♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♿เข็นรักขึ้นภูเขาᄿ ถ้าผมปล้ำคนพิการจะบาปไหม? - นิยายวายละมุน :)  (อ่าน 92737 ครั้ง)

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP09
พี่ชายจอมหวง (น้องชาย)



<<<DOME>>>

พอเลิกเรียน ผมว่าจะไปหากัปตันที่คอนโดซะหน่อย แต่น้าเล็กโทรมาบอกว่ากัปตันกลับบ้าน จะพาเพื่อนที่เป็นรูมเมทไปด้วย ผมก็เลยเดินทางไปที่บ้านของน้าเล็กแทน รู้สึกแปลกใจที่น้าเล็กยอมให้กัปตันพาเพื่อนมาบ้านเหมือนกัน เพราะปกติน้าสาวผมไม่เคยให้เพื่อนกัปตันไปที่บ้านเลย มันแปลกตรงที่กัปตันเพิ่งรู้จักกับเพื่อนคนที่ว่าได้ไม่นานนี่แหละ แถมน้าเล็กเองก็ยังไม่เคยเจอหน้าค่าตามาก่อน คนหวงลูกชายอย่างน้าเล็กไม่น่าไว้ใจเพื่อนใหม่ของกัปตันง่ายขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นคงต้องมีความพิเศษบางอย่างแล้วล่ะ

ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกอคติต่อเพื่อนน้องชายจึงลดลงไปบ้าง ผมค่อนข้างเชื่อการดูคนของน้าสาว เพราะเธอทำธุรกิจและคลุกคลีกับคนมากหน้าหลายตา มีเทคนิคคัดกรองคนที่เชื่อถือได้แน่นอน

เมื่อมาถึงบ้าน ผมก็เห็นน้าเล็กกับแม่บ้านง่วนกับการจัดเตรียมอาหาร พวกเรามากันกะทันหันไปหน่อย น้าเล็กให้แม่บ้านทำอาหารไม่ทัน ก็เลยสั่งเป็ดย่างเจ้าอร่อยจากร้านประจำมาให้กิน ผมกับกัปตันชอบมาก เวลาญาติมาพบปะกันมักจะสั่งมากินบ่อยๆ แต่วันนี้นอกจากเป็ดย่างแล้ว ก็มียังมีของกินอย่างอื่นที่แม่บ้านช่วยกันทำเพิ่มด้วย

"อ้าวโดม มาถึงไวจัง นั่งก่อนๆ เดี๋ยวน้าให้ป้ามะลิเอาน้ำมาให้ ป้ามะลิจ๋า เอาน้ำมาให้หลานฉันหน่อย" พอน้าเล็กเห็นผมก็ร้องทักและยิ้มกว้าง คนที่บ้านนี้คุ้นเคยกับผมดี ถ้าได้ยินน้าเล็กเรียกว่า "หลานฉัน" ก็จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผม

ผมยกมือไหว้น้าสาว พลางก็กวาดสายตามองไปรอบๆ "กัปตันไม่อยู่เหรอครับ"

"ออกไปซื้อของกับอะตอมตรงคอมมิวนิตี้มอลล์จ้ะ พอดีของที่ซื้อไว้หมดไปหลายอย่าง เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ" น้าสาวพาผมไปนั่งที่โซฟานั่งเล่นและรับแขก ไม่นานน้ำดื่มเย็นๆ จากป้ามะลิก็วางอยู่ตรงหน้า

"หายไปหลายวันเลยนะคะคุณโดม" ผู้สูงวัยกว่ายิ้มทักทายอย่างคุ้นเคย

"ยุ่งๆ ก่อนเปิดเทอมนิดหน่อยครับป้ามะลิ เดี๋ยวก็ได้มาบ่อยๆ เหมือนเดิมแล้วครับ" ผมยิ้มและยกน้ำขึ้นมาดื่มจนพร่องไปครึ่งแก้ว

"วันนี้ป้าทำบัวลอยน้ำขิงของโปรดไว้ให้คุณโดมด้วยนะคะ เสียดายเพิ่งรู้ว่าจะมาเมื่อกี้ ก็เลยไม่ได้ทำอย่างอื่นให้ด้วย"

"ไม่เป็นไรครับป้ามะลิ เอาไว้มาคราวหลังผมจะบอกแต่เนิ่นๆ ครับ วันนี้กินเป็ดย่างหมี่หยกแล้วก็บัวลอยน้ำขิงนี่แหละ กินน้อยๆ จะได้ไม่อ้วนไงครับ"

"จ้า" ป้ามะลิหัวเราะ จากนั้นก็ขอตัวไปเตรียมอาหารต่อ

"น้าเล็กให้กัปตันไปซื้อของเข้าบ้านแล้วเหรอครับเดี๋ยวนี้" ผมหันไปคุยกับน้าสาว

"ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกจ้ะ ตอนแรกน้าว่าจะไปเอง แต่อะตอมเขาอาสาไปช่วยซื้อให้ ก็เลยให้เขาไปกับกัปตัน"

"อ๋อเหรอครับ" ผมพยักหน้ารับรู้ช้าๆ รู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ "น้าเล็ก...รู้จักกับเพื่อนกัปตันนานแล้วเหรอครับ"

เท่านี้น้าสาวผมก็หัวเราะร่วน คงพอเข้าใจเรื่องที่ผมพยายามสื่อ "เพิ่งเจอเขาวันนี้นี่แหละ เขาเป็นคนใช้ได้เลยนะ โดมเคยเจอหรือยัง"

"เจอครั้งเดียวสั้นๆ ครับ ยังไม่ได้คุยกันเลย" ผมทำหน้างงเล็กน้อย แต่ไหนๆ ก็ถามไปแล้ว ผมก็เลยถามต่อ "แต่ถ้าน้าเล็กบอกว่าเขาใช้ได้ แสดงว่า"

"น้าให้กัปตันทดสอบแล้ว" น้าเล็กรีบบอก จากนั้นก็พูดต่อ "ไม่งั้นน้าไม่ให้มาเป็นรูมเมทกัปตันหรอก โดมก็รู้ว่าน้าหวงลูกชายจะตาย"

"ทดสอบยังไงเหรอครับ" ผมอยากรู้

"หลายอย่างเลย ตั้งแต่เรื่องเงิน คนเรานะ ถ้าเรื่องเงินไว้ใจไม่ได้ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว" น้าเล็กเกริ่น ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นน้าเล็กก็พูดต่อ "อย่างเช่น น้าให้กัปตันลองพาเพื่อนไปกินข้าว ไปซื้อของเข้าบ้าน กัปตันบอกน้าว่าอะตอมช่วยจ่าย ออกกันคนละครึ่งทุกครั้ง อย่างวันนี้ก็พากัปตันไปเลี้ยงหนัง โดมรู้ไหมว่าอะตอมเขาให้กัปตันขี่หลังแล้วก็พาไปนั่งที่นั่งแถวกลางด้วย ได้ยินแค่นี้น้าก็สบายใจแล้ว เด็กคนนี้ใช้ได้เลย โดมว่าไหม"

"ครับน้า" ผมพยักหน้ายอมรับ จะว่าไปผมเองก็ยังไม่กล้าทำขนาดนั้น เวลาพากัปตันไปดูหนัง ผมมักจะนั่งกับน้องตรงที่นั่งล่างสุด หรือไม่ก็หาคนมาช่วยยก แต่จะไม่ทำถึงขนาดให้ขี่หลัง ถ้าจะถามว่าทำไม ผมก็ต้องตอบว่าผมอายสายตาคนเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น ผมกับกัปตันก็ไปเที่ยวด้วยกันได้อย่างไม่มีปัญหา

"แล้วก็เรื่องค่าเช่าห้อง กัปตันเขาบอกน้าว่าอะตอมจ่ายได้แค่ห้าพัน มากกว่านั้นจ่ายไม่ไหว ตอนแรกน้าก็จะไม่ยอมแหละ แต่ก็ฉุกใจคิดว่ากัปตันเลือกคบเพื่อนคนนี้จนถึงกับอยากให้มาอยู่ด้วย แสดงว่าเพื่อนคนนี้ต้องมีอะไรดี อีกอย่างกัปตันเขาก็พอดูคนเป็น เพราะน้าสองคนก็ช่วยสอนเขาเรื่องดูคนบ่อยๆ น้าก็เลยตกลง แต่มีข้อแม้ว่าให้เขาทดสอบเพื่อนคนนี้ตามวิธีที่น้าแนะนำก่อน อย่างเรื่องออกเงินค่าห้องห้าพันน่ะ ถ้าเขารู้ว่ามันน้อยไป เขาจะเสนอช่วยอย่างอื่นด้วย กัปตันบอกน้าว่าตอนนี้อะตอมช่วยทำงานบ้านให้หมดเลย กวาดถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ทำกับข้าวให้กัปตันกินด้วย น้าไม่ต้องส่งคนที่บ้านไปทำให้แล้ว เนี่ย เขาเรียกคนไม่เอาเปรียบคน คนที่ไม่ซื่อสัตย์เขาจะตุกติกและตั้งข้อแม้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่นี่ไม่มีเลย คนแบบนี้หายากนะ อ้อ...แล้วอีกอย่าง กัปตันบอกน้าว่าวันที่ไปเรียนวันแรก อะตอมเป็นคนวิ่งมาช่วย แล้วก็ให้กัปตันขี่หลังพาขึ้นบันไดข้างหน้าตึก น้าว่าเด็กคนนี้โอเคเลยนะ มีน้ำใจ ไม่เอาเปรียบ ไม่โกงเพื่อน แล้วก็ขยันด้วย รู้จักทำงานหาเงินเรียนเอง ถ้าหาเงินมาเรียนเองที่ตุลาฯ ได้ น้าก็ว่าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะ"

เห็นน้าสาวผมปลื้มเพื่อนของกัปตันขนาดนี้ ผมก็หายกังวลใจไปมาก ถ้าน้าเล็กหาวิธีพิสูจน์มาแล้วก็ย่อมเชื่อถือได้ ผมพลันนึกถึงเรื่องที่อินบอกเมื่อกลางวัน ข้อมูลที่ได้ฟังช่างต่างกันลิบลับ แสดงว่าเด็กนั่นต้องมีอะไรบางอย่างกับอะตอมและกัปตันแน่ๆ ถึงได้มาใส่ร้ายเพื่อนแบบนี้

"อย่างนี้น้าเล็กก็สบายใจได้แล้วสิครับ"

"ก็หายห่วงไปเยอะเลย น้าน่ะก็อยากให้กัปตันมีเพื่อนนะ แต่ที่ผ่านมา น้าไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนของกัปตันเหมือนอะตอมเลย แล้วกัปตันเองก็ไม่เคยพูดถึงเพื่อนคนไหนแบบนี้เหมือนกัน น้าก็เลยเอะใจไงว่าเพื่อนคนนี้น่าจะมีอะไรพิเศษ แล้วก็พิเศษจริงๆ ด้วย"

ผมไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่าพยักหน้ารับรู้ ก็อย่างที่บอกว่าผมค่อนข้างไว้ใจน้าสาวในเรื่องนี้ "แล้ว...มันจะเป็นไปได้ไหมครับที่เขาจะแกล้งทำเพราะว่า"

"ไม่หรอกโดม" น้าเล็กรีบสวนมาก่อนที่ผมจะพูดจบ "น้ารู้จักคนมาเยอะ กว่าจะมีวันนี้ได้ น้าก็ต่อสู้กับคนโกงสารพัดรูปแบบมาแล้ว ใครก็ตามนะที่ตุกติกหรืออิดออดเรื่องเงิน ถึงจะเล็กๆ น้อยๆ ก็เถอะ คนพวกนี้...คบไปก็จะมีปัญหา น้าก็พยายามถามกัปตันนะว่าอะตอมเขาตุกติก อิดออดหรือโอดครวญอะไรไหม เขาก็บอกว่าไม่มี ขนาดกัปตันชวนมาอยู่เขายังปฏิเสธเลย เพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีตังค์จ่าย เนี่ย...ทัศนคติใช้ได้เลย ไม่คิดจะเอาเปรียบเพื่อน คนอื่นจะทดสอบคนยังไงน้าไม่รู้นะ แต่น้าทดสอบด้วยเรื่องเงิน เพราะเรื่องนี้ทำให้คนมีปัญหากันเยอะที่สุด ถ้าผ่านเรื่องนี้ไม่ได้ ก็คบกันยาก"

"จริงครับน้าเล็ก" ผมพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้งก่อนสัพยอก "แหม...ถ้ากัปตันมีเพื่อนดีขนาดนี้ สงสัยงานนี้พี่ชายจะตกกระป๋องซะล่ะมั้ง"

"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก มีคนมาแบ่งเบาโดมบ้างก็ดีแล้ว จะได้มีเวลาไปหาแฟนไง เจอสักคนหรือยังล่ะ ปีสี่แล้วนะ ยังไม่อยากมีแฟนอีกเหรอ เมื่อวานน้าก็คุยกับแม่เราเรื่องนี้ สงสัยจะกลัวลูกชายขายไม่ออก เป็นไปได้ยังไงกันนะ หน้าตาอย่างโดมนี่...สาวๆ น่าจะชอบเยอะนะ" น้าเล็กถามเรื่องนี้อีกจนได้

ผมยิ้มแห้งๆ และหัวเราะ "เยอะเหมือนกันครับ"

"แต่ยังไม่ถูกใจใครว่างั้น" น้าเล็กพูดดักอย่างรู้ทัน ผมจึงได้แต่หัวเราะเก้อๆ

"ยังครับ"

"เรื่องที่มันผ่านมา ก็ให้มันผ่านไปเถอะโดม" นานๆ ทีน้าเล็กจะพูดถึงเรื่องนี้ ผมรู้ดีว่าหมายถึงอะไร

ผมเป็นเด็กสายวิทย์ เรียนหนังสือหนักมาก ถึงจะหน้าตาหล่อขนาดไหนก็แทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นหรือจีบใคร เสาร์-อาทิตย์ก็เรียนพิเศษ ถ้าว่างก็มักจะพากัปตันไปเที่ยวมากกว่าไปกับเพื่อน พอเข้าตุลาฯ ได้ ผมก็ค่อยๆ ลดความบ้าเรียนลงไปบ้าง จึงพอมีเวลาเหล่สาวบ้าง แต่ยังไม่จีบจริงจัง

จนกระทั่งได้เป็นคิวท์บอย สาวๆ ก็เข้ามาหาเยอะขึ้น ทั้งเข้ามาหาตัวเป็นๆ กับเข้าหาทางออนไลน์ แล้วผมก็มาพลาดกับสาวที่คุยกันทางเฟสคนหนึ่ง เธอสวยและน่ารักมาก เรียนที่มหาลัยในเมืองแห่งหนึ่งไม่ไกลกันนัก เราคุยกันถูกคอดี ก็เลยนัดเจอกัน คบกันอยู่หลายเดือนทีเดียว แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งเธอก็ท้อง ผมตกใจมากเพราะไม่คิดว่าเป็นฝีมือผมแน่

ตอนหลังผมถึงรู้ว่าเธอคบกับผู้ชายระดับนายพลคนหนึ่งอยู่ ทางนั้นมีเมียแล้วแต่ไม่มีลูก ก็เลยมาจ้างแฟนผมให้ผลิตลูกให้ หรือรับจ้างท้องนั่นแหละ อย่าเพิ่งคิดว่าเขาแค่เอาเด็กมาฝากใส่ท้องให้อุ้มแทน แต่ท้องเพราะมีความสัมพันธ์กันโดยที่คนเป็นเมียก็รับรู้ พอเธอคลอดลูกก็มีเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่านั้นอีก เพราะปรากฎว่าลูกหน้าไม่เหมือนพ่อ จนฝ่ายนั้นต้องขอตรวจดีเอ็นเอ ปรากฎว่าเป็นลูกของแฟนผมกับคนอื่น ไม่ใช่นายพลคนนั้น และไม่ใช่ผม

ผมไม่รู้ว่าชีวิตเธอเป็นยังไงบ้างหลังจากที่เลิกกันไป แต่เธอคือรักแรกที่ฝากแผลใหญ่ไว้ให้ เล่นเอาผมขยาดผู้หญิงไปเลย แม้ว่าจะมีเข้ามาหาไม่ขาดสาย แต่ผมก็ไม่จริงจังกับใคร คุยเล่นสนุกไปวันๆ เท่านั้น จนพ่อแม่และญาติๆ เริ่มเป็นห่วงแล้วว่าผมจะขายไม่ออก

กัปตันกับอะตอมกลับมาพอดี ผมกับน้าเล็กจึงยุติการสนทนาเรื่องนี้เพียงเท่านี้ ขณะที่กัปตันกำลังรอรถเข็นที่กำลังเลื่อนลงมาจากที่เก็บด้านบน อะตอมก็กุลีกุจอหอบหิ้วของเข้ามาเก็บในตู้เย็นหรือในครัว ส่วนมากเป็นพวกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มต่างๆ เขาไม่ลืมสวัสดีผมขณะที่หอบของพะรุงพะรังด้วย

พอได้เห็นหน่วยก้านเต็มๆ ของอะตอม ผมก็เริ่มคล้อยตามที่น้าเล็กเล่าให้ฟังมากขึ้น แต่ถึงน้าเล็กกับกัปตันได้ลงมือพิสูจน์มาแล้วระดับหนึ่ง ผมก็ยังอยากพิสูจน์เพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจมากขึ้น



<<<DOME>>>

"เมื่อวานหนุนโทรมาบอกว่าอยากกินทุเรียนทอดน่ะแม่" กัปตันบอกแม่เสร็จก็ตักกินเป็ดย่างและหมี่หยกอย่างเอร็ดอร่อย ร้านเจ้าประจำของเราเปิดมาหกสิบกว่าปีแล้ว เป็นสูตรกวางตุ้งที่มีรสชาติพิเศษกว่าเจ้าไหนๆ ผมกับกัปตันชอบกินด้วยกันทั้งคู่

"ตายจริง พรุ่งนี้แม่มีงานยุ่งทั้งวันเลย ทำไงดี ป๊าก็ยังไม่กลับ" น้าเล็กทำหน้ากังวลเล็กน้อย

"จะซื้อส่งพัสดุไปเหรอครับ" อะตอมถาม ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงแค่อยากรู้เฉยๆ

"ใช่จ้ะ ปกติก็จะส่งไปให้เขาทีละเยอะๆ หนุนเขาชอบกิน ที่อเมริกามันหากินยาก" น้าเล็กอธิบาย

กัปตันมีน้องชายชื่อลมหนุน เรียกสั้นๆ ว่าหนุน น้าสาวกับน้าเขยก็เลยตั้งชื่อลูกชายอีกคนว่าลมหนุน เพราะเมื่อเรือมีกัปตันนำทางแล้วก็ควรจะมีลมหนุนให้เรือเดินทางถึงที่หมายเร็วขึ้น ทั้งสองคนอายุห่างกันสามปี ตอนนี้หนุนเรียนไฮสคูลอยู่ที่อเมริกา พักอยู่กับญาติฝ่ายน้าเขยของผมซึ่งแต่งงานกับคนอเมริกัน กัปตันเคยขอไปเรียนที่เมืองนอกกับน้องชายด้วย แต่น้าเล็กไม่ให้ไป นอกจากเป็นห่วงแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหนุนชอบข่มพี่ชาย มักแสดงท่าทีออกคำสั่งหรือดื้อกับกัปตันบ่อยๆ

"ให้ผมไปส่งให้ไหมครับ พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนช่วงบ่าย ไปได้ครับ" อะตอมอาสาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมว่าจะเสนอตัวซะหน่อย โดนตัดหน้าไปซะแล้ว

"รบกวนหรือเปล่าจ้ะ เดี๋ยวน้าให้เด็กที่โรงงานไปซื้อส่งให้ก็ได้" น้าเล็กบอกอย่างเกรงใจ

"อ๋อ...ไม่รบกวนเลยครับ ผมก็ชอบกิน รู้จักร้านที่ขายอยู่ครับ ของเขาอร่อยมาก ไม่มีกลิ่นหืนด้วยครับ"

"งั้นน้าก็รบกวนหน่อยนะ" น้าเล็กยิ้มด้วยสายตาชื่นชม

"อ้าว แล้วไม่ไปดูกัปตันถ่ายรูปขึ้นเฟสคิวท์บอยเหรอ" ผมถามอะตอม พรุ่งนี้แอดมินเพจตุลาคิ้วท์บอยนัดคนที่เข้าประกวดไปถ่ายรูป จากนั้นก็จะเอาขึ้นให้คนเข้ามากดไลค์ จำนวนคนกดไลค์จะนำมาใช้พิจารณาตัดสินในวันประกวดจริงด้วย

"อ๋อ...ไม่ได้ไปครับพี่" อะตอมตอบหน้าเจื่อนๆ จนผมนึกสงสัยและอยากถามว่าทำไม ก็พอดีกัปตันเอามือมาสะกิดที่ขาผมเบาๆ ซะก่อน

"เดี๋ยวผมส่งไลน์บอกหนุนแป๊บนึงนะครับแม่ เขารอคำตอบอยู่" อยู่ๆ กัปตันก็วกกลับมาพูดเรื่องน้องชายอีกครั้ง ก่อนละมือจากอาหารและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ขยุกขยิก พอกัปตันกดส่ง ผมกลับได้ยินเสียงไลน์ของตัวเองเด้ง ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนส่งมา ซึ่งส่วนมากก็ชวนคุยเล่น ผมจึงกะจะเปิดดูหลังจากกลับบ้านแล้ว แต่แปลกที่กัปตันสะกิดขาผมอีกครั้ง

"แล้วน้องว่าไงล่ะลูก" น้าเล็กถามลูกชาย

"อ๋อ ยังไม่อ่านครับแม่ สงสัยจะยังไม่ตื่นมั้ง ที่นั่นยังเช้าอยู่เลย" กัปตันหันไปตอบแม่

ผมรู้สึกว่าคงมีบางอย่างในข้อความไลน์แน่ๆ จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข้อความที่ส่งมา ปรากฎว่าคนที่ส่งมาให้คือกัปตัน เจ้าตัวเขียนมาบอกผมว่า

"แฟนเก่าอะตอมอยู่คณะนิเทศ ช่วยจัดงานพรุ่งนี้ เขาเพิ่งเลิกกัน อะตอมเลยไม่อยากไปเจอ"

เมื่อได้อ่านข้อความผมก็ถึงบางอ้อ สงสัยจะเป็นหนึ่งในสองสาวปีหนึ่งที่ผมเจอวันที่พากัปตันไปสมัครก็ได้ เอ...ดูเหมือนน้องชายผมจะห่วงเพื่อนคนนี้ซะด้วยสิ ชักยังไงๆ แล้ว

"แล้วกัปตันจะไปถ่ายรูปอะไรเหรอลูก" น้าเล็กวกกลับมาถามเรื่องที่ผมเพิ่งเกริ่นไว้

"อ๋อ...พอดีผมพากัปตันไปสมัครประกวดคิวท์บอยครับน้าเล็ก พรุ่งนี้บ่ายเขานัดให้คนที่เข้าประกวดไปถ่ายรูป แล้วก็จะเอารูปขึ้นเฟส ให้คนมากดไลค์ ใครได้ไลค์เยอะสุดก็มีโอกาสชนะครับ" ผมชิงบอกแทนกัปตัน

"ประกวดคิวท์บอยเหรอ" น้าเล็กทำหน้าไม่เข้าใจ

"ครับ คณะนิเทศเขามีแฟนเพจตุลาคิวท์บอยอยู่ ทุกปีเขาจะจัดประกวดคิวท์บอยหรือว่าผู้ชายหน้าตาดีของมหาลัยน่ะครับ ผมก็เคยประกวดตอนอยู่ปีหนึ่ง น้าเล็กจำได้ไหมครับ ตอนนั้นผมโทรไปบอกให้ญาติๆ ช่วยกันเข้าไปกดไลค์ แล้วผมก็ได้ที่สามไงครับ" ผมทวนความจำให้

น้าเล็กทำท่านึก "อ๋อ...จำได้ๆ ขนาดลูกพี่ลูกน้องของน้า น้ายังโทรไปบอกให้ช่วยไปกดไลค์เลย"

"ใช่ครับ นั่นแหละครับ"

"เอ...แต่..." น้าเล็กหันไปทางลูกชาย สีหน้าดูเครียดๆ จนผมรู้สึกได้ว่าคงมีอะไรบางอย่าง

"คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวนี้สังคมเปิดกว้างขึ้นเยอะแล้ว เขายอมรับคนที่ความสามารถมากกว่าครับ อีกอย่าง...ผมว่ากัปตันเขาก็ดูดีในแบบของเขา วีลแชร์ของเขาก็เท่ดีนะครับ ผมยังชอบเลย ไม่ดูน่าสงสารด้วย เป็นคิวท์บอยได้สบายๆ ที่สำคัญนะครับน้า...กัปตันเขาเป็นคนเก่ง ผมเห็นเขาครั้งแรกผมยังชื่นชมเลย เพื่อนๆ พี่ๆ ที่มหาลัยหลายคนก็ชื่นชมเขา เนี่ย...ผมได้ข่าวว่าพี่ๆ คณะถาปัตย์จะช่วยโปรโมทให้คนไปกดไลค์ให้กัปตันด้วยครับ รับรองคะแนนของกัปตันถล่มทลายแน่ๆ ผมก็มีแฟนคลับอยู่ เดี๋ยวผมจะโปรโมทให้แฟนคลับของผมมาช่วยกันกดไลค์ให้กัปตันอีกแรง อ้อ แฟนคลับของพี่โดมก็มีอีกเยอะนะครับ ถ้าแฟนคลับพี่โดมรู้ว่ากัปตันเป็นน้องพี่โดม ผมว่าคนต้องมากดไลค์ถล่มทลายเลย ใช่ไหมครับพี่โดม" อะตอมหันมาถามผมหลังคุยกับน้าเล็ก

"ใช่ครับน้าเล็ก" ผมรีบยืนยันให้น้าเล็กสบายใจ นึกขอบคุณอะตอมที่หัวไวและนึกออกว่าน้าผมกำลังกังวลเรื่องอะไรกันแน่ น้าสาวผมกลัวกัปตันจะได้คะแนนน้อยเพราะเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งอาจจะทำให้กัปตันน้อยใจและมีปมด้อย หรือไม่ก็เสียความมั่นใจไปเลย ตอนพากัปตันไปสมัครผมก็ลืมคิดเรื่องนี้

"ผมคุยกับพี่ที่เป็นสไตลิสต์ที่สนิทกันไว้แล้วครับ ก่อนประกวด เดี๋ยวเขาจะมาช่วยให้คำแนะกัปตันว่าคนนั่งวีลแชร์ควรใส่เสื้อผ้าแบบไหนถึงจะดูดี พี่เขาบอกว่ามันมีวิธีนะครับ พี่คนนี้เก่งมาก เคยทำงานกับดาราดังๆ มาแล้ว พี่เขาสนใจอยากมาช่วย ไม่คิดตังค์ด้วยนะครับ" อะตอมช่วยสร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง

"โห...ขนาดนั้นเลยเหรอ" น้าสาวของผมยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ ดูท่าทางคงจะเบาใจขึ้นมาก

"ครับ"

ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน ทำไมดูเหมือนรักและเป็นห่วงน้องชายผมมากขนาดนี้ แถมยังรู้จักคิดแม้กระทั่งบางเรื่องที่ผมคิดไม่ถึงด้วย

"แต่เขาไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำประกวดใช่ไหมพี่โดม" กัปตันหันมาถามผม น่าจะถามเล่นสนุกมากกว่า

"ไม่ต้อง เขาให้แต่งตัวแบบไหนก็ได้ที่เป็นตัวเรามากที่สุด แล้วก็แสดงความสามารถหนึ่งอย่างบนเวที" ผมบอกน้องชาย

"แล้วตอนนั้นพี่โดมแสดงความสามารถอะไรเหรอครับ"

"ร้องเพลง" ผมบอกน้องแล้วก็ขำ เพราะตอนนั้นนึกไม่ออกว่าจะทำอะไร ง่ายสุดก็คือร้องเพลงนี่แหละ ผมพอร้องเป็นอยู่ แต่ไม่ถึงกับเพราะมากหรอก

"พี่โดมก็ร้องเพราะอยู่นะ" กัปตันชม

"งั้นมึงก็เล่นกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงดิ" อะตอมเสนอความคิดให้กัปตัน

"เหรอ กูว่าจะวีลแชร์แดนซ์ซะหน่อย"

"เป็นยังไงวะ กูไม่เคยเห็น" คิ้วของอะตอมเลิกขึ้นสูง ดูท่าทางจะอยากรู้มาก

"เดี๋ยวกลับไปกูทำให้ดู" กัปตันขำเบาๆ ผมเคยเห็นกัปตันเล่นวีลแชร์แดนซ์อยู่ เขาใช้วีลแชร์คล่องมาก ถึงขนาดยกล้อหน้าค้างไว้ได้ แถมยังหมุนเป็นวงรอบ หรือทิ้งตัวลงด้านหลังแล้วใช้แขนผลักตัวขึ้นมาได้ด้วย ดูแล้วตกใจเพราะนึกว่าวีลแชร์จะคว่ำทุกที

หลังคุยเรื่องกัปตันไปสักพัก เราก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องชีวิตของอะตอม น้าเล็กเป็นคนถามเข้าเรื่อง เมื่อได้รู้ว่าชีวิตนายแบบคนนี้ลำบากขนาดไหน ผมก็ถึงกับทึ่ง อะตอมเล่าไปจนกระทั่งถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังจะถูกกดดันให้เป็นเด็กเสี่ย อีกหนึ่งสัปดาห์เขาจะต้องให้คำตอบกับพี่เจ้าของบริษัทโมเดลลิ่งแล้ว กัปตันเสนอว่าจะให้อะตอมปรึกษากับป๊า ซึ่งน่าจะให้คำแนะนำในการเจรจากับพี่คนนั้นได้ดีกว่า พวกเราก็เห็นด้วย

เห็นแววตาและท่าทางของน้าเล็กแล้ว ผมก็รู้ว่าเธอทั้งเอ็นดูและชื่นชมอะตอม คงเป็นเพราะเธอเคยลำบากมาก่อน จึงชื่นชมคนที่รู้จักสู้ชีวิต

หลังอาหารเย็นเราก็ทานผลไม้และของหวาน บรรยากาศการพูดคุยยังคงเป็นกันเอง มีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ อะตอมดูจะสนใจเรื่องที่น้าสาวผมสร้างธุรกิจบะหมี่จากเล็กๆ จนใหญ่โตเป็นพิเศษ น้าเล็กชอบเล่าเรื่องนี้อยู่แล้ว เธอจึงเล่าอย่างสนุกและไม่เคยเบื่อ

ถ้าอะตอมเป็นผู้หญิงและเป็นแฟนกัปตัน ต้องนับว่าการพามาเปิดตัวที่บ้านประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะน้าเล็กยอมรับอะตอมเป็นอย่างดี พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็นึกเรื่องที่อินพูดอีกจนได้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่อะตอมจะมาหลอกกัปตันหรอก แต่คิดถึงเรื่องที่ผู้ชายสองคนจะชอบกันต่างหาก เพราะเมื่อสังเกตดูแววตาและวิธีที่อะตอมปฏิบัติต่อกัปตันแล้ว ผมก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง จะว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นแฟนก็ไม่เชิง

จนกระทั่งอะตอมขอตัวไปห้องน้ำ ผมจึงขอตัวตามไปด้วยเหตุผลเดียวกัน ปล่อยแม่กับลูกสองคนนั่งคุยกันไปก่อน โชคดีที่ห้องน้ำอยู่แถวๆ ด้านหลังบ้าน ผมจึงสบโอกาสที่จะคุยกับอะตอมเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็ต้องรออะตอมทำธุระในห้องน้ำเสร็จก่อน

พออะตอมเดินออกมา ผมก็เข้าชาร์จทันที "เมื่อคืนพากัปตันไปเที่ยวผับเหรอ"

อะตอมดูตกใจเล็กน้อย คงไม่คิดว่าผมจะรู้ "พี่โดมรู้ได้ไงครับ"

"คู่อริมึงบอกกู ถ่ายรูปมาให้ดูด้วย" ผมคิดว่าอะตอมน่าจะรู้ดีว่าคู่อริของเขาคือใคร

"ครับ" อะตอมรับคำสั้นๆ

"ทีหลังอย่าทำนะเว้ย น้าเล็กรู้ขึ้นมา กัปตันได้กลับมาอยู่บ้านเลยนะเว้ย เดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนอีก" ผมทำเสียงตำหนิกลายๆ

อะตอมพยักหน้า "ครับพี่ ผมขอโทษครับ"

คำขอโทษของอะตอมช่วยให้ผมพอใจขึ้นมาระดับหนึ่ง ผมจึงลดท่าทางขึงขังลงเล็กน้อย "เออ อย่าให้กูรู้อีกนะเว้ยว่ามึงพากัปตันไปอีก"

"ครับ พี่จะเข้าห้องน้ำหรือเปล่าครับ" อะตอมทำท่าเหมือนจะเดินไป

"เดี๋ยวดิ" ผมร้องห้าม

อะตอมหยุดชะงักและหันมามองอย่างสงสัย ในขณะที่ผมซึ่งเป็นคนที่จะถามกลับรู้สึกประหม่าซะเอง แต่เมื่ออยากรู้และคาใจแล้ว ผมก็ไม่อยากเก็บไว้

"มึงชอบน้องกูเหรอ"

อะตอมทำหน้าตกใจยิ่งกว่าเดิมอีกคราวนี้ หน้ามันซีดๆ ด้วย แถมยังมองผมอย่างกลัวๆ "แล้ว...พี่รู้ได้ยังไงเหรอครับ"

หา! นี่มันกำลังยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ!? ผมย่นคิ้วเข้าหากันแน่น รู้สึกตกใจยิ่งกว่าอะตอมซะอีก "มึงพูดงี้หมายความว่าไงวะ ตกลงมึงชอบน้องกูจริงๆ เหรอ"

"ครับ" อะตอมรับคำกล้าๆ กลัวๆ

"เชี่ย!" ผมเผลอสบถและหน้าเหวอ ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันจะปฏิเสธซะอีก ที่ไหนได้มันกลับยอมรับซะงั้น เล่นเอาผมไปไม่เป็นเลย "นี่มึงจะไม่ปฏิเสธกูหน่อยเหรอวะ"

"ปฏิเสธทำไมล่ะพี่ ก็ผมชอบเขาจริงๆ พี่ถามผมตรงๆ ผมก็บอกพี่ตรงๆ ไม่ดีเหรอครับ"

ผมโดนย้อนอีกดอก แต่จะว่าไปก็จริงของมันนั่นแหละ ถ้ามันโกหกสิผมควรจะต้องกลัว แต่พอนึกได้ว่าสองคนนี้พักด้วยกัน ผมก็นึกกลัวบางอย่างขึ้นมาทันที "แล้ว...มึงทำอะไรน้องกูหรือเปล่า"

"ทำอะไรเหรอครับ" อะตอมถามงงๆ

ผมทำหน้ายุ่งยากใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง ทีอย่างนี้มันทำไร้เดียงสา สุดท้ายผมก็เลยตัดสินใจกัดฟันพูดตรงๆ "ก็...มีอะไรกันไง"

"เฮ้ย! ยังครับพี่" อะตอมถึงกับสะดุ้งโหยง

"จริงนะเว้ย" ผมถามย้ำเสียงเข้ม

อะตอมพยักหน้า "จริงครับพี่"

"แล้วกัปตันชอบมึงหรือเปล่า" ผมรุกต่อ

"ไม่รู้ครับ"

"แล้วกัปตันรู้ไหมว่ามึงชอบกัปตัน" ผมซักเสียงเข้ม

"รู้ครับ"

"ฉิบหาย แล้วตกลงพวกมึงสองคนเป็นอะไรกันแน่วะ" ผมชักงง อะตอมชอบกัปตัน แต่ไม่รู้ว่ากัปตันชอบตอบหรือเปล่า ในขณะที่กัปตันก็รู้ว่าอะตอมชอบตัวเอง แล้วตกลงสถานะของสองคนนี้คืออะไรกันแน่

"เพื่อนกันครับ"

"เพื่อนเหรอ" ผมทวน แต่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่

"ครับ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันอยู่ครับ แต่ต่อไป...อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้"

"น้องกูเป็นอย่างนี้ มึงชอบจริงๆ เหรอ" ผมไม่แน่ใจนักว่าเด็กหนุ่มนายแบบอย่างอะตอมจะสามารถมีความรักที่จริงจังกับกัปตันได้ หน้าตามันก็ดี แถมยังเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง อยู่ดีๆ มาชอบน้องผมซึ่งเป็นผู้ชาย แค่คิดก็แปลกแล้ว

"ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ กัปตันเขาน่ารักจะตาย ทำไมผมจะชอบเขาไม่ได้ล่ะพี่" อะตอมย้อน

"กูไม่รู้เว้ย แต่อย่าให้กูรู้นะเว้ยว่ามึงทำน้องกูเสียใจ มึงคิดให้ดีๆ ซะก่อน เพราะถ้ากัปตันเกิดชอบมึงขึ้นมา แล้วมึงก็เกิดเปลี่ยนใจ กัปตันมันจะเสียใจมากนะเว้ย มึงต้องเข้าใจด้วยว่ามันไม่เหมือนคนอื่น"

คราวนี้อะตอมเงียบและครุ่นคิด ไม่พูดหรือรับปากง่ายๆ เหมือนเมื่อกี้แล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าท้ายที่สุดมันจะรักกัปตันจริงไหม แต่ถ้ามาหลอกน้องผมแล้วล่ะก็ ข้ามศพผมไปก่อน

"มึงยังไม่ต้องตอบตอนนี้หรอก ไปถามใจตัวมึงเองให้ดีๆ ก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ เพิ่งรู้จักกันไม่นานเองนะเว้ย จะรีบไปไหนวะ ได้คำตอบแล้วค่อยมาบอกกู ถ้ามึงรักน้องกูจริงและทำให้กูเชื่อใจได้ กูจะช่วยมึง แต่ถ้าไม่...กูจะขัดขวางทุกวิถีทาง กูพูดจริงนะเว้ย" ผมขู่ ก่อนจะเตือน "กลับเข้าไปได้แล้ว"

"ครับพี่" อะตอมยิ้มบางๆ ให้ผม แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมพูดจะรบกวนใจมันไม่น้อย เพราะอะตอมยังทำหน้าเครียดๆ และครุ่นคิด

พออะตอมเดินไปแล้วผมก็พ่นลมหายใจเบาๆ คิดๆ แล้วก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ หวังว่าผมคงจะไม่ต้องมีน้องเขยเป็นผู้ชายขึ้นมาจริงๆ ในอนาคตอันใกล้ซะล่ะ

แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางของกัปตันที่มีต่ออะตอมแล้ว แนวโน้มที่จะเป็นไปได้ก็มีสูง!



TBC

// อ่านจบแล้วชอบ อย่าลืมบวกเป็ดนะครับ :)
// ตอนต่อไปมาวันอาทิตย์ครับ
// ฝากคอมเมนต์นิยายสม่ำเสมอถ้าเป็นไปได้นะครับ ตอนที่แล้วหายไปเยอะมากจนตกใจเลย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:42:34 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
อ่าน3ตอนรวด นังอินนนนนนนน


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณที่มาต่อครับ
ชอบตอนนี้ อบอุ่นดีครับ

ตอนที่แล้ว อ่านแล้วหน่วงๆใจ
แอบหวังว่าตอนต่อไป จะไม่ดราม่าคับ ^^

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
ขำช่วงท้ายหน้าห้องน้ำอะ 555 ถามตรงๆก็ตอบตรงๆ 555 อะตอมทำดีแล้ว
 รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ค่อยๆเรียนรู้กันนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
พี่โดมตั้งป้อมเสียแล้ว แต่ดูท่าทางไม่น่าฝ่ายากเท่าไหร่
มีความรู้สึกว่าเรื่องอินต้องแดงขึ้นในภาวะ dilemma situation ชัวร์!
อยากรู้ตอนต่อไปไวๆ มากเลยค่ะ

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
อะตอมชัดเจนดีจัง แอบกลัวถ้ากัปตันรู้เรื่องอินเลย สงสารน้องงง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โชคชะตาพาคนสองคนมาเจอกัน มีความรู้สึกดีต่อกัน

กัปตันน่ารักนะ จิตแข็งพอสมควรเลย พ่อสอนมาดี ถึงแม่จะเข้มงวดไปนิดก็เหอะ แต่เค้าเคยพลาด

อะตอมสู้คน สู้งาน ไม่มีก็บอกไม่มี ไม่ถูกเงินหลอม ใครจะว่ายังไงแต่เค้าไม่ได้ให้เงินใช้นี่นา
ชัดเจนดี ออกตัวแรงมาก 55555

โดมก็ยังเป็นคนอื่นอยู่ดี ถึงจะหวง จะห่วง แต่ความอายก็ยังมี ไม่แปลกหรอก กัปตันยังเป็นเลย

อินคนบ้า ชอบอะตอมอยู่ล่ะสิ ถึงหงอกับเค้าขนาดนั้น แถมยังมาเนียนอีก ร้ายมาก




ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP10 (Part 1)
โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์



<<<CAPTAIN>>>

บรรยากาศงานถ่ายภาพผู้สมัครตุลาคิวท์บอยวันนี้คึกคักไม่น้อย รวมๆ แล้วมีน้องใหม่มาสมัครกันเป็นร้อย ต่อมาทางผู้จัดได้คัดเลือกเหลือห้าสิบคน ซึ่งก็คือคนที่มาถ่ายภาพในวันนี้ ผมเองก็แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะติดมากับเขาด้วย นึกว่าจะโดนคัดออกตั้งแต่รอบแรกซะแล้ว

เงื่อนไขสำหรับการถ่ายภาพคือทุกคนต้องแต่งชุดนิสิต ห้ามแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางค์ใดๆ ต้องหล่อธรรมชาติเท่านั้น แม้กระทั่งเจลใส่ผมก็ห้ามใส่ นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมคำพูดสั้นๆ ไม่เกินหนึ่งร้อยตัวอักษรมาด้วย เป็นข้อความเชิญชวนให้คนใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่า ทั้งภาพและข้อความนี้จะโพสต์ขึ้นไปพร้อมกัน ใครได้ไลค์เยอะสุดจะได้รางวัลขวัญใจมวลชน แถมยังจะได้คะแนนฟรีซึ่งจะนำไปบวกเพิ่มในวันประกวดจริงด้วย

สถานที่ถ่ายรูปเป็นลานใกล้ๆ พระรูปด้านนอก เน้นแสงธรรมชาติ สีเขียวของใบไม้ สีฟ้าของท้องฟ้าและบรรยากาศร่มรื่นภายในมหาลัย นิสิตที่มาถ่ายรูปรวมตัวกันอยู่ใต้อาคารแห่งหนึ่งใกล้สระน้ำใหญ่ หลังจากรุ่นพี่คณะนิเทศให้ข้อมูลว่าจะต้องทำอะไรบ้างแล้ว นิสิตก็ทยอยออกไปถ่ายรูปตามคิวทีละคน คนที่ถ่ายรูปเสร็จแล้วจะเลือกรูปที่ดีที่สุดของตัวเองหนึ่งรูป เสร็จขั้นตอนนี้ก็สามารถกลับได้ แต่ส่วนมากยังนั่งดูเพื่อนๆ คนอื่นๆ ถ่ายรูปต่อ

“โห มหาลัยเรามีแต่คนหล่อๆ เยอะเลยนะเนี่ย” น้ำหวานตาโตไปกับหนุ่มหล่อที่เดินว่อนไปมา ถึงเธอจะเป็นหญิงแกร่งบึกบึน แต่ก็ยังชอบดูชายหนุ่มหล่อๆ

“กูไม่ค่อยมั่นใจเลยว่ะ” ผมออกอาการประหม่า เพราะทุกคนที่มาล้วนแต่หล่อและหุ่นดีๆ ทั้งนั้น มีผมแตกต่างอยู่คนเดียว ถึงจะฝึกจิตใจมาขนาดไหนก็ยังกลัวๆ

“เฮ้ย…มึงผ่านรอบห้าสิบคนมาได้ ก็ไม่ธรรมดาแล้วนะเว้ย กลัวทำไมวะ มึงเห็นไหม ไม่มีใครขาวสู้มึงได้ ปากมึงก็แดงมากกว่า หน้าก็หวานกว่าอีก มาตรฐานคิวท์บอยชัดๆ ข้อความที่มึงเขียนก็โคตรเด็ด” แบงค์พยายามให้กำลังใจ ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ลึกๆ ก็ยังประหม่าอยู่ดี

“เออ ไหนมึงเอาข้อความที่มึงเขียนมาอ่านอีกทีสิ” น้ำหวานยื่นมือมาขอสมุดที่ผมถือไว้ ผมจึงส่งให้เธอดูอีกครั้งว่าผมเขียนอะไร จากนั้นน้ำหวานก็อ่านเสียงเจื้อยแจ้ว “สามอย่างที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า คือ ทรัพยากรธรรมชาติ ความดีและศักยภาพของคน แค่นี้โลกเราก็จะดีขึ้นและน่าอยู่แล้วครับ เฮ้ย…ดีนะเว้ย แค่คำคมมึงก็ชนะแล้ว นี่มึงคิดเองเลยเหรอวะ”

“เออ อะตอมช่วยตบๆ ให้นิดหน่อย แต่ไม่ได้ลอกใครมาแน่นอน เพราะถ้ากูไปลอกเขามา กูก็ใช้ความดีไม่คุ้มค่าเว้ย” ผมโวอย่างภูมิใจ

วันนี้น้ำหวานกับแบงค์มาเป็นเพื่อนผม กวินมีธุระเรื่องเอกสารการเรียนจึงแยกตัวไป ส่วนอะตอมออกไปงานเดินแบบ แต่จะแวะส่งทุเรียนทอดให้น้องชายผมก่อนไปงาน เสร็จงานเดินแบบแล้วอะตอมก็จะกลับบ้านที่บางแค วันอาทิตย์เย็นๆ ถึงจะกลับ เพราะเขาต้องไปแวะไปดูแลพ่อบ้าง แม้ว่าตอนนี้จะมีเมียใหม่อายุคราวลูกมาอยู่กับพ่อก็ตาม แปลว่าผมจะไม่ได้เจออะตอมอย่างน้อยๆ ก็สองวันเต็มๆ

“เฮ้ย นั่นมันไอ้อินนี่หว่า มันมาทำไมวะ” น้ำหวานอุทานพลางมองไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินแกมวิ่งเข้ามา

“มันสมัครด้วยเหรอวะ” แบงค์มองตามด้วยแววตาสงสัย

“มันมาหาคนรู้จักแถวนี้มั้ง” ผมบอกเพื่อนด้วยท่าทางหวาดระแวง แค่ได้ยินชื่อมันผมก็แขยงแล้ว

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ อินหันมาเห็นพวกเราสามคนนั่งอยู่พอดี มันจึงรีบเดินเข้ามาหา สีหน้ามีรอยยิ้ม แต่ก็ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจนัก

“ไง ลงสมัครด้วยเหรอมึง” อินร้องทักผมเป็นคนแรก พวกเราสามคนมองหน้ากันไปมา เพราะต่างคนต่างก็ไม่แน่ใจว่าอินจะมาหาเรื่องหรือเปล่า

“อย่าบอกนะว่ามึงก็สมัครด้วย” น้ำหวานถามกลับ

อินนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพวกเรา มันยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์ ซึ่งก็เป็นบุคลิกของมันอยู่แล้ว “เออ เกือบไม่ทันแน่ะ สมัครเป็นคนสุดท้ายพอดี”

ถ้าอินอ่านแววตาของพวกเราออก มันคงจะรู้ว่าพวกเรากระอักกระอ่วนใจที่มีมันมานั่งอยู่ด้วย แต่ดูเหมือนมันจะไม่แคร์เท่าไหร่

“อืม ก็ดี” น้ำหวานพูดสั้นๆ จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบและไม่มองหน้าอิน

“อ้าว อะตอมไปไหนซะล่ะ หรือว่าวันนี้โดนทิ้งอีกแล้ว” อินหันมาถามผม ยิ้มเยาะไปด้วย

“เฮ้ยไอ้อิน มึงมีปัญหาอะไรกับกัปตันเหรอวะ พูดกับมันดีๆ ไม่ได้หรือไง” แบงค์ชักจะเหลืออดแทนผม

“อะไร กูถามเฉยๆ แค่นี้ จะโวยวายทำไมวะ” อินเถียง ชักสีหน้าไม่พอใจ

“นี่เรียกว่าถามดีๆ เหรอวะ กูเห็นมึงพูดกวนตีนมันทุกวันเลยนะเว้ย หรือว่ามึงอิจฉามันที่มันสนิทกับอะตอม มึงอย่านึกว่ากูไม่รู้ ตอนรับน้องน่ะ…กูเห็นนะเว้ย” แบงค์ยิ้มเยาะบ้าง สิ่งที่มันพูดทำให้ผมอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่ามันเห็นอะไร

อินหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่สักพักมันก็แค่นหัวเราะและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “รู้ก็ดีแล้ว”

“แล้วมึงคิดว่าอะตอมมันจะเอามึงเหรอ” แบงค์ว่าต่อ

อินชะงัก มันเปลี่ยนมานั่งตัวตรงแล้วยิ้มมุมปาก “เอาหรือไม่เอากูไม่รู้ รู้แต่ว่า…ลีลามันใช้ได้เลยเว้ย”

คราวนี้อินหัวเราะเสียงดัง ก่อนที่มันจะลุกเดินหนีไปนั่งที่อื่น อากาศตรงนี้จึงเบาลงและหายใจง่ายขึ้นหน่อย

“มันหมายความว่าไงวะ” น้ำหวานสงสัย

“อย่าไปสนใจมันเลย มันก็เพ้อเจ้อไปงั้นแหละ กูรู้ว่าอะตอมไม่เอามันหรอก อีกอย่าง…อะตอมมันชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชายซะหน่อย”

แบงค์คงพูดไม่ทันระวัง แต่ก็ดีที่ทำให้ผมได้คิด ที่จริงอะตอมชอบผู้หญิงมาตลอด ขนาดหนังโป๊มันยังดูชายหญิง อยู่ดีๆ จะมาชอบผู้ชายอย่างผมก็คงแปลก บางทีอาจจะเป็นแค่โฟรแมนซ์ก็ได้ อย่าว่าแต่อะตอมเลย ผมก็คิดว่าตัวเองก็อาจจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน

ผมกับน้ำหวานมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในบรรดาเพื่อนสามคนนี้ มีน้ำหวานนี่แหละที่เชื่อว่าอะตอมน่าจะคิดกับผมเกินเพื่อนมากกว่าใคร ในขณะที่แบงค์และกวินแค่แซวเล่นสนุกๆ แต่น่าจะไม่คิดจริงจังเท่ากับน้ำหวาน

“พี่โดมมา” น้ำหวานร้องบอกและยิ้มดีใจ

เมื่อพี่ชายผมปรากฎขึ้น ผมก็รู้สึกถึงความปลอดภัยขึ้นมาทันที พี่โดมเดินแกมวิ่งขึ้นมาหาผมกับเพื่อน เมื่อนั่งลงร่วมโต๊ะก็รีบออกตัว “ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย เพิ่งคุยกับเพื่อนเสร็จ แล้วนี่ถ่ายไปหรือยัง”

“ยังครับพี่ แต่ใกล้แล้ว เขาเรียงตามหมายเลขผู้สมัครครับ” ผมบอกพี่ชาย

“เมื่อกี้ไอ้อินมันมาพูดกวนตีนกัปตันอีกแล้วค่ะพี่โดม” น้ำหวานได้โอกาสก็ฟ้องซะเลย

“ไหน มันอยู่ไหน แล้วมันมาทำไม” พี่โดมถามพลางหันไปมองหา

“มันสมัครคิวท์บอยเหมือนกันค่ะพี่ โน่น…นั่งอยู่ตรงนั้น” น้ำหวานชี้บอก

“เดี๋ยวพี่มานะ” พี่โดมพูดจบก็ลุกขึ้น ก่อนเดินปรี่ไปหาอินซึ่งกำลังนั่งคุยกับผู้สมัครคนอื่นๆ ที่รอคิวอยู่ไม่ไกลนัก ระยะขนาดนี้ พอทำให้เราได้ยินการสนทนาของพี่โดมกับอินบ้าง

“ไหนว่ามึงรับปากกับกูแล้วไงว่าจะไม่หาเรื่องน้องกูอีก”

อินดูตกใจที่จู่ๆ พี่โดมก็ปรากฎตัวให้เห็น มันรีบลุกขึ้นและแก้ตัว “อะไรพี่ ผมเปล่าหาเรื่องซะหน่อย พี่ไม่ให้ผมเรียกไอ้เป๋ ผมก็ไม่เรียกแล้วไง เมื่อกี้ผมแค่คุยกับมันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย พี่จะเอาอะไรอีกล่ะ”

“มึงอย่ามากวนตีนกูนะเว้ย” พี่โดมชี้หน้าด้วยท่าทางเอาเรื่อง “ถ้ากูได้ยินอีกครั้งเดียว มึงกินน้ำพริกไม่ได้แน่ๆ”

“อยากให้กัปตันโดนหลอกเหรอ” อินพูดสวน

“มึงอย่ามาเสี้ยมนะเว้ย”

“ผมไม่ได้เสี้ยม ผมพูดเรื่องจริง” อินเถียงคอเป็นเอ็น “พี่ก็โดนสาวหลอกไปคนหนึ่งแล้ว ยังจะให้น้องโดนหลอกอีกคนเหรอ”

“ไอ้เหี้ย” พี่โดมสบถอย่างโกรธจัด เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ดีที่ยังหักห้ามใจไม่ให้ทำร้ายมันได้ “ดี! ถ้ามึงไม่หยุด อะไรที่มึงเคยทำไว้ กูจะเอามาประจานให้หมด!”

ขู่เสร็จพี่โดมก็เดินกลับมาหาพวกเรา ส่วนอินหน้าซีดไปเลย ดูเหมือนจะกลัวคำขู่ของพี่ชายผมไม่น้อย กลับมาถึงพี่โดมก็พูดอย่างหัวเสีย

“ไอ้เด็กเหี้ยเอ๊ย มึงเจอกูแน่”

“พี่โดมจะประจานอะไรมันเหรอคะ” น้ำหวานสงสัย ถือเป็นการถามแทนพวกเราไปด้วย

“เดี๋ยวพี่จะส่งให้ดู” พี่โดมพูดสั้นๆ เพราะอารมณ์ยังคุกรุ่นอยู่ ผมเข้าใจดีเพราะรู้ว่าพี่โดมฝังใจกับเรื่องผู้หญิงคนนั้นมากแค่ไหน ไม่รู้ว่าไอ้อินรู้ได้ยังไง

“หมายเลขยี่สิบสองค่ะ อยู่ไหมคะ” เสียงขานหมายเลขของผมดังขึ้น เมื่อพวกเราหันไปมองก็เห็นอั้มมายืนรออยู่และเมียงมองหาผม แม้จะเพิ่งเลิกกับอะตอมได้ไม่กี่วัน แต่ผมก็ไม่เห็นร่องรอยความเศร้าในดวงตาคู่สวยเลย

พวกเราทั้งหมดลุกขึ้นและเดินตามอั้มไป ทิ้งความขุ่นเคืองใจไว้แค่ตรงนี้ ผมแยกไปลงทางลาดข้างๆ บันได เวลาลงผมจะยกส่วนหน้าของวีลแชร์ขึ้นและปล่อยให้ล้อไถลลงไป อาศัยมือบีบจับวงล้อโลหะช่วยควบคุมความเร็ว

ไม่นานพวกเราก็มาอยู่ทางเดินริมสระน้ำใหญ่ มีตากล้องและทีมงานส่วนหนึ่งรออยู่แล้ว แต่แปลกที่ไม่เห็นพี่สาวสองคนนั้นเลย สงสัยจะติดงานอื่น

“เจ๋งว่ะน้อง เดี๋ยวพี่จะถ่ายภาพน้องให้สุดฝีมือเลย” พี่ช่างภาพผมยาวบอกผมด้วยสีหน้าชื่นชม ผมได้ยินคนที่มาสมัครเรียกกันว่าพี่โป้ง เป็นนิสิตในคณะนิเทศนี่แหละ อยู่สาขาภาพยนต์และภาพนิ่ง

พี่โป้งเดินวนรอบๆ ตัวผมเพื่อช่วยหามุมที่ดีที่สุดให้ จากนั้นก็ช่วยจัดท่าทางและลองถ่ายดูสองสามรูป แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกใจเพราะพี่แกยังมุ่นคิ้วอยู่ “เมื่อกี้พี่เห็นเรายกล้อลงมาจากทางลาด แสดงว่าเราน่าจะทำอะไรผาดโผนได้ใช่ไหม”

“ครับพี่”

“งั้นลองทำให้พี่ดูหน่อย พี่ว่านั่งวีลแชร์เฉยๆ มันไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่ เรามีความแตกต่างจากคนอื่น ก็ต้องมีวิธีนำเสนอที่แตกต่าง จะได้ดูน่าสนใจไง” พี่โป้งให้เหตุผล

ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็ยกล้อหน้าวีลแชร์ขึ้นและหมุนควงเป็นวงกลม ตามด้วยการเล่นหวาดเสียว ผมทิ้งน้ำหนักลงไปด้านหลัง วีลแชร์ผมทำท่าเหมือนจะหงายหลัง ก่อนใช้มือดันพื้นและยันวีลแชร์กลับมาเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว ทำสลับกันทั้งซ้ายและขวา สาวๆ กรี๊ดกันลั่น น่าจะกลัววีลแชร์ผมหงายหลังมากกว่าอย่างอื่น แต่ผมก็ฝึกมาดีจึงไม่กลัว อีกอย่างวีลแชร์ที่แม่ผมซื้อให้คุณภาพดีมาก ทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ แข็งแรงและเบามาก จึงช่วยให้ผมเล่นผาดโผนกับมันได้อย่างไม่ต้องกังวล

พี่โป้งถ่ายรูปเสร็จก็ถอดแฟลชการ์ดออก ก่อนส่งให้นิสิตที่ดูแลคอมพิวเตอร์ก๊อปปี้ภาพของผมลงเครื่อง จากนั้นก็ให้ผมดูภาพถ่ายเพื่อเลือก น้ำหวาน แบงค์และพี่โดมมาช่วยดูและให้ความเห็นด้วย ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าให้เลือกรูปที่ผมเอามือยันพื้นและวีลแชร์หงายไปข้างหลัง เพราะรอยยิ้มสดใส แถมยังดูมีพลังซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวด้วย

“ถ้ายังไม่ชอบ พี่ถ่ายให้อีกได้นะ ให้เป็นพิเศษเลย” พี่โป้งบอกพวกเรา

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมว่ารูปนี้โอเคเลย พี่ถ่ายภาพสวยมากนะครับ ขอบคุณนะครับพี่” ผมหันไปยิ้มให้พี่โป้งที่มายืนสมทบด้วยสายตาชื่นชม

“ยินดีครับ” พี่โป้งยิ้มเขินๆ “อ้อ พี่ขอเบอร์เราไว้หน่อยได้ไหม เดี๋ยววันหลังพี่จะให้มาช่วยเป็นแบบให้หน่อย พี่มีโปรเจกต์ทำงานส่งอาจารย์ชิ้นหนึ่ง พี่ว่าเราเหมาะกับงานชิ้นนี้มากเลย เดี๋ยวพี่นัดคุยรายละเอียดให้ฟังทีหลัง”

“ได้ครับพี่” ผมพยักหน้าตกลง ก่อนบอกเบอร์ให้พี่โป้งบันทึกลงโทรศัพท์ พร้อมกับโทรเช็คให้แน่ใจด้วย

“ถ้างั้นผมไปแล้วนะครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้และหันไปยิ้มขอบคุณทุกคน มีคนชมผมว่านักรักแว่วมาให้ได้ยินด้วย

เสร็จจากตรงนี้พี่โดมก็พาพวกเราไปเลี้ยงขนมที่ตุลาสแควร์ ถือโอกาสคลายเครียดจากเรื่องที่ไอ้อินมากวนตีนไปด้วย ผมแอบนึกเป็นห่วงพี่โดมเรื่องที่โดนอินว่าถูกสาวหลอกเหมือนกัน เพราะพี่โดมฝังใจกับเรื่องนี้พอสมควร เป็นเหตุให้เจ้าตัวยังไม่มีแฟนจนป่านนี้ ถ้าผมเดินได้คงต่อยปากไอ้อินสักสองสามหมัดไปแล้ว

กินขนมเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกัน พี่โดมจะไปกับเพื่อนต่อ น้ำหวานกับแบงค์จะกลับหอพัก ส่วนผมว่าจะกลับบ้านเพราะวันเสาร์นี้ป๊าจะกลับแล้ว ก่อนแยกย้าย น้ำหวานกับแบงค์เดินมาส่งผมที่หน้ามหาลัยด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าผมข้ามถนนได้อยางปลอดภัย วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาเพราะเบื่อหาที่จอด ที่นี่มีที่จอดรถค่อนข้างน้อย

“กูว่ามึงเนี่ย…น่าจะเป็นสเป๊คเกย์นะเว้ย” น้ำหวานพูดพลางขำเมื่อเรามาถึงหน้ามหาลัยและรอจังหวะข้ามถนน

“ทำไมวะ” ผมทำหน้างง

“อ้าว พี่โป้งเขาดูชอบมึงมากเลยนะเว้ย มึงไม่เห็นเหรอ” น้ำหวานเฉลย

“หมายความว่าไงวะ”

“อย่าไปเชื่อน้ำหวานมันมาก พี่เขาไม่เป็นหรอก ดูไม่เห็นเหมือนเลย” แบงค์แย้งพลางขำ

“มึงเชื่อกูดิ เกย์เดี๋ยวนี้เขาไม่จำเป็นต้องตุ้งติ้งนะเว้ย กูดูไม่เคยพลาด พี่โป้งเนี่ย…เป็นชัวร์” น้ำหวานคุยโว ผมได้แต่ยิ้มๆ และไม่ต่อความ เมื่อ รปภ. โบกรถได้แล้วเราจึงเดินข้ามถนนและหยุดพูดคุยเรื่องนี้

ส่งผมเสร็จแล้ว น้ำหวานกับแบงค์ก็แยกเดินไปทางหอพัก ส่วนผมเดินทางต่อคนเดียว ขณะที่กำลังเข็นๆ ไปอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งตามหลังมา สักพักคนๆ นั้นก็มาดักหน้าผม ไอ้อินนั่นเอง ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่

ผมหยุดรถและมองมันด้วยสายตาขุ่นเคืองใจ “อะไรอีกวะ”

“กูมีเรื่องสำคัญจะบอกมึงเว้ย” อินยิ้มแปลกๆ

“มีอะไรก็ว่ามา” ผมชักรำคาญ

"มึงอยากรู้ไหมว่าคืนนั้นที่กูพาอะตอมกลับห้อง กูกับอะตอมสองคนทำอะไรกัน" อินยิ้มอย่างมีเลศนัย มันหน้าหล่อก็จริง แต่บุคลิคของมันเล่นบทตัวโกงได้สบายเลย

"ไม่อยากรู้เว้ย มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนกูไม่ใช่เหรอ ถึงเพื่อนกูจะมีอะไรกับมึง ก็_วยมัน ไม่ใช่_วยกูเว้ย" ผมบอกไปอย่างรำคาญ แรกๆ ก็กลัวมันอยู่หรอก แต่หลังๆ ผมชักรำคาญที่มันชอบมากวนใจ

อินชะงัก ท่าทางมั่นใจเมื่อกี้ลดวูบจนดูไม่มั่นคง แต่ไม่นานก็ยิ้มแสยะหรืออะไรทำนองนั้น "เป็นอย่างนี้แล้วยังปากดีอีกนะมึง"

“มีแค่นี้ใช่ไหม” ผมถามเสียงห้วน

“เออ อ้อ…กูบอกมึงไว้ก่อนนะเว้ย กูไม่ปล่อยอะตอมให้มึงง่ายๆ หรอก คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะได้เป็นแฟนมันก่อนกัน แต่ที่แน่ๆ มันเสร็จกูไปแล้ว”

อินหัวเราะแล้วก็เดินหนีไป ตอนนี้ผมเข้าใจชัดเจนแล้วว่าอินต้องการอะไรกันแน่ ที่แท้มันแอบชอบอะตอมและพยายามจะกันผมออกไปนี่เอง แต่เรื่องที่มันบอกก็น่าตกใจไม่น้อย คืนนั้นอะตอมกับอินมีอะไรกันจริงหรือเปล่า

ถ้าใช่…ผมควรจะยอมรับเรื่องนี้ยังไงดี?



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:42:58 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP10 (Part 2)
โฟรแมนซ์หรือโรแมนซ์



<<<CAPTAIN>>>

สองวันที่ไม่เจออะตอม ผมรู้สึกว่าชีวิตผมแปลกไปจนรู้สึกได้ ไม่รู้ว่าชีวิตผมเริ่มชินกับการมีมันอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อมันไม่อยู่ แค่ลืมตาตื่นผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปแล้ว เพราะไม่มีคนนอนอยู่ใกล้ๆ และตื่นมายิ้มให้กัน ถ้าวันไหนผมขี้เซามันก็จะมาปลุก แต่ไม่ปลุกเฉยๆ หรอก มันแกล้งผมด้วย ยิ่งเห็นผมโวยวายมันยิ่งชอบ แต่สองวันนี้ผมตื่นขึ้นมาเผชิญโลกอย่างเหงาๆ

ดูเหมือนผมจะชินที่มีอะตอมคอยอยู่ใกล้ๆ ไปแล้ว ขนาดหายไปแค่สองวัน ผมยังรู้สึกเลยว่าชีวิตไม่เหมือนเดิม ผมได้คุยทางไลน์กับอะตอมบ้างแต่ก็ไม่มาก เพราะนอกจากกลับบ้านแล้ว อะตอมก็ยังรับงานด้วย เลยไม่ค่อยมีเวลาคุยกับผม

นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาสามทุ่ม หลังกลับมาที่คอนโดตอนเย็นๆ ผมก็นั่งดูซีรี่ส์วายที่โต๊ะคอมจนถึงตอนนี้ ที่จริงผมก็ไม่เคยดูหรอก แต่นึกอยากดูขึ้นมาก็เลยค้นหามาดู มาเจอเรื่องหนึ่งน่าสนใจ ชื่อเรื่องพาให้นึกถึงยาเสพติด เป็นซีรี่ส์จีนที่มีคนไทยแปลไว้ครบทุกตอน แรกๆ ก็ดูแบบมีระยะห่าง แต่ดูไปดูมาก็เพลินจนลืมอาบน้ำไปเลย ดีที่ว่ากินข้าวจากบ้านมาแล้ว

ผมดูจนเกือบจะจบอยู่แล้ว เสียงกดกริ่งห้องก็ดังขึ้น อะตอมน่าจะกลับมาแล้วแน่ๆ ผมจึงรีบกดหยุดเล่นและย่อหน้าจอลง ก่อนเข็นมารอเพื่อนที่ประตูอย่างไว แต่อะตอมก็เปิดประตูเข้ามาก่อนผมมาถึงซะอีก

"ดูอะไรเหรอ เมื่อกี้กูได้ยินเสียง" มาถึงอะตอมก็ถามเรื่องนี้ซะแล้ว เจ้าตัวยิ้มสดใสอย่างอารมณ์ดี

"อ๋อ…ดูซีรี่ส์" หน้าตาผมเลิ่กลั่กหน่อยๆ ถึงจะไม่โกหกแต่ก็ไม่บอกทั้งหมด

"เหรอ แล้วทำไมไม่ดูต่อล่ะ" ตะตอมมองไปที่โต๊ะคอมผมอย่างสงสัย ก่อนหันไปปิดประตูห้อง

"เดี๋ยวเอาไว้ค่อยดูทีหลังก็ได้"

"นั่นแน่ ดูหนังอาร์หรือเปล่า หรือว่าหนังโป๊" อะตอมแกล้งแหย่

"เปล่าเว้ย ดูซีรี่ส์จีน" ผมรีบตอบทันที ไม่รู้ว่าท่าทางผมมีพิรุธหรือเปล่า แต่คาดว่าคงมีอะไรสักอย่างแสดงให้เห็น อะตอมจึงไม่เลิกสงสัยซะที

"เรื่องอะไร สนุกเปล่า"

"เฮโรอีน" ผมบอกชื่อเรื่องไป แค่ชื่อเรื่องก็ทำเอาอะตอมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

"ยาเสพติดเหรอ มึงดูซีรี่ส์แบบนี้ด้วยเหรอวะ"

"มันไม่ใช่เรื่องยาเสพติดนะเว้ย ชื่อมันเป็นอย่างนั้นเฉยๆ" ผมอธิบาย

"เหรอ กูขอดูได้เปล่า มึงเปิดอยู่ไหม" อะตอมไม่พูดเปล่า มันเดินไปที่โต๊ะคอมผมด้วย ผมรีบตามไปทันที ดีที่อะตอมไม่ถือวิสาสะเปิดดูโดยไม่ถามผมก่อน "เปิดดูได้ไหม"

ที่จริงก็ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก แต่ไอ้ฉากที่ผมเพิ่งหยุดไว้นี่สิ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

อะตอมขำเบาๆ ก่อนหันไปเปิดหน้าจอที่ผมย่อไว้กลับมา จากนั้นกดปุ่มเพลย์ ฉากที่ผมกำลังดูค้างไว้จึงเล่นต่อทันที พระเอกผลักนายเอกลงบนเตียงและตามลงมาจูบอย่างเร่าร้อน อะตอมถึงกับตาโต มันยืนดูสักพักก็หันมายิ้มแปลกๆ กับผม ผมได้แต่ทำหน้าแหยๆ

"อืม…น่าสนใจ เดี๋ยวมีเวลากูจะขอดูมั่งนะ" อะตอมหันมายิ้มสายตาเป็นประกาย ก่อนหันไปกดหยุดเล่น

"อ้าว มึงไม่เคยดูเหรอ ดังนะเว้ย" ผมพยายามพูดให้เหมือนเป็นเรื่องปกติ

"ยังเว้ย ไม่เคยดูซีรี่ส์วายเลย มึงดูมากี่เรื่องแล้วล่ะ"

"เรื่องนี้เรื่องแรก"

"เพิ่งดูเหรอ" อะตอมทำหน้าแปลกใจ

"เออ ก็เพิ่งดูนี่แหละ"

อะตอมยิ้มแปลกๆ อีกแล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ผม ทำเอาผมใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว "ทำไมมึงถึงอยากดูล่ะ อยากทำแบบเมื่อกี้เหรอ"

"เชี่ยนี่" ผมต่อยแขนอะตอมเบาๆ มันถึงกับเอามือลูบๆ ตรงที่โดนต่อยเร็วๆ ทำหน้าเหยเกและซี๊ดปาก

"อูย เจ็บว่ะ"

ผมยอมรับว่าทำหน้าไม่ถูกเลย จึงต้องเข็นหนีมันมาที่โซฟา ส่วนอะตอมยืนหัวเราะถูกใจ ก่อนจะเอากระเป๋าเป้ไปวางบนโต๊ะ

"มึงกินข้าวแล้วเหรอ" อะตอมถามโดยไม่หันมามองผม

"กินแล้ว แล้วมึงล่ะ" ผมถามกลับ

"เรียบร้อย อ้อ กูซื้อทุเรียนทอดมาฝากมึงด้วย มึงชอบกินเหมือนน้องมึงเปล่าวะ ซื้อมาจากร้านเดียวกันเลย อร่อยนะเว้ย" อะตอมพูดพลางดึงเอาถุงทุเรียนทอดออกจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะ

"เออ ขอบใจเว้ย ชอบกินเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยกิน แม่ไม่อยากให้กิน เดี๋ยวอ้วน" พูดจบผมก็ย้ายตัวไปนั่งบนโซฟา เหยียดแขนขาสบายๆ

"จะกินเลยไหม" อะตอมหันมาถาม

"ยัง เอาไว้ก่อน"

อะตอมเดินมาหยุดอยู่กลางห้อง มันจับตรงคอเสื้อของตัวเองแล้วเขย่าๆ ดูท่าทางจะร้อน

"แม่งร้อนฉิบหายเลย" อะตอมไม่พูดเปล่า มันถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าต่อตาผมด้วย เหลือแต่กางเกงในรอสโซ่สีขาวซีดเก่า ขอบสีดำๆ คิดแล้วก็ขำ ตอนเป็นนายแบบมันใส่แต่ของเท่ๆ ดีๆ ตัวหนึ่งหลายร้อยหรือหลายพัน แต่ชีวิตจริงของมัน ตัวที่ใส่อยู่ผมไม่แน่ใจว่าถึงร้อยบาทหรือเปล่า

อะตอมเดินมาที่โซฟา ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมและหันมายิ้มให้ ผมตีสีหน้าไม่ถูกอีกแล้ว ซ้ำยังเผลอมองทั้งหน้ามันและต่ำลงไปอีก ซีรี่ส์เมื่อกี้ทำให้ผมยิ่งพบว่าผู้ชายมีเสน่ห์น่าค้นหาหลายอย่าง ซ้ำหลายๆ อย่างที่ว่าก็มีอยู่ในตัวอะตอมซะด้วย

"เป็นไง รอสโซ่ แมนๆ อยากลองใส่ยี่ห้อเดียวกับกูไหม" อะตอมถามยิ้มๆ

ผมไม่ตอบคำถาม ได้แต่หันหน้าไปทางอื่น แต่ไม่มีปลายทางสายตาที่แน่ชัด

"เป็นไรหน้าแดงๆ" อะตอมยื่นหน้ามาถามใกล้ๆ ผมเผลอผงะเล็กน้อย

"เปล่า หน้ากูก็แดงๆ แบบนี้อยู่แล้ว" ผมตอบเสียงงุบงิบ

"หราาาาา" อะตอมลากเสียงยาวล้อเลียน จากนั้นมันก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักผมหน้าตาเฉย "เหนื่อยจัง ขอนอนแป๊บหนึ่งนะ"

ถึงจะตกใจแต่ผมก็ไม่กล้าผลักมันออก จึงปล่อยให้มันนอนบนขาผมต่อไปอย่างสบายๆ นอนไปสักพัก อะตอมก็ชวนคุย

"ตอนกูไปบ้านมึงน่ะ กูเห็นไม้ค้ำยันด้วย มึงใช้ด้วยเหรอวะ"

"อืม"

"งั้นมึงก็เดินได้สิ" อะตอมเงยหน้ามามอง

"ก็พอได้ แต่กูไม่ค่อยใช้แล้ว มันช้า ไปไหนก็ไม่ทันใจ ก็เลยใช้สลับๆ กับวีลแชร์ แต่หลังๆ เนี่ยกูแทบไม่ได้ใช้ไม้ค้ำเลย ก็เลยเอาไว้ที่บ้าน กูว่าใช้วีลแชร์สะดวกกว่า"

"อืม ก็จริงแหละ แต่ไม่เป็นไรหรอก ตรงไหนที่มึงไปไม่ได้ก็ขี่หลังกู"

"ขอบใจเว้ย" ผมก้มมองอะตอมด้วยแววตาเอ็นดู นึกอยากจะเอามือลูบผมมันเล่นแต่ก็ไม่กล้า

ที่จริงอะตอมเป็นน้องผม เพราะผมเรียนช้าไปหนึ่งปี ผมเริ่มเรียนปอหนึ่งตอนอายุแปดขวบ ก่อนหน้านั้นแม่พาผมไปฟื้นฟูที่สถาบันการแพทย์แห่งหนึ่ง พอกลับมาเรียนปอหนึ่งแม่ก็ไม่ให้ผมบอกอายุใคร และยังขอครูที่โรงเรียนให้ช่วยเก็บเป็นความลับ เพราะไม่อยากให้ผมโดนเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กโข่ง

ตอนเด็กๆ ผมใช้ไม้ค้ำยันเป็นหลักเพราะโรงเรียนมีบันไดทุกจุด ไม่สามารถใช้วีลแชร์ได้ ผมจึงใช้ไม้ค้ำยันจนถึงมัธยมต้น เพิ่งเปลี่ยนมาใช้วีลแชร์ตอนมัธยมปลายเนื่องจากที่โรงเรียนมีทางลาด ลิฟต์และห้องน้ำคนพิการให้พร้อม ใช้ไปใช้มาก็เริ่มติดเพราะมันคล่องตัวกว่า หลังๆ ก็เลยไม่ใช้ไม้ค้ำยันตลอด

อะตอมเผลอถอนหายใจเหมือนมีเรื่องเครียด แต่ผมยังไม่ถามเพราะคิดว่ามันคงจะพูดเอง ไม่นานเท่าไหร่มันก็เล่าให้ผมฟัง

"ตอนกูไปส่งของให้น้องมึง มันทำให้กูคิดถึงคนๆ หนึ่งมากเลยว่ะ"

"ใครเหรอ" ผมอยากรู้

"น้องสาวกูไง กูไม่เจอหน้าน้องกูมาสามปีแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นไงมั่ง" อะตอมหน้าเศร้า คราวนี้ผมเผลอเอามือลูบผมมันจนได้ คงเป็นเพราะผมอยากปลอบใจมันก็เลยเผลอทำโดยไม่รู้ตัว

"แสดงว่ามึงรักน้องมึงมาก"

"เออดิ โตมาด้วยกัน กูคอยดูแลเขา ไม่ให้ใครมารังแก น้องกูรักกูมาก มันขี้อ้อน อยากได้อะไร อยากให้พี่ช่วยอะไร เขาจะมาอ้อนกูทุกครั้งเลย กูผูกพันกับน้องมาก แต่แม่กูโคตรใจร้ายเลยว่ะ เขาไม่เคยพาน้องมาหากูเลย แล้วกูก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนที่อยุธยา ไม่รู้จะไปหายังไง" อะตอมพูดเหมือนรำพัน เสียงฟังดูเศร้าจนผมรู้สึกสงสาร ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะต่อความเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องในครอบครัวของเพื่อน

"มึงรู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นกูถึงรักอั้มมาก" อะตอมถามเกริ่น ผมทำท่าคิดแล้วก็ส่ายหน้าไปมา

"เขาเหมือนน้องกูไง" อะตอมเว้นจังหวะ พักหนึ่งก็พูดต่อ "เขาทำให้กูนึกถึงน้องสาวของกู เขาทำหลายๆ อย่างเหมือนน้องสาวกู แต่แม่ง…สุดท้ายมันก็จบเหมือนกันหมด ไม่มีใครเห็นใจกูเลย"

"ก็กูนี่ไง" ผมรีบบอก

อะตอมพลิกหน้ามามองผมทันที สายตาเราประสานกันนิ่ง ทุกอย่างเงียบจนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้น ร่างเปลือยจนเกือบเปล่าปรากฎในลานสายตาของผม จะว่าไปก็ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย

"ตอนไปถ่ายรูป มึงเจออั้มไหม" อะตอมถามหลังเงียบไปสักพัก

"เจอ"

"แล้วเขาถามถึงกูเปล่า"

ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบตรงๆ ดีหรือเปล่า ก็เลยเงียบ แต่นั่นก็น่าจะเป็นคำตอบในตัวไปแล้ว

"เขาดูเศร้าไหม" อะตอมถามต่อ

"ไม่รู้ว่ะ กูไม่ได้คุยกับเขาเท่าไหร่ อั้มเขาทำงานยุ่งๆ น่ะ" ผมตอบอย่างระวังที่สุดเพราะกลัวทำให้เพื่อนเสียใจ แต่พลันก็นึกสงสัยขึ้นบ้าง "มึง…ยังไม่ลืมอั้มเหรอวะ"

"ลืมน่ะคงไม่ลืมหรอก ยังไงก็เคยคบกัน กูแค่สงสัยว่าทำไมแม่กู น้องกู หรือคนที่กูคบเป็นแฟนด้วย…ถึงไม่มีใครเคยเห็นใจกูเลย ไม่แคร์กูแม้แต่นิดเดียว ขอโทษนะเว้ยที่กูดราม่า แต่กู…"

"เออ ไม่เป็นไรหรอก มึงดราม่ากับกูได้ ใครไม่เห็นใจมึง แต่กูเห็นใจมึงนะเว้ย แม่กูก็เห็นใจมึง พี่โดมอีกคน อ้อ ป๊ากูด้วย กูเพิ่งเล่าเรื่องของมึงให้ป๊ากูฟัง แม่กูก็โปรโมทมึงน่าดูเลย ป๊ากูเลยอยากเจอมึง เขาอยากช่วยมึงนะเว้ย"

"ขอบใจมากนะกัปตัน" อะตอมซุกหน้าลงตรงหน้าท้องของผม ซ้ำยังกอดผมไว้ด้วย ไม่รู้ว่ามันร้องไห้หรือเปล่าเพราะตัวสั่นๆ ตอนนี้จิตใจมันคงอ่อนแอพอสมควร ผมจึงยอมให้มันกอด เอามือลูบผมมันเบาๆ เป็นการปลอบโยนไปด้วย มันทำให้ผมรู้สึกดีจบแทบไม่สนใจเลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่

ผมมารู้สึกแปลกใจอีกทีก็ตอนที่ทุกอย่างนิ่งสนิท เมื่อก้มมองอีกทีอะตอมก็หลับไปแล้ว ผมจึงปล่อยให้มันหลับคาตักผมอยู่อย่างนั้น แต่สายตาผมนี่สิ อยู่ดีๆ ก็เกิดซุกซนขึ้นมา น่าจะเป็นเพราะซีรี่ส์เรื่องเมื่อกี้แน่ๆ ที่ทำให้ผมเปลี่ยนไป สายตาผมไล่ไปตามลำตัวของอะตอมไปเรื่อยๆ ก่อนมาหยุดตรงส่วนที่ถูกปกปิดไว้ด้วยชั้นในรอสโซ่แมนๆ มันตุงพอสมควรเพราะอะตอมมีขนาดอาวุธลับที่ใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะเคยเห็นของจริงมาแล้ว ผมก็ยังอดใจสั่นๆ ไม่ได้

แต่มันน่าตกใจตรงที่อาวุธลับของผมดันเริ่มขยายตัวนี่สิ ทั้งๆ ที่อะตอมก็ยังคงนอนบนตักผมอยู่ อาวุธลับของผมน่าจะดุนดันอยู่แถวๆ คอของมันนี่แหละ แต่จะผลักมันก็ออกก็ใช่ที่ จึงต้องปล่อยเลยตามเลยและรอให้มันสงบลงเอง

ผมดึงสายตาออกมาจากตรงนั้นแล้ว แต่อาวุธลับของผมก็ยังไม่สงบ ถ้าไม่คิดไปเอง ผมรู้สึกว่าหัวของอะตอมหนักขึ้น เหมือนมันซุกตัวเบียดกับอาวุธลับของผมยังไงยังงั้น แทนที่มันจะสงบโดยเร็วก็ถูกลากยาวออกไปอีก ผมจึงนั่งตัวแข็งทื่อ โชคดีที่สุดท้ายมันก็สงบลง แต่มันน่าแปลกตรงที่อะตอมก็ดันมารู้สึกตัวตอนนี้ซะด้วย

เพื่อนนายแบบขายาวของผมทำท่างัวเงีย สักพักมันก็ลุกขึ้นและถาม "กี่โมงแล้ววะ"

"จะสี่ทุ่มแล้ว" ผมบอก

"ยังไม่ได้อาบน้ำเลย มึงอาบน้ำยัง"

"ยัง ก็มัวแต่ดูซีรี่ส์อยู่" ตอบเสร็จผมก็ก้มหน้าเล็กน้อย เรื่องของเรื่องก็คืออายนั่นแหละ

อะตอมเอามือยีหัวผมและหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู "ไปอาบน้ำกันไหม กูไม่ได้อาบน้ำกับมึงมาหลายวันแล้ว"

ที่ผ่านมาผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจ เมื่อกี้แค่มันนอนตักผมยังขึ้น ถ้าแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันคงโด่ชี้หน้ามันแน่ เพราะผมก็ไม่ได้ทำอะไรกับอาวุธลับมาหลายวันแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยักหน้าตกลงไปแบบงงๆ

อะตอมช่วยถอดเสื้อผ้าให้ผมและเอาไปใส่ตะกร้าผ้าให้ ก่อนเดินมาอุ้มผมเข้าไปในห้องน้ำและวางผมไว้บนเก้าอี้ตัวเดิม โชคดีที่อาวุธลับของผมไม่ขึ้นชี้หน้ามันอย่างที่คิด ผมจึงอาบน้ำกับมันได้อย่างสบายใจ

อะตอมนั่งกับพื้นให้ผมช่วยสระผมให้ จึงเป็นโอกาสดีที่ผมจะชวนมันคุยเรื่องที่อยากรู้

"มึงเคยได้ยินคำว่าโฟรแมนซ์เปล่า"

"ไม่อะ ไม่เคยได้ยินเลย เคยได้ยินแต่โบรแมนซ์"

"มันย่อมาจาก เฟรนด์โรแมนซ์ไง" ผมเฉลยพลางนวดหัวและเส้นผมให้อะตอมไปด้วย

"เหรอ แล้วมันเป็นยังไง" อะตอมถามเหมือนอยากรู้

"โบรแมนซ์เป็นเรื่องผู้ชายสองคนที่อายุต่างกันแล้วมาถูกชะตากัน สนิทกันจนดูเหมือนเป็นแฟนกัน แต่จริงๆ ไม่ใช่ ส่วนโฟรแมนซ์ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ แต่เป็นเพื่อนสองคนที่ถูกชะตากัน สนิทกัน ดูเผินๆ เหมือนเป็นแฟนกัน แต่ก็ไม่ใช่อีกเหมือนกัน"

อะตอมพยักหน้าหงึกๆ หลังฟังผมอธิบาย "แล้วไง มึงกำลังจะบอกกูว่า…กูกับมึงเป็นโฟรแมนซ์งั้นเหรอ"

"กูก็ไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายมันจะเป็นยังไง แค่…มีคำถามเฉยๆ" ผมพูดด้วยสีหน้าไม่มั่นใจนัก

เราเงียบกันไปสักพัก อะตอมจึงล้างผมในช่วงจังหวะนี้ ก่อนจะนั่งลงให้ผมช่วยนวดผมต่อ

"เมื่อกี้ตอนที่กูนอนตักมึง กูรู้นะเว้ยว่ามึง…" อะตอมละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก่อนหันหน้ามาและเงยหน้ามองผม "แล้วเมื่อกี้…กูก็จงใจด้วย มึงว่าโฟรแมนซ์ทำแบบนี้ได้ไหมล่ะ"

ผมโดนอะตอมย้อนศรจนได้ เถียงมันไม่ออกเลยสักคำ แถมยังรู้สึกอายด้วยที่โดนมันจับได้

"หน้าแดงแล้วมึง" อะตอมแซวพลางส่งมือมาหยิกแก้มผมเบาๆ อย่างเอ็นดู ทำเอาหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก

อะตอมหันหน้ากลับไปตามเดิม ส่วนผมก็นวดผมให้มันต่อ แต่ในหัวกลับไพล่คิดไปถึงเรื่องไอ้อิน เท่านี้ผมก็เริ่มเครียดอีกแล้ว เพราะเรื่องที่ผมอยากรู้และอยากถามอะตอมให้ชัดเจนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าไม่ถามก็จะคาใจและกินแหนงแคลงใจไม่หยุดหย่อน

"กูมีอะไรจะสารภาพมึงน่ะกัปตัน" อยู่ๆ อะตอมก็หันมาบอกผมด้วยประโยคนี้

"อะไรวะ" ผมมุ่นคิ้ว

อะตอมหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผม สีหน้ามันดูเศร้าๆ ชอบกล "ตอนแรกกูไม่กล้าบอกมึงเรื่องนี้ แต่คิดไปคิดมา กูว่ามึงควรจะรู้ไว้ แต่มึงสัญญานะเว้ย มึงต้องฟังจากปากกูคนเดียว คนอื่นจะพูดยังไงมึงไม่ต้องสนใจทั้งนั้น เพราะกูพูดความจริง ถ้ามึงได้ยินอะไรที่ไม่ตรงกับที่กูพูด มึงแน่ใจได้เลยว่าคนนั้นโกหก"

น้ำเสียงของอะตอมฟังดูหนักแน่น ผมพยักหน้าตกลงโดยไม่รีรอ อะตอมหยุดคิดเพียงครู่เดียวก็พูด "คืนนั้นที่ไอ้อินมันลากกูไปที่ห้องของมันน่ะ มันลักหลับกู ตอนนั้นกูเมามาก แล้วกูก็คิดว่าเป็นมึง กูก็เลยไม่ขัดขืน"

แม้จะรู้เลาๆ มาบ้างแล้ว แต่ผมก็อดตกใจไม่ได้ ไม่ใช่ตกใจอะตอม แต่ตกใจสิ่งที่อินทำมากกว่า สีหน้าแบบนี้ก็เลยทำให้อะตอมหน้าเสีย เพราะมันคงคิดว่าผมรับไม่ได้

"กูขอโทษนะเว้ย กูแม่งพลาดอย่างแรงว่ะ เมาจนดูแลมึงไม่ได้ แถมยังถูกไอ้เหี้ยนั่นหลอกไปทำทุเรศๆ อีก มึงคอยดูนะเว้ย ยิ่งมันทำตัวแบบนี้ กูก็จะยิ่งเกลียดมัน ยิ่งมันอยากได้กูมากเท่าไหร่ กูก็จะทำให้มันเจ็บมากเท่านั้น เรื่องคืนนั้น ถือว่าทำบุญให้หมาจรจัดมันแดกละกัน แล้วถ้ายังเสือกมายุ่งกับกูอีก คราวนี้กูจะให้แดกตีนกูแทน" อะตอมพูดอย่างอาฆาต

เท่านี้ความคลางแคลงใจผมก็หายไปหมดสิ้น ถึงอะตอมจะไม่ได้บอกผมตั้งแต่แรกที่เกิดเรื่อง แต่ผู้ชายคนนี้ก็มีความจริงใจมากที่กล้าสารภาพเรื่องแบบนี้ให้ผมฟัง ถ้าผมเจอแบบอะตอมบ้าง ก็คงไม่กล้าบอกตั้งแต่ครั้งแรกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมเข้าใจและไม่มีข้อสงสัยเลย รู้สึกตื้นตันใจจนเกือบน้ำตาซึมด้วยซ้ำ อีกอย่างก็นึกโกรธตัวเองด้วยที่เผลอคิดในทางไม่ดีกับอะตอมไปบ้างแล้ว

"กูรู้แล้ว" ผมบอกไปสั้นๆ

"มันมาบอกมึงเหรอ มันมาเยาะเย้ยมึงใช่ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะไปจัดการมัน ไอ้เหี้ยนี่ หน้าตาก็ดี แต่ทำตัวโคตรเลว" อะตอมอดด่ามันอีกไม่ได้

"อย่าทำรุนแรงมากนะเว้ย เพิ่งเข้าไปเรียน กูไม่อยากให้มึงมีปัญหา" ผมเตือนด้วยความหวังดี

"เออ กูไม่ทำตัวแย่ให้โดนไล่ออกหรอกน่า กูอยากเรียนกับมึงจนครบห้าปีเว้ย" อะตอมเริ่มมีรอยยิ้มแล้วหลังจากเครียดไปเมื่อกี้

ผมยิ้มตอบให้อะตอม ความรู้สึกดีๆ แล่นเข้าท่วมท้นใจจนเอ่อ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ผมคงเผลอรักมันเข้าจนได้ "ที่กูพูดเรื่องโฟรแมนซ์เมื่อกี้ กูขอโทษนะเว้ย เอาเป็นว่า…ถ้ากูจะรักใครต่อจากนี้ กูจะพิจารณามึงเป็นคนแรกเลย"

อะตอมยิ้มแฉ่งและหน้าบานขึ้นมาทันที ไม่เหลือร่องรอยความขุ่นเคืองใจใดๆ บนใบหน้าอีกแล้ว มันคงจะดีใจมากที่ได้ยินผมพูดแบบนี้ พลันอะตอมก็ลุกขึ้นพรวด ผมไม่ทันตั้งตัวมันก็ก้มลงมาขโมยหอมแก้มซะแล้ว ผมหน้าเหวอและเอามือลูบแก้มตัวเองไปมาเบาๆ ส่วนอะตอมหัวเราะชอบใจและยิ้มมีความสุข ก่อนคุยโวใส่ผมอย่างมั่นหน้า

"ถ้ากูทำตัวน่ารักๆ กับมึงทุกวันๆ เดี๋ยวมึงก็รักกูเองแหละ ไม่รอดมือกูหรอก"

อะตอมยักคิ้ว ผมเลยเอามือตีก้นมันหนึ่งเผียะ มันถึงกับสะดุ้งโหยงและทำท่าเหมือนเจ็บ แต่สักพักก็หัวเราะและยิ้มให้ผม ยิ้มของมันทำเอาผมแทบใจละลายลงตรงนี้ อะตอมบอกว่ามันหลงปากสีแดงเรื่อๆ ของผมมาก คราวนี้ผมก็คงจะหลงรอยยิ้มน่ารักๆ แบบนี้ของมันมากเหมือนกัน



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:43:09 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทีมภูเขา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :man1: :กอด1:  จัดการไอ้อินเลยอะตอม เอาขั้นเด็ดขาด

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ขอบคุณที่มาต่อครับ ^^
โล่งใจที่ไม่มีดราม่า
คนอย่างอินต้องโดนกรรมตามสนองให้เข็ด

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เป็นการมั่นหน้าที่น่ารักได้น่าหมั่นไส้มากอ่ะอะตอม

ออฟไลน์ orangesmooty

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 27
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เพิ่งอ่านถึงตอนที่ห้า จริงๆจบตอนที่สี่ก็จะไม่อ่านต่ออยู่แล้ว เราไม่ค่อยเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร เรื่องทั้งหมดมันละมุนจริงๆเหรอ (เข้ามาเพราะคำนี้) ทำไมเราเห็นแต่ นอกใจ เป็นชู้ หาข้ออ้าง ไม่บริสุทธิ์ใจ หาผลประโยชน์ เราเห็นทุกอย่างนี้จากพระเอก หรือเรามองแง่ร้ายเกินไป? แต่ยืนยันว่ารู้สึกตะหงิดๆมาตั้งแต่แรก จนจบตอนที่สี่เราถึงเข้าใจว่าเพราะอะไร เลี้ยงแฟนรวยต้องเปย์หนักอันนี้แง่นึงก็ไม่แปลก ยิ่งพยายามจะเปย์เขาด้วยจะมาโอดครวญอะไร เอามาเป็นข้อติหนึ่งข้อในการเลิก? แอบผิดหวัง เราหวังความละมุนจากเรื่องนี้จริงๆ ยิ่งนายเอกพิการ หลายเรื่องที่เราอ่านมามันดีกับใจมาก มาเจอชู้ ตัวใหญ่ๆแบบนี้ เฟลสุดๆ

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
เพิ่งอ่านถึงตอนที่ห้า จริงๆจบตอนที่สี่ก็จะไม่อ่านต่ออยู่แล้ว เราไม่ค่อยเข้าใจว่าต้องการจะสื่ออะไร เรื่องทั้งหมดมันละมุนจริงๆเหรอ (เข้ามาเพราะคำนี้) ทำไมเราเห็นแต่ นอกใจ เป็นชู้ หาข้ออ้าง ไม่บริสุทธิ์ใจ หาผลประโยชน์ เราเห็นทุกอย่างนี้จากพระเอก หรือเรามองแง่ร้ายเกินไป? แต่ยืนยันว่ารู้สึกตะหงิดๆมาตั้งแต่แรก จนจบตอนที่สี่เราถึงเข้าใจว่าเพราะอะไร เลี้ยงแฟนรวยต้องเปย์หนักอันนี้แง่นึงก็ไม่แปลก ยิ่งพยายามจะเปย์เขาด้วยจะมาโอดครวญอะไร เอามาเป็นข้อติหนึ่งข้อในการเลิก? แอบผิดหวัง เราหวังความละมุนจากเรื่องนี้จริงๆ ยิ่งนายเอกพิการ หลายเรื่องที่เราอ่านมามันดีกับใจมาก มาเจอชู้ ตัวใหญ่ๆแบบนี้ เฟลสุดๆ

ถ้าอ่านมาถึงตอนปัจจุบันก็น่าจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ โดยธรรมชาติของคนเขียน บางทีก็จะพยายามเขียนหลอกล่อให้คนอ่านเข้าใจผิด อย่างเช่นตัวละครที่ชื่ออะตอม ที่ผมเฉลยเพราะว่าคนที่อ่านถึงตอนปัจจุบันน่าจะเข้าใจเจตนาเขาดีแล้ว รวมถึงอะตอมเองก็โดนกัปตันทดสอบตามที่แม่บอกแล้วด้วย เพื่อจะได้มั่นใจว่าคนนี้คบได้หรือเปล่า / อะตอมไม่ได้เลิกกับแฟนเพราะเปย์ไม่ไหวหรอกครับ ถ้าอ่านมาเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจ พอดีผมไม่ได้เปิดทีเดียวหมด แต่จะค่อยๆ เปิดครับ อ้อ อะตอมไม่เคยโอดครวญเรื่องเปย์เลยครับ ที่เห็นเหมือนโอดครวญ เพราะผมบรรยายผ่านความคิดของคนอื่น ไม่ใช่อะตอมครับ / ส่วนความละมุนก็จะมาเป็นระยะๆ ครับ เพียงแต่ตอนแรกๆ มันยังมามากไม่ได้เพราะต่างฝ่ายต่างระแวงกันอยู่ แต่ที่จริงมันก็มีในหลายๆ ตอนนะครับ เพียงแต่คนอ่านระแวงอะตอม ก็เลยไม่รู้สึกถึงความละมุน - ขอบคุณสำหรับเสียงสะท้อนนะครับ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2017 16:16:13 โดย HuskyLover »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
สนุกอะ ชอบฉากโดม-อิน 555 คู่นี้จะต่อยจูบรึป่าว 555
 รออ่านตอนต่อไป

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
อินจะคู่กับพี่โดมหรอ ไม่เชียร์เลยงะ


ออฟไลน์ BBChin JungBB

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
เบาใจที่เค้าเคลียร์เรื่องนี้กันเรียบร้อยแล้ว

ต่อไปก็เหลือแต่ตัวต้นเหตุ

ไม่อยากให้คู่โดมเลย อยากให้โดมเจอคนที่เหมาะสมมากกว่านี้

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
อินน่ารำคานมากกกกก
ส่วนคู่กัปตันอะตอมก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
เย้ๆ หายข้องใจซะที

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP11 (Part 1)
ไอ้อินด้านมืด



<<<DOME>>>

ยามว่างๆ หลังเลิกเรียน แหล่งรวมคนรุ่นใหม่วัยขบเผาะที่ขึ้นชื่อคงไม่พ้นสยาม บรรดาห้างที่ผุดรายรอบต่างมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากลูกค้ารุ่นเยาว์แถบนี้ บ้างก็มาเดินเที่ยว บ้างก็มากินข้าว บ้างก็มาดูหนังฟังเพลง บ้างก็มาซื้อของ บ้างก็นัดกันมานั่งคุยงานในร้านรวงต่างๆ ทั่วบริเวณนี้จึงมักพบนิสิตและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้เคียงเสมอๆ ตั้งแต่เปิดห้างไปจนกระทั่งปิด

ปกติผมก็จะมาเดินเที่ยวเหมือนนิสิตคนอื่นๆ บ้าง แต่พอเริ่มขึ้นปีสอง งานก็เริ่มเยอะขึ้น ปีสามก็หนักขึ้นไปอีก ยิ่งปีสี่คงไม่ต้องพูดถึง เพราะฉะนั้นผมกับเพื่อนๆ จึงมาเดินเที่ยวด้วยกันน้อยลง บางทีไม่เคยโผล่ไปไหนเป็นเดือนๆ ก็มี ชีวิตที่เคยสนุกกับการเที่ยวเล่นของเราเริ่มหมดไปกับการทำงานส่งอาจารย์มากขึ้น เมื่อจบไปทำงานแล้วก็คงมีโอกาสน้อยลงไปอีก

ที่จริงวันนี้ผมก็มีงานที่ต้องทำกับเพื่อนเหมือนกัน แต่ดีที่ยังไม่ถึงกับเร่งมาก ผมจึงขอตัวเพื่อนๆ มาทำธุระสำคัญบางอย่างที่นี่ ถ้าผมทำได้สำเร็จ ผมจะได้หลักฐานชิ้นสำคัญเอาไว้มัดตัวใครบางคน คราวนี้ชีวิตของมันจะต้องอยู่ในอุ้งมือของผม เหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด

ผมหยุดมองไร้จุดหมายเมื่อเสียงโทรศัพท์ผมแจ้งเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาหา เมื่อเปิดอ่านก็พบข้อความจากเมสเซนเจอร์ คนที่ผมนัดไว้ส่งข้อความมาถามจุดนัดพบที่แน่นอนนั่นเอง ผมรีบพิมพ์ตอบพิกัดจุดร้านที่ผมนั่งอยู่ไปโดยเร็ว พร้อมกับบอกด้วยว่าผมใส่หมวกแก๊ปและแว่นตาดำ เผื่อเขาจะหาผมเจอง่ายขึ้น ไม่นานทางนั้นก็ตอบมาว่าอีกไม่เกินห้านาทีจะมาถึง

ผมยิ้มอย่างพอใจ พลันก็นึกถึงข้อความในโพรไฟล์ทวิตเตอร์ของคนที่ผมนัดพบเย็นนี้ เขาเขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า...

"ทุกคนมีด้านมืดของตัวเอง ผมทำเล่นสนุกๆ นะครับ ใครอยากรู้ลึกกว่านี้ก็คุยกันได้ ทุกอย่างแล้วแต่ผมพอใจนะครับ"

เพราะเขาเขียนไว้อย่างนั้น ผมจึงสร้างบัญชีทวิตเตอร์ปลอมขึ้นมา จากนั้นก็หารูปผู้ชายหล่อๆ ในอินเตอร์เน็ตมาใส่เป็นรูปโพรไฟล์ ก่อนเริ่มต้นคุยกับเจ้าของโพรไฟล์ที่ไม่เปิดเผยใบหน้า ทุกรูปที่เขาลงส่วนมากเน้นกล้ามอกและส่วนกลางของร่างกาย ไม่ถึงกับอวดของลับหรอก แต่ก็มักอวดขนาดโตเต็มที่ของมันในชั้นในหลากหลายรูปทรงบ่อยๆ พร้อมกับข้อความสองแง่สองง่าม บางครั้งก็เชิญชวนให้คนมาชิมของตัวเอง บางครั้งก็บอกว่าอยากชิมของคนอื่น ที่น่าตลกก็คือ ตอนผมนัดเขามาเจอกัน เขาขอดูขนาดของลับของผมด้วย ผมจึงต้องปั่นแข็งและถ่ายรูปตุงๆ ส่งให้ดู เมื่อฝ่ายนั้นพอใจจึงตอบตกลงมาเจอกัน

เมื่อผมได้รับข้อความว่าคนที่นัดไว้ใกล้มาถึงแล้ว ผมก็เรียกพนักงานมาเก็บเงินให้เรียบร้อย เพราะผมรู้ว่าคนที่นัดไว้คงไม่สามารถนั่งคุยกับผมที่นี่ได้แน่ๆ ไม่นานเขาก็มาถึง เมื่อเห็นผมเขาก็โบกมือให้ ผมโบกมือตอบเพื่อให้สัญญาณว่าไม่ผิดตัว ชายหนุ่มผู้อายุน้อยกว่าเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับผม ท่าทางดีใจมากที่ได้เจอกันเสียที เพราะคุยกันมาหลายวันแล้ว

"โทษทีครับมาสาย รอลิฟต์นานมากครับเมื่อกี้" มาถึงมันก็ออกตัว แต่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าเสียใจอย่างที่พูด

"ไม่เป็นไร มาช้าแค่ไหนพี่ก็รอน้องได้" ผมยกยิ้ม นึกเย้ยความโง่ของมันที่จำผมไม่ได้ ถึงจะจำหน้าไม่ได้เพราะผมใส่แว่นและใส่หมวก แต่มันก็น่าจะจำเสียงผมได้บ้าง

"มารอนานหรือยังครับพี่"

"เรียนเสร็จก็มารอน้องที่นี่เลย เพราะพี่แทบจะอดใจรอเจอน้องไม่ไหว ก็เลยรีบมา" ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยไปด้วย

"อ๋อเหรอครับ อืม...แล้วพี่เรียนที่ไหนเหรอครับ"

"ก็ที่เดียวกับมึงไง!" ผมพูดเสียงเข้ม ผู้เพิ่งมาถึงดูตกใจเล็กน้อย ผมจึงถอดแว่นตาดำและหมวกแก๊ปออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของผมให้มันดู

"พี่โดม!" เจ้าหมอนั่นอ้าปากค้างและหน้าเหวอสุดขีด คงนึกไม่ถึงว่าคนที่คุยติดต่อกันมาสองสามวันจะเป็นผม

"เออ กูเอง! กูไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นมึง ไอ้อินด้านมืด!" ผมยิ้มเยาะอย่างสะใจ

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ อินมันรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีออกไปจากร้านทันที ผมเก็บแว่นกับหมวกใส่กระเป๋าแล้วก็วิ่งตามมันไป มันวิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะต้องคอยระวังไม่ให้ชนคนอื่น ด้วยความที่ขาผมยาวกว่า ไม่นานผมก็ตามมาดักหน้ามันไว้ได้ทันพร้อมกับจับข้อมือมันไว้ด้วย

"ปล่อยผมนะพี่" อินขอร้องเนื้อตัวสั่น หน้ามันเหมือนคนจะร้องไห้ ก็แน่ล่ะ มันคงไม่ยินดีหรอกที่มีคนล่วงรู้ความลับสุดยอดของมัน

"ถ้ามึงไม่สารภาพกับกูดีๆ กูจะทำให้ด้านมืดของมึงสว่างไปทั่วมหาลัยเลย เอาไหม" เมื่อได้ทีผมก็ขู่

"อย่านะพี่ ถ้าพี่ทำอย่างนั้น ผมโดนไล่ออกเลยนะพี่ ที่บ้านเอาผมตายแน่ๆ" หน้าหล่อใสของอินซีดเผือดด้วยความกลัว

"รู้ดิ แต่ถ้ามึงไม่อยากโดน มึงต้องมาคุยกับกูดีๆ แล้วถ้ากูขอให้มึงทำอะไร มึงก็ต้องยอมกูทุกอย่าง โอเคไหม" ผมกำข้อมือมันแน่นขึ้น

"ครับพี่ พี่จะทำอะไรผมก็ยอมทั้งนั้น แต่พี่อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะพี่ ผมขอร้อง" อินรีบรับปาก ไม่เหลือท่าทางหยิ่งผยองใดๆ ให้เห็นอีกแล้ว ตัวมันสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำเลย

"ตามกูมานี่" ผมออกคำสั่งเสียงดุ ก่อนปล่อยมืออินและเดินนำออกไป แต่ก็หันไปมองอินเป็นระยะๆ

อินเดินตามผมมาต้อยๆ แม้ว่าผมจะปล่อยมือมันแล้วแต่มันก็ไม่กล้าหนี เพราะความลับของมันอยู่ที่ผมหมดแล้ว ไม่มีทางหนีได้ มันต้องยอมทำตามที่ผมบอกทุกอย่างเพื่อแลกกับอนาคตของมัน ผมเชื่อว่าอินคงไม่บ้าพอที่จะเสี่ยงแน่นอน

น่าเสียดายที่แถวนี้ไม่มีสวนสาธารณะหรือที่นั่งเล่นโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเลย ทุกอณูของบริเวณนี้คือธุรกิจ แม้กระทั่งที่นั่งเล่นคุยกันก็เป็นธุรกิจไปด้วย แต่ผมก็ไม่ต้องการพาอินไปนั่งคุยกันเรื่องนี้ในร้าน โชคดีที่พอเดินออกมาตรงลานกว้างหน้าห้างใกล้สถานีรถไฟฟ้า ผมก็เจอที่นั่งว่างๆ ซึ่งจัดไว้เป็นจุดๆ แต่มีไม่มากนัก เพราะที่นี่ต้องการให้คนเดินซื้อของมากกว่านั่งเฉยๆ

เมื่อนั่งลง อินก็คอตก ท่าทางมันดูน่าสงสารจนผมชักเขว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเล่นงานมันให้หนักๆ ซะหน่อย

"มึงมีปัญหาอะไรกับน้องกู บอกกูมาตรงๆ นะเว้ย เพราะถ้ากูรู้ว่ามึงโกหกแม้แต่นิดเดียว กูไม่เอามึงไว้แน่ๆ" ถึงจะสงสาร แต่ผมก็ขู่มันอีกจนได้

"อย่านะพี่ ผมจะบอกพี่ทุกอย่างเลย" อินลนลานรับปาก

"มึงชอบอะตอมใช่ไหม ถึงได้มาหาเรื่องน้องกู" ผมเข้าเรื่องทันที ที่ผมรู้เรื่องนี้เพราะผมเห็นอินมันเอารูปถ่ายแบบของอะตอมมาลงทวิตเตอร์ของมันเต็มไปหมด โดยเฉพาะรูปเซ็กซี่ แถมมันยังพร่ำเพ้อรำพันบ้าบอว่าอยากได้ผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน

"ครับ" อินดูตกใจเล็กน้อย สักพักมันก็ก้มหน้าลงและเล่าเรื่องให้ผมฟัง "ผมชอบอะตอมมาตั้งนานแล้ว ผมปลื้มเขามาตั้งแต่มอสี่ ติดตามผลงานเขามาตลอด แต่ผมก็ไม่เคยเจอตัวจริงเขาหรอก เพิ่งมาเจอกันก็ตอนที่เขามาเรียนที่นี่แหละ ตอนแรกผมก็คิดว่าผมแค่ชอบเขาเหมือนชอบดาราทั่วๆ ไป แต่พอได้เจอกัน ได้คุยกัน ความชอบของผมมันก็มากขึ้น ผมพยายามตีสนิทกับเขามาตั้งแต่ตอนรับน้องแล้ว เขาก็คุยกับผมดี แต่ตอนหลัง พอเขาเจอกัปตัน เขาก็เปลี่ยนไปสนิทกับกัปตันแทน"

"มึงก็เลยอิจฉาว่างั้น" ผมสบจังหวะพูดแทน

อินพยักหน้ายอมรับ "ครับ"

ผมเผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว สายตามองฝ่าม่านละอองน้ำตรงลานน้ำพุออกไป เมื่อเอามือมาซุกหีบแล้ว ผมก็พบว่ามันน่าหนักใจเหมือนกัน นี่แหละนะความรัก ไม่เคยเข้าใครออกใครเลย

"แล้วมึงว่าอะตอมมันชอบมึงไหม" ผมหันไปถาม

อินส่ายหน้า

"แล้วมึงจะทำไง พยายามแย่งอะตอมมาอย่างงั้นเหรอ"

อินพยักหน้ายอมรับโดยไม่มองหน้าผม

"แล้วมันจะช่วยอะไรได้วะ อะตอมมันชอบกัปตันนะเว้ย แล้วมันก็ไม่ใช่ตุ๊กตาที่มึงจะแย่งมาได้ ถ้าอะตอมรู้ว่ามึงทำแบบนี้ มันจะยิ่งเกลียดมึง มึงคิดให้ดีๆ นะเว้ย" ถึงไม่ได้ตั้งใจสอน แต่ผมก็สอนมันกลายๆ ไปแล้ว

"แล้วพี่จะให้ผมทำไง ถ้าพี่แอบรักใครสักคนมานาน ถ้าเขาไม่สนใจพี่ แล้วพี่จะทำยังไง พี่คิดว่าพี่จะไม่ทำเหมือนผมเหรอ" อินย้อนถาม

คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอึ้งบ้าง แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่ผมจะตอบอินได้ "กูไม่รู้เว้ย แต่กูไม่ทำแบบมึงแน่นอน มันทุเรศว่ะ ที่สำคัญนะเว้ย คู่แข่งของมึงน่ะ เขาสู้มึงไม่ได้หรอก คนที่ทำร้ายคนที่สู้ไม่ได้เนี่ย ไม่ใช่ลูกผู้ชายนะเว้ย"

อินคงสะอึกกับสิ่งที่ผมพูดบ้างไม่มากก็น้อย นับว่ายังดีที่มันยังพอรู้สึกสำนึกได้บ้าง ไม่ถึงกับเลวร้ายจนเกินเยียวยา

"ถ้ากูเป็นมึงนะเว้ย กูจะทำใจยอมรับ ก็คนเขาไม่รัก ทำยังไงเขาก็ไม่รักอยู่แล้ว จะฝืนไปทำไมวะ"

"พูดง่ายนะพี่ แต่พี่รู้ไหมว่ามันทำโคตรยาก" อินเถียง แม้จะกลัวแต่ก็ยังรักษามาตรฐานความปากดีเอาไว้พอได้

"ยากหรือไม่ยากมึงก็ต้องทำ ข้อแรก กูจะไม่ยอมให้มึงมาแกล้งน้องกูอีกอย่างเด็ดขาด ถ้ากูเห็นอีกแค่ครั้งเดียว กูประจานมึงแน่ ไม่ได้ขู่นะเว้ย ส่วนข้อสอง ถ้ามึงทำได้มันก็จะดีกับตัวมึงเอง หน้าตามึงก็ดีนะเว้ย ผู้ชายคนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ มึงจะรักคนที่เขาไม่รักมึงไปทำไมวะ ที่สำคัญนะเว้ย ยิ่งทำ...เขาก็จะยิ่งเกลียดมึง มึงอยากให้อะตอมเกลียดมึงเหรอ"

"ป่านนี้มันคงเกลียดผมไปแล้วล่ะ" อินโพล่งออกมา

"ทำไม" ผมหันขวับไปถาม

อินดูลังเลที่จะเล่า ผมจึงต้องขู่มันอีก "อย่ามาทำยึกยักนะเว้ย ถ้ามึงไม่พูด กูเอามึงตายเลยนะเว้ย"

"ผมลักหลับมัน!" อินพูดสวนก่อนที่ผมจะพูดจบ

ผมอ้าปากค้างและหน้าเหวอไปพอสมควร นิ่งไปสักพักจึงถามให้แน่ใจว่าผมฟังไม่ผิด "มึงพูดว่าอะไรนะ"

"ตอนที่อะตอมไปกินเหล้ากับกัปตัน มันเมามาก กัปตันพามันกลับบ้านไม่ไหว ผมก็เลยพาอะตอมมานอนที่ห้องผมแทน แล้วผมก็ลักหลับมัน อะตอมมันรู้เรื่องแล้ว และมันก็ไม่คุยกับผมอีก พี่อยากรู้อะไรอีกไหมครับ ได้ทีแล้วนี่ จะให้ผมเล่าให้ฟังอีกไหมว่าผมเอากับคนไปกี่คนแล้ว นัดใครมาเจอบ้าง ชอบท่าไหน เป็นรุกหรือรับ หรือแกล้งจีบผู้หญิงบังหน้ามากี่คนแล้ว ผมจะได้เล่าให้หมดทีเดียว" อินร้องไห้ อารมณ์ของมันเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นแล้ว สงสัยจะทนไม่ไหวที่โดนผมขู่และกดดันไม่หยุดหย่อน

อารมณ์ของผมตอนนี้ยากจะบอกจริงๆ จะว่าโกรธก็โกรธ จะว่าอึ้งก็อึ้ง จะว่าสมน้ำหน้าก็ใช่ แต่ก็อุตส่าห์มีความสงสารปนมาด้วย จะว่าไปผมก็สะท้อนใจไม่น้อย ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่เพิ่งผ่านพ้นมัธยมปลายมาไม่ถึงปีจะทำเรื่องขนาดนี้ได้

ผมถอนหายใจอย่างหนักใจ เมื่อมาถึงตอนนี้ผมก็คิดว่าควรพักเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะเรื่องของอินดูจะซับซ้อนมากไปหน่อย ผมไม่อยากรับรู้เรื่องของมันมากกว่านี้ ไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกสงสารหรือเห็นใจมันมากกว่าที่รู้สึกในตอนนี้ เอาเป็นว่าแค่เก็บความลับนี้ไว้ขู่มันไม่ให้มาแกล้งน้องผมอีกก็พอ

"กูไม่ได้อยากรู้เรื่องเหี้ยๆ ของมันมึงมากขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่า...มึงหยุดตอแยน้องชายกูก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ มึงก็ไปแก้เอาเองเว้ย สร้างปัญหาเองนี่หว่า แล้วถ้าเลิกทำได้ ก็เลิกทำซะ เพราะถึงกูไม่บอก อีกไม่นานคนอื่นเขาก็จะรู้อยู่ดี"

พูดจบผมก็ลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนีไป อินรีบตามมาฉุดข้อมือผมไว้ทันที

"พี่โดมสัญญานะครับว่าพี่จะไม่บอกใคร อย่าบอกใครนะพี่ เรื่องนี้ผมให้ใครรู้ไม่ได้ แม้แต่กัปตันกับอะตอมพี่ก็อย่าบอกนะครับ ผมสัญญา...ผมจะเลิกทุกอย่าง เลิกแกล้งกัปตัน เลิกด้านมืดของผม แล้วผมก็จะพยายามเลิกชอบอะตอมให้ได้ นะครับพี่โดม"

น้ำเสียงและท่าทางอ้อนวอนนั้นทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูก บทจะน่าหมั่นใส้ ผมก็อยากกระทืบมันให้ไส้แตก แต่บทจะน่าสงสาร มันก็ทำเอาผมสงสารจับใจ ถ้าถามว่าผมอยากทำลายอนาคตของใครคนหนึ่งขนาดนั้นหรือเปล่า...ก็คงไม่ แต่โลกยุคดิจิตอลนั้น ความลับแบบนี้คงเก็บไว้ได้ไม่นาน ทุกอย่างที่อยู่บนโลกออนไลน์จะอยู่ตลอดไป ต่อให้ลบทิ้ง ก็อาจจะมีคนอื่นดาวน์โหลดเก็บไว้ ถ้าโชคร้ายก็อาจมีคนนำมาเผยแพร่ต่อ สุดท้ายก็จะมาถึงตัวเราในที่สุด

"เออ" ผมรับปากอย่างเสียไม่ได้ ที่จริงว่าจะส่งให้กัปตันดูซะหน่อย แต่ตอนนี้คงต้องล้มเลิกไปก่อน

"ขอบคุณครับพี่โดม" อินทำหน้าซาบซึ้ง น้ำตาของมันทำให้ผมใจอ่อนอีกแล้ว ผมไม่ชอบเห็นคนร้องไห้เลย

"เออ แล้วมึงจะอยู่นี่ต่อหรือไง กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง ถ้ามึงไม่เห็นแก่ใคร ก็หัดเห็นแก่พ่อแม่ตัวเองมั่ง" ผมถือโอกาสสอนมันอีกครั้ง"

"ครับพี่" อินรับคำ ก่อนจะปล่อยมือผมออกเพราะคนผ่านไปมาเริ่มมอง มันทำท่าเหมือนอยากพูดบางอย่างแต่ก็ดูไม่มั่นใจ

"มีอะไร" ผมถาม

"อ๋อ...คือ...ถ้า...ผมจะขอให้พี่...ไปส่งผมที่บ้านหน่อย พี่โดมโอเคไหมครับ" อินทำหน้ากล้าๆ กลัวๆ

ผมว่าจะเดินหนีไปซะหน่อย พอได้ยินมันพูดแบบนี้ก็เลยชะงัก "อ้าว แล้วมึงกลับเองไม่เป็นหรือไงวะ"

"เป็น แต่วันนี้...ผมใจคอไม่ดีเลย กลัวจะเดินหลงทางกลับบ้านไม่ถูก พี่โดมไปส่งผมหน่อยนะครับ" อินอ้อนวอนต่อ

ผมถอนหายใจแรงๆ อย่างรำคาญ ก่อนจะรับปากส่งๆ "เออๆ จะไปก็รีบไป เดี๋ยวกูจะรีบกลับมาทำงานของกูแล้ว งานเยอะนะเว้ย"

อินยิ้มดีใจ บอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไงกับรอยยิ้มของมันกันแน่ ที่จริงมันก็เป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักอยู่หรอก ถ้าทำตัวดีๆ หน่อย คนอย่างมันก็หาแฟนได้ไม่ยาก

"แล้วบ้านมึงอยู่ไหน" ผมหันไปถามก่อนจะพามันเดินไป

"บีทีเอสอุดมสุขครับพี่ ไม่ใช่บ้านหรอก เป็นคอนโด บ้านผมอยู่ไกล"

"เออ ไปเร็ว" ผมเร่ง ก่อนจะเดินนำมันออกไปยังสถานีรถไฟฟ้า

อินเดินตามมาได้หน่อยก็ถาม "รูปที่พี่ส่งมาให้ผมดู ของพี่โดมเองเหรอ หรือว่า...ไปเอาของคนอื่นมา"

ผมชะงักกึกและหยุดหันไปหรี่ตามองมันทันที "รูปอะไรของมึงวะ"

"อ้าว ก็รูป...ไอ้นั่นไง" อินหน้าแหยๆ

"เชี่ย! เดี๋ยวกูเตะแม่งคอหัก" ผมปรี่เข้าไปหามันหมายจะเตะอย่างที่พูด แต่อินก็รีบวิ่งหนีไปก่อน มันหัวเราะผมด้วย

นี่ผมพลาดไปจริงๆ ที่ถ่ายของจริงไปให้มันดู แม่งเอ๊ย!



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:43:45 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ HuskyLover

  • นิยาย "วาย" ละมุน
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
EP11 (Part 2)
ไอ้อินด้านมืด


<<<ATOM>>>

"เสร็จแล้วก็โทรบอกกูนะเว้ย เดี๋ยวกูมารับ" คนขับส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ ได้กำลังใจดีแบบนี้ผมคงสู้ไม่ถอย

"เออ"

"โชคดีนะเว้ย"

"เออ ขอบคุณมาก" ผมยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ แต่ก่อนจะแยกไปผมก็นึกบางอย่างได้ ผมจำได้ว่ากัปตันเคยเปรยให้ฟังสองสามครั้งแล้ว "เสร็จจากตรงนี้แล้ว ไปแช่ออนเซ็นกันไหม แล้วก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กินต่อ"

"จริงเหรอ ดีเลย กูอยากไป" กัปตันยิ้มหวานให้ผม ดูน่ารักไม่น้อย

"งั้นเดี๋ยวเจอกัน ขับรถดีๆ นะเว้ย"

กระจกรถเลื่อนขึ้นและซ่อนรอยยิ้มบนใบหน้านั้นไว้เพียงรางๆ ไม่นานรถก็แล่นออกไป ใจผมหายเล็กน้อยเพราะเมื่อมีกัปตันอยู่ใกล้ๆ ผมรู้สึกอุ่นใจมากกว่า จึงมองตามรถที่แล่นออกไปสักพัก เก็บภาพรอยยิ้มของใครคนนั้นเอาไว้ในใจแทนกาย ก่อนเดินเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง จุดหมายของผมคือสำนักงานโมเดลลิ่งของพี่แอร์ แกเช่าไว้เป็นสำนักงาน มีห้องประชุมและพื้นที่ให้พวกเรามาพบปะพูดคุยกันด้วย

ผมเพิ่งไปคุยกับป๊าของกัปตันมา ได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มาหลายอย่าง ก่อนจะมาคุยกับพี่แอร์วันนี้ ผมก็ซ้อมพูดกับกัปตันที่คอนโดจนมั่นใจ จึงตัดสินใจนัดเข้ามาคุยกับพี่แอร์ที่นี่ หลังเลิกเรียนกัปตันก็ขับรถมาส่งผม ในระหว่างนี้เจ้าตัวก็จะไปดูหนังสือที่ห้างใกล้ๆ ฆ่าเวลาไปพลางๆ

สิ่งแรกที่ผมต้องทำความเข้าใจก็คือความขัดแย้งทั้งหลายเกิดมาจาก "จุดยืน" และ "ผลประโยชน์" ที่แตกต่างหรือขัดแย้งกัน ป๊าของกัปตันให้ผมวิเคราะห์ว่าจุดยืนของพี่แอร์และผมคืออะไร ผลประโยชน์ที่ผมกับพี่แอร์ต้องการคืออะไร เมื่อเข้าใจสองอย่างนี้แล้ว จะช่วยให้การเจรจาง่ายขึ้น ผมก็ได้วิเคราะห์ไปแล้ว แถมก่อนจะมายังโทรไปปรึกษากับป๊าของกัปตันอีกรอบด้วย

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นยี่สิบห้า ผมก็เดินเข้ามาในออฟฟิศและทักทายพี่ๆ ที่รู้จักก่อน จากนั้นจึงเข้าไปหาพี่แอร์ในห้องประชุมเล็ก แกนั่งรอผมอยู่ในนั้นแล้ว

"หวัดดีครับพี่แอร์" ผมยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่าที่นั่งเล่นโทรศัพท์รอและหันหลังให้

"อ้าว มาไวจัง" พี่แอร์ยิ้มให้ผมและหมุนเก้าอี้ให้หันมาเผชิญหน้ากับผม เขาเป็นผู้ชายที่ดูทันทีก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การแต่งตัว ท่าทาง การพูดจาและแววตา ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าแกคงเลี้ยงเด็กหนุ่มๆ ไว้บำเรอกามเป็นแน่ แต่ที่จริงแล้วพี่แอร์ไม่เคยรุ่มร่ามกับเด็กในสังกัดเลยเท่าที่ผมรู้มา

"รถไม่ค่อยติดน่ะพี่ ก็เลยมาไว" ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม ปลดสายสะพานกระเป๋าเป้ออกวางข้างตัว

"แล้วการเรียนเป็นไงช่วงนี้" พี่แอร์ยิ้มสบายๆ ท่าทางดูผ่อนคลายมากทีเดียว

"ยังไม่หนักมากครับพี่ แต่อาจารย์ก็ให้งานมาทำบ่อยๆ ต่อไปน่าจะเริ่มเยอะขึ้น"

"เหรอ แล้วจะมีเวลารับงานไหมเนี่ย"

"มีสิครับพี่ ไม่งั้นจะเอาอะไรกินล่ะครับ" ผมพูดติดตลก

"ก็ดี อืม...แล้ว...วันนี้...มีคำตอบให้พี่แล้วใช่ไหม ไม่ใช่อะไรหรอก ทางนั้นเขารอคำตอบอยู่ เร่งพี่ยิกๆ เลย พี่ก็พยายามบอกว่าน้องมันขอเวลาคิดก่อน แต่เขาก็โทรมาหาพี่เกือบทุกวัน สงสัยจะชอบอะตอมมาจริงๆ นะเนี่ย" พี่แอร์หัวเราะร่วน สงสัยจะคิดว่าที่ผมมาวันนี้เพราะตกลงใจแล้วเป็นแน่

เมื่อพี่แอร์ยังคาดหวังแบบนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง แต่เมื่อมาถึงนี่แล้วก็คงต้องคุยให้รู้เรื่องจนได้

"อ๋อ...ครับพี่" ผมยิ้มเฝื่อนๆ

เอาล่ะ เท่าที่ผมวิเคราะห์มา จุดยืนของพี่แอร์คือ แกเชื่อว่าโอกาสที่แกหยิบยื่นให้ทุกคนในสังกัดคือโอกาสที่ดี ทุกคนได้งาน ได้เงินและได้ชีวิตที่ดี รวมทั้งพี่แอร์ด้วย ส่วนผลประโยชน์คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเงิน เพราะฉะนั้น ผมต้องไม่ทำลายความหวังดีของพี่แอร์ พร้อมกับทำให้แกมีรายได้จากผมมากขึ้นด้วย นี่คือทางออกของผม

ผมยิ้มบางๆ จากนั้นจึงเริ่มต้นตามที่ป๊าของกัปตันแนะนำไว้ "พี่แอร์รู้ไหมครับ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ช่วยผมไว้เมื่อสามปีที่แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะเป็นยังไง ผมอาจจะไม่ได้เรียนหนังสือ อาจจะเป็นกรรมกรก่อสร้าง หรือเป็นลูกจ้างในร้านอาหารหรือร้านขายของ ถ้าแย่กว่านั้นก็อาจจะติดยา เป็นเด็กเกเร หรืออาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ แต่เพราะพี่แอร์ช่วยผมไว้ ผมก็เลยมีโอกาสดีๆ แบบนี้"

พูดจบผมก็เดินอ้อมไปหาพี่แอร์ ลากเก้าอี้ใกล้มือมานั่งตรงหน้า ไม่ห่างจากพี่แอร์มากนัก สร้างความสงสัยให้พี่แอร์ไม่น้อย

"ผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าผมเข้าเรียนที่ตุลาได้ ผมจะมากราบขอบคุณพี่ เพราะที่ผมมีเงินมาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะพี่ สามปีมานี้ ผมไม่มีแม่ดูแล ไม่มีพ่อให้คำปรึกษา ไม่มีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ มีแต่พี่แอร์คนเดียว บุญคุณของพี่มีค่าสำหรับเด็กจนๆ อย่างผมนะพี่ ผมจะไม่ลืมเลย ขอบคุณพี่มากนะครับ" ผมยกมือไหว้อย่างงดงามที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ไม่ใช่เพราะแสร้งทำ แต่เป็นความรู้สึกจากใจจริงของผม เพราะผมรอดชีวิตมาได้ทุกวันนี้เพราะพี่แอร์จริงๆ

"ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกอะตอม" พี่แอร์รับไหว้ผมด้วยสีหน้าตื่นๆ น่าจะเป็นเพราะตั้งตัวไม่ทัน กระนั้นผมก็สังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไป ที่จริงแกช่วยคนมาเยอะ แต่ก็โดนเด็กหักหลังบ่อยๆ ที่สำคัญ แทบไม่เคยมีใครแสดงความขอบคุณกับพี่แอร์แบบนี้เลย เพราะทุกคนต่างคิดว่าได้ผลต่างตอบแทนกันไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ

"ผมพูดจริงๆ นะครับพี่ พี่ก็รู้ว่าชีวิตผมเป็นยังไง ตอนที่แม่กับน้องสาวทิ้งผมไป และพ่อก็ตรอมใจ ผมเคว้งคว้างมาก มันลำบากจริงๆ นะพี่ พี่ลองคิดดูสิ เด็กอายุสิบหก จะไปหาเงินที่ไหน ใครจะรับทำงาน ถ้าไม่ได้พี่ช่วยผมไว้ ผมว่าผมกับพ่อไม่รอดแน่ๆ"

"เออ พี่รู้" พี่แอร์ยิ้มให้อย่างเขินๆ ผมไม่เคยเห็นแกยิ้มแบบนี้ให้ผมเลย มันดูสงบเย็นอย่างประหลาด ต่างจากพี่แอร์ปกติที่ผมกับเพื่อนๆ นายแบบด้วยกันรู้จัก เพราะปกติแกจะปากจัดและชอบพูดแรงๆ ตามประสา

"พี่น่ะ...ถึงใครจะบอกว่าพี่ร้าย แต่ทุกคนที่พี่ดึงเข้ามา พี่ก็ช่วยหมดแหละ พี่รู้ว่าหลายๆ คนมันก็เรียนหนังสือ หาเงินดูแลพ่อแม่ หรืออย่างน้อยก็อยากเลี้ยงตัวเองได้ บางคนมีเมียด้วยซ้ำ พี่ดีใจนะที่พี่ได้ช่วยคนอื่น อะตอมก็รู้ พ่อแม่พี่...เขาตัดพี่เพราะเขาไม่อยากมีลูกแบบพี่ มันทำให้พี่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่าเลย ขนาดพ่อแม่ตัวเองยังไม่ต้องการ แต่พอพี่ช่วยคนอื่นได้ มันก็ทำให้พี่รู้สึกแย่กับตัวเองน้อยลง ชีวิตมันมีค่ามากขึ้น"

ผมพยักหน้ารับรู้ ผมเคยฟังเรื่องของพี่แอร์บ่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็เคยเล่าเรื่องของผมให้แกฟังบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน "แสดงว่าพี่แอร์ก็ไม่ได้ช่วยคนเพราะรายได้อย่างเดียวใช่ไหมครับ แต่พี่...อยากให้เขามีโอกาสดีๆ ด้วย"

"ก็ทำนองนั้น ไอ้เงินน่ะ...มันก็ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าช่วยใครแล้วเขาไม่ความสุข ไม่ได้ชีวิตที่เขาอยากได้ จะช่วยไปทำไมวะ" พี่แอร์แบ่งปันมุมมองให้ผมฟังบ้าง

หลังจากแลกเปลี่ยนเหตุผลและความเข้าใจแล้ว สิ่งที่ผมควรจะพูดต่อไปคือบอกความตั้งใจของตัวเองว่าจะทำอะไรให้พี่แอร์ จากนั้นก็ต้องบอกด้วยว่าผมมีส่วนทำให้ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ยังไง ที่สำคัญต้องไม่ลืมย้ำความเข้าใจและผมประโยชน์ร่วมกัน

"ครับพี่ แต่ผมก็เข้าใจพี่นะครับ พอเปิดบริษัทแล้ว มันก็มีภาระต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ไหนจะค่าน้ำค่าไฟ เงินเดือนพนักงาน ภาษี แล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง พี่ก็จำเป็นต้องมีรายได้ ที่ผ่านมา...บางทีผมเองก็ชอบบ่ายเบี่ยงงาน เคยทำให้พี่เสียงานเสียรายได้ไปตั้งหลายที แต่ต่อไปนี้...ผมจะตั้งใจทำงานให้พี่มากขึ้น เชื่อใจพี่มากขึ้นเวลาที่พี่รับงานมาให้ผมแล้ว อะไรที่ผมทำแล้วช่วยพี่ได้ ผมก็ยินดีนะครับพี่ ขอแค่ให้อยู่ในขอบเขตที่ผมทำงานและเรียนต่อไปได้ พี่แอร์ก็รู้ใช่ไหมครับว่าการศึกษาสำคัญแค่ไหนสำหรับคนอย่างพวกผม พี่ก็เห็น หลายคนทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เพราะอาชีพนายแบบ...มันทำได้ไม่นาน อีกไม่กี่ปีเดี๋ยวก็มีเด็กใหม่ๆ มาแทนแล้ว แต่การศึกษา...มันเป็นใบเบิกทางให้ไปทำอย่างอื่นต่อได้"

"อะตอมกำลังจะบอกพี่หรือเปล่าว่า...งานที่พี่หามาให้...ไม่อยู่ในขอบเขตที่จะทำให้อะตอมเรียนที่ตุลาได้" พี่แอร์เข้าเรื่องทันที แกเป็นผู้ใหญ่แล้วก็น่าจะดูผมออก

ผมนิ่งคิดไปพักใหญ่ เมื่อมั่นใจในคำตอบจึงพูดออกไป "ให้ผมช่วยอย่างอื่นก่อนได้หรือเปล่าพี่ อย่างเช่น ช่วงสองสามเดือนนี้ ผมรับงานเซ็กซี่เพิ่มได้นะพี่ แล้วผมก็ยินดีให้พี่หักเปอร์เซ็นต์ผมเพิ่มขึ้นด้วย หรือพี่จะหักไปหมดเลยก็ได้ ให้เท่ากับเงินที่เขาจะให้ผม ผมยินดีนะพี่ จะให้ผมตอบแทนพี่ยังไงก็ไม่มีปัญหา ขอแค่...ให้ผมยังเรียนต่อได้ การเรียนเป็นอนาคตของผมนะพี่ ไหนๆ พี่แอร์ก็ช่วยผมมาขนาดนี้แล้ว พี่ช่วยผมต่อหน่อยนะครับ อนาคตของผม...ก็อยู่ในมือของพี่แอร์ แล้วผมจะไม่ลืมบุญคุณของพี่ครั้งนี้เลย"

ฟังจบพี่แอร์ถึงกับถอนหายใจยาว สีหน้าครุ่นคิดบ่งบอกว่ากำลังตัดสินใจอย่างหนัก แต่ไม่นานใบหน้าขึ้งเครียดนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง รอยยิ้มค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อยคล้ายดอกไม้ที่ค่อยๆ แย้มบาน เท่านี้ผมก็พอรู้แล้วว่าพี่แอร์ตัดสินใจยังไง

... ... ...

เสร็จธุระที่บริษัทของพี่แอร์ ผมก็ลงลิฟต์มาที่ชั้นจอดรถ กัปตันขับรถมาจอดรออยู่ได้สักพักแล้ว เจ้าตัวบอกว่าร้านหนังสือที่ไปดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ก็เลยขับรถมารอผม เมื่อเห็นรถกัปตันในลานสายตา ผมก็ยิ้มดีใจและเดินแกมวิ่งไปหา มาถึงแล้วก็รีบเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านหน้าคู่คนขับทันที

"เป็นไงบ้างวะ" กัปตันถามด้วยความอยากรู้และดูตื่นเต้น

"กูไม่ต้องไปเป็นเด็กเสี่ยแล้วเว้ย" ผมบอกอย่างดีใจและยิ้มกว้าง ก่อนควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้เก่าๆ ออกมา "แป๊บนึงนะเว้ย กูขอโทรบอกป๊ามึงหน่อย"

"เออๆ ตามสบาย" กัปตันยิ้มแล้วก็หันไปเล่นโทรศัพท์ตามเดิม

เมื่อเจอชื่อและหมายเลขที่ต้องการผมก็กดโทรออก ไม่นานป๊าของกัปตันก็รับสาย ผมรีบกรอกเสียงลงไปทันที "สวัสดีครับคุณน้า อะตอมนะครับ คุณน้าสะดวกคุยไหมครับ"

"สะดวกๆ เป็นไงลูก ไปคุยมาหรือยัง" ดูเหมือนป๊าของกัปตันก็ตื่นเต้นไม่แพ้ผมเลย

"เรียบร้อยแล้วครับคุณน้า"

"เหรอ แล้วได้ผลไหม"

"ครับคุณน้า ผมไม่ต้องไปเป็นเด็กเสี่ยแล้วครับ ที่สำคัญ...พี่แอร์ให้ผมรับงานตามปกติ แล้วก็ไม่หักเปอร์เซ็นต์เพิ่ม ส่วนเรื่องเสี่ยคนนั้น พี่แอร์จะหาคนใหม่ที่สมัครใจและอยากทำไปแทน ขอบคุณคุณน้ามากนะครับที่ช่วยแนะนำผม ถ้าไม่ได้คุณน้าช่วย ผมต้องแย่แน่ๆ เลย" ผมอดที่จะน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้ หรือที่จริงก็น่าจะเรียกว่าร้องไห้ไปแล้ว

ที่ผมดีใจขนาดนี้เพราะผมไม่อยากมีปัญหากับพี่แอร์ ถ้าไม่มีคนช่วยแนะนำ ป่านนี้ผมก็คงทะเลาะกับพี่เขาไปแล้ว เผลอๆ ผมก็อาจจะกลายเป็นเด็กเนรคุณเหมือนนายแบบบางคนที่พี่แอร์เคยว่า สุดท้ายก็จากกันไปด้วยความบาดหมาง แต่ผมไม่อยากให้พี่แอร์รู้สึกแบบนั้นกับผม เพราะแกมีบุญคุณกับผมมาก ผมอยากให้แกรู้ว่าผมรักและเคารพแกเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่สำคัญ ผมจะไม่เนรคุณกับคนที่คอยช่วยเหลือผมอย่างเด็ดขาด ผมจึงดีใจมากที่สามารถหาทางออกได้อย่างที่ผมต้องการมากที่สุด

"ไม่เป็นไรลูก น้ายินดี แล้วนี่อยู่ไหนกัน" ป๊าของกัปตันถามมา

"กำลังจะออกจากบริษัทครับ ผมว่าจะพากัปตันไปแช่ออนเซ็นหน่อย เขาอยากไป ผมก็เลยว่าจะพาไป"

"อ้อ งั้นก็ฝากดูแลกัปตันให้น้าหน่อยนะลูก น้าเองยังไม่เคยพาเขาไปแบบนี้เลย ขอบใจมากที่ช่วยดูแลกัปตันแทนน้า ที่จริงมีหลายอย่างที่น้าอยากให้เขาทำนะ แต่เราก็ไม่มีเวลาพาเขาไปหรอก เพราะงานมันก็เยอะขึ้นทุกปี ถ้าอะตอมไม่รังเกียจ ช่วยพากัปตันไปรู้จักโลกให้มากขึ้นหน่อยนะลูก เขาจะได้เข้มแข็ง เขาจะได้รู้สึกว่าเขายังทำอะไรได้อีกตั้งหลายอย่าง"

"ได้ครับคุณน้า ผมจะพากัปตันไปทุกที่ที่เขาอยากไป ผมจะดูแลกัปตันให้ดีที่สุดเลยครับคุณน้า คุณน้าไม่ต้องห่วงนะครับ" ในขณะที่พูด ผมก็หันไปมองกัปตันด้วย เจ้าตัวดูจะงงๆ ไม่น้อยที่เห็นผมร้องไห้ เจ้าตัวจึงหยุดเล่นโทรศัพท์และมองดูผมด้วยสายตาแปลกๆ

"ขอบใจมากลูก เดี๋ยวน้าขอตัวไปดูงานต่อนะลูก ฝากกัปตันด้วย ว่างๆ ก็มาเที่ยวบ้านน้า มาเสาร์นี้เลยก็ได้ จะได้มาฉลองกัน มาค้างที่นี่ก็ได้"

"ครับคุณน้า"

เมื่อร่ำลาและวางสายไปแล้ว ผมก็หันหน้าไปมองกัปตันอย่างเต็มตา ความรู้สึกเต็มตื้นเอ่อท้นใจอีกแล้ว ทางเดียวที่ผมจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีตอนนี้ไปให้กัปตันรับรู้ได้ก็คือการกอด ไม่ใช่คำพูด หรือแม้กระทั่งสายตาที่สื่อความหมาย ผมจึงดึงกัปตันมากอดไว้

"เมื่อสามปีที่แล้ว ถ้าไม่มีพี่แอร์...ชีวิตกูก็คงแย่ แล้ววันนี้...ถ้ากูไม่มีมึงช่วยไว้ กูก็คงแย่อีกเหมือนกัน ขอบคุณมึงมากนะเว้ยกัปตัน มึงจำไว้นะเว้ย คนอย่างกู...ถ้ารู้สึกดีกับใครแล้ว กูให้ได้ทุกอย่าง แล้วกูก็จะเริ่มตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่วันที่มึงยังไม่รู้ว่าจะรักกูได้ไหม หรือจะเชื่อใจกูได้ไหม มึงให้กูรักมึงนะกัปตัน กูอยากรักมึง มึงเป็นคนดี กูห้ามใจไม่ไหว ให้กูรักมึงนะเว้ย"

ที่จริงผมอยากพูดมากกว่านี้ แต่ติดที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็เลยทำให้พูดลำบาก

"ก็มึงรักกูไปแล้ว กูจะไปห้ามยังไงวะ" กัปตันตอบผมมาเสียงมุบมิบ

ผมนี่แทบจะร้องตะโกนออกมาให้ก้องฟ้า แต่ก็ทำได้เพียงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น นี่คือรักครั้งแรกที่ผมเข้าถึงได้ลึกซึ้งกว่าครั้งไหนๆ และผมจะทำให้สุดฝีมือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป



TBC


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 10:44:07 โดย HuskyLover »

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 ดีใจกับอะตอมด้วย
และกับอิอินที่มีแต่ความสมเพชให้ ไม่คิดจะสงสารสักนิด ไม่ควรคู่กับพี่โดมนะ นี่ว่าพี่โดมดีเกินไปสำหรับคนแบบนี้
ชีวิตนังไม่น่าแฮปปี้ง่ายๆอะ คิดไม่ดี ปากไม่ดี การกระทำก็แย่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด