♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92820 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
ความผิดหวังไม่ใช่ข้ออ้างให้ทำเรื่องไม่ดีนะเว้ยอิน

คิดหน่อยสิ

ใจใครใจมัน ไปบังคับไม่ได้หรอก

ออฟไลน์ kaokorn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 903
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-2
ดีใจกับอะตอมด้วย
และกับอิอินที่มีแต่ความสมเพชให้ ไม่คิดจะสงสารสักนิด ไม่ควรคู่กับพี่โดมนะ นี่ว่าพี่โดมดีเกินไปสำหรับคนแบบนี้
ชีวิตนังไม่น่าแฮปปี้ง่ายๆอะ คิดไม่ดี ปากไม่ดี การกระทำก็แย่

 o13

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
พี่โดมโดนมารยาอินไปแล้ว เสร็จอินแน่ๆ 555 อะตอมคุยเก่งมีทักษะดีมากอะ
 รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อินดูเก็บกดสุดๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อะตอม กัปตัน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
อะตอม สบายใจได้แล้ว เพราะแก้ปัญหาไม่ต้องเป็นเด็กเสี่ยได้แล้ว

พี่โดม คงถูกอิน  หมายตาไว้แล้วเพราะขนาดอาวุธลับ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณที่มาต่อคร้าบ
โล่งใจที่อะตอมเคลียร์ปัญหาได้
แต่ไม่อยากให้อินได้กับพี่โดมเลยอ่า

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP12 (Part 1)
คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก



<<<ATOM>>>

"อาจารย์ครับ" ผมส่งเสียงร้องเรียกเมื่อเจอคนที่ตามหามาหลายวันแล้ว ผมอุตส่าห์มาแต่เช้าเพราะอยากเจอคนสำคัญคนนี้แหละ

อาจารย์คนนี้คืออาจารย์วิว จบ ป. เอกด้านอินทีเรียดีไซน์มาจากอังกฤษหมาดๆ เพิ่งมาเป็นอาจารย์คณะสถาปัตย์ภาควิชาการออกแบบภายเทอมนี้ นอกจากเก่งเรื่องอินทีเรียแล้ว อาจารย์วิวยังมีความเชี่ยวชาญเรื่องการออกแบบที่เป็นสากลด้วย มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษเก๋ๆ ว่า Universal Design หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า "ยูดี" ก็ได้ พอผมรู้เรื่องแกจากรุ่นพี่ก็เลยอยากเจอ

อาจารย์สาวสวยหยุดกับที่ ก่อนหันมามองหาคนเรียก ผมส่งยิ้มและเดินเข้าไปหาเพื่อให้อาจารย์รู้ว่าเป็นผม

"อ้าว มีอะไรเหรอคะ" อาจารย์วิวส่งยิ้มมาให้

"ผมอยากปรึกษาอาจารย์เรื่องทางลาดแล้วก็ยูดีน่ะครับ อาจารย์พอมีเวลาสักสิบนาทีไหมครับ"

"อ๋อ ได้ๆ งั้น...ไปคุยตรงนั้นดีกว่า" อาจารย์วิวชี้ไปที่นั่งใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก

"ครับ" ผมรับคำแล้วเดินตามอาจารย์วิวไป

พอนั่งลงแล้ว ผมก็ยื่นแบบทางลาดที่ผมแอบวาดเองกับมือให้อาจารย์วิวดู

"พอดีที่คณะมีเพื่อนที่ใช้รถเข็นมาเรียนด้วยครับอาจารย์ เขาต้องใช้ทางลาด แต่ว่าก็มีไม่พอ บางอาคารก็ไม่มีเลย ผมก็เลยลองออกแบบทางลาดดู ว่าจะเอาไปเสนออธิการบดีให้ปรับปรุงน่ะครับ แต่ทีนี้ผมไม่ค่อยรู้เรื่องยูนิเวอร์ซัลดีไซน์เท่าไหร่ ก็เลยอยากให้อาจารย์ช่วยแนะนำครับ"

"อ๋อ" อาจารย์วิวร้องอ๋อเมื่อรู้ว่าผมมาหาด้วยเรื่องอะไร "เหมือนอาจารย์จะเคยเห็นนะ ใช่คนที่ตัวขาวๆ ไหม"

"ครับอาจารย์ คนนั้นแหละครับ" ผมบอก จุดเด่นของกัปตันคือตัวขาวนี่แหละ เด่นกว่านั่งวีลแชร์ด้วยซ้ำ

"อ้อ แล้วเธอชื่ออะไร อยู่ปีหนึ่งใช่ไหม"

"ครับ ผมชื่ออะตอมครับ" ผมบอกชื่อไป ก่อนจะชี้ให้อาจารย์วิวดูจุดที่ผมสงสัย "คืออย่างนี้ครับอาจารย์ ผมอยากรู้มาตรฐานทางลาดน่ะครับ พอดีผมไม่แน่ใจว่าที่ผมออกแบบไว้มันชันเกินไปหรือเปล่า"

"โห สูงห้าสิบเซนต์ ทางลาดยาวแค่สามเมตรเอง ชันไปค่ะ มาตรฐานทางลาดเขาใช้อัตราส่วนหนึ่งต่อสิบสอง จะได้ไม่ชันเกินไป คนใช้วีลแชร์เข็นขึ้นได้สบาย อย่างเช่น ถ้าพื้นสูงหนึ่งเมตร ก็ต้องทำทางลาดยาวสิบสองเมตร แต่ว่าตามมาตรฐาน ทางลาดแต่ละช่วงไม่ควรจะยาวเกินหกเมตร เพราะฉะนั้น พื้นก็ไม่ควรจะสูงเกินห้าสิบเซนต์"

"อ๋อ" ผมร้องอ๋อและพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังมีเรื่องสงสัยต่อ "แต่ตึกเรียนหลายตึกสูงกว่าห้าสิบเซนต์นะครับอาจารย์ แล้วต้องทำทางลาดยังไงครับ"

"ทุกๆ ห้าสิบเซนต์เธอต้องทำชานพักยาวเมตรครึ่ง อย่างเช่น...ถ้าอาคารสูงสองเมตร เธอก็ต้องมีชานพักสามจุด แล้วทางลาดก็ไม่จำเป็นต้องทำยาวๆ นะ ทำแบบพับทบไปมาก็ได้ หรือจะทำวนอ้อมมาจากข้างหลังก็ได้ เพราะถ้าเธอทำยาว พื้นที่มันจะไม่พอ"

"อ๋อ เข้าใจแล้วครับอาจารย์" ผมพยักหน้าพลางจดข้อมูลสำคัญที่อาจารย์วิวบอกลงไป "แล้วความกว้างต้องเท่าไหร่ครับอาจารย์ ของผมทำไว้เจ็ดสิบเซ็นต์ ไม่รู้จะกว้างพอหรือเปล่า"

"ตามมาตรฐาน ทางลาดต้องกว้างอย่างน้อยเก้าสิบเซนต์นะ แล้วก็ต้องทำขอบกันตก ราวจับ พื้นผิวต่างสัมผัส แล้วก็อีกหลายอย่าง เธอสนใจเรื่องนี้เหรอ" อาจารย์วิวถามกลับ

"ครับ เขามีสอนไหมครับอาจารย์ ผมอยากเรียน"

"มีค่ะ แต่เป็นวิชาเลือก เทอมนี้เธอไม่ได้ลงใช่ไหม"

"ยังครับอาจารย์ ผมเห็นแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นวิชาอะไร ก็เลยไม่ได้ลงเรียน แต่เทอมหน้าผมลงแน่นอนครับ" ผมรับปากด้วยท่าทางจริงจัง

ที่จริงยังไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องนี้มากหรอก ถ้าผมกับกัปตันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ขึ้นมาในอนาคต ก็น่าจะดีไม่น้อย ตอนนี้กฎหมายบังคับให้อาคารสาธารณะต้องมียูดีแล้ว ถ้าฟังจากที่อาจารย์วิวพูด และจากที่ผมเห็นๆ มา ผมว่าหลายที่ยังทำไม่ได้ตามมาตรฐาน ถ้าผมกับกัปตันเปิดบริษัทให้คำปรึกษาเรื่องนี้ น่าจะเป็นธุรกิจได้ แถมตลาดก็ใหญ่มากๆ เพราะอาคารสาธารณะมีทั่วประเทศ คู่แข่งก็มีน้อยอีกต่างหาก

"ดีเลยค่ะอะตอม มาช่วยอาจารย์ผลักดันเรื่องนี้อีกแรงนะ เนี่ย ในมหาลัยของเราก็มีปัญหาหลายจุดเลย ต้องแก้เยอะมาก ถ้าเราทำได้ ต่อไปเราก็จะรับคนพิการมาเรียนได้เยอะขึ้น พอเขาได้เรียนหนังสือ เขาก็จะมีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้ ช่วยให้โอกาสคนได้เยอะเลย"

"จริงครับอาจารย์ ผมเห็นด้วยครับ ก็อย่างที่อาจารย์ว่า ในมหาลัยเองก็มีหลายจุดมากที่ต้องแก้ อย่างเมื่อวาน ผมพาเพื่อนไปหอสมุดกลาง มีทางลาดก็จริงนะครับ แต่เขาเอาเสากั้นมอเตอร์ไซค์มากั้นไว้รอบเลย ช่องมันเล็กมาก รถวีลแชร์เข้าไม่ได้ ผมพยายามง้างออก แต่มันก็ง้างไม่ได้ ก็เลยให้เพื่อนขี่หลัง แล้วก็ให้เพื่อนที่เหลือช่วยยกรถเข็นข้ามเสากั้นไป กว่าจะได้เข้าอ่านหนังสือก็เหงื่อแตกเลย" ผมเล่าพลางขำตอนท้ายๆ

"ขนาดนั้นเลยเหรอ" อาจารย์วิวหัวเราะ "แล้วอย่างอาคารที่ไม่มีลิฟต์หรือว่าไม่มีทางลาด เธอทำยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าเธอให้เพื่อนขี่หลัง"

"ครับอาจารย์" ผมรับคำ

"เยี่ยมมากเลยอะตอม" อาจารย์วิวทำหน้าทึ่งๆ ระคนชื่นชม "ถ้าเธอไม่ช่วยเขานะ เขาก็คงจะเรียนไม่ได้ แต่ยังไงๆ อาจารย์ว่าเราก็ต้องปรับปรุงให้มันดีขึ้น ถ้ามีเยอะกว่านี้ คงแบกกันไม่ไหวหรอก สงสัยอาจารย์คงต้องให้เธอมาช่วยแล้วล่ะ เนี่ย อาจารย์ว่าจะตั้งชมรมยูดีพอดีเลย อยากมาช่วยอาจารย์ทำเรื่องนี้ไหม"

"แล้วชมรมนี้ทำอะไรบ้างครับอาจารย์" ผมรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

"หลักๆ ก็จะสำรวจอาคารในมหาลัยนี่แหละ ตรงไหนมีปัญหาเราก็จะมาช่วยกันออกแบบว่าจะแก้ไขยังไง จากนั้นก็จัดลำดับความสำคัญว่าจะแก้อันไหนก่อน แล้วค่อยเอาไปเสนอให้แต่ละคณะแก้ไข แต่ละคณะเขาได้งบปรับปรุงอาคารเป็นประจำอยู่แล้วนะ เราก็แค่เสนอให้เขาปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้นเอง ถ้าเขาเห็นด้วยมันก็ไม่ยากหรอก นอกจากในมหาลัยแล้ว เราก็ช่วยที่อื่นได้ด้วย อย่างเช่นพวกระบบขนส่ง รถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ ห้าง พวกนี้เขาต้องทำอยู่แล้ว แต่ส่วนมากก็ทำไม่ได้ตามมาตรฐาน ต้องมีคนช่วยให้คำแนะนำ เธอสนใจไหม"

"สนใจครับอาจารย์" ผมรีบรับคำ แววตาฉายประกายความหวัง "ถ้าทำได้ก็ดีนะครับอาจารย์ โดยเฉพาะในมหาลัย ผมเป็นห่วงเพื่อนผมมากเลย เกิดวันไหนผมไม่ได้มาเรียน ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีใครช่วยเขาหรือเปล่า เพราะว่าตึกเรียนหลายตึกไม่มีลิฟต์ ขนาดคณะถาปัตย์เองก็ยังมีปัญหาเลย ทางลาดก็มีน้อย ห้องน้ำคนพิการก็มีแค่ไม่กี่ตึก ลำบากมากๆ เลยครับ" พูดแล้วผมก็นึกเห็นใจเพื่อน ถ้าตึกไหนไม่มีห้องน้ำ กัปตันต้องอั้นฉี่หลายชั่วโมง ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ผมจะพาไปเข้าห้องน้ำทั่วไป แต่ก็แคบจนรถเข็นเข้าไม่ได้ ผมต้องให้กัปตันขี่หลังและพาเดินเข้าไปในห้องน้ำแทน ถ้าปรับปรุงได้จริงๆ ผมคงหมดห่วงไปเยอะเลย

ผมคุยกับอาจารย์วิวต่ออีกสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปหาเพื่อนๆ ก็เป็นกลุ่มที่ผมสนิทด้วยนั่นแหละ รวมกัปตันด้วย ระหว่างทางที่เดินไป โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูชื่อคนที่โทรมาหา ผมก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

"ว่าไงติ๊ง โทรมาแต่เช้าเลย ตื่นแล้วเหรอเนี่ย" ผมทักและพูดหยอกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะคุ้นเคยกับคนที่คุยด้วยระดับหนึ่งแล้ว

"แหม ก็ไม่ใช่คนตื่นสายขนาดนั้นซะหน่อย อาชีพอย่างเราเนี่ย ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้าไปถ่ายแบบก็ออกบ่อยไม่ใช่เหรอ" หญิงสาวนามว่าติ๊งทำเสียงเล็กเสียงน้อย

ติ๊งเป็นนางแบบ ผมรู้จักเธอมาเกือบปีแล้ว เจอกันในงานถ่ายแบบและเดินแบบบ่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากความเป็นเพื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอนนั้นผมมีแฟนอยู่หรือเปล่า

"เออ ก็จริง" ผมหัวเราะร่วน "วันนี้มีเรียนเช้าเหรอถึงได้โทรมาแต่เช้า"

"ใช่" ติ๊งหัวเราะแก้เก้อ "มาถึงมหาลัยปุ๊บก็รีบโทรหาอะตอมปั๊บเลย กลัวจะเข้าเรียนซะก่อน เดี๋ยวจะไม่ได้คุย"

"เที่ยงๆ หรือเย็นๆ ก็โทรมาได้" ผมบอก

"ไม่ได้หรอก เดี๋ยวมีใครมานัดอะตอมตัดหน้าไปซะก่อนน่ะสิ ยิ่งช่วงนี้เห็นงานเยอะขึ้นนี่"

"ก็นิดหน่อย ต้องหาตังค์เยอะไง"

"จะซื้อของให้แฟนอีกเหรอ" ติ๊งยังไม่รู้ว่าผมเลิกกับอั้มแล้ว ก็เลยถามอย่างนั้น

"เปล่า ตอนนี้ไม่มีแฟนแล้ว ก็หาเงินเรียนนั่นแหละ" ผมตอบเสียงเรียบ

"ไม่มีแฟนแล้ว หมายความว่า..." ติ๊งกลืนเสียงจางหายไป

"ก็ประมาณนั้น" ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอ คาดว่าติ๊งคงเดาออกว่าผมหมายถึงอะไร

"จริงเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ติ๊งจำได้นะ อะตอมรักแฟนมากเลยไม่ใช่เหรอ เห็นเคยเก็บเงินซื้อสร้อยสวารอฟสกี้เป็นของขวัญวันเกิดให้เขาด้วย แพงจะตาย"

"ก็...สักพักแล้ว"

"ติ๊งเสียใจด้วยนะ แต่เชื่อเหอะ หล่อๆ อย่างอะตอมเนี่ย เดี๋ยวก็หาแฟนใหม่ได้ ไม่นานหรอก" ติ๊งสัพยอก

ผมไม่ตอบคำถามนั้น ติ๊งจึงเข้าเรื่องของเธอซะที

"คืออย่างนี้ ติ๊งว่าจะโทรมาชวนอะตอมไปเที่ยว"

"ไปเที่ยว" ผมทวนคำ ก่อนจะถามต่อ "ที่ไหนเหรอ"

"เกาะเสม็ด ไปวันศุกร์นี้แหละ ตอนเย็นๆ"

"ศุกร์นี้เลยเหรอ" ผมทวนถาม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เหลืออีกแค่สามวันเท่านั้น

"ใช่" น้ำเสียงของติ๊งสดใส ปกติเธอก็เป็นสาวน้อยร่าเริงอยู่แล้ว แถมยังเป็นคนลุยๆ ด้วย ไม่ค่อยสำอางค์เหมือนผู้หญิงมากนัก "ว่างหรือเปล่าล่ะ มีงานไหม"

"ยังไม่มี" ผมยอมรับไปตามตรง พอไม่มีงาน ผมก็เลยตั้งใจว่าจะไปหาพ่อวันเสาร์ ส่วนวันอาทิตย์ก็จะไปบ้านกัปตัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีงานช่วงเย็นๆ แทบทุกวัน

"งั้นไปไหมล่ะ เนี่ย...ขาดอีกแค่สองคนเอง แชร์กันคนไม่กี่พันหรอก ติ๊งชวนพี่เอิร์ธกับพี่ฝางไปด้วย พี่ๆ เขาว่างพอดีเลย ไปไหมๆ อะตอมชอบทะเลไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้ว่างๆ แล้วก็ไปคลายเครียดดีกว่า หาโอกาสว่างๆ แบบนี้ไม่ได้ง่ายๆ นะ พี่เอิร์ธกับพี่ฝางก็อยากให้อะตอมไป" ติ๊งพยายามหว่านล้อมด้วยการอ้างชื่อคนที่ผมรู้จัก

ผมอกจะหนักใจเล็กน้อยเพราะรับปากป๊าของกัปตันไว้แล้วว่าจะไปหาที่บ้าน ถึงจะไม่มีอะไรสำคัญมาก แต่ผมก็ไม่อยากผิดคำพูด ถึงอย่างนั้น ใจจริงก็อยากไปเที่ยวทะเลอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้ไปมาเป็นปีๆ แล้ว หรือว่า...

"ขาดอีกสองคนเหรอ" ผมถาม

"ใช่ๆ" ติ๊งรีบตอบ "ถ้ามีเพื่อน อะตอมก็พามาดิ"

"แล้วถ้าเพื่อนอะตอมนั่งวีลแชร์ล่ะ" ผมถามหยั่ง

ติ๊งเงียบไปสักพัก ไม่รู้ว่าตกใจหรือเปล่า "เหรอ...แล้ว...เขาจะไปได้ไหมล่ะ มันเป็นทะเลนะ มีแต่ทราย แล้วก็ต้องขึ้นเรือไปที่เกาะด้วย จะลำบากหรือเปล่า"

"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เดี๋ยวเราดูแลเพื่อนเราเอง ว่าแต่จะให้ไปไหมล่ะ"

"อืม..." ติ๊งเงียบเสียงไปอีก ท่าทางคงลังเลน่าดู "แล้ว...มันจะสนุกเหรอ"

"ไม่เป็นไร ถ้าติ๊งไม่สะดวกให้เพื่อนเราไป งั้นเรา"

"ได้ๆๆ" ติ๊งรีบขัดจังหวะก่อนผมพูดจบเพราะกลัวผมจะปฏิเสธซะก่อน

"โอเค งั้น...เราขอไปถามเพื่อนก่อนนะ ถ้าเขาโอเคก็จะไป แต่ถ้าเขาไม่โอเค เราก็อาจจะไม่ได้ไปนะ" ผมถือโอกาสต่อรอง

"หูย ขนาดนั้นเลยเหรอ" ติ๊งทำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ

"อืม เพื่อนคนนี้...เราสนิทมาก ไปไหนต้องไปด้วยกัน ถ้าเขาไม่ไปด้วย มันก็ไม่สนุก" พูดไปผมก็นึกถึงคนที่นั่งรออยู่ที่โรงอาหารไปด้วย ถ้าได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกันครั้งนี้ ก็ถือซะว่าเป็นการชิมลางก่อนไปเที่ยวภูเขาละกัน

"ตามใจ ถ้าได้คำตอบแล้วรีบบอกติ๊งนะ"

"ได้ๆๆ น่าจะได้คำตอบวันสองวันนี้แหละ" ผมรับปาก "งั้นแค่นี้ก่อนนะ ต้องรีบไปแล้ว"

"โอเค อย่าลืมโทรมาบอกนะ" ติ๊งกำชับ

ทันทีที่วางหู ใครบางคนก็ปรากฎกายขึ้นตรงหน้าผม ดูเหมือนตั้งใจจะมาดักรอซะมากกว่า แต่ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนใกล้ๆ ผม ผมก็จะรู้สึกถึงอาการขาดออกซิเจนขึ้นมาทันที เพราะมันอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก ผมก็เลยรีบเดินหนี

"เดี๋ยวก่อนอะตอม" อินเรียกผมไว้

ผมหยุดนิ่ง ก่อนหันไปมองอย่างไม่สบอารมณ์และถามห้วนๆ "มีอะไร"

"กูอยากคุยกับมึงน่ะ" ท่าทางของอินดูเหมือนไม่มั่นใจนัก ดูแปลกไปจากที่ผมเคยเห็นจนน่าแปลกใจ

"เรื่องอะไร เดี๋ยวจะเข้าเรียนแล้ว" ผมไม่วายทำเสียงห้วนและทำหน้าปั้นปึงใส่

"ไม่นานหรอก" อินทำหน้าอ้อนวอน แต่ก็ไม่ดูน่าเห็นใจสำหรับผมเลย

"กูไม่อยากคุยกับมึง มึงไม่รู้ตัวเหรอวะ แค่เห็นหน้ามึงกูก็อยากจะอ๊วกแล้ว" ผมว่าใส่อย่างไม่แยแส อินถึงกับหน้าเสียไปเลย

"กูมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับมึง ถ้าตอนนี้ไม่สะดวก เย็นๆ มึงสะดวกหรือเปล่า" อินยังคงต่อรองไม่เลิก

ผมทำเสียงจิ๊กจั๊กอย่างรำคาญ ก่อนถอนหายใจสั้นๆ และบอกไปอย่างเสียมิได้ "เออ แต่กูมีเวลาให้มึงแค่ครึ่งชั่วโมงนะเว้ย ตอนเย็นกูมีงาน"

"ได้ ไม่นานหรอก" อินทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม

"แค่นี้ใช่ไหม กูจะไปหากัปตันแล้ว" ผมเน้นประโยคหลังเป็นพิเศษ

"อืม" อินพยักหน้า ผมจึงรีบเดินหนีจากมันไป ราวกับว่าอยู่ต่ออีกนาทีเดียวก็จะขาดออกซิเจนตายได้



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:44:17 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณที่มาต่อครับ
ไม่รู้อินจะมีแผนอะไรรึเปล่านะนี่

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP12 (Part 2)
คนที่ไม่เชื่อมั่นในรัก



<<<ATOM>>>

ผมเคยเก็บเงินซื้อสร้อยสวารอฟสกี้ราคาเกินครึ่งหมื่นเป็นของขวัญวันเกิดให้อั้มเมื่อปีก่อน และซื้อดอกไม้ให้ในโอกาสพิเศษทุกครั้ง ก็เหมือนๆ ความรักของหนุ่มสาวทั่วไป แต่พออยากจะมีแฟนเป็นผู้ชายบ้าง ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรจะซื้อของแบบนั้นให้กัปตันหรือเปล่า ถึงกัปตันจะหน้าหวานๆ และปากแดงเรื่อ แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิง แทบจะไม่เคยแสดงความเป็นผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ ผมก็เลยต้องหาวิธีอื่น อย่างเช่นเรื่องทำทางลาดนี่แหละ

วันไหนที่ผมต้องไปงานข้างนอก น้ำหวานบอกผมว่าเพื่อนๆ ในห้องมักทำท่าเกี่ยงกันเพราะไม่อยากยกกัปตันขึ้นตึกเรียน กัปตันคงรู้สึกไม่ดีพอสมควร เผลอๆ จะคิดว่าตัวเองเป็นภาระของคนอื่น เวลาไปไหนข้างนอกผมจึงอดเป็นห่วงกัปตันไม่ได้ ถัาได้อาจารย์วิวมาช่วยผลักดันเรื่องยูดี ชีวิตของกัปตันคงง่ายขึ้นเยอะเลย ผมก็จะห่วงเขาน้อยลง

ที่จริงผมไม่มีปัญหาที่จะให้เพื่อนขี่หลังหรอก แต่ติดที่ว่าผมอยู่ด้วยตลอดเวลาไม่ได้ อีกอย่างผมก็ไม่อยากให้กัปตันรู้สึกเกรงใจผมมากเกินไปด้วย จะให้รอน้ำใจคนอื่นๆ ก็คงไม่ได้ทุกครั้ง คนสมัยนี้ไม่ได้มีน้ำใจเหมือนเมื่อก่อน ยูดีจึงน่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะที่สุดในเวลานี้ ผมจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ในมหาลัยให้ได้

แม้ไม่ใช่สร้อยสวารอฟสกี้ที่ผมจะซื้อให้กัปตันเหมือนอั้ม แต่ผมก็คิดว่าสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้มีค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทอง นี่ต่างหากคือความรักที่บริสุทธ์จริงใจ

เมื่อมาถึงโรงอาหาร ผมก็รีบเดินตรงไปยังจุดที่กัปตัน แบงค์และกวินนั่งอยู่ ดูเหมือนกำลังคุยกันสนุกเพราะไม่มีใครสนใจผมเลย ผมจึงได้ยินการสนทนาเมื่อเดินใกล้เข้าไป

"แล้วไงต่อวะ มึงก็ชวนเขาไปดูหนังอย่างงี้เลยเหรอ"

"อืม"

"แล้วเขาไปไหม" กวินตื่นเต้นและลุ้นราวกับได้ไปดูหนังกับสาวที่ชอบซะเอง

"ไปดิ"

"โห สุดยอดเลยว่ะมึง แล้วไปต่อที่ไหนเปล่า" กวินยิ้มมีเลศนัย ดูเหมือนมันจะสนใจเรื่องนี้มากทีเดียว

"เปล่า ก็แค่นั้นแหละ แยกย้ายกันกลับบ้าน"

"โธ่ นึกว่าพาไปไหนต่อ" แบงค์ทำท่าเสียดาย

"คุยเรื่องอะไรกันวะ" ผมถามพลางนั่งลงข้างๆ กัปตัน บางทีกัปตันจะย้ายจากวีลแชร์มานั่งบนเก้าอี้บ้าง โดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกเมื่อยหลัง

"มันเล่าเรื่องวีกรรมจีบสาวให้ฟังเว้ย มึงเคยฟังยัง โคตรเจ๋งเลยว่ะ" กวินหันมาบอกผม สีหน้าบ่งบอกว่าชื่นชมคนที่พูดถึงไม่น้อย

"อ๋อ" ผมพยักหน้า ก่อนจะถามถึงเพื่อนอีกคน "น้ำหวานล่ะ"

"ไปห้องน้ำเมื่อกี้ เดี๋ยวก็มา" กวินบอก ก่อนหันไปถามกัปตันต่อ "แล้วหลังจากนั้นล่ะ คบกันต่อเปล่าวะ"

"ก็คบกันต่อพักหนึ่ง สองเดือนได้มั้ง แล้วก็เลิกกัน" กัปตันเล่าเสียงเรียบทั้งที่เป็นเรื่องเศร้า ที่จริงกัปตันเคยเล่าให้ผมฟังบ้างว่าเคยจีบผู้หญิงคนหนึ่งสมัยมอปลาย แต่ก็ดูเหมือนจะเล่าไม่หมด ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากพูดถึง ก็เลยไม่เซ้าซี้ถาม

"อ้าว ทำไมวะ" กวินหน้าเศร้า

"ไม่รู้ว่ะ เขาคงคิดว่ากูเป็นภาระเขามั้ง" กัปตันหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความรู้สึก

"ซะงั้น" กวินหน้าจ๋อย แบงค์ก็พลอยเฉาตามไปด้วย แต่สักพักกวินก็ถามต่อ "แล้วมึงจีบใครอีกไหม"

"ไม่ กูว่ามันก็เป็นแค่ความชอบหวือหวา กูไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครรักกูจริง"

แค่ได้ยินผมก็ใจหายวาบ กัปตันคงพูดโดยไม่ทันคิด หรืออาจจะลืมนึกไปว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ แต่ถึงจะเป็นเรื่องไม่ดีที่ได้ยิน อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วกัปตันคิดอะไรกับความรัก ที่ผ่านมาผมแสดงออกค่อนข้างหวือหวาและใจเร็วกับกัปตันไปพอสมควร ไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วกัปตันจะคิดว่าผมก็เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยจีบหรือเปล่า ตอนหลังๆ ผมจึงต้องพยายามลดความหวือหวาใจเร็วลงบ้าง

"เฮ้ย ไม่จริงหรอก มึงก็พูดซะ" แบงค์แย้งแต่สีหน้าก็ไม่สู้ดี คงรู้ตัวแล้วว่าทำให้เพื่อนไม่สบายใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังอุตส่าห์สัพยอก "ถ้ารักผู้หญิงแล้วมีแต่ปัญหา มึงไม่ลองคบผู้ชายดูมั่งวะ เผื่อจะดีก็ได้นะเว้ย"

กัปตันหันมามองผมทันที ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกแยกบางอย่างในแววตาคู่นั้น ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยเห็นกัปตันมองผมด้วยสายตาแบบนี้เลย พอรู้จักกันมาระยะหนึ่ง ผมรู้ทันทีว่ากัปตันไม่ใช่คนที่จะรักใครง่ายๆ เขาดูระแวงและระวังตัวมาก คนที่จะชนะใจเขาได้คงต้องทำการบ้านหนัก

"ก็น่าสนนะเว้ย อย่างกูเนี่ย คบผู้หญิงแล้วไม่รุ่ง กูว่าจะลองคบผู้ชายดูเหมือนกัน" ผมพูดเล่นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มจะกร่อย เพราะสังเกตว่าแบงค์กับกวินทำหน้าไม่ถูก

"เออ ดีเลย งั้นมึงจะลองคบกับกัปตันดูไหมล่ะ เห็นสนิทกันซะ" แบงค์เออออไปกับผม

"กูว่าพวกมันสองคนอาจจะคบกันแล้วก็ได้นะเว้ย มึงไม่เห็นเหรอ นอนก็นอนห้องเดียวกัน มาเรียนก็พร้อมกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ดูแลกันยังกะแฟนเลย" กวินผสมโรงด้วย

มาถึงตอนนี้ผมก็นึกได้ว่าความสัมพันธ์ของผมกับกัปตันยังไม่ชัดเจนเลย เพื่อนๆ หลายคนก็ยังไม่รู้ แม้ส่วนมากจะคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน แต่การแสดงออกบางอย่างก็ทำให้เพื่อนหยิบเอามาล้อบ่อยๆ ไปๆ มาๆ ก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ทำให้กัปตันไม่สบายใจได้ ถ้าปล่อยให้ความสัมพันธ์คลุมเครือไปนานๆ ผมก็ชักห่วงว่าจะไม่เป็นผลดี

"เดี๋ยวกูไปห้องน้ำก่อนนะเว้ย ใกล้เวลาเรียนแล้ว" อยู่ๆ กัปตันก็โพล่งขึ้น

ผมรีบลุกขึ้นเพื่อให้กัปตันเขยิบตัวขึ้นไปนั่งบนวีลแชร์ พร้อมกันนั้นก็คอยดูด้วยเผื่อว่ากัปตันจะให้ช่วยตรงไหน แต่ส่วนมากเขาก็จัดการตัวเองได้ดี พอเรียบร้อยกัปตันก็เข็นออกไปอย่างคล่องแคล่ว ผมยืนบื้ออยู่ชั่วครู่ พอนึกได้ก็วิ่งตามไป

"กัปตันรอกูด้วย"

กัปตันชะลอรถเข็นให้ช้าลง จนกระทั่งผมเดินแกมวิ่งตามมาอยู่ข้างๆ เราจึงค่อยๆ เดินและเคลื่อนที่พร้อมๆ กันไปอย่างช้าๆ ก็ไม่ถึงกับช้ามากเพราะกัปตันเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็ว ช่วงนี้เรายังไม่มีคำพูดใดๆ จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องน้ำสำหรับวีลแชร์ซึ่งมีอยู่แค่ห้องเดียวและชั้นเดียวทั้งคณะ

"เดี๋ยวกูมาหานะเว้ย" ผมบอก กัปตันพยักหน้ารับรู้

จากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง ผมใช้เวลาไม่นานก็เสร็จก่อน จึงมายืนรอกัปตันที่หน้าห้องน้ำ พักใหญ่ๆ ประตูบานเลื่อนก็เปิดออก ผมใช้เวลาคิดไม่นานก็เอามือยันประตูบานเลื่อนไว้ กัปตันกำลังจะอ้าปากถามผมก็รีบดันตัวเข้าไปในห้องน้ำวีลแชร์ซะก่อน ก่อนรีบปิดประตูและล็อกสนิท

ผมย่อตัวลงนั่งข้างๆ กัปตัน ส่งสายตาเป็นห่วงไปให้ "มึงเป็นไรเปล่าวะ ต่อไปน่ะ ถ้ามึงไม่โอเค มึงก็ไม่ต้องเล่าเรื่องที่มึงไม่อยากเล่าให้พวกมันฟังหรอก"

กัปตันเงียบ บ่งบอกว่าเจ้าตัวยอมรับกลายๆ ไปแล้ว ผมเดาว่ากัปตันคงไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเท่าไหร่ เพราะเล่าไปแล้วก็ไม่เป็นผลดีกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ที่เล่าเมื่อกี้คงเป็นเพราะเพื่อนถามซอกแซกและคะยั้นคะยอ

"กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย แล้วก็ไม่อยากให้มึงคิดว่าไม่มีใครรักมึงจริงด้วย" ผมพูดต่อ

"เออ รู้แล้ว" กัปตันรับคำสั้นๆ ทำให้ผมพอยิ้มออกได้บ้าง

ผมลุกขึ้นยืน ก่อนเอามือช้อนใต้รักแร้ของกัปตันแล้วยกตัวขึ้น เมื่อระดับสายตาเราเท่ากัน ผมก็จ้องมองตาคู่นั้นจนกัปตันต้องเอียงหน้าหลบบางๆ ถึงผมจะพยามเลี่ยงไม่ทำหวือหวา แต่จะปล่อยให้จืดชืดไปเลยก็คงไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องให้มีสีสันหรือมีการกระทำที่ย้ำเตือนความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันบ้าง ไม่งั้นก็อาจลืมได้ว่าเราสองคนมาเจอกันทำไม

หลบตาผมได้ไม่นานกัปตันก็กอดผม นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมกอดตอบและลูบหลังเบาๆ รู้สึกดีใจที่กัปตันกอดผม เจ้าตัวคงสะเทือนใจเรื่องเมื่อกี้พอสมควร แม้แบงค์กับกวินจะเป็นเพื่อนที่ดี แต่บางครั้งก็ขาดความเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกแบบนี้

กอดนี้…คงพอจะบอกได้ว่ากัปตันคงเห็นผมเป็นที่พึ่งแล้ว แม้จะเป็นความก้าวหน้าเพียงน้อยนิด แต่ก็มีความหมายสำหรับผมมาก ผมพานนึกถึงวันแรกที่เจอกัปตัน ตอนที่พากัปตันมาล้างคราบอาหารที่ถูกทำหกเลอะใส่เสื้อคราวนั้น ความรู้สึกดีๆ ของผมก็เริ่มต้นขึ้นในห้องน้ำวีลแชร์ห้องนี้นี่แหละ

เรากอดกันเงียบๆ และไม่พูดอะไร สำหรับผู้ชายที่เคยเจ็บกับความรักอย่างกัปตันแล้ว คำพูดสวยๆ ดีๆ คงไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ การกระทำที่จริงใจต่างหากที่จะทำให้ผมชนะใจผู้ชายคนนี้ได้ นี่คือทางออกไปสู่ความรักที่ผมจะต้องมุ่งมั่นและอดทน

"ไปเรียนเหอะ" กัปตันบอกผมเบาๆ พร้อมกับปล่อยอ้อมแขนออก

ผมพยุงกัปตันให้นั่งลงบนวีลแชร์ สายตาของเรายังจับจ้องมองกันอยู่ หลังจากกอดแล้วผมก็เห็นว่าสีหน้าของกัปตันดูดีขึ้น จากนั้นเราก็ออกจากห้องน้ำ ผมให้กัปตันออกไปก่อน ผมตามออกไปทีหลัง เพราะไม่อยากให้คนสงสัยว่าเราเข้าไปทำอะไรกัน

"ก่อนไปเที่ยวภูเขา มึงอยากไปเที่ยวทะเลไหมวะ" เมื่อตามมาทันผมก็ถาม

"ที่ไหน" กัปตันแวบหันมาถาม

"มีคนชวนกูไปเที่ยวเกาะเสม็ดศุกร์นี้ เขาให้กูชวนเพื่อนไปได้หนึ่งคน กูก็เลยว่าจะชวนมึงไป สนเปล่า"

"งั้นมึงก็ไปคุยกับแม่กูละกัน ถ้าแม่กูยอม กูก็จะไป"

"จริงนะเว้ย" ผมถามอย่างตื่นเต้น

"เออ ขอให้ได้ละกัน" กัปตันท้าและหัวเราะเบาๆ ผมเดาว่าเขาคงอยากไปเที่ยวบ้างตามประสาคนวัยนี้ แต่ด่านสำคัญคงอยู่ที่แม่ของกัปตันมากกว่า

"เดี๋ยวกูจะลองคุยกับแม่มึงดู"

"ใช้วิธีที่ป๊ากูสอนก็ได้" กัปตันสัพยอก แต่ผมก็คิดว่าเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลย

"เออ เดี๋ยวกูจะลอง" ผมบอก พลันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ แต่เป็นเรื่องที่ผมต้องระมัดระวังพอสมควร "เออ…ตอนเย็นๆ น่ะ มึงรอกูสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมวะ"

"ทำไมวะ" กัปตันหันมาถาม

ผมหยุดเดิน ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ กัปตันหยุดเข็นและหมุนรถมาหาผม ท่าทางบ่งบอกว่ารอคอยคำตอบ

"ไอ้อินมันจะขอคุยกับกู ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรว่ะ มันบอกว่าสำคัญ กูก็เลย…ตกลงว่าจะคุยกับมันซะหน่อย" ผมรู้สึกเป็นห่วงกัปตันเหมือนกันที่บอกเรื่องนี้ เพราะวีรกรรมที่ไอ้อินทำไว้คราวนั้นแสบเอาเรื่อง กัปตันคงขยาดน่าดู

"อืม" กัปตันรับคำสั้นๆ จากนั้นก็เข็นออกไป

"มึงไม่โกรธกูนะเว้ย" ผมถามตามหลัง ก่อนเดินแกมวิ่งไปจนทัน

"จะโกรธทำไมวะ กูไม่ใช่คนคิดมากขนาดนั้นซะหน่อย" กัปตันหันมายิ้มร่าเริง ค่อยทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้หน่อย

"เออ ก็ดีแล้ว ที่กูถามน่ะ ไม่ใช่อยากจะเรื่องมากหรือคิดมากนะเว้ย แต่มึงเป็นคนสำคัญของกู อะไรที่กูทำแล้วเกี่ยวกับมึง กูก็อยากให้มึงรู้ มึงจะได้ไม่ต้องไปรู้จากคนอื่นไง" ผมอธิบาย

เรามาหยุดอยู่หน้าลิฟต์ ช่างบังเอิญจริงๆ ที่ไอ้อินมันก็มายืนรอลิฟต์ด้วย ผมจึงสบโอกาสพูดบางอย่าง

"กูพูดจริงนะเว้ยกัปตัน อะไรที่กูทำแล้วเกี่ยวกับมึง กูอยากให้มึงรู้ทั้งนั้นแหละ แม้กระทั่งเรื่องเหี้ยๆ ที่กูเจอ"

ถ้าไอ้อินไม่ความจำเสื่อม มันก็คงแอบสะดุ้ง ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะมันหันมามองผมกับกัปตัน แต่น่าแปลกที่มันไม่พูดอะไร ทั้งที่ปกติแล้วมันโคตรปากมากและพูดจาฟังไม่ได้

ลิฟต์เปิดออกพอดี เราสามคนก้าวเข้าไปในลิฟต์พร้อมกัน ไม่มีใครอื่นอีกแล้วนอกจากเราสามคน แต่ผมไม่รู้สึกอึดอัดหรอก คนที่อึดอัดน่าจะเป็นคนที่ยืนเงียบมากกว่า

"มึงเคยลงน้ำทะเลไหม" ผมชวนกัปตันคุย กัปตันส่ายหน้า

"งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวกูจะอุ้มมึงลงทะเลเอง ทะเลที่เสม็ดสวยนะเว้ย กูเคยไปเที่ยวมาแล้ว"

"เหรอ เอ…กูได้ยินมาว่าไปเสม็ดนี่เสร็จทุกรายจริงเหรอวะ" กัปตันสัพยอก เราสองคนคุยกันเหมือนไม่มีใครอีกคนอยู่ร่วมห้องลิฟต์ด้วย

"ถามอย่างงี้…แปลว่ามึงอยากเสร็จเหรอ ได้…เดี๋ยวกูจะช่วยให้มึงเสร็จ" ผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ลิฟต์เปิดออกพอดี อินรีบก้าวออกไปและเดินลิ่วมุ่งหน้าไปก่อน ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหนของมัน ผมแอบยิ้มด้วยความสะใจอย่างลืมตัว

พอออกมาจากลิฟต์กัปตันก็หันมาพูด "ร้ายนะมึง แกล้งมันเหรอเมื่อกี้"

"เออ" ผมยอมรับตามตรง "คนอย่างมันน่ะ ต้องโดนอย่างงี้ซะบ้าง แค่นี้ยังน้อยไป"

"แต่กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ วันสองวันมานี้มันดูเงียบๆ มึงว่าไหม" ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่สงสัย กัปตันก็พลอยสงสัยท่าทางแปลกๆ ของอินด้วย

"เออ ช่างแม่งเหอะ ไปเรียนดีกว่า เดี๋ยวไม่ทัน" ผมรีบตัดบทอย่างไม่แยแส ก่อนจะพากัปตันเดินแกมวิ่งไปที่ห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยขึ้นมา



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:44:25 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
เรื่องนี้ละมุนจริงๆแหละ

สิ่งที่อะตอมพยายามทำให้กัปตันมันแสดงถึงความปรารถนาดีขั้นสูงสุดจริงๆ อะไรจะดีไปกว่าการให้ที่ช่วยทำให้คนๆนึงช่วยเหลือพึ่งพาตัวเองได้ ได้มีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่ต้องรอคอยคนอื่นมาแบก มันเป็นการให้ที่มีค่าและยิ่งใหญ่นะ เครื่องประดับ ช่อดอกไม้ ของขวัญมีราคาเป็นเรื่องตื้นเขินในความสัมพันธ์ไปเลยเมื่อเทียบกับทางลาดที่อะตอมพยายามสร้างเพื่อกัปตัน น่ารักมากๆ ซึ้งใจ  และเข้าใจกัปตันนะ ปมความผิดปกติของร่างกายที่ถูกสร้างเป็น conflict ในเนื้อเรื่องถือว่าท้าทายตัวเอกให้พิสูจน์ถึงรักแท้ที่หนักมากจริงๆ รักที่คือการให้และการดูแลของแท้

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กัปตัน จะคิดเรื่องตวามรักแบบนี้ก็ไม่แปลก
ยิ่งตัวเองเป็นคนพิการ ต้องเป็นภาระคนอื่น
เจ็บปวดใจที่ตัวเองพิการ
แล้วมาเจอกับสายตาคนรอบข้างบางคน
ที่ทั้งดูถูก รังเกียจ ทั้งเห็นเป็นภาระ

อะตอม คิดดีทำดีจริงๆ มีจิตใจที่ดีงาม  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ว่าแต่อิน มีอะไรจะพูดกับอะตอมนะ  :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ดีเจต้นหอมพูดแบบว่าคนนี้เป็นคนดีถึงจะเลิกกันแต่เค้าไม่มีวันทำร้ายเรา
นี่ึนึกถึงอะตอมทันที
อะตอมดีจริงๆซึ้งใจ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
อินเงียบไปเพราะโดนพี่โดมปราบแน่ๆ 555
 เติมความเชื่อมั่นกัน เพื่อเพิ่มความเข้าใจกัน กัปตันยังเปิดใจไม่หมดสินะ
 รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
อะตอมจะทำให้กัปตันขนาดนี้ เป็นคนดีมาก พยายามมากด้วย ดูแลดี ให้สมกับที่รัก

กัปตันรู้ต้องดีใจมากแน่เลย น้องน่ารักนะ แต่คนเราก็ต้องมีบ้างเนาะ เวลาโดนใครมามองไม่ดี

อะตอมกัปตัน อยู่ด้วยกันแล้วละมุนสุดละค่ะ อยู่กับเพื่อนๆ เหมือนยังเกร็งๆ

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP13
เดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะ



<<<INN>>>

ผมยอมรับว่าผมทำไม่ดีหลายอย่าง ทั้งเรื่องของอะตอมกับกัปตัน และเรื่องส่วนตัวซึ่งเป็นด้านมืดของผม ชีวิตผมไม่ได้มีอะไรเลวร้ายหรอก ที่บ้านก็เลี้ยงดูดี กินดีอยู่ดี แทบไม่เคยต้องลำบาก ครอบครัวจึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ เรื่องอะตอมก็เป็นเพราะผมชอบเขา ส่วนด้านมืด ผมก็แค่ทำเพราะคิดว่ามันสนุก แต่ทำไปทำมาก็อยากเลิก เพราะมันไม่ช่วยให้ผมเจอรักแท้ ได้แค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ซ้ำทำไปแล้วยังรู้สึกผิดด้วย เผลอๆ จะเสียหายมาถึงวงศ์ตระกูลด้วยซ้ำถ้ามีใครเอามาแฉ

เอาเถอะ ผมพลาดไปแล้ว จะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือเพราะอะไรก็ช่างมันเถอะ ผมตัดสินใจว่าจะเลิกทำอย่างเด็ดขาดแล้ว ถ้าคนซึ่งยังไม่สนิทกับผมอย่างพี่โดมยังรู้ความลับนี้ได้ อีกไม่นานคนอื่นๆ ก็ต้องรู้ แต่คงไม่มีใครใจดีช่วยปิดเป็นความลับให้ผมเหมือนพี่โดมแน่

เสียงคนเดินใกล้เข้ามาตรงที่ผมยืนรออยู่ค่อยๆ ดังชัดขึ้น ผมรีบหันไปมองทันที คนที่กำลังเดินมาหาหยุดชะงัก ท่าทางดูลังเลว่าจะเดินเข้ามาหาผมดีหรือเปล่า แต่ไม่นานเขาก็ตัดสินใจเดินเข้ามาใกล้ ผมยิ้มบางๆ ต้อน แต่คนที่มาถึงกลับทำหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ยินดียินร้ายที่มาเจอกัน

"มีอะไรจะพูดก็รีบว่ามา กูอยู่ได้ไม่นาน เย็นนี้มีงาน" มาถึงอะตอมก็พูดห้วนใส่ สีหน้าบอกบุญไม่รับ

เจอท่าทางแบบนี้ ผมก็ชักลังเลเหมือนกัน เพราะถ้ามันไม่อยากมาเจอหน้าผม ไม่อยากเสวนาด้วย มันก็น่าอึดอัดใจ แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์ขอร้องจนมันยอมมาหาแล้ว จะทิ้งโอกาสไปเฉยๆ ก็น่าเสียดาย ในเมื่อผมทำไม่ดีกับอะตอมเอง จะเจอปฏิกิริยาแบบนี้ก็ไม่แปลก

ผมถอนหายใจสั้นๆ สายตาจับจ้องคู่ดวงตาที่มองเลยผมไปไหนสักแห่ง เหมือนผมเป็นอากาศธาตุที่ไม่ต้องสนใจมากก็ได้

"กูอยากขอโทษมึง"

เพียงคำพูดสั้นๆ ของผม แววตาของอะตอมก็เปลี่ยนไปทันที มันมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจ "ขอโทษเรื่องอะไร"

"ก็ทุกอย่างแหละ" ใจผมเริ่มสั่นเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง

"ทุกอย่าง…แล้วมันมีอะไรบ้างล่ะ"

เมื่อโดนถามจี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนอากาศตรงนี้บีบอัดมากขึ้นจนหายใจลำบาก "ก็…เรื่องกัปตัน แล้วก็…เรื่องคืนที่มึงเมา"

"คนอย่างมึงรู้สึกผิดเป็นด้วยเหรอวะ" อะตอมสวนมาเสียงเข้ม

"กูขอโทษ" ผมย้ำคำขอโทษอีกครั้ง

"ขอโทษเหรอ" อะตอมทวนคำ ก่อนหันหน้าไปทางอื่น สักพักก็หันกลับมาจ้องหน้าผม สายตาของมันดูดุจนผมรู้สึกกลัว "ขนาดกัปตันเป็นแบบนั้น มึงก็ยังไม่เว้น ที่กูเสียให้มึงไปน่ะ มันยังไม่เจ็บเท่ากับที่มึงทำกับกัปตันนะเว้ย แค่คำขอโทษของมึงคำเดียวน่ะ จะเอามาทำอะไรได้วะ"

"แล้วมึงจะให้กูทำไง" ผมประหม่า เกิดความกลัวว่าการเจรจาครั้งนี้จะไม่สำเร็จอย่างที่คิด

"ขอโทษกัปตัน แล้วก็พิสูจน์ตัวมึงเอง ถ้ามึงดีพอ กูจะยกโทษให้มึง แต่ถ้ามึงไม่ดีจริง ก็อย่าหวังว่าคนอย่างกูจะยกโทษให้"อะตอมพูดหนักแน่น

เมื่อได้ฟังความคิดของมันผมก็หน้าเสีย อย่างนี้ก็แปลว่ามันจะไม่ยกโทษให้ผมง่ายๆ

"กูจะพยายามละกัน แต่ที่กูทำไปทั้งหมดน่ะ ก็เพราะว่า…" ผมกลืนเสียงลงคอเพราะลังเลที่จะบอกความจริง

แววตาอยากรู้ของอะตอมฉายชัดขึ้น แต่มันก็ปากหนักไม่ยอมถาม เท่ากับบีบบังคับให้ผมต้องยอมพูดจนได้ แต่จะพูดตรงๆ ทันทีผมก็ไม่กล้าขนาดนั้น จึงต้องเกริ่นนำให้มันรู้ที่มาที่ไปก่อน

"สามปีที่แล้ว กูเข้าไปในเว็บหนึ่งแล้วก็เห็นรูปที่มึงถ่ายแบบ แค่เห็นครั้งแรก…กูก็รู้สึกชอบมึงมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กูเซฟรูปมึงเก็บไว้ตลอดเลย ออกมากี่ชุดกูก็เซฟเก็บไว้ เป็นแฟนคลับในแฟนเพจของมึงด้วย แต่มึงคงไม่รู้หรอก กูเคยตามไปดูมึงเดินแบบด้วยครั้งสองครั้ง ตอนแรกกูก็คิดว่ากูก็แค่บ้าดารานายแบบเฉยๆ แต่พอกูได้มาเจอมึงจริงๆ ตอนรับน้อง กูก็ยิ่งรู้สึกชอบมึงมากขึ้น แต่ตอนนั้นมึงยังคบกับอั้มอยู่ กูก็เลยไม่กล้าบอก แล้วพอมึงมาสนิทกับกัปตัน กูก็เลย…ต้องทำแบบนั้น"

อะตอมขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน ก่อนบอกผมสั้นๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำทว่าหนักแน่น "กูชอบกัปตัน"

"แต่มันเป็นคนพิการนะเว้ย!" ผมเผลอเถียงออกไป

"แล้วไง!" อะตอมย้อนถาม ดูเหมือนคำสารภาพของผมจะไม่ช่วยให้มันเข้าใจผมเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อยเลย

"มึงคิดว่ามันจะไปกันได้สักกี่น้ำวะ"

"ก็เรื่องของกูกับกัปตันสองคนไม่ใช่เหรอ แล้วมึงมาเสือกอะไร" อะตอมพูดใส่หน้าผม ดูท่าทางมันจะไม่ยอมพูดดีๆ กับผมซะแล้ว

"มึงจะทำให้กัปตันเสียใจนะเว้ย มันเป็นแบบนั้น ถ้ามันเสียใจขึ้นมา มึงคิดไหมว่าจะเสียแค่ไหน"

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูจะทำให้กัปตันเสียใจ"

"ทำไมจะไม่รู้วะ!" ผมขึ้นเสียง อะตอมชะงัก ผมรีบขยายความทันที "มึงอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเว้ย กูมีเพื่อนเป็นนายแบบ แล้วมันก็รู้จักมึงด้วย มันเล่าให้กูฟังว่ามึงน่ะ…ออกไปกับผู้หญิงบ่อยๆ"

"ก็แค่วันไนท์สแตนด์ ไม่ได้มีอะไรผูกมัดนี่หว่า เสร็จแล้วก็จบ ไม่มีใครมาวุ่นวายกับชีวิตกู" อะตอมเถียง

"แล้วถ้ากัปตันมันรู้ว่ามึงทำแบบนี้ล่ะ" ผมไม่วายหาเรื่องมาเถียงจนได้

"กูเลิกทำไปแล้ว"

"เลิกได้แน่เหรอ ตอนที่มึงคบอั้ม ใครๆ ก็รู้ว่ามึงรักอั้มจะตาย ทำไมมึงยังไปกับคนอื่นได้วะ ยิ่งอยู่ในวงการแบบนี้ มึงคิดเหรอว่ามึงจะเลิกได้จริงๆ"

คราวนี้ได้ผล สีหน้าของอะตอมเผื่อนลง แสดงว่าสิ่งที่ผมพูดก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้อยู่ มันเองก็น่าจะคิดเรื่องนี้

"ดูท่าทางมึงเป็นห่วงกัปตันจังเลยนะ" อะตอมแค่นเสียง

"ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก กูแค่ไม่เชื่อว่ามึงกับกัปตันจะคบกันได้ สุดท้าย…มึงก็จะทำมันเสียใจ ทำอย่างนั้นกับคนพิการ…มันบาปนะเว้ย" ผมตอกไปอีกหนึ่งดอก

"มึงก็เลยคิดว่ากูไม่ควรคบกัปตัน แต่ควรจะมาคบกับมึงแทนงั้นสิ" อะตอมถามกวน ผมเองก็ชักจะเริ่มทนไม่ไหวกับท่าทางหยิ่งยโสของมันแล้ว

"เออ" ผมรับคำไปอย่างหน้าด้านๆ

"อ้าว แล้วมึงไม่กลัวกูทำมึงเสียใจเหรอ" อะตอมย้อน

"แต่กูไม่ได้เป็นคนพิการเหมือนกัปตันนะเว้ย ถึงกูจะเสียใจ แต่มันก็ไม่เหมือนกัปตันหรอก"

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากัปตันจะเสียใจมากหรือน้อยกว่ามึง แล้วมึงไม่คิดเหรอว่าบางทีกัปตันอาจจะเข้มแข็งมากกว่ามึงก็ได้"

"แสดงว่ามึงจะทำมันเสียใจเหรอ"

"กูแค่เปรียบเทียบเว้ย ความรักแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นน่ะ มันไม่มีใครรู้หรอกว่าจะจบยังไง ถ้ากัปตันรักกู มันก็มีสิทธิ์รักกูไม่ใช่เหรอวะ แล้วถ้ากูรักกัปตัน กูก็อยากให้กัปตันรู้ว่ากูรู้สึกดีกับเขา พิการแล้วไม่ควรมีความรักเหรอวะ แล้วมึงคิดว่ากัปตันควรจะรักใครวะถึงจะไม่เสียใจ จะรักใครมันก็มีโอกาสสมหวังหรือผิดหวังเท่ากันนั่นแหละ มึงรู้ไหม…กัปตันมันเคยอกหักมาแล้ว มันก็ผ่านมาได้ อกหักเป็นเรื่องแปลกเหรอวะ มึงไม่เคยได้ยินเหรอ อกหัก…ดีกว่ารักไม่เป็น ถ้ากูเป็นกัปตันนะเว้ย กูยอมอกหัก แต่ขอให้กูได้รักใครสักคน ไม่งั้นจะเกิดมาทำไมวะ"

นี่คือมุมมองใหม่ที่ผมไม่เคยคิดถึง ผมคิดแค่ว่าอะตอมไม่ควรคบกับกัปตันเพราะจะทำให้กัปตันเสียใจ แต่ก็ลืมคิดไปว่ากัปตันก็มีหัวใจ มีสิทธิ์ที่จะรัก มีโอกาสที่จะสมหวังหรือเผชิญการอกหักเหมือนคนทั่วไป ถึงมันจะโหดร้ายกับคนอย่างกัปตันไปบ้าง แต่คงน่าเสียดายมากกว่าถ้าจะมัวแต่กลับเจ็บจนไม่กล้ารักใคร

"ความรักของกูกับกัปตันจะจบตรงไหนกูไม่รู้ กูบอกไม่ได้ กูไม่ใช่หมอดู กูก็แค่ทำตามหัวใจของกู กัปตันก็แค่ทำตามหัวใจของตัวเอง อุปสรรคมันก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่ถ้ากูสองคนรักกันจริง มันก็จะผ่านไปได้ แต่ถ้าคบกันไปแล้วไม่ใช่ กูก็จะไม่ให้กัปตันต้องเจ็บมาก มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ส่วนเรื่องของกูกับมึงน่ะ กูบอกได้เลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะกูไม่เคยคิดอะไรกับมึง และก็จะไม่คิดด้วย! มึงไม่ต้องพยายามเอาชนะให้เสียเวลา!" อะตอมกระแทกเสียงตอนท้าย

ดูความใจร้ายของอะตอมเอาละกัน มันพูดใส่หน้าผมโดยไม่สนใจความรู้สึกของผมบ้างเลย ผมแอบรักมันมาตั้งนาน รู้สึกดีๆ กับมันมาตลอด แต่มันกลับไม่เคยเห็นค่า ซ้ำยังพูดทำร้ายจิตใจผมอย่างไม่ปราณีปราศรัยด้วย

"มึงนี่โคตรใจร้ายเลยว่ะอะตอม" ผมว่ามันไปพร้อมกับสะอื้น น้ำตาพานไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดของมันเหมือนเอาหินมาทุบหัวใจสดๆ ของผม

"มึงใจร้ายกับกัปตันก่อนนะเว้ย เพราะฉะนั้น…กูก็จะใจร้ายกับมึงมั่ง พอใจเมื่อไหร่กูถึงจะหยุด"

อะตอมพูดจบก็เดินหนีไปอย่างไม่แยแส ร่างสูงโปร่งและหุ่นนายแบบเคยดึงดูดใจผมอย่างมาก แต่ตอนนี้มองแล้วกลับเจ็บปวดใจทั้งที่เป็นร่างเดิมที่ผมคุ้นเคยมาหลายปี ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงอยากเอาชนะและคิดจะแก้แค้น แต่ตอนนี้ผมบอกตัวเองไม่ได้เลยว่าอยากทำอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งจู่ๆ ใบหน้าของใครบางคนก็ผุดแทรกขึ้นมาในความคิด

ผมวิ่งออกจากด้านหลังอาคารที่พี่โดมเคยนัดผมมาเจอคราวนั้น มุ่งตรงไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ซึ่งผมมั่นใจว่าจะได้เจอใครคนหนึ่ง หัวใจที่เจ็บปวดของผมจะได้รับการปลอบประโลมจนทุเลาจากเขา ยกเว้นว่าเขาจะใจร้ายกับผมอีกคน แต่ผมก็คิดว่าไม่

ที่จริงมันก็ไกลจากที่ที่ผมคุยกับอะตอมไม่น้อย แต่ผมก็พาตัวเองวิ่งมาจนถึงคณะที่ว่าจนได้ แม้จะเริ่มเย็นแล้วแต่ก็ยังมีนักศึกษาเดินไปมาหนาตา ส่วนมากนั่งหรือยืนจับกลุ่มคุยกัน บางส่วนก็เริ่มทยอยกลับบ้านหรือออกไปเที่ยวข้างนอกตามประสา

ผมหยุดยืนท่ามกลางผู้คนรายล้อมมากหน้าหลายตา สายตาคอยสอดส่ายหาใครคนนั้นไปรอบๆ หวังว่าเขาจะยังไม่กลับบ้านหรือออกไปไหนซะก่อน แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เห็น ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ถามใคร เพราะถ้าใครคนนั้นเกิดมาเพื่อมีความสำคัญกับชีวิตของผมอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมจะเจอเขาเอง โดยเฉพาะในเวลาที่ผมกำลังรู้สึกแบบนี้

สองเท้าผมก้าวเดินต่อไป สายตาสอดส่ายไปทั่ว กระทั่งในที่สุดผมก็เจอคนที่ตามหาจนได้ ชายหนุ่มที่แม้อยู่ในชุดนักศึกษาก็ยังดูภูมิฐานยืนอยู่ตรงนั้น มาดสุขุมทว่าขี้เล่นคือเสน่ห์ที่สาวคนไหนเข้าใกล้ต้องถูกสะกด แม้เสน่ห์จะร้ายกาจขนาดไหน เขาก็ยังครองตัวเป็นโสดมาจนถึงปีสี่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

"พี่โดม" ผมร้องเรียกคนที่ยืนหันหลังให้ซึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนๆ แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมก็จำได้ว่าเป็นคนนี้ เขาคงมีบางอย่างที่น่าประทับใจสำหรับผม ผมจึงแยกเขาออกแม้ในท่ามกลางฝูงชน

ทันทีที่พี่โดมหันมา ผมก็ถลาเข้าไปกอดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้ว่าพี่เขาตกใจหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ถึงอย่างนั้นหูของผมก็ยังพอได้ยินเสียงฮือฮาของนักศึกษาคณะวิศวะรอบทิศทาง

"มันใจร้ายมากเลยน่ะพี่ มันโคตรใจร้ายเลย" ผมละล่ำละลัก ไม่รู้ว่าคนฟังเข้าใจบ้างหรือเปล่า แต่สองมือที่วางลงบนหลังของผมเบาๆ น่าจะแปลว่าพี่เขาคงเข้าใจบ้าง

"เดี๋ยวกูมานะเว้ย"

ผมได้ยินเสียงพี่โดมบอกเพื่อนๆ ก่อนที่เขาจะลากแขนผมเดินห่างออกไปจากฝูงชน ท่ามกลางความสงสัยของใครต่อใคร บ้างก็กระซิบกระซาบ บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือให้เพื่อนดู บ้างก็ส่งสายตามองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน เพราะพี่โดมแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเทพบุตรของคณะ เป็นที่จับตามองไม่ว่าจะปรากฎกายขึ้นที่ไหน อยู่ๆ โดนเด็กที่ไหนวิ่งมากอดแบบนี้ ใครต่อใครก็ต้องอยากรู้เป็นธรรมดา

พี่โดมพาผมเดินมาหลังคณะ มีต้นจามจุรีใหญ่ๆ หลายต้นให้ร่มเงา มีนักศึกษานั่งคุยกันตามจุดต่างๆ บ้าง แต่ก็บางตาเมื่อเทียบกับด้านหน้า เราสองคนนั่งลงบนโต๊ะไม้ที่จัดไว้มุมหนึ่ง นอกจากตรงที่เรานั่งแล้วก็ยังมีตามจุดอื่นๆ ด้วย

"เป็นเหี้ยอะไรของมึงวะ กูตกใจหมดเลย" พอนั่งลงพี่โดมก็ถาม แต่ฟังดูไม่รื่นหูเอาซะเลย

ผมยังไม่ทันจะพูด พี่โดมก็บ่นต่อ "ขนาดสาวๆ ยังไม่กล้าวิ่งมากอดกูแบบนี้เลยนะเว้ย ป่านนี้เขาคิดกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว"

"อ้าว" ผมหน้าเหวอ แทบจะเศร้าไม่ออกเลย อารมณ์เมื่อกี้แทบจะหายไปหมด

"ไม่ต้องมาอ้าวเลยมึง กูเสียหายนะเว้ย" พี่โดมต่อว่าผมต่อ

"งั้นผมกลับก็ได้" ผมลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนี

พี่โดมฉุดข้อมือผมไว้ทันทีและทำเสียงดุ "จะไปไหนวะ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน"

ผมนั่งลงตามเดิม แต่คราวนี้ผมนั่งเงียบๆ และก้มหน้า

"ใครใจร้าย" พี่โดมถามสั้นๆ

ผมเงยหน้าสบคู่ดวงตาเข้ม ถึงจะไม่ขาวเท่ากัปตัน แต่พี่โดมก็มีใบหน้าสะอาดใสไม่แพ้ลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง

"อะตอม" ผมตอบสั้นๆ ก่อนก้มหน้าต่อ

"มันทำอะไรมึง"

"เปล่า" ผมตอบเบาๆ

"อ้าว ถ้าเปล่าแล้วมึงมาว่ามันใจร้ายได้ยังไงวะ"

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพี่โดมอีกครั้ง สีหน้าบ่งบอกว่ายุ่งยากใจ "ผมไปขอโทษมันมาแล้ว"

"แล้วไงต่อ" พี่โดมทำท่าอยากรู้

"มันไม่ยกโทษให้ผม แล้วมันก็บอกว่า…มันจะทำให้ผมเจ็บต่อไป จนกว่ามันจะพอใจ โคตรใจร้ายเลยน่ะพี่" พูดไปแล้วผมก็ทำท่าจะร้องไห้ สีหน้าขุ่นๆ ของพี่โดมจึงดูอ่อนลง

"ก็มึงไปทำซะขนาดนั้น เป็นใครก็โกรธทั้งนั้นแหละ" แทนที่จะปลอบ พี่โดมกลับว่าซ้ำ

"อ้าว" ผมแทบจะหยุดร้องไห้ไม่ทัน

"ขอโทษคำเดียวไม่พอนะเว้ย ถ้ามึงอยากแสดงความจริงใจ ถ้ามึงสำนึกจริงๆ มึงก็ต้องยอมไม่ใช่เหรอวะ ไม่งั้น…ก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามึงสำนึกแล้ว ทำผิดแล้ว…มึงก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นด้วย แค่ขอโทษไม่ได้นะเว้ย"

พี่โดมพูดเหมือนอะตอมเป๊ะ กระนั้นผมกลับไม่รู้สึกว่ากำลังถูกซ้ำเติม ทั้งๆ ที่เป็นข้อความเดิม ต่างกันแค่คนพูด

"แต่มันเจ็บนะพี่" ผมเถียงเสียงอ่อยๆ

"เจ็บก็เจ็บสิวะ ไม่ต้องมาสำออยเลย เพราะที่มึงทำน่ะ คนอื่นเขาก็เจ็บ มึงทำเขาเจ็บ มึงก็ต้องชดใช้ด้วยความเจ็บของมึง มันถึงจะเมกเซ้นส์เว้ย"

"อ้อ" ผมรับคำไปอย่างนั้น

"ถ้ามึงไม่อยากเจ็บ ก็เลิกรักสิวะ แค่นี้มันก็ไม่เจ็บแล้ว" พี่โดมแนะนำราวกับว่าใครๆ ก็ทำได้ง่ายๆ

"ถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิพี่" ผมเถียง

"ถ้ามึงคิดว่ามันง่ายมันก็ง่าย ถ้าคิดว่ามันยากมันก็ยาก" พี่โดมพูด ผมก็อยากเห็นด้วยอยู่หรอก แต่มันก็ยังขัดกับความรู้สึก

"คนทำผิดไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรมากนะเว้ย มึงก็ต้องยอมไว้ก่อน ไม่งั้นใครเขาจะเชื่อวะว่ามึงสำนึกจริง เพราะฉะนั้น เจ็บมากเจ็บน้อยมึงก็อย่าบ่น เพราถ้ามึงบ่นไม่หยุด ไม่ใช่แค่อะตอมนะเว้ยที่จะไม่เชื่อว่ามึงจริงใจ กูก็จะไม่เชื่อมึงด้วย" พี่โดมเตือนสติผมต่อ เจอไม้นี้ผมก็เถียงไม่ออก

ผมนิ่งเงียบและครุ่นคิด น่าจะหมายความว่าผมคงยอมรับกลายๆ ไปแล้ว

"ไอ้เรื่องนั้นก็เหมือนกันนะเว้ย กูรับปากไม่ได้หรอกว่าจะไม่มีคนรู้ แต่ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นมา มึงก็ต้องทำใจ ยอมรับผิด ห้ามโวยวายเด็ดขาด แล้วก็ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้น มันไม่มีประโยชน์หรอก" พี่โดมไพล่ไปถึงอีกเรื่อง

นี่คือเรื่องที่ผมกลัวมากที่สุด คิดแล้วก็นึกโมโหตัวเองไม่หายที่ปล่อยให้ด้านมืดพาไปจนเตลิด "ถ้ามีคนรู้ ผมจะทำยังไงดีครับพี่โดม"

พี่โดมพลอยหน้าเครียดไปด้วย แต่ถึงจะคิดหาทางออกยังไง ผมก็รู้ว่าคงต้องเจ็บตัวหนักจากเรื่องนี้ ทุกวันผมจึงคอยเฝ้าภาวนาว่าอย่าให้มีคนที่ผมรู้จักรู้เรื่องนี้เลย

"ไม่รู้เว้ย เอาเป็นว่า…มึงอยู่เฉยๆ อย่าโวยวาย ใครถามอะไรก็พูดความจริง เพราะถ้ามึงโกหก เรื่องมันจะไม่จบ แต่มึงไม่ต้องกลัวหรอก เพราะกูเข้าใจมึง ถ้ามึงทำตัวดีๆ กู…จะอยู่ข้างๆ มึงเอง"

"พี่โดม" ผมครางด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครพูดกับผมแบบนี้ แม้กระทั่งที่บ้านของผมเอง ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาเขาคงเอาผมตาย

"ไม่ต้องมากอดกูเลยนะเว้ย เดี๋ยวเขาก็เข้าใจผิดกูอีกหรอก" พี่โดมรีบร้องห้ามเมื่อเห็นผมทำท่าจะโผเข้ากอด

"โธ่พี่ ไหนๆ เขาก็เข้าใจผิดไปแล้ว" ผมพูดกลั้วเสียงหัวเราะ จะว่าไปพี่โดมก็มีมุมน่ารักหลายมุมเหมือนกัน

"ครั้งเดียวกูยังพออธิบายได้เว้ย แต่ถ้าหลายครั้งชิบหายแน่" พี่โดมว่า

"ครับ ไม่กอดก็ได้" ผมรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนพูดทีเล่นทีจริง "แต่…ผมก็ต้องการคนปลอบใจนะพี่"

พี่โดมชะงัก สีหน้าท่าทางที่แสดงออกทำเอาผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แต่พอเอ่ยปากพูดเท่านั้น ผมก็แทบจะหงายหลังตกม้านั่ง "คนที่กูจะปลอบน่ะ ต้องเป็นคนสำคัญเท่านั้นเว้ย"

ผมหน้าเจื่อนจ๋อย รู้สึกน้อยใจที่ตัวเองคงไม่ใช่คนสำคัญคนนั้น ทำได้แค่ยอมรับสภาพ "ครับ"

"เออ ว่าแต่เย็นนี้…มึงรีบไปไหนไหม" พี่โดมเปลี่ยนเรื่อง

"ไม่มีครับ ว่าจะกลับคอนโด อาจารย์ฝากงานเขียนแบบให้ทำส่งพรุ่งนี้"

"ใช้เวลาทำนานไหม"

"ไม่นานหรอก ชั่วโมงเดียวก็น่าจะเสร็จ" ผมบอกไป

"งั้น…เย็นนี้ไปกินข้าวกับกูไหม กูรู้จักร้านอาหารไทยร้านหนึ่ง เขาทำน้ำพริกอร่อยนะเว้ย สนใจเปล่า"

"ชวนผมไปเดตเหรอ" ผมแหย่และยิ้มยียวน

"เดตเหี้ยอะไรของมึง แดกน้ำพริกนี่นะ กูสงสารเด็กตาดำๆ เฉยๆ เว้ย" พี่โดมพูดเฉไฉ

"อ๋อ งั้นก็แสดงว่าพี่โดมอยากปลอบใจผมใช่ไหม" ผมไม่วายแหย่เล่นอีก

"นี่ ปลอบพ่อมึงน่ะสิ" พี่โดมพูดพลางตบหัวผมเบาๆ "จะไปหรือไม่ไป เดี๋ยวกูเปลี่ยนใจนะเว้ย"

"ไปครับพี่" ผมรีบยืนยัน พลางก็หัวเราะไปด้วย

"เออ งั้นรอกูอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูไปเก็บของที่ห้องก่อน"

"ครับพี่" ผมรับคำอย่างว่าง่าย

"เดี๋ยวกูมา อย่าไปไหนนะมึง"

พี่โดมพูดเสร็จก็ลุกขึ้น ไม่นานก็เดินแกมวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร ผมมองตามแล้วก็เผลอยิ้ม เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าความเสียใจเมื่อกี้เริ่มหายไปแล้ว ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าวันพรุ่งนี้ผมจะยังรู้สึกกับอะตอมเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ถ้ามันเปลี่ยนไปได้ก็จะดีไม่น้อย

ไม่ถึงสิบนาทีพี่โดมก็เดินกลับมาหาผม เก็บของคงไม่นานเท่าไหร่ แต่ร่ำลาเพื่อนน่าจะนานกว่า ผมรีบหยุดอ่านเฟสบุ๊คแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมที่จะออกไป "เดตน้ำพริก" กับเทพบุตรสุดหล่อของคณะวิศวกรรมศาสตร์ตุลา

"ไม่ต้องทำหน้าดีใจเว่อร์ขนาดนั้นก็ได้" มาถึงพี่โดมก็ว่า

"ก็ผมอยากกินน้ำพริกไง ไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว" ผมยิ้มเขิน

"ผู้ชายอะไรวะ ชอบแดกน้ำพริก" พี่โดมค่อนขอดอย่างไม่จริงจังนัก

"ผมถึงได้หล่อแล้วก็ผิวดีไง" ผมยิ้มยียวน

"โธ่ อย่างมึงนี่นะหล่อ ถ้ามึงหล่อ อย่างกูจะเรียกว่าอะไรวะ"

"เรียกว่าโคตรหล่อก็ได้ครับ" ผมชมกึ่งหยอก พี่โดมถึงกับชะงักและอึ้งไปชั่วครู่

"ไปได้แล้ว แดกๆ แล้วจะได้รีบกลับมาทำงาน" พี่โดมตัดบท จากนั้นก็เดินนำผมออกไปก่อน ผมรีบเดินตามไปทันที

"แล้วจะไปยังไงล่ะพี่ ไปรถไฟฟ้าเหรอ"

"วันนี้กูเอารถมาเว้ย ร้านที่จะไปมันไม่มีรถไฟฟ้า" พี่โดมหันมาตอบ

"อ๋อ" ผมลากเสียง ก่อนเดินตามพี่โดมไปยังอาคารจอดรถอย่างเงียบๆ

"กูได้ข่าวว่ามึงมีผู้หญิงมาจีบ แต่มึงชอบพูดจาไม่ดีกับเขา ทำไมวะ" จู่ๆ พี่โดมก็ถามเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าไปได้ข้อมูลมาจากไหน แสดงว่าคงสนใจผมไม่มากก็น้อย ไม่งั้นคงไม่รู้เรื่องพวกนี้

"ก็ผมไม่ชอบผู้หญิง" ผมตอบสั้นๆ พี่โดมถึงกับหยุดเดินและหันมามอง ผมจึงถามกลับบ้าง "แปลกเหรอพี่ ก็ผมเพิ่งบอกพี่ว่าผมชอบอะตอม อะตอมเป็นผู้ชายนะพี่"

"เออ ก็จริงว่ะ" พี่โดมเกาหัว ก่อนหัวเราะเก้อๆ พอหยุดก็ถามต่อ "แล้วมึงเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงไหม"

"เคยครับ"

"เมื่อไหร่"

"ตอนมอหก"

"เลิกกันแล้วงั้นสิ" พี่โดมถามอย่างรู้ทัน

"ครับ" ผมยอมรับ

"ปากไม่ดีกับเขางั้นสิ" พี่โดมรู้ทันอีก

"ครับ" ผมหัวเราะแหะๆ

"ไม่ชอบผู้หญิง แล้วมึงจะเสือกมีแฟนเป็นผู้หญิงไปทำไมวะ" พี่โดมสงสัย

"ก็ผมไม่อยากให้ที่บ้านสงสัย" ผมตอบทันควัน

"เขาไม่ยอมรับเหรอถ้ามึง…ไม่ชอบผู้หญิง"

"ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมกลัวไว้ก่อน ป๊าเคยถามผมไงว่าผมมีแฟนหรือยัง ผมกลัวเขาสงสัยก็เลยจีบๆ ไปบ้าง แล้วพี่โดมล่ะ เมื่อก่อนพี่มีแฟนเป็นผู้หญิง แล้วพี่คิดยังไงถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายบ้าง"

"ถามกูตรงๆ อย่างงี้เลยเหรอวะ" พี่โดมทำหน้าอึ้งๆ

"อ้าว แล้วพี่จะให้ผมถามพี่แบบไหนล่ะ ก็ผมอยากรู้เรื่องนี้" ผมย้อนเข้าให้ ก่อนถามซ้ำ "ว่าไงล่ะพี่ พี่คิดยังไงกับเรื่องนี้"

"ก็ไม่ได้คิดอะไรนี่" พี่โดมตอบเสียงเรียบ

"อ้าว แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะพี่"

"มึงเข้ามาเรียนนี่ได้ ก็ไม่น่าจะโง่นะเว้ย ต้องให้กูอธิบายอีกเหรอวะ" พี่โดมเฉไฉอีกตามเคย

"อ้าว ก็ผมไม่อยากเดา เกิดเดาผิดล่ะ"

"ก็เรื่องของมึง"

"งั้น…ผมเดาว่าพี่โอเคกับเรื่องนี้ละกันนะครับ" ผมยื่นหน้าไปยิ้มยียวน

"เออ แล้วแต่มึงจะคิด" พูดจบพี่โดมก็เดินออกไป เหมือนไม่อยากให้ผมเห็นอะไรบางอย่าง

ผมรีบเดินตามพี่โดมไป พลันก็เห็นว่าหน้าพี่โดมดูแดงๆ ผมจึงได้ทีถามกวน "แล้วทำไมพี่ต้องหน้าแดงด้วยล่ะ"

"นี่แน่ะ หน้าแดงเหี้ยอะไรของมึง" พี่โดมตบหัวผมเบาๆ

"อ้าว ก็มันแดงจริงนี่นา แล้วทำไมต้องตบหัวผมด้วย" ผมแกล้งทำเสียงกระเง้ากระงอด พลางก็เอามือลูบหัวเบาๆ ตรงที่โดนตบ

"ปากอย่างนี้ สมควรโดนไหมล่ะ" พี่โดมหันมาว่า

"ไรวะ" ผมแกล้งบ่นเสียงมุบมิบ ถึงอย่างนั้นก็เดินตามไม่ห่าง

"กินเสร็จแล้ว พี่ไปส่งผมที่บ้านได้เปล่า"

"แล้วมึงคิดว่ากูจะให้มึงเดินกลับหรือไง" พี่โดมกวนผมคืนบ้าง

"พี่โดมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก ผมรู้"

"แล้วมึงจะถามทำเหี้ยอะไรวะ" พี่โดมหันมาขึงตาใส่เล็กน้อย

"ก็ชวนคุยไง พี่จะให้ผมเดินไปกับพี่แล้วก็ไม่พูดไม่จาเหรอ" ผมแก้ต่าง

"มึงนี่กวนตีนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย" พี่โดมว่าไม่จริงจัง

"ขอบคุณที่ชมครับพี่" ผมรับสมอ้าง

"ชมเหี้ยอะไร กูด่ามึงเว้ย"

"อ้าว ด่าเหรอ ทำไมผมรู้สึกเหมือนพี่โดมชมผมเลย" ผมแหย่ต่อ

"หุบปากได้แล้ว ไม่งั้นกูจะเปลี่ยนใจ" พี่โดมหันมาขู่

"ครับพี่" ผมหัวเราะ แต่หุบปากได้ไม่นานผมก็อ้าปากถามอีก "ตกลงพี่จะไปส่งผมหรือเปล่า"

"เออ" พี่โดมทำหน้าเหมือนรำคาญ แต่ผมก็เห็นว่าพี่เขาแอบยิ้มด้วย

ความรู้สึกที่ผมมีต่ออะตอม เมื่อคิดทบทวนดูแล้วก็เหมือนความหลง คงเป็นเพราะมันเป็นนายแบบ ภาพของมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นี้ แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่โดมช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ความหลงจนผมนึกอยากจะวิ่งเข้าหาและฉุดแย่งมาจากใคร แต่เป็นความรู้สึกอุ่นๆ บางครั้งก็เย็นๆ ไม่รุ่มร้อนเป็นไฟ เมื่ออยู่ใกล้ก็รู้สึกเย็นใจและอบอุ่นไปด้วย

นี่คือข้อดีของการคบกับคนที่อายุต่างกัน ความรู้สึกแบบนี้ใช่จะหาได้ง่ายๆ จากเพื่อนหรือคนวัยใกล้เคียง นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่ผมอยากได้และตามหามานาน ผู้ชายที่อบอุ่นและเป็นที่พึ่งทางใจให้ผมได้ ถ้าใช่…ก็คงถึงเวลาที่ผมจะปล่อยพันธนาการที่ผูกไว้กับอีกคนซะที

หวังว่าเดตน้ำพริกกับเทพบุตรคณะวิศวะเย็นนี้จะทำให้ผมได้คำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเอง



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:44:34 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กลับตัวกลับใจก็ดีนะอิน แต่ไม่อยากยกพี่โดมให้เลยยย

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ดีใจด้วยที่อินจะปรับปรุงตัว

ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณที่มาต่อครับ

ชอบความละมุน ^^

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อิน คิดได้ก็ดีกับตัวเอง
ทั้งอะตอม พี่โดม ต่างก็พูดตรงกัน
ที่อินชอบอะตอม เป็นความหลงรูปร่างหน้าตามากกว่า
แล้วปักใจว่าเป็นความรัก
รอดูความชอบของอิน จะเปลี่ยนได้มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด