[จบแล้ว]Your Stranger รัก||ไม่||ลืม ตอนพิเศษ คห.1998 P.67 (13/3/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว]Your Stranger รัก||ไม่||ลืม ตอนพิเศษ คห.1998 P.67 (13/3/63)  (อ่าน 505409 ครั้ง)

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ความกระจ่างอีกหนึ่งเริ่มปรากฎ
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ  :L2:
ปล. รับทราบ

ออฟไลน์ Naamtaan22

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 271
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สวัสดีค่ะตามมาอ่านต่อจากเรื่องBlind sideของน้องแว่นไม่คิดว่าจะตามมาทันตอนล่าสุดได้ แต่พอได้อ่านแล้วเพลินจริงๆรู้ตัวอีกทีก็จบตอนซะแล้ว บอกได้เลยค่ะว่าชอบมากๆชอบวิธีการเล่าเรื่องของคุณ ไม่ได้อ่านนิยายจริงจังแบบนี้มาพักใหญ่แล้วเนื้อเรื่องมีอะไรให้เราลุ้นอยู่ตลอดเลยเราชอบค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ :mew1:

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Chapter 21: [Now] คุก





“ฮัลโหล ว่าไงไอ้เมฆ”




นาวินทร์กดรับโทรศัพท์ของเพื่อนรัก เอนตัวพิงพนักของเบาะคนขับที่ตัวเองนั่งอยู่นานหลายชั่วโมงอย่างเมื่อยขบ ชายหนุ่มรับฟังเรื่องราวระทึกขวัญของเพื่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ด้วยได้รับแจ้งจากคนในทีมเรียบร้อยแล้วว่านิโคไลสั่งให้ทำอะไร




“เออ เดี๋ยวกูจัดการให้ ว่างๆไปแดกเหล้ากัน อย่าเบี้ยวกูนะเว้ย เออๆ”




ชายหนุ่มกดตัดสาย เงยหน้ามองเจ้าของห้องบนชั้นสามที่เขาได้รับคำสั่งให้เฝ้าสังเกตการณ์ ที่ริมระเบียงซึ่งเปิดไฟสว่าง ชายหนุ่มร่างสูงในเสื้อกล้ามสีขาวเบาบางที่หากนาวินทร์ยกกล้องส่องทางไกลดูคงเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดระดับฟูลเอชดีเดินออกมาตากเสื้อผ้ายามค่ำคืน ใบหน้าหล่อเหลาที่มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อดูจริงจังแม้กระทั่งยามตากผ้า เขาไม่เข้าใจว่ามธุวันทนนอนร่วมห้องกับอีกฝ่ายมาตลอดหลายปีได้อย่างไร หากเขาได้เป็นพี่ชายบุญธรรมของแดนดิน รับรองได้ว่าไม่เหลือรอดออกมาใส่เสื้อกล้ามตากผ้าอวดสายตาประชาชีแบบนี้หรอก




ร่างสูงคิดอย่างไม่ได้สำเหนียกเลยว่าพี่ชายของตัวเองติดอันดับมนุษย์ที่มีใบหน้าสวยที่สุดในโลกอันดับต้นๆ




ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ใช่ภารกิจของเขา เขาจะไม่ลังเลที่เลยที่จะชวนแดนดินออกเดทอย่างจริงจัง คนคนนี้ตรงเสป็กเขาทุกอย่างราวกับหลุดออกมาจากโรงงานชายในฝัน แต่เขารู้ว่าต่อให้มธุวันไม่ใช่น้องชายของมาเฟียที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในโลกมืด ร่างโปร่งก็สามารถหาวิธีทรมานเขาได้ด้วยมือเปล่าได้อย่างไม่ยากเย็นหากรู้ว่าเขาบังอาจแตะต้องน้องชายบุญธรรมของตัวเอง





ดังนั้นคีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุดในภารกิจครั้งนี้คืออย่าให้มธุวันรู้เรื่องเป็นอันขาด








“กาแฟครับ”




เมฆาเงยหน้าขึ้นตามเสียงของคนที่เขานั่งทำงานรออยู่ ร่างสูงพยักหน้าขอบคุณแล้วรับแก้วกาแฟร้อนๆมาจากเลขาร่างโปร่ง แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปเสียแล้ว คนที่นั่งทำงานอยู่บนเตียงเด้งลุกตามอีกฝ่ายไปที่ทางเดินอย่างรวดเร็ว




“นี่ จะไปไหน”




“ท่านประธานอนุญาตให้ผมนอนที่ห้องทำงานแล้ว” ร่างโปร่งตอบ ไม่ยอมแม้แต่จะหยุดคุยกันดีๆ จนเมฆาทนไม่ไหวคว้าข้อมือบางไว้ให้หยุดเดินหนีเขาเสียที




“นี่นายเป็นอะไรอีกเนี่ย?”





“ผมต่างหากที่ต้องถามว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่? สนุกมากนักเหรอที่ต้องทำให้ชีวิตของคนอื่นวุ่นวายแบบนี้”




“นี่พูดเรื่องอะไร?”




เมฆาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ




“เด็กที่มาวันนี้ คนนึงเป็นลูกชายของคุณวีรภัทร”




“แล้วไง?”




เมฆายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมการที่ลูกชายของเพื่อนสนิทธีรเชษฐ์มาค้างบ้านเขาเป็นเรื่องใหญ่อะไร




“คุณวศินเรียนคณะวิศวะ คุณทินกรเรียนคณะบริหาร” มธุวันกอดอก ถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นในอก“คุณ
คิดว่าคนปกติจะเรียกคณะคู่แข่งมาช่วยวางแผนมั้ยว่าจะทำอะไรในงานประกวดเดือน”




“….”




“นอกจากว่าคุณทินกรจะถูกบังคับให้เรียกเพื่อนมาจนไม่ได้คิด” ร่างโปร่งเลิกคิ้ว “จริงมั้ยครับ?”





“แล้วฉันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร” เมฆาถามย้อน




“นั่นแหละครับที่ผมกำลังถาม” มธุวันไม่แม้แต่จะกระพริบตา “คุณกำลังเล่นอะไรอยู่?”



คนโดนจับได้ถอนหายใจ เมฆายกมือยอมแพ้




“ก็ได้ ฉันอยากนอนกับนาย พอใจรึยัง?”




ถึงแม้จะเป็นคำตอบที่มธุวันคาดไว้ว่าจะได้ยิน แต่ร่างโปร่งก็อดรู้สึกถึงหัวใจที่กระตุกวูบกับคำพูดของคนตรงหน้าไม่ได้ เลขา
หนุ่มยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแแปลง




“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกพยายามได้แล้วครับ เพราะเรื่องระหว่างเราจะไม่มีวันเกิดขึ้น”




“ทำไม?นายก็บอกเองนี่ว่าไม่มีแฟนแล้ว?”



เมฆาเลิกคิ้ว ขยับก้าวย่นระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งคู่ มธุวันอยากจะก้าวถอยตามสัญชาตญาณ แต่ทิฐิในใจมีมากเกินกว่าจะยอมให้อีกฝ่ายได้ความสะใจที่เห็นเขาเป็นคนหนี



“ไม่มีแฟนก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องกระโดดใส่ผู้ชายทุกคนที่สนใจ” ร่างโปร่งตอกกลับอย่างหงุดหงิด พยายามไม่สนใจอุณหภูมิของร่างสูงที่ใกล้จนรู้สึกได้ “อีกอย่าง...ผมไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับคนอย่างคุณ”




“คนอย่างฉันมันทำไม?”




ร่างสูงถาม น้ำเสียงไม่มีแววโมโหกับคำพูดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด มธุวันขยับตัวเล็กน้อยอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังของตัวเองแทบจะชนกับประตูห้องทำงานของธีรเชษฐ์อยู่แล้ว




“ก็ไม่ทำไม ผมแค่ไม่ชอบ เลิกตอแยผมซะที รำคาญ”




เมื่อไม่มีที่ให้ถอย ร่างโปร่งทำได้เพียงเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดหมันต์เมื่อเขาได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำชิดริมหูที่ส่งกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่างอย่างห้ามไม่อยู่




“หึ…ฉันว่านายเข้าใจอะไรผิดแล้ว มธุวัน” เมฆาแสยะยิ้มอวดเขี้ยวแหลม “ฉันจะถูกใจใคร จะชอบใคร มันไม่ใช่กงการอะไรของนาย”



“นี่คุณ...!”




คนที่หันขวับกลับมาหุบปากฉับทันทีเมื่อเห็นว่าริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่อยู่ใกล้เสียจนเขามั่นใจว่าเมื่อครู่เขาเผลอปัดไปโดนริมฝีปากได้รูปนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ




“ถ้าฉันอยากจีบนาย ฉันจะจีบ คำพูดของนายไม่มีผลอะไรกับฉัน จำไว้”




ร่างสูงผละออกจากเลขาหนุ่มที่นานๆทีจะไม่มีคำพูดเจ็บแสบตอกกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงของผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า




“อ้อ…ฉันล็อกห้องทำงานของพ่อไว้แล้ว พ่อเป็นคนเดียวที่มีกุญแจ อย่าเสียเวลาตามหาเลย”




ร่างโปร่งมีสีหน้าไม่เชื่อ หันกลับไปกดมือจับประตูดันเข้าไปแต่ไม่เป็นผล เสียงหัวเราะของเมฆาที่ดังห่างออกไปเรื่อยๆยิ่งทำให้เขาพยายามดันประตูแรงขึ้น แต่เจ้าแผ่นไม้บานใหญ่ยังคงไม่ขยับ




“ถ้ายอมแพ้เมื่อไหร่ก็กลับมาแล้วกัน” เสียงของเมฆาดังขึ้นจากอีกฟากของทางเดิน “สำหรับนายห้องนอนฉันเปิดกว้างเสมอ”




จะบ้ารึไง? ใครจะไปยอมแพ้กันล่ะ!









ในที่สุดมธุวันก็ยอมแพ้หลังจากสู้รบปรบมือกับประตูห้องทำงานของธีรเชษฐ์ แล้วเขาก็ไม่หน้าหนาพอที่จะเข้าไปนอนห้องนอนแขกที่ป้าแต้วพูดอย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้นนอนจากฟูกเปล่ากับฝุ่น ถึงเขาจะนอนได้ แต่มธุวันรู้ดีว่านั่นจะทำให้ป้าแต้วเสียความรู้สึกในฐานะแม่บ้านมากเพียงใด




ร่างโปร่งยืนอยู่หน้าห้องนอนของเมฆาหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เขารู้ดีว่าสิ่งหนึ่งที่เมฆาไม่เหมือนกับบิดาของตน คือชายหนุ่มไม่สามารถโต้รุ่งได้อย่างธีรเชษฐ์ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายทนง่วงไม่ไหวหลับไปแล้ว




ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไป บนเตียงของร่างสูงกลับว่างเปล่าไร้เงาของเจ้าของที่ควรจะนอนอยู่บนนั้น มธุวันขมวดคิ้ว ก่อนจะสังเกตเห็นก้อนขยุกขยุยที่น่าจะเป็นเจ้าของห้องที่หายไปนอนบนพื้นที่มีเพียงผ้าห่มสำรองปูอยู่ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่มธุวันก็อดยิ้มมุมปากกับภาพที่เห็นไม่ได้




ไม่! อย่าหวั่นไหวกับเรื่องไร้สาระแบบนี้สิ!





 มธุวันสะบัดหน้าไปมาอย่างแรงไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่ผุดขึ้นมาในหัว เลขาหนุ่มค่อยๆนั่งลงบนเตียง สอดตัวลงใต้ผ้าห่มอย่างเงียบเชียบ ร่างโปร่งตะแคงนอนหันหลังให้คนที่นอนหลับสนิทอยู่บนพื้น ตั้งใจจะตื่นก่อนแล้วรีบออกไปจากห้องให้เร็วที่สุด







สิ่งที่มธุวันลืมคำนึงถึงคืือความสามารถในการนอนดิ้นของตัวเอง เพราะเมื่อลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือใบหน้าคมที่หลับตาพริ้มอยู่ใกล้แค่คืบ รวมถึงร่างที่กอดรัดเขาไว้แน่นราวกับอนาคอนด้ากำลังจะขย้ำเหยื่อ




พูดถึงอนาคอนด้า....



“คุณเมฆา!ตื่น!”



ร่างโปร่งตบเพี้ยะลงบนท่อนแขนใหญ่ของชายหนุ่มเมื่อรู้สึกถึงเจ้าอนาคอนด้าตัวจริงที่ตัวท่าเตรียมจู่โจมในยามเช้าเช่นกัน เมฆาไม่ยอมลืมตา แต่เขาเห็นว่ามุมปากของคนที่’หลับ’อยู่ยกขึ้นเล็กน้อย




เล่นแบบนี้ใช่มั้ย...ได้!



มธุวันยกมือขึ้นบีบจมูกของร่างสูงไว้แน่น มืออีกข้างปิดปากอีกฝ่ายไว้ไม่ให้ได้รับอากาศหายใจ จนกระทั่งคนแกล้งหลับทนไม่ไหวลุกขึ้นนั่งหอบเอาอากาศหายใจ




“นี่คิดจะฆ่ากันรึไง?”




“ผมก็แค่ช่วยปลุก” มธุวันที่เป็นอิสระจากหนวดปลาหมึกชันตัวขึ้นนั่งตามอีกฝ่าย




“เหอะ คนเรา อ่อยเองโกรธเอง”




เมฆาลูบจมูกที่แดงแจ๋ของตัวเองเซ็งๆ




“ใครอ่อย?”




มธุวันกอดอกอย่างไม่พอใจ ร่างสูงเลิกคิ้ว




“ก็ใครล่ะที่ฉันอุตส่าห์ยอมลงมานอนบนพื้นก็ยังกลิ้งตุบตามลงมาอีกน่ะ” เมฆาฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทีหลังอยากนอนด้วยก็บอกดีๆสิ”




“หลงตัวเอง”




ร่างโปร่งกลอกตาอย่างเหลืออด ลุกหนีอีกฝ่ายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนาที่ดูอย่างไรเขาก็น่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมฆามองตาม นัยน์ตาสีควันบุหรี่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักตัวเองอีกครั้ง ถึงแม้ตัวเขาในตอนนี้จะดูห่างไกลจากเด็กหนุ่มที่เขาเห็นในเศษเสี้ยวความทรงจำเล็กๆที่เขายังปะติดปะต่อเรียงร้อยเป็นเรื่องราวไม่ได้ แต่เขาก็เชื่อว่าตัวเขาคนใหม่ในตอนนี้จะสามารถเอาชนะใจมธุวันคนใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนกับเด็กหนุ่มร่างโปร่งเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นได้




ก็คนมันรักไปแล้วนี่ เขามีทางเลือกอื่นนอกจากสู้ด้วยรึไง





ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5

หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่ปกติ




มธุวันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ในคืนนั้น เขารู้จักคนอย่างเมฆาดี และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะจีบเขาโดยไม่่สนว่าเขาจะยินยอมหรือไม่




หลายวันที่ผ่านมามธุวันจึงอยู่ในสถานะตื่นตัวตลอดเวลา ราวกับว่าเมฆาจะกระโดดออกมาจากหลังแจกันดอกไม้พร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่แล้วใช้แส้มัดเขาไว้ก่อนจะอุ้มไปดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ทั้งอย่างนั้น




“เอ่อ...”




แต่สำหรับวันนี้ มธุวันรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อได้ยินเสียงหวานที่ไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่กำลังตรวจสอบ คนที่ยืนกอดแฟ้มเอกสารปึกหนาด้วยสีหน้าประหม่าเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กในชุดนักศึกษาที่หัวเข็มขัดเป็นตรามหาวิทยาลัยเก่าของเขา หน้าตาของอีกฝ่ายดูคล้ายเด็กมัธยมญี่ปุ่นในซีรีย์ที่เขาชอบดู ตากลมโตหวานสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเส้นผม ผิวขาวใส ริมฝีปากอิ่มเล็กสีแดงประกอบกันเป็นเครื่องหน้าน่ารักสมวัยอย่างไม่ต้องปรุงแต่งอะไร




ดูน่ารักไม่มีพิษภัย...




ดูใสซือ่ไร้เดียงสา...




และดู...ไม่มีทางบรรลุนิติภาวะแล้วแน่ๆ




“ผม..ผมมาหาคุณธีรเชษฐ์ครับ”





ประโยคที่มธุวันหวาดกลัวที่จะได้ยินที่สุดออกมาจากริมฝีปากสีแดงอิ่มตามธรรมชาตินั้นราวกับภาพสโลว์โมชั่น มธุวันยังคง
พยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ในใจนั้นไอดังคุกๆไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว




“นัดไว้รึเปล่าครับ?”




เด็กหนุ่มส่ายหน้า กอดแฟ้มในมือไว้แน่นราวกับจะใช้มันเป็นอาวุธป้องกันตัว มธุวันอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองกำลังรังแกเด็กอยู่ แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นอย่างที่เขาคิด มธุวันจำเป็นจะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก่อนที่จะเกิดเรื่องที่เขาจะต้องตามล้างตามเช็ด




"ถ้าอย่างนั้นผมคงให้คุณเข้าพบท่านประธานไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยครับ" เห็นแก่ที่เด็กคนนี้ไม่โวยวายอะไร เขาจะไล่ไป
แบบสุภาพชนแล้วกัน "มีธุระอะไรจะฝากไว้มั้ยครับ?"




"เอ่อ...ถ้างั้นผมฝากแฟ้มไว้ได้มั้ยครับ"เด็กหนุ่มยื่นแฟ้มปึกใหญ่นั้นให้มธุวัน "เมื่อคืนผมได้ยินคุณเชษฐ์บอกว่าต้องใช้วันนี้"




มธุวันรู้สึกว่าเห็นภาพห้องขังลอยมาในหัวทุกคำที่อีกฝ่ายว่า ร่างโปร่งพยักหน้า รับแฟ้มปึกนั้นมาวางรวมกับเอกสารบนโต๊ะ เด็กหนุ่มยืนเก้ๆกังๆมองเขาอยู่สักพักก่อนจะยกมือไหว้ลา มธุวันเลิกคิ้วแต่ก็ยกมือรับไหว้ตามมารยาท นึกถูกใจร่างเล็กที่ดูมี
สัมมาคารวะต่างจากคู่นอนคนอื่นๆของธีรเชษฐ์อย่างสิ้นเชิง





ถ้าไม่ติดว่าเด็กน้อยตรงหน้าน่าจะเป็นคนแรกที่ทำให้ธีรเชษฐ์เสี่ยงตารางขนาดนี้เขาก็อยากจะเอ็นดูอีกฝ่ายอยู่หรอกนะ
ร่างเล็กหันกลับไปยังลิฟต์ที่ตัวเองขึ้นมา แต่ร่างของประธานบริษัทหนุ่มที่ก้าวออกมาจากลิฟต์ทำให้เด็กหนุ่มชะงัก ธีรเชษฐ์
เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นอีกฝ่าย




"มาทำอะไรที่นี่?"



"คุณ...คุณลืมเอกสารไว้ที่ห้องน่ะครับ"




เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา ก้มหน้างุดราวกับกลัวว่าจะถูกชายหนุ่มดุ ธีรเชษฐ์เพียงแต่ก้มมองร่างเล็กนั้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนจะดึงแขนเรียวให้เดินตามมา ร่างบอบบางที่ดูไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้วแทบจะลอยหวือตามแรงกระชาก




"ท่านประธาน...."



มธุวันลุกขึ้นจากเก้าอี้ สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าควรจะปล่อยให้คนทั้งสองเข้าไปในห้องปิดทึบที่เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้ หรือให้ธีรเชษฐ์พาเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้ชื่อคนนี้ไปที่ห้องรับรองที่เป็นกระจกโปร่งแสง แต่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่พนักงานผ่านไปมาจะมองเห็นได้ และความเสี่ยงที่เจ้านายของเขาจะสติหลุดเขมือบกระต่ายน้อยต่อหน้าประชาชี




"ทีหลังถ้าเด็กคนนี้มาให้เขาเข้าไปรอในห้อง"




"...ครับ"




สุดท้ายร่างโปร่งก็ตัดสินใจปล่อยให้ธีรเชษฐ์ลากเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องของตัวเอง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายด่วนหาทนายความประจำตัวของเจ้านาย





อย่างที่บอก เลขาอย่างเขาต้องเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์







หลังจากหายเข้าไปนาน แต่กลับไม่มีเสียงอะไรดังออกมาจนผิดสังเกต มธุวันก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีว่าร่างบอบบางนั้นจะตาย
คามือชายหนุ่มไปหรือยัง ร่างโปร่งตัดสินใจเข้าไปในครัวเพื่อหยิบขนมทานเล่น รินนมสดและชงกาแฟให้กับเจ้านายและ
แขกเพื่อหาข้ออ้างในการเข้าไปสอดส่องสถานการณ์





ภาพที่เห็นเมื่อเปิดประตูเข้าไปคือธีรเชษฐ์นั่งทำงานเอกสารอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเด็กหนุ่มร่างเล็กก็นั่งท่องหนังสืออย่างขะมักเขม้น ทำเอาเลขาหนุ่มแทบถอนหายใจอย่างโล่งอก




"ของว่างครับ"




"อ๊ะ ขอบคุณครับ"




เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษารีบกุลีกุจอลุกมาช่วยเขาจัดของว่างให้กับธีรเชษฐ์ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีส่วนของตัวเอง ก่อนจะกล่าวขอบคุณเขาเสียงเบาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มดีใจ




"มีนา กินข้าวรึยัง?"




ธีรเชษฐ์ที่เขาเห็นว่าลอบสังเกตท่าทีของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดถามขึ้น เจ้าของชื่อชะงัก ก่อนจะตอบเสียงตะกุกตะกัก



"ผะ...ผม...ไม่หิว..."




"ฉันไม่ได้ถามความเห็น" ธีรเชษฐ์ขัดเสียงเย็น "ฉันถามว่าเธอกินข้าวรึยัง?"



เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ





ธีรเชษฐ์ปิดแฟ้มเสียงดังอย่างหัวเสีย เล่นเอาคนทั้งสองสะดุ้ง ถึงแม้มธุวันจะปรับสีหน้าทันอย่างรวดเร็วจนไม่เป็นที่สังเกตก็ตาม




"หมอก พาเด็กคนนี้ไปกินข้าว ถ้ายังดื้ออีกวันนี้ไม่ต้องไปเรียน"



"...ครับ"




มธุวันที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ได้แต่รับคำอย่างงุนงง เดินนำมีนาไปยังลิฟท์เพื่อพาไปที่หาอะไรทานตามคำสั่งของเจ้านาย ตลอดทางเด็กหนุ่มเพียงแต่เดินจับสายกระเป๋าเป้เก่าเปื่อยรุ่ยของตัวเอง ก้มหน้าเดินตามเขาเงียบๆจนพนักงานที่ผ่านมาเห็นหยุดมองกันราวกับคิดว่าจะได้เห็นเด็กน้อยกลายเป็นเหยื่อในพิธีบูชายัญสังเวยเลือดให้กับมธุวัน




ร่างโปร่งตัดสินใจพาเด็กหนุ่มไปยังร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็กๆที่อยู่ชั้นล่างสุดของบริษัท เขาเคยมาทานที่นี่แค่ครั้งเดียว แต่อาหารที่นี่รสชาติค่อนข้างดี และไม่ค่อยมีคนมีเวลานั่งทานโดยเฉพาะในเวลาทำงานแบบนี้




มีนามองไปรอบๆร้านที่เป็นอิฐสีนำตาลเข้มตกแต่งด้วยตู้ไวน์เรียงรายตามผนัง ประกอบกับเถาวัลย์ปลอมรอบร้านและแสงสีส้มสลัวอย่างตื่นตาตื่นใจ ท่าทีแตกตื่นนั้นให้มธุวันนึกถึงตอนที่เมฆาพาเขาไปภัตรคารหรูครั้งแรก โดยเฉพาะสีหน้าที่ซีดเผือดตอนที่เห็นราคาท้ายเมนูนั้น




"สั่งอะไรก็ได้ครับ"ร่างโปร่งว่า "ท่านประธานไม่คิดเงินคุณย้อนหลังหรอก"




“ถึงจะเป็นเงินของเขา ผมก็ไม่อยากสิ้นเปลืองอยู่ดีนั่นแหละครับ”




ร่างเล็กพึมพำเสียงเบา สร้างความประหลาดใจให้แก่มธุวันเป็นอย่างมาก แต่ร่างโปร่งไม่ได้พูดอะไรนอกจากยกมือเรียกบริกรมารับออเดอร์ อย่างที่คิด มีนาสั่งเมนูที่ถูกที่สุดในร้านซึ่งเป็นแค่ของทานเล่น มธุวันกำลังจะสั่งส่วนของตัวเองบ้างเมื่อร่างที่เขาเฝ้าระแวดระวังอยู่ตลอดหลายวันเดินเข้ามาในร้าน



“เอ๊ะ?”





มีนาจ้องหน้าเมฆาที่เหมือนกับธีรเชษฐ์ราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันด้วยสีหน้าสับสน มธุวันได้แต่หันหน้าไปทางอื่น ใช้หลักการประหลาดในวัยเยาว์ที่ว่าหากเขามองไม่เห็นอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะมองไม่เห็นเขา




ครืด...




แต่จากการที่อีกฝ่ายผลุบนั่งลงข้างๆเขาโดยไม่ขออนุญาตสักคำเป็นหลักฐานอย่างดีว่าทำไมทฤษฎีนั้นถึงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง



“….”




มีนาหันไปหามธุวัน เหมือนจะรอให้ร่างโปร่งเป็นคนแนะนำอีกฝ่าย แต่เลขาหนุ่มเพียงแค่ปิดเมนูแล้วส่งคืนให้บริกร



“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ?”



ร่างสูงเปิดประเด็นถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ มธุวันลอบกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายหัวใจ แล้วทำตามความต้องการของร่างสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้




“คุณมีนาครับ นี่คุณเมฆา ลูกชายคนโตของคุณธีรเชษฐ์”



ดวงตาสีน้ำตาลกลมคู่สวยเบิกกว้างอย่างตกใจ ร่างเล็กที่ตะวสั่นงันงกแทบจะมุดลงไปใต้โต๊ะทันทีที่ได้ยินดังนั้น เมฆาขมวดคิ้ว ก่อนจะตัวแข็งทื่อไปเมื่อสมองไพล่นึกไปถึงความเป็นไปได้ที่อธิบายสถานการณ์นี้ได้มากที่สุดขึ้นมา
คำแรกที่หลุดออกมาจากปากเมฆาคือ




“ทนาย?”



“เรียบร้อยครับ”



มธุวันตอบเสียงเรียบ ดวงตาภายใต้กรอบแว่นลอบสังเกตเด็กหนุ่มที่มีท่าทีหวาดกลัวเมฆาอย่างออกนอกหน้า นึกสงสารเด็กน้อยที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้ขึ้นมาวูบหนึ่ง




“ฉันไม่กัดหรอกน่า” เมฆาเอ่ยกับร่างเล็กที่สะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับตัวเอง “แต่ถ้าพ่อฉันล่ะก็ไม่แน่”




“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้นะครับ”



มธุวันกระซิบเสียงลอดไรฟัน เขาต้องการใช้โอกาสที่ไม่รู้ว่าจะมีอีกเมื่อไหร่นี้ในการทำความเข้าใจกับมีนา และมันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าหากเมฆาไม่หยุดทำให้อีกฝ่ายสติหลุดเสียที



เมฆาไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอย่างทุกครั้ง เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ร่างสูงก้มหน้าดูเมนู ปล่อยให้มธุวันหว่านล้อมเอาขวัญที่กระเจิดกระเจิงหายไปของร่างเล็กกลับมา




มธุวันไม่อยากทำแบบนี้ต่อหน้าเมฆา




เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาเป็นตัวขัดขวางแผนการที่คิดไว้ แต่ถ้าหากเขาไม่ทำ การจะหว่านล้อมให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเชื่อใจเขามากพอที่จะพูดคุยกันรู้เรื่องในเวลาที่จำกัดเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้




ร่างโปร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมสภาพจิตของตัวเองให้พร้อมสำหรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น จะบอกว่าเขาเริ่มปล่อยวางแล้วก็คงไม่ผิด เพราะจากบทความที่เขาเคยอ่าน ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โอกาสที่ความทรงจำของผู้ป่วยจะกลับมายิ่งมีน้อยลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากเมฆายังจำอะไรไม่ได้จนถึงตอนนี้ ร่างโปร่งก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำจะมีผลอะไรกับชายหนุ่มมากนัก




มธุวันถอดแว่นออก ก่อนจะยิ้มให้มีนาอย่างอ่อนโยน




“มีน…พี่เรียกน้องมีนได้มั้ยครับ?”





ร่างโปร่งบังคับตัวเองไม่ให้เหลือบมองปฎิกิริยาของเมฆาในตอนนี้ ส่วนมีนานั้นเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตากลมโตฉายแววไม่ไว้ใจอย่างชัดเจน




“คะ..ครับ?”




“อายุเท่าไหร่แล้ว?”




มธุวันถามเสียงอ่อนราวกับกำลังพูดกับเด็กเล็กๆ ท่าทางที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของเลขาหนุ่มทำให้มีนารู้สึกสับสนมากกว่าเดิม




“สะ..สิบเจ็ดครับ”



ในหัวของมธุวันมีคำสบถลอยเข้ามามากมายจากคำตอบนั้น แต่รอยยิ้มหวานยังคงประดับอยู่บนใบหน้าไม่เสื่อมคลาย




“เหรอ พี่จะยี่สิบห้าแล้ว เรียกพี่หมอกก็ได้”




“เอ่อ..มะ...ไม่เป็นไรครับ”



มีนายังคงตั้งการ์ดอย่างเหนียวแน่น จนมธุวันสงสัยว่าเขาสร้างกำแพงขึ้นมาปิดล้อมตัวตนที่แท้จริงไว้นานเกินไป จนเขาไม่สามารถยิ้มอย่างจริงใจให้กับคนอื่นได้แล้วหรือ




“สิบเจ็ดนี่...เพิ่งสิบเจ็ดไปหรือว่าย่างสิบแปดปีนี้เหรอ?”




ร่างโปร่งทำเสียงใสเหมือนกับแค่จะชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป เขารู้ว่าเด็กตรงหน้าไม่ได้โง่ แต่ด้วยท่าทีเปราะบางนั้นหากเขาเล่นบทโหดใส่ไป อาจจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายตื่นแล้วเผ่นแน่บกลับไปหาธีรเชษฐ์




“จะสิบแปดแล้วครับ”



มีนาตอบตามความเป็นจริง รอให้อีกฝ่ายเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวเองออกมา




“มีน พี่น่ะ ดูแลคุณเชษฐ์มานาน แล้วพี่ก็เจอของเล่...คนของคุณเชษฐ์มาบ่อยพอที่จะรู้ว่ามีนไม่ใช่พวกกระสือหิวเงินพวกนั้น” มธุวันย่นจมูกราวกับได้กลิ่นเหม็นเน่าเมื่อนึกถึงเหล่านางแร้งนางกาที่ชอบรุมจิกรุมทึ้งกระเป๋าเงินธีรเชษฐ์แลกกับความสุข
ทางกายเพียงชั่วคราว “แต่พี่ก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นดูไม่ออกหรอกนะ ว่าเราเป็นอะไรกับเขา”





“มะ…ไม่ใช่นะครับ ผมกับคุณเชษฐ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะครับ”




มีนารีบโบกมือปฎิเสธพัลวัน แน่นอน มธุวันไม่เชื่อสิ่งที่ออกมาจากปากของร่างเล็กแม้แต่คำเดียว




“แปลว่ามีนไม่เคยทำอะไรกับเขาเลย?”



เด็กหนุ่มสะอึก ดวงตาสีน้ำตาลหลุบต่ำอย่างมีพิรุธ ความเงียบของร่างเล็กแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่มธุวันก็ยังคงรู้สึกปวดขมับตุบอยู่ดี




“มีน รู้ใช่มั้ยว่าเรื่องนี้มันมากกว่าเรื่องความเหมาะสม ถ้ามีใครรู้เข้าทั้งมีนทั้งคุณเชษฐ์จะเสียหายทั้งคู่”




มีนาพยักหน้าอย่างเซื่องซึม อาหารที่สั่งเริ่มทยอยมาวางตรงหน้า แต่ทุกคนไม่มีใครมีความอยากอาหารพอที่จะกระเดือกมันลงไปในตอนนี้




“พอจะเล่าให้พี่ฟังได้มั้ย อย่างน้อยถ้าพี่รู้ว่าสถานการณ์เป็นยังไง เรื่องจะได้ไม่บานปลายใหญ่โต”




มธุวันว่า คนฟังมีสีหน้าชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเล่าความจริงให้ชายหนุ่มฟัง




“คุณเชษฐ์เคย...แค่ครั้งเดียว แต่ตอนนั้นผมหลอกเขาว่าผมอายุสิบแปดแล้ว คุณเชษฐ์ไม่ผิดอะไรเลยนะครับ!”มีนารีบเสริม ไม่บ่อยนักที่มธุวันจะได้เห็นคนปกป้องธีรเชษฐ์จากการกระทำของร่างสูงเอง ซึ่งถึงแม้มันอาจจะทำให้เรื่องดีขึ้นในฝั่งของธีรเชษฐ์แค่เพียงเล็กน้อย แต่มธุวันก็อยากจะปรบมือให้เด็กหนุ่มสำหรับความซื่อสัตย์นั้น “หลังจากที่รู้คุณเชษฐ์ก็ไม่เคยทำอะไรผม เขาให้ผมอยู่ต่อ ช่วยทำงานบ้าน ทำกับข้าว...แค่นั้นจริงๆครับ”




มธุวันดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง แต่เขาก็ดูออกเช่นกันว่าอีกฝ่ายไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดกับเขา




“ถ้าให้พี่เดา...จนกว่ามีนจะสิบแปดใช่มั้ย?”




ร่างเล็กชะงัก ก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่องช้า มธุวันอยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆ เขาเคยได้ยินเรื่องของ’เด็กเสี่ย’ที่มีเสี่ยคนเดียวส่งเสียเป็นระยะเวลานานๆ ได้รับการปรนเปรอทั้งเรื่องค่าเทอม ค่ากินค่าอยู่ ค่าช็อปปิ้ง แลกกับเรือนร่างของตัวเองจนกว่าจะถูกเบื่อ แต่เขาไม่เคยคิดว่าธีรเชษฐ์จะเป็นคนแบบนั้น ความสัมพันธ์ของร่างสูงเร่าร้อนและฉาบฉวย แต่ยากที่ใครจะสามารถเกาะชายหนุ่มไว้ได้มากกว่าหนึ่งเดือน ไม่ต้องพูดถึงย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดเป็นหลักเป็นแหล่งรอเวลาสุกงอมอย่างเด็กคนนี้




ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ประเภทที่จะดึงดูดความสนใจของคนอย่างธีรเชษฐ์ได้สักนิด




“มีน พี่เข้าใจนะว่าเราอยู่ในวัยที่ต้องใช้เงิน แต่มันคุ้มกันเหรอกับการต้องเอาศักดิ์ศรีของตัวเองมาแลกกับเงินแบบนี้”



“….”




ดวงตาสีน้ำตาลไหววูบ แต่มีนาไม่ได้โต้ตอบอะไรกับคำกล่าวนั้น




“พี่เข้าใจนะ เรื่องเงินมันไม่ใช่เรื่องเล็ก...”




“ไม่ครับ ผมไม่คิดว่าคุณเข้าใจ” เด็กหนุ่มเอ่ยขัดคำพูดของร่างโปร่งเสียงเบาแต่มีความแข็งกร้าวอยู่ในที




“มีน…”




“ศักดิ์ศรีของผมในตอนนี้ไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าคีโม ค่าห้องพักให้แม่ของผม ไม่ได้จ่ายค่าข้าวค่าน้ำให้กับยายของผม ไม่ได้จ่ายค่าเทอม ค่าที่ซุกหัวนอน ค่าเช่าที่ในตลาดที่ผมค้างมาเป็นปี...” เสียงหวานสั่นเครือเช่นเดียวกับแววตาที่ไหวระริก แต่มีนายังคงจ้องเขาตาไม่กระพริบ “ผมไม่คิดว่าสิ่งที่ผมทำในตอนนี้เป็นเรื่องถูก ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย ผมขอโทษด้วยที่ต้องปฎิเสธสิ่งที่ผมรู้ว่าคุณกำลังจะขอให้ผมทำ ผมขอโทษ...”



เด็กหนุ่มพนมมือ ก้มศีรษะไหว้คนทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง



“…แต่คุณไม่เข้าใจ”




คราวนี้เป็นมธุวันที่เป็นฝ่ายสะอึกเสียเอง เหตุผลของร่างเล็กไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นใจ หากสลับกันเขาพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขา
จะไม่ตัดสินใจทำแบบนั้น แต่หน้าที่ของเขาในตอนนี้คือทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธีรเชษฐ์ ถึงแม้จะสงสารเด็กตรงหน้าแค่ไหนก็ตาม




“ห้าแสน”




จู่ๆเมฆาที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนาก็เอ่ยตัวเลขปริศนาขึ้นมา




“ครับ?”มีนาเอียงคออย่างสับสน




“ฉันจะให้เธอห้าแสน ไม่รวมค่ารักษาพยาบาลของแม่เธอ แลกกับการที่เธอเลิกยุ่งกับพ่อของฉันจนกว่าจะอายุครบสิบแปด”
เมฆาว่า หยิบสมุดเช็คออกมาจากกระเป๋าในของสูทตัวนอกแล้วใช้ปากกาเขียนตัวเลขลงไปอย่างคล่องแคล่วโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตากับจำนวนเงินที่กำลังจะมอบให้เด็กหนุ่ม มีนานิ่งอึ้ง ก้มมองตัวเลขที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าจะได้เห็นในชีวิต



“ว่าไง?” เมฆาถาม




“ผม…”



“ถ้าคุณเชษฐ์รู้เรื่องนี้ต้องไม่ยอมแน่”




มธุวันเอ่ยแทรกขึ้นมา หากร่างสูงยอมเสี่ยงเอามีนาเข้ามาในห้องของตัวเองทั้งที่รู้ความเสี่ยงอยู่แก่ใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้ลูกชายติดสินบนให้ร่างเล็กเดินออกไปจากชีวิตเขาง่ายๆ



“เพราะอย่างนั้นเราถึงให้เขารู้ไม่ได้ไงล่ะ”



เมฆาว่า เลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มที่ยังคงมีสีหน้าลังเล “ว่าไง? หน้าตาอย่างเธอต่อให้หายไปซักเดือนสองเดือน กลับมาราคาก็ไม่ตกหรอกจริงมั้ย?”




“ถือซะว่าเห็นแก่คุณเชษฐ์เถอะนะ ถ้าเรื่องนี้มีคนรู้เข้า ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรกัน คุณเชษฐ์ก็เดือดร้อนอยู่ดี”




มธุวันขอร้องอีกแรง มีนาพยักหน้า กัดริมฝีปากก่อนจะหยิบเช็คใบนั้นเข้ากระเป๋าโดยไม่พูดอะไร





“แล้วนายบอกพ่อว่าอะไร?”




เมฆาถามขณะที่พวกเขาเดินไปยังรถของมธุวันเช่นทุกวัน หลังจากนั้นมีนาก็ขอตัวกลับแทบจะในทันที สุดท้ายอาหารว่างที่เด็กหนุ่มสั่งมาก็ไม่มีใครแตะต้อง




“บอกว่าเด็กคนนั้นมีเรียนบ่ายเลยขอตัวกลับก่อน”




มธุวันตอบ เขาไม่คิดจะเป็นคนบอกธีรเชษฐ์หรอกนะว่าตัวเองโดนเด็กทิ้ง เมื่อเข้าไปร่างโปร่งเหลือบมองคนที่เปิดประตูเข้าไปนั่งรอในรถ ก่อนจะก้าวเข้าไปในรถของตัวเองแล้วสตาร์ทรถ




“อะไร?”เมฆาถามหน้าตายเมื่อเห็นคนขับเหลือบมองเขาผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะ “ฉันรู้นะว่าตัวเองหล่อ แต่ถ้ามองมากๆรถจะชนเอานะ”




โอ้โห...




ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน



ถึงแม้จะหล่อจริงๆก็เถอะ...



ไม่ๆๆๆหยุด!!



“ผมแค่สงสัยว่าทำไมคุณยอมจ่ายเงินมากขนาดนั้นเพื่อไล่เด็กคนนั้นไป ปกติคุณไม่สนใจว่าพ่อคุณจะนอนกับใครอยู่แล้วนี่”




“ฉันแค่สงสาร....”ชายหนุ่มตอบพร้อมเสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ทำให้มธุวันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “...สงสารคนที่พยายามทำตัวเป็นคุณพี่ใจดีแต่หน้าเหมือนคนท้องผูกมาสิบวันน่ะนะ”




“….”




มธุวันเม้มปาก ดวงตาสีเทาอมฟ้าจ้องตรงไปที่ท้องถนน ปฎิเสธจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าคำพูดนั้นทำร้ายจิตใจเขาแค่ไหน




นี่เขา...เปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยเหรอ?




“แต่ก็..น่ารักดีนะ”




ร่างโปร่งตวัดสายตามองกระจกมองหลัง แต่คนพูดเบือนหน้าหนีไปชมวิวนอกหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว











“ท้องผูกบ้าอะไรล่ะ เนอะ น้องเข็ม...”



มธุวันไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่ง นอกจากญาวิกาที่ไปเรียนและทำงานต่อที่ฝรั่งเศสที่ยังติดต่อกันผ่านแชทบ้างเป็นครั้งคราวกับณัฐภาสที่เพิ่งเจอกันในภัตราคารของคุณวีรภัทรก่อนห้านี้ เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองมีเพื่อนที่สนิทจริงๆเท่าไหร่




บางครั้งเขารู้สึกหนักอกหนักใจจนอยากระบายกับใครซักคน ‘น้องเข็ม’ก็มักจะรอเขาอยู่ที่ระเบียงคอนโดให้เขาได้ปลดปล่อย
ความอัดอั้นตันใจออกมา





“ไม่เห็นจะต้องไปสนใจอะไรที่คนคนนั้นพูดเลย” มธุวันพึมพำ รถน้ำจากบัวรดเล็กๆพรมดินในกระถางให้ต้นดอกเข็มของตน




“คำพูดของผู้ชายพรรค์นั้นน่ะ ไม่มีค่าอะไรทั้งนั้นแหละ สู้เอาเวลาคิดมารดน้ำให้น้องเข็มดีกว่า เนอะ”




“คุยกับเพื่อนอยู่เหรอหมอก”




เสียงจากระเบียงห้องข้างๆดังขึ้น มธุวันสะดุ้ง หันไปหาเจ้าของเสียงที่ยืนพิงราวระเบียงยิ้มให้เขา นาวินอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น อวดลายสักทั่วร่างที่มองที่ไรก็ยังทำให้มธุวันอึ้งได้ทุกที




“วิน…มานานแล้วเหรอ”




ร่างโปร่งยิ้มแข็งๆให้อีกฝ่าย นึกกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยินบทสนทนาของเขากับดอกไม้คู่ใจไปมากน้อยเพียงไร



“เปล่า เพิ่งออกมาเมื่อกี้น่ะ” นาวินทร์ยิ้มให้เพื่อนข้างห้อง ยกซองบุหรี่ในมือให้อีกฝ่ายดู “ว่าจะออกมาสูบที่ระเบียง แต่รอหมอกเข้าไปก่อนก็ได้”




ชายหนุ่มจำได้ดีว่าร่างโปร่งเกลียดกลิ่นบุหรี่มากแค่ไหน มธุวันยิ้มตอบอย่างผ่อนคลายมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่ได้ยินอะไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเชื่อมโยงกลับไปหาเมฆาเลย แต่ซองบุหรี่ในมือของนาวินทร์ทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาเล็กน้อย




“วิน ยังสูบบุหรี่อยู่อีกเหรอ?”






“จริงๆก็ไม่ค่อยได้สูบแล้วล่ะ แค่เวลาเครียดมากๆ”นาวินทร์ตอบ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้มธุวันสบายใจอยู่ดี




“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”




มธุวันเสนอตัว เขาไม่อยากให้ร่างสูงระบายความเครียดด้วยบุหรี่แบบนี้





“ขอบใจนะ หมอกนี่ ใจดีเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ”




นาวินทร์ว่าแล้วเก็บซองบุหรี่เข้ากระเป๋ากางเกง คำพูดของร่างสูงทำให้มธุวันนึกย้อนไปถึงคำพูดของเมฆาในรถขึ้นมาอีกครั้ง




“วิน…ไม่คิดว่าเราเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนบ้างเหรอ?”




“ก็ไม่เห็นแปลกเลยนี่” นาวินทร์มีสีหน้างุนงงกับคำถามนั้น “คนเราน่ะ พอโตขึ้น ผ่านอะไรมาเยอะขึ้น มุมมองที่มีต่อโลกก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครเป็นคนเดียวกับคนที่ตัวเองเคยเป็นเมื่อวานหรอกนะ”




ไม่มีใครเป็นคนเดียวกับคนที่ตัวเองเคยเป็นเมื่อวาน....



“จริงสินะ...”





มธุวันรู้สึกเหมือนสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในอกค่อยๆเบาขึ้นจากคำพูดของเพื่อน



“แต่ลึกๆข้างใน ยังไงเราก็เป็นเรา ไม่มีทางเป็นคนอื่นได้หรอก”




นาวินทร์เสริม มธุวันมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนไม่ได้สังเกตถึงความขมขื่นในน้ำเสียงที่แสนเบาบางจนแทบจะลอยไปกับสายลมของคนที่ให้คำแนะนำกับเขา







“เดี๋ยวนี้พัฒนาถึงขั้นปลอบใจคุณหนูได้แล้วเหรอ”




เสียงนุ่มของพี่ชายบังเกิดก้าวทักทันทีที่เขากลับเข้ามาในห้อง นาวินทร์ถอนหายใจกับร่างเปลือยเปล่าที่ยังคงไม่สนใจคำวิงวอนให้ใส่เสื้อผ้าซักชิ้น เปิดตู้หยิบเหล้าในขวดแก้วออกมาเปิดเทลงในแก้วทรงเตี้ยสองใบ แล้วถือแก้วทั้งสองมานั่งลงบนเตียง ส่งแก้วใบหนึ่งให้คนที่นั่งเหยียดขาอ่านหนังสืออยู่บนเตียงของเขาราวกับตัวเองเป็นเจ้าของ



“ก็เป็นหน้าที่ของเงาไม่ใช่เหรอครับ”




“เหรอ....” ร่างโปร่งลากเสียงยาว ดวงตาสีม่วงสดจ้องอยู่ที่หน้ากระดาษ แม้จะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังอ่านมัน “ถ้าอย่างนั้นพี่คงล้มเหลวในหน้าที่ของตัวเองมากเลยล่ะสิ”




“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ...” นาวินทร์ปลอบเสียงอ่อน เหลือบมองรอยช้ำจางๆที่ข้างแก้มของพี่ชาย “บอสโกรธเรื่องคุณเชษฐ์ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”




“ก็ดันไปแพ้เด็กอ่อนหัดแบบนั้น บอสจะโกรธก็สมควรแล้ว”




ใครจะคิดล่ะว่าเขาจะถูกธีรเชษฐ์ปฎิเสธเพราะเด็กคนเดียว ถึงหูตารอบตัวมธุวันลดลงไปหนึ่งคนจะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สำหรับนิโคไล นั่นเปรียบเสมือนช่องโหว่ขนาดยักษ์ที่อาจหมายถึงชีวิตของน้องชายของเขา



และคนที่ทำพลาดก็ยังเป็นเงาที่เขาไว้ใจที่สุดอีกด้วย



“แต่พี่ยังมีงานที่ต้องถ่ายโฆษณาของบริษัทอยู่นี่ครับ ไม่ได้หลุดออกมาเลยซะหน่อย”



นาวินทร์ยังคงพยายามปลอบใจพี่ชาย วรินทร์ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรผิดพลาด และเวลาที่ร่างโปร่งพลาด ชายหนุ่มก็มักจะเป็นคนสุดท้ายที่ให้อภัยตัวเอง




“อือ…คงงั้น”




วรินทร์ตอบเสียงเหม่อลอย ปิดหนังสือฉับแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วจนน้องชายปรับอารมณ์ไม่ทัน



“พี่จะไปฮ่องกงซักสองสามวัน ไม่ต้องรอนะ”




“ฮ่องกงอีกแล้วเหรอครับ?”




นาวินทร์อดถามไม่ได้ พี่ชายของเขาชักจะไปฮ่องกงบ่อยเกินไปแล้วนะ




“คราวนี้เป็นงานของบอส...” ร่างโปร่งเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบสูทสีดำที่เขาไม่เห็นอีกฝ่ายใส่บ่อยนักออกมา “ฝากบอสด้วยแล้วกัน”



แล้วนาวินทร์จะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้า กระดกเหล้ามองดูพี่ชายที่แต่งตัวเสร็จด้วยความเร็วแสงลากกระเป๋าเดินออก
จากห้องไปหลังจากที่ดูจอมอนิเตอร์แล้วว่ามธุวันยังอยู่ในห้องนอน




-------------

ออฟไลน์ littlepig

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +413/-5
Chapter 22: [Then] วันเกิด


 
“อย่าเกร็งสิหมอก เดี๋ยวเจ็บนะ”



“ก็หมอกกลัวนี่...”



“กลัวอะไรล่ะครับ นี่เมฆนะ หมอกไม่ไว้ใจเมฆเหรอ...”




“โอ๊ย! เมฆ!เบาๆสิ นี่ครั้งแรกของหมอกนะ”




“อย่างอแงสิครับที่รัก ขยับสะโพกอีกนิดนะครับ...”




“ถ้ามึงจะขนาดนี้กลับไปสอนที่ห้องมั้ยเมฆ เตียงพร้อม”




นาวินทร์ที่ทนฟังพูดสองแง่สามง่ามของคนทั้งคู่ไม่ได้โพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด นี่เขาอุตส่าห์มาช่วยเพื่อนสอนศิลปะป้องกันตัวให้กับมธุวันด้วยความหวังดีเต็มหัวใจ ทำไมเขาจะต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ด้วย




 เมฆาฉีกยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่มธุวันที่เพิ่งระลึกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันสองคนหน้าแดงก่ำอย่างอับอาย ผลักไหล่คนขี้แกล้งเบาๆแต่กลับโดนบิดข้อมือไพล่หลังแล้วกดเข้ากับกำแพงอย่างนิ่มนวลที่สุดเท่าที่เมฆาจะทำได้




“อย่าเปิดช่องว่าง ”




“เมฆ พอแล้ว...หมอกเจ็บ”




เสียงโอดครวญของร่างโปร่งที่ไม่ได้ยินบ่อยนักทำให้เมฆายอมปล่อยคนที่โดนฝึกหนักรับขวัญตั้งแต่เช้าได้หากใจหายคอบ้าง มธุวันทรุดตัวลงหอบหายใจบนพื้นโรงฝึกที่เมฆาขออาจารย์คาราเต้ที่รู้จักยืมใช้ ริมฝีปากเรียวสวยอ้าปากฮุบเอาอากาศหายใจเหมือนปลาที่กำลังขาดออกซิเจน




“เจ็บเหรอหมอก เมฆขอโทษ....”





ร่างสูงร้องออกมาเมื่อถูกร่างที่นั่งหอบอยู่เมื่อครู่เตะตัดขาโดยไม่ทันตั้งตัว มธุวันตวัดขาคร่อมคนรักที่นอนแผ่อยู่กับพื้นอย่างคล่องแคล่วด้วยท่าทางทีนาวินทร์ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่หนึ่งในท่าที่เมฆาสอน




“อย่าเปิดช่องว่าง”




ร่างโปร่งทวนคำพูดของคนรักพร้อมรอยยิ้มกว้าง เมฆาหัวเราะ พลิกให้อีกฝ่ายลงมานอนอยู่ใต้ร่างแทนพร้อมทั้งจับข้อมือเรียวทั้งสองข้างตรึงไว้เหนือศีรษะ เป็นอีกท่าที่นาวินทร์แน่ใจว่าเมฆาไม่ได้เรียนมาจากคลาสเรียนคาราเต้ในวัยเด็ก




“นี่คือกูเป็นธาตุอากาศ?”




ร่างสูงขยับก้าวเข้ามาใกล้คนทั้งสองที่เข้าสู่โลกของตัวเองไปอีกครั้ง มธุวันยิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกผิด ส่วนเมฆานั้นยังคงไว้ซึ่งความหนาบนใบหน้าที่มากกว่าปูนซีเมนต์




“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน หมอกจะอาบน้ำก่อนมั้ย”




“อื้อ ก็ได้”




มธุวันพยักหน้า เดินไปหยิบเป้ของตัวเองมาหยิบเอาเสื้อผ้าชุดใหม่เตรียมเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำของโรงฝึก
“ถ้างั้นกูไปแล้วนะ ทีหลังถ้าจะมาฝึกกิจกามนอกสถานที่แบบนี้ไม่ต้องเรียกกูมากดูก็ได้นะ”




นาวินทร์บ่น เมฆาหัวเราะในลำคอ ยืดแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยขบจากการสอนศิลปะป้องกันตัวพื้นฐานฉบับเร่งรัดให้กับคนรัก





“มึงคิดว่าถ้ามึงไม่ดูอยู่ กูจะได้สอนหมอกมั้ย”




คงโดนคนไม่อยากเรียนเบี่ยงเบนความสนใจจนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกันพอดี อยู่กันมาขนาดนี้ทำไมเขาจะไม่รู้แกวคนรัก





“โอ้โหไอ้เพื่อนเลว” นาวินทร์ชมจากใจจริง “นี่ชีวิตกูมีค่าแค่เป็นเข็มทิศคุณธรรมให้มึงใช่มั้ย?”




“ให้หมอกต่างหาก” เมฆาแก้ “กูน่ะต่อให้มึงอยู่ถ้าหมอกโอเคกูก็ไม่ถือ”




“กูละปวดหัวกับความหนาของหน้ามึง” นาวินทร์ส่ายหน้า “เออ กูไปละ มีธุระต่อ”



“เออ ขอบใจ”




เมฆาพยักหน้าให้เพื่อนรัก ก่อนจะก้มลงหยิบกระเป๋าของตัวเองกับคนรักขึ้นมาสะพายแล้วไปยืนรอมธุวันที่หน้าห้องน้ำ ยกแขนขึ้นดมฟุดฟิดเพื่อสำรวจตัวเอง




กลับไปอาบที่ห้องแล้วกัน...



“เมฆ..”




เสียงเรียกชื่อเขาของคนรักดังขึ้นผ่านเสียงน้ำจากฝักบัวที่กระทบพื้น เมฆาขานรับงงๆ




“ครับ?”




“หยิบผ้าขนหนูในกระเป๋าให้หมอกหน่อย หมอกลืม”



“อ๋อ โอเค รอแป๊บนึงนะ”




เมฆาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วเปิดกระเป๋าของมธุวัน ดึงผ้าขนหนูสีขาวออกมาจากก้นกระเป๋า



ตุ้บ!




กระเป๋าเงินของคนรักที่ติดมาด้วยตกลงบนพื้น ร่างสูงเอื้อมไปเก็บกระเป๋าตังค์ใบเล็กที่เปิดอ้าซ่า ก่อนจะสังเกตเห็นบัตรประชาชนของร่างโปร่งที่กระเด็นหลุดออกมา




“หือ…”




เมฆาขมวดคิ้วมองข้อมูลบนบัตร ดวงตาสีรัติกาลจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขแสดงวันเกิดของมธุวันที่เขียนไว้ว่า 30 ตุลาคม ปีเดียว
กับเขา




สามสิบ..ก็พรุ่งนี้น่ะสิ?!




ร่างสูงนึกอยากทึ้งหัวตัวเองที่ไม่เคยคิดจะถามวันเกิดของอีกฝ่าย ทั้งที่นั่นควรจะเป็นสิ่งแรกที่แฟนที่ดีควรจะรู้ด้วยซ้ำ




“เมฆ ได้รึยัง?”



มธุวันถามย้ำจากในห้องน้ำ เมฆาที่หลุดจากอาการช็อครีบยัดประเป๋าเงินกับบัตรของคนรักกลับเข้าไปในกระเป๋าเป้แล้วลุกขึ้นยืนพร้อมผ้าขนหนู




“ได้แล้วครับ”




เอาไงดีเนี่ย...





วันนี้เมฆามีเรียนเสริมชดเชยจากที่อาจารย์ยกคลาสก่อนหน้านี้ มธุวันที่มีแค่เรียนเช้าจึงตัดสินใจนั่งเล่นอยู่ที่มหาวิทยาลัยกับณัฐภาสและญาวิกาก่อน หลังจากย้ายไปอยู่กับเมฆาเขาชักรู้สึกว่าเจอเพื่อนทั้งสองน้อยลงทุกวัน




“หมอก มึงว่าอันไหนสวยกว่า”



ณัฐภาสเปิดรูปไข่มุกตกแต่งเค้กสีเงินกับสีชมพูโอลด์โรสให้เพื่อนดู มธุวันเอียงคอ ประหลาดใจที่เพื่อนมาปรึกษาเขาเรื่องนี้




“ทำไมจู่ๆถึงเอามาให้หมอกเลือกล่ะ”




ญาวิกาถามอย่างประหลาดใจเช่นกัน




“ก็บ้านของไอ้รัสเซียเขาจะจัดงานวันเกิดให้มันที่โรงแรม เชฟกุณฑ์เขาให้กูเป็นมือขวาช่วยทำเป็นก้อนแรกในชีวิตเลยนะเว้ย ตอนนี้เสร็จแล้วแหละ แต่กูคิดว่าถ้าโรยไข่มุกด้วยจะสวยกว่ามั้ย เผื่อมึงจะรู้ว่ามันชอบแบบไหน”




ฉายาของคนรักที่ณัฐภาสเป็นคนตั้งให้ทำให้สมองของมธุวันว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง



“วันเกิด?”




“อือ พรุ่งนี้ไง จองห้องจัดเลี้ยงใหญ่สุดไว้ด้วย กูเดินผ่านเมื่อวาน โคตรอลังกาลอ่ะ”





ณัฐภาสว่า แต่มธุวันที่ยังไม่หายจากอาการช็อคไม่มีคำพูดโต้ตอบบทสนทนา จนกระทั่งโดนญาวิกาตีแขนถึงได้หลุดจากภวังค์ในที่สุด




พรุ่งนี้วันเกิดเมฆ?



มธุวันนึกโกรธตัวเองที่ไม่รู้อะไร ทั้งๆที่เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นเรื่องแรกที่แฟนที่ดีรู้ด้วยซ้ำ




“หมอก แกเป็นอะไรรึเปล่า?”




ญาวิกาถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มถูกดูดเข้าไปในโลกของตัวเองอีกครั้ง มธุวันส่ายหน้า ลุกขึ้นเก็บข้าวของใส่กระเป๋าด้วยท่าทีที่ดูใจเย็นว่าความรู้สึกที่แท้จริงในตอนนี้มาก




“ไม่เป็นไร เอ่อ...เราไม่รู้หรอกว่าเขาชอบอะไร ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่น่ะ”




“แล้วนี่มึงจะไปไหน?”ณัฐภาสขมวดคิ้ว




“เอ่อ...เราลืม..รดน้ำต้นไม้น่ะ”



มธุวันโกหกเสียงเบาหวิว ในหัวมีเพียงความคิดที่ว่าจะทำอย่างไรกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ




เขาจะหาของขวัญให้เมฆทันภายในวันนี้ เพราะจากคำบอกเล่าของณัฐภาส พรุ่งนี้ร่างสูงต้องไปฉลองกับคนในครอบครัวที่โรงแรมแน่




เอาไงดีนะ?











เอาไงดี...




เมฆากุมขมับอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งในมหาวิทยาลัย ไล่เปิดอินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์อ่านทุกกระทู้ที่ช่วยแนะนำของขวัญ
วันเกิดแฟน แต่เขารู้ว่ามธุวันไม่มีทางชอบอะไรที่เขาให้เพียงแค่เพราะมันมีราคาสูง ดีไม่ดีจะโดนโกรธแถมมาด้วยซ้ำ




จะซื้อของใช้ในบ้านให้ก็ไม่ใช่อารมณ์นั้น แต่ครั้นจะซื้อของสวยงามก็จะโดนอีกฝ่ายมองว่าฟุ่มเฟือย




เด็กหนุ่มพยายามนึกกลับกัน ถ้าหากเป็นเขา เขาจะอยากได้อะไรเป็นของขวัญ



ภาพร่างเปลือยเปล่าของคนรักผูกโบว์สีแดงสดตัดกับผิวขาวเนียนลอยเขามาในหัวอย่างห้ามไม่อยู่




ไม่ๆๆๆ ตั้งสิเดี๋ยวนี้เลยไอ้เมฆ!



ร่างสูงขยี้หัวอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะนึกขึ้นได้ ว่ามีคนหนึ่งคนทีี่รู้เรื่องของเขากับหมอก และสามารถให้คำแนะนำกับเขาในสถานการณ์แบบนี้ได้





“จะให้แม่ช่วยแนะนำจริงๆเหรอ เรื่องแบบนี้ปรึกษาพ่อเราไม่ง่ายกว่าเหรอ”





เกศราถามลูกชายคนโตเสียงกลั้วหัวเราะ ร้อยวันพันปีเมฆาไม่เคยมาปรึกษาเธอเรื่องของขวัญให้ใคร ขนาดคนในครอบครัวเด็กหนุ่มยังไม่ค่อยจะได้ให้อะไรกับใครเขา




ดูท่าลูกชายของเธอจะโตเป็นหนุ่มแล้วจริงๆ



“ถ้าให้พ่อช่วยต้องโดนเอาทองแท่งปาหัวแน่ๆ” ร่างสูงส่ายหน้า




“ก็เอาทองแท่งให้หมอกไงจ๊ะ” หญิงสาวเสนอเสนอกลั้วหัวเราะ




“ก็หมอกเขาไม่ชอบของฟุ่มเฟือยนี้ครับ เมฆก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้”




เมฆาที่นั่งอยู่บนพื้นบ้านเงยหน้ามองมารดาบนรถเข็นแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างคิดไม่ตก ผิดวิสัยพี่คนโตของบ้านที่มักจะทำตัวเงียบขรึมและเป็นแบบอย่างที่ดีของน้องชายทั้งสองแทนบิดาที่ไม่ค่อยมีบทบาทในการอบรมพวกเขา จนตอนนี้ทั้งธารธาราและทินกรดูจะเคารพพี่ชายมากกว่าบิดาเสียอีก



“อืม…บางครั้ง ของขวัญที่ดีที่สุด ก็ซื้อไม่ได้ด้วยเงินหรอกนะจ๊ะ” เกศรายิ้มให้กับลูกชายที่นานๆจะดูลุกลี้ลุกลนกับเรื่องแบบ
นี้ ขนาดช่วงนี้ต้องเข้าไปช่วยบิดาดูแลงานในบริษัทมากกว่าแต่ก่อนยังไม่เห็นเมฆาจะสติแตกเหมือนอย่างตอนนี้เลย“บางครั้ง เรื่องเล็กๆแค่เมฆรับฟังสิ่งที่หมอกเขาอยากพูด นั่นก็ถือเป็นของขวัญได้แล้วนะ”



“โธ่ แม่ครับ แบบนั้นเขาไม่เรียก....” เสียงทุ้มถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อสมองของเมฆาได้พิจารณาคำพูดของมารดาอย่าง
ถ้วนถี่ “แม่ครับ! แม่เก่งที่สุดในโลกเลยครับ!”




“จ้า…ก็แม่เป็นแม่ของเมฆนี่” หญิงสาวในรถเข็นเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อถูกลูกชายกอดหลวมๆด้วยกลัวว่าจะทำให้มารดาบาดเจ็บ “แต่จริงๆ แม่ก็พอจะมีของขวัญที่เมฆน่าจะให้หมอกได้อยู่นะ”





“จริงเหรอครับ?” เมฆาหูผึ่งอย่างสนใจ เกศราพยักหน้า เข็นรถของตัวเองไปยังลิ้นชักหัวเตียงแล้วเปิดเอากล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดกลางออกมา ภายในมีสร้อยทองคำขาวเส้นละเอียดเล็กเส้นหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนหมอนวางสีขาว จี้สร้อยทำจากเงินแท้เป็นรูปก้อนเมฆที่มีเพชรเม็ดเล็กฝังอยู่ที่ขอบด้านล่างหนึ่งเม็ด




“อะไรครับเนี่ย?” เมฆามีสีหน้าสับสนเมื่อเห็นของในมือของมารดา




“แม่เห็นว่ามันสวยดีน่ะเลยซื้อมานานแล้ว แต่ไม่เหมาะกับเมฆเลยเนอะ” หญิงสาวหัวเราะ “ถ้ายังไง จะเอาเจ้านี่ไปให้หมอก
ก็ได้นะ มันไม่ได้มีราคาอะไรมากหรอกถ้าเทียบกับค่าขนมของเมฆ แต่ก็ดีกว่าเก็บไว้ในลิ้นชัก”




เมฆาพยักหน้า พนมมือไหว้ขอบคุณมารดาแล้วรับกล่องกำมะหยี่นั้นมา




“ขอบคุณมากนะครับแม่ งั้นผมลาเลยนะครับ”



“จ้า เจอกันพรุ่งนี้นะ”



เมฆาพยักหน้าแม้จะไม่ได้ยินคำพูดของมารดาเพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับกล่องในมือ




เอาวะ!เป็นไงเป็นกัน!









“เอาไงดีๆๆๆ”




มธุวันเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่เมฆาบอกว่าจะกลับแล้ว เขายังลอยคว้างอยู่ในห้างสรรพสินค้าอยู่เลย แถมโทรศัพท์ของเขาก็ดับๆติดๆมาหลายวันแล้ว เขาเลยโทรไปถามว่าเมฆาอยู่ไหนแล้วไม่ได้




ร่างโปร่งเริ่มเหงื่อตก เขาเดินผ่านร้านเดิมๆเป็นรอบที่ไม่รู้เท่าไหร่แล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้คนรักเป็นของขวัญ ร้านรวงต่างๆที่ขายเสื้อผ้าวัยรุ่นเริ่มประดับประดาไปด้วยของตกแต่งต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน มธุวันก้มมองเงินในกระเป๋าตัวเองที่เป็นเงินที่เขาเหลือไว้เป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะไม่ได้ส่งกลับไปให้ป้าซึ่งโชคดีที่เขาไม่ค่อยได้ใช้เลยออมไว้ได้จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากพอจะซื้ออะไรดีๆให้ร่างสูงได้




“คอสตูมค่า นาทีทองลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ มีชุดใส่ฮาโลวีนรึยังเอ่ย”




คนที่กำลังจะเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าร้านสุดท้ายชะงัก มธุวันหันไปมองหญิงสาวในชุดพยาบาลสั้นแค่คืบที่มีสีแดงสาดเต็มตัวอย่างครุ่นคิด ถึงแม้ไอเดียที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้จะดู...หลุดโลกไปบ้าง แต่เขาก็คิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว



เอาเถอะ!เป็นไงเป็นกัน!







“หมอกครับ เมฆกลับมาแล้ว...”





เมฆาเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ ในมือมีถุงที่ใส่กล่องกำมะหยี่สีแดงที่แม่ให้มาและกล่องกระดาษสีขาวบรรจุชีสเค้กเจ้าที่คนรักของเขาชื่นชอบนักหนา เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าไฟในห้องถูกหรี่สลัวแค่พอมองเห็น ร่างสูงวางข้าวของในมือลงบนเคาท์เตอร์แล้วเดินเข้าไปหาคนรักได้ห้องนอน







“นี่เพิ่งไม่กี่ทุ่มเอง นอนแล้วเหรอ...เฮ้ย!”




เมฆามั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันลืมภาพตรงหน้าตราบเท่าที่เขายังมีลมหายใจ



มธุวันที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานข้างเตียงอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาใช้เวลาเข้าบริษัท ชายเสื้อที่ปกปิดต้นขาขาวเนียนอย่าง
หมิ่นเหม่ไม่ได้ช่วยบดบังอะไรเลยเมื่อขาขาวเรียวยาวขยับไขว่ห้างร่นชายเสื้อให้ขึ้นมากองอยู่บนตัก กระดุมสามเม็ดบนไม่ได้ถูกติดเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนแบนราบที่เห็นกี่ครั้งก็ยังทำให้เมฆารู้สึกลุ่มหลงอย่างขาดสติได้ทุกเมื่อถูกคาดทับด้วยเนคไทคสีดำสนิทตัดกัน




แต่ที่ทำให้ร่างสูงแทบกระอักเลือดกำเดาตายคือแว่นกรอบสามเหลี่ยมสีแดงสดที่ดูก็รู้ว่าเป็นของปลอมที่ประดับอยู่บนใบหน้าเรียว เหมือนเลขาหน้าสวยในหนังผู้ใหญ่ที่เมฆาเคยดูสมัยเป็นวัยรุ่นอยากรู้อยากเห็น



และยังเป็นสิ่งที่เขาเคยยอมรับกับหมอกด้วยว่าอยากลองเล่นบทบาทสมมติแบบนั้นกับคนรักสักครั้ง



“หมอก...อะ...อะไรเนี่ย?”




“กลับมาแล้วเหรอครับบอส...”




เสียงหวานเรียกด้วยน้ำเสียงหยาดเยิ้มที่ทำให้เมฆาลอบกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก รู้สึกโชคดีที่ตนวางข้าวของหมดแล้วไม่อยากนั้นคงมือไม้อ่อนทำถุงร่วงไปกองที่พื้นเป็นแน่ “ประชุมเป็นยังไงบ้างครับ?”




“หือ?…!!!”



เมฆายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่หน้าประตูอย่างทำอะไรไม่ถูก เด็กหนุ่มนึกอยากจะตบหน้าตัวเองดูว่ากำลังฝันไปหรือไม่แต่ก็กลัวว่าจะดูปัญญาอ่อนต่อหน้าคนรัก ในระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเองอยู่นั้น ร่างที่อยู่บนโต๊ะก็กระโดดลงมา ก้าวตรงมาหาเขาราวกับนางฟ้าเยื้องย่างลงมาจากสวรรค์




“ประชุมออกมาเหนื่อยๆ ให้ผมดูแลคุณเองนะครับ”




เมฆาตะลึงค้างมองร่างโปร่งที่ทรุดลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น นัยน์ตาสีเทาอมฟ้าภายใตกรอบแว่นช้อนขึ้นมองเขา ประกายสีเขียววาววับในดวงตาที่ขยิบให้เขาอย่างเชิญชวนขณะที่มือเรียวจัดการเข็มขัดให้พ้นทาง ก่อนที่ฟันคมจะงับที่หัวซิปของคนรักแล้วดึงลงมา ลิ้นเรียวเล็กเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างเชื่องช้าเมื่อเห็นว่าคนรักก็สนุกกับบทบาทสมมติเล็กๆนี่เช่นกัน ก่อนที่ริมฝีปากเรียวจะขยับยิ้มหวาน




“อยากให้ผมอยู่ใต้โต๊ะ....หรือว่าบนโต๊ะดีครับบอส”





เมฆาคิดว่าเขาเห็นดาวเป็นประกายวิบวับไปหลายรอบจากการดูแลของเลขาบนเตียงที่ไม่รู้นึกครึ้มอะไรขึ้นมาถึงได้แต่งตัวแบบนี้ และดูจากร่างเปลือยเปล่าปราศจากอาภรณ์ใดๆนอกจากเนคไทค์บนคอที่นอนกอดเอวคลอเคลียถูแก้มกับหน้าท้องของเขาไปมาเป็นลูกแมวเหมียวสิ้นฤทธิ์คนนี้ เขาคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะหมดแรงไม่ต่างกัน




“สุขสันต์วันเกิดนะเมฆ ชอบของขวัญของหมอกมั้ย?”




ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นถาม วางคางบนหน้าท้องของเมฆาช้อนมองคนรักตาแป๋วอย่างคาดหวัง




“วันเกิด?"




เมฆาทวนคำอย่างงุนงง วันนี้วันเกิดหมอกไม่ใช่เหรอ?




จะว่าไป ของขวัญของหมอกยังอยู่ในโถงทางเดินอยู่เลยนี่นา...



“หมอกได้ยินมาจากนัทน่ะว่าพรุ่งนี้เมฆจะมีงานวันเกิดที่โรงแรมธารา” มธุวันขมวดคิ้ว “ผิดวันเหรอ?”




จริงด้วย!



ไม่น่าล่ะแม่ถึงได้บอกเขาว่าเจอกันพรุ่งนี้




คนที่มัวแต่ตื่นตระหนกกับวันเกิดของคนรักจนลืมวันเกิดของตัวเองได้แต่ทอดถอนใจกับความมึนของตัวเอง




“เมฆลืมไปแล้วว่าพรุ่งนี้วันเกิดเมฆ”




“จริงเหรอ?” มธุวันมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มออกมา “งั้นหมอกก็ได้เป็นคนแรกที่ให้ของขวัญวันเกิดเมฆน่ะสิ”




“แต่เมฆคงเป็นคนสุดท้ายที่ได้ให้ของขวัญวันเกิดหมอกแล้วล่ะ”



ร่างสูงเหลือบมองนาฬิกาหัวเตียงที่บอกเวลาใกล้เที่ยงคืน มธุวันเอียงคออย่างประหลาดใจ




“วันเกิด?”




“เมฆเห็นบัตรประชาชนหมอกตอนมันตกจากกระเป๋าน่ะ”




เมฆาเกาท้ายทอยอย่างเก้อๆ ร่างโปร่งกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะร้องอ๋อออกมาดังลั่น




“โทรศัพท์หมอกมันติดๆดับๆอ่ะ ปกติหมอกก็จำได้ตอนป้าอวยพรนี่แหละ แต่สงสัยคงโทรไม่ติด”




ดีนะที่มธุวันโทรบอกน้องชายให้บอกป้าก่อนว่าโทรศัพท์กำลังจะพังก่อนจะขาดการติดต่อ ไม่อย่างนั้นหญิงวัยกลางคนคง
เป็นห่วงลูกชายบุญธรรมของตัวเองมากแน่ๆ




“หมอกรอนี่ก่อนนะ”




ร่างสูงว่าราวกับสภาพของมธุวันในตอนนี้จะลุกหนีไปไหนได้ มธุวันเริ่มคิดแล้วว่าเขาต้องเป็นห่วงไหมว่าเลขาของเมฆาจะหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะจากความร้อนแรงเมื่อครู่ เขาบอกได้เลยว่าบทบาทสมมติเมื่อครู่ถูกใจอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง




ต้องบอกเมฆว่าห้ามเลขาใส่แว่น...




ความคิดเอาแต่ใจผิดวิสัยดังขึ้นมาวูบหนึ่งในหัว





“Happy birthday to you~”




เสียงทุ้มดังขึ้นจากหน้าประตูพร้อมกับเมฆาในกางเกงบ็อกเซอร์ตัวบางที่ถือชีสเค้กชิ้นเล็กเดินเข้ามาในห้อง มธุวันอมยิ้ม
ขยับให้อีกฝ่ายนั่งลงมาข้างๆ




“เป่าด้วยกันสิ ยังไงก็วันเกิดเมฆด้วยแล้วนี่”




พวกเขาทั้งสองคนหลับตาอธิษฐาน ก่อนจะเป่าเทียนที่มีอยู่เพียงแท่งเดียวนั้นด้วยกัน




“ไม่กินบนเตียงนะเมฆ เลอะเทอะ”




มธุวันรีบบอก เมฆาเหลือบมองสภาพของเตียงในตอนนี้ ก่อนจะเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ




“ไม่ทันแล้วล่ะหมอก”



แต่ร่างสูงก็วางจานเค้กไว้บนโต๊ะเมื่อโดนสายตาดุๆของคนรักตวัดค้อน ร่างสูงยื่นกล่องกำมะหยี่สีแดงให้กับมธุวัน เด็กหนุ่มรับมาเปิดดูอย่างสงสัย ดวงตาสีเทาอมฟ้าเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าอะไรอยู่ข้างในนั้น



“สวยจัง...แต่มันดูแพงมากเลยนะเมฆ”




“ไม่แพงหรอกหมอก เชื่อเมฆสิ เมฆไม่ซื้อของที่จะทำให้หมอกโกรธอยู่แล้ว”




เนื่องจากไม่รู้ว่าสวยเส้นนี้มีราคาเท่าไหร่ คำพูดของเมฆาจึงไม่ถือว่าเป็นคำโกหกเสียทีเดียว ร่างสูงหยิบสร้อยนั้นขึ้นมาสวม
ให้กับมธุวันที่หันหลังให้



“สวยมากเลยเมฆ...” มธุวันหันมายิ้มให้เขา ก้มลงมองสร้อยคอของตัวเองอย่างชอบใจ



“หมอกจะได้มีเมฆอยู่กับหมอกไปทุกที่ไง"เมฆาหยอดคำหวาน ร่างโปร่งยิ้มเขินอายกับคำพูดของคนรัก “อย่างเวลาหมอก
ไปเข้าห้องน้ำ....”



“เมฆ! หมดมู้ดเลยอ่ะ”




มธุวันเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เซอร์ไพร์สของเมฆายังไม่หมดอยู่แค่นั้น



“เมฆมีของขวัญให้หมอกอีกชิ้นด้วยนะ”



“อะไรเหรอ?”



มธุวันหยุดเล่นกับจี้สร้อยแล้วหันมาหาเขา เมฆายิ้ม กระดิกนิ้วให้คนรักโน้มตัวเข้าไปหา ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างในหูของร่างโปร่ง ดวงตาสีเทาอมฟ้าเปล่งประกายขึ้นมาทันที่เมื่อได้ยิน



‘เมฆจะเลิกแข่งรถแล้ว’




“จริงเหรอ?! เมฆพูดจริงๆนะ?!”



“ครับผม...อุ่ก!”



ร่างสูงร่างออกมาเบาๆ เซล้มลงไปนอนกับเตียงเมื่อถูกคนรักโถมเข้าใส่โดยไม่ทันตั้งตัว




“ขอบคุณนะเมฆ ขอบคุณๆๆๆๆ”



รอยยิ้มกว้างของมธุวันทำให้เมฆารู้ว่าการตัดสินใจของตนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เด็กหนุ่มร่างสูงกอดตอบคนรัก จุมพิตเบาๆที่หน้าผากใส




“เพื่อหมอก เมฆทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วครับ”




มธุวันยิ้มหวาน ให้รางวัลคนรักเป็นจุมพิตเล็กๆที่ปลายจมูกโด่ง




“ว่าแต่...หมอกช่วยอะไรเมฆหน่อยสิ”




“อะไรเหรอ?”มธุวันถาม




“หมอก...เรียนจบแล้วมาเป็นเลขาเมฆเถอะนะ”




ร่างสูงทำเสียงออดอ้อน มธุวันยิ้มขำ ผลักไหล่คนรักเบาๆอย่างไม่ใส่ใจ




“พอเลย หมอกไม่ได้เรียนทางนี้มาจะไปเป็นเลขาเมฆได้ไง อีกอย่าง...” ร่างโปร่งรู้สึกถึง‘อะไรๆ’ที่กำลังพยายามลุกขึ้นมาจากการถูกเขาทับตอนที่โถมตัวกอดคนรักเมื่อครู่ “เกิดหมอกไปจริงๆก็ไม่ได้ทำงานกันพอดี”




“โห่….” คนถูกปฎิเสธแสร้งทำหน้าบูดอย่างน้อยใจแม้จะรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมอยู่แล้ว




“แต่ว่านะ...” นิ้วเรียวกรีดลงมาตามแผงอกแกร่ง “ถ้าเมฆตั้งใจทำงาน อาจจะมีคุณเมดใส่ผ้ากันเปื้อนน่ารักๆรออยู่ก็ได้นะ”




หากเมฆาแลบลิ้นกระดิกหางได้ ร่างสูงคนทำให้คนรักเห็นไปแล้วว่าตนตื่นเต้นเพียงใด




“ครับ! เมฆจะตั้งใจทำงานทุกวันเลย!”




“เก่งมากครับ...ไหน ใครเป็นเจ้าของวันเกิดเอ่ย เดี๋ยวพี่หมอกจะให้รางวัลเด็กดี”




มธุวันขยับตัวเลื่อนลงมาทักทายเจ้าของวันเกิดตัวน้อยอีกคนที่ยังคงเรียกร้องความสนใจจากเขาอยู่ใต้ร่มผ้า




“แก่กว่าแค่วันเดียวเขาไม่นับเป็นพี่กันหรอกนะ” เมฆากอดอก




“เหรอ...” มธุวันเกี่ยวใช้นิ้วเกี่ยวขอบยางยืดของกางเกงบอกเซอร์ตัวบางขึ้นมาให้มากที่สุดแล้วปล่อยให้มันดีดกระทบผิวกายของคนที่ไม่ยอมเคารพลำดับอาวุโสจนเกิดรอยแดง ถึงแม้จะไม่ได้เจ็บมากแต่เมฆาที่กำลังอึดอัดอยู่ก็ยังอดสะดุ้งน้อยๆไม่ได้
อยู่ดี “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอารางวัลเด็กดีแล้วกันเนอะ”




“พี่หมอก~”



“คิก…ค่อยว่าง่ายหน่อย”




มธุวันหัวเราะชอบใจ ก่อนจะให้รางวัลกับ’น้องเมฆ’ที่น่ารักของตัวเองตามสัญญา






------


ลาอีกหนึ่งสัปดาห์กว่านะคะ

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
อดีตแสนหวาน ปัจจุบันก็ยังมึน ๆ ว่าแต่วินก็ยังกล้าเสี่ยงนะ

ออฟไลน์ ก้อนขี้เกียจ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 580
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
คุณเชษฐ์จะได้ไปห้องกรงแล้ว5555555

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
จุใจ มาทั้ง now และ then เลย
ขอบคุณค่ะ
น้องหมอก เปิดใจให้เมฆหน่อยจิ
เราอยากให้เข้าใจกันเร็วๆน่าาาา



แดนดินน่ากินมากมั้ยจ๊าวิน แหมๆๆ

ออฟไลน์ anandawan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
หมอกก็ยั่วตลอดอะ ฮ่าาาาส

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ boommerang

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เรื่องมันเป็นอย่างไรแล้วบ้างครับผมจำเนื้องเรื่องไม่ค่อยได้ จำได้ว่าล่าสุดที่อ่านไป เขาขับรถตามพระนายไปแล้วพระนายไปจอดในห้าง
ผมจะกลับไปอ่านใหม่ก็ขี้เกียจ
ปล.อ่านนิยายหลายเรื่องเลยจำเรื่องสลับกันไปมาพร้อมทั้งนิยายนานๆมาทีเลยมีอาการ error

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณมากค่ะ  อ่านเต็มอิ่มเลย  คิดถึงเรื่องนี้มากเลยจ้า

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
 ค้าง  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ SM_day

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 86
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-2
ตายไปเลย เขินนน

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ชอบความแซ่บของหมอกในอดีตมาก (แต่ความหมอกปัจจุบัน ก็แอบแซ่บอยู่นาาาาาา)

ออฟไลน์ ous_p

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หมอกนี่แซ่บจริงอะไรจริง

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ยาวจุใจมากค่ะ ขอบคุณมากค่า

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ดูท่าหมอกจะชอบคอสเพลย์ อยากให้หมอกคนปัจจุบันเป็นแบบนี้บ้างค่ะ เย็นชาเกินไปแล้ววว  :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
มธุวันของน้อง

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ชอบตอนย้อนอดีตมากเลย รอนะคะ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อิจฉาตาร้อนเลือดกำเดากีะเซ่นเป้นแบบนี้เองเด้อออ
คืนวันเกิดที่น่าจดจำงี้5555

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
น่ารักเชียวนะ ..

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ต๋ายแล้วๆๆๆๆๆ  :jul1:

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ถ้าสังเกต คุณลิตเติลพิกจะรู้ว่าผมไม่ใช่คนคอมเมนท์พร่ำเพรื่อ ถ้ามันมีอะไรจริงๆ ผมถึงจะเขียนแสดงความคิดเห็นสักครั้ง ซึ่งนี่ผมว่าก็ค่อนข้างเก็บประเด็นมาระดับหนึ่งแล้วน่ะนะครับ

ผมต้องชมคุณลิตเติลพิกนะครับ ว่ายังไงดีล่ะ? คือผมเองก็ไม่ได้ชอบเรื่องอื่นของคุณลิตเติลพิกมากนัก (ด้วยเหตุผลที่ผมเคยเขียนบอกไปตอนคอมเมนท์ต้นๆของเรื่องน่ะนะครับ) แต่ทริคการค่อยๆเอาน้องมีนใส่มาให้คนอ่านค่อยๆซึมซับนี่ ถือว่าฉลาดมากครับ และเป็นวิธีการเขียนที่ดีเลยในการลดอคติของคนอ่าน อีกอย่างนึงคือ คุณลิตเติลพิกเขียนสิ่งที่คล้ายๆการ resemble คาแรกเตอร์ของหมอกสมัยก่อนเข้ากับน้องมีน พอคาแรกเตอร์มันโยงกันในด้านความรู้สึก เดิมทีแล้วคนอ่านจำนวนหนึ่ง (รวมถึงผมด้วย ฮะๆ) เราค่อนข้างชอบคู่เรือผีของคาแรกเตอร์คุณธีรเชษฐ์กับมธุวันแบบที่สองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ คาแรกเตอร์แบบที่สองของมธุวันมันซ่อนบุคลิกแบบแรกเอาไว้ครับ ซึ่งบุคลิกแบบแรกน่ะเป็นบุคลิกตัวนางแบบที่เราค่อนข้างชอบและตกหลุมรักกัน เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้สึกว่ามีนคล้ายหมอกในสมัยก่อน คนอ่านจะค่อยๆลดอคติที่มีต่อน้องมีนซึ่งคาแรกเตอร์ไม่ตรงกับมธุวันแบบที่สองซึ่งเป็นเรือผีที่หลายๆคนจิ้นกัน (เพราะว่าคาแรกเตอร์น้องมีนคล้ายหมอกสมัยก่อนซึ่งเราชอบกัน) และนี่ยังไม่นับ การที่มีตอนย้อนอดีตให้หมอกได้เคยเจอกับมีนในตอนเด็กๆแล้วเอ็นดูมีนาอีกนะครับ ฉากย้อนอดีตตรงนี้มันทำให้คนอ่านที่เป็นแฟนบอยมธุวันเคลิ้มไปด้วย ก็จะทำให้คนอ่านสามารถค่อยๆซึมซับน้องมีนเข้ามาได้ง่ายขึ้น

การทำตรงนี้ผมถือว่าฉลาดมากนะครับ ผมเองตอนแรกอ่านแล้วยัง เฮ้ย ทำไมกูไม่เป็นติ่งมธุวันไปกระชากหัวน้องมีนในฐานะแฟนบอยวะเนี่ย แต่พอมาอ่านละเอียดก็เลยเข้าใจครับ นับว่าเข้าใจเล่นกับคนอ่านได้ดีเลยนะ ต้องชมหนักๆเลยครับจุดนี้

จุดที่ผมสังเกตได้ถึงความผิดปกติ (ซึ่งเอาจริงๆก็คงจะเป็นเจตนาของคนเขียนที่พยายามดันเคมีคู่นี้) ก็คือฉากที่ธีรเชษฐ์เข้ามาแล้วเจอน้องมีนกับหมอกนี่แหละครับ ธีรเชษฐ์ ‘ปกติ’ เกินไป ซึ่งผมว่าเขาก็ปกติแบบแปลกๆมาสักตอนสองตอนแล้วล่ะมั้ง ตั้งแต่ตอนที่เมฆกับหมอกโดนนิโคไลทดสอบไล่ตามน่ะครับ มันธรรมดาเกินไปจนผมจับสังเกตได้ (อย่างที่ผมบอกไปคอมเมนท์คราวที่แล้ว ลองไปอ่านต้นเรื่องดูสิครับ โอ้โห ยังกับหนังคนละม้วน)

ผมยังคงประทับใจกับมธุวันไม่เปลี่ยนแปลงนะครับ รายละเอียดทุกเรื่องเก็บครบหมด และไม่มานั่งงมโข่งเหมือนตัวนางในนิยายนอร์มอลทั่วไป เอ๊ะใครทำอะไรทำทำไม มธุวันวิเคราะห์ได้รอบคอบตรงประเด็นเป๊ะ อย่างเรื่องเพื่อนของทินกรพอเข้ามาที่บ้านปุ๊ปก็ชัดเลย แหม่ สมฉายาสุดยอดเลขาชัดๆ แล้วก็สมกับจบบัญชี หัวไวและตาไวใช้ได้เลยทีเดียวครับ นี่สิตัวนางฉลาด! จะไปหาอย่างนี้ได้ที่ไหนบ้างล่ะเนี่ย (หัวเราะ)

แต่ที่ผมค่อนข้างเริ่มรู้สึกไบแอสและรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ คือเรื่องของวรินทร์กับนิโคไลครับ ผมไม่รู้นะว่าพล็อตนิโคไลกับคุณหมออะไรยังไง แต่ผมว่ามันกลิ่นไม่สวยละ ความเกลียดขี้หน้านิโคไลสำหรับผม มันเริ่มจนเกือบเข้าขั้นตัวร้ายแล้วนะครับ เพราะสำหรับผม ผมว่าวรินทร์เป็นคนที่คล้ายมธุวันนะครับ เอาจริงสามคนนี้คล้ายกันนะ มีนา มธุวัน วรินทร์ แก่นกลางนิสัยโดยพื้นฐานผมว่ามันเหมือนกัน แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่โตขึ้นมามันคนละแบบ มันถึงมี characteristic expression และ behavioral logic ต่างกัน

และ วรินทร์ เป็นคนที่ผมรู้สึกรู้สึกว่าเขาน่าสงสารที่สุด และจากสภาพแวดล้อม ถ้ามีตัวกระตุ้นที่เป็น totally nightmare จริงๆ วรินทร์จะกลายเป็นคนที่อันตรายที่สุดครับ เพราะวรินทร์โตมาด้วยโลกมืดที่รายล้อม ต่อให้พื้นเพความคิดเขาจะอยู่ด้านสว่างยังไง เหมือนหมอกหรือมีนายังไง มันจะถูกกลบมิดด้วยความโหดร้ายในด้านมืดของโลกครับ ไม่ว่าจะเป็นความเย็นชา อันตรายถึงชีวิต การระแวดระวังตัวตลอดเวลาโดยไม่ได้พัก การถูกเป็นเป้าลอบสังหารแทน การต้องปลิดชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา การหลอกลวงที่อาจเกิดขึ้นตลอด เลือดที่ย้อมตัวของวรินทร์นั้นมหาศาลจนผมนึกไม่ออกว่าคนแบบนี้จะกลายเป็นคนที่นิสัยน่ารักได้ยังไง จะมีอะไรมาฉุดเขาเพื่อให้เป็นคุณธรรมรั้งชีวิตให้มีจุดหมายและเป้าหมายที่ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่า

และอย่างที่ผมเคยเขียนวิเคราะห์เรื่องระบบมาเฟียของเรื่องนี้ไปแล้วว่ามันค่อนข้าง...ว่าไงดีละครับ...เกื้อหนุนในแง่คู่รักหรือข้าทาสบริวารมากกว่า คือเอาจริงๆถ้ามันรูปลักษณ์หรือลอจิกคล้ายๆกัน มันไม่เป็นไร แต่นิโคไลกับวรินทร์ต่างกันมาก มากด้วยพื้นเพนิสัยเลย (อย่างที่ผมบอก ผมสังหรณ์ว่าตัวจริงวรินทร์น่ะคล้ายๆมธุวัน) ดังนั้นผมจึงสรุปได้ว่าสิ่งที่รั้งชีวิตของวรินทร์ให้มีจุดหมาย น่าจะเป็นตัวนิโคไล ไม่ใช่ตำแหน่งบอสของมาเฟีย แต่เป็นผู้ชายคนนี้จริงๆ วรินทร์ใช้ชีวิตกับนิโคไลมากไปจนผมว่าเขารู้สึกกับนิโคไลน่าจะมากกว่าคู่ชีวิตแล้วครับ ผู้ชายคนนี้กลายเป็นสิ่งที่ยึดชีวิตเขาให้มีจุดหมายและมีความหมาย เขาต้องการมีความหมายต่อนิโคไลในระดับที่มากกว่าทุกคน (นี่คือสัญชาตญาณการไขว่คว้าความรักของมนุษย์ปกติ) เพราะนอกจากนิโคไล ระบบมันเอื้อให้มีแต่นิโคไลเท่านั้นที่มีความหมายต่อวรินทร์ในชีวิตมากกว่าทุกคน (ซึ่งนี่ก็เป็นผลจากระบบมาเฟีย มันเอื้อแบบนี้)

แต่ปัญหาน่ะอยู่ที่นิโคไลครับ มาพูดถึงนิโคไล จากสองฉากที่ผมเห็นนิโคไลกับวรินทร์อยู่ด้วยกัน ผมเสียวสันหลังวาบๆเลยครับ นิโคไลนี่เป็นมาเฟียที่สำหรับผม คนๆนี้ควรอยู่ไกลให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่เพราะอะไร แต่ ‘ระบบการคิด’ ของผู้ชายคนนี้ ผมว่าน่ากลัว เพราะมันไม่ได้พังพินาศ แต่มัน ‘เย็นชาและมีเป้าหมาย’ ชัดเจนจนน่ากลัวครับ นิโคไลทำได้ทุกอย่างจริงๆเพื่อความสุขที่ตัวเองต้องการ เข้าขั้นผู้ชายอันตรายแท้จริงเลย แค่ฉากที่ผมเห็นเขาเล่นกับวรินทร์ราวกับอีกฝ่ายเป็นข้าทาสบริวารเหมือนแมว (ซึ่งวรินทร์ก็ยอมเพราะเหตุผลข้างต้นของผม) รวมถึงฉากที่ลงโทษวรินทร์ได้รุนแรงโดยที่วรินทร์อาจจะ-มีน้อยเนื้อต่ำใจบ้างแต่ก็ทนรับ (เพราะว่าผิดตามหน้าที่จริงๆ แต่ก็คงน้อยใจด้วยเหตุผลตามย่อหน้าที่แล้ว) มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่านิโคไลเอาจริงๆไม่ได้แคร์วรินทร์เลย เขาแค่ ‘สนุก’ กับการมีเงาไปตายแทนก็เท่านั้น และถ้าคนทำงานพลาด ไม่ว่าจะเป็นใคร นิโคไลสามารถยิงทิ้งได้สบายๆ ต่อให้คนๆนั้นเป็นวรินทร์ก็เถอะครับ นี่มันเข้าข่ายมาเฟียเย็นชาต่อทุกคนบนโลกชัดๆ อันตรายมาก เพราะว่าทุกอย่างวรินทร์ถูกหล่อหลอม นิโคไลต้องถูกทำให้หนักกว่านั้นเพื่อเป็นผู้นำ เพื่อเย็นชาและอำมหิตโดยที่ศัตรูไม่ทันรู้ตัว มันทำให้จิตใจมนุษย์เข้าขั้นไม่เห็นค่าชีวิตแบบเดียวกับปีศาจร้ายได้นะครับ คือถ้าร้ายในระดับแย่สุดตามการคาดการณ์ของผมจริงๆ ต่อให้เป็นหมอกพูดขอร้องหรือขัดขวางไม่ว่าเรื่องอะไร นิโคไลก็แค่กันหมอกออกจากเหตุการณ์ แล้วทำตามใจตัวเองอยู่ดีนั่นแหละครับ แล้วเขาจะทำอะไรก็ได้เพราะมีบริวารและระบบคอยตามเก็บกวาดให้ คนแบบนี้มันอันตรายชัดๆ

แต่ปัญหาคืออะไรล่ะ? ปัญหาคือ ถ้าเกิดว่าในที่สุด วรินทร์เกิดรู้เข้าจริงๆว่าเขาไม่ได้มีความหมายต่อนิโคไลละครับ ถ้าเกิดเหตุการณ์สักอย่างที่ปั่นหัววรินทร์เกี่ยวกับนิโคไล (เพราะอย่างที่ผมพูด มีอย่างเดียวที่มีความหมายต่อวรินทร์) วรินทร์ถูกระบบมาเฟียหล่อหลอมจนทำให้แม้แต่น้องชาย เขาก็ยังไม่ยอมเชื่อใจด้วยใจตัวเองเลย (สังเกตว่านี่ตรงกันข้ามเลยครับกับสายสัมพันธ์ระหว่างมธุวันและแดนดิน) นั่นคือ Totally nightmare ของจริงที่จะเกิดกับวรินทร์ เขาจะกลายเป็นตัวร้ายที่อันตรายที่สุด เก่งที่สุด (เพราะแม้แต่คนทั่วไป ก็ยังมี inhibition [หิริโอตัปปะ] ในระดับที่เล็กที่สุด แต่สำหรับวรินทร์ในสภาพนี้ และนิโคไลในสภาพทั่วไป ผมไม่กล้าคิด) โดยทำร้ายมามากที่สุด และที่สำคัญที่สุด น่าสงสารที่สุดครับ ส่วนตัว ผมว่าความจริงความรักของวรินทร์บริสุทธิ์ที่สุดนะครับ เพราะสายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากการครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วสร้างเป็นกฎที่ร้อยรัดคนสองคนขึ้นมาจนเป็นเงาและตายแทนกันได้ ของแบบนี้ถ้ามันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ มันต้องบริสุทธิ์ที่สุดและล้ำค่าอย่างน่าสนใจเลย เพราะมันเกิดขึ้นแม้จะจากกฎโบราณ แต่มันค่อยๆเกิดจากความใกล้ชิด มันบริสุทธิ์กว่าความรักทั่วไปที่เกิดขึ้นเพราะความถูกใจหน้าตาหรือนิสัย เช่นพวกคู่รักทั่วๆไป หมอกเมฆ หรือเชษฐ์มีน ที่เกิดขึ้นกันซะอีก

และถ้าเกิดเรื่องนี้จริงๆ คนที่ผิดที่สุดคือนิโคไล วรินทร์เป็นแค่เหยื่อของระบบมาเฟียที่ร้อยตัวของเขา และเหยื่อของความเห็นแก่ตัวของนิโคไลเท่านั้น นั่นเลยทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีกับผู้ชายคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆน่ะครับ แต่คงไม่เลวขนาดนี้หรอกมั้ง เพราะมีลูกแล้ว น่าจะเริ่มมีความอ่อนโยนซึมใจเข้ามาบ้าง หวังว่าคงจะไม่ใช่เคสเลวร้ายที่สุดมั้งครับ (หัวเราะ)

แต่ส่วนตัว ผมชอบเรือ นิโคไล x วรินทร์นะ ไม่รู้สิครับ ระบบมันเอื้อ แล้วคาแรกเตอร์มันก็เอื้อดีน่ะนะสำหรับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-10-2017 22:09:16 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ khwanruen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
หมอกมีความอ่อยระดับ 10  :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด