♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92840 ครั้ง)

ออฟไลน์ ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-4
คอปเตอร์ที่เข้าหานี่มีเหตุผลอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

ที่จริงเรื่องนี้สนุกนะ แต่ด้วยความที่โทนเรื่องเป็นแนวเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เลยอาจจะทำให้มีคนอ่านน้อย โดยความรู้สึกไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีฉากวาบหวิวอะไรหรอก เพราะรู้สึกเฉย ๆ กับฉากแบบนี้

แต่คนแต่งตั้งใจแต่งก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ที่จริงไม่รู้คนแต่งไปแนะนำนิยายในกระทู้แนะนำนิยายหรือยัง เผื่อจะมีผู้อ่านรู้จักนิยายเรื่องนี้มากขึ้น

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อะตอม หึงกัปตันจริงๆ แต่กัปตันไม่แน่ใจ

กัปตัน พิสูจน์ว่าอะตอมจะรังเกียจตัวเองตัวเองหรือไม่
แล้วก็ได้ข้อยืนยันว่าอะตอมไม่ได้รังเกียจเลย
จนต้องไปแก้อารมณ์ค้างกันทั้งคู่ในห้องน้ำ

ว่าที่จริงเหมือนกัปตันคิดมากกับอะตอม
ที่ผ่านมาอะตอมก็แสดงความชอบกัปตันออกมาเต็มที่
แต่การที่อะตอมมีเสน่ห์กับเพศหญิงมากด้วยรูปร่างหน้าตา
ทำให้อะตอมไม่มั้นใจว่าอะตอมชอบตัวเองจริงหรือ

อะตอม แม้มีอารมณ์กับกัปตัน แต่อะตอมก็ไม่ผิดสัญญากับกัปตัน
ทั้งที่ก็อารมณ์ขึ้นเต็มที่ทั้งคู่ จะเกินเลยไปจนสุดทางก็น่าจะได้เพราะกัปตันต้องการไปต่อ
แต่อะตอมหักห้ามใจได้ รักษาสัญญาได้ตามที่เคยให้ไว้
กัปตันเชื่อใจอะตอมได้และ เพราะเป็นคนรักษาคำพูด
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
คอปเตอร์ที่เข้าหานี่มีเหตุผลอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?

ที่จริงเรื่องนี้สนุกนะ แต่ด้วยความที่โทนเรื่องเป็นแนวเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เลยอาจจะทำให้มีคนอ่านน้อย โดยความรู้สึกไม่เกี่ยวกับมีหรือไม่มีฉากวาบหวิวอะไรหรอก เพราะรู้สึกเฉย ๆ กับฉากแบบนี้

แต่คนแต่งตั้งใจแต่งก็ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ ที่จริงไม่รู้คนแต่งไปแนะนำนิยายในกระทู้แนะนำนิยายหรือยัง เผื่อจะมีผู้อ่านรู้จักนิยายเรื่องนี้มากขึ้น

ปกติผมจะแต่งนิยายกระชับ ฉับไว เดินเรื่องเร็ว แต่มีคนบอกว่ามันขาดรายละเอียดด้านอารมณ์ ความคิด ฉาก ฯลฯ ผมก็เลยลองปรับวิธีเขียนใหม่ ใส่ใจรายละเอียดบางอย่างมากขึ้น โดยส่วนตัวผมชอบนะ เพราะได้ฝึกใช้ภาษามากขึ้น แต่อาจไม่ค่อยเหมาะกับคนสมัยนี้ที่ชอบอะไรเร็วๆ เท่าไหร่ / เดี๋ยวจะลองปรับดูครับ ช่วงนี้ผมปรับวิธีเขียนเยอะ ยังหาจุดลงตัวที่ชัดเจนไม่ได้ / ขอบคุณที่ช่วยติชมครับ / เรื่องแนะนำนิยาย ไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน ผมเคยแนะนำให้คนมาอ่านเยอะๆ ก็มาเยอะแค่ช่วงแรกๆ แต่หลังๆ ก็หายไปเหมือนเดิม ก็เลยไม่ทำดีกว่า คนที่ชอบจริงๆ เขาคงจะมาอ่านเอง ส่วนคนที่ไม่ชอบแนวนี้ อ่านสักพักเขาก็คงจะไป ตอนนี้ก็หายไปเยอะแล้ว แต่ก็ช่างเถอะครับ ป่วยการจะไปเสียใจ เขียนนินายต่อไปดีกว่า

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP18 (Part 1)
เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ



<<<ATOM>>>

"สบายตัวเลยสิมึง"

พออุ้มมาส่งและวางอีกคนลงบนเตียง ผมก็ถือโอกาสแซวอย่างอารมณ์ดี กัปตันไม่โต้ตอบ เขานอนลงแล้วก็รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายที่เหลือเพียงแค่กางเกงขาสั้น ที่จริงคลุมไว้ก็ดีแล้วล่ะ เห็นตัวขาวๆ ของมันแล้วผมกลัวจะลุกขึ้นสู้อีกจนได้

ผมนั่งลงบนเตียงนอนของกัปตัน ยิ้มให้คนที่นอนทำหน้าไม่ถูกอย่างอารมณ์ดี "ทีหลัง…อย่ามายั่วกูแบบนี้อีกนะเว้ย เมื่อกี้กูเกือบหยุดไม่ได้รู้เปล่า ถ้ากูห้ามใจไม่อยู่ มึงเสร็จกูเลยนะเว้ย แต่กูน่ะ…ไม่อยากเห็นมึงร้องไห้กระซิกๆ"

"ไม่ใช่ผู้หญิงซะหน่อย" กัปตันเถียงเสียงมุบมิบ

ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบทิ้งตัวลงไปทับตัวมันไว้ กัปตันตกใจน่าดู ผมจ้องแววตาประหม่าคู่นั้น เจ้าตัวคงเขินแต่ก็พยายามสะกดไว้อย่างเต็มที่

"พูดอย่างงี้…แสดงว่าอยากลองของจริงใช่ไหม"

"เปล่า" กัปตันรีบแย้ง

"แล้วพูดยั่วทำไม" ผมก้มหน้าลงไปใกล้

"ยั่วเหี้ยอะไร กูแค่บอกว่ากูไม่ใช่ผู้หญิงเฉยๆ" กัปตันเถียง

"ก็นั่นแหละ เขาเรียกว่ายั่ว"

กัปตันเงียบ คงไม่รู้จะเถียงอะไร ไม่งั้นก็น่าจะยอมรับข้อกล่าวหาของผมกลายๆ ไปแล้ว

"ถามจริง…ที่กูทำให้เมื่อกี้ มึงชอบไหม" คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามยั่วบ้าง

กัปตันหน้าแดงจัด แก้มขาวๆ ของมันแดงปลั่งด้วยเลือดฝาด ช่างเชื้อเชิญให้อยากซุกแก้มลงหอมอีกสักทีไม่น้อย

"อืม"

แม้จะเป็นคำตอบสั้นๆ แต่ก็ทำเอาผมดีใจจนยิ้มแก้มแทบแตก

"แล้วที่กูทำให้มึงล่ะ" กัปตันถามกลับบ้าง

"สุดยอด" ผมยิ้มกรุ้มกริ่มและยักคิ้วให้

ที่ว่า "ทำให้" นั้นก็ไม่ใช่อะไรหรอก แค่ใช้มือช่วยสร้างความสุขให้กันและกันเท่านั้น ถึงจะยังไม่เต็มที่ แต่ก็ดีกว่าอาศัยมือตัวเองหลายขุม

"แล้วมึงจะมาทับตัวกูทำไมวะ" กัปตันพูดพลางพยายามผลักผมให้ลุกขึ้น น่าจะเป็นความพยายามหนีเขินอีกรอบ

ผมลุกขึ้นนั่ง หัวเราะชอบใจและทำหน้าทะเล้นใส่ "กลัวจะอดใจไม่ไหวล่ะซี้"

"เออ" กัปตันยอมรับหน้าตาเฉย

"แสดงว่ามึงมีอารมณ์กับกูงั้นสิ"

"ยังจะถามอีกนะมึง" กัปตันว่าไม่จริงจังนัก

ผมหัวเราะชอบใจเบาๆ จ้องมองใบหน้าขาวใสไม่วางตา ใบหน้าของกัปตันมีเสน่ห์ชวนมอง ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย

"กูก็มีอารมณ์กับมึง แล้วก็ไม่เคยรังเกียจมึงนะเว้ย จำไว้…กูชอบมึงอย่างที่มึงเป็นนี่แหละ แต่ถ้ามึงอยากทดสอบกู กูก็ไม่ว่าอะไรหรอก กูรู้ว่ามึงต้องการความมั่นใจ มึงอยากทดสอบกูกี่ครั้ง แบบไหน ตามสบายเลย เอาที่มึงสบายใจละกัน"

กัปตันนอนฟังเงียบๆ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขรึม สงสัยผมจะพูดสะกิดใจมันสักเรื่องเข้าให้แล้ว

"เป็นไรวะ" ผมเลิกคิ้ว

คนหน้าใสครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบ "ไม่รู้ว่ะ บางทีกูก็สับสนตัวเอง"

"สับสนอะไรวะ"

"ก็…หลายอย่าง"

"อะไรมั่งล่ะ"

กัปตันครุ่นคิดอีก ไม่นานก็ยอมเฉลยออกมาตรงๆ "อย่างแรก…กูชอบผู้ชายจริงๆ เหรอวะ"

ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของกัปตันอยู่หรอก เพราะผมก็เคยแอบถามตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก "สมัยนี้…มันไม่มีผู้ชายผู้หญิงแล้วนะเว้ย มีแค่รักกับไม่รักเท่านั้นแหละ อย่าคิดเยอะดิวะ แค่ทำตามหัวใจของมึงก็พอแล้ว"

"แล้วถ้าวันหนึ่งกูเกิดอยากชอบผู้หญิงขึ้นมาล่ะ" กัปตันถามต่อ

ผมอึ้งไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็มีคำตอบให้เช่นเคย "ก็ไม่เห็นเป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดาเปล่าวะ ถ้ามึงเจอคนที่ใช่กว่ากู ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เหมือนกันแหละ กูบอกแล้วไง เพศไม่สำคัญ สำคัญว่ามึง…รู้สึกกับใครมากที่สุด"

คำพูดของผมคงฟังดูน่าคิดตามไม่น้อย กัปตันทำท่าเออออไปด้วย แต่ก็มิวายมีเรื่องสงสัยมาถามเพิ่มอีกจนได้ คราวนี้ทำเอาผมอึ้งมากกว่าครั้งแรกอีก

"แล้วมึงล่ะ วันหนึ่งมึงจะกลับไปชอบผู้หญิงหรือเปล่า กูว่ามึงน่ะยังชอบผู้หญิงอยู่นะเว้ย"

จะว่าตอบยากก็ไม่เชิง ที่จริงก็พอตอบได้อยู่หรอก แต่มีประเด็นที่ต้องระมัดระวังเท่านั้นเอง

"กูไม่ปฏิเสธว่ากูยังชอบผู้หญิง แต่ชอบกับรัก…ไม่เหมือนกันเว้ย อีกอย่าง…กูบอกมึงแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกับเพศ" ผมย้ำเรื่องเดิม ก่อนจะพูดทีเล่นทีจริงให้ฟังดูขำๆ "ไม่แน่นะเว้ย กูอาจจะชอบผู้ชายคนอื่นแทนที่จะเป็นผู้หญิงก็ได้ เดี๋ยวนี้…นอกจากมึงแล้ว กูเริ่มเหล่ผู้ชายหล่อๆ ขาวๆ แล้วนะเว้ย"

"เหี้ย" กัปตันสบถใส่ผมทันที

"หึงเหรอ" ผมทำหน้าทะเล้นใส่

"หึงเหี้ยไร มีแต่มึงนั่นแหละหึงกู" กัปตันว่าพลางเอาหลังมือตีแขนผมไปด้วย

"อูยยยย เจ็บ" ผมแกล้งเอามือถูแขนตรงที่โดนตีและทำหน้าเหยเก แต่ไม่นานก็ยอมรับหน้าชื่นตาบาน "เออ กูหึงมึง หึงมากด้วย"

กัปตันไม่พูดอะไรต่อ แต่หันไปมองนาฬิกาข้างฝาแทน ผมเดาได้ว่ามันคงอยากนอนเต็มทีแล้ว เพราะเมื่อกี้เราก็ใช้เวลานานอยู่ แทบไม่อยากให้เสร็จไวเลย

"ดึกแล้ว นอนดีกว่า อ้อ" ผมเรียกความสนใจอีกครั้ง กัปตันหันมามองด้วยความสนใจเกือบทันที

"กูย้ำอีกทีนะเว้ย คนเรารักกัน ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นอะไร มันก็แค่รักหรือไม่รัก ใช่หรือไม่ใช่ ถ้ารัก…ถ้าใช่ มันก็รัก…มันก็ใช่ โอเคป้ะ"

"เออ ย้ำจังเลยเว้ย" กัปตันพูดเหมือนบ่น

"เรื่องสำคัญๆ ก็ต้องย้ำบ่อยๆ ดิ จะได้จำได้" ผมบอก

"เออ แล้วพรุ่งนี้…เครื่องออกกี่โมง" กัปตันเปลี่ยนเรื่อง น่าจะหมายถึงเรื่องที่ผมจะไปถ่ายแบบต่างจังหวัดนั่นแหละ

"บ่ายโมงครึ่ง กูต้องไปถึงสนามบินเที่ยง"

กัปตันพยักหน้ารับรู้หงึกๆ ทำท่าเหมือนอยากถามบางอย่าง คิดสักพักจึงถามออกมา "คราวนี้…ถ่ายเซ็กซี่แค่ไหนวะ"

"ก็เยอะอยู่ แต่มันเป็นชุดว่ายน้ำนะเว้ย ดูสปอร์ตๆ หน่อย ไม่น่าเกลียดหรอก" ผมบอกโดยไม่อ้อมค้อม

กัปตันพยักหน้ารับรู้อีกครั้ง "ก็ดีแล้ว แต่มึงก็ระวังหน่อยละกัน"

"อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดแหละวะ คนอย่างกู…ไม่มีทางเลือกเยอะนี่หว่า ถ้าไม่ทำ…กูจะเอาอะไรกิน" ผมทำเสียงเหมือนน้อยใจ

"กูก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย แค่เป็นห่วงมึงเฉยๆ เว้ย กูน่ะ...อยากให้มึงเรียนที่นี่กับกูไปนานๆ ถ้ามึงไม่ระวัง กูกลัวจะโดนเรียกไปเตือน" กัปตันรีบแก้ตัว

"เออ ขอบคุณมากเว้ย กูก็หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนี้…มันทำได้แค่นี้เว้ย"

กัปตันลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก่อนดึงผมเข้าไปกอดเบาๆ และปล่อยออกในเวลาไม่นาน แถมยังไม่พูดอะไรอีก ผมเดาว่าเขาน่าจะอยากให้กำลังใจผม ผมจึงยิ้มให้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก็อดแหย่กัปตันเล่นอีกไม่ได้อยู่ดี

"รีบปล่อยออกเชียวนะมึง กลัวไม่ได้นอนเหรอ"

"เหี้ย ไปนอนไป" กัปตันว่าพลางพยายามผลักผมลงจากเตียง

ผมรีบลุกขึ้นยืน แต่ก่อนจะกลับเตียงตัวเองก็คิดได้ว่าไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอซะหน่อยละกัน ว่าแล้วผมก็ย่อตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง กัปตันทำหน้างงๆ แต่ไม่ทันได้ถาม ผมก็จู่โจมด้วยการโน้มตัวไปหอมแก้มมันหนึ่งฟอดใหญ่ๆ ก่อนจะรีบกระโจนกลับเตียงตัวเอง เพราะกลัวโดนกัปตันฟาดด้วยหลังมืออีก

"เหี้ย" กัปตันอวยพรผมก่อนนอนด้วยสีหน้าแดงๆ

ผมว่าคืนนี้ผมคงนอนหลับฝันดีกว่าทุกคืนอย่างแน่นอน


<<<INN>>>

วันนี้ผมต้องมาซ้อมเต้นอีกแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจเต้นสักเท่าไหร่หรอก ในหัวมีเรื่องตีกันเยอะแยะไปหมด ผมจึงเผลอเหม่อและลืมท่าเต้นบ่อยๆ จนกระทั่งคนสอนคงรู้สึกว่าบ่อยเกินไป พี่ซินดี้จึงบอกให้หยุดเพลงและเดินมาหาผม ไม่บอกก็รู้ว่าคงตั้งใจมาดุแน่ๆ

"ตั้งใจหน่อยนะคะอิน เหลืออีกแค่สองวันแล้วนะคะ ถ้าวันนี้ซ้อมดีๆ พี่จะได้ให้กลับไว จะได้พักเต็มที่ เพราะว่าพรุ่งนี้ซ้อมวันสุดท้ายแล้ว อาจจะต้องซ้อมดึกหน่อย"

"ครับ" ผมรับคำสั้นๆ ขณะที่เพื่อนๆ ที่ซ้อมด้วยกันก็ปรายตามองด้วยความสงสัย โชคดีที่ยังไม่มีใครบ่นอะไรมาก ยกเว้นคนหนึ่งซึ่งเขม่นกับผมมาตั้งแต่เจอหน้ากันแล้ว

หลังจากโดนดุ ผมก็จำเป็นต้องตั้งใจซ้อมมากขึ้น ก็เลยผิดพลาดน้อยลง ระหว่างที่ซ้อม ผมก็เห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องซ้อมของเรา การปรากฎตัวของเขาทำเอาผมแทบจะหยุดเต้นทันที แต่ก็ยังพยายามไม่มองและฝืนเต้นต่อไป

เขาคงไม่ได้มาหาผมหรอก น่าจะมาหาน้องชายของเขามากกว่า เรื่องของผมกับเขา…คงจบกันแค่เมื่อวานนี้ ถ้าจะต้องหาอะไรสักอย่างมาโทษ ก็คงต้องโทษความ "ร่าน" ของผมเอง ความสัมพันธ์ที่มีทีท่าว่าจะไปได้ดีจึงพังลงอย่างงงๆ

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ เมื่อการซ้อมสิ้นสุดลง พี่โดมก็เข้าไปหากัปตัน ไม่สนใจจะมองมาทางผมแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเลย

"ไง วันนี้เต้นป่วยนะมึง มัวแต่ไปเอาท์ดอร์มาล่ะสิท่าถึงไม่มีแรง"

ขณะที่ผมกำลังจะกลับ เสียงคำพูดกวนประสาทของใครคนหนึ่งก็ดังตามมาข้างหลัง เมื่อหันไปมอง ผมก็เห็นคู่อริซึ่งเป็นคิวท์บอยด้วยกันคนหนึ่ง มันชื่อปาร์ตี้ เป็นเพื่อนของเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ตอนนั้นเคยจีบผู้หญิงคนเดียวกัน แล้วผมดันจีบติดก่อน มันก็เลยไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ เพราะผมเองก็ปากไม่ดีกับมันด้วย แต่นั่นก็ยังไม่สำคัญเท่ากับว่ามันรู้เรื่องบางอย่างของผมนี่สิ ไม่รู้ว่ามันไปรู้มาจากไหนเหมือนกัน

"ยุ่งอะไรด้วยวะ" ผมหันไปขึงตาใส่ ที่หงุดหงิดอยู่แล้วก็ชักหงุดหงิดมากขึ้น

"ก็ไม่มีอะไร" ปาร์ตี้ลอยหน้าลอยตา ท่าทางกวนประสาทของมันทำเอาผมยิ่งอารมณ์เสีย นึกอยากจะซัดมันซักหมัดสองหมัด แต่ก็ต้องพยายามยั้งใจเอาไว้

"แต่ระวังนะเว้ย โดนแฉกลางงานขึ้นมา มึงลองคิดสภาพดูนะว่ามันจะขนาดไหน ไอ้คิวท์บอยเอาท์ดอร์" ปาร์ตี้หัวเราะเยาะ

คราวนี้ผมไม่สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ได้ จึงตรงปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อมันและทำท่าจะต่อย

"เอาดิ ถ้ามึงกล้าทำ กูก็กล้าบอก" ปาร์ตี้ท้าทาย แค่นี้ก็มากพอจะทำให้ผมแกว่งได้แล้ว ให้ตายเถอะ! การมีอดีตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย

คนที่กำลังจะกลับบ้านรีบพากันวิ่งมาห้าม ผมกับปาร์ตี้มีแค่สองคน จึงไม่สามารถสู้แรงคิวท์บอยอีกห้าหกคนที่มาดึงเราออกจากกันได้ ทำได้แต่ทำท่าฟึดฟัดใส่กัน

"โธ่เว้ย ไอ้คิวท์บอยเอาท์ดอร์ คิดว่าเก่งนักหรือไง เดี๋ยวมึงเจอกูแน่" ไอ้ปาร์ตี้ตะโกนซะเสียงดังลั่น ไม่รู้ว่าจะมีใครรู้หรือเปล่าว่าที่มันพูดหมายถึงอะไร

แค่นั้นก็ทำเอาผมโกรธจัดจนหน้ามืดได้แล้ว ผมจึงออกแรงทั้งหมดกระชากตัวเองออกจากการเกาะกุม คงเป็นเพราะคนที่จับไว้เผลอเรอ นึกว่าจับแยกได้แล้วจะจบแค่นี้ ก็เลยจับผมไว้ไม่แน่นมาก

เมื่อหลุดมาได้ ผมก็ตรงเข้าเหวี่ยงหมัดใส่คู่อริอย่างจัง มันก็เหวี่ยงคืนใส่ผมบ้าง ต่างคนต่างประเคนหมัด เข่า ศอกและตีนใส่กันไม่ยั้ง ก่อนจะถูกจับแยกออกจากกันอีกรอบ มีรอยช้ำตามตัวและเลือดซิบๆ ที่ปากด้วยกันทั้งคู่

ผมทำท่าฟึดฟัดและจะวิ่งเข้าใส่ไอ้ปาร์ตี้อีก ต่างคนต่างยกแข้งยกขาหมายจะถีบกันให้ได้ แต่คราวนี้ไม่เป็นผล เพื่อนๆ จับดึงเราไว้อย่างแน่นหนา ผมจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะถีบมันไป พลันก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ผมเห็นพี่โดมเข้ามายืนดูด้วยอีกคน

ไม่รู้ว่าพี่โดมได้ยินที่ไอ้ปาร์ตี้เรียกผมหรือเปล่า แต่สีหน้าและแววตาที่มองมามีหลายความรู้สึก จะว่าสงสารก็ใช่ สมเพชก็ไม่เชิง เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว พี่โดมก็หันหลังกลับและเดินออกไปทันที ผมรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรก็ว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนั้น แต่สุดท้ายผมก็ทนเห็นพี่โดมเดินหนีผมไปแบบนี้ไม่ไหว

"พี่โดม รอผมด้วย" ผมตะโกนเรียกตาม

พี่โดมหยุดชะงักและหันมามอง ผมไม่สนใจแล้วว่าพี่โดมอยากคุยกับผมหรือเปล่า ต่อให้ไม่อยากเห็นหน้าผมก็จะยอมหน้าด้านล่ะคราวนี้ ว่าแล้วผมก็สะบัดตัวออกจากการเกาะกุม ก่อนวิ่งไปหาพี่โดมซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป ไม่มีใครตามมาดึงผมไว้แล้ว เพราะผมไม่ได้จะไปหาเรื่องใครอีก

โชคดีที่พี่โดมหยุดรอ ทว่าข้างๆ ก็มีกัปตันอยู่ด้วย แต่มาถึงตอนนี้แล้ว ผมคงต้องพูดสิ่งที่ผมอยากพูด ไม่งั้นพี่โดมคงไม่ยอมให้ผมพูดด้วยแน่ๆ เมื่อมาหยุดตรงหน้าผมจึงรีบพูดก่อนจะเสียโอกาสไป

"พี่โดม ผมขอโทษ"

ไม่รู้ว่าคำขอโทษจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้หรือเปล่า แต่ผมก็สังเกตเห็นว่าแววตาของพี่โดมอ่อนลง ส่วนกัปตันมองผมด้วยความสงสัย เขาคงไม่เข้าใจว่าสองคนนี้มีเรื่องอะไรกัน

"กัปตันไปรอพี่ที่รถก่อน เดี๋ยวพี่ตามไป" พี่โดมหันไปบอกน้องชาย

"ครับพี่" กัปตันรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนเข็นรถออกไปข้างนอกและหายไปในเวลาไม่นาน

พอกัปตันไปแล้ว พี่โดมก็ลากแขนผมออกไปจากห้อง ท่ามกลางสายตาสงสัยและเสียงซุบซิบของใครต่อใคร เมื่อเจอที่เหมาะๆ และลับตาคน พี่โดมก็เริ่มเรื่องด้วยท่าทางหงุดหงิด

"กูบอกมึงแล้วไงว่ามึงกับกูจบกันแค่นี้"

"พี่โดม ผมขอโทษครับพี่" ผมพยายามจะขอความเห็นใจ แต่สีหน้าท่าทางของพี่โดมไม่มีสิ่งนั้นให้ผมเลย

"ขอโทษทำเหี้ยอะไร มึงทำตัวแบบนี้…มึงคิดว่าใครเขาจะยกโทษให้มึงอีกวะ"

"ผมไม่มีใครแล้วพี่ ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ นะพี่โดม ผมกลัวไปหมดเลย ไอ้ปาร์ตี้มันขู่จะแฉผมบนเวทีประกวด ผมกลัวที่บ้านผมรู้ ถ้าเขารู้…ผมตายแน่ๆ เลยพี่" ผมทรุดลงนั่งคุกเข่าและเริ่มร้องไห้ ไม่เคยรู้สึกอดสูและสมเพชตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลย ที่จริงก็ไม่อยากใช้น้ำตามาร้องขอความสงสารหรอก แต่ชีวิตของผมตอนนี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ แม้กระทั่งตัวผมเองก็ยังสมเพชตัวเองเลย

"แล้วกูจะช่วยอะไรมึงได้วะ มึงคิดว่ากูจะปิดปากมันได้หรือไง" พี่โดมย้อนถาม น้ำเสียงยังฟังไม่ชัดนักว่าไปทางความรู้สึกแบบไหนกันแน่

ที่พี่โดมพูดก็ถูกของพี่โดม ตอนนี้จะมีใครที่ไหนช่วยผมได้ ยกเว้นว่าผมจะไปฆ่าปิดปากไอ้ปาร์ตี้ แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ใครต่อใครต่างก็รู้เรื่องของผมมากขึ้นและมากขึ้น ผมคงจะปิดปากไม่ได้ทุกคนหรอก ความลับของผมเหมือนมีระเบิดเวลา อีกไม่นานมันก็จะระเบิด ใครต่อใครก็จะรู้กันไปหมด เมื่อวันนั้นมาถึง ไม่ช้าก็จะเข้าหูคนที่บ้านของผมจนได้ คราวนี้ก็จะเป็นหายนะของจริง

ถึงนาทีนี้ผมก็ได้แต่เงียบ นึกอะไรไม่ออกว่าจะทำยังไงดีกับชีวิตของตัวเอง ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า ถ้ามันทำอะไรไม่ได้จริงๆ อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด ในเมื่อทำอะไรไม่คิดไปแล้ว จะไม่รับผลอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ผมควรจะสนใจมากที่สุดคือคนตรงหน้าต่างหาก เพราะถึงอย่างน้อยผมแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ายังมีใครสักคนคอยให้กำลังใจกันบ้าง ชีวิตของผมก็คงจะไม่เลวร้ายจนเกินไป

"มึงมีอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวกูจะพาน้องกูไปซื้อของ เขารออยู่"

คำพูดของพี่โดมฟังดูไร้เยื่อใยไปแล้ว บ่งบอกชัดเจนว่าโอกาสของผมคงไม่มีเหลือ เรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากความไม่รู้จักยั้งคิดของผมอีกเหมือนกัน

เมื่อสองวันก่อน ผมขอให้พี่โดมไปส่งที่คอนโด คืนนั้นผมปรับทุกข์กับพี่โดมหลายเรื่อง เราซื้อเบียร์มาดื่มกันด้วย เมากันพอสมควร แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ เพราะหลังจากเมาได้ที่ อารมณ์บ้าๆ นั่นทำให้ผมขาดสติ ผมเริ่มหาวิธียั่วยวนพี่โดมสารพัด จนในที่สุดก็ลงเอยกันบนเตียง

พอตื่นขึ้นมาเท่านั้น พี่โดมด่าผมและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าผมฉวยโอกาส ทำตัวน่ารังเกียจ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายรุกเขาซะหน่อย ควรจะเป็นผมด้วยซ้ำที่ลุกขึ้นมาพูดแบบนี้ แถมมันยังน่าแปลกใจตรงที่พี่โดมทำเหมือนเป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงมาก ทั้งที่จริงควรจะเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ ของหนุ่มๆ สาวๆ สมัยนี้ แต่ก็นั่นแหละ เอาเป็นว่าพี่โดมโกรธผมมากจนตัดขาดความสัมพันธ์กับผมไปเลย

ผ่านไปวันสองวัน ผมก็เริ่มเอะใจบางอย่าง พี่โดมอาจยังไม่พร้อมที่จะคบกับผู้ชายก็ได้ เผลอๆ อาจจะรับไม่ได้ด้วยซ้ำ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นจึงกลายเป็นว่าผมล้ำเส้นไป ไม่แปลกเลยที่พี่โดมจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนั้น

"ผม…ผมแค่อยากจะขอโทษพี่โดมน่ะครับ…สำหรับเรื่องวันนั้น" ผมพูดประโยคนี้ออกไปโดยที่แทบไม่รู้ความหมายของสิ่งที่พูด เหมือนกับว่าผมไม่ได้ยินเสียงของตัวเองตอนที่พูดเลย

สายตาของพี่โดมยังคงดูเย็นชา แม้จะมีแววเห็นใจหรือสงสารฉายออกมาบ้าง แต่ก็น้อยเต็มที ไม่นานพี่โดมก็ถอนหายใจ

"แค่นี้ใช่ไหม"

"ครับ" ผมรับคำ ท่าทางคล้ายกับคนกำลังยอมรับสภาพ

"กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ" เสียงห้วนๆ ตอบมา

ตอนที่อะตอมด่าผมแรงๆ ผมก็ว่าผมเจ็บมากแล้ว แต่เจอคำพูดนี้ของพี่โดมเข้าไป ผมว่ามันเจ็บที่สุดเท่าที่ผมเคยเจ็บมาเลยก็ว่าได้

"กูเคยคิดว่ามึงจะทำตัวดีขึ้นนะเว้ย จะว่าไป…กูเห็นใจมึงด้วยซ้ำ แต่สันดานมึงน่ะ…ไว้ใจไม่ได้ มึงล้ำเส้นกู มึงใช้มารยากับกู เพราะฉะนั้น…อย่าหวังว่ากูจะไว้ใจมึงอีก"

ผมโดนตอกอีกดอกแล้ว เรียกว่าปิดฝาโลงขังผมให้ขาดอากาศหายใจตายอยู่ในนั้นไปเลย พี่โดมเดินจากไปทันทีหลังจากนั้น ทิ้งผมไว้ตรงนี้เพียงลำพัง ไม่รู้ว่าจะไปไหน หรือทำอะไรต่อ

หูผมอื้อ ตาผมลายไปหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าเด็กอายุสิบเก้าอย่างผมจะมาเจอปัญหาแบบนี้ ครอบครัวผมก็ดี เงินทองก็มีใช้ไม่ขาด ไม่เคยอดอยากแร้นแค้น แต่เพราะผมทำตัวเองแท้ๆ ก็เลยพาตัวเองมาติดอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ ที่สำคัญ ไม่มีใครช่วยผมได้ แม้แต่ที่บ้านผมก็ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าเขารู้ขึ้นมา นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ผมอาจจะโดนทำโทษหนักอีกต่างหาก

ในเมื่อผมปิดปากคนอื่นไม่ได้ ซ้ำยังแก้ไขให้อะไรดีขึ้นไม่ได้ ก็มีอยู่แค่หนทางเดียวเท่านั้นที่จะจบปัญหาทุกอย่าง ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลย แต่จู่ๆ มันก็แวบเข้ามาในความคิด สงสัยผมจะเข้าตาจนและอับจนหนทางเข้าให้แล้วถึงได้สิ้นคิดแบบนี้ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมหวังว่ามันจะเป็นการสิ้นคิดครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน

ผมลุกขึ้นยืน สองขาก้าวออกไปที่ไหนสักแห่งที่ผมเองก็ไม่รู้ ที่จริงผมควรจะรู้ว่ามันเป็นที่ไหน เพราะผมมาเรียนที่นี่แทบทุกวัน แต่สมองของผมทำงานได้ไม่ดีนัก เมื่อเดินออกมาได้ไม่นาน ผมก็เห็นแค่แสงไฟและมีวัตถุเคลื่อนที่เร็วไปมาพร้อมกับเสียงที่แสนวุ่นวายของมัน แต่ในท่ามกลางความวุ่นวายนั้น คนนับหมื่นนับพันก็ยังมีจุดหมายปลายทางของตัวเอง มันคือการดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตได้ไปต่อ แต่ก็ยังมีบางคน…ที่อาจต้องการสิ่งตรงข้าม

สิ่งที่ผมหวังมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือขอให้มีหนึ่งในวัตถุซึ่งเคลื่อนที่วุ่นวายไปมาบนท้องถนน ช่วยยุติปัญหาทั้งหมดให้ผมที ผมต้องการแค่นี้จริงๆ



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:46:14 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP18 (Part 2)
เมื่อคิวท์บอยโดนแฉ



<<<DOME>>>

ตอนที่ผมไปรับกัปตัน ครูสอนเต้นบอกว่าอยากให้หาพวกของสะท้อนแสงมาตกแต่งรถวีลแชร์ของกัปตันด้วย วันแสดงจริงน่าจะสร้างสีสันได้ไม่น้อย ผมก็เลยพากัปตันออกมาหาซื้อวันนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีเวลา เพราะอีกสองวันก็จะแสดงจริงแล้ว ซื้อของเสร็จเราก็หาข้าวเย็นกินกันสองพี่น้อง เสร็จธุระทั้งหมดแล้วผมจึงมาส่งกัปตันที่คอนโด

"พี่โดมจะนอนนี่ก็ได้นะครับ ตั้งแต่ผมมาอยู่นี่ พี่โดมยังไม่เคยมานอนนี่เลย" กัปตันเชื้อเชิญเมื่อมาถึงห้อง

ผมมองไปรอบๆ ห้องของกัปตัน แม้จะเป็นห้องที่หนุ่มโสดสองคนอยู่ด้วยกัน แต่มันก็ดูสะอาดดี อย่างว่าแหละ น้าสาวผมคงไม่ยอมให้กัปตันอยู่แบบรกๆ หรอก เห็นว่าส่งแม่บ้านมาช่วยทำความสะอาดให้ครั้งสองครั้งแล้ว ที่จริงอะตอมก็ช่วยทำบ้าง แต่เขาก็ติดเรียนและต้องทำหลายอย่าง น้าเล็กเลยส่งคนมาจัดการให้

"พี่ก็คิดอยู่ ขี้เกียจกลับเหมือนกัน เออ…ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยได้ไปหาน้าเล็กเลย ไม่รู้เป็นไงมั่ง" ระหว่างที่พูดผมก็เอาของที่ซื้อมาวางบนโต๊ะ ก่อนพาตัวเองมานั่งสบายๆ ที่โซฟา การจัดสิ่งของต่างๆ ดูแปลกตาจากคราวที่แล้วไปบ้าง สงสัยอะตอมจะจัดบางอย่างใหม่

"แม่กับป๊ายุ่งมากเลยครับช่วงนี้ ตั้งแต่ป๊ากลับมาจากเมืองนอก มีลูกค้าสั่งของเพิ่มเยอะมาก จะผลิตไม่ทันอยู่แล้ว" กัปตันเข็นมานั่งใกล้ๆ สีหน้าดูเรื่อยๆ

ปกติถ้าแขกมาห้อง เจ้าของห้องจะต้องหาของมาต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่าหรือของกินเล่น แต่สำหรับกัปตัน ผมบอกน้องเสมอๆ ว่าไม่ต้องทำอะไรให้ผม ถ้าผมอยากได้อะไรก็จะจัดการตัวเอง

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็คุยเรื่องที่บ้านของกัปตันต่ออีกสักพัก ผมถามถึงลมหนุนด้วย ได้ทราบว่าปิดเทอมนี้จะไม่กลับบ้าน แต่กัปตัน น้าเล็กและน้ายชายผมวางแผนว่าจะไปหาลมหนุนที่อเมริกาช่วงปิดเทอม ผมก็ว่าจะขอไปด้วยซะหน่อย เพราะไม่ได้ไปเที่ยวอเมริกาหลายปีแล้ว

"เอ่อ…วันนี้…อินมันคุยอะไรกับพี่โดมเหรอครับ" กัปตันหาจังหวะถามเรื่องที่อยากถามจนได้

ผมทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที เพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องของตัวเองกับเพื่อนร่วมคณะของน้องชายว่ายังไง ท่าทางมีพิรุธแบบนี้ยิ่งทำให้อีกคนสงสัย

"พี่โดมกับอิน…เอ่อ…ยังไงเหรอครับ" กัปตันถามด้วยท่าทางเกรงใจ

ถึงคำถามจะฟังดูแปลกๆ แต่ผมก็เข้าใจคำถามของกัปตันเป็นอย่างดี กัปตันคงสงสัยมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะสบโอกาสถามวันนี้ เมื่อรู้ว่าถึงเวลาต้องพูดอะไรสักอย่าง ผมก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ

"ถ้าพี่โดมไม่สะดวกใจที่จะบอก ก็ไม่เป็นไรนะพี่ เอาไว้ค่อยบอกตอนที่โดมพร้อมก็ได้" กัปตันยังคงแสดงความเกรงใจ

"มันอธิบายยากว่ะกัปตัน" ผมโพล่งออกไป ท่าทางของกัปตันบ่งบอกว่ากำลังรอฟังอย่างตั้งใจ ผมจึงต้องพูดต่อ "ตอนแรก…พี่กะแค่จะสั่งสอนมันที่มันมารังแกกัปตัน แต่พอรู้จักมันมากขึ้น พี่ก็รู้สึกว่า…มันน่าสงสาร มันยังเด็กน่ะ…ก็เลยพลาด"

"เรื่องทวิตเตอร์เหรอครับ" กัปตันถาม

ผมตกใจพอดู ไม่คิดว่ากัปตันจะรู้เรื่องนี้ "กัปตันรู้ด้วยเหรอ"

กัปตันพยักหน้า "ก็เพิ่งรู้เหมือนกันครับ อะตอมบอก แต่รู้สึกว่า…มีคนรู้เยอะแล้วเหมือนกัน"

ผมหน้าเครียดขึ้นมาทันที ถ้าถามว่าเป็นห่วงอินไหม ผมก็ยอมรับว่าห่วง แต่วันนั้นมันก็ทำเอาผมโมโหมากจนถึงขั้นสติแตก ถึงกับเอ่ยปากตัดความสัมพันธ์กันไปเลย ทว่าพอถึงตอนนี้ ผมก็รู้สึกได้ว่าความเป็นห่วงชักจะมากกว่าความโกรธซะแล้ว ยิ่งนึกถึงภาพที่มันคุกเข่าขอโทษผม ผมก็ยิ่งรู้สึกสงสาร โดยเฉพาะประโยคนั้นของอิน…

"ผมไม่มีใครแล้วพี่ ผมกลัว ผมกลัวจริงๆ นะพี่โดม ผมกลัวไปหมดเลย ไอ้ปาร์ตี้มันขู่จะแฉผมบนเวทีประกวด ผมกลัวที่บ้านผมรู้ ถ้าเขารู้…ผมตายแน่ๆ เลยพี่"

นี่ผมใจร้ายกับอินมากเกินไปหรือเปล่า? ช่างเถอะ ชีวิตใครชีวิตมันก็แล้วกัน อย่าขี้สงสารนักเลย ที่ผ่านมาผมก็เจ็บหนักเพราะความขี้สงสารนี่แหละ

"ตอนแรก…พี่ตั้งใจว่าถ้ามันแกล้งกัปตันอีก พี่จะเอาเรื่องนี้มาแฉเอง แต่คิดไปคิดมา…พี่ก็ไม่อยากทำร้ายอนาคตของใครว่ะ สงสารมัน มันยังเด็ก พี่ก็เลยไม่ทำ แต่พี่ก็ไม่อยากยุ่งกับมันแล้ว มันน่าสงสารก็จริง แต่แม่ง…นิสัยไม่ดี ก็สมควรแล้วล่ะ"

"สมควรอะไรเหรอพี่" กัปตันอยากรู้

"ก็…มีคนจะแฉมันบนเวทีประกวด" ผมบอกโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

"จริงเหรอพี่โดม" กัปตันทำหน้าตกใจ ก่อนถามต่อ "ใครจะแฉครับ พี่โดมรู้ไหม"

"ก็คิวท์บอยด้วยกันนั่นแหละ ชื่อปาร์ตี้"

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะคุยกับมัน"

คำพูดของกัปตันทำเอาผมอึ้ง ขนาดว่าเจ้าตัวเคยโดนอินแกล้งว่าแรงๆ หลายครั้ง แต่กัปตันกลับไม่คิดถือโทษโกรธ แถมตอนนี้ยังอยากจะช่วยอินด้วยซ้ำ

"ไอ้สองคนนั้นมันไม่ถูกกันมาก่อน พี่ว่ามันไม่ฟังหรอก" ผมแย้ง

"ก็ต้องลองคุยดูน่ะพี่ แต่ผมไม่อยากให้อินเสียอนาคต ผมสงสารมันน่ะ เรื่องนี้…ร้ายแรงนะพี่ เสียภาพลักษณ์มหาลัยด้วย" สีหน้าของกัปตันบ่งบอกว่าเห็นใจอีกฝ่าย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจมากขึ้น

"เอางั้นเหรอ" ผมถามเพื่อให้แน่ใจ

"ครับพี่ เราช่วยกันนะพี่โดม" กัปตันชวน

ผมทำหน้ายิ้มยาก แต่สุดท้ายก็ยิ้มบางๆ และพยักหน้าตกลง "อืม แล้ว…กัปตันไม่โกรธอินเหรอ"

"ไม่แล้วพี่ ตอนหลังๆ มันก็ไม่มาหาเรื่องผมแล้วนะ เมื่อวานตอนซ้อม มันยังเอาน้ำมาให้ผมเลย"

ผมพยักหน้ารับรู้ กัปตันไม่โกรธแล้ว แล้วผมล่ะ จะโกรธมันต่อไปดีไหม แต่พอนึกถึงเช้าวันนั้นที่ขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองมีอะไรกับอินไปแล้ว ผมก็ยังรู้สึกโมโหอยู่ มันมอมเหล้าผม แถมยังเข้ามาเบียดเสียดแนบชิด ร้องห่มร้องไห้ให้ผมปลอบใจ ผมก็ปลอบมันอย่างดี จนกระทั่ง…เลยเถิด

"ก็ดีแล้ว" ผมบอกน้องชายเสียงเบาโดยไม่หันไปมองหน้า พยายามสลัดอารมณ์ขุ่นๆ ออกไปจากความคิด ถ้าเปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะพอช่วยได้ ผมจึงเปลี่ยนเรื่องทันที "แล้วอะตอมกับกัปตัน…เป็นไง"

กัปตันเลิกคิ้ว หน้าตาเหลอหลาขึ้นมาทันที "ยังไงเหรอพี่"

"อ้าว อะตอมเขาชอบกัปตันไม่ใช่เหรอ พี่ก็เลยถามว่า…ความสัมพันธ์เป็นไง โอเคไหม" ผมขยายความ

"ก็ดีพี่" กัปตันยิ้มแปลกๆ ไม่รู้ว่าเขินหรืออะไรกันแน่

"ตกลง…เป็นแฟนกันแล้วเหรอ" ผมสงสัย

"ยังพี่ ยังไม่ถึงขนาดนั้น" กัปตันบอกปัดเป็นพัลวัน

"แล้วขนาดไหนล่ะ"

"ก็…" กัปตันทำท่านึก แต่ยังไม่ทันตอบ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น กัปตันจึงฉวยโอกาสนั้นรับโทรศัพท์ทันที "ว่าไงแบงค์ มีอะไร"

ผมไม่รู้ว่าคนที่โทรมาพูดอะไรกับกัปตันบ้าง แต่ที่แน่ๆ สีหน้าของกัปตันดูตกใจมาก

"จริงเหรอวะแบงค์! เมื่อไหร่" กัปตันถามพร้อมกับหันมามองผมด้วย

"เออๆ เดี๋ยวจะรีบไป" กัปตันวางสาย ผมรีบถามด้วยความอยากรู้ทันที

"มีอะไรเหรอกัปตัน"

"อินโดนมอไซค์ชนบนทางเท้าหน้ามหาลัย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแล้วครับ"

"อะไรนะ!"

ผมอุทานด้วยความตกใจ นึกสงสัยว่าที่อินโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนครั้งนี้ อาจจะเป็นความตั้งใจมากกว่าบังเอิญก็ได้



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:46:22 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กัปตัน อะตอม เหมือนเข้าใจกันมากขึ้นนะ
กัปตัน ดูยังสับสนกับทั้งตัวเองและอะตอม

แต่อะตอมก็ให้ข้อคิดที่ดีนะ
"มันไม่มีผู้ชายผู้หญิงแล้วนะเว้ย มีแค่รักกับไม่รักเท่านั้นแหละ อย่าคิดเยอะดิวะ แค่ทำตามหัวใจของมึงก็พอแล้ว"
"แล้วถ้าวันหนึ่งกูเกิดอยากชอบผู้หญิงขึ้นมาล่ะ"
"ก็ไม่เห็นเป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดาเปล่าวะ ถ้ามึงเจอคนที่ใช่กว่ากู ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เหมือนกันแหละ กูบอกแล้วไง เพศไม่สำคัญ สำคัญว่ามึง…รู้สึกกับใครมากที่สุด"

อิน ใช้ชีวิตแบบไม่ดี ปากก็ไม่ดี เพื่อนสนิทก็ไม่มี
แล้วเมื่อความลับจะปรากฏ ทำให้เสียชื่อเสียงทั้งต่อตนเอง สถานศึกษา
ไม่มีคนคอยเคียงข้าง ไม่มีคนให้คำปรึกษา ไม่มีคนให้กำลังใจชวยเหลือ
การตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เป็นทางเลือกหนึ่งของอิน

เกรงว่ารถที่ชน จะเป็นหนึ่งในคนที่หาเรื่องอินหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เอ้อ... เนอะ อินมีความตั้งใจว่าจะให้โดนรถชน แต่ โดนมอเตอร์ไซค์ชนบนทางเท้า เห้ย!!? มันใช่เหรอ ยังไม่ทันบรรลุความคิดย่างเท้าลงถนน แต่แค่ทางเท้าก็บรรลุซะแล้ว หักอารมณ์กับเหตุการณ์เหตุผลเราดีจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
น่าสงสารอินนะ ทุกคนควรได้รับโอกาส

ออฟไลน์ lune

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 688
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ถึงอินจะเคยทำผิด คิดผิด แต่คนเราผิดพลาดกันได้ถ้าปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ที่สำคัญถ้าไม่มีกำลังใจก็จบ เอาใจช่วยให้ผ่านไปได้นะอิน

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP19 (Part 1)
เมื่อผมหึงเขา



<<<DOME>>>

"เดินยังไงวะให้รถมอไซค์ชน" เพื่อนของอินที่ชื่อแบงค์ถาม ออกแนวตลกๆ มากกว่าจะตั้งใจตำหนิ แต่คนนอนเจ็บกลับนอนนิ่ง สีหน้าไร้ความรู้สึกนั้นยากจะบอกว่าเขากำลังรู้สึกอะไรกันแน่

"เดี๋ยวนี้มอไซค์ชอบขึ้นมาวิ่งบนทางเท้าไง กูยังเคยเกือบโดนชนเลย อยู่ดีๆ แม่งก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เกือบหลบไม่ทัน" กัปตันถือโอกาสอธิบายแทนเพื่อน

"แล้วทำไมมึงไม่หลบวะ" แบงค์ถามคนเจ็บต่อ

"อยากตายมั้ง" อินตอบเหมือนกวน ทำท่าเหมือนไม่จริงจังกับคำตอบ แต่ผมกลับรู้สึกสะดุดใจไม่น้อย

"จะรีบตายไปทำไม จะหนีปัญหาเหรอ ตัวเองหนีได้ แล้วไม่คิดเหรอว่าจะทิ้งอะไรไว้ให้คนที่เขายังไม่ตาย แก้ปัญหาตัวเองให้จบก่อนดีกว่าไหม แล้วค่อยตายก็ได้" ผมอดเหน็บไม่ได้

อินถึงกับอึ้ง เขาเงียบไปและไม่เถียงผมกลับ ส่วนแบงค์กับกัปตันมองผมแปลกๆ คงจะงงว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้น แถมยังทำสีหน้าท่าทางจริงจังซะอีก

"คนเรามันต้องสู้ใช่ไหมกัปตัน" ผมหันไปถามน้องชาย

"อ๋อ ครับพี่โดม" กัปตันตอบงงๆ

นี่ยังไม่พอหรอกสำหรับเด็กสิ้นคิดอย่างอิน ผมก็เลยเหน็บซ้ำอีก "รู้ไหมว่าพี่ชื่นชมกัปตันมากเลย ลำบากกว่าคนอื่นตั้งเยอะ อุปสรรคก็เยอะ แค่ขึ้นตึกเรียนก็ยังลำบากเลย ไม่มีอะไรง่ายสักอย่าง แต่พี่ไม่เคยเห็นกัปตันคิดอะไรโง่ๆ ถึงจะท้อบ้าง แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ คนแขนขาดีๆ มีครบทุกอย่างยังคิดแบบกัปตันไม่ได้เลย จริงไหม"

กัปตันยิ้มแหยๆ แบงค์ก็ทำหน้างงๆ ไปด้วย ทั้งสองคนเริ่มมองผมกับอินแปลกๆ แต่สักพักแบงค์ก็พูดเปลี่ยนบรรยากาศที่น่าอึดอัด

"เออ ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว แล้วนี่...มึงจะหายทันประกวดคิวท์บอยเปล่าวะ"

อินส่ายหน้าไปมาช้าๆ สายตายังคงดูเหม่อลอยและไม่ค่อยกล้าสบตากับผมเท่าไหร่นัก ไม่รู้ว่าจะคิดได้บ้างหรือเปล่าที่โดนผมซัดไปขนาดนั้น

"จะทันได้ไงวะมึง อีกแค่สองวันเอง" กัปตันหันไปตอบให้แทน ก่อนหันมาถามคนเจ็บบ้าง "เออ แล้วนี่หมอบอกยังว่าต้องใส่เฝือกนานแค่ไหน"

"อย่างน้อยก็น่าจะเดือนหนึ่ง" อินตอบเบาๆ ท่าทางเขาดูไม่ค่อยอยากพูดจากับใครเท่าไหร่ ดีที่วันนี้เพื่อนยังมาเยี่ยมไม่เยอะ ก็เลยไม่ต้องตอบคำถามใครมาก แต่พรุ่งนี้น่าจะมากันเยอะกว่านี้

"มึงก็นั่งรถเข็นไปขึ้นเวทีดิ กัปตันมันยังนั่งรถเข็นขึ้นเวทีเลย" แบงค์พูดหยอก แต่ดูเหมือนจะไม่ตลกเท่าไหร่สำหรับกัปตัน ถึงเขาจะทำเฉยๆ แต่ผมก็พอดูรู้ว่าเขาไม่ชอบ คำพูดเล่นๆ ของแบงค์อาจฟังดูเหมือนตลกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับกัปตันอาจไม่ใช่อย่างนั้น

"กูไม่ประกวดอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่อยากได้อะไรด้วย" อินพูดขึ้นมาเสียงห้วนๆ

"อ้าว ก็เห็นตอนแรกมึงอยากประกวดไม่ใช่เหรอ" แบงค์ย้อนถาม

"แต่ตอนนี้กูไม่อยากแล้วเว้ย จะถามอะไรนักหนาวะ" อินเริ่มขึ้นเสียงและแสดงอาการรำคาญอย่างเห็นได้ชัด

"เออ เรื่องของมึงละกัน" แบงค์ทำท่าไม่แยแส

เยี่ยมคนเจ็บไม่นานพวกเราก็ขอตัวกลับ ไม่ลืมลาป๊ากับม๊าและพี่น้องของอินซึ่งปลีกตัวไปอยู่อีกมุมห้องด้วย เห็นผู้ใหญ่สองคนแล้วผมก็นึกเห็นใจ ถ้าเกิดว่ารู้ว่าลูกชายตัวเองทำอะไรลงไปคงช็อกน่าดู ผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับได้อีกนานแค่ไหน

แต่ช่างเถอะ นี่มันเรื่องของอิน ไม่ใช่เรื่องของผม ถึงจะเห็นใจแค่ไหน ผมก็ไม่อยากยุ่งกับเด็กที่คิดไม่ซื่อคนนี้แล้ว

กัปตันขับรถไปส่งแบงค์ที่หอในก่อน วันนี้กวินไปธุระกับที่บ้าน ส่วนน้ำหวานนัดเพื่อนผู้หญิงอีกกลุ่มไปซื้อของข้างนอกด้วยกัน ป่านนี้คงกลับมาถึงหอพักแล้ว เหลือแต่แบงค์ที่ไม่รู้จะออกไปไหน ก็เลยออกไปหาอะไรกินข้างนอกใกล้ๆ ขากลับเห็นมีรถพยาบาลและตำรวจอยู่หน้ามหาลัยพอดี พอเข้าไปดูถึงได้รู้ว่าอินถูกรถมอเตอร์ไซค์ชนแขนหัก ถึงได้โทรมาบอกกัปตัน

ส่งเพื่อนเสร็จ กัปตันก็ขับรถกลับที่พัก ขับออกมาได้ไม่เท่าไหร่เขาก็เปรย "ผมว่าผมจะช่วยอินน่ะพี่โดม"

"ช่วยเรื่องอะไร" ผมสงสัย

"ผมว่าจะลองคุยกับปาร์ตี้ดูน่ะครับ"

"พี่ว่าอย่าไปยุ่งกับมันเลย สองคนนั้น...น่าจะเคยมีเรื่องกันมาก่อนนะพี่ว่า" ผมเตือน จะว่าไปก็ดูเหมือนไม่แยแสอินเลย ขนาดน้องชายจะช่วยผมยังไม่อยากให้ไปยุ่ง

"ก็ต้องลองคุยดูน่ะพี่ ถ้าเกิดปาร์ตี้แฉเรื่องอินจริงๆ อินหมดอนาคตเลยนะพี่ แล้วที่บ้านเขาอีกล่ะ คงรับไม่ได้แน่ๆ ที่อินทำแบบนี้"

"ก็อยากทำตัวแบบนั้นเองทำไม พี่ว่าก็สมควรแล้วล่ะ โดนหนักๆ ซะบ้าง จะได้สำนึก" ผมเผลอพูดและทำท่าเหมือนสะใจโดยไม่รู้ตัว

กัปตันมุ่นคิ้วเหมือนครุ่นคิดหรือสงสัยบางอย่าง ก่อนตัดสินใจถามในเวลาไม่นาน "พี่โดม...มีปัญหาอะไรกับอินหรือเปล่าครับ"

คราวนี้ผมจึงได้สติ รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและพูดเฉไฉ "เปล่า ไม่มีอะไร พี่แค่ไม่ชอบที่มันเคยพูดไม่ดีกับกัปตันแค่นั้นแหละ พี่ว่านะ...คนที่ทำไม่ดีกับคนอื่นแบบมันน่ะ น่าจะได้รับบทเรียนซะบ้าง ไม่งั้น...ไม่รู้จักจำหรอก"

คำอธิบายของผมใช่ว่าจะทำให้กัปตันหายข้องใจ ทว่ากลับทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม "ปกติ...ผมไม่เคยเห็นพี่โดมเป็นแบบนี้เลยนะครับ"

"กัปตันหมายความว่ายังไงเหรอ" ผมทำหน้าอึ้งๆ ระคนงง

"อ้าว ปกติผมเห็นพี่โดมเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็คิดบวกมากกว่านี้ ก็เลยรู้สึกว่าพี่โดมดูแปลกๆ ไป" กัปตันเฉลยและขำเบาๆ

"อ๋อ" ผมถึงบางอ้อ จากนั้นก็ยิ้มเก้อๆ และเอามือเกาหัวตัวเอง "พี่ดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวันนี้"

"ก็ไม่ถึงกับแย่หรอกพี่ แค่ดูแปลกๆ น่ะครับ" กัปตันขำอีก

"อ้อ" ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็เลยนั่งเงียบๆ ไปสักพัก

"ผมพูดจริงๆ นะพี่โดม ผมอยากช่วยอินจริงๆ ผมจะลองคุยกับปาร์ตี้ดูพรุ่งนี้" กัปตันยืนยันอีกครั้ง ดูท่าทางคงอยากจะช่วยเพื่อนมากทีเดียว

"แล้วกัปตันสนิทกับเขาขนาดไหนล่ะ" ผมรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย เพราะผู้ชายวัยอย่างพวกเรามักอารมณ์ร้อน พูดผิดหูนิดหน่อยอาจจะมีเรื่องได้

"อืม...ไม่ค่อยได้คุยกันหรอกครับ แต่รู้สึกว่าคอปเตอร์น่าจะสนิทมากกว่า เห็นคุยกันบ่อยๆ"

"จะให้คอปเตอร์ช่วยเหรอ แล้วเขารู้เรื่องอินหรือเปล่าล่ะ"

"น่าจะยังไม่รู้นะครับ" กัปตันทำหน้าไม่แน่ใจ "หรืออาจจะรู้แต่ไม่พูดก็ได้ ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ถึงยังไงผมก็ว่าจะลองคุยกับปาร์ตี้ดู"

"ไม่รออะตอมกลับมาก่อนล่ะ จะได้ไปคุยด้วยกัน" ผมเสนอ ที่จริงถ้าน้องชายผมคิดจะช่วยเพื่อนจริง ผมก็ควรจะไปเป็นเพื่อน แต่อีกใจก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของอินเลย ถ้าให้อะตอมไปเป็นเพื่อนก็น่าจะดีกว่าให้กัปตันไปคนเดียว

"เขาไม่ค่อยชอบอินน่ะครับ คงไม่ช่วยหรอก" กัปตันแย้ง

ผมพยักหน้ารับรู้ช้าๆ เป็นเชิงเห็นด้วย "ก็จริง"

"ไม่เป็นหรอกพี่โดม ปาร์ตี้มันไม่ทำอะไรผมหรอกน่า" กัปตันยืนยัน

"ก็ลองคุยดูละกัน แต่พี่ก็ไม่รู้นะว่าจะช่วยได้แค่ไหน เพราะเขาเริ่มรู้กันเยอะแล้ว ถึงปาร์ตี้ไม่พูด คนอื่นๆ อาจจะพูดก็ได้ จริงไหม"

กัปตันทำท่าคิดตาม ไม่นานก็พยักหน้าเห็นด้วยช้าๆ แต่ผมก็รู้ว่าเขาคงตัดสินใจไปแล้วว่าจะช่วยเพื่อน ถึงจะไม่สามารถช่วยพูดได้ทุกคน แต่ก็ยังดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลย

แล้วผมล่ะ...ไม่คิดจะช่วยอินจริงๆ เหรอ!? ใจดำมากไปหรือเปล่า? ช่างแม่งเหอะ! อย่าไปสนใจมันเลย

"แล้ว...อะตอมกับกัปตัน...ตอนนี้เป็นไง" ผมเปลี่ยนเรื่อง

"พี่โดมหมายถึงอะไรเหรอครับ" กัปตันย้อนถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

เท่านี้ผมก็รู้ว่าตัวเองเกือบพลาดไปแล้ว กัปตันคงยังไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องของเขากับอะตอมมาสักพักแล้ว ก็เลยต้องรีบกลบเกลื่อน "อ๋อ...ไม่มีอะไร พี่แค่อยากรู้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นยังไง โอเคไหม แค่นั้นแหละ"

"อ๋อ..." กัปตันลากเสียง ก่อนตอบสั้นๆ "ก็ดีพี่"

"ก็ดีแล้ว ถ้าเขาช่วยดูแลกัปตันได้เพิ่มอีกคน...พี่ว่าก็ดีนะ อ้อ พี่ได้ข่าวว่า...น้าเล็กก็ไม่ค่อยจ้ำจี้จ้ำไชกับกัปตันแล้วไม่ใช่เหรอตั้งแต่อะตอมมาอยู่ด้วย"

"ครับพี่" กัปตันรับคำสั้นๆ อีกครั้ง สีหน้าดูมีพิรุธโดยที่เจ้าตัวคงไม่ทันรู้ตัวว่าแสดงท่าทางอะไรออกมา ผมอดนึกขำระคนเอ็นดูในใจไม่ได้

"แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจละกัน ดูให้ดีๆ ก่อน เพิ่งรู้จักกันไม่นานเอง ยังมีอะไรที่ยังไม่รู้จักกันอีกเยอะ ของพวกนี้...ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์" ผมถือโอกาสสอนไปในตัว

"ครับพี่" กัปตันยิ้มเฝื่อนๆ

ด้วยความเอ็นดู ผมจึงเอามือลูบหัวกัปตันเบาๆ แต่ไหนๆ วันนี้ผมก็ทำอะไรแปลกๆ มาทั้งวันแล้ว จะพูดให้ฟังดูแปลกๆ อีกหน่อยก็คงจะไม่เป็นไร ว่าแล้วผมก็ทิ้งท้ายคำพูดแปลกๆ ให้กัปตันเอาไปนอนคิดคืนนี้ซะหน่อย

"คนอย่างกัปตันน่ะ ต้องได้เจอคนดีๆ แน่นอน เชื่อพี่"


<<<CAPTAIN>>>

"แล้วมึงมายุ่งอะไรด้วยวะ ไม่ใช่เรื่องของมึงซะหน่อย"

เมื่อผมเข้าเรื่อง คนที่ผมพาหนีออกมาคุยข้างนอกก็ย้อนมาแบบนี้ซะแล้ว จะแปลเป็นอย่างอื่นคงไม่ได้นอกจาก "เสือก" นั่นแหละ

"กูไม่รู้ว่าพวกมึงสองคนเคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือเปล่านะเว้ย อันนั้นกูไม่อยากยุ่งหรอก กูแค่อยากให้มึง...เห็นแก่อนาคตคนๆ หนึ่งได้ไหมวะ ถ้ามึงสองคนไม่ชอบหน้ากัน จะแข่งกันเรื่องเรียน แข่งกันเรื่องชื่อเสียง หรือจะแข่งกันเรื่องอะไรก็ได้ แต่...อย่าทำลายอนาคตกันเลยเว้ย" ผมหน้าด้านพูดอธิบายต่อ วันนี้จะขอยอมเป็นคน "เสือก" สักวันละกัน

ปาร์ตี้แค่นหัวเราะ ไม่รู้ว่าตลกอะไรของมัน ราวกับว่าสิ่งที่ผมพูดไร้สาระมาก

"มึงรู้จักมันดีแค่ไหนวะ" หนุ่มคิวท์บอยแต่หน้าคมเข้มถาม

"ก็เรียนคณะเดียวกัน"

"รู้จักมันกี่ปี"

"ก็เพิ่งรู้จัก" ผมยอมรับไปตรงๆ

"แต่กูรู้จักมันมาหลายปีแล้วเว้ย"

"แล้ว..."

"มึงไม่รู้นิสัยมันเหรอ ถึงมึงจะเพิ่งรู้จักกับมันนะเว้ย แต่กูว่ามึงก็น่าจะเห็นสันดานของมันแล้วมั้ง ปากมันก็ไม่เคยเปลี่ยน ปากหมายังไงก็ปากหมาอย่างงั้น นิสัยมันก็แย่เหมือนเดิม ชอบแย่งของคนอื่น แถมยังทำอะไรทุเรศๆ อีก"

ปาร์ตี้ว่าเพื่อนเก่าซะจนผมไม่รู้จะเถียงแทนยังไง เพราะที่พูดมาก็จริงหลายอย่าง แต่ช่างเถอะ นิสัยอินจะเป็นยังไงก็ช่าง ที่ผ่านมาถึงมันจะทำไม่ดีกับผมไว้เยอะ แต่ผมก็ไม่เคยโกรธจนถึงกับจะทำให้มันเสียอนาคตหรอก

"แต่มันก็เลิกทำแล้วนะเว้ย" ผมแย้งเสียงอ่อยๆ

"ตอนนี้เลิก แต่มึงคิดว่ามันจะเลิกได้ตลอดเหรอวะ เดี๋ยวมันก็แอบทำอีก ไม่งั้นมันก็เลิกนิสัยเลวๆ แบบนี้ไปนานแล้ว คนแบบนี้...มันน่าให้โอกาสเหรอ แค่มันทำตัวแบบนี้ มันก็ไม่สมควรมีอนาคตแล้ว" ปาร์ตี้ย้อนเสียงเข้ม

พูดมาแบบนี้ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่ไม่รู้สิ ลึกๆ ผมก็ยังเชื่อว่าอินจะกลับตัวกลับใจได้ ไม่น่าจะถึงกับเลวจนกู่ไม่กลับ

"แต่ถ้ามันมีเพื่อนดีๆ มันก็น่าจะกลับตัวกลับใจได้นะเว้ย มึงไม่คิดจะให้โอกาสมันอีกสักครั้งหน่อยเหรอวะ" ผมต่อรองหลังนิ่งคิดไปพักใหญ่

"เพื่อนดีๆ ที่ไหนวะ เพื่อนเอาท์ดอร์มันน่ะเหรอ" ปาร์ตี้หัวเราะหยันๆ หน้าหล่อๆ ของมันไร้เสน่ห์ไปโดยปริยายเมื่อทำท่าทางแบบนี้ ออกจะดูน่ากลัวซะด้วยซ้ำ

"ก็เพื่อนที่คณะไง" ผมรีบบอก

ปาร์ตี้หยุดหัวเราะแล้วหรี่ตามองผม ทำท่าเหมือนครุ่นคิดหรือสงสัยบางอย่าง "ถามจริง มึงช่วยมันทำไม เป็นอะไรกับมันเหรอ หรือว่า..."

"ไม่ใช่เว้ย กูไม่ได้เป็นไรกับมันทั้งนั้นแหละ" ผมรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

"ไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วทำไมมึงถึงต้องเดือดร้อนแทนมันด้วยวะ" ปาร์ตี้ยังไม่วายสงสัย

"ก็กูบอกมึงแล้วไง กูแค่ไม่อยากเห็นอินมันเสียอนาคตก็แค่นั้นแหละ" ผมเว้นจังหวะ พยามคิดหาวิธีพูดที่จะทำให้มันยอมฟังผมดีๆ บ้าง โชคดีที่ไม่นานผมก็พอนึกออก จึงรีบพูดต่อก่อนที่มันจะหมดความอดทน

"มึงฟังนะเว้ย ที่จริงกูกับอินน่ะก็ไม่ค่อยถูกกันหรอก นิสัยมันก็เป็นอย่างที่มึงว่านั่นแหละ แต่กูก็ไม่เคยคิดจะแฉมันเรื่องนี้เลยนะเว้ย มึงลองคิดดูสิ วัยรุ่นอย่างพวกเรา ถ้าหมดอนาคตตอนนี้...จะไปทำอะไรได้วะ ถึงจะไม่ชอบหน้ากัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้หรือเปล่าเหอะ ชีวิตคนทั้งชีวิตเลยนะเว้ย"

สงสัยผมคงจะพูดดีแน่ๆ ปาร์ตี้ถึงกับเงียบไปเลย ผมก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือเมื่อนึกขึ้นได้ พี่ซินดี้ให้พักกินข้าวครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ใกล้เวลาจะต้องกลับไปซ้อมแล้ว

"มันทำอะไรมึงเหรอ" หลังเงียบไปสักพักปาร์ตี้ก็ถาม

ที่จริงผมก็ไม่ชอบเล่าเรื่องแบบนี้ของตัวเองให้ใครฟังหรอก ในโลกนี้คงไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาล้อเลียนปมด้อยของตัวเอง แต่ถ้ามันจะช่วยให้ปาร์ตี้เปลี่ยนใจได้ ผมก็จะยอมเล่าให้มันฟังเท่าที่พอจะเล่าได้ เมื่อคิดดีแล้วผมก็ตัดสินใจเล่าให้มันฟังสั้นๆ ในช่วงเวลาห้านาทีที่เหลือ

"เห็นไหม ขนาดคนพิการอย่างมึงมันยังไม่เว้นเลย โคตรเหี้ยเลย" พอฟังจบ ปาร์ตี้ดูเหมือนจะโกรธอินแทนผมไปซะแล้ว

"เออ กูก็โกรธเว้ย แต่กูไม่อยากทำลายอนาคตมัน แล้วถ้ากูขอมึงได้ กูก็อยากให้มึงยกเว้นให้มันสักเรื่องหนึ่ง ได้เปล่าวะ" ผมลองขอร้องปาร์ตี้อีกสักครั้ง

ปาร์ตี้ทำท่าครุ่นคิด แต่สงสัยคงกลัวเสียฟอร์ม ก็เลยไม่รับปากซะทีเดียว "ไม่รู้เว้ย ไปซ้อมต่อเหอะ เขาเรียกแล้ว"

ถึงจะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ผมก็เชื่อว่าปาร์ตี้น่าจะคล้อยตามผมบ้างไม่มากก็น้อย เท่าที่ผมสังเกตุ มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก มันแค่โกรธที่เคยโดนอินแย่งแฟนเท่านั้น คงไม่ถึงกับแค้นจนคิดจะทำลายอินให้หมดอนาคตหรอก

... ... ...

"ดูเพื่อนกัปตันดิ แซ่บไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย"

เมื่อผมโผล่เข้ามาในห้องซ้อม คอปเตอร์ก็วิ่งมาหาผมพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ดู ในแอปเฟสบุ๊คนั้นมีภาพของ "เพื่อนผม" โพสต์ท่าถ่ายแบบริมทะเล เพจเจ้าของแม็กกาซีนออนไลน์เป็นคนเลือกภาพนี้มาโพสต์เรียกน้ำย่อย อะตอมแชร์ต่อเข้าไปในแฟนเพจของตัวเองด้วย

มีคนเข้ามาคอมเมนต์กันอย่างหนาแน่น จำนวนไลค์และคอมเมนต์ขึ้นหลักพันเลยทีเดียว บางคอมเมนต์ก็ตลกปนหื่น บางคนบอกเป็นนัยๆ ว่าจะขอเซฟรูปลงเครื่อง อะตอมก็อุตส่าห์เม้นต์ถามกลับว่าจะเอาไปทำอะไร แถมยังไล่ตอบอีกหลายๆ คอมเมนต์ ส่วนมากก็ออกแนวตลกๆ เพราะคนที่เข้ามาคอมเมนต์ส่วนมากก็เป็นแฟนคลับของอะตอมอยู่แล้ว ถึงแม้อะตอมจะมีแฟนคลับไม่เยอะ เพราะไม่ใช่นายแบบดัง แต่คนที่ติดตามแฟนเพจก็เป็นหลักพัน

"หุ่นอะตอมดีมากเลย เซ็กซี่ด้วย" คอปเตอร์บอกผมด้วยท่าทางเขินๆ

"ก็มันเข้าฟิตเนสแทบทุกวัน" ผมบอก ที่คอนโดผมมีฟิสเนสและสระว่ายน้ำอยู่ อะตอมมักจะหาเวลาไปเล่นบ่อยๆ

ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงกับภาพถ่ายเซ็กซี่ของอะตอม ผมยอมรับว่ามันก็เซ็กซี่ดีอยู่หรอก รอยยิ้มและแววตาขี้เล่นเมื่อไปอยู่บนหุ่นแข็งแรงก็ยิ่งทำให้อะตอมดูมีเสน่ห์ แต่สิ่งที่เด่นสุดในภาพนี้หรือภาพไหนๆ ก็คงไม่พ้น "เป้า" ของมัน เพราะน่าจะเป็นจุดโฟกัสของแทบทุกภาพในแนวนี้อยู่แล้ว

"เราเพิ่งรู้ว่าเขาถ่ายแบบแบบนี้ด้วย ทำมานานแล้วเหรอ"

"อืม" ผมพยักหน้า

"แล้วเขาไม่กลัวเหรอ ที่นี่...เขาไม่น่าสนับสนุนให้นิสิตทำแบบนี้หรือเปล่า"

คำถามของคอปเตอร์ทำเอาผมต้องคิดหนัก นี่คือเรื่องหนึ่งที่ผมก็กังวล ถ้าเกิดนิสิตในมหาลัยพากันแชร์ภาพแบบนี้ของอะตอมออกไปบ่อยๆ ไม่นานก็จะมีเรื่องจนได้ เมื่อกี้ผมพยายามช่วยอินไปแล้ว แล้วอะตอมล่ะ ผมจะช่วยเขายังไงดี

"ก็คงไม่มั้ง" ผมบอกด้วยสีหน้าเครียดๆ

"เราก็ว่างั้น ปีที่แล้วนะ มีนิสิตตุลาคนหนึ่ง เขาไปถ่ายแบบแบบนี้นี่แหละ พอทางนี้รู้เรื่อง เขาก็เลยโดนปลดจากนักเรียนทุน รู้สึกว่าจะลาออกไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วมั้ง ทนแรงกดไม่ไหวหรือไงนี่แหละ กัปตันเคยได้ยินข่าวไหม"

ยิ่งได้ฟังแบบนี้ ผมก็ยิ่งใจคอไม่ดี แต่จะห้ามไม่ให้คนแชร์ออกไปคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้น อะตอมก็ต้องเลิกถ่ายแบบเซ็กซี่แบบนี้เท่านั้น แต่มันจะเอาเงินที่ไหนใช้ ให้ขอทุน กยศ. มันก็ไม่ยอมเพราะไม่อยากจบมาใช้หนี้

"ไม่เคยน่ะ เขาโดนขนาดนั้นเลยเหรอ" ผมถามด้วยสีหน้าหวั่นๆ

"ใช่ น่าสงสารนะ หมดอนาคตไปเลย ระวังเพื่อนของกัปตันจะโดนล่ะ" คอปเตอร์เตือน ก่อนแสดงความคิดเห็นต่อ "แต่จริงๆ ก็ไม่น่าจะอะไรขนาดนั้นนะ สมัยนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว เขาถ่ายกันเยอะแยะ แต่อย่างว่าแหละ ได้ข่าวว่าอธิการคนนี้หัวโบราณไปหน่อย เขารับเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยได้หรอก"

นับว่าเป็นข้อมูลที่น่าหวั่นใจไม่น้อย ยิ่งทำให้ผมเป็นห่วงอนาคตของรูมเมทคนพิเศษมากขึ้น ถ้าอะตอมต้องเจอชะตากรรมเดียวกันกับนิสิตที่คอปเตอร์เพิ่งพูดถึงเมื่อกี้ คงเป็นเรื่องน่าเศร้าไม่น้อย

แต่ก่อนที่ผมจะเครียดไปมากกว่านี้ พี่ซินดี้ก็เรียกพวกเราไปรวมตัวอีกครั้ง ผมจึงต้องวางความกังวลนี้ไว้ชั่วคราวและหันไปสนใจกับการซ้อม

เราเลิกซ้อมประมาณสี่ทุ่มเศษๆ เสร็จจากตรงนี้ปุ๊บ ผมก็ขับรถไปสนามบินดอนเมืองทันที ตั้งใจว่าจะไปรับอะตอมซะหน่อย เขากลับเที่ยวบินสุดท้ายของวันจากสมุย น่าจะมาถึงกรุงเทพราวๆ ห้าทุ่ม

เมื่อผมมาถึงสนามบินดอนเมือง อะตอมก็ส่งไลน์มาบอกว่าเขาออกมารอที่ด้านหน้าแล้ว เมื่อมาถึงสนามบิน ผมก็ตรงดิ่งไปยังประตูหมายเลขตามที่อะตอมบอก ไม่นานก็เห็นมันยืนอยู่ แต่ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ ยืนอยู่ด้วย

ติ๊ง!!!

หมายความว่า...อะตอมไปถ่ายแบบกับติ๊งเหรอ แล้วทำไมไม่เห็นบอกผมสักคำเลย

เมื่อลดกระจกลง ผมก็ได้ยินบทสนทนาของสองคน

"แน่ใจนะว่าไม่ให้รอเป็นเพื่อน" อะตอมถาม

"ไม่เป็นไร อะตอมกลับเหอะ พี่กำลังจะมาถึงแล้ว" ติ๊งบอก เธอหันมาโบกไม้โบกมือและยิ้มให้ผมด้วย

ผมยิ้มตอบอย่างเสียไม่ได้ บอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ช่วยไม่ได้ที่ผมจะนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เกาะเสม็ดอีกครั้ง ก็วันที่ผมเปิดประตูห้องเข้าไปเจอสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเจอนั่นแหละ

แทนที่จะได้ดีใจที่คนที่ผมคิดถึงกลับมาแล้ว ผมกลับต้องมารู้สึกหวาดระแวงแทน ทำไมทำแบบนี้นะอะตอม!!!



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:46:32 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP19 (Part 2)
เมื่อผมหึงเขา



<<<ATOM>>>

"โคตรหิวเลยว่ะ แวะตลาดโชคชัยสี่ได้ไหมวะ กูว่าจะแวะซื้ออะไรกลับไปกินหน่อย มึงกินอะไรยัง" ผมถามหลังจากนั่งรถออกมาจากสนามบินสักพัก

"กินแล้ว แต่ยังไม่ค่อยอิ่มหรอก" กัปตันหันมาตอบ

"เออๆ งั้นแวะหน่อยนะ ถ้ามึงอยากกินอะไรมึงบอกกู เดี๋ยวกูลงไปซื้อให้ มึงไม่ต้องลงหรอก มึงจำได้เปล่าวะที่กูเคยบอกมึงเกี่ยวกับเรื่องชื่อของเราสองคนน่ะ"

"จำไม่ได้เว้ย" กัปตันตอบมาทันทีเหมือนไม่อยากเสียเวลานึก

"ก็ที่กูบอกว่า...กูชื่ออะตอม...เป็นพลังงาน ส่วนมึงชื่อกัปตัน...เป็นทิศทางไง" ผมย้ำเตือนความจำให้

"อ๋อ..." ร้องอ๋อจบกัปตันก็เงียบต่อ ดูแปลกๆ จนผมรู้สึกได้

"นั่นแหละ เพราะฉะนั้น มึงต้องเป็นกัปตันคอยบอกว่าจะกินอะไร เดี๋ยวกูจะเป็นพลังงานลงไปซื้อให้ ดีไหมๆ" ผมพูดให้ฟังดูตลก หัวเราะเบาๆ ไปด้วย

"อืม" กัปตันตอบสั้นๆ อีกแล้ว ถามคำก็ตอบคำ

ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงโชคชัยสี่ เราจอดรถไว้ข้างทาง ผมอาสาเดินไปดูร้านต่างๆ ก่อนจะวิ่งกลับมาบอกกัปตันว่ามีอะไรขายบ้าง เป้าหมายแรกของกัปตันก็ไม่พ้นโจ๊กกองปราบขึ้นชื่อ ใครๆ ก็รู้จัก ที่สำคัญมันไม่เผ็ด กัปตันกินได้

ผมวิ่งไปวิ่งมาอยู่สองสามรอบ เจออะไรน่ากินเพิ่มก็จะวิ่งมาบอกกัปตันที่รถ ไม่ถือวิสาสะคิดเองเออเอง เพราะผมอยากให้กัปตันได้กินทุกอย่างที่เขาอยากกิน ไม่ใช่กินอย่างที่ผมชอบกินหรือคิดว่าเขาน่าจะชอบกิน ดูจะถูกใจกัปตันมากทีเดียว เพราะที่นี่มีของให้เลือกกินหลายอย่าง เป็นที่ฝากท้องยามดึกขึ้นชื่ออีกแห่ง ผมเคยมากินกับพี่เอิร์ธและพี่ฝางสองสามครั้ง แต่กัปตันยังไม่เคยมาที่นี่เลย

เมื่อกลับมาถึงคอนโด ผมก็จัดแจงเอาอาหารใส่จาน นั่งกินกันสองคนจนอิ่มแปล้ มีทั้งของคาวและของหวาน ดูเหมือนกัปตันจะชอบนมเย็นสีชมพูมากเป็นพิเศษ ที่จริงก็ไม่เคยกินหรอก แต่ร้านนี้ทำอร่อย กัปตันก็เลยอยากลอง

"อาบน้ำกันไหม" ผมชวนหลังจากอิ่มแล้ว กัปตันน่าจะรู้ว่าผมชวนเขาทำอะไร

"มึงอาบก่อนเลย" กัปตันปฏิเสธสีหน้าเรียบๆ

"อ้าว ไม่อาบกับกูเหรอ"

"เดี๋ยวอาบทีหลัง ยังอิ่มอยู่เลย มึงอาบเหอะ" กัปตันยืนยันอย่างเดิม

ถึงตอนนี้ก็น่าจะชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมก็เลยไม่เซ้าซี้และขอตัวไปอาบน้ำก่อน ส่วนกัปตันก็นั่งดูทีวีต่อไป

พอผมอาบเสร็จ กัปตันก็ไปอาบน้ำบ้าง ส่วนผมก็นั่งดูทีวีรอไปพลางๆ กัปตันอาบน้ำเสร็จก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงหรอก เพราะมีเรื่องอยากคุยกับกัปตันเยอะเลย โดยเฉพาะเรื่องท่าทางของกัปตันที่แปลกไป ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะเขาเห็นผมกลับมากับติ๊งแน่ๆ เลย

"จะนอนแล้วเหรอวะ" ผมถามเมื่อเห็นกัปตันเข็นรถเข้าไปในห้อง

"อืม" กัปตันตอบสั้นๆ จากนั้นก็เข็นรถหายเข้าไป

ผมมองตามสักพัก จากนั้นก็หันกลับมาดูทีวีตอ แต่ดูไปดูมาก็ชักไม่สนุก ก็เลยปิดและเข้าไปหากัปตันในห้อง เจ้าตัวนอนตะแคงห่มผ้าอยู่บนเตียงแต่ยังไม่หลับ ผมเดินไปยืนข้างๆ เตียง กัปตันแวบหันมามองแป๊บเดียวก็หันกลับไปตามเดิม ผมจึงนั่งลงบนเตียงเบียดพื้นที่นอนของมัน

"เฮ้ย จะนอนแล้วเหรอ"

"อืม ดึกแล้ว" กัปตันตอบโดยไม่หันมามอง

ผมทำหน้ายุ่งยากใจเล็กน้อย สงสัยกัปตันจะงอนผมเข้าให้แล้วแน่ๆ เลย แถมยังเป็นเรื่องอ่อนไหวที่ผมก็ลืมคิดไปซะด้วย

"มึง...เป็นไรหรือเปล่าวะ" ผมกลั้นใจถาม บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกเกร็งไม่น้อย

"เปล่า" เสียงทุ้มตอบมาห้วนๆ

"กูอยากคุยกับมึงน่ะ ไม่ได้เจอตั้งสองวัน คิดถึง"

กัปตันพลิกตัวมามองผม จากนั้นก็ถามเหมือนไม่เต็มใจถาม "จะคุยเรื่องอะไร"

คราวนี้กลับเป็นผมซะเองที่นึกไม่ออกว่าจะคุยอะไร เป็นเพราะผมประหม่าและเกร็งนั่นแหละ จะพูดอะไรก็กลัวกระทบใจกัปตันไปหมด ก็เลยนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร

"ถ้าไม่มีกูจะนอนแล้ว" กัปตันบอกพลางพลิกตัวนอนตะแคงและหันหน้าไปอีกทางตามเดิม

ผมนั่งคิดอยู่พักใหญ่ คราวนี้จึงตัดสินใจพูด "เรื่องกูกับติ๊งน่ะ..."

อยู่ๆ ผมก็ช็อตไปดื้อๆ อีกแล้ว รู้สึกเกร็งและกังวลจนไม่รู้ว่าจะอธิบายให้กัปตันฟังยังไงดี เพราะครั้งที่แล้วผมก็ทำมันเจ็บหนักเลย

กัปตันพลิกตัวนอนหงาย ก่อนสะบัดผ้าห่มออกและลุกขึ้นนั่ง สีหน้าดูเครียดจนผมใจคอไม่ดี

"มึงไปถ่ายแบบกับติ๊ง ทำไมมึงไม่บอกกูสักคำเลยวะ แล้วเนี่ยไปพักโรงแรมเดียวกันหรือเปล่า เรื่องคราวนั้น...กูยังไม่ลืมนะเว้ย ถ้ามึงคิดจะจริงใจกับกูจริงๆ อย่าทำแบบนี้ดิวะ"

เมื่อผมอ้ำๆ อึ้งๆ กัปตันก็เลยพูดซะเอง น่าจะเป็นครั้งแรกที่มันพูดกับผมตรงๆ แบบนี้ ปกติมันมักจะเก็บความรู้สึกและไม่ค่อยพูด ถ้าพูดขึ้นมา แสดงว่ามันคงต้องการสื่อสารให้ผมเข้าใจบางอย่าง

"แต่ว่า...มันไม่มีอะไรเหมือนคราวนั้นนะเว้ย" ผมแย้งด้วยเสียงเหมือนไม่มั่นใจ

กัปตันเอียงคอเล็กน้อย สีหน้ายังคงดูเครียดอยู่ "แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะว่าติ๊งไปด้วย"

"ก็...กูกลัวมึงคิดมากไง"

"คิดมากเรื่องอะไรวะ" กัปตันย้อนถาม สีหน้าบ่งบอกว่าไม่โอเคกับคำอธิบายของผมเลย

"ก็..." ผมพูดไม่ถูกอีกแล้ว เวลากัปตันหึง มันดูน่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

"ว่าไง" กัปตันถามซ้ำ

เมื่อโดนกดดัน ผมก็จำเป็นต้องพูดอะไรสักอย่าง "กูกลัวมึงระแวงกูไง"

"อ้าว แล้วมารู้ทีหลังแบบนี้ มึงคิดว่ากูจะไม่ระแวงเหรอวะ" กัปตันย้อนมาอีกจนได้

ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่ายอมรับผิดแล้วล่ะ สุดท้ายก็เลยพูดเสียงอ่อยๆ "เออ กูยอมรับผิดเว้ยที่กูไม่ได้บอกมึงแต่แรก แต่ว่า...มันไม่มีอะไรจริงๆ นะเว้ย"

"มึงคิดว่ากูเป็นเด็กเหรอ หรือคิดว่าคนพิการอย่างกูเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องถึงไม่ยอมบอกแต่แรก"

ดูเหมือนกัปตันจะไม่ยอมลงง่ายๆ ซะแล้ว ไม่ว่าผมจะอธิบายอะไรไปก็เป็นปัญหาไปหมด

"ไม่ใช่เว้ย กูก็แค่กลัวมึงคิดมากแค่นั้นเอง กูขอโทษละกัน เอาเป็นว่า...ต่อไป...กูจะบอกมึงทุกอย่างเลย โอเคไหม" ผมพูดเหมือนประชดกลายๆ

กัปตันทำเสียงฮัดฮัดฟึดฟัด ก่อนจะทำท่าเหมือนจะลงจากเตียงไปนั่งบนรถวีลแชร์ ผมรีบกอดมันไว้จากข้างหลังและดึงตัวมันไว้

"จะไปไหนวะ"

"ปล่อยนะเว้ย" กัปตันขู่เสียงเข้ม

"ไม่ปล่อยเว้ย คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิวะ" ผมทำเสียงเข้มบ้าง

กัปตันพยายามดิ้น แต่ผมก็กอดมันแน่น มันจึงหยุดและหมุนตัวกลับมาหาผม จ้องหน้าผมเขม็งเลยคราวนี้ หน้าหวานๆ และสายตาบ้องแบ๊วเปลี่ยนเป็นดุจนดูน่ากลัว

"กูไม่ใช่ผู้หญิง อย่ามากอดกูแบบนี้นะเว้ย" กัปตันไม่พูดเปล่า เขาเงื้อหมัดขึ้นเตรียมจะต่อยผมด้วย

"ต่อยเลย" ผมท้าและยื่นหน้าไปให้

"มึงอย่าท้ากูนะเว้ย" กัปตันขู่และทำท่าจะซัดหมัดเข้าใส่ผม

ผมหลับตาลง เตรียมพร้อมรับความเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่จะว่าไปผมก็ไม่เข้าใจกัปตันเลย ทำไมมันถึงไม่ฟังผม แถมไม่มีทีท่าว่าจะหายโกรธง่ายๆ ด้วย หรือว่าผมไปสะกิดแผลเก่าหรือปมในใจของมันเข้าให้แล้ว แล้วมันคืออะไรล่ะ ผมอยากรู้จริงๆ

"ต่อยดิ" ผมท้าอีก

ผมรู้สึกได้ว่าตัวของกัปตันสั่นๆ มันคงโกรธผมจนเกินระงับอารมณ์เอาไว้ได้แล้ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ปากด้านซ้ายของผมก็โดนกระแทกอย่างแรง

ผั่วะ!!!

น่าจะเป็นหมัดของกัปตันนั่นแหละ ตอนแรกผมก็ไม่รู้สึกเจ็บมากหรอก เพราะความชาเริ่มขึ้นก่อน แต่สักพักความเจ็บแปลบก็มาแทนที่ เมื่อผมลืมตาขึ้น ผมก็เห็นสีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไป

"มึงเจ็บหรือเปล่าวะ" กัปตันถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ดูมันตกใจมากทีเดียวเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

ผมไม่ตอบ แต่พยายามยิ้มให้

"มึงท้ากูทำไมวะ" ถึงจะพูดแบบนั้น แต่กัปตันก็ไม่ได้โทษผมหรอก เพราะความสงสารฉายชัดขึ้นในแววตาคู่นั้นที่เริ่มกลับมาบ้องแบ๊วเหมือนเดิมแล้ว

"รอแป๊บนึง เดี๋ยวกูไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้"

กัปตันบอกเสร็จก็รีบลงจากเตียงไปนั่งบนรถวีลแชร์ ไม่นานก็เข็นออกไป คราวนี้ผมไม่ห้ามแล้ว แค่เห็นมันเป็นห่วงผม ผมก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก

ไม่นานกัปตันก็กลับมาพร้อมกับผ้าขาวๆ ซึ่งห่อและมัดน้ำแข็งไว้ข้างใน น่าจะเอามาจากช่องฟรีซนั่นแหละ มันรีบขึ้นมานั่งบนเตียงกับผม ก่อนรีบเอาผ้าห่อน้ำแข็งประคบปากผมตรงที่โดนต่อยเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลเพิ่ม พอผมเริ่มรู้สึกชาๆ มันก็เอาออก ก่อนจะประคบให้ใหม่ ผมอดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ถึงเจ็บปากแต่ก็รู้สึกว่าคุ้มไม่น้อย

"มึงรู้ไหมว่าทำไมกูถึงชอบมึง" ผมเกริ่นถาม

แววตาของกัปตันกระตุกเล็กน้อย สีหน้าบ่งบอกว่ามีคำถามแต่ก็ไม่ถามเป็นคำพูด ไม่นานผมก็เฉลยเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายรอฟังคำตอบอยู่

"กูนะ...รู้สึกเหมือนไม่มีใครรักเลยตั้งแต่แม่ทิ้งกูไป ตอนนั้นพ่อกูก็แย่ กูแทบจะพึ่งอะไรเขาไม่ได้เลย กูถามตัวเองบ่อยๆ ว่าแม่กูเขาไม่รักกูเลยเหรอ ทำไมเขาเลือกทิ้งกูไป" ผมหยุดเว้นจังหวะ นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากร้องไห้

"หลังจากนั้น กูยอมรับนะเว้ยว่ากูกลายเป็นคนเจ้าชู้ไปเลย เจอผู้หญิงคนไหน...กูก็อยากมีความสัมพันธ์ด้วย กูอยากให้ใครก็ได้รักกู จนกูมาเจออั้ม ตอนนั้น...กูชอบเขามากเลยนะเว้ย กูอยากได้ความรักจากผู้หญิงคนนี้ อยากได้มากๆ แต่สุดท้าย...มันก็ไม่เป็นอย่างที่กูคิด" ผมหยุดเว้นจังหวะอีก กัปตันหยุดประคบและวางมือลง

"แต่พอกูมาเจอมึงนะเว้ย กูก็รู้สึกว่า...กูน่าจะได้เจอสิ่งที่กูต้องการแล้ว จำวันแรกที่มึงกับกูเจอกันได้ไหม กูช่วยพามึงขึ้นบันได แล้วกูก็ได้เห็นสายตาของมึงที่มองกูมา มันมีแต่ความรู้สึกขอบคุณ ไม่เคยมีใครมองกูแบบนี้เลยนะเว้ย นี่แหละ...ที่กูอยากได้ กูแค่อยากได้ความรักจากใครสักคน"

ผมเล่าเสียยืดยาว แต่กัปตันก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เมื่อผมเล่าจบ เขาก็พูดบ้าง

"มึงจะมาอะไรกับคนพิการอย่างกูขนาดนี้วะ" กัปตันพูดลบกับตัวเองอีกแล้ว แต่น้ำเสียงที่พูดก็ดูอ่อนไปมาก

"อย่ามาพูดเลย พิการอย่างมึงนี่แหละตัวดี ไม่รู้ตัวเหรอว่าเป็นคนน่ารัก ไปไหนใครเขาก็มอง ไม่ได้มองแค่ว่ามึงใช้วีลแชร์นะเว้ย แต่เขามองเพราะมึงโคตรน่ารักเลย แล้วถ้าใครได้คุยกับมึง เขาก็จะชอบมึงมากขึ้นไปอีก กูแอบถามมาหลายคนแล้ว เขาบอกกูมาแบบนี้"

กัปตันอึ้งไปเลย คราวนี้คงไม่รู้จะเถียงอะไรอีก

"ขอบคุณนะเว้ยที่มึงให้ความรู้สึกดีๆ แบบนี้กับกูมา" เมื่อกัปตันเงียบ ผมก็เลยพูดต่อเสียเอง

แน่นอนว่าผมไม่ได้แค่พูดเพื่อเอาใจ เพราะที่ผมมีที่ดีๆ แบบนี้ซุกหัวนอน มีรถดีๆ ไปไหนมาไหน มีคนห่วงใยและคอยเป็นเพื่อน มีความรักให้กอดเคล้าคลอเคลียยามที่โหยหา ผมได้ทั้งหมดนี้มาจากกัปตันนี่แหละ ไม่มีคนที่เพิ่งรู้จักกันที่ไหนให้สิ่งที่ดีกับผมขนาดนี้ได้หรอก ถ้าเขาไม่รู้สึกดีกับผม อาจจะดูเหมือนคิดไปเอง แต่ผมก็รู้ว่าใช่

ถึงแม้ที่ผ่านมากัปตันยังไม่เคยบอกว่ารักผม แต่ผมก็รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยจากผู้ชายคนนี้ที่ส่งมาให้ผมทางสายตา สายตาขอบคุณของเขาติดอยู่ในหัวใจของผมเสมอ เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีค่ากับใครสักคน ไม่ใช่แค่เกิดมาเพื่อผลาญทรัพยากรโลกนี้ไปวันๆ 

รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของกัปตัน จากบางก็เริ่มชัด ในที่สุดก็เป็นรอยยิ้มสดใส ส่งมาให้ผมพร้อมกับสายตาขอบคุณที่เจ้าตัวแสดงออกบ่อยครั้งเวลาอยู่กับผม

"เมื่อกี้ กูขอโทษนะเว้ย" กัปตันบอกผมเบาๆ

"แค่นี้พอเหรอ" ผมย้อนถามให้กัปตันงงเล่น

"แล้วมึงจะให้กูทำอะไรอีกวะ ให้กูกราบมึงหรือไง" กัปตันแกล้งประชด

ผมเอียงแก้มข้างที่เจ็บให้เล็กน้อย คิดว่ากัปตันคงจะเดาได้ว่าผมต้องการให้เขาทำอะไร แต่เขาก็ลังเลอยู่นาน กว่าจะยอมขอโทษด้วยการหอมลงไปบนแก้มข้างที่เจ็บของผมเบาๆ นี่แหละยาวิเศษที่จะทำให้ผมหายเจ็บได้เร็วกว่าอะไรทั้งหมด

"น่ารักจัง" ผมเอ่ยปากชม กัปตันเขินจนหน้าแดงไปถึงใบหูเลย

"ปากมึงจะบวมหรือเปล่าวะพรุ่งนี้" กัปตันเปลี่ยนเรื่องเพื่อแก้เขิน

"ก็น่าจะบวมนะ"

"แล้วมึงจะบอกเพื่อนๆ ว่าไงวะ" กัปตันทำหน้ากังวล

"ก็...บอกว่าโดนแฟนต่อยไง" ผมตอบหน้าตาเฉย

"ใครแฟนมึง" กัปตันเถียงเป็นพัลวัน

ผมนึกเอ็นดูจนอดยิ้มและขำเบาๆ ไม่ได้

"ก็...คนที่หึงกู...แล้วก็ต่อยกูจนปากเจ่อไง"



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:46:44 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เหอๆ  กัปตันหึงแรงมากกกก

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดมากไป คิดแทนกัน
บางทีแย่กว่าบอกความจริงไปเลย
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
อย่างน้อยก็พูดความจริงไม่ปิดบังกัน ไม่ต้องระแวง
ปิดบังกันก็เป็นการโกหก ยิ่งเคยเกิดอะไรๆไม่ดีกับติ๊งมาแล้ว
อะตอมพูดทุกอย่างไปเลย  ก็เป็นการไว้วางใจ ปรึกษากันนั่นเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
   


ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขัดใจอะตอมตรงที่อธิบายด้วยน้ำเสียงไม่ชัดเจน ประชดกัปตันด้วยนี่ละ ไปคิดแทนเค้าทำไมว้าา ทีหลังก็บอกสิถ้าอยากจริงใจงะ ก็รู้อยู่เค้าโดนไรมาบ้าง โดนต่อยอะสมน้ำหน้าละอะตอม

ปล. คอปนี่แปลกๆนางชอบอะตอมปะนิ  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP20
คิวท์บอยผู้น่าสงสาร



<<<ATOM>>>

ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดบริเวณหน้าหอประชุมซึ่งเป็นที่จัดงานประกวดคิวท์บอย ที่จริงก็คงไม่น่ามีอะไรน่าสนใจหรอก แต่พอเห็นหญิงสาวหน้าคุ้นๆ ลงจากรถ ผมก็หยุดยืนมอง หญิงสาวโบกมือบ๊ายบายชายหนุ่มซึ่งอยู่ในรถตรงที่นั่งคนขับ ดูจากรถที่ขับแล้วก็น่าจะบ่งบอกฐานะได้ว่าไม่ใช่ลูกคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างผมแน่นอน

รถคันงามแล่นออกไปแล้ว หญิงสาวจึงเดินขึ้นบันไดมา เมื่อเธอเจอผมก็หยุดชะงัก ก่อนเดินขึ้นหาผมและส่งยิ้มหวานมาให้

"เพิ่งมาเหรอ" ผมถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ

"ใช่ พอดีอั้มติดธุระที่บ้าน น้าเขาแวะมาเยี่ยมตอนเช้า เขาอยากเจออั้ม ไม่ได้เจอกันนานแล้ว อั้มก็เลยอยู่รอ" เสียงหวานใสตอบมา ก่อนขมวดคิ้วสงสัย "ปากอะตอมไปโดนอะไรมาน่ะ"

นั่นไง! แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะว่าวันนี้ผมโดนถามเรื่องปากเจ่อทั้งวันเลย ผมเอามือลูบปากข้างที่โดนกัปตันต่อยแล้วจึงตอบคำถาม

"มีอุบัติเหตในฟิตเนสนิดหน่อยเมื่อเช้า แต่ไม่เป็นไรมากหรอก" ผมบอกอั้มเหมือนกับที่บอกเพื่อนๆ และรุ่นพี่ที่เข้ามาถาม จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเรื่อง "เมื่อกี้ใครมาส่งเหรอ"

คราวนี้คนถูกถามยิ้มเขินๆ แก้มใสแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เท่านี้ผมก็พอจะเดาคำตอบได้ไม่ยาก

"คนใหม่เหรอ" ผมยิ้มเหมือนรู้ทัน

อั้มพยักหน้าแทนคำตอบ

"คบกันนานยัง"

"ก็...เกือบอาทิตย์แล้ว"

"ยินดีด้วยนะ เขาดูเหมาะกับอั้มดีนะ ไม่เหมือนอะตอมเลย"

สีหน้าของอั้มเจื่อนลงเล็กน้อย คงสะดุดใจคำพูดเมื่อกี้ของผมนั่นแหละ

"ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ น้อยใจเหรอ"

"เปล่า ไม่ได้น้อยใจ จะน้อยใจทำไม เรื่องมันผ่านมาแล้ว" ผมรีบปฏิเสธ จะว่าไปก็แปลกดี เมื่อเดือนที่แล้ว ผมกับผู้หญิงคนนี้ยังเป็นแฟนกันอยู่เลย แต่วันนี้เรากลับมายืนคุยกันตรงนี้ในฐานะเพื่อน

"แล้วอะตอมล่ะ มีใครหรือยัง" อั้มถามกลับ

ผมย่นคิ้วและเม้มปาก ก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มและขำเบาๆ "แล้วอั้มเห็นอะตอมอยู่กับใครเป็นพิเศษไหมล่ะ ที่มหาลัย ในเฟส หรือว่า...ในไอจี"

อั้มทำท่าครุ่นคิด "อืม...ก็ไม่เห็นนะ แต่เท่าที่เห็น...รู้สึกจะเห็นลงรูปกับกัปตันบ่อยๆ สรุปว่า...ยังไม่มีเหรอ หรือว่ายังไม่เจอคนถูกใจ"

"เจอแล้ว" ผมบอกยิ้มๆ

คิ้วโก่งยกสูงขึ้นพร้อมกับแววตาประหลาดใจ ก่อนรีบถามด้วยความอยากรู้และตื่นเต้น "ใครเหรอ บอกอั้มได้เปล่า"

"แล้วอั้มเห็นอะตอมอยู่กับใครบ่อยที่สุดล่ะ" ผมยังไม่เฉลยทันที

"อืม...ก็เห็นมีแต่เพื่อนๆ น่ะ ไม่เห็นสาวๆ เท่าไหร่เลย"

"กัปตันไง" ผมบอกโดยไม่รีรอ

"อะไรนะ กัปตันเหรอ!" อั้มเผลอร้องถามผมซะเสียงดัง จนผมต้องรีบเอามือจุ๊ปาก

"เบาๆ ดิ"

"ขอโทษๆ" อั้มหันไปมองรอบๆ อย่างเขินๆ ก่อนหันมากระซิบกระซาบ "อะตอมพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย"

"พูดจริงดิ เรื่องนี้...พูดเล่นๆ ได้ที่ไหน" ผมยืนยัน

"แต่ว่า...กัปตันเป็นผู้ชายนะ แล้วก็..." อั้มเหมือนไม่อยากพูดคำๆ นั้นออกมา

"ใช่ กัปตันเป็นผู้ชาย...แล้วก็พิการด้วย แต่อะตอมก็ชอบเขา ชอบมากๆ ด้วย กัปตันเขาเป็นคนน่ารัก นิสัยดี ที่สำคัญ...เขาเข้าใจอะไรง่าย"

สีหน้าของอั้มดูอิหลักอิเหลื่อจนผมรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนใจของอีกฝ่าย ไม่นานจึงนึกได้ว่าที่พูดไปเมื่อกี้คงกระทบคนตรงหน้าเข้าให้แล้ว เพราะที่ผมกับอั้มเลิกกันไปก็เกิดจากความไม่เข้าใจกันในหลายๆ เรื่องนี่แหละ

"อ๋อ...แล้ว...เป็นแฟนกันแล้วเหรอ" อั้มทำสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ

แน่นอนว่าใครหลายคนคงไม่เชื่อ ในสายตาคนทั่วไป มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ผมกับกัปตันจะคบกัน หนึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ สองกัปตันเป็นคนพิการ แม้สังคมปัจจุบันจะเปิดกว้างเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเปิดกว้างรวมถึงคนพิการกับไม่พิการด้วยหรือเปล่า แถมยังมีเรื่องเพศวิถีเข้ามาเกี่ยวข้องอีก แต่ช่างเถอะ ความรักไม่เลือกหรอกว่าจะเกิดกับใคร ผมเชื่อว่าฟ้าดินคงมีเหตุผลที่พาผมมาเจอกัปตันในวันนี้

"ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ที่จริงก็...ยังไม่ได้บอกใครเลยนะเนี่ย มีอั้มนี่แหละที่รู้เป็นคนแรก"

"แต่ถ้าบอกอั้มแล้ว แสดงว่าก็ต้องมีแผนจะบอกคนอื่นด้วย...จริงไหม"

ผมพยักหน้ายอมรับ "ใช่"

"กังวลเหรอ" อั้มถามเหมือนรู้ทัน ก็คงใช่ เธอเป็นแฟนกับผมมาหลายปี มีหรือจะดูสีหน้าท่าทางคนรักเก่าไม่ออก

"ก็นิดหน่อย" ผมยอมรับ

"มีอะไรให้อั้มช่วยไหมล่ะ"

ผมทำท่าครุ่นคิด "ตอนนี้ยัง ถ้ามีแล้วจะบอกนะ"

"ได้เลย อั้มยินดีช่วยนะ"

ผมยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ "แล้ว...อั้มไม่แปลกใจเหรอ"

ริมฝีปากสวยเม้มเข้าหากันเหมือนกำลังครุ่นคิด ไม่นานก็ยิ้ม "ก็แปลกใจอยู่ แต่...สมัยนี้มันก็น่าจะโอเคแล้วมั้ง"

"ก็หวังว่าอย่างนั้น" ผมยิ้มแปร่งๆ จะว่าไปผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าผมเปิดตัวว่าเป็นแฟนกัปตัน เพื่อนๆ และสังคมจะรับได้มากน้อยแค่ไหน เผลอๆ คนจะหาว่าผมมาหลอกกัปตันก็ได้ เพราะแม้กระทั่งเรื่องที่ผมพักอยู่กับกัปตัน เพื่อนๆ บางคนก็เอาไปพูดในทำนองว่าผมเอาเปรียบและหลอกใช้คนพิการไปแล้ว

"เข้าไปข้างในกันดีกว่า" ผมเปลี่ยนเรื่อง ก่อนสาวเท้าเดินนำไปช้าๆ

"มาช่วยกัปตันเตรียมตัวเหรอ" อั้มถามพลางก้าวขาออกเดินคู่ไปกับผม

"ใช่ วันนี้นัดพี่สไตลิสต์ที่รู้จักกันมาด้วย ว่าจะให้เขามาช่วยดูเรื่องการแต่งตัวกับทรงผมให้กัปตันหน่อย"

"อ๋อ...ดีเลย จริงๆ กัปตันเขาก็หล่อนะ น่ารักด้วย เพื่อนอั้มยังชอบเลย ไปกดไลค์รูปในเพจคิวท์บอยให้ด้วย เขาเก่งนะ เป็นอย่างนี้แล้วยังไม่ยอมแพ้อีก"

ผมก็เกือบจะปลื้มใจแล้วที่อั้มชมว่าที่แฟนผม แต่ก็แอบสะดุ้งกับคำว่า "เป็นอย่างนี้แล้วยัง..." เล็กน้อย

"ใช่ กัปตันเขาเก่งมาก ขับรถก็ได้ เรียนก็เก่ง อัธยาศัยก็ดี เพื่อนๆ ในคณะชอบเขาเยอะนะ รุ่นพี่ก็เอ็นดูเขา อาจารย์ที่สอนก็ชอบเขา" ผมยิ้มด้วยแววตาชื่นชมและภูมิใจ พอได้บอกใครสักคนว่ากัปตันเป็นแฟนผม ผมก็อยากอวดและอยากชมแฟนตัวเองให้คนอื่นฟังบ้าง

"แหม...อะไรเนี่ย ชมแฟนใหม่ให้แฟนเก่าฟังซะงั้น" อั้มแซวทีเล่นทีจริง ผมจึงได้แต่หัวเราะแหะๆ

ไม่นานเราก็เข้ามาอยู่ในหอประชุมใหญ่ของคณะนิเทศศาสตร์ ตอนนี้ดูค่อนข้างวุ่นวายสับสนพอสมควร เพราะกำลังมีการจัดเวทีประกวด นักศึกษาเดินว่อนกันไปมา ต่างก็ขะมักเขม้นช่วยกันจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการจัดงานคืนนี้ ส่วนเหล่าบรรดาคิวท์บอยอยู่ด้านหลังเวที ตอนนี้กำลังซ้อมคิว อีกสักพักก็จะเริ่มแต่งหน้าและแต่งตัวกันแล้ว

ผมแยกกับอั้มและปล่อยให้เธอไปทำงานของเธอ ส่วนผมก็ขอตัวมาหากัปตันที่ห้องแต่งตัวหลังเวที ทันทีที่กัปตันเจอผม เขาก็ยิ้มดีใจและร้องเรียก

"อะตอม กูกำลังรอมึงพอดีเลย"

"มีอะไร" ผมถามพลางเดินเข้าไปหา ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนี้แล้ว สีหน้าผมก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบ มีแต่คนที่กำลังมีความรักเท่านั้นถึงจะดูออก

"กูปวดฉี่ พากูไปหน่อย" กัปตันบอกพลางนิ่วหน้า

"โอเคๆ" ผมรีบบอก มองอีกคนด้วยความรู้สึกเห็นใจ

เช้านี้กัปตันไม่ได้เข้าเรียนเพราะต้องมาเตรียมตัวที่นี่ ผมจึงขอสลับมาเรียนแทน จะได้เก็บชีทไว้ให้กัปตันด้วย เรียนเสร็จก็รีบกินข้าวแล้วมาที่นี่เลย นอกจากเรื่องที่จะพาพี่สไตลิสต์มาหากัปตันแล้ว ส่วนหนึ่งผมก็จะมาดูแลเรื่องการเข้าห้องน้ำห้องท่านี่แหละ เพราะห้องน้ำด้านหลังเวทีค่อนข้างแคบ รถเข็นเข้าไม่ได้ แถมยังมีบันไดก่อนลงไปห้องน้ำอีกด้วย

"เดี๋ยวเราไปด้วย" คอปเตอร์ซึ่งนั่งอยู่กับอะตอมวิ่งตามผมมา

เมื่อมาถึงทางลงห้องน้ำ ผมก็ให้กัปตันขี่หลังและพาเดินลงไปเข้าห้องน้ำซึ่งมีบันไดสามขั้น ส่วนคอปเตอร์ยืนเฝ้ารถเข็นไว้ให้

"มึงอั้นฉี่เหรอ" ผมถามขณะพากัปตันเดินลงไป

"เออดิ" กัปตันยอมรับตามตรง

"ไม่ดีนะเว้ย เดี๋ยวกระเพาะปัสสาวะอักเสบนะมึง" ผมเตือนด้วยความเป็นห่วง

"กูไม่อยากรบกวนคนอื่นเว้ย รบกวนบ่อยๆ เดี๋ยวเขาจะบ่น"

"เออๆ กูเข้าใจ" ผมพูดเหมือนปลง แต่ในใจไพล่คิดไปถึงเรื่องชมรมที่ผมกับอาจารย์วิวกำลังจะก่อตั้งขึ้นมา ผมควรจะเริ่มให้เร็วที่สุด มีหลายอย่างที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำและทางลาดที่จะให้คนใช้รถวีลแชร์เข้าได้ ไม่งั้นชีวิตนักศึกษาของกัปตันจะลำบากกว่าที่ควรจะเป็น

ผมพากัปตันมายืนข้างโถฉี่ จากนั้นก็ย่อตัวลงให้กัปตันลงไปยืนบนพื้น เขาพอยืนได้บ้าง แต่ต้องมีคนช่วยจับหรือมีที่ให้จับ ถ้าโถฉี่ที่นี่มีราวจับเหมือนกับในห้างบางห้าง ก็น่าจะช่วยได้เยอะเลย แต่ที่นี่ก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแม้แต่อย่างเดียวให้ ผมจึงต้องทำหน้าที่แทนราวจับด้วยการยืนข้างหลังและสอดมือจับใต้รักแร้ของกัปตันไว้

"ยังเจ็บปากอยู่หรือเปล่า" กัปตันถามขณะรูดซิป ไม่นานก็มีเสียงฉี่กระทบผนังเซรามิค แสดงว่าเจ้าตัวได้ปลดปล่อยความอัดอั้นจากท้องน้อยบ้างแล้ว

"ไม่เจ็บมากหรอก แค่นี้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก"

"มีคนถามมึงเปล่าว่าเป็นไร"

"โห...ถามทั้งวันเลย กูขี้เกียจจะตอบแล้ว"

"แล้วมึงตอบว่าไง" กัปตันอยากรู้

"ก็ตอบว่า...โดนแฟนต่อยไง" ผมแกล้งแหย่

"เฮ้ย จริงเหรอ มึงบอกเพื่อนๆ อย่างงั้นจริงเหรอวะ" น้ำเสียงของกัปตันฟังดูเหมือนตกใจ

"เปล่าๆๆ พูดเล่นๆๆ"

"อ้าว แล้วมึงตอบว่าไง"

"ไม่มีอะไร ก็แค่ตอบว่ามีอุบัตเหตุในฟิตเนสนิดหน่อย"

"อ้อ"

"แต่ถ้าเมื่อไหร่มึงอยากให้กูตอบว่าโดนแฟนต่อย มึงบอกกูนะ กูพร้อมจะบอกทุกเวลาเลย" ผมพูดทีเล่นทีจริง

"เชี่ย" กัปตันสบถ ถ้าไม่พูดต่อความ ก็แสดงว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้แน่ๆ เลย

"ฉี่นานนะมึง" ผมแซว

"ก็กูอั้นนานนี่หว่า"

"เออๆ ฉี่ไปเหอะ อย่าลืมสะบัดด้วยล่ะ" ผมแหย่

"เออ รู้แล้วเว้ย เรื่องนั้นไม่ต้องบอกกูหรอก" กัปตันหัวเราะเบาๆ

เมื่อกัปตันฉี่เสร็จ ผมก็พยุงเขาไปที่อ่างล้างมือ ขณะที่กัปตันล้างมือผมก็หากระดาษทิชชู่มาเตรียมไว้ให้ พอกัปตันล้างมือเสร็จผมก็ส่งให้เขาเช็ดมือให้แห้ง

กัปตันพ่นลมหายใจ ก่อนยิ้มมีความสุข "ค่อยยังชั่วหน่อย"

"เห็นยังว่าถ้ามึงมีกูอยู่ด้วยมันดีแค่ไหน"

"เออ" กัปตันตอบสั้นๆ

ผมรับเอากระดาษทิชชู่จากมือกัปตันไปทิ้งถังขยะให้ ก่อนกลับมายืนข้างๆ ให้กัปตันขี่หลัง จากนั้นก็พาเดินขึ้นบันไดหน้าห้องน้ำ คอปเตอร์ยังคงยืนรออยู่และเฝ้ารถวีลแชร์ให้อยู่โดยไม่ไปไหน เขามองดูผมกับกัปตันด้วยสีหน้าแปลกๆ พอกัปตันนั่งลงบนรถวีลแชร์ได้ คอปเตอร์ก็พูด

"คุยกันเหมือนเป็นแฟนกันเลย"

ผมกับกัปตันมองหน้ากันแทบจะทันที สีหน้ายากจะบอกว่ารู้สึกยังไงกันแน่ ส่วนตัวผมโอเคอยู่แล้วถ้าใครจะเข้าใจไปในทางนี้ แต่กัปตันนี่สิ ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาจะโอเคหรือเปล่า

"เออๆ รีบไปเหอะ" ผมตัดบท ก่อนพากัปตันเข็นออกไป หลบหนีออกจากบรรยากาศคลุมเครือที่ไม่เป็นผลดีกับเราสองคนเท่าไรนัก

เมื่อกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาหาเราสามคน หน้าตาท่าทางเหมือนมีเรื่องบางอย่าง มาถึงเขาก็ยื่นมือถือให้ดู

"เฮ้ยกัปตัน มึงดูเฟสหรือยัง รูปมึงหายเว้ย เนี่ย ดูดิ"

กัปตันรับมาดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว "เฮ้ย จริงเหรอปาร์ตี้"

"กูไม่รู้เว้ย แต่ตอนนี้มันไม่มี กูเช็คหลายรอบแล้ว" ผู้ชายที่ชื่อปาร์ตี้พูด ไม่รู้ว่าสนิทหรือรู้จักกัปตันตั้งแต่ตอนไหน

"รูปอะไรหายวะ" ผมสงสัย

"ก็รูปที่ถ่ายวันที่ไปสมัครคิวท์บอยไง เขาเอาขึ้นในแฟนเพจให้คนมากดไลค์ แล้วก็จะเอาคะแนนไลค์มาใช้ในการตัดสินคืนนี้ด้วย" กัปตันหันมาบอก

"มึงได้ไลค์เยอะเปล่า" ผมสงสัย

"ก็หลายพันน่ะ ได้อันดับห้าด้วย ถ้าหายไป...มันจะมีผลต่อคะแนนเยอะเลยนะเว้ย" ปาร์ตี้บอก

เมื่อเข้าใจเรื่องราวดีแล้ว ผมก็เริ่มสงสัย "แล้วใครดูแลเพจ ไปถามเขาก่อนดีไหมว่ารูปหายไปไหน"

"พี่ปริมกับพี่สาไง" กัปตันบอกมา

"อ๋อ พี่สองคนนั้นที่เขาไม่อยากให้มึงสมัครคิวท์บอยใช่ไหม" ผมหันมาถามกัปตัน ขมวดคิ้วคล้ายกับสงสัยบางอย่าง ผมมีความรู้สึกว่าพี่สองคนนี้ดูไม่ค่อยชอบกัปตันเลย

"ใช่"

"โอเค เดี๋ยวกูจะไปถามพี่เขาให้ มึงรออยู่นี่แหละ"


<<<ATOM>>>

ผมไม่เคยรู้สึกโกรธใครหรืออะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย แต่ก็พยายามระงับอารมณ์ไว้ แม้จะยังไม่รู้ความจริง แต่ผมก็ปักใจเชื่อไปมากกว่าครึ่งแล้วว่าเรื่องนี้เกิดจากความจงใจ ไม่ใช่เพราะความบังเอิญแน่นอน ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนที่มีการศึกษาดีๆ จะมีความคิดที่คับแคบอย่างนี้ไปได้

"อั้ม เห็นพี่ปริมกับพี่สาไหม"

คนแรกที่ผมเข้าไปถามก็คือคนรักเก่าของผม เธอกำลังช่วยเพื่อนๆ ดูความเรียบร้อยของเวทีอยู่พอดี อั้มหยุดสิ่งที่ทำอยู่ พอเห็นสีหน้าท่าทางของผมแล้วเธอก็คงจะรู้สึกได้ว่าน่าจะมีเรื่องบางอย่าง

"ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาน่ะ แต่เดี๋ยวก็มาแล้วมั้ง"

"อั้มพอมีเวลาหน่อยไหม ขอคุยด้วยหน่อย" ผมเอ่ยปากร้องขอ เพราะรู้ว่าเธอก็คงยุ่งๆ

อั้มหันไปมองเพื่อนๆ คล้ายกับจะขออนุญาต พอเห็นเพื่อนพยักพเพยิดเป็นเชิงตกลง เธอก็เดินตามผมมา เรานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งในหอประชุม ผมรีบหยิบมือถือออกมา เข้าไปที่เพจตุลาคิวท์บอย ก่อนไปที่อัลบั้มรูปสำหรับผู้ประกวดปีนี้ จากนั้นจึงส่งให้อั้มดู

"รูปของกัปตันหายไปน่ะ"

เมื่อรู้เรื่อง อั้มก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ "เฮ้ย จริงเหรอ เมื่อวานอั้มเช็คยอดไลค์ของคนเข้าประกวดทั้งหมด ก็ยังเห็นรูปกัปตันอยู่เลยนะ ไม่น่าหายหรอก"

พูดจบอั้มก็หยิบมือถือผมไป ก่อนเลื่อนดูรูปในอัลบั้มนั้นสองสามรอบ แต่ก็ไม่มีรูปของกัปตันแม้แต่รูปเดียว

"ไม่มีจริงๆ ด้วย ทำไงดี" อั้มทำหน้ากังวลขณะส่งมือถือคืนให้ผม

"พี่สองคนนั้น...เขาไม่ชอบกัปตันใช่ไหม" ผมถามเสียงเข้ม

สีหน้าของอั้มเจื่อนลง ผมเดาว่าเธอน่าจะพอดูรุ่นพี่สองคนของเธอออกอยู่บ้าง "ก็...น่าจะอย่างนั้น พี่ปริมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เขาก็ดูโอเคกับกัปตันอยู่นะ แต่รู้สึกว่าพี่สาเขามีอะไรกังวลกับกัปตันหลายอย่างน่ะ อย่าบอกนะว่าอะตอมสงสัย..." อั้มกลืนเสียงลงคอ

ผมย่นคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด "ก็เขาเป็นแอดมินเพจไม่ใช่เหรอ"

"ก็ใช่ แต่ว่า...รอพี่เขากลับมาก่อนแล้วค่อยถามดีกว่านะ ตอนนี้...อะตอมอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลย บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ นั่นไง พี่เขามาพอดีเลย"

ผมหันไปตามที่อั้มมอง พี่ปริมกับพี่สาเดินเข้ามากับเพื่อนๆ ชายหญิงหลายคน แต่ละคนถือของพะรุงพะรังกันมาด้วย ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากรู้หรอก

เมื่อเห็นคนที่หมายแล้ว ผมก็ไม่รอช้า รีบลุกเดินตรงไปหาทันที อั้มเดินแกมวิ่งตามผมมาด้วยเพราะผมเดินเร็วจี๋ แค่ผมปรากฎกายขึ้นตรงหน้า พี่สองคนนั้นก็ดูตกใจไม่น้อย

"ผมขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหมครับ"

"พี่สองคนเหรอ" พี่ปริมทำหน้างงๆ

"ใช่ครับ"

"ตอนนี้พี่ไม่สะดวกน่ะ ต้องเตรียมอะไรอีกหลายอย่างเลย เอาไว้คุยวันหลังได้ไหม" พี่ปริมต่อรอง

"ไม่ได้ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องคุยเดี๋ยวนี้ครับ" ผมบอกเสียงเข้ม มีคนบอกว่าเวลาผมโกรธ สายตาผมจะดูดุมาก ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะพี่สองคนทำท่ากลัวๆ ผม

"เรื่องอะไรเหรอ" พี่ปริมขมวดคิ้วเข้าหากัน น่าแปลกที่พี่สาไม่ยอมพูดอะไรเลย

"ก็เรื่องรูปหายไงครับ พี่เป็นแอดมินเพจ ไม่รู้เรื่องเลยเหรอครับว่ารูปคิวท์บอยคนหนึ่งหายไป ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่ไลค์เดียว" ผมบอกโดยไม่อ้อมค้อม

รุ่นพี่สองสาวทำตาโตตกใจ ไม่รู้ว่าตกใจจริงๆ หรือแกล้งตกใจกันแน่

"คนไหน" พี่สาถามบ้าง ผมนึกว่าเธอจะไม่พูดอะไรเลยซะอีก

"ก็คนที่ได้ยอดไลค์สูงสุดเป็นอันดับห้าไงครับ" ผมบอก

"ก็ใครล่ะ พี่จำไม่ได้ขนาดนั้นหรอกว่ายอดไลค์ของใครมีเท่าไหร่" พี่สาขึ้นเสียง หน้าแดงคล้ายกับไม่พอใจ เธอคงจะอายด้วยที่ใครๆ ต่างก็ทยอยเข้ามามุงดู

"กัปตัน ผู้สมัครหมายเลขยี่สิบสอง คนที่ใช้วีลแชร์ไงครับ" ผมบอกข้อมูลอย่างละเอียด

"แน่ใจเหรอ เช็คดูดีหรือยัง อย่ามากล่าวหาง่ายๆ แบบนี้นะ" พี่ปริมหน้าเครียด ในขณะที่เพื่อนอีกคนมีสีหน้าต่างไป

"งั้นก็ดูสิครับ" ผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้

พี่ปริมวางของลงกับพื้น ก่อนรีบหยิบโทรศัพท์ผมไปดู ไม่นานก็ทำหน้าตกใจ แต่ก่อนจะพูดเธอก็เช็คดูอีกรอบ "เฮ้ย รูปน้องเขาหายไปว่ะสา ทำไงดี น้องเขาได้คะแนนเยอะเหมือนกันนะ"

"จริงเหรอ ทำไงดีล่ะ" พี่สาทำหน้ากังวลไปด้วย

"พี่สองคนเป็นแอดมินเพจ ไม่รู้เลยเหรอครับว่ารูปเพื่อนผมหายไปได้ยังไง มีใครไปลบรูปเพื่อนผมออกหรือเปล่า" ผมเริ่มโวยวาย

พี่ปริมไม่ตอบคำถามผม แต่หันไปพูดกับพี่สา "ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ฉันยังไม่ได้เข้าไปในเพจเลยนะ สา...เธอเข้าไปแก้ไขอะไรหรือเปล่า"

"ฉัน..." สีหน้าของพี่สาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธอดูอึกอักจนดูเหมือนมีพิรุธ

จังหวะนั้นกัปตันและเพื่อนๆ คิวท์บอยตามมาพอดี พี่ซินดี้ก็มาด้วย ผมเข้าใจว่าทุกคนน่าจะรู้เรื่องหมดแล้ว

"สา อย่าบอกนะว่าเธอ..." พี่ปริมไม่กล้าพูดต่อ แต่สายตาของเธอก็บ่งบอกความสงสัยในตัวเพื่อนไม่น้อย เมื่อเห็นเพื่อนเงียบและไม่ยอมพูด พี่ปริมก็ยิ่งมั่นใจว่าเพื่อนน่าจะเป็นคนทำ เธอจึงต่อว่าเพื่อน

"เธอทำเหรอสา! เธอ...เธอลบรูปของน้องเขาออกไปเหรอ! เธอทำอย่างนั้นทำไม!"

"ฉัน..." พี่สาพูดไม่ออก ทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้

"พูดอะไรบ้างสิสา รู้ไหมว่าตอนที่พี่มาช่วยซ้อมเต้มให้น้องๆ น่ะ พี่ยังดีใจเลยที่เธอให้กัปตันสมัครเข้ามาด้วย เพราะเราไม่เคยเปิดกว้างขนาดนี้มาก่อน และพี่เชื่อว่าไม่มีที่ไหนทำแบบนี้ด้วย พี่ชื่นชมพวกเธอมากเลยนะ พี่...แล้วก็คิวท์บอยทุกคนดีใจมากที่เรามีกัปตันมาร่วมประกวดด้วย พวกเขาตั้งใจซ้อมกันมาก ทุกคนอยากให้งานออกมาดี ที่สำคัญ...พอมีกัปตันมา พวกเราก็ได้ทำอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง พี่เชื่อว่าคนที่มาดูคืนนี้ต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ แต่ถ้าเธอทำแบบนั้นจริงๆ มันโคตรจะน่าอายเลยนะสา เธอไม่ได้ทำใช่ไหม" พี่ซินดี้เป็นฝ่ายพูดบ้าง

เมื่อถูกรุ่นพี่ต่อว่า พี่สาก็ถึงจุดทนไม่ไหว ไม่ช้าก็ระเบิดอารมณ์ออกมา "ค่ะ สาเป็นคนลบรูปเขาออกเองแหละ!"

สิ้นเสียงของพี่สา ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างและตกใจไปตามๆ กัน

"เธอทำอย่างนั้นทำไมสา!" พี่ซินดี้ถามเสียงดัง ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความโกรธ

เสียงฮือฮาของผู้คนค่อยๆ เงียบลง ทุกคนต่างรอฟังคำตอบจากพี่สา เมื่อสายตาทุกคู่จ้องมาที่เธอ ความกดดันก็เพิ่มทวีคูณ

"ก็หนูเกลียดคนพิการ!" พี่สาร้องไห้ ชี้มือมาที่กัปตัน ริมฝีปากสั่นระริก

ใครๆ ที่ได้ยินต่างก็ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง กัปตันถึงกับหน้าเสียเมื่อตัวเองกลายเป็นเป้าโจมตีของรุ่นพี่ต่างคณะ

"เธอเกลียดเขาทำไม เขาไปทำอะไรให้เธอ" พี่ซินดี้ทำหน้าไม่เข้าใจ

อย่าว่าแต่พี่ซินดี้เลยที่ไม่เข้าใจ ทุกคนที่ยืนมุงอยู่ไม่มีใครเข้าใจสักคน

"ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ ลองคิดดูสิคะ คิวท์บอยที่ผ่านการคัดเลือกทุกคนต้องทำงานให้มหาลัย มีกิจกรรมให้ทำทุกเดือน ต้องเดินทางบ่อยๆ ต้องไปออกสื่อ บางทีต้องไปต่างจังหวัดด้วย แล้วคนพิการจะไปได้ยังไง เป็นภาระคนอื่นเปล่าๆ แค่มาซ้อมเต้นก็เป็นภาระแล้ว เข้าห้องน้ำเองก็ไม่ได้ ขึ้นเวทีเองก็ไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอดเลย เราต้องการคนที่ดูแลตัวเองได้นะคะ ไม่ใช่เป็นภาระคนอื่นไปแทบทุกเรื่องแบบนี้ แล้วไอ้ท่าเต้นบนเวทีก็เหมือนกัน ถ้าไม่หลอกตัวเองกันน่ะ ไม่เห็นเหรอว่ามันง่อยมาก หนูบอกแล้วว่าไม่ต้องให้เขาแสดงก็ได้ ก็ไม่เห็นมีใครฟังกันเลย หนูบอกตรงๆ ว่าหนูเครียดมาก สิ่งที่เราทำกันมา จะพังกันหมดก็เพราะคนพิการนี่แหละ!"

พี่สาพูดเป็นชุดๆ ราวกับอัดอั้นตันใจมานาน ช่างน่าสงสัยว่าเธอไปเจ็บแค้นเคืองโกรธคนพิการมาจากไหน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะมีความคิดรุนแรงต่อคนพิการขนาดนี้

ใบหน้าขาวใสของกัปตันแดงซ่าน แววตาของเขาช่างดูขมขื่นเหลือเกิน ภายนอกยังดูเจ็บปวดขนาดนี้ แล้วหัวใจที่อยู่ข้างในล่ะ ผมหน้าชาไปหมด รู้สึกเหมือนโดนพี่สาด่าต่อหน้าคนอื่นซะเอง ขนาดผมไม่ได้พิการยังรู้สึกเจ็บขนาดนี้เลย

แล้วกัปตันล่ะ!?

"ทำไมใจแคบแบบนี้วะ!" ผมกระแทกเสียงออกไปอย่างเหลืออด ริมฝีปากสั่นพอกัน โกรธจนต้องกำหมัดแน่น ไม่งั้นผมได้ชกผู้หญิงคนนี้เป็นแน่

ทุกคนต่างหันมามองผม คอยฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าผมจะพูดอะไรต่อ

"กว่าคนๆ หนึ่งเขาจะต่อสู้มาได้ขนาดนี้ กว่าเขาจะมาอยู่ตรงนี้ได้ ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะลำบากขนาดไหน ไม่คิดจะให้โอกาสกันเลยเหรอ ไม่คิดจะให้กำลังใจกันเลยเหรอ ถ้าไม่คิดจะช่วย ก็ไม่ควรจะมาทำลายกำลังใจเขาแบบนี้นะเว้ย"

พูดไปแล้วผมก็น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ความสงสารคนรักแล่นเข้าจับขั้วหัวใจ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนพิการจะมีชีวิตยากลำบากขนาดนี้ ไม่ใช่ยากเพราะตัวเขา ไม่ใช่ลำบากที่ตัวเขา แต่สังคมต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างยากจนเกินที่จะอยู่ เอาง่ายๆ แค่เรื่องสถานที่ ไปตรงไหนก็มีแต่บันได ไปตรงไหนห้องน้ำก็แคบ แทบไม่มีที่ไหนที่ใช้ได้ แถมยังมาเจอทัศนคติแย่ๆ ของคนแบบนี้อีก

ไม่รู้สิ แม้ผมจะอยู่กับกัปตันได้เพียงเดือนเศษๆ แต่ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าความพิการของกัปตันไม่ใช่ปัญหา คิดง่ายๆ ว่าระหว่างทำให้กัปตันหายพิการกับทำทางลาดเพิ่ม ผมว่าทำทางลาดง่ายกว่าเป็นไหนๆ แต่ปัญหาอยู่ที่มุมมองของคน เพราะใครๆ ก็มองว่าคนอย่างกัปตันเป็นคนส่วนน้อย สังคมจึงเลือกที่จะโทษคนอย่างกัปตันว่าเป็นปัญหา แทนที่จะมองว่าสังคมมีอุปสรรคที่ต้องแก้ไข หรือทำอะไรเพิ่มได้บ้าง

อย่างน้อยเมื่อทุกคนอยู่ได้อย่างเท่าเทียมกัน สังคมก็น่าจะดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?

"แต่คนเราจะทำอะไรก็ต้องรู้จักสภาพตัวเองด้วย ต้องคิดสิว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ถ้ารู้ตัวว่าเป็นภาระของคนอื่นขนาดนี้ ก็ไม่ควรจะมาสมัครตั้งแต่แรกหรือเปล่า!" พี่สาเถียงกลับด้วยท่าทางไม่ยอมลดละ คำพูดของเธอทำเอาทุกคนอึ้งกันไปหมด

"สา นี่เธอพูดอะไรของเธอ เธอเป็นบ้าหรือเปล่า พี่ไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้เลยนะ พี่ทุ่มเทให้กับงานนี้มากแค่ไหนเธอก็เห็น วันนี้พี่ก็ลางานมาให้ทั้งวัน เพราะพี่เห็นเธอตั้งใจ ที่ผ่านมาเธอก็ทำมาได้ดีตลอด แต่ถ้าเธอจิตใจคับแคบแบบนี้ พี่ก็พูดได้คำเดียวว่า...พี่โคตรผิดหวังในตัวเธอเลยว่ะ!"

พี่ซินดี้ต่อว่าอย่างเหลืออด สีหน้าบ่งบอกว่าผิดหวังอย่างที่เธอพูด พี่สาถึงกับอึ้ง บรรยากาศตอนนี้ดูเคร่งเครียดไปหมด แต่ถ้าจะถามหาคนเจ็บที่สุดแล้วล่ะก็ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...

"พอเถอะครับ!" กัปตันโพล่งออกมาหลังจากที่ทนฟังอยู่นาน สายตาของทุกคู่เปลี่ยนไปจ้องมองกัปตันแทน

"ถ้าผมเป็นภาระให้ทุกคนมากขนาดนี้ เอาเป็นว่าผมขอโทษ แล้วเย็นนี้...ผมจะไม่เข้าประกวด เลิกทะเลาะกันเพราะผมได้แล้วนะครับ"

พูดจบกัปตันก็เข็นออกไปอย่างเร็ว ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน แต่ไม่มีใครกล้าตามไปนอกจากผมคนเดียว

ผมวิ่งตามกัปตันออกมาข้างนอก ทันเห็นเขายกล้อหน้าและไถลลงทางลาดที่แสนชันลงไปยังพื้นถนนหน้าอาคาร ผมร้องตามและพยายามวิ่งไปดักทันที

"กัปตัน มึงจะไปไหน รอกูด้วย"

เมื่อได้ยินเสียงผม กัปตันก็ค่อยชลอความเร็วจนหยุดสนิท ผมรู้สึกเจ็บขึ้นอีกร้อยเท่าเมื่อเห็นหยดน้ำใสๆ ปรากฎบนใบหน้าของกัปตัน ไม่อยากจะคิดเลยว่ากัปตันจะเจ็บและอายขนาดไหนที่โดนพี่สาว่าแรงๆ แบบนั้นต่อหน้าคนมากมาย

ผมหยุดยืนอยู่หน้ารถวีลแชร์ของกัปตัน ใช้มือสองข้างจับใต้รักแร้เขาไว้ ก่อนดึงให้ลุกขึ้นยืน เราสบตากันเป็นเวลาสั้นๆ จากนั้นกัปตันก็สวมกอดผม ไม่นานตัวเขาก็สั่นๆ ผมรู้ทันทีว่ากัปตันร้องไห้ ส่วนผมก็ไม่อาจห้ามน้ำตาได้ เพราะความเจ็บปวดของกัปตันก็เหมือนความเจ็บปวดของผม แม้ผมจะรู้สึกได้ไม่เท่าเขา แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี

"กูอยู่ตรงนี้แล้วนะเว้ย กูเข้าใจมึงนะเว้ยกัปตัน ไม่ต้องเสียใจนะเว้ย" ผมพูดได้แค่นี้ รู้สึกจุกที่คอหอยจนพูดต่อไม่ได้

กัปตันคงรับรู้ถึงความห่วงใยและความจริงใจที่ผมมีให้ เขากอดผมแน่น ส่วนผมก็กอดเขาแน่นพอกัน

ต่อให้เก่งมาจากไหน เข้มแข็งมาจากไหน เจอแบบนี้เข้าไปก็คงยากจะทานทน



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:46:55 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
พิการกายไม่น่ากลัวเท่าพิการใจ....

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
 :m16:   แถวนั้นน่าจะมีคนใจดี ใส่รองเท้าไปเหยียบขี้หมาให้ นังสามันคาบ    :m16:


 :L2: :pig4: :L2:



ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พิการกายไม่น่ากลัวเท่าพิการใจ....

สา(หัส)  นางพิการทางใจชัดๆ
การศึกษา ไม่ได้ช่วยยกระดับจิตใจนางเลย
นี่คือคนที่มีสภาพร่างกายครบสามสิบสอง
แต่รังเกียจคนพิการ มีอคติสุดๆ
นางพิการทางจิตใจอย่างนี้
ต่อไปคงทำงานร่วมกับคนส่วนใหญ๋ไม่ได้แล้ว

ถ้าสา(หัส)พิการ เจอคนรังเกียจ ดูถูกแบบนี้นางคงยิ้มรับได้เน้าะ
แต่ก็มีส่วนดี ทำให้คนมากมายทั้งกองประกวด
เห็นความต่ำตม งมโข่ง จิตใจต่ำในร่างกายที่สมบูรณ์
เรื่องคงไม่จบแค่นี้แน่ๆ เอาพี่ซินดี้เป็นประกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ทำไมต้องพูดทำรายจิตใจกันขนาดนี้ด้วยย :m15:

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
อือหือ ทัศนคติแบบนี้ อยากเห็นผลตอบแทนการกระทำของทัศนคติแบบนี้บ้างนะ สาจะได้รับอะไรบ้าง เพราะนี่คือนิยาย

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ความคิด คำพูดและการกระทำแสดงให้เห็นถึงจิตใจของคนๆนั้น  :hao3:

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด