ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 10
มิสเตอร์สมิธและรำไพพรรณ แอนเดอร์สันได้รับพระราชทานวโรกาสให้เข้าเฝ้ากษัตริย์ราชิด
อัลฟาดี ณ ห้องทรงงานในอาคารรัฐบาลเป็นการส่วนพระองค์หลังจากที่ทั้งคู่เดินทางมาเพื่อรับฟังความคืบ
หน้าในการติดตามหากวินท์ แอนเดอร์สันผู้เป็นบุตรชายที่นี่ ทั้งคู่ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะความห่วงใย
กวินท์
กษัตริย์ราชิด อัลฟาดีก้าวพระบาทเข้ามาในห้องรับรองพร้อมองครักษ์ที่หยุดเฝ้ารักษาความ
ปลอดภัยอยู่หน้าห้อง กษัตริย์ราชิดน้อมเศียรรับการโค้งคำนับและถอนสายบัวจากสามีภรรยาแอนเดอร์สัน
ก่อนจะตรัสออกมา
“ในฐานะผู้นำของประเทศ ผมขออภัยที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮาลียันไม่ได้นิ่งนอนใจเลยเรื่องบุตร
ชายของพวกคุณ”
“ผ่านไปสามวันแล้วกระหม่อม”
สมิธกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ เขายังคงรักษาท่าทีได้นิ่งด้วย
ความเป็นนักการทูตของเขา
“ควรจะมีข่าวคราวของกวินท์บ้าง ฮาลียันไม่ได้มีพื้นที่มากเกินไปจนไม่สามารถหาข่าวกองโจร
ในทะเลทรายได้”
สีพระพักตร์ของผู้นำประเทศฮาลียันเปลี่ยนไปแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาวางอิริยาบทสุขุมได้
เช่นเดิม
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกมิสเตอร์แอนเดอร์สัน ทางการเฝ้ามองการกระทำของโจรเหล่านี้มาได้พัก
ใหญ่ อันที่จริงเรามีการวางแผนจะกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซากเสียนานแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุเรื่องนี้ขึ้น
เสียก่อน”
“อย่าให้กวินท์ต้องกลายเป็นชนวนแห่งความรุนแรงเลยกระหม่อม”
สมิธสบตากับกษัตริย์ราชิดด้วยความอึดอัดและเป็นกังวล
“หม่อมฉันเป็นห่วงเกรงว่าโจรเหล่านั้นอาจจะมองว่ากวินท์เป็นต้นเหตุแห่งความรุนแรง เราต้อง
การกวินท์ที่กลับมาอย่างปลอดภัยกระหม่อม”
พระเนตรของกษัตริย์ราชิดวาวแสงเมื่อสมิธพูดจบลง พระขนงย่นเข้าหากันอย่างไม่พอ
พระทัยนัก
“เอาละ ฉันรับปากว่าลูกชายของคุณจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
ทรงดีดข้อพระกรครั้งเดียวองครักษ์ก็ก้าวเข้ามาในห้อง กษัตริย์ราชิดผายพระหัตถ์ไปทาง
ประตูทางเข้าห้อง
“ไปส่งมิสเตอร์แอนเดอร์สันที่สถานทูตอังกฤษโดยสะดวกที่สุด”
สมิธโค้งคำนับกับการ “ไล่” อย่างสุภาพ เขาหนักใจเมื่อมองไม่เห็นความจริงใจจากท่าทีของ
ผู้นำประเทศ ชายสูงวัยเกือบจะก้าวเท้าออกจากห้องแล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงกษัตริย์ราชิดดังขึ้นอีกครั้ง
“เพนนี”
สมิธหันกลับไปมอง รำไพพรรณภรรยาของเขาที่ยังไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวกลับเอ่ยขึ้นกับเขา
“คุณรอด้านนอกก่อนนะคะ ขอเวลาฉันครู่เดียว”
นัยน์ตาสื่อถึงการขอร้อง สมิธจำใจเดินออกจากห้องและทิ้งให้ภรรยาของเขาอยู่เพียงลำพังกับ
กษัตริย์ราชิด ส่วนรำไพพรรณนั้นหันกลับไปหากษัตริย์ราชิดที่ทอดพระเนตรเธอด้วยความรู้สึกอันหลาก
หลาย
“ไม่ได้พบเธอเสียเกือบสามสิบปี เธอยังงดงามเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน”
“ขอบพระทัยเพคะ พระองค์ก็ทรงสง่างามดังเช่นอดีตเช่นกัน”
“แต่ถึงแม้จะสง่างามเพียงใดก็เป็นแค่ชายที่เธอปฏิเสธ”
สุรเสียงฟังคล้ายเยาะหยันและค่อนขอดอยู่ในที รำไพพรรณได้แต่ถอนหายใจ
“อดีตผ่านไปนานแล้ว พระองค์ไม่ควรจะยึดติดกับมันอยู่นะเพคะ”
“ฉันไม่ใช่คนที่ลืมอะไรง่ายดายหรอกเพนนี”
ทรงเรียกรำไพพรรณด้วยชื่อที่คุ้นเคยตั้งแต่ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว
“ไม่เคยลืมว่าเธอนั้นปฏิเสธความหวังดีที่ฉันมีให้ หากวันนั้นเธอยอมรับ ในวันนี้เธอคงได้เป็นสตรี
หมายเลขหนึ่งแห่งฮาลียัน”
รำไพพรรณลอบถอนหายใจ ราชิดในวันนี้แม้จะอายุล่วงเลยกว่าอดีตมาหลายปีแต่ยังไม่เคย
เปลี่ยนแปลงไปสักนิด ทรงเป็นราชนิกุลที่ยึดอยู่ในความสูงศักดิ์เป็นที่ตั้ง จนเธอนึกดีใจที่ตัดสินใจไม่ผิด
“หม่อมฉันไม่เคยเหมาะกับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้เลยเพคะ ขอบพระทัยในพระราชประสงค์
อันดีมาโดยตลอด แต่ทุกวันนี้หม่อมฉันมีความสุขดีกับชีวิตที่เลือกเดิน เพิ่งจะไม่มีความสุขก็เมื่อรู้ว่าลูกชาย
คนเดียวกำลังอยู่ในอันตราย”
รำไพพรรณสบตากับผู้นำสูงสุดของฮาลียันอย่างกล้าหาญ
“ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศ หม่อมฉันขอกราบทูลให้พระองค์จัดการเรื่อง
เลวร้ายนี้ให้จบลงอย่างเร็วและดีที่สุด และในฐานะที่พระองค์เป็นเพื่อนเก่า หม่อมฉันขอร้องโปรดประทาน
ความเมตตาเอ็นดูแก่กวินท์ด้วย เพราะเขาเป็นแก้วตาดวงใจของหม่อมฉัน ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญเพคะ”
รำไพพรรณถอนสายบัวอย่างงดงามก่อนจะหันหลังและก้าวเดินออกไปจากห้อง กษัตริย์ราชิดมอง
ตามสตรีที่เคยครอบครองหัวใจของพระองค์รวมทั้งทำลายลงจนเจ็บช้ำมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยพระเนตรทั้งรัก
และแค้นเคือง
“คาลีล”
ตรัสเพียงครั้งเดียวชายหนุ่มที่ดำคงตำแหน่งเลขานุการของพระองค์ก็ปรากฏกายจากด้านนอก
ทันที
“กระหม่อม”
กษัตริย์ราชิดกัดพระทนต์แน่นเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ดำเนินการตามแผนที่วางไว้”
“รับด้วยเกล้า”
คาลีลรับคำด้วยใบหน้าเฉยชาก่อนจะก้าวหายออกไปเบื้องนอก
กวินท์ลืมตาตื่นมาในยามเช้าตรู่ เขาลุกจากที่นอนด้วยอาการที่ยังขัดยอกไปทั้งตัว จำได้ว่ารู้สึก
ตัวครั้งสุดท้ายเมื่อหัวค่ำเพราะชารุกข์เปิดประตูเข้ามาบังคับให้เขากินซุปถั่วซิกพีและกินยาแก้ปวดตามเข้าไป
“ตัวอุ่นแบบนี้ไม่พ้นมีไข้เพราะกล้ามเนื้ออักเสบแน่ กินยากันไว้เลยดีกว่า”
“แต่ผม...”
กวินท์ทำหน้าปั้นยาก เขาเกลียดการกินยาเป็นที่สุด
“กวินท์ ไหนบอกว่าจะ...”
“ไม่ดื้อ เฮ้อ กินก็ได้”
รับยามาจากมือของชารุกข์และกลืนลงคอพร้อมกับทำหน้าย่นเพราะความขม เขารีบรับน้ำดื่มมา
จากชารุกข์และดื่มตามอย่างรวดเร็ว
“นอนพักเถอะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของชารุกข์ทำให้กวินท์หลับตาลง เขาคล้อยหลับไปและรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น
ในยามดึก
“ตัวร้อนจริง ๆ ด้วย”
ได้ยินเสียงแผ่ว ๆ คล้ายอยู่ไกลจนเอื้อมมือคว้าไม่ถึง หากแต่ความอาทรกลับอยู่ใกล้ชิดจนอด
ไม่ได้ที่จะไขว่คว้าหาตัวทั้งที่กวินท์ยังหลับอยู่ เขากลับรู้สึกหนาวสั่นเมื่อความชื้นของน้ำแตะต้องไปตามผิว
กายก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นอบอุ่นตามมาทีหลัง
“หมดสภาพคนเก่งเลยนะกวินท์”
สัมผัสแตะต้องอ่อนโยนที่หน้าผากทำให้กวินท์หลับไปอีกครั้งอย่างสบายตัวขึ้นจนกระทั่งถึง
เช้า เขายังปวดศีรษะรุม ๆ รวมทั้งปวดกล้ามเนื้อไหล่ข้างที่บาดเจ็บ กวินท์ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวออกจากห้อง
ไปด้านนอก เขาเหลียวหาชารุกข์กลับพบเพียงความว่างเปล่าและเศษกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะรับแขก
“ไปมัสยิด เดี๋ยวกลับ”
ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นเมื่อรู้ว่าชารุกข์ไปละหมาดช่วงเช้า เขาฝืนเดินเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวอยู่พัก
ใหญ่จนได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอก กวินท์พยายามใส่เสื้ออย่างยากลำบาก
“โอ๊ย”
อุทานออกมาพร้อมกับนิ่วหน้าเพราะยกแขนไม่ขึ้น และเพียงไม่กี่วินาทีประตูห้องน้ำก็ถูกเคาะรัวๆ
“กวินท์ เปิดประตู”
ชารุกข์ตะโกนเสียงดังจนกวินท์ต้องรีบปลดล็อกและเปิดประตูออก ชารุกข์คว้าแขนข้างที่ไม่เจ็บ
ของเขาให้เดินออกมาด้านนอกทันที
“เป็นอะไร”
ดวงตาคมมองอย่างห่วงใยจนกวินท์หวั่นไหว เขาฝืนยิ้มเพื่อให้คนตรงหน้าสบายใจ
“ปวดแขนเวลายกขึ้นน่ะครับ ใส่เสื้อลำบากจัง”
ชารุกข์เพิ่งเห็นว่ากวินท์ใส่เสื้อได้แค่แขนเดียว เขาถอนหายใจก่อนจะช่วยใส่เสื้อให้กวินท์ มือ
ใหญ่ช่วยเหลือติดกระดุมให้จนหมด ส่วนกวินท์ได้แต่หรุบตาลงมองแต่แผ่นอกของชารุกข์เท่านั้น
“ขอบคุณครับที่ช่วย”
“เชคฮชารุกข์คะ”
กวินท์เงยหน้ามองต้นเสียงเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับชารุกข์ เด็กสาวฟาดิยะคู่หมาย
ของยาก็อบนั่นเองที่เป็นบุคคลที่สามในบ้านหลังนี้
“ฉันกวาดถูบ้านให้หมดแล้วนะคะ”
ฟาดิยะเอ่ยขึ้น หญิงสาวมองชารุกข์อย่างชื่นชมไม่มีปิดบัง กวินท์เจ็บจี๊ดอยู่ในใจราวกับมีเข็ม
ทิ่มแทงเมื่อสังเกตเห็น เขารีบสะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องรู้สึกเช่นนั้น
“ฝุ่นหนามากเลย ฉันว่าเชคฮต้องมีภรรยามาดูแลบ้านให้แล้วล่ะค่ะ”
หญิงสาวยิ้มอย่างเอียงอาย ชารุกข์ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจอย่างระอา
“อย่าแก่นให้มากนักเลยฟาดิยะ ขอบใจที่มาทำความสะอาดบ้านแทนแม่ของเธอ เสร็จแล้วก็กลับ
บ้านเถอะเดี๋ยวพ่อและแม่ของเธอจะเป็นห่วง”
“เชคฮไล่ฉันอีกแล้ว” ฟาดิยะประท้วงอย่างขัดใจ “ฉันโตพอที่จะแต่งงานมีสามีแล้วนะคะ”
“ฉันจะบอกยาก็อบให้ว่าเธอพร้อมจะแต่งงานแล้ว”
“เชคฮ ฉันไม่แต่งกับยาก็อบนะ ฉันอยากเป็นภรรยาของชะ...”
“กลับบ้านได้แล้วฟาดิยะ”
เสียงแข็งดุดันทำให้ฟาดิยะหยุดปากลงได้ หญิงสาวเม้มปากแน่นพลางสะบัดหน้าเดินออกไป
จากบ้าน เมื่อลับตาแล้วชารุกข์จึงได้หันมาหาและกล่าวกับกวินท์
“ฟาดิยะมาทำความสะอาดบ้านแทนแม่ของเขาที่ต้องมาทำสัปดาห์จะสองวัน”
อันที่จริงไม่จำเป็นที่จะต้องชี้แจงอะไรก็ได้แต่ชารุกข์ก็พูดออกไปเมื่อเห็นสีหน้าของกวินท์ เขา
เกรงว่ากวินท์จะเข้าใจผิดที่มีหญิงสาวเข้ามาในบ้านตั้งแต่ตอนเช้า
“ครับ”
ตอบได้แค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีกว่านี้ กวินท์ไม่นึกแปลกใจหากฟาดิยะจะชื่นชมชารุกข์
เป็นพิเศษ ชายหนุ่มตรงหน้ามีบุคลิกและอุปนิสัยที่ใครๆ ไม่อาจเมินเฉย
“มานี่เถอะ ผมแบ่งอาหารมาจากบ้านของเชคฮอาลี กินเสียให้อิ่มเพราะเราจะต้องนั่งรถไปอีกไกล”
ชารุกข์แตะปลายนิ้วไปที่ข้อศอกของกวินท์เพื่อให้เดินตามมาที่โต๊ะอาหาร กวินท์คร้านที่จะ
ถามว่าจะไปไหน เขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของชารุกข์เท่านั้น
มีต่ออีกนิด....