Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7  (อ่าน 103006 ครั้ง)

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
กีสสส ตี๋น้อยยยย
 :กอด1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ซันปากหนักมากกกกกกกกกกกก วุ้ย ทำโชกุนเสียใจได้ไงเนี่ย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เป็นเราก็คิดแหล่ะว่าซันไม่ตั้งใจตั้งแต่ได้ยินคำว่าขอโทษ มันก็ไม่อยากฟังอะไรแล้วค่ะ มานี่มาลูก น้องโช มาให้แม่กอดดดด  :กอด1:

ออฟไลน์ xxhelloworld

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้ำตาจะไหล ทำไมซันไม่พูดอะไรให้เคลียร์ ทำไมไม่เคลียร์ความรู้สึกตัวเอง สงสารตี๋ ไม่ร้องนะลูก สงสาร

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลังตะวัน : 5

   
ไหนบอกจะรอคำตอบจากผมไง แล้วทำไมถึงเป็นฝ่ายหนีไปซะเอง
   
แบบนี้มันมัดมือชกกันนี่หว่าตี๋ ใจร้ายชิบเป๋ง
   
“วันนี้ก็ไม่มา” ไอ้นายหันมาบอกทันทีที่คนข้างตัวสะกิดบอกว่าผมเข้ามาในร้านแล้วชะเง้อคอมองหลังเคาน์เตอร์หาคนที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ถอนหายใจ ก่อนจะเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งหลังเคาน์เตอร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก

ผมไม่เจอไอ้ตี๋อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น... ทั้งที่ถูกยื่นข้อเสนอให้ แต่เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าผมไม่สามารถเลือกอะไรได้เลย

ผมยังอยากเจอหน้ามัน แต่ในทางกลับกัน ก็ไม่อาจจะทำเป็นลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้...

ทุกร่องรอย ทุกสัมผัส กลิ่นหอมกรุ่นทั่วร่าง หรือแม้กระทั่งรสชาติของจูบที่ได้ลิ้มลองยังคงตราตรึงอยู่ในใจราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน

แต่สิ่งที่ติดแน่นอยู่ในความทรงจำไม่แพ้กัน ก็คือสายตาคู่นั้น...

สายตาที่ผลักไสให้ผมต้องยอมถอยห่างออกมาอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ รู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเลวทรามแค่ไหนก็ตอนที่ได้เห็นแววตาเจ็บปวดแสนจะบรรยาย

เพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองผมถึงกับทำแบบนั้นลงไป... ถึงแม้จะไม่ได้รุนแรง และแน่ใจว่าทุกสัมผัสที่มอบให้ล้วนซื่อตรงจากใจ แต่พอมีสติก็เพิ่งคิดได้ว่านั่นมันไม่ต่างจากการขืนใจอีกคนเลยไม่ใช่หรือไง?

สมควรแล้วล่ะที่จะโดนไล่ สมควรแล้วที่ไอ้ตี๋มันจะไม่อยากเจอหน้าผมอีก ก็ใครใช้ให้เผลอทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับมันอย่างไม่น่าให้อภัย

จะทำให้มีความสุขอะไรกัน... นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังกลับกลายเป็นคนหยิบยื่นความเจ็บปวดให้มันเสียเอง

“ถามจริง พี่กับพี่โชมีเรื่องอะไรกัน” ไอ้นายกระชากผมออกจากภวังค์เอ่ยคำถามเดิมที่ไม่ได้คำตอบมาหลายวัน

“มึงเจอมันหรือเปล่า” วันนี้ก็เหมือนกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่อะไรที่จะบอกให้คนภายนอกรับรู้ ไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องน่าอาย แต่เพราะกลัวอีกคนจะเสียหาย ต่อให้อึดอัดแทบตายก็บอกใครไม่ได้ ปรึกษาใครไม่ได้เลย

“เจอ” ไอ้นายถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผม “แต่พี่โชไม่ได้อธิบายอะไร แค่บอกว่าคืนนี้มาทำงานไม่ได้ ให้มิ่งมาอยู่กะแทน” ผมเหลือบสายตามองเจ้าของชื่อที่กำลังรับออเดอร์จากลูกค้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์อย่างไม่รู้จะทำยังไง

อยากเจอ... อยากขอโทษ... อยากกอด อยากบอกความรู้สึกตัวเองออกไป... แต่จะกล้าไปสู้หน้ามันอีกได้ยังไง ในเมื่อการกระทำของอีกฝ่ายก็ย้ำชัดแล้วว่ายังไม่ให้อภัย

บางทีมันอาจจะเกลียดผมไปแล้วด้วยซ้ำ

“พี่ซัน” ไอ้นายเรียกชื่อผมอีกครั้ง น้ำเสียงมันจริงจังเมื่อผมยังไม่ยอมบอกอะไร “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” คราวนี้คำถามยิ่งเจือปนไปด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ

“...”

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างพี่โชที่ถึงขนาดทำงานจนเป็นลมคาร้าน จะขาดงานไปโดยไม่มีเหตุผล”

“...”

“แล้วสภาพพี่สองคนตอนนี้แม่งโคตรทำให้ผมเป็นห่วงเลย”

“มันเป็นยังไงบ้าง” ผมเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามแทนที่จะตอบคำถามอีกครั้ง

“แย่” ไอ้นายเบ้หน้า ให้คำจำกัดความ้พียงคำเดียว “พี่เองก็ไม่ต่าง”

“กูไม่ได้เป็นอะไร”

“ที่พูดเนี่ยส่องกระจกหรือยัง” เป็นคำพูดเหน็บแนมที่ปกติผมคงด่ากลับไป แต่คราวนี้กลับไม่คิดต่อปากต่อคำ เพราะลึกๆ รู้ดีว่าตัวเองกำลังแย่แค่ไหน ในใจมันอัดอั้นเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกำลังควบแน่นอยู่ในนั้นรอวันระเบิดออกมา

“กูไม่เป็นไร” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนยันคำโกหกเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง ถอนหายใจหนักๆ อีกครั้งพลางลุกขึ้นยืน หยิบบางอย่างออกมาจากในกระเป๋ายื่นให้ไอ้นายเหมือนทุกวัน

หลอดยาเล็กๆ ที่ตั้งใจซื้อมาให้ เพราะจำได้ดีว่าเท้าที่โดนโจ๊กร้อนๆ ลวกของไอ้ตี๋มันแดงแค่ไหน ตอนนั้นผมตกใจแทบตาย แต่ไอ้ตี๋กลับนิ่งเฉย และมองผมด้วยสายตาเย็นชา... สายตาที่ทำเอาผมตัวชาไม่ต่างกัน

รู้ว่ามันผ่านมาตั้งหลายวันแต่ก็อดห่วงไม่ได้... ผิวบอบบางขนาดนั้นถ้าเป็นรอยแผลเป็นขึ้นมาจะทำยังไง

ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่มีทางรับผิดชอบได้ เหมือนกับความรู้สึกที่เสียไป ผมไม่รู้เลยว่าจะใช้อะไรบรรเทาความเจ็บปวดที่คงจะฝังลงไปในหัวใจของมันไม่ต่างจากรอยแผลเป็น

“ขอโทษนะพี่” ไอ้นายปฏิเสธ ก่อนจะหันไปหยิบหลอดยาอีกสามหลอดมาวางให้ตรงหน้า

ผมได้แต่แค่นยิ้มอย่างสมเพชตัวเองจับใจ ก่อนจะโยนยาอีกหลอดลงไปในกองความหวังดีที่อีกฝ่ายไม่ต้องการ

“พี่ซัน” กำลังจะหมุนตัวเดินออกจากร้านมาแต่ว่าเสียงเรียกจากไอ้นายก็ทำให้หยุดฝีเท้าตัวเองไว้ “ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกพี่มีปัญหาอะไร”

“...” ไม่ได้หันกลับไปมอง แต่ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของมัน

“แต่พี่รู้ตัวแล้วใช่มั้ย”

“...” น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ามันจับได้มาตั้งนานว่าผมรู้สึกยังไง

“รู้แล้วใช่มั้ยว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร”

“...”

“รู้หรือยัง ว่าสิ่งที่พี่ทำให้พี่โช... มันไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาทำกัน”

คราวนี้ผมหันไปตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ...ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทุกความรู้สึกที่ค่อยๆ เผยตัวในทุกวินาทีตอกย้ำว่าผมโง่และขี้ขลาดแค่ไหน

เพราะที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัว แต่ไม่เคยยอมรับต่างหาก

เอาแต่หลอกตัวเองอยู่ได้... ทั้งที่ทุกอย่างออกจะชัดเจน




ผมชอบผู้หญิง และคิดว่าตัวเองยังชอบผู้หญิงมาตลอด

เพราะแบบนั้นถึงได้ตกใจที่อยู่ๆ วันหนึ่งตัวเองก็เผลอใจมองผู้ชายขึ้นมา

ไม่ได้รังเกียจ... เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไม

ตอนแรกคิดว่าเพราะไอ้ตี๋มันหน้าตาน่ารัก มองทีไรก็ไม่อยากละสายตา แต่ยิ่งได้รู้จัก ก็รู้ว่ามันมีอะไรที่มากกว่าหน้าตา นิสัยปากร้ายแต่ใจดี ชอบตีหน้าบึ้งใส่ แต่ผมก็รู้ว่ามันจริงใจกับผมแค่ไหน กับคนอื่นที่มักจะปั้นหน้ายิ้มให้ เหมือนเสแสร้งแต่ผมก็รู้ว่ามันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่เพียงปกป้องตัวเองไม่ให้กลับไปอยู่ในวันร้ายๆ แบบที่เคยเจอ

เป็นคนที่ภายนอกดูสดใส แต่ในแววตากลับฉายความเหงา... ความเศร้าที่ผมไม่อาจสัมผัสได้

คิดมาตลอดว่าเพราะแบบนั้นก็เลยสงสาร รู้สึกผิดที่เคยอยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่กลับไม่เคยสนใจ ไม่เคยช่วยอะไรมันได้ ซ้ำยังเป็นส่วนหนึ่งในสาเหตุของปมในใจที่จนป่านนี้ก็ยากที่จะบอกได้ว่าหายดีหรือยัง

รู้สึกผิด อยากจะรับผิดชอบ อยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข จนพยายามพาตัวเองเข้าไปหลังเส้นที่มันขีดไว้...กระทั่งหลงลืมเจตนาที่ตั้งใจ พอได้เข้าใกล้ ก็ยิ่งอยากจะใกล้มากกว่า ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าขาตัวเองตกลงมาในหลุมลึกที่ยากจะกลับหลัง

นานวันก็ยิ่งรู้ว่าความรู้สึกมันไปไกลกว่าแค่สงสาร หรือรู้สึกผิด... ยังมีอีกหลายอย่างปะปนอยู่ในนั้น

ชัดเจนขึ้นทุกวันจนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป

อยากเจอหน้า อยากได้ยินเสียง อยากกวนตีนให้มันถอนหายใจใส่ซ้ำๆ ยิ่งถูกตีหน้าบึ้งใส่ก็ยิ่งชอบใจ... เพราะมันทำให้รู้ว่าพอไอ้ตี๋ยิ้มให้ หัวใจของผมเต้นแรงขนาดไหน... รอยยิ้มที่มีอิทธิพลกว่าที่ตัวเองเข้าใจ ได้เห็นครั้งหนึ่งก็เฝ้ารออยากจะเห็นครั้งต่อไป

และถ้าเป็นไปได้... ก็อยากจะครอบครองรอยยิ้มนั้นไว้แค่คนเดียว

ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดที่ถูกเก็บงำไว้ในส่วนลึกของหัวใจ จนกระทั่งคืนนั้น...

คืนที่กำแพงของผมพังทลาย เหมือนกล่องแพนโดร่าที่ถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย เพียงเพราะสัมผัสเดียว

สัมผัสที่ลึกล้ำเกินตั้งใจ ทว่าหอมหวานกว่าที่เคยจินตนาการ เหมือนก้าวเข้าไปยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความจริงกับความฝัน สุขสมเหมือนได้ขึ้นสวรรค์... แต่ในขณะเดียวกันก็ทรมานด้วยรสชาติของความจริง

ความจริงที่ว่านั่นไม่ใช่สวรรค์ที่คนเห็นแก่ตัวอย่างผมจะอาจเอื้อม

ทั้งที่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่านี่คือผลของสิ่งที่ตัวเองทำ แต่เอาเข้าจริงมันก็ยากที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าการกระทำทุกอย่างที่อยู่เหนือความยับยั้งชั่งใจ... ล้วนเกิดจากความต้องการลึกๆ ของหัวใจตลอดมา

ยิ่งทบทวนก็ยิ่งรู้ว่าสิ่งเดียวที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำได้ คือการกระชากความรู้สึกที่เคยซ่อนไว้ในใจออกมาอย่างไร้การปิดบัง ดังนั้นผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เวลาย้อนกลับได้ ผมก็คงจะทำมันลงไปอีก โดยไม่คิดจะไตร่ตรองใดๆ ...

ปล่อยให้ไฟปรารถนาควบคุมร่างกายอย่างสิ้นเชิง

“หมดสภาพเลยนะมึง” เสียงเพื่อนรักเอ่ยทักทายหลังจากที่ผมเปิดระตูให้และถูกมองหัวจรดเท้าอย่างระอาใจ

“มึงมาทำไม” ถามขณะเดินนำเข้ามาในห้องทิ้งตัวนั่งบนโซฟาใหญ่ที่ใช้ซุกหัวนอนต่างเตียง

เพราะเคยชินกับการนอนบนโซฟาแคบๆ จากห้องของอีกคน พอต้องกลับมานอนห้องตัวเอง ถึงได้ใช้มันเป็นตัวผสานความรู้สึกให้เหมือนได้อยู่ในห้องนั้นอีกครั้ง

“น้องนายบอกให้ช่วยมาตาม” ไอ้ตรีว่าพลางขยับเข้ามายืนกอดอกค้ำหัวกัน “มึงเป็นอะไร ทำไมไม่ไปทำงาน”

“กูป่วย” ตอแหลตอบไป ก่อนจะจับชายผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวไว้ กดเลื่อนช่องทีวีที่นั่งจ้องมาทั้งวันแต่ไม่ได้โฟกัสอะไร จนมาหยุดอยู่ตรงช่องที่ฉายหนังที่เคยชอบพอดี

Love Rosie...

รีบปิดทันทีพร้อมกับโยนลงไปในลิสต์ของหนังที่ไม่คิดจะดูอีกต่อไป ไม่ใช่แค่เพราะพระเอกแม่งโง่ชิบหาย แต่เพราะมันเตือนให้นึกถึงคนที่กำลังทรมานผมด้วยความคิดถึงแทบบ้าตาย

“เมาเหรอ?” มันถาม ยื่นหน้าเข้ามาดมตัวผมก่อนจะถอยกลับไป “ก็ไม่ได้กลิ่นเหล้านี่หว่า”

เออ จะได้กลิ่นได้ไง ยังไม่ได้แตะแอลกอฮอล์เลย

แตะไม่ได้ เมาไม่ได้... ถ้ากินเข้าไปต้องใช้เป็นข้ออ้างเพื่อไปหาแน่

ถึงอยากเจอหน้าแค่ไหนก็ต้องห้ามใจไว้ ไม่อยากถูกเกลียดยิ่งกว่าเดิม ไม่อยากถูกผลักไสไปตลอดกาล... ถ้าเป็นแบบนั้นคงได้ตายจริงๆ

“น้องบอกว่ามึงกับโชมีปัญหากัน ปัญหาอะไร?” ถูกยิงคำถามนี้อีกครั้ง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง

“...”

“ไอ้ซัน”

 “มึงกลับไปได้แล้วไป ไม่งั้นกูจะฟ้องพี่เชนว่ามึงมาอ่อยกูถึงห้อง” พอตอบไม่ได้ผมเลยงอแง

“พี่เชนรออยู่ข้างล่าง” แต่ไอ้ตรีกลับไม่สะทกสะท้าน

“...”
   
“ฝากมาบอกมึงด้วยว่าอย่าโง่นัก” ด่าหน้าตายก่อนจะเบียดลงมานั่งข้างปลายเท้าผม กอดอกมองมาอย่างไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้คำตอบ

“ทีนี้บอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ไม่รู้ว่าพอคบกับพี่เชนแล้วซึมซับความโหดมาหรือยังไง ออร่าความน่ากลัวของไอ้ตรีถึงได้เหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเลเวล

“ไม่มีอะไร” แต่ผมก็ยังดื้อด้านดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงหนีปัญหามันซะเลย

ต่อให้เป็นไอ้ตรี ก็ไม่รู้จะอธิบายถึงสิ่งที่ตีรวนอยู่ในหัวผมจนยุ่งเหยิงยากจะเข้าใจนี่ยังไง

“ไอ้ซัน กูเพื่อนมึงนะ”

“...”

“โชก็เพื่อนกูเหมือนกัน”

“มันเป็นไงบ้าง... กลับมาทำงานหรือยัง?” พอได้ยินชื่อคนที่คิดถึงอยู่ทุกวัน ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

“ยัง” มันตอบก่อนจะถอนหายใจ “เหมือนจะไม่สบาย”

ผมชะงักไป ก่อนจะโงหัวขึ้นมามองหน้าคนส่งสารอย่างต้องการคำอธิบาย “มันเป็นอะไร”

ไอ้ตรีส่ายหน้า “ไม่รู้ ที่แน่ๆ คงไม่ได้ป่วยการเมืองแบบมึง”

ผมไม่ได้สนใจคำประชดประชัน หัวใจกำลังสั่นไหวจนสัมผัสได้

ทั้งที่ผมถอยออกมาเพราะกลัวว่าการทู่ซี้ไปรอเจอหน้ามันจะทำให้ไอ้ตี๋ไม่สบายใจ แล้วนี่อะไร ทำไมถึงมีข่าวว่าไม่สบายกายขึ้นมาอีกวะ

“ไอ้ตรี” ผมลุกขึ้นมานั่ง ยกมือกุมขมับอย่างไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

แค่คิดว่ามันกำลังไม่สบายทั้งกายทั้งใจ ก็เริ่มทรมานในอกขึ้นมาอีกแล้ว “มึงไปหามันหน่อยได้มั้ย”

“...”

“ไปดูมันให้กูที”

อย่างน้อยถ้าเป็นไอ้ตรี ก็คงไม่ถูกผลักไส ดีไม่ดีมันอาจจะมีกำลังใจ หายป่วยไวขึ้นก็ได้... ใช่มั้ย?

“ไม่เอา” แต่คำขอร้องของผมกลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้นทำไมไม่ไปดูเอง”

ไอ้ตรีขมวดคิ้วมองมาอย่างไม่เข้าใจ เมื่อผมส่ายหน้า สบตากลับไปด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย

“กูไปไม่ได้... ยังไปตอนนี้ไม่ได้”

“ไอ้ซัน...” คงเพราะจับอะไรได้จากแววตา สีหน้าไอ้ตรีถึงได้เปลี่ยนไป “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

คราวนี้มันไม่ได้ใช้น้ำเสียงคาดคั้น แต่กลับแสดงความเป็นห่วงชัดจนผมเงียบไป

“กู...” สีหน้าที่ทำให้ผมไว้ใจ และยอมสารภาพสิ่งที่อึดอัดอยู่ในใจมาหลายวันให้ฟัง “กูเผลอทำไม่ดีกับไอ้ตี๋”
   
“เรื่องไม่ดีอะไร?”

“กูทำเรื่องฝืนใจมัน”

“เรื่องฝืนใจ? หมายถึง...”

“...”

“ไอ้ซัน!” คงเพราะเป็นเพื่อนกันมานาน ถึงไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น แค่สบตากันไอ้ตรีก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร มันเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“กูไม่ได้ตั้งใจ... ไม่สิ กูตั้งใจ” ผมพูดกลับไปมา พร้อมกับยกมือกุมขมับอีกครั้งอย่างสับสนในตัวเอง “วันนั้นกูเมา แต่กูมีสติ มึงเข้าใจมั้ย”

“...”
   
“กูรู้ว่ากูทำอะไร แต่กูควบคุมไม่ได้... ไม่ได้อยากควบคุมด้วยซ้ำ”

“มึงทำ... จริงๆ เหรอ?” ไอ้ตรีเหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด ถึงได้ถามย้ำ และผมก็ยืนยันด้วยการพยักหน้าตอบไป

“ทั้งที่เขาไม่เต็มใจเหรอ?”

“...” คราวนี้ผมตอบไม่ได้

ไม่รู้ว่าการไม่ขัดขืนคือความเต็มใจมั้ย รู้แต่ว่าสายตาที่มันมองผมหลังจากตื่นขึ้นมามีแต่ความเจ็บปวดแค่ไหน เป็นสายตาแบบที่ผมบอกตัวเองมาตลอดว่าไม่อยากเห็น ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นต้นเหตุเสียเอง

ทั้งที่เฝ้าถะนุถนอมมาตั้งนาน แต่กลับเป็นคนทำร้ายมันอย่างไม่น่าให้อภัย

“แล้วทีนี้จะทำยังไง” ไอ้ตรีขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ได้ คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันเหนือความคาดหมาย

“กูไม่รู้” ผมถอนหายใจเบาๆ “กูอยากรับผิดชอบความรู้สึกไอ้ตี๋... แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง มันไม่ให้โอกาสกูได้อธิบายอะไรเลย” ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ อย่างจนปัญญา นึกถึงคำพูดทุกคำที่ไอ้ตี๋พูด แล้วรู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“มึงจะอธิบายอะไร?”

“...”

“มึงทำแบบนั้นลงไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะเมา” ไอ้ตรีขมวดคิ้วถามอย่างคาดคั้น ด้วยสีหน้าหนักใจ คงเพราะผมเอาแต่พูดวกไปวนมาอย่างหาทางออกไม่ได้ มันถึงพยายามจะช่วยกระตุ้นให้

“กู...อยากรู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมัน” ผมเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะสารภาพออกไปตามตรง รู้สึกหมดหนทางจนต้องยื่นมือออกไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคน

“...”

“มึงก็เห็น... หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับไอ้ตี๋... มันแปลก... เป็นความแปลกที่กูคิดว่าเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย มึงเข้าใจกูมั้ย”

“เข้าใจ” ไอ้ตรีขยับเข้ามาใกล้ ตบบ่าผมเบาๆ สายตาที่มองมาบ่งบอกว่าไม่ได้ตอบไปงั้นๆ มันเข้าใจจริงๆ และอาจจะเข้าใจตัวผมมากกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ

“กูไม่ได้รังเกียจนะ แต่ไม่รู้ว่ะ กูไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความรู้สักตัวเองได้”

“...”

“กูสับสน อยากรู้ว่ามันคืออะไร อยากแน่ใจ...” ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองอย่างเหนื่อยหน่ายอีกครั้ง ขณะพรั่งพรูความรู้สึกออกไปอย่างไม่คิดปิดบัง

“แล้วมึงแน่ใจหรือยัง”

คำถามของไอ้ตรีทำให้ผมชะงัก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “แน่ใจ ไม่เคยแน่ใจเท่านี้มาก่อนเลย”

“...”

“กูควรทำยังไงดี ตอนนี้กูไม่รู้แล้วว่าจะสู้หน้ามันยังไง” ความผิดที่ทำไว้ มันเลวร้ายจนตัวเองยังไม่อยากจะให้อภัย

“แล้วมึงจะหนีแบบนี้ต่อไปเหรอ?”

“...”

“ทนได้เหรอถ้าไม่ได้เจอหน้าอีก”

ผมส่ายหน้ารัวโดยไม่ต้องหยุดคิด “ไม่ได้... แบบนั้นกูคงไม่ไหว”

แค่ตอนนี้ก็ทรมานจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

“งั้นคำตอบมันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” มันว่า มองหน้าผมแล้วส่งยิ้มจางๆ มาให้ด้วยสายตาที่เหมือนจะช่วยชี้ทางออกจากเขาวงกตอันซับซ้อนนี้ให้...

ทางออกที่อยู่ตรงหน้าผมมานานแต่ไม่ยอมก้าวออกไป เหมือนเด็กขี้ขลาดที่ถ้าไม่มีคนดันหลังก็จะไม่ยอมเดินหน้าไปไหน

“ไอ้ตรี”

“...”

“กูรักไอ้ตี๋ว่ะ... รักจริงๆ” ยอมจำนน สารภาพหมดเปลือกอย่างไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก

พอได้ยินแบบนั้นไอ้ตรีก็หัวเราะเบาๆ “รู้แล้ว คนเขาดูออกกันทั้งบาง มีแต่มึงนั่นแหละที่งั่ง ไม่รู้ใจตัวเองสักที”
ผมยิ้มออกมาบ้าง นึกขำในความโง่เง่าของตัวเอง

“มีคนนึงที่ยังไม่รู้” แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วอีกครั้งด้วยความหวั่นใจ “กูบอกมันได้มั้ย?”

“...”

“ถ้าขอโอกาส มันจะให้กูหรือเปล่า”

“มาถามกูแล้วได้อะไร”

“กูกลัว... กลัวว่ามันจะยังตัดใจจากมึงไม่ได้ กลัวว่ามันจะยังไม่อยากมีใคร... กลัวว่าถ้าสารภาพออกไป แล้วมันจะหนีกู...”

ไอ้ตรีมองหน้าผมนิ่งพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจ

“มึงรู้มั้ยว่าทำไมกูถึงกลับมารู้สึกสบายใจกับโชได้”

ผมส่ายหน้า ไม่แน่ใจว่ามันยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดทำไม แต่ก็รอฟัง คงเพราะรู้ว่าคำพูดของมันจะยืนยันบางอย่างให้ผมมั่นใจ

“เพราะมึงไง”

“...”

“เพราะมีมึงกูถึงเห็นโชยิ้มได้ เพราะมีมึงกูถึงมั่นใจว่าโชจะตัดใจจากกูได้”

“...”

“คราวนี้ก็เหมือนกัน ถึงมึงจะเผลอข้ามขั้นไปหน่อย แต่ตอนนี้มึงรู้ใจตัวเองแล้ว กูเชื่อว่ามึงจะแก้ไขทุกอย่างได้”

“...”

“บนโลกนี้ ถ้าไม่ใช่มึงกูก็นึกไม่ออกแล้วว่าใครจะทำให้โชมีความสุขได้อีก... มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ย”

ผมนิ่งไปนาน ก่อนจะพยักหน้าเมื่อคิดตามได้ ไอ้ตรีจึงยิ้มบางๆ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสบายใจ

“ทีนี้มึงได้คำตอบหรือยังว่าต้องทำยังไงต่อไป”

“อืม” คราวนี้ผมตอบได้อย่างง่ายดาย เพราะมีคำตอบเดียวที่อยู่ในใจ

เดิมที... มันคือสิ่งที่ผมพยายามทำมาตลอด เพียงแต่วิธีการมันยังไม่ใช่... แต่คราวนี้สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ มันต่างออกไป
ไม่แน่ใจหรอกว่าตัวเองจะแก้ไขทุกอย่างได้เหมือนที่ไอ้ตรีพูดมั้ย ไม่แน่ใจสักนิดว่าไอ้ตี๋จะให้อภัย

แต่สาบานว่าผมจะทำทุกทางเท่าที่จะทำได้

หลังจากนี้ผมจะทำให้ไอ้ตี๋มีความสุขให้ได้... ด้วยตัวผมเอง







----------------------------------------------------------------
เขียนตอนนี้แล้วก็ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าซันนี่มันหลงตี๋จริงๆ นะ
หลงขนาดนี้ทำไมไม่รู้ตัววะ 55555

ตอนแรกตั้งใจจะอัพอาทิตย์ละตอน เพราะกำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน
แต่เอาเข้าจริงก็ค้างเองจนต้องรีบมาเขียนต่อซะงั้น ฮืออ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ
ตอนหน้าจบพาร์ทหลังตะวันแล้ววว มานับถอยหลังรอกินของหวานกันเถอะค่ะ 55555

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่เป็นกำลังใจให้เสมอมานะคะ ^^

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ไปค่ะซันนนน จัดการ !!  :hao7:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
รีบไปง้อเรวๆเลยซัน
เรื่องแบบนี้ปล่อยไว้นานไม่ดี

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
รู้ใจตัวเองสักทีนะ ไปง้อเร็ววว

ออฟไลน์ Preenp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โอยยย ซันรีบไปหาโชเลยยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ xxhelloworld

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ซัน! วิ่งดิซันวิ่งงงงง!  :z3:

ออฟไลน์ ▲TEACHCHY▼

  • ★ U can call me TEACH ★
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เราเคยอ่านเชนตรีเมื่อนานมาแล้วเลยไม่คิดว่าจะมีภาคต่อของคู่นี้
ทั้งที่ชื่อเรื่องก็คล้ายไหนจะ #ซันโช นั่นอีกทำไมเราไม่เอ๊ะใจเลยนะ
เกือบพลาดแล้วไหมล่ะ :katai1:

เราติดตามนะคะ แม้จะเข้ามาอ่านช้าไปนิด
สนุกดี ชอบตอนจูบกันมากกก ซันมันต้องหลงตี๋มากๆแน่เลย
ขอให้ถึงเวลาหวานเร็วๆ อิอิ
น้องตี๋น่ารัก เรื่องสังคมโซเชี่ยวที่น้องกำลังเจออยู่นี่ทำเรารู้สึกแย่มากเลยค่ะ
อินมาก คือไม่เคยโดนหรอกแต่เห็นบ่อยมาก
คือที่พิมพ์ๆว่าเขาน่ะไม่รู้หรอกว่าทำร้ายเขามากขนาดไหน  :angry2:

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลังตะวัน : 6

   
รู้แล้วว่าต้องทำยังไง แต่มันง่ายที่ไหน แค่ควานหาคำทักทายในหัวยังไม่เจอเลย
   
ผมควรเริ่มยังไงดี
   
ผมเดินวนไปวนมาอยู่หน้าหอไอ้ตี๋ มองขึ้นไปยังระเบียงห้องบนชั้นที่จำได้ดีว่ามีคนที่อยากเจออยู่ในนั้น แสงไฟจากในห้องส่องสว่างชัดมาจนถึงระเบียงเมื่อพระอาทิตย์บอกลาท้องฟ้าไปแล้ว วันนี้ไอ้ตี๋มีเรียนแค่ครึ่งวัน และปกติตอนนี้ก็คงจะเตรียมตัวไปทำงาน แต่ไอ้ตรีเพิ่งบอกว่ามันไม่สบาย... บางทีอาจจะนอนซมอยู่บนเตียงทั้งวัน ด้วยความดื้อด้านของมันที่ถ้าไม่อาการหนักจริงๆ ก็คงไม่ไปโรงพยาบาล
   
เวร ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรน ใจแม่งเข้าไปอยู่ในห้องแล้ว แต่เท้ามันไม่ยอมก้าวไปไหนสักที
   
ปกติผมขี้ขลาดขนาดนี้เลยเหรอวะ ให้ตาย!
   
ผมเดินวนไปวนมาอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ขยำหัวตัวเองจนใกล้พัง ก่อนจะถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อยแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน กุญแจกับคีย์การ์ดสำรองที่เคยจิ๊กไว้ยังคงมีประโยชน์จนกระทั่งผมเดินออกจากลิฟต์และเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องอันคุ้นเคย
   
รู้ดีว่าไม่ควรถือวิสาสะไขเข้าไป จึงได้แต่เคาะแล้วถอยออกมา
   
“...”
   
ยืนรออยู่นานแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีคนเปิดประตู
   
ก๊อกๆๆ
   
ตัดสินใจเคาะอีกครั้งด้วยความดังที่มากกว่าเดิม 

และคราวนี้ในความเงียบงันผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากอีกฝั่งของประตู
   
หัวใจมันเต้นรัวตามระยะห่างของเงาที่เข้าใกล้มา แต่แล้วก็เหมือนจะหล่นวูบลงไปเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ายืนนิ่ง ค้างอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน
   
“ตี๋” และเมื่อได้ยินว่าคนอีกฝั่งขยับ แสงที่ลอดผ่านบานประตูเริ่มวูบไหวอีกครั้ง ผมก็เรียกรั้งเอาไว้ก่อนที่มันจะหนีไป

“กูรู้นะว่ามึงอยู่ตรงนี้” มองที่ตาแมว และคิดว่าคนข้างในก็อาจจะกำลังใช้มันมองมายังผมเช่นกัน แม้จะไม่ยอมตอบอะไรกลับมาสักคำก็ตาม
   
“ไหนมึงบอกจะรอคำตอบไง” อ้างคำพูดของมันที่เคยทิ้งไว้ในวันสุดท้ายที่เจอกันขึ้นมา หวังว่าจะเป็นประเด็นที่ใช้ในการรั้งมันเอาไว้ได้

“...”

“ไหนบอกจะให้กูเลือก ว่าจะให้ลืมเรื่องคืนนั้นไป หรือจะไม่มาเจอหน้ามึง”
   
“...”
   
“แล้วทำไมถึงเป็นฝ่ายหนีไปเอง” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงถึงความโกรธหรือไม่พอใจ แต่เจือไปด้วยความน้อยใจชัดเจน
   
“...”
   
แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ยังคงเงียบสนิท

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ บอกตัวเองว่าไม่ควรเร่งเร้า ก่อนจะก้าวถอยหลัง วางกุญแจสำรองห้องมันไว้ที่หน้าประตู
   
“วันนี้มึงจะไม่เปิดก็ได้ แต่พรุ่งนี้กูจะมาใหม่...”

“...”

“จะมาทุกวันจนกว่ามึงจะยอมฟังคำตอบจากกูจริงๆ” ตั้งใจจะให้เห็นเจตนาว่าต่อให้ผมไขเข้าไปเองได้ แต่ผมพร้อมจะรอ... รอให้มันเป็นฝ่ายเปิดรับผมเข้าไปอีกครั้ง เหมือนกับคราวที่มันยอมให้ผมก้าวเข้าไปเข้าใจความเศร้าของมันอย่างเต็มใจ
   
แกรก
   
ไม่คิดว่าจะได้ผล จนกระทั่งหมุนตัวทำท่าจะกลับ เสียงลูกบิดที่รอฟังก็ดังขึ้นเรียกให้ผมชะงักฝีเท้าหันกลับไปมอง
   
หัวใจเหมือนจะรัวกลองได้ตอนที่เห็นประตูค่อยๆ เปิดออก แต่เพียงแวบเดียวก็คล้ายกับใจจะสลาย ตอนที่เห็นว่าเจ้าของใบหน้าที่ผมกำลังโหยหามีสภาพย่ำแย่แค่ไหน... ร่างกายที่ดูผอมบางอยู่แล้วยิ่งดูซูบลงกว่าครั้งล่าสุดที่เจอจนสังเกตได้ ดวงตาใต้กรอบแว่นหนาดูบวมแดง และใบหน้าขาวก็ซีดเซียวดูไร้เรี่ยวแรงจนน่ากลัวว่าจะล้มพับลงไป

ไอ้ตี๋ไม่สบายอย่างที่ไอ้ตรีว่าจริงๆ
   
“ตอบมาสิครับ” ผมแทบไม่ได้สนใจประโยคที่เอ่ยออกมา สนแต่ว่าเสียงของมันแหบแห้งขนาดไหน ในใจคิดแต่ว่าอยากกอด อยากเข้าไปใกล้ๆ... อยากจะทำอะไรให้มันกลับมาสดใสได้เหมือนเดิม
   
แต่แค่จะยื่นมือออกไปแตะหน้าผากวัดอุณหภูมิร่างกายยังไม่กล้า
   
ผมแม่ง โคตรขี้ขลาดเลยจริงๆ
   
“ตี๋” ผมครางชื่อมันเสียงแผ่ว คิ้วขมวดแน่นมองเจ้าของดวงตาคู่สวยที่โหยหามาหลายวัน

“มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะครับ” แต่มันกลับหลบสายตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบที่ไม่เคยได้ยิน

ถึงปกติมันจะไม่ได้พูดดีๆ กับผมนัก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป... กลายเป็นน้ำเสียงที่แสดงความผลักไสอย่างชัดเจน

“โกรธกูขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมยิ้มขืนๆ กับตัวเอง ก่อนจะถามออกไป หัวใจทวีความปวดหนึบขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าของมัน

“เกลียดกูมากเลยใช่มั้ย?”

“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ก็กลับไปเถอะครับ” ว่าจบก็ทำท่าจะเดินเข้าห้องไป แต่ผมก็ไวพอที่จะรั้งแขนมันไว้ และสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ผิดปกติชัดเจน

ไม่ได้ร้อนจัดถึงขนาดมีไข้ แต่ก็สูงกว่าคนทั่วไปจนรับรู้ได้ผ่านฝ่ามือ

“ได้ยินว่ามึงไม่สบาย” ผมยอมปล่อยมือออกเมื่อเจ้าของแขนบางหันกลับมามองด้วยสายตาที่ทวีความเย็นชา แต่ก็ยังสู้สบสายตาเพื่อให้รู้ว่าผมมาด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง

“ครับ” มันตอบ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวและมือข้างหนึ่งยังจับอยู่ที่ประตู “ผมอยากพักผ่อน ช่วยกลับไปก่อนเถอะครับ”

“ตี๋ อย่าหนีกูแบบนี้” พอมันทำท่าจะหนี ผมก็ยื้อต่ออีกครั้ง ไอ้ตี๋จึงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

“ผมเปล่าหนี”
   
“แล้วที่ทำอยู่นี่อะไร”

“...” คราวนี้มันชะงักไป ให้คำตอบไม่ได้ เพราะเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการหลบหน้าผมจริงๆ

“กูขอโทษ... ขอโทษจริงๆ แต่อย่าหลบหน้ากูแบบนี้” เอ่ยคำเดียวที่วนอยู่ในใจเป็นพันๆ ครั้งพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือออกไปจับต้นแขนที่ผ่ายผอมจนแทบจะกำได้มิดในมือเดียว

“...”

“ให้กูรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำได้มั้ย”

“พอได้แล้วครับ” มันถอนหายใจหนักๆ ออกมา มองมือของผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
คล้ายจะโกรธ แต่ก็ดูสับสน ไม่เข้าใจ และแฝงไปด้วยความเจ็บปวดลึกๆ ข้างใน

“ที่ผมพูดไปคราวก่อนไม่เข้าใจเลยเหรอ”

“...”

“คุณจะรับผิดชอบยังไง คบกับผมงั้นเหรอ? หรือว่าแต่งงาน” มุมปากบางแสยะยิ้ม ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนตัวเองออกจากมือผมไป “ก่อนจะพูดออกมา คิดบ้างหรือเปล่าครับว่ามันหมายความว่ายังไง”

“...”

“รับได้แล้วเหรอครับที่ตัวเองมีอะไรกับผู้ชาย”

“ตี๋” ผมขมวดคิ้วเรียก หวังให้มันหยุดประชดประชัน

“รับได้เหรอครับที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักตลอดไป” แต่ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าก็ยังมองผมแล้วยิ้มหยัน ก่อนทำท่าจะถอยหลังเดินเข้าห้องไป

“...”

“ถ้ารับไม่ได้ ก็อย่าขอรับผิดชอบอะไรเลย” ประตูกำลังจะปิดลง และผมก็รู้ว่ามันคงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะพูดในสิ่งที่ตั้งใจ จึงรีบยื่นมือออกไปกันไว้ โดยไม่สนใจว่าบานไม้สีขาวจะหนีบเข้าที่แขนเต็มๆ

กึก!

“คุณซัน!” ไอ้ตี๋เปิดประตูออกมาอีกครั้ง สีหน้าตื่นตระหนกขณะดึงมือของผมขึ้นมาสำรวจบาดแผล แต่มันไม่ได้เจ็บอะไร ถึงจะขึ้นรอยแดง แต่ผมไม่คิดจะใส่ใจ เพราะมีสิ่งอื่นที่อยากพูดออกไปจนทนไม่ไหว

“รัก”

“...” คนตรงหน้าชะงัก ละสายตาจากแขนมามองหน้าผมอย่างงุนงงระคนตกใจ

“ไม่ใช่แค่รับได้... แต่เต็มใจรับผิดชอบเพราะรัก ได้ยินมั้ย” ผมขยับเข้าไปใกล้ เพื่อจะสบตาให้แน่ใจว่ามันจะเห็นความจริงใจของผมได้ชัดเจน

“นี่คุณ...เมาอีกแล้วเหรอ?” แต่คนตัวเล็กกว่ากลับหลบสายตาอีกครั้ง แววตาดูสับสนและหวั่นไหวในเวลาเดียวกัน

“เปล่า ไม่ได้เมา” ผมส่ายหน้ายืนยัน

จะให้พิสูจน์ยังไงก็ได้ แต่ผมแน่ใจว่าตัวเองกำลังมีสติครบถ้วยทุกประการ

“คืนนั้น... ระหว่างเรา กูก็ไม่ได้ทำไปเพราะเมา” คราวนี้ไอ้ตี๋เงยหน้าขึ้นมามองผม สบตาด้วยความไม่เข้าใจ

“พะ...พูดอะไรออกมา” เสียงของมันเริ่มสั่น ก้าวถอยหลังทำท่าจะหนีอีกครั้งแต่ผมก็รั้งแขนมันไว้ อยากจะดึงมากอดด้วยซ้ำแต่ก็รู้ว่ายังทำไม่ได้ จนกว่าจะพูดให้มันเข้าใจ

“ตี๋ ฟังกูนะ ฟังกูก่อน” ผมขอร้อง สบตาดวงตาที่กำลังวูบไหวอย่างเว้าวอน “กูขอโทษที่ทำแบบนั้น ขอโทษที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ... แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างที่ทำเพราะกูตั้งใจ”

“...”

“มันโคตรเห็นแก่ตัวที่กูพิสูจน์หัวใจตัวเองด้วยวิธีแบบนั้น แต่ขอโอกาสให้กูได้มั้ย ให้กูได้แก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำได้มั้ย”

“คุณซัน...”

“ที่มึงให้กูเลือก บอกเลยว่ากูเลือกไม่ได้... ไม่ว่าจะข้อไหนก็เลือกไม่ได้ทั้งนั้น”

“...”

“กูลืมเรื่องคืนนั้นไม่ได้ พอๆ กับทนคิดถึงมึงไม่ได้ ถึงได้หน้าด้านโผล่หัวมานี่ไง”

“ดะ...เดี๋ยว”

“ตี๋...”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรทั้งนั้น!” มันขึ้นเสียง สะบัดแขนออกจากมือผม ถลึงตามองมาด้วยความสับสนจนสะท้อนออกมาในแววตา

“...”

“ตั้งใจจะทำอะไรครับ” คิ้วขมวดเข้าหากัน ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูคล้ายกับจะร้องไห้เต็มทน “กำลังล้อเล่นอะไร”

“ไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้คิดจะล้อเล่นเลยสักนิด” ผมยืนยันด้วยสีหน้าจริงจัง “กูรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่ตอนนี้กูแน่ใจ... แน่ใจยิ่งกว่าอะไร”

“...”

“กูเคยปฏิเสธไอ้ตรี เพราะไม่ได้ชอบผู้ชาย... แล้วดูตอนนี้ดิ คนที่กูตกหลุมรักหัวปักหัวปำดันเป็นผู้ชาย... ดันเป็นมึง” ยิ้มจางๆ อย่างนึกสมเพชที่กลืนน้ำลายตัวเองเข้าอย่างจัง ก่อนจะสบตากับคนตรงหน้าอีกครั้ง ด้วยความจริงใจทั้งหมดที่มี

“กูรักมึง ตี๋”

“นะ... นี่มันอะไรกัน...” แต่พอได้ยินคำสารภาพ ไอ้ตี๋ก็ยิ่งดูตกใจและทวีความสับสนเกินกว่าจะบรรยาย “คุณกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร”

“ตี๋...” ผมกำหมัดแน่น รู้สึกปวดไปหมดทั้งใจเมื่อพบว่ามันไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดออกไป “กูรู้ว่ากูเห็นแก่ตัว กูทำมึงเสียใจ หน้าด้านแค่ไหนที่ยังกล้ามาพูดแบบนี้กับมึง แต่กูไม่อยากเสียมึงไปจริงๆ”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะครับ” มันขมวดคิ้วมองผมด้วยสีหน้าจริงจัง ดวงตาทั้งสองข้างเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

ผมส่ายหน้ารัว ไม่คิดจะหยุดคำพูดที่พรั่งพรูเข้ามาในหัว เพราะหวาดกลัวเหลือเกินว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้าย และถ้าไม่พูดทั้งหมดออกไป ก็คงไม่ได้พูดอีกเลยตลอดกาล

“ให้โอกาสกูนะตี๋ มึงอาจจะยังตัดใจจากไอ้ตรีไม่ได้ หรือมึงอาจจะยังไม่อยากมีใคร แต่กูไม่สนใจอะไรแล้ว กูรักมึง ได้ยินมั้ย”

“พอได้แล้วครับ”

 “กูผิดเองที่ไม่ได้เจอมึงเร็วกว่านี้ ไม่ได้เจอมึงก่อนที่มึงจะรักไอ้ตรี ไม่อย่างนั้นกูคงทำให้มึงรักกูแทนได้ กูมั่นใจ” พูดพล่าม อวดอ้างออกไป ทั้งที่กำลังกลัวจับใจว่าจะถูกผลักไส กลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหลังจากวันนี้

ถ้ามันหนีไปอีก ผมจะทำยังไง

“คุณซัน...”

คงทรมานกว่านี้อีกหลายเท่า... คงคิดถึงจนบ้าตายขึ้นมาจริงๆ

“ตอนนี้มึงอาจจะโกรธกู เกลียดกู แต่อย่าไล่กูไปเลยนะ ให้กูอยู่ข้างๆ เหมือนเดิมได้มั้ย... ให้กูรอก็ได้ นานแค่ไหนก็ได้ แต่กู...!”

กำลังอ้อนวอน ขอร้องอย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ แต่กลับถูกหยุดคำพูดทุกอย่างไว้... ด้วยริมฝีปากของอีกคน
   
ริมฝีปากร้อนจัดที่ทาบทับลงมาแนบสนิท กดเน้นราวกับจะกลืนกินคำพูดทั้งหมดลงไป ทำให้ผมได้แต่ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น

ตกใจ... ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายกลับทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม กับรสจูบชวนฝันที่ไม่ต่างจากคืนนั้น
   
นี่มัน... อะไรกัน
   
“บอกให้หยุดได้แล้วไง” เมื่อถอนริมฝีปากออก คนตัวเล็กก็เงยหน้ามองผมด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย มือบางข้างที่ไม่ได้ถือแว่นไว้กำปกเสื้อผมไว้แน่น คล้ายกับกำลังตกใจ และมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน
   
“โช...” เนิ่นนานกว่าผมจะหาเสียงตัวเองเจอ เผลอเรียกชื่อจริงของมันออกไปแผ่วเบา ในขณะที่คนตรงหน้าหลบสายตาพลางพูดพึมพำ

“ทำไม ใจร้ายขนาดนี้”

“...”
   
“ทำไม...ถึงเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้ครับ” เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยคำถามที่ทำให้ผมเริ่มเข้าใจ ว่ามันมีบางอย่างที่ผิดพลาดไประหว่างเรา
   
ความผิดพลาดที่เกิดจากความโง่และขี้ขลาดของผมเอง

“ผมคิดมาตลอดว่าที่คุณนอนกับผมเพราะเสียใจจากคุณวี... แล้วนี่มันอะไร” แต่ตอนนี้ผมว่าผมเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร... รู้แล้วว่าจูบเมื่อกี้คืออะไร และความเจ็บปวดในแววตาที่ได้เห็นในวันนั้นมันหมายความว่ายังไง...

ไม่ใช่เพราะรังเกียจ... แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิด ที่คิดว่าผมยังรักใครอีกคน

“ผมเอาแต่บอกตัวเองว่าไม่ควรหวัง ไม่ควรรู้สึกอะไรกับคุณ เพราะคุณไม่มีทางชอบผู้ชาย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงได้...”
รู้แล้วว่าไม่ได้มีแค่ตัวเองที่รู้สึกไปอยู่ฝ่ายเดียว

“ตี๋...”
   
“รู้มั้ยครับว่าร้องไห้คนเดียวมันทรมานแค่ไหน...”
   
“...”
   
“แล้วทำไม... ฮึก... ทำไมถึงปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่ตั้งหลายวัน” 
   
“ตี๋” ผมดึงร่างบอบบางเข้ามากอดไว้แน่นเมื่อมันเริ่มสะอื้นไห้ ตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
   
อยู่ๆ หัวใจที่เคยสั่นไหว ก็กลับมาเต้นรัวอีกครั้งเมื่อปะติปะต่อชิ้นส่วนที่ผิดพลาดเข้าด้วยกันใหม่จนได้ภาพที่สมบูรณ์ ความสุขเริ่มเอ่อล้นขึ้นมาในใจ เมื่อไร้การปิดบังหรือความเข้าใจผิดที่ทำให้ต้องเก็บงำความรู้สึกอีกต่อไป
   
“กูไม่ได้รักวีแล้ว ไม่ได้สนใจใครทั้งนั้นนอกจากมึง ได้ยินมั้ย” พูดซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจ ขณะที่คนในอ้อมกอดเริ่มร้องไห้หนักกว่าเดิม
   
“คนใจร้าย... ทำไมถึง... ได้ใจร้ายขนาดนี้” ถูกคาดโทษซ้ำและไม่คิดจะแก้ตัว เพราะรู้ว่ามันเป็นความผิดผมเต็มๆ ที่ไม่ยอมพูดให้คนตรงหน้าเข้าใจ ไม่มีความกล้าพอที่จะอธิบายความรู้สึกตัวเองออกไปตั้งแต่ต้น ปล่อยให้ต่างคนต่างเข้าใจผิดอยู่ได้ตั้งนาน

โง่จริงๆ
   
อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ กับความงี่เง่าของตัวเอง ก่อนจะผละอ้อมกอดออกแล้วโน้มหน้าลงไปหาคนตัวเล็กกว่าจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกัน
   
“ตาช้ำหมดแล้ว” ว่าพลางปาดน้ำตาที่ยังไหลออกมาไม่หยุดออกให้อย่างแผ่วเบา
   
“อย่าร้อง”

“ฮึก...”

“ทำไมขี้แยขนาดนี้วะตี๋” ผมถามกลั้วหัวเราะแต่ยังไม่หยุดเช็ดน้ำตา

“แล้วมันเพราะใคร” เจ้าของดวงตาแดงช้ำเบะปากมองหน้ากัน ทำน้ำเสียงเอาแต่ใจทั้งที่ยังสะอื้นไม่หาย

“ขอโทษ ขอโทษนะ” ผมดึงมันเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง ลูบหลังปลอบประโลมพร้อมกับเอ่ยขอโทษซ้ำๆ อย่างรู้สึกผิดจับใจ จนคนในอ้อมแขนส่ายหัวไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยท่าทางงอแง

“คุณซัน...”

“...”

“ไม่เอาแล้วนะครับ... ไม่เอาแบบนี้แล้ว ไม่อยากทรมานขนาดนี้แล้ว”

“...”

“ผมตัดใจจากตรีได้แล้ว ตัดใจได้ตั้งนานแล้ว ได้ยินมั้ยครับ”

“...”

“เพราะงั้นไม่รอแล้วได้มั้ย ไม่ให้รออะไรทั้งนั้น... ฮึก” แล้วอยู่ๆ ก็กลับมาสะอึกสะอื้นยกใหญ่จนต้องมุดหัวกลับเข้ามาซบอกผมอีกครั้งด้วยความอาย ผมหัวเราะเบาๆ พลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น จับตัวคนขี้แยโยกเบาๆ ก่อนจะกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่ม เอ่ยกระซิบรับคำ

“ไม่รอ... กูก็ไม่อยากรออะไรแล้วเหมือนกัน”

กอดปลอบสลับกับเช็ดน้ำตาให้อยู่อย่างนั้น โดยไม่คิดจะเร่งเร้าใดๆ

ปล่อยให้ร้องไห้จนพอใจ พร้อมสัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ไอ้ตี๋จะเสียน้ำตา





ใช้เวลาอยู่นานกว่าเสียงร้องไห้จะหยุดลง ผมพาไอ้ตี๋เข้ามาในห้องเพื่อพักผ่อน ในขณะที่ตัวเองก็นอนอยู่ข้างๆ ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการพูดคุย บอกสิ่งที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ออกไป เพื่อไม่ให้มีเรื่องที่เข้าใจผิด หรือคิดไปเองอีก พูดออกไปจนแน่ใจว่าไม่เหลืออะไรคั่งค้างอยู่ในใจ ก่อนต่างคนต่างเงียบแล้วเอาแต่นอนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ซึมซับความสุขใจที่เรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงได้โดยไม่เสียอีกคนหนึ่งไป แถมยังได้รู้ว่าที่จริงแล้วใจตรงกันมาตั้งนาน

ดีจริงๆ ที่ตัดสินใจมา

“จูบได้มั้ย?” เอ่ยถามออกไปตามความรู้สึกหลังจากที่ไล่สายตามองใบหน้าใสอยู่นาน ไอ้ตี๋เบิกตากว้างยกมือปิดปากตัวเองไว้แล้วส่ายหน้ารัว

“ไม่ได้ครับ”

“อ้าว” ผมเหวอไป เพราะไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธทันควัน

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ” คนตรงหน้าขมวดคิ้ว สีหน้ายุ่งยากใจ หลบสายตาไปครั้งหนึ่งก่อนจะมองหน้าผมใหม่แล้วเอ่ยพึมพำ

“เดี๋ยวติดไข้”

พอได้ยินเหตุผลผมก็หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ กระซิบเสียงเบา

“ทีเมื่อกี้ยังจูบได้” ยิ้มมุมปาก ทวนความจำของคนป่วยที่ฉวยโอกาสจูบกันเพื่อให้ผมหยุดพูดพล่ามเรื่องไร้สาระ

“อันนั้นมัน...” สายตาหลุกหลิกเหมือนพยายามคิดคำแก้ตัว แต่คงคิดไม่ออก ถึงได้กลับมามองผมด้วยสีหน้าเอาแต่ใจ

“ลงโทษไงครับ” พึมพำทั้งที่ยังเอามือปิดปากตัวเองไว้ จนผมอดไม่ได้ที่จะกัดลงไปบนหลังมือด้วยความหมั่นไส้
ก็จริงของมัน ผมสมควรถูกลงโทษจริงๆ

แต่แค่นั้นมันจะไปพอได้ยังไง

“คุณซัน…!” สบโอกาสตอนที่ไอ้ตี๋ตกใจจนคลายมือออกพร้อมกับอ้าปากเตรียมด่ากันฉกฉวยริมฝีปากลงไปอีกครั้ง...บนริมฝีปากบาง
   
เจ้าของร่างบอบบางดูเหมือนจะตกใจ ทำท่าจะถอยหนีออกไปจนผมต้องใช้มือข้างหนึ่งรั้งเอวบางไว้ จนสองร่างแนบชิดกว่าเดิม บดจูบเนิ่นนานกระหวัดลิ้นดูดดุนราวกับตั้งใจจะกดซับความร้อนออกจากร่างกายอีกฝ่ายมากักเก็บบรรเทาไว้ที่ตัวเอง
   
ตักตวงจนคนในอ้อมกอดทักท้วงขออากาศหายใจ จึงได้ผละริมฝีปากออกมาแต่ยังคงแตะหน้าผากไว้กับหน้าผากร้อน ใช้นิ้วเกลี่ยคราบน้ำออกจากริมฝีปากหวานเชื่อมก่อนจะยิ้มยียวน
   
“งั้นให้ลงโทษสองครั้งเลย”
   
คนตัวเล็กกว่าถลึงตามองผมอย่างไม่พอใจ แต่ใบหน้าที่ขึ้นสีจัดก็บ่งบอกว่าไม่ได้จริงจัง 

ไม่นานก็กลับมาทำสีหน้าอ่อนลงอีกครั้ง มือบางยกขึ้นมาเกลี่ยใบหน้าผมเบาๆ ไล่สายตามองตั้งแต่หน้าผาก ดวงตา จมูก ริมฝีปาก และปลายคางด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย เหมือนจะมีความสุข แต่ก็ยังไม่มั่นใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวั่นไหว ขณะเอ่ยคำถามออกมา
   
“พรุ่งนี้ถ้าตื่นมา คุณจะยังอยู่ตรงนี้มั้ย?”
   
ผมหัวเราะเบาๆ จับมือมันมากดจูบลงไปบนฝ่ามือก่อนจะพยักหน้า “อยู่ดิ”

“...”

“จะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ ต่อให้ถูกไล่ก็ไม่ไป จะหน้าด้านเกาะแกะมึงเป็นลูกลิงจนรำคาญตายไปเลย” ยืนยันด้วยคำพูดติดตลก แต่คนตรงหน้าคงมองออกว่ามันล้วนมาจากใจ ถึงได้คลายคิ้วที่ขมวดลง เผยยิ้มบางอย่างพอใจ

“นอนได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไข้ขึ้นกันพอดี” ผมว่าพลางลูบหัวเบาๆ อย่างเอ็นดู

รู้แหละว่าร้องไห้ไปขนาดนั้น ถ้าไข้ขึ้นก็คงไม่แปลกอะไร วางแผนไว้ในใจแล้วว่าตื่นมาต้องพามันไปหาหมอให้ได้ แต่ตอนนี้คงต้องให้นอนพักผ่อนไปก่อนเพราะรู้ว่ามันคงดื้อไม่ยอมไป

“ครับ” รับคำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังนอนลืมตามองหน้ากันไม่มีทีท่าว่าจะหลับตา

แล้วมาคงมาครับอะไร

“ถึงตาจะตี่แต่ก็แกล้งหลับไม่เนียนหรอกนะตี๋” ผมแซวกลั้วหัวเราะ จนถูกเบ้หน้าใส่ แต่แวบเดียวก็กลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้งด้วยสีหน้าคล้ายกับจะงอแง

“ซัน”

“หืม?” ผมเลิกคิ้วประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็เรียกชื่อโดยไร้คำนำหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายขยับเข้ามาซุกหน้าลงกับอกแล้วยกเมื่อขึ้นมาโอบร่างผมไว้ ราวกับกลัวว่าจะหายไปจริงๆ

“ตี๋...”

“ปกติผมติดหมอนข้างน่ะครับ”

ขี้โม้สัส ในห้องนี้มีหมอนข้างสักใบที่ไหน
   
ผมหัวเราะออกมาเสียงดังกับความปากแข็งตีหน้ามึนของมัน วาดแขนกอดกลับไป กระชับอ้อมกอดแน่น พลางยกขาขึ้นมาก่ายบนกายบาง ก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงไปบนกระหม่อมอย่างเอ็นดู เลื่อนริมฝีปากลงมาที่ข้างใบหูแล้วแกล้งกัดเบาๆ
   
“มึงนั่นแหละหมอนข้าง”




------------------------------------------
ขอหมอนข้างแบบตี๋หนึ่งอัตรา  :hao5:

ไม่คิดว่าตอนนี้จะเขียนยากเพราะเขียนร่างไว้เยอะมาก คิดว่าพอเขียนจริงคงแค่หยิบๆ มาใช้
แต่พอถึงเวลาต้องตัดออกไปหลายประโยคมากก เสียดาย
อยากให้จังหวะมันออกมาพอดี ไม่รีบเกินไป ไม่ช้าเกินไป ไม่ดราม่าจนแบบ... จะลีลาทำไม อะไรแบบนั้น 5555
ไม่รู้ว่าสื่อออกมาได้ดีแค่ไหน ยังไงก็ติได้เสมอเลยนะคะ

ตอนนี้เริ่มพาร์ทหลงตะวันแล้วล่ะ เป็นพาร์ทที่โนดราม่า และมีแต่ชูก้าร์ล้วนๆ เลยค่ะอยากจะเตือน 5555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2017 01:42:14 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราพร้อมกระโจนลงหลุมรักน้องโชแล้ววว ลูกกกก ทำไมน่าเอ็นดูขนาดนี้  :ling1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อยากได้น้องตี๋มากกกอดเอง
นี่ถ้าซันไม่รู้ใจตัวเองเราแย่งละนะคะเนี่ย  :hao6:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
จะหลงอะไรกันเบอร์นี้
หลงกกันมากกกกกกกกกกก  :o8: :-[ :impress2:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ในที่สุดตี๋ก้จะมีความสุขกะเค้าสักที
ดีใจๆ ขอแบบหวานๆ น้ำตาลทะลักเลยนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ดีต่อใจมากๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
น้องโซ พี่ว่างอยากเป็นหมอนข้างให้หนู...

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 1

   
เช้ามาคนที่หายไปจากอ้อมกอดกลับเป็นอีกคน
   
ผมขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตา เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วไม่มีไออุ่นจากคนข้างกาย แต่พอลืมตาก็พบว่ามันไม่ได้หายไปไหน แค่ถอยห่างออกไปนอนตาแป๋วจ้องหน้ากันอยู่ที่ขอบเตียง
   
“...!” พอเห็นว่าผมลืมตาก็สะดุ้งนิดๆ กะพริบตาปริบๆ เหมือนถูกจับได้ ก่อนจะพลิกตัวหนีไปนอนหันหลังให้กันเฉยเลย
   
“เป็นอะไร” ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือออกไปรั้งคนตัวเล็กเข้ามาแนบกายเพราะเห็นว่าอีกนิดก็จะตกเตียง

“รังเกียจกันหรือไง” แกล้งถามไปอย่างนั้นพร้อมกับเกยคางไว้บนไหล่ เอียงคอมองใบหน้าที่คล้ายว่ากำลังมีบางอย่างอยู่ในใจ
   
“เปล่าครับ” รีบปฏิเสธทันควัน เอียงหน้ากลับมาหาผมในระยะที่จมูกชนกัน ขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะตอบเสียงเบาเหมือนไม่มั่นใจ “กลัวว่าจะแปลกน่ะครับ”
   
“หือ? แปลกอะไร” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่คนในอ้อมกอดเบือนหน้าหนีไป พวงแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีจัดขึ้นมา
   
“คุณคงไม่เคยตื่นมาบนเตียงเดียวกับผู้ชาย”
   
หือ?
   
ผมชะงักกับคำตอบที่เหนือความคาดหมาย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
   
“เออ โคตรแปลก” อดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่อีกครั้งให้คนตัวเล็กเอียงหน้ากลับมาขมวดคิ้วมุ่นมองหน้ากัน แล้วฉวยโอกาสนั้นกดจูบลงไปบนริมฝีปากบาง แกล้งจนพอใจแล้วค่อยถอยใบหน้าออกมาสบตาคนที่ยังตกใจแล้วยิ้มกว้าง เอ่ยความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจออกมา
   
“แต่โคตรมีความสุขเลย” พูดจบก็ซุกซบใบหน้าลงกับไหล่บางอีกครั้งพร้อมกระชับอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม

สูดกลิ่นหอมกรุ่น ซึมซับไออุ่นจากร่างกายที่ช่วยเติมน้ำเลี้ยงหัวใจในเช้าวันใหม่ที่พิเศษกว่าวันไหนๆ ที่ผ่านมา

ลอบยิ้มกับตัวเองเมื่อคิดว่า คงมีความสุขเป็นบ้าถ้าได้ตื่นมาแล้วได้เจอหน้ามันเป็นคนแรกทุกวัน





ตอนกลางวันผมต้องพาไอ้ตี๋ไปหาหมอจนได้ เพราะหลังจากต่างคนต่างหลับไปอีกรอบคนในอ้อมกอดก็เหมือนจะตัวรุมๆ ขึ้นมา ตอนแรกยังทำเป็นดื้อจะไม่ไป จนต้องขู่ว่าถ้าคืนนี้ไม่หายผมจะรักษาให้ถึงได้ยอม

ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคิดว่าวิธีรักษาของผมคืออะไร ถึงได้มีท่าทีลนลาน แถมใบหน้ายังขึ้นสีแดงซ่านไปถึงคอ

น่ารัก...

รู้มานานแล้วแหละว่ามันน่ารัก แต่ไม่คิดว่าตอนเขินจะน่ารักจนใจพังขนาดนี้

โว้ยย ทำไงดี แค่คิดถึงหน้ามันผมก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้เลยทั้งวัน จะบ้าตาย

“น่าหมั่นไส้โคตร” แต่เป็นอันต้องหดมุมปากลงหนึ่งมิลเมื่อได้ยินเสียงเหน็บแนมจากเพื่อนร่วมงาน หันไปมองก็เห็นไอ้นายยืนกอดอกเบ้หน้าส่งสายตาแสดงความหมั่นไส้ออกมา

“วันก่อนนู้นยังทำเหมือนจะเป็นจะตาย แล้วไอ้สีหน้าลั้ลลานี่อะไร เป็นไบโพล่าร์เหรอวะพี่ซัน” ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังอารมณ์ดีอยู่คงได้ดีดกะโหลกข้อหาพูดจาปีนเกลียวสีกที แต่คราวนี้ผมแค่ยักไหล่ลอยหน้าลอยตากลับไป

ช่างหัวมัน คนมีความสุขใครจะทำไม

“อาการหนัก” ไอ้รุ่นน้องที่ทำตัวไม่เหมือนรุ่นน้องเท่าไหร่ บ่นพึมพำพลางส่ายหน้าระอาใจ จนผมหลุดหัวเราะ หยิบเมล็ดกาแฟปาใส่อย่างไม่จริงจัง

“ชงกาแฟไปเถอะมึงอ่ะ”
   
หลังจากหายหัวไปหลายวัน พอกลับมาทำงานก็ถูกพี่โมหักเงินเดือน และรับโทษโดยการเข้ากะแทนไอ้นายตามจำนวนวันที่หายไปตามระเบียบ ไอ้ตี๋ก็โดนเหมือนกัน แต่เพราะมันป่วยอยู่พี่โมเลยให้พักจนกว่าจะหาย ครั้นจะให้ผมดูร้านคนเดียวก็ไม่มีใครไว้ใจ สุดท้ายไอ้นายก็เลยอาสามาช่วยจนกว่าไอ้ตี๋จะกลับมาทำงาน
   
เกือบจะสงสารอยู่หรอก ถ้าไอ้เด็กเวรนี่ไม่เอาแต่แซวตั้งแต่ผมกลับมา
   
“ถามจริง คบกันแล้ว?”
   
สรรหาคำถามมาเซ้าซี้อยู่ได้ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็ได้คำตอบเดิม
   
“เสือก”
   
“โห่ พี่ซันแม่ง ขี้กั๊ก”
   
กั๊กเหี้ยอะไรล่ะ เรื่องของกูมั้ยเนี่ย
   
“ถามมากกูจะไปฟ้องไอ้มิ่งว่ามึงยังมีเยื่อใยให้ไอ้ตี๋” ผมแกล้งขู่
   
“อ้าวพี่ ถามแค่นี้ต้องเล่นถึงบ้านแตกเลย” อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมันหน้าเหวอ แต่ก็ยังไม่วายเสนอหน้าเข้ามารัวคำถามอีกชุดใหญ่
   
“ตกลงว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น? พี่กับพี่โชมีปัญหาอะไร? แล้วกลับมาดีกันได้ไง? ถึงขั้นคบกันยัง?”
   
“เสือกอะไรขนาดนี้” ปกติเห็นชอบมองนิ่งๆ ยิ้มๆ จริงๆ เป็นคนงี้เองเหรอวะ
   
“ก็ผมอยากรู้”
   
“มึงจะรู้ไปทำไม”
   
“ก็ผมลุ้นอยู่ไง” ผมเลิกคิ้วเมื่อมันทำหน้าจริงจัง “ตะหงิดใจมาตั้งแต่ตอนที่พี่เสนอตัวเป็นพ่อสื่อให้แต่เสือกกั๊กพี่โชไว้แล้วว่ามันต้องมีอะไร ยิ่งเห็นพี่หวงก้างก็ยิ่งโคตรหมั่นไส้ จริงๆ เชียร์ให้พี่โชมีแฟนให้พี่อกแตกตายไปเลยด้วยซ้ำ”
   
อ้าว ไอ้นี่...
   
“แต่ผมก็ลุ้นให้พี่รู้ใจตัวเองสักทีเหมือนกัน” เกือบจะด่าแล้วถ้ามันไม่กลับลำ พลางยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนรู้ทัน “ทีนี้รู้หรือยังว่าคนที่ทำให้พี่โชมีความสุขได้ มีแค่พี่คนเดียว”
   
ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดแบบเดียวกับที่ไอ้ตรีเคยพูดไว้ ไม่อยากจะอวยตัวเองแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเป็นความจริง ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนเดียวที่ดูแลไอ้ตี๋ได้ แต่เป็นเพราะผมรู้ตัวดีว่าตัวเองอยากให้ไอ้ตี๋มีความสุขมากกว่าใครๆ ที่ผ่านมาถึงได้หาวิธีต่างๆ นานามาช่วยให้มันเลิกเสียใจจากความรักที่ไม่สมหวังสักที
   
ไม่ทันคิดว่าวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดจะเป็นการยอมรับใจตัวเอง

ถึงจะรู้ตัวช้าไปนิด แต่ก็อย่างที่เคยบอกไว้ ไม่ว่ายังไงต่อไปนี้ผมจะทำให้ไอ้ตี๋มีความสุขให้ได้ ด้วยตัวผมเอง
   
“ตกลงว่าคบกันแล้ว?” ไอ้นายวกกลับมาคำถามเดิม ปลุกผมจากภวังค์ และคราวนี้ผมยิ้ม พยักหน้าตอบมัน ไม่ยึกยักอีกต่อไป
   
“เออ” เขินนิดๆ ที่ต้องป่าวประกาศ แต่ด้วยความหน้าด้านที่สั่งสมมาก็เลยยังพูดต่ออย่างมั่นใจ “คบแล้ว”
   
“...”
   
“รักมาก ห้ามแตะ” ไม่วายหวงก้างด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
   
จากคำพูดและการแสดงออกของไอ้นายก็รู้หรอกว่ามันไม่ได้ชอบไอ้ตี๋ในเชิงชู้สาวแล้ว แต่ขอกันท่าไว้ก่อน ก็ไอ้ตี๋ของผมน่ารักจะตาย เกิดมันกลับมาหวั่นไหวอีกทำไง

“แหม ใครจะกล้าแตะ ถึงอยากเขาก็ไม่ให้ผมแตะหรอก เนอะพี่โชเนอะ” มันทำเสียงล้อเลียนมองเลยผมไปด้านหลัง ขณะที่ผมเบิกตากว้างรีบหันตามอย่างตกใจเมื่อได้ยินชื่อคนที่เพิ่งบอกรักอย่างไม่มีกระดากอายใดๆ

แทบจะเอาหัวโขกเคาน์เตอร์ตอนที่เห็นว่าไอ้ตี๋ในสภาพมีผ้าปิดปากครึ่งหน้า สวมแว่นหนาเตอะยืนนิ่งค้างกะพริบตาปริบๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์จริงๆ

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้ยินทุกคำ

“ไอ้เชี่ยนาย” ไม่รู้จะทำไงเลยได้แต่หันมาเข่นเขี้ยวใส่ไอ้คนถามที่ยักไหล่ หัวเราะเสียงดังแล้วหลบฉากเข้าหลังร้านไป

ผมหันกลับมาหาไอ้ตี๋ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้ามาหลังเคาน์เตอร์แล้วจัดนู่นจัดนี่หน้าตาตาย ทั้งที่หูเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างชัดเจน... ถ้าให้ทาย ใบหน้าใต้หน้ากากอนามัยนั่นก็คงขึ้นสีไม่ต่างกัน

เอาวะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมที่เขินอยู่คนเดียว

“มึงมาทำไมอ่ะ” ถามเมื่อนึกขึ้นได้ขณะที่ไอ้ตี๋หยิบผ้ากันเปื้อนขึ้นมาใส่เตรียมตัวทำงาน

บอกแล้วว่าให้พักผ่อน กว่าจะคะยั้นคะยอกล่อมจนกินยาหลับไปได้ก็ตั้งนาน แล้วไหงตื่นมาเสนอหน้าอยู่นี่เฉยเลย

“ทำงานไงครับ”

“ตี๋” ผมเรียกเสียงดุ กอดอกมองหน้าคนที่ทำเป็นเฉไฉจัดโน่นจัดนี่รอลูกค้าเข้า แต่ทนโดนจ้องได้ไม่นาน สุดท้ายก็หันมาถอนหายใจใส่กัน

“ผมไม่เป็นไรแล้ว”

ดื้อชะมัด

“ไม่มีไข้แล้วล่ะ”

“...”

“ตัวไม่ร้อนแล้วเนี่ย เห็นมั้ยครับ” พอเห็นผมยังจ้องไม่เลิกก็ทำเสียงอ่อน เอื้อมมือมาจับมือผมไปแตะหน้าผากตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำ เล่นเอาชะงัก เกิดอาการอึกอักขึ้นมากะทันหัน

“ตะ... แต่หมอบอกให้มึงพักไง”

ทำไมอยู่ๆ ทำตัวเหมือนอ้อนอ่ะ กูไปไม่เป็นเลย
   
“ผมตื่นมาแล้วนอนไม่หลับน่ะครับ” บ่นพึมพำดึงมือผมลงจากหน้าผาก แต่ยังไม่ปล่อยมือ
   
“...”

“สงสัยเพราะไม่มีหมอนข้าง” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากเถียงอะไร คนตรงหน้าก็ช้อนสายตาขึ้นมาสบตาด้วยดวงตาใสซื่อจนผมชะงักไป
   
“แล้วอีกอย่าง..." มันทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ก็เว้นวรรค ดวงตาแสดงประกายบางอย่างที่ผมตามไม่ทัน

"หายไปหลายชั่วโมงแล้วนะครับ...”
   
ก่อนเอ่ยคำพูดที่เจ้าตัวรู้ว่าถ้าพูดออกมาคงปิดเกมน็อคเอาท์ผมได้อย่างสวยงาม
   
“คิดถึงมากเลย”
   
“...”
   
นั่นแหละครับ... กูยอม
   
   



ถึงจะยอมให้ทำงาน แต่ก็ไม่ถึงขั้นให้โหมทำคนคนเดียวเหมือนทุกวัน หน้าที่ไอ้ตี๋คืนนี้มีแค่ยืนหน้าแคชเชียร์เท่านั้น ที่เหลือผมกับไอ้นายเป็นคนจัดการ ทั้งชงกาแฟ ล้างจาน เช็ดโต๊ะ ยกของ ผมไม่ให้มันแตะสักอย่าง ต่อให้อ้อนแค่ไหนก็ไม่ให้ทำ
   
แต่เหมือนคนตัวเล็กจะรู้ทัน ถึงได้ไม่ขอทำอะไรนอกเหนือจากนั้น ยอมนั่งเฉยๆ รอรับออเดอร์จากลูกค้าที่นานๆ จะโผล่มาสักคนเพราะไม่ใช่ช่วงที่ต้องโต้รุ่งอ่านหนังสือจนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน ไอ้นายช่วยล้างจานให้ก่อนจะขอตัวกลับไปก่อน ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเดิมทีวันนี้ก็ไม่ใช่เวรมัน แค่ที่ช่วยมาทั้งคืนก็ถือว่าเกินหน้าที่มันมามากแล้ว

ผมทำงานที่เหลือโดยมีอีกคนมองตามไปทุกที่เหมือนอยากช่วย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกผมกำชับไว้ว่าถ้ายังไม่อยากกลับก็ต้องนั่งพัก ห้ามออกแรง
   
 “ตี๋” ผมเรียกหลังจากเก็บโต๊ะเสร็จแล้วกลับมาหลังเคาน์เตอร์ ยกมือขึ้นอังหน้าผากคนที่เงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วมองเพราะนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ระดับต่ำกว่าก่อนจะพยักหน้าพอใจกับตัวเอง
   
ตัวไม่ร้อนแล้วจริงๆ
   
“บอกแล้วไงครับ ว่าหายแล้ว” ได้ทีทำเป็นออกตัว ถึงมีหน้ากากปิดอยู่ครึ่งหน้าก็พอจะเดาได้ว่ามันกำลังทำหน้ายังไง
   
คงไม่พอใจที่ผมไม่ยอมให้แตะงานอะไรเลย
   
“รอหายจริงๆ ก่อนแล้วค่อยอวดดีนะครับคุณ” ว่าพลางขยี้หัวมันเบาๆ อย่างเอ็นดูปนหมั่นไส้ แต่คราวนี้กลับไม่ถูกฟาดเหมือนทุกที ไอ้ตี๋เพียงก้มหน้าบ่นพึมพำอะไรสักอย่างกับตัวเองอีกแป๊บหนึ่ง ดูตลกจนผมหลุดขำออกมาก่อนจะหันไปจัดการกับเครื่องชงกาแฟ
   
แต่เพราะนึกอะไรขึ้นได้เลยหยุดมือไว้ก่อน หันกลับมามองไอ้ตี๋ที่ยังจ้องกันไม่เลิกแล้วถามอย่างรู้ทัน
   
“อยากชงกาแฟป่ะ”
   
“ครับ” หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง เมื่อมันพยักหน้าตอบแบบไม่คิดเลย
   
“งั้นขอลาเต้ที่นึง” แกล้งสวมบทบาทเป็นลูกค้าคนสุดท้ายก่อนจะถอยออกมานั่งแทนคนที่ลุกออกไปยืนหลังเครื่องชงกาแฟ
    
เท้าคางมองท่าทางคล่องแคล่วทว่าพิถีพิถันในทุกกระบวนการแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม ถึงจะเสียดายนิดๆ ที่มีหน้ากากปิดไว้ทำให้ไม่เห็นใบหน้าอีกครึ่งหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นมาทุกครั้งที่ได้เห็นภาพนี้ลดลง
เคยบอกหรือเปล่าว่าเวลาไอ้ตี๋ใส่แว่นแล้วน่ารักกว่าปกติ ยิ่งบวกกับท่าทางตอนตั้งใจชงกาแฟแบบที่ผมหลงใหลยิ่งทำเอาหัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะกระเด็นออกมา

“รู้มั้ยว่ากูมองมึงตอนชงกาแฟทุกวัน” ตัดสินใจเอ่ยถามขณะที่สายตาอีกคนจับจ้องอยู่ที่เครื่องกลั่นกาแฟ... และสายตาของผมก็จ้องที่มันอีกที
   
“ครับ” ตอบโดยไม่หันกลับมามอง
   
สาเหตุคงเพราะใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออีกรอบนั่นแหละ
   
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” อดประหลาดใจไม่ได้

คิดว่าตัวเองเนียนแล้วเชียว
   
คนตัวเล็กเงียบไป หยิบกาแฟช็อตขึ้นมาผสมลงในแก้วใบเล็กให้ผม ก่อนจะเริ่มวาดโฟมนมเป็นลาเต้อาร์ตซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมโปรดปราน ยิ่งตอนนี้ในร้านมีเพียงแสงไฟสลัวของส่วนเคาน์เตอร์เท่านั้น ภาพตรงหน้าจึงไม่ต่างจากฉากหนึ่งในหนังที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศละมุนละไม
   
“คุณเคยวาดรูปไว้บนชีท” ตอบอ้อมแอ้มพร้อมกับเสิร์ฟกาแฟให้ ผมขมวดคิ้วนึกอยู่สักพักว่าชีทอะไร ก่อนจะนึกขึ้นได้เลยหรี่ตามอง
   
“แอบดูชีทกู?”
   
คนตรงหน้าอึกอัก พูดเฉไฉเหมือนเคย “ก็... แค่หาอะไรอ่านเล่นๆ น่ะครับ”
   
“...”
   
“ภาพวาดกากๆ แต่ก็พอเดาออกว่าอะไร”
   
“...”
   
“หลังจากนั้นก็เลยเพิ่งสังเกต... ว่าถูกมองจริงๆ” เอ่ยพลางหลบสายตา ท่าทางประหม่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
"เขินป่ะ" เห็นแบบนั้นแล้วอดไม่ได้แต่จะเย้าแหย่ออกไปจนอีกฝ่ายทำเสียงกระเง้ากระงอดบ่นพึมพำ

"ใช่เรื่องที่ต้องถามเหรอครับ"
   
ผมหัวเราะเบาๆ ที่มันไม่ตอบคำถาม แต่ก็ไม่คิดจะคาดคั้น ในเมื่อคำตอบก็เห็นอยู่ชัดเจน เปลี่ยนคำถามใหม่ขณะใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวคนตัวเล็กเข้ามายืนระหว่างขาทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าปลายจมูกตัวเองอยู่ตรงตำแหน่งปลายคางได้รูปพอดี
   
“แล้วอยากรู้มั้ยว่าทุกครั้งที่มองกูคิดอะไร” เป็นคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบอยู่คนเดียว

"..."

"กูคิดว่า..." เมื่อไม่มีเสียงตอบจึงตัดสินใจจะเฉลย ใช้มืออีกข้างเกี่ยวผ้าปิดปากที่แสนเกะกะออกไป

ไม่ลืมจะดึงแว่นหนาออกด้วยเพราะรู้ว่าถึงจะชอบให้มันใส่แว่นแค่ไหน... แต่ในสถานการณ์นี้คงไม่จำเป็น
   
“ถ้าได้ทำแบบนี้สักครั้งก็คงดี”

พูดจบก็รั้งใบหน้าไอ้ตี๋ให้โน้มลงมาหา... แล้วมอบจุมพิตแผ่วเบา
   
ฉับพลัน รสจูบที่หอมหวานกว่าในจินตนาการ ก็กลายเป็นสิ่งที่ผมโปรดปรานยิ่งกว่ารสชาติของลาเต้ในทันที 




--------------------------------------------
หลงกันเบาๆ เนอะกับบทแรก  :katai2-1:
เป็นตอนที่เขียนๆ แล้วแบบ... เหม็นความรัก 55555
มาอัพเร็วอีกแล้วอ่ะ ถามว่าทำไม เพราะนังคนเขียนค้างเองอีกแล้วค่ะ
ความยับยั้งชั่งใจน้อยกว่าเจ้าซันก็คือฉันเอง แงงง
จั่วหัวว่าไม่ค่อยว่างมาทำไมตั้งหลายตอนอ่ะ 55555555

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ที่เป็นกำลังใจให้อีกครั้งนะคะ (และจะขอบคุณอีกหลายๆ ครั้ง)
ฝาก #ซันโช ด้วยน้า ^^
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-06-2017 03:12:21 โดย makok_num »

ออฟไลน์ aunszMT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
เขินนน โรแมนมาก หายกากแล้วก็งี้ละเนอะ ตี๋รีบหายป่วยนะ

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
น้ำมันพราย
ทั้งสองคนนี้ต้องเล่นน้ำมันพรายใส่กันแน่ๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โชอ้อนมากกกกกก

ออฟไลน์ SoSweetCB

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หลงกันเข้าไป ฮือออ พอรู้ใจกันแล้วก็หวานกันใหญ่เลย -///- รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Preenp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2428
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
อ่านไปเบาหวานขึ้นตายละเนี่ย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ยังหลงได้มากกว่านี้แน่นอน รอเขากลับไปนัวเนียกันที่ห้องงงงง  :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด