“ชุดนี้น่าจะดูไม่สะดุดตาเท่าไหร่นะครับ”
มธุวันออกมาจากห้องแต่งตัวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดา แว่นไร้กรอบถูกเสียบไว้บนคอเสื้อ ก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งที่เมฆาเลือก
แจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนส์ฟอกที่เมฆของเขาชอบใส่เหลือเกินทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับสะอึก แต่มธุวันก็ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วเช่นทุกครั้ง ร่างโปร่งเดินนำอีกฝ่ายไปที่แคชเชียร์ พยายามไม่มองคนที่เดินตามเขามาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
หมับ
มธุวันสะดุ้งกับมือที่เอื้อมมาจับมือของเขาไว้ทันทีที่ออกจากร้าน ดวงตาสีเทาฟ้าตวัดมองคนที่จับมือเขาอย่างถือวิสาสะ แต่เมฆากลับไม่มีสีหน้าเหมือนตัวเองกำลังทำอะไรผิดสักนิด
“ทำอะไร?”
“หยุดสั่นแล้วนี่”
ร่างสูงว่า และนั่นทำให้มธุวันเพิ่งรู้สึกตัวว่าก่อนหน้านี้มือของเขาสั่นอยู่ตลอดเวลาจากเหตุการณ์เมื่อครู่
เขาเป็นแค่คนธรรมดานะ เจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องตกใจกันบ้างสิ
“ครับ หยุดแล้ว ปล่อยได้แล้ว”
ร่างโปร่งเอ่ยเสียงห้วนกลบเกลื่อนความรู้สึกอุ่นวาบที่คุ้นเคยที่ฝ่ามือของตัวเองและความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ แต่เมฆา
แสร้งทำหูทวนลม หลังจากทั้งบิด ดึง กระชากอยู่หลายครั้ง สุดท้ายมธุวันก็ได้แต่เลยตามเลยปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือ
ไม่เกี่ยวอะไรกับส่วนลึกในจิตใจที่อยากให้มือของอีกฝ่ายจับมือเขาไว้ให้นานขึ้นสักนิด
“พ่อมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?”
หลังจากเดินผลุบเข้าผลุบออกแต่ละร้านเพื่อไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้านิ่ง คนที่พวกเขากำลังรอให้มารับก็โผล่มาจากด้านหลัง ทำเอาคนทั้งคู่สะดุ้ง แต่เมฆาก็ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือร่างโปร่งที่พยายามกระชากออกอีกครั้ง
“ช้านะครับ”
มธุวันเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ธีรเชษฐ์เลิกคิ้ว ดวงตาสีควันบุหรี่เหลือบมองมือของลูกชายกับเลขาด้วยสีหน้าขบขัน
“ก็ดูจะมีความสุขกันดีนี่ ช้านิดช้าหน่อยจะเป็นไรไป”
มธุวันขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับสองพ่อลูกในวันที่แสนยาวนานนี้ ธีรเชษฐ์เดินนำคนทั้งคู่ออกไปยังลานจอดรถ มธุวันสอดส่ายสายตามองรอบตัวตลอดเวลาอย่างระแวง มือที่ถูกเกาะกุมรู้สึกถึงแรงบีบน้อยๆอย่างปลอบขวัญจากร่างสูงที่เดินเคียงข้าง
ร่างโปร่งไม่ได้หันกลับไปหาเมฆา มือเรียวเพียงแต่บีบตอบกลับเบาๆอย่างขอบคุณ เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าคมได้เป็นอย่างดี
“คืนนี้นอนที่นี่แหละ ฉันจะให้คนของบริษัทรักษาความปลอดภัยเข้าไปสังเกตการณ์ที่ห้องเธอซักคืน เมฆ เอาที่อยู่ห้องแกมาด้วย พรุ่งนี้ค่อยกลับไป”
ธีรเชษฐ์สั่งด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจอดในคฤหาสน์ของตน มธุวันสังเกตว่ามีรถยนต์สี่ประตูที่เขาไม่คุ้นเคยอยู่ในลานจอดรถที่เต็มไปด้วยรถยนต์ราคาแพงนี้ด้วย
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมให้ไอ้วินแวะไปดูให้ เห็นมันบอกอยู่ว่ากลับมาไทยแล้ว”
เมฆาไม่ชอบให้ใครรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเขา แต่นาวินทร์เป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ ถือว่าเป็นโชคดีของเมฆาที่มีเพื่อนเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัย ธีรเชษฐ์พยักหน้า ก่อนจะหันไปหามธุวันที่เดินตามพวกเขาเข้ามาในบ้านโดยไม่
เอ่ยปากซักคำ
“ถ้าคิดจะบอกว่าดูแลตัวเองได้ฉันจะเอาเธอกลับไปปล่อยที่ห้าง”
ธีรเชษฐ์ดักคอ มธุวันถอนหายใจ เขาไม่อยากจะกระตุ้นอะไรในความทรงจำของเมฆาโดยการบอกว่าเขาอยู่ข้างห้องของนาวินทร์ แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่มีข้ออ้างดีๆในการหนีออกไปจากสถานการณ์นี้ด้วย
“จะทำอะไรก็ทำเถอะครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ วันนี้เขาล้าเกินกว่าจะมานั่งต่อล้อต่อเถียงกับสองพ่อลูกนี่แล้ว
“ดี คืนนี้ฉันจะนอนคอนโด รถของเธอฉันให้คนไปเอาให้แล้ว พรุ่งนี้ไปส่งซันที่มหาลัยด้วย”
ธีรเชษฐ์มัดมือชก ดวงตาสีควันบุหรี่หลบสายตาเลขาของตนอย่างมีพิรุธ มธุวันเลิกคิ้วสูง หรี่ตาลงอย่างจับผิดกับพฤติกรรมแปลกๆของเจ้านาย
“นี่ก็ค่ำแล้วนะครับ ทำไมไม่นอนที่นี่?”
“งานอยู่ที่ห้อง”
“เหรอครับ....” มธุวันลากเสียงยาว กอดอกมองคนที่ตอนนี้เขาเพิ่งสังเกตว่าเปลี่ยนจากชุดสูททำงานเป็นชุดไปรเวททั้งที่ปกติไม่เคยคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าถ้าไม่ได้จะอาบน้ำนอน “ที่อยู่ที่ห้องนี่งาน...หรือว่าอะไรครับ?”
คุณเชษฐ์ไม่เคยปิดบังอะไรเขา ไม่ว่าจะหิ้วใครเข้าห้องถ้าเขาถาม อีกฝ่ายจะตอบเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่มธุวันก็ไม่ได้ใส่ใจจะตามเพราะอีกไม่กี่วันคนที่ธีรเชษฐ์พาไปกกก็จะแจ้นมาหาเขาที่โต๊ะเอง
ปิดกันแบบนี้...ร่างสูงต้องรู้แน่ๆว่ามธุวันจะต้องไม่สบอารมณ์
“พี่หมอก! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน!”
ร่างสูงในชุดนักศึกษาโถมกายเข้าใส่มธุวันโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างโปร่งรีบยกมือเกาะร่างของทินกรที่พุ่งเข้ามาใส่เขาเหมือนลูกปืนใหญ่ด้วยกลัวว่าจะหงายลงไปกองกับพื้น อารามตกใจกับตัวตนอันเจิดจ้าดุจพระอาทิตย์ของเด็กหนุ่มทำให้มธุวันหลุด
ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
“ซัน…พี่หายใจไม่ออก”
“คิดถึงพี่หมอกที่ซู้ดดดดเลยครับ!”
เจ้าเด็กตัวยักษ์กอดรัดเขาฟัดไปมาจนมธุวันแทบจะลอยขึ้นจากพื้น กว่าที่เมฆาจะสามารถช่วยชีวิตของเขาออกมาจากกรงเล็บมัจจุราชได้ มธุวันแทบขาดอากาศหายใจ
ส่วนธีรเชษฐ์เผ่นแน่บหายไปเสียแล้ว
“ซัน เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”
เสียงเนิบนาบที่ดุยังไงก็ไม่ได้น่ากลัวดังขึ้น มธุวันขมวดคิ้วกับความคุ้นเคยของเขากับเสียงนั้น เมื่อหันกลับไป เขาเห็นรองหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทยืนอยู่ด้านหลังของทินกรในชุดทำงานที่ถอดสูทตัวนอกออกไปแล้ว
“คุณ…ภรัณยู?”
“เอ่อ...สวัสดีครับคุณมธุวัน”
ชายหนุ่มอายุมากกว่าทักทายเขาอย่างนอบน้อม ถึงแม้กับคนหัวโบราณขี้อวดบางคนมธุวันจะไม่ค่อยรู้สึกแย่เขาไหร่ที่อีกฝ่ายต้องเคารพเขาตามตำแหน่งหน้าที่การงานที่เหมือนจะสูงกว่า แต่กับคนอย่างภรัณยู ถึงแม้จะเอื่อยเฉื่อยไปบ้าง แต่อีกฝ่ายก็เป็นคนดีและไม่เคยทำให้เขาต้องหงุดหงิดใจ ทำให้ร่างโปร่งแอบรู้สึกผิดทุกครั้งที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ทำตัวนอบน้อมกับเขา
“สวัสดีครับ”
แน่นอน มธุวันเพียงแต่ทักทายทายกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แบบเดียวกับที่ทุกคนในบริษัทคุ้นเคยกันดี
จะว่าไป คนในบริษัทเรียกมธุวันว่าปีศาจน้ำแข็ง เพราะบุคคลิกที่มักจะทำให้อุณภูมิในห้องลดลงหลายองศา และสายตาที่สร้างพายุหิมะพัดโหมรอบตัวคนที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ได้เสมอ แต่กลับภรัณยู ชายหนุ่มกลับได้ฉายาว่าเจ้าชายน้ำแข็งเพราะความเชื่องช้าในการเปลี่ยนสีหน้าของอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น
เขาไม่เข้าใจวิธีการตั้งฉายาของคนพวกนี้เลยจริงๆ
“พี่ภัทรหึงเหรอครับ...อุ่ก!”
ถึงจะแสดงออกช้า แต่ศอกของชายหนุ่มไวมาก มธุวันต้องยอมรับเรื่องนี้ ทินกรกุมท้องอย่างโอเวอร์ออดอ้อนงอแงเกาะแข้งเกาะขาคนที่ทำร้ายตัวเองไปหมาดๆ แต่ภรัณยูกลับไม่สนใจเจ้าเด็กโข่งที่เรียกร้องความสนใจอยู่ข้างๆสักนิด
“ค่าสอนพิเศษวันนี้ได้รึยังครับ”เมฆาที่เงียบอยู่นานถามขึ้น ภรัณยูพยักหน้า
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมลานะครับ คุณเมฆา คุณมธุวัน”
“เดี๋ยวสิครับพี่ภัทร ผมไปส่ง~”
ทินกรที่เจ็บท้องจะเป็นจะตายอยู่บนพื้นเมื่อครู่กระโดดดึ๋งเดินตามภรัณยูไปทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมสนใจ มธุวันพอจะจำได้รางๆว่าธีรเชษฐ์เคยพูดเรื่องเด็กหนุ่มอยากได้ครูสอนภาษาไทยที่บ้าน ไม่คิดว่าครูสอนพิเศษที่ว่าจะเป็นคนที่ทินกรเคยประกาศชัดว่ากำลังสนใจ
เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทั้งบ้านจริงๆ
“ไม่มีคนอยู่บ้านเยอะๆแบบนี้มานานแล้ว คิดถึงจัง ผมว่าบ้านดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะเลยนะครับ”
ทั้งสามนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยที่เมฆาทำงานเอกสาร มธุวันเช็คเมลล์ผ่านโทรศัพท์ และทินกรที่เริ่มชวนคุยขณะที่ตัวเองกำลังทบทวนบทเรียนที่ภรัณยูให้ไว้เป็นการบ้าน โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าหลายชั่วโมงที่ผ่านมามีแต่ตัวเองที่เริ่มบทสนทนาอยู่คนเดียว ทีแรกมธุวันคิดว่านั่นเป็นเพียงแผนที่จะล่อให้รองหัวหน้าฝ่ายการตลาดมาหาบ่อยๆเสียอีก ดูท่าเขาจะให้เครดิตคุณหนูเล็กของบ้านหลังนี้น้อยไปหน่อย
“ปกติอยู่คนเดียวเหรอ?”
มธุวันอดถามไม่ได้ เขาคิดว่าธีรเชษฐ์ออกไปเถลไถลแค่บางวันเสียอีก
“จริงๆก่อนหน้านี้พ่อก็อยู่ด้วยนะครับ แต่ว่าช่วงหลายวันมานี่พ่อไปนอนคอนโดตลอดเลย”
เด็กหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะหันไปหาเมฆาที่นั่งทำงานอย่างเคร่งเครียดจนคิ้วแทบจะจนติดกันอยู่แล้ว
“พี่เมฆ แล้วคืนนี้พี่หมอกจะนอนที่ไหนล่ะครับ”
“ตายจริง ป้ายังไม่ได้ทำความสะอาดห้องนอนแขกซักห้องเลย ปลอกหมอนผ้าปูก็ไม่ได้ใส่ มีแต่ฝุ่นเกาะ เดี๋ยวป้าจะรีบตามเด็กมาช่วยทำความสะอาดนะคะ”
ป้าแต้ว แม่บ้านเก่าแก่ของบ้านที่เอาของว่างยามดึกมาเสิร์ฟให้กับแขกและสองพี่น้องตระกูลทรัพย์ดำรงอุทานอย่างกระวนกระวายใจเมื่อได้ยิน มธุวันกำลังจะบอกว่าไม่เป็นไรเมื่อโดนเมฆาตัดหน้าเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอกครับป้า ไปนอนเถอะครับ ปวดหลังอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
คนตอบยังคงไม่ละสายตาจากตัวเลขในเอกสาร หญิงชราร่างท้วมจะคัดค้าน แต่ความปวดแปลบตามประสาคนแก่ที่หลังทำให้เธอต้องหาที่นั่งโดยมีมธุวันที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบถลามาช่วยประคองอย่างเป็นห่วง
“แต่ถ้าอย่างนั้นพี่หมอกจะนอนที่ไหนล่ะครับ ห้องพ่อก็ล็อค ห้องพี่อุ่นก็ไม่มีใครเข้ามาเป็นชาติจนลำไยขึ้นแล้ว”
“หยากไย่” เมฆาแก้สำนวนให้น้องด้วยน้ำเสียงเพลียจิต “เดี๋ยวให้เขานอนห้องพี่”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำความสะอาดเองได้”
ร่างโปร่งหันมาตอบลูกชายคนโตของบ้าน เมฆาหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ก่อนจะปิดแฟ้มเอกสารแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
“เอาแบบนั้นก็ได้นะ ห้องเก็บอุปกรณ์อยู่ที่เรือนเล็กหลังบ้าน ทางมันมืด เดินระวังๆล่ะ อ้อ....” ชายหนุ่มทำเป็นนึกอะไรบางอย่างออก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงของผู้เหนือกว่า “นายไม่กลัวตุ๊กแกใช่มั้ย?”
ชื่อของสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่ทำให้มธุวันผวาจนนอนไม่หลับทุกครั้งที่เห็นทำเอาร่างโปร่งหน้าเหวอไปวูบหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะรวบรวมสติกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นทั้งทินกรและป้าแต้วมองเขาด้วยสายตาขบขัน
“ถามทำไมครับ?”
“ในนั้นมีเป็นสิบตัวเลยล่ะ มีทั้งไข่ทั้งพ่อแม่ลูกปู่ย่าตายาย ดุด้วยนะ กัดคนงานไปหลายรอบแล้วแต่ยังไม่มีใครกล้าจับออกไป ตัวใหญ่สุดที่เคยเห็นตัวเท่าแขนฉันแน่ะ จริงมั้ยครับป้า”
คนแก่ที่จู่ๆก็โดนคุณชายลากไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดพยักหน้าตามอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้เธอจะไม่คยเห็นสิ่งมีชีวิตที่เมฆาว่าในห้องเก็บไม้กวาดสักครั้งก็ตาม
เขาว่ามุสามันเป็นบาป แต่ถ้าไม่พูด ก็คงไม่ถือว่าเธอมุสาล่ะนะ
เมื่อเห็นป้าแต้วยืนยันคำพูดของเมฆา มธุวันก็ตัดความคิดที่ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องความกลัวของเขาอยู่แล้วทิ้งไป โดยมีความกังวลใหม่เข้ามาแทน
ตุ๊กแกตัวเดียวเขายังกลัวจนขาอ่อน ถ้าเข้าไปเขาตายแน่ๆ ตายหยังเขียด
“จริงๆผมนอนโซฟานี่ก็ได้ครับป้า มืดแล้ว ออกไปเดี๋ยวผมหลง”
คนเสียฟอร์มแก้ตัวจนลิ้นแทบพันกัน ถึงแม้คนฟังจะไม่มีใครเชื่อ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรให้ร่างโปร่งต้องอายไปมากกว่านี้
ระหว่างที่มธุวันกำลังหันไปพูดกับหัวหน้าแม่บ้าน เมฆาก็ตวัดสายตามองน้องชายสะดุ้งเฮือก ก่อนที่ทินกรจะรีบหันไปหาเลขาหนุ่ม
“มะ..ไม่ได้ครับ!”
“ทำไมล่ะซัน?”
ร่างโปร่งถามอย่างไม่เข้าใจ
“คือ…ผม..นัดเพื่อนไว้หลายคนเลยครับเรื่องงานประกวดเดือน มีบางคนต้องนอนนี่ครับ”
เด็กหนุ่มละล่ำละลัก ยิ่งสายตากดดันของพี่ชายที่ทำเอาขนอ่อนหลังคอเขาลุกวาบยิ่งทำให้เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
“อย่าเรื่องมากน่า ทำเหมือนเราไม่เคยนอนด้วยกันไปได้”
ลมหายใจของร่างโปร่งขาดห้วงกับคำพูดนั้น ก่อนที่มธุวันจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องที่คอนโดเมื่อคืน เลขาหนุ่มถอนหายใจอย่างหมดทาง
“เท่าที่ฟังผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่ครับ”
“นายยังออกไปเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดได้นะ” เมฆายิ้มท้าทาย รู้ดีว่าความกลัวของร่างโปร่งหยั่งลึกลงไปถึงขั้วหัวใจจากการเคยโดนตุ๊กแกกระโดดเกาะหน้าเมื่อครั้งยังเล็ก “ถ้ากลัวหลงจะให้ฉันจูงมือพาไปมั้ย?”
“ผม…ง่วงแล้ว ผมไปอาบน้ำได้ที่ไหน?”
ร่างโปร่งรีบเปลี่ยนเรื่อง หลบสายตาของคนที่ดูเหมือนจะรู้ทันเขาไปเสียทุกเรื่องอย่างไม่สบอารมณ์
“เดี๋ยวฉันพาไป”
เมฆาลุกขึ้นจากที่นั่ง ยื่นมือให้กับคนที่เบือนหน้าหนีเขาเป็นเด็กๆพร้อมรอยยิ้มกวนๆ
“จับมือฉันไว้มั้ย บ้านใหญ่นะ เดี๋ยวหลง”
มธุวันลุกเดินนำคุณชายคนโตของบ้านไปรอที่บันไดโดยไม่ตอบโต้อะไร พยายามเรียกคืนเอาหน้ากากของเลขาคนเก่งที่ไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดกลับมาอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสายตาขบขันของเมฆาจับจ้องมาที่เขาตลอดเวลาแบบนี้
มธุวันนึกขอบคุณอีกฝ่ายที่ไม่เล่นพิเรนทร์อะไรกับชุดนอนที่ให้เขายืมในวันนี้ ร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ดูจากขนาดแล้วน่าจะเป็นของทินกรมากกว่าของเมฆาก้าวออกมาจากห้องน้ำ ถึงแม้ทินกรจะไม่ได้ตัวใหญ่เท่าพ่อหรือพี่ชาย แต่เด็กหนุ่มก็ยังถือว่าคนละไซส์กับมธุวันอยู่ดี ร่างโปร่งต้องดึงยางยืดขอบเอวกางเกงมาผูกไว้หลายทบเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางเทคนิคอะไร
ทีแรกเขาคิดว่าเมฆาจะเอาชุดของธารธาราสมัยที่ยังแต่งตัวเป็นเด็กผู้หญิงมาให้เขาเสียอีก
แต่หลังจากเหตุการณ์ในวันที่เมฆาประสบอุบัติเหตุและธารธาราประกาศตัดขาดกับบิดาอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนเรื่องของน้องชายคนรองจะยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาล้อเล่นในบ้านหลังนี้มากขึ้นไปอีก
“คุณเมฆา ห้องน้ำว่างแล้ว...”
เสียงจ้อกแจ้กจอแจจากด้านล่างดึงความสนใจของมธุวันไปจากเจ้าของห้องที่นั่งทำงานอยู่บนเตียง ร่างโปร่งเดินไปดูที่หน้าต่างห้องของร่างสูง ที่ทางเข้าบ้านมีรถที่เขาไม่เคยเห็นจอดอยู่สองคัน คาดว่าคงจะเป็นเพื่อนของทินกรที่เด็กหนุ่มพูดถึง
“ผมไปเอาน้ำในครัวนะครับ จะเอาอะไรมั้ย?”
“กาแฟซักแก้วก็ดี”
ร่างสูงเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูห้องน้ำ มธุวันถอนหายใจ นิสัยชอบกินกาแฟดึกๆของอีกฝ่ายมักจะทำให้เขาเป็นห่วงเสมอช่วงที่ยังคบกัน แต่หลังจากเห็นว่าไม่ว่ากาแฟกี่แก้วก็ไม่สามารถปลุกให้เมฆาตื่นได้หากเจ้าตัวตั้งใจจะนอน เขาจงเลิกที่จะตามใจคนรักต่อไป
มธุวันเดินลงมาตามบันไดโค้งวนที่เขาเคยเห็นแค่ในหนังอย่างเงียบเชียบด้วยกลัวจะรบกวนคุณหนูเล็กของบ้านและเพื่อนๆ แต่บทสนทนาของทินกรกับเพื่อนอีกสองคนทำให้เขาต้องรีบก้าวเข้าไปหลบในจุดอับสายตาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“แล้วทำไมจู่ๆมึงถึงเรียกกูออกมาล่ะ?”
เขาจำเด็กคนที่ถามได้ดี ร่างสูงเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาพิมพ์เดียวกับบิดามีชื่อว่า วศิน พิพัฒน์ธารา หรือน้องเวย์ ลูกชายคนเดียวของคุณวีรภัทร เพื่อนสนิทของธีรเชษฐ์
“ก็…ก็พี่เมฆเขาทำหน้าดุอ่ะ กูแพนิค”
ทินกรลูบหลังคอของตัวเองแก้เก้อ ถึงเขาจะได้รับการถ่ายทอดอะไรหลายอย่างมาจากบิดาและพี่ชาย แต่สกิลการโกหกสร้างเรื่องโดยไม่ได้เตรียมการมาก่อนไม่ใช่หนึ่งในนั้น
อะไรนะ?
มธุวันสับสนกับสิ่งที่ได้ยิน หมายความว่าเมฆาจงใจที่จะให้เขาไปนอนห้องเดียวกับตัวเองงั้นเหรอ?
“นี่พี่มึงดุขนาดแค่ทำหน้าทำตาใส่มึงก็เรียกเพื่อนให้หอบผ้าหอบผ่อนมานอนด้วยแล้วเหรอวะ แถมยังให้กูนอนโซฟาเป็นหมาเฝ้าบ้านอีก”
เด็กหนุ่มอีกคนที่มธุวันไม่เคยเห็นหน้าถามอย่างไม่สบอารมณ์ ต่างจากทินกรและวศิน เด็กหนุ่มปากคอเราะร้ายมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายสไตล์ชายไทยแท้ๆ เฉดสีผิวแทนเข้มดูดุดันตัดกับผิวขาวออร่าสะท้อนแสงของทินกรที่นั่งข้างๆเป็นอย่างดี
“น่า พายุ ช่วยกูหน่อยนะ พี่กูดุจริงๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วจะได้มาช่วยกันคิดเรื่องประกวดเดือนไง มึงจะให้กูช่วยเรื่องประกวดความสามารถไม่ใช่เหรอ”
ทินกรออดอ้อนเพื่อนด้วยดวงตาวิบวับเหมือนลูกสุนัขขอความเมตตาซึ่งเป็นไม้ถนัดของเขา เด็กที่ชื่อพายุมีท่าทีขนพองสยองเกล้า ดันหน้าเพื่อนที่อ้อนได้ไม่ดูสังขารตัวเองออกห่างอย่างสยดสยอง
“เออๆ ออกไปจากหน้ากูได้แล้ว”
มธุวันเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยจิตใจเหม่อลอยโดยไม่ได้สนใจบทสนทนาต่อจากนั้น
ตลอดหลายวันมานี้ไม่ใช่เขาไม่สังเกต แต่เขาไม่อยากจะคิดถึงความเป็นไปได้นั้นมากกว่า
เพราะหากเมฆายังไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขากลับคืนมา คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คืออีกฝ่ายกำลังเริ่มสนใจเขาอีกครั้ง
ทั้งท่าทีหยอกเย้า สายตาที่มองมาที่เขา ถึงแม้จะไม่ได้เหมือนกับเด็กหนุ่มไม่มีทักษะที่เคยเอาลูกตื้อเข้าว่าจนชนะใจเขาเมื่อครั้งวันวาน แต่มธุวันก็พอจะดูออกว่านี่ไม่ใช่ท่าทีที่คนอย่างเมฆาปฎิบัติกับพนักงานทั่วไปในบริษัท
มธุวันชงกาแฟร้อนให้กับร่างสูงตามที่อีกฝ่ายฝากมา บรรจงรินน้ำร้อนจากกาทีละนิดพร้อมกับคนผงกาแฟไปด้วยให้ไม่เหลือตะกอนที่ก้นแก้ว ตามด้วยน้ำตาลและนมสดตามสัดส่วนที่เมฆาชอบ ร่างโปร่งกุมแก้วกาแฟแก้วใหญ่ที่ถูกอุณหภูมิของนม
สดที่ไม่ได้ถูกอุ่นให้ร้อนทำให้พอดีไว้ในมือแล้วยกขึ้นมา หลับตาลงแล้วอธิษฐานในใจ
‘ขอให้กาแฟแก้วนี้รสชาติเหมือนความรักที่เขามีให้เมฆ’
นั่นคือเคล็ดลับของมธุวันที่ทำให้กาแฟของเขา’อร่อยที่สุด’สำหรับเมฆา
ถึงแม้จะเลิกกันแล้ว แต่สิ่งที่ทำจนเคยชินเป็นนิสัยไม่ใช่อะไรที่จะสามารถเลิกได้ง่ายๆ เหมือนอย่างตอนที่เขาชงกาแฟให้อีกฝ่ายเมื่อเช้า ก่อนจะรู้ตัวเขาก็เผลอหลับตาลงแล้วอธิษฐานเสียแล้ว
เมื่อลืมตาขึ้น เงาสะท้อนในกระจกหน้าต่างของห้องครัวจ้องตอบเขากลับมาด้วยแววตาเศร้าหมอง
ทั้งที่เขาฝังตัวตนของหมอกที่เมฆตกหลุมรักลึกลงไปในจิตใจสำนึกตั้งแต่วันที่เมฆบอกให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทั้งที่คนตรงหน้าไม่มีอะไรเหมือนหมอกที่เมฆเคยบอกว่ารัก เขาไม่ใช่หมอกที่อ่อนโยน แสนดี เป็นที่รักของคนรอบข้าง
ทั้งที่เด็กอ่อนแอคนนั้นตายไปพร้อมกับอุบัติเหตุของเมฆแล้วแท้ๆ
แล้วตัวเขาในตอนนี้ ยังมีอะไรที่ทำให้เมฆารู้สึกสนใจอีกงั้นเหรอ?
------------------
ยาวอีกแล้ว อิอิ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์เน้อ~