ออกมาจากตึกแล้วนึกถึงรถติดแล้วจาณีนก็รู้สึกเซ็งขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าไม่อยากรถติดก็ต้องกลับรถไฟฟ้า ถึงจะไม่เจอรถติดแต่ก็ต้องเจอผู้คนเบียดเสียดกันในนั้น ไม่ว่าทางไหนเขาก็ไม่ชอบด้วยทั้งนั้น บางครั้งชีวิตมันไม่มีทางเลือกมากนักหรอก แค่ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนี้ เวลานี้ เขาจะเลือกอะไรและรับอะไรได้มากกว่าเท่านั้นเอง
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมาตามความเคยชิน ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครได้ยินเสียงของเขาหรือไม่เพราะน้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีคนได้ยินมัน
“ดึก” เสียงดังมาจากข้างใน ฟังจากทิศทางของเสียงแล้วน่าจะมาจากในครัว จาณีนรีบวางกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องครัวโดยเร็ว
“ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วได้ล่ะครับ” คนมาใหม่เดินเข้ามาสวมกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง ส่วนคนที่ถูกกอดนั้นก็กำลังเตรียมอาหารอยู่พอดี
“รีบกลับมาดูคนงอแง” คนที่กำลังง่วนอยู่กับมื้อเย็นตรงหน้าสองจานตอบโดยไม่หันมา
“เปล่าสักหน่อยครับ” เสียงบ่นเบาๆ แต่ก็ยังดังพอที่จะให้อีกคนได้ยิน จาณีนซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก
“ไปอาบน้ำก่อนเสร็จแล้วมากินนี่กัน” ด้วยความสูงที่ห่างกันราวสิบเซนติเมตร ทำให้จาณีนต้องเอี้ยวตัวมามองนี่ที่ว่าของคนพูด มันคือสเต๊กเนื้อ ไม่บ่อยนักที่อีกคนจะได้ทำอาหาร แต่เพราะวันนี้อีกฝ่ายกลับมาเร็วเลยมีเวลามากพอที่จะทำมื้ออาหาร
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมมานะครับ”
เด็กหนุ่มใช้เวลาชำระร่างกายไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่นและร่างกายที่หอมกรุ่นไปด้วยครีมอาบน้ำที่อีกฝ่ายชื่นชอบ และเป็นจังหวะเดียวกันที่อาหารก็ถูกวางลงบนโต๊ะเสร็จพอดี
“ทานได้เลยมั้ยครับ” จาณีนมองอาหารตรงหน้า แววตาพราวระยับ อาหารอร่อยๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
“เอาสิ”
“ครับ” จาณีนไม่เสียเวลารออะไรอีก มือเรียวสวยจับส้อมและมีดด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แล้วใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเต๊กที่ถูกหั่นพอดีคำนั้นเข้าปาก ระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันกับคนตรงหน้ามันนานพอที่เขาจะได้เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหาร
“กินได้มั้ย” เจ้าของฝีมือนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารตอนที่ถามจาณีน
“ถามอะไรแบบนั้น คุณไม่รู้ตัวเหรอครับว่าทำอาหารอร่อยมาก”
“แกล้งชมฉันหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ผมพูดจริงๆ คุณเองก็รู้ตัวอยู่แล้วน่า อย่ามาถ่อมตัวเลย” อีกฝ่ายไม่ตอบแค่หัวเราะในลำคอเบาๆ ชายหนุ่มจรดไวน์เข้ากับริมฝีปาก ค่อยๆ ละเลียดดื่มไปโดยไม่เร่งรีบ
“แล้วคุณไม่ทานด้วยกันเหรอครับ ยังไม่หิวหรือว่าทานมาแล้ว”
“ฉันยังไม่ค่อยหิว ปกติก็กินดึกกว่านี้”
“คุณน่ะทานอาหารไม่เป็นเวลา บางวันคงไม่ได้ทานด้วยซ้ำล่ะมั้ง” จาณีนบ่นอีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่างานของคนตรงข้ามนั้นยุ่งแค่ไหน
“ทำไมวันนี้ถึงกลับดึก” คนที่ยังถือแก้วไวน์นั้นจงใจถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ทำงานเพลินไปหน่อยครับ รู้ตัวอีกทีก็มืดแล้ว”
“กลับมายังไง แท็กซี่หรือรถไฟฟ้า”
“ผิดหมดเลยครับ” จาณีนตอบหลังจากกลืนเนื้อแสนอร่อยนั้นลงคอพร้อมกับดื่มน้ำตามลงไป
“หืม” สายตาสงสัยจากคนตรงหน้าทำเอาจาณีนยิ้มเล็กน้อย นานๆ ทีถึงจะได้เห็นมุมอื่นของอีกฝ่ายบ้าง
“รถเมล์ต่างหากครับ”
“นึกยังไงถึงนั่งรถเมล์ รู้ทั้งรู้ว่าทั้งช้าแล้วคนก็เยอะ”
“ผมไม่รู้นี่นาว่าคุณจะกลับเร็ว เบื่อทั้งแท็กซี่แล้วก็รถไฟฟ้าก็เลยเลือกรถเมล์เท่านั้นเอง”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอไม่ชอบรถติดและคนเยอะใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“แต่ที่เธอเลือกวันนี้มันคือทุกอย่างที่เธอไม่ชอบ”
“ก็ใช่ครับ ผมไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”
“ได้เวลางอแงแล้วใช่มั้ย” คนถามเลิกคิ้วมองหน้าคนที่ยังทานสเต๊กไม่หมด
“เปล่าสักหน่อย” จาณีนวางส้อมกับมีดลงบนจานที่เกือบจะเปล่าของตน เขาคิดว่าถึงเวลาที่เขาต้องพูดแล้ว อีกฝ่ายเองก็คงรู้เพราะชายหนุ่มก็วางแก้วไวน์ลงเช่นกัน
ตอนที่เห็นเมลโปรเจ็คใหม่ เขามัวแต่ตื่นเต้นอ่านรายละเอียดเพราะเขาชอบความท้าทายที่แปลกใหม่ จนนึกไม่ออกว่าชื่อบริษัทนั้นมันคือส่วนหนึ่งของนามสกุลอีกฝ่าย และบริษัทที่เขาเพิ่งไปมาวันนี้ ก็ทำให้เขานึกออกเมื่อเห็นป้ายชื่อเจ้าของห้องที่ติดอยู่หน้าประตูห้องทำงาน
“ไม่พอใจฉันใช่หรือเปล่า”
“ผมเปล่า” จาณีนเถียงอีกฝ่ายกลับไป
“แล้ว?”
“แค่ไม่ชอบแบบนี้”
“ทำไมล่ะ”
“ผมโตแล้ว คุณศมน ผมไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ผมเรียนจบแล้ว ทำงานแล้วนะครับ”
“ฉันรู้ว่าเธอโตแล้ว”
“แล้วคุณทำแบบนี้ทำไมกันครับ จับผิดผมเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่อยากให้เธอพิสูจน์ตัวเองว่าเธอโตแล้ว ทำงานได้แล้ว เป็นมืออาชีพแล้วต่างหาก” ศมนพยายามพูดช้าๆ และชัดๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจความตั้งใจของเขา
“ผมไม่เข้าใจ”
“ถ้าเธอแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ สามารถตัดสินใจอย่างมีสติและแก้ปัญหาได้ตรงจุด และเติบโตได้ด้วยตัวเอง วันหนึ่งที่เธออยากก้าวออกไปจากตรงนี้ ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลและเป็นห่วงเธอ”
“ผม..คือ...ไม่ใช่” จาณีนไม่รู้จะตอบศมนว่าอย่างไร เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ให้สาบานเลยก็ได้ว่าเขาไม่เคยคิดอยากจะไปจากชีวิตศมนเลยแม้แต่น้อย
“คนเราเมื่อโตขึ้น ความคิดของเรามักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จำคำฉันไว้ เด็กน้อย” แววตาของศมนที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น เขาโหยหาความรู้สึกแบบนี้ของศมนเสมอ ไม่ว่าจะเคยได้รับมามากเท่าไหร่แต่มันก็ไม่เคยพอ
“นั่นไม่ใช่กับผม”
“เรื่องอนาคตมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ฉันเองจะตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้เลย”
“ห้ามพูดแบบนี้อีกนะครับคุณศมน” จาณีนลุกขึ้น ถอยเก้าอี้จนเกิดเสียงดังแต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจ เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
จาณีนนั่งยองๆ ตรงหน้าศมน เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนสูงวัยกว่า แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับมองไปที่แก้วไวน์ ภายใต้ประสบการณ์มากมายที่ศมนต้องสวมหน้ากากใน แวดวงธุรกิจ การไม่แสดงสีหน้าและความรู้สึกนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับชายหนุ่ม และสีหน้าแบบนั้น จาณีนเองไม่เคยคาดเดาความคิดของศมนได้เลย
“ฉันแค่พูดถึงความจริงที่ไม่แน่นอนเท่านั้นเอง” จาณีนคว้ามืออีกฝ่ายมาเพื่อเรียกความสนใจให้กลับมาอยู่กับเขา
“ไม่รู้ล่ะครับ ห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก รับปากผมสิ” เด็กหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ หากวันนี้ไม่ได้คำตอบที่เขาพอใจ เขาไม่มีทางจะถอยทัพกลับออกไปง่ายๆ แน่นอน
“ได้ ฉันรับปาก”
“ขอบคุณครับ” จาณีนดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปที่กลางฝ่ามือของศมนที่ไม่ได้หยาบกร้านอะไรมากนักเพราะเป็นมือของนักธุรกิจที่ใช้จับปากกาและคอยสั่งงาน มือคู่นี้เรียวยาว คอยชี้ความเป็นอยู่ของบริษัท เป็นมือที่สำคัญและมันก็สำคัญกับเขาไม่แพ้สิ่งใด
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็รับปากฉันเรื่องหนึ่งด้วยเหมือนกันสิ”
“ครับ?”
“รถยนต์คันที่ฉันซื้อให้เธอเป็นของขวัญตอนเรียนจบ จำได้มั้ย” จาณีนหวนไปคิดถึงรถคันนั้น เขาได้รับมันมาจากศมนเป็นของขวัญตอนที่เรียนจบ แต่ไม่เคยนำมันออกมาใช้เลย ตอนนี้ก็ยังจอดให้หยากไย่เกาะอยู่ที่ลานจอดรถของคอนโดเหมือนเดิม
“จำได้ ทำไมเหรอครับ”
“เมื่อไหร่จะเอาไปใช้”
“ผมไม่ค่อยอยากขับมันเท่าไหร่ครับ มันเด่นเกินไป แล้วอีกอย่าง ผมเกรงใจ คุณให้ผมมามากพอแล้ว”
“รถน่ะ ถ้าจอดทิ้งไว้เฉยๆ มันจะเสื่อมสภาพ เกรงใจฉันก็ต้องใช้มัน รู้มั้ย”
“ผมก็พอรู้ว่ามันอาจจะมีปัญหาได้ แต่ผมก็เกรงใจนี่นา ถ้าขับไปใช้แล้วมันพังหรือชนก็ต้องไปซ่อม เดือดร้อนคุณอีกอยู่ดี”
“ถ้าไม่อยากให้คนขับรถไปรอรับ ก็ขับคันนั้นไปใช้ รับปากฉันสิ เด็กดี” คำพูดนี้คุ้นๆ เหมือนเขาเพิ่งพูดไปสักครู่ก่อนหน้านี้เอง
“อื้อ ครับ! ผมลืมไปได้อย่างไรนะว่าคุณน่ะมันจอมเจ้าเล่ห์ จอมแผนการ ทำเป็นดราม่าที่แท้ก็คอยวางแผนให้ผมหลงกลอยู่ตลอด”
“ช่วยไม่ได้ ฉันเป็นนักธุรกิจ แล้วเธอก็ดันตกหลุมพรางของฉันเอง เอาล่ะ ถึงเวลาที่เธอต้องเลือกแล้วล่ะ” ศมนลูบเส้นผมของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเบามือก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกครั้ง
“ผมขับไปเองก็ได้ครับ ไม่ต้องให้คนมารอรับหรอก” จาณีนหน้ามุ่ย สุดท้ายตัวเองก็เป็นฝ่ายติดกับโดนหลอกจนได้
“ฉันให้คนเอารถของเธอไปตรวจเช็คสภาพแล้ว โชคดีที่ยังปกติ ช่วงนี้เธอก็ใช้คันนี้ไปก่อน เดี๋ยววันหยุดนี้ไปเลือกคันใหม่กับฉันก็แล้วกัน”
“ถ้ารถใช้งานได้เป็นปกติอยู่แล้วจะซื้อคันใหม่ไปทำไมกันล่ะครับ” จาณีนมองหน้าคนพูดด้วยความไม่เข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
“ถึงจะปกติแต่เพราะจอดมันทิ้งไว้นานเกินไป เปลี่ยนคันใหม่ดีกว่า” ศมนพูดง่ายๆ
“เสียดายเงิน อย่าซื้อใหม่เลยครับ”
“ตามใจฉันหน่อยไม่ได้เหรอ เด็กดื้อ”
“คุณศมน” จาณีนไม่เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่ายเลย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
“นะ..จาณีน” คำพูดสั้นๆ ที่ถูกส่งออกมาพร้อมกับสายตาแบบนี้ แล้วใครล่ะจะทนสายตาคนแก่มองเด็กแบบนี้ได้ ใครบอกคนแก่อ้อนไม่เป็น เขาคนหนึ่งล่ะจะเถียงให้ใจขาดเลย
“ครับ เงินของคุณศมนทั้งนั้น อยากทำอะไรก็ทำเลย” จาณีนประชดกลับไป ในเมื่อเงินนั่นไม่ใช่ของเขา แล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะ
“ขอบใจ” จาณีนนึกฉุน ขนาดเขาประชดแล้วยังไม่สลดนี่มันคนแบบไหนกันแน่ มือที่จับแก้วไวน์ผละออกมาจับหัวทุยของคนที่อายุน้อยกว่า แต่คราวนี้จาณีนเบี่ยงศีรษะหลบ คิดแล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มโมโห เขาเลยดับความคุกรุ่นในจิตใจโดยการกลับไปกินสเต๊กที่เหลือให้หมดต่อดีกว่า ของดีและอร่อยไม่ได้มีกันบ่อยๆ
เสร็จสิ้นมื้ออาหารแต่จานตรงหน้าของศมนกลับไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อย จาณีนเลยจัดการห่ออาหาร เก็บไว้อุ่นมื้อต่อไป เขาลุกขึ้นทยอยเก็บจานบนโต๊ะอาหารจนหมด คงเหลือไว้เพียงแต่ขวดไวน์กับแก้วไวน์ของอีกฝ่ายเอาไว้
“คุณศมนครับ” จาณีนเรียกอีกฝ่ายเมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อย
“ว่าไง”
“คุณไม่ทานอะไรเลย เอาแต่ดื่มไอ้เจ้านี่ เดี๋ยวก็แย่เอาหรอกครับ”
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่เป็นไรหรอก” ศมนพูดจบก็หันกลับไปมองทางเดิม
“คิดอะไรอยู่ครับ บอกผมบ้างได้หรือเปล่า” จาณีนถามขึ้น เขาเองเห็นอีกฝ่ายมองออกไปด้านนอกของคอนโด ดูเหมือนคนที่คิดหรือนึกถึงอะไรอยู่
“ฉันกำลังคิดเรื่องของเธออยู่ อยากรู้เหรอ”
“ถ้าคุณยอมเล่าล่ะก็ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็อยากฟังทั้งนั้นแหละ แล้วยิ่งเป็นเรื่องของผมด้วย ก็ต้องอยากรู้อยู่แล้วล่ะครับ”
“กำลังคิดว่าตอนที่เห็นเธอตั้งใจก้มหน้าก้มตาทำงาน พิมพ์อะไรอยู่นั่น มันดูตลกดี”
“คุณศมน! ผมล่ะเบื่อคุณจริงๆ หาเรื่องมาล้อผมได้ตลอด ไม่คุยด้วยแล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะแล้วช่วยไปอาบน้ำด้วยนะครับ แล้วไอ้เหล้านี่ก็เลิกดื่มได้แล้ว มันเสียสุขภาพ”
“ไวน์ต่างหากล่ะ”
“ครับ ไวน์ก็ไวน์ เลิกดื่มได้แล้วครับ” จาณีนจำต้องแก้ให้ถูกต้องด้วยความเอือมระอาแล้วเข้าไปเตรียมน้ำอุ่นให้อีกฝ่ายทันที
คล้อยหลังไม่นาน คนสูงวัยกว่าก็เดินเข้าห้องน้ำตามมา จาณีนหันไปดูอีกฝ่ายที่กำลังถอดเสื้อผ้า นิ้วมือเรียวสวยกำลังปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงทำงานปล่อยให้กางเกงร่วงหล่นลงมา ทำเอาจาณีนมองตาม จนเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง เด็กหนุ่มรีบเบนสายตากลับมาที่อ่างอาบน้ำ ถึงแม้จะไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่เขาเห็นร่างกายของคนตรงหน้า แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินกับภาพที่เห็น รูปร่างของศมนยังทำให้เขาหวั่นไหวได้เสมอ
ความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรของเจ้าตัว ผนวกกับร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามที่เจ้าตัวพยายามออกกำลังกายให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเวลาได้ อีกทั้งยังอาหารการกินอีกที่คนสูงวัยกว่านั้นเริ่มเลือกกินขึ้นมาตามวัยของเจ้าตัว
จาณีนมองตัวเองทั้งที่ตัวเขาเองก็กินอาหารและออกกำลังกายตามที่อีกฝ่ายสั่ง แต่ทำไมตัวของเขากลับไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อแบบอีกฝ่ายบ้างเลย โลกนี้ไม่ยุติธรรมจริงๆ
“คุณศมน เรียบร้อยแล้วครับ” จาณีนบอกอีกฝ่ายทั้งที่ยังก้มหน้ามองแต่น้ำอุ่นที่กำลังอุ่นได้ในอ่างอาบน้ำ
“อืม อาบน้ำด้วยกันสิ” เสียงทุ้มที่ตอบออกมา ทำให้เกร็งขึ้นมาทันทีเพราะเสียงมันดังอยู่แค่ด้านหลังเขาเองน่ะสิ
นี่มันใกล้เกินไปแล้ว
“ไม่ล่ะครับ ผมอาบแล้ว” จาณีนแสร้งกวักน้ำในอ่างเล่น เขาเลือกไม่หันกลับไปมอง เด็กหนุ่มรับรู้จากหางตาได้จังหวะที่ศมนเดินผ่านหลังเขาไป จาณีนก็รีบหันหน้าไปทางประตู เพราะถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้ศมนคงตัวเปล่าแล้วแน่นอน ชายหนุ่มก้าวเท้าลงไปในอ่างอย่างระวัง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง
“อาบน้ำด้วยกันเถอะ” ศมนชักชวนเด็กหนุ่มที่ยังนั่งเล่นน้ำอยู่นอกอ่าง มือเรียวคว้าแขนของที่แกล้งหลบตาตลอด แล้วออกแรงดึง
“เฮ้ยยยยย!!!” เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัวเลยร้องเสียงหลงออกมา น้ำกระฉอกออกมาจากอ่างน้ำอย่างแรงเพราะศมนคว้าคนที่นั่งอยู่บนขอบอ่างตกลงมาในอ่างด้วยกัน ได้ยินเสียงหัวเราะของคนขี้แกล้งดังอยู่เหนือน้ำก็ทำเอาจาณีนเริ่มโมโห
“คุณเล่นอะไรเนี่ย เห็นมั้ย ตัวผมเปียกหมดเลย” จาณีนโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำได้ก็ไอโขลกสองสามครั้งก่อนจะหันมาเล่นงานอีกฝ่ายที่นั่งพิงขอบอ่างอย่างสบายใจ
“ไม่ได้เล่น ฉันแค่ชวนเธออาบน้ำด้วยกัน”
“คุณก็รู้ว่าผมอาบน้ำแล้ว”
“รู้ แต่ไม่จำเป็นต้องสนใจ”
“คุณนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ สักวันเถอะผมจะไม่อยู่กับคุณ”
“บอกแล้วไงว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะไปจากฉันได้ทุกเมื่อ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูนิ่งเฉยทำเอาจาณีนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาไม่น่าพลั้งปากพูดออกไปแบบนั้นเลย
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากแกล้งคุณเล่นเฉยๆ”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ”
“ผมรู้ว่าคุณไม่โกรธ แต่ก็ไม่ชอบใช่มั้ยล่ะ”
“รู้ดีนักนะเรา” ศมนดีดหน้าผากจาณีนไม่แรงนัก อีกฝ่ายรู้จักเขามากพอระดับที่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร
ไหนๆ ก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ จาณีนเลยต้องจำใจถอดเสื้อผ้าออกไปกองไว้นอกอ่างอาบน้ำ ปกติแล้วพวกเขาทั้งคู่ไม่ค่อยใช้อ่างอาบน้ำสักเท่าไหร่ สำหรับจาณีนมันคือความสิ้นเปลืองและมันก็รอนานกว่าน้ำจะเต็มอ่าง สู้อาบน้ำผ่านฝักบัวก็ไม่ได้ เร็วกว่าเป็นไหนๆ แต่สำหรับอีกฝ่ายคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีเวลา กลับมาก็ดึกแล้ว รีบอาบน้ำแล้วรีบพักผ่อน ดูจะคุ้มค่ากว่า
ศมนมองอีกฝ่ายที่คิดจะเล่นอะไรบางอย่างภายในอ่าง เด็กหนุ่มชอบน้ำ ชอบทะเล ยิ่งถ้าอาบน้ำแบบนี้ล่ะก็ ไม่พ้นว่าจะเอาบับเบิ้ล บาธมาเทเล่น ตีฟองให้เต็มอ่าง นี่น่ะเหรอคนที่บอกว่าโตแล้ว ไม่ว่ามุมไหนในสายตาของศมนแล้ว จาณีนก็ยังเป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อนเสมอ จนเกือบจะลืมไปแล้วว่าเด็กน้อยคนนี้ใกล้เข้าวัยเบญจเพสเต็มที
“เขยิบมานี่สิจา” ศมนตบหน้าขาของตัวเอง
“ไม่ครับ”
“อย่าเล่นตัวน่า วันนี้ยังไม่ได้กอดเธอเลย”
“ไม่ครับ ตอนผมกอดคุณ คุณยังทำเป็นนิ่ง เล่นตัวใส่ผมเหมือนกัน”
“ก็ตอนนั้นฉันไม่ว่าง ทำมื้อเย็นให้เธออยู่ไง”
“ตอนนี้ผมก็ไม่ว่าง” คำว่าไม่ว่างของจาณีนคือการตีฟองสบู่ให้เต็มอ่าง
“ไม่ดื้อสิ เด็กดี” ศมนจับแขนของจาณีนเอาไว้ไม่ให้เจ้าตัวเล่นฟองสบู่ต่อ
“ก็ได้ครับ” ถึงจะปฏิเสธแค่ไหน แต่คนเอาแต่ใจตัวเองอย่างศมนไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้แน่ จาณีนเลยได้แต่บ่นในใจแล้วเขยิบตัวไปนั่งบนตักของศมน แล้วหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนส่วนสำคัญ แต่ดูจะยากเต็มที พื้นที่มันก็มีแค่นี้ จะขยับไปทางไหนก็ลำบากใจเหลือเกิน
ศมนคว้าเด็กหนุ่มเข้ามากอด กดศีรษะทุยของอีกฝ่ายให้ซบลงบนบ่า มือหนาคอยลูบแผ่นหลังขาวอย่างเบามือ จาณีนหลับตาลง เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ทีไร เขาเหมือนได้ปล่อยวางปัญหาหรือปล่อยวางความรู้สึกอยู่เสมอ สบายใจทุกครั้งที่อยู่กับศมน
“อยากไปเที่ยวมั้ย”
“อยากครับ”
“ไว้จะพาไป”
“ผมจะรอ จริงๆ แล้วผมก็ไม่รีบ อยากไปเดี๋ยวนี้หรอกครับ แต่แค่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้ไปหรือเปล่า” จาณีนไม่อยากจะแขวะอีกฝ่าย แต่ก็รู้กันว่าทางนั้นงานแน่นขนาดไหน แค่กลับให้เร็วกกว่าปกติก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องไปเที่ยวนี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อก่อนตอนเขายังเป็นนักศึกษา ยังพอไปกับอีกฝ่ายได้บ้าง เพราะเวลาเรียนที่ไม่ได้แน่นขนัด แต่ถึงแม้จะไปด้วยกัน เขาจำต้องออกไปเที่ยวคนเดียวเสียทุกครั้งเพราะคนสูงวัยกว่านั้นไปทำงาน แต่ก็ไม่เป็นไร จาณีนได้แต่คิด ขอแค่อีกฝ่ายกลับมาบ้านทุกวัน นอนกับเขาทุกคืน ตื่นขึ้นมาเจอกันทุกวัน แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
“ช่างประชด ได้ไปอยู่แล้ว เร็วๆ นี้แหละ”
“จริงเหรอครับ” จาณีนสบตาอีกฝ่ายด้วยความไม่เชื่อ
“เชื่อใจกันหน่อย ฉันมีวิธีน่า”
“วิธีอะไร แบบไหน อย่างไรครับ”
“ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง”
“ทำไมดูลึกลับจัง”
“เด็กช่างสงสัย” ศมนบีบจมูกเด็กในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดูปนขำกับท่าทางของอีกฝ่าย
“คิดถึง” เด็กน้อยที่หลุดพ้นจากการขาดอากาศหายใจออกมาได้ก็พูดออกมาคำแรกพร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มสาก
“ฉันก็เหมือนกัน” ศมนประกบริมฝีปากลงบนเด็กช่างพูด จาณีนรู้สึกโหยหาความรู้สึกนี้เหลือเกิน เขากอดอีกฝ่ายแน่นราวกับกลัวว่าศมนจะหายไป ตามใจให้อีกฝ่ายได้รุกล้ำตามอำเภอใจ
ศมนขบริมฝีปากล่างของคนในอ้อมกอด ให้เผยอออกมากกว่านี้ ก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปสำรวจภายในอย่างถือสิทธิ์
ความหอมหวานที่ร้างรากันไปนาน จนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่จูบกันแบบนี้มันเมื่อไหร่ คนที่อยู่บนหน้าขาส่งเสียงพึงพอใจแผ่วเบาออกมาในลำคอ
ตั้งแต่จาณีนทำงาน เจ้าตัวค่อนข้างจะยุ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ เด็กน้อยในตอนนั้นอยากจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ เจ้าตัวค่อนข้างจริงจังกับงานมากพอสมควร อย่างน้อยศมนก็รู้สึกจากใจจริงว่าถ้าวันหนึ่งจาณีนจะออกไปจากชีวิตเขา ก็ขอให้เจ้าตัวได้ก้าวออกไปอย่างมั่นคง ไม่ทำให้เขาต้องกังวลหรือเป็นห่วง
การที่ต่างฝ่ายต่างทำงานด้วยกันทั้งคู่ ทำให้เวลาของพวกเขาทั้งสองคนนั้นแทบไม่ตรงกัน ด้วยเนื้องานและตำแหน่งของศมนนั้นทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาว่างอยู่แล้ว เขามีทั้งโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งในประเทศและตอนนี้กำลังเริ่มโครงการตีตลาดต่างประเทศไปบ้างแล้ว มันยิ่งทำให้เขาต้องทำงานมากขึ้นกว่าเดิม
วันนี้เขายกเลิกนัดและการประชุมทุกอย่างในช่วงเย็นเพื่อคนตรงหน้า เขารู้ว่าจาณีนต้องไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่าเขาได้ทำการว่าจ้างบริษัทของจาณีนเข้ามาทำระบบเว็บไซต์ของโรงแรม จะบอกว่าที่เลือกบริษัทนี้มาทำเพราะจาณีนทั้งหมดเลยก็คงไม่ผิดนัก ยอมรับว่าคนอ่อนวัยกว่ามีส่วนในการตัดสินใจ เขาอยากเห็นว่าเวลาจาณีนทำงานเป็นอย่างไร อีกทั้งบริษัทเก็นติ้งเฮาส์ที่จาณีนทำงานอยู่นั้นก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เขาเลยตัดสินใจเลือกได้ไม่ยากนัก
ศมนไล่ริมฝีปากลงมาลำคอขาว คนบนตักแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายจูบได้ถนัด ศมนจูบย้ำหนักแน่นลงไป ก่อนจะวกกลับมาชิมความหวานจากริมฝีปากของคนตรงหน้าที่เผยอปากรอเหมือนเดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้ว จูบให้หายอยาก จูบให้หายจากความคิดถึง
“หายคิดถึงหรือยัง” คนสูงวัยกว่าละริมฝีปากออกมากระซิบถามอีกฝ่ายที่ยังหลับตาพริ้มรับความสุข
“ยังเลยครับ”
“โลภ”
“แค่กับคุณคนเดียวเท่านั้น”
“เด็กสมัยนี้ชอบล้อเล่นกับหัวใจคนแก่เสียจริง” อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว
“คุณยังไม่แก่เสียหน่อย”
“ถ้าตอนวัยรุ่นฉันเกเรหน่อย ตอนนี้ก็คงเป็นพ่อเธอได้แล้วล่ะ”
“แต่ก็ไม่ได้เป็นนี่ครับ”
“เถียงได้ทุกคำ น่าตีจริงๆ” เสียงหัวเราะดังก้องในห้องน้ำบ่งบอกว่าคนพูดไม่ได้โกรธอะไร ติดออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ
“คุณไม่กล้าหรอก”
“ท้าฉันเหรอ”
“ไม่ได้ท้าครับ คุณรักผมจะตายไป ไม่กล้าตีหรอก”
“แน่ใจ”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีก แล้วมันจริงมั้ยล่ะครับ” จาณีนทำหน้าท้าทายอีกฝ่ายเมื่อตอนที่ถามกลับไป
===============================
เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย กับตอนที่หนึ่ง เรื่องนี้ก็ยังเป็นแนววัยทำงานแล้วเหมือนเช่นเคยค่ะ ตามความถนัดของเรา
ติชมกันมาได้เลยนะคะ อยากอ่านความเห็นของทุกคนเลยค่ะ เจอคำผิดท้วงมาได้เลยนะคะ ^^
สำหรับใครเล่นทวิตเตอร์ ติดแฮชแทกได้เลยค่า #ศมนจาณีน
มีความสุขกับการอ่านค่ะ ขอบคุณค่ะเฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ
https://twitter.com/khemmakan