Chapter 28
อยากให้มั่นใจ
ผมลงจากรถไฟฟ้าในยามค่ำคืนเพื่อที่จะไปเชียร์ใครอีกคนเตะฟุตบอลเป็นวันสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่สัปดาห์ไฟนอลอย่างเต็มรูปแบบ
พอใกล้สอบไฟนอลทีไร ผมเป็นโรคกังวลขึ้นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงสมัยมัธยมหรือมหาวิทยาลัยเพราะผมไม่ใช่คนเก่ง ทั้งหมดที่ได้มาล้วนเป็นผลพวงจากความขยันทั้งสิ้น ขนาดที่ว่าจะมาดูเขาเตะบอลผมยังต้องแบกหนังสือมาอ่านเลยอ่ะ
ไอ้ที่เขาพูดๆกันว่า นักปราชญ์ที่แท้จริงจะต้องไม่ไหวหวั่นเนี่ย มันใช้ไม่ได้กับการเรียนมหาลัยเลยครับ นอกซะจากว่าบุคคลผู้นั้นเกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะจริงๆอย่างเช่นแฟนของผม ที่เข้าคลาสก็หลับหัวทิ่ม แต่ดันสอบออกมาได้เอ พี่หมอสี่เล่าให้ผมฟังน่ะนะ
ตลกดีครับที่จู่ๆก็ดันนึกถึงช่วงสอบเข้าขึ้นมา ตอนนั้นอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังชนิดที่เรียกว่าแม่เรียกออกไปนอกบ้านผมก็ไม่ไป ถึงจะออกก็ต้องรีบกลับให้ตรงเวลา เพราะผมกลัวจะสอบไม่ติด ถ้าสอบไม่ติด เป้าหมายถัดไปก็คือการไปอยู่ที่เชียงใหม่นั่นแหละ
เท้าของผมก้าวเดินไปตามพื้นคอนกรีตของตัวสถานี ว่าจะแวะซื้อชานมธัญพืชไปฝากพี่กันเหมือนทุกๆครั้ง แต่วันนี้ร้านดันปิด ก็เลยเบนเข็มตรงไปซื้อเครื่องดื่มผสมโซดาแทน
ตาขวาผมกระตุกตั้งแต่ออกมาจากมหาลัยแล้ว และก็ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์จะถูกต้องจริงๆ เพราะพอเดินออกจากช่องคืนตั๋วปุ๊บ ผมก็ดันเจอกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าโลกมันกลม ยิ่งกับคนที่เราไม่อยากจะเจอเนี่ย ยิ่งกลม
พ่อคลี่ยิ้มให้ผมจางๆ แต่ผมกลับทำเพียงแค่ก้มหน้ามองพื้นแล้วเดินดุ่มๆไม่สนใจเขา ทำเหมือนว่าเขาเป็นอากาศ พยายามเลี่ยงออกห่างจากตัวเขาให้มากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เดินมาขวางเอาไว้ ผมไม่ได้เงยหน้ามองผู้ชายที่ยังเป็นฝันร้ายของตัวเอง หากแต่ใช้คำพูดสุภาพเพื่อขอให้เขาหลีกทาง
“ขอโทษครับ ผมมีธุระ”
“พ่อขอเวลาซักห้านาทีได้มั้ย”
“ไม่ได้ครับ”
“กอด”
“ผมรีบไป”
“พ่อขอโทษ” คำพูดของเขาทำให้ผมนิ่งไป
“พ่อขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ลูกวันนั้น พ่อคุยกับแม่แล้ว และก็สัญญากับแม่ไปแล้วว่าจะไม่มายุ่งกับกอดและแม่อีก นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะมาบอกลาลูก”
ลำคอที่ฝืด ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ไม่ว่าจะเจอกับเขากี่ครั้ง มันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดราวกับจมน้ำทุกครั้งไป
“ก็ดีแล้วครับ”
“กอด”
ริมฝีปากของผมเม้มเข้าหากันแน่น ความโกรธเคืองที่ยังอยู่ในใจมันมากเกินกว่าจะให้อภัย
ผมไม่เข้าใจหรอกว่าพ่อของตัวเองต้องการอะไร ต้องการจะเป่าหูให้ผมเกลียดแม่ที่เลี้ยงดูผมมา หรือต้องการจะดึงผมไปอยู่กับเขา แต่ถึงอย่างนั้นการแสดงออกของเขาก็ยังหยาบคายไม่ต่างจากหลายๆครั้งที่เขาชอบทำร้ายแม่ด้วยคำพูด
ดังนั้นผมจะคิดซะว่าการที่เขามาขอโทษแบบนี้
จะได้จบๆไปซักที
“ถือว่าจบแล้วกันครับ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก”
ผมเงยหน้าสบตากับคนเป็นพ่อ แววตาเจ็บปวดที่ถูกส่งมานั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกใจอ่อนเลยสักนิด ก้มหัวให้เขาเล็กน้อยเพื่อเป็นการเคารพเขาครั้งสุดท้าย และหลังจากนี้ถ้าเราเจอกันโดยบังเอิญอีก ผมจะถือว่าเราไม่รู้จักกัน
ขาสองข้างของผมเดินไวๆออกจากตัวสถานีก่อนจะนั่งรถไปยังมหาลัยของพี่กัน
คำพูดร้ายๆของพ่อแทรกเข้ามาในหัวอีกครั้ง ผมหลับตาลงพลางผ่อนลมหายใจเบาๆ
มีใครบางคนบอกกับผมไว้ว่า อย่าไปแคร์คำพูดที่ไม่ดีของคนพวกนั้น ถ้ายังลืมคำพูดแย่ๆไม่ได้ ก็คิดถึงเรื่องดีๆไว้ อย่างเช่นเรื่องของกิน
เท่านั้นแหละในหัวสมองก็มีแต่เรื่องของกินไหลพรั่งพรูเข้ามาเหมือนสั่งได้ ผมหลุดยิ้มให้กับตัวเองนิดๆ
ยังมีอิทธิพลกับผมเสมอแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน นั่นแหละพี่กันล่ะ
ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รักเขามากขนาดนี้ มีหลายๆคนพูดว่ารักเพียงแค่สบตาหรือรักครั้งแรกมันไม่มีจริงหรอก ผมเองก็เคยเชื่อแบบนั้น แต่พอมาเจอเข้ากับตัว ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารักแรกพบนั้นมีจริงๆ พอรู้สึกแบบนั้น มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นในการทำความรู้จักกับเขา อยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ อยากเข้าไปทักทาย พอได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่ารักเขาเข้าจริงๆ
รถจอดลงหน้าสนามบอลขนาดใหญ่ การแข่งขันเริ่มขึ้นไปแล้ว ผมสอดสายตาหาที่นั่งที่ลมเย็นๆก่อนจะทิ้งตัวลงบนอัฒจันทร์แล้วหลับตาพลางสูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด
ลืมตาขึ้นมาก็เจอกับเขาพอดี คนที่สายตาโฟกัสอยู่กับลูกหนังกลมๆอยู่ในสนาม
ผู้ชายตัวสูงแขนขายาว สวมชุดนักบอลสีน้ำเงินไม่ต่างจากครั้งแรกที่ไปดูเขาเตะฟุตบอล บนด้านหลังเสื้อยังคงเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ที่เขียนไว้ว่า GUN รวมไปถึงเลขประจำตัวของเขา เบอร์หก
ในร่างนักกีฬา เขาดูเท่มากๆเลยครับ
จากที่จะอ่านหนังสือ กลายเป็นว่านั่งดูเขาเตะฟุตบอลไปจนจบเกมนั่นแหละ ฝ่ายพี่กันชนะไปด้วยคะแนนสองต่อศูนย์ ปิดบอลลีกไปอย่างสวยงาม เขาและเพื่อนๆกรูกันไปนั่งข้างสนามพลางพูดคุยกันเหมือนวันแรกที่ผมมาเชียร์เขา เวลาเขาอยู่กับเพื่อน พี่กันจะเหมือนเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดเพื่อนๆเข้ามาหา คงเพราะพลังงานบวกของเขานั่นแหละ
แล้วหลังจากนั้น สายตาของเขาก็ควานหาอะไรบางอย่าง
ผมคลี่ยิ้มกว้างออกมาเพราะความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ สายตาของคนตัวสูงหยุดลงเมื่อหาผมเจอ ราวกับเขาคอยค้นหาผมอยู่ตลอด พอสายตาของเราสองคนสบเข้าหากัน เขาก็ส่งยิ้มหวานมาให้ทั้งๆที่ยังมีเพื่อนๆรายล้อม
เหมือนพูดผ่านสายตาคู่สวยนั่นว่า
‘หาเจอแล้วนะ’
ผมไม่ได้แอบพี่สักหน่อย
คนบ้าเอ้ย
“อ่ะ”
ฝ่ามือของผมยื่นขวดที่บรรจุน้ำหวานผสมโซดาให้กับพี่กัน เขารับไปแล้วเปิดดื่มโดยไม่ถามอะไรสักคำ เจ้าตัวเปลี่ยนชุดเตะฟุตบอลเป็นเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นพอดีเข่าเรียบร้อยแล้ว สะพายกระเป๋าสีดำใบโตพาดตัว แปลกตาไปหนึ่งอย่างก็รองเท้าแตะที่เขาหนีบอยู่นั่นแหละ
ไม่ค่อยได้เห็นเขาใส่รองเท้าแตะเท่าไร พอมาเห็นแบบนี้แล้วก็คิดว่า
ผมรู้แล้วเขาไม่หล่อเวลาไหน
เวลาคีบแตะนี่แหละครับ
หัวยุ่งๆเปียกไปเพราะเหงื่อ หน้ามันๆ แต่งตัวเหมือนจะไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย
“วันนี้ไม่หล่อเลยอ่ะ” เอ่ยปากแซวคนที่กำลังกระดกน้ำเข้าปาก เขามองผมด้วยหางตา
“กูก็คนนะตัวนิ่ม มันต้องมีวันที่ไม่หล่อบ้างแหละ”
ผมยิ้มออกมา แซวเล่นเฉยๆน่า หล่อไม่หล่อก็หลงไปแล้วนี่นา
“ขอยืมน้ำมันบนหน้าไปทอดไข่หน่อย”
เขาผลักหัวผมจนเซแล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้ามันๆนั่น
“กวนนะมึงอ่ะ คิดว่าตัวเองหน้าใสละจะพูดไรก็ได้เหรอ”
“ช่ายย”
“เดี๋ยวกูก็กัดแก้มขาด”
ใจบาป!
เราสองคนเดินไปตามพื้นคอนกรีตเรียบๆ พี่กันบ่นหิวตั้งแต่เตะบอลเสร็จเหมือนอย่างเคย แต่เขาบอกว่าวันนี้จะพาผมไปเดินเล่นก่อนที่จะไปกินข้าว เพราะวันนี้อากาศดีมีลมเย็นๆพัดผ่านตลอด
ใช้เวลาเดินอยู่ค่อนข้างนานกว่าจะถึงจุดที่เขาบอกว่าอยากให้ผมมาเห็นสักครั้ง เขาไม่ได้บอกผมว่าสถานที่นี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แต่มันเป็นสะพานปูนที่พาดอยู่บนสระน้ำ ทางเดินยาวๆที่ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ยังมีนักศึกษาเดินผ่านไปมาบ้างประปราย
พี่กันเดินนำไปที่สะพาน พอเห็นแบบนั้นผมเลยเดินตามเขาไป เราสองคนเดินอยู่ข้างๆกันเงียบๆ แอบเห็นว่าส่วนมากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะมากันเป็นคู่ๆ ซึ่งผมไม่ได้ใส่ใจเท่าไร เพราะคนที่มาเดินคนเดียวหรือเดินกันเป็นกลุ่มๆก็มีบ้าง อาจจะตั้งใจออกมารับอากาศดีๆแบบเราสองคนนั่นแหละ
ผมมองไปยังเงาที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำ เงาพระจันทร์และดวงดาวในยามค่ำคืน เลยอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดยืนแล้วเงยหน้ามองบนท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับเต็มไปหมด
วันนี้อากาศดีจริงๆครับ ท้องฟ้าปลอดโปร่งเชียว
“ชอบมั้ย”
น้ำเสียงทุ้มๆถามขึ้นขัดความเงียบรอบๆกาย ผมพยักหน้าเบาๆ ชอบมาก มันอาจจะเป็นเพียงสะพานธรรมดา แต่การได้มาเดินกับใครอีกคน มันทำให้สะพานธรรมดาๆกลายเป็นสะพานพิเศษสำหรับผม ไม่ใช่แค่เพียงสะพาน แต่รวมไปถึงเรื่องอื่นๆอย่างเช่นการขึ้นรถไฟฟ้าในวันธรรมดาๆ ก็กลายเป็นวันพิเศษสำหรับผมไปแล้ว
ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวไปไหน เสียงตะโกนของใครสักคนก็ดังขึ้นมาจากอีกฟากหนึ่งของสะพาน
“หยี”
หือ
หยีอะไร?
“หยี”
“หยี”
“หยี”
เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ ผมหันไปมองหน้าพี่กันที่หลุดหัวเราะออกมา พอเห็นเขาหัวเราะมันก็เหมือนเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาหัวเราะอะไร แต่ก็ดันขำตามไปกับเขาด้วย จนกระทั่งเราเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ผู้ชายสวมแว่นคนหนึ่งเดินข้ามสะพานมา เขายังตะโกนคำว่า ‘หยี’ เสียงดังแม้ว่าจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาบนสะพาน พอถึงฝั่งปุ๊บเขาก็เงียบลงไป ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรออยู่ฝั่งนี้ระดมฟาดแขนผู้ชายคนนั้นอย่างแรง
“โอ้ยลูกหยีอย่าฟาดเรา”
“น่าเกลียด อายชาวบ้านเขา”
แล้วทั้งสองคนก็เดินหนีออกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเอ็นดูของใครหลายๆคน
“พี่ขำอะไร” หันไปถามคนที่กุมท้องขำตัวงอไม่ยอมหยุด เขาหัวเราะจนต้องสูดอากาศหายเข้าใจลึกๆ เหมือนถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้วล่ะก็ จะหยุดหัวเราะไม่ได้อ่ะ
“สะพานนี้มีเรื่องเล่ารู้ป่ะ เขาเชื่อกันว่าถ้าเดินบนสะพานแล้วตะโกนชื่อคนที่เราชอบจนสุดสะพานจะสมหวังในความรัก”
อ่อ ถึงบางอ้อแล้วล่ะครับ
“ก็เลยมีคนชอบมาตะโกนชื่อคนที่ชอบบนสะพานแบบหยีเมื่อกี้ไง”
ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“แล้วพี่เคยตะโกนป่ะ”
“ไม่เคย เพราะกูไม่ค่อยเชื่อ”
“เหรอ” ผมหลุบตาต่ำลง
ในมหาลัยของผมเองก็มีความเชื่อหลายๆอย่างอย่างเช่นการเดินสะดุดในที่ต่างๆ ถามว่าตัวผมเองเชื่อมั้ย ตอนแรกก็ไม่เชื่อหรอกครับ แต่มาคิดดูอีกที ถ้าเชื่อแล้วมีความสุข ก็เชื่อๆไปเถอะจริงมั้ย เป็นสีสันใหม่ๆของชีวิตดี
“อยากให้ตะโกนป่ะ อยากลองมานานแล้วเหมือนกัน”
หา
“กอด!” แล้วเขาก็ตะโกนออกมาจนคนเดินผ่านไปผ่านมาสะดุ้งเลยครับ ผมรีบปิดปากคนตัวสูงที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง พี่กันหัวเราะเสียงดังออกมาทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด ไม่รู้จะหันไปทางไหนเลยได้แต่ก้มหน้างุดๆแล้วออกเดินตรงไปเรื่อยๆ
“กอด”
เสียงทุ้มๆของเขาดังขึ้น ผมหันกลับไปมองคนที่เดินตามมาด้านหลัง
“อะไร”
“เปล่านี่” เจ้าตัวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนผมต้องยกนิ้วชี้ชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ
อย่าคิดจะตะโกนเชียวนะไอ้บ้า
เดินยังไม่ถึงสามก้าวเขาก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง
“กอด”
“พี่กัน”
รอยยิ้มเล็กๆบนมุมปากถูกส่งมาให้
อาวุธลับของเขา ผมต่อสู้ไม่ได้เลยจริงๆ
“กอด”
ทุกย่างก้าวของผม มีผู้ชายหนึ่งคนเดินตามมาข้างหลัง ปากเขาบอกว่าไม่เชื่อ แต่เขาก็ส่งเสียงเรียกชื่อผมตั้งแต่ต้นสะพานยันปลายสะพานนั่นแหละ
เป็นคนที่อยากทำไรก็ทำจริงๆอ่ะ
“สะพานไม่มีชื่อเหรอ” ผมเอ่ยปากถามระหว่างที่เราเดินห่างออกจากสะพานเรื่อยๆเพื่อตรงไปหาอะไรกินหน้ามหาลัยของเขา
“มีแต่ไม่บอก”
ไอ้พี่กัน!
นี่ถ้าเล็บผมยาว สาบานได้เลยว่าจะหันไปข่วนเขาจนหน้าเยินเลยจริงๆ
“เมื่อก่อนไอ้หนวดมันก็เคยมาตะโกน” พี่กันพูดไปหัวเราะไป
ลุงรหัสเนี่ยนะ? ตะโกนชื่อพี่หมอเหรอ?
“แล้วได้ผลมั้ย”
“ได้”
“จริงเหรอ”
“ได้แผล เพราะกูอัดคลิปไปให้ไอ้หมอดู” แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเป็นบ้าอยู่คนเดียว
พี่นี่มัน … ตัวแสบอ่ะ
“แล้วมึงอ่ะ เชื่อป่ะ” พี่กันตั้งสติแล้วหันมาถามผม
“ครึ่งๆ”
“เหรอ แต่เชื่อเรื่องสะดุดนี่” ผมยกมือฟาดแขนคนที่ปากกวนประสาทได้ตลอดเวลา เขาเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย
“พี่นั่นแหละ บอกไม่เชื่อๆ พูดชื่อผมไม่หยุดเลย”
“ทำไมอ่ะ ไม่ชอบเหรอ กอดจะได้รักได้หลงพี่คนเดียวไง”
คำพูดของเขาทำให้ผมหน้าร้อนจนแทบบ้า ผมยกแขนขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้พลางยกขาเตะเขา พี่กันวิ่งไปรอบๆแล้วล้อผมไม่หยุด
“เขิน ทำเขิน”
“พี่กัน!”
“มีตัวนิ่มเขินอยู่หนึ่งหน่วยครับ”
“พี่กัน! ไอ้บ้า!”
“ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของเราสองคนดังก้องไปทั่วบริเวณ แม้รอบๆกายจะมืด มีเพียงแค่แสงไฟถนน แต่ทำไมมันกลับทำให้รู้สึกมีความสุขมากมายขนาดนี้
คงเป็นเพราะผู้ชายตรงหน้านั่นแหละ
ต่อให้พี่ไม่ตะโกนชื่อผมบนสะพานนั่น ยังไงผมก็ทำความเชื่อนั้นให้เป็นจริงอยู่แล้ว
“ผมเจอพ่อด้วย”
ผมโพล่งออกมาระหว่างที่เรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่ร้านข้าวต้มข้างทาง พี่กันที่กำลังคีบกุ้งออกจากจานกุ้งผัดน้ำพริกเผามองหน้าผมเงียบๆ เหมือนในการ์ตูนที่เวลาพูดเรื่องน่าตกใจออกมาแล้วใครอีกคนจะอ้าปากค้างจนกุ้งตกจากปาก แต่เขาไม่ทิ้งกุ้งหรอก รักยิ่งกว่าชีวิต
“เขาพูดจาอะไรไม่ดีหรือเปล่า”
ส่ายหน้าเบาๆ
“เขาแค่มาขอโทษอ่ะ แล้วก็บอกว่าคุยกับแม่แล้วว่าจะไม่มายุ่งกับแม่และผมอีก”
เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้น
“ก็ดีแล้ว”
เงยหน้าไปมองคนที่กำลังสนใจอยู่กับการแกะกุ้งอย่างตั้งอกตั้งใจ ด้านหน้าของพี่กันมีข้าวต้มสามถ้วยตั้งเรียงกันอยู่ เขาบอกว่าไม่ชอบกินของที่ร้อนมากๆเพราะมันกินไม่สะดวก ลวกปาก รถสูบส้วมอย่างเขาก็เลยสั่งมาตั้งไว้ให้เย็นก่อน จะได้กรอกปากง่ายๆรวดเดียว ... แซวเล่นน่ะแซวเล่น
คนเราน่ะนะ อยากกินข้าวต้มแต่ชอบข้าวต้มแบบไม่ร้อน งงกับเขาจริงๆ
“ต้องขอบคุณพี่นะ”
“หือ” คาบกุ้งอยู่ในปาก อีกมือก็ถือหางกุ้งเอาไว้ ผมหลุดยิ้มออกมา
“พี่ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น จริงๆผมเป็นคนกลัวพ่อมาก แค่เห็นก็จะสั่นไปทั้งตัวแล้ว แต่วันนี้ผมกลั้นหายใจแล้วเดินหนีออกมาได้โดยไม่ร้องไห้ เพราะคิดถึงสิ่งที่พี่พูดว่าถ้าเจอเรื่องแย่ๆก็ให้คิดถึงของอร่อยๆ”
“เห็นมะ หมอไหนก็ไม่สู้หมอกันนะเว้ย”
นั่นสินะ
หมอกันน่ะ เก่งที่สุดในโลกแล้ว
“จริงๆกูก็มีเรื่องหนึ่งจะบอก” ผมละสายตาจากชามข้าวต้มไปสนใจพี่กันแทน สีหน้าเล่นๆเมื่อกี้ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมากะทันหัน
“แฟนเก่ากูออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ”
อ่า…
ก็ดีแล้วนี่
ใจผมเต้นรัวเพื่อที่จะรอฟังประโยคถัดไปจากเขา ฝ่ามือหนักๆของพี่กันสัมผัสลงบนหัวของผม ขยี้เบาๆ
“เขาไปอยู่จีนแล้ว ไปกับพี่ชายคนสนิท”
“ตอนนี้ก็เหลือเราแค่สองคนละ ไร้ก้างขวางคอ”
“ก็ลองมีก้างสิ ผมจะยิงพี่ทิ้งจริงๆด้วย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนตรงหน้าสะอึกไปเล็กน้อย
พี่มาทำให้ผมรักขนาดนี้ พี่ดูแลผมดีขนาดนี้ พี่ทำเรื่องธรรมดาๆในทุกๆวันของผมให้มันกลายเป็นวันพิเศษ พี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในชีวิตผมแล้ว
ดังนั้นถ้าใครเข้ามาแทรกหรือมาทำให้เราผิดใจกันล่ะก็ ผมไม่ยอมจริงๆด้วย
“จะเอาแครอทมายิงพี่อ่ะเหรอ”
“ปืนจริงๆเนี่ยแหละ!”
พี่กันขยี้หัวผมอีกรอบ
“ไม่ทำหรอก เดี๋ยวคนแถวนี้ร้องไห้ ไม่ชอบอ่ะ”
จะว่าไป มือของเขานี่มัน…
“พี่เพิ่งแกะกุ้งมาไม่ใช่เหรอ”
“อุ่ย” เขารีบถอนฝ่ามือออกไป ผมยกส้อมชี้หน้าเขา
“พี่กัน!”
“อย่าดุโผมมม”
อะไรหลายๆอย่างที่เคยเกาะกุมในหัวใจ ตอนนี้เหมือนทุกอย่างมันถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว ทั้งเรื่องพ่อของผม เรื่องแฟนเก่าของพี่กัน
ผมคิดว่า … ทุกอย่างมันกำลังเข้าสู่สมดุล
เราทั้งสองคนกำลังเริ่มต้นเดินไปบนสะพาน ถ้าขาดสมดุลไป ก็อาจจะทำให้สะพานขาดลง ดังนั้นสำหรับผม การที่ผมต้องการให้เขารับรู้ว่าเรื่องราวของผมกับพ่อจบลงด้วยดี คือการสร้างความมั่นใจให้กับเขา และการที่พี่กันเอ่ยปากบอกว่าเขาจบกับแฟนเก่าของเขาเรียบร้อยแล้ว นั่นเองก็สร้างความมั่นใจให้กับผม ว่าเราสองคนจะสามารถรักษาสมดุลและพากันไปตลอดรอดฝั่งได้
และผมหวังว่ามันจะดีขึ้นในทุกๆวัน
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความรัก แต่ในทุกๆเรื่อง
“สงสัยตะโกนบนสะพานจะไม่ได้ผล” เขาพึมพำขึ้นมาระหว่างที่ผมกำลังเคี้ยวปลากรอบอยู่ในปากอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย
“บอกต่อหน้าได้ผลกว่าเยอะ”
หือ
“พี่รักกอดนะ”
‘แค่ก’
“รักตั้งแต่วันแรกจนวันนี้”
“และจะรักไปเรื่อยๆ”
“รักจนกว่าจะเบื่อไปข้าง”
“แต่รักน้อยกว่าบราวน์”
ผมสำลักปลากรอบแล้วไอค่อกแค่ก ส่วนพี่กันก็นั่งซดข้าวต้มต่อไปแบบไม่ได้สนใจอะไร เห็นเพียงแค่รอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของเขาแล้ว ก็ดันหน้าร้อนออกมาซะได้ จากที่จะกินข้าวต้มดีๆ กลายเป็นผมต้องฟุบหน้าลงบนโต๊ะด้วยความอ่อนล้าของหัวใจ
ร้านข้าวต้มชื่อว่าข้าวต้มประตูผีแท้ๆ
พี่จะมาทำผีๆเปลี่ยนชื่อร้านเขาเป็นข้าวต้มประตูรักไม่ได้นะ
คนใจบาปนี่…