Chapter 20:[Then] วันนี้วันพระ
“เมฆอยากให้หมอกฝึกคาราเต้....”
มธุวันไม่รู้สึกแปลกใจกับประโยคที่ออกมาจากปากของคนรัก เขารู้ดีว่าหลังจากเกิดเรื่องเมื่อวาน เมฆาที่ขี้กังวลและเป็นห่วงเขาไปเสียทุกเรื่องไม่มีทางปล่อยให้มธุวันไปเดินโต๋เต๋ข้างนอกคนเดียวโดยไม่สามารถป้องกันตัวได้ มธุวันพลิกตัวกลับมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาบนเตียงที่ยับยู่ยี่จากศึกหนักเมื่อเช้าที่ผ่านมาหลังจากที่เมฆาตื่นขึ้นมาพบว่านาวินทร์กลับไปแล้ว ก่อนจะร้องออกมาเบาๆเนื่องจากขยับตัวเร็วเกินไป
“ไหวมั้ย?”
เมฆาถามอย่างเป็นห่วง หยิบหมอนมาพยุงหลังให้ร่างโปร่งเพียงไม่ให้ทิ้งน้ำหนักกดทับบนเตียงให้ระบมไปมากกว่านี้ มธุวันขยับเข้าใกล้คนรัก เอนศีรษะซบกับกล้ามหน้าท้องแข็งแรงของร่างสูง แขนเรียวโอบพาดเอวสอบอย่างผ่อนคลายถึงแม้ร่างกายจะยังระบมไปทุกส่วนก็ตาม
“อือ แต่เรื่องคาราเต้นี่เมฆเอาจริงเหรอ? หมอกว่ามันไม่น่าจะจำเป็นนะ ปืนหมอกก็ยิงเป็น”
มธุวันว่า เขากับเมฆาไปฝึกซ้อมที่สนามยิงปืนทุกครั้งที่มีเวลาว่างตรงกัน มธุวันรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้ใช้สมาธิไปกับการยิงอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านถึงเครียดที่ตัวเองไม่สบายใจ แต่หากเขาจะต้องไปเริ่มเรียนศิลปะป้องกันตัวใหม่ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาว่างขนาดนั้น
“แต่หมอกไม่ได้มีปืนติดตัวตลอดเวลานี่ เมฆไม่อยากให้หมอกต้องพึ่งอาวุธเพื่อป้องกันตัว” ร่างสูงเชยคางมนให้เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเป็นกังวล “ทำให้เมฆหน่อยนะครับหมอก”
“หมอกกลัวไม่มีเวลาไปเรียนนี่”
มธุวันเอนศีรษะเข้าหามือใหญ่ คลอเคลียกับมือของคนรักราวกับลูกแมวเหมียวแสนเชื่อง ซึ่งจากรอยข่วนเต็มแผ่นหลัง เมฆาไม่คิดจะตกหลุมพรางนั้นง่ายๆ
“เมฆสอนให้ก็ได้”
“เอ๊ะ? เมฆเล่นคาราเต้เป็นด้วยเหรอ?”
ร่างโปร่งถามอย่างประหลาดใจ
“อือ แม่ให้ทุกคนเรียน บอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง” เมฆาตอบ “เมฆได้สายดำ”
“โห…”
มธุวันเบิกตากว้าง คนรักของเขามีอะไรน่าสนใจให้ค้นพบไม่เว้นแต่ละวันจริงๆ
“แล้วพวกศิลปะป้องกันตัวง่ายๆเมฆจะให้ไอ้วินมันช่วยสอนเวลาที่มันอยู่ไทย พวกมวยไทย เทควันโด จิทคุนโด ไอคิโด....”
“เดี๋ยวๆ นี่เมฆคุยกับวินแล้ว? แล้ววินไม่ค้านอะไรเลยเหรอ?”
เขาไม่ยากเชื่อเลยว่าคนรักจะคุยกับเพื่อนสนิทเรียบร้อยแล้ว แถมคนมีเหตุผลอย่างนาวินทร์ยังไม่คิดจะห้ามปรามเพื่อนที่ตื่น
ตูมไปเกินกว่าเหตุสักนิด
“ไม่นี่ จริงๆมันเป็นคนเสนอด้วยซ้ำ มันยังบอกอยู่เลยว่าเมฆควรจะสอนหมอกขับรถด้วย เผื่อไม่อะไรฉุกเฉินเมฆจะได้ไม่ต้อง
กังวลมาก”
เมฆาว่า มธุวันอยากจะถอนหายใจแรงๆ ทีแรกเขาคิดว่าจะขอให้นาวินทร์ช่วยพูดกับเมฆาให้เสียหน่อย แต่ดูท่าเขาคงต้องเลยตามเลย
อีกอย่าง การฝึกขับรถก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าหากรอนานกว่านี้มธุวันกลัวว่าตัวเองจะแก่เกิินเรียน
“หมอกเรียนก็ได้ ถ้ามันทำให้เมฆสบายใจ”
ร่างโปร่งยิ้มหวาน ตวัดขาคร่อมร่างเปลือยเปล่าที่เอนพิงหัวเตียงอยู่ เมฆาเลิกคิ้ว ตวัดแขนโอบรอบเอวบางเพื่อช่วยพยุงอีก
ฝ่ายให้นั่งอยู่บนตัวเขาได้สบายขึ้น
“หายเมื่อยแล้วเหรอ?”
“ทำไม? เมฆยังเมื่อยอยู่เหรอ...”คนที่นั่งอยู่บนตัวเขาเอียงคอถามเสียงใสซื่อ ขัดกับสะโพกมนที่ขยับบดเบียดกับร่างกายเขาให้เมฆาเริ่มสติหลุด “...นอนไปก็ได้นะ เดี๋ยวหมอกจัดการเอง”
“ไม่ต้องห่วงครับ...” ร่างสูงกระตุกยิ้ม โน้มคอคนรักลงมาบดจูบอย่างหนักหน่วง มือข้างที่จับเอวบางไว้เลื่อนมาบีบเค้นคลึงสะโพกที่ยังหยอกล้อเขาจนมธุวันมั่นใจว่าพรุ่งนี้รอยมือของคนรักจะยังไม่จางหายไปไหน “...สำหรับหมอก เมฆไหวเสมอ”
“ปากหวาน...”
ริมฝีปากเรียวที่ยังคงคลอเคลียกับริมฝีปากได้รูปของเมฆาพึมพำยิ้มๆ คนถูกชมหัวเราะในลำคอ
“อย่างอื่นก็หวาน อยากชิมมั้ยครับ?”
“ทะลึ่ง!”
ถึงแม้จะพูดอย่างนั้น แต่เด็กหนุ่มร่างโปร่งก็หัวเราะเบาๆกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ใครกันแน่ครับที่ทะลึ่ง? หืม?”
เมฆาประทับฝ่ามือลงบนก้อนเนื้อกลมกลึงที่ยังคงรวดร้าวจากความรุนแรงครั้งก่อนหน้าด้วยแรงไม่เบานัก มธุวันสะดุ้งเฮือก ไม่สามารถยับยั้งเสียงครางหวานที่หลุดรอดออกมาจากลำคอได้ทันเวลา
เมฆาที่ได้คำตอบที่ตัวเองพึงพอใจยิ้มบาง ก่อนจะเริ่มต้นบรรเลงบทเพลงรักให้กับร่างโปร่งที่ร้องขอด้วยร่างกายขึ้นอีกครั้ง
“โอเค พร้อมมั้ย ปรับกระจกข้างกับกระจกมองหลังดีรึยัง?”
เมฆาถามคนรักที่นั่งประจำที่คนขับเป็นครั้งแรกในชีวิต พวกเขาอยู่ในสนามแข่งรถของนาวินทร์ที่วันนี้ปิดทำการเพื่อให้มธุวันเริ่มหัดขับรถในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยที่สุด
“อื้อ เรียบร้อยแล้ว”
คนเป็นนักเรียนขานรับอย่างตั้งใจ เมฆายิ้ม ความตั้งใจของอีกฝ่ายช่างน่าเอ็นดูเสียจนเขาอยากจะจับร่างโปร่งมากอดรัดให้หนำใจ
ไม่ได้ๆ สอนก่อนๆ
เมฆาสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัว กลับมาสวมมาดจริงจังขึงขังให้สมกับเป็นคนสอน
“เดี๋ยวใส่เกียร์เดินหน้านะ ค่อยๆยกเท้าออกจากเบรก ยังไม่ต้องสนใจคันเร่ง อย่างนั้นแหละ เก่งมาก”
มธุวันทำตามสิ่งที่คนรักพูดทุกขั้นตอนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มือเร็วเกร็งจับพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วกลายเป็นสีขาว เมฆา
เอื้อมมือไปวางที่ต้นขาของคนรักเบาๆอย่างให้กำลังใจ
“ไม่ต้องเกร็ง หมอกทำได้ดีมากนะ”
“หมอก...ก็หมอกกลัวชนนี่นา นี่รถคันโปรดเมฆด้วย”
ร่างโปร่งหน้ามุ่ย เขารู้ว่าเมฆารักรถแต่ละคันของตัวเองมากแค่ไหน และเขาไม่อยากที่จะผิดใจกับอีกฝ่ายเพราะไปทำให้ลูกรักของร่างสูงมีรอย แต่เมฆายังคงดึงดันให้เขาใช้รถคันนี้ในการฝึก
“รถคันนี้แหละดีแล้ว หมอกไม่ต้องกังวลหรอก”
มือที่วางอยู่บนต้นขาของเขาเปลี่ยนมาวางปุลงบนศีรษะของคนที่เกร็งไปทั้งร่างกายในตอนนนี้
“แต่…”
“อย่างน้อยเมฆก็สบายใจว่าถ้าหมอกขับชนอะไร หมอกจะเป็นอันตรายน้อยที่สุด รถน่ะจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ”
คนฟังเขินจนอยากะม้วนตัวเป็นก้อนกลมๆแล้วมุดหายไปใต้รถ สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าประโยคเมื่อครู่น่าอายกว่าเดิมเป็นเพราะน้ำเสียงและแววตาของร่างสูงที่บอกชัดว่าจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองพูดทุกคำ
ให้ตายเหอะ ผู้ชายคนนี้กะจะล่ามหัวใจเขาไว้ไม่ได้ไปไหนได้เลยรึไงกัน?
“ทำได้ดีมาก”
เมฆาเอ่ยอย่างพึงพอใจเมื่อพวกเขาสลับตำแหน่งให้ร่างสูงกลับมาเป็นคนขับอีกครั้ง ถึงแม้ในสนามแข่งเมฆาจะเป็นคนที่ขับรถได้ท้าทายนรกที่สุดเท่าที่มธุวันเคยเห็นมา แต่เวลาที่ร่างสูงขับรถพาเขาไปไหนมาไหนหรือตอนที่สอนเขาขับรถ เมฆาเป็น
คนที่ขับรถระมัดระวังที่สุดที่เขาเคยเห็นเช่นกัน
“หมอก เกาะไว้นะ”
“ฮะ? อะไรนะ เหวอ!!!”
จู่ๆรถสปอร์ตคันหรูก็เร่งเครื่องในสนามแข่งท่ีว่างเปล่า มธุวันรีบจับขอบประตูไว้แน่นอย่างตกใจ ก่อนจะรู้ตัว รถที่วิ่งรอบทำความเร็วในสนามก็หมุนตัวกลับมาอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ทำให้เขานึกถึงเครื่องเล่นรถไฟเหาะที่เขาเคยเห็นในโทรทัศน์
“เป็นไงบ้าง”
คนที่หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอกตวัดมองคนรักตาเขียวปั้ด
“เล่นอะไรเนี่ยเมฆ?! หมอกหัวใจแทบวาย”
“เผื่อจำเป็นไง” เด็กหนุ่มยิ้ม
“มันจะมีเหตุการณ์อะไรบนโลกที่หมอกต้องซิ่งรถสปอร์ตแบบเมื่อกี้ไม่ทราบ”
ร่างโปร่งเถียง ถึงแม้จะไม่ใช่ด้านที่เห็นได้บ่อยของมธุวัน แต่เมฆาก็คิดว่าอีกฝ่ายดูน่ารักไปอีกแบบ
“ครับๆ ขอโทษครับ” ร่างสูงหัวเราะ “เดี๋ยวเย็นนี้เมฆพาไปกินอาหารญี่ปุ่นที่เปิดใหม่ที่ห้าง โอเคมั้ยครับ”
“…”
มธุวันกอดอก เบือนหน้าหนีให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองยังไม่หายงอน
“มีบุฟเฟ่ต์เค้กด้วยนะ...”
“เดี๋ยวอ้วน....”
ร่างโปร่งงึมงำตอบ เมฆายิ้ม รู้ดีว่าชัยชนะเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
“อ้วนยังไงก็รักครับ”
“....หมอกหิวแล้ว”
มธุวันเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนความเขินอาย ถึงแม้ริ้วแดงๆบนใบหน้าจะทำให้อะไรยากขึ้นก็ตาม ให้ตายเถอะ ทำไมเมฆาถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกมาตรงๆได้แบบนี้นะ
“เมฆ ไม่ต้องช่วยหมอกก็ได้นะ เดี๋ยวหมอกเสร็จแล้วโทรหา”
มธุวันเอ่ยอย่างเกรงใจ หลังจากที่พวกเขาทานอาหารเสร็จมธุวันก็ขอเวลาซื้อของที่ซุปเปอร์ใต้ห้าง แถวคอนโดของพวกเขาไม่มีตลาดสด ทำให้มธุวันรู้สึกแปลกๆในการซื้อของสดในห้างหรือซุปเปอร์หน้าคอนโดในช่วงแรก แต่ตอนนี้ร่างโปร่งชินเสียแล้ว
“ไม่เอา เมฆอยากอยู่กับหมอก”
ร่างสูงท้าวแขนกับรถเข็นแล้วใช้ร่างกายดันรถตีคู่กับคนรักที่เดินจับจ่ายซื้อของ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันเมฆามักจะบอกเขาเสมอว่าไม่จำเป็นต้องออกเงินครึ่งๆอย่างทัดเทียม เพราะพวกเขาเป็นคนรักกัน ไม่ใช่รูมเมท มธุวันรู้ดีว่าทางด้านการเงินเมฆามีภาษีดีกว่าเขามาก ร่างโปร่งจึงรับทำหน้าที่งานบ้านมากกว่าเมฆาเพื่อแบ่งเบาภาระ ถึงแม้ร่างสูงจะขอช่วยเขาทุกครั้งที่มีโอกาสก็ตาม
“เมฆ อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย จะได้ซื้อของไป”
“อยากกินหมอก”
ร่างสูงยิ้มยิงฟัน พอใจที่ได้เห็นริ้วสีแดงบนแก้มเนียน มธุวันเบือนหน้าหนี เอื้อมไปหยิบกระป๋องวิปครีมในตู้ กับสตรอเบอร์รี่
สดในตู้ข้างๆกันออกมาวางในรถเข็น
“จะทำอะไรกินเหรอ?”
เมฆาเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นวัตถุดิบทั้งสอง
“จะกินหมอกไม่ใช่เหรอ?” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าเรียวเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา “กินเปล่าๆเดี๋ยวเลี่ยน”
“….”
เมฆายอมใจคนรักของตัวเองจริงๆ ใครจะรู้ว่าคนเงียบๆอย่างมธุวัน เวลาเป็นเรื่องบนเตียง(ถึงแม้ในกรณีของพวกเขาจะรวมถึงโต๊ะ พื้น เคาท์เตอร์ครัว ลามไปยันอ่างอาบน้ำก็ตาม)อีกฝ่ายจะร้อนแรงถึงใจขนาดไหน
เขานึกดีใจที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่ได้สัมผัสความเผ็ดร้อนของร่างโปร่งหลังประตูห้องที่ปิดกั้นพวกเขาไว้จากโลกภายนอก
------------
แปะไว้ก่อนแล้วกัน เผื่อไม่ว่าง555
ช่วงนี้ก็จะยุ่งหน่อยๆ อัพช้าบ้างไรบ้างอย่าว่าเก๊าเลยเน้อ
