“เมฆ ดูนั่น”
เสียงร้องอย่างตกใจของคนรักทำให้เมฆาชำเลืองไปยังทางเท้าตามนิ้วที่อีกฝ่ายชี้ ภาพที่เห็นคือเด็กวัยรุ่นตัวโตกำลังฉุดกระชากแย่งกระเป๋าผ้าเก่าๆจากมือของเด็กชายตัวเล็กที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเกินวัยประถมข้างเพิงเล็กๆที่มีพวงมาลัยกับดอกไม้ไหวพระวางขายอยู่ ถึงแม้จะมีแรงน้อยกว่าแต่เด้กชายก็กอดกระเป๋าผ้าไว้ไม่ยอมปล่อยแม้ว่าจะถูกทุบตีแรงเพียงใด
ปริ๊น!
เมฆาบีบแตรใส่ ตีไฟฉุกเฉินเข้าจอดรถข้างทาง เมื่อเห็นคนจะลงมาจากรถ เด็กวัยรุ่นที่ทำกร่างเมื่อครู่รีบวิ่งหนีไปทันที ทิ้งให้เด็กน้อยรูปร่างผอมแห้งทรุดตัวลงกับพื้นกอดกระเป๋าผ้าไว้แน่นทั้งที่ยังตัวสั่นเทา
“หนู เป็นอะไรรึเปล่า”
มธุวันคุกเข่าลงสำรวจบาดแผลตามร่างบอบบางของเด็กน้อย เด็กชายตรงหน้าดูเหมือนจะเป็นเด็กลูกครึ่งญี่ปุ่นในความเห็นของร่างโปร่ง มีผิวขาวเนียนและดวงตากลมโตน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้รอยช้ำตามร่างกายเด่นชัดจนน่ากลัว แต่เด็กน้อยกลับไม่ร้องไห้สักแอะ
“มะ..ไม่เป็นไรจ้ะ”
“ดึกแล้ว ทำไมออกมานอกบ้านคนเดียว มันอันตรายรู้มั้ย”
เมฆาขมวดคิ้ว ตักเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่ใบหน้าคมดุของอีกฝ่ายทำให้เด็กน้อยยิ่งขดตัวเป็นก้อนกลมอย่างหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่เขาแค่เป็นห่วงน่ะ” มธุวันปลอบเสียงอ่อนโยน ลูบศีรษะของเด็กน้อยเบาๆอย่างสงสาร “แล้วเราออกมาทำอะไรนอกบ้านเวลานี้ครับ หืม?”
“หนูมาขายดอกไม้จ้ะ วันนี้วันพระ”
เด็กน้อยชี้ไปที่เพิงเล็กๆที่มีเพียงดอกไม้ไม่กี่กำกับพวงมาลัยเล็กๆสองสามพวง มธุวันขมวดคิ้ว ก่อนจะถามอย่างสงสัย
“แล้วคุณพ่อคุณแม่หนูล่ะ”
“แม่ไม่สบาย แม่ปวดหัวมาก หนูกลัวดอกไม้เน่าเลยมาขายจ้ะ” เด็กน้อยตอบ เงยหน้ามองเขาตาแป๋ว “พี่ชายซื้อดอกไม้ไหว้พระมั้ยจ๊ะ วันนี้วันพระ หนูร้อยพวงมาลัยเองนะ”
ดวงตากลมโตนั้นยากที่จะปฎิเสธ มธุวันยิ้มอย่างลำบากใจ เขาเพิ่งให้เงินที่จำนวนค่อนข้างมากหากเทียบกับรายได้ของเขากับโจรก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้มีเงินเหลือเฟือมากพอที่จะช่วยเด็กคนนี้
“ถ้างั้นพี่ขอกล้วยไม้กำนึง...”
“พี่เหมาทั้งร้าน”
เสียงทุ้มเอ่ยขัดคนรักเรียบๆพร้อมกับยื่นแบงค์สี่เทาห้าใบให้กับเด็กน้อยที่เบิกตากว้าง
“หนะ..หนูไม่มีทอน”
เด็กน้อยส่ายหน้าพรืด ขยับหนีราวกับหวาดกลัวจำนวนเงินที่อีกฝ่ายยื่นให้ เมฆาขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายไม่ยอมรับเงินของเขา
“ไม่ต้องทอน”
“มะ…ไม่ได้หรอกจ้ะ มันเยอะไป”
เด็กน้อยยังคงยืนกราน ถึงแม้ดวงตากลมโตจะจับจ้องที่กระดาษสีเทาในมือของอีกฝ่ายตาไม่กระพริบ
“วันนี้วันพระไง” มธุวันเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ช่วยเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยให้รับเงินไปจากคนรัก ถึงแม้ตัวเขาเองจะยังตกใจกับจำนวนเงินที่อีกฝ่ายควักออกมาก็ตาม “พี่ชายเขาอยากทำบุญ หนูรับไปเถอะนะ พี่เขาจะได้ได้บุญ”
“เอ่อ...”
เด็กน้อยยังคงมีสีหน้าเคลือบแคลงใจ
“นะครับ ช่วยพี่ทำบุญหน่อยนะเด็กดี”
มธุวันเอ่ยเสียงหลอกล่อ ในที่สุดเด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้าแล้วรับเงินจากพวกเขาเก็บใส่กระเป๋าผ้าเก่าๆในมือ
“มีน…มีนเอ๊ย กลับได้แล้ว ดึกแล้ว อันตราย”
เสียงของหญิงชราดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะกระย่องกระแย่งเดินมาหาพวกเขาโดยใช้แท่งไม้เก่าๆเป็นที่พยุง เด็กน้อยรีบวิ่งไปหาหญิงชราหลังค่อมทันที
“ยายจ๋า ไหวมั้ยจ๊ะ”
“เอ้อ ไหวๆ ทีหลังอย่าออกมาค่ำๆมืดๆอีกนะมันอันตราย”
หญิงชราดุหลานชาย ดวงตาที่ฝ้าฟางจนแทบมองไม่เห็นอะไรยามค่ำคืนเพ่งมองหาเค้าลางของเด็กน้อยอย่างยากลำบาก
“จ้ะยาย หนูขายของได้หมดเกลี้ยงเลยนะจ๊ะ พี่ชายสองคนนี้เขาให้เงินมาตั้งห้าพันแหนะ พรุ่งนี้หนูจะไปซื้อให้ยายกับแม่แต่เช้าเลยนะ”
เด็กน้อยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว หญิงชราชะงักเมื่อได้ยินดังนั้น ยกมือที่สั่นเทาขึ้นพนมไหว้เด็กหนุ่มทั้งสองอย่างซาบซึ้งจนมธุวันกับเมฆาต้องรีบถลาไปรับไหว้เสียยกใหญ่
“ขอบใจมากนะจ๊ะพ่อคุณ เจริญๆนะลูกนะ”
“คุณยายบ้านอยู่ตรงไหนเหรอครับ ให้พวกเราไปส่งมั้ย?”
มธุวันถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพง่อนแง่นของหญิงชรา แต่คนถูกถามกลับส่ายหน้า
“กระต๊อบยายอยู่ในซอยนี่แหละ เดินนิดเดียว ไม่ต้องลำบากพวกพ่อหนุ่มหรอก ไปมีน แม่เป็นห่วงใหญ่แล้ว”
“จ้ะยาย หนูไปแล้วนะจ๊ะพี่ชาย ขอบคุณมากนะจ๊ะ”
เด็กน้อยโบกมือให้พวกเขาอย่างร่าเริง พยุงยายของตัวเองเดินกลับเข้าไปในซอยแคบข้างถนนใหญ่ มธุวันมองตามไปอย่างเป็นห่วง แต่ก็รู้ว่าทุกคนย่อมมีวิธีการเอาตัวรอดในแบบของตัวเอง เขาได้แต่หวังว่าด้วยเงินที่เมฆาให้ไปชีวิตของเด็กน้อยที่ชื่อน้องมีนคนนี้และครอบครัวจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่สักนิดก็ยังดี
“ยิ้มอะไรเมฆ?”
มธุวันถามคนขับที่อมยิ้มมาตลอดทางอย่างผิดวิสัยของเจ้าตัว
“เมฆแค่รู้สึกว่าเมฆเป็นผู้ชายที่โชคดีชะมัด”
ร่างสูงตอบยิ้มๆ สร้างความประหลาดใจให้กับคนฟังเป็นอย่างมาก
“โชคดียังไงเหรอ?”มธุวันถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็แฟนเมฆ ทั้งฉลาด ทำอาหารเก่ง งานบ้านก็เก่ง อ่อนโยนใจดี แถมยังลีลาเด็ดด้วย”
“ทะลึ่ง!”
มธุวันหน้าขึ้นสีกับคำพูดของคนรัก คำสุดท้ายนี่มันคำชมที่ไหนกันล่ะ!
“ใครกันแน่ครับที่ทะลึ่ง ตอนซื้อของยังบอกว่าคืนนี้อย่างให้เมฆกินอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
ร่างสูงแสร้งเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย ได้รับรางวัลเป็นแรงผลักที่แขนจากคนรักที่หน้าแดงเป็นลูกตำลึง
“หยุดเลย...”
“เมฆพูดความจริงนี่นา หมอกอยากโดนเมฆกินไม่ใช่เหรอ?”
นานๆทีชายหนุ่มจะรุกเร้าคนรักด้วยคำพูดแทนการกระทำ มธุวันเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“คืนนี้จะกินตรงไหนก่อนดีน้า...”
“อย่าคิดว่าหมอกจะไม่กล้าล็อคเมฆไว้นอกห้องนะ”
ร่างโปร่งกอดอกขู่ด้วยใบหน้าที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด เมฆาหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ถ้าล็อคเมฆไว้แล้วคืนนี้ใครจะช่วยหมอกล่ะครับ”
“เมฆ อย่าท้า....” ร่างโปร่งเชิดหน้า “...เมฆคิดว่าหมอกซื้อมะเขือยาวมาทำไม?”
รถสปอร์ตคันหรูที่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอะไรตั้งแต่ซื้อมาสะบัดวูบอย่างไร้การควบคุมไปชั่ววินาทีหนึ่ง ถึงแม้มธุวันจะกลัวรถชน แต่สีหน้าซีดเผือดของคนรักในตอนนี้มันช่างคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
“พี่รินเรียกผมมามีอะไรครับ เครื่องผมจะออก....”
เสียงของนาวินทร์ที่กำลังหงุดหงิดจากการถูกดึงตัวกับมาจากสนามบินก่อนเวลาขึ้นเครื่องเพียงไม่กี่ชั่วโมงถูกกลืบหายไปในลำคอเมื่อเห็นพี่ชายของตนทรุดตัวอยู่บนพื้น ใบหน้างดงามคลอเคลียกับฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มอายุเท่ากันในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวสบายๆที่ปลดกระดุมแทบทุกเม็ดจนเห็นกล้ามท้องเป็นลอนที่ถูกเส้นผมสีดำสนิทของพี่ชายเขาบดบังเป็นบางส่วน
“จะรีบไปไหนวิน?”
นิโคไลเลิกคิ้ว ทั้งที่ดวงตาสีมรกตฉายชัดว่ารู้ดีถึงการตัดสินใจของเขา
“บอส…พี่ริน...”
ดวงตาสีรัติกาลมองพี่ชายกับเจ้านายสูงสุดของตนสลับไปมาอย่างสับสน เขาไม่มั่นใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“นายคงไม่คิดจริงๆหรอกนะว่ารินจะกล้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากฉัน”
นิโคไลสางนิ้วตามเส้นผมนุ่มสลวยยาวประบ่าของเงาคนสวยของตน วรินทร์หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข ฮัมเพลงเบาๆในลำคออย่างอารมณ์ดี
“แล้ว...ที่พี่รินพูดว่า....”
“พี่แค่อยากรู้ว่านายมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเงาของคุณหนูมิคาเอลมั้ย”
วรินทร์ตอบยิ้มๆ ไม่เคยผละจากที่นั่งบนพื้นข้างขาของร่างสูง ซึ่งเป็นเหมือนที่ประจำของร่างโปร่งตั้งแต่วันแรกที่วรินทร์เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน
“ถ้าบอสรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว...”
ทำไมมธุวันถึงยังลั้ลลาอยู่กับเมฆาที่คอนโด?
“พวกกาวิโน่มันตายยากกว่าที่คิดน่ะสิ”
เจ้านายของเขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ตอบคำถามที่เขาไม่ได้ถามออกไป กาวิโน่คือแก๊งมาเฟียเดนตายที่เป็นผู้เบื้องหลังเห็นการณ์เพลิงไหม้ที่คฤหาสน์ของตระกูลอัลฟอนโซ่เมื่อหลายปีก่อน และเป็นสาเหตุให้บิดาของนิโคไลเสียชีวิต พรากเอาผู้นำตระกูลของตระกูลอัลฟอนโซ่ และเงาจากตระกูลเหลียนไปจากโลกตลอดกาล
เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้คุณณิรภา ภรรยาคนที่สองของบอสหอบลูกชายคนเดียวหนีกลับเมืองไทย ส่วนคุณนิโคไลก็ถูกดาห์เลีย มารดาของตน ภรรยาหลวงที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งเป็นลูกสาวของแก๊งมาเฟียฝั่งรัสเซียอบรมสั่งสอนในสิ่งที่บิดาเคยคิดว่าเขายังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจ สอนถึงความจริงของโลกสีเทาที่เขากำลังจะเป็นผู้กุมมันไว้ในมือของตนในขณะที่ช่วยดูแลประคับประคองตระกูลอัลฟอนโซ่เท่าที่เธอจะทำได้
กว่าที่นิโคไลจะโตพอที่จะมีอำนาจสั่งให้ลูกน้องออกตามหาน้องชายตัวน้อยของเขาที่เปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจของคนในบ้าน เบาะแสทุกอย่างของนิโคไลก็หายเข้ากลีบเมฆไปเสียแล้ว
“แล้วบอสจะเอายังไงต่อครับ?”
นาวินทร์ถามด้วยความสงสัย หากพวกกาวิโน่ยังตามกลิ่นพวกเขาเพื่อคิดจะตามหาจุดอ่อนของนายคนใหม่แห่งตระกูลอัลฟอนโซ่แบบนี้ การจะดึงตัวมธุวันเข้ามาพัวพันย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ตอนนี้พวกมันยังไม่มีเบาะแสอะไรที่จะเชื่อมโยงมิคาเอลกับ...”เสียงทุ้มขาดหาย นิโคไลสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดต่อ
“...กับมธุวัน อย่าเพิ่งส่งคนของเราเข้าไป ฉันไม่อยากให้พวกมันตามกลิ่นเจอ”
“ครับ”
นาวินทร์รับคำ เขารู้ว่าการที่จะต้องหันหลังให้กับน้องชายที่ตัวเองเฝ้าตามหาทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่เอื้อมทำร้ายอีกฝ่ายมากเพียงใด ถึงแม้สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่านิโคไลกำลังเจ็บคือแววตาหม่นแสงของร่างสูงก็ตาม
“มิคาเอล...ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง”
เสียงทุ้มเจือไปด้วยความลังเล ราวกับไม่มั่นใจว่าตัวเองควรจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ นาวินทร์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
“ในนี้มีรูปกับวีดีโอของคุณหนูอยู่บ้างครับ บางรูปเพิ่งถ่ายเมื่อคืน”
นิโคไลเลื่อนดูรูปของเด็กหนุ่มร่างโปร่งเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนกำลังวางอาหารเย็นหน้าตาน่าทานลงบนโต๊ะโดยมีเมฆาคอยก่อกวนโอบรัดเอวบางไว้ไม่ยอมปล่อยในทุกรูป
“คนคนนี้...เขาดูแลน้องฉันดีมั้ย?”
นิโคไลถาม ดวงตาสีมรกตจดจ้องที่ใบหน้าคมเข้มนั้นอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
“เมฆเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรักครับ แล้วเขาก็รักหมอ...รักคุณมิคาเอลมาก”
นิโคไลกดปุ่มเล่นวีดีโอของคลิปสั้นคลิปหนึ่งที่เขาเห็นว่ามีมธุวันอยู่ในนั้น
“วิน ถ่ายทำไมอ่ะ” มธุวันที่กำลังเช็คความเรียบร้อยปืนของตัวเองถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็ถ่ายเก็บไว้ให้ไอ้เมฆรู้ไงว่าถ้าหมอกโกรธจะเป็นยังไง”นาวินทร์ที่อยู่หลังกล้องตอบเสียงขบขัน เมฆาที่ยืนอยู่ข้างๆชูนิ้วให้เพื่อนสนิทตอนที่มธุวันไม่ได้มอง
“เราไม่ใช่พวกรุนแรงแบบนั้นซะหน่อย” มธุวันยิ้ม หันไปหาเมฆาที่รีบเก็บนิ้วทันที “เย็นนี้เมฆจะไปต่อกับวินมั้ย?”
“ไม่เอา จะอยู่กับหมอก”
ร่างสูงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด วีดีโอถึงตัดจบไปแค่นั้นส่วนภาพที่ถ่ายต่อจากนั้นเป็นภาพของน้องชายของเขาที่กำลังยิงปืนด้วยสีหน้าจริงจัง แต่รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกสนานเพียงใด เขาไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดีที่เห็นน้องชายชื่นชอบอาวุธชนิดนี้มากขนาดนี้
“ไปได้แล้ว”
“ครับบอส”
นาวินทร์โค้งกายให้เจ้านายของตนแล้วรับโทรศัพท์คืนมาจากอีกฝ่าย เมื่อลับหลังร่างของบอดี้การ์ดหนุ่ม นิโคไลก็ก้มลงมองร่างที่เงยหน้ารอรับคำสั่งจากเขาพร้อมรอยยิ้มหวาน
“ติดต่อคนคนนั้น ทำตามแผนที่เราวางไว้”
“ครับนิค”
วรินทร์รับคำด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความรู้สึกกังวลใดๆกับ’แผน’ที่อีกฝ่ายวางไว้ ถึงแม้ในสายคนนอกแผนของนิโคไลจะดูเหมือนเต็มไปด้วยช่วงโหว่ก็ตาม
หน้าที่ของเขาคือการทำให้ความต้องการของนิโคไลเป็นจริง
ถึงแม้วิธีการที่จะได้มาซึ่งผลลัพธ์นั้น เขาจะต้องเหยียบย่ำร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเพื่อไปให้ถึงก็ตาม
--------
มาล้าวววว
คิดถึงเมฆหมอกกันม๊ายยยยย