"เมฆไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดได้แล้วไป ดูซิมอมแมมหมดแล้วเนี่ย"
หลังจากกลับเข้ามาในห้อง มธุวันใช้มือปัดฝุ่นออกจากตัวของพระเอกขี่ม้าขาวที่เข้ามาช่วยเขาไว้ แต่จะดีกว่านี้หากเมฆาไม่
เข้ามาช่วยเขาด้วยเสื้อสีขาวซักยากตัวนี้
"อือ หมอกไม่เป็นไรแน่นะ"
เมฆาถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
"อื้อ ไม่ต้องห่วงหรอก หมอกไม่เป็นไร" มธุวันคล้องแขนรอบคอของคนรักแล้วโน้มคออีกฝ่ายลงมาประทับจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปาก "อ่ะ รางวัล"
"ทีเดียวเองเหรอ"
ร่างสูงอ้อน แต่ถูกขัดจังหวะโดยเพื่อนที่เองของไปวางในครัวเสร็จแล้ว
"รีบไปอาบน้ำแล้วมาแดกเหล้ากะกูได้แล้ว นี่กูอุตส่าห์หิ้วหนังมาโต้รุ่งกับมึงเลยนะ เร็วๆ ให้ว่อง"
เมฆากลอกตาอย่างรำคาญที่โดนขัดบทสวีท แต่พอมธุวันดันให้เข้าไปอาบน้ำก็ยอมไปง่ายๆ นาวินทร์เห็นความเชื่องของเพื่อนแล้วก็ได้แต่ยิ้มขำอยู่ในใจ
"งั้นเดี๋ยวเราไปทำอาหารเย็นก่อนนะ วินทร์อยากได้กับแกล้มอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?"
มธุวันถามแบบนี้ทุกครั้งที่เขาแวะมาเยี่ยมเมฆา แต่ครั้งนี้ต่อมเกรงใจที่ผุดงอกออกมาหลังจากเห็นผลการตรวจดีเอ็นดีทำให้
เขาตะกุกตะกักตอบไปอย่างลืมตัว
"ไม่..ไม่เป็นไรครับ"
"...?"
มธุวันมองหน้าอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจที่จู่ๆก็พูดจาสุภาพขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะจากที่รู้จักกันมานาวินทร์ค่อนข้างเป็นคนผีเข้าผีออกพอสมควรในบางเวลา
"เอ่อ...ฉันช่วยทำกับข้าวได้มั้ย?"
คนที่ร้อยวันพันปีมีแค่โผล่มารอกินข้าวฝีมือมธุวันแล้วอาสาจ่ายด้วยการล้างจานตลอดเดินตามเขาเข้ามาในครัว แม้จะ
ประหลาดใจ แต่มธุวันก็ยินดีที่มีคนช่วย
"ถ้าอย่างนั้นวินล้างผักให้เราหน่อยละกัน"
มธุวันรู้ดีว่าประสบการณ์การเข้าครัวของอีกฝ่ายมีพอๆกับเมฆา ร่างโปร่งจึงหาอะไรง่ายๆให้ทำเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
"หมอก...นายไม่กลัวเลยจริงเหรอ?"
"ตอนแรกก็ตกใจนะ แต่พอเห็นว่าเขาดูสั่นๆก็เลยคิดว่าเขาไม่น่าทำอะไรเรา"
ร่างโปร่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ แล่เนื้อก้อนใหญ่เพื่อเตรียมหมักทำเสต็ก
"มีเสต็ก สลัด มันอบเป็นข้าวเย็นนะ เราซื้อปลาหมึกสดมา เดี๋ยวย่างให้เป็นกับแกล้ม"
"ขอบใจ" แต่นาวินทร์ยังไม่คิดจะปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปง่ายๆ "ตอนนั้นนายมีสติถึงขนาดรู้เลยเหรอว่าคนร้ายกำลังกลัวอยู่"
คนปกติหากโดนจี้แบบนั้นคงไม่ได้มีสติดีแบบมธุวันทุกคน
"ไม่รู้สิ ปกติเราไม่ค่อยตกใจอะไรกับใครเขาอยู่แล้ว" มธุวันหัวเราะเบาๆ "เราคงเป็นพวกความรู้สึกช้าล่ะมั้ง"
"แล้วที่นายให้เงินเขาไป...ตอนนั้นนายคิดอะไรอยู่?"
นาวินทร์หยิบถ้วยตะแกรงโลหะมาวางให้ผักสะเด็ดน้ำแล้วหันไปหาคนที่กำลังนวดเนื้อให้เข้ากับเครื่องเทศ
"คงเพราะเรารู้ล่ะมั้ง ว่าคนที่หิวจนไม่มีข้าวกินรู้สึกยังไง"
มธุวันยังคงนวดเนื้ออย่างขะมักเขม้น
"ตอนเด็กๆมีช่วงที่ป้าขายของไม่ได้เลย ช่วงนั้นที่บ้านลำบากมาก ข้าวหนึ่งกล่องก็ต้องแบ่งกับน้องชายกินที่โรงเรียน"
ร่างโปร่งยิ้มกับความทรงจำนั้น
"แต่น้องชายของเราเป็นนักว่ายน้ำโรงเรียน เด็กวัยกำลังโตก็ต้องใช้พลังงานนี่เนอะ เราก็เลยบังคับให้ดินกินส่วนของเราไปด้วย รู้มั้ย บางวันเรารู้สึกเหมือนว่าแค่หายใจก็เจ็บไปทั้งท้องแล้ว"
เรื่องในอดีตของอีกฝ่ายทำให้นาวินทร์รู้สึกผิดที่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองไม่เป็นดังที่ใจปรารถนา แต่คนเล่ากลับไม่มีท่าทีขมขื่นกับความทรงจำนั้นสักนิด
"พอเริ่มเข้าวันที่สี่ เราเริ่มไม่ไหว เลยแอบเข้าไปหลังโรงอาหาร คิดว่าน่าจะมีอะไรที่เสียแล้วยังพอกินได้ให้เราบ้าง แต่ตอนนั้นป้าเขาเพิ่งทอดไก่เสร็จพอดี"
มธุวันเปิดน้ำล้างมือที่เพิ่งหมักเสต็กเสร็จ
"ตอนนั้นเราหิวมาก เลยเอื้อมไปหยิบ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่มีเงินจ่าย แต่สุดท้ายก็โดนจับได้ก่อนจะได้ทำอะไร"
ร่างโปร่งหยิบเอามันฝรั่งที่อีกฝ่ายล้างเสร็จมาเริ่มปอกเปลือก นาวินทร์ที่เห็นดังนั้นจึงหยิบมีดมาช่วย โชคดีที่เพลงดาบและศิลปะการใช้มีดสั้นเป็นหนึ่งในคลาสเรียนของโรงฝึกตระกูลเหลียน ไม่อย่างนั้นนาวินทร์คงทำมีดบาดมือไปตั้งแต่เริ่มแล้ว
"แล้วตอนที่โดนจับได้ นายโดนลงโทษมั้ย?" ร่างสูงถาม มธุวันส่ายหน้า
"ป้าคนขายเขาดุเรานะ แต่เขาก็บอกว่าถ้าเราไม่มีอะไรกิน ให้เรามาช่วยป้าล้างจาน แล้วป้าจะให้กินข้าวฟรีทุกเที่ยง"มธุวันอมยิ้มเมื่อนึกถึงหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่เป็นเหมือนครูของเขาอีกคนในโรงเรียนแห่งนั้น "ป้าบอกว่า ถ้าเรากำลังเดือดร้อน มันไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะขอความช่วยเหลือคนรอบข้าง แต่ถ้าเราไม่ถามแล้วคิดเอาเองว่าเราไม่มีทางเลือก ชีวิตเราก็ไม่มีวันมีค่าขึ้นมา"
"ฟังดูเป็นคุณป้าที่ใจดีมากเลยนะ"
นาวินทร์ยิ้มตาม
แล้วชีวิตของคนอย่างเขา...จะมีทางเลือกอย่างที่อีกฝ่ายว่ามั้ยนะ?
“ทำอะไรกันอยู่”
คนที่อาบน้ำเสร็จกอดหมับเข้าที่เอวของคนรักอย่างหวงแหน ถึงแม้จะรู้ว่าสามารถไว้ใจเพื่อนสนิทของตนได้ก็ตาม
“ไม่เอาเมฆ เพิ่งอาบน้ำมาไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เลอะหรอก”
มธุวันพยายามดันคนรักออกโดยไม่ให้มือเปื้อน แต่เมฆาไม่ยอมปล่อย
“เลอะก็อาบใหม่ มาเดี๋ยวเมฆช่วยทำ”
“ออกไปทั้งคู่เลย กวนหมอกแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่เสร็จพอดี”
มธุวันดุอย่างไม่จริงจังนัก นาวินทร์รับหน้าที่ลากเพื่อนออกไปจากห้องครัวตามคำขอของอีกฝ่ายโดยมีเจ้าของห้องโวยวายพอเป็นพิธี เมื่อได้ห้องครัวกลับคืนมา มธุวันจึงรีบลงมือทำอาหาร ก่อนที่เมฆาจะหนีกลับเข้ามาโดยอ้างว่าทนคิดถึงเขาไม่ไหวอย่างทุกวัน
"อ๊ะ...เมฆ แล้ววินล่ะ?"
มธุวันร้องเมื่อเจ้าของห้องซุกตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มแล้วดึงเขาเข้าไปกอดโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เขาขอตัวเข้ามานอนก่อนหลัง
จากทานอาหารเย็นเสร็จ ร่างโปร่งได้ยินแค่เสียงเฮฮาเป็นระลอกดังลอดเข้ามาเล็กน้อย จึงไม่รู้ว่าคนรักดื่มเหล้ากับเพื่อนเสร็จตอนไหน
"เมาหลับไปบนโซฟาแล้ว"
ร่างสูงที่ซุกหน้าอยู่กับไหล่ขาวเนียนตอบยานคาง ดึงเสื้อยืดย้วยๆของคนรักให้เผยผิวกายขาวน่าลิ้มลองเพิ่มขึ้นแล้วพรมจูบลงไปอย่างมัวเมา มธุวันย่นคอหนีด้วยความจั๊กจี้ เอ่ยปรามคนรักที่อยู่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
"โห เมฆ กินเหล้าหึ่งเลย กินไปกี่ขวดเนี่ย"
มธุวันบ่น ด้วยเชื้อรัสเซียในตัวอาจจะทำให้เมฆามีภูมิคุ้มกันต่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เรียกว่าวอดก้ามากกว่าคนปกติ นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มจะต้องดื่มไปพอตัวเลยถึงได้เสียงอ้อแอ้แบบนี้
ให้ตายเถอะ ถึงจะไม่ชอบให้อีกฝ่ายไปเมานอกบ้านก็ไม่ได้มชหมายความวาเขาจะชอบให้อีกฝ่ายเมาในบ้านหรอกนะ
"เหม็นแล้วไม่รักเมฆเหรอครับ?"
คนเมาทำเสียงน้อยใจ แต่มือน่ะสอดเข้าใต้เสื้อไปเล่นกับเม็ดทับทิมที่ตื่นเต้นดีใจกับสัมผัสที่คุ้นเคยเรียบร้อยแล้ว
"อือ...เมฆ ไม่เอา วินอยู่ข้างนอกนะ"
มธุวันพยายามทำเสียงดุทั้งที่ขยับตัวบดเบียดร่างกายร้อนที่นอนแนบสนิทกับแผ่นหลังของเขาอย่างลืมตัว
"ถ้าหมอกยัง'ไม่เอา'อยู่แบบนี้ ไอ้วินน่าจะใกล้ได้ยินแล้วล่ะครับ"
เมฆากัดฟันกรอด การเสียดสีของคนรักทำให้เขาที่กำลังมึนๆเริ่มเครื่องติดจริงๆจากที่คิดว่าจะแค่หยอกอีกฝ่ายเล่นเสียแล้ว
"ก็เมฆอ่ะ..."
คนโดนแกล้งก่อนงอนแก้มป่อง ขยับตัวหนีจากคนขี้แกล้งแล้วหลับตาลง แต่เมฆาที่ตาสว่างแล้วไม่ยอมให้ตัวต้นเหตุหนีความรับผิดชอบ
"หมอกครับ..."
“หมอกจะนอน"
มธุวันซุกหน้าลงกับหมอน แต่ร่างสูงใหญ่นั้นทิ้งตัวทับตัวเขาไว้ราวกับเด็กโข่งเอาแต่ใจ จนคนอึดอัดทนไม่ไหวต้องขยับตัวดิ้นหนีเพื่อให้ตัวเองได้อากาศหายใจ
แต่ยิ่งดิ้น เขายิ่งรู้สึกถึงเจ้ามังกรยักษ์ที่ชักจะขู่คำรามหนักข้อขึ้นทุกครั้งที่ถูกรบกวนการหลับใหล
"หมอกครับ ช่วยเมฆหน่อยนะครับ"
คนที่แม้จะไม่ได้เมาแต่ก็ค่อนข้างกรึ่มอ้อนคนรัก มธุวันถอนหายใจ จะให้เขาทิ้งให้เมฆาค้างเติ่งอยู่กลางอากาศแบบนี้ก็สงสาร แต่เขาก็ไม่อยากให้เสียงของตัวเองเล็ดลอดออกไปข้างนอกให้นาวินทร์ได้ยินเช่นกัน
“หมอก...”
เสียงทุ้มที่ดังอยู่ข้างหูแทบจะขอร้องอ้อนวอน
แล้วแบบนี้เขาจะปฎิเสธได้ยังไง...
“แค่ปากพอนะ”
ร่างโปร่งขยับพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของคนรัก นิ้วเรียวเกี่ยวขอบกางเกงขาสั้นของคนรักลงอย่างชำนาญ
“แต่…”
“แค่ปาก แล้วพรุ่งนี้ถ้าวินกลับไปค่อยว่ากัน”
มธุวันไม่เปิดโอกาสให้เมฆาต่อรอง มือเรียวปลอบขวัญเจ้าหนูที่แตกตื่นตกใจให้สงบลง เรียกเสียงครางต่ำอย่างพึงพอใจจากคนที่ถูกปรนเปรอได้เป็นอย่างดี
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้หมอกก็เป็นของเมฆทั้งวันเลยใช่มั้ย?” เมฆาถาม
“ต่อกลางคืนด้วยก็ได้นะถ้าไหว”
มธุวันยักคิ้วท้าทาย หลังจากครั้งแรกของพวกเขา ร่างโปร่งก็เปิดเผยขึ้นมากเรื่องความต้องการของตัวเอง เรียกได้ว่าบางครั้งเมฆาเหนื่อยจนหลับไปก่อนร่างโปร่งเสียด้วยซ้ำ
“หมอก อึ่ก...อย่าท้าเมฆ”
ร่างสูงขยุ้มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนของคนรักเพื่อระบายอารมณ์ที่ถูกมธุวันปลุกปั่นอย่างชำนาญจากประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ก็แหงล่ะสิ อีกฝ่ายเล่นปลุกเขาทุกวันด้วยวิธีนี้นี่นา
ปากของมธุวันไม่ว่างต่อล้อต่อเถียงกับคนรัก แต่การกระทำของร่างโปร่งแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่คิดจะถอนคำพูดของตัวเองเมื่อครู่
เมฆาเห็นชะตากรรมของตัวเองพรุ่งนี้อยู่รำไร
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะบ่นเสียเมื่อไหร่
ภายนอกของห้องนอน นาวินทร์ที่เจ้าของห้องคิดว่าหลับไปแล้วกำลังวางเครื่องดักฟังขนาดจิ๋วและกล้องไว้ทุกที่ที่เขาสามารถซ่อนได้ เสียงเบาๆที่เล็ดลอดออกมาจากในห้องนั้นไม่ได้ทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป นาวินทร์เปิดการทำงานของเครื่อง แล้วเช็คอุปกรณ์ผ่านมือถือของเขา
เขาอยากแน่ใจว่ามธุวันปลอดภัย ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็ถือว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา
เราไม่ถามแล้วคิดเอาเองว่าเราไม่มีทางเลือก ชีวิตเราก็ไม่มีวันมีค่าขึ้นมาเขามีทางเลือก...
และเขาตัดสินใจแล้ว
ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากดโทรออก สูดหายใจเข้าลึกๆเมื่อได้ยินเสียงคนรับสาย
“จองตั๋วเครื่องบินให้ผมที พรุ่งนี้เย็น ผมจะกลับอิตาลี”
ปลอกคอที่เขาเคยใส่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก...ตอนนี้จะรัดคอเขาจนขาดอากาศหายใจมั้ยนะ?
------
เอาติ่งตอนมาเสิร์ฟเช่นเคย
