Chapter 10: [Now] ยุทธการดึงผมเปีย
“คุณมธุวันคะ คุณเมฆาขอเอกสารด่วนค่ะ”
“คุณมธุวันคะ คุณเมฆาเชิญที่ห้องทำงานค่ะ”
“คุณมธุวันคะ คุณเมฆาขอให้คุณเข้าร่วมประชุมด้วยค่ะ”
เมฆากำลังทำให้เขาใกล้จะเป็นบ้า
จู่ๆรองประธานบริษัทก็ไล่เลขาของตัวเองออก ในการตัดสินใจแบบหุนหันพลันแล่นทำให้เจนจิราไม่สามารถหาเลขามาแทนได้ทันเวลา แน่นอน งานทั้งหมดจึงมาตกอยู่ในมือของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเครื่องจักรสังหารเอกสารอย่างมธุวันจนกว่าจะหาคนมาแทนได้
แต่นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ ขนาดธีรเชษฐ์ยังไม่เคยใช้งานเขาหนักขนาดนี้เลย
แน่นอนว่ามธุวันไปแต่หุบปากและทำงานที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างเงีียบๆ แค่เช้าวันนี้เขาถูกอีกฝ่ายเรียกตัวไปช่วยงานมากกว่าที่ธีรเชษฐ์ทำทั้งสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานน้อยยิบย่อยเพียงใดก็ตาม
“คุณมธุวันคะ คุณเมฆาเชิญที่ห้องประชุมบีค่ะ บอกว่ามีนัดเจรจากับหุ้นส่วนทางธุรกิจ”
พนักงานสาวที่ถูกสั่งให้วิ่งมาส่งข่าวให้เขาตลอดทั้งวันยังคงไม่กล้าสบตาเขา มธุวันปิดแฟ้มเอกสารเสียงดังปังจนคนส่งข่าวสะดุ้ง ราวกลับกลัวว่าสิ่งที่ฝ่ามือของเขาจะกระแทกต่อไปจะไม่ใช่แฟ้ม
“หุ้นส่วนท่านไหนครับ”
มธุวันสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาทำงานภายใต้สภาวะความกดดันสูงในบริษัทนี้มาสามปี เขาจะไม่ระเบิดใส่พนักงานที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เพียงเพราะรองประธานงี่เง่าไม่สามารถกระดิกนิ้วมือได้หลังจากที่ไล่เลขาของตัวเองออกโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
“เอ่อ....”
ริมฝีปากของหญิงสาวสั่นระริก แต่นั่นไม่ได้เรียกความสงสารให้คนที่ฟางเส้นสุดท้ายพยายามเกาะเกี่ยวกันไว้อย่างสุดความสามารถเลยสักนิด
“ผมว่าคำถามของผมไม่ได้เกินความสามารถในการตอบคำถามของคุณนะครับ”
“คือ...ไม่มีใครอยู่ในห้อง…คุณเมฆาไม่ได้บอก...”
มธุวันไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ ร่างโปร่งคว้าแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินไปยังห้องประชุมบีทันที
“นี่คุณจงใจใช่มั้ยคุณเมฆา?!”
เลขาหนุ่มกระแทกประตูปิดดังโครมใหญ่ ชนิดที่ว่าผู้คนในชั้นเดียวกันคงจะสะดุ้งตามกันเป็นแถบ เมฆาเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แววตานิ่งสงบไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย แต่คนที่เบิกตากว้างอย่างตกใจกับปฎิกิริยารุนแรงนี้กลับเป็นร่างสูงที่อยู่ในจอภาพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคนที่เขารู้จักดี
“สวัสดีครับคุณธัชธรรม”
ความเยือกเย็นของมธุวันไหลกลับเข้าร่างอย่ารวดเร็ว ร่างสูงที่วีดีโอคอลเข้ามาหัวเราะเมื่อสลัดความตกใจออกไปได้
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณมธุวัน ถ้าประธานใช้งานคุณหนัก ย้ายมาบริษัทผมมั้ยครับ?”
“ขอบคุณครับ แต่ผมสบายดี”
ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามของเมฆา หันไปหาหน้าจอใหญ่ ธัชธรรมเป็นคนที่เดินทางบ่อย ชายหนุ่มแทบไม่ได้อยู่เมืองไทยเลย ทำให้การประชุมต้องทำผ่านวีดีโอเสียส่วนใหญ่ ร่างสูงเป็นหุ้นส่วนและคนรู้จักของธีรเชษฐ์มานานแล้ว ถือเป็นความโชคดีเล็กๆของเขาที่อีกฝ่ายเป็นคนร่าเริง ไม่ถือสากับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ แต่เขาก็ยังเหลือบมองต้นเหตุของความขุ่นเคืองใจเป็นระยะ เมฆาสนใจเพียงแค่เอกสารตรงหน้ากับธัชธรรม ไม่สนใจเขาเลยสักนิด
แล้วจะเรียกเขามาทำไม
“เดี๋ยวว่างๆผมจะแวะเข้าไปคุยงานที่บริษัท ไม่ได้กลับไทยนานแล้ว ป่านนี้เจ้าสองแฝดไม่รู้จะเป็นยังไง”
ร่างสูงเอ่ยยิ้มๆหลังจากจบการประชุม มธุวันไม่เคยเห็นลูกชายฝาแฝดทั้งสองคนของธัชธรรม แต่เขาจำได้ว่าทั้งสองน่าจะอยู่ชั้นปีที่สามของมหาวิทยาลัยเก่าของเขา
“ใครบอกให้ลุก”
เสียงทุ้มของเมฆาดังขึ้นเมื่อเขาเริ่มเก็บของ ความรู้สึกหงุดหงิดที่ลดลงเมื่อครู่กลับมาอีกครั้ง มธุวันหอบข้าของทั้งหมดของตัวเองก้าวเร็วๆไปยังประตูทางออก แต่อีกฝ่ายไวกว่าใช้แขนยันประตูไว้ก่อนที่เขาจะได้ออกแรงเปิด
“นี่คุณคิดจะทำอะไรกันแน่...”
“โกรธเหรอ?”
เสียงของเมฆาดังขึ้นข้างหู น้ำเสียงที่...เกือบจะอ่อนโยนทำให้มธุวันสะอึกเบาๆ ร่างโปร่งไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวก่อนจะหันกับมาเผชิญหน้ากับร่างที่ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบทำให้เขาชะงัก
ใกล้...ใกล้เกินไปแล้ว
“ก็…ก็ต้องโกรธสิครับ ผมเป็นคนนะ ใช้งานกันหนักขนาดนี้ผมก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน...”
มธุวันเกลียดเสียงของตัวเองในตอนนี้ หลังจากที่พยายามเข้มแข็ง ยืนหยัดได้ด้วยตัวเองมานานหลายปี เสียงสั่นเครือเขาในตอนนี้เหมือนกับกลับไปเป็นตัวเองคนเดิมที่อ่อนไหวกับเรื่องเล็กน้อย เป็นคนเดิมที่ไม่กลัวที่จะอ่อนแอ เพราะรู้ว่ามีคนที่จะคอยอ้าแขนรับเขาเข้าไปในอ้อมกอดแล้วบอกเขาว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร
แต่เขาในตอนนี้ไม่มีคนที่ว่าอยู่เคียงข้างแล้ว
“ดี…โกรธก็บอกว่าโกรธ ชักสีหน้าใส่ฉันแต่ไม่พูดอะไร ฉันก็เดาใจนายไม่ถูกหรอกนะ”
ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้อีกนิด มธุวันรู้สึกถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นในรอบหลาย
“ปากเขามีไว้พูด...ถ้านายไม่ใช้มันบอกความต้องการ ฉันจะได้เอาไปทำอย่างอื่น”
“อะ…”
รองประธานบริษัทผละออกจากร่างของเลขาหนุ่ม ก่อนจะเอื้อมไปเปิดประตูให้เขา
“ไปกินข้าวเที่ยงกัน”
“แต่…”
“เหนื่อยไม่ใช่เหรอ? จะพาไปพักนี่ไง”
เมฆาไม่ปล่อยให้เขาปฎิเสธ เอื้อมมือมาจับข้อมือข้างที่เป็นอิสระของเขาไว้แล้วลากเขาไปยังลานจอดรถของบริษัท โดยที่มธุวันซึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้
ภาพของนักศึกษาหนุ่มร่างสูงที่มักจะลากเขาไปไหนมาไหนโดยไม่ฟังคำคัดค้านของเขา แต่ก็มักจะลงเอยด้วยการที่มธุวันมีช่วงเวลาที่ดีจนลืมดุอีกฝ่ายซ้อนทับกับแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้าจนมธุวันพบว่าตัวเองไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ ร่างโปร่งได้แต่ก้มหน้าเดินตามชายหนุ่ม ภาวนาไม่ให้น้ำตาคลอหน่วยร่วงเผาพลงมาให้เป็นที่สังเกต
นี่เรา...ทำบ้าอะไรอยู่
“อยากกินอะไร?”
เมฆาเงยหน้าขึ้นถามจากเมนู มธุวันเม้มริมฝีปาก ยังคงนิ่งเงียบตั้งแต่หลังจากขึ้นรถมา ร่างโปร่งแค่ส่งเสียงตอบรับในลำคอตอนที่เมฆาบอกทางเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นร้านอาหารที่อยู่ปลายทาง มธุวันกลับพูดไม่ออกในอีกความหมายหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
“บอกแล้วนะ ถ้าไม่ใช้ปากพูด ฉันจะได้เอาไปทำอย่างอื่น”
ร่างสูงเอ่ยซ้ำ มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะหยิบปากกามาจดรายการอาหารลงไปในกระดาษโน๊ตอย่างคล่องแลค่ว
เขาไม่จำเป็นต้องดูเมนู เพราะร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดเล็กริมรั้วมหาวิทยาลัยนี้เป็นร้านประจำที่เขากับเมฆามักจะมาอย่างน้อยเดือนละสองครั้งสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาไม่เปลี่ยนไปจากในความทรงจำของเขาสักนิด
นอกจากคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ทำไม คิดว่าฉันจะพาไปเลี้ยงร้านหรูๆรึไง” เมฆาเลิกคิ้ว
“คุณจะทำอะไรกันแน่คุณเมฆา” มธุวันถามย้อน
เจ้าของชื่อเพียงแต่ยิ้มมุมปาก หยิบกระดาษแล้วส่งให้พนักงานที่เดินมารับออเดอร์
“อ้าว น้องเมฆ น้องหมอก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน มาเยี่ยมมหาวิทยาลัยเหรอจ๊ะ”
โชคไม่ดีของมธุวัน คนที่เดินมารับกระดาษแผ่นนั้นคือคุณป้าเจ้าของร้านที่รู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี มธุวันรู้ตัวว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาต้องซีดเผือด เพราะหญิงวัยกลางคนกำลังมองมาทางเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ?”
เสียงเรียกของลูกค้าโต๊ะอื่นช่วยชีวิตเขาไว้ทันเวลา เมฆาหันกลับมาหาเขาด้วยสีหน้าจับผิด
“สมัยเรียนที่นี่ผมมาทานบ่อย”
มธุวันรีบแก้ตัวก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ถามอะไร
“เหรอ ฉันก็มาบ่อย ไม่เห็นเคยเจอนายเลย”
“คนไม่รู้จักกัน ต่อให้เดินสวนกันก็คงไม่ใส่ใจจะจำ จริงมั้ยครับ?”
มธุวันเอ่ยเสียงเรียบ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดเช็คอีเมลล์ตัดบททสนทนา แต่มือใหญ่กลับเอื้อมมาดึงโทรศัพท์ไปจาก
มือของเขา
“นี่คุณ!”
“อยากคุยก็คุยกับฉัน”
“ผมจะทำงาน”
“นี่เวลาพัก พักซะ”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผมว่าผมควรจะทำอะไรในเวลาพัก”
มธุวันไม่อยากเต้นตามเกมส์ของอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้เมฆาเห็นว่าเขาสามารถถูกจูงจมูกไปมาได้ง่ายๆ แต่พอเป็นเมฆา ทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างยากเสียเหลือเกิน
“ฉันเป็นห่วง”
และตอนนี้เมฆาก็ทำให้มันยากยิ่งขึ้นไปอีก
มธุวันตัดสินใจที่จะหุบปากเงียบตลอดมื้ออาหาร ยิ่งพูดเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองโดนต้อนให้จนมุมขึ้นเรื่อยๆ
“เวลาที่นายอารมณ์ไม่ดี นายจะเขย่าขาตลอดเวลา รู้ตัวมั้ย”
ขาที่เขย่าอยู่หยุดลงทันที มธุวันก้มลงทานอาหารอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่สนแล้วว่าตอนนี้เขาจะต้องโทร
เรียกธีรเชษฐ์ให้มารับเมฆาไปอีกรอบ เขาแค่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่หลังจากนั้นเมฆาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ราวกับดูออกว่าหากกดดันเขาไปมากกว่านี้ มธุวันอาจจะระเบิดในร้านอาหารขึ้นมาจริงๆ
“ถึงแล้วครับคุณเมฆา”
มธุวันเอ่ยขึ้นเมื่อเหลือบมองกระจกหลังเห็นร่างสูงนั่งกอดอกหลับตาตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ แต่เมฆายังคงไม่ขยับ ทีแรกมธุวันจะลงจากรถไปปลุก แต่มีรถขับมาจ่อด้านหลัง เขาจึงจำเป็นต้องขยับวนลงไปหาที่จอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน
“คุณเมฆา”
มธุวันดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงจากรถวิ่งอ้อมไปหาร่างสูง เขาพยายามเขย่าร่างของเมฆา แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบสนองอีกครั้ง ร่างโปร่งสังเกตเห็นเหงื่อที่ไหลซึมจากหน้าผากของชายหนุ่มและอุณหภูมิร่างกายที่ร้อนเป็นไฟ ด้วยความตกใจ เลขาหนุ่มเริ่มเขย่าร่างของคนที่หมดสติอีกครั้ง
“เมฆ…เมฆ....ตื่นสิ”
เมื่อไม่ได้ผล ร่างโปร่งรีบกลับขึ้นไปบนรถแล้วขับออกไปจากคอนโดทันที สมองของเขามีเพียงพาอีกฝ่ายไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด ภาพของเมฆาหลังจากออกมาจากห้องผ่าตัดในครั้งนั้นกลับเข้ามาในหัว มือเรียวกำพวงมาลัยแน่นจนเกิดข้อขาว เขาจะไม่ยอมให้เมฆาเป็นอะไรไปอีกเด็ดขาด
-----------------
ปั่นๆๆ
