโยชน์อยู่กับผมนี่แหละ ปล่อยให้พวกผู้เชี่ยวชาญเขาจัดการไป
   
นอกจากก่อไฟให้ความอบอุ่นแล้ว เรายังใช้กองไฟนี้ในการทำอาหารเย็นด้วย รื้อฟื้นความทรงจำค่ายลูกเสือของแท้ แต่แน่นอนว่าตัวไร้ประโยชน์อย่างผมก็ยังไร้ประโยชน์เสมอต้นเสมอปลาย ปล่อยให้ไอ้ตรีที่มีดีกรีเป็นลูกชายเจ้าของร้านอาหารไทยในอิตาลีทำหน้าที่พ่อครัวไป

ด้วยความที่ต้องมาตั้งแคมป์กลางป่ากลางเขา อาหารก็เลยเป็นอะไรง่ายๆ อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับเนื้อย่างนิดๆ หน่อยๆ   สำหรับผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่กับไอ้ตี๋... ปกติมันไม่กินทั้งสองอย่างเลย
   
ผมผิดเองแหละที่ไม่รอบคอบ ลืมบอกเรื่องอาหารที่ไอ้คนตัวเล็กนี่ไม่ชอบ จะบอกตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย สุดท้ายเลยได้เห็นมันกินมื้อเย็นนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธีเพราะเกรงใจไอ้ตรี
   
โชคดีที่ก่อนขึ้นเขามาผมไม่ลืมซื้อของกินจากร้านสะดวกซื้อข้างล่างมาเผื่อให้มัน
   
“อ่ะ” ผมยื่นแซนวิชโฮลวีตไส้ทูน่าให้ไอ้ตี๋หลังจากที่พวกเราปลีกตัวออกมานั่งใต้ต้นสนห่างจากเต็นท์พอสมควร เพราะอยู่ๆ พี่เชนกับไอ้ตรีก็สวีทกันตอนที่พวกพี่เตอร์ออกไปสูบบุหรี่เฉย ผมกับไอ้ตี๋เลยไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอ ปล่อยให้เขาหวานกันตามลำพัง อีกอย่าง ผมหาจังหวะเอาแซนวิชนี่ให้ไอ้ตี๋อยู่แล้วด้วย

“เมื่อเย็นมึงไม่ค่อยได้กินนี่” ผมว่าเมื่อเห็นว่ามันหันมาทำหน้างงๆ ไอ้ตี๋เลยผงกหัวขอบคุณแล้วหยิบแซนวิชไปกัดคำโต
อาหารเย็นที่กระเดือกไปคงไม่ถึงท้องอย่างที่คิด

“เอาอีกมะ” ผมหยิบธัญพืชอัดแท่งซองเล็กออกมาจากกระเป๋าให้มันอีก ไอ้ตี๋ทำหน้างงอีก ก่อนจะถามกลั้วหัวเราะ

“พกอะไรมานักหนาเนี่ย”

“ก็รู้ไงว่าคนแถวนี้แม่งกินยาก” ถึงคราวผมทำหน้าเอือมบ้าง

แม่งกินยากจริงๆ คราวหน้าถ้ามาอีกก็ห่อข้าวขึ้นมากินเองเหอะ

ผมนั่งมองมันกินเงียบๆ แล้วเผลอยิ้มออกมา แค่แดกธัญพืชอัดแท่งเองทำไมต้องทำหน้าตามีความสุขขนาดนั้น เนื้อย่างกับมาม่าของไอ้ตรีอร่อยกว่านี้ตั้งหลายเท่าด้วยซ้ำ

“มึงรู้สึกยังไง” เผลอปากไวขึ้นมาเมื่อนึกถึงภาพที่ไอ้ตรีกับพี่เชนสวีทกันเมื่อกี้ ไอ้ตี๋เองก็เห็นเต็มๆ เหมือนกัน... สีหน้ามีความสุขของไอ้ตรีแบบที่มันคงไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้

“รู้สึกอะไร?” มันเลิกคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นแหละ ผมถึงนึกได้ว่าคำถามผมแม่งโคตรจะไร้ที่มาที่ไปอีกแล้ว

“ก็...” เว้นวรรคอย่างไม่แน่ใจ แต่สุดท้ายก็ถามออกไป “เรื่องเมื่อกี้...”

ผมขมวดคิ้วอย่างกังวล แต่ไอ้ตี๋กลับยักไหล่ “ไม่ได้รู้สึกอะไร”

“จริงอ่ะ?” 

“ทำไม อยู่ๆ เกิดเป็นห่วงขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตัวเองชวนมาเพราะอยากให้ผมเห็นภาพแบบนี้ไม่ใช่หรือไง” มันเลิกคิ้วถามกลับ

อ้าวชิบหาย มันรู้ทัน

 “อะ...อะไร กูแค่ชวนมาเฉยๆ” พยายามเฉไฉแต่ก็รู้ตัวว่าไม่เนียน

นี่ผมอ่านง่ายถึงขนาดที่มันดูออกได้เลยเหรอวะว่าผมตั้งใจจะทำอะไร ตอนที่พยายามเป็นพ่อสื่อให้ไอ้นายก็ทีนึงแล้ว

“ผมไม่เป็นไร ขอบใจ” ไอ้ตี๋ว่าพลางหัวเราะเบาๆ

ท่าทางมันดูสบายๆ จนน่าตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าข้างในมันจะไม่ได้รู้สึกอะไร อาจจะเหมือนเรื่องรูปที่เป็นข่าวลือนั่นก็ได้ ที่มันพยายามปกปิดความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้ผมเห็น

แต่ไม่เป็นไร...ยังไงซะผมก็ยังอยากอยู่ข้างๆ เพื่อปลอบใจมัน ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม

“กูรู้ว่ามึงยังเจ็บอยู่... แต่เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ดีขึ้นเอง”

คงเพราะไม่ค่อยได้ยินคำพูดดีๆ ออกจากปากผมสักเท่าไหร่ ไอ้ตี๋ถึงทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมา

“อืม” มันพยักหน้า สบตาผมด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

เพราะไม่เคยเห็นสายตาแบบนี้มาก่อน มันเลยทำให้ผมตกใจจนต้องเฉไฉเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาอีกที

“ไม่เห็นดาวเลยว่ะ” ว่าพลางเอนหลังนอนราบลงไปบนพื้นชื้นๆ ด้านหลัง

ยังไงก็มาเพื่อนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่แล้ว ก็เอาให้มันคลุกดินจริงๆ ไปเลยแล้วกัน

ผมมองไปทางไอ้ตี๋ที่เงยหน้ามองท้องฟ้าหม่นๆ ไร้แสงดาวตามผม ก่อนที่ปากมันจะลั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“พรุ่งนี้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”

“ฮะ?”

เออ ตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็ชวน...

แต่มาบนเขาทั้งที มีจุดชมวิวสวยๆ อีกต่างหาก ถ้าได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าก็น่าจะสดชื่นดีไม่ใช่หรือไง

 “เขาว่ากันว่าพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่” พอเห็นไอ้ตี๋ทำหน้างงก็พูดออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดทำไม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาตอนสบตาคนตรงหน้าที่มองมาอย่างไม่เข้าใจความหมาย

“เผื่อว่ามึงจะรู้ตัวสักที ว่าชีวิตมึงก็เริ่มต้นใหม่ได้เหมือนกัน”

ไอ้ตี๋เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี มีท่าทีลังเลแปลกๆ จนผมเริ่มใจแป้วว่ามันอาจจะไม่ไป

แต่สุดท้ายมันก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ไร้แสงดาวอีกครั้ง แล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

“เอาดิ”






ผมกับไอ้ตี๋กลับมาที่เต็นท์กันหลังจากนั้นไม่นาน คนอื่นๆ ยังนั่งดื่มเบียร์เล่นกีตาร์ร้องเพลงไปพลางด้วยบรรยากาศที่เป็นใจ จนเวลาล่วงเลยไปประมาณตีสามกว่าๆ ถึงแยกย้ายกันไปนอน ผมกับไอ้ตี๋นอนเต็นท์หลังเดียวกัน ในขณะที่พี่เชนนอนกับไอ้ตรี ส่วนพี่เตอร์ พี่ต้า พี่วินนอนหลังใหญ่สุดรวมกัน

อาจจะเพราะแปลกที่ หรือเพราะมันหนาวเกินไปก็ไม่รู้ ขนาดดื่มไปพอสมควร แถมดึกขนาดนี้ผมก็ยังนอนไม่หลับ ได้แต่นอนตาค้างอยู่เป็นชั่วโมงๆ

“นอนไม่หลับเหรอครับ” คงเพราะผมนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ ไอ้ตี๋ถึงได้รู้แล้วถามขึ้นมา

“กูทำให้ตื่นเหรอ โทษที” ผมพลิกตัวกลับไปหามันแล้วถามอย่างรู้สึกผิด

ไม่ทันรู้ตัวว่าเต็นท์มันแคบจนต้องนอนใกล้กันขนาดที่อีกไม่ถึงฟุตจมูกก็แทบจะแตะกันอยู่แล้ว

มันเงียบไปสักพัก ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ผมก็ยังไม่หลับเหมือนกัน”

“...” ผมยังคงเงียบมองหน้ามันอยู่อย่างนั้นหลายวินาที แน่ใจว่ามันน่าจะเห็นผมไม่ชัดเพราะถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน แถมแสงที่มาจากกองไฟนอกเต็นท์ก็คงไม่เพียงพอให้มันดูออกว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหน...

ขนาดผมเองยังไม่ค่อยแน่ใจสีหน้าตัวเองเลย

“พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นหรือยังครับ” พอมันถาม ผมถึงได้สติกลับมา รู้ตัวว่าจ้องหน้าอีกฝ่ายนานเกินไป

“มะ... ไม่รู้ว่ะ” ผมอึกอัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมาเช็คเวลาพระอาทิตย์ขึ้นอีกที “ในนี้บอกว่าขึ้นตอนตีห้าครึ่ง ก็เหลือประมาณชั่วโมงนึง”

แบบนี้คงไม่ได้นอนแล้วมั้ง เพราะถ้าหลับ ก็อาจจะลากยาวจนตื่นมาดูไม่ทัน

“งั้นเราไปนั่งรอดีมั้ย” ไอ้ตี๋เองก็คงคิดเหมือนกัน

ผมยิ้ม พยักหน้า แล้วลุกขึ้นมาจากถุงนอน ไอ้ตี๋ลุกตาม หันไปหยิบแว่นสายตาในกระเป๋าขึ้นมาสวมลวกๆ แทนคอนแทกเลนส์

“มองเห็นเหรอนั่นน่ะ” ผมถามกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นแว่นตาทรงลุงของมันขึ้นฝ้าขาวจนไม่น่าจะมองเห็นอะไร เอื้อมมือออกไปถอดออกมาเช็ดกับเสื้อของตัวเองให้ จนแน่ใจว่ามันกลับมาใสเหมือนเดิมแล้วถึงใส่กลับเข้าไปให้มัน

“ขอบคุณครับ” ไอ้ตี๋พึมพำ พลางดันแว่นให้เข้าที่สีหน้าเหมือนตั้งตัวไม่ทัน แต่ก่อนที่จะออกจากเต็นท์ได้ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อกันหนาวของผมที่มันถอดไว้ขึ้นมา

“ข้างนอกมันหนาว มึงไม่ต้องมาดื้อเลย” ถือวิสาสะสวมให้ ไม่เปิดโอกาสให้มันปฏิเสธ รูดซิปเสื้อตัวโคร่งกว่าคนใส่จนสุดถึงคอก็พอใจ มุดออกมาจากเต็นท์พลางยืนบิดขี้เกียจรอมัน

อากาศดีชะมัด อยากพกกลับไปข้างล่างด้วยเลย

ไอ้ตี๋มุดตามออกมาอย่างเก้ๆ กังๆ ยืนสูดอากาศอยู่ข้างกันด้วยสีหน้าที่ดูอารมณ์ดี

“จะชวนคนอื่นไปด้วยมั้ยครับ” มันกระซิบ เพราะตอนนี้ทุกคนนอนกันหมดแล้ว

“ไม่เอาอ่ะ” ผมปฏิเสธทันที ก่อนที่สมองจะนึกเหตุผลออก “ให้พวกพี่เขาพักแหละ แดกเบียร์ไปตั้งเยอะ เดี๋ยวต้องขับรถกลับกันอีก”

ไอ้ตี๋ไม่ได้ว่าอะไร ผมเลยเริ่มเดินนำมันออกไป ยังดีที่ทางอุทยานติดไฟตามทางให้ มันเลยไม่มืดมากนัก เดินลัดป่าสนเข้าไปไม่ไกลก็ถึงจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นอยู่เหมือนกันประปราย แสงไฟตรงนี้น้อยกว่าระหว่างทาง คงเพราะไม่อยากให้แสงอื่นมารบกวนแสงอาทิตย์ที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา

ผมกับไอ้ตี๋หามุมเหมาะได้ก็พากันนั่งลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำค้างนั่นแหละ เปิดโทรศัพท์ดูเวลาก็พบว่าเหลืออีกประมาณยี่สิบนาที ยังไม่มีวี่แววว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเลย

“เคยดูพระอาทิตย์ขึ้นมาก่อนมั้ยครับ” ไอ้ตี๋กระซิบถามขึ้นมา นั่งชันเข่าซบหน้าลงหันมาทางผม

“ก็เคย แต่ส่วนใหญ่เป็นทะเล” ส่วนใหญ่โรงแรมกับรีสอร์ตของบ้านผมจะอยู่แถวทะเล ดังนั้นช่วงพักร้อนก็เลยไปเที่ยวทะเลเป็นว่าเล่น ถึงได้เบื่อจนต้องหนีมาเรียนบนเขาบนดอยนี่ไง

“สวยมั้ยครับ” ผมเลิกคิ้ว มองคนตั้งคำถามอย่างประหลาดใจ

“มึงไม่เคยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเหรอ”

ไอ้ตี๋ส่ายหน้า “ปกติไม่ค่อยได้เที่ยวน่ะครับ”

สังเกตจากที่วันๆ มันเอาแต่หลับหูหลับตาทำงานแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่

“สวยดิ สวยมาก” ผมยิ้ม นึกภาพที่เห็นกี่ครั้งก็ยังประทับใจ “ถ้ามึงอยากเห็น วันหลังกูจะพาไป”

เผลอชวนออกไปอีกแล้ว ทั้งที่ไม่แน่ใจว่ามันจะอยากไป

ไอ้ตี๋ไม่ได้ตอบอะไร แค่เบือนหน้าออกไปทอดสายตามองทิวเขาไกลๆ ที่อีกไม่นานตะวันดวงใหญ่จะโผล่ขึ้นมา

“ถือเป็นคำสัญญาหรือเปล่าครับ” อยู่ๆ มันก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังกระซิบกับตัวเอง ก่อนจะหันมาสบตา
กับผมอีกครั้งด้วยสายตาที่แปลกไป “ไม่อยากให้ใช่เลย”

เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นไหว... หวาดกลัว

“...”

“คำสัญญาปากเปล่ามันเชื่อไม่ได้”

“...”

“แต่มันก็ยาก ที่ได้ยินแล้วจะทำใจให้ไม่เชื่อเหมือนกันนะครับ” ริมฝีปากบางยกเป็นรอยยิ้มเหมือนกำลังพูดเรื่องน่าขำ ทั้งที่แววตาของมันไม่ได้ขำไปด้วยเลย

ผมอยากจะเถียงออกมา แต่ก็คิดได้ว่าจริงอย่างที่มันพูด... ถ้าไม่มั่นใจว่าจะทำได้จริง ก็ไม่ควรให้สัญญา

แต่ว่า... ถ้าผมมีหลักประกันล่ะ

อย่างน้อย ครั้งหนึ่งผมก็ทำตามคำพูดของตัวเองได้จริง ด้วยการพามันมาดูพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันนี้

แค่นี้จะเพียงพอให้มันเชื่อใจคำพูดของผมได้มั้ย?

...ผมไม่กล้าถามออกไป เพราะสุดท้าย ผมก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำมันได้อยู่ดี

“สวยจริงๆ นะครับ” เงียบกันไปนานกว่าเสียงทุ้มที่เอ่ยออกมา ทำให้ผมเบือนหน้ากลับไปยังท้องฟ้าที่เริ่มขึ้นสีแดง

พระอาทิตย์ที่เป็นเจ้าของแสงค่อยๆ เคลื่อนกายขึ้นมาแตะขอบฟ้าก่อนเวลา เผยตัวออกมาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังรอคอย นักท่องเที่ยวคนอื่นพากันยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปส่งตื่นตะลึงในความสวยงามที่ไม่ได้หาง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ต่างกับพวกผมที่เพียงทอดสายตามองออกไป ซึมซับความสวยงามนั้นอยู่เงียบๆ นานนับนาที

ผมหันกลับมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกคนที่ถูกแสงยามเช้าส่องกระทบจนดูเป็นประกาย สายตาที่มองออกไปราวกับว่ากำลังหลุดลอยตามพระอาทิตย์ดวงนั้นไป สร้างความรู้สึกประหลาดบางอย่างให้ก่อตัวขึ้นมาในใจผมทันทีที่มอง

“ตี๋... ที่ก่อนหน้านี้กูบอกว่าชีวิตมึงเริ่มต้นใหม่ได้เหมือนพระอาทิตย์น่ะ... กูหมายความแบบนั้นจริงๆ นะ”

ความรู้สึกที่ผลักดันให้ผมพูดออกไป ขณะที่เอื้อมมือออกไปสัมผัสผมคนตรงหน้าแผ่วเบา

“?”

“เพราะฉะนั้นเรื่องไอ้ตรี... ช่วยหยุดมันไว้แค่ก่อนพระอาทิตย์จะพ้นขอบฟ้านี่ได้มั้ย”

รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังสบตาคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงจังแค่ไหน... เพราะผมกำลังคิดอย่างที่พูดจริงๆ

“มึงจะฟูมฟาย ร้องไห้ ตีอกชกตัวยังไงก็ได้ จนกว่ามึงจะพอใจ”

และมันคงดี ถ้าไอ้ตี๋ทำได้อย่างที่ผมขอ
 
“แต่กูให้เศร้าได้แค่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะตี๋”

เพราะถ้ามันก้าวออกมาจากความเจ็บปวดได้... ผมก็พร้อมจะทำสิ่งที่ตั้งใจไว้

“เฮิร์ตให้เต็มที่... แล้วหลังจากนี้กูจะทำให้มึงมีความสุขเอง”
   
คราวนี้ผมกล้าสัญญา...      






----------------------------------------------------
ตอนหน้าจะเริ่มรับหนึ่งใหม่กับพาร์ทหลังตะวันนะคะ
เรื่องจะเดินหน้ามากกว่านี้แน่นอน 55555
ฝาก #ซันโช ค่า

ขอบคุณค่ะ
-- Martian --   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-05-2017 01:18:50 โดย makok_num »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ชอบการตบเข้าชื่อเรื่องมาก อิอิ
เริ่มต้นใหม่นะตี๋... ซึ่งจริงๆ ตี๋อาจเริ่มใหม่นานแล้ว
แต่บางคนซึนอยู่เลยไม่รู้ 5555

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลังตะวัน : 1

   
[ Shogun’s Part ]
   

ปัจจุบัน



ผมไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น
   
ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาพูดมันออกมาทำไม... เหมือนกับที่ไม่แน่ใจกับการกระทำอีกหลายๆ อย่างที่เขาแสดงออกตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
   
เขาอยู่กับผม ในวันที่ผมร้องไห้... กอดผมไว้ ในวันที่ผมทุกข์ใจ
   
มันไม่ใช่สิ่งปกติที่ผมเคยได้รับจากใครสักคน
   
ซันเป็นคนดี ข้อนั้นผมรู้... อาจจะรู้ดีกว่าใครจากการที่เฝ้าสังเกตเขามานานในฐานะคนที่ตรีเคยแอบรัก
   
ตั้งแต่มัธยมเขามักเป็นศูนย์กลางของคนมากมายอยู่เสมอ เป็นแสงสว่างสดใสที่ใครเห็นก็รู้สึกอบอุ่นใจ ถึงจะสนิทกับตรีที่สุด แต่ในโลกของเขาก็มีคนมากมายที่เขาให้ความสำคัญ ใส่ใจอยู่ภายใต้การทำเหมือนไม่ใส่ใจในแบบของเขา
   
ผมคิดว่าตัวผมเองก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น
   
แต่ตอนนี้... กลับรู้สึกว่าการใส่ใจของเขา มันกำลังรบกวนความคิดของผม...


‘กูให้เศร้าได้แค่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนะตี๋’

‘เฮิร์ตให้เต็มที่... แล้วหลังจากนี้กูจะทำให้มึงมีความสุขเอง’

   
โดยเฉพาะคำพูดพวกนี้...
   
ผ่านมาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ไปเที่ยวคราวนั้น แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมผมถึงสลัดพวกมันออกไปจากหัวไม่ได้สักที
   
อาจเพราะน้ำเสียงของเขาที่ฟังดูจริงใจ สายตาที่มองมาอย่างจริงจัง... หรือฝ่ามือหนาที่ลูบอยู่บนหัวผมอย่างแผ่วเบา... 
ทุกอย่างยังทิ้งร่องรอยอยู่ในความทรงจำ ชัดเจนหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
   
บอกแล้วว่าคำสัญญาปากเปล่าน่ะน่ากลัว แค่ได้ยินครั้งเดียวก็เผลอปักใจเชื่อไปแล้ว ทำยังไงดี
   
“พี่โช เป็นไร เหม่อเชียว” ผมได้สติอีกครั้งเมื่อนายเดินมาสะกิดเบาๆ
   
“ฮะ?” ไม่ทันฟังว่าน้องพูดอะไร

ช่วงนี้ผมใจลอยอยู่บ่อยๆ จนบางทีก็รำคาญตัวเอง
   
“พี่ไม่สบายป่ะเนี่ย” นายเลิกคิ้วถาม สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใย สงสัยกลัวผมเป็นลมเป็นแล้งระหว่างทำงานไปอีกเหมือนคราวนั้น
   
“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้ายิ้มๆ
   
เข้าใจว่าคนตรงหน้าหวังดีตามประสาเพื่อนร่วมงานเท่านั้น เพราะตั้งแต่คืนนั้นที่ผมพูดกับนายออกไปตรงๆ น้องก็ดูไม่ได้เฮิร์ตอะไร แถมไม่ทันไรก็เริ่มต้นใหม่กับเด็กที่พี่โมเพิ่งรับเข้ามาทำงานกะเช้าแทนคนเก่าที่ลาออกไป ความสัมพันธ์ดูไปด้วยดีจนผมอดอิจฉาไม่ได้
   
ทำยังไงถึงจะทำใจได้เร็วแบบนั้น? ผมเองก็อยากจะเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน... แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง
   
ต้องขอบคุณการไปเที่ยวในครั้งนั้นที่ทำให้ความรู้สึกของผมมันชัดเจนขึ้นมา ผมเลิกเศร้า เลิกคร่ำครวญแม้แต่ในใจ ต่อให้ภาพของตรีกับพี่เชนจะบาดตาแค่ไหน ผมก็ไม่เป็นไร ซ้ำยังรู้สึกดีที่เห็นพวกเขารักกันขนาดนั้น
   
ในที่สุดผมตัดใจจากตรีได้

แต่น่าเศร้าที่ผมเลิกหวาดกลัวความผิดหวังไม่ได้... ผมอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับมันเป็นครั้งที่สอง และคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะมีความรักอีก
   
ถ้าไม่รักก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่หวัง ก็ไม่ผิดหวัง... ผมบอกตัวเองอย่างนั้นซ้ำๆ และคิดว่ามันจะปกป้องหัวใจตัวเองได้ พยายามอยู่กับตัวเองให้มากเข้าไว้ ไม่เปิดรับใครเข้ามาทำร้ายหัวใจได้อีก

มันคงทำได้ง่าย... ถ้าไม่มีเขา

“พี่ซันมาพอดี มาดูพี่โชดิ ท่าจะไม่สบาย” นายว่าพร้อมกับหันไปทางประตูที่ร่างสูงแสนคุ้นตาเปิดเข้ามาพอดี

ฟ้องทำไมเนี่ย

“ฮะ? มึงป่วยเหรอตี๋”

ผมส่ายหน้าหวือ ยังไม่ได้พูดสักคำว่าไม่สบาย ไอ้เจ้านาย...

“ไหนดูดิ๊” แต่ซันไม่เชื่อ เขาเดินมาหลังเคาน์เตอร์ทั้งที่ยังไม่ได้วางกระเป๋า ขยับเข้ามาแตะฝ่ามือลงบนหน้าผากผม “ตัวไม่ร้อนนี่หว่า”

“...” ก็ไม่ได้เป็นไรนี่ครับ

“แต่หน้าแดง”

“...”

“เออจริง หน้าแดงมากอ่ะพี่โช” นายยื่นหน้ามาสัมทับ เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูก หลบสายตาลงต่ำพร้อมกับถอยหลังออกมา

“ผมว่า... ผมปวดหัวนิดหน่อย” โอเค ป่วยก็ได้

ซันขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สบายใจ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มาให้แล้วกดไหล่ผมนั่งลง “งั้นมึงพักก่อน เดี๋ยวกูไปเอายาให้”

“มะ...” ผมกำลังจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ไม่ทัน ซันถอดกระเป๋าตัวเองวางลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

“พักเถอะพี่โช เดี๋ยวผมเอาไปเสิร์ฟเอง” นายเองก็ทำหน้าเป็นห่วงก่อนจะหยิบเค้กกับกาแฟที่ผมเตรียมไว้ไปเสิร์ฟให้โดยไม่รอให้ผมแย้งอะไร ยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่

ไม่น่าพูดพล่อยๆ เลย ทำเขาเดือดร้อนไปกันหมด

ผมถอนหายใจ มองไปยังหลังร้านที่เปิดประตูค้างไว้ เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่กำลังค้นกล่องปฐมพยาบาลด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ แล้วรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

เห็นมั้ย... ทีนี้เข้าใจผมหรือยัง ว่าความเป็นคนดีของเขามันกวนใจผมยังไง

ทำไมต้องทำเหมือนกำลังใส่ใจกันแบบนั้น... ไม่รู้เลยหรือไง ว่ามันทำให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ การจะไม่ตั้งความหวัง ไม่ปล่อยใจให้รักใครง่ายๆ อีก... เป็นไปได้ยากขึ้นทุกที

ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองต้องทำยังไง ใจหนึ่งบอกผมว่าการกระทำเหล่านี้มันไม่ปกติ... ไม่ใช่สิ่งที่คนเป็นเพื่อนเขาทำกัน แต่อีกใจ มันย้ำความเจ็บปวดครั้งเก่าขึ้นมา เพื่อเตือนว่าไม่เอาแล้วนะความผิดหวัง ไม่อยากใจพังซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิมอีกแล้ว

“ตี๋ ยาแก้ปวดหมดอ่ะ เดี๋ยวกูไปซื้อ...” ผมสะดุ้งเมื่อน้ำเสียงห่วงใยดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่เดินออกมาจากหลังร้าน แต่ยังไม่ทันพูดจบ ซันก็ชะงัก ดวงตาของเขาชัดเจนว่ามองผ่านร่างผมไป ทำให้ผมต้องเหลียวกลับไปมอง

เพิ่งรู้ตัวว่ามีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามา...

ลูกค้าที่ผมจำได้ว่าหน้าตาเหมือน ‘แฟนเก่า’ ของเขาที่เคยอยู่คณะเดียวกัน

“หวัดดีซัน” เจ้าของเสียงหวานที่เข้ากับใบหน้าสวยเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มบาง ในขณะที่คนถูกทักยังคงนิ่งค้างอยู่หลายวินาที ก่อนจะทำได้แค่เอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมา

“วี...” ดวงตาของเขากำลังสั่นไหว ด้วยประกายความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่าง

และผมก็ได้คำตอบของคำถาม ที่กำลังเอ่ยถามตัวเอง

“ขอตัวก่อนนะครับ” กระซิบเสียงเบาจนคิดว่าไม่มีใครได้ยินและปลีกตัวเดินออกมาหลังร้านทันที เพราะไม่อยากอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแบบนั้น แต่ไม่วายหันกลับไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่อีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าสายตาที่ผมเห็นมันไม่ผิดพลาด เพ่งพิจารณาไม่นาน ซันกลับมาสบตาผม ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูจะปิดลง

และผมก็ได้คำตอบเป็นความเจ็บปวดที่กำลังสะท้อนออกมาจากแววตาของเขาอย่างชัดเจน

มันทำให้ผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เกือบไปแล้วเชียว...

ผมเกือบปล่อยใจให้พลาดคิดไปไกล เกือบจะเผลอหลอกตัวเองอีกครั้งว่ามันมีความเป็นไปได้... ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไร ความห่วงใยของเขาที่มีให้ผม ไม่ได้ต่างจากความหวังดีที่มีให้คนอื่นๆ ที่อยู่รอบกาย... มันก็เท่านั้น

ต้องขอบคุณเธอคนนั้น ที่ทำให้ผมได้สติขึ้นมา ไม่อย่างนั้นผมคง...

เฮ้อ

โชคดี... ที่ยังไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้…

โชคดีจริงๆ






ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันต่อหลังจากนั้น ผมขลุกอยู่หลังร้านอยู่สักพักนายก็มาตามออกไปช่วยชงกาแฟ พอออกมาก็ไม่เห็นทั้งคู่ยืนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนกัน และไม่อยากจะใส่ใจ อันที่จริง ตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรเลย

สงสัยจะป่วยอย่างที่นายว่า

“พี่โช ไหวหรือเปล่า สีหน้าไม่ดีเลย”

“เหรอ” ผมส่งเสียงกลับไป ทั้งที่มันไม่ใช่ประโยคที่ควรตอบด้วยคำถาม พอเห็นนายขมวดคิ้วงง ผมจึงยิ้มแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอก แค่เหนื่อยๆ น่ะ”

คราวนี้ไม่โกหกแล้ว ผมรู้สึกเหนื่อยมากอย่างไม่มีที่มาที่ไปจริงๆ

“พักก็ได้นะพี่ เดี๋ยวพี่ซันกลับมาผมให้พี่ซันช่วยเอง”

“...” เขาอาจจะไม่กลับมาก็ได้

ผมไม่ได้พูดออกไป แค่ส่ายหน้า ส่งสายตาว่าไม่เป็นไรอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปรับออเดอร์จากลูกค้าที่เดินเข้าร้านมาพอดี

“โกโก้ร้อนค่ะ” ผมรับเงินมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยคำพูดเดิมๆ ก่อนจะหันไปจัดการกับเครื่องดื่มตามที่ลูกค้าสั่งไว้

“อ้าว พี่ซัน” แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงนายเรียกชื่อใครอีกคน

ผมหันกลับไปมอง เห็นซันเดินเข้าร้านมาเพียงลำพังก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ร่างสูงเดินมาที่เคาน์เตอร์ แล้วพูดจาเล่นหัวกับนายปกติ ก่อนจะเดินมาหาผม

“ได้ยาหรือยังตี๋”

“...” ผมไม่ตอบ สบตาเขาอย่างตั้งคำถามโดยไม่ตั้งใจ

“งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อให้นะ” แล้วก็ได้คำตอบเป็นความหม่นแสงในแววตา

ยังเจ็บปวดอยู่สินะ... เรื่องผู้หญิงคนนั้น

“ไม่เป็นไรครับ” ผมปฏิเสธสั้นๆ สีหน้าคงจริงจังพอที่จะทำให้ซันเลิกดันทุรังจะมาดูแลผมอีก

บางทีอาจไม่ใช่เพราะผม แต่อาจเป็นเขาเองก็ได้ ที่กำลังเหนื่อยเกินกว่าจะมาดูแลใครในสถานการณ์ที่กำลังแบกความสับสนบางอย่างไว้ จนสะท้อนออกมาให้เห็นในแววตา

“งั้น... เดี๋ยวกูมา” เขาพูดขึ้นมา หลบสายตาผมก่อนจะหมุนตัวเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน

นายที่ยืนอยู่หันมาสงสัยในท่าทางแปลกๆ ของพวกเราแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร ผมหันกลับมาชงโกโก้อีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ... แต่ก็ได้แต่พยายาม

ผมสลัดแววตาที่ดูสับสนและเจ็บปวดของเขาออกจากหัวไม่ได้ และกำลังคิดว่าผมควรทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป
เหมือนที่เขาเคยทำให้ผม

“นาย พี่ฝากชงต่อให้หน่อยนะ” พูดจบผมก็วางแก้วเครื่องดื่มที่ยังผสมไม่เสร็จลง ก่อนจะหมุนตัวเดินตามอีกคนไปยังหลังร้าน

ซันไม่ได้อยู่ในห้องเก็บของอย่างที่คิดไว้ ผมจึงเปิดประตูหลังที่เชื่อมกับด้านนอกออกไป ก่อนจะเห็นเขานั่งพิงผนังอยู่ไม่ไกล

บุหรี่สีขาวในมือ และกลิ่นควันที่กำลังฟุ้งกระจายในอากาศทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ เพราะจำไม่ได้ว่าเขาเคยใช้มัน... นี่เครียดถึงขนาดนั้นเชียว?

“ผมไม่เห็นรู้เลยว่าคุณสูบ” ผมบอกให้คนที่กำลังเหม่อรู้ตัวพลางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ

“เฮ้ย ออกมาทำไม เหม็น” เขาทำหน้าตกใจ ก่อนจะทิ้งมวนบุหรี่ที่ยังสูบไม่ถึงครึ่งพลางปัดป่ายควันให้จางหายไป

พอเห็นแบบนั้นมันก็อดไม่ได้ที่จะตีหน้าเอือมกลับไป “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”

อย่ามาทำเป็นใส่ใจ แม้แต่ตอนนี้ได้มั้ย
   
บทสนทนาหยุดลงที่ตรงนั้นสักพัก ซันไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบระบายอารมณ์ เขาเพียงนั่งนิ่งๆ ทอดมองออกไปที่กลุ่มต้นไม้หลังกำแพงกั้นเขตร้าน สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ในขณะที่ผมก็กำลังมองเสี้ยงหน้าด้านข้างของเขา พลางคิดว่าตัวเองควรจะทำยังไง
   
ควรปล่อยให้เขานั่งเงียบๆ หรือควรพูดอะไร? ทำไมผมคิดไม่ออกเลย
   
“วีเขามาชวนกูไปเลี้ยงส่ง” สุดท้ายก็เป็นเขาที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาโดยไม่มองหน้าผม “เห็นว่าจะเรียนต่อ และทำงานที่นู่นเลย คงอีกนานกว่าจะได้กลับมา”
   
จำได้ว่าแฟนเก่าของซันเคยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ก่อนที่พวกเขาจะเลิกกัน
   
ถ้าแบบนี้ หมายความว่าอีกนานกว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกด้วยใช่มั้ย... หมายความว่าความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นไป มันยากที่จะกลับมาต่อติดได้ด้วยหรือเปล่า
   
“ตอนแรกจะไม่มาชวนกู แต่เพราะอยู่สายรหัสเดียวกัน อยากถือโอกาสเลี้ยงสายรหัสไปด้วย ก็เลยมา” พูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ความเงียบคลุมบรรยากาศอีกครั้ง
   
“แล้วคุณจะไปหรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถาม ไม่ใช่คำถามที่คิดว่าจะช่วยอะไรได้ แค่อยากถามออกไปเท่านั้น
   
ซันหันมาเลิกคิ้ว ก่อนจะพยักหน้า “บอกไปแล้วว่าจะไป”
   
ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ “ดีแล้วล่ะครับ”
   
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่มันดี
   
“ยังเจ็บอยู่เหรอครับ” คราวนี้ผมถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่มองมาก่อนแล้วอย่างต้องการซึมซับความรู้สึกเขา
   
“...” มันยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และสับสนอย่างยากจะอธิบาย
   
“มันยากมากเลยใช่มั้ย” ส่งยิ้มบางๆ เพื่อบอกว่าผมเข้าใจ... ผมเองก็เคยผ่านความรู้สึกนั้นมา “คราวนี้ถึงตาผมปลอบใจคุณบ้างแล้ว” เอ่ยติดตลก ทั้งที่ยังสบตากับดวงตาที่มีแต่ความหวั่นไหว
   
“...” กลายเป็นแววตาแบบที่ผมไม่เข้าใจ
   
“อยากให้กอดหรือเปล่าครับ” เหมือนที่เขาทำให้ผม มันถูกพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้รู้สึกดีขึ้นได้มาก จริงๆ

ซันไม่ตอบอะไร เขาหัวเราะเบาๆ เบือนหน้าหนีไป ก่อนจะหันกลับมาสบตาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

ไม่ทันไรตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปซบกับอกกว้าง ถูกรวบกอดเอาไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่งที่รัดแน่นกว่าทุกที

“ตี๋”

“...”

“ตี๋” เขาเรียกชื่อผมซ้ำ แต่ไม่พูดอะไร กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนหน้าผมฝังอยู่กับอก สัมผัสได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นรัว แต่ไม่รู้ว่ากำลังบ่งบอกถึงอะไร

เหมือนที่ผมไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังสื่อออกมาจากหัวใจผมที่กำลังเต้นในจังหวะคล้ายๆ กัน
   
ว่าแต่ ตั้งใจจะมาปลอบใจเขาไม่ใช่หรือไง... ไหงกลายเป็นผมที่ถูกกอดไว้แน่นเสียเอง






----------------------------------------------------------------
แอบหายไปวุ่นวายกับชีวิตมานิดหน่อยค่ะ (ตอนนี้ก็ยังวุ่นวายอยู่) 5555
หวังว่าจะเขียนเรื่องนี้ให้จบก่อนไปฝึกงาน
พาร์ทหลังตะวันโทนเรื่องมันจะต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย... ใช่ค่ะ ดราม่ามันจะมารวมกันอยู่ในพาร์ทนี้ 5555
แต่ไม่ต้องห่วงนะ มาแค่ให้พอหน่วงๆ เอง  :hao5:

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ

-- Martian --











   



   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2017 08:16:50 โดย makok_num »

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อ่านไปก็ลุ้นไปปว่านะรักกันตอนไหนค่ะ 55555

อารมณ์เหมือนเฉียดไปเฉียดมา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
2


การมาของวีทำให้ทุกอย่างน่าสับสน... ในขณะที่บางอย่างก็กำลังชัดเจน

ผมรู้สึกเหมือนกับว่าระหว่างเรามีบางอย่างติดค้าง แต่ในทางกลับกัน ก็เหมือนจะไม่มีอะไรติดค้างกันอีก...

มันน่าปวดหัวเมื่อพบว่าตอนนี้ในใจผมมีความรู้สึกหลายอย่างตีรวนกันเต็มไปหมดจนแยกไม่ออกว่ากำลังคิดหรือรู้สึกยังไงกันแน่ ผมเคยคิดว่าผมยังรักเธอ และรอให้วีกลับมา แต่ในวินาทีที่เห็นเธอกลับมาอยู่ตรงหน้า ผมกลับ... ไม่ได้รู้สึกดีใจ
เพราะการกระทำและแววตาของวีที่มองมามันชัดเจนว่าเราจะไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมได้ หรือเป็นเพราะอะไรกันแน่ ผมไม่แน่ใจ... และไม่รู้ว่าจะหาคำตอบได้ยังไงเหมือนกัน

"ซัน รอนานหรือเปล่า" พราวที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีขาวดูสวยสะดุดตาวิ่งมาหาด้วยสีหน้าสดใส

ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่หันไปยิ้ม ทิ้งก้นบุหรี่ในมือแล้วใช้เท้าบี้ก่อนจะหันมาเปิดประตูรถให้เธอ อ้อมไปนั่งฝั่งคนขับแล้วเริ่มสตาร์ทรถออกมาจากหอพักเงียบๆ

วันนี้เป็นวันเลี้ยงส่งวีตามที่เคยบอก ความจริงเรานัดกันไว้ประมาณสองทุ่ม แต่ตอนนี้จะปาเข้าไปสามทุ่มแล้วผมก็ยังไปไม่ถึงร้าน ยังเอ้อระเหยอ้อยอิ่งอย่างไม่เร่งรีบ

แน่นอนว่าผมจงใจ... เพราะไม่อยากอยู่ในงานนานเกินจำเป็น คิดไว้ว่าให้ของขวัญร่ำลาตามประสาเพื่อนเสร็จก็คงกลับ

และอีกเหตุผลหลัก ผมเพียงแค่ต้องการให้วีกับพราวเจอกัน... เพื่อให้เป็นไปตามแผนการโง่ๆ ที่เราเคยตกลงกันเมื่อนานมาแล้ว

ผมควงกับพราวเพื่อประชดวี...

ในวันที่ผมกำลังจะเป็นจะตายเพราะอกหัก พราวเข้ามาหาผมด้วยเหตุผลนี้ เธอกับวีเคยบาดหมางเรื่องผู้ชายกันมาก่อน ผมไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด แต่ก็หลวมตัวตอบตกลงเพราะคิดว่าเราต่างก็มีแต่ได้กับได้ทั้งสองฝ่าย พราวได้ความสะใจ ส่วนผม... อาจจะได้วีกลับคืนมา

แต่พราวคงลืมไป ว่าผมคือผู้ชายที่วีไม่เอา

และมันก็เป็นเรื่องโง่เง่าที่ผมคิดว่ามันจะทำให้วีเสียใจ เสียดาย หรือรู้สึกอะไรก็แล้วแต่จนกลับมาหาผม แต่ความจริงแล้วไม่เลย มันไม่มีประโยชน์อะไร เธอไม่สนใจด้วยซ้ำต่อให้พราวจะไปวอแวกับเธอแค่ไหน ต่อให้ผมจงใจให้วีเห็นรูปถ่ายของผมกับพราวที่ยืนยันว่าเรามีความสัมพันธ์กันไปไกล เธอก็ไม่แม้แต่จะติดต่อกลับมาหาผมสักครั้ง

แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย...

ผมควรทำให้เรื่องที่มันคาราคาซังอยู่ในใจจบลงไปเสียที

“หวัดดีครับพี่เชน พี่ฟ้า” ผมยกมือไหว้คนอาวุโสสุดในโต๊ะ หลังจากเดินเข้ามาในร้านอาหารที่ถูกปิดเพื่อจัดงานเลี้ยงส่งแบบส่วนตัว ทุกโต๊ะเต็มไปด้วยบรรดาคนในคณะที่ผมค้นหน้าค่าตากันดี ส่วนโต๊ะที่วีนั่งอยู่เป็นโต๊ะที่รวมสายรหัสเรา

“นี่พราวครับ” ผมผายมือไปยังผู้หญิงที่มาด้วยกัน เธอยิ้มหวานยกมือไหว้ทักทายพี่ๆ ตามผม

พี่เชนกับพี่ฟ้ารับไหว้ผมพอเป็นพิธี สีหน้าพี่เชนดูข้องใจนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ยกแก้วแอลกอฮอล์ของตัวเองขึ้นมาดื่มเงียบๆ แล้วหันหน้าหนีไปยังเวทีที่มีโฟล์คซองเล่นคลอ ผมรับไหว้รุ่นน้องคนอื่นๆ ที่หันมาทักทายครบทั้งโต๊ะเสร็จก็หันไปมองหน้าวี เห็นว่าเธอเองก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน

“ขอโทษที่มาช้านะ” ผมบอก แต่วีกำลังเบือนสายตาไปที่พราว สีหน้าเธอดูประหลาดใจ ก่อนจะกลายเป็นสายตาแบบที่ผมอ่านไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ส่งยิ้ม

“ไม่เป็นไร  นั่งสิ เดี๋ยวเราเรียกพนักงานให้”

ผมยิ้มรับแล้วหันไปดึงเก้าอี้ออกมาให้พราวนั่งก่อน เธอยิ้ม ยกมือขึ้นมาลูบแขนผม แต่สายตากลับมองเลยไปที่ผู้หญิงอีกคน

ประกายความไม่เป็นมิตรที่ส่งออกมาจากแววตาทั้งคู่บ่งบอกว่าพวกเธอคงเคยมีเรื่องผิดใจกันจริงๆ

“อยากกินอะไร” ผมหันไปถามพราวเมื่อพนักงานเดินมายื่นเมนูให้เรา เธอหันมายิ้มกว้างให้ผมอย่างจงใจทำให้ดูหวานเชื่อมก่อนจะพูดอย่างเอาใจ

“เราเอาเหมือนซันเลย” ผมเลยยิ้มๆ บางๆ กลับไป หันไปสั่งเมนูแนะนำของร้านที่หนึ่ง

“ซันไม่กินเหรอ” พราวเลิกคิ้ว

“เราไม่หิว” ผมว่า ก่อนจะหันไปรับเครื่องดื่มจากน้องรหัสที่ส่งมาให้พอดี

เหล้าเพียวๆ ถูกเสิร์ฟให้อย่างรู้งาน เพราะเคยไปดื่มกับสายรหัสอยู่หลายครั้ง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจคงเป็นการที่ผมรับแก้วมาแล้วกระดกจนหมดแก้วในครั้งเดียว

“รีบไปไหนน้องชาย” พี่ฟ้าถามกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นว่าผมส่งแก้วเปล่ากลับไปให้น้องรหัสรินเหล้าให้ทันที

ผมเลิกคิ้ว เพิ่งรู้ตัวว่ารีบร้อนเกินไป เลยยิ้มกลบเกลื่อนขึ้นมา “เลี้ยงส่งทั้งทีนี่พี่” หันไปมองหน้าวี แต่เธอกลับหลบสายตา มีสีหน้าเจื่อนลง

บรรยากาศมันกระอักกระอ่วนซะจนคนรอบข้างคงสัมผัสได้ โดยเฉพาะพี่เชนกับพี่ฟ้าที่มองหน้าพวกเราสลับกัน

“งั้นเปิดขวดใหม่เลยมะ” สุดท้ายพี่ฟ้าก็เอ่ยขึ้นมาขำๆ แต่เมื่อไม่มีใครขัด ก็สั่งให้บริกรนำเหล้ามาเสิร์ฟเพิ่มจริงๆ
   
แต่คราวนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่ดื่ม คนในโต๊ะที่กินอาหารกันอิ่มแล้วก็เริ่มเรียกร้องให้เติมเหล้าใส่แก้ว บทสนทนาเริ่มสนุกขึ้นเมื่อเริ่มมีแอลกอฮอล์มาเป็นตัวเร้าบรรยากาศ ผมพูดบ้างตามประสา แต่น้อยลงกว่าทุกครั้ง เมื่อในหัวยังมีหลายเรื่องที่กันจนบางครั้งก็เผลอหลุดความคิดออกจากบทสนทนา

“ซันไหวมั้ย” พราวเอียงตัวมากระซิบถามเมื่อผมเริ่มนั่งเหม่อดื่มแอลกอฮอล์ไปเรื่อยๆ ผมจึงหันไปยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ พลางรินแอลกอฮอล์ใส่แก้วที่ว่างลงอีกครั้ง ขณะที่สายตาเหลือบไปเห็นพี่ใหญ่ทั้งสองคนของสายที่กำลังกระซิบกระซาบคุยอะไรบางอย่างกันพอดี

ผมเกือบลืมไปเลยว่าพี่เชนกับพี่ฟ้าเคยคบกัน ก่อนที่พี่เชนจะเป็นแฟนกับไอ้ตรี... จำได้ว่ามีข่าวไม่ดีเรื่องที่พี่ฟ้านอกใจ แต่เพราะทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร เรื่องมันเลยเงียบไปโดยที่ทุกอย่างคลุมเครือ ยิ่งหลังเลิกกันพี่เชนหันไปคบกับไอ้ตรี ประเด็นมันเลยถูกเบี่ยงไปเรื่องที่พี่เชนหันไปคบผู้ชายแทน

ถึงอย่างนั้นพี่เขาก็ดูไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง ซ้ำยังกลับมาเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้โดยไม่แคร์เรื่องเม้าท์มอย

ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง... ขนาดผมที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยคิดอะไร ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากเลยที่จะกลับมาสนิทใจกับคนที่เลิกกันไปแล้วได้แบบนั้น...

สายตาของผมเบือนกลับมาหาเจ้าของงานเลี้ยงส่งอีกครั้ง วียังคงไม่หันมาสบตาผม เธอพยายามจะเบือนหน้าหนี แต่สายตาที่ดันไปปะทะกับคนข้างตัวข้างผมพอดี ก็ยิ่งขับให้สีหน้ากระอักกระอ่วนของเธอทวียิ่งกว่าเดิม เมื่อผมมองพราว เห็นสายตาที่เธอมองไปยังวีก็เข้าใจ สายตาเจ็บปวด คาดโทษ และไม่ให้อภัย เป็นสายตาแบบที่ผมเองก็คงเผลอแสดงออกไปเหมือนกัน แต่แปลก ที่พอเห็นสีหน้าทุกข์ใจของวีแล้วผมกลับไม่ได้รู้สึกดี ไม่ได้สะใจอย่างที่ควรเป็น พราวเองก็เช่นกัน สายตาของเธอไม่มีตรงไหนที่บ่งบอกว่ารู้สึกอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว

นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่? งี่เง่าชะมัด

“เราลืมของขวัญไว้ในรถ เดี๋ยวมานะ” ผมบอก ก่อนจะลุกขึ้นไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปดึงแขนพราวให้ลุกตาม ตอนแรกเธอมองผมตาขวาง ยื้อแขนไว้อย่างขัดขึ้น แต่เมื่อผมไม่ปล่อยสุดท้ายพราวก็ยอมตามมาท่าทางประฟัดกระเฟียดบ่งบอกว่าไม่เต็มใจ

ผมลากเธอมาที่รถ ไปยังฝั่งข้างคนขับแล้วเปิดประตูให้เธอเข้าไป แต่พราวขืนตัวไว้

“ซันจะทำอะไร”

“กลับกันเถอะ” ผมตอบสั้นๆ พยายามจะดันตัวพราวเข้ารถอีกครั้งแต่เธอสะบัดมือผมออก

“ซันเป็นบ้าอะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่าเรามาที่นี่ทำไม!” เสียงหวานตหวาดมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

เธอต่างหากที่ไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่เราทำมันไม่มีประโยชน์อะไร

“ที่เราต้องทำคือทำให้ผู้หญิงคนนั้นเจ็บปวดที่กล้ามาหักหลังเราไม่ใช่หรือไง แล้วดูที่ซันทำสิ ตรงไหนกันที่เรียกว่าเอาคืน!” ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“พราว” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปจับแขนเธอแต่ก็ถูกปัดทิ้งอีกครั้ง

“ในเมื่อซันใจอ่อน พราวก็จะเป็นคนจัดการเอง” เธอทำท่าจะหมุนตัวหนี แต่ผมคว้าข้อมือรั้งไว้ได้ทัน

“พอได้แล้ว!” คราวนี้ผมขึ้นเสียงใส่เธอบ้าง หลับตาอย่างข่มอารมณ์แล้วดึงร่างบางให้หันกลับมาสบตา “ที่เราทำ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พราวไม่เห็นเหรอ”

“...”

“วีรู้สึกผิด รู้สึกแย่ แล้วยังไง? ทำให้ผู้หญิงคนนั้นทุกข์ใจ แล้วมันแก้ไขอะไรได้หรือไง?”

“...”

“สุดท้ายเราก็ไม่ได้รู้สึกดี... พราวเองก็เหมือนกัน”

มันเป็นความจริงที่ผมรู้มานาน แต่ที่ยังดันทุรัง เพราะยิ่งนานวันเข้า เหตุผลที่ผมยังเก็บพราวไว้ยิ่งบิดเบือนไปทุกที... เป็นเหตุผลที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่เกี่ยวกับวี

“สายตาที่วีมองพราวมันมีแต่ความรู้สึกผิด พราวเห็นใช่มั้ย” คราวนี้ร่างบางก้มหน้า เม้มปากแน่นเพื่อกลั้นน้ำตา แต่ว่าคงไม่ทัน น้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

“ถ้าเห็นแล้ว พราวเองก็รู้ตัวใช่มั้ยว่าตัวเองมองกลับไปด้วยสายตาแบบไหน” ผมเอื้อมมือไปเชยคางเธอขึ้นแล้วปาดออกไปเบาๆ ผมรู้ว่าพราวเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเมื่อเราสบตากัน

“ซันไม่เข้าใจ... ฮึก” เจ้าของใบหน้าหวานส่ายหน้าแต่ยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม ผมยิ้มบางๆ แล้วดึงเธอมากอดไว้

“เข้าใจสิ เราเข้าใจ” ลูบหลังเธอเบาๆ อย่างปลอบโยน “แต่ยิ่งเราเอาเค้ามาใส่ใจ เรายิ่งไม่มีความสุขไม่ใช่หรือไง”

“ฮึก...”

“ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไป ต่างคนต่างก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว... เราจมปลักกับอดีตมานานพอแล้ว” แปลกดี ที่พอพูดแบบนั้นออกไป ในใจผมก็เหมือนจะปล่อยได้จริงๆ

อดีตที่เคยเจ็บปวด เหมือนเป็นเพียงก้อนหินเย็นชืดที่กำไว้อย่างไร้ความรู้สึก และพร้อมจะขว้างทิ้งลงไปยังก้นเหวลึก... ไม่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายใครได้อีก

หลังจากปล่อยให้ร่างบางร้องไห้กับอกตัวเองจนพอใจ ผมก็ผละออกมาช่วยปาดน้ำตาออกจากหน้าเธอเบาๆ “พราวรอในรถก่อนนะ เดี๋ยวเรามา” ผมบอก หมุนตัวเข้าไปที่รถ หยิบเอากล่องของขวัญที่เตรียมไว้ออกมา

“ซัน”

“หืม?” แต่ก่อนที่จะได้เดินไปไหน ก็ถูกรั้งไว้อีกครั้ง พราวมองหน้าผมด้วยสายตาอ่านยาก เธอเม้มปาก เหมือนข่มความรู้สึกอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยออกมา

“หลังจากนี้ เราจะไม่ได้เจอซันอีกใช่มั้ย” ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่เธอพยายามห้ามไม่ให้ไหลออกมา

“...”

คงเพราะรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องนี้ ผมจะไม่ดึงเธอมากอดเพื่อปลอบใจอีก

“ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ซันหนีไปทั้งๆ ที่เราเอาชื่อวีมาอ้าง เราก็รู้ว่าซันไม่ต้องการเราแล้ว”

“ขอโทษนะ” ผมก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี

บอกแล้วไง ว่าผมรู้มาตั้งนานแล้ว เรื่องที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับวี... ก็แค่มีเหตุผลที่ยังไม่อยากยอมรับเท่านั้น

 “จริงๆ เราผิดเองที่คิดตื้นๆ ว่าแค่ใช้ซันเป็นเครื่องมือแล้วจะไม่ผูกพัน ไม่คิดอะไร” พราวมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะแสยะยิ้ม น้ำตาไหลออกมาแต่เธอก็เบือนหน้าหนีแล้วปาดมันออกลวกๆ

“ใครจะไปรู้ว่าซันจะน่ารักขนาดนี้”

เป็นคำชมที่ทำให้ผมยิ้มไม่ออกเลยสักนิด ในเมื่อสายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแบบที่ผมพยายามมองข้ามมาตลอด ผมพยายามตีตัวออกห่างจากพราวหลังจากที่เธอเริ่มแสดงปฏิกิริยาอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผม ทำให้เธอเข้าใจว่าเรามีสัมพันธ์กันได้แค่ตัว และไม่ควรเอาหัวใจมายุ่งเกี่ยวกัน... แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน

“ยัยนั่นโง่ชะมัดที่ทิ้งซันไป” เธอเอ่ยติดตลกทั้งที่น้ำตาเริ่มนองหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผมอีกครั้ง “เราก็โง่เหมือนกัน ที่ทำให้ซันรักไม่ได้”

 ผมได้แต่ยิ้มอย่างไม่รู้จะทำยังไง รู้ดีว่าเรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ เพราะถ้าทำได้ ผมคงบอกให้มันรักพราว  มากกว่าจะรู้สึกกับใครอีกคนที่ไม่ควร...
 



ผมเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งตามลำพัง คนในโต๊ะหันมามองด้วยสายตาตั้งคำถาม ผมจึงไปบอกไปว่ากำลังจะกลับโดยไม่อธิบาย คนที่ยังติดใจมีแค่วีที่มองมาไม่วางตา แต่ผมก็เพียงยิ้มแล้วยื่นกล่องของขวัญในมือให้เธอ

“อ่ะ นี่ของขวัญ” วีรับไป ไม่ได้เปิดดูทันที สีหน้าเธอยังดูเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ “เดินทางดีๆ ล่ะ” ผมว่าแล้วหันไปบอกลาคนอื่นๆ ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะมา

“เดี๋ยวซัน” แต่ยังไม่ทันไปถึงรถ วีก็ตามออกมา

เธอเดินมาหยุดตรงหน้าผม สีหน้าเหมือนมีบางอย่างจะพูด แต่ดูลำบากใจ จนผมหัวเราะ และถามออกไป “มีอะไร ยัยตัวเล็ก”

สรรพนามที่ไม่ได้ใช้มานานทำให้เธอชะงัก ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ

“ซัน...ยังรู้สึกกับเราอยู่หรือเปล่า?”

“...”

“เราเคยคิดว่าซันเลิกรักเราแล้ว แต่วันนี้ที่ซันมากับพราว... มันทำให้เราไม่แน่ใจ” เธอมองหน้าผม สีหน้าลำบากใจ “ที่ทั้งสองคนคบกัน มันเกี่ยวกับเราใช่มั้ย?”

ที่เคยได้ยินบ่อยว่าสีหน้าและการกระทำของผมมันอ่านง่าย วันนี้หมดความข้องใจแล้ว เพราะแม้แต่วียังรู้เลย ว่าทั้งหมดที่ทำไปเพราะอะไร

ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเอง “เราเคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน... แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่” ว่าพลางสบตากลับไปด้วยสายตาจริงใจ

“เราไม่ได้รักวีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ”

“...”

“ไม่ได้โกรธเรื่องในอดีตแล้วด้วย ไม่ต้องกังวล”

“...”

“เรื่องทั้งหมดระหว่างเรามันจบลงแล้ว ไม่ต้องรู้สึกติดค้างอะไรแล้ว เข้าใจมั้ย” ผมเอื้อมมือออกไปลูบผมวีเบาๆ

คนตัวเล็กกว่ามองหน้าผมนิ่งอยู่สักพัก ก่อนที่ใบหน้าหวานจะเริ่มบิดเบี้ยวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา

“ขอบคุณนะ... ขอบคุณ” วีพร่ำพูดคำนั้นพร้อมกับพยายามปาดน้ำตา ผมหัวเราะแล้วจับหัวเล็กๆ โยกไปมาอย่างเอ็นดู

ตั้งแต่เกิดมาผมเคยแต่ได้รับความรักจนชิน ทั้งจากที่บ้าน ที่โรงเรียน จนเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนที่รายล้อมอยู่รอบกายต่างหยิบยื่นความรักความเป็นดูมาให้ ไม่เคยถูกทำลายน้ำใจให้เจ็บช้ำเลยสักครั้ง มีผู้หญิงมากมายพร้อมจะเข้าหา ให้ผมเป็นฝ่ายเลือกจนบางครั้งก็ไม่เห็นคุณค่าในความสัมพันธ์ แต่กับวี... มันเป็นครั้งแรกที่ผมมั่นใจว่าผมกำลังตกหลุมรักใครสักคน รักจนหมดใจ... โดยไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนแรกที่หยิบยื่นความเสียใจให้ผมเสียเอง

เหมือนถูกพระเจ้าลงโทษล่ะมั้ง

รสชาติของการทรยศหักหลังที่ได้รับมันสาหัสจนผมไม่คิดว่าตัวเองจะผ่านมาได้ ผมสับสน ไม่เข้าใจ เหมือนติดอยู่ในกับดักที่หลุดออกไปไม่ได้ ได้แต่จมปลักอยู่ในคำถามที่ยากจะหาคำตอบมาเป็นปีๆ

แต่ตอนนี้ผมรู้วิธีที่จะก้าวขาออกมาจากความรู้สึกพวกนั้นแล้ว เรียนรู้แล้วว่าถ้าตัดความรู้สึกอยากเอาชนะ อยากหาคำตอบให้ได้ว่าทำไมตัวเองถึงถูกหักหลัง... ผมก็ไม่ได้เสียใจมากมายขนาดนั้น

“พราวยังอยู่หรือเปล่า” หลังจากเงียบไปนานเพื่อจัดการความรู้สึกตัวเอง วีก็เอ่ยถามขึ้นมา

“อยู่ที่รถ”

“วีขอคุยอะไรกับพราวหน่อยได้มั้ย” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ ผมเลิกคิ้ว แต่ดูจากสถาการณ์ที่ดูเหมือนใกล้จะจบเต็มทีแล้วก็ไม่ได้ขัดอะไร

ผมคิดว่าต้องให้เวลาเธอสองคนอยู่กันตามลำพังจึงยังไม่เดินตามไป เดินไปนั่งหลบมุมตรงที่สูบบุหรี่ของร้าน แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ คิดอะไรไปพลางๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีคนเดินมานั่งข้างๆ จึงหันมามอง

เป็นพี่เชนที่นั่งเงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยิบบุหรี่ออกมา... จะว่าไป พี่เขาเลิกบุหรี่แล้วนี่หว่า แล้วมานั่งตรงนี้ทำไม

“จะกลับแล้วเหรอพี่” ผมถามออกไป ทั้งที่รู้แล้วว่าพี่เขามานั่งทำไม

คงเห็นว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจ ถึงได้มานั่งเป็นเพื่อนสินะ

“อืม” ตอบสั้นๆ ก่อนที่ดวงตาคมจะหันมามองผมเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจอีกครั้ง “มึงยังชอบวีอยู่เหรอ”

แต่คราวนี้พี่เขายอมเอ่ยถาม

ผมส่ายหน้า “เคยคิดว่ายังชอบ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่” ตอบแบบเดียวกับที่เพิ่งตอบวีไป

“กูก็ว่า” พี่เชนพึมพำเบาๆ คล้ายกับยืนยันกับตัวเอง

หมายความว่าไงวะเนี่ยพี่

เราต่างคนต่างเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่พี่เชนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหันมาขมวดคิ้วมองผมด้วยสายตาดุๆ แบบที่ชอบทำ

“มึงนี่... อย่าโง่ให้มากนัก”

“...”

“ระวังจะเสียใจทีหลัง” พูดจบก็เดินล้วงกระเป๋าออกไป ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำความเข้าใจคำพูดไร้ที่มาที่ไปนั้นต่อสักวินาที

แต่ผมไม่คิดจะตามไปถาม อะไรบางอย่างบอกว่าผมเองก็รู้ว่าพี่เชนหมายถึงเรื่องอะไร และมันยิ่งชัดเจนเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นมา พอหยิบมาดูเบอร์ก็พบว่าเป็นเบอร์ของไอ้ตี๋ ผมดับบุหรี่ที่ยังสูบไม่ถึงครึ่งมวนทันที ทั้งที่แค่โทรศัพท์ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายได้กลิ่นบุหรี่สักหน่อย ผมมองเบอร์ที่โชว์อยู่สักพัก ยังไม่ยอมกดรับ ราวกับจะรอให้ความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นขึ้นมาในอกตอนนี้ชัดเจนขึ้นอีกสักนิด จนแน่ใจ...

[ เป็นยังไงบ้างครับ ] พอรับสายน้ำเสียงห่วงใยที่ไม่ได้ยินบ่อยนักทำให้ผมชะงัก ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

ตั้งแต่ก่อนมา พอผมบอกว่าวันนี้เป็นงานเลี้ยงส่งวี สีหน้าของมันก็ดูกังวลใจยิ่งกว่าผมที่ต้องเป็นคนมาเองเสียอีก

“ตี๋” และสีหน้านั้นก็ติดอยู่ในหัวผมทั้งวัน แม้กระทั่งตอนนี้

[ เมาหรือเปล่าครับ? ขับรถไหวมั้ย หรือให้ผมไปรับดี ]

ผมหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้าทั้งที่มันไม่เห็น ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ทุกความรู้สึกที่ถูกกดไว้กลับมาปนเปกันอีกครั้งจนอยากจะทำอะไรสักอย่างให้มันหายไป

[ คุณซัน? ]

“ไปหาได้มั้ย” ยกนิ้วขึ้นมากดหัวตาตัวเองไว้ เพราะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ถูกความสับสนมากมายผลักดันออกมา

[...]

“กูไปหามึงนะ...”

[...]

“นะ...” ผมอ้อนวอน จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจผ่านปลายสายที่ดังขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงเอือมระอา

[ ปกติก็ไม่เคยขออนุญาตนี่... ]

“...”

[ เดี๋ยวจะชงนมอุ่นๆ ไว้ให้ รีบมาก่อนมันจะชืดเอานะครับ ]

ได้ยินแค่นั้นทุกความรู้สึกที่ปิดกั้นเอาไว้ ก็ผลักดันให้น้ำตาของผมค่อยๆ ไหลออกมาจริงๆ

เมื่อชั่วขณะที่ความห่วงใยถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียงที่เจือความเอือมระอา เป็นชั่วขณะเดียวที่ผมรับรู้ได้ว่ากำลังความรู้สึกที่ผมสร้างขึ้นมา กำลังทำลายตัวเองอ่างช้าๆ และไม่นานก็คงจะสลายไป เหลือไว้เพียงความจริงที่ผมซ่อนไว้ ไม่ให้ใครเข้าถึงได้...

แม้กระทั่งตัวเอง





------------------------------------------
ตี๋~  :hao5:




ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตี๋น่ารักกกกกกกกก

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลังตะวัน : 3

   
เพราะดื่มเข้าไปมากจนใครต่อใครก็ไม่อยากให้ขับรถกลับ สุดท้ายพราวจึงรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้ผมตอนขากลับ ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงสองคนคุยอะไรกันและไม่คิดจะถาม แต่ดูจากสีหน้าและท่าทางผมคิดว่าทุกอย่างจบลงด้วยดี

บรรยากาศในรถเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศแผ่วเบา แต่พวกเราก็ไม่คิดจะมีใครเอ่ยหรือเปิดเพลงขึ้นมา คงเพราะต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในความคิดตัวเองจนไม่อยากจะเสียเวลาสร้างบรรยากาศใดๆ จนกระทั่งรถหยุดลงที่หอไอ้ตี๋
   
“ขอบคุณมากนะ” ผมเอ่ยพลางเปิดประตูรถกำลังจะก้าวออกไป
   
“ซัน” แต่ก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเสียงหวานเรียกเอาไว้ “เขาคือผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”

“...” ผมลังเลที่จะตอบ เพราะแม้แต่ตัวเองยังไม่แน่ใจ จะตอบว่าใช่... ผมก็กลัวใจตัวเอง

แต่การไม่ตอบก็เป็นคำตอบแล้วไม่ใช่หรือไง

“ทำไม?”

ผมยิ้ม ส่ายหน้า พยายามสลัดความว้าวุ่นที่อยู่ในใจออกไปเพื่อหาคำตอบให้ แต่ก็ทำไม่ได้

นั่นสิ... ทำไมกัน

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”

สุดท้ายผมก็ได้แต่ตอบไปแบบนั้นอย่างคนโง่ที่เอาแต่หนีปัญหาเหมือนเดิม




ใช้เวลาพักใหญ่ กว่าผมจะลากเท้าเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องอันคุ้นเคย ยืนชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู ไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมา พร้อมกับใบหน้าขาวใสใต้กรอบแว่นหนาที่ดูเป็นกังวล

“มาช้านะครับ” ขมวดคิ้วตำหนิ ทั้งที่สายตากวาดมองไปทั่วร่างผมเหมือนจะสำรวจว่ายังสบายดีอยู่ไหม


“ไม่ได้ขับรถมาเองใช่มั้ย?”

ผมส่ายหน้า คงเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งออกมาจากร่างกายทำให้คนตรงหน้าถามอย่างเป็นห่วง

“ดีแล้วครับ เข้ามานั่งก่อน” เปิดประตูกว้างให้ผมเดินเข้าไป ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดิมอย่างหมดเรี่ยวแรง แอลกอฮอล์คงเพิ่งออกฤทธิ์เดี๋ยวนี้เอง อะไรๆ ในหัวผมมันถึงตีกันยุ่งเหยิงจนปวดหัวไปหมด

“เดี๋ยวผมไปเอานมอุ่นมาให้นะ หรืออยากกินอะไรมั้ยครับ” ผมเอาแต่ส่ายหน้าตอบ เจ้าของน้ำเสียงใจดียิ่งมองมาอย่างกังวล ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ครัว

ผมมองตามแผ่นหลังบางไปโดยไม่ละสายตา มองทุกการกระทำและสีหน้าเป็นห่วงที่มองกลับมาเป็นระยะจากในครัว เผลอยกมือขึ้นมานวดหน้าอกตัวเองเมื่อพบว่าความรู้สึกที่ซ่อนไว้มันเอ่อล้นจนแทบทะลักออกมา นับตั้งแต่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายตอนเปิดประตู ความวุ่นวายใจของผมยิ่งทวีคูณ เมื่อรับรู้ว่าน้ำเสียง และการกระทำที่แสดงถึงความห่วงใยมีอิทธิพลแค่ไหนกับหัวใจตัวเอง

เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนกัน... ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมันส่งผลกับความรู้สึกของผมขนาดนี้

ไม่ทันได้ตอบคำถามในความคิด นมอุ่นๆ แก้วหนึ่งก็วางลงตรงหน้าผมพร้อมกับน้ำเปล่า ไอ้ตี๋นั่งลงข้างๆ มองหน้าผมที่ยังคงไม่ละสายตาจากใบหน้ามันเช่นกัน

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ขยับแว่นหนาเลิกคิ้วถามอย่างงุนงงในปฏิกิริยาที่คงจะแปลกไปอย่างชัดเจน

ผมส่ายหน้าอีกครั้ง ยังคงไม่เอ่ยอะไรขณะหยิบนมขึ้นมาจิบไม่กี่อึกแล้ววางลง เดิมที ผมก็ไม่ได้มาเพื่อดื่มนมอยู่แล้ว ที่อ้อนวอนอยากมาหา ก็เพราะอยากมาเจอหน้า... เผื่อจะทำให้รู้ตัวสักทีว่าตัวเองรู้สึกยังไง

กำแพงที่ผมสร้างไว้ มันทลายลงไปหมดหรือยัง

“ยังไงคืนนี้นอนบนเตียงก็ได้นะครับ อาบน้ำก่อนก็ได้จะได้สบายตัว” ถ้าเป็นปกติ ผมคงใช้สันดานปากหมาเอ่ยแซวไปแล้วที่มันมาทำดีกับผมผิดวิสัย แต่คราวนี้ผมกลับแค่มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง สบตาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังมองออกไปด้วยสายตาแบบไหน

รู้แค่ว่าเป็นสายตาแบบที่ทำให้อีกฝ่ายแสดงอาการประหม่าออกมา

“ผมทิ้งร้านไว้กับนาย ยังไงคงต้องกลับไปช่วย...”

ไอ้ตี๋ทำท่าจะลุกออกไป แต่ผมก็รั้งแขนมันไว้ ดึงให้ลงมานั่งอีกครั้ง... บนตักของผม

“คะ... คุณซัน!” ส่งเสียงร้องลั่นเมื่อผมใช้อ้อมแขนโอบรัดจากด้านหลังบังคับไม่ให้หนี

“อย่าไป”

“...” คนที่พยายามดิ้นสงบลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ้อนวอน ผมยิ้มอย่างพอใจ แล้วซุกหน้าลงกับไหล่บางที่เกร็งขึ้นเล็กน้อยเพราะการกระทำอุกอาจแบบที่ผมไม่เคยทำ

ความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในอกยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกทีเมื่อได้อยู่ใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายอันคุ้นเคย... กลิ่นที่ผมเสพติด แต่ปฏิเสธด้วยการบอกตัวเองมาตลอดว่าไม่มีอะไร ไม่ต่างจากกลิ่นหอมอื่นๆ ที่ผมได้รับในชีวิตประจำวัน

ต้องขอบคุณแอลกอฮอล์หรือเปล่านะ ที่ทำให้ผมยอมรับความจริงข้อนั้นได้อย่างง่ายดาย

และความจริงอีกหลายๆ ข้อ ที่กำลังชัดเจนขึ้นมาในใจ

“เมาจริงๆ สินะครับ” เอ่ยพร้อมกับถอนใจ ด้วยน้ำเสียงเหมือนกับจะตัดพ้อแบบที่ไม่เคยได้ยิน

ผมส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ยังซุกอยู่กับไหล่บาง กอดกระชับแน่นขึ้นไม่สนใจแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแปลกแค่ไหน

ถึงจะเคยกอด แต่ก็ไม่ใช่แบบนี้... ความรู้สึกนี้

“รู้ตัวหรือเปล่าครับว่าทำอะไรอยู่”

"..."

ผมอยากตอบว่ารู้ รู้ดีที่สุด แต่ก็กลัวคำถามต่อไปที่จะตามมา

ทำแบบนี้ทำไม?

ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมยังตอบไม่ได้...

“เป็นวันที่แย่เหรอครับ” เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา

“อืม”

“ถ้ายอมให้กอด จะรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่าครับ” ผมเงยหน้าขึ้นมามองเสี้ยวหน้าของคนในอ้อมแขนที่ทอดสายตามองไปทางอื่นอย่างเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร ก่อนจะเกยคางไว้บนไหล่ พยักหน้าตอบไป

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้น... ก็หายกันแล้วนะครับ”

“...” ผมชะงักไม่แน่ใจว่าไอ้ตี๋หมายถึงอะไร แต่ไม่นานสมองก็ประมวลผลได้จากความทรงจำตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา

ผมเคยกอดปลอบใจมันสองครั้ง เรื่องข่าวลือบ้าๆ ของมัน และเรื่องไอ้ตรี... และไอ้ตี๋ก็ยอมให้ผมกอดในวันที่ผมกลับมาเจอกับวี ปลอบใจผมทั้งที่ไม่รู้เลยว่าสาเหตุจริงๆ ที่ผมกลุ้มใจคืออะไร

ไม่ใช่เพราะการได้เจอวี แต่เป็นเพราะการที่ได้เจอกันมันยิ่งเป็นการยืนยันว่าผมไม่ได้มีวีอยู่ในหัวใจอีกต่อไป...

เป็นอีกหนึ่งความจริงที่ผมเพิ่งยอมรับได้... คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

สิ่งที่ได้ตี๋พูด คงหมายถึงอ้อมกอดนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย... หมายความว่าที่ผ่านมาที่มันทำดีกับผม อยู่กับผมตอนที่ไม่สบายใจ เป็นเพราะรู้สึกติดค้างกับสิ่งที่ผมเคยทำให้ แค่นั้นสินะ

มีแต่ผมใช่มั้ย ที่รู้สึกว่าการกอดมันเป็นเหมือนสิ่งเสพติด พอได้ลองแค่ครั้งเดียวก็โหยหา จดจำ และคิดถึงสัมผัสนี้แทบตลอดเวลา

“รู้สึกดีขึ้นหรือยังครับ” ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามันอยากออกจากอ้อมกอดของผมแค่ไหน

รังเกียจขนาดนั้นเลยหรือไง

“ตี๋” ผมเรียก น้ำเสียงอ่อนแรงจนน่าขำ แต่ถึงอย่างนั้นคนในอ้อมกอดก็ยังนิ่ง รอฟัง “วันนี้กูพาผู้หญิงคนอื่นไป เพื่อประชดวี ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร”

“...”

“น่าสมเพชใช่มั้ย?” ผมยิ้มออกมาอย่างรู้สึกสมเพชตัวเอง ทั้งเรื่องที่ทำก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน

ผมกำลังเรียกร้องความสนใจ ทำตัวน่าสงสารเพื่อให้มันเห็นใจผมอีกครั้ง อย่างน้อยแค่รั้งเอาไว้ให้ได้กอดนานขึ้นอีกหน่อยก็ยังดี

ไอ้ตี๋เงียบไปสักพัก ก่อนจะขยับหมุนตัวหันหน้ามาหาผม ดวงตาคู่สวยมองลึกเข้ามาในตา และผมพบว่ามันแฝงไปด้วยความรู้สึกหลากหลายไม่ต่างกัน

มันสบตาผมอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มออกมาจางๆ “ใครๆ ก็ทำเรื่องน่าสมเพชได้เพื่อความรักไม่ใช่เหรอครับ”

“...”

“ผมเองก็เคยทำ จำได้มั้ย” ผมนึกย้อนกลับไปที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกือบพลาดพลั้งทำร้ายได้ตรี แต่โชคดีที่ยังยับยั้งชั่งใจไว้ทัน

ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น... จุดเริ่มต้นของความรู้สึกผิด ที่นำพาไปสู่ความรู้สึกอื่นๆ ที่ทำให้ผมสับสนจนแทบบ้าอยู่ทุกวันนี้

“นั่นสินะ” ...ใครๆ ก็คงเคยทำเรื่องน่าสมเพชเพื่อความรักกันทั้งนั้น

ผมเอง ขนาดเคยพลาดพลั้งไปแล้ว ก็ยังไม่คิดจะเข็ดด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องกังวลนะครับ ไม่เป็นอะไร” มือเรียวยกขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ผมหลับตา ซึบซับความรู้สึกอบอุ่นนั้นไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อถูกถามด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

“เริ่มต้นใหม่ได้มั้ยครับ” ดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนา จ้องมาด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย

คล้ายกับจะตัดพ้อก็ไม่ใช่ จะให้กำลังใจผมก็ไม่เชิง

เป็นสายตาแบบที่ทำให้ผมหวั่นไหว... แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่ควรคิดไกล

“เหมือนที่คุณเคยขอผม ลืมผู้หญิงคนนั้นไป แล้วเริ่มต้นใหม่ได้มั้ยครับ” มือที่อยู่บนหัว เลื่อนลงมาแนบแก้ม ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลม

ความอ่อนโยนที่ได้รับยิ่งทำให้หัวใจที่เต้นไม่ปกติ เต้นแรงขึ้นจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมา เผลอยกมือขึ้นมากุมมือข้างนั้นไว้ก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ กระทั่งสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกคน

“แล้วมึง... เริ่มต้นใหม่ได้หรือยัง?” เอ่ยคำถามที่ค้างคาใจโดยที่ยังคงสบตาคู่สวยที่มองมาอย่างตกใจแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็หลบสายตาไป

“...” แทนที่จะได้คำตอบ ผมกลับเห็นใบหน้าใสขึ้นสีระเรื่อ แต่ดวงตากลับดูหม่นเศร้า และรอยยิ้มจางๆ ของมันก็ยิ่งทำให้อ่านยากว่ากำลังรู้สึกอะไร

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกนิด จนหน้าผากชิดกันเพื่อต้องการค้นหาคำตอบที่ตัวเองต้องการ แต่เหมือนจะยิ่งทำให้ทุกอย่างยากขึ้น เมื่อคนในอ้อมกอดสะดุ้ง มองมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ ยิ่งสบตากันก็ยิ่งเจอแต่ความว้าวุ่นยากอธิบาย จนผมไม่อยากจะค้นหาอะไรอีก

ถ้ามีทางอื่นที่จะพิสูจน์ได้ก็คงดี

ขึ้นอยู่กับว่า คนตรงหน้าจะยอมให้ผมพิสูจน์ไหม...

“ตี๋” เอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ทว่าอีกฝ่ายคงได้ยินชัด เพราะอยู่ใกล้กันเพียงลมหายใจคั่นเท่านั้น

“...” มันไม่ได้ตอบอะไร กัดริมฝีปากตัวเองด้วยสีหน้าลังเลใจ

คงเพราะรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร

“ตี๋...” ยังคงเรียกซ้ำๆ อย่างเว้าวอน

และทันทีมันหันกลับมาสบตา มือที่เคยกุมมือมันไว้ยกขึ้นมาถอดแว่นหนาที่แสนจะเกะกะออกไป มืออีกข้างประคองใบหน้าใส ก่อนจะดึงใบมาใกล้ จนแน่ใจว่าจะไม่ถอยหนีจึงจรดริมฝีปากลงไป ขโมยลมหายใจอีกฝ่ายตามที่ตั้งใจ

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมจูบกับผู้ชาย... ผมเคยจูบกับไอ้ตรี เพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ได้รักผมแล้ว และมันได้ผล

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมต้องการใช้จูบนี้พิสูจน์อะไรบางอย่าง...

แต่ดูเหมือนมันจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง

แทนที่จะได้คำตอบ กลับกลายเป็นการกวนน้ำใสๆ ให้เต็มไปด้วยฝุ่น ขุ่นข้นจนยิ่งยากจะค้นหาอะไรได้ เมื่อริมฝีปากแตะกัน มันไม่ได้ถอยหนี ทว่าไม่ได้ยินยอม เหมือนยังมีกำแพงบางอย่างกั้นไม่ให้ผมละลาบละล้วงเข้าไปจนต้องผละออกมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ช้อนสายตามองคนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตากัน จนต้องยกมือขึ้นมาประคองบังคับใบหน้าใสที่ขึ้นสีจัดให้เงยหน้ากลับมาสบสายตาที่กำลังฉายแววเว้าวอน ขอร้องให้มันยอมให้ผมค้นลึกเข้าไปในใจ

ต้องลึกกว่านี้... ต้องล้วงเข้าไปให้ลึกถึงก้นบึ้งความรู้สึก ทั้งของมัน... และของตัวผมเอง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็รั้งท้ายทอยมันลงมาแล้วกดจูบลงไปอีกครั้ง มอบสัมผัสที่แตกต่าง ...เน้นย้ำ ทว่าแผ่วเบา บดคลึงจนคนที่พยายามจะขัดขืนโอนอ่อน ก่อนจะค่อยๆ บังคับริมฝีปากบางให้เปิดออกพร้อมกับสอดเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปอย่างช้าๆ ละลาบละล้วง ทว่าไม่จาบจ้วง เพื่อที่จะได้ละเลียดชิมรสหวานจนพอใจ พร้อมกับบังคับให้อีกฝ่ายจะยอมคายความรู้สึกออกมา

โดยไม่ทันคิดว่า การพาตัวเองก้าวไปข้างหน้าช้าๆ จะทำให้ผมตกหลุมลึก สู่เส้นทางเย้ายวนใจอันไร้ทางออกโดยไม่รู้ตัว

จากแค่ริมฝีปากแตะกัน กลับกลายเป็นความต้องการล้ำลึกเพียงเสี้ยววินาที... ยิ่งได้ก็ยิ่งทวีความต้องการ กลายเป็นผึ้งแสนโลภ ที่ใช้ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดตักตวงน้ำหวาน อย่างไม่กลัวว่าจะสำลักตาย

"ดะ... เดี๋ยว..." เสียงแหบพร่าดังเคล้ากับเสียงหอบหนัก มือบางยกขึ้นมายันไหล่ผมไว้ หยุดริมฝีปากที่กำลังฉกฉวยลงไปอีกครั้ง หลังจากเปิดโอกาสให้ผละออกไปตักตวงอากาศหายใจ

"ตี๋" แต่ผมไม่คิดจะฟังเสียงร้องห้าม ดื้อดึงที่จะกดจูบลงไปบนริมฝีปากบางซ้ำๆ เรียกร้อง อ้อนวอนจนกระทั่งฝ่ามือที่เคยผลักใส เปลี่ยนมาโอบรอบคอผมไว้ พยุงร่างอันอ่อนแรงไม่ให้ร่วงหล่นลงไป

เสียงครางอย่างพอใจดังแผ่วเบาเมื่อผมกระชับอ้อมกอดแน่น รั้งร่างเล็กเข้ามาใกล้เพื่อบดเบียดริมฝีปากแนบชิดกว่าเคย ลิ้นร้อนรุกไล่จนได้รับการตอบสนองเชื่องช้า งุ่มง่าม ทว่าแทนที่จะหงุดหงิด กลับยิ่งขับความต้องการที่ซุกซ่อนไว้ให้ทวีความรุนแรงขึ้นมา

โดยไม่รู้ตัวผมอาศัยจังหวะที่ริมฝีปากดูดดึงช่วงชิงลมหายใจของกันและกัน ลูบไล้ฝ่ามือสะเปสะปะไปทั่วร่างกายบอบบาง พร้อมกับใช้มืออีกข้างไล่นิ้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตจนร่างกายขาวเนียนในส่วนที่ยังสัมผัสไม่ถึงเปิดเผยออกมา

“อึก... คุณซัน”  เสียงแหบพร่าเรียกชื่อผมอย่างตกใจทันทีที่ผมผละริมฝีปากออก เปลี่ยนเป้าหมายไปยังซอกคอหอมกรุ่น ขบกัดจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ส่งเสียงร้องประหลาดออกมาแผ่วเบา มือเรียวยกขึ้นมาดันแผ่นอกผมไว้คล้ายจะห้ามอีกครั้ง แต่แรงที่ส่งกลับไม่มากพอที่จะหยุดยั้งอะไร ผมยังคงฝังริมฝีปากตัวเองไปตามผิวกายขาวเนียน ทั้งไล้เลีย ขบกัดฝากร่องรอยคมเขี้ยวไว้ทุกหนแห่งเท่าที่จะทำได้

“คุณซัน...” เสียงกระซิบเอ่ยชื่อผมดังขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงจริงจังพอที่จะทำให้ผมผละริมฝีปากออกมา เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าที่ขมวดคิ้วมุ่น สบตากันด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ

“จะทำ... แบบนี้จริงๆ เหรอครับ” กระซิบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

ผมไม่ตอบ แต่ส่งสายตาเว้าวอนกลับไป... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ไฟปรารถนาที่เผลอจุดขึ้นมา มันไม่สามารถดับลงได้ง่ายๆ

...ไม่ใช่ตอนที่ผมกำลังถลำลึก... และอยากจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้อย่างไม่คิดจะลังเล

“ถ้าทำไปแล้ว... ห้ามมาเสียใจทีหลังนะครับ” คงเพราะอ่านสายตาผมออก เสียงทุ้มจึงเอ่ยออกมาแผ่วเบา แวบหนึ่งผมเห็นความเศร้าฉายชัดขึ้นมาในแววตา

แต่ไม่ทันได้ถาม... มือบางก็ยกขึ้นมาประคองใบหน้าผมไว้ ก่อนจะเป็นฝ่ายจรดริมฝีปากลงมา

บดเบียด เคล้าคลึงมอบสัมผัสหอมหวานมาให้ โดยที่ผมตอบรับอย่างไม่คิดจะคัดค้านใดๆ คนตัวเล็กวาดขาขึ้นมาคร่อมบนตักผมไว้ ขยับสะโพกเข้ามาใกล้จนหัวใจเต้นรัว ผมส่งเสียงครางในลำคอเมื่อนิ้วเรียวเริ่มไล่ปลดกระดุมเสื้อให้กัน ลากไล้ไปตามแผ่นอกอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่งราวกับจงใจจะทำให้ทรมาน...

ชั่วขณะหนึ่งผมกลายเป็นฝ่ายถูกนำในจังหวะเนิบนาบ ทว่ากลับร้อนแรงจนกระตุ้นให้ไฟปรารถนาที่อยู่ในกายยิ่งลุกโหมจนคล้ายจะเผาไหม้หัวใจให้เป็นจุล ทนไม่ไหวจนต้องดันร่างคนยียวนกดแนบลงไปกับโซฟา พลิกตัวขึ้นมาเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมไว้เสียเอง

คนใต้ร่างร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อผมเริ่มใช้ริมฝีปากรุกเร้า ไล่จูบทั่วใบหน้า ซอกคอ ก่อนจะเลื่อนลงมากัดเม้มบนจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก หยอกล้อจนสัมผัสถึงแรงเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนจังหวะไปอย่างชัดเจน

ฝ่ามือยังคงลูบไล้เคล้าคลึงตามร่างกายขาวเนียน พลางบดเบียดสะโพกเข้าไปแนบชิดจนสัมผัสได้ถึงส่วนกลางร่างกายของอีกฝ่ายที่กำลังโป่งนูนตอบสนองสัมผัสวาบหวามไม่แพ้กัน มันยิ่งทำให้ทุกอย่างยากที่จะหยุดยั้ง ผมเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปพรมจูบทั่วใบหน้าใสอีกครั้ง พร้อมกับค่อยๆ สอดมือเข้าไปในขอบกางเกงของอีกฝ่ายโดยไม่ให้ตั้งตัว

"...!!" คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกทำท่าจะกระถดหนี แต่ผมก็ตามไปครอบครองริมฝีปากบาง กดจูบปลอบประโลมจนคนใต้ร่างกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง หลอกล่อให้ตอบรับสัมผัสหอมหวาน บิดเบือนความสนใจจากมือที่กำลังเลื่อนลงไปปลดกระดุมกางเกง 

ออกแรงดึงเพียงน้อยนิด รั้งขอบกางเกงหลุดจากสะโพกสวย เปิดเปลือยให้เห็นสัดส่วนของร่างกายที่ถูกซ่อนไว้ใต้อาภรณ์ ผมไล่สายตามองไปตามร่างกายเปลือยเปล่าใต้ร่างด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกใหม่ที่แล่นขึ้นมา

ไม่ได้รังเกียจ หรืออยากถอยหนี... แต่คล้ายกับบางอย่างในใจกำลังจะระเบิดออก

ทั้งที่มีทุกสิ่งบนร่างกายเหมือนๆ กัน แต่กลับอยากสัมผัส ครอบครองในทุกสัดส่วนราวกับเด็กน้อยที่ต้องการลิ้มรสขนมหวานที่ไม่เคยชิม

"อย่ามอง..." เผลอจับจ้องอยู่นานจนกระทั่งถูกเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงขาดห้วง มือบางเอื้อมมารั้งใบหน้าเบี่ยงเบนให้กลับไปสนใจใบหน้าใสที่ขึ้นสีด้วยความอายที่ไม่อาจปกปิดได้ ดูน่ารักซะจนอดใจไม่ไหว ต้องฉกฉวยริมฝีปากลงไปช่วงชิงลมหายใจอีกฝ่ายอีกครั้ง ใช้ลิ้นไล้เลียดูดดุนรีดน้ำหวานซ้ำๆ พร้อมกับไล่มือไปทั่วร่างนวดคลึงปลอบประโลม หวังให้เคยชิน ก่อนจะหยุดลงตรงส่วนร้อนกลางลำตัว

"ให้กูทำนะ" กระซิบข้างหู เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

ไม่รอคำตอบ เริ่มขยับฝ่ามืออย่างช้าๆ เมื่อเห็นชัดว่ามันกำลังทรมาน เสียงครางแผ่วยิ่งกระตุ้นให้ผมเร่งจังหวะรูดรั้งรัวเร็วตามแรงปรารถนาจนร่างเล็กบิดเร่า ร้องผวาขณะเอื้อมมือออกมาโอบรอบคอผมไว้แน่น

“ซัน... อึก... ซัน” น้ำเสียงแหบพร่าที่กระซิบเรียกชื่อผมโดยไร้สรรพนามนำหน้า ยิ่งนำพาไฟปรารถนาให้ลุกลามจนผมควบคุมไม่ได้ ปรนเปรออีกฝ่ายจนพอใจ ก่อนจะใช้น้ำเหนียวข้นที่ชะโลมทั่วฝ่ามือ นำทางให้นิ้วหนึ่งชำแรกเข้าไปในที่ช่องทางด้านหลังอย่างระมัดระวัง แต่ถึงอย่างนั้นไอ้ตี๋ก็ยังร้องลั่น ผวาจนต้องหยุดเพื่อกดจูบลงไปบนเรียวปากบาง ปลอบประโลมซ้ำๆ เพื่อให้คลายความตกใจ

เนิ่นนานจนแน่ใจว่าคนตัวเล็กหายตื่นตระหนกกับสัมผัสแปลกใหม่ที่มอบให้ จึงเริ่มกดนิ้วลงไปอีกครั้ง ริมฝีปากยังคงไม่ผละออกจากกัน ซ้ำยิ่งไร้ช่องว่างเมื่อแขนที่โอบรอบคอกอดรัดดึงรั้งใบหน้าเข้าไปให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม ลิ้นที่เคยตักตวงด้วยความละโมบ เปลี่ยนเป็นมอบสัมผัสอ่อนโยนเพื่อผ่อนคลาย ขณะสอดนิ้วกดลึกลงไปสำรวจด้านในร่างกายอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้า ค่อยเป็นค่อยไป ขยับเข้าออกจนร่างเล็กบิดเร่าแอ่นตัวรับสัมผัสวาบหวามด้วยสีหน้าเย้ายวนจนผมแทบจะคลั่งตาย

"ซัน... ช่วย... ช่วยที..." เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเอ่ยชื่อผมพร้อมกับเรียกร้องอย่างเต็มใจ ผมก็ไม่รอช้าที่จะปลดกางเกงตัวเอง เผยส่วนที่ปวดหนึบคับแน่นอยู่ภายในให้พ้นความทรมาน

บดจูบที่ทวีความรุนแรงตามไฟปรารถนา พลางจับขาเรียวให้เกาะเกี่ยวสะโพกหนา ก่อนจะบดเบียดร่างกายแนบชิด ค่อยๆ นำพาส่วนร้อนที่กำลังขยายตัวเข้าไปแทนที่นิ้วมือซึ่งใช้สำรวจช่องทางก่อนหน้า

กดลึก...แนบสนิท ก่อนจะแช่อยู่อย่างนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายปรับตัว

"ตี๋..." รู้สึกอึดอัดจนครางไม่เป็นเสียงขณะซุกซบลงขบกัดซอกคอที่ฝากรอยไว้จนไร้ที่ว่าง ลากลามไปถึงใบหูเล็กอย่างระบายอารมณ์ ได้ยินเสียงสะอื้นดังคลอกับเสียงครางแผ่ว เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าใสที่ชโลมไปด้วยเหงื่อซึ่งผุดซึมทั่วร่างกายจนเปียกชุ่มไม่ต่างกัน นัยน์ตาหวานเยิ้มที่แต่งแต้มด้วยหยาดน้ำที่หางตา ทำให้ผมก้มหน้าลงไปจรดริมฝีปากกดซับหยดน้ำนั้นไว้ ไล้เลีย ลากลิ้นลงไปทั่วใบหน้าใส พรมจูบปลอบประโลมซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้เบื่อ เพื่อรั้งรอให้คนตัวเล็กหายตกใจกับสัมผัสอันไม่คุ้นเคย

“โช... โชกุน” เผลอเอ่ยกระซิบเรียกชื่อจริงของอีกฝ่ายออกมา ไม่ทันเตรียมใจว่ามันจะยิ่งทำให้ความร้อนที่กำลังโอบรัดส่วนกลางร่างกายตอบสนองจนไม่อาจทนไหวอีกต่อไป

ไฟในใจเริ่มลุกโหมอีกครั้งเมื่อผมเริ่มขยับ จูบซ้ำๆ มอบสัมผัสอ่อนหวานลึกซึ้งที่ไม่เคยมอบให้ใคร เสียงครางสุขสมปนเปจนแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร ดังเคล้ากับเสียงร่างกายเหนอะหนะที่กระทบกันอย่างน่าอาย สองร่างไขว่คว้ากอดก่าย จนแนบสนิทไร้ช่องว่างใดๆ ปล่อยให้แรงอารมณ์นำพาให้ถลำลึกอย่างที่ใจปรารถนา

มากขึ้น... และมากขึ้นอีกในท่วงทำนองแสนหวานยิ่งกว่าที่เคยจินตนาการ...

ชั่ววินาทีหนึ่งที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปไกลเกินห้าม ผมเกิดคำถามเหมือนกับหลายๆ ครั้งที่การกระทำของผมพาให้นึกย้อนกลับไปถึงสาเหตุของมัน

ผมทำแบบนี้ทำไม?

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมทำลงไปเพราะเมา... เพราะเศร้า... หรือเพราะบรรยากาศพาไป

กว่าจะยอมรับคำตอบได้ ก็ตอนที่ไฟปรารถนาพาร่างกายไต่ระดับจนถึงจุดสูงสุด ทุกอย่างกลับมาสงบนิ่ง ขาวโพลนทว่าสุขสม เป็นชั่วขณะที่ผมค้นพบว่าสิ่งรอบกายไม่มีความหมายใดๆ เช่นเดียวกับที่รู้ชัดเจนว่าสิ่งที่เอ่อล้นอยู่ในใจไม่ใช่ความเศร้า ...และสิ่งที่ทำไปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะความเมาเลยสักนิด

“โชกุน...” วินานี้นั้นผมรู้แค่ว่าตัวเองไม่ต้องการอะไรอีก นอกจากกอดร่างเล็กไว้แนบอก ซึบซับความสุขที่กำลังล้นทะลัก กักเก็บไว้ให้นาน

และยังอยากจะโอบกอด กลืนกินอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น ...แต่เพียงผู้เดียว




-----------------------------------------------------------------------
เขียนยากจังเลยอ่ะ ;^;
เป็นตอนที่มีหลายความรู้สึกมากที่อยากจะสื่อ ไม่รู้ด้วยว่าสื่อถึงมั้ย
ยังไงก็ติได้เสมอเลยนะคะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โอ้ยยยยชอบมากกกกกกกกกกค่ะะะะะ ยิ่งตอนล่าสุดนี่เราคิดว่าฉากนี้เป็นอะไรที่มากกว่าการ make love มันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่าง ฮื่ออ เขียนดีมาก ชอบมากกก ติดตามนะคะ อย่าให้โชต้องอยู่กับความรู้สึกไม่แน่นอนนะซัน รักก็บอกไปเลยยย  :hao5:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
สนุกมาก อ่านรวดเดียวจบเลย
ขอให้รีบบอกความในใจกันเถอะนะ
โชดูมีอะรในใจเยอะมาก ถ้าซันไม่รีบบอก กลัวโชจะหนีไป

ออฟไลน์ Preenp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากเลย :impress2:
ติดตามนะคะ o13

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
อ่านรวดเดียวเลยยย สนุกมากกกก ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ PrInceZz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สนุกมากกกกกกค่ะ ติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลังตะวัน : 4


               
[ Shogun’s Part ]
 
           
‘เริ่มต้นใหม่ได้มั้ยครับ’
           
‘…ลืมผู้หญิงคนนั้นไป แล้วเริ่มต้นใหม่ได้มั้ย...’
 
               
กล้าขอออกไปได้ยังไง ทั้งที่ตัวเองยังทำไม่ได้...
               
ผมจะเริ่มต้นใหม่ได้ยังไง ในเมื่อคนที่ผมกำลังมีใจให้ ยังมีรักฝังใจให้ผู้หญิงอีกคน
               
“ยังรักมากเหรอครับ” เอ่ยถามแผ่วเบา ทั้งที่รู้ว่าเสียงตัวเองไม่อาจส่งถึงคนที่นอนหลับสนิทอยู่เคียงข้างกาย ร่างเปลือยเปล่ายังคงแนบชิดก่ายเกยกันอยู่บนโซฟาใต้ผ้าห่มผืนหนาที่ไม่รู้เหมือนกันว่าถูกหยิบมาตอนไหน แขนแข็งแกร่งโอบรัดผมไว้ ขณะที่ลมหายใจร้อนเป่ารดลงบนปลายจมูกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
               
“ยังเจ็บปวดขนาดนั้นเลยเหรอ” ยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มใส ระมัดระวังไม่ให้รบกวนจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว
               
รู้ดีว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นจากบาดแผลในใจ ไม่คิดโกรธเคืองใดๆ แม้ว่าจะถูกใช้เป็นที่ระบาย เพื่อลบเลือนความเจ็บปวดที่ถูกสร้างโดยใครอีกคน

ต้องโทษตัวเองที่โลภ... หลงระเริงกับความต้องการชั่ววูบ ถูกความสุขสมชักจูงจนถลำลึกทำสิ่งที่ไม่ควรลงไป ไร้สติขนาดนั้นได้ยังไง แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง
               
ที่ซันทำคงเพียงเพราะพลาดพลั้งจากความเมา มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ผมล่ะ... จะหาเหตุผลอะไรมาอ้าง กับสิ่งที่ทำลงไป?
               
ตอนนี้ก็เช่นกัน... ผมจะหาข้ออ้างอะไรมารองรับการกระทำอันฉวยโอกาสของตัวเอง ที่ลักลอบจรดริมฝีปากลงไปบนหน้าผากใส... ปลายจมูก... และริมฝีปากที่กดจูบซ้ำๆ ลงมาอย่างอ่อนโยนตลอดทั้งคืน
               
เพราะเป็นครั้งแรกจึงทั้งงุ่มง่ามและตื่นตระหนก แต่เขาก็ยังใจเย็น ไม่เร่งเร้า ทำทุกอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ทำให้ผมเจ็บ
               
แต่มันคงยากเกินไป เมื่อลืมตาขึ้นมามันถึงได้ปวดระบมไปทั้งร่าง ปวดหนึบไปหมดทั้งกาย... รวมถึงหัวใจ
               
ผมกดจูบลงไปอีกครั้งสัมผัสอย่างระมัดระวัง แผ่วเบาราวกับไม่ได้แตะต้อง ก่อนจะผละออกมาเพื่อมองใบหน้าคนหลับใหลที่เอาแต่จับจ้องมานานนับตั้งแต่ลืมตา

ไม่อยากให้รู้ตัว ไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไร

แค่อยากจะบอกว่าผมเต็มใจในทุกสิ่งทุกอย่าง แค่ได้อยู่เคียงข้าง ได้ปลอบใจ เหมือนที่คุณเคยทำให้ผมตลอดมา... แค่นั้นก็พอ
 

ทุกอย่างมันยากลำบากไปหมดในเช้าวันนี้

หลักจากกอดกกซบอกหนาซึมซับความอบอุ่นจนพอใจ ผมก็ขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า พยายามไม่ส่งเสียงร้องออกมากับความรวดร้าวที่ถูกทิ้งไว้ทั่วร่างกาย

เจ็บจนอยากจะร้องไห้ แต่ก็ต้องกลั้นไว้เพราะไม่อยากให้เสียงสะอื้นรบกวนคนขี้เซา

หยิบแว่นตากรอบหนาขึ้นมาสวมแล้วหันกลับไปมองใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง ร่องรอยที่คั่งค้างอยู่ทั่วร่างยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความจริง ผมยืนมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเห็นแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน ไม่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกยังไง

มีความสุขจนแทบคลั่ง แต่ก็ตระหนักดีว่ามันเป็นเพียงความสุขชั่วคราว เหมือนความฝันที่พอตื่นมาทุกอย่างก็หายไปเหลือเพียงความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ตัวเองเผลอไผลทำเรื่องที่ไม่ควร

ไม่รู้ว่าจะมองหน้าเขายังไงแล้ว

ทำไมถึงทำลงไปได้... โง่จริงๆ

ถอนหายใจอีกหลายครั้งก่อนจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าซ้ำๆ หวังเรียกสติตัวเองกลับมา เผื่อจะรู้ว่าควรทำยังไงต่อไป แต่ก็เหมือนจะไม่ช่วยอะไร จนสุดท้ายก็ได้แต่บอกให้ตัวเองช่างมัน

ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน... แบบนั้นคงดีกว่าทั้งกับผมและเขา

แต่ความตั้งใจนั้นก็ถูกสั่นคลอนทันทีที่ออกจากห้องน้ำมาแล้วพบว่าร่างสูงยืนรออยู่หน้าประตู ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ดวงตาหลุบต่ำโดยอัตโนมัติก่อนจะทันได้เห็นใบหน้าของคนที่เพิ่งตื่นนอน แต่ระดับสายตาที่อยู่ตรงลำคอแกร่งก็ทำให้เห็นว่าผิวเนื้อใต้คางไล่ไปจนถึงไหล่กว้าง มีรอยคมขีดข่วนของเล็บและคมเขี้ยวสองสามรอยปรากฏชัดขึ้นมา อยากจะเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรเอาสายตาตัวเองไปไว้ตรงไหน ในเมื่อทั่วร่างกายกำยำที่ท่อนบนยังคงเปลือยเปล่า เต็มไปด้วยร่องรอยน่าอายที่ตัวเองฝากไว้ไม่ต่างกัน

ทำยังไงดี ผมอยากจะหายไปจากตรงนี้ซะให้รู้แล้วรู้รอด

“อะ...เอ่อ...” ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ พยายามนึกคำพูดที่ควรจะพูดออกไป แต่ยังไงก็คิดไม่ออกสักที

นี่มันไม่เห็นจะเป็นธรรมชาติตรงไหนเลย

“ตี๋...” แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ผมก็รวบรวมสติพูดตัดหน้าออกไปเสียก่อน

“อะ... อาบน้ำก่อนนะครับ กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว เดี๋ยวผมไปหาอะไรให้กิน” แต่พอได้ยินเสียงเขา คำพูดออกมาง่ายดาย คำพูดเฉไฉที่เอ่ยขัดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มฉาบฉวย ก่อนจะเบียดตัวเดินจากมาโดยไม่สบตา เพราะไม่อยากฟังว่าเขาจะพูดอะไร

ผมยังไม่พร้อมจะฟังอะไรทั้งนั้น ยังไม่อยากเห็นสีหน้าเขาที่คงจะเต็มไปด้วยความสับสนและความรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

อย่างน้อยให้ผมได้เตรียมใจก่อนสักนิด ได้ซึมซับความรู้สึกสุขสมที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไว้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นเพียงฝันร้ายที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ของพวกเราไปตลอดกาล

ผมเดินเข้ามาในครัวเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์เมื่อแน่ใจว่าร่างสูงไม่ได้เดินตามมา เสียงประตูห้องน้ำปิดลง ทั้งห้องเหมือนเหลือเพียงผมกับมวลความเงียบงันอันน่าอึดอัดจนแทบจะทนไม่ไหว ถอนหายใจกับตัวเองอีกหลายครั้ง พยายามรวบรวมสติตัวเองกลับมาเพื่อหาอะไรอุ่นๆ ให้เขากินอย่างที่บอก

ในตู้เย็นมีโจ๊กที่ผมซื้อเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน...

ตั้งแต่ที่เขามาขอสลับกะกับนายเพราะต้องไปงานเลี้ยงส่งวี ผมก็รู้ทันทีว่าเขาคงกลับมาในสภาพที่ไม่ปกติ...

เพิ่งรู้ว่าตัวเองกระวนกระวายแค่ไหน ก็ตอนที่ถูกทักว่าเอาแต่มองประตูร้านสลับกับโทรศัพท์จนไม่มีกะจิตกะใจทำงาน โดนถามถึงสาเหตุหลายครั้งแต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง ไม่สบายใจทั้งที่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เป็นห่วง...ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง

ผมตัดสินใจอยู่นานกว่าจะโทรไปเพื่อถามไถ่ อย่างน้อยถ้าเขาเป็นอะไรก็อาจจะพอช่วยได้ ถ้าเมา... ผมจะไปรับ ถ้ากำลังเศร้า... ผมจะรีบไปตรงนั้น จะปลอบใจจนกว่าจะหาย จะร้องไห้ก็ได้ ผมจะให้ยืมไหล่ จะให้แกล้ง กวนตีนจนกว่าจะพอใจ แค่ให้เขากลับมายิ้มได้ก็พอ

เพราะแบบนั้นถึงได้ดีใจที่ได้ยินว่าเขาจะมาหา... เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าแค่คำขอสั้นๆ ของเขามันมีอิทธิพลกับหัวใจของผมแค่ไหน

ผมฝากร้านไว้กับนาย เพื่อกลับมาเตรียมนมอุ่นๆ ให้เขาตามที่บอกไว้ ไม่วายแวะซื้อโจ๊กเตรียมไว้ให้ ทั้งที่เขาไม่ได้ขอ... ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าจะค้างคืน

เผลอทำเกินหน้าที่จนรู้สึกละอายใจ

แต่มันน่าละอายยิ่งกว่าเมื่อทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป... อาศัยความเมาของอีกฝ่ายฉวยโอกาสทำตามอำเภอใจอย่างไม่น่าให้อภัย

“ตี๋” ผมหลุดจากภวังค์ความฟุ้งซ่านเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นมาจากด้านหลัง เผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะตั้งสติ ปั้นยิ้มเตรียมไว้ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวที่เจ้าตัวแอบเอามาเนียนทิ้งไว้ นับตั้งแต่วันที่ผมแกล้งประชดไปว่าให้เขาหอบเสื้อผ้ามา

ทั้งที่ก่อนหน้านี้มองว่ามันรกหูรกตา เปลืองพื้นที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกใจหาย เมื่อคิดได้ว่าต่อไปมันคงไม่จำเป็น

หลังจากวันนี้ เขาอาจจะไม่อยากเจอหน้าผมอีกเลยก็ได้ ทำยังไงดี

“มีแต่โจ๊กนะครับ” บอกก่อนจะปิดเตา เอื้อมมือไปหยิบชามออกมาเพื่อตักโจ๊กใส่ พยายามทำตัวนิ่งเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“กูขอโทษ” แต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

เป็นคำต้องห้ามของเช้าวันนี้ที่ผมไม่อยากจะได้ยิน

ขอโทษ... ไม่ได้ตั้งใจ... ทำไปเพราะเมา...

คิดว่าผมไม่รู้เลยหรือไง ทำไมยังใจร้ายเอ่ยมันออกมา

“ช่างเถอะครับ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้แต่ท้วงในใจ ขณะที่ความจริงทำได้เพียงปั้นยิ้ม พร้อมกับหันไปสบตา “อย่าพูดถึงมันเลย”

ต้องทำให้เขารู้ว่าไม่เป็นอะไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องใส่ใจ

แต่สุดท้ายริมฝีปากกลับหนักอึ้งจนไม่สามารถยิ้มต่อไปได้ ต้องเบือนหน้าหนีกลับมา ซ่อนใบหน้าและแววตาของตัวเองไว้ ไม่ให้เขาเห็นว่าตอนนี้มันกำลังฉายความรู้สึกแบบไหนออกไป

“ตี๋ ฟังก่อน”

“...!!”  สะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างสูงกลับไม่ยอมเลิกรา ขยับเข้ามาใกล้ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะคว้าเข้ามาที่แขนผมคล้ายจะดึงให้กลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง เผลอสะบัดแขนออกจากมือเขาอย่างแรงจนไม่ทันมองว่าข้างตัวมีชามโจ๊กที่วางไว้ในตำแหน่งที่มือตวัดไปพอดิบพอดี

เพล้ง!

“ตี๋!” ได้ยินเสียงตะโกนเรียกดังขึ้นมาในขณะที่โลกของผมคล้ายจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนไกลออกไป แม้แต่เสียงโวยวายของร่างสูงที่คุกเข่าลงตรงหน้าปัดเศษโจ๊กร้อนๆ ที่กระเด็นลงมาบนเท้าให้ผมโดยไม่สนใจเลยว่าเท้าตัวเองก็โดนลวกเหมือนกัน

ทำไมถึงยังทำแบบนี้... ทำไมยังทำดีกับผมได้อีก...

“ผมไม่เป็นไร” ผมดึงเท้าตัวเองออกมา ก้าวถอยหลังช้าๆ มองเจ้าของใบหน้าตื่นตระหนกที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา “ขอโทษนะครับ คงไม่ได้กินข้าวเช้าแล้ว”

“ตี๋...” แววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่คล้ายจะพรั่งพรูออกมา

“ถ้ายังไงจะกลับเลยก็ได้นะครับ”

ความรู้สึกที่ผมไม่อยากจะคาดเดาว่าคืออะไร

“ให้กูรับผิดชอบนะ” แต่เท้าที่กำลังจะก้าวหนีกลับต้องชะงักลงอีกครั้ง หมุนตัวกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

“ตั้งใจจะทำอะไรครับ” ไม่สามารถปั้นยิ้มได้อีกต่อไป เมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน

“กูอยากรับผิดชอบเรื่องที่ทำไปเมื่อคืน” แต่ซันก็ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“...”

“กูรู้ว่ากูเมา แต่ว่า...”
               
“ไม่จำเป็นครับ”

เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน

“ตี๋” เขาเอ่ยชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา อ้าปากเหมือนพยายามจะพูดบางอย่างแต่ผมไม่เปิดโอกาสให้ได้เอ่ยอะไร

ไม่อยากฟังคำพูดที่จะทำให้หัวใจมันเจ็บมากไปกว่านี้แล้วจริงๆ

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ” ผมหลับตา ข่มความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงอีกครั้ง เอ่ยออกไปด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน

“อย่าลืมสิครับว่าเราต่างก็เป็นผู้ชาย มันไม่มีอะไรเสียหาย... เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมาขอรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”

“แต่กู...”
 
“อย่าทำแบบนี้เลยครับ” ผมเอ่ยขัด พร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ ขณะที่ความรู้สึกบางอย่างมันกำลังกดทับลงมาจนหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ 

“เพราะแบบนี้ใช่มั้ย ตรีถึงได้ชอบคุณ...” เผลอเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจอย่างไม่อาจควบคุมได้ คำพูดมากมายที่เคยได้แต่เก็บไว้ในความคิดถูกเอ่ยออกไป เมื่อเห็นดวงตาหวั่นไหวของอีกฝ่ายที่มองกลับมา

“เพราะคุณใจดีเกินไป คนที่อยู่ใกล้ๆ ถึงได้เผลอใจชอบคุณไปหมด”

“...”

“อย่าให้ความหวังดีของตัวเองทำร้ายคนอื่นเลยครับ”

“...”

“ทำแบบนี้ผมยิ่งลำบากใจนะ”

“...”
               
“ผมเคยผิดหวังมาครั้งนึงแล้ว... และมันเจ็บเจียนตาย” รู้เลยว่าใบหน้าของตัวเองกำลังบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกที่ประดังขึ้นมาจนยากที่จะสบตาอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

“...”

“ขอร้อง อย่าหยิบยื่นความหวังที่เป็นไปไม่ได้มาให้ผมอีกเลยนะ” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มออกไป เพื่อให้เขารู้ว่าผมไม่เป็นอะไร เขาไม่จำเป็นต้องฝืนใจรับผิดชอบใดๆ กับสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างทำพลาดไป

“ถ้าอยากจะรับผิดชอบจริงๆ หลังจากนี้ช่วยกลับไปเป็นเหมือนเดิม ได้มั้ยครับ”

“...”

“ลืมๆ มันไป ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้มั้ย”

เพราะผมเต็มใจ และพร้อมจะยอมรับผลในสิ่งที่ตัวเองทำไป

“แต่ถ้าลำบากใจ จะไม่มาเจอกันอีกก็ได้”

“...”

“เลือกมาสักทางนะครับ... ผมจะรอคำตอบจากคุณ”

ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ต้องยอมรับให้ได้ทั้งนั้น

“ตี๋”

“แต่ตอนนี้กลับไปก่อนเถอะนะ” ผมพูดขัดอีกครั้งเมื่อเขาทำท่าจะเอ่ยอะไรออกมา

“...”

 “นะครับ”

“กูขอโทษ” ซันยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้เมื่อผมไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนใจ ยังคงผลักไสเขาออกไปด้วยสายตา

“ขอโทษจริงๆ” เขาเอ่ยย้ำ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปช้าๆ ไม่วายหันกลับมาสบตาผมอีกครั้งด้วยสายตาที่ดูสับสนจนยากจะอธิบาย

ผมมองตามจนกระทั่งเจ้าของแผ่นหลังกว้างลับสายตาไป ในจังหวะเดียวกับที่ทุกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจผมพังทลาย กลายเป็นเศษซากความรู้สึกที่ผุพังและยังถูกเหยียบย่ำซ้ำๆ จนแหลกละเอียดยากที่จะเก็บมันขึ้นมาประกอบใหม่ได้

ทั้งที่เคยคิดว่าตัวเองเผื่อใจเอาไว้ คิดว่าถ้าถอนตัวออกมาตั้งแต่เนิ่นๆ จะไม่เป็นอะไร

แต่มันคงสายเกินไป

เอาเข้าจริง คำพูดที่ว่าเผื่อใจเอาไว้ก็ไม่มีความหมาย... เมื่อรู้ตัวอีกที ก็ถูกเขาครอบครองพื้นที่ไปแล้วทั้งใจ

เมื่ออยู่ลำพัง ผมจึงปล่อยร่างกายที่หนักอึ้งทรุดลงกับพื้นอย่างหมดสภาพด้วยความรู้สึกอ่อนแรงที่โถมเข้าเล่นงานจนทนไม่ไหวอีกต่อไป หลายความรู้สึกปะปนกันอยู่ในใจจนแยกไม่ออกว่าความรู้สึกไหนมีมากกว่า สายตาเหลือบไปเห็นสองเท้าของตัวเองที่ถูกลวกจนเห่อแดงแต่กลับไม่รู้สึกอะไร

คงเพราะมีแผลอื่นที่เจ็บกว่า

เจ็บ... จนสุดท้ายก็ต้องปล่อยให้น้ำตาที่กักเก็บไว้ล้นทะลักออกมา ก่อนจะตระหนักได้ว่าเมื่อไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นแสนอ่อนโยนคอยปลอบใจ การร้องไห้คราวนี้ก็เหมือนจะทรมานกว่าครั้งไหนๆ เพิ่งรู้ชัดก็ตอนนี้ว่าการกอดขาตัวเองไม่ได้ช่วยให้หายเศร้า และการพยายามซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองข้างก็ไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นที่ดังไปทั่วห้องได้

“ฮึก...” ตอนนี้ผมอยากให้มีใครสักคนอยู่ตรงนี้ บอกผมทีว่าเรื่องทุกอย่างมันผิดพลาดที่ตรงไหน ผมทำอะไรผิดนักหนาทำไมถึงได้กลับมาสู่วังวนความเจ็บปวดแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา

และถ้าเป็นไปได้ ช่วยบอกผมทีว่าควรทำยังไง จะให้ขอร้องก็ได้ แต่ช่วยหน่อยได้มั้ย

ไม่เอาแล้วได้มั้ยครับ ความเจ็บระดับนี้





------------------------------
เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วตี๋ ลูกกก ;^;
อดทนอีกนิดนะคะ คิดว่าอีกประมาณสองตอนก็จะจบพาร์ทหลังตะวันแล้ว
จะไถ่โทษที่ทำให้ตี๋ร้องไห้อย่างสาสมแน่นอนค่ะ สาบานเลย!

ก่อนหน้านี้แอบคิดมาสักพักว่านิยายตัวเองเป็นเรื่องเดียวในเล้าหรือเปล่าที่ไม่มีคนอ่าน 5555 ดังนั้นเลยดีใจทุกครั้งเลยค่ะที่เห็นคอมเม้นต์เพิ่มขึ้นมา อ่านแล้วรู้ว่ามีคนเห็นข้อดีของนิยายเราแล้วรู้สึกปลื้มใจมาก ขอบคุณมากเลยนะคะ
แต่ถ้าใครอ่านแล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นไรนะ เรื่องหน้าเอาใหม่ เราจะหาพล็อตที่น่าสนใจกว่านี้ พยายามพัฒนางานเขียนให้ดีต่อไปเรื่อยๆ หวังว่าจะยังมีคนให้โอกาสกัน ^^


ฝาก #ซันโช ด้วยนะคะ
อยากรีบเขียนให้ถึงตอนเขาสวีทกันจะแย่แล้วค่ะ 555555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 10:07:59 โดย makok_num »

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
ใจเย็นเด้อออออออออออ
นี่ก็เข้าใจโชนะ ว่าการที่ได้ยินว่าขอโทษ
เหมือนเค้าเสียใจที่มีอะไรกับเรา
แต่ใจเย็นนนนนนนนนนนนน
ซันมีประโยคต่อท้าย ช่วยกันฟังก่อนนนนนนนนน
จะร้องไห้  :o12: :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด