Cr. Pic [Pinterest]
say-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด
#พี่กันต์สายอ่อย ด้วยนะคะ
บท02 l “พี่วินัย”เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือเครื่องบาง ปลุกให้คนที่กำลังหลับสบายต้องลืมตาอย่างเกียจคร้าน นอนทำใจอยู่เกือบห้านาทีก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ปัดผ้าห่มที่คลุมตัวเองอยู่ไปไว้ข้างตัว วาดขายาวๆ ลงจากเตียงสวมลสิปเปอร์หมีริลัคคุมะสีเหลืองน้ำตาลก่อนจะเดินลากขาออกจากห้องนอนไป
ตรงดิ่งไปยังห้องครัวแบบตายังลืมไม่ขึ้นนัก คว้าแก้วน้ำมาก่อนจะเทน้ำใส่เกือบเต็มแก้วแล้วดื่มอึกๆ จนหมดแก้ว
ค่อยรู้สึกตื่นตัวขึ้นหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เพียงแค่นิดเดียว ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องนอน คว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาถือแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานหลังจากนั้นก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพเปียกปอน ผ้าขนหนูผืนใหญ่พันอยู่รอบเอว ผืนเล็กคล้องอยู่ที่คอ ใบหน้าง่วงนอนตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
นั่งแหมะลงที่โซฟาตรงปลายเตียง มือจับผ้าที่คล้องคอขึ้นขยี้ผมยาวๆ ให้แห้ง หันไปมองเวลาแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดใจ ตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น อีกทั้งวันนี้เขามีเรียนตั้งสิบโมง แต่ต้องถ่างขี้ตาตื่นตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงเพราะต้องรีบไปมหาวิทยาลัยด้วยเหตุผลที่อยากจะตะโกนถามน้องๆ ปีสองว่า
กูปีสาม! มึงจะนัดปีหนึ่งก็นัดไป เกี่ยวอะไรกับกู!!แต่ก็ทำไม่ได้ไง ก็เขามันเป็นพี่วินัย คณะของเขาเปิดตัวพี่วินัยไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แน่นอนว่าได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยม น้องปีหนึ่งต่างพากันกลัวพวกเขา แม้จะมีบ้างบางคนที่พยายามจะปีนเกลียว แต่บอกเลยว่าไม่มีใครกล้า ก็ไอ้หัวหน้าเฮดว้ากอย่างเขามันน่ากลัวน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ
จากตอนแรกที่คิดว่าคงน่าเบื่อแต่ตอนนี้ลึกๆ เริ่มชอบ ตลกดีตอนเห็นเด็กๆ ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของเขา ยังแอบหัวเราะเอิ้กอ้ากกับเพื่อนบ่อยๆ ไป แต่ที่ไม่ชอบใจสุดๆ คือการต้องแต่งกายถูกระเบียบมหาวิทยาลัย แล้วก็ต้องไปแต่เช้าทั้งๆ ที่บางวันก็ไม่ได้มีเรียนเช้าเลย
เขาลุกขึ้นไปหยิบชุดนักศึกษามาใส่ เอาเนคไทคล้องคอเอาไว้ คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาพาดบนไหล่ตรวจเช็คห้องจนเรียบร้อยก็ควงกุญแจรถสัญชาติยุโรปออกจากห้องไป แตะคีย์การ์ดที่หน้าลิฟต์รอจนกระทั่งลิฟต์มาก็ลงไปยังลานจอดรถของคอนโด
เหวี่ยงตัวเองขึ้นไปนั่งบนรถ กดเปิดเพลงฟังคลอไปด้วยตอนถอยรถออกจากช่องจอดรถ คอนโดของเขาอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่มาก รถไม่ติดก็ขับรถไม่เกินสิบห้านาที ถ้าติดก็ไม่เกินสี่สิบนาที ถือว่ายังพอใช้ได้
เพราะมาเร็วที่จอดรถเลยว่างแบบเลือกไม่ถูกว่าจะจอดตรงไหน ก่อนจะเลือกเอาหน้าอาคารนั่นแหละ เห็นง่ายดี จัดเสื้อผ้าตัวเองให้ถูกระเบียบก่อนจะลงจากรถคว้ากระเป๋ามาสะพาย ก้มมองนาฬิกาข้อมือ พวกปีสองคงมากันครบแล้วเพราะต้องมารอน้องๆ ส่วนปีหนึ่งคงทยอยมากันบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ของเขามาหรือยัง เงียบหายไม่ไลน์มาหา อ๋อ... ลืมไป ปิดเสียงเอาไว้ยังไม่เปิด
คว้าขึ้นมาดูก็เห็นทั้งมิสคอล ทั้งข้อความไลน์เด้งเต็มไปหมด ได้แต่ยักไหล่แล้วก็เก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม ก็จะถึงอยู่แล้วจะตอบพวกมันทำไมล่ะ จริงไหม
พลั่ก!
ตัวเซไปนิดเพราะแรงกระแทกจากทางด้านหลัง กำลังจะหันไปมองคนชนแต่ต้นเหตุดันวิ่งดุ๊กๆ เอ่อ... หมายถึง วิ่งผ่านเขาไปแล้ว
“ขอโทษคร้าบ ผมรีบ!” ได้ยินเสียงตะโกนมาจากฝ่ายนั้น ไม่แม้แต่จะหันมามอง คงรีบจริงๆ
ดูจากทิศทางแล้วคงเป็นเด็กปีหนึ่งคณะเขาไม่ผิด พี่ว้ากหน้าหล่ออย่างเขาก็เป็นคนรักษาระเบียบมาก เอาเรื่องเมื่อกี้ไปพูดสักหน่อยคงไม่เป็นไร ไม่ว่าจะรีบยังไง ทำผิดก็ควรหยุดและเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ
“กว่าจะเสด็จมาได้นะมึง” เสียงทักทายดังขึ้นทันทีที่เขาเดินเข้ามาใกล้กลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะยาวข้างๆ อาคารที่พวกปีหนึ่งรวมตัวกันอยู่
พวกน้องๆ ปีหนึ่งนั่งเข้าแถวกันอย่างเรียบร้อย พวกน้องผู้หญิงนั่งด้านหน้า น้องผู้ชายนั่งด้านหลังตามที่เคยบอกเอาไว้ พวกปีสองยืนกระจายล้อมอยู่รอบๆ มีพวกรุ่นพี่ฝ่ายพยาบาลยืนแทรกเพื่อคอยดูแลน้องๆ ส่วนพวกพี่วินัยอย่างพวกเขาก็นั่งสบายอยู่ที่โต๊ะข้างอาคาร มีพวกปีสองอีกส่วนนั่งปะปน ยืนบังกันอยู่
ตอนเขาเดินเข้ามา เขาก็อ้อมไปอีกทางเพื่อไม่ให้น้องปีหนึ่งเห็นเดี๋ยวจะกลัวกันไปเสียก่อน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่พวกวินัยจะไม่ให้น้องเห็นตัวในช่วงเวลานัดรวม แต่พวกเขาก็ไม่เคยไปไหนไกล หลบอยู่ห้องเรียนใกล้ๆ นี้บ้าง อยู่หลังน้องปีสองบ้าง เพื่อคอยดูแลและซัพพอร์ตปีสองด้วยส่วนหนึ่ง
“กูก็มาแล้วนี่ไง” เขาพูดกับเพื่อนตัวดี “เออ ไปประชุมกันหน่อย กูมีเรื่องจะบอก”
พอได้ยินเหนือเดือนพูดแบบนั้นเหล่าพี่วินัยและพี่ที่เกี่ยวข้องต่างก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วพวกเขาก็ยกโขยงกันขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน ปล่อยให้น้องปีสองดูแลปีหนึ่งไปก่อน
“มีอะไรวะ” คนพูดคือ ไม้ เพื่อนในกลุ่มของกันต์ มันเองก็เป็นพี่วินัยเหมือนกัน
“ก่อนเดินเข้ามา กูเจอเด็กปีหนึ่ง ไม่สิ... ต้องบอกว่ากูโดนเด็กปีหนึ่งวิ่งชน มันตะโกนขอโทษกูแล้วก็วิ่งเข้ามาในนี้เลย” เขาตอบออกไป
“ใครวะ”
ส่ายหน้าก่อนจะตอบ “ไม่รู้ ไม่เห็นหน้า ไม่ได้หันมาดูกู”
“อย่างนั้นคงต้องสอนเรื่องมารยาทกันหน่อย” ดิว ที่เป็นถึงเดือนคณะตอนมันอยู่ปีหนึ่งพูด แต่ตอนนี้มาดเดือนคณะหดหายหมดแล้ว เพราะมันต้องไว้หนวดเครานี่แหละ
กันต์พยักหน้ากับคำพูดของเพื่อน “ใช่ โชคดีที่กูเป็นผู้ชาย ถ้าคนที่มันชนเป็นผู้หญิงแล้วไม่สนใจแบบนี้ กูว่าไม่ใช่ ต่อให้คนโดนจะเป็นอะไรหรือไม่เป็น มารยาทที่ดีควรหันมามอง สอบถามและขอโทษ”
“ตามนั้น เดี๋ยวกูบอกปีสองให้เอง” ไข่เจียวว่า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก คงโทรหาน้องปีสองไม่ผิดแน่
หลังจากที่ไข่เจียววางสายไป พวกเขาเหล่าพี่วินัยทั้งสิบคนต่างก็เริ่มปรึกษากันคงคำพูดที่จะใช้ เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีการเตรียมบทบาท เตรียมคำพูดและจำลองสถานการณ์ต่างๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับมือได้ทัน
มันไม่ง่ายหรอกกับการเป็นพี่วินัย พวกเขาต้องทำเป็นดุ ทำเป็นโหด พูดจาไม่ดีกับรุ่นน้อง ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วก็อยากจะชวนคุยชวนเล่น เพื่อให้น้องๆ สนุกสนานและผ่อนคลาย แต่ถ้าหากไม่มีพี่วินัย ก็คงไม่มีใครสอนมารยาท สังคม การปรับตัวให้กับน้องๆ แม้วิธีจะดูโหดไปนิด แต่มันก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากคุยกันเรียบร้อยพวกเขาก็พากันลงไปข้างล่างเหมือนเดิม ปีหนึ่งกำลังร้องเพลงคณะโดยมีพี่ปีสองฝ่ายสันทนาการช่วยร้องและเต้นอยู่ด้านหน้าเพื่อความสนุกสนาน รู้มาว่าวันนี้ปีหนึ่งไม่มีเรียนวิชาคณะในตอนเช้า พวกปีสองเลยนัดน้องๆ รวม แต่ก็มีบางกลุ่มที่มีลงวิชานอกเอาไว้แล้วมีเรียนตอนเช้า ก็ไม่ได้มา ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว
กันต์หันไปมองไข่เจียวเพื่อนสนิท ก่อนจะพยักหน้าให้ ซึ่งอีกฝ่ายเองก็พยักหน้ารับ เดินไปสะกิดน้องปีสอง ให้พวกมันสะกิดกันต่อเป็นสัญญาณว่าวินัยจะลงแล้ว
แต่ดูเหมือนทางฝ่ายสันทนาการเองก็เห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน แต่พวกนั้นก็ยังทำหน้าที่ต่อไป
“ร้องกันได้แค่นี้เองเหรอครับปีหนึ่ง” กันต์อาศัยช่วงที่จบเพลงแล้วพูดออกไป ไม่ต้องใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก แต่แค่พูดเสียงดังหน่อย ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นิ่งๆ
ปีสองชะงัก เหมือนกับปีหนึ่ง ก่อนที่เหล่าพี่ๆ ด้านหน้าจะขยับถอยหลัง และพี่วินัยก็ค่อยๆ เดินเข้าไปกระจายตัว
“ก้มหน้าลงไปครับปีหนึ่ง” ดิวพูดน้ำเสียงที่ทุ้มๆ ถูกปรับโทนเสียงให้ฟังดูเข้มขึ้นและน่ากลัวขึ้น
ปีหนึ่งต่างพากันก้มหน้าจนหัวแทบจะชนกับหลังเพื่อนของคนข้างหน้า พวกเขาสอดสายตามองจนเห็นว่าปีหนึ่งก้มหน้าก้นหมดแล้วจึงเริ่มพูดต่อ
“พวกผมมีสองเรื่องอยากจะคุยกับพวกคุณ เรื่องแรกก่อนแล้วกัน...” ไข่เจียวพูด
“พวกผมมาเตือนความจำพวกคุณ ว่าอีกสองวันจะมีสอบร้องเพลงคณะ”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าน้องผมสอนเพลงคุณไปกี่เพลงแล้ว แต่ผมก็จะสอบทุกเพลงที่น้องผมสอนคุณไปนั่นแหละ ผมหวังว่าพวกคุณจะยังจำกันได้”
พวกพี่วินัยผลัดกันพูด ยกเว้นเพียงแค่กันต์ที่ยืนกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่พูดอะไร รอจนกระทั่งเพื่อนๆ พูดจบ
“ปีหนึ่งเงยหน้า” สิ้นเสียงของปุณณ์ เหล่าปีหนึ่งที่ก้มหน้าก้มตากันอยู่ก็เงยหน้าขึ้นทันที แต่พอเงยหน้าขึ้นมาจริงก็ยังพากันหลบสายตาของเหล่าพี่วินัยที่มองนิ่งตาไม่กระพริบ
“ส่วนอีกเรื่อง...” กันต์พูดกวาดสายตามองเหล่ารุ่นน้อง “ใครที่วิ่งชนผมหน้าคณะ แล้วไม่ได้หยุด หันมาสนใจถามไถ่ ลุกขึ้นครับ”
ความเงียบโรยตัวทันทีที่เขาพูดจบ เห็นปีหนึ่งมองหน้ากันเลิกลั่กไปหมด แต่ก็ยังไม่มีใครขยับตัวจนเขาต้องย้ำอีกรอบ “ว่ายังไงครับ ลุกขึ้นครับ”
คราวนี้มีคนขยับตัวก่อนจะมีคนลุกขึ้นยืน กันต์มองคนที่ลุกขึ้นยืนนิ่งไม่ละสายตาอีกฝ่ายก็เหมือนจะเกรงจะกลัว แต่สายตาก็ไม่ได้หันหนีไปไหน
“คุณชื่ออะไร” กันต์ถามออกไป
อีกฝ่ายยืนตัวตรงทันทีก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัด “ผม เมธาวิน บริสตัน ชื่อเล่น เดียร์ รหัสนักศึกษา 6004869 ครับ!”
“คุณรู้ไหมว่าคุณทำอะไรผิด”
“รู้ครับ!”
กันต์เลิกคิ้วขึ้นนิดก่อนจะถามต่อ “คุณทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ”
“ผมวิ่งชนพี่ครับ!” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ริมฝีปากของกันต์กระตุกเป็นรอยยิ้มที่คนมองดูเหมือนกับว่าเป็นรอยยิ้มเหยียดเสียมากกว่าจะเป็นรอยยิ้มมิตรภาพ
“นั่นคือความผิดของคุณใช่ไหม”
“ครับ!”
กันต์พยักหน้ารับกับคำยืนยันคำตอบของเด็กปีหนึ่งคนนี้ “ดี! อย่างนั้นผมจะทำโทษคุณก็คงไม่ผิดอะไรสินะ”
“ครับ!” เดียร์ยังคงตอบเสียงดังฟังชัดเช่นเดิม แม้ในใจจะรู้สึกหวั่นๆ กับบทลงโทษที่ตัวเองจะได้เจอ
“ผมสั่งให้คุณนั่งม้าจนกว่าผมจะสั่งให้หยุด!”
เมื่อกันต์พูดจบเหล่าปีหนึ่งต่างส่งเสียงออกมาแต่เพียงแค่เหล่าพี่วินัยกวาดสายตามองทุกคนก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
“นั่งม้า ปฏิบัติ!” เดียร์ตะโกนรับบทลงโทษก่อนที่เจ้าตัวจะกางขาออก แขนทั้งสองข้างเหยียดตรงไปด้านหน้าและกดตัวลง
กันต์มองเด็กปีหนึ่งที่รับบทลงโทษก่อนจะบอกให้พี่สันทนาการปีสองทำกิจกรรมต่อตามปกติโดยมี เมธาวิน บริสตัน รับบทลงโทษอยู่แบบนั้น
“โอเคครับ อย่างนั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ปีหนึ่งแยกย้ายได้ครับ” เสียงของพี่ต๊อบ พี่สันทนาการปีสองพูดก่อนจะปล่อยน้องปีหนึ่งให้แยกแถว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้แยกแถวตามเพื่อนๆ ไปเพราะคำสั่งลงโทษยังไม่สิ้นสุด พี่ปีสองต้อนน้องๆ ออกจากบริเวณนี้ไป ก่อนที่พี่ๆ จะเข้ามาล้อมเดียร์เอาไว้ สี่ด้านใกล้ตัวเป็นพี่ฝ่ายพยาบาล ส่วนพี่คนอื่นก็อยู่รอบๆ ไม่ได้ไปไหนไกลนัก
แขนของเดียร์สั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ไม่ปริปากพูดว่าไม่ไหวอีกทั้งยังพยักหน้ารับตอนที่พี่ๆ ถามว่าไหวหรือเปล่า
“น้องไหวนะ” ต๊อบถามออกไปอย่างเป็นห่วง
“ไหวครับพี่...”
ปีสองได้แต่ถอนหายใจ ต๊อบกับนัทหันไปมองด้านหลัง เห็นพวกพี่วินัยนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงนั้น
กันต์ก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเองก่อนจะลุกเดินเข้ามาในวงล้อม ร่างสูงยืนอยู่ตรงหน้าของเดียร์
“รู้ตัวไหมว่าทำอะไรผิด” คำถามเดิมยังคงถูกถามออกไป
เดียร์แสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะตอบ “ผมเดินชนพี่”
“ใช่ คุณเดินชนผม”
“พี่เลยลงโทษผมเพราะเรื่องนี้” คำตอบของเดียร์ทำให้ใบหน้าที่ดุดันเพราะหนวดเคราของกันต์เรียบตึง
“นับว่าคุณโชคดีที่คนที่คุณชนเป็นผมซึ่งเป็นผู้ชาย” กันต์พูดเสียงนิ่ง “เลิกนั่งม้าได้ ปีสองแยกย้าย”
พอจบคำพูดสิ้นสุดการลงโทษร่างของเดียร์ก็ทรุดลงกับพื้นทันที ขาทั้งสองข้างทั้งสั่นทั้งเกร็งจนปวดไปหมด
“น้อง! ไหวไหม ปวดมากหรือเปล่า” เหล่าพี่พยาบาลต่างรีบเข้ามาดูทันที
“นิดหน่อยพี่...”
“นั่งพักตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้ แพรวๆ เอายานวดมาให้น้องด้วย”
เดียร์นั่งมองพี่ๆ วุ่นวายกับการหาน้ำหายามาให้เขาแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา เดียร์ยกมือไหว้ขอบคุณตอนที่ทุกคนเอาของมาให้
“มึงว่าเด็กนั่นจะเข้าใจไหม” กันต์หันไปมองไข่เจียวเมื่อได้ยินเสียงพูด
เจ้าตัวส่ายหน้าไปมา “ไม่มีทางเข้าใจ ในหัวคงคิดอย่างเดียวว่ากูแม่งบ้าอำนาจ โดนชนแค่นี้ก็ต้องมาลงโทษกันด้วย”
นึกอยากจะหัวเราะกับคำพูดของเพื่อนแต่ก็หัวเราะไม่ออกส่วนหนึ่งเพราะมันคงจะจริงอย่างที่เพื่อนบอก ในสายตาเด็กปีหนึ่งพี่วินัยอย่างพวกเขาคงเป็นพวกบ้าอำนาจ ดีแต่ต่อว่าต่อขาน ลงโทษไร้สาระ อีกส่วนหนึ่งเพราะพวกเขายังอยู่ข้างนอกเด็กปีหนึ่งอาจจะมาเห็นมาได้ยิน คงทำให้เสียการปกครองไปหมด
“แต่ก็ไม่แน่หรอก” ดิวพูด “แต่ก็เอาเถอะ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็เรียกมาบอกอีกทีก็แล้วกัน”
ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของดิว
“เอาเถอะ... รอดูกันต่อไปว่าจะเป็นยังไง ถ้าหากคิดตามที่ไอ้กันต์พูดดีๆ ก็น่าจะพอเข้าใจอยู่ มันก็บอกอยู่ว่าโชคดีที่คนที่โดนชนเป็นมันที่เป็นผู้ชาย” ไม้ว่า “เรื่องบางเรื่องก็ต้องให้พวกปีหนึ่งคิดได้เอง ถ้าพวกเราบอกหมดมันก็ไม่มีความหมายหรอกว่ะ”
จริงอย่างที่ไม้ว่า เรื่องบางเรื่อง... ควรที่จะได้เรียนรู้และคิดได้เอง เพราะถ้าหากพวกเขาบอกคำตอบไป พวกปีหนึ่งก็จะแค่ฟังแล้วก็ปล่อยผ่านเลยไป แต่ถ้าหากพวกปีหนึ่งคิดหาคำตอบได้เอง คำตอบนั้นพวกนั้นจะจดจำเอาไว้
************************************************
บทที่ 2 มาแล้วจ้า เปิดตัวพี่วินัยและน้องปีหนึ่งอย่างเป็นทางการ พวกเขาปะกันแล้วเน้อ แล้วพี่กันต์จะได้อ่อยน้องตอนไหนละเนี่ย ดูสิ... เจอหน้าน้องก็สั่งลงโทษน้องเลย แล้วแบบนี้น้องจะรู้สึกยังไงละเนี่ย พี่นี่น้า...
ฟางก็จะเหตุการณ์ตอนรับน้องไม่ค่อยได้แล้วค่ะมันผ่านมาหลายปีมากแล้ว แถมยังไม่ใช่เด็กกิจกรรมอีกต่างหาก เลยหลงๆ ลืมๆ ไปเกือบหมดแล้วค่า น้องๆ ที่เพิ่งพบเจอการรับน้องมีคำแนะนำ แนะนำกันได้น้า ^^
เจอคำผิด บอกได้ค่า
อ่านแล้วอย่าลืมให้กำลังใจคนแต่งนะคะ จะได้มีกำลังใจแต่งนิยายให้อ่านกันค่ะ อย่าเงียบนะคะใจคอไม่ดีเลยค่ะ คอมเมนต์คือกำลังใจของคนเขียนนะคะ ^^
สำหรับเฟสบุ๊คค่ะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/Fangiily_GC
เข้าไปพูดคุย สอบถาม ทวงหานิยายกันได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคน ทุกข้อสงสัย(ที่ตอบได้จ้า)
รัก #พี่กันต์สายอ่อย กันเยอะๆ นะคะ กดเฟบ กดเมนต์ กดโหวด กดแชร์ แล้วแต่สะดวกเลยน๊า คนละนิดคนละหน่อยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จุ๊บๆ ขอบคุณค่ะ