พิมพ์หน้านี้ - *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เขมกันต์ ที่ 07-04-2017 22:33:35

หัวข้อ: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-04-2017 22:33:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



-------------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้วค่ะ ขอฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะคะ


ผลงานเรื่องเก่าๆ ค่ะ

กว่าจะเข้ากันได้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51505.0)

เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54963.0)


LOTTO สื่อรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66490.0) : ON AIR
 

ฝากทวิตเตอร์เพื่อพูดคุยหรือติดตาม ได้ที่นี่ค่ะ จิ้มตามไปเลย
twitter (https://twitter.com/khemmakan)
Facebook (https://www.facebook.com/akanae14/)



 :mew1: :mew1: :mew1:

ไปอ่านกันเลยค่ะ


*** รีไรท์เนื้อหาครบแล้วค่ะ ***
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> First drop -- 07 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-04-2017 22:42:06
First drop


            กตพลเดินเข้ามาในแผนกไอทีทันเวลาเข้างานพอดิบพอดี ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงมาตรฐานชายไทย เมื่อเขาเดินเข้ามาก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มลูกน้องที่ตนคอยดูแลเทรนงานให้ตั้งแต่เด็กหนุ่มเข้ามาทำงานเมื่อสองปีก่อนกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอโน้ตบุ๊ค

“ยิ้มอะไรวะ เอ็งมีอะไรดีๆ ไม่แบ่งข้าหรือไง” กตพลหรือพล หัวหน้าฝ่ายด้านไอทีเอ่ยทักลูกน้องที่เขาเอ็นดูเหมือนกับน้องตัวเองจริงๆ

“ยิ้มอะไร ไม่มีนะพี่” จาณีนเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าก่อนจะตอบอีกฝ่ายกลับไป

“ไม่จริงอะ ทำหน้าแบบนี้ ดูยังไงก็มีพิรุธชัดๆ ไหนให้ข้าดูหน่อยดิ๊ ไอ้จา” หัวหน้าฝ่ายเดินอ้อมโต๊ะมาหยุดยืนอยู่ที่หลังของจาณีน ทำให้เจ้าของโต๊ะต้องเอี้ยวตัวหลบให้อีกฝ่ายได้เห็นหน้าจอโน้ตบุ๊คตนเองชัดๆ กตพลเห็นท่าทีแบบนั้นยิ่งไม่ขัดศรัทธาเลยชะโงกหน้าเข้ามาใกล้กับหน้าจอตั้งใจมองจอสี่เหลี่ยมนั้นให้สมกับความอยากรู้

            “เต็มที่ครับ ผมลุกให้พี่นั่งดูเลย เอาที่สบายใจเลยครับ” จาณีนประชดอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังนักพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่ถ้าหากยืนเทียบกับหัวหน้าของตนเองแล้ว จาณีนจะสูงกว่าอีกหลายเซนติเมตร แต่เพราะรูปร่างที่ผอมบางกว่า ทำให้ดูตัวเล็กกว่าอีกฝ่าย

            “ไหนวะ ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่หว่า มีแต่เมลแจ้งโปรเจ็คใหม่” กตพลไม่ขัดศรัทธา เขาลากเก้าอี้พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งทันที

            “ก็ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไร พี่ไม่ยอมเชื่อเอง” จาณีนบอกกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลกเพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร นอกจากกำลังเชคเมลเท่านั้นเอง

            “เอ็งสลับหน้าจอหรือเปล่าวะ งั้นข้าต้องดูให้ครบทุกหน้าเลยดีกว่า” กตพลสลับหน้าจอบนโน้ตบุ๊คของจาณีนเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรซ่อนเร้น

            “ก็ไม่เห็นมีแฮะ” กตพลพึมพำเบาๆ เขากดดูนั่นดูนี่ก็ไม่พบอะไรจริงๆ  “แล้วเอ็งยิ้มทำไม”

            “ทำไมอะพี่ ผมจะทำงานไปด้วยแล้วยิ้มไปด้วยไม่ได้หรือไงครับ”

            “ก็สีหน้าเอ็งมันบอกว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ยิ้มกรุ้มกริ่มแปลกๆ ดูไม่น่าไว้ใจ”

            “ผม...แค่เห็นเมลแล้วมันอดคิดไม่ได้”

            “เมลเนี่ยนะ ต้องคิดอะไรด้วยวะ” กตพลเดินออกมาจากหลังของจาณีน เขายกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความไม่เข้าใจคำพูดของลูกน้อง

            “คิดถึงความสนุกที่มาพร้อมกับความลำบากไงครับพี่ ถ้าได้ทำงานนี้ผมต้องผมดีใจมากแน่ๆ พี่รู้มั้ย โรงแรมนี้อะ เป็นโรงแรมใหญ่มาก สาขาก็เยอะ มันต้องมีอะไรให้เราเล่นกับงานมาก” จาณีนพูดถึงเนื้องานด้วยแววตาสุกใสเหมือนกำลังจะได้เล่นอะไรสนุกๆ

            เด็กหนุ่มก้มลงไปอ่านรายละเอียดเมลอีกครั้ง มันเป็นงานที่เขาสนใจจริงๆ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชื่อโรงแรมนี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินจากไหนมา ไม่ใช่คุ้นเพราะเป็นโรงแรมดัง แต่เหมือนคนเคยได้ยินชื่อนี้จากคนที่เขาน่าจะรู้จัก แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

            “สนุกตรงไหน งานก็เหมือนเดิม เก็บรีไควร์เมนท์ลูกค้า มาเขียนโฟลว์ ทำระบบ ส่งงานให้ลูกค้า รับงานกลับมาแก้ วนไปวนมา เป็นกงกรรมกงเวียน น่าเบื่อจะตายชัก”

            “ถ้าเบื่อนักก็ลาออกไปสิครับ” จาณีนเงยหน้าขึ้นจากจอโน้ตบุ๊คเพื่อมาต่อปากกับหัวหน้าตนเอง

            “อ้าวๆ ไอ้น้องเวรนี่ปากดี ถ้าลาออกแล้วข้าจะกินอะไร”

            “อย่างนั้นก็ทำไปครับ อย่าบ่น”

            “เอาใหญ่แล้วนะไอ้จา สอนข้าอย่างกับเป็นพี่ข้า ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นไอ้พี่คนนี้จะกลับไปทำงานต่อเดี๋ยวนี้ พอใจหรือยัง” จาณีนพยักหน้าตอบรับตามคำพี่ท่านว่าไปหนึ่งครั้งถ้วน กตพลเลยขอบคุณลูกน้องด้วยการอ้าปากด่าพยางค์เดียวสั้นๆ แต่ไร้เสียงแล้วก็เดินไปเก็บของที่จำเป็นบนโต๊ะทำงานขึ้นมาถือไว้จึงหันมาบอก

“เกือบลืมไปเลย ไอ้จา ข้าก็คิดอยู่ว่ามาหาเอ็งทำไม ลุกได้แล้ว ไปหาลูกค้ากับข้า”

            “ลูกค้า? ลูกค้าอะไรพี่”

            “เออ ลูกค้าโปรเจ็คใหม่ที่เอ็งเปิดเมลอยู่นั่นไง เอ้า ทำเป็นงง เร็วสิวะ เก็บของแล้วตามข้ามาให้ไว” ท่ามกลางความงุนงง จาณีนยืนอึ้งกับงานที่กตพลบอก

“ยังทำเป็นยืนงงอยู่อีก ตกลงจะไม่ทำงานนี้ใช่มั้ย ข้าจะได้ยกให้คนอื่น”

“ทำครับๆ” เมื่อตั้งสติได้ จาณีนรีบเก็บของตามที่หัวหน้าฝ่ายท่านสั่งโดยเร็ว

            “มาหรือยัง ไอ้จา เดี๋ยวสาย ลูกค้าด่าตาย” เจ้านายหนุ่มเสียงดังโวยวายอยู่ตรงประตู

“ครับๆ พี่พล” เด็กหนุ่มกวาดตามองของในมือว่าครบหรือยังเสร็จแล้วจึงรีบจ้ำอ้าวตามออกไปอย่างรวดเร็ว

            ปลายทางที่กตพลจะไปก็คือบริษัทของลูกค้า หัวหน้าหนุ่มกดลิฟท์ไปยังชั้นสามสิบแปด จาณีนดูป้ายที่ติดหน้าตัวเลขประจำชั้นเป็นคำว่าผู้บริหารก็เข้าใจได้เองว่าเป็นชั้นเจ้าของบริษัทหรือผู้ว่าจ้างเท่านั้น ไม่นานนักประตูลิฟท์เปิดออก ทั้งสองหนุ่มก็เจอกับเลขาสาวสวยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งของเธอ

            “สวัสดีค่ะ คุณกตพลใช่มั้ยคะ” เธอลุกขึ้น ยกมือขึ้นสวัสดีผู้มาใหม่ จาณีนที่หอบของพะรุงพะรังเต็มแขนเกือบไหว้กลับเธอแทบไม่ทัน

            “ใช่ครับ ผมกตพล จากเก็นติ้งเฮาส์ ที่นัดไว้ครับ นี่ครับนามบัตร” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมยื่นนามบัตรให้ คุณเลขาเธอรีบรับไว้แล้วลุกขึ้นไปเคาะประตูบานใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง ได้ยินเสียงข้างในอนุญาตแล้ว เธอจึงเปิดประตูออก

            “เชิญค่ะ”

            “ขอบคุณครับ” กตพลขอบคุณเลขาหน้าห้องแล้วเดินเข้าไปในห้องนั้น จาณีนยังก้มหน้าวุ่นวายอยู่กับของในมือไม่หยุด เกือบจะเดินก้าวตามเข้าไปไม่ทัน

            “สวัสดีครับ” น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในห้อง

            “สวัสดีครับ ผมกตพลครับ นี่จาณีน ผู้ช่วยของผม จะเป็นคนประสานงานโปรเจ็คนี้ให้คุณนะครับ” จาณีนยังก้มหน้าก้มตาอยู่ไม่ได้ทักทายอีกฝ่าย ทำให้กตพลอดไม่ได้ที่จะใช้ศอกสะกิดที่แขนของอีกฝ่าย

            “อะ...ครับ สวัสดีครับ ผมจาณีน ยินดีที่ได้รู้จัก ค...ครับ” จาณีนรีบยกมือไหว้อีกฝ่ายเพราะถ้าขืนยังช้าอีกนิดเดียว กลับไปต้องถูกกตพลบ่นหูชาแน่ๆ ฉับพลันเมื่อสายตาได้มองเห็นหน้าคนตรงข้ามชัดเจนแล้ว ปลายเสียงของเขาถึงกับแผ่วเบาลงเองอัตโนมัติ มือที่ยกไหว้ก็ยังค้างอยู่แบบนั้น

            “เป็นอะไร ไอ้จา” กตพลเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกน้อง รู้สึกเป็นห่วงจึงได้ถามกลับไปเสียงเบา

            “เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

            “เออ” กตพลตอบรับในลำคอแล้วหันไปยิ้มให้กับผู้ว่าจ้าง

            “สวัสดีครับ ผมชัยยุทธจะเป็นคนดูแลโปรเจ็คนี้ครับ และทางนี้คือคุณศมน รองประธานบริษัทธาราแกรนด์ครับ”

            “สวัสดีครับ ผมศมน ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ”

            “สวัสดีครับ ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณศมนเช่นกันครับ” กตพลกับจาณีนไหว้กลับอีกฝ่ายพร้อมยิ้มให้ด้วยความยินดี

            “อย่างนั้นเรามาเริ่มคุยงานกันเลยมั้ยครับ” ศมนเห็นว่าทักทายกันพอแล้วจึงตัดบทเข้าสู่สาเหตุที่มาพบเจอกันวันนี้

            “ครับ” กตพลรับคำ ศมนเดินนำไปนั่งตรงบริเวณโซฟาที่ตั้งอยู่มุมห้อง จากมุมนี้มองผ่านหน้าต่างลงไปก็เห็นตึกสูงเรียงรายมากมายอยู่ใจกลางกรุงหลายตึก ดูไปแล้วก็เพลินตาอยู่ไม่น้อย

            “ได้รับเอกสารที่คุณชัยยุทธแจ้งไปในเมลแล้วใช่มั้ยครับ ว่าทางเราต้องการอะไรบ้าง” ศมนสบตาโดยตรงกับ   กตพลเพื่อเข้าเรื่องงานโดยไม่อ้อมค้อม

            “จากที่อ่านรายละเอียดแล้ว ทางผมคงต้องขอข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยครับ”

            “ยินดีครับ อยากได้ข้อมูลตรงไหนเพิ่มเติมก็แจ้งมาได้เลย” ศมนยิ้มให้กตพลแล้วส่งยิ้มผ่านมาทางจาณีนด้วย แต่เด็กหนุ่มไม่เห็นเพราะกำลังก้มหน้าพิมพ์อะไรลงไปบนโน้ตบุ๊คที่เจ้าตัวนำติดตัวมาด้วย

            “ตรงหน้าเว็บไซต์ จะต้องมีรูปของห้องพักแต่ละประเภท รวมถึงรายละเอียดและจุดเด่นด้วยครับ ไม่ทราบว่าทางคุณศมนได้เตรียมเอาไว้หรือยังครับ”

            “เรื่องรูปภาพต่างๆ กับรายละเอียด ทางผมได้เตรียมเอาไว้แล้ว เดี๋ยวคุณยุทธจะส่งรูปภาพและรายละเอียดไปให้ทางอีเมลภายในวันนี้ครับ”

            “ขอบคุณครับ ยังไงผมขอเช็คก่อนถ้ายังไม่พออาจจะต้องขอเข้าไปสถานที่จริงเพื่อเก็บรูปเพิ่มนะครับ”

            “ได้ครับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ขาดเหลืออะไรแจ้งผ่านทางคุณยุทธได้เลย”

            “จา พิมพ์รีไควร์เมนท์ทันหรือเปล่า” กตพลหันไปถามจาณีนที่ยังนั่งพิมพ์ข้อมูลไม่หยุดมืออยู่ข้างๆ

            “ทันครับ พี่พล แล้วเรื่องการจองห้องพักล่ะครับ” จาณีนตอบหัวหน้า ซ้ำยังเลือกที่จะถามคำถามกับหัวหน้าอีก โดยไม่สนใจถามฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ว่าจ้าง

            “ทำไมไม่ถามเองวะ” ทำปากขมุบขมิบในคอ แต่ก็หันไปถามผู้ว่าจ้างโดยดี ”เรื่องการจองห้องพักอยากได้แบบไหน ยังไงบ้างครับ”

            “เรื่องนั้น คงไม่ต่างจากการจองโรงแรมที่อื่นสักเท่าไหร่ หลักๆ ก็อยากให้ตรวจสอบห้องพักที่ยังว่างได้ ใส่ความต้องการของผู้เข้าพักเพิ่มได้ การจองพร้อมการตัดเงิน โดยให้เลือกตัดจากบัตรเครดิตเป็นหลัก ประมาณนี้แหละครับ คงไม่ต่างจากเว็บไซต์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ลองดูจากเว็บของโรงแรมเราก่อนก็ได้ครับ แล้วถ้าหากคุณพลกับคุณจามีอะไรเพิ่มเติมก็แนะนำผมมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ บางอย่างผมเองก็อาจจะลืมหรือคิดไม่ถึงเหมือนกัน”

            “ครับ เดี๋ยวทางผมจะช่วยดูให้อีกทีอาจจะเพิ่มฟีดเจอร์บางส่วนลงไปให้ แต่ก็จะถามความเห็นคุณศมนกับคุณชัยยุทธก่อน เผื่อว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกใจก็สามารถแก้ไขได้”

            “ครับ”

            “แล้วเรื่องรายงานต่างๆ คุณศมนอยากทราบเรื่องไหนบ้าง แจ้งมาในอีเมลพร้อมกันเลยได้นะครับ หรือถ้ามีอยู่แล้ว จะแจ้งมาตอนนี้เลยก็ได้ครับ”

            “ก็มีไว้บ้างแล้วครับ แต่เดี๋ยวผมแจ้งไปทางอีเมลจะดีกว่า เผื่อว่าคุณศมนอาจจะอยากได้อะไรเพิ่มอีก จะได้รวบรวมส่งไปให้ทีเดียว” ชัยยุทธเป็นฝ่ายตอบแทนเจ้านายเพราะเขาเองก็ตั้งใจจะทำอย่างนี้แต่แรกอยู่แล้ว

            “ได้ครับ ตามที่สะดวกเลยครับ อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง แล้วหน้าเว็บล่ะครับ อยากให้เน้นลูกเล่นหรือสีอะไรเป็นพิเศษมั้ย ผมจะได้ให้ทีมออกแบบลองทำมาให้ดูก่อน”

            “อยากให้เน้นเป็นรูปของโรงแรมมากกว่า ส่วนสีก็ยึดสีตามสไตล์ของโรงแรมได้เลย สีเขียว สีทอง สีขาวและสีส้มครับ โรงแรมของเรามีห้องพักหลายแบบก็จะแบ่งไปตามโทนสีเพื่อให้ความรู้สึกและบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละห้อง อาจจะยังนึกภาพไม่ออก ลองดูรูปในเว็บก่อนก็ได้ครับ ถ้าได้เห็นแล้วก็น่าจะพอเข้าใจได้มากขึ้นครับ” ศมนเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

            “ได้ครับ” กตพลตอบรับ

            การพูดคุยในส่วนเนื้องานล่วงเลยมาอีกสักครู่ใหญ่ก็เรียบร้อย คนในห้องทั้งหมดได้ยินเสียงเคาะประตูจากวิมาลา เลขาของศมนที่เข้ามาเตือนเรื่องประชุมกับผู้ถือหุ้นในอีกสามสิบนาทีข้างหน้า ประกอบกับข้อมูลที่กตพลคิดว่าได้มาค่อนข้างครบแล้วในงานส่วนแรกที่จะต้องส่งมอบความคืบหน้าให้กับผู้ว่าจ้าง

            “ผมคงต้องขอตัวก่อน คุยกับคุณยุทธต่อได้เลยนะครับ”

            “ครับคุณศมน นี่จามีอะไรสงสัยหรือเปล่า” กตพลตอบรับอีกฝ่ายก่อนจะหันไปถามคนข้างตัวที่ยังไม่เงยหน้าจากแป้นพิมพ์ กตพลแปลกใจในหนุ่มรุ่นน้อง อะไรจะตั้งใจขนาดนั้น

            “ครับ?” จาณีนเงยหน้ามามองหัวหน้าด้วยความสงสัย ทำให้กตพลต้องถามซ้ำ

            “อะ...อ่อ...ไม่มีครับ” เมื่อทวนคำถามที่ได้ยินอยู่ในสมอง เด็กหนุ่มถึงเข้าใจว่ากตพลถามอะไร แต่เขาก็เลือกตอบโดยไม่หันไปมองคนตรงข้ามเหมือนเดิม

            “วันนี้คงไม่มีอะไรแล้วครับ” กตพลสรุปจากทางฝั่งของตัวเองไปให้

            “ครับ”

            “สำหรับงานในส่วนแรกผมจะแจ้งความคืบหน้า ตามที่ระบุในสัญญาว่ามีส่วนไหนต้องแล้วเสร็จบ้างนะครับ ก็ประมาณอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้” กตพลบอกปิดท้าย

            “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน ขอบคุณที่มาวันนี้นะครับ” ศมนลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นมือด้านขวาออกมาตรงหน้ากตพล

            “ขอบคุณที่เลือกเกนติ้งเฮาส์ครับ” กตพลยื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายตามมารยาท เขย่าสองสามทีก่อนจะปล่อยมืออก

            “ยินดีครับ” เมื่อศมนปล่อยมือจากกตพลแล้วก็ยื่นมือออกไปทางจาณีนบ้าง

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา ซ้ำยังคงก้มหน้า ไม่สบตาแต่ก็ยอมยื่นมืออกมาจับอีกฝ่าย ก่อนจะรีบปล่อยอย่างรวดเร็ว


ศมนบอกขอบคุณทั้งคู่อีกครั้ง ชายหนุ่มหันมาสั่งงานกับชัยยุทธอีกสองสามอย่างแล้วก็ออกจากห้องไป

“ขอบคุณคุณพลและคุณจามากนะครับที่มาวันนี้ ดูคุณศมนจะพอใจทีเดียวกับงานนี้” ชัยยุทธพูดขึ้นระหว่างที่เดินมาส่งหัวหน้าและลูกน้อง

“ไม่หรอกครับ ทางคุณยุทธก็เตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี ทุกอย่างเลยคุยง่ายขึ้นมากเลยครับ” กตพลชมอีกฝ่ายกลับ แต่ก็คือความจริงทางเพราะอีกฝ่ายเตรียมเอกสารและรายละเอียดมาค่อนข้างแน่น

“อย่าหาว่าผมพูดมากเลยนะครับ แต่ตอนแรกผมก็แปลกใจที่คุณศมนเลือกบริษัทของคุณพล เพราะปกติเราจะใช้บริการอีกบริษัทหนึ่งตลอด แต่ท่านบอกว่าบริษัทของคุณพลเชื่อฝีมือได้ เลยเลือกบริษัทของคุณ”

“เป็นเกียรติมากเลยครับ”

“ตอนนี้บริษัทธาราแกรนด์ก็มีคุณศมนนี่แหละครับที่คอยจัดการดูแลทุกอย่าง”

“อย่างนั้นหรือครับ ผมทราบมาว่าท่านประธานยังเป็นท่านเจ้าสัวอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” กตพลถามด้วยความสงสัย

“ใช่ครับ แต่ก็แค่ในนามเท่านั้น ท่านเจ้าสัวเตรียมจะให้คุณศมนขึ้นเป็นประธานบริษัทต่อจากท่านแล้วครับ น่าจะประกาศเรื่องตำแหน่ง พร้อมกับที่ประกาศเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เลยล่ะครับ”

“เหรอครับ เรื่องดีจริงๆ แต่มาบอกผมก่อนแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ”

“ไม่มีปัญหาหรอกครับ เรื่องนี้ประกาศออกไปชัดแล้วครับ คุณพลไม่ต้องเป็นกังวล งานนี้ค่อนข้างสำคัญพอตัว คุณศมนเลยมาดูงานนี้เอง เพราะในงานจะเชิญแขกมาค่อนข้างเยอะ เชิญทางเก็นติ้งเฮาส์ด้วยนะครับ เดี๋ยวใกล้ๆ แล้วผมจะส่งบัตรเชิญไปให้”

“ขอบคุณครับ ถึงลิฟท์แล้ว ผมกับจาขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณครับคุณยุทธ”

“เช่นกันครับ คุณพล” ชัยยุทธกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย รอจนทั้งสองคนเข้าลิฟท์ไปแล้วจึงเดินกลับไปที่โต๊ะประจำของตัวเองเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายจากศมนต่อ

“งานนี้ดูจะคุยไม่ค่อยยากเท่าไหร่ เอ็งว่ามั้ย ไอ้จา” กตพลถามลูกน้องหลังจากกลับมาจากบริษัทของศมนลูกค้าคนล่าสุด

            “ไม่รู้ครับ”

            “อ้าว ทำไมวะ”

            “ไม่รู้ครับ” เด็กหนุ่ม ยังก้มหน้ามองแต่จอโน้ตบุ๊คของตนโดยไม่เงยหน้ามามองหัวหน้าเลยแม้แต่น้อย

            “อะไรของเอ็งวะ” กตพลเดินกลับโต๊ะทำงาน จาณีนคงทำงานหนักไปล่ะมั้ง เพราะเขารู้สึกเหมือนจะเริ่มคุยกับเด็กตรงหน้านี้ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว

            “พี่พล” ทันที่ที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ก็ได้ยินเสียงของลูกน้องดังขึ้น

            “อะไร” คนถูกเรียกส่งเสียงกลับไป ตอนชวนคุยก็ไม่อยากคุยด้วย

            “คือผม...”

            “อะไรของเอ็งวะ เรียกแล้วก็ไม่พูด” เห็นว่าอีกฝ่ายเรียกแล้วก็ไม่พูด ทำเอาคนรอฟังแกล้งส่งเสียงคล้ายว่าโมโหออกไป

            “คือ...เอ่อ...” จาณีนยังอ้ำอึ้ง

            “ถ้ายังร่ำไรข้าจะไม่ฟังเอ็งแล้ว” กตพลขู่

            “โปรเจ็คนี้ผมขอถอนตัวได้มั้ยครับ” เพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่ฟังแล้ว จาณีนเลยรัวคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว เล่นเอาคนฟังทำหน้างง ปนประหลาดใจไปในคราวเดียวกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้

            เพราะทำงานมาด้วยกันก็หลายโปรเจ็คแล้ว ทำให้กตพลรู้ดีว่านิสัยของจาณีนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ยิ่งงานพวกนี้เป็นงานที่เจ้าตัวทำเพราะความชอบด้วยแล้ว มันยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะได้ยินคำนี้จากปากของเด็กหนุ่ม กตพลนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจในความคิดของคนที่นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามในตอนนี้ เสียดายว่าที่กั้นระหว่างโต๊ะนั้นค่อนข้างสูงไปหน่อย ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้ถนัด

            “ทำไมวะ ก็ไหนว่าอยากได้งานนี้มากไม่ใช่เหรอไง ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจ”

            “พี่จะให้ผมไปทำโปรเจ็คอื่นหรือเพิ่มงานอื่นให้ผมก็ได้ แต่ผมขอไม่ทำโปรเจ็คนี้ได้หรือเปล่า”

            “เอ็งเป็นอะไร หรือลำบากใจเรื่องอะไร”

            “คือผม...”

            “เรื่องเปลี่ยนคนดูแลโปรเจ็คน่ะ มันไม่ยากหรอก ข้าไม่รู้นะว่าเอ็งคิดอะไรอยู่แต่งานก็คืองาน ถ้าวันหน้าเอ็งอยากเปลี่ยนอีกล่ะ แบบนั้นไม่ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรอกเหรอ” กตพลกำลังสอนอีกฝ่ายให้รู้จักกับหน้าที่ที่บางครั้งเราก็เลือกไม่ได้

            “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมขอแค่งานนี้งานเดียวครับพี่ งานอื่นผมจะไม่ทำแบบนี้อีก สัญญาเลย”

            “เราเลือกทุกอย่างให้ตรงใจไม่ได้ อย่าเลยไอ้จา เอ็งน่ะโตแล้ว ต้องเรียนรู้โลกของผู้ใหญ่ ไปเรื่อยๆ อย่าเดินถอยหลัง”

            “ผมแค่... โธ่ พี่พล” จาณีนเข้าใจความคิดของกตพล แต่ครั้งนี้เขารู้สึกลำบากใจจริงๆ

            “เชื่อข้า ต้องเดินหน้า อย่าถอยหลัง เจอปัญหาก็ต้องแก้ อย่าหันหลังให้มัน”

            “ครับ” น้ำเสียงสลดเสียจน กตพลอยากจะทำตามคำขอของลูกน้อง แต่เขาก็อยากให้เด็กนี่มันเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง พลางคิดในใจ

‘ที่ข้าไม่เปลี่ยนโปรเจ็คให้เอ็งเพราะข้าหวังดี อดทนแล้วเดินหน้าต่อสู้ไปนะ ไอ้จา’

            “ดีมาก เอาล่ะ ทำงานซะ แล้วก็ไปสรุปการประชุมมาให้ข้าด้วย เข้าใจมั้ย”

            “เข้าใจครับ”

            “ส่งก่อนกลับบ้านล่ะ ข้าจะรออ่านรายงาน”

            “ครับพี่”

            จาณีนสลัดความกังวลใจออกไปแล้วเริ่มต้นทำงานตามที่กตพลบอก เงยหน้ามามองบรรยากาศรอบๆ อีกครั้ง ก็ไม่พบใครแล้วนอกจากกตพล หัวหน้าของเขาที่ยังทำงานอยู่ เหลือบมองนาฬิกาที่มุมข้างจอโน้ตบุ๊คก็พบว่าเลยเวลาเลิกงานมาร่วมชั่วโมงแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจเบาๆ กับเรื่องเมื่อตอนบ่าย มือเรียวจับเมาส์เพื่อกดส่งอีเมลให้กับคนตรงข้าม เมื่อเห็นว่าอีเมลถูกส่งไปเรียบร้อยจึงชัทดาวน์เครื่องและเตรียมตัวกลับบ้าน

            “พี่พล ผมส่งเมลให้แล้วนะครับ”

            “เออ ขอบใจมาก จะกลับบ้านแล้วใช่มั้ย” กตพลเงยหน้าจากงานตรงหน้าขึ้นมาตอบเด็กหนุ่ม

            “ใช่ครับ แล้วพี่ยังไม่กลับเหรอ”

            “อืม อีกสักพัก เอ็งกลับก่อนเลย กลับดีๆ ล่ะ อย่าไปเถลไถลที่ไหน”

            “โห พี่พล ทำอย่างกับผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย” จาณีนบ่นอุบ เพราะเขาน่ะอายุยี่สิบสี่แล้วน่ะสิ ไม่ใช่เด็กมัธยม

            “ก็หน้าตาเอ็งมันดูหลอกง่าย”

            “คิดไปเอง” จาณีนเถียง

            “ไม่ได้คิดไปเอง แต่ท่าทางเอ็งมันดูซื่อๆ เซ่อๆ จริง เสียจนดูว่าโง่ เก็ทมั้ย”

            “นั่นก็ตรงไปนะพี่ แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วง ผมกลับก่อนนะครับ”

            “เออ ไปดีมาดี” จาณีนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังอยู่ให้มั่นแล้วเดินออกมา








   
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> First drop -- 07 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 07-04-2017 22:45:24
       

   ออกมาจากตึกแล้วนึกถึงรถติดแล้วจาณีนก็รู้สึกเซ็งขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าไม่อยากรถติดก็ต้องกลับรถไฟฟ้า ถึงจะไม่เจอรถติดแต่ก็ต้องเจอผู้คนเบียดเสียดกันในนั้น ไม่ว่าทางไหนเขาก็ไม่ชอบด้วยทั้งนั้น บางครั้งชีวิตมันไม่มีทางเลือกมากนักหรอก แค่ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนี้ เวลานี้ เขาจะเลือกอะไรและรับอะไรได้มากกว่าเท่านั้นเอง

            “กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูดออกมาตามความเคยชิน ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครได้ยินเสียงของเขาหรือไม่เพราะน้อยครั้งเหลือเกินที่จะมีคนได้ยินมัน

            “ดึก” เสียงดังมาจากข้างใน ฟังจากทิศทางของเสียงแล้วน่าจะมาจากในครัว จาณีนรีบวางกระเป๋าลงบนโซฟาแล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องครัวโดยเร็ว

            “ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วได้ล่ะครับ” คนมาใหม่เดินเข้ามาสวมกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง ส่วนคนที่ถูกกอดนั้นก็กำลังเตรียมอาหารอยู่พอดี

            “รีบกลับมาดูคนงอแง” คนที่กำลังง่วนอยู่กับมื้อเย็นตรงหน้าสองจานตอบโดยไม่หันมา

            “เปล่าสักหน่อยครับ” เสียงบ่นเบาๆ แต่ก็ยังดังพอที่จะให้อีกคนได้ยิน จาณีนซบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก

            “ไปอาบน้ำก่อนเสร็จแล้วมากินนี่กัน” ด้วยความสูงที่ห่างกันราวสิบเซนติเมตร ทำให้จาณีนต้องเอี้ยวตัวมามองนี่ที่ว่าของคนพูด มันคือสเต๊กเนื้อ ไม่บ่อยนักที่อีกคนจะได้ทำอาหาร แต่เพราะวันนี้อีกฝ่ายกลับมาเร็วเลยมีเวลามากพอที่จะทำมื้ออาหาร

            “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมมานะครับ”

            เด็กหนุ่มใช้เวลาชำระร่างกายไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่นและร่างกายที่หอมกรุ่นไปด้วยครีมอาบน้ำที่อีกฝ่ายชื่นชอบ และเป็นจังหวะเดียวกันที่อาหารก็ถูกวางลงบนโต๊ะเสร็จพอดี

            “ทานได้เลยมั้ยครับ” จาณีนมองอาหารตรงหน้า แววตาพราวระยับ อาหารอร่อยๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

            “เอาสิ”

            “ครับ” จาณีนไม่เสียเวลารออะไรอีก มือเรียวสวยจับส้อมและมีดด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แล้วใช้ส้อมจิ้มเนื้อสเต๊กที่ถูกหั่นพอดีคำนั้นเข้าปาก ระยะเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันกับคนตรงหน้ามันนานพอที่เขาจะได้เรียนรู้มารยาทบนโต๊ะอาหาร

            “กินได้มั้ย” เจ้าของฝีมือนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหารตอนที่ถามจาณีน

            “ถามอะไรแบบนั้น คุณไม่รู้ตัวเหรอครับว่าทำอาหารอร่อยมาก”

            “แกล้งชมฉันหรือเปล่า”

            “ไม่ครับ ผมพูดจริงๆ คุณเองก็รู้ตัวอยู่แล้วน่า อย่ามาถ่อมตัวเลย” อีกฝ่ายไม่ตอบแค่หัวเราะในลำคอเบาๆ ชายหนุ่มจรดไวน์เข้ากับริมฝีปาก ค่อยๆ ละเลียดดื่มไปโดยไม่เร่งรีบ

            “แล้วคุณไม่ทานด้วยกันเหรอครับ ยังไม่หิวหรือว่าทานมาแล้ว”

            “ฉันยังไม่ค่อยหิว ปกติก็กินดึกกว่านี้”

            “คุณน่ะทานอาหารไม่เป็นเวลา บางวันคงไม่ได้ทานด้วยซ้ำล่ะมั้ง” จาณีนบ่นอีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่างานของคนตรงข้ามนั้นยุ่งแค่ไหน

            “ทำไมวันนี้ถึงกลับดึก” คนที่ยังถือแก้วไวน์นั้นจงใจถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

            “ทำงานเพลินไปหน่อยครับ รู้ตัวอีกทีก็มืดแล้ว”

            “กลับมายังไง แท็กซี่หรือรถไฟฟ้า”

            “ผิดหมดเลยครับ” จาณีนตอบหลังจากกลืนเนื้อแสนอร่อยนั้นลงคอพร้อมกับดื่มน้ำตามลงไป

            “หืม” สายตาสงสัยจากคนตรงหน้าทำเอาจาณีนยิ้มเล็กน้อย นานๆ ทีถึงจะได้เห็นมุมอื่นของอีกฝ่ายบ้าง

            “รถเมล์ต่างหากครับ”

            “นึกยังไงถึงนั่งรถเมล์ รู้ทั้งรู้ว่าทั้งช้าแล้วคนก็เยอะ”

            “ผมไม่รู้นี่นาว่าคุณจะกลับเร็ว เบื่อทั้งแท็กซี่แล้วก็รถไฟฟ้าก็เลยเลือกรถเมล์เท่านั้นเอง”

            “ถ้าฉันจำไม่ผิด เธอไม่ชอบรถติดและคนเยอะใช่มั้ย”

            “ใช่ครับ”

            “แต่ที่เธอเลือกวันนี้มันคือทุกอย่างที่เธอไม่ชอบ”

            “ก็ใช่ครับ ผมไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”

            “ได้เวลางอแงแล้วใช่มั้ย” คนถามเลิกคิ้วมองหน้าคนที่ยังทานสเต๊กไม่หมด

            “เปล่าสักหน่อย” จาณีนวางส้อมกับมีดลงบนจานที่เกือบจะเปล่าของตน เขาคิดว่าถึงเวลาที่เขาต้องพูดแล้ว อีกฝ่ายเองก็คงรู้เพราะชายหนุ่มก็วางแก้วไวน์ลงเช่นกัน

            ตอนที่เห็นเมลโปรเจ็คใหม่ เขามัวแต่ตื่นเต้นอ่านรายละเอียดเพราะเขาชอบความท้าทายที่แปลกใหม่ จนนึกไม่ออกว่าชื่อบริษัทนั้นมันคือส่วนหนึ่งของนามสกุลอีกฝ่าย และบริษัทที่เขาเพิ่งไปมาวันนี้ ก็ทำให้เขานึกออกเมื่อเห็นป้ายชื่อเจ้าของห้องที่ติดอยู่หน้าประตูห้องทำงาน

            “ไม่พอใจฉันใช่หรือเปล่า”

            “ผมเปล่า” จาณีนเถียงอีกฝ่ายกลับไป

            “แล้ว?”

            “แค่ไม่ชอบแบบนี้”

            “ทำไมล่ะ”

            “ผมโตแล้ว คุณศมน ผมไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ผมเรียนจบแล้ว ทำงานแล้วนะครับ”

            “ฉันรู้ว่าเธอโตแล้ว”

            “แล้วคุณทำแบบนี้ทำไมกันครับ จับผิดผมเหรอ”

            “เปล่า ฉันแค่อยากให้เธอพิสูจน์ตัวเองว่าเธอโตแล้ว ทำงานได้แล้ว เป็นมืออาชีพแล้วต่างหาก” ศมนพยายามพูดช้าๆ และชัดๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจความตั้งใจของเขา

            “ผมไม่เข้าใจ”

            “ถ้าเธอแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ สามารถตัดสินใจอย่างมีสติและแก้ปัญหาได้ตรงจุด และเติบโตได้ด้วยตัวเอง วันหนึ่งที่เธออยากก้าวออกไปจากตรงนี้ ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลและเป็นห่วงเธอ”

            “ผม..คือ...ไม่ใช่” จาณีนไม่รู้จะตอบศมนว่าอย่างไร เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แต่ให้สาบานเลยก็ได้ว่าเขาไม่เคยคิดอยากจะไปจากชีวิตศมนเลยแม้แต่น้อย

            “คนเราเมื่อโตขึ้น ความคิดของเรามักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จำคำฉันไว้ เด็กน้อย” แววตาของศมนที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น เขาโหยหาความรู้สึกแบบนี้ของศมนเสมอ ไม่ว่าจะเคยได้รับมามากเท่าไหร่แต่มันก็ไม่เคยพอ

            “นั่นไม่ใช่กับผม”

            “เรื่องอนาคตมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ฉันเองจะตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้เลย”

            “ห้ามพูดแบบนี้อีกนะครับคุณศมน” จาณีนลุกขึ้น ถอยเก้าอี้จนเกิดเสียงดังแต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจ เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม

จาณีนนั่งยองๆ ตรงหน้าศมน เด็กหนุ่มเงยหน้ามองคนสูงวัยกว่า แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับมองไปที่แก้วไวน์ ภายใต้ประสบการณ์มากมายที่ศมนต้องสวมหน้ากากใน  แวดวงธุรกิจ การไม่แสดงสีหน้าและความรู้สึกนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับชายหนุ่ม และสีหน้าแบบนั้น จาณีนเองไม่เคยคาดเดาความคิดของศมนได้เลย 

            “ฉันแค่พูดถึงความจริงที่ไม่แน่นอนเท่านั้นเอง” จาณีนคว้ามืออีกฝ่ายมาเพื่อเรียกความสนใจให้กลับมาอยู่กับเขา

            “ไม่รู้ล่ะครับ ห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก รับปากผมสิ” เด็กหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ หากวันนี้ไม่ได้คำตอบที่เขาพอใจ เขาไม่มีทางจะถอยทัพกลับออกไปง่ายๆ แน่นอน

            “ได้ ฉันรับปาก”

            “ขอบคุณครับ” จาณีนดึงมือของอีกฝ่ายขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปที่กลางฝ่ามือของศมนที่ไม่ได้หยาบกร้านอะไรมากนักเพราะเป็นมือของนักธุรกิจที่ใช้จับปากกาและคอยสั่งงาน มือคู่นี้เรียวยาว คอยชี้ความเป็นอยู่ของบริษัท เป็นมือที่สำคัญและมันก็สำคัญกับเขาไม่แพ้สิ่งใด

            “ถ้าอย่างนั้นเธอก็รับปากฉันเรื่องหนึ่งด้วยเหมือนกันสิ”

            “ครับ?”

            “รถยนต์คันที่ฉันซื้อให้เธอเป็นของขวัญตอนเรียนจบ จำได้มั้ย” จาณีนหวนไปคิดถึงรถคันนั้น เขาได้รับมันมาจากศมนเป็นของขวัญตอนที่เรียนจบ แต่ไม่เคยนำมันออกมาใช้เลย ตอนนี้ก็ยังจอดให้หยากไย่เกาะอยู่ที่ลานจอดรถของคอนโดเหมือนเดิม

            “จำได้ ทำไมเหรอครับ”

            “เมื่อไหร่จะเอาไปใช้”

            “ผมไม่ค่อยอยากขับมันเท่าไหร่ครับ มันเด่นเกินไป แล้วอีกอย่าง ผมเกรงใจ คุณให้ผมมามากพอแล้ว”

            “รถน่ะ ถ้าจอดทิ้งไว้เฉยๆ มันจะเสื่อมสภาพ เกรงใจฉันก็ต้องใช้มัน รู้มั้ย”

            “ผมก็พอรู้ว่ามันอาจจะมีปัญหาได้ แต่ผมก็เกรงใจนี่นา ถ้าขับไปใช้แล้วมันพังหรือชนก็ต้องไปซ่อม เดือดร้อนคุณอีกอยู่ดี”

            “ถ้าไม่อยากให้คนขับรถไปรอรับ ก็ขับคันนั้นไปใช้ รับปากฉันสิ เด็กดี” คำพูดนี้คุ้นๆ เหมือนเขาเพิ่งพูดไปสักครู่ก่อนหน้านี้เอง

            “อื้อ ครับ! ผมลืมไปได้อย่างไรนะว่าคุณน่ะมันจอมเจ้าเล่ห์ จอมแผนการ ทำเป็นดราม่าที่แท้ก็คอยวางแผนให้ผมหลงกลอยู่ตลอด”

            “ช่วยไม่ได้ ฉันเป็นนักธุรกิจ แล้วเธอก็ดันตกหลุมพรางของฉันเอง เอาล่ะ ถึงเวลาที่เธอต้องเลือกแล้วล่ะ” ศมนลูบเส้นผมของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเบามือก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มอีกครั้ง

            “ผมขับไปเองก็ได้ครับ ไม่ต้องให้คนมารอรับหรอก” จาณีนหน้ามุ่ย สุดท้ายตัวเองก็เป็นฝ่ายติดกับโดนหลอกจนได้

            “ฉันให้คนเอารถของเธอไปตรวจเช็คสภาพแล้ว โชคดีที่ยังปกติ ช่วงนี้เธอก็ใช้คันนี้ไปก่อน เดี๋ยววันหยุดนี้ไปเลือกคันใหม่กับฉันก็แล้วกัน”

            “ถ้ารถใช้งานได้เป็นปกติอยู่แล้วจะซื้อคันใหม่ไปทำไมกันล่ะครับ” จาณีนมองหน้าคนพูดด้วยความไม่เข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ

            “ถึงจะปกติแต่เพราะจอดมันทิ้งไว้นานเกินไป เปลี่ยนคันใหม่ดีกว่า” ศมนพูดง่ายๆ

            “เสียดายเงิน อย่าซื้อใหม่เลยครับ”

            “ตามใจฉันหน่อยไม่ได้เหรอ เด็กดื้อ”

            “คุณศมน” จาณีนไม่เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่ายเลย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

            “นะ..จาณีน” คำพูดสั้นๆ ที่ถูกส่งออกมาพร้อมกับสายตาแบบนี้ แล้วใครล่ะจะทนสายตาคนแก่มองเด็กแบบนี้ได้ ใครบอกคนแก่อ้อนไม่เป็น เขาคนหนึ่งล่ะจะเถียงให้ใจขาดเลย

            “ครับ เงินของคุณศมนทั้งนั้น อยากทำอะไรก็ทำเลย” จาณีนประชดกลับไป ในเมื่อเงินนั่นไม่ใช่ของเขา แล้วเขาจะทำอะไรได้ล่ะ

            “ขอบใจ” จาณีนนึกฉุน ขนาดเขาประชดแล้วยังไม่สลดนี่มันคนแบบไหนกันแน่ มือที่จับแก้วไวน์ผละออกมาจับหัวทุยของคนที่อายุน้อยกว่า แต่คราวนี้จาณีนเบี่ยงศีรษะหลบ คิดแล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มโมโห เขาเลยดับความคุกรุ่นในจิตใจโดยการกลับไปกินสเต๊กที่เหลือให้หมดต่อดีกว่า ของดีและอร่อยไม่ได้มีกันบ่อยๆ

            เสร็จสิ้นมื้ออาหารแต่จานตรงหน้าของศมนกลับไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อย จาณีนเลยจัดการห่ออาหาร เก็บไว้อุ่นมื้อต่อไป เขาลุกขึ้นทยอยเก็บจานบนโต๊ะอาหารจนหมด คงเหลือไว้เพียงแต่ขวดไวน์กับแก้วไวน์ของอีกฝ่ายเอาไว้

            “คุณศมนครับ” จาณีนเรียกอีกฝ่ายเมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อย

            “ว่าไง”

            “คุณไม่ทานอะไรเลย เอาแต่ดื่มไอ้เจ้านี่ เดี๋ยวก็แย่เอาหรอกครับ”

            “ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันไม่เป็นไรหรอก” ศมนพูดจบก็หันกลับไปมองทางเดิม

            “คิดอะไรอยู่ครับ บอกผมบ้างได้หรือเปล่า” จาณีนถามขึ้น เขาเองเห็นอีกฝ่ายมองออกไปด้านนอกของคอนโด ดูเหมือนคนที่คิดหรือนึกถึงอะไรอยู่

            “ฉันกำลังคิดเรื่องของเธออยู่ อยากรู้เหรอ”

            “ถ้าคุณยอมเล่าล่ะก็ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็อยากฟังทั้งนั้นแหละ แล้วยิ่งเป็นเรื่องของผมด้วย ก็ต้องอยากรู้อยู่แล้วล่ะครับ”

            “กำลังคิดว่าตอนที่เห็นเธอตั้งใจก้มหน้าก้มตาทำงาน พิมพ์อะไรอยู่นั่น มันดูตลกดี”

            “คุณศมน! ผมล่ะเบื่อคุณจริงๆ หาเรื่องมาล้อผมได้ตลอด ไม่คุยด้วยแล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะแล้วช่วยไปอาบน้ำด้วยนะครับ แล้วไอ้เหล้านี่ก็เลิกดื่มได้แล้ว มันเสียสุขภาพ”

            “ไวน์ต่างหากล่ะ”

            “ครับ ไวน์ก็ไวน์ เลิกดื่มได้แล้วครับ” จาณีนจำต้องแก้ให้ถูกต้องด้วยความเอือมระอาแล้วเข้าไปเตรียมน้ำอุ่นให้อีกฝ่ายทันที

            คล้อยหลังไม่นาน คนสูงวัยกว่าก็เดินเข้าห้องน้ำตามมา จาณีนหันไปดูอีกฝ่ายที่กำลังถอดเสื้อผ้า นิ้วมือเรียวสวยกำลังปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงทำงานปล่อยให้กางเกงร่วงหล่นลงมา ทำเอาจาณีนมองตาม จนเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง เด็กหนุ่มรีบเบนสายตากลับมาที่อ่างอาบน้ำ ถึงแม้จะไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่เขาเห็นร่างกายของคนตรงหน้า แต่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินกับภาพที่เห็น รูปร่างของศมนยังทำให้เขาหวั่นไหวได้เสมอ

            ความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรของเจ้าตัว ผนวกกับร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงามที่เจ้าตัวพยายามออกกำลังกายให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเวลาได้ อีกทั้งยังอาหารการกินอีกที่คนสูงวัยกว่านั้นเริ่มเลือกกินขึ้นมาตามวัยของเจ้าตัว

            จาณีนมองตัวเองทั้งที่ตัวเขาเองก็กินอาหารและออกกำลังกายตามที่อีกฝ่ายสั่ง แต่ทำไมตัวของเขากลับไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อแบบอีกฝ่ายบ้างเลย โลกนี้ไม่ยุติธรรมจริงๆ

            “คุณศมน เรียบร้อยแล้วครับ” จาณีนบอกอีกฝ่ายทั้งที่ยังก้มหน้ามองแต่น้ำอุ่นที่กำลังอุ่นได้ในอ่างอาบน้ำ

            “อืม อาบน้ำด้วยกันสิ” เสียงทุ้มที่ตอบออกมา ทำให้เกร็งขึ้นมาทันทีเพราะเสียงมันดังอยู่แค่ด้านหลังเขาเองน่ะสิ

นี่มันใกล้เกินไปแล้ว

            “ไม่ล่ะครับ ผมอาบแล้ว” จาณีนแสร้งกวักน้ำในอ่างเล่น เขาเลือกไม่หันกลับไปมอง เด็กหนุ่มรับรู้จากหางตาได้จังหวะที่ศมนเดินผ่านหลังเขาไป จาณีนก็รีบหันหน้าไปทางประตู เพราะถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้ศมนคงตัวเปล่าแล้วแน่นอน ชายหนุ่มก้าวเท้าลงไปในอ่างอย่างระวัง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง

            “อาบน้ำด้วยกันเถอะ” ศมนชักชวนเด็กหนุ่มที่ยังนั่งเล่นน้ำอยู่นอกอ่าง มือเรียวคว้าแขนของที่แกล้งหลบตาตลอด แล้วออกแรงดึง

            “เฮ้ยยยยย!!!” เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัวเลยร้องเสียงหลงออกมา น้ำกระฉอกออกมาจากอ่างน้ำอย่างแรงเพราะศมนคว้าคนที่นั่งอยู่บนขอบอ่างตกลงมาในอ่างด้วยกัน ได้ยินเสียงหัวเราะของคนขี้แกล้งดังอยู่เหนือน้ำก็ทำเอาจาณีนเริ่มโมโห

            “คุณเล่นอะไรเนี่ย เห็นมั้ย ตัวผมเปียกหมดเลย” จาณีนโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำได้ก็ไอโขลกสองสามครั้งก่อนจะหันมาเล่นงานอีกฝ่ายที่นั่งพิงขอบอ่างอย่างสบายใจ

            “ไม่ได้เล่น ฉันแค่ชวนเธออาบน้ำด้วยกัน”

            “คุณก็รู้ว่าผมอาบน้ำแล้ว”

            “รู้ แต่ไม่จำเป็นต้องสนใจ”

            “คุณนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ สักวันเถอะผมจะไม่อยู่กับคุณ”

            “บอกแล้วไงว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะไปจากฉันได้ทุกเมื่อ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูนิ่งเฉยทำเอาจาณีนรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เขาไม่น่าพลั้งปากพูดออกไปแบบนั้นเลย

            “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากแกล้งคุณเล่นเฉยๆ”

            “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ”

            “ผมรู้ว่าคุณไม่โกรธ แต่ก็ไม่ชอบใช่มั้ยล่ะ”

            “รู้ดีนักนะเรา” ศมนดีดหน้าผากจาณีนไม่แรงนัก อีกฝ่ายรู้จักเขามากพอระดับที่รู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร

            ไหนๆ ก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้ จาณีนเลยต้องจำใจถอดเสื้อผ้าออกไปกองไว้นอกอ่างอาบน้ำ ปกติแล้วพวกเขาทั้งคู่ไม่ค่อยใช้อ่างอาบน้ำสักเท่าไหร่ สำหรับจาณีนมันคือความสิ้นเปลืองและมันก็รอนานกว่าน้ำจะเต็มอ่าง สู้อาบน้ำผ่านฝักบัวก็ไม่ได้ เร็วกว่าเป็นไหนๆ แต่สำหรับอีกฝ่ายคงเป็นเพราะไม่ค่อยมีเวลา กลับมาก็ดึกแล้ว รีบอาบน้ำแล้วรีบพักผ่อน ดูจะคุ้มค่ากว่า

            ศมนมองอีกฝ่ายที่คิดจะเล่นอะไรบางอย่างภายในอ่าง เด็กหนุ่มชอบน้ำ ชอบทะเล ยิ่งถ้าอาบน้ำแบบนี้ล่ะก็ ไม่พ้นว่าจะเอาบับเบิ้ล บาธมาเทเล่น ตีฟองให้เต็มอ่าง นี่น่ะเหรอคนที่บอกว่าโตแล้ว ไม่ว่ามุมไหนในสายตาของศมนแล้ว จาณีนก็ยังเป็นเด็กเหมือนเมื่อก่อนเสมอ จนเกือบจะลืมไปแล้วว่าเด็กน้อยคนนี้ใกล้เข้าวัยเบญจเพสเต็มที

            “เขยิบมานี่สิจา” ศมนตบหน้าขาของตัวเอง

            “ไม่ครับ”

            “อย่าเล่นตัวน่า วันนี้ยังไม่ได้กอดเธอเลย”

            “ไม่ครับ ตอนผมกอดคุณ คุณยังทำเป็นนิ่ง เล่นตัวใส่ผมเหมือนกัน”

            “ก็ตอนนั้นฉันไม่ว่าง ทำมื้อเย็นให้เธออยู่ไง”

            “ตอนนี้ผมก็ไม่ว่าง” คำว่าไม่ว่างของจาณีนคือการตีฟองสบู่ให้เต็มอ่าง

            “ไม่ดื้อสิ เด็กดี” ศมนจับแขนของจาณีนเอาไว้ไม่ให้เจ้าตัวเล่นฟองสบู่ต่อ

            “ก็ได้ครับ” ถึงจะปฏิเสธแค่ไหน แต่คนเอาแต่ใจตัวเองอย่างศมนไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้แน่ จาณีนเลยได้แต่บ่นในใจแล้วเขยิบตัวไปนั่งบนตักของศมน แล้วหันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนส่วนสำคัญ แต่ดูจะยากเต็มที พื้นที่มันก็มีแค่นี้ จะขยับไปทางไหนก็ลำบากใจเหลือเกิน

            ศมนคว้าเด็กหนุ่มเข้ามากอด กดศีรษะทุยของอีกฝ่ายให้ซบลงบนบ่า มือหนาคอยลูบแผ่นหลังขาวอย่างเบามือ จาณีนหลับตาลง เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ทีไร เขาเหมือนได้ปล่อยวางปัญหาหรือปล่อยวางความรู้สึกอยู่เสมอ สบายใจทุกครั้งที่อยู่กับศมน

            “อยากไปเที่ยวมั้ย”

            “อยากครับ”

            “ไว้จะพาไป”

            “ผมจะรอ จริงๆ แล้วผมก็ไม่รีบ อยากไปเดี๋ยวนี้หรอกครับ แต่แค่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้ไปหรือเปล่า” จาณีนไม่อยากจะแขวะอีกฝ่าย แต่ก็รู้กันว่าทางนั้นงานแน่นขนาดไหน แค่กลับให้เร็วกกว่าปกติก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดมากแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องไปเที่ยวนี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

            เมื่อก่อนตอนเขายังเป็นนักศึกษา ยังพอไปกับอีกฝ่ายได้บ้าง เพราะเวลาเรียนที่ไม่ได้แน่นขนัด แต่ถึงแม้จะไปด้วยกัน เขาจำต้องออกไปเที่ยวคนเดียวเสียทุกครั้งเพราะคนสูงวัยกว่านั้นไปทำงาน แต่ก็ไม่เป็นไร จาณีนได้แต่คิด ขอแค่อีกฝ่ายกลับมาบ้านทุกวัน นอนกับเขาทุกคืน ตื่นขึ้นมาเจอกันทุกวัน แค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว

            “ช่างประชด ได้ไปอยู่แล้ว เร็วๆ นี้แหละ”

            “จริงเหรอครับ” จาณีนสบตาอีกฝ่ายด้วยความไม่เชื่อ

            “เชื่อใจกันหน่อย ฉันมีวิธีน่า”

            “วิธีอะไร แบบไหน อย่างไรครับ”

            “ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง”

            “ทำไมดูลึกลับจัง”

            “เด็กช่างสงสัย” ศมนบีบจมูกเด็กในอ้อมกอดด้วยความเอ็นดูปนขำกับท่าทางของอีกฝ่าย

            “คิดถึง” เด็กน้อยที่หลุดพ้นจากการขาดอากาศหายใจออกมาได้ก็พูดออกมาคำแรกพร้อมกับกดจมูกลงบนแก้มสาก

            “ฉันก็เหมือนกัน” ศมนประกบริมฝีปากลงบนเด็กช่างพูด จาณีนรู้สึกโหยหาความรู้สึกนี้เหลือเกิน เขากอดอีกฝ่ายแน่นราวกับกลัวว่าศมนจะหายไป ตามใจให้อีกฝ่ายได้รุกล้ำตามอำเภอใจ

            ศมนขบริมฝีปากล่างของคนในอ้อมกอด ให้เผยอออกมากกว่านี้ ก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปสำรวจภายในอย่างถือสิทธิ์

ความหอมหวานที่ร้างรากันไปนาน จนแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่จูบกันแบบนี้มันเมื่อไหร่ คนที่อยู่บนหน้าขาส่งเสียงพึงพอใจแผ่วเบาออกมาในลำคอ

ตั้งแต่จาณีนทำงาน เจ้าตัวค่อนข้างจะยุ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ เด็กน้อยในตอนนั้นอยากจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ เจ้าตัวค่อนข้างจริงจังกับงานมากพอสมควร อย่างน้อยศมนก็รู้สึกจากใจจริงว่าถ้าวันหนึ่งจาณีนจะออกไปจากชีวิตเขา ก็ขอให้เจ้าตัวได้ก้าวออกไปอย่างมั่นคง ไม่ทำให้เขาต้องกังวลหรือเป็นห่วง

            การที่ต่างฝ่ายต่างทำงานด้วยกันทั้งคู่ ทำให้เวลาของพวกเขาทั้งสองคนนั้นแทบไม่ตรงกัน ด้วยเนื้องานและตำแหน่งของศมนนั้นทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาว่างอยู่แล้ว เขามีทั้งโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งในประเทศและตอนนี้กำลังเริ่มโครงการตีตลาดต่างประเทศไปบ้างแล้ว มันยิ่งทำให้เขาต้องทำงานมากขึ้นกว่าเดิม

            วันนี้เขายกเลิกนัดและการประชุมทุกอย่างในช่วงเย็นเพื่อคนตรงหน้า เขารู้ว่าจาณีนต้องไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่าเขาได้ทำการว่าจ้างบริษัทของจาณีนเข้ามาทำระบบเว็บไซต์ของโรงแรม จะบอกว่าที่เลือกบริษัทนี้มาทำเพราะจาณีนทั้งหมดเลยก็คงไม่ผิดนัก ยอมรับว่าคนอ่อนวัยกว่ามีส่วนในการตัดสินใจ เขาอยากเห็นว่าเวลาจาณีนทำงานเป็นอย่างไร อีกทั้งบริษัทเก็นติ้งเฮาส์ที่จาณีนทำงานอยู่นั้นก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในด้านนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เขาเลยตัดสินใจเลือกได้ไม่ยากนัก

            ศมนไล่ริมฝีปากลงมาลำคอขาว คนบนตักแหงนหน้าขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายจูบได้ถนัด ศมนจูบย้ำหนักแน่นลงไป ก่อนจะวกกลับมาชิมความหวานจากริมฝีปากของคนตรงหน้าที่เผยอปากรอเหมือนเดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้ว จูบให้หายอยาก จูบให้หายจากความคิดถึง

            “หายคิดถึงหรือยัง” คนสูงวัยกว่าละริมฝีปากออกมากระซิบถามอีกฝ่ายที่ยังหลับตาพริ้มรับความสุข

            “ยังเลยครับ”

            “โลภ”

            “แค่กับคุณคนเดียวเท่านั้น”

            “เด็กสมัยนี้ชอบล้อเล่นกับหัวใจคนแก่เสียจริง” อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว

            “คุณยังไม่แก่เสียหน่อย”

            “ถ้าตอนวัยรุ่นฉันเกเรหน่อย ตอนนี้ก็คงเป็นพ่อเธอได้แล้วล่ะ”

            “แต่ก็ไม่ได้เป็นนี่ครับ”

            “เถียงได้ทุกคำ น่าตีจริงๆ” เสียงหัวเราะดังก้องในห้องน้ำบ่งบอกว่าคนพูดไม่ได้โกรธอะไร ติดออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำ

            “คุณไม่กล้าหรอก”

            “ท้าฉันเหรอ”

            “ไม่ได้ท้าครับ คุณรักผมจะตายไป ไม่กล้าตีหรอก”

            “แน่ใจ”

            “แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีก แล้วมันจริงมั้ยล่ะครับ” จาณีนทำหน้าท้าทายอีกฝ่ายเมื่อตอนที่ถามกลับไป





===============================




เป็นยังไงกันบ้างเอ่ย กับตอนที่หนึ่ง เรื่องนี้ก็ยังเป็นแนววัยทำงานแล้วเหมือนเช่นเคยค่ะ ตามความถนัดของเรา

ติชมกันมาได้เลยนะคะ อยากอ่านความเห็นของทุกคนเลยค่ะ เจอคำผิดท้วงมาได้เลยนะคะ ^^

สำหรับใครเล่นทวิตเตอร์ ติดแฮชแทกได้เลยค่า #ศมนจาณีน

มีความสุขกับการอ่านค่ะ ขอบคุณค่ะ

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> First drop -- 07 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 15-04-2017 18:20:05
Second Drop


     จาณีนไม่ใช่เด็กหนุ่มที่พูดจ้อทั้งวัน เขาพูดเมื่อต้องพูด หยุดเมื่อต้องหยุด มีมนุษยสัมพันธ์ดีกับคนรอบข้าง ซ้ำยังชอบช่วยเหลือผู้อื่น ตั้งแต่เล็กจนโต เขาอาศัยอยู่กับยายแค่สองคนเพียงลำพัง จาไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่มาก่อน นอกจากรูปถ่ายที่พอมีติดบ้านอยู่บ้าง



ยายเคยเล่าให้เขาฟังว่าพ่อกับแม่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ทั้งคู่เสียชีวิตลง ณ ที่เกิดเหตุทันที ถึงแม้เด็กหนุ่มจะไม่เคยอยู่กับพ่อและแม่ แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกขาดหรือมีปมด้อยใดๆ เพราะยายเลี้ยงเขามาด้วยความรักและความเอาใจใส่  ฐานะที่บ้านของเขาถึงแม้จะไม่ร่ำรวยนักเพราะยายมีอาชีพขายขนมที่ตลาด พอเลี้ยงคนสองคนไปวันๆ เท่านั้น แต่โชคดีที่มีประกันชีวิตของพ่อกับแม่ที่ทิ้งไว้บุตรชายเป็นทุนการศึกษา จาณีนเลยไม่ได้มีชีวิตที่ลำบากอะไรนัก



เด็กหนุ่มมีเพื่อนมากมายในคณะ แต่กลับไม่สนิทกับเพื่อนคนไหนเป็นพิเศษ เวลาเพื่อนมีปัญหาก็มักจะเลือกปรึกษาจาณีนเป็นคนแรกอยู่เสมอ เขามักมีคำแนะนำดีๆ ที่ได้รับมาจากยายหรือถ้าช่วยไม่ได้ก็จะเป็นกำลังใจให้เสมอ ทว่าแทบไม่มีใครรู้เลยว่าเวลาที่จาณีนมีปัญหานั้นเขากลับไม่สามารถปรึกษาเพื่อนคนไหนได้เลย เพราะเขาเห็นแล้วว่าเพื่อนแต่ละคนต่างก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น จาณีนเลยไม่อยากเพิ่มปัญหาไปให้เพื่อนอีก



            สี่ปีที่แล้ว ตอนที่จาณีนยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สาม เขายังจำได้แม่นไม่ลืมเลือน วันนั้นจาณีนมีเรียนแค่ช่วงเช้า แต่เขาดันตื่นสายเพราะเมื่อคืนอยู่ทำโปรเจ็คจนดึก เขากระวีกระวาดอาบน้ำแล้วรีบออกจากบ้านเพราะสายมากแล้ว เด็กหนุ่มเดินกึ่งวิ่งออกไปหน้าปากซอยและรีบโบกแท็กซี่ไปมหาวิทยาลัย เข้าเรียนทันอย่างเฉียดฉิว จาณีนนั่งเรียนไปสักพักก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้เข้าไปหายายที่ตลาด ไม่รู้ป่านนี้ยายจะเป็นห่วงเขาแค่ไหน



เมื่อการเรียนในช่วงเช้าสิ้นสุดลง จาณีนรีบออกจากห้องเรียนมุ่งหน้าไปตลาดเพราะตั้งใจจะไปไถ่โทษโดยการช่วยยายเก็บร้าน แต่เมื่อไปถึงเขากลับไม่เจอยาย ถามแม่ค้าแถวนั้นก็ได้รับคำตอบว่าวันนี้ไม่เห็นยายมาขายขนม จาณีนเลยตรงกลับบ้านทันที



จาณีนไขกุญแจเข้าบ้านเช่าพลางเรียกหายายไปด้วยแต่ไม่มีเสียงตอบรับ เขาคิดว่ายายอาจจะออกไปซื้อของแถวๆ นี้ เลยไม่ได้สนใจจะคิดอะไรต่อ เด็กหนุ่มเริ่มลงมือทำงานบ้านไปเรื่อย จนกระทั่งเขารู้สึกหิว มองนาฬิกาตอนนี้ก็เลยช่วงเย็นแล้ว ปกติยายจะรีบทำอาหารมาให้เขาทาน แต่นี่ยายก็ยังไม่กลับมา เขาเริ่มเอะใจ ยายไปไหน มันผิดปกติ อีกทั้งยายไม่มีโทรศัพท์ใช้ด้วยเหตุผลว่ายายไม่ชอบ เขาจึงมีเพียงแค่โทรศัพท์บ้านเท่านั้น จาณีนวางหนังสือเรียนที่ยังอ่านค้างไว้ลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของยายเผื่อว่าอาจจะมีอะไรบอกให้เขารู้ได้ว่ายายไปไหน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป สายตาเขาก็เห็นยายนอนหลับอยู่บนที่นอน เนื้อตัวซีดขาว ใบหน้าไร้สีเลือด เขาค่อยๆ เข้าไปนั่งข้างๆ ยายแล้วใช้นิ้วมือไปรองใต้จมูกเหมือนที่เคยเห็นในละคร ภาวนาให้ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด ยายแค่หลับไปเท่านั้น



แต่จาณีนกลับไม่รู้สึกถึงลมหายใจของยายเลย



คงเป็นวันที่จาณีนคิดว่าเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว ต่อจากนี้ไป เขาจะต้องทำอะไร จะอยู่ยังไง เขาต้องอยู่คนเดียว ในหัวก็พลันคิดมาวูบหนึ่ง หรือว่าควรจะตายตามยายไปดีมั้ย จาณีนเดินออกมาจากบ้าน เดินคิดไปตลอดทางโดยไม่มีจุดหมาย เด็กหนุ่มคิดไม่ตก ในสมองก็เฝ้าถามตัวเองวนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยไป



จาณีนเดินไปจนเห็นวัดอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม ใช่แล้วล่ะ เขาควรจะไปติดต่อเรื่องวัดด้วยใช่มั้ย ใจอยากข้ามถนนไปอีกฝั่ง ขาทั้งคู่ก็ก้าวลงไปที่ถนนเลยไม่ได้สนใจรอบข้าง จนได้ยินเสียงแตรรถยนต์ดังยาวพร้อมกับเสียงห้ามของล้อ เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก แต่เขาไม่เข้าใจจึงหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วหันไปทางเสียงแตรที่ดัง



“นี่คุณ ทำไมมาข้ามถนนตรงนี้ สะพานลอยก็อยู่บนหัว ทำไมไม่ใช้” ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่สูทสากลสีดำ เดินลงมาจากรถและตำหนิเขาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งชี้นิ้วไปข้างบนว่ามีสะพานลอย จาณีนมองตามนิ้วมือไปแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

“อ่อ สะพานลอย ขอโทษครับ” จาณีนตั้งท่าจะเดินต่อ แต่ชายหนุ่มคนเดิมกลับคว้าแขนเอาไว้ได้ทันรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วอีกเลน

“อยากตายหรือไงกัน”

“ตายเหรอ ก็ดีนะครับ ผมไม่เหลือใครแล้ว ถ้าตายไปก็คงดีเหมือนกัน” จาณีนยิ้มให้ชายหนุ่มผู้นั้น

“เฮ้ย นี่คุณบ้าหรือเปล่าเนี่ย” ผู้ชายคนนั้นบ่นอย่างหัวเสีย เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนก็เลยรับมือเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ถูก

            “ไม่รู้สิ จะเป็นบ้าหรือไม่ ผมเองก็ไม่รู้หรอก” จาณีนตอบชายหนุ่มกลับไป แต่หัวสมองยังถามตัวเองเรื่องยายอยู่ซ้ำๆ

            “มีอะไรหรือ กร” มีเสียงหนึ่งถามขึ้นมา คนถามถามดังออกจากภายในรถด้านหลัง ทำให้พันธกรต้องดึงแขนของจาณีนให้ตามไปที่เจ้านายของตนด้วย เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเดินออกไปอีก

            “ก็เจ้าเด็กนี่จะข้ามถนนแต่กลับเดินตัดหน้ารถเราครับ ผมถามก็ตอบแปลกๆ เหมือนคนอยากตาย ผมไม่กล้าปล่อยแขนเขาเลย กลัวเขาจะทำอีก”

            “อย่างนั้นเหรอ”

            “เอายังไงดีครับ นาย”

            “พาขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่งเขาที่บ้าน”

            “แต่นายจะไปไม่ทันนัดกินเลี้ยงที่บ้านคุณหญิงสุวิมลนะครับ”

            “ไปช้าหน่อยก็ได้ เดี๋ยวเธอโทรบอกบ้านคุณหญิงด้วย”

            “ได้ครับ” คนในรถเปิดประตูฝั่งของตัวเองแล้วเขยิบไปอีกฝั่ง พันธกรดันร่างของจาณีนขึ้นมาบนรถแล้วปิดประตูก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งคนขับและเคลื่อนรถออกไปจากจุดเกิดเหตุ

             “กร เดี๋ยวเธอขับรถไปจอดตรงสวนสาธารณะข้างหน้าก่อนแล้วกัน ฉันอยากคุยกับเขาเสียหน่อย”

            “ครับ” พันธกรรับคำแล้วหักเลี้ยวเข้าไปตามคำสั่ง เมื่อรถจอดนิ่งสนิท เขาก็ลงมาจากรถด้วยรู้หน้าที่ หากเรียบร้อยเมื่อไหร่ นายก็จะเรียกเอง

            “เธอชื่ออะไร” ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากอีกฝ่าย ศมนรออยู่ไม่นานจึงจับไหล่ของเด็กหนุ่มให้หันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับเขาก่อนจะถามชื่ออีกครั้ง “เธอชื่ออะไร” ศมนถามอีกครั้งพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายตรงๆ

            “จาณีน ผมชื่อจาณีนครับ” เด็กหนุ่มเหมือนหลุดออกมาจากภวังค์ เขาเริ่มได้สติ

            “ยังจำชื่อตัวเองได้อยู่ คงไม่ได้เป็นอะไรมาก”

            “จำได้สิครับ ผมไม่ได้ความจำเสื่อม”

            “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกฉันหน่อยสิว่าบ้านเธออยู่ที่ไหน”

            “ผมอยู่ที่บ้านเช่าในซอย ตรงแยกข้างหน้าครับ”

            “อยู่คนเดียว?”

            “กับยายครับ”

            “มืดค่ำป่านนี้แล้ว ยายเธอคงเป็นห่วง เดี๋ยวฉันไปส่ง”

            “ยายไม่ห่วงผมแล้ว ยายไม่อยู่แล้ว” เมื่อได้ยินถึงยาย เด็กหนุ่มก็เริ่มพูดเหมือนละเมอ ส่ายหน้าไปมาเบาๆ

            “ทำไมยายถึงจะไม่เป็นห่วงเธอล่ะ เด็กน้อย” ว่าพลางลูบศีรษะเด็กหนุ่มตรงหน้า

            “ยายไม่หายใจแล้วครับ เมื่อวานยายยังคุยเล่นกับผมดีๆ อยู่เลย ยังลูบหัวผม เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ผมฟัง แต่ตอนนี้ยายนอนหลับ ยายแค่หลับไปใช่มั้ยครับ แต่ยายไม่หายใจ ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจอะไรเลย” เด็กหนุ่มพึมพำไปมา พูดจาวกไปวนมาด้วยความสับสน เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ศมนคว้าคนข้างๆ เข้ามาในอ้อมกอด มือหนายังคงลูบศีรษะให้อย่างแผ่วเบา พูดปลอบขวัญว่าไม่เป็นไรๆ



            ศมนรับรู้ถึงความเปียกชื้นบนอกของเขา สงสัยคงต้องเปลี่ยนเสื้อก่อนจะไปถึงงาน โชคดีว่าเขามักมีเสื้อเตรียมไว้บนรถอยู่หลายตัวเผื่อไว้ตามสถานการณ์ต่างๆ



            “เธอไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ฉันจะไปหายายกับเธอ ไม่ต้องกังวลนะ” จาณีนเงยหน้าสบตากับคนพูด เขาไม่รู้จักคนๆ นี้อย่างแน่นอน แค่เจอกันสักครั้งหนึ่งก็ไม่เคย แล้วทำไมแค่คนนี้พูดไม่กี่ประโยค เขาถึงรู้สึกวางใจว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรอย่างที่ชายคนนี้พูด



            ศมนเรียกพันธกรกลับขึ้นมาบนรถ ระหว่างทางก็ให้จาณีนบอกทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถยนต์คันหรูก็มาถึงหน้าบ้านเช่าของเด็กหนุ่ม ทั้งสามคนเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟมืด จาณีนรีบเปิดไฟทันทีแล้วพาทุกคนไปห้องของยาย พันธกรโทรเรียกรถพยาบาล เพื่อมารับศพไปชันสูตรเสียก่อนทำพิธีกรรมทางศาสนา หลังจากเสร็จธุระจากโรงพยาบาล ศมนก็สั่งให้พันธกรขับรถไปส่งตนที่บ้านคุณหญิงสุวิมลตามเป้าหมายทีแรก



            “กร เดี๋ยวส่งฉันเสร็จแล้วไปเก็บของกับจาที่บ้าน แล้วพาเขาไปพักที่คอนโดฉันก่อน” ศมนสั่งการณ์กับบอดี้การ์ดหนุ่มคนสนิทระหว่างรอจาณีนที่เข้าไปทำธุระในห้องน้ำ

            “จะดีเหรอครับ เด็กคนนี้ถึงจะเพิ่งสูญเสียยายมาก็จริง แต่นายยังไม่รู้จักเด็กคนนี้เลยนะครับ”

            “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดี ไว้ใจได้ แต่ถ้าเธอไม่สบายใจ พรุ่งนี้ก็ให้คนไปสืบเรื่องจาณีนมาก็แล้วกัน”

            “ครับนาย”

            “แล้วโทรบอกกานต์ด้วยว่าระหว่างนี้ให้เตรียมตัวไว้ ฉันอาจจะให้เขาช่วยดูแลเด็กคนนี้แทนฉัน”

            “ครับนาย” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบรับแต่ในใจของเขาไม่ได้เห็นด้วยจึงเผลอแสดงสีหน้าออกมา

            “ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเข้ามาวุ่นวายกับคนที่ไม่รู้จักหรอก แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่าฉันไม่ควรปล่อยเด็กคนนี้ไป เธอพอจะเข้าใจมั้ย”

            “ครับนาย” จังหวะเดียวกัน จาณีนก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เจ้านายและลูกน้องเลยหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้น

            “เดี๋ยวฉันจะต้องไปทำธุระต่อ กรจะพาเธอกลับไปที่บ้าน เธอเก็บเสื้อผ้ากับข้าวของที่จำเป็นมาด้วย ระหว่างนี้มาพักที่คอนโดของฉันก่อน”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ได้ แค่นี้ผมก็รบกวนคุณมากแล้ว” จาณีนบอกอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจ

            “เป็นเด็กเป็นเล็ก ผู้ใหญ่บอกอะไรให้ฟังและห้ามขัดรู้มั้ย” ศมนไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ เขาจึงไม่เสนอทางเลือกให้จาณีน

            “แต่ผมไม่ใช่เด็ก ผมอายุยี่สิบแล้วครับ”

            “ถึงจะยี่สิบแล้วก็ยังเป็นเด็กในสายตาฉันอยู่ดี ตกลงตามนี้ ทำตามที่ฉันบอกและห้ามดื้อนะ เด็กน้อย”

            “ผมไม่ใช่เด็กนะครับ”

   “เธอบอกฉันมาสองครั้งแล้ว เอาล่ะ เจอกันที่บ้านนะ”




   
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> First drop -- 07 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 15-04-2017 18:24:21
            “คิดอะไรอยู่ครับ” จาณีนถามขึ้นหลังจากอาบน้ำเสร็จพวกเขาก็เตรียมเข้านอนเลย จาณีนนอนหนุนอยู่ที่อกของอีกฝ่าย มือหนากอดเขาไว้ ถึงไม่มีการคุยกัน แต่ก็อบอุ่นไปถึงไหนๆ

            “คิดถึงเด็กอายุยี่สิบคนหนึ่ง”

            “กำลังคิดนอกใจผมอยู่ใช่มั้ยครับ” จาณีนยันตัวขึ้นมามองอีกฝ่ายในความมืด กล้าดียังไงพูดถึงคนอื่นต่อหน้าเขาแบบนี้

            “เปล่าสักหน่อย เธอนี่ขี้หึงจริงๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ก็คิดทึกทักไปเองเสียแล้ว”

            “ก็คุณพูดนี่ครับ”

            “เด็กคนนั้นที่ฉันคิดมันคือเธอนะจา นี่เธอจะหึงตัวเองหรือไง เกินไปหรือเปล่า”

            “อ้าว...” ถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยเพราะไม่คิดว่าจะเป็นตัวเอง

            “คิดถึงผมตอนนั้นทำไมกันครับ”

            “เพราะเป็นวันที่เราเจอกันครั้งแรก”

            “อ่อ... วันนั้น” คิดถึงแล้วจาณีนก็หน้าเศร้าลงเพราะใจที่โหยหายายที่เลี้ยงเขามาจนโต ทำให้เจ้าตัวเงียบเสียงลงไปในทันที

            “อย่าไปคิดเรื่องยายสิ ถ้าวันนั้นเธอไม่ตัดหน้ารถฉัน เราคงไม่ได้เจอกัน” มือหนาลูบเส้นผมอย่างเบามือ

            “นั่นสิครับ”

            “ฉันอยากขอบคุณยายของเธอนะจา”

            “พูดแบบนี้ คุณกำลังทำให้ผมรักคุณมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ”

            “ก็ดีสิ เธอจะได้ไม่ทิ้งฉันไปไหน”

            “ผมสิต้องกลัวคุณจะทิ้งผม คนอะไรยิ่งแก่ยิ่งมีเสน่ห์ ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ทิ้งหางตากันให้ควั่ก”

            “เธอก็พูดเกินไป”

            “ไม่เกินไปหรอกครับ คิดดูสิ คุณน่ะ หน้าตาก็ดี ลูกเมียก็ไม่มี วันๆ เอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาไปมองใคร ไม่ว่าใครก็อยากอยู่กับคุณทั้งนั้นแหละครับ”

            “แต่ฉันก็แก่แล้ว”

            “คุณไม่รู้ตัวเองหรือไงครับ อย่ามาหลอกให้ผมชมคุณเลย คุณส่องกระจกตัวเองทุกวัน คนในนั้นมันบอกอยู่แล้วว่าคุณเป็นยังไง” เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่นอนอยู่ได้ทันที จาณีนช่างพูดอยู่เสมอ

            “ฉันรู้ว่าฉันเป็นยังไง แต่ไม่เท่ากับมีคนมาบอกหรอก โดยเฉพาะจากเธอ”

            “ความเห็นของผมมันลำเอียงอยู่แล้วเพราะผมรักคุณ ผมก็ต้องบอกว่าคุณดีที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งลักยิ้มข้างแก้มเนี่ย อยากจะเอาออกไปจริงๆ”

            “ไม่โหดร้ายกับฉันไปหน่อยหรือ”

            “ไม่เลย คุณไม่รู้หรอกเวลาคุณยิ้มทีไร มันทำให้คนรอบข้างแทบจะหลงในตัวคุณหมดแล้ว ดีหน่อยว่าคุณไม่ค่อยยิ้ม ไม่อย่างนั้นผมจะต้องตามหึงใครต่อใครบ้างก็ไม่รู้”

            “ต่อไปฉันจะยิ้มบ่อยๆ ดีมั้ย”

            “คุณตั้งใจจะฆ่าผมทางอ้อมใช่มั้ยครับ”

            “ฉันหมายถึง ยิ้มบ่อยๆ กับเธอคนเดียวดีมั้ย”

            “ผมล่ะเกลียดความเจ้าเล่ห์ของคุณจริงๆ นะคุณศมน”

            “อย่างนั้นเหรอ ไม่ยักรู้ตัว”

            “พอเถอะครับ แค่นี้ผมก็หลงคุณจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว”

            “เธอนี่มันตลกจริง คำนี้เขาไว้ใช้กับผู้หญิงหรือเปล่า”

            “ใช้กับใครก็ช่างเถอะครับ รู้แค่ว่าผมไม่มีทางไปจากคุณ นอกเสียจากว่าคุณจะไล่ผมไป”

            “ยิ่งโต ยิ่งปากดีขึ้นเรื่อยๆ นะเราน่ะ”

            “ไม่รู้ล่ะ ก็ผมกลัวคุณไม่รักผมนี่นา”

            “ฉันรักเธอมากกว่าที่เธอคิด”

            “ผมรู้ แต่คุณบอกเองว่าอนาคตมันไม่แน่นอน ผมก็ต้องสั่งสมบุญไว้ก่อนแหละครับ เผื่อจะได้เอามามันใช้ให้เกิดประโยชน์ในวันข้างหน้า”

            “คิดมาก”

            “ไม่ได้คิดมากครับ ผมแค่กลัวว่าถ้าไม่มีคุณแล้วผมจะอยู่ต่อไปยังไง ผมไม่เคยเตรียมใจเอาไว้ซะด้วย เหมือนกับเรื่องของยาย”

            “ไม่ต้องเตรียมหรอก เพราะเธอจะไม่มีวันได้ใช้มัน”

            “จริงๆ นะ ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณหลอกผม ผมจะคอยตามตื้อตามกวนใจคุณทุกที่เลย”

            “ระวังคดีจะพลิกเอาได้นะ”

            “คดีอะไรพลิกครับ”

            “ก็คนที่ถูกทิ้งอาจจะไม่ใช่เธอก็ได้”

            “โอ๊ย ไม่มีทาง เชื่อผมได้เลย”

            “แล้วฉันจะคอยดู”

            “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องทำอะไรสักอย่างให้คุณเชื่อก่อน วันนี้คุณอยู่เฉยๆ คอยดูผมให้ดีก็แล้วกัน”

            “จะทำอะไร พรุ่งนี้เธอต้องไปทำงาน” ศมนรีบร้องเตือน ห้ามมืออีกฝ่ายไว้เพราะมือของเด็กหนุ่มกำลังวนเวียนแกะกระดุมเสื้อนอนของเขาแล้ว

            “ไปทำงานแล้วยังไงครับ ผมเพิ่งจะบอกคุณอยู่ว่าถ้าผมไม่สั่งสมบุญเอาไว้ เดี๋ยวก็ตกกระป๋องกันพอดี”

            “เดี๋ยวสิจา ตะกี้ก็ในห้องน้ำไปแล้วรอบหนึ่งนะ”

            “ก็ใช่ หรือคุณหมดแรงแล้ว”

            “จะบอกว่าฉันแก่แล้วใช่มั้ย”

            “ผมเปล่านะ คุณพูดเองทั้งนั้น”

            “ร้ายจริงๆ เด็กคนนี้ ท้ากันแบบนี้ ไหนลองแสดงฝีมือให้ฉันเห็นหน่อยสิว่า ฝีมือดีขึ้นมั้ย”

            “เตรียมให้เกรดผมได้เลยครับ”





         ------- ^^ ตัดฉับ -------





“ไปล้างตัวกัน รอบนี้หวังว่าจะนอนได้แล้ว” ศมนบอกเด็กหนุ่มที่ยังนอนปรับอารมณ์ในอ้อมกอดของตัวเอง

“ครับ เหนื่อยขนาดนี้หลับเป็นตายแน่นอน”

“นึกว่าจะแน่กว่านี้”

“อะไรกันครับ วันนี้สองรอบแล้วนี่ มันก็ต้องเหนื่อยกันบ้างสิครับ หรือคุณจะบอกว่าไม่เหนื่อย”

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย ลุกขึ้นมาไปล้างตัว”

“ครับ” ตอบครับแต่เจ้าตัวยังนอนนิ่งแผ่หลาอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน ดูท่าแล้วคงจะเหนื่อยจริง

“ถ้าลุกไม่ไหวจะให้ฉันอุ้มไปก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมลุกไปเองได้ ขืนให้คุณอุ้ม ผมกลัวว่ากระดูกเข่าคุณจะทรุดมีปัญหา ต้องไปโรงพยาบาลแทน คืนนี้ไม่ได้นอนกันพอดี”

“ช่างพูด” ศมนดีดหน้าผากเด็กพูดมากไปทีหนึ่งแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปก่อน

หลังอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวกันอีกรอบ จาณีนก็แทบจะคลานกลับมานอนบนเตียง พอหลังแตะที่นอนได้ ตาก็แทบจะหยุดทำงานทันที สมองสั่งให้พักโดยไม่มีการอิดออดใดๆ แต่ห้วงสติสุดท้าย เด็กหนุ่มก็ยังอุตส่าห์นึกขึ้นมาได้

“คุณศมนครับ สรุปว่าคุณให้เกรดอะไร”

“เกรดเหรอ เด็กน้อย อืม ฉันให้เธอเกรด....” ศมนไม่รู้ว่าคนข้างกายเขาได้ยินหรือเปล่า เพราะจาณีนหลับไปเสียแล้ว





===============================



สรุปว่า จาณีนได้เกรดอะไรคะ แล้วคนอ่านให้เด็กน้อยคนนี้เกรดอะไรดีเอ่ยยย
ติชมกันมาได้เลยค่ะ เจอคำผิดบอกได้เลยนะคะ

ขอบคุณค่า  :pig4: :pig4: :pig4:

ปล มาช้า หนึ่งวัน พอดีไม่สบายค่ะ ^^ ขออภัยด้วยค่า


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Second drop -- 15 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-04-2017 19:13:48
........Third Drop.........

 บทที่ 3



      เช้ารุ่งขึ้น จาณีนตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นคนร่วมเตียงเสียแล้ว จากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมานาน คาดว่าอีกฝ่ายคงมีบินไฟลท์เช้า เมื่อคืนเขาเองก็ลืมถามว่าศมนต้องบินไปไหนอีกหรือเปล่า เดี๋ยวถ้าทางนั้นถึงจุดหมายคงจะบอกเขาเองนั่นแหละ ถึงตอนนั้นค่อยไถ่ถามกลับไปแล้วกัน

            เด็กหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน วันนี้เขาคงต้องขับรถไปตามที่รับปากศมนไว้ ถึงจะไม่มีใครมาคอยจับผิดแต่เขาก็ไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไป เขาไม่ชอบการโกหกหรือทำอะไรไม่ซื่อลับหลัง เขาไม่รู้หรอกว่านอกจากตัวเขาเองแล้ว ศมนยังมีใครอีกหรือไม่ ชายหนุ่มไม่เคยเช็คของใช้ส่วนตัวของคนสูงวัยกว่า ไม่เคยถามว่าโทรศัพท์คุยกับใคร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ศมนบอกว่าไปบินไปทำงานที่อื่นนั่นจริงหรือเปล่า เขาไม่เคยรู้และไม่เคยคิดที่จะถามด้วย อีกฝ่ายบอกอย่างไรเขาก็เชื่ออย่างนั้น เขาเชื่อในการกระทำเพราะถ้าหากใครคนหนึ่งเบื่อหน่ายกันไป ความรู้สึกมันสามารถสัมผัสได้

            จาณีนใช้เวลาไม่นานนักก็แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมที่จะไปทำงาน เขาคว้ากุญแจรถที่เคยใช้นับครั้งได้ ตรวจดูว่าไม่ลืมอะไรแล้วเขาก็เปิดประตูห้องออก แต่ก็ต้องประหลาดใจเพราะมีผู้ชายรูปร่างสูงสวมสูทสีดำ ไม่มีเนคไท ยืนรออยู่หน้าห้อง

            “อ้าว สวัสดีครับคุณกานต์ มีอะไรหรือเปล่าครับ มาแต่เช้าเชียว” จาณีนยิ้มทักทายอีกฝ่าย แปลกใจพอสมควร เขาไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมีธุระอะไรกับเขา ยิ่งศมนไม่อยู่ด้วยแบบนี้ ยิ่งไม่น่าจะมาเลยด้วยซ้ำ

            “สวัสดีครับคุณจา นายสั่งให้ผมขับรถไปส่งคุณที่ทำงานวันนี้ครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบกลับไปโดยไม่แสดงความรู้สึกผ่านมาทางสีหน้า

            “ไม่เป็นไรครับ ผมมีนี่แล้วครับ” นี่ที่ว่าคือกุญแจรถที่คล้องอยู่ในนิ้วชี้ของเด็กหนุ่ม

            “ผมรับคำสั่งมาคงต้องทำตามนั้น ส่วนกุญแจรถคันนี้ผมขอคืนด้วยครับ” พันธกานต์บอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ซ้ำยังมองลงมาที่กุญแจรถเจ้าปัญหา

            “ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองสะดวกกว่า” จาณีนยื่นกุญแจรถให้ชายหนุ่มตรงหน้าไป แล้วหันไปปิดประตูห้องให้เรียบร้อย

            “ผมคงทำตามคำขอของคุณไม่ได้ รบกวนตามผมมาด้วยครับ” ชายหนุ่มออกเดินนำไปยังลานจอดรถที่มีรถหลายคันเรียงรายจอดนิ่งสนิท

            “เชิญครับ” คนที่เดินนำมายังไม่พูดอะไร เมื่อมาถึงรถก็เปิดประตูด้านหลังให้เด็กหนุ่ม

            “ขอบคุณครับ” จาณีนเลยต้องจำใจขึ้นรถไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รถคันที่เขานั่งอยู่เป็นรถคันที่ศมนใช้อยู่เป็นประจำ ซึ่งเขาคาดการณ์ผิดเพราะคิดว่าพันธกานต์ขอกุญแจไปเพื่อขับรถคันที่ศมนซื้อให้เขา เด็กหนุ่มไม่ชอบบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้เสียเลย ถ้าต้องให้เลือกไปกับสองพี่น้องฝาแฝดระหว่างพันธกรกับพันธกานต์แล้ว เขาเลือกไปกับพันธกรอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย

            ถึงจะหน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่นิสัยนั้นกลับต่างกันลิบลับ ฝาแฝดคนพี่อย่างพันธกร มีนิสัยขี้เล่น พูดเก่งและร่าเริง ส่วนฝาแฝดคนน้องอย่างพันธกานต์นี้กลับมีนิสัยเงียบขรึม พูดน้อย และไม่ชอบแสดงความรู้สึก มันทำให้จาณีนเดาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ว่าทางนั้นต้องการอะไรจากเขา อย่างเช่นวันนี้ก็เหมือนกัน

            “คุณกานต์เอากุญแจรถคันนั้นไปทำไมครับ”

            “เอาไปขายทิ้งครับ”

            “หา!! ขายทิ้ง” จาณีนอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ

            “ครับ” พันธกานต์ตอบรับโดยไม่แสดงออกในน้ำเสียงเหมือนเคย

            “ทำไมครับ”

            “เป็นคำสั่งนายครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มไม่อธิบายอะไรเพิ่มอีก และจาณีนก็ไม่รู้ว่าเขาจะหาเรื่องอะไรมาคุยระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน เพราะอีกฝ่ายก็ดูท่าทางไม่ค่อยอยากสนทนากับเขาสักเท่าไหร่นัก มันทำให้เด็กหนุ่มต้องนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงที่หมาย

            “ขอบคุณที่มาส่งครับ”

            “ผมจะมารับคุณหลังเลิกงานครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มบอกตอนที่จาณีนเตรียมจะลงจากรถ

            “ไม่เป็นไรครับ”

            “เป็นคำสั่งนายครับ” พันธกานต์ยืนยันคำพูดเดิม

            “เอ้อ ก็ได้ครับ” พันธกานต์ลงจากรถและอ้อมมาเปิดประตูด้านหลังให้ จาณีนจำต้องนิ่งให้อีกฝ่ายทำแบบนั้น เพราะถ้าเขาดื้อดึงหรือปฏิเสธก็จะกลายเป็นการสร้างความไม่พอใจให้เพิ่มขึ้นเปล่าๆ และยิ่งจะตกเป็นเป้าสายตาของคนที่อยู่ภายนอกมากกว่าเดิม

            “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณหลังจากลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว พันธกานต์พยักหน้าให้ ก่อนจะกลับขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับ ไม่นานรถคันดังกล่าวก็แล่นออกไป จาณีนถอนหายใจออกมาเสียงดัง แทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขากลั้นหายใจไปนานแค่ไหน

            “ไงเอ็ง เป็นอะไร หน้าหงิกมาเชียว” กตพลทักเมื่อเห็นจาณีนเดินยิ้มเข้ามา

            “สวัสดีครับพี่พล อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยครับ เมื่อเช้าเจอสึนามิพัดมา” เด็กหนุ่มตอบกลับไปแล้วจัดแจงวางของลงเพื่อเริ่มทำงาน

            “ห๊ะ สึนามิ สึนามิที่ไหนวะ ไม่เห็นมีข่าว”

            “โอ้ย พี่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น หมายถึงอารมณ์ของคนน่ะครับ” จาณีนรีบอธิบาย

            “อ่อ ข้าก็งง ทำไมวะ น่ากลัวมากเลยเหรอ”

            “สุดๆ แล้วคนนี้”

            “ใครวะ แฟนเหรอ”

            “ใช่ที่ไหนล่ะครับ”

            “แล้วใคร” กตพลยังถามอย่างไม่ลดละ

            “บอดี้การ์ดของเสี่ยที่เลี้ยงผมอยู่ต่างหาก” เด็กหนุ่มตอบโดยไม่ละสายตาจากมือที่ยังง่วนอยู่กับการเปิดโน้ตบุ๊ค

            “ไอ้จา” แวบแรกที่ได้ยินกตพลคิดว่าจาณีนพูดเล่น แต่เมื่อมองสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่นเลยแม้แต่น้อย

            “อะไรพี่”

            “เอ็งไปมีเสี่ยเลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

            “ก็ตั้งแต่... เฮ้ย พี่ นี่พี่หลอกถามผมใช่มั้ยเนี่ย” เพราะมัวแต่หงุดหงิดเรื่องเมื่อเช้า กว่าจะรู้ตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว

            “เล่าให้ข้าฟังเลยไอ้จา หนอยแน่ ทำเป็นงุบงิบเหมือนคนโสด ที่ไหนได้มีเสี่ยเลี้ยงอยู่”

            “ก็ไม่เชิงว่าเป็นเสี่ยหรอกน่า”

            “ยังไงวะ”

            “ก็เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องแฟน แล้วจะให้ผมไปเสนอตัวเองมันก็ใช่ที่”

            “ความสัมพันธ์ของเอ็ง?”

            “ครับ มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน แต่ดูแลเหมือนแฟน แล้วเขาแก่กว่าผมหลายปีก็คงเรียกว่าเด็กเสี่ยล่ะมั้ง ผมเองก็ไม่รู้จะนิยามว่าอะไรเหมือนกัน”

            “แล้วเป็นแบบนี้มานานยัง”

            “สี่ปีได้” จาณีนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

            “ก็นานพอตัวนี่หว่า ซับซ้อนจังวุ้ย” กตพลเกาหัวแกรก ด้วยความงุนงง

            “ช่างเถอะ ผมชินแล้วล่ะ”

            “แล้วไอ้ไตรมันรู้มั้ย เดี๋ยวงานก็เข้าหรอก” กตพลพูดด้วยความเป็นห่วง

            “ไม่รู้หรอกพี่”

            “บ๊ะ! นี่คิดจะจับปลาสองมือหรือไง”

            “ก็...เปล่า”

            “เปล่าอะไร มันเทียวมาหา เทียวเอาขนมมาให้ จะบอกว่ามันไม่คิดอะไรกับเอ็ง อมพระมาพูดข้าก็ไม่เชื่อ”

            “เขาคิด แต่ผมไม่ได้คิดนี่” จาณีนบอกปัด

            “เอ้า ถ้าเอ็งไม่ได้คิด เอ็งก็ต้องปฏิเสธมันสิไอ้จา ไม่ใช่ทำเหมือนให้ความหวังมันแบบนี้”

            “ผมก็ว่าจะหาโอกาสบอกอยู่เหมือนกันแหละครับ” เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนลงเพราะที่พี่พลพูดนั้นถูกทุกคำ

            “ที่ข้าบอกเอ็งเพราะข้าหวังดีนะ”

            “ผมรู้ครับพี่พล ขอบคุณครับ” จาณีนยิ้มรับเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายหวังดีจากใจจริง

            “เอ็งรักเขาหรือเปล่า” อยู่ๆ กตพลก็ถามขึ้นมาลอยๆ

            “พี่ไตรเหรอ ไม่พี่ ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่ไตร” จาณีนเข้าใจผิดคิดว่ากตพลหมายถึงไตรภัทร

            “ไม่ใช่ หมายถึงเสี่ยของเอ็งน่ะ”

            “ก็คงรักแหละมั้งครับ หรือผูกพันธ์ก็ไม่รู้แฮะ” เด็กหนุ่มตอบเหมือนไม่ยี่หระกับความรู้สึก

            “ยังไงของเอ็งวะ”

            “รักมั้ง คิดว่ารักเขานะพี่ ถ้าเขาทิ้งผมไป ก็คงเสียใจ เสียใจมากเลยแหละ”  แต่ลึกๆ แล้วเจ้าตัวก็รู้ดีว่ารักอีกฝ่ายจนหมดใจแล้ว

            “เออๆ รักก็รัก อย่าเพิ่งดราม่าใส่ข้า รีบทำงานต่อได้แล้ว” กตพลตบบ่ารุ่นน้องเพื่อให้กำลังใจก่อนจะผละกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง

            จาณีนเปิดเมลอ่านตามที่ตั้งใจไว้อย่างทีแรก หลังจากนั้นก็เริ่มลงมือทำงานต่อ ตอนนี้เขามีสองงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเอง ถึงแม้จะบทบาทของเขาคือผู้ช่วยกตพล แต่ทว่าอีกฝ่ายแทบจะปล่อยมือให้เขาได้แสดงฝีมือเองเสียเกือบหมด หัวหน้าหนุ่มให้เหตุผลง่ายๆ ว่า จะได้เก่งไวๆ เด็กหนุ่มถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะปล่อยผ่านไปไม่ได้ เขาจะไม่ยอมทำให้กตพลต้องเสียหน้าและผิดหวังในตัวเขาเป็นอันขาด

            เด็กหนุ่มทำงานเพลินจนแทบไม่ได้มองเวลา จนได้ยินเสียงคุยที่ค่อนข้างดังกว่าปกตินั่นแหละ เขาจึงละสายตาจากหน้าจอเพื่อมองไปรอบๆ เห็นกตพลมายืนเกาะที่โต๊ะของเขาเรียบร้อยแล้ว

            “ว่าไงครับ”

            “จะว่าไงล่ะ ไปกินข้าวได้แล้วเว้ย”

            “พักเที่ยงแล้วเหรอครับ”

            “เออดิ สมาธิดีจริงๆ นะเอ็ง”

            “เอ้อ...”

            “ยังมาเอ้ออีก ลุกดิจะได้ไปกินข้าว เดี๋ยวไอ้ไตรจะมาขัดจังหวะก่อน”

            “ขัดจังหวะ”

            “เออน่า ตามมา เร็ว!”

            .

            .

            “สรุปก็คือเอ็งเคยเกือบถูกรถของเขาชน” กตพลถามขึ้นหลังจากซักไซ้ไล่เลียงลูกน้องในช่วงพักกลางวัน

            “ใช่ครับ”

            “แล้วเขาก็เลี้ยงดูเอ็งมาโดยตลอด”

            “จะเรียกว่าเลี้ยงดูก็ไม่ถูกสักทีเดียวอะพี่ คือเขาก็เต็มใจจ่ายให้ผมทุกอย่างแหละ แต่พ่อแม่ผมทิ้งเงินไว้ให้เรียนแล้วไง ส่วนนี้ผมก็เลยไม่รับจากเขา”

            “เอ็งนี่ก็แปลก แล้วแบบนี้จะเรียกว่าเด็กเสี่ยได้ยังไงกัน” กตพลยกน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วเป็นอันจบพิธีมื้อกลางวันของตัวเองเรียบร้อย มองไปจานของอีกฝ่าย ยังมีเหลืออยู่เกือบเต็ม เพราะเจ้าตัวถูกถามตลอดเวลาเลยแทบไม่ได้กินสักเท่าไหร่

            “ก็เขาคอยซื้อนั่น ซื้อนี่ให้ผมตั้งหลายอย่างนี่ครับ”

            “หลายอย่างที่ว่ามันอะไรบ้างล่ะ”

            “อืม ก็...” เด็กหนุ่มทำท่าคิด เพราะถึงจะมีหลายอย่างอย่างที่เจ้าตัวบอก แต่พอให้ตอบทันทีก็กลับนึกไม่ออกเสียอย่างนั้น

            “อะไรวะ”

            “ขอผมนึกก่อน”

            “บ้าน รถ” กตพลพูดแนะขึ้นมา

            “รถ.. ใช่พี่ .. รถ เขาซื้อรถให้ผม”

            “ซื้อให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่อยู่ด้วยกันเลยเหรอ”

            “พี่จะรู้รายละเอียดไปทำไมเนี่ย”

            “ผู้ชายก็ขี้เสือกได้เว้ย ยิ่งเอ็งไม่ค่อยเล่าอะไรแบบนี้ด้วย เพราะฉะนั้นอ้าปากตอบข้ามาซะดีๆ”

            “ครับ ครับ รถนี่เขาเพิ่งซื้อให้เป็นของขวัญตอนเรียนจบ”

            “แล้วทำไมข้าไม่เคยเห็นเอ็งขับรถมาเลยวะ หรือขับไม่เป็น”

            “เปล่าพี่ ก็รถมันติด ขี้เกียจขับ ผมก็เลยไปใช้บริการรถไฟฟ้าบ้าง บางทีก็มีคนมาส่งบ้าง”

            “อย่างวันนี้สินะ”

            “ใช่ครับ อย่างวันนี้นี่แหละ เฮ้อ” พูดพลางลอบถอนหายใจ เพราะมันหวนให้เด็กหนุ่มย้อนไปคิดถึงคนในเหตุการณ์เมื่อเช้า

            “ทำหน้าหงอยเหมือนเมื่อเช้าเลยเว้ย เป็นอะไรไปอีก”

            “ก็เพราะเมื่อเช้าคุณเขาให้บอดี้การ์ดมาส่งผมใช่มั้ย แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรคือบอดี้การ์ดใกล้ชิดของคุณเขามีสองคนเป็นฝาแฝดกัน คนพี่น่ะขี้เล่น คุยสนุก แต่คนที่มาส่งผมน่ะ คนน้อง ตรงข้ามหมดเลย ผมอยู่กับคุณกานต์ทีไร รู้สึกอึดอัดหายใจลำบากทุกที”

            “เขาไม่ชอบเอ็งเหรอ หรือเขาเป็นคนแบบนั้นเอง”

            “ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันผมก็คิดมาเสมอว่าคุณกานต์ไม่ชอบหน้าผม แต่จะเพราะอะไรผมก็ไม่รู้”

            “แล้ววันนี้เลิกงานแล้วกลับยังไงล่ะ”

            “คุณกานต์มารับครับ เฮ้อ” จาณีนพูดจบก็ถอนหายใจห่อเหี่ยวออกมาอีก

            “เอ้า ถอนหายใจเข้าไป อย่าไปคิดมากเลยเว้ย”

            “ไอ้ที่พี่มาถามผมเนี่ย พอฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้าง”

“รู้สึก รู้สึกอะไรวะ”

“ก็แบบรังเกียจผมมั้ย ตัวตนผมจริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนดี หรือใสซื่ออะไรแบบนั้น”

            “ข้าจะไปรังเกียจเอ็งเรื่องอะไรล่ะ”

            “ก็ผมอยู่กับผู้ชาย ซ้ำยังมีคนเลี้ยงอีก”

            “เรื่องส่วนตัว ข้าไม่สนใจหรอก เอ็งทำงานได้ แล้วก็ทำได้ดี แค่นี้มันก็เพียงพอกับงานแล้ว ขออย่างเดียว อย่าให้เรื่องส่วนตัวมากระทบกับงานก็พอ เข้าใจมั้ย” กตพลสอนเด็กหนุ่มรุ่นน้อง

            “เข้าใจครับ”

            “อีกอย่าง เอ็งน่ะ ยังไงก็ดูใสซื่ออยู่ดีแหละ หน้าตาแบบนี้หลอกใครไม่ได้หรอก มีแต่โดนเขาหลอกแน่นอน”

            “ระวังเดาผิดนะครับ”

            “ไม่มีทาง ว่าแต่เขาคนนั้นของเอ็งยังไม่ได้แต่งงานใช่มั้ย ไม่ใช่ว่าไปผิดลูกเมียเขามานา อันนี้ข้าไม่เห็นด้วย”

            “ยังครับ คุณเขายังไม่แต่งงาน”

            “เออ งั้นข้าก็โล่งใจ รีบกินเข้าจะหมดเวลาพักแล้ว”

            “ก็เพราะใครล่ะครับ ที่บังคับให้ผมต้องเล่าไม่หยุดแบบนี้”

            “กินไป อย่าบ่น เดี๋ยวไม่ทันเข้างาน”





   
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Second drop -- 15 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-04-2017 19:14:11
สองหนุ่มกลับเข้ามาในบริษัท นาฬิกาก็บอกหมดเวลาพักพอดี จาณีนขอตัวไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ เสร็จแล้วก็เข้าไปห้องครัวเล็กๆ ที่สำหรับชงกาแฟ หรือโกโก้ ส่วนตัวแล้วเขาไม่ดื่มกาแฟจึงชงโกโก้มาให้ตัวเอง โดยไม่ลืมจะชงกาแฟเผื่อกตพลด้วยอีกแก้ว

            “พี่พล กาแฟครับ” เด็กหนุ่มยื่นแก้วกาแฟให้อีกฝ่ายที่โต๊ะ

            “เออ แต๊งกิ้วว่ะ”

            “ไม่เป็นไรพี่” ว่าพลางเดินกลับไปโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วเริ่มลงมือทำงานต่อจากช่วงเช้า

            “สวัสดีน้องจา ทำอะไรอยู่ครับพี่ซื้อขนมมาฝากด้วย” ไตรภัทรเดินเข้ามาหาจาณีนพร้อมยื่นถุงขนมในมือให้

            “สวัสดีครับพี่ไตร” จาณีนยิ้มรับขณะยื่นมือรับขนมจากอีกฝ่ายก่อนจะวางลงบนโต๊ะทำงาน

            “มีขนมให้แต่กับไอ้จา แล้วเพื่อนอย่างข้าคนนี้ล่ะ” เสียงของกตพลดังขึ้นด้วยความหมั่นไส้เพื่อนสมัยเรียนของตนเอง

            “มีเงินก็ไปซื้อเองดิวะ ไอ้พล”

            “เลือกปฏิบัตินี่หว่า”

            “แน่นอน” ไตรภัทรตอบอย่างไม่ยี่หระแล้วก็หันกลับมาทางจาณีนต่อ

            “ไปไหนมาเหรอครับ ถึงได้ซื้อขนมมาฝากผม” จาณีนถามอีกฝ่าย

            “พี่ไปคุยงานกับลูกค้าที่ข้างนอกมา เห็นมาการองเจ้าดังแล้วคิดถึงน้องจาขึ้นมาทันทีเลย คิดว่าน่าจะชอบ จริงๆ แล้วก็ชอบกินใช่มั้ยเรา”

            “ครับ ขอบคุณครับที่นึกถึงผม” จาณีนบอกขอบคุณแต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าเขาไม่ชอบทานขนม

            “ไม่เป็นไร แค่นี้เล็กน้อยเอง มากกว่านี้พี่ก็ทำให้ได้”

            “โอ้ย จะอ้วก ไปจีบไกลๆ ได้มั้ย คนไม่มีสมาธิทำงาน” กตพลได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะแขวะขึ้นมา

            “อย่าไปสนใจเลยนะครับน้องจา คนขาดความรักมักขี้อิจฉาเป็นธรรมดา” แต่ไตรภัทรก็ยังไม่สนใจเพื่อนคนนี้อยู่ดี

            “พี่ไตรอย่าไปแกล้งพี่พลเลยครับ นอกจากเรื่องขนมแล้วยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าครับ”

            “อยากมาหาเฉยๆ ได้หรือเปล่า” สายตาที่เคยขี้เล่นเป็นประจำ กลับแปรเปลี่ยนเป็นแน่นิ่ง อย่างตั้งใจ ทำเอาจาณีนเริ่มไปไม่ถูกเหมือนกัน

            “เอ่อ ก็ไม่เชิง แต่ตอนนี้เป็นเวลางาน ผมว่า...”

            “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นน้องจา ที่จริงมาหาก็แค่อยากเอาขนมมาฝากด้วยส่วนหนึ่ง แล้วก็มาตามงานน่ะ เรื่องงานโปรเจ็คของบริษัทส่งออกเป็นไงบ้างแล้วครับ”

            “อ่อ โปรเจ็คนั้น คืบหน้าไปได้เยอะแล้วครับ ตอนนี้ก็เกินกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์แล้วครับ ให้ผมส่งรายละเอียดไปในเมลมั้ยครับ”

            “น้องจารู้ใจพี่ไตรดีจังเลย สงสัยเราจะใจตรงกัน”

            “ได้ยินอะไรเลี่ยนๆ แล้วอยากอ้วกว่ะ” กตพลทำเสียงว่าตนเองกำลังอาเจียนอยู่

            “ไอ้พล มึงนี่จะปล่อยกูทำคะแนนบ้างไม่ได้เลยหรือไงวะ คอยขัดขากูอยู่เรื่อย” ไตรภัทรหันไปด่าเพื่อน

            “มึงก็ไปแผนกอื่นดิ กูหวงน้องแผนกกูว่ะ”

            “ไม่ไปหรอก ถ้าน้องจาย้ายไปแผนกอื่น กูค่อยตามไป”

            “อีกสิบนาที พี่ไตรรอรับเมลได้เลยครับ” จาณีนบอกคนตามงานโดยไม่สนใจบทสนทนาระหว่างหัวหน้ากับเพื่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะคู่นี้มักกัดกันเป็นประจำอยู่แล้ว

            “จะหาใครทำงานไวและรู้ใจแบบน้องจานี่ไม่มีแล้ว วันนี้วันศุกร์แล้ว น้องจาไปทานมื้อเย็นกับพี่นะ”

            “ไม่ได้หรอกครับ วันนี้ผมมีธุระ”

            “ธุระอะไรครับ ให้พี่ไปส่งมั้ย”

            “มึงนี่ น้องมีธุระก็ยังเซ้าซี้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกวันนี้คนที่บ้านมันมารับ” กตพลแทรกขึ้นมา

            “กูถามน้องจา แล้วมึงมาตอบแทนได้ไง”

            “ทำไมล่ะ กูเป็นหัวหน้ามันนะ กูจะทำอะไรก็ได้”

            “ว่าไงครับน้องจา ให้พี่ไปส่งมั้ย” ไตรภัทรเมินหน้าหนีเพื่อนที่เดินมายืนข้างๆ

            “ก็อย่างที่พี่พลบอกแหละครับ วันนี้ผมกลับกับที่บ้าน”

            “เอ ใช่คุณพ่อคุณแม่หรือเปล่า เผื่อพี่จะได้ไปสวัสดี ฝากเนื้อฝากตัวกับว่าที่พ่อตา แม่ยายในอนาคต” คนถามเดินหน้าอย่างไม่ลดละ

            “ไม่ใช่หรอกครับ”

            “แล้วใครล่ะครับ”

            “เอ่อ...” พอถูกถามตรงๆ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร

            “มึงอยากตายเหรอไอ้ไตร” กตพลทนไม่ได้จึงยื่นมือเข้าไปช่วย

            “อะไรวะ กูก็แค่ถาม ต้องถึงกับตายเหรอไง”

            “กูคุ้นๆ ว่าบ้านไอ้จาเนี่ย พ่อมันโหด ดีไม่ดี มึงอาจจะได้กินลูกปืนก่อนจะได้สวัสดี”

            “จริงเหรอครับน้องจา” พอได้ยินเพื่อนตัวดีขู่ข่มขวัญ ไตรภัทรก็เริ่มไม่แน่ใจจนต้องหันกลับไปถามย้ำ

            “อย่างนั้นมั้งครับ”

            “อูย งั้นพี่ว่าไว้วันหลังโอกาสเหมาะๆ ค่อยไปทำความรู้จักดีกว่า”

            “ครับพี่ไตร”

            “ยังไงอย่าลืมส่งเมลให้พี่ด้วยนะครับ” ไตรภัทรไม่ลืมที่จะทิ้งท้าย

            “ครับ”

            “พี่ไปล่ะ มีงานรออีกเพียบ”

            “งานเยอะก็รีบไปสิมึง มัวแต่มาจีบเด็กแผนกกู”

            “เออ รู้แล้ว ไปเดี๋ยวนี้แหละ พี่ไปก่อนนะครับ” ประโยคแรกหันไปตอบกตพลแล้ว ไตรภัทรก็หันมายิ้มแบบที่เป็นยิ้มทำสาวละลายให้กับจาณีน

            “ครับ”

            คล้อยหลังไตรภัทรเดินกลับออกไป จาณีนก็หันไปยิ้มแหยให้กับกตพล แต่ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร นอกจากมองเด็กหนุ่มด้วยสายตานิ่งเฉย ทำเอาจาณีนรู้สึกหนาวขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มจึงรีบบอกกตพลโดยเร็ว

            “ไว้ผมจะรีบหาโอกาสบอกพี่ไตรนะครับ”

            “อืม” กตพลพูดเพียงเท่านั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานตนเอง จนได้ยินเสียงคีย์บอร์ดดังขึ้นนั่นแหละ จาณีนถึงรู้ว่าตัวเองได้กลั้นหายใจเอาไว้พักใหญ่ทีเดียว

            “คุณกานต์รอนานมั้ยครับ” จาณีนเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึงตัวรถ ปกติแล้วจาณีนนั้นจะเลิกงานหลังจากพ้นเวลาเลิกงานไปสักพักใหญ่ แต่วันนี้เขามีคนมารอรับ ยิ่งเป็นพันธกานต์ด้วย เมื่อถึงเวลาเลิกงานเด็กหนุ่มก็รีบเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะต้องรอนาน

            “ไม่ครับ” พันธกานต์ยืนรออยู่ที่ประตูหลังของรถยนต์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นจาณีนเดินออกมา เขาก็เปิดประตูรออีกฝ่ายทันที

            จาณีนกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายแล้วรีบก้าวขึ้นรถโดยเร็วเพราะเขาไม่ชอบสายตาคนที่มองอยู่ด้านนอกเอาเสียเลย สายตาที่แสดงความอยากรู้มันทำให้เขายิ่งลำบากใจ เพราะเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยทั่วไปและเพิ่งเริ่มทำงานเท่านั้น ไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโตที่ไหน และถ้าคนในบริษัทมาเห็นก็อาจจะเกิดคำถามตามมาอีกมากมาย มันยิ่งทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ เพราะเขาก็ไม่รู้จะตอบคนตั้งคำถามว่าอย่างไร

            สถานะของจาณีนและศมน มันไม่ใช่สถานะที่พูดถึงได้ง่ายๆ จะเป็นคนรักก็ไม่ใช่ หรือคู่นอนก็ไม่เชิง เพราะเขาไม่เคยถามศมนโดยเฉพาะยิ่งเป็นเรื่องความสัมพันธ์แบบนี้ด้วย ลึกๆ แล้วเขาก็หวั่นใจ กลัวคำถามนั้นจะเป็นการเปลี่ยนอนาคตของเขาตลอดไป

            “คุณจา มีธุระอยากไปไหนก่อนกลับคอนโดหรือเปล่าครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มที่บัดนี้ทำหน้าที่เป็นสารถี ถามขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนักหลังจากรถเคลื่อนตัวออกไปสักระยะ

            “ไม่มีครับ” จาณีนตอบรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด

            “นายสั่งไว้ คุณจาอยากทำอะไรก็ได้เพราะฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจครับ” พันธกานต์สบตากับเด็กหนุ่มผ่านทางกระจกมองหลัง สายตานั้นแน่นิ่งเสียจนไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ทำให้จาณีนต้องลอบกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่

            “ไม่มีครับ” เด็กหนุ่มยิ้มแหยกลับไปให้

            “เป็นอย่างที่ไอ้กรพูดเอาไว้ไม่มีผิด” พันธกานต์ส่ายหน้าเบาๆ และพึมพำกับตัวเอง

            “คุณกานต์ว่าอะไรนะครับ” จาณีนถามออกไปเพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดกับเขา

            “ไม่มีอะไรหรอกครับ ถ้าคุณจาไม่มีธุระที่ไหน งั้นผมจะพาไปที่ที่หนึ่งละกัน”

            “ครับ?” จาณีนแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย

            “ตกลงตามนั้นนะครับ”

            “อ้อ ครับ”

จาณีนเลยต้องยอมตามน้ำ อีกฝ่ายก็ขับรถไป โดยไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างนั้นกันอีก  จนในที่สุดรถยนต์คันสวยก็มาจอดที่หน้าบ้านไม้หลังเล็กๆ หลังหนึ่ง จาณีนหันไปมองบ้านไม้หลังนี้ก็พบว่ามันคือบ้านเช่าที่เขาเคยอาศัยอยู่กับยายตั้งแต่เด็กจนกระทั่งยายจากไป

บัดนี้บ้านเช่าหลังนี้มีคนมาเช่าต่อหลังจากที่เขาได้ย้ายออกไป เขานั่งมองจากภายในรถ สักพักใหญ่แล้วที่เขาไม่ได้แวะมาที่นี่ ทุกครั้งที่ได้มองบ้านหลังนี้ เขาก็รับรู้ได้ถึงความรักของยายที่เต็มเปี่ยมในหัวใจอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่ายังมียายอยู่เคียงข้างเขาเสมอๆ

“คุณมาหาใครคะ” ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเข้ามาเคาะกระจกตรงที่จาณีนนั่งอยู่ ทำให้เขาสะดุ้งสุดตัวเพราะกำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีตอยู่ เมื่อสติกลับคืนมาเขาก็รีบลดกระจกลงมา

“คุณป้าครับ ผมเอง” เด็กหนุ่มพนมมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า ถึงเขาจะไม่ได้มาบ่อยนักในระยะหลัง แต่ก็ยังคุ้นหน้าค่าตากันอยู่เพราะคุณป้าคนนี้เป็นผู้เช่าบ้านหลังเก่าของเขา

“อ้าว หายไปเสียนาน หนูจานี่เอง ป้าก็นึกว่าใคร”

“ครับ”

“แล้วนี่มาทำอะไรแถวนี้ หรือตั้งใจมาที่นี่”

“ตั้งใจมาที่นี่เหมือนเคยแหละครับ แล้วคุณป้าไปไหนมาครับ”

“ไปตลาดมาจ้ะ เข้ามาทานข้าวด้วยกันก่อนมั้ย” อีกฝ่ายยิ้มแย้มเชื้อเชิญอย่างคนมีน้ำใจ

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็ไปแล้วครับ”

“ทำไมกลับเร็วจังล่ะลูก” คุณป้าถามด้วยความเสียดาย

“ผมมีธุระต่อน่ะครับ พอดีผ่านทางนี้ก็เลยแวะเข้ามา”

“อย่างนั้นเหรอจ้ะ ไว้วันหลังมาทานข้าวด้วยกันนะ”

“ขอบคุณครับคุณป้า งั้นผมลานะครับ” จาณีนยกมือไหว้อีกครั้งแล้วกดปิดกระจก

“กลับคอนโดเลยมั้ยครับ” สารถีหนุ่มถามขึ้นโดยไม่หันหน้ามามอง

“กลับเลยครับ ขอบคุณคุณกานต์มากนะครับ รู้ได้ยังไงครับว่าผมชอบมาที่นี่บ่อยๆ”

“กรบอกไว้ครับ”

“เหรอครับ ฝากขอบคุณคุณกรด้วยนะครับ”

“ครับ” พันธกานต์ตอบเพียงเท่านั้นแล้วก็เคลื่อนรถออกไปด้วยความนุ่มนวล

กลับมาถึงคอนโด บอดี้การ์ดหนุ่มก็ขอตัวโดยทันที จาณีนก็รีบเข้าห้องไปเหมือนกัน มื้อเย็นของเขาเป็นสเต๊กที่เหลือจากเมื่อวาน เขาจัดการอุ่นและทานจนหมดเรียบ เก็บจานเปล่ามาล้างต่อทันที

ถึงแม้ว่าศมนจะกลับดึก ในบางครั้งก็ไปค้างที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศบ่อยครั้ง แต่นิสัยส่วนตัวอย่างหนึ่งของศมนที่จาณีนรู้ดีก็คือ ชายหนุ่มเป็นคนเจ้าระเบียบพอสมควร และไม่ชอบให้ทุกอย่างปล่อยทิ้งไว้โดยไม่จัดการทำอะไรให้เรียบร้อย เด็กหนุ่มทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ได้ฝืนความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะยายของเขาก็มีนิสัยเช่นนี้คล้ายศมน ทำให้จาณีนค่อนข้างคุ้นกับสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

กิจวัตรประจำวันของเขาไม่มีอะไรซ้ำซ้อนมากนัก เช้าตื่นขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัว เสร็จแล้วก็ไปทำงาน เลิกงานตอนเย็น กลับมาถึงคอนโด ก็ทำอะไรง่ายๆ สักอย่างทาน บางทีแม่บ้านก็ทำอาหารทิ้งไว้ให้ ทานเสร็จก็ล้างจานให้เรียบร้อยแล้วจึงอาบน้ำ เข้านอนเป็นลำดับสุดท้าย มันเรียบง่ายเสียจนใครก็คงคิดว่าน่าเบื่อ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกเบื่อกับชีวิตแบบนี้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีศมน ชีวิตของเขาก็ดูมีสีสันขึ้นมาเป็นกอง

แรงกอดจากด้านหลังทำให้จาณีนรู้สึกตัวตื่นขึ้น กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาเดาก็รู้ว่าใคร “กลับมาแล้วหรือครับ”

“อืม ขอโทษที่ทำให้เธอตื่น ฉันแค่อยากกอดเธอ” เด็กหนุ่มพลิกตัวหันหน้ามาหาอีกฝ่าย แขนของคนเพิ่งตื่นกอดเอวอีกฝ่าย ศีรษะก็ขยับขึ้นมานอนหนุนช่วงไหล่ของอีกฝ่ายเพื่อให้ศมนกอดเขาได้ถนัด

“ไม่เป็นไรครับ กี่โมงแล้ว” จาณีนถามเสียงอู้อี้อยู่กับอีกของอีกคน

“จะตีสองแล้ว”

“ทำไมกลับดึกจัง ถ้าดึกแล้วก็ค้างที่นั่นเลยไม่ดีกว่าหรือครับ ขับรถกลางดึกมันอันตราย”

“บ่นเก่งเหมือนเคย เด็กคนนี้” เสียงหัวเราะยามที่พูดถึงบ่งบอกว่าคนถูกบ่นได้ยินมันจนชิน

“ผมเป็นห่วงคุณนี่ครับ”

“ฉันรู้ ขอบใจที่เธอเป็นห่วงฉัน แต่ฉันกับธรยังไหวแล้วฉันก็อยากกลับมานอนกอดเธอ”

“คุณก็พูดแบบนี้ทุกที เพราะรู้ว่าผมต้องใจอ่อนกับคำพูดของคุณ”

“ได้ยินว่าวันนี้เธอไปที่บ้านหลังนั้นมาเหรอ”

“ครับ คุณกานต์บอกเหรอ”

“อืม”

“คุณศมนครับ”

“ว่าไง เริ่มคุยแบบนี้ แสดงไม่ง่วงแล้วใช่มั้ย”

“ครับ ผมอยากจะขออะไรคุณสักอย่างหนึ่งได้หรือเปล่าครับ”

“ได้สิ”

“ผมไม่อยากให้คุณกานต์คอยไปรับส่งผม”

“ทำไมล่ะ กานต์พูดอะไรกับเธอเหรอ”

“เปล่าเลยครับ แต่ผมเกรงใจ แล้วมันรู้สึกไม่ดีกับสายตาของคนอื่นที่มองผม”

“คิดมากจริง”

“นะครับ”

“อย่างนั้นก็ได้ เพราะต่อจากนี้เธอต้องขับรถไปเอง”

“ได้ครับ พูดถึงเรื่องรถ คุณศมนให้คุณกานต์มาเอากุญแจรถไปทำไมเหรอครับ”

“กานต์ยังไม่ได้บอกเหรอ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันรีบกลับมาคืนนี้เลย”

“เปล่านี่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปเลือกรถคันใหม่”

“แต่คันเดิม...” จาณีนยังพูดไม่จบก็ถูกอีกคนขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ถึงคันเดิมจะเช็คสภาพมาแล้วว่าปกติแต่ฉันก็ไม่อยากไว้ใจรถที่มันจอดอยู่เฉยๆ หรอก”

“ไม่ต้องหรอกครับ”

“เราคุยกันแล้วเด็กดี อย่าขัดใจฉันเลย ฉันเต็มใจ”

“ขอบคุณครับ” เถียงไปก็ไม่ชนะ จาณีนเลยต้องยอมรับสิ่งที่อีกฝ่ายตัดสินใจแล้ว

“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไปเลือกรถกัน”

“ฝันดีนะครับ”

“ฝันดีเด็กน้อย” ริมฝีปากอิ่มจูบลงบนหน้าผากเกลี้ยงของเด็กหนุ่มในอ้อมกอด และคงเป็นอีกคืนที่เขาทั้งคู่ต่างพากันนอนหลับฝันดี



===============================



------------------------------------

ตอนที่ 3 แล้วค่า พอจะเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์และความคิดของคนทั้งคู่บ้างไหมคะ ลองเดาดูเนาะ
งานนี้สายเปย์ก็มา สายเชคเรทติ้งก็มี อย่างนี้แหละค่ะ คนเรามีขาวมีดำมีเทากันหมดเลย

เจอคำผิดช่วงไหนหรืออยากให้ปรับปรุงอย่างไร ติชมได้เลยนะคะ ยินดีค่า
ขอบคุณค่ะ

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Third drop -- 18 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 21-04-2017 11:18:25
Fourth Drop

          “กลับดึก” พันธกานต์ทักแฝดพี่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามา

            “ยังไม่นอนอีกเหรอ” พันธกรไม่ตอบกลับย้อนถามอีกฝ่ายไปเหมือนกัน

            “รอมึง”

            “ไม่เห็นต้องรอเลย มึงก็รู้ว่าถ้าไปกับนายเอาแน่เอานอนไม่ได้”

            “รู้ แต่อยากรอ”

            “อืม ตามใจ”

            “แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง” แฝดน้องถามด้วยความเป็นห่วง

            “กินมาตอนอยู่บนเครื่อง”

            “วันนี้กูพาคุณจาไปที่บ้านหลังนั้น ตามที่มึงบอก ตอนที่มึงรายงานนายแล้วนายพูดอะไรถึงกูมั้ย” คำถามที่แสดงออกชัดถึงความสนใจของบุคคลอื่น ทำให้พันธกร อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ ที่แฝดน้องของตนเองยังไม่ยอมเปลี่ยนใจจากคนที่มีบุญคุณกับพวกเขาทั้งคู่

            “ก็ไม่เห็นพูดอะไร”

            “ไม่พูดถึงกูเลยเหรอ”

            “แล้วจะให้นายพูดว่ายังไงล่ะ”

            “ไม่รู้สิ อาจจะชมหรือนึกถึงกูขึ้นมาบ้างก็ได้”

            “กานต์” เสียงทุ้มของพี่ชายเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความระอา “ตัดใจเสียเถอะ นายไม่เคยมองเราสองพี่น้องไปมากกว่าน้องชายเลย”

            “กูก็แค่รักนาย มันผิดด้วยหรือไงวะ”

            “มันไม่ผิด แต่มันเป็นไปไม่ได้ มึงไม่รู้ตัวเลยหรือไง”

            “ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้ตัว กูเคยพยายามตัดใจแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็คงทำได้ไปนานแล้ว”

            “แล้วอีกอย่างที่กูอยากเตือนสติมึง อย่าทำนิสัยหรือท่าทางก้าวร้าวใส่คุณจาอีก”

            “ทำไมล่ะ คุณจามีอะไรดี นายถึงสนใจแค่คุณจา”

            “คุณจาจะมีอะไรดีหรือไม่มีอะไรดีเลย นายก็เป็นคนเลือกของท่านเอง เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนท่าน”

            “แต่กูมาก่อนคุณจา” พันธกานต์ยังเถียงไม่ลดละ

            “จะมาก่อนหรือหลัง แต่ถ้านายไม่เคยสนใจ มันก็มีค่าเท่ากับศูนย์ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก”

            “ทำไมมึงไม่เข้าข้างกู” พันธกานต์ไม่พอใจที่แฝดผู้พี่ไม่สนับสนุนตัวเอง

            “กานต์...มึงเคยมีเหตุผลและสติมากกว่านี้ คำตอบพวกนี้ มึงเองก็รู้อยู่แก่ใจอยู่ อย่าให้กูต้องเป็นคนมาตอกย้ำความจริงพวกนี้เลย” พันธกรพูดเตือนสติแฝดน้อง

            “กูขอโทษ ที่ใช้อารมณ์มากไปหน่อย” เงียบไปสักพักกว่าพันธกานต์จะยอมเอ่ยปากขอโทษอีกฝ่าย

            เขาสองคนมีกันอยู่แค่นี้ เดิมทีเขาชื่อกรและกานต์ จำความได้ก็ขายพวงมาลัยอยู่ตรงสี่แยก เพื่ออยู่รอดไปวันๆ อยู่มาวันหนึ่งนายนั่งรถผ่านไปแถวนั้นพอดี ไม่รู้เพราะอะไร ศมนถึงอยากพาเด็กสองคนนี้กลับมาเลี้ยงดูต่อที่บ้าน ศมนในตอนนั้นอายุสิบแปดกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น แต่เพราะที่บ้านให้ฝึกบริหารงานโรงแรมมาตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย ทำให้ความคิดความอ่านของเขาค่อนข้างโตเกินอายุไปมากโข

            ศมนสั่งให้คนขับรถนำรถไปจอดใกล้ๆ บริเวณที่เด็กแฝดสองพี่น้องนั้นขายพวงมาลัย เมื่อถึงช่วงที่ไฟเขียว รถก็ออกวิ่งอีกครั้ง เด็กทั้งคู่จึงกลับมาริมถนน นั่งรอไฟแดงกลับมาอีกครั้ง ศมนจึงใช้จังหวะนี้เดินเข้าไปพูดคุยกับเด็กทั้งสองคน

“ไปอยู่ด้วยกันกับฉันนะ” คำชักชวนง่ายของอีกฝ่าย ทำให้สองพี่น้องฝาแฝดมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง ด้วยความเป็นเด็กทำให้ทั้งคู่ยังขาดความเฉลียวว่าอาจจะเจอคนไม่ดี ทำให้ฝาแฝดตกลงไปกับศมนโดยไม่สนใจว่าจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวเองหรือไม่ และภายหลังเมื่อมาอยู่กับศมน ชายหนุ่มจึงทำเรื่องเปลี่ยนชื่อให้ทั้งคู่โดยเติมคำว่า พันธะ ที่หน้าชื่อเดิมเหมือนเป็นสายใยให้พวกเขาทั้งสามคน

“มึงตัดใจเสียเถอะ” พันธกรพูดเตือนสติแฝดน้องอีกครั้ง

“กู...” เป็นเรื่องยากที่พันธกานต์ต้องตัดสินใจเรื่องความรู้สึกในเวลานี้

“ที่กูพูดเพราะกูหวังดีกับมึง รู้ใช่มั้ย”

“อืม รู้”

“กูรักมึงนะ กานต์ เรามีกันอยู่แค่นี้” พันธกรเดินเข้าหาอีกฝ่าย

“กูก็รักมึง”

“มานี่ มาให้กูกอดหน่อย ไอ้น้องรัก”

“เกิดก่อนกูไม่กี่นาที อย่าทำเบ่งไปหน่อยเลย ไอ้พี่บ้า” ถึงจะประชดอีกฝ่ายไปแบบนั้น แต่พันธกานต์ก็ยอมเดินไปให้พันธกรกอดแต่โดยดี

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มึงก็ยังมีกูนะกานต์” มือหนาของพี่ชายลูบผมที่ยาวกว่าของน้องชายอย่างอ่อนโยน

“อืม” เสียงอู้อี้ของพันธกานต์ตอบกลับไป มือที่หนาสากระคายไม่แพ้พี่ชายก็ลูบหลังไปพร้อมกัน

“ดึกแล้ว กูไปอาบน้ำก่อนละกัน  พรุ่งนี้นายมีธุระพาคุณจาไปโชว์รูมรถยนต์ ให้กูกับมึงไปด้วยกัน”

“นึกอยู่แล้วเชียว ตอนที่นายให้กูไปขอกุญแจรถคืนจากคุณจา”

“ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกันสิบโมง”

“ฝันดีนะกร”

“ฝันดีไอ้น้องรัก” พันธกรดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบหน้าผากก่อนจะผละไปอาบน้ำตามที่บอกไว้ทีแรก

            เช้านี้พันธกรขับรถพาศมนและจาณีนมาที่โชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่ง โดยมีพันธกานต์นั่งเงียบอยู่ด้านหน้า ตอนที่  พันธกรและพันธกานต์ได้รู้ว่าต้องมาที่โชว์รูมรถญี่ปุ่น ทั้งคู่ก็ต่างแปลกใจ เพราะปกติแล้ว ศมนชื่นชอบรถทางฝั่งยุโรปมากกว่า แต่ขับรถออกมาไม่นาน ฝาแฝดพี่น้องก็คลายข้อสงสัยในใจ

            “เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะ” ศมนหันไปถามคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

            “ไม่ครับ ที่นี่แหละดีแล้ว”

            “ฉันบอกว่าไม่ต้องเกรงใจฉัน”

            “ผมไม่ได้เกรงใจคุณเสียหน่อย แต่ผมไม่จำเป็นต้องใช้รถราคาแพงขนาดนั้น”

            “แพงแต่ปลอดภัย ฉันก็ยินดี”

            “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ รถคันไหนก็ปลอดภัย อีกอย่างผมไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนที่ทำงาน เป็นแค่พนักงานบริษัททั่วไปแต่ขับรถแพงขนาดนั้น ไม่เอาดีกว่าครับ” จาณีนตอบอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายุ่งยากใจพร้อมเหตุผลประกอบการตัดสินใจมากมาย เด็กหนุ่มรู้ดี สำหรับศมนแล้วจะใช้เพียงอารมณ์และความรู้สึกเท่านั้นไม่ได้ แต่ต้องมีเหตุผลที่ดีด้วย

            “จริงๆ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจเลยว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่ก็เอาเถอะ ตามใจเธอ” คำพูดเรียบๆ กับสีหน้าที่ไม่แสดงออกแต่จาณีนก็รู้ว่าศมนกำลังไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย เขาเลยคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้ พลางลูบหลังมือเบาๆ หวังให้อีกฝ่ายลดความขุ่นเคืองลงบ้าง จนใกล้ถึงที่หมาย ศมนจึงค่อยพลิกมือมาเกาะกุมเด็กหนุ่มไว้เป็นอันว่าง้อครั้งนี้สำเร็จ

            และจาณีนก็ทำให้ศมนไม่พอใจอีกระลอกเมื่อถึงเวลาเลือกรุ่นรถที่วางเรียงรายอยู่ภายใน จาณีนเลือกรถรุ่นที่มีราคาไม่สูงมากนัก ยิ่งทำให้ศมนรู้สึกว่าเด็กหนุ่มกำลังเกรงใจเขาอยู่จริงๆ

            “ไม่ได้!” ถึงจะไม่ได้เสียงดังนักแต่ระยะที่ยืนใกล้กันขนาดนี้ทำให้จาณีนรับรู้น้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นักของผู้พูดได้เป็นอย่างดี

            “แต่ผมว่ารุ่นนี้ก็เหมาะกับผมแล้วนี่ครับ”

            “ไม่ได้ แค่นี้ฉันก็ยอมตามใจเธอมากแล้ว”

            “ผมไม่จำเป็นต้องใช้รถแพงขนาดนั้นหรอกครับ”

            “ฉันตามใจเธอไปแล้ว ครั้งนี้เธอต้องตามใจฉัน” น้ำเสียงทุ้มแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจอย่างคนที่ใช้เป็นประจำถูกนำกลับมาใช้กับเด็กหนุ่ม

น้อยครั้งที่ศมนจะเลือกใช้น้ำเสียงแบบนี้เพราะเขาไม่อยากให้จาณีนรู้สึกต้องถูกบังคับ ถ้าเขามีเวลามากพอเขาคงคิดหาคำพูดอื่นที่จะให้ทำจาณีนยอมตามใจเขา แต่ครั้งนี้พวกเขายืนอยู่ในโชว์รูมรถแล้ว จะมัวมาเถียงกันด้วยเรื่องนี้ มันไม่ใช่นิสัยของศมน เขาไม่ชอบเสียงดังและทะเลาะกันต่อหน้าคนภายนอก

“ก็ได้ครับ”

“ตกลงเลือกคันนั้นครับ” ศมนหันไปบอกพนักงานขายที่ยืนยิ้มต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี

“ได้ค่ะ แล้วสีรถ สีนี้เลยหรือเปล่าคะ”

“ว่าไงจา เอาสีไหน” ศมนหันไปถามเจ้าของรถในอนาคตที่ยังยืนนิ่งอยู่

“เอ่อ แล้วแต่คุณศมนเลยครับ” จาณีนโยนคำตอบไปให้ศมน

“แล้วแต่ฉันได้ยังไง นี่มันรถของเธอ” ศมนไม่สนใจกลับโยนกลับคืนมาให้เสียอย่างนั้น

“สีนี้ก็ได้ครับ” จาณีนเลยขอตอบอย่างไปที ชี้นิ้วไปส่งๆ

“สีนี้น่ะ สีอะไร ไหนตอบฉันมา”

“ก็สีดำไงครับ”

“รคคันที่เธอชี้มันสีขาวต่างหาก นี่เธอกำลังดื้อแพ่งใส่ฉัน” ศมนบอกเด็กหนุ่มเสียงเย็น

“เปล่าครับ”

“จะเปลี่ยนคันอื่น หรือยี่ห้ออื่น ‘แทน’ มั้ย”

“ไม่...ไม่ต้องหรอกครับ ผมขอโทษ คันนี้ดีแล้วครับ” จาณีนรีบยกมือไหว้ขอโทษเพราะรู้ว่าเริ่มทำนิสัยไม่ดีกับอีกฝ่าย เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างที่โดนขัดใจ และสายตาของพันธกานต์ที่เอาแต่มองเขาเหมือนเขากำลังทำผิดอยู่ตลอดเวลายิ่งทำให้เขาอึดอัด จึงทำให้เขาแสดงกิริยาที่ไม่ดีออกไป

“สี?”

“สีขาวครับ”

“แน่ใจ” คนสูงกว่าเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย

“แน่ใจครับ คุณศมนก็รู้ว่าผมชอบสีขาว” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ตกลง เอาคันนั้นครับ” ศมนบอกพนักงานขายอีกครั้ง จากนั้นก็ตกลงทำการซื้อขายกันอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเรียบร้อย


ตอนนี้จาณีนยืนอยู่ข้างรถยนต์ป้ายแดงพร้อมกุญแจรถในมือ สายตาของเด็กหนุ่มกำลังจับจ้องอยู่ที่ของในมือ เขาได้ยินศมนบอกจะไปคุยกับพันธกรและพันธกานต์สักครู่ จาณีนขลาดเกินกว่าจะขอตามแผ่นหลังนั้นไปด้วย ไม่ใช่เพราะเขากลัวศมน แต่เขาแค่ไม่อยากอึดอัดกับสายตาของพันธกานต์อีก ถึงแม้จะอยากรู้ว่าศมนไปคุยกับสองฝาแฝดนั้นด้วยเรื่องอะไรก็ตาม

“ไปกันเถอะ”

“ค..ครับ” จาหันไปตามเสียงที่ได้ยิน พบว่าศมนยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขานี่เอง

“มัวแต่ใจลอยคิดอะไรอยู่ หืม”

“เปล่าครับ”

“ฉันยังมีธุระต่ออีกสองสามที่”

“ครับ ถ้างั้นผมกลับก่อน ขอบคุณสำหรับรถคันนี้นะครับ” จาณีนบอกอย่างรู้หน้าที่

“ใครบอกให้เธอกลับน่ะ จา”

“ก็คุณศมนบอกว่ามีธุระต่อไม่ใช่เหรอครับ”

“ใช่ แต่ฉันยังพูดไม่จบ เธอก็รีบพูดแทรกฉัน” ศมนติงเด็กหนุ่มเรื่องมารยาท

“ขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไร วันนี้เธอต้องขับรถไปส่งฉันเพราะฉันมีงานต้องทำต่อ”

“ทำไมล่ะครับ แล้วคุณกรกับคุณกานต์?”

“ฉันให้พวกเขากลับไปพัก”

“อ่อ...ครับ” จาณีนพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่เจ้าตัวก็ยังดูงงๆ อยู่

“ว่าไง ตกลงจะขับรถไปส่งฉันได้มั้ย”

“ได้สิครับ แค่นี้เอง” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง พร้อมกับรีบเดินไปเปิดประตูรถด้านหลังของรถแต่ก็ถูกอีกฝ่ายท้วงขึ้นเสียก่อน

“เธอนี่นะ ประตูด้านหน้าต่างหาก” ศมนเห็นท่าทีนั้นแล้วก็รู้สึกเอ็นดูในการกระทำ นี่จาณีนคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนกับฝาแฝดคู่นั้นหรืออย่างไร

“ครับๆ” เด็กหนุ่มรีบกุลีกุจอเปลี่ยนมาเป็นประตูด้านหน้าแล้วรีบเปิดออกทันที

“ขอบใจนะ” จาณีนยิ้มรับ ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้ทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายบ้าง

“แล้วคุณศมนจะไปที่ไหนครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้นหลังจากออกรถไปได้สักพัก ในช่วงจังหวะแรกเขารู้สึกเกร็งเล็กน้อยเพราะไม่ได้ขับรถมานาน แต่พอเริ่มคุ้นมือก็เริ่มขับได้คล่องเหมือนเดิม

“ไปที่บริษัทก่อน จำทางได้หรือเปล่า”

“ตั้งใจแกล้งผมใช่มั้ยเนี่ย ผมเพิ่งไปบริษัทคุณเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเองนะครับ”

“บอกให้ย้ายมาทำงานที่นี่ก็ไม่เอา อืม ใช่ แล้วเรื่องงานล่ะเป็นไงบ้าง”

“หมายถึงงานที่คุณจ้างบริษัทผมใช่มั้ยครับ” จาณีนละสายตาจากถนนหันไปมองศมน เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าว่าใช่เขาจึงพูดต่อ “ตอนนี้ทั้งฝ่ายไอทีก็เริ่มวางระบบกันอยู่ครับ ทั้งฐานข้อมูลและหน้าเว็บ ส่วนนี้จะทำไปพร้อมๆ กัน ก็น่าจะเสร็จไปแล้วประมาณสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของงานทั้งหมดครับ”

“ติดขัดตรงไหน ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย ก็บอกได้เลยนะ อย่าเกรงใจ”

“แน่นอนครับ สัปดาห์หน้าพี่พลคงแจ้งความคืบหน้าไปให้คุณทราบครับ”

“อืม”

“แล้วคุณศมนจะอยู่ที่บริษัทนานมั้ยครับ” จาณีนหันมาถามอีกฝ่าย

“ทำไม มีอะไรหรือเปล่า”

“ก็ถ้าไม่นานผมจะได้รออยู่ที่รถครับ แต่ถ้านานหน่อย ผมจะไปนั่งรอที่ร้านกาแฟด้านล่าง”

“เธอนี่นะ กลัวคนที่นี่เขาจะเห็นเธอหรือยังไง”

“มันไม่แปลกเหรอครับ ที่คุณพาใครก็ไม่รู้มาที่บริษัท ผมไม่อยากให้ใครมานินทาคุณลับหลัง”

“ก็ช่างเขาสิ เรื่องนินทากาเลพวกนี้ มันพูดง่าย ต่อให้ไม่มีเรื่องเธอ เขาก็หาเรื่องอื่นมาพูดได้ทั้งนั้น อย่าไปใส่ใจเลย”

“แต่ว่า...” จาณีนพยายามโต้แย้ง

“ไม่ต้องกังวล อย่าลืมสิ วันนี้วันหยุด ไม่มีใครมาทำงานหรอก” มือหนาเอื้อมมาลูบศีรษะคนที่กำลังขับรถ คิ้วเข้มที่ขมวดด้วยความกังวลถึงได้คลายลง

“จริงด้วยครับ” จาณีนยิ้มแหยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุด

เพียงไม่นานรถยนต์ป้ายแดงก็เข้ามาจอดรถภายในตึกด้วยความนุ่มนวล ศมนรอจนเด็กหนุ่มดับเครื่องสนิทแล้ว จึงออกจากรถและขึ้นลิฟท์ไปพร้อมกัน เมื่อออกมาจากลิฟท์ เด็กหนุ่มก็มองซ้ายมองขวา ทำให้คนที่เดินอยู่ข้างๆ ถึงกับหัวเราะออกมา

“ทำอะไร”

“ก็เผื่อมีคนมาทำงานไงครับ”

“คิดมากจริง ไป เข้าไปรอในห้อง เดี๋ยวฉันตามเข้าไป” จาณีนเดินเข้าไปนั่งรอในห้อง ที่เขาเคยมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้เองอีกครั้ง เขาเลือกนั่งที่โซฟาตัวเดิม ที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อมองทิวทัศน์ป่าคอนกรีต มองตึกสูงอยู่เพลินๆ ก็รู้สึกมีอะไรเย็นๆ มากระทบแก้ม

“น้ำ” น้ำอัดลมกระป๋องถูกยื่นมาให้

“ขอบคุณครับ”

“ดื่มนี่แทนไปก่อนนะ เสร็จแล้วฉันจะพาไปกินมื้อเที่ยง”

“ครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก คุณไปทำงานเถอะครับ”

“อืม ไม่นานหรอก” ศมนเดินกลับไปโต๊ะทำงาน ส่วนจาณีนก็หันกลับไปสนใจตึกระฟ้าที่อยู่เรียงรายต่อ

ไม่รู้ว่าจาณีนมองเพลินหรืออย่างไร เจ้าตัวถึงรู้สึกตัวอีกทีตอนที่จานขนมสองจานมาวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้า และด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้เด็กหนุ่มตกใจไม่น้อย เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีบุคคลอื่นนอกจากเขาและศมน

ไหนบอกว่าวันนี้วันหยุดไง!! ไม่มีคนมาทำงานไง!!

“สวัสดีค่ะ คุณจาใช่มั้ยคะ วิมาลา เลขาคุณศมนค่ะ ดิฉันเอาขนมมาให้ มีแค่คุ้กกี้อย่างเดียว พอทานได้มั้ยคะ พอดีวันนี้วันหยุด ดิฉันเลยไม่ได้บอกแม่บ้านไว้น่ะค่ะ แต่ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมบอกดิฉันได้เลยนะคะ” หญิงสาวผู้มาใหม่พูดรัวเร็วจนจาณีนเกือบฟังตามแทบไม่ทัน

ก็ใช่ วันนี้วันหยุดไง!! จาณีนแอบคาดโทษศมนอยู่ในใจ

“สวัสดีครับ คุณวิ แค่นี้ก็พอแล้วครับ ขอบคุณสำหรับขนมครับ”  ถึงจะยังตกใจอยู่ แต่จาณีนก็พยายามเก็บน้ำเสียงและสีหน้าเอาไว้ให้นิ่งที่สุด

“พอแล้ววิ เลิกแกล้งจาได้แล้ว” ในจังหวะนั้นเอง ศมนก็พูดขึ้นมา ยิ่งทำให้จาณีนงงเป็นไก่ตาแตกเพิ่มไปอีก    คุณวิมาลาแกล้งอะไร ทำไมเขาไม่เห็นจะเข้าใจเลย

“พี่มนอะ วิอยากรู้จักคุณจามาตั้งนานแล้วนี่นา” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เด็กหนุ่ม นั่นทำให้จาณีนเขยิบตัวเพิ่มพื้นที่ให้ทันที

“ให้พี่อธิบายกับจาก่อนที่เขาจะงงไปมากกว่านี้” ศมนบอกวิมาลาแล้วจึงหันมามองกับเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆ หญิงสาว “จา นี่คุณวิมาลา เลขาของฉัน จำได้มั้ย” ศมนลุกออกมาจากโต๊ะทำงานแล้วเข้ามานั่งตรงข้ามกับทั้งคู่

“ครับ จำได้ ก็เพิ่งเจอกัน”

“ส่วนนี่จาณีน เป็น...”

“ไม่ต้องแนะนำ วิรู้อยู่แล้วน่าว่าคุณจาเป็นใคร” วิมาลาโบกมือบอกเป็นเชิงว่ารู้จักอยู่แล้ว

“งั้นก็ดี ในเมื่อเธอก็รู้จักจา แล้วเธอมาที่นี่ทำไม”

“ก็รู้จัก ได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยคุยด้วยนี่คะ”

“คือ นี่มันอะไรกันครับ ผมงงไปหมดแล้ว”

“วิเป็นเลขาของฉันจริง แต่ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉันด้วย เป็นลูกคุณป้าน่ะ” ศมนอธิบาย

“อ่อ อย่างนั้นเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ วิน่ะได้ยินเรื่องคุณจามาเยอะเลย แต่ไม่เคยได้คุยได้เจอกันเลย เพราะพี่มนน่ะหวง ไม่ยอมพาคุณจาไปพบใครเลย”

“เอ่อ..ครับ แต่วันนี้วันหยุด คุณศมนบอกว่าวันนี้ไม่มีใครมา แล้วคุณวิมาได้ยังไงครับ”

“พอวิรู้ว่าพี่มนพาคุณจาเข้ามา วิเลยรีบแจ้นมาเสนอหน้านี่แหละค่ะ อย่าโกรธพี่มนเลยค่ะ”

“เธอรู้ได้ไง ว่าพี่จะพาจาเข้ามา” ศมนสงสัย เพราะเขาไม่ได้บอกใครเลยเรื่องนี้

“ไม่เห็นยาก วิก็แค่ทำหน้าที่เลขาที่ดี โทรถามคุณกรน่ะสิ อย่าไปดุคุณกรล่ะ เขาก็แค่ทำตามหน้าที่”

“ร้ายจริงๆ นะยัยวิ”

“วิรู้จักพี่มนมาตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าวิไม่รู้ว่าพี่กำลังคิดอะไร แล้วเมื่อไหร่วิจะตามพี่ทันล่ะ จริงมั้ย”

“เอาเถอะ แล้วนี่มาด้วยเรื่องนี้ แค่เรื่องเดียว?”

“ก็ไม่เชิง มีเรื่องงานด้วย”

“เรื่องอะไร”

“วิขอยืมตัวคุณศมนสักครู่นะคะ คุณจา เดี๋ยวจะพามาคืนค่ะ” วิมาลาไม่ตอบศมน กลับหันมาขออนุญาตจาณีนแทน

“ให้ผมออกไปดีกว่ามั้ยครับ” จาณีนรู้สึกเกรงใจที่เขาดูเหมือนจะกลายเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้

“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีต้องคุยทางไกลอีกห้องหนึ่งน่ะค่ะ”

“ถ้างั้นเชิญตามสบายเลยครับ ไม่ต้องห่วงผม” จาณีนบอกอีกฝ่าย

“เดี๋ยวฉันมา ถ้าเธอหิวก็กินขนมไปก่อน” ศมนย้ำบอกเด็กหนุ่มอีกครั้ง เพราะใกล้เวลาเที่ยงเต็มทีแล้ว เขากลัวอีกฝ่ายจะหิว

“ครับ” เมื่อประตูห้องถูกปิดลงอีกครั้ง จาณีนจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลา

หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Third drop -- 18 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 21-04-2017 11:18:55
.

.

“มึงไม่ควรมองคุณจาแบบนั้น ที่กูพูดไปเมื่อวานนี่ไม่เข้าหัวบ้างเลยใช่มั้ยวะ” พันธกรบ่นอย่างหัวเสีย ในระหว่างทางที่เขาขับรถของศมนกลับกับพันธกานต์

“ทำไม กูถึงจะมองเขาแบบนั้นไม่ได้” พันธกานต์พูดตอบแฝดพี่อย่างไม่เดือดร้อน

“มึงเห็นท่าทางเขามั้ย เขาอึดอัดกับการกระทำของมึงแค่ไหน”

“นายยังไม่ว่าอะไร แล้วทำไมมึงต้องมาว่ากูด้วย”

“ที่นายไม่ว่า เพราะเขาอยากให้คุณจาจัดการมึงด้วยตัวเอง มึงคิดว่านายไม่รู้หรือไง” พันธกรพยายามอธิบาย

“ก็กูไม่ชอบเขา ไม่รู้ไปอ้อนนายอีท่าไหน ถึงทำให้นายซื้อรถคันใหม่ให้ได้”

“มึงอย่าพูดถึงคุณจาแบบนี้ เขาไม่ใช่คนอย่างที่มึงคิด ถ้าเขาคิดจะกอบโกยจากนาย เขาทำไปนานแล้ว”

“หึ ใครจะรู้ อาจจะยังไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงก็ได้” พันธกานต์ไม่มีทีท่าว่าจะเชื่อคำพูดของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย

“นอนหลับไปหนึ่งคืน แทนที่มึงจะฉลาดกว่าเดิม  นี่อะไรกลับโง่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นน้อง  กูคงจะตบปากมึงให้เลือดออกไปแล้ว” พันธกรยังบ่นอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคืองต่อ

“นี่มึงด่ากูและคิดจะทำร้ายกู เพราะคนอื่น” พันธกานต์ไม่พอใจที่ถูกต่อว่า

“ใช่ เพราะจิตใจและความคิดของมึงมันเริ่มแย่ไง กูถึงต้องคอยด่า คอยเตือนสติมึง”

“กูไม่ชอบเขา”

“ต่อให้มึงจะชอบหรือไม่ก็ตาม มึงก็ต้องเคารพเขาเหมือนเป็นเจ้านายคนหนึ่ง”

“กูก็เคารพเขา กูไม่ทำตรงไหน” พันธกานต์ย้อนกลับไปอย่างไม่ยี่หระ

“มึงแค่ทำเพราะนายสั่ง มึงควรจะทำด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่จำใจ”

“นั่นมันเรื่องของกู”

“กูจะบอกให้นะ ต่อให้นายไม่มีใคร นายก็ไม่มีวันเลือกมึงหรอก เพราะนายไม่ได้รักมึง” พันธกรพูดตรงประเด็นโดยไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป

“ไม่!!”

“ถึงแล้ว ลงมา อย่าให้กูต้องพูดซ้ำ” พันธกรพูดเสียงต่ำ สะกดอารมณ์โมโหของตนเอง เมื่อเห็นว่าพันธกานต์ออกมาจากรถเรียบร้อยแล้ว เขาล็อครถทันทีแล้วออกเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในอาคารที่พักอาศัย

“กร” หลังจากที่เข้าห้องมาแล้ว พันธกรก็ยืนนิ่งอยู่ตรงพื้นที่นั่งเล่นตรงกลางของห้อง พันธกรได้ยินเสียงเรียกเหมือนสำนึกผิดดังขึ้นอยู่ด้านหลัง แต่ก็ไม่ได้หันกลับไป เขาพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้ลดลง

“ตามกูเข้ามาในห้อง” พันธกรเดินเข้าห้องนอนของตนเอง ประตูห้องเปิดทิ้งไว้

“ไม่!!” น้ำเสียงไม่ได้แข็งกร้าวแต่ก็ไม่ถึงกับแผ่วเบาของพันธกานต์นั้นตอบปฏิเสธไป เขารู้ความหมายที่พันธกรพูดแบบนั้นว่าเจ้าตัวต้องการจะสื่ออะไร พันธกานต์ไม่อยากไปนั่งสำนึกผิดเป็นเด็กๆ อีกแล้ว

“อย่าให้กูต้องพูดซ้ำ” เสียงดังมาจากภายในห้อง นี่คงเป็นคำพูดติดปากของพันธกร เวลาที่ไม่พอใจ พันธกานต์รู้ดีว่า มันไม่ใช่คำขู่ของอีกฝ่าย แต่เป็นคำเตือนที่ลงมือทำจริงแน่นอน เพราะพันธกานต์เคยสัมผัสเจอมากับตัวแล้ว

หากต้องต่อสู้กันจริงๆ พันธกานต์รู้ว่าตัวเองคงเสียเปรียบกว่า เพราะตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะทำอะไร เขายังไม่เคยเอาชนะพันธกรได้เลย กระนั้นเขาก็ไม่เคยรู้สึกโกรธหรือขุ่นเคืองเรื่องเหล่านี้ จนกระทั่งวันนี้แหละ เขารู้สึกขัดใจตัวเองเหลือเกิน อยากดื้อแพ่งไม่สนใจคำพูดของพันธกร แต่ก็ขัดขืนไม่ได้ สองเท้าจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องและปิดประตูลง

จาณีนได้ทานมื้อเที่ยงก็เลยเวลาปกติไปมากโข งานที่ศมนบอกว่าไม่นานนั้นกลับไม่เป็นไปตามคาดเพราะมีปัญหาเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการที่วิมาลารีบเข้ามาปรึกษากับศมนทันทีโดยไม่รอให้ถึงสัปดาห์ใหม่นั่นเอง

“คุณศมนจะกลับไปทำงานต่อเลยหรือเปล่าครับ” จาณีนวางช้อนส้อมและยกน้ำขึ้นดื่มเป็นอันว่าอิ่มมื้อเที่ยง เจ้าตัวเลยถามอีกฝ่ายที่ทานเสร็จแล้วเหมือนกัน

“ไม่กลับแล้วล่ะ ที่เหลือไว้ค่อยคุยต่อวันจันทร์”

“ไม่เป็นอะไรเหรอครับ”

“ไม่มีปัญหาหรอก ส่วนที่เหลือนั้นรอได้” ศมนสงสัยในคำถามทีแรก เช้านี้เขารีบทำงานเพราะกลัวคนที่พามาด้วยจะต้องหิ้วท้องรอนาน เลยอาจจะมึนไปบ้าง

“ครับ ถ้างั้นจะไปไหนต่อหรือกลับเลย”

“ไปอีกที่หนึ่งก่อนแล้วค่อยกลับ” ศมนเรียกพนักงานมาเก็บเงิน เสร็จแล้วจึงกลับไปที่รถที่ยังจอดอยู่ภายในอาคารตึกบริษัท

รถยนต์มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง จุดหมายปลายที่จาณีนได้ฟังในทีแรกทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่คาดคิดว่าจะมาจากความต้องการของอีกฝ่าย

“ถ้าขับรถเหนื่อยก็บอกฉันนะ ฉันจะขับแทนให้” น้อยครั้งที่จาณีนจะเห็นศมนจะขับรถเอง แต่พันธกรเคยเล่าให้จาณีนฟังว่า นายท่านของพันธกรนั้น ขับรถได้เก่งและคล่องแคล่วไม่แพ้ใคร

ก่อนหน้านี้ถ้ามีโอกาสศมนมักจะขับรถเองเสมอ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมรถยนต์หลายคันของเจ้าตัว มักจะเป็นรถสปอร์ตมากกว่ารถหรู ภูมิฐานที่ค่อนข้างดูเหมาะสมกับหน้าที่การงาน แต่พักหลังที่เจ้าตัวเริ่มรับงานต่อจากบิดาเกือบทั้งหมดแล้ว ศมนก็แทบไม่ได้ขับรถเอง เนื่องจากใช้เวลาที่นั่งอยู่ภายในรถทำงานไปด้วย จะได้ไม่เสียเวลา

“ไม่ต้องห่วงครับ ขับแค่นี้เองไม่เหนื่อยหรอก”

“อืม ฉันก็แค่เป็นห่วงเพราะเธอไม่ได้ขับรถนานแล้ว”

“ขอบคุณครับ แต่คุณเองก็ไม่ค่อยได้ขับไม่ใช่หรือไง”

“ย้อนฉันเหรอ เด็กคนนี้” ศมนหยิกแก้มขาวของอีกฝ่าย ถึงจะไม่หยิกแรงนักแต่แรงมือของอีกฝ่ายก็หนักไม่เบาเลย ทำเอาจาณีนต้องประท้วงว่าเจ็บ เจ้าตัวถึงยอมปล่อยมือ

“คุณนอนหลับไปเลยนะครับ จะได้ไม่แกล้งผมอีก” จาณีนไล่ให้อีกฝ่ายนอน แต่ใจจริงแล้วเขาแค่อยากให้ศมนได้พักผ่อน แค่เพียงนิดเดียวก็ยังดี

“คุณศมนครับ ใกล้ถึงแล้ว” ขับรถมาร่วมสองชั่วโมงก็ใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง

“ถึงโรงแรมแล้วเหรอ” เสียงงัวเงียจากอีกฝ่ายถามกลับมา

“ยังครับ แต่ใกล้ถึงแล้ว ให้ผมขับเข้าไปที่โรงแรมเลยใช่หรือเปล่า”

“อืม ไปโรงแรมก่อน”

“จะดีเหรอครับ”

“ทำไมล่ะ ไม่ดีเหรอ การที่ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมแล้วไปโรงแรมของตัวเองมันไม่ดีตรงไหนล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นครับ ผมหมายถึง ปกติถ้าผมมากับคุณแบบนี้ ก็มักจะมีคุณกรกับคุณกานต์มาด้วย แต่คราวนี้มากันแค่สองคน ผมกลัวว่ามันอาจจะไม่ดี”

“เธอนี่นะ กังวลแต่เรื่องนี้ ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าไปสนใจเลย เราห้ามความคิดใครไม่ได้หรอก”

“ก็ผมกังวลจริงๆ นี่ครับ”

“เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอกจา ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก ฉันผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อนเธอเป็นสิบปี แค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกน่า”

“ผมรู้แล้วว่าคุณแก่”

“เด็กนี่ เดี๋ยวนี้เอาใหญ่ นอกจากจะย้อนฉันแล้วยังกล้าว่าฉันด้วย”

“ขอโทษครับ แต่ผมก็แค่พูดความจริง” จาณีนพูดขอโทษไปตามหน้าที่ เด็กหนุ่มไม่ได้กลัวอีกฝ่ายโกรธเพราะรู้ว่าศมนไม่ได้โกรธจริงแค่ตั้งใจแหย่เขาเล่นก็เท่านั้น

“เลิกกังวลได้แล้ว ขับรถตรงเข้าไปโรงแรมเลย ไปอาบน้ำก่อนละกันเดี๋ยวอีกสักชั่วโมงค่อยไปกินมื้อค่ำกัน ตกลงมั้ย”

“ครับ นายท่าน” จาณีนแกล้งรับคำเหมือนที่พันธกรใช้ตอบรับเวลารับคำสั่ง

“ยังอีก” ศมนเริ่มคาดโทษเด็กหนุ่ม

“คร้าบ ไม่กวนแล้วครับ”

เมื่อรถจอดลงอย่างนิ่มนวลที่หน้าทางเข้าโรงแรม พนักงานก็รีบมาเปิดประตูให้ศมนและจาณีน พอได้เห็นว่าคนที่ลงมาจากรถเป็นใคร การต้อนรับที่รวดเร็วและพิถีพิถันก็ถูกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม พนักงานรีบพาเขาทั้งคู่ไปห้องพักทันที จาณีนรู้สึกขอบคุณพนักงานที่เขากับศมนได้พักกันคนละห้อง ถึงแม้ห้องของเขาจะไม่ถูกใช้งานในคืนนี้ก็ตามที

พนักงานโค้งให้อย่างสุภาพหลังจากทำหน้าที่ของตนเองเรียบร้อยแล้วปิดประตูห้องอย่างเบามือ จาณีนยืนใช้ความคิดอยู่กลางห้องเพียงลำพัง เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเสื้อผ้าติดตัวมาเลย หากอาบน้ำคงต้องใส่ชุดเดิมซ้ำไปก่อน หลังจากนั้นค่อยออกไปหาซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม

จาณีนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใช้ แต่เขากลับพบกับเสื้อผ้าชุดใหม่ แน่ล่ะไม่ใช่ของเขาหรอก แต่ขนาดของมันค่อนข้างพอเหมาะกับเขา จาณีนยิ้มกับตัวเอง ความเอาใจใส่ของศมนไม่เคยลดน้อยลงไปเลย

เจ้าเล่ห์นักตั้งใจเซอร์ไพรส์พาเขามาเที่ยวทะเลชัดๆ!!

เด็กหนุ่มคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป เขาอาบน้ำไม่นานนักเพราะกลัวว่าศมนจะรอ ตั้งใจว่าคืนนี้เดี๋ยวค่อยกลับมาอาบอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น จาณีนก็แต่งตัวเกือบจะเสร็จแล้ว

“เข้ามาก่อนมั้ยครับ ผมขอแต่งตัวอีกนิดนึง” จาณีนรีบไปเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาภายในห้องก่อน  ศมนได้ยินแล้วไม่พูดอะไรนอกจากเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง

ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที จาณีนก็เดินมาหาอีกฝ่ายที่กำลังนั่งดูทีวีฆ่าเวลาระหว่างรอ “เสร็จแล้วเหรอ” ศมนหันไปถามจาที่ยืนยิ้มให้

จากที่จาณีนยืนสูงกว่าอีกฝ่ายที่กำลังนั่งอยู่ทำให้เขาเห็นเส้นผมที่เปียกชื้น ศมนคงไปอาบน้ำมาเหมือนกัน และเจ้าตัวคงสระผมด้วย ผมที่ไม่ได้ผ่านการเซทจัดทรงมา ทำให้ผมหน้าที่ค่อนข้างยาวเล็กน้อยปรกลงมาที่หน้าผากของชายหนุ่ม ส่งผลให้ใบหน้าของศมนดูเด็กขึ้นอีกไปเป็นกอง อีกทั้งตอนนี้ศมนเปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ นานๆ ทีที่ศมนจะแต่งตัวแบบนี้ เพราะอีกฝ่ายมักจะแต่งตัวด้วยสูทและเชิ้ตทำงานอยู่เสมอ ยิ่งทำให้ดูเป็นเด็กหนุ่มที่ทำงานมาได้ไม่กี่ปี ไม่เหลือมาดเจ้าของโรงแรมได้เลย จาณีนชอบความรู้สึกแบบนี้ ชอบที่ได้เห็นศมนในลักษณะนี้ เหมือนได้อยู่กับตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย

“เสร็จแล้วครับ”

“ชุดใส่ได้พอดี?” ศมนมองเสื้อผ้าที่จาณีนใส่อยู่

“ใส่ได้พอดีครับ นี่คงเป็นแผนของคุณสินะครับ”

“มันก็ต้องมีบ้าง เดี๋ยวเธอจะเบื่อฉันเสียก่อน”

“พูดผิดพูดใหม่ได้นะครับ คนที่จะเบื่อก่อนน่าจะเป็นคุณมากกว่านะครับ”

“ฉันดูเบื่อง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ”

“แล้วผมดูเบื่อง่ายอย่างนั้นเลยเหรอครับ” จาณีนลงไปนั่งบนโซฟาข้างๆ ศมน ตั้งใจเบียดต้นขากับอีกฝ่าย

“ยอกย้อน” ศมนมองหน้าเด็กหนุ่มว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่จาณีนก็ไม่สบตากลับอย่างไม่ยอมเช่นกัน

“ไหนคุณบอกว่าผ่านเรื่องอะไรมาเยอะแยะ แล้วทำไมจะต้องมากังวลว่าผมจะเบื่อคุณด้วยล่ะครับ” จาณีนกำลังท้าทายอีกฝ่าย

“ก็เพราะฉันผ่านอะไรมาเยอะน่ะสิ ฉันเลยต้องทำให้เธอไม่เบื่อฉัน”

“ผมไม่มีวันเบื่อคุณหรอกครับ”

“ร้ายนักนะเรา ใครสอนให้หัดทำแบบนี้กับฉัน”

“แล้วชอบมั้ยล่ะครับ”

“ถ้าบอกว่าไม่ชอบล่ะ”

“หากไม่ชอบก็จะได้เลิกทำครับ ไม่คุ้มแถมดูไม่ค่อยเป็นตัวเองยังไงไม่รู้”

“ฉันชอบนะ แต่ถ้าเธอต้องฝืนใจ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก”

“ถ้าคุณชอบ ผมก็เต็มใจทำครับ เพราะผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่า”

“ผลลัพธ์อะไร เดี๋ยวนี้หัวธุรกิจด้วยเหรอ”

“ไม่บอกหรอก บางอย่างบอกหมดก็ไม่ตื่นเต้นสิครับ”

“อีกหน่อยฉันคงตามเธอไม่ทัน”

“ผมต่างหากล่ะครับที่จะตามคุณไม่ทัน”

“หืม?” ศมนสงสัยกับคำพูดอีกฝ่าย นั้นหมายความว่ายังไง

“ช่างเถอะครับ ว่าแต่จะไปทานข้าวกันเลยมั้ยครับ ผมหิวแล้ว” จาณีนตั้งใจตัดบทไม่อธิบายสิ่งที่อีกฝ่ายสงสัย

“เอาสิ จะกินที่โรงแรมหรือข้างนอกล่ะ”

“แล้วแต่คนวางแผนสิครับ”

“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้างนอกดีกว่า ลองนึกดูว่าอยากกินอะไร เดี๋ยวฉันพาไปเอง ขอกุญแจให้ผมด้วยครับ คุณจา”

“อย่าเรียกผมแบบนี้สิครับ”

“ทำไมล่ะ”

“ฟังดูเหมือนนรกจะกินหัวผมยังไงไม่รู้”

“เธอก็เวอร์เกินไป” เสียงทุ้มหัวเราะพร้อมกับเอามือยีเส้นผมของคนอ่อนกว่าด้วยความเอ็นดู

“นี่ครับ กุญแจ”

“ไปกันเถอะ”

===============================


--------------------------

แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourth drop -- 21 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 21-04-2017 14:09:00
 :katai5:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourth drop -- 21 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 21-04-2017 19:02:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourth drop -- 21 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 21-04-2017 21:42:53
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourth drop -- 21 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-04-2017 20:55:18
Fifth Drop

“คุณศมนครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า” หลังจากอิ่มมื้อค่ำกันเรียบร้อย ระหว่างทางที่นั่งรถกลับ จาณีนก็ทนเก็บความอยากรู้ต่อไปไม่ไหว  ในที่สุดจึงเอ่ยถามออกมา

            “ถามมาสิ เรื่องอะไรล่ะ” คนตอบ ตอบโดยไม่ได้ละสายตาจากท้องถนน ยิ่งดึกแล้วก็ต้องขับด้วยความระมัดระวังเพิ่มขึ้นกว่าปกติ

            “เรื่องที่คุณคุยกับคุณวิเมื่อตอนเที่ยงน่ะครับ”

            “อืม แล้ว?”

            “คุณบอกคุณวิว่าเราเป็นอะไรกันหรือครับ”

            “เรื่องนี้เองเหรอ ไหนลองเดาใจฉันหน่อยสิว่าฉันจะตอบว่ายังไง”

            “ไม่รู้สิ น้องชายมั้งครับ” จาณีนส่ายหน้าไปมาเบาๆ ประกอบคำพูดของตนเอง

            “จาณีน... ฉันไม่มีน้องชาย เธอก็รู้ และวิเองก็รู้ดีเช่นกัน ลองทายใหม่”

            “ไม่รู้แล้วล่ะครับ”

            “เล่นต่อสิ กำลังสนุกเลย” ศมนรบเร้าอีกฝ่าย

            “ไม่สนุกด้วยหรอกครับ ผมไม่อยากรู้แล้วก็ได้”

            “เป็นงั้นไป พักนี้งอนเก่งนะเรา”

            “เปล่าสักหน่อย” จาณีนพึมพำปฏิเสธข้อกล่าวหากับตัวเอง แต่ในรถที่ค่อนข้างเงียบ ทำให้ศมนได้ยินอย่างชัดเจน

            “เธอนี่นะ” ศมนโคลงหัวเบาๆ ก่อนจะตอบคำถามที่จาณีนอยากรู้

“ฉันบอกว่าเธอคือคนพิเศษ หวังว่าคำตอบนี้คงพอจะถูกใจเธอ”

            “อะไรนะครับ!”

            “ได้ยินชัดอยู่แล้วน่า”

            “พิเศษแบบไหนครับ” จาณีนถามซ้ำเพื่อให้แน่ใจ

            “จะแบบไหนก็คิดต่อเอาเอง บอกหมดก็ไม่ตื่นเต้นสิ ว่ามั้ย”

            “คุณแกล้งผม” คำพูดตะกี้มันเป็นคำพูดของเขาที่เคยบอกศมนไปชัดๆ นี่เขาโดนย้อนแบบไม่ทันตั้งตัวเลยหรือนี่

            “เปล่า ฉันก็แค่พูดเหมือนเธอ แกล้งตรงไหน” จาณีนหันไปมองคนพูดที่กำลังยิ้ม จนเห็นลักยิ้มบุ๋มลงที่ข้างแก้ม แค่นี้ก็ทำให้ใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้น ผู้ชายที่ขับรถอยู่ข้างกายเขาตรงนี้ เป็นผู้ชายที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ แทบเหมือนฝันที่ตอนนี้จาณีนได้อยู่ตรงนี้ กับคนคนนี้

            “คุณแต่งตัวแบบนี้ ผมไม่ได้เซทแบบนี้ ถ้าบอกว่ารุ่นเดียวกับผมก็คงมีคนเชื่อ”

            “รุ่นเดียวกับเธอคงไม่ไหวล่ะมั้ง” ศมนตอบติดตลก วัยที่ห่างกันขนาดนี้ดูยังไงแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ

            “จริงๆ นะครับ ไม่เชื่อผมเหรอ”

            “ฉันอาจจะดูย้อนวัยได้ แต่ไม่เท่ากับเธอแน่ๆ เพราะเธอเหมือนเด็กมหา’ลัยมากกว่าที่จะเป็นคนทำงานมาหลายปีแล้วน่ะสิ”

            กลับมาถึงโรงแรม ทั้งคู่ก็ต่างแยกย้ายกันเข้าห้องของตนเอง จาณีนอาบน้ำอีกครั้ง เขาแช่ตัวอาบน้ำนานเป็นพิเศษสมองที่คอยแต่ครุ่นคิดเรื่องของตัวเองกับศมน มันทำให้ความอยากรู้ที่อยู่ภายในใจมันมากขึ้นทุกที ร่วมชั่วโมงที่แช่น้ำจนตัวเปื่อย จาณีนจึงคิดว่าควรจะลุกขึ้นจากน้ำนี่เสียที

            เมื่อแต่งตัวเสร็จ จาณีนจึงเดินไปเคาะประตูอีกห้อง รอเพียงไม่นานอีกฝ่ายก็เปิดประตู เสื้อผ้าของอีกฝ่ายก็ถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

“นอนหรือยังครับ ผมขอนอนด้วยคนได้มั้ย”

            “ฉันกำลังคิดอยู่เชียวว่าถ้าเธอยังไม่มา ฉันคงต้องโทรไปตาม” ประตูเปิดออกกว้างค้างไว้พร้อมกับเจ้าของห้องที่เดินหายเข้าไปข้างใน จาณีนเดินตามเข้ามาโดยไม่ลืมปิดประตูอย่างเบามือ

            เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้อง ห้องนี้มีการตกแต่งแทบจะไม่ต่างอะไรจากห้องของเขาเลยแม้แต่น้อย เฟอร์นิเจอร์ที่ประดับตกแต่งก็มีการจัดวางที่เหมือนกันทุกประการ ของภายในห้องดูวางเป็นระเบียบ ยกเว้นเตียงขนาดใหญ่ที่มีรอยผ้าปูที่นอนยับย่นอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ศมนกำลังนอนอยู่บนเตียงรออยู่แล้ว

            “เหม่ออะไร ขึ้นมานอนได้แล้ว” เสียงเรียกปลุกให้จาณีนหลุดออกมาจากห้วงความคิดของตนเอง เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปนอนเคียงข้าง

            “คุณศมน ผมอยากรู้เรื่องของคุณบ้าง เล่าให้ผมฟังบ้างสิครับ” จาณีนนอนตะแคงวาดแขนไปพาดเอวอีกฝ่ายเอาไว้

            “วันนี้เป็นอะไร อยู่ๆ ก็อยากรู้เรื่องของฉัน” ศมนกางแขนข้างหนึ่งออกไปเพื่อให้จาณีนเอาศีรษะมาหนุนที่ตรงไหล่

            “อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้หรือครับ”

“ถามมาสิ อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ”

            “ก่อนที่คุณจะเจอผม คุณไม่มีใครเลยเหรอครับ” จาณีนเงยหน้าเพื่อมองตาอีกฝ่าย เขาอยากรู้ว่าศมนคิดยังไงกับคำถามนี้ แต่ก็พบสายตาที่นิ่งสนิท ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

            “ใครในคำถามของเธอหมายถึงแบบไหนล่ะ”   

            “ก็แบบแฟนหรือคู่รัก อะไรประมาณนั้นน่ะครับ”

            “มีสิ”

            “แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะครับ”

            “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นอย่างนี้จริงๆ แล้วฉันเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกก่อน คงเป็นเพราะฉันไม่ค่อยมีเวลาให้ เธอเองก็เห็นใช่มั้ยว่าฉันมีงานค่อนข้างเยอะ ต่อให้ฉันมีชื่อเสียงเงินทองมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีเวลาให้ คนเราก็มักจะทนไม่ได้นานหรอก”

            “ไม่จริง ถ้ารักกันก็ต้องเข้าใจกันสิครับ”

            “เด็กน้อย เธอยังต้องเรียนรู้ชีวิตไปอีกมาก วันหนึ่งเธอก็จะเข้าใจได้มากขึ้นเอง”

            “คุณเห็นผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย” จาณีนบ่น ทำไมใครๆ ก็คอยมองว่าเขาเป็นเด็กอยู่ร่ำไปกันนะ

            “หลายๆ อย่างเธอยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ นี่”

            “ผู้ชายหรือผู้หญิงครับ” จาณีนดึงบทสนทนาเข้าหัวข้อเดิมก่อนที่จะออกทะเลไปมากกว่านี้

            “หมายถึง”?

            “แฟนเก่าของคุณ”

            “ผู้ชาย ฉันไม่เคยคบกับผู้หญิง”

            “แต่ตอนที่คุณเจอผม คุณก็ไม่มีใคร”

            “ใช่ ตอนนั้นฉันไม่มีใครมาสักพักแล้วล่ะ สักสามปีได้มั้ง” ศมนทำท่าคิดก่อนจะตอบออกมา

            “ไม่เรียกสักพักแล้วครับ เรียกว่านานทีเดียว ทำไมล่ะครับ”

            “ช่วงนั้นเหมือนจะมีเปิดสาขาใหม่ ฉันเองก็งานเยอะด้วยมั้ง เลยไม่มีเวลาที่จะคบใคร แล้วอีกอย่างปกติกานต์ก็จะคอยขัดขวางคนที่เข้ามาด้วย ตอนนั้นฉันก็ค่อนข้างเบื่อชีวิตคู่ ไม่อยากมีความรัก หลายอย่างประกอบกันก็เลยโสด”

            “คุณกานต์เหรอครับ” จาณีนคิดว่าสิ่งที่เขาคิดกำลังจะเข้าเค้า

            “ใช่”

            “ทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วยครับ”

            “ด้วยหน้าที่ของกานต์ที่ต้องดูแลฉัน แต่สิ่งที่มันมากขึ้นก็เพราะความรู้สึกของกานต์”

            “ค..คุณรู้ด้วยเหรอ”

            “รู้สิ ฉันเลี้ยงกรกับกานต์มาตั้งแต่พวกเขายังเด็ก เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะไม่รู้ เธอถามทำไมเหรอ”

            “ผมไม่เคยได้ยินคุณพูดอะไร เลยคิดว่าคุณไม่รู้”

            “ไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่รู้ แต่สิ่งที่กานต์ทำ ฉันมองว่าเป็นความรักที่กานต์หลอกตัวเองว่ารักฉัน”

            “ยังไงครับ”

            “กรกับกานต์ รักและเคารพฉัน เหมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่ง การที่กานต์ทำอะไรแบบนั้น จริงๆ แล้วเพราะเขาหวงฉันในฐานะพี่ชายต่างหาก แต่ที่กานต์คิดว่ารักฉัน เพราะเขายังไม่เคยมีความรัก แล้วอีกอย่าง กรก็ไม่เคยมีแฟน กานต์เลยไม่เคยเปรียบเทียบฉันกับกร ว่าถ้าหากวันหนึ่งกรมีแฟน กานต์เองก็อาจจะหวงกร เหมือนที่เขาหวงฉันก็ได้”

            “อย่างนี้เอง”

            “อีกเรื่องหนึ่ง ฉันรู้ว่ากานต์ทำตัวไม่ค่อยดีกับเธอ ฉันต้องขอโทษแทนกานต์ด้วย และก็ขอบใจเธอมากที่ไม่โกรธหรือเกลียดกานต์ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงลำบากใจไม่น้อย” จาณีนเงียบลง เขาไม่เคยบอกเรื่องพวกนี้ให้ศมนรู้เลย เพราะไม่อยากเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขารับไหว ไปเพิ่มภาระให้อีกฝ่าย ซ้ำยังไม่เคยคิดว่าศมนจะรู้เรื่องนี้อีกด้วย

            “คุณกานต์ไม่เคยทำร้ายหรือต่อว่าอะไรผมเลย”

            “ฉันรู้ว่ากานต์ไม่ทำแบบนั้นหรอก และเธอก็ไม่ใช่คนช่างฟ้อง แต่ขอทีเถอะบางอย่างก็บอกฉันบ้างก็ได้ หากมีอะไรฉันเองก็จะจัดการได้ทันท่วงที ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาก่อน กว่าจะแก้ไขมันก็ไม่ทันแล้ว”

            “เรื่องเล็กน้อยเองครับ”

            “เธอเป็นคนพิเศษของฉัน ยังไงกานต์ก็ต้องปฏิบัติกับเธอให้ดีเหมือนกัน ฉันเองก็ผิดที่คิดว่ากานต์จะรับรู้และเข้าใจได้เร็วกว่านี้ แต่สี่ปีก็ยังเหมือนเดิม ฉันคงต้องหาเวลาพูดกับเขาเสียหน่อย”

            “อย่าเลยครับ” แววตาร้อนรนมองไปคนสูงวัยกว่า ถึงจาณีนจะอึดอัดกับสายตาของพันธกานต์ทุกครั้ง แต่ก็ไม่อยากให้ทางนั้นต้องมาถูกตำหนิด้วยเรื่องที่สาเหตุมาจากเขา

            “ไม่ได้หรอก เธอเคยได้ยินมั้ย รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี นี่ก็เหมือนกัน ต่อให้เป็นคนอื่น หรือเธอเองก็ตาม หากทำผิดก็ต้องอบรม สั่งสอนกัน”

            “ครับ” เมื่อศมนเอาเหตุผลมาอ้าง จาณีนเลยต้องจำยอม

            “ช่วงนี้เธอยังได้ไปซ้อมยิงปืนกับคาราเต้อยู่มั้ย” จาณีนแปลกใจในคำถามของศมน เรื่องยิงปืนกับคาราเต้นั้น เขาถูกส่งให้ไปเรียนหลังจากมาอาศัยอยู่กับศมนได้ไม่นาน จุดประสงค์หลักก็เพื่อป้องกันตัว ถึงเขาจะไม่ได้ไปไหนมาไหนหรือออกงานกับศมน แต่คนที่คิดไม่ดี ก็อาจจะทำร้ายเขาได้ทุกเมื่อ หากเกิดเหตุการณ์คับขัน จาณีนยังพอมีโอกาสเอาตัวรอดได้บ้าง

            “ไปครับ อย่างน้อยเดือนละครั้ง ทำไมเหรอครับ” จาณีนตอบ แต่ในใจก็คิดว่าที่เขาต้องไปเนี่ยก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะศมนสั่งให้ไป

            “ดีแล้ว ฉันอยากให้เธอไปบ่อยมากกว่านี้ ออกกำลังกายเยอะๆ เข้าใจมั้ย อีกทั้งตอนนี้ฉันกำลังเปิดสาขาใหม่อีกที่หนึ่ง ฉันเลยกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเธอ เดี๋ยวฉันจะให้กรไปทำเรื่องขอใบอนุญาตพกปืนของเธอ แล้วเธอก็ต้องพกปืนไว้กับตัวตลอดด้วย อย่างน้อยก็เก็บไว้ในรถ เข้าใจมั้ย”

            “เข้าใจครับ แต่ไม่จำเป็นเลย ใครจะมาทำร้ายผม แล้วก่อนหน้านี้คุณเปิดสาขาใหม่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ”

            “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพื่อความสบายใจของฉัน ตามใจฉันนะ”

            “ครับ” จาณีนรู้สึกแปลกใจ อย่างที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ ศมนเปิดสาขาใหม่ก็ไม่เคยสั่งให้เขาไปออกกำลังกายหรือไปซ้อมคาราเต้เท่ากับครั้งนี้

            เด็กหนุ่มพยายามจับสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่เจออะไรเหมือนเช่นเคย สีหน้าของศมนสงบนิ่งเหมือนอย่างที่เป็นประจำ เขาสัมผัสได้ว่ามันอาจจะไม่ได้มีเท่าที่ศมนบอกเขา

            “สัญญากับฉันว่าจะระวังตัวเองให้ดี และอย่าไว้ใจคนอื่นง่ายๆ” ศมนย้ำอีกครั้ง

            “ครับ ผมสัญญา”

            “หรือฉันควรให้กรหรือกานต์มาดูแลเธอดี”

            “ไม่เอาแล้วครับคุณศมน ผมดูแลตัวเองได้ครับ คุณไม่ต้องห่วงหรอก”

            “ห้ามทำให้ฉันเป็นห่วง เข้าใจมั้ย”

            “เข้าใจแล้วครับ มีอะไรหรือเปล่าครับถึงพูดเรื่องแบบนี้”

            “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เป็นห่วงเธอ”

            “ผมรู้ว่าคุณห่วงผม แต่ครั้งนี้ดูคุณกังวลกว่าที่เป็น”

“ฉันห่วงเธอก็เท่านั้น”

“แล้วคุณยังไม่ง่วงเหรอ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึก” ในเมื่อศมนยังยืนกรานตอบแบบเดิม ก็ไร้ประโยชน์ที่จาณีนจะถามต่อ เพราะคงได้คำตอบแบบเดิม เขาจึงเลือกเปลี่ยนเรื่องดีกว่า

            “ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่ เมื่อช่วงบ่าย มีคนขับรถให้นอนเลยได้พัก”

            “ไม่ง่วง แต่ก็ต้องนอน ไม่ใช่แอบไปทำงานต่อนะครับ”

            “วันนี้ฉันไม่ทำงาน ตั้งใจพาเธอมาเปลี่ยนบรรยากาศทั้งที ทำอย่างอื่นดีกว่า” แรงกอดกระชับแน่นขึ้น และความรู้สึกที่กำลังถูกลูกบริเวณสะโพก ทำให้จาณีนรู้ได้ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

            “นอนพักไม่ดีกว่าเหรอครับ”

            “แบบนี้ก็พักเหมือนกัน” จมูกโด่งกดลงแก้มขาว ซุกไซ้ไปทั่วลำคอ ทำให้จาณีนแหงนหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ

            ศมนพลิกตัวเด็กหนุ่มกดให้นอนหงายกับเตียง ใบหน้าคมก้มลงมา จาณีนหลับตาลงรอรับรสสัมผัส เมื่อ ริมฝีปากอิ่มจูบลงมา จาณีนเผยอปากรอให้อีกฝ่ายเข้ามา ลิ้นอุ่นเกี่ยวกระหวัดภายในช่องปาก ดูดดึงจนเปียกชุ่ม ขบเม้มริมฝีปากบางของเด็กหนุ่ม กัดเบาๆ พอให้รู้สึกก่อนจะส่งลิ้นเข้าไปในโพรงปากต่ออีกครั้ง

            มือหนารูดกางเกงนอนของจาณีนให้หลุดออกไปจากปลายเท้าอย่างง่ายดาย ปราการด้านล่างเพียงชิ้นเดียวของจาณีนที่มีอยู่ ทำให้สายตาคมผงกหน้าขึ้นมามอง เด็กหนุ่มหน้าแดง เขารู้อยู่แล้วคืนนี้อาจจะมีอะไรเกิดขึ้น จึงตั้งใจไม่สวมชั้นในในคืนนี้ มือข้างเดิมลูบไล้ต้นขาด้านในของจาณีน ทำให้เด็กหนุ่มส่งเสียงออกมาเบาๆ ด้วยความพอใจ

ไม่นาน ศมนเลื่อนมือขึ้นมาจับส่วนอ่อนไหวของเด็กหนุ่ม ขยับข้อมือรูดรั้งเบาๆ เพราะไม่อยากเร่งรัดให้อีกฝ่ายต้องไปถึงฝั่งฝันเร็วนัก มือเรียวเอื้อมมาจับต้นแขนของศมนเอาทั้งสองข้างเพราะไม่ทันใจ

“อย่าเพิ่งรีบสิ ฉันไม่อยากให้เธอไปถึงเร็วนัก”

“ฮื้อ..” เสียงบอกถึงความขัดใจ แต่ศมนก็ไม่ได้ทำตามใจ มือเล็กเลยเปลี่ยนมากระตุ้นอีกฝ่ายแทน เขาพยายามปลดกระดุมชุดนอนของคนข้างบนออกแล้วดึงชุดนอนออกไปให้พ้นจากร่างกาย

เด็กหนุ่มลูบไล้กล้ามเนื้อของอีกฝ่าย นิ้วชี้สะกิดตุ่มไตเบาๆ ส่งผลอีกฝ่ายถึงกับสะดุ้งขึ้นเบาๆ ศมนมองจาณีน อย่างคาดโทษ แต่เด็กเจ้าเล่ห์ทำไม่รู้ไม่ชี้บดขยี้ให้คนด้านบนรู้สึกต่อไป ร่างสูงเขยิบถอยร่นลงไป ทำให้จาณีนไม่ได้แกล้งอีกฝ่ายต่อ ริมฝีปากแดงอ้าปากครอบส่วนอ่อนไหวที่เริ่มแข็งตัวของเด็กหนุ่มลงไป จาณีนถึงกับกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกภายในกำลังก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ

คนสูงวัยกว่าตั้งใจกับส่วนนั้นอย่างเต็มที่ ริมฝีปากขยับเข้าออกเป็นจังหวะ ดูดกลืนกระหายราวกับเป็นอาหารโอชา มือข้างที่ว่างลูบไล้ทั่วร่างกายของเด็กหนุ่ม บีบเน้นฟ้อนเฟ้นสะโพกกลมไม่เบามือนัก ร่างเล็กกว่าขยับส่ายบนที่นอนราวกับทรมานแทบขาดใจ ศมนรู้ใจจาณีนเสมอว่าเมื่อไหร่ควรจะเบา และเมื่อไหร่ควรจะหนักมือเพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้สูงขึ้น

ก่อนจาณีนจะไปถึงปลายทาง ศมนก็ถอนปากออกมา เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองคนข้างล่าง รู้สึกถูกกระชากให้ตกลงมาจากที่สูง อยากจะถามว่าทำไม แต่ศมนก็ยกขาทั้งคู่ของเขาขึ้นสูงเสียก่อน ชายหนุ่มก้มลงเลียปากทางเข้าออกของอีกฝ่าย เพื่อให้รูจีบอ่อนนุ่ม รองรับร่างกายของเขาได้ มือหนาก็เลื่อนมารูดรั้งส่วนนั้นของเด็กหนุ่มเอาไว้เพื่อดึงอารมณ์ไม่ให้หยุดชะงัก

“ผมไม่ไหวแล้วครับ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาจากด้านบน ศมนยกตัวขึ้นคร่อมอีกฝ่ายที่ทำท่าไม่ไหวอย่างที่บอกจริงๆ

“อีกนิดนึงนะ เดี๋ยวเธอจะเจ็บ เชื่อฉันนะ เด็กดี” ศมนก้มลงจูบปิดปากเด็กหนุ่มนั้นเสีย แล้วใช้สองนิ้วค่อยๆ สอดเข้าไปที่ปากทางแคบนั้น หมุนเป็นวงกว้างเพื่อให้ขยายออกกว่าเดิม

“อื้อ... อื้มม” เพราะถูกจูบเอาไว้เสียงครางเลยดังอู้อี้อยู่แบบนั้น เขาเร่งมือขยับเข้าออกปากทางด้านหลัง เพราะตัวชายหนุ่มเองก็แทบจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน

ศมนถอนมือออกมา แล้วเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักหัวเตียง เขาควานหาของในนั้นโดยไม่ได้ถอนปากออกจากเด็กหนุ่ม ภาวนาว่าขอให้พันธกรเตรียมมาด้วยเถิด ถึงแม้ว่าร่างกายของศมนและจาณีนจะได้รับการตรวจอยู่เป็นประจำ แต่เพราะไม่มีตัวช่วยหล่อลื่นใดๆ เขาเลยไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องรู้สึกเจ็บ แทนที่จะมีความสุข แล้วในที่สุดเขาก็เจอสิ่งที่ต้องการ

ชายหนุ่มฉีกซองออกมาแล้วก้มลงสวมใส่ลงบนส่วนที่แข็งตัวของตัวเองลงไป เขายกขาของเด็กหนุ่มขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้างก่อนจะค่อยๆ สอดตัวเข้าไปในช่องทางที่เข้าได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ความคับแน่นจากภายในทำให้เขาอยากจะเดินหน้าต่อโดยไม่ต้องสนใจคนใต้ร่าง เขาพยายามหักห้ามใจไม่ให้ลืมตัว ศมนต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้คนด้านล่างเจ็บ เขาค่อยๆ กดตัวเองลงไปแล้วก็ถอนตัวมา ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนคิดว่าจาณีนพร้อมแล้วที่เขาจะเดินหน้าต่อพร้อมกัน

ร่างกายสูงใหญ่ขยับเป็นจังหวะ ไม่ได้รีบเร่งอะไรนัก บัดนี้เด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยอารมณ์พุ่งสูง ส่งสายตาออดอ้อนหวังจะให้เขาเร่งความเร็วขึ้นไปอีก ศมนเห็นท่าทางแบบนั้น อดไม่ได้ที่จะชะโงกตัวลงไปจูบคนภายใต้ ผลจากที่เขาทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ร่างกายของเขาเข้าไปในตัวของเด็กหนุ่มลึกกว่าเดิม จาณีนถึงกับทุบไหล่ของเขาเบาๆ เพื่อประท้วงให้เขาขยับออกไป ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับการร้องขอนั้นแต่ก็ไม่ได้ตามใจอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าตอนนี้จาณีนแทบทนไม่ไหวอีกเพียงไม่นานต้องปลดปล่อยออกมาแน่นอน

“อย่า อย่าทำแบบนี้ครับ” จาณีนพยายามให้หลุดพ้นจากริมฝีปากอีกฝ่ายเพื่อที่จะพูดสิ่งที่ตนต้องการ

“ห้ามทำไม” ศมนค้างตัวเอาไว้แบบนั้น เขายึดหัวไหล่ของจาณีนเอาไว้เพื่อไม่ให้ขยับหนี

“ไม่เอา... ไม่.. แบบนี้ อื้อ คุณ... ไม่เอา” คำพูดกระท่อนกระแท่นบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ใกล้เดินมาถึงขีดจำกัดของเจ้าตัว

“หืม?”

“คุณ..มันโดนตรงนั้น...ไม่เอา”

“ไม่ชอบเหรอ” ศมนดึงตัวออกมาเกือบสุดก่อนจะกดลงไปอีกครั้งที่จุดเดิม จาณีนถึงกับยกมือปิดปากเสียงร้องที่ดังขึ้นของตนเอง

“อื้อออ ก็ช..ชอบครับ แต่มันไม่ไหว ผมจะตายแล้ว”

“ไม่เป็นไร เธอไม่ตายง่ายๆ หรอก”

“ผมขอร้อง” จาณีนวิงวอนอีกฝ่าย เพราะอารมณ์ที่โหมกระหน่ำมันทำให้เขาใจแทบขาดแล้ว

“ก็ได้” ด้วยความโล่งใจ จาณีนเลยไม่ทันสังเกตน้ำเสียงของอีกฝ่าย

ศมนพลิกร่างของเด็กหนุ่มขึ้นคว่ำและตามไปซ้อนหลังของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากอิ่มจูบไล้ผ่านไปทั่วทั้งแผ่นหลังขาวเนียน ดูดดึงเม้มจนเกิดรอยเอาไว้หลายแห่ง เขาโน้มใบหน้าของจาณีนขึ้นมาจูบ จังหวะที่เอี้ยวตัวแบบนั้น ท่าทางแบบนั้น ก็ส่งผลให้ศมนอยู่ภายในตัวของจาณีนลึกลงกว่าเดิม จาณีนอยากจะดิ้นก็ดิ้นไม่ได้เพราะถูกกอดเอาไว้ เขากำลังโดนศมนแกล้งอีกแล้ว

มือหนาขยับรูดรั้งส่วนสำคัญของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว ไม่กี่ครั้งเด็กหนุ่มก็ปลดปล่อยออกมา น้ำขุ่นขาวล้นทะลักออกมาเป็นสายอย่างสมใจที่ถูกกลั้นมานาน ศมนขยับตัวเองเข้าออกในร่างของเด็กหนุ่มอีกสักพักจึงค่อยตามอีกฝ่ายมาเช่นกัน เขาค่อยๆ ถอนตัวออกมาแล้วถอดถุงยางทิ้งลงถังขยะ โดยไม่ลืมมัดปากถุงยางเพื่อกันน้ำไหลหกออกมาเลอะเทอะ

ศมนดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แผ่นหลังขาวที่เต็มไปด้วยรอยแดงๆ ปะทะอยู่กับแผ่นอก จาณีนนอนหนุนแขนของเขาไว้ เจ้าตัวกำลังปรับระดับการหายใจให้เป็นปกติ มือขาวลูบขาของเขาอย่างเบามือ เด็กหนุ่มไม่ได้ต้องการปลุกอารมณ์เขาอีกครั้งหรอก แต่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขากำลังรู้สึกอีกแล้ว

คนสูงวัยกว่าเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบถุงยางออกมาสวมใส่อีกครั้ง ก่อนจะยกขาของจาณีนสูงขึ้นก่อนจะสอดตัวเองเข้าไปในปากทางแคบที่ถูกใช้งานไปเมื่อสักครู่นี้ ทำให้มันยังพร้อมที่จะรับของของเข้าไปได้อีกโดยที่จาณีนจะไม่เจ็บ

“ดะ...เดี๋ยว คุณศมน” จาณีนรีบร้องห้ามอีกฝ่าย

“อะไรเหรอ”

“อย่ามาถามใสซื่อแบบนั้น ที่กำลังทำอยู่เนี่ย อะไรครับ”

“ช่วยไม่ได้มือเธอซนมาปลุกอารมณ์ฉันเอง”

“ผมไม่ได้ทำนะ”

“จะทำหรือไม่ก็ช่างมันเถอะเพราะตอนนี้คงต้องต่อรอบแล้วล่ะ”

“ผมไม่...อ๊ะ!”

ชายหนุ่มไม่อยากฟังอะไรต่ออีก เขาขยับกายเข้าออกอย่างรวดเร็ว เสียงที่เคยบ่นเมื่อสักครู่สักพักไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหวานให้เขาได้ยิน นั่นก็ทำให้ศมนยิ้มได้อย่างพึงพอใจแล้ว

หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourth drop -- 21 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-04-2017 20:55:43
.
.
.
.
.
.
.
.
.

.

เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ของการทำงาน เปิดฉากต้อนรับด้วยความวุ่นวาย จาณีนเกือบจะตั้งตัวไม่ทัน เช้านี้เขาขับรถคันใหม่มาจอดในตึก ทุกอย่างน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเขาเดินมาถึงโต๊ะทำงานเท่านั้นแหละ

เขาถึงรู้ว่าเขาคิดผิด!

“นั่นๆ มาแล้ว น้องจาของพี่ปริน” หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า พี่ปริน นั้นยืนอยู่กับกตพล ที่โต๊ะทำงานของจาณีน เธอทำงานตำแหน่งเทสเตอร์หรือคนที่คอยเทสระบบ ว่าเจอบั๊กหรือไม่ ระบบสมบูรณ์หรือเปล่า หรือแม้กระทั่งติดขัดมี    เออเรอร์ที่หน้าเว็บหน้าไหน เรียกได้ว่าหน้าที่ของเธอนั้นเปรียบเสมือนภัยคุกคามของแผนก เพราะถ้ามีเคสหรือปัญหาจากเธอเมื่อไหร่ แสดงว่างานเข้า

“สวัสดีครับ พี่ปริน มีอะไรกันแต่เช้าครับ” จาณีนยิ้มให้ตอนที่เดินผ่านทั้งสองเพื่อเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง เขาเริ่มลงมือเปิดโน้ตบุ๊ค เตรียมเช็คเมลตามความเคยชิน

“พี่เห็นนะคะ เมื่อวันศุกร์แล้วก็วันนี้ด้วย”

“เห็น? เห็นอะไรครับ” จาณีนไม่เข้าใจเรื่องที่พี่ปรินพูด

“แหม แหม แหม ก็วันศุกร์ มีใครมารับเอ่ย ใช่แฟนหรือเปล่าคะ แต่คิดไปคิดมาก็ท่าทางเหมือนเจ้านายคนใหญ่คนโตส่งคนมารับเด็กในสังกัดอะไรอย่างนั้น ใครกันเอ่ย ความลับหรือเปล่า” คำพูดทีเล่นทีจริงของหญิงสาว แต่กลับถูกต้องทุกคำ ทำเอาจาณีนหน้าผิดสี

“เอ่อ...”

“รถที่บ้านไอ้จามันน่ะ ปริน” เป็นอีกครั้งที่กตพลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจาณีน

“อุ๊ยตาย จริงเหรอคะ นี่ไม่ยักรู้เลยว่าน้องจา เป็นคนมีฐานะ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” เขาไม่ได้โกหกเพราะเขาไม่มีขนาดนั้น คนที่มีน่ะอีกคนต่างหากล่ะ แต่จะให้เขาพูดออกไปได้อย่างไร งานก็เข้าพอดีน่ะสิ

“มีญาติพี่น้องคนไหนที่ยังโสดอีกมั้ยคะ แนะนำให้พี่ปรินบ้าง ถ้าได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับน้องจาแล้ว พี่ปรินคงจะโชคดี จริงมั้ยคะพี่พล”

“เดี๋ยวข้าจะโทรไปบอกสามีเอ็ง ว่าเอ็งคิดจะนอกใจมัน” กตพลแกล้งขู่

“พี่พลก็...พูดอะไรแบบนั้น ปรินก็แค่แซวน้องจาเล่นเอง”

“มีลูกมีสามีแล้ว ก็อยู่อย่างคนมีครอบครัวเถอะ”

“ค่าๆ รับทราบ ว่าแต่รถที่ขับมาวันนี้สวยดีนะจา ป้ายแดงมาเลย พี่อะอิจฉา อยากเปลี่ยนรถแล้ว แต่สามีพี่ขี้เหนียว ไม่ยอมเปลี่ยนง่ายๆ” ปรินบ่นพลางทำหน้ายู่เมื่อพูดถึงคนที่บ้าน

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณที่ปรินชมรถของตน แต่ไม่ได้อธิบายขยายความอะไรต่อ เขาอยากเปลี่ยนเรื่องใจจะขาดแล้ว

“ไปทำงานได้แล้ว มัวแต่คุยกัน เดี๋ยวงานก็ไม่เสร็จเอา”  กตพลเป็นคนพูดขึ้นมา นั่นก็ทำให้จาณีนโล่งใจเป็นที่สุด และยิ่งดีใจมากขึ้นเมื่อได้ยินปรินรับคำแล้วเดินกลับไปทำงานต่อ

“ขอบคุณครับพี่พล” จาณีนขอบคุณกตพลอีกครั้ง นี่เขาต้องเป็นหนี้บุญคุณพลไปกี่ครั้งแล้ว

“ไม่ต้องมาขอบคุณข้า เดี๋ยวบ่ายวันนี้ขับรถคันใหม่ของเอ็งพาข้าไปบริษัทคุณศมนด้วยล่ะ”

“ไปทำไมครับ มีอะไรหรือเปล่า”

“บ๊ะ!! เอ็งนี่ ก็วันนี้ต้องมาคุยเรื่องงานเพิ่มยังไงล่ะ เรื่องที่จะต้องขออนุญาตฝ่ายนั้นเพื่อขอเก็บรูปสถานที่เพิ่ม ลืมเหรอไง”

“ไม่ได้ลืมครับ แต่ผมเข้าใจว่าพี่จะเมลไปรายงานความคืบหน้าแล้วก็จะขอเพิ่มเรื่องรูปด้วย เลยคิดว่าไม่ต้องไปอีก ค่อยไปเดือนหน้ารอบเดียว”

“มันมีสัญญาที่ต้องเซ็นต์เพิ่มเรื่องขอไปถ่ายรูปเพิ่มนี่แหละ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบุกรุกสถานที่กับเอารูปไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต”

“สัญญาที่พี่ขอไปทางทีมกฎหมายอะนะ”

“เออสิวะ แล้วข้าก็เพิ่งได้หนังสือสัญญามาตะกี้นี่เอง แต่ปรินมันก็ดึงข้ามาคุยเรื่องเอ็งเสียก่อน”

“แล้วพี่แจ้งทางนั้นแล้วหรือยัง เผื่อเขาไม่อยู่ จะไปเสียเที่ยว” จาณีนถามเพื่อเตือนอีกฝ่าย

“ต้องนัดแล้วสิวะ ก็เวลานัดเดิมนั่นแหละ ข้าไม่ได้ยกเลิก เอ็งนี่นะ เห็นข้าเป็นคนยังไง”

“ผมก็ไม่รู้ ก็แค่ถามเผื่อไว้ก่อนไง”

“เออๆ กินข้าวกลางวันเสร็จก็ออกตัวกันเลย รีบๆ เคลียร์งานช่วงเช้าด้วย” กตพลพูดเสร็จก็เดินกลับไปทำงานต่อ ส่วนจาณีน เด็กหนุ่มกำลังขุ่นเคืองศมนอยู่ในใจ เจ้าตัวรู้เรื่องว่าเขาจะเข้าไปที่บริษัทวันนี้ แต่ก็ยังทำเป็นมาถามความคืบหน้าจากเขาอีก ชอบปั่นหัวเขาอยู่เรื่อย นักธุรกิจนี่มันเจ้าเล่ห์แบบนี้ทุกคนเลยใช่มั้ย

.

.

“สวัสดีครับ คุณวิมาลา” กตพลเดินเข้าไปหาเลขาที่นั่งประจำอยู่หน้าห้องทำงานของบริษัทผู้ว่าจ้าง

“สวัสดีค่ะ คุณกตพล แล้วก็น้องจาด้วย เชิญเลยค่ะ ตอนนี้คุณศมนกำลังรออยู่แล้วค่ะ” วิมาลาหันมายิ้มให้กับเด็กหนุ่มอย่างคนคุ้นเคย สร้างความแปลกใจให้กับกตพลไม่น้อยว่าหญิงสาวไปสนิทกับลูกน้องของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

เมื่อวิมาลาเปิดประตูห้องทำงานก็พบว่าศมนกำลังนั่งเล่นอยู่กับเด็กน้อยอยู่ที่โซฟารับแขกริมหน้าต่างบานใหญ่ตัวเดิม ประเมินคร่าวๆ จากสายตาของจาณีนแล้ว เด็กน้อยน่าจะอายุประมาณสองขวบ จาณีนรู้สึกแปลกใจกับภาพที่เห็นไม่น้อย เพราะเขาไม่เคยเห็นมุมนี้ของอีกฝ่าย จากท่าทางที่ศมนป้อนขนมหรือเล่นกับเด็กน้อยคนนี้ก็ดูคล่องแคล่ว ซ้ำเด็กน้อยตากลมโต ปากแดง แก้มแน่นสีชมพู แถมยังมีลักยิ้มที่สองข้างแก้มเหมือนกับศมนอีก

หากใครต่อใครได้เห็นก็คงคิดเหมือนกันว่า เด็กคนนี้ต้องเป็นลูกของชายหนุ่มแน่ๆ ช่วงจังหวะหนึ่งจาณีนก็คิดว่าเด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกของศมนจริงๆ และกตพลก็ไม่พลาดที่จะเป็นหนึ่งในนั้น

“สวัสดีครับ คุณศมน อ้าวเด็กน้อยน่ารักคนนี้ ชื่ออะไรเอ่ย” กตพลเดินเข้าไปทักทายพร้อมกับก้มหน้าลงไปยิ้มให้กับเด็กแก้มแดง

“ชื่ออะไรครับ บอกคุณอาไปสิลูก” ศมนหันไปถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือลูบศีรษะเล็กนั้นดูทะนุถนอมเอ็นดูอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

“ไนท์” เด็กน้อยตอบออกมาเสียงดังฟังชัดราวกับถูกถามด้วยคำถามแบบนี้บ่อย

“ชื่อเพราะจังเลยครับ” กตพลก้มบอกน้องไนท์ก่อนจะยืดตัวแล้วหันไปถามศมน “ลูกของคุณหรือครับ” คำถามของกตพล เป็นคำถามที่จาณีนอยากรู้เป็นที่สุดในเวลานี้ เขาแทบจะกลั้นหายใจยืนรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ศมนหันมาสบตากับจาณีนก่อนจะหันไปถามเด็กน้อยอีกครั้ง

“น้องไนท์ครับ ปะป๊าอยู่ไหน”

“ปะป๊า” นิ้วชี้ขาวอวบสั้นๆ ยกขึ้นชี้ไปที่คนถาม น้องไนท์ยิ้มตาหยีอวดลักยิ้มที่เหมือนอีกฝ่าย ทำเอาจาณีนที่รอฟังคำตอบถึงกับหูอื้อที่ได้ยิน เขาแทบจะหมดแรง เพราะไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน นั่นแสดงว่าศมนมีครอบครัวอยู่แล้วใช่มั้ย

“หน้าตาเหมือนกับคุณศมนจริงๆ ครับ” กตพลพูดจากใจจริง

“ใครๆ ก็บอกแบบนั้นครับ เอ้า น้องไนท์เดี๋ยวไปอยู่กับคุณแม่ก่อนนะครับ เดี๋ยวปะป๊าขอทำงานก่อน”

“อื้อ”

“ครับสิลูก ไม่ใช่อื้อ”

“คับ”

“น้องไนท์ มาเล่นกับแม่ก่อนน้า” วิมาลาเดินอ้อมไปด้านหลังโซฟาแล้วก้มตัวไปอุ้มน้องไนท์ขึ้นมา เธอขอตัวลากับทุกคนแล้วพาเด็กน้อยออกไป

ช่วงบ่ายหลังกลับมาจากบริษัทของศมนแล้ว จาณีนแทบจะไม่มีสมาธิทำงานต่อได้เลย ในหัวของเขายังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มันหมายความอย่างไร ศมนกับวิมาลาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แล้วทำไมถึงมีลูกอย่างน้องไนท์ด้วยกันล่ะ และวิมาลาก็รู้ความสัมพันธ์ของเขากับศมน แบบนี้หญิงสาวจะไม่รู้สึกอะไรเหรอ ทำไมถึงยังเข้ามาพูดคุยกับได้เป็นปกติแบบนั้น จาณีนคิดจนหัวแทบแตกแต่ก็ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง

จาณีนขับรถกลับบ้านทั้งที่ยังไม่มีคำตอบเหมือนเดิม เขาเกือบจะเสยท้ายรถคันข้างหน้าหลายต่อหลายครั้งเพราะความใจลอย สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงเลือกแวะพักที่ห้างสรรพสินค้า หาอะไรรองท้องให้หัวสมองได้ปลอดโปร่งมากกว่านี้ เขานั่งอยู่ในร้านอาหารจนได้ยินเสียงประกาศปิดทำการของห้าง เด็กหนุ่มถอนลมหายใจออกมาแผ่วเบา ได้เวลาที่จะต้องกลับคอนโดเสียแล้ว เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าเลยห้าทุ่มเข้าไปแล้ว

“ทำไมถึงเพิ่งกลับ โทรไปก็ไม่รับ” เสียงทุ้มถามขึ้นแฝงไปด้วยความติเตียน ทำให้จาณีนรู้สึกตัวว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง

“ขอโทษครับคุณศมน”

“เธอโตแล้ว จะกลับดึกแค่ไหนก็ได้ แต่ที่ฉันอยากรู้ ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์ฉัน รู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วง” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเหมือนเคยแต่มันยิ่งกลับทำให้จาณีนไม่สบายใจเพราะยังคงนึกถึงเด็กน้อยที่ได้เจอวันนี้

“ขอโทษครับคือผมไม่ได้ยิน” จาณีนตอบโดยไม่สบสายตา เขาเห็นว่าศมนโทรมาหลายต่อหลายสาย แต่เขาก็เลือกที่จะปิดเสียงแล้วปล่อยให้มันสั่นอยู่แบบนั้น

“วันนี้งานเยอะเหรอ”

“เปล่าครับ พอดีผมไปหาอะไรทานที่ห้างมาครับ”

“เธอคงจะเหนื่อย ไปอาบน้ำแล้วก็รีบเข้านอนเถอะ” น้ำเสียงห่วงใยเช่นเดิมถูกส่งออกมาให้เด็กหนุ่ม แต่จาณีนไม่อยากรับมันไว้ในตอนนี้ เขากำลังทำลายครอบครัวของน้องไนท์  จาณีนไม่เข้าใจ ทั้งที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำไมศมนถึงยังทำอะไรแบบนี้อยู่อีก

“ขอตัวนะครับ”

“ไปเถอะ เดี๋ยวฉันรอ”

“ไม่ต้องรอผมหรอกครับ คืนนี้ผมอยากกลับไปนอนที่ห้องผม”

“มีอะไรหรือเปล่า” ศมนเกือบจะหลุดขำ เพราะไม่ได้เห็นท่าทีดื้อดึงของจาณีนนานแล้ว เขาต้องพยายามกลั้นเอาไว้ ปั้นหน้าให้นิ่งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะจับได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจาณีนเป็นอะไร ดูจากท่าทางและอาการคงหนีไม่พ้นเรื่องเมื่อบ่ายนี้แน่ๆ

“ไม่มีครับ แค่ไม่ได้นอนที่ห้องนานแล้วก็เท่านั้น”

“อย่างนั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน” อาการแบบนั้นของจาณีน ทำให้ศมนอยากดัดนิสัยเจ้าตัว ที่เขาไม่พูดไม่อธิบายอะไร เพราะอยากให้จาณีนอยากที่เป็นฝ่ายถามเขามากกว่านี้ ไม่ใช่เอาแต่คอยคิดและตัดสินใจเองเพียงลำพัง เขานะที่กำลังถูกกล่าวหาอะไรผิดๆ

“ฝันดีครับ คุณศมน”

“ฝันดี เด็กดื้อ” ชายหนุ่มตอบกลับโดยหันหลังให้อีกฝ่าย ริมฝีปากยกยิ้ม พลางนึกถึงคำพูดของวิมาลาหลังจากที่กตพลและจาณีนกลับไปแล้ว

‘ตั้งใจไม่อธิบายอะไรแบบนี้ อยากให้น้องจาเข้าใจพี่ผิดหรือไงคะ เชื่อเถอะ เด็กคนนั้นต้องคิดมากแน่ๆ’

‘จาจะต้องเชื่อใจและกล้าถามพี่มากกว่านี้ ถ้าพี่ไม่สอนเขาบ้าง เขาก็จะยิ่งไม่รู้ใจตัวเอง’


แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fifth Drop -- 28 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 28-04-2017 23:44:11
จงพูดในวันที่มีโอกาส  หากเรื่องราวมันไปไกลเกินไป ทุกอย่างไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม....ถ้ารักกันจริงก็ต้องแคร์กันหรือเปล่า  จำเป็นด้วยเหรอต้องทำให้เข้าใจผิด แล้วต้องมาถาม   :seng2ped:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fifth Drop -- 28 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-06-2017 22:05:00
Sixth Drop

ล่วงเลยเข้าเช้าวันใหม่แล้ว แต่จาณีนก็ยังนอนไม่หลับ ความเครียดที่เข้ามาปกคลุมภายในจิตใจของเขายังไม่จางหายไป เด็กหนุ่มคิดไม่ตกจะทำอย่างไรกับปัญหานี้ดี หรือเขาจะเข้าไปถามศมนตรงๆ เลยจะดีมั้ย แล้วถ้าหากมันจริงอย่างที่เขาคิดล่ะ เขาจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะสิ่งที่เป็นอยู่อย่างนี้มันไม่สมควร เด็กคนนั้นไม่ควรจะต้องเติบโตมาเจอกับครอบครัวที่เป็นแบบนี้ และกว่าเจ้าตัวจะข่มตาหลับได้ก็เกือบรุ่งเช้าแล้วนั้นแหละ

            “เป็นอะไรไป หน้ามุ่ยเชียว ตาโรยๆ นอนไม่พอเหรอ” ศมนเอ่ยถามขึ้นบนโต๊ะอาหาร อาหารที่อยู่บนโต๊ะเป็นมื้อเช้าง่ายๆ อย่างไส้กรอก ขนมปัง และไข่ดาวที่ศมนทำเตรียมให้

            “เปล่าครับ” จาณีนเงยหน้ามามองอีกฝ่าย ตอบเสร็จก็ก้มหน้าจดจ่อกับอาหารตรงหน้าต่อ

            “อย่าหลอกฉันเลย หน้าเธอแสดงชัดขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอยู่อีก”

            “ผมแค่กังวลเรื่องงานนิดหน่อย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ”

            “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ตามใจเธอแล้วกัน”

            “ผมเปล่า” จาณีนรีบค้านเสียงหลงเพราะอีกฝ่ายคงมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง

            “เปล่าก็เปล่า ช่างเถอะ รีบกินซะ”

            “ครับ” จาณีนสองจิตสองใจอยากจะพูดในสิ่งที่คิดแต่สุดท้ายก็เลือกรับคำเดียวสั้นๆ

            “เกือบลืมบอกไป สัปดาห์นี้ฉันต้องบินไปดูงานรีสอร์ทที่เชียงใหม่”

“ไปวันไหนครับ” จาณีนมีสีหน้าแปลกใจเพราะไม่คิดว่าศมนจะไปยาวทั้งสัปดาห์ ยิ่งภายในประเทศแล้วอย่างมากก็ไม่เกินสามวัน

“วันนี้”

“ทำไมกะทันหันครับ” จาณีนประหลาดใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะเป็นภายในวันนี้ โดยปกติศมนจะบอกอย่างช้าก็อย่างน้อยหนึ่งวัน

“งานด่วนน่ะ อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย”

“ได้สิครับ ผมโตแล้วนะครับ”

“ฉันรู้ว่าเธอโตแล้ว ช่วงที่ฉันไม่อยู่ก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ฉันต้องไปแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันเครื่อง” ชายหนุ่มองนาฬิกาที่ข้อมือ จริงๆ แล้ว ศมนไม่ได้มีงานด่วนที่จะต้องรีบบินอย่างที่เจ้าตัวบอกอีกฝ่าย แต่เมื่อแผนการได้ดำเนินมาแล้ว เขาจะต้องสานต่อให้มันสำเร็จให้ได้ ช่วงที่เขาไม่อยู่ เขาจะปล่อยให้จาณีนคิดไปเองคนเดียวก่อน

“เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“ขอบใจ...” ศมนลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่วางอยู่ข้างๆ โซฟา “ฉันไปล่ะ” เขาหันบอกคนที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตู

“เดี๋ยวครับ” จาณีนเรียกอีกฝ่ายทำให้ศมนต้องหยุดแล้วหันกลับมามองคนเรียก

“ว่าไง”

“คือ...คือผม..” จาณีนอึกอัก

“ว่าไง” ศมนเร่ง

“เอาไว้ทีหลังก็ได้ครับ คุณไปก่อนเถอะเดี๋ยวจะตกเครื่อง”

“กรจะอยู่กับเธอช่วงที่ฉันไม่อยู่ จะคอยไปรับไปส่งเธอที่ทำงาน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมขับรถไปเองได้”

“เธอดูไม่ค่อยสบายใจ เลยไม่อยากให้ขับรถเอง ฉันเป็นห่วง”

“ก็ได้ครับ คุณจะไปเชียงใหม่กับใครครับ คุณวิเหรอ คือ... ผมถามได้ใช่มั้ย” หลุดปากออกไปแล้วเด็กหนุ่มถึงมาคิดได้ว่า เขาสามารถถามอีกฝ่ายได้หรือไม่

“เธอถามฉันได้ทุกอย่างที่เธออยากรู้นะจาณีน ไม่ต้องกลัวฉันจะโกรธหรอก ฉันไปกับยัยวิ กานต์แล้วก็น้องไนท์” คำตอบที่ตรงประเด็นและชัดเจนของอีกฝ่าย ทำเอาจาณีนนิ่งงัน การที่ชายหนุ่มไปนานหลายวัน คงจะพาน้องไนท์และคุณวิไปพักผ่อนด้วยใช่มั้ย

ไม่เอาแบบนี้ จาณีน อย่าเห็นแก่ตัว นายอย่าอิจฉา อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ จาณีนก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ

“ฉันไปล่ะ” ศมนพูดอีกครั้งและยิ้มให้กับท่าทางยุ่งยากของจาณีน แต่เขาก็ไม่คิดอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ทิ้งให้จาณีนมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปด้วยความไม่สบายใจ

“คุณกรครับ” จาณีนถามพันธกร บอดี้การ์ดหนุ่ม ตอนที่นั่งอยู่บนเบาะหลังของรถที่ศมนซื้อให้เขา

“ว่าไงครับ” น้ำเสียงที่อารมณ์ดีของกรตอบ เขาเงยหน้ามองกระจกหลัง เพื่อสบตากับเด็กหนุ่ม

“ทำไมคุณกรไม่ไปกับคุณศมนล่ะครับ”

“เป็นคำสั่งของนาย ท่านสั่งว่าอย่างไรผมก็ทำตามนั้นครับ ไม่มีสิทธิ์ถาม มีอะไรหรือเปล่าครับ จะให้ผมเรียนถามท่านให้มั้ย”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมก็แค่แปลกใจ ปกติเห็นคุณกรไปกับคุณศมน”

“นายคงไม่อยากให้คุณอึดอัดใจ”

“อึดอัด” คำพูดของพันธกร ทำให้จาณีนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาได้ยินและเข้าใจนั้นจะถูกต้องมั้ย จึงทวนถามกลับไปอีกครั้ง

“ไม่มีอะไรครับ ผมก็พูดเรื่อยเปื่อย คุณจาไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”

“ครับ”

“สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดี ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“ช่วงนี้มีงานค่อนข้างเยอะ เลยนอนดึกไปหน่อยครับ” จาณีนจำต้องพูดโกหกออกไป เขาจะบอกเรื่องพวกนี้ให้คนรอบข้างของศมนฟังไม่ได้

“ลำบากหน่อยนะครับ ถ้าอย่างนั้นช่วงเย็นหลังเลิกงานแล้ว ไปบ้านคุณยายกันดีมั้ยครับ”

“ถ้าไม่รบกวนก็อยากไปครับ” แววตาของจาณีนดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

“ไม่รบกวนอะไรเลยครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว คุณจาอยากให้ผมทำอะไรก็บอกได้เลย ไม่ต้องเกรงใจครับ”

“ขอบคุณครับ”

เมื่อถึงที่ทำงาน จาณีนบอกขอบคุณบอดี้การ์ดหนุ่มที่มาส่ง พันธกรยิ้มให้และบอกเด็กหนุ่มว่าไม่ต้องเกรงใจเพราะเขายินดีทำอยู่แล้ว เลิกงานเมื่อไหร่เขาจะมารับจาณีนไปบ้านคุณยาย นัดแนะเวลากันเสร็จสรรพ จาณีนก็ขอตัวเดินออกมา เด็กหนุ่มเริ่มทำงานพยายามดึงสติให้อยู่กับตัวเองมากที่สุด เมื่อวานเขาแทบไม่ได้ทำงาน เลยรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“น้องจา ยุ่งอยู่มั้ยครับ” เสียงเรียกดังขึ้นเหนือศีรษะ จาณีนเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเป็นไตรภัทร

“นิดหน่อยครับ พี่ไตรมีอะไรหรือเปล่า”

“ก็ไม่เชิง เย็นนี้มีนัดไปไหนแล้วหรือยัง”

“วันนี้ผมมีธุระจะไปบ้านญาติ”

“เสียดายจัง” เมื่อได้ยินคำตอบ น้ำเสียงของไตรภัทรดูเศร้าขึ้นมาทันที

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“พี่อยากชวนน้องจาไปทานข้าวด้วยกัน”

“อ่อ...งั้นเหรอครับ”

“แต่ไว้วันหลังก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ” ไตรภัทรพูดจบก็หมุนตัวทำท่าจะเดินออกจากที่ตรงนี้

“เดี๋ยวครับ” ไม่รู้อะไรดลใจให้จาณีนส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายเอาไว้แบบนั้น

“ครับ” รอยยิ้มกว้างของไตรภัทรหันกลับมาถาม

“ถ้าหากพี่ยังไม่เปลี่ยนใจ ผมก็อยากไปกินข้าวกับพี่” จาณีนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“ยังๆ พี่ยังไม่เปลี่ยนใจ”

“จะไปกี่โมงครับ”

“หลังเลิกงานครับ เดี๋ยวพี่มารับที่โต๊ะนะ”

“ครับ”

“แล้วเจอกัน” ไตรภัทรบอกลาไปพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผิดกับจาณีนตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำแบบนั้นไปทำไมด้วยซ้ำ

“ไอ้จา เอ็งไปรับปากมันทำไม” กตพลที่นั่งเงียบอยู่มาตลอด เดินมาถามเด็กหนุ่มใกล้ๆ ด้วยเสียงไม่ดังนัก เพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วเอาไปนินทา

“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันพี่” จาณีนพูดตามความจริงเพราะเขาไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ารับคำชวนทำไม

“ไม่รู้ได้ยังไง เอ็งมีคนของเอ็งแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าอยากให้ไอ้ไตรมันโดนกระทืบกัน” เสียงกตพลไม่ได้แสดงออกว่าล้อเล่นเพราะเขาเองก็เป็นห่วงชีวิตของไตรภัทรอยู่เหมือนกัน ถึงเขาจะไม่รู้ว่าคนที่จาณีนมีความสัมพันธ์ด้วยนั้นเป็นใครแต่คนที่ให้บอดี้การ์ดคอยมารับมาส่งแบบนี้ ดูยังไง ก็ไม่ใช่เรื่องปกติของคนทั่วไปที่จะทำกัน

“ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงตอบตกลงแบบนั้น” หนุ่มรุ่นน้องยังยืนกราน

“ข้าล่ะไม่เข้าใจเอ็งเลย เอ็งมีปัญหาอะไรหรือเปล่าวะ ตั้งแต่เช้าละ ข้าเห็นเอ็งเอาแต่นั่งทำงานไม่พูดไม่จา กินข้าวก็นั่งเงียบ”

“จะว่ามีมันก็มีแหละพี่” จาณีนเอ่ยแผ่วเบาพร้อมถอนหายใจออกมา

“มีปัญหาอะไร หาทางออกได้หรือยัง แต่ท่าทางแบบนี้คงจะยัง” กตพลพูดเองเออเอง

“ใช่ครับ ผมยังแก้ปัญหาไม่ได้”

“เล่าให้ข้าฟังมั้ย เผื่อจะช่วยได้บ้าง หรือช่วยไม่ได้ก็ยังได้ระบาย ดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียว”

“ไม่เป็นไรพี่ ขอบคุณนะครับ” จาณีนบอกปัดความหวังดีของหัวหน้าเอาไว้ เขายังไม่พร้อมจะเล่าให้ใครฟัง

“อืม ถ้างั้นก็ทำงานต่อเถอะ” กตพลพูดจบก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ

ทางด้านของศมนหลังจากแกล้งอีกฝ่ายแล้วเขาก็ก้าวขึ้นรถยนต์คันประจำของเจ้าตัวโดยมีพันธกานต์แฝดผู้น้องเป็นคนเปิดประตูให้ ปกติแล้วเขามักจะเดินทางไปไหนมาไหนกับแฝดคนพี่เสียมากกว่าเพราะรู้ดีว่าแฝดคนน้องนั้นคิดอะไรกับตนเอง

แต่เป็นเพราะการไปเชียงใหม่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะต้องเสียเวลากี่วัน ชายหนุ่มเลยไม่อยากให้จาณีนต้องทนกับความไม่สบายใจที่เกิดจากพันธกานต์ เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปเหนือครั้งนี้กับคนน้อง

“นายครับ” ท่ามกลางความเงียบ พันธกานต์ก็เรียกผู้มีพระคุณของตนเองขึ้นมา

“ว่าไง” ศมนตอบทั้งที่ยังอ่านเอกสารสัญญาบางอย่างอยู่

“เมื่อสักครู่นี้ผมได้รับข่าวจากสายของเราว่า ท่านเจ้าสัวเลื่อนการเดินทางกลับกรุงเทพออกไปครับ” พันธกานต์รายงานข้อมูลที่ตนเพิ่งได้รับมาก่อนที่ศมนจะขึ้นรถ

“เมื่อไหร่” คำพูดของบอดี้การ์ดหนุ่มทำให้เขาต้องวางเอกสารในมือลง สมองกำลังใช้ความคิด

“พรุ่งนี้ ไฟลท์บ่ายครับ”

“พักผ่อนต่อ?” ศมนถาม

“ไม่ทราบครับ สายแจ้งว่าท่านให้คนติดตามเลื่อนการเช็คเอาท์ออกและเลื่อนตั๋วเครื่องบินครับ”

“อืม”

“เอายังไงต่อครับ” พันธกานต์เห็นว่าศมนเงียบไปครู่ใหญ่ จึงค่อยถามขึ้น

“โทรบอกวิมาลาว่าให้บินไปได้เลยไม่ต้องรอฉัน ส่วนฉันกับเธอค่อยบินพรุ่งนี้ไฟลท์เช้า”

“ครับ แล้วนายจะไปไหนครับ”

“บริษัท”

จาณีนยังคิดไม่ตก ปัญหาที่อยู่ในใจยังไม่ทันได้แก้ไข เขาเองก็สร้างปัญหาดึงคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพันเพิ่มอีก ทำตัวเองแท้ๆ ระหว่างที่ยังก่นด่าตัวเองอยู่นั่นเอง จาณีนก็ได้รับข้อความจากพันธกรว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะออกมารับ ทำให้จาณีนนึกขึ้นได้อีกเรื่องว่าเขานัดบอดี้การ์ดหนุ่มเอาไว้ด้วย จาณีนยกมือขึ้นมาขยี้เส้นผมของตัวเองด้วยความโมโหตัวเอง

สร้างแต่ปัญหานะ ไอ้จา!

‘ขอโทษนะครับคุณกร พอดีมียังติดงานด่วนต้องทำต่อ เดี๋ยวเพื่อนที่ทำงานจะไปส่งผมที่คอนโดเองครับ’

รออยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงข้อความมาอีกครั้ง

‘ครับ คุณจา หากมีอะไร โทรหาผมได้ตลอดเวลาครับ’

‘ขอบคุณครับ’ จาณีนพิมพ์ข้อความส่งไปอีกครั้งเป็นการปิดท้ายการสนทนา

“รอพี่นานมั้ยน้องจา” ความวัวยังไม่ทันหาย พี่ไตรก็โผล่เข้ามาทันทีที่เลิกงาน

“ยังไม่ทันเริ่มรอเลยครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้อีกฝ่าย

“ไปกันเลยมั้ย ติดอะไรหรือเปล่าครับ”

“เดี๋ยวผมขอเก็บของแปปนึงครับ”

“ได้ครับ ไม่ต้องรีบ”

“แหม พี่ไตร เช้าถึงเย็นถึงเลยนะคะคนนี้เนี่ย” ปรินเดินโฉบเข้ามาทัก ไตรภัทรที่ยืนเกาะอยู่ตรงหน้าโต๊ะของจาณีน

“แน่นอนน้องปริน คนนี้พี่จริงจัง”

“อุ้ย น่าอิจฉาน้องจาจริงๆ พี่ปรินก็อยากมีผู้ชายมาจีบบ้าง”

“น้อยๆ หน่อยไอ้ปริน ลูกผัวรออยู่ข้างล่างรีบลงไปเถอะ” กตพลแทรกขึ้นมา

“พี่พลอะ ก็แค่ทำให้หัวใจชุ่มชื่นขึ้นมาเอง แค่นี้ก็ไม่ได้”

“อย่าไปแซวไอ้จามันมากนัก ดูหน้ามันสิ ลำบากใจจะแย่อยู่แล้ว” กตพลบุ้ยหน้าไปทางจาณีน

“อ้าว ขอโทษนะน้องจา พี่ปรินก็แซวขำๆ ไม่ทันได้ระวังปาก” หญิงสาวหน้าเสียหันไปขอโทษขอโพย เด็กหนุ่มที่ยังนั่งนิ่งอยู่

“ไม่เป็นไรครับพี่ปริน ผมแค่ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่”

หญิงสาวยกนาฬิกาขึ้นมาดู “พี่ปรินขอตัวก่อนนะคะน้องจา ผู้ชายตัวจริงของพี่มารับแล้ว  ไปก่อนนะคะพี่ไตร พี่พล แล้วอย่าคิดมากนะน้องจา พี่พูดเล่นเฉยๆ” จาณีนยิ้มให้แสดงว่าไม่โกรธปริน เขาแค่ยังรับมือเรื่องนี้ไม่เก่งเท่านั้น

“น้องจาเก็บของเสร็จแล้วใช่มั้ยครับ ไปกันเลยมั้ย” ไตรภัทรถามจาณีนที่ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม

            “ครับ ผมกลับก่อนนะพี่พล” จาณีนตอบไตรภัทรเสร็จแล้วก็หันไปลาหัวหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ไตรภัทร

            “เออ ดูแลตัวเองดีๆ ถึงบ้านแล้วก็ส่งข้อความมาบอกข้าด้วย” กตพลกำชับจาณีน

            “อะไรวะไอ้พลพูดอย่างกับข้าจะพาน้องจาไปทำอะไรไม่ดีอย่างนั้นแหละ” ไตรภัทรโวยวาย

            “ใช่ ยิ่งไปกับเอ็ง ข้ายิ่งไม่ไว้ใจ”

            “โหย คนอย่างไตรภัทร เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์โว้ย”

            “หึ อย่าพูดอะไรที่มันไม่ใช่เอ็ง ไอ้ไตร ข้ารู้ทันเว้ย โกหกมันผิดศีล”

            “ข้าไม่คุยกับเอ็งแล้ว...ไปดีกว่า ไปกันเถอะครับน้องจา” ไตรภัทรตัดบทไม่อยากเถียงกับเพื่อนไม่รู้จบ

            “เออ ขับรถดีๆ แล้วไปส่งน้องข้าให้ถึงห้องด้วย อ้อ ห้องไอ้จานะไม่ใช่ห้องเอ็ง”

                 “เออออออ รับทราบครับ คุณกตพล พี่ชายดีเด่นแห่งปี” ประชดประชัดเสร็จ ไตรภัทรก็พาจาณีนออกมาจากบริษัท


“ชอบร้านนี้มั้ย” ไตรภัทรถามขึ้น หลังจากบริกรเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้เรียบร้อย

            “ก็สวยดีนะครับ” จาณีนมองไปรอบๆ ร้าน “แต่ผมไม่ค่อยได้มาร้านแบบนี้สักเท่าไหร่”

            “ที่นี่เป็นร้านประจำของพี่เลย พี่ก็อยากให้น้องจารู้จักที่นี่ด้วย”

            “อะ ครับ” บทสนทนาดูจะเงียบลง เพราะทั้งคู่เริ่มลงมือทานอาหารที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ จนเมื่อไตรภัทรยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มนั่นแหละ ทำให้เขานึกถึงอีกคนที่ชอบดื่มเหมือนกัน เลยทำให้จาณีนถามออกไป

            “พี่ไตรชอบดื่มไวน์เหรอครับ”

            “ก็ไม่เชิงหรอก จริงๆ แล้วพี่ก็ดื่มได้หมดแหละ แต่วันนี้อยากลองดื่มนี่ดู”

            “ทำไมครับ”

            “อืม ทำไมน่ะเหรอ” ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นพิศดู เขย่าน้ำสีแดงให้ไหลวนไปมาอยู่ภายในแก้ว “คงเป็นเพราะจาล่ะมั้ง”

            “เพราะผม” จาณีนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความมึนงงคำตอบเล็กน้อย

            “ไม่รู้เหมือนกัน จาลองคิดคำตอบให้พี่หน่อยสิ”

            “ไม่เอาหรอกครับ ผมเป็นคนถามพี่เองแท้ๆ”

            “จา...” แววตาคนถามจริงจัง ไม่บอกก็รู้ว่าไตรภัทรอยากจะสื่ออะไร

            “ครับ”

            “พี่ว่าจาเองคงพอจะรู้ว่าพี่ชวนจามาทำไม ใช่มั้ย”

            “คิดว่าพอทราบครับ”

            “เตรียมคำตอบให้พี่ไว้หรือยังครับ”

            “ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย”

            “เป็นแฟนพี่นะครับ”

            “เอ่อ...ผม... ผม...” จาณีนตอบไม่ถูก ไตรภัทรตรงเข้าคำถามเร็วเหลือเกิน เด็กหนุ่มตั้งรับไม่ทัน เขารู้ว่าควรต้องปฏิเสธอีกฝ่ายไป แต่คำพูดนั้นเป็นคำที่เขาอยากได้ยินจากอีกคนที่อยู่เชียงใหม่ ไม่ใช่กับไตรภัทร

“พี่จะถือว่าที่ไม่ปฏิเสธพี่คือจาตกลงแล้วนะครับ”

“อะไร อะไรนะครับ” มัวแต่ใจลอย จนท้วงไม่ทัน

“เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ” มือของไตรภัทรเอื้อมมาเกาะกุมมือของจาณีนที่วางอยู่บนโต๊ะ ด้วยความตกใจเรื่องที่ได้ยิน เขาเลยไม่ทันระวังตัวดึงมือออกมา

“ไม่..ไม่ครับ ผมขอโทษ”

“หืม ทำไมครับ พี่จริงจังกับน้องจานะ”

“ผมรู้ครับ แต่อย่าเลย ผมเป็นแฟนกับพี่ไม่ได้หรอก”

“น้องจามีแฟนแล้วหรือครับ”

“เปล่าครับ ผมยังไม่มีแฟน คิดว่าไม่มีครับ” คำตอบเสียงเบาหวิว แต่กลับเจ็บอยู่ภายในทั้งที่เป็นคนพูดเอง ใช่แล้ว เพราะเขากับศมนไม่สถานะระหว่างกัน เขาเลยไม่รู้จะบอกอีกฝ่ายไปว่าอย่างไรดี

“น้องจาขี้เล่นเหมือนกันนะ ตกลงว่ายังไม่มีแฟนใช่มั้ยครับ”

“ยังครับ”

“งั้นเราก็เป็นแฟนกันได้ใช่มั้ยครับ”

“ขอบคุณครับพี่ไตร แต่.. แต่ว่าผมไม่ได้ชอบพี่”

“พี่รู้ว่าจาไม่ได้ชอบพี่ แต่แค่เปิดใจและเปิดโอกาสให้พี่ได้มั้ยครับ” มือที่เกาะกุมบีบแน่นขึ้นเหมือนขอความเห็นใจ ทำให้จาณีนลำบากใจเหลือเกินที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายได้ทันที

“ผ...ผมมีคนที่คุยอยู่ด้วยแล้วครับพี่ไตร”

“ไม่เป็นไรครับ แค่รับพี่ไปพิจารณาด้วยอีกคนก็พอแล้ว”

“ไม่ดีหรอกครับ แล้วผมก็เป็นแฟนพี่ไม่ได้จริงๆ” ในที่สุดก็พูดออกไปได้เสียที

“พี่ทำอะไรไม่ถูกใจจาหรือเปล่า พี่ยินดีปรับปรุงตัวเองนะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น  พี่ไตรเป็นคนดีครับ แต่ผมไม่อยากให้พี่มีปัญหาภายหลัง”

“พี่น่ะนะ เห็นจาเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่วันแรก คอยมองจามาตลอด เพราะฉะนั้นพี่จะไม่ยอมแพ้เรื่องของจาง่ายหรอกๆ นะครับ”

“ผม...”

“นะครับ ขอแค่เปิดโอกาสให้พี่บ้าง” ไตรภัทรเร่งเร้าอีกฝ่ายอย่างหนัก

“เอ่อ...”

“นะครับ” น้ำเสียงวอนขอความเห็นใจ ซ้ำยังส่งสายตามาแบบนั้นแล้วเขาจะปฏิเสธได้ยังไง

“ก็ได้ครับ” นี่เขากำลังทำผิดอีกแล้วใช่มั้ย จาณีน

“ขอบคุณนะครับ น้องจา พี่จะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อน้องจาครับ”

.

.

“ขอบคุณที่มาส่งครับพี่ไตร” จาณีนปลดเข็มขัดนิรภัยออกเมื่อเห็นว่ารถยนต์ของไตรภัทรจอดนิ่งสนิทที่หน้าประตูของคอนโดตัวเองเรียบร้อยแล้ว

“อืม ดูท่าทางที่นี่จะราคาแพงเอาเรื่องเลยแฮะ” ไตรภัทรมองคอนโดแห่งนี้ก็รับรู้ได้ถึงความหรูหราโอ่อ่าของมัน

“ผมไม่ทราบครับ”

“ฐานะที่บ้านน้องจาคงเป็นอย่างที่ปรินเคยเล่าให้ฟังจริงๆ ด้วยสินะ”

“คือผมไม่...” จาณีนเตรียมจะปฏิเสธอีกฝ่าย เพราะมันไม่ใช่ของเขา

“แต่พี่จะไม่ยอมแพ้ จะดูแลน้องจาให้มีความสุขให้ได้นะครับ” ชายหนุ่มพูดแทรกจาณีนขึ้นมาก่อน

“ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณที่มาส่งอีกครั้งครับ” ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เด็กหนุ่มเลยเลือกตัดบท จาณีนยกมือไหว้ลาอีกฝ่ายเสร็จแล้วเตรียมจะเปิดประตูลงไปก็ถูกคนมาส่งคว้ามือข้างที่ว่างเอาไว้เสียก่อน

“ครับ?” จาณีนมองไปที่มือของตนที่ถูกอีกฝ่ายจับไว้ แต่ก็ไม่ได้ชักมือกลับ

“เรื่องที่พูดกับจาวันนี้ พี่พูดจากใจนะครับ”

“ครับ ผมรู้”

“พี่อยากเป็นคนรักของจา พี่รักจานะครับ”

“ขอบคุณครับพี่ไตร ที่รักผม” คำนี้เป็นอีกคำที่เขาอยากได้ยินจากใครบางคน แต่เขากลับได้ยินจากปากของไตรภัทร ไม่น่าเชื่อว่าไตรภัทรจะพูดคำที่เขาอยากได้ยินมาทั้งหมด

ใบหน้าก้มต่ำลงของไตรภัทรค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาเด็กหนุ่ม ทั้งที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่จาณีนอยากเห็นแก่ตัวคิดว่าคนตรงหน้าเป็นศมนได้หรือเปล่า ทั้งคำพูดที่ได้ยินวันนี้ก็มาจากปากของศมนได้หรือเปล่า จาณีนหลับตาลงเตรียมรับรสสัมผัสจากอีกฝ่าย

ไตรภัทรจูบริมฝีปากของเด็กหนุ่มเบาๆ เหมือนขออนุญาต เมื่อเห็นว่าจาณีนไม่ได้ขัดขืนหรือผลักไสตนเอง เขาจึงมั่นใจ เดินหน้าต่อ ลิ้นที่เคล้ารสชาติของไวน์แดงค่อยๆ เลียแผ่วเบาบนริมฝีปากอีกฝ่าย จาณีนเผยอปากให้ลิ้นอุ่นสอดใส่เข้ามา ไตรภัทรดูดชิมความหวานนั้นเอาไว้ ไม่นึกว่าเขาจะได้ใกล้ชิดจาณีนได้มากขนาดนี้

“พะ...พอแล้วครับ” เสียงของอีกฝ่ายเล็ดรอดออกมา ทำให้ไตรภัทรจำต้องผละออกจากอีกฝ่าย ถึงจะเสียดายแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะฝืนใจ

“โกรธพี่หรือเปล่า”

“เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธ”

“พี่รักจานะ” ตอกย้ำความจริงใจให้ได้ยิน จาณีนยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วขอตัวลงจากรถในที่สุด

จาณีนยืนรอส่งอีกฝ่าย จนกระทั่งไตรภัทรเคลื่อนรถออกไป เขาจึงหันกลับเข้าไปใน ตั้งใจจะรีบอาบน้ำ โทรหาคุณศมน วันนี้ทั้งวัน เขายังไม่ได้โทรศัพท์หรือข้อความจากคนอยู่ไกลเลย เมื่อนึกถึงก็มีรอยยิ้มติดอยู่ที่ปาก แต่เมื่อหันกลับไป รอยยิ้มนั้นก็ชะงักงัน

“คุณศมน...” เรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ความผิดแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่อก รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป

“เพิ่งกลับเหรอ” สายตาแน่นิ่งเหมือนเคยจ้องมองเด็กหนุ่ม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ครับ คือผม...” คุณศมนไม่ได้เห็นใช่มั้ย จาณีนพยายามคิดหนทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้

“ขึ้นห้องเถอะ” ศมนดุนหลังอีกฝ่ายให้เดินไปที่ลิฟท์

“แล้วคุณศมนมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ” เขาแปลกใจเพราะตอนนี้ศมนควรจะอยู่ที่เชียงใหม่ไม่ใช่เหรอ

“กรบอกว่าเธอมีธุระด่วนต้องทำต่อ ฉันเป็นห่วงแต่ไม่อยากโทรไปรบกวนกลัวว่าเธอจะทำงานอยู่ เลยมานั่งรออยู่แถวนี้”

            “คือผม...” จาณีนอยากจะพูดอธิบายเรื่องเมื่อสักครู่นี้

            “กินอะไรมาหรือยัง” แต่ไม่ทันได้เริ่มศมนก็ถามถึงเรื่องอื่น

            “เรียบร้อยมาแล้วครับ”

            “ก็ดี ไปอาบน้ำเถอะ” ศมนเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วทิ้งท้ายคำพูดไว้แบบนั้น จาณีนเลยรีบอาบน้ำแปรงฟัน ถึงแม้มันจะลบความรู้สึกและรอยสัมผัสของไตรภัทรไม่ได้ แต่เขาก็อยากทำเท่าที่ทำได้ในตอนนี้

            จาณีนกำลังหักหลังความไว้ใจของศมน เขาจะต้องบอกหรือทำตัวอย่างไรกับอีกฝ่ายดี ตอนที่จูบกับไตรภัทรเขาไม่ได้คิดว่าคนตรงหน้าเป็นไตรภัทรแต่เป็นศมน พูดออกไปแบบนี้ศมนจะเชื่อมั้ย หรือจะมองว่าเป็นข้ออ้างข้อหนึ่ง แล้วถ้าเป็นเขาล่ะ ถ้าหากศมนพูดแบบนี้เขาจะเชื่อศมนได้อย่างสนิทใจมั้ย

            กลับออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็เห็นศมนกำลังอ่านเอกสารบางอย่างในมืออยู่ที่โซฟา ในมือมีแก้วไวน์บรรจุน้ำสีแดงอยู่ในนั้น ส่วนบนโต๊ะก็มีแฟ้มเอกสารสองสามแฟ้ม ข้างๆ กันคือขวดไวน์ที่ตั้งอยู่ จาณีนทำใจกล้า สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย

            “ทำงานอยู่เหรอครับ”

            “อืม งานด่วนน่ะ” ทำไมนะ ทำไมจาณีนถึงรู้สึกว่างานด่วนมันมีนัยยะแปลกๆ

            “ไหนคุณว่าจะไปเชียงใหม่ไงครับ”

            “ใช่ ทีแรกตั้งใจแบบนั้น แต่มีปัญหานิดหน่อย ฉันเลยเลื่อนไฟลท์เป็นพรุ่งนี้เช้า”

            “ให้ผมไปส่งที่สนามบินมั้ยครับ” เขาเสนอตัวเพื่อเอาใจอีกฝ่าย

            “ไม่ต้องหรอก เพราะฉันเลื่อนมาเป็นไฟล์ทแรก มันยังเช้าอยู่มาก เธอนอนพักผ่อนจะดีกว่า ช่วงนี้นอนดึกไม่ใช่เหรอ” คำพูดเหมือนเดิมทุกทีแต่ทำไมครั้งนี้กลับฟังแล้วรู้สึกผิด นี่แหละนะที่เขาว่าวัวสันหลังหวะ ไม่ว่าศมนจะพูดแบบไหนก็คิดว่าเหมือนศมนรู้เรื่องที่เขาทำผิดทุกอย่าง

            “ก็ได้ครับ แล้วคุณจะเข้านอนหรือยังครับ ผมรอนะ”

            “เธอไปนอนก่อนเถอะ ฉันขอทำงานต่ออีกหน่อย” ฟังมาถึงตรงนี้ จาณีนคิดว่ามันแปลกไปจริงๆ ปกติแล้วศมนมักไม่ทำงานถ้าอยู่ที่บ้าน เขาคิดว่าเขาควรเลิกหลอกตัวเองที่คิดว่าศมนไม่รู้ไม่เห็นเรื่องข้างล่างนี่เสียทีเถอะ

            “คุณศมนครับ...”

            “หืม ว่าไง” เสียงทุ้มตอบโดยไม่เงยหน้าจากเอกสารในมือ

            “คุณโกรธผมใช่มั้ยครับ” คำพูดนั้น ทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา มือทั้งสองข้างวางทั้งเอกสารและแก้วไวน์ลงบนโต๊ะทันที แล้วหันมาสบตากับจาณีน

            “ฉันควรจะโกรธหรือเปล่า” นั่นสิ ถ้าหากเป็นจาณีน เขาควรจะโกรธมั้ย

            “ผมไม่ได้ตั้งใจ”

            “เธอจะตั้งใจหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่เธอย่อมรู้อยู่แก่ใจ” คำพูดง่ายๆ แต่มันแทงใจดำเด็กหนุ่มเสียเหลือเกิน

            “ผมขอโทษ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะครับ”

            “จาณีน เธอรู้เหรอว่าตอนนี้ฉันคิดอะไรอยู่”

            “ผมไม่ทราบครับ แต่ผมคิดว่าคุณ...” จาณีนอยากอธิบาย แต่ดูเหมือนศมนยังไม่อยากฟังเขาในตอนนี้

            “รอฉันกลับมาจากเชียงใหม่แล้วเราคุยเรื่องนี้ต่อแล้วกัน ตอนนี้ฉันอยากทำงานต่อ” เสียงทุ้มแต่แฝงด้วยความแข็งกร้าวเอาไว้ว่านี่คือคำสั่ง ทำให้จาณีนได้แต่รับคำแล้วเดินคอตกเข้าห้องนอนไป

หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fifth Drop -- 28 Apr 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 05-06-2017 22:05:28



   

คืนนี้เป็นอีกคืนที่เขาเข้านอนที่ห้องนอนของตัวเอง ไม่กล้าไปนอนห้องอีกฝ่ายเพราะกลัวถูกไล่ออกมา คิดหาทางออกและคำอธิบายจนเหนื่อยจึงหลับไปใกล้รุ่งสาง ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เจอศมน คาดว่าเจ้าตัวคงอยู่บนเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว พันธกรขับรถไปส่งเด็กหนุ่มเหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้อาการของเด็กหนุ่มยิ่งดูหนักกว่าเดิม

            “เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณจา วันนี้คุณดูเหนื่อยกว่าเมื่อวานอีกนะครับ”

            จาณีนที่มองออกไปนอกกระจก เมื่อได้ยินเสียงจึงหันไปมองพันธกรที่ถาม “ผมทำให้คุณศมนโกรธมาครับ”

            “ขอโทษนายหรือยังครับ นายให้อภัยคุณจาได้เสมอ”

            “เรื่องนี้อาจจะยากเกินกว่าที่จะยกโทษให้ผมก็ได้”

            “คุณจาทำอะไรให้นายโกรธเหรอครับ เล่าให้ผมฟังมั้ย เผื่อพอจะช่วยได้”

            “ขอบคุณครับคุณกร แต่ไม่มีใครช่วยผมได้หรอกครับ” พูดแล้วก็ก้มหน้าคอตก จนเมื่อถึงที่หมายก็กล่าวขอบคุณบอดี้การ์ดหนุ่มที่มาส่งเหมือนทุกครั้งแล้วลงจากรถไป

            “ไอ้จา เป็นอะไร เมื่อวานไม่เห็นส่งข้อความมาบอกข้าเลย ดีนะไอ้ไตรมันโทรมาหาข้าว่าส่งเอ็งถึงบ้านแล้ว น้ำเสียงดูมีความสุขมาก เอ็งไปทำอะไรกับมันวะไอ้จา”

“ขอโทษครับพี่พล เมื่อวานงานเข้า ผมเลยไม่ได้ส่งข้อความไป”
“งานเข้าอะไรวะ เอ็งทำอะไร”

“พี่ว่างจะฟังผมมั้ย” เขาคงต้องหาใครรับฟังสักคน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องอกแตกตาย หัวสมองระเบิดแน่ๆ

“เข้าไปรอข้าในห้องประชุมหนึ่ง ไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน เดี๋ยวข้าไปชงกาแฟก่อน”

จาณีนวางของไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินคอตก ไหล่งองุ้ม ตรงไปยังห้องประชมตามคำพูดของกตพล เขานั่งรออยู่ไม่นาน กตพลก็กลับเข้ามาพร้อมแก้วสองใบในมือ แก้วแรกเป็นกาแฟของกตพล ส่วนอีกแก้วเป็นโกโก้เย็นของเขาเอง จาณีนเอ่ยขอบคุณพร้อมรับแก้วใบนั้นมา

“พร้อมมั้ย” คำถามสั้นๆ ถามออกมาจากปากของกตพล เด็กหนุ่มสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แล้วก็เริ่มเล่าปัญหาของเขาให้กตพลฟัง

“ผู้ชายคนนั้น หรือเสี่ยที่ผมเคยพูดเล่นกับพี่ คนๆ นั้นคือคุณศมน” จาณีนพูดออกมาตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป

“หมายความว่าเอ็งกับคุณศมน อำข้าใช่มั้ย” เมื่อกตพลฟังเรื่องจนจบแล้ว เขาถึงเริ่มเป็นฝ่ายถามบ้าง

“เรื่องจริงครับ” จาณีนยกโกโก้เย็นขึ้นดื่มแล้วถึงตอบคำถาม

“โอย เหลือเชื่อเลย งั้นที่คุณศมนจ้างบริษัทเราทำงานก็เพราะเอ็ง”

“ใช่ครับ ก็อาจจะแค่ส่วนหนึ่งมั้งครับ เขาค่อนข้างจริงจังเรื่องงาน ถ้าบริษัทเราไม่เหมาะ ต่อให้มีผมกี่คน ยังไงคุณศมนคงไม่จ้าง”

“ขอทวนก่อนนะ ตอนนี้ปัญหาของเอ็งมีสองเรื่องคือไม่รู้จะตัดสินใจยังไง เพราะเอ็งไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณศมนเขามีลูกมีเมียแล้ว กับอีกเรื่องที่คุณศมนเห็นเอ็งจูบกับไอ้ไตร”

“ครับ”

“เอาเรื่องไหนก่อนดี ปัญหาเยอะจริงๆ นะไอ้จา เอาเรื่องลูกเมียเขาก่อนมั้ย”

“ครับ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่า น้องไนท์กับคุณวิ ใช่ลูกเมียของเขาจริงหรือเปล่า”

“บ๊ะ! อะไรของเอ็ง แล้วทำไมไม่ถามวะ”

“คือมันพูดยากไงพี่ ความสัมพันธ์ของผมกับเขา มันไม่ปกติ ผมกับเขาเป็นอะไรกัน ผมยังไม่รู้เลย แล้วผมจะกล้าถามเขาได้ยังไง ถ้าถามไปแล้วเขาไม่พอใจล่ะ ถ้าเขาไล่ผมล่ะ ผมอยู่ไม่ได้หรอกพี่พล ผมยังไม่ได้เตรียมใจเลย”

“เอ็งนี่น้า แล้วยังไปสร้างเรื่องเพิ่มอีก” กตพลเกาหัวแกร่กๆ ให้กับปัญหาที่รุ่นน้องเพิ่มขึ้นมา

“เรื่องพี่ไตร ผมขอโทษ ผมเครียด ผมไม่รู้จะทำยังไง พอพี่ไตรมาชวนผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเลยตอบตกลงไป จนเลยเถิดไปแบบนั้น”

“จะสับสนหรือเครียดก็อย่าดึงคนอื่นเข้ามาให้เป็นปัญหา” กตพลสอนรุ่นน้อง

“ผมขอโทษครับ”

“เอาเถอะ เรื่องมาถึงขนาดนี้ ยังไงก็กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว คงต้องแก้ไขจากสิ่งที่ทำไปแล้วเนี่ยแหละ” กตพลถอนหายใจกลับเรื่องยุ่งพวกนี้

“ครับ”

“ข้าเชื่อว่าเอ็งมีคำตอบทุกอย่างอยู่ในใจหมดแล้ว แต่ติดที่ยังสับสนและเอาเรื่องนั้นเรื่องมาคิดผสมกันไป ข้าจะช่วยพูดเป็นเรื่องๆ ไปก็แล้วกัน เรื่องแรกนะ เรื่องคุณศมน ยังไงเอ็งก็ต้องถามเขา ถ้าไม่ถามเอ็งก็จะไม่รู้คำตอบต่อไปอยู่แบบนี้แล้วก็คิดเองเออเองอยู่นั่นแหละ”

“แล้วถ้าเขาโกรธล่ะพี่” จาณีนถามหัวหน้าด้วยความร้อนรน เขากำลังวิตกกังวลไปเสียทุกอย่าง

“ตอนนี้เขาก็โกรธอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เอ็งอาจจะกระเด็นออกมาเพราะเรื่องที่ทำตัวเอง ยังไงแล้ว เรื่องที่จะถามน่ะมันก็เล็กน้อยมาก ถ้าโดนโกรธอีกสักกระทงคงไม่เป็นไรหรอก”

“ครับ ก็จริง”

“เอาตัวเองให้รอดก่อน ท่องไว้ แล้วสมมุตินะ ถ้าหากว่าเด็กคนนั้น น้องไนท์ ชื่อไนท์ ใช่มั้ย” จาณีนพยักหน้าว่าถูกต้อง กตพลเลยพูดต่อ “สมมุติว่าถ้าเป็นลูกจริง ก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีเลย เอ็งต้องดูความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วย ทั้งคุณเลขาด้วย ว่าพวกเขาเป็นยังไง อาจจะเลิกกันแล้วก็ได้ จริงมั้ย เอ็งก็บอกเองว่าคุณเลขาเขามาคุยกับเอ็งอย่างสนิทสนม” กตพลร่ายยาว

“ครับ”

“ข้าถึงบอกว่าเอ็งต้องถามเขาให้ชัดเจน อย่าคิดไปเอง”

“ครับ”

“แต่ถ้าเขาไม่ใช่พ่อลูกกัน เอ็งก็ไม่ต้องคิดอะไรต่อ จากความรู้สึกของข้านะ ข้าว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรกันหรอกว่ะ หน้าเหมือนกันก็จริงแต่มันต้องมีสาเหตุอะไรบางอย่างแน่ๆ”

“พี่รู้ได้ไง”

“พูดอยู่หยกๆ ว่า จากความรู้สึกของข้าและอีกอย่างคุณศมน เขาก็บอกเอ็งไม่ใช่เหรอว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน” กตพลขัดใจกับคำถามของรุ่นน้อง อดไม่ได้เลยต้องชะโงกหน้าไปดีดหน้าผาก เด็กหนุ่มลูบหน้าผากป้อยๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บ

“ชื่อคุณศมนแปลว่ากลางคืน แล้วไนท์ก็แปลว่ากลางคืนเหมือนกัน”

“คิดไปเองแล้วได้อะไรวะ เรียนสายวิทย์มาจริงมั้ยเนี่ย”

“เกี่ยวอะไรครับ”

“วิทยาศาสตร์มันต้องได้รับการพิสูจน์เว้ย เอ็งจะตั้งสมมุติฐานแบบไหนก็ได้ แต่เอ็งต้องพิสูจน์ ไม่ใช่โมเมคิดเองแล้วก็เก็บมาคิดมาก แบบนี้มันไม่ใช่”

“ก็ถูกของพี่” คำแนะนำของกตพลไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ทำไมเขาถึงคิดออกมาเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ไม่ได้กัน คิดแล้วก็น่าอายที่ต้องลำบากให้หัวหน้ามารับฟังปัญหาแบบนี้

“มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก เหมือนฝุ่นเข้าตา บางทีก็ต้องให้คนอื่นเขี่ยให้” กตพลพูดราวกับอ่านใจของจาณีนออก ไม่ใช่ว่ากตพลมีญาณทิพย์อะไร เขาเองก็เคยมีปัญหา ที่แก้เองไม่ได้เหมือนกัน จนได้คำแนะนำจากคนรอบข้าง

“ขอบคุณครับ”

“ส่วนอีกเรื่อง อันนี้คงช่วยยาก เพราะมันเป็นเรื่องของความไว้ใจและเชื่อใจ เอ็งกับเขาอยู่ด้วยกัน ต่อให้ไม่มีสถานะอะไรให้กัน แต่มันก็เหมือนคนที่อยู่ด้วยกัน ที่เอ็งทำก็เหมือนทรยศความไว้ใจคุณศมนเขา ถ้าเขาจะโกรธเอ็งมาก มันก็ไม่แปลก”

“พี่พูดตรงซะผมเจ็บเลย”

“ก็พูดไปตามความจริงนั่นแหละ แค่เอ็งเห็นเขาอยู่กับน้องไนท์ ทั้งที่เขากลับมานอนที่บ้านทุกวัน เอ็งยังระแวงเขาเลย ไม่ใช่หรือไง”

“ครับ”

“เคยคิดบ้างมั้ยบางอย่างบางเรื่องความไม่ชัดเจน มันก็คือความชัดเจนนั่นแหละ เอ็งอาจจะบอกว่าไม่รู้ว่าตอนนี้มีสถานะอะไรกับคุณศมน แต่ถามจริงๆ เถอะ การกระทำของเขามันไม่ชัดเจนเหรอหรือเขาทำอะไรให้เอ็งคิดว่า เขาจะอยู่กับเอ็งเล่นๆ รอวันที่จะทิ้งเอ็ง”

“ไม่เลยครับ คุณศมนเคยพูดว่าความสัมพันธ์มันอาจจะจบไปแต่ไม่ใช่จากเขาแน่นอน” จาณีนจำได้มีแต่ศมนที่บอกว่าเขานั่นแหละที่จะเป็นคนเดินจากไปเอง

“นั่นไงล่ะ เท่าที่มันไม่ชัดเจนอีกเหรอ อีกอย่างข้าถามตรงๆ เอ็งรักเขามั้ย”

“ครับ?”

“ข้าถามว่าเอ็งรักเขามั้ย รักคุณศมนมั้ย ตั้งใจฟัง อย่าให้พูดซ้ำนักดิวะ”

“ครับ ขอโทษครับ พี่เคยถามผมแล้วนี่”

“เออ ข้าอยากถามซ้ำอีก ตอบมาสิ”

“ตอนนั้นผมบอกพี่ว่า ก็คงรัก แต่พอเจอเหตุการณ์เมื่อวานกับเรื่องน้องไนท์ ผมเลยรู้ว่าผมรักเขา รักเขามาก รักจนไม่รู้ว่าถ้าไม่มีเขาผมจะอยู่ยังไง” น้ำเสียงเขาสั่นในตอนท้าย เมื่อต้องนึกถึงการใช้ชีวิตต่อโดยไม่มีอีกฝ่าย

“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งร้อง เข็มแข็งไว้ก่อน ไอ้จา ข้าปลอบคนไม่เก่งเว้ย”

“ขอโทษครับ”

“ในเมื่อเอ็งรักเขาจริง เอ็งต้องพิสูจน์ตัวเอง ทำทุกอย่างให้เขาเห็น”

“ยังไงครับ”

“ข้อแรก เอ็งต้องเคลียร์เรื่องไอ้ไตรให้ชัดเจน จะทิ้งไว้คาราคาซังแบบนี้ไม่ได้”

“เขายังจะสนใจอีกเหรอครับว่าผมจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”

“บ๊ะ!! เอ็งนี่ ถึงขนาดให้บอดี้การ์ดมารับส่ง เอ็งคิดว่าลูกน้องเขาจะไม่รายงานเจ้านายเรอะว่าเอ็งทำอะไร ไปไหนมาบ้าง เอ็งคิดว่ามันเป็นความบังเอิญหรือไงกันที่คุณศมน เขาลงไปนั่งรอเอ็งข้างล่าง”

“จริงของพี่” พอกตพลมาพูดให้ได้ยินชัดๆ แบบนี้ จาณีนก็นึกขึ้นได้ว่าถูกอย่างที่กตพลพูดเลย ศมนไม่ใช่คนที่ชอบอยู่ท่ามกลางสถานที่สาธารณะหรือความวุ่นวาย ยิ่งเป็นพื้นที่บริเวณล็อบบี้หน้าคอนโดด้วยแล้ว ไม่ใช่วิสัยของศมนเลยแม้แต่น้อย ทำไมเขาถึงดูไม่ออกกันนะ

“เขาจับตาดูผมอยู่เหรอ” จาณีนพึมพำ

“ท่าทีนิสัยเขาเป็นยังไงล่ะ ดูเป็นคนชอบตามชอบจับผิดหรือไง”

“เปล่าครับ ที่ให้คุณกรหรือคุณกานต์มาส่งผมก็เพราะเป็นห่วงผม”

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้หรอก มีแต่เอ็งกับคุณศมนเท่านั้นที่จะรู้ เรื่องนี้ลองคิดดู แต่เรื่องไอ้ไตรเอ็งต้องรีบจัดการ”

“ผมไม่อยากให้พี่ไตรเสียใจ”

“ไม่เสียใจตอนนี้แล้วให้เสียใจตอนไหน ถ้าเอ็งไม่คิดจะรักมัน ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนมันก็ต้องเสียใจทั้งนั้น เจ็บตอนนี้ดีกว่าเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้วยังต้องเจ็บ เพราะมันจะเจ็บมากกว่าเดิม”

“ครับ”

“ข้อสอง เอ็งคงต้องหน้าด้านหน้าทนเอาไว้ให้มาก ข้าไม่รู้จักคุณศมนเป็นการส่วนตัว แต่คุณศมนเวลาโกรธคงจะน่ากลัวอยู่ไม่น้อย” กตพลเดาจากลักษณะที่เคยเห็น

“ใช่ครับ น่ากลัว” จริงอย่างที่กตพลพูด ศมนนั้นไม่ค่อยโมโหหรือโกรธใครเท่าไหร่นัก แต่ถ้าลองได้โกรธแล้วล่ะก็ น่ากลัวมากๆ เหมือนกับเขาเพิ่งเจอมาเมื่อวานนั่นแหละ นัยน์ตาแข็ง แน่นิ่ง เหมือนกำลังเผาร่างเขาให้เป็นผุยผง

“นั่นแหละ เอ็งคงต้องลำบากหน่อย ทำทุกอย่างให้เขากลับมาเชื่อใจเอ็งอีกครั้งให้ได้ แต่จะทำยังไงนั้น ข้าบอกไม่ได้ เอ็งใกล้ชิดเขามากที่สุด คงพอจะรู้อยู่บ้างแหละมั้ง”

“ครับ”

“แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ ถ้าหากมันต้องเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว เอ็งต้องรับมือให้ได้ ทำใจให้ไว ล้มแล้วก็รีบลุก อย่าล้มนาน เข้าใจมั้ย”

“ครับ” จาณีนรับคำ แต่ในใจก็พลันคิดต่อไปว่าหากต้องออกมาจากชีวิตของศมน เขาจะอยู่ยังไง เพราะเขาไม่เคยนึกภาพตอนที่ไม่มีศมนอยู่ในหัวเลย คงเป็นสิ่งที่ยากที่สุดอย่างกตพลว่าไว้จริงๆ

“พยายามเข้าล่ะ

“ขอบคุณครับ”

“กลับไปทำงานได้แล้ว”

“ครับ”



===============================

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan


:mew1:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixth Drop -- 05 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-06-2017 23:54:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixth Drop -- 05 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 06-06-2017 01:33:07
ไม่ชอบคุณศมณอ่ะ ชอบลองใจ นิสัยไม่ดี อยากให้คนอื่พูดตรงๆ แต่ตัวเองกลับไม่พูด :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixth Drop -- 05 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: ijuney ที่ 06-06-2017 07:13:40
สนุกมากกชอบบบบ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixth Drop -- 05 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 06-06-2017 12:11:12
่รีบปรับความเข้าใจก่อนจะบานปลายนะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixth Drop -- 05 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 11-06-2017 21:54:28
Seventh Drop

         หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างเชื่องช้า จาณีนแทบจะนับวันรอการกลับมาของศมนเลยทีเดียว จริงๆ แล้วถ้าหากคุณวิมาลาไม่ได้ไปด้วย เขาคงจะต้องสติแตกแล้วจองตั๋วเครื่องบินตามอีกไปฝ่ายไปแน่ๆ แต่เพราะยังมีเรื่องคาราคาซังอยู่นั่นก็คือน้องไนท์ ทำให้จาณีนไม่กล้าหุนหันพลันแล่น

วันอาทิตย์ จาณีนจ้องมองนาฬิกาแทบจะทุกนาที เฝ้ารอแต่ละวินาที เขารู้มาจากพันธกรว่าชายหนุ่มน่าจะถึงกรุงเทพไม่น่าเกินสองทุ่ม แต่นี่จวนจะห้าทุ่มแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของศมน ตัวเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะโทรถามอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ทำได้แค่นั่งรออย่างกระวนกระวายใจอยู่นั่นเอง

เสียงประตูถูกเปิดออกเมื่อล่วงเข้าวันใหม่ไปไม่กี่นาที ศมนเดินเข้ามาภายในห้องพบกับร่างของเด็กหนุ่มที่นอนคู้ตัวหลับอยู่บนโซฟา เห็นแล้วก็อยากจะเอื้อมมือไปลูบผมนุ่มดำสนิทนั้น แต่ก็ต้องยั้งมือเอาไว้ เพราะเขายังจำภาพคืนวันนั้นได้ดี จาณีนยอมให้ผู้ชายคนหนึ่งจูบด้วยความเต็มใจ มันทำให้เขาเกือบจะล้มโดยไม่ทันตั้งตัว

วันนั้นช่วงเย็นเขาได้รับรายงานจากพันธกรว่าจาณีนติดธุระด่วน แล้วจะให้เพื่อนที่ทำงานมาส่ง ข้อความที่ได้ยินทำให้เขารู้สึกแปลกใจ จาณีนที่เขารู้จักจะพูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ถ้าบอกว่าเพื่อน เขาจะระบุว่าเป็นใครไม่เอ่ยลอยๆ กวาดไปกว้างๆ ไปแบบนี้ เขาสั่งให้กรสะกดรอยตามอีกฝ่ายไป พันธกรรายงานกลับมาจาณีนนั่งรถออกไปกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชายหนุ่มไม่รู้จัก ผู้ชายคนนั้นพาจาณีนของเขาไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดอะไรต่อกัน แต่ช่วงจังหวะหนึ่งที่ผู้ชายคนนั้นเอื้อมมือมาจับที่มือของจาณีนเอาไว้ เขาไม่กังขาหากชายหนุ่มคนนั้นจะหลงใหลในเสน่ห์ของจาณีน แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือจาณีนกลับไม่ดึงมือของตัวเองกลับมา ปล่อยให้อีกฝ่ายจับเอาไว้แบบนั้น

การเฝ้าดูของบอดี้การ์ดหนุ่มยังติดตามต่อไป ส่วนตัวเขาเองหลังจากที่ได้รับรายงานจากพันธกรในช่วงเย็น ก็รีบออกจากบริษัทแล้วกลับมาเดี๋ยวนั้นทันที โชคดีหรือโชคร้ายของเขาก็ไม่รู้ที่ทำให้เขาได้กลับมาทันเห็นภาพคนสองคนกำลังจูบกันพอดี เขาที่ไม่ทันตั้งตัว เกือบจะรับภาพนั้นเอาไว้ไม่ไหว

ศมนในตอนนั้นยอมรับว่าโกรธมาก โกรธทั้งผู้ชายคนนั้น และโกรธจาณีนมากที่สุด เขาได้แต่กำมือแน่น เมื่อเห็นว่าจาณีนไม่มีทีท่าขัดขืนการกระทำของผู้ชายคนนั้นเลย เขาต้องโชคดีรอบสองต่อใช่มั้ยที่ฟิล์มกระจกรถของชายคนนั้นไม่ได้หนามากจนมองเห็นอะไรได้ค่อนข้างชัดขนาดนี้

หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นขับรถออกไป จาณีนหันกลับมาเห็นเขาเข้า เจ้าตัวก็มีสีหน้าตกใจอย่างเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ แต่เขาไม่พร้อมจะคุยในตอนนี้ เขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย พยายามเก็บข่มอารมณ์ความโกรธเอาไว้ให้เย็นลงให้มากที่สุด เขาเองที่เป็นคนบอกอีกฝ่ายว่าหากจาณีนอยากจะไปเมื่อไหร่ให้บอกเขา เขายินดีที่จะให้ไป แต่ต้องไม่ใช่การหักหลังเขาแบบนี้

ในที่สุดเขาก็แสดงละครไม่เก่ง จาณีนรู้ว่าเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เด็กหนุ่มที่น่ารักของเขาเอ่ยขอโทษเขา ทั้งสีหน้าและแววตาแสดงออกมาว่าเสียใจจริงๆ แต่ในตอนนั้นมันเร็วเกินไปที่เขาจะเชื่อ เขาเชื่ออีกฝ่ายไม่ลง เขาเลือกที่จะบอกปัดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน รอให้เขามีสติครบถ้วนมากกว่านี้ เขาอาจจะเข้าใจอะไรได้ดีกว่าเดิม

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเลือกไม่ติดต่อกับจาณีน เขาอยากมีเวลาคิดไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ไม่ค่อยได้คิดมากนักเพราะเขาตั้งใจพาน้องไนท์มาเที่ยวและทำงาน ทำให้เวลาหลังจากการทำงานนั้นเป็นของน้องไนท์ไปเสียเกือบหมด ซ้ำการมาครั้งนี้เขาเลือกพาพันธกานต์มาแทนพันธกร เพราะไม่อยากให้จาณีนต้องอึดอัดเหมือนเวลาที่อยู่กับแฝดคนน้อง

น้องไนท์ หรือ เด็กชายรัตติกาล หลานชายของเขา น้องไนท์เกิดเวลากลางคืนเหมือนกับเขา เขาเลยตั้งชื่อเล่นให้ว่าน้องไนท์ ส่วนวิมาลาผู้เป็นแม่เลยถือโอกาสตั้งชื่อจริงที่แปลว่ากลางคืนเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเล่น น้องไนท์เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวสมบูรณ์เต็มไปด้วยความรัก แต่ปราศจากความรักของพ่อ เพราะพ่อของน้องไนท์เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งหลังจากน้องไนท์เกิดได้ไม่นาน และเป็นเขาเองที่อยากให้น้องไนท์รู้สึกไม่ขาดจึงเป็นคุณพ่อให้น้องไนท์แทน

เรื่องของน้องไนท์นั้น ศมนไม่เคยเล่าให้จาณีนฟังเลย จะว่าไปก็มีอีกหลายเรื่องที่เขาไม่เคยพูดถึงเพราะคำพูดที่คอยบอกจาณีนมาตลอด หากพร้อมเมื่อไหร่เขาจะปล่อยให้ไป ดังนั้นเขาเลยไม่เคยบอกเรื่องส่วนตัวกับจาณีนเลย เพราะวัยที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่อาจทำให้ความคิดนั้นแปรเปลี่ยน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเข้าปีที่ห้าแล้ว เขาคิดว่าเขารับรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นรักเขา คิดว่าเขาดูไม่ผิด

ทางด้านของศมนเองนั้น ในทีแรกที่ช่วยเหลือจาณีนไว้ก็เพราะความสงสารระคนเอ็นดูเหมือนที่เขาเคยช่วยฝาแฝดบอดี้การ์ดคู่นี้ไว้ แต่ยอมรับว่าเขาค่อนข้างเป็นห่วงเด็กคนนี้เสียเหลือเกิน จึงให้พันธกรพาจาณีนมาอยู่ที่คอนโด ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน มันเป็นการกระทำที่ไม่ใช่นิสัยของเขา บอดี้การ์ดหนุ่มคนพี่นั้นรู้ดีถึงได้พยายามท้วงห้าม แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ฟังและทำตามใจตนเอง

ช่วงสองปีแรก เขาไม่ได้พักอยู่ที่คอนโดนี้ถาวร ไปๆ มาๆ ระหว่างคอนโดกับบ้านใหญ่ ทุกครั้งที่มาค้างที่คอนโดก็จะนอนห้องของตัวเอง ไม่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ เขารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับจาณีน ศมนเคยรู้สึกสบายใจกับใครคนหนึ่งนานแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้มันเป็นความรักได้ เพราะบาดแผลในวัยเด็กทำให้เขาขยาดกับความรักและเชื่อว่ารักมันไม่อยู่จริงหรอก

แต่มันกลับต่างออกไปเมื่อเป็นจาณีน เด็กหนุ่มคนนี้ให้ความสบายใจเหมือนกับใครคนนั้น แต่ทว่าความรู้สึกมันกลับก่อเป็นความรักขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขารอเวลาเพื่อพิสูจน์ว่ามันใช่ความรักแน่หรือเปล่าจนกระทั่ง เกิดเรื่องราวบางอย่างในปีนี้เขาถึงเข้าใจว่าเขารักจาณีนมากเพียงใดและจะทำทุกอย่างไม่ให้อีกฝ่ายไปจากเขา กระนั้นถ้าหากจาณีนเลือกจะไปเอง เขาก็จะไม่ห้ามเช่นกัน ดังนั้นศมนจึงตั้งใจที่จะเริ่มบอกเรื่องส่วนตัวให้อีกฝ่ายฟังมากขึ้น แต่เป็นไปได้ว่าตอนนี้จาณีนอาจจะไม่อยากฟังเรื่องของเขาแล้วก็เป็นได้

อีกเรื่องคือพันธกานต์ เขาเองก็รู้ว่าพันธกานต์คิดอะไรกับเขา ถึงจะไม่เคยทำให้อีกฝ่ายมีความหวังแต่ทว่าทางนั้นก็ไม่เคยตัดใจจากเขา แล้วจาณีนก็เริ่มอึดอัดใจขึ้นทุกที คงถึงเวลาที่เขาต้องพูดกับพันธกานต์ตรงๆ เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ของเราทั้งหมด

.

.

“กานต์” ก่อนจะกลับกรุงเทพ ในตอนเย็นวันเสาร์ศมนก็เรียกพันธกานต์เข้ามาที่ห้องพักในโรงแรม นั่นสร้างความตื่นเต้นให้กานต์ได้เป็นอย่างดี

“ครับ นาย” คำพูดที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มอบให้กับศมน

“เรื่องที่ให้ไปทำ เรียบร้อยมั้ย”

“ครับ มีทั้งคนที่เลือกเงินและคนที่ไม่เลือกเงิน”

“ทำตามที่ฉันสั่งใช่มั้ย ใครที่มันไม่อยู่ข้างเราก็ใช้เครื่องมือที่ทำให้มันยินยอม” ดวงตาเด็ดเดี่ยวแน่นิ่งยามที่บอกบอดี้การ์ดของตน มันทำให้พันธกานต์รู้สึกเสียวหลังอย่างไรไม่รู้

ศมนในแวดวงของธุรกิจนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ผลประโยชน์ทุกอย่างต้องได้ครบถ้วน เขาเป็นนักธุรกิจไฟแรงที่กล้าได้กล้าเสีย และเมื่อทำธุรกิจเยอะ คนเสียประโยชน์ก็ย่อมเยอะตามไปด้วย ศัตรูของศมนก็เลยเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ชายหนุ่มต้องมีเกราะสำหรับจัดการคนที่มุ่งร้ายต่อตน

สายตาของศมนนั้นเป็นสายตาที่พันธกานต์รู้สึกว่าน่ากลัว ทั้งที่เขาอยู่ในวงการนี้มาหลายปี เจอคนมาหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่เหมือนศมนเลยสักคน ชายหนุ่มที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยกับใคร ทำธุรกิจของตนเงียบๆ ตรงไปตรงมา แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเวลาเมื่อผู้ชายคนนี้ลงมือจะทำอะไรแล้ว น่ากลัวไม่แพ้ใคร

เจ้านายของเขาจะเล่นเกมส์ปกติกับคนที่ที่ไม่ตุกติกด้วยเท่านั้น ถ้าใครตลบหลังหรือเล่นไม่ซื่อ เจ้านายของเขาก็จะทำแบบนั้นคืนและอาจจะแสบทรวงหนักกว่าที่อีกฝ่ายทำด้วย

“ครับ คนที่ไม่เลือกฝั่งเรา ผมให้คนของเราไปจับลูกเมียหรือครอบครัวของมันมาเป็นตัวประกัน ตอนนี้ทุกคนย้ายมาอยู่ฝั่งเราหมดแล้วครับ”

“ดีมาก หลังจากที่ฉันขึ้นตำแหน่งประธานเมื่อไหร่ คงจะได้เริ่มลงมือจริงจังมากกว่า เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”
            “ครับ” พันธกานต์รับคำแต่ไม่กล้าสบตา

 “อีกเรื่อง”

“ครับนาย”

“เธอชอบฉันใช่มั้ย” ศมนถามอีกฝ่ายตรงๆ

“อะ...ครับ นาย” เพราะไม่ตั้งตัวพันธกานต์เลยตอบตะกุกตะกักเล็กน้อย

“ฉันรู้ว่าเธอชอบฉัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ เธอเองก็รู้ใช่มั้ย”

“ทำไมครับ” ชายหนุ่มถามออกไป ทำไมเขาจะต้องมารับรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วย บอดี้การ์ดหนุ่มไม่เข้าใจ

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเห็นกานต์กับกรเหมือนเป็นน้องชายของฉันเสมอ ไม่เคยคิดเป็นอย่างอื่นเลย”

“ทำไมครับ ทำไมถึงเป็นผมไม่ได้” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังถูกส่งออกมาให้ศมนได้รับรู้

“เพราะฉันคงเสพย์ติดจาณีนเสียแล้วมั้ง” สายตาของศมนอ่อนแสงลงเมื่อพูดถึงชื่อใครอีกคน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ที่พันธกานต์นั้นอยากได้นักหนา

ไม่ใช่ว่าสายตาที่ศมนมองมาตนพี่น้องนั้นไม่ดี มันไม่ใช่สายตาของคนที่มองคนรัก แต่มันเป็นสายตาของพี่ชายที่มองมาไม่มีทางที่จะคิดเป็นอื่นได้เลย

“คุณจาอีกแล้ว... ทำไมนายถึงสนใจแค่คุณจา” ใบหน้าที่เศร้าสร้อยเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจกับคำพูดของศมน

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน จาคงเหมือนกับไวน์แดง ที่ต้องหมักและบ่มรอวันให้เข้าที่ ยิ่งนานวันก็ยิ่งลื่นคอ กลมกล่อมล่ะมั้ง”

“ผมไม่เข้าใจ” พันธกานต์พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง

“เรื่องความรัก มันบังคับกันไม่ได้ เธอรู้ใช่มั้ย กานต์” ศมนพยายามอธิบายมากขึ้น

“ผมรู้ แต่ผมไม่เข้าใจ”

“มันไม่ใช่เพราะเธอไม่ดี แต่ความรักมันไม่ใช่เพราะใครก็ได้”

“ผม...”

“มองฉัน รักฉันในแบบพี่ชายได้มั้ย” ศมนพูดเพื่ออยากให้อีกฝ่ายลองเปลี่ยนความคิด

“ผม..ไม่..” แต่บอดี้การ์ดหนุ่มไม่อยากจะยอมรับ

“และอีกเรื่อง ฉันเองเลยอยากจะขอให้เธอเลิกตั้งแง่กับจาเสียที เขาไม่ได้ทำอะไรผิด อย่าโกรธหรือเกลียดเด็กคนนั้นเลย”

“ในเมื่อนายขอ ผมก็จะพยายามครับ” เขาตอบรับออกไปแต่ปาก แต่จิตใจไม่ได้ยอมรับด้วยเลย

“ถ้าหลังจากนี้เธอลำบากใจที่จะทำงานกับฉันต่อ อยากลาออกฉันก็ไม่ว่า ฉันรับปากว่าเธอจะไม่เดือดร้อนทั้งร่างกายและจิตใจแน่นอน”

“ขอบคุณครับที่เป็นห่วงผม แต่ยังไงผมก็จะทำงานกับนายต่อ นายมีบุญคุณกับพวกเรามาก”

“ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ กลับไปกรุงเทพเมื่อไหร่ ฉันอนุญาตให้ไปพักจนกว่าเธอจะสบายใจแล้วกัน และก็ต้องขอโทษด้วยที่ฉันตอบรับความรู้สึกของเธอไม่ได้” หากไม่ได้เอ็นดูเหมือนน้องชาย คงไม่มีวันที่ศมนจะมาใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่ายมากถึงขนาดนี้

“นายครับ”

“หืม”

“ผมอยากขอให้นายจูบผมได้มั้ยครับ”

“ไม่ได้หรอก” ศมนตอบอีกฝ่ายทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด คำตอบของศมนทำให้ความหวังสุดท้ายของคนร้องขอต้องดับวูบลง “แต่ถ้าที่แก้ม น่าจะพอได้”

“จริงเหรอครับ” ความดีใจปรากฏอยู่ในสายตา

“อืม เดินมาใกล้ๆ ฉัน” พันธกานต์เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น

ศมนลุกขึ้นยืน ความสูงของเขาค่อนข้างสูงกว่าพันธกานต์ เขาจึงจับไหล่ของบอดี้การ์ดหนุ่มเอาไว้ แล้วก้มหน้าลงไปจูบลงที่แก้มขาวของอีกฝ่าย ก่อนจะผละออกมา

“ขอบคุณครับ”

“ฉันรักเธอนะกานต์ น้องชายของฉัน”

“ฟังแล้วเจ็บจัง แต่ก็ขอบคุณนะครับ”

เสียงครางเบาๆ ของคนที่หลับอยู่บนโซฟาทำให้ศมนรู้สึกตัวกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบเดินหนีจากโซฟานั้นแล้วรีบเข้าห้องนอนของตนเองไป จาณีนตื่นเต็มตาหลังจากนั้นได้ไม่นาน เขาได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยของศมน แต่กวาดสายตามองหาไปรอบๆ กลับไม่เจอเจ้าของกลิ่นน้ำหอม

จาณีนลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปห้องนอนของศมน คนที่เขารอมาทั้งวันน่าจะอยู่ภายในห้องนั้น จาณีนเข้าไปโดยไม่เคาะประตู เขาเห็นศมนยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ากำลังเลือกชุดมาใส่นอน เด็กหนุ่มเดินตรงเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง ศมนชะงักไปนิดนึงก่อนจะแกะมือคู่นั้นออกอย่างเบามือ แค่การกระทำเพียงเล็กน้อยก็ทำให้จาณีนใจคอไม่ค่อยดีเอาเสียเลย

“ฉันทำให้เธอตื่นเหรอ” ศมนหันกลับมาถามเด็กหนุ่มตรงหน้า

“เปล่าหรอกครับ ผมตื่นเอง ทำไมคุณกลับมาช้า”

“ฉันแวะไปส่งยัยวิกับน้องไนท์ที่บ้านก่อน มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมเป็นห่วง เห็นเลยเวลาเครื่องลงนานแล้ว”

“ขอบใจที่เธอเป็นห่วงฉัน แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“ครับ” จาณีนพูดเท่านั้นก็เกิดความเงียบภายในห้อง เขาไม่เคยเจอกับศมนที่เป็นแบบนี้มาก่อน เขารับมือกับคนตรงหน้าไม่ถูกเลย เขาต้องทำอย่างไร

“มีอะไรอีกหรือเปล่า” สายตาคมมองจาณีนแน่นิ่ง

“ไม่มีแล้วครับ”

“ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว ฉันเองก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”

“ผม..ผม”

“หืม”

“ผมนอนกับคุณที่ห้องนี้ได้หรือเปล่า” จาณีนกลั้นใจรอฟังคำตอบกลัวที่จะได้ยินคำปฏิเสธ

“ตามใจเธอ”

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มดีใจที่เขายังไม่ถูกไล่ในคืนนี้

ไฟในห้องถูกดับลง จาณีนขยับเข้าไปกอดอีกฝ่ายเหมือนทุกๆ ครั้งที่นอนด้วยกัน จะไม่เหมือนเดิมก็คือความรู้สึกของศมนไม่เหมือนเดิม ความอบอุ่นของอีกฝ่ายไม่ถูกส่งออกมาให้เขาเลยแม้แต่น้อย เขาสัมผัสไม่ได้เลย

“ผมขอโทษนะครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมขอโทษจริงๆ” ไม่มีคำตอบรับจากคนที่เขานอนหนุนแขนอยู่ นอกจากมือที่ลูบศีรษะของเขาอย่างแผ่วเบาเท่านั้น

เช้านี้ตื่นขึ้นมา จาณีนก็ไม่พบร่างของคนที่นอนอยู่ด้วยทั้งคืนแล้ว เด็กหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานอย่างเซ็งๆ ช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่ไม่สดใสเอาเสียเลย เรื่องเก่าก็ของยังไม่เคลียร์ เรื่องใหม่ก็ยิ่งปวดหัว ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องบ้าตายแน่ๆ

“หน้าหงิกมาแต่เช้า คุยกับเขาหรือยังวะ” กตพลรีบปรี่เข้ามาทัก เมื่อจาณีนมาถึงโต๊ะทำงาน

“ยังเลยครับ เมื่อวานคุณศมนมาถึงก็เที่ยงคืนเข้าไปแล้ว ยังไม่ได้คุยเลย”

“แล้วท่าทีเขาเป็นยังไงบ้าง ยังโกรธอยู่มั้ย”

“ดูไม่ค่อยโกรธแล้วครับ แต่เย็นชามาก พูดแล้วผมอยากจะร้องไห้ตรงนี้เลย”

“เฮ้ยๆ อย่านะเว้ย อดทนไว้ เข็มแข็งเอาไว้ก่อน เย็นนี้เลิกงาน ไปแวะซื้ออะไรที่เขาชอบ แล้วกลับบ้านไปคุยกับเขาซะ”

“ก็ได้ครับ” จาณีนรีบเงยหน้า เพราะน้ำตาใกล้จะไหลเต็มทีแล้ว

“ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ อย่าคิดมาก” กตพลตบบ่าให้กำลังใจรุ่นน้องสามสามทีแล้วก็จากไปทำงานของตนเองเหมือนกัน

“กร เรื่องที่ฉันฝากให้ไปทำระหว่างที่ฉันไม่อยู่ เรียบร้อยดีมั้ย” ศมนเอ่ยถามพันธกรที่ตอนนี้ทำหน้าที่ขับรถไปส่งศมนที่โรงแรมอีกแห่ง

“เรียบร้อยครับ สองแฟ้มนี่ครับนาย” บอดี้การ์ดหนุ่มหยิบแฟ้มเอกสารสองแฟ้มข้างๆ ที่นั่งคนขับยื่นส่งไปให้ระหว่างที่รถกำลังติดไฟแดงอยู่

“ขอบใจ เล่ารายละเอียดมาให้ฉันฟังคร่าวๆ หน่อย”

“เอาเรื่องไหนก่อนครับ” เพราะมีสองเรื่อง บอดี้การ์ดหนุ่มเลยต้องถามออกไป

“เรื่องผู้ชายคนนั้นก่อน” และคำตอบของศมนก็ทำให้คนขับรถลอบยิ้มออกมาว่าศมนร้อนใจกับเรื่องไหนมากกว่ากัน

“ผู้ชายคนนั้นชื่อไตรภัทร ปัจจุบันอายุสามสิบปี ทำงานตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขาย บริษัทเดียวกับคุณจาครับ”    พันธกรเริ่มพูดขึ้นหลังจากเปลี่ยนเกียร์เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว

“อืม เขาคงชอบจา” ศมนพูดขึ้นหลังจากพลิกหน้ากระดาษที่อยู่ในแฟ้มเปิดอ่านต่อจากที่บอดี้การ์ดหนุ่มเล่า

“ครับ คุณไตรภัทรเฝ้าติดตามจีบคุณจาอยู่สักพักใหญ่แล้วครับ ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้แสดงอาการว่าเริ่มจีบชัดเจนนัก เพิ่งแสดงตัวชัดในช่วงหลังครับ”

“อืม”

“นายครับ”

“หืม?”

“นายโกรธคุณจาเหรอครับ ผมคิดว่าคุณจา เธอเสียใจมากเลย ใบหน้ามีแต่เศร้าลงๆ ทุกวัน”

“ตอนแรกฉันก็โกรธจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว เหลือแค่ความรู้สึก” ปกติแล้วศมนไม่ใช่คนที่จะมานั่งเล่าหรือพูดถึงความรู้สึกตัวเอง แต่ครั้งนี้มันคงทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากจริงๆ ถึงยอมเปรยมาให้เขาได้รู้

“ถ้าคุณจารู้ คงจะดีใจมากแน่ๆ เลยนะครับ” ถึงจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่จาณีนทำแบบนั้น แต่พันธกรคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนหรืออาจจะสามคน แต่เขาไม่ได้มีหน้าที่ไปตัดสินใคร

“กร”

“ครับ”

“คิดว่าไตรภัทรจะดูแลจาได้ดีมั้ย” อยู่ๆ ศมนก็ถามขึ้นมาลอยๆ

“ทำไมนายถามแบบนี้ครับ”

“ตอบฉันมาเถอะ”

“ผมก็ไม่รู้สิครับ แต่ไม่มีใครดูแลคุณจาได้ดีไปกว่านายหรอกครับ”

“ก็ไม่แน่หรอก เธอก็รู้นี่กร คนเก่าๆ ของฉันหลายคนเป็นฝ่ายบอกเลิกฉันก่อนเพราะฉันไม่ค่อยเวลาให้พวกเขา”

“ครับ แต่คุณจาเธอไม่เหมือนคนอื่นๆ นี่ครับ”

“เธอดูเหมือนจะเข้าข้างจานะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ นาย แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณจาก็ทำให้เราทุกคนได้เห็นแล้วว่าเธอเป็นคนแบบไหน ยังไง”

“ก็จริงของเธอ แล้วเธอคิดว่าจาจะชอบไตรภัทรมั้ย”

“ไม่มีทางหรอกครับ”

“แต่เธอเองก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าจายอมให้ไตรภัทรจับมือโดยดี และยอมให้ทำมากกว่านั้น”

“ก็จริงครับ แต่ผมว่าอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่คุณจาถึงยอมให้ทำแบบนั้น”

ก็จริงว่าจาคงมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ยอมให้ไตรภัทรนั้นจูบโดยไม่ขัดขืนเช่นกัน ศมนได้แต่คิดอยู่ภายในใจ ถึงจาณีนจะทำผิดแต่เขาก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มต้องเป็นคนไม่ดีต่อหน้าใครๆ

“ผมขอละลาบละล้วง นายจะไม่บอกเรื่องนั้นกับคุณจาจริงๆ เหรอครับ”

“เรื่องนั้น...” ศมนพูดเพียงเท่านี้ก็นิ่งไป

“ครับ”

“ฉันไม่อยากให้เด็กคนนั้นรู้เรื่องนี้ ถ้าเขาจะไปจากฉัน เขาต้องไปด้วยความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนกำหนดให้เขาต้องไป”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

“และเพราะอย่างนี้ฉันถึงต้องให้เธอและกานต์รีบทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จทันก่อนที่จะแก้ไขอะไรไม่ได้ เข้าใจใช่มั้ย กร” ศมนสบตากับพันธกรผ่านทางกระจกมองหลัง ทำให้บอดี้การ์ดหนุ่มเข้าใจได้ว่าเรื่องที่เขา พี่น้องฝาแฝดได้รับผิดชอบนั้นมันสำคัญขนาดไหน

“เข้าใจแล้วครับ”

“กานต์เล่าให้เธอฟังแล้วใช่มั้ย”

“ครับ”

“อืม กานต์คงจะต้องการเวลาพัก และฉันอนุญาตให้พักร้อนนานได้เท่าที่เขาต้องการ ระหว่างนี้ฉันคงต้องฝากงานของกานต์ไว้ที่เธอทั้งหมด ได้มั้ย” ศมนหมายถึงเรื่องที่เขากับพันธกานต์ได้เคลียร์กันตอนที่อยู่ที่เชียงใหม่

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“ขอบใจมาก เหนื่อยหน่อยนะ”
            “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”

“อีกเรื่องหนึ่งล่ะ?”

“ในแฟ้มที่สองครับ ตอนนี้เราซื้อคนจากฝั่งนั้นมาอยู่ฝั่งเราเรียบร้อยแล้วครับ”

“ดีมาก รอจนกว่าจะถึงวันเปิดงานเวบไซต์ค่อยจัดการต่อ”

“ครับ”

“และที่สำคัญอย่าให้จาณีนรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” ศมนเตือนย้ำอีกครั้ง

===============================




หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixth Drop -- 05 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 11-06-2017 21:54:51



 หลังจากเหตุการณ์ปล่อยให้ไตรภัทรจูบแล้ว ชายหนุ่มก็หมั่นติดต่อ โทรหาจาณีนทุกวัน หากไม่สะดวกก็จะส่งข้อความมาหา จาณีนลำบากใจทุกครั้ง ใจอยากพูดตรงๆ กับอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่มีโอกาส ยังไงแล้ววันนี้เขาจะต้องบอกไตรภัทรให้เลิกหวังในตัวเขาเสียที

“พี่ไตรครับ เที่ยงนี้ ทานข้าวกับผมได้มั้ย” จาณีนส่งข้อความไปถามไตรภัทร เมื่ออีกฝ่ายอ่านดูจึงรีบโทรศัพท์กลับมาหาทันที

“น้องจาครับ พี่ไตรเอง” น้ำเสียงสดใสถูกส่งมายังปลายสาย ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มรับสาย คนโทรหาจะแนะนำตัวเองกับเขาแบบนี้เสมอ

“สวัสดีครับพี่ไตร”

“พี่ดีใจที่น้องจาชวนไปกินข้าว”

“ครับ พี่ว่างมั้ย”

“ว่างครับ ว่าง เดี๋ยวเที่ยงตรงพี่ไปรับน้องจานะครับ”

“ครับ ผมจะรอ”

เที่ยงตรงตามเวลานัด ไตรภัทรก็เดินตรงเข้ามาหาจาณีนที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้ว เด็กหนุ่มหันไปบอกกตพลว่าจะไปทานข้าวเที่ยงกับไตรภัทร กตพลไม่พูดอะไร ย้ำเพียงว่ากลับมาทำงานให้ตรงเวลาก็แล้วกัน

“น้องจาอยากทานอะไรครับ”

“อะไรก็ได้ครับ แถวๆ นี้ก็ได้ครับ”

“อืม งั้นร้านอาหารญี่ปุ่นตรงนี้ก็แล้วกันนะ”

“ได้ครับ”

“พี่ไตร จริงๆ แล้วที่ผมนัดพี่ออกมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องที่ต้องบอกพี่ครับ” หลังจากรอจนอาหารที่สั่งมาเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงเริ่มเปิดปากขึ้น

“ครับเรื่องอะไรเหรอ”

“เรื่องที่เราคุยกันเมื่อวันก่อน ผมคงตอบรับความรู้สึกพี่ไม่ได้จริงๆ ครับ ขอโทษด้วยครับ” จาณีนกล่าวพร้อมยกมือไหว้อีกฝ่ายไปด้วย

“ทำไมล่ะครับ” ใบหน้าของไตรภัทรแสดงความงุนงงกับคำพูดที่ได้ยินโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ผมเคยบอกพี่แล้วว่าผมมีคนที่คุยอยู่ด้วยแล้ว”

“ใช่ครับ แต่พี่ก็บอกจาแล้วไงครับ ว่าพี่แค่ขอโอกาสให้พี่บ้าง”

“ผมคิดว่ามันไม่เหมาะจริงๆ ครับ”

“น้องจาก็ไม่ได้รังเกียจที่พี่จูบไม่ใช่เหรอครับ” นึกถึงตามคำพูดของไตรภัทรแล้ว จาณีนก็ยิ่งรู้สึกต่อทั้งไตรภัทรและศมน

“ครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกผิดจริงๆ” จาณีนกลืนน้ำลายลงคอยากลำบากก่อนจะพูดต่อว่า “วันนั้น คนคนนั้น เขาเห็นผมกับพี่จูบกัน”

“เขาโกรธจาเหรอ หรือทำร้ายจาหรือเปล่า” ไตรภัทรรีบคว้าแขนของจาณีนขึ้นมายกดูหาร่องรอยความผิดปกติ

“เปล่าครับ เขาไม่ได้ทำร้ายผมหรือต่อว่าอะไร แต่เขาไม่คุยกับผมเลย” จาณีนค่อยๆ ดึงแขนออกจากอีกฝ่ายช้าๆ เพื่อไม่ให้ไตรภัทรรู้สึกว่าเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายถูกเนื้อต้องตัว

“พี่เองก็ไม่อยากเห็นแก่ตัว แต่แบบนี้ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างพี่นะ จาจะได้รับความรู้สึกของพี่ไปได้ไงครับ”

“ไม่..ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ยิ่งเขาไม่พูดเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกผิด”

“น้องจา...”

“ผมรักเขาครับพี่ไตร ผมไม่ได้อยากปิดบังพี่ แต่ผมไม่กล้าบอกใครเพราะเรื่องของผมกับเขามันไม่มีสถานะชัดเจน”

“พี่คิดว่าพี่พอจะเข้าใจมั้งนะ”

“พี่ไตรเป็นคนดี ผมขอโทษที่ปิดบังนะครับ”

“ไม่เป็นไร ตอนนี้พี่แค่งงนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้” ไตรภัทรกำลังตาลาย หูอื้อ เขาไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้เลย พอถูกตัดสัมพันธ์ต่อหน้าแบบนี้ก็เลยเหมือนจะไปต่อไม่ค่อยถูก

“ผมขอโทษครับ”

“จาคบกับเขามานานแล้วเหรอ”

“ก็เกือบสี่ปีแล้วครับ แต่อย่าเรียกว่าคบกันเลยครับ เรียกว่าอยู่ด้วยกันแบบเด็กเสี่ยจะดีกว่า”

“หืม”

“ก็อย่างที่ผมบอกพี่ไป มันไม่มีสถานะครับ”

“คนนั้นดูแลน้องจาดีใช่มั้ย”

“เขาดูแลผมดีมากครับ”

“ถ้าเขาดูแลจาดี พี่ก็เบาใจ แต่ถ้าเขาทำจาเสียใจ พี่อยากให้จานึกถึงพี่เป็นคนแรกนะ”

“ขอบคุณครับพี่ไตร แต่ผมไม่อยากทำเหมือนให้ความหวังพี่อีก”

“ไม่เป็นไร ถึงพี่จะเป็นคนดูแลหัวใจของจาไม่ได้ แต่พี่ดูแลน้องชายคนหนึ่งของพี่ได้”

“พี่ไตร พี่พูดแบบนี้จนผมอยากจะรักพี่”

“แต่ก็ไม่รักใช่มั้ยล่ะ เอาเถอะ ถึงเป็นพระเอกไม่ได้ ขอเป็นพระรองก็ยังดี จริงมั้ย”

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณที่ไม่เกลียดผม”

“พี่ยังรักจาเหมือนเดิม ไม่เกลียดจาหรอก แต่ตอนนี้ขอพี่อยู่ทำใจคนเดียวหน่อยได้มั้ยครับ”

“ได้ครับ งั้นผมไปก่อนนะ” จาณีนลุกขึ้นยืนบอกอีกฝ่าย ไตรภัทรไม่พูดอะไรแต่ส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้ แค่นั้นจาณีนก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว

.

.

“นายครับ คุณจามาทานข้าวกับคุณไตรภัทร คุยอะไรกันบางอย่าง สักพักก็ออกมาจากร้านเพียงคนเดียวโดยที่ยังไม่ได้แตะอาหารสักอย่างเลยครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มรายงาน หลังจากที่ไปส่งศมนทำงานก็รีบกลับมาติดตามพฤติกรรมของจาณีนตามคำสั่งของศมน ตอนนี้เขายืนอยู่อีกฟากขอถนนเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์

“อืม แค่นี้ใช่มั้ย”

“เอ่อ..คือ..” น้ำเสียงอึกอักของกรที่ไม่มั่นใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่

“พูดมาเถอะ” ราวกับว่าเข้าใจ ศมนจึงเอ่ยอนุญาตออกมา

“คุณไตรภัทรจับแขนคุณจาด้วยครับ แต่คราวนี้คุณจา เธอดึงออกนะครับ”

“อืม ขอบใจมากนะกร”

“ครับนาย สวัสดีครับ”

 ช่วงบ่ายจาณีนกลับเข้ามาทำงานต่อทั้งที่ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า ซ้ำในหัวถึงจะโล่งใจที่เคลียร์เรื่องไตรภัทรออกไปได้แล้ว แต่ปัญหาหลักยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้จาณีนยังคิดมาก จิตใจที่เต็มไปด้วยความเครียดและไม่สบายใจกำลังส่งผลให้ร่างกายเขาย่ำแย่ ตอนนี้เขาเริ่มปวดหัวและกำลังครั่นเนื้อครั่นตัว

จาณีนไม่ได้ปริปากบอกใครว่าเริ่มรู้สึกไม่สบาย เด็กหนุ่มพยายามก้มหน้าทำงานต่อ ถึงแม้จะทำได้ไม่มากนักแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นเลย เขาลุกขึ้นไปกินยาหวังว่าจะได้ไม่สบายหนักมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เมื่อถึงเวลาเลิกงานเขารีบเก็บของและบอกลากตพลที่ยังทำงานต่อ กตพลคิดว่าจาณีนรีบกลับเพราะไปสะสางปัญหาเลยไม่ได้ถามอะไรให้มากความ

เด็กหนุ่มเปิดประตูรถเข้าไปนั่งได้ก็แทบหมดแรง เขาคว้าเสื้อคลุมที่อยู่ทางเบาะหลังขึ้นมาสวม อาการหนาวๆ ร้อนๆ กำลังออกอาการมากขึ้นทุกที เขาตั้งสติแล้วเคลื่อนรถออกจากลานจอดไป จาณีนไม่ได้ตรงกลับบ้านทันที แต่เขาฝืนแวะร้านไวน์ขึ้นชื่อที่อยู่แถวคอนโดที่พัก เขารีบลงไปซื้อไวน์มาหนึ่งขวด จาณีนเองไม่ใช่คนที่มีความรู้เรื่องไวน์อะไรดีนักแต่ก็พอรู้มาว่าศมนนั่นชื่นชอบไวน์ของชาโต เขาเลยเลือกชาโต คลิเนต์มาหนึ่งขวดที่ราคาพอรับได้

กลับเข้ามาในรถอีกครั้งก็เหงื่อแตกพลั่ก แน่ใจแล้วว่าเขากำลังไข้ขึ้นจริงๆ แล้ว จาณีนรีบขับรถกลับบ้าน โชคดีเหลือเกินที่วันนี้รถไม่ค่อยติดทำให้เขาใช้เวลาไม่นานนักก็ถึงที่หมาย เขารีบขึ้นห้องแล้วนำขวดไวน์ไว้ตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วรีบเข้าห้องนอนเพื่อไปนอนพัก หวังว่าเมื่อศมนกลับมาจากที่ทำงานเขาคงจะมีแรงมาขอโทษอีกฝ่าย

จาณีนไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ แต่เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกเจ็บที่แขน เปิดตาขึ้นมองจึงเห็นศมนใช้ผ้าขนหนูเย็นๆ กำลังเช็ดตัวให้เขาอยู่ค่อนข้างแรง เขาไม่ชอบการถูกเช็ดตัวแบบนี้เลย เพราะศมนจะเช็ดตัวให้เขาหนักมือเสมอ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายโกรธเกลียดเขาหรืออะไร แต่การเช็ดตัวแรงและย้อนรูขุมขนแบบนี้ จะยิ่งช่วยทำให้ความร้อนถูกดูดซับออกไปดีขึ้น

“ผมเจ็บครับ”

“ไม่สบายทำไมไม่บอกฉัน หลังจากเช็ดตัวแล้วจะได้นอนสบายขึ้น”

“ผมเจ็บครับ”

“อดทนหน่อยนะ เด็กดี ถ้าไม่อยากถูกเช็ดตัวก็อย่าทำให้ตัวเองป่วยสิ” มือของศมนวางผ้าขนหนูลงในอ่างน้ำข้างตัว แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะที่ร้อนไปด้วยพิษไข้ด้วยความเบามือ

“ผมขอโทษครับ” อดไม่ได้ที่เขาจะขอโทษออกมาอีกครั้ง เรื่องนั้นคงจะฝังใจเขาไปตลอดชีวิตแน่นอน

“ลุกขึ้นไหวมั้ย จะได้กินข้าว แล้วก็กินยา”

“ไหวครับ” จาณีนพยายามหยัดร่างตัวเองลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกหนักหัวอยู่ไม่น้อย ศมนเห็นเข้าจึงเข้ามาช่วยประคองเด็กหนุ่มให้พิงกับหัวเตียงใหญ่สีเทา

“ทานเองได้มั้ย” ศมนยกถ้วยขนาดเล็กที่บรรจุข้าวต้มอยู่ภายในนั้นมาให้เด็กหนุ่ม

“ครับ” จาณีนพยักหน้าพร้อมกับคำพูดแล้วก็ยื่นมือออกไปรับ แต่ศมนกลับไม่ปล่อยถ้วยนั้นออกจากมือ ทำให้จาณีนสงสัย ดวงตากลมสบตาอีกฝ่ายอย่างสงสัย

“เปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวฉันป้อนเองดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทานเองได้”

“ฉันกลัวเธอทำหกเลอะ” ศมนยังถือถ้วยนั้นไว้แน่น ไม่ปล่อยให้คนป่วยเอาไปได้

“อ่อ จริงด้วยครับ ผมไม่ทันคิด”

“ไม่เป็นไร อ้าปากสิ” ช้อนที่ตักข้าวต้มถูกยื่นมาตรงหน้า จาณีนเลยต้องอ้าปากตามคำสั่งรับข้าวต้มเข้าปากไป อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณครับ” อาหารมื้อแรกของวันตกถึงท้องของเขาในที่สุด จาณีนเลยเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว

“ทำไมถึงป่วย ปกติเธอไม่ใช่คนป่วยง่าย”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ”

“ไม่กินข้าวใช่มั้ย”

“คุณรู้ได้ยังไงครับ ว่าผมไม่ได้ทานข้าว”

“เธอน่ะ ท้องว่างทีไร ก็มักไม่ค่อยสบาย ไม่รู้ตัวเองหรือ” คำตอบของศมนทำให้จาณีนนิ่งไป

จาณีนส่ายหน้าให้กับคำถาม เขาไม่เคยรู้ตัวเลย พอลองนึกย้อนกลับไป ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูดเขามักจะไม่สบาย ถ้าอดข้าวหรือลืมทานข้าวทุกครั้งไป ถึงว่าศมนจะย้ำเขาให้ทานข้าวตลอด ทำไมศมนต้องรู้จักตัวเขาดีกว่าตัวเองอีกนะ

“กี่โมงแล้วครับ”

“เพิ่งสองทุ่ม”

“คุณกลับเร็วจังครับ”

“ฉันกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะมีนัดไปทานข้าวบ้านคุณหญิงสุวิมล” คุณหญิงสุวิมลนั้นจาณีนได้ยืนชื่อค่อนข้างบ่อย เพราะเท่าที่เคยได้ยินจากศมนแล้วคุณหญิงสุวิมลเป็นหุ้นส่วนของที่โรงแรมด้วย

“ไม่รีบไปเหรอครับ เดี๋ยวท่านจะรอ”

“เธอไม่สบายแบบนี้ แล้วฉันจะไปได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ได้ เดี๋ยวทานยาเสร็จแล้วก็จะเข้านอนเลยครับ” จาณีนพยายามพูดเพื่อให้ศมนวางใจ เขาไม่อยากเป็นตัวการณ์ที่ทำให้งานหรือความสัมพันธ์ด้านธุรกิจนั้นมีปัญหา

“ฉันรู้ว่าเธออยู่ได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง” จาณีนยิ้มกว้าง แทบอยากจะกอดอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น เขาดีใจมาก ดีใจเหลือเกินที่ศมนยังเป็นห่วงเขาอยู่

            “เป็นอะไร ยิ้มทำไม”

            “ผมแค่...แค่ดีใจที่คุณยังเป็นห่วงผมอยู่ครับ”

            “ฉันไม่เคยไม่ห่วงเธอ”

            “รีบไปบ้านคุณหญิงเถอะครับ” ถึงจะดีใจแต่จาณีนก็ยังไม่ลืมนัดของอีกฝ่ายลงง่ายๆ

            “ไม่ไปแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันจะโทรไปยกเลิกนัดกับคุณหญิง”

            “จะไม่เป็นไรเหรอครับ” จาณีนยังเป็นห่วงอยู่

            “ไม่ต้องห่วงหรอก งานวันนี้แค่กินข้าวทั่วไปเท่านั้นแหละ พอดีว่าลูกสาวคุณหญิงที่เรียนอยู่เมืองนอกกลับมาหลังจากเรียนจบเอกน่ะ”

            “งั้นเหรอครับ”

            “อิ่มมั้ย” ศมนพูดคุยกับจาณีนจนกระทั่งข้าวต้มหมดถ้วยพอดี

            “อิ่มครับ”

            “นี่น้ำ...แล้วก็ยา” สองอย่างที่ว่าถูกยื่นมาให้เขา

            “ขอบคุณครับ”

            “ฉันเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะอาหาร ซื้อมาให้ฉันเหรอ” อยู่ๆ ศมนก็พูดขึ้น

            “อ่อ..เอ่อ..เห็นแล้วเหรอครับ” เขาตั้งใจกลับมานอนพักแปปเดียว เลยไม่ได้เก็บขวดไวน์ที่แช่อยู่ให้เรียบร้อย กลายเป็นว่าเซอร์ไพรส์ของเขาต้องล้มเหลวลงเสียได้

            “อืม”

            “ผมอยากขอโทษคุณ”

            “ของน่ะ มันแทนความรู้สึกไม่ได้หรอกรู้มั้ย” จาณีนเจ็บไปถึงใจกับคำพูดธรรมดาไม่ได้ใส่อารมณ์แต่อย่างใดของศมน

            “ผมเสียใจจริงๆ ครับ”

            “แต่ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะที่ซื้อของที่ฉันชอบมาให้” ศมนไม่ได้ตอบรับคำขอโทษของเด็กหนุ่ม แต่กลับเลือกพูดถึงของที่เจ้าตัวได้รับแทน

            “ถ้าคุณชอบ ผมก็ดีใจครับ”

            “ฉันชอบมาก เอาล่ะ นอนได้แล้ว จะได้หายเร็วๆ เดี๋ยวฉันจะออกไปโทรศัพท์เสียหน่อย”

            “ครับ” ถึงจะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องห่างจากเขาไปในตอนนี้ แต่จาณีนก็ไม่อยากรั้งศมนเอาไว้เพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง เขาจึงเลือกหลับตาลง

            สัมผัสอุ่นๆ จากริมฝีปากบนหน้าผาก ทำให้จาณีนรู้สึกอุ่นในหัวใจขึ้นมาบ้าง “หายเร็วๆ นะเด็กน้อย ฉันไม่อยากเห็นเธอป่วยแบบนี้” ศมนกล่าวทิ้งท้ายแล้วก็เดินออกจากห้องไป

            อันที่จริงศมนไม่ได้มีธุระต้องโทรศัพท์อะไรหรอก แต่เขาอยากให้จาณีนนอนพักและอีกใจหนึ่งก็ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องของไตรภัทรด้วย รอพรุ่งนี้เด็กหนุ่มอาการดีขึ้น ค่อยพูดจากันก็ยังไม่สาย ศมนยิ้มให้กับตัวเอง ถึงจะไม่เข้าใจกับการกระทำของจาณีนที่จูบกับไตรภัทร

แต่พอได้ยินจากกรว่าเด็กหนุ่มดูเหมือนไม่สบาย เพียงเท่านั้น

            เขานี่แหละที่ทิ้งงาน เลื่อนการประชุม ยกเลิกนัดแล้วรีบตรงดิ่งกลับบ้าน ด้วยความร้อนใจ เพราะจาณีนเป็นเด็กที่ค่อนข้างแข็งแรง แทบไม่เจ็บป่วย ดังนั้นคนที่ไม่ค่อยป่วยเวลาไม่สบายมักจะเป็นหนักกว่าคนทั่วไป  ถ้าหากเด็กคนนั้นรู้ว่าเขาแทบจะอยู่ไม่เป็นสุขเพราะเรื่องนี้เข้าล่ะก็ คงจะได้ใจต่ออีกแน่

“เป็นห่วงเขา ก็รีบกลับบ้านสิคะ จะมาอยู่ที่นี่ทำไม ฮึ” วิมาลาพูดขึ้นเมื่อเห็นศมนเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องอย่างกับหนูติดจั่น

“....”

“พูดแล้วยังมองหน้าวิอีก พี่มนคะ จะโกรธอะไรคุณจาก็โกรธไป แต่เรื่องที่คุณจาไม่สบาย พี่ก็ต้องดูแลนะคะ แก่แล้วอย่าถือทิฐิให้มากนัก”

“วิ เธอพูดกับพี่แบบนี้เหรอ”

“วิขอโทษค่ะ แต่วิพูดความจริงนี่คะ ห่วงเขาก็กลับไป เป็นอะไรหนักมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทันจะทำไง”

“พอๆ พี่ไปก่อนล่ะ ยกเลิกนัด เลื่อนการประชุมให้พี่ด้วย” ศมนคว้าของที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมที่จะสั่งทิ้งท้ายเอาไว้

“รับทราบค่ะ เจ้านาย”





============================
:mew1:

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventh Drop -- 11 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 11-06-2017 22:29:30
พระเอกเย็นชาจังงงงงงงงงงง :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventh Drop -- 11 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 13-07-2017 22:08:29
Eighth Drop

          ศมนกลับเข้ามาดูคนป่วยอีกครั้งก็ดึกมากแล้ว จาณีนไม่ค่อยป่วย แต่หากป่วยเมื่อไหร่จะเป็นหนักทุกครั้ง และครั้งนี้ก็ดูจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ เขาลองแตะหน้าผากเนียนของเด็กหนุ่ม ไอร้อนแผ่ออกมาจนศมนเองก็รับรู้ได้ ร่างกายร้อนจัดกำลังนอนกระสับกระส่าย ราวกับนอนอยู่บนกองไฟ

            ชายหนุ่มรีบบิดผ้าที่วางอยู่ในอ่างเล็ก เขาจับแขนของจาณีนขึ้นมาเช็ด ผ้าเย็นๆ ก็ซับความร้อนออกมา เขารีบเอาผ้าจุ่มน้ำและบิดอีกครั้ง ทำแบบนี้จนกระทั่งเช็ดตัวเด็กหนุ่มได้หมด

            “หนาวครับ ผมหนาว”

            “เสร็จแล้ว” เขารีบดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปอยู่ที่เข่าของอีกฝ่ายขึ้นมาห่มให้ทันที

            “หนาวจัง ยังไม่หายหนาวเลย” ทั้งที่ร่ายกายร้อนจัดแต่กลับรู้สึกหนาว เขาเห็นฟันขาวกระทบกันด้วยความสั่นเทาเบาๆ

            ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนปฐมพยาบาลคนตรงหน้า ศมนหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วต่อสายไปคนปลายทางทันที

            “ครับนาย”

            “ขอโทษที่รบกวนเธอในเวลาพักนะ กร แต่เธอต้องเอารถออก ฉันจะพาจาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

            “ได้ครับ”

“ฉันจะไปรอที่รถเลย” ศมนกดวางสายทันทีและช้อนจาณีนขึ้นมาอุ้มไว้แล้วพาออกจากห้องไปอย่างที่บอกพันธกร

ไว้

เป็นเวลาดึกแล้ว รถราบนท้องถนนค่อนข้างโล่ง เลยช่วงเวลารถติดไปแล้ว สารถีหนุ่มขับรถค่อนข้างเร็ว บอดี้การ์ดหนุ่มรู้ว่าตอนนี้ใจของศมนคงร้อนรนยิ่งกว่าใคร เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นให้เห็นไม่บ่อยนัก ขับรถไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึง โรงพยาบาลที่หมายที่ศมนกับจาณีนใช้บริการอยู่เป็นประจำ

            รถยนต์จอดเทียบทางเข้าประตูโรงพยาบาล ศมนรีบเปิดประตูอุ้มคนป่วยไปนอนบนเตียงรถเข็นและรีบติดต่อที่ประชาสัมพันธ์แจ้งอาการป่วย เสร็จแล้วจึงกลับมายืนข้างๆ คนป่วยที่ยังนอนหลับไม่ได้สติ

            “อาการแบบนี้ ป่วยเหมือนเดิม” เสียงคุณหมอดังขึ้นอยู่ด้านหลัง

            “สวัสดีครับพี่ชล ใช่ครับ จาป่วย” ศมนหันไปตามเสียงก็เห็นภาพคุณหมอรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดกาวน์สีขาวสะอาดยืนล้วงกระเป๋าด้านหน้ามองคนป่วยอยู่

            “อืม เหมือนเดิมสินะ ไม่ทานข้าวหรือ” ดูจากท่าทางอาการคนไข้ คุณหมอชลทีก็ประเมินได้ไม่ยาก แต่ก็ต้องตรวจให้ละเอียดกว่านี้

            “น่าจะใช่ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

            “ไม่แน่ใจได้ไง ใช้ไม่ได้เลย คนของตัวเองแท้ๆ รอบนี้ทำอะไรไว้ล่ะ นอกใจจาณีนหรือยังไง”

            “พี่ชลอย่าเพิ่งซักผมได้มั้ยครับ ดูอาการของจาก่อนได้หรือเปล่า” ศมนร้อนใจอยากให้คุณหมอตรวจคนไข้ก่อน เสร็จแล้วจะดุจะว่าเขาอย่างไรก็ได้

            “ได้ๆ โชคดีของฉันจริงๆ ที่อยู่เวรคืนนี้ ไม่งั้นคงต้องรีบบึ่งรถมาโรงพยาบาลกลางดึก”

            “รีบตรวจเถอะครับ” ศมนเร่งอีกฝ่ายขึ้นอีก

            “อุ้มจาไปที่ห้องตรวจพี่” คุณหมอว่าพลางเดินนำไปโดยไม่รอเพราะอีกฝ่ายรู้จักทิศทางของที่นี่ดีอยู่แล้ว

“ครับ” ศมนรีบอุ้มคนป่วยตามคุณหมอไปทันที พันธกรที่เพิ่งจอดรถเสร็จแล้วเดินตามเข้ามาแล้วเลยไปนั่งรอหน้าห้องคุณหมอด้วยความคุ้นเคยเช่นกัน

ศมนวางจาณีนลงบนเตียงด้วยความเบามือ แล้วก็ถอยออกมายืนข้างๆ คุณหมอชลทีเดินเข้ามาประจำตำแหน่ง หันมามองรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยก็ถอนหายใจเบาๆ

“ออกไปรอข้างนอก”

“พี่ชล..” เสียงทุ้มไม่อยากทำตามคำสั่ง

“พี่บอกให้ออกไปรอข้างนอก”

“แต่ผมอยากอยู่ด้วย”

“มน” เสียงเข้มลงหนักตอนเรียกชื่อศมน ยังไงคนอ่อนกว่าก็คงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้

“ก็ได้ครับ”

“ตรวจเสร็จแล้วจะออกไปเรียก”

“ครับ”

“จาณีน จา ตื่นมาคุยกับพี่หมอหน่อย” เสียงคุณหมอเรียกคนไข้ให้ตื่นขึ้น หลังจากได้ยินเสียงประตูห้องตรวจปิดลง

“อือ ครับ” เปลือกตาค่อยๆ ขยับเปิดขึ้น ดวงตาพร่ามัวยังมองเห็นอะไรไม่ชัดในทีแรก ใช้เวลาสักพักจึงปรับสายตาเห็นชัดขึ้น

“พี่หมอ” เสียงของเด็กหนุ่มในเวลานี้ติดออกจะแหบเล็กน้อยด้วยความเจ็บคอ เขากวาดสายตาไปโดยรอบก็เข้าใจได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในห้องตรวจ โรงพยาบาลที่คุณหมอชลทีประจำอยู่ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้อย่างไร

“พี่เอง ไหนบอกพี่หมอหน่อย ว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง”

“หนาวครับ เจ็บคอ ปวดหัว เมื่อยตัว แล้วก็คงไม่มีแรง แขนขาดูหนักไปซะหมดเลยครับ”

“อืม เหมือนครั้งๆ ก่อนเลยใช่มั้ย”

“ครับ” จาณีนคิดอยู่สักครู่จึงเอ่ยตอบออกมา

“จารู้มั้ยว่าเวลาเราป่วยแล้วไม่เหมือนคนอื่น” คุณหมอชลที พูดไปพร้อมกับลงมือตรวจไปที่ละจุดอย่างคล่องแคล่ว

“.....”

“พี่หมอบอกหลายครั้งแล้วว่าห้ามอดอาหาร ต้องกินอาหารให้ครบ แล้วทำไมไม่เชื่อพี่ครับ เอ้า หายใจลึกๆ” เด็กหนุ่มทำตามทันที ตอนนี้คุณหมอใช้ที่สเตธโธสโคปหรือหูฟังที่คล้องคออยู่ขึ้นมาตรวจฟัง

“ผมไม่ได้ไม่เชื่อพี่หมอนะครับ แต่ผมลืมทานจริงๆ ครับ แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรแบบนี้ด้วย”

“เรานี่ดื้อจริงๆ พี่หมอขอสั่งว่าห้ามลืม ห้ามอดอาหารเด็ดขาดนะครับและห้ามเครียด เข้าใจหรือเปล่า”

“.....”

“ถ้าไม่อยากให้มน เหนื่อยกว่าเดิม ต้องทำอย่างที่พี่บอกนะ” คุณหมอหนุ่มสบตากับเด็กที่ตั้งท่าจะเถียงแล้วเลยต้องงัดไม้ตายออกมาพูด

“ครับ” จาณีนไม่ค่อยเข้าใจประโยคคำพูดของคุณหมอชลทีเท่าไหร่ ว่าหมายความว่าอย่างไร

“รับปากสิครับ”

“ครับ”

“ทีนี้ อ้าปาก ขอพี่หมอดูคอหน่อย ไอบ้างหรือเปล่า” จาณีนส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าไม่มีอาการไอ แต่ก็อ้าปากให้คุณหมอเอาไฟฉายส่องคอตรวจเบื้องต้นแต่โดยดี

ศมนรู้สึกว่าเป็นการรอการตรวจที่ใช้เวลานาน เขามองประตูที่ปิดสนิทลงนั้นเป็นระยะๆ กระทั่งเห็นบุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นเข้ามาที่ห้องตรงหน้า เขารีบลุกขึ้นยืน มองเข้าไปในห้องตรวจนั้นด้วยความกระวนกระวายใจยามที่บุรุษพยาบาลเปิดมันออกแล้วเข็นรถเข้าไปข้างในแล้วปิดมันลง

ครู่ใหญ่ ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง บุรุษพยาบาลคนเดิมเข็นรถคนที่เขาเห็นออกมา บนทีนั่งมีร่างของเด็กหนุ่มนั่งอยู่ ใบหน้าของจาณีนดูซีดเซียว ไร้เลือดฝาดและอิดโรย ชายหนุ่มคนนั้นเข็นรถผ่านหน้าเขาไป ศมนตั้งท่าจะเดินตามรถเข็นคันนั้นแต่ก็ถูกมือของใครสักคนดึงเขาเอาไว้ก่อน

“มน อยู่นี่แหละ” คุณหมอชลทีรั้งศมนเอาไว้

“แต่ผมต้องไปดูจา นี่พี่ให้เขาพาจาไปไหนครับ” ถึงจะตอบอีกฝ่ายกลับไป แต่สายตาของศมนนั้นกลับมองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินห่างไปเรื่อยๆ

“ไปพัก ให้น้ำเกลือ คืนนี้ให้จานอนที่โรงพยาบาลละกัน”

“ครับ” ศมนเห็นด้วยกับคุณหมอ เพราะอาการของจาณีนดูไม่น่าไว้วางใจ

“เข้าไปคุยกับพี่ในห้องหน่อย”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ หรืออาการของจามีอะไรผิดปกติ” ศมนเอ่ยถามทันทีที่นั่งอยู่ภายในห้อง

“รอบนี้มันเกิดอะไรขึ้น”

“เกิดอะไรครับพี่”

“มน อย่าเฉไฉ บอกพี่”

“แล้วพี่ชลจะรู้ไปทำไมล่ะครับ”

“หลังจากที่จาเรียนจบ ทุกครั้งที่จาป่วย ต้นเหตุมาจากมนเสมอ แล้วพี่เป็นหมอทำไมพี่จะรู้เรื่องของคนไข้ไม่ได้ ที่พี่คิดแบบนี้เพราะจาไม่มีเรื่องอื่นที่ต้องคิดหรือว่าเครียดแล้ว นอกจากมน เท่านั้น”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“รู้สิ อย่าเฉไฉ มน นายต้องรู้อยู่แล้ว”

“คือผมก็ไม่รู้ว่ามันเพราะเรื่องไหนกันแน่” ศมนมีสีหน้าลำบากใจก่อนจะพูดต่อ “ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของผมหรือของคนอื่นกันที่ทำให้จาเป็นแบบนี้” ไม่บ่อยนักที่จะเห็นท่าทีของศมนที่ไม่มั่นใจแบบนี้

“หืม คนอื่น?”

“ผมไม่พูดได้มั้ย”

“ไม่ได้ เล่ามา อันนี้ฉันอยากรู้ อยากยุ่งเรื่องของนาย” คุณหมอยกยิ้มด้วยความสนใจในเรื่องของรุ่นน้อง

“จะอยากรู้ไปทำไม มันจะช่วยให้จาหายป่วยหรือไงครับ” ศมนกวนอารมณ์อีกฝ่ายกลับไปเพราะไม่เห็นจะเข้าใจว่าชลทีจะสนใจเรื่องนี้ทำไม

“เรื่องของน้อง คนเป็นพี่ก็ต้องอยากรู้”

“อ้างน้องอีกแล้ว”

“เถอะน่า เล่าๆ อยากรู้”

“ทำตัวไม่สมกับเป็นหมออาวุโสเลย ให้ตายเถอะ” บ่นไปก็เท่านั้นเพราะสุดท้ายก็ต้องยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาให้คุณหมอชลทีฟัง

.

.

“นายน่ะ เป็นคนไทยใช่มั้ย” เสียงเรียกของศมนดังขึ้น เขาเงยหน้าไปตามเสียงเรียกท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนผมสีบลอนด์ ต่างชาติเต็มไปหมด จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่กับ ชายหนุ่มผมสีดำ ใส่แว่น รูปร่างผอมสูง ผิวขาวคนหนึ่ง

“ใช่ คุณเป็นใคร ต้องการอะไร” คำพูดตรงๆ ของศมนในวัยสิบแปดปี ทำให้คนที่อายุมากกว่าสามปี อึ้งไปเล็กน้อย

“ดูจากหน้าตาของเธอแล้วคงจะอ่อนกว่าฉัน งั้นฉันจะเรียกตัวเองว่าพี่ ส่วนนายก็เป็นน้องละกันนะ” คุณหมอชลทีในตอนที่ยังเป็นนักศึกษาแพทย์เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามศมน แต่กลับพูดถึงเรื่องอื่นแทน

“ไม่จำเป็น” คนอ่อนวัยกว่าถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย แต่เมื่อสบตากับคนที่บอกให้เรียกตนเองว่าพี่แล้วเขาเลยต่อว่า “ตามใจ แล้วแต่คุณเถอะ” เพราะประเมินดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่ายๆ

“นายชื่ออะไร”

“ศมน”

“ศมน เรียกว่ามนได้มั้ย พยางค์เดียวมันสั้นดี”

“ตามใจ”

“พี่ชื่อชลที เรียกพี่ชลก็ได้ ลุกเถอะ ไปกินข้าวกัน พี่หิว”

“ไม่ เราไม่ได้รู้กันด้วยซ้ำ คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่” สายตาไม่เป็นมิตรถูกส่งไปยังอีกฝ่าย

“ต้องการคนกินข้าวเป็นเพื่อน แล้วอีกอย่างเราก็รู้จักกันแล้วนะ มน”

“ผมไม่หิวแล้วก็ไม่อยากไป”

“ไปเถอะ คนที่กำลังเหงาน่ะ ก็แค่อยากมีใครสักคนกินข้าวเป็นเพื่อน” รอยยิ้มที่อ่อนโยนและสายตาอบอุ่นของคนที่เรียกตัวเองว่าพี่ กำลังมองมาที่ศมนด้วยความจริงใจ ศมนไม่ตอบแต่ลุกเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ

.

.

“อืม ถูกนอกใจเหรอ” คำถามตรงประเด็น ศมนได้ยินถึงกับเซ็ง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาง่ายๆ

“พี่คิดว่าไงล่ะ” ศมนย้อนถาม

“ถูกนอกใจจริงๆ ด้วยสินะ แล้วเจ็บมั้ย”

“เจ็บใจใช่มั้ย” ศมนถามอีกฝ่ายให้ชัดเจน

“หมายถึง...เจ็บที่ ‘ใจ’ ต่างหาก” แต่คุณหมอก็ยังยิงคำถามแทงใจดำเหมือนเดิม

“ใช่..เจ็บแล้วก็โกรธ แต่ไม่ยอมปล่อยมือหรอก”

“คิดจริงๆ เหรอว่าจาจะนอกใจเธอ ที่ผ่านมาการกระทำของจา ไม่ทำให้เธอคิดอะไรได้เลยเหรอ”

“ผมก็รู้ ถึงยังไม่ปักใจเชื่อ”

“คุยกันหรือยัง”

“ยังเลยครับ”

“รออะไร เรื่องพวกนี้สมควรรอหรือ มีปัญหาทำไมไม่รีบเคลียร์ หรือว่ามนอยากจะปล่อยให้ปัญหาพวกนี้มันคาราคาซัง”

“ไม่”

“งั้นก็รีบจัดการเรื่องนี้ซะ คืนนี้พี่จะให้จานอนที่นี่ พี่จะให้ยานอนหลับอย่างอ่อนกับเขาเพื่อให้หลับสนิททั้งคืน ตื่นอีกทีก็พรุ่งนี้เช้านั่นแหละ จะนอนเฝ้าเขาอยู่ที่นี่หรือจะกลับบ้านก็ตามใจ เพราะยังไงคืนนี้พี่อยู่เวรอยู่แล้ว” คุณหมอพูดจบก็ลุกขึ้น เตรียมจะออกไปดูคนไข้คนอื่นต่อ

“ขอบคุณครับ งั้นผมกลับไปนอนพักที่บ้านดีกว่า กรจะได้กลับไปพักด้วย พรุ่งนี้จะได้เอาของใช้มาให้จาก่อนออกจากโรงพยาบาล”

“อ้าว กานต์ไปไหนล่ะ”

“ผมให้กานต์พักร้อนไม่มีกำหนด”

“พูดแล้วสินะ” นอกจากศมนแล้วคุณหมอชลทีก็รู้เรื่องความรู้สึกของพันธกานต์ที่มีต่อศมนเช่นกัน

“ครับ”

“ดีแล้ว อย่าปล่อยให้อะไรๆ มันค้างคาอยู่แบบนี้ พี่ไปก่อนนะ”

“ขอบคุณครับพี่ชล”

หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventh Drop -- 11 June 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 13-07-2017 22:09:11
ช่วงเช้าวันต่อมา ศมนสั่งให้พันธกรโทรไปลางานของจาณีนกับกตพล โดยให้บอดี้การ์ดหนุ่มไปขอเบอร์โทรศัพท์จากวิมาลา ที่เป็นทั้งเลขาและลูกพี่ลูกน้องของเขา และให้บอกเลขาสาวด้วยว่าวันนี้ให้เลื่อนนัดตลอดเช้าออกให้หมด เพราะเขาจะเข้าบริษัทในช่วงบ่ายแทน ส่วนตัวเขาก็เตรียมของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นของเด็กหนุ่มและขับรถมาที่โรงพยาบาลเพียงลำพัง

ทางด้านกตพลที่กำลังยืนคุยกับไตรภัทรพอดี เนื่องจากเลยเวลาเข้างานนานแล้วแต่จาณีนก็ยังไม่มา โทรหาก็ไม่มีใครรับสาย ร้อนใจจนต้องเดินมาหาไตรภัทร เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย เมื่อวานนั้นจาณีนเคลียร์ปัญหากับไตรภัทรเป็นคนสุดท้าย เผื่อจะรู้อะไรมาบ้าง ซึ่งไตรภัทรเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกันว่าจาณีนหายไปไหน

ระหว่างที่กำลังว้าวุ่นใจกันอยู่นั้น กตพลก็ได้รับโทรศัพท์จากพันธกร เขาแจ้งว่าเป็นคนของจาณีนโทรมาลาป่วยแทนเจ้านายของเขาเพราะจาณีนไม่สบายและตอนนี้เข้ารับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งคาดว่า ทำให้ทั้งคู่นั้นโล่งใจว่าจาณีนไม่ได้รับอันตรายอะไรเพียงแค่ไม่สบาย ชายหนุ่มทั้งสองขออนุญาตไปเยี่ยมเด็กหนุ่ม แต่พันธกรปฏิเสธว่าไม่เป็นไรเพราะช่วงสายๆ ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งยังกล่าวเพื่อขอบคุณในน้ำใจของทั้งสองทิ้งท้ายไว้แล้วก็ขอวางสายไป

“จาตื่นได้แล้ว ลุกขึ้นมากินข้าวและกินยา วันนี้จะได้กลับไปนอนพักต่อที่บ้าน” เสียงคุณหมอเจ้าของไข้ปลุกร่างที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้น จาณีนตื่นขึ้นมาก็งุนงงเล็กน้อย เห็นสายน้ำเกลือระโยงรยางค์ เด็กหนุ่มคิดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน ใช้เวลาไม่นานก็นึกเรื่องราวออกทั้งหมด

เช้านี้เขาตื่นขึ้นมาค่อนข้างแจ่มใส หัวสมองปลอดโปร่งกว่าเมื่อวานมาก อาการตัวร้อนก็ลดลง และไม่เจ็บคอแต่อย่างใด คงเป็นเพราะเมื่อคืนได้กินยานอนพักหลับสนิททั้งคืน ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องที่ไม่สบายใจ ทำให้ร่างกายใกล้กลับมาเป็นปกติแล้ว

“สวัสดีครับพี่หมอ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้พร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“สวัสดีจา เป็นไงบ้างเช้านี้” คุณหมอชลทีลูบศีรษะจาณีนด้วยความเอ็นดู เขาเห็นคนตรงหน้ามาแต่แรกเพราะคนเรื่องเยอะคนนั้นพาจาณีนมาให้เขาตรวจร่างกายและเช็คสภาพจิตใจของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาได้รู้จักเด็กน่ารักคนนี้มาตั้งแต่บัดนั้น

“หัวโล่งเลยครับ ดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะเลย”

“อืม ดีแล้วล่ะ ไหนขอพี่หมอตรวจดูอาการหน่อย” คุณหมอชลทีตรวจนั่นจับนี่ เช็คอาการอยู่สักพักก็พูดขึ้น “เดี๋ยวกินข้าวกินยาเสร็จ มนมารับก็กลับบ้านได้เลยนะ”

“ขอบคุณครับ แล้วคุณศมนไปไหนล่ะครับ” จาณีนหันไปมองรอบๆ ห้องแต่ไม่พบคนที่ถามถึงเลย

“ไปจัดการค่าใช้จ่ายของเด็กดื้อยังไงล่ะ”

“อ่า..ขอโทษนะครับ ผมจะพยายามไม่ให้ใครลำบากอีก”

“คิดอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้ได้ด้วย เราน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะรู้มั้ย” คุณหมอยิ้มให้เด็กหนุ่มเชิงปลอบใจ

“ครับ” จาณีนรับคำ

“จา...เรื่อง...”

“ครับ?”

“ไม่มีอะไร” คุณหมอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด

“อ่อครับ”

“พี่ไปก่อนนะ แล้วก็อย่าลืมเรื่องสำคัญ ดูแลตัวเองดีๆ กินข้าวให้ตรงเวลา ห้ามลืมและห้ามอดและห้ามเครียด”

“ครับ ขอบคุณครับพี่หมอ” จาณีนยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้งแล้วคุณหมอก็เดินออกไป

“เป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย” ศมนเดินเข้ามาหลังจากที่จาณีนเพิ่งกินยาเสร็จพอดี

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

“ปวดหัวมั้ย”

“ไม่ค่อยปวดแล้วครับ”

“ถ้างั้นรอให้อาหารย่อยก่อนแล้วสักพักค่อยกลับไปพักที่ห้องต่อแล้วกันนะ” ศมนเดินไปที่โซฟาเพื่อวางกระเป๋าที่เป็นเสื้อผ้าของใช้อีกฝ่าย

“ครับ เอ๊ย! แย่แล้ว ลืมเสียสนิทเลย” เสียงอุทานด้วยความตกใจของจาณีนทำให้ศมหันไปมองว่าเกิดขึ้นอะไรขึ้น

“มีอะไร”

“ผมยังไม่ได้ลางานเลย ตายแน่ๆ พี่พลต้องด่าหูชาแน่ๆ” ประโยคแรกเด็กหนุ่มบอกกับศมน แต่ประโยคท้ายนั้นเจ้าตัวพึมพำบอกตัวเอง

“ฉันให้กรโทรไปลางานให้เธอแล้ว”

“จริงเหรอครับ ขอบคุณครับ” น้ำเสียงดีใจราวกับได้ชีวิตใหม่ของจาณีน ทำให้ศมนต้องพลอยยิ้มตามไปด้วย

“คุณยิ้ม” จาณีนตกใจที่เห็นว่าศมนนั้นยิ้มให้ตนเอง

“ฉันยิ้มไม่ได้เหรอ” ศมนยียวนกลับไป

“คุณหายโกรธผมแล้วเหรอครับ”

“ไม่โกรธแล้วล่ะ แค่ยังไม่เข้าใจเธอเท่าไหร่ว่าทำแบบนั้นทำไม”

“ถ้าผมบอกไปไม่รู้คุณจะเชื่อหรือเปล่า แต่ผมพูดความจริงออกมาจากใจเลยนะครับ”

“ฉันขอถามก่อนละกัน”

“เธอกับไตรภัทรเป็นอะไรกัน”

“ผมกับพี่ไตรเป็นแค่พี่น้องทำงานด้วยกันเท่านั้นเองครับ”

“แต่ที่ฉันเห็นคือเธอจูบกับไตรภัทร แล้วเธอก็ดูเหมือนเต็มใจ” ศมนเล่าไม่หมดว่าอันที่จริงยังมีเรื่องจับมือด้วย แต่เขาไม่มีทางบอกคนตรงหน้าหรอกว่า เขาสั่งให้พันธกรสะกดรอยตามเด็กหนุ่ม

“เรื่องนั้น ผมไม่ปฏิเสธ ยอมรับครับ” คำสารภาพตรงๆ ทำเอาคนฟังกำราวเหล็กที่กั้นเตียงไว้แน่นจนข้อมือขาว จาณีนเห็นแบบนั้นก็ใจไม่ค่อยดี

“เธอชอบเขาหรือ ไตรภัทรคนนั้น” ยากที่เอ่ยปากออกถาม แต่ก็ต้องฝืนใจถามออกไป

“ชอบครับ” คำตอบทำให้ศมนหน้าผิดสี แต่จาณีนก็รีบพูดต่อ” แต่ชอบในฐานะพี่คนหนึ่งน่ะครับ พี่เขาทำงานเก่ง พูดเก่ง ทำงานด้วยง่ายครับ”

“สรุปที่จูบกับเขาก็เพราะ...?”

“เพราะเขาบอกว่ารักผมและขอผมเป็นแฟน” ใบหน้าศมนแสดงออกชัดว่าไม่เข้าใจคำพูดนั้น หมายความว่ายังไง

“ฉันไม่เข้าใจ”

“ก็คุณน่ะไม่เคยบอกรักผมเลย คุณจริงจังกับผมมั้ย ผมเป็นแฟนของคุณหรือเปล่า เราสองคนอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ผมไม่รู้ซ้ำว่าตกลงเราเป็นอะไรกัน เป็นแฟน เป็นคนรัก หรือเป็นแค่คู่นอนของคุณ” จาณีนพูดมายาวเหยียด น้ำเสียงดังขึ้นเล็กน้อยกว่าเดิม เขาอยากจะร้องไห้ตรงนี้แล้ว

“เดี๋ยวก่อน ฉันยังไม่เข้าใจอยู่ดี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เธอจูบไตรภัทร” ศมนยังไม่เห็นว่าเรื่องราวมันสอดคล้องกันตรงไหนเลย

“คุณศมน ผมอยากจะด่าว่าคุณนี่มันบื้อจริงๆ” จาณีนมองอีกฝ่ายด้วยความเข่นเขี้ยว ใจก็อยากจะร้องไห้และโมโหไปพร้อมๆ กัน

“เธอพูดไปแล้วล่ะ”

“เพราะคุณไม่เคยพูดถึงความสัมพันธ์ของผมกับคุณเลย แต่พี่ไตรกลับพูดกับผมตรงๆ และเป็นสิ่งที่ผมอยากได้ยินมาตลอด แล้วผมผิดตรงไหนที่อยากจะหลอกตัวเองว่า คุณบอกรักและจูบผมทั้งที่จริงๆ แล้วคือพี่ไตร

“....”

“คุณคิดยังไงกับผมครับ รักผมบ้างหรือเปล่า” จาณีนถามลอยๆ ออกไป โดยไม่คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบ

“ฉันเคยบอกเธอนะว่า ฉันรักเธอมากกว่าที่เธอคิด” ศมนใช้นิ้วโป้งเขี่ยมือข้างที่ถูกเจาะสายน้ำเกลือเบาๆ

“ผมคิดว่าคุณพูดไปอย่างนั้นเอง”

“เธอเนี่ยจริงๆ เลย เพราะคิดแบบนั้นเธอก็เลยยอมให้ไตรภัทรจูบ?”

“ครับ...” เด็กหนุ่มก้มหน้ารับ ถึงจะอธิบายออกไปตามความจริงก็ตาม แต่ความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือเขาจูบกับคนอื่นที่ไม่ใช่ศมน

“ฉันไม่ใช่คนใจกว้าง”

“ครับ ผมรู้ แถมยังโหดด้วย” จาณีนรู้โดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า นิสัยอีกด้านหนึ่งของศมนที่จาณีนไม่เคยได้สัมผัสเลยก็คือความเด็ดขาด ถ้าใจอ่อนโลเลและไม่หนักแน่น คงตัดสินใจเรื่องธุรกิจและคุมคนมากมายขนาดนี้ไม่ได้

“รู้ก็ดีแล้ว แต่ครั้งนี้ฉันจะทำเป็นไม่เห็น แต่เรื่องไตรภัทรต้องไม่เกิดขึ้นอีก”

“ไม่แล้วครับ เมื่อวานผมเคลียร์กับพี่ไตรเรียบร้อยแล้ว”

“ดีมาก อย่าให้ฉันต้องรับรู้เรื่องแบบนี้อีก”

“แต่ผมยังต้องทำงานร่วมกับพี่ไตรอยู่ คุณศมนคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”

“ฉันไม่อยากให้เธอทำงานกับไตรภัทร”

“เราต้องแยกเรื่องส่วนตัวกับงานออกจากกันให้ได้ไม่ใช่เหรอครับ”

“กำลังจะสอนฉันเหรอ”

“เปล่าครับ ผมแค่พูดเฉยๆ” จาณีนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“พอเริ่มหายไข้ ก็เริ่มร้ายเหมือนเดิมนะ เด็กดื้อ” ศมนดีดหน้าผากเด็กหนุ่มเบาๆ ด้วยความเอ็นดูระคนหมั่นไส้ในคำพูด

“ไม่เท่าคุณหรอกครับ เรื่องนี้เราเคลียร์กันชัดแล้วใช่มั้ยครับ ผมขอโทษ และจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครับ” จาณีนโผเข้ากอดเอวคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง

“อืม” แล้วแบบนี้เขาจะไปไหนรอด จะไม่ให้ใจอ่อนได้ยังไง

“ถ้างั้นคราวนี้ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้มั้ยครับ” จาณีนพูดเสียงอู้อี้อยู่กับอกอีกฝ่าย แขนขาวที่เต็มไปด้วยสายยางยังกอดเอวศมนเอาไว้แน่นไม่ปล่อย

“เอาสิ เรื่องอะไรล่ะ” ศมนลูบศีรษะจาณีนเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

“เรื่องน้องไนท์” มาแล้วสินะ มุมปากยกยิ้ม ศมนกำลังรอเรื่องนี้อยู่พอดี

“ถามมาสิ”

“คุณกับน้องไนท์ เกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน”

“แค่ลุงกับหลาน” ศมนตอบอย่างเรียบง่ายสบายๆ

“แต่ผมเห็นน้องไนท์เรียกคุณว่าปะป๊า”

“ใช่ ฉันให้น้องไนท์เรียกแบบนั้นเอง”

“ทำไมครับ”

“เรื่องมันยาว แต่จะเล่าให้ฟังสั้นๆ ก็คือน้องไนท์เสียพ่อไปตั้งแต่เกิด ฉันสงสารหลาน ไม่อยากให้ขาดพ่อ ก็แค่นั้นแหละ ”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมต้องคิดมาก” จาณีนผละออกจากอีกฝ่ายออกมามองหน้าด้วยแววตาถมึงทึง

“จะรู้ดีมั้ยนะ” ศมนทำเป็นเฉไฉ

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ทำแบบนี้ทำไมครับ”

“ฉันก็แค่อยากสอนเด็กที่อ้างว่าตัวเองโตแล้วบางคน”

“สอนผม สอนทำไม ผมทำอะไรไม่ดีเหรอครับ” จาณีนถามเพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ศมนกำลังจะสื่อ

“ไม่ใช่ไม่ดี แต่ดีเกินไปต่างหาก เธอต้องหัดเห็นแก่ตัวบ้างจาณีน”

“ผมทำอะไร” จาไม่เข้าใจ ศมนต้องการจะสื่ออะไร ทำดีแล้วมันไม่ดียังไงกัน

“เธอต้องหัดถามฉันมากกว่านี้ มีอะไรอย่าเก็บไปคิดเอง สงสัยให้ถามฉัน”

“ผมเห็นคุณงานเยอะแล้วไม่อยากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไปเพิ่มให้คุณอีก”

“ฉันไม่เคยเห็นเรื่องของเธอมันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอก”

“ผมก็เกรงใจอยู่ดี”

“ก็เพราะแบบนี้ก็เลยโดนแกล้งยังไงล่ะ” นิ้วชี้จิ้มแรงลงไปบนหน้าผากเด็กหนุ่ม

“เจ็บนะครับ”

“เจ็บก็ดีแล้ว ฉันตั้งใจดัดนิสัยเธอแต่กลับโดนเธอซ้อนแผนคืนเสียเจ็บแสบ ถือว่าฉันได้รับผลกรรมที่ฉันแกล้งเธอก็แล้วกัน เพราะฉันเองก็เจ็บไม่ต่างกับที่เธอไม่ถามฉัน และคิดเองเออเอง”

“ขอโทษครับ งั้นหลังจากนี้ผมจะไม่เกรงใจคุณแล้วนะ จะถามคุณทุกเรื่องเลย”

“ฉันจะรอตอบคำถามเธอ”

“ถ้าคุณรำคาญผมล่ะก็ ผมจะ..จะ..”

“จะอะไร เด็กดื้อ” ศมนก้มหน้าลงไปใกล้หน้าจาณีน นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวั่นไหวอยู่ภายในอก

“จะอะไรก็ช่างครับ ถ้าคุณรำคาญผมนะคอยดูละกัน ว่าผมจะทำอะไร”

“สงสัยจะไม่มีวันได้เห็น” จาณีนคิดว่าคนอื่นจะรู้มั้ยว่าจริงๆ แล้วศมนน่ะมีนิสัยกวนประสาทได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว ไม่อยากจะคิดว่าเวลาประชุมแล้วกวนโมโหคณะกรรมการไม่รู้กี่มากน้อยกัน

“เราเข้าใจกันแล้วใช่มั้ยครับ”

“อืม”

“ตกลงเราเป็นอะไรกันครับ”

“เธออยากให้เราเป็นอะไรก็เป็นแบบนั้นแหละ”

“อ้าว.. แล้วถ้าผมคิดไปเองคนเดียวล่ะ”

“เธอก็คิดแล้วมาถามฉันสิ ไหนว่าจะถามทุกเรื่องไง”

“เราเป็นแฟนกันนะครับ”

“ตกลง”

“หรือจะเป็นพ่อกับลูกบุญธรรมดีนะ”

“ตกลง”

“หรือจะเป็นแค่เสี่ยกับเด็กดีนะ”

“ตกลง”

“คุณศมน! นี่ตั้งใจกวนโมโหผมใช่มั้ย”

“แล้วเธอล่ะ ก็ตั้งใจทำ กวนไม่น้อยไปกว่าฉันหรอก”

“ผมอะอยากจะโกรธคุณจริงๆ เลย”

“ตามใจเธอเลย สรุปเลือกได้หรือยังว่าอยากให้เราเป็นอะไรกัน”

“ผมชักโมโหแต่ก็ช่างเถอะ ตกลงเราเป็นแฟนกันนะครับ” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่ายตอนที่พูดประโยคท้ายออกไป

“ตกลง” ศมนยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มสองข้างก่อนจะกดจูบแผ่วเบาลงบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม จาณีนยกสองมือคล้องคอคนสูงวัยกว่าเอาไว้แล้วชะโงกหน้าเข้าไปจูบแก้มของศมน

“วันนี้คุณไม่ไปทำงานเหรอครับ”

“มีเด็กป่วย เลยต้องลางานช่วงเช้า”

“ถ้าอย่างนั้นช่วงบ่ายจะเข้าออฟฟิศใช่มั้ยครับ”

“ใช่ ไปส่งเธอที่คอนโดเสร็จแล้วฉันจะเข้าไปทำงานต่อ”

“ผมไปด้วยได้มั้ยครับ”

“ไม่ได้ เธอควรนอนพัก”

“ผมขอไปนอนพักที่ห้องทำงานคุณได้มั้ยครับ” จาณีนส่งสายตาอ้อนวอนไปให้อีกฝ่าย หวังว่าศมนจะใจอ่อน เพิ่งเข้าใจกันแบบนี้เขาไม่อยากห่างออกจากศมนเลย จะว่าอยากทำตัวติดกับศมนก็คงไม่ผิด ขอให้เห็นชายหนุ่มอยู่ใกล้ๆ ก็พอแล้ว

“ไม่กลัวคนอื่นเห็นแล้วเหรอ” ศมนถาม

“ไม่แล้วครับ ก็ตอนนี้ผมเป็นแฟนคุณแล้วนี่” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่าย เขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนหรือปิดบังอะไรกับใครอีกแล้ว

“....”

“นะครับ ผมจะนอนนิ่งๆ เลย”

“เธอเนี่ยนะ ก็ได้ เดี๋ยวฉันค่อยให้วิเตรียมผ้าห่มกับหมอนให้แล้วกัน”

“ขอบคุณครับ” จาณีนจูบแก้มคนอนุญาตเป็นคำของคุณจากเขา

ประมาณสิบนาฬิกา พยาบาลก็เข้ามาถอดสายน้ำเกลือให้กับจาณีน เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณและลุกขึ้นเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ทีแรกศมนไม่อนุญาตเพราะยังไม่หายไข้ดี แต่จาณีนอยากอาบน้ำเพราะเหนียวตัว เขาจึงขอให้ศมนโทรศัพท์หาพี่หมอเพื่อถามว่าอาบน้ำได้หรือเปล่า ไม่นานก็ได้รับคำตอบว่าได้ แต่ให้อาบน้ำอุ่น อย่าเพิ่งอาบน้ำเย็นจัดก็พอ

จาณีนดีใจรีบคว้ากระเป๋าใบย่อมเข้าไปอาบน้ำทันที ศมนเตรียมจะลุกขึ้นไปช่วย แต่จาณีนรู้สึกว่าตัวเองมีแรงปกติแล้ว จึงบอกให้ศมนนั่งพักอยู่ข้างนอกก็พอ ชายหนุ่มลำบากเพราะเขาหลายอย่างแล้ว

ไม่นานก็พากันออกจากโรงพยาบาล เห็นพันธกร บอดี้การ์ดหนุ่มนั่งรออยู่ข้างนอก จาณีนก็ยิ้มให้ พันธกรถามอาการของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง จาณีนตอบว่าดีขึ้นแล้วพร้อมกล่าวขอบคุณที่เป็นห่วง สารถีหนุ่มเดินเข้ามารับกระเป๋าไปถือเสียเองและเดินนำนายจ้างตรงไปที่รถยนต์ที่ศมนขับมาเองตั้งแต่เช้า



===============================

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighth Drop -- 13 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 13-07-2017 23:01:22
ในที่สุดก็เข้าใจกันนนนนนน :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighth Drop -- 13 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 14-07-2017 09:28:06
ดีใจที่ปรับความเข้าใจกันได้
แต่ทำไมรู้สึกกังวลกับอาการป่วยของน้องจา
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighth Drop -- 13 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-07-2017 13:40:13
Nineth Drop

          ระหว่างทางที่นั่งรถไปตึกที่ทำงานของศมนนั้น จาณีนก็แว่วได้ยินเสียงใครสักคนโทรศัพท์ คาดว่าคงเป็นศมน แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้ คงจะสั่งงานอะไรบางอย่างล่ะมั้ง เด็กหนุ่มไม่ได้เก็บมาคิดอะไรต่อก็ผล็อยหลับต่อไปอีกครั้ง รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนได้ยินเสียงแว่วของคนสองคุยกำลังคุยกัน รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจิ้มอยู่ที่แก้มเขาเบาๆ เขาลืมตาขึ้นก็ต้องแปลกใจกับภาพที่เห็น เพียงแต่อีกสองคนนั้นยังไม่รู้ว่าเขานั้นตื่นแล้ว

            “อุ้ย เผลอแปปเดียว ไปกวนพี่จาแล้ว มาหาแม่ค่ะน้องไนท์ อย่าไปกวนพี่จาเลยลูก พี่เขาไม่สบาย ให้พี่จาได้นอนพักนะคะ”

            “ใครฮะ” เสียงเล็กเจื้อยแจ้วถาม

            “พี่เขาชื่อพี่จา เป็นแฟนปะป๊ามนค่ะ” คำแนะนำของวิมาลา ทำให้จาณีนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ถึงจะไม่มีใครเห็นแต่เขาก็รู้ตัวเองดีว่าตัวเองคงทำหน้าแปลกๆ สักอย่างแน่ๆ

            “พี่จา”

            “ใช่ค่ะพี่จา มานี่ค่ะน้องไนท์ มามะ มาเล่นกับแม่ดีกว่าเนอะ”

            “แม่..” เด็กน้อยร้องเรียก

            “ชู่ว เบาๆ ค่ะ เดี๋ยวพี่เขาตื่น” วิมาลาว่าพลางรีบมาอุ้มน้องไนท์ออกไปจากโซฟาที่จาณีนกำลังนอนอยู่ เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นจาณีนที่ลืมตามองหญิงสาวอยู่แล้ว

            “อ้าว ตื่นเลยใช่มั้ยเนี่ย ขอโทษทีนะคะ น้องจา”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมคงนอนมานานแล้วเลยรู้สึกตัวง่าย”

            “แม่ฮะ” เด็กชายที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่เรียกพลางสะกิดแม่เบาๆ

            “ครับลูก”

            “พี่จา” น้องไนท์ชี้มาทางจาณีนที่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงโซฟา

            “พี่จาทำไมครับ” คนเป็นแม่ถามอีกครั้ง

            “น่ารัก”

            “หืมมม” คำตอบของเด็กชาย ทำให้จาณีนรู้สึกกระอักกระอ่วนอีกครั้ง พร้อมกับเสียงหัวเราะของหญิงสาววิมาลาที่ระเบิดหัวเราะออกมาโดยไม่ถนอมอาการเลยแม้แต่น้อย ไม่เว้นแม้กระทั่งศมนที่ยืนไกลออกไปก็หัวเราะเบาๆ ออกมาเช่นกัน

            “ลงๆ แม่ปล่อย จะไป” เด็กน้อยพยายามตะเกียกตะกายลงจากอ้อมแขนที่แม่อุ้มไว้ ทำให้วิมาลาต้องปล่อยเจ้าตัวยุ่งนี่ลงไป

            เมื่อเท้าสัมผัสพื้นพรมได้ เด็กชายรัตติกาลก็วิ่งเข้าไปหาจาณีนทันที เด็กน้อยปีนขึ้นไปบนโซฟาแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนตักของคนป่วยทันที

            “เด็กคนนี้ ซนจริงๆ พี่ขอโทษนะน้องจา แต่ก็แปลกที่เข้าหาคนแปลกหน้าง่ายๆ ปกติเนี่ยค่อนข้างหวงตัวไม่น้อยเลยค่ะ” คนเป็นแม่ส่ายหน้าด้วยความระอาของลูกน้อยที่เอาแต่ใจ

            “ไม่เป็นไรครับ แต่ผมกลัวว่าน้องจะติดไข้ผม”

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าป่วยก็สมน้ำหน้าตัวเองนั่นแหละ” หญิงสาวพูดพลางเดินไปหยิบขนมและอาหารมาวางบนโต๊ะตรงหน้าของเด็กหนุ่ม

            “กิน” น้องไนท์ชี้ไปที่อาหารของตัวเอง วิมาลาหยิบผ้ากันเปื้อนมาผูกไว้ที่คอของเด็กน้อย จังหวะเดียวกับศมนเดินเข้ามาใกล้พอดี เลขาสาวเลยยื่นจานอาหารของเด็กไปให้

            “ฝากป้อนให้วิด้วยนะคะ เดี๋ยววิขอไปเคลียร์งานต่อก่อน”

            “อืม”

            “ส่วนจานนี้ของพี่มนกับน้องจานะคะ ถ้าไม่อิ่มหรืออยากได้อะไรเพิ่มบอกพี่วิได้เลยนะคะน้องจา”

            “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มค้อมตัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ วิมาลายิ้มให้ เอื้อมมือมายีหัวบุตรชายเบาๆ แล้วก็เดินออกจากห้องไป

            ศมนวางจานอาหารของไนท์ลงบนโต๊ะตัวเดิมแล้วอุ้มเด็กชายลงมาจากตักของจาณีนขึ้นมาแล้วให้เด็กน้อยนั่งลงที่โซฟาข้างตัวคนป่วยแทน เพื่อให้จาณีนทานอาหารได้โดยสะดวก

            “ไม่เอา จะนั่งตัก”

            “น้องไนท์ต้องทานข้าว พี่จาก็ต้องทานเหมือนกัน” ศมนสบตากับเด็กน้อย พยายามสื่อสารกันให้เข้าใจ

            “...” เด็กน้อยเงียบเพื่อแข็งข้อกับปะป๊า

            “ทานข้าวอิ่มแล้วก็เล่นกับพี่จาได้ ตกลงมั้ย” สัญญาของลูกผู้ชายถูกเอ่ยขึ้นมาจากคนที่เป็นปะป๊า

            “อืม”

            “ครับสิลูก”

            “ครับ”

            “เก่งมาก ทานข้าวนะครับ” จาณีนมองเพลินกับภาพการดูแลเด็กของชายหนุ่ม มันเป็นภาพที่น่ามอง ถ้าหากศมนมีครอบครัวก็คงจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยความสุขแน่นอน

            “เธอเป็นยังไงบ้าง ปวดหัวอยู่มั้ย”

            “ไม่แล้วครับ น่าจะหายเกือบสนิทแล้ว ว่าแต่ผมมานอนที่ได้ยังไง”

            “ฉันอุ้มเธอมาเอง”

            “อะไรนะครับ” จาณีนตาโตตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะนั่นหมายความว่า ชายหนุ่มจะต้องอุ้มเขาเดินผ่านใครต่อใครมามากมาย คนที่เห็นนั้นจะรู้มั้ยว่าเป็นเขา

            “ได้ยินไม่ผิดหรอก ไม่ต้องกังวลไปหรอก พักเที่ยงไม่มีใครอยู่ ออกไปทานข้าวกันหมด”

            “แล้วผมหลับไปนานมั้ยครับ”

            “สักชั่วโมงได้”

            “อ่อ....ครับ”

            “กินข้าวซะ แล้วก็กินยา”

            “แล้วคุณล่ะครับ”

            “เดี๋ยวฉันป้อนข้าวน้องไนท์หมดก่อนแล้วค่อยทาน เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

            “ให้ผมช่วยตักข้าวให้คุณทานมั้ยครับ” เด็กหนุ่มเสนอตัวเพราะอยากช่วยให้อีกฝ่ายได้ทานข้าวเร็วๆ

            “ก็อยากให้ช่วยอยู่นะ แต่ยังไม่อยากใช้งานคนป่วย เธอรีบกินแล้วรีบพักจะดีกว่า”

            “เอางั้นก็ได้ครับ”

            “เด็กดี” ชายหนุ่มเอื้อมมือผ่านเหนือศีรษะน้องไนท์ไปลูบผมของเด็กโตที่ว่าง่าย

            “น้องไนท์ไม่ดื้อ” เด็กน้อยคิดว่าปะป๊าพูดกับตนเองจึงพูดขึ้นด้วยเสียงดัง เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือได้เป็นอย่างดี

            “ครับ ไม่ดื้อๆ คนเก่งของปะป๊า”

            “คุณศมนครับ”

            “ว่าไง” ชายหนุ่มตอบรับเสียงเรียก แต่มือของศมนก็กำลังตักอาหารป้อนน้องไนท์ไปด้วย โดยไม่ละสายตาจากเด็กน้อย

            “ทำไมน้องไนท์เพิ่งได้ทานข้าว” จาณีนมองนาฬิกาแขวนผนังก็พบว่าเข้าบ่ายโมงแล้ว

            “น้องไนท์หลับไปราวใกล้เที่ยง วิเขาไม่อยากปลุกเพราะกลัวเจ้าเด็กนี่จะงอแง ถ้านอนไม่เต็มที่”

            “อ่อครับ”

            “รีบทานเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียหมด”

            จาณีนจัดการอาหารและยาที่ถูกเตรียมไว้หมดเรียบร้อยแล้ว เขาเลยอาสาขอป้อนข้าวน้องไนท์แทนเพื่อให้ชายหนุ่มได้ทานอาหารบ้าง ศมนยอมให้อีกฝ่ายได้ช่วยแต่โดยดี จาณีนยิ้มและรับจานของน้องไนท์มาป้อนต่อเองด้วยความกระตือรือร้น ข้างๆ น้องไนท์ก็มีศมนที่เริ่มลงมือทานอาหารอยู่เงียบๆ

            หลังจากจบสิ้นมื้ออาหารง่ายๆ แล้ว ศมนก็บอกเด็กหนุ่มว่าเขาต้องไปทำงานต่อ ให้จาณีนอยู่เล่นกับน้องไนท์ แต่ถ้ารู้สึกอยากพักก็ให้บอกเขาทันที อย่าได้เกรงใจ เขาจะให้คนพาน้องไนท์ออกไปเล่นที่อื่น จาณีนพยักหน้าตอบตกลงกับอีกฝ่าย

            จาณีนเล่นกับน้องไนท์ไปร่วมชั่วโมงก็รู้สึกเพลียเล็กน้อย เขาเลยนอนลงบนโซฟาแล้วจับเด็กน้อยนั่งคร่อมร่างของตัวเองไว้ หยิบเอาของเล่นที่มีน้ำหนักไม่มากนักมาวางอยู่บนหน้าอกของตัวเอง เพื่อให้เด็กน้อยหยิบเล่นได้ตามต้องการ เมื่อแผ่นหลังสบาย เขาก็รู้สึกตัวว่าเริ่มง่วงงุนอีกครั้ง แล้วก็หลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

            “น่ารักจังเลย พี่มนคิดเหมือนวิมั้ยคะ” วิมาลามองภาพบุตรชายของตนนอนหลับอยู่บนอกของเด็กหนุ่มนั้นก็รู้สึกอดเอ็นดูไม่ได้

            “อืม” ศมนมองตามสายตาของลูกพี่ลูกน้องไปก็รู้สึกไม่ต่างกัน

            “ท่าทางน้องไนท์จะชอบน้องจาจริงๆ นะคะเนี่ย”

            “น่าแปลก”

            “คะ?”

            “เธอก็รู้ว่าปกติน้องไนท์ไม่เข้าหาคนแปลกหน้า”

            “นั่นสิคะ ทีแรกวิถึงแปลกใจ”

            “คิดว่าเพราะอะไร”

            “ไม่รู้สิคะ เด็กน่ะมีสัญชาตญาณดี เขาคงรู้ล่ะค่ะ ว่าใครน่าเข้าใกล้ หรือไม่”

            “จาน่ะเหรอ”

            “พี่มนน่าจะรู้อยู่แล้วมั้งคะว่าน้องจาน่าเข้าใกล้ขนาดไหน”

            “ก็คงงั้น” ศมนยกยิ้มที่มุมปากเสมือนมีเลศนัย

            “ทำปากหนัก ทำนิ่งมากๆ เข้าระวังเขาหนีไปมีคนใหม่นะคะ”

            “ไม่กลัว”

            “ทำพูดไป ถ้าน้องจาทำจริงๆ  น่ากลัวจะมีคนตรอมใจ”

            “ที่ไม่กลัวก็เพราะว่าถ้าจาเข้าใกล้ใคร พี่จะจัดการคนพวกนั้นให้ออกไปเอง”

            “น่ากลัวจริงๆ อย่าให้น้องจารู้เชียวนะคะ ว่า คุณศมนที่แสนจะใจดี ตามใจทุกอย่าง เบื้องหลังแล้วร้ายยิ่งกว่าเสือ”

            “ไม่มีวันหรอกน่า แล้วนี่จะกลับเลยหรือเปล่า” ศมนเอ่ยปากถามลูกพี่ลูกน้องสาว

            “ตั้งใจว่าจะกลับเลย แต่เข้ามาเห็นแบบนี้แล้ว คงรอให้ใครคนใดคนหนึ่งตื่นก่อนดีกว่าค่ะ พี่มนล่ะคะ”

            “ก็รอ.. ทำงานรอ”

            “ตกลงค่ะ” วิมาลาหัวเราะเบาๆ กับความท่ามากของพี่ชายก่อนจะพูดต่อ “ถ้ามีใครตื่นแล้วก็รบกวนพี่มนเรียกวิทีนะคะ จะได้กลับบ้านกัน”

            “อืม”

            หลังจากนั้นอีกไม่นาน วิมาลาจำต้องเข้ามาปลุกบุตรชายให้ตื่นขึ้น หากปล่อยให้นอนไปแล้ว มีหวังว่าเด็กชายจะไม่ยอมนอนในตอนกลางคืนเป็นแน่ เมื่อผู้เป็นแม่อุ้มน้องไนท์ออกไป จาณีนจึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง เขากระพริบตาเพื่อเรียกสติอยู่สักนาที จึงนึกเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้

            “น้องไนท์” จาณีนพึมพำกับตัวเอง ความทรงจำสุดท้ายคือเขาให้เด็กชายนั่งเล่นอยู่บนท้องของเขา แต่ตอนนี้ไม่มีร่างของน้องไนท์อยู่บนตัวเขาแล้ว

            “กลับไปแล้ว วิเพิ่งมาอุ้มออกไป” ศมนหันไปตามเสียงอุทานของคนเพิ่งตื่น

            “อ่าครับ กี่โมงแล้วครับ”

            “ใกล้ทุ่มแล้ว เป็นไงบ้าง หิวหรือยัง”

            “ครับ คงหายแล้ว วันนี้ผมมีแค่เรื่องกินกับนอนจริงๆ เลย” จาณีนค่อยๆ ลุกขึ้นลูบๆ เส้นผมที่ชี้ไม่เป็นทรงให้พอดูเรียบร้อยขึ้นนิดหน่อย

            “เธอไม่สบาย ก็ต้องนอนพักกับทานอาหารที่มีประโยชน์ให้มากเข้าไว้”

            “ขอบคุณที่ดูแลผมนะครับ”

            “ที่เธอป่วยครั้งนี้ สาเหตุก็มาจากฉันส่วนหนึ่ง ถือว่าฉันชดใช้ความผิดให้เธอแล้วกัน”

            “ครับ”

            “งั้นกลับกันเถอะ ฉันโทรสั่งให้เอาอาหารไปส่งที่คอนโดแล้ว”

            “ครับ”

            หลังจากอิ่มมื้อค่ำและยาที่ศมนจัดการเอาไว้ให้แล้ว จาณีนก็นั่งเล่นมือถือระหว่างรอให้กระเพาะย่อยอาหาร เด็กหนุ่มเปิดโปรแกรมสนทนาขึ้นมาก็เห็นกตพลส่งข้อความเข้ามาถามเรื่องอาการป่วยของเขาตั้งแต่ช่วงบ่าย จาณีนจัดการตอบข้อความเหล่านั้นอย่างเรียบร้อย ย้ำบอกว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้จะไปทำงานตามปกติ ไม่ต้องเป็นห่วง ตอบข้อความเสร็จก็ยังเห็นข้อความของอีกคนเพิ่งส่งเข้ามาเช่นกัน จาณีนคิดอยู่อึดใจก่อนจะกดเข้าไปอ่าน

            ‘เป็นยังไงบ้างครับ น้องจา ดีขึ้นหรือยัง’

            ‘ดีขึ้นมาแล้วครับพี่ไตร ขอบคุณที่เป็นห่วง’

            ‘งั้นพี่ก็สบายใจ’

            ‘แล้วพี่ไตรล่ะครับ ดีขึ้นหรือยัง’ คำถามของจาณีนนั้นไม่ได้หมายถึงประเด็นป่วยทางกาย แต่เป็นทางใจของไตรภัทรต่างหาก

            ‘จาคิดว่ายังไงล่ะ พี่เพิ่งจะอกหักมานะครับ’ ชายหนุ่มแนบสติกเกอร์ส่งมาเป็นรูปที่บอกว่า I’m OK

            ‘ขอโทษอีกครั้งนะครับ’

            ‘ไม่ต้องห่วงพี่หรอก เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง’

            ‘ครับ งั้นผมไปนอนก่อนนะพี่ไตร’

            ‘ครับ ฝันดีนะน้องจา’

            ‘ฝันดีครับ’ ส่งสติกเกอร์ good night ส่งไปให้อีกฝ่าย เห็นหน้าจอขึ้นว่า อ่านแล้ว จาณีนก็ปิดโปรแกรมนั้นลง พอดีกับได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนของศมน

            “ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” จาณีนหันไปบอกศมนที่เดินตัวหอมกรุ่นเข้ามา

            “อืม เปิดน้ำให้อุ่นมากหน่อยล่ะ แล้วอย่าอาบนาน”

            “ครับ”






หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighth Drop -- 13 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 19-07-2017 13:41:08


          จาณีนใช้เวลาอาบน้ำไม่นานตามที่ศมนสั่งไว้ พอออกมาร่างกายที่สัมผัสความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ก็ทำให้เขาเริ่มหนังตาหนักขึ้นมาอีกครั้ง วันนี้เขานอนเยอะมากจริงๆ ง่วงทุกครั้งหลังจากทานยา ตกลงว่าเขากินยาแก้ไข้หรือกินยานอนหลับกันแน่

            ไม่รู้ว่าจาณีนหลับไปนานเท่าไหร่ แต่เขาลืมตามาอีกครั้งก็เห็นศมนยืนอยู่ตรงข้างเตียงฝั่งที่เขานอน สายตาคมจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขา เมื่อศมนเห็นเขาตื่นขึ้น สายตาคู่นั้นก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะปรับมาเป็นปกติดังเดิม จาณีนสะบัดผ้าห่มออกไปให้พ้นตัวเอง ยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย ศมนส่งมือให้เด็กหนุ่มก่อนที่จาณีนจะกระตุกมือนั้นเบาๆ ร่างทั้งร่างของศมนก็ล้มตัวลงมาทาบทับเขาไว้

            จาณีนโอบแขนคล้องคอชายหนุ่มเอาไว้ จมูกของเด็กหนุ่มยื่นเข้าไปหอมตรงลักยิ้มที่ทำให้ใครต่อใครหลงรักมานักต่อนัก ศมนยิ้มบางๆ ให้กับการกระทำของคนภายใต้ ก่อนจะก้มลงไปกัดหลังคอของเด็กหนุ่มไม่เบานัก จาณีนสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บที่ไม่ทันตั้งตัวแต่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร

            สองสายตาสบตากัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ศมนก้มหน้าลงจูบเด็กหนุ่มไว้ เคล้าคลอกับริมฝีปากอิ่ม ที่ตอนนี้ถึงจะขาดความชุ่มชื่น แตกระแหงไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจสภาพภายนอกของเด็กหนุ่ม กลับรู้สึกยังหลงใหลเด็กคนนี้ที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยซ้ำ ท่าทีพยายามเอาใจของจาณีนทำให้ศมนตกหลุมของเด็กหนุ่มอยู่เสมอ ถึงจะอยากจะขึ้นมาเท่าไหร่ก็ยังทำไม่ได้ ในเมื่อเขาขึ้นไปไม่ได้ก็ดึงอีกฝ่ายลงมาด้วยกันเลยก็แล้วกัน

            ความรักและความเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร ถึงจะใจกว้างยิ่งกว่าแม่น้ำสายใด แต่ความเห็นแก่ตัวในเรื่องความรักแล้วคงจะแคบกว่าท่อระบายน้ำเล็กๆ เสียอีก ถึงจะเข้าใจกันดีแล้ว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คงเหมือนมรสุมลูกไม่เล็กเกินไปนักที่เข้ามาทดสอบความรักของพวกเขาว่าพวกเขาทั้งคู่ยังจับมือกันแน่นเหมือนเดิมหรือเปล่า

            และคำตอบก็ชัดเจน

            เรายังจับมือกันแน่น แต่....

ไม่มั่นคง

            ไม่ได้อยากเป็นคนแก่ที่คิดมากจับจดอยู่กับเรื่องเดิมๆ แต่ถ้ามันมั่นคงพอ ก็คงไม่เห็นภาพเด็กหนุ่มจูบกับผู้ชายคนอื่น แต่ก็เอาเถอะไม่ว่าอย่างไรมันก็เกิดขึ้นแล้ว และอีกอย่างหนึ่งยังไงแล้วเขาเองก็ไม่ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายไปแน่ๆ

ดังนั้นเขาจะให้อภัย ถึงแม้ว่าจาณีนจะจูบกับคนอื่นอีกหรือไม่ก็ตาม เขาพร้อมจะปิดตาลงข้างหนึ่งและคิดว่าไม่เคยเห็นเหตุการณ์นี้มาก่อนก็แล้วกัน

            “คุณศมนครับ”

            “หืม”

            “ผมรักคุณนะครับ”

            “ฉันรู้”

            “คุณล่ะครับ รักผมมั้ย”

คำถามเดิมๆ ถูกวนกลับมาถามอีกครั้ง คงไม่ใช่เพียงแค่ศมนคนเดียวที่ใจสั่นคลอน แต่คนที่ทำเรื่องผิดพลาดไปนั้นก็ไม่ต่างกัน ใจดวงนี้มันก็กลัวเหลือเกิน ว่าใจที่ให้ไปจะถูกโยนทิ้งจากอีกฝ่าย

“ฉันรักเธอมากกว่าที่เธอคิดนะ จาณีน” แล้วคำพูดเดิมก็บอกออกมาให้เด็กหนุ่มได้ยิน

“ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอีกครับ”

“ขอบใจ”

แล้วใครล่ะจะยืนยันได้ดีเท่ากับตัวเองว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่เด็กหนุ่มพูดไว้หรือเปล่า

ท่วงทำนองแห่งความรักในค่ำคืนกำลังดำเนินต่อไป เสียงแห่งความรัญจวนดังเข้ามาให้ศมนได้ยิน พยายามห่อหุ้มใจที่แตกละเอียดออกมาหลอมรวมเข้าไว้ด้วยกัน

‘ผมรักคุณ’

เสียงกระซิบแหบเบาที่พร่ำบอกข้างหูอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยจาณีนก็ยังไม่ได้จากเขาไปไหน ยังอยู่กับเขาและรักเขา นั่นคือความรักที่มีให้เขาใช่มั้ย

แก้วที่แตกละเอียดไปแล้วไม่มีวันที่จะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ ใจคนก็เช่นกัน....

            .

            .

หลังจากเหตุการณ์ทดสอบจิตใจผ่านพ้นไป จาณีนก็กลับเข้าสู่ห้วงวงเวียนชีวิตประจำวันเหมือนเดิม เช้าตื่นมาอาบน้ำ ทานมื้อเช้า ขับรถไปทำงาน เลิกงาน ขับรถกลับคอนโด ทานมื้อค่ำ รอคุณศมน หากอีกฝ่ายกลับดึก เด็กหนุ่มก็เข้านอนก่อน ตื่นอีกครั้งยามที่ชายหนุ่มกลับมา แล้วก็หลับไปอีกครั้งถึงเช้า จนถึงเช้าวันใหม่ ก็เริ่มวนกลับไปอาบน้ำใหม่อีกครั้ง

ทุกอย่างดูสงบและราบรื่นดีทุกอย่าง งานของเขาไปได้ดี ผ่านไปหลายเดือนโปรเจ็คของศมนที่เขาดูแลนั้นก็เสร็จลุล่วงแล้ว ถึงจะมีติดขัดในช่วงคุยรีไควร์เมนท์ของศมนหรือในทีนี้ก็คือลูกค้าไปบ้าง พอได้ทำงานร่วมกันแล้ว ศมนเป็นลูกค้าที่ไม่ได้เรื่องมากเท่าไหร่นัก แต่ค่อนข้างชัดเจน ในเรื่องของสิ่งที่ต้องการและงานที่ได้มานั้นต้องพิถีพิถัน ไม่ใช่สักๆ แต่ทำ ทั้งหมดนั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดี แล้วเมื่อวานนี้ก็เป็นวันปิดโปรเจ็คนี้ลงไปด้วยความสวยงามอีกโปรเจ็คหนึ่ง

มีเพียงสิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้แต่พยายามคิดว่ามันไม่ใช่หรอก

ไม่ใช่หรอก

            “เอ็งเก่งมาก ไอ้จา โปรเจ็คคุณศมนนี่ ดูเหมือนลูกค้าจะพอใจมาก” กตพลชมเด็กหนุ่มรุ่นน้องใต้สังกัดจากใจ เขายึดถือว่าอะไรดีก็ควรชม ผิดพลาดตรงไหนก็ต้องตักเตือนกัน

            “ขอบคุณครับพี่พล”

            “งานนี้เอ็งดูตั้งใจ เพราะคุณศมนด้วยใช่มั้ยวะ” เสียงที่ดังปกติถูกปรับให้เบาเสียงลงเมื่อกล่าวถึงใครอีกคน

            “ก็แหงล่ะพี่ นอกจากใช้สมองและมือทำงานแล้ว ใช้ใจลงไปด้วย”

            “จะอ้วกว่ะ”

            “อิจฉาเหรอ” จาณีนแกล้งเย้ากตพล

            “เลี่ยนต่างหาก”

            “พี่ก็หาสักคนสิ”

            “ถ้ามันจะมีเดี๋ยวก็เข้ามาเอง ไม่ต้องไปหาให้วุ่นวายหรอก”

            “พี่รู้มั้ย คนที่ตอบแบบนี้ ตอนนี้ยังขึ้นคานอยู่เลย”

            “บ๊ะ ไอ้นี่ หลอกด่าข้า”

            “เปล๊า” จาณีนเสียงสูงแฝงไปด้วยความไม่จริงใจอย่างชัดเจน “ผมก็แค่พูดไปตามความจริงเอง”

            “เอ้อ เพิ่งนึกได้ ทางธาราแกรนด์ส่งการ์ดเชิญให้ข้าไปร่วมงานเปิดตัวเวบไซต์ของเขา เอ็งได้การ์ดแล้วใช่มั้ย อ่อ ข้าลืมไป อย่างเอ็งคงไม่ต้องหรอก เขาเชิญส่วนตัวได้อยู่แล้วนี่หว่า”

            “ไม่นะพี่” จาณีนส่ายหน้าดิกจนผมหน้าที่เริ่มยาวสลัดไปมา

            “อ้าว เอ็งยังไม่รู้เรื่องรึ”

            “ใช่พี่ คุณศมนไม่เห็นพูดอะไรกับผมเลย”

            “เขาคงจะพาเอ็งไปอยู่แล้วมั้ง อีกอย่างเป็นถึงจาณีน ก็คงเข้างานได้โดยไม่ต้องมีการ์ดเชิญอะไรหรอก” จาณีน อยากจะแย้งคำพูดของกตพลว่าไม่ใช่ มันไม่ใช่นิสัยของศมน นิสัยของชายหนุ่มนั้นค่อนข้างรอบคอบ ไม่มีทางที่เขาจะลืมบอกจาณีน ยกเว้นก็เสียแต่ว่าไม่อยากบอกมากกว่าหรือมีอะไรมากกว่านั้น

            “วันนี้เอ็งลองไปถามเขาดูสิ เขาอาจจะลืมก็ได้” กตพลเห็นเด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปเลยลองแนะนำอีกฝ่าย

            “ครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมค่อยถามเขา”

            จาณีนกลับบ้านวันนั้น เขาลงมือเข้าครัวทำอาหารที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนักเพราะส่วนใหญ่จะสั่งจากร้านมาทานเสียมากกว่า เขาเลือกทำอาหารง่ายๆ อย่างสเต๊กเนื้อเพราะศมนเคยสอนเขาไว้ แล้วมันก็เป็นหนึ่งในเมนูอาหารไม่กี่อย่างที่เขาทำได้ดีแล้วศมนก็โปรดปราน

            เด็กหนุ่มดูนาฬิกาใกล้สามทุ่มเต็มที่ ตอนเย็นเขาส่งข้อความไปถามชายหนุ่มว่ากลับดึกหรือเปล่า ศมนตอบกลับมาว่า คงจะกลับมาถึงราวสามทุ่ม นั่นก็แปลว่าจวนเจียนใกล้เวลาแล้ว จาณีนกวาดตามองไปรอบๆ โต๊ะอาหารหลังจากที่จัดเรียงอาหารเสร็จเรียบร้อย ในจังหวะนั้นสายตาก็พลันไปเห็นตู้เก็บไวน์ จะบอกว่าศมนไม่ชอบดื่มมันได้อย่างไร ถึงขนาดซื้อตู้เก็บไวน์ถึงขนาดนี้ เขาเห็นไวน์ ขวดที่เขาซื้อไว้ให้ชายหนุ่มตอนที่เกิดเรื่องราวเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วก็นึกได้ว่าป่านนี้ชายหนุ่มยังไม่ได้ดื่มมันเลย

            เขาจัดแจงนำไวน์ขวดนั้นออกมาจากตู้แล้วมาตั้งวางอยู่บนโต๊ะ แล้วรีบเข้าไปอาบน้ำ หวังว่าศมนกลับมาเขาคงอาบเสร็จพอดี เมื่อเวลาประมาณสามทุ่มเศษ ศมนก็เปิดประตูมาถึงพอดี

            “ทำอะไรเยอะแยะ มีฉลองอะไรหรือเปล่า”

            “ก็นิดหน่อยครับ”

            “เรื่อง”

            “โปรเจ็คไงครับ”

            “อ่อ จริงด้วยสิ ฉันตั้งใจจะพาเธอไปเลี้ยงสักหน่อย โดนเธอตัดหน้าเสียก่อนหรือนี่”

            “ไม่เป็นไรครับ” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่าย “ไปอาบน้ำก่อนมั้ยครับ”

            “ก็ดี เดี๋ยวฉันมา”

            กลับออกมาอีกครั้งไวน์แดงก็ถูกรินใส่แก้วรอไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้ายกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม แล้วเริ่มลงมือทานอาหาร

            “คุณศมนครับ”

            “ว่าไง”

            “ผมได้ยินจากพี่พลว่าคุณส่งการ์ดเชิญไปให้พี่พลไปร่วมงานเปิดเวบไซต์เหรอครับ”

            “อืม ใช่”

            “คนเดียวเหรอครับ”

            “ไม่ใช่หรอก จริงๆ ก็ส่งไปให้คนที่บริษัทเธอหลายคน”

            “ผมไม่เห็นได้เลย ไม่มีชื่อผมเหรอครับ”

            “หืม ไม่ได้การ์ดเหรอ”

            “ไม่ได้ครับ” จาณีนย้ำตอบอีกฝ่ายไปอีกครั้ง

            “ตกหล่นงั้นเหรอ ไม่น่าเป็นไปไม่ได้” ศมนก้มหน้ามองจานอาหารที่เจ้าตัวกำลังหั่นสเต๊กเนื้อออกเป็นคำๆ ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มเข้าปาก

            “แล้วเธออยากไปงานนี้หรือเปล่า” ศมนเคี้ยวเนื้อนุ่มนั้นจนหมดปากก่อนแล้วตามด้วยไวน์รสโปรด จึงเอ่ยปากถามคำถามที่จาณีนนั้นรอฟังอยู่

            “อยากสิครับ”

            “วันงาน ฉันจะให้กรมารับเธอ เข้างานไปพร้อมกับกร ไม่ต้องใช้การ์ดเชิญหรอก ” ฟังดูผิดวิสัยของศมน เพราะชายหนุ่มมักจะถามความเห็นของเขาด้วย อีกอย่างศมนก็ย่อมรู้ดีว่าเขาไม่ชอบถืออภิสิทธิ์แบบนี้

            “เอาการ์ดเชิญมาให้ผมไม่ดีกว่าเหรอครับ”

            “ไม่เป็นไรหรอก ทำตามอย่างที่ฉันบอกเถอะ”

            “ครับ งั้นก็แล้วแต่คุณศมน” มันผิดปกติไปจริงๆ ดูไม่เหมือนนิสัยของศมนอย่างเคย

            “จำเรื่องขอใบอนุญาตพกปืน ที่ฉันเคยพูดได้มั้ย”

อยู่ๆ ศมนก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา จาณีนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มเคยบอกว่าจะให้เขาพกปืนเพื่อป้องกันตัวเอง แต่เพราะเกิดเหตุการณ์วุ่นๆ และงานของเขากับศมนก็ยุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

“จำได้ครับ”

“ฉันให้กรเริ่มไปจัดการเรื่องนี้ให้เธอแล้ว ขอโทษทีที่เพิ่งไปทำให้”

“ไม่เป็นไรครับ จริงๆ แล้วไม่ต้องทำก็ได้ครับ”

            “ไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีไว้เพื่อป้องกันตัว อีกอย่างตอนนี้กานต์ก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เธอก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด อย่าให้ฉันต้องเป็นห่วง”

            “ครับ เอ้อ แล้วงานจะมีขึ้นเมื่อไหร่ครับ”

            “อีกสองสัปดาห์ ไม่ได้เป็นพิธีการอะไรมากนัก ไม่ต้องซีเรียสเรื่องการแต่งกาย”

            ถ้าบอกว่ากำลังสับสนอยู่ นั้นคงได้ใช่มั้ย ศมนเหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่เขาก็ยังดูเหมือนเป็นศมนคนเดิมที่เป็นห่วงและหวังดีต่อเขาในทุกๆ อย่างเช่นเดิม สิ่งที่เขากังวลอยู่ก็คือ ภายใต้การเปิดตัวเวบไซต์นั้นมันมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ การที่บอกว่าการ์ดเชิญตกหล่นนั่นฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย

            “จาณีน”

            “ช่วงนี้ฉันคงกลับดึกกว่าเดิมหรืออาจจะไม่ได้กลับมานอนที่นี่ เธออยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย” ในอกไหวไปวูบนึงตอนที่ได้ยิน ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยแยกจากกันเพราะศมนไปทำงานที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศค่อนข้างบ่อย แต่มันต้องไม่ใช่เพราะอยู่ใกล้กันแค่นี้แต่กลับต้องแยกกัน

            “ได้ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” จาณีนฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายไป เพราะคำว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วกำลังจะสอนเขาต้องทำแบบนี้

            “ทั้งงานเปิดตัวเวบไซต์กับรีสอร์ทที่กำลังเปิดสาขาใหม่ คงเปิดตัวในงานพร้อมกัน”

            “ครับ แล้วคุณศมนไม่นอนที่นี่แล้วจะไปพักที่ไหนครับ บริษัทเหรอ”

            “เปล่า ฉันคงกลับบ้านใหญ่ เพราะมันใกล้บริษัทมากกว่าที่นี่” คอนโดแห่งนี้ไกลจากบริษัทชายหนุ่ม แต่ใกล้มหาวิทยาลัยกับบริษัทของเด็กหนุ่ม

            “อ่อครับ นานมั้ย ผมหมายถึงคุณจะไปๆ มาๆ แบบนี้นานมั้ยครับ”

            “ก็คงช่วงนี้ ถึงวันจัดงานเมื่อไหร่ก็กลับมานอนที่นี่ได้เหมือนเดิม”

            “ครับ งั้นผมจะโทรหาไม่ก็ส่งข้อความไปหานะครับ”

            “อืม”

===============================

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineth Drop -- 19 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 19-07-2017 15:47:16
ให้ตายเถอะ ตอนนี่ก็ระแวงคุณศมนไปกับน้องจาด้วย
 :m16:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineth Drop -- 19 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-08-2017 10:33:42
Ten Drop

     ศมนไม่กลับมานอนที่คอนโดอย่างที่ชายหนุ่มเคยได้บอกไป จาณีนโทรศัพท์หาศมนบ่อยกว่าที่เคยแต่อีกฝ่ายก็ไม่ค่อยว่างพูดคุยด้วยเท่าไหร่นัก ส่งข้อความไปกว่าคนทางนั้นจะอ่านบางทีก็ผ่านไปข้ามวัน เด็กหนุ่มไม่อยากจะรบกวน       วิมาลา เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกว่าเขากำลังเฝ้าตามศมนอยู่

            จาณีนไม่อยากจะงี่เง่า ท่องเข้าไป ผู้ใหญ่แล้วไม่ทำนิสัยของเด็ก แต่ก็ดูจะยากต่อจิตใจเหลือเกิน ใครเหรอที่เป็นคนบอกว่าเข้าสู่วัยทำงานแล้วเขาจะทำตัวเด็กกับคนรักไม่ได้ จาณีนอยากจะเอาหัวโขกกับผนังห้องให้แตกรู้แล้วรู้รอดไป จาณีนไม่อยากกลับคอนโดเร็วจนไปนัก ห้องที่ว่างเปล่า ไร้เงาของศมนนั้น มันดูเหงาเหลือเกิน เมื่อก่อนยังพอเข้าใจได้ว่าชายหนุ่มไปทำงานที่อื่น แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ อยากไปหาแต่ไปไม่ได้มันทรมานเกินไป

            เด็กหนุ่มเลยแวะเวียนไปบ้านเช่าหลังเก่าที่เขาเคยอาศัยอยู่กับยายบ่อยครั้ง และครั้งนี้ก็เหมือนกันเขาจอดรถลงที่รั้วไม้เก่าๆ หน้าบ้าน

            “น้องจา ใช่หรือเปล่าลูก” คุณป้าที่มาเช่าบ้านหลังนี้ต่อจากคุณยายเขาสิ้นไป เข้ามาเคาะกระจกทักทายเขา คุ้นเคยราวกับเป็นญาติสนิทไปเสียแล้ว

            “สวัสดีครับ จาเอง” จาณีนลดกระจกรถลงพร้อมทั้งไหว้เคารพอีกฝ่าย

            “มาทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะลูกนะ”

            “ครับ” ถ้าเป็นก่อนนี้จาณีนคงปฏิเสธไปแล้วด้วยความเกรงใจและรีบกลับไปรอใครบางคนที่ห้อง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว ยิ่งคิดเด็กหนุ่มก็ต้องพรูลมหายใจออกมาด้วยความเหงา

            “มาๆ นั่งก่อน ป้าซื้อกับข้าวมาหลายอย่างเลย”

            “แล้วยูล่ะครับ” จาณีนหมายถึงชนัญญู หลานของคุณป้า เพราะเขายังไม่เห็นใครนอกจากคุณป้าเพียงคนเดียว

            “วันนี้ตายู เขามีกิจกรรมอะไรที่มหา’ลัยเนี่ยแหละ บอกว่าจะกลับดึกหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก โตๆ กันหมดแล้ว”

            “ครับ”

            “ช่วงนี้งานไม่ค่อยยุ่งแล้วหรือ”

            “ครับ ทำไมเหรอครับคุณป้า”

            “เอ้า ก็ป้าเห็นว่าเดี๋ยวนี้มาหาได้บ่อยขึ้น แล้วเมื่อก่อนชวนทานข้าวก็ไม่ยอมอยู่ทานด้วยเลย”

            “คุณป้ารำคาญจาหรือเปล่า”

            “โอ้ย ไม่ใช่อย่างนั้น มาบ่อยๆ นี่แหละดีแล้ว ป้าจะได้หายเหงา ป้าเองก็เห็นน้องจาเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง”

            “ขอบคุณครับ”

            “ป้าเป็นห่วงเรานะ ช่วงนี้น้องจาดูซึมๆ นะลูก ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”

            “ก็นิดหน่อยครับ”

            “มีอะไรก็เล่าให้ป้าฟังได้นะ ถึงป้าจะช่วยเหลือไม่ได้แต่ก็รับฟังได้ ถ้าไม่อยากกลับบ้านแล้วไม่รังเกียจก็นอนห้องเจ้ายูก็ได้นะ รายนั้นไม่ว่าหรอก” คนสูงวัยกว่ากล่าวเชื้อเชิญด้วยความใจดี

            “ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้อีกฝ่ายแต่เลือกไม่เล่าเรื่องไม่สบายใจของตนเองให้ป้าฟัง

            “ขอบคุณอีกแล้ว เลิกเกรงใจป้าได้แล้วล่ะ”

            “ขะ.. ครับ” จาณีนเกือบจะขอบคุณตามนิสัยแต่ก็ยั้งไว้ได้ทันเมื่อพลันเห็นสายตาของป้าจ้องมองมา

            “งั้นมากินข้าวกัน ตกลงว่าคืนนี้ค้างที่นี่มั้ยจ้ะ”

            “ครับ” จาณีนตอบตกลงโดยง่าย เพราะเขาก็ไม่อยากกลับไปเจอห้องว่างเปล่าจริงๆ นั่นแหละ

            “น้องจา” คุณป้าเรียกหลังจากที่จาณีนอาบน้ำออกมา ป้าเอาเสื้อผ้าหลานชายมาให้ถึงจะตัวใหญ่กว่าเด็กหนุ่มไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับหลวมจนใส่ไม่ได้

            “ครับ”

            “เดือนหน้าป้าคงจะย้ายออกจากที่นี่แล้วนะจ้ะ”

            “ทำไมล่ะครับ” จาณีนถามเสียงดัง แหล่งพักพิงใจของเขากำลังจะหายไปอีกคนแล้วหรือ

            “ลูกชายป้า ก็อาของเจ้ายูน่ะแหละ อยากให้ป้าไปช่วยเลี้ยงหลานน่ะ”

            “แล้วยูล่ะครับ” จาณีนไม่ได้สนิทกับชนัญญูมากมาย เคยพูดคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่ช่วงนี้เขาค่อนข้างได้คุยกับชนัญญูบ่อยกว่าเดิมเพราะเขามาฝากท้องที่บ้านหลังนี้

            ชนัญญูเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยเดียวกับเขาและก็เป็นเรื่องบังเอิญที่หลานชายของป้านั้นเรียนสาขาเดียวกับเขาด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นทั้งรุ่นน้องมหาวิทยาลัยและภาคเลย

            “นี่แหละจ้ะ ป้ายังคิดไม่ออกว่าจะเอายังไงดี ทีแรกป้าก็บอกว่าจะเช่าบ้านหลังนี้ต่อ ก็ห่วงว่ายูจะอยู่คนเดียวอีก หลานคนนี้ก็พยายามทำตัวไม่ให้ป้าเป็นห่วง บอกว่าเดี๋ยวจะไปพักอยู่ที่หอเพื่อน แต่ป้าเองก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี”

            “อะครับ”

            “ป้าเองก็บ่นตามประสาคนแก่น่ะแหละ ยังไงเจ้ายูก็คงอยากไปพักกับเพื่อนนั่นแหละ เด็กคนนี้ติดเพื่อนอย่างกับอะไรดี”

            “เป็นเรื่องธรรมดาของวัยนี้ครับ” จาณีนหาวหวอด เด็กหนุ่มเอามือป้องปากแล้วก็พูดไปตามที่คิด ผิดกับเขาที่ไม่ติดเพื่อนแต่ติดผู้ชายคนหนึ่งแทน

            “ง่วงแล้วล่ะสิ เข้าไปนอนได้เลยจ้ะ ซ้ายมือห้องนั้นล่ะจ้ะ ป้าจัดที่นอนไว้ให้แล้ว”

            “ครับ ฝันดีนะครับคุณป้า” จาณีนยิ้มให้กับความกรุณาของอีกฝ่ายแล้วเดินเข้าห้องนอนไป ล้มตัวนอนได้ เด็กหนุ่มก็หลับลงทันที เหมือนกับว่าคืนนี้เป็นคืนที่เขาได้กลับมานอนที่บ้านยังไงยังงั้น

            “ฝันดีจ้ะ”

            .

            .

            “ว่าไง” ศมนกรอกเสียงลงไปตามสาย

            “คุณจาไม่กลับคอนโดคืนนี้ครับนาย” บอดี้การ์ดหนุ่มเริ่มรายงานทันที

            “เขาไปไหน ไตรภัทร?” เสียงที่ถามกลับไป ขรึมลงทันที

            “ไม่ใช่ครับ วันนี้คุณจานอนค้างที่บ้านเช่าหลังนั้นครับ”

            “หืม จาเนี่ยนะ” ปกติจาณีนค่อนข้างเป็นคนติดบ้าน ไม่ค่อยไปนอนที่อื่น

            “ครับ”

            “ช่วงนี้เขาไปที่นั่นบ่อยมั้ย”

            “ถ้าไม่ติดงานก็ไปเกือบทุกวันครับ แต่ปกติจะกลับไปนอนที่คอนโดทุกครั้ง”

            “เขามากับใครหรือเปล่า”

            “ไม่ครับ คนเดียว คนเดียวเสมอครับ” พันธกรพูดย้ำเพราะไม่อยากให้เจ้านายเข้าใจในตัวจาณีนผิด

            “อืม ขอบใจนายมาก กลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ไปตามจาแต่เช้าก็แล้วกัน”

            “แล้วนายล่ะครับ”

            “เดี๋ยวฉันให้คนที่บ้านมารับ”

            “ครับ”

            จาณีนตื่นขึ้นมาอีกวัน มองไปรอบห้องที่ไม่คุ้นเคย เรียบเรียงความคิดอยู่ในหัวสักครู่จึงนึกออกว่าเมื่อคืนนี้เขานอนค้างที่บ้านคุณป้า เด็กหนุ่มพยายามจะขยับลุกขึ้นแต่ก็รับรู้แรงกดอยู่ช่วงเอว เขาค่อยๆ มองลงไปจึงเห็นแขนผิวสีน้ำผึ้งพาดเอวของเขาอยู่ คราแรกจาณีนตกใจจนแทบจะปัดมือนั้นทิ้ง แต่พอหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นชนัญญู หลานชายคุณป้า

            อ้อ... ลืมไปห้องนี้เป็นห้องของยู เมื่อคืนเจ้าตัวคงกลับดึก จาณีนค่อยๆ จับแขนของยูออกไปจากเอวเขาแล้วจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน

            “ตื่นแล้วเหรอจ้ะ” คุณป้านำอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ มาตั้งพอดี

            “ครับ”

            “ทานข้าวก่อนไปทำงานนะ”

            “ขอบคุณครับ”

            “ขอบคุณอีกแล้ว”

            “อ้าว ตายู ทำไมตื่นแต่เช้า มีเรียนหรือ” คนเป็นป้าเอ่ยถามหลานชายเมื่อเห็นคนตัวสูงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง

            “ครับ”

            “งั้นมาทานพร้อมกับพี่จาเลยสิยู”  จาณีนหันไปก็เห็นชนัญญูแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว ในมือมีสมุด ปากกาแล้วตำราเรียน

            “เมื่อคืนพี่นอนที่นี่ก็เลยนอนห้องยู ไม่ว่ากันนะ” จาณีนบอกเชิงขออนุญาตเด็กหนุ่มตรงหน้า

            “ไม่ทันแล้วมั้ง แต่ไม่เป็นไรหรอก” ชนัญญูตอบอีกฝ่ายกวนๆ ตามนิสัยขี้เล่นของเจ้าตัว

            “พูดจากับพี่เขาดีๆ สิยู แล้วหน้าตาก็ยิ้มให้มากๆ หน่อย บูดบึ้งอะไรแต่เช้า ฮึ” คุณป้าเดินเข้ามาดึงแก้มขาวของหลานชาย และคงไม่เบามือสักเท่าไหร่ เพราะได้ยินเสียงชนัญญูโอดโอยร้องด้วยความเจ็บ เห็นชนัญญูยกมือลูบแก้มป้อยๆ แล้วก็อดขำไม่ได้ ยิ้มอยู่ไม่นานก็ต้องหุบยิ้มลงเพราะมันช่างเหมือนกับศมนที่ชอบดีดหน้าผากเขาเหมือนกัน

            “จะไปมหา’ลัยเลยหรือเปล่า” จาณีนถามอีกฝ่ายหลังจากเก็บจานชามมาช่วยกันล้างอยู่สองคน

            “ครับ” ชนัญญูตอบโดยไม่ละสายตาจากจานตรงหน้า

            “พี่ไปส่งนะ” เขาก็อยากตอบแทนที่เมื่อคืนยูแบ่งที่นอนให้

            “ไม่เป็นไร ผมไปเองได้”

            “ให้พี่ไปส่งเถอะน่า”

            “เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก” ชนัญญูพูดด้วยความเป็นห่วง

            “ไม่เป็นไร จากมหา’ลัยยูไปออฟฟิศพี่นิดเดียวเอง ทันเข้างานอยู่แล้ว เสร็จแล้วใช่มั้ย”

            “ครับ”

            “งั้นไปกันเถอะ คุณป้าครับ จาไปก่อนนะครับ”

            “จ้ะ ไปดีมาดีนะลูก แล้ววันนี้จะเข้ามาหาป้ามั้ย”

            “คงไม่ได้เข้ามาครับ วันนี้คงจะต้องกลับคอนโด ขืนค้างอีกคืนก็คงไม่มีเสื้อใส่แล้วครับ โชคดีที่มีเสื้อติดรถไว้ตัวหนึ่ง”

            “จ้ะ ขับรถระวังๆ นะลูกนะ”

            “ครับ” จาณีนตอบกลับ

“ไปก่อนนะครับป้า” คนตัวสูงเดินตามหลังจาณีนออกมาพร้อมยกมือไหว้ลาคนเป็นป้า

            “วันนี้เรียนเช้าเหรอ กี่โมงน่ะ” จาณีนชวนคุยเมื่อถอยรถจากหน้าบ้านเช่านั้นออกม

            “วันนี้มีงานที่มหา’ลัย“

            “เหรอ อยากไปจัง” จาณีนนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองยังเป็นนักศึกษา งานของมหาวิทยาลัยนั้นค่อนข้างสนุกทุกครั้ง โดยส่วนตัวแล้วเขาค่อนข้างชอบกิจกรรมเหล่านี้

            “ก็ไปสิ”

            “พี่ต้องไปทำงาน จะไปได้ยังไงเล่า” จาณีนหันไปบ่นกับคนนั่งข้างๆ

            “งานเลิกดึก วันนี้มีประกวดดาวเดือนมหา’ลัย”

            “เหรอ ไปๆ เดี๋ยวตอนเย็นเข้าไปหาที่คณะนะ” จาณีนตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เขาห่างหายจากกิจกรรมแบบนี้ไปนานเท่าไหร่แล้ว

            “ดีใจอย่างกับเด็ก” ชนัญญูพูดออกมา จาณีนเองก็ได้ยินแต่ก็ไม่ได้เท้าความอะไรต่อเพราะคำว่าเด็กมันจี้ใจดำเขาเหลือเกิน

            “ฝึกงานเมื่อไหร่ เทอมหน้าใช่ป่ะ”

            “อืม”

            “ดูที่ฝึกงานไว้บ้างหรือยัง”

            “อืม”

            “ที่ไหนอะ”

            “ถามทำไม” ชนัญญูมองอย่างไม่ไว้ใจ ไม่รู้จาณีนเป็นอะไร ทำไมวันนี้ถึงพูดมากกว่าทุกที ปกติแล้วก็ไม่เห็นจะชวนเขาคุยอะไรขนาดนี้

            “อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้หรือไง”

            “บริษัทตรงแถว A”

            “เหรอ ตั้งใจเข้าล่ะ เผื่อทำงานดีเขาจะได้รับไว้ ตอนเรียนจบจะได้ไม่ต้องหางานให้เหนื่อย”

            “อืม รู้แล้ว”

            “เออ นี่ยู”

            “หืม?”

            “ได้ยินว่าป้าจะย้ายออกเหรอ”

            “ใครบอก”

            “ก็ต้องป้านายน่ะสิ”

            “ใช่ ทำไม มีอะไรอะ” ชนัญญถามอีกฝ่ายกลับ

            “ถามเฉยๆ อย่าทำเหมือนพี่กำลังขู่เข็ญนายอยู่ได้มั้ย”

            “ก็แค่แปลกใจ กินยาอะไรผิดสำแดงหรือเปล่า วันนี้ดูพูดมากจัง”

            “เด็กสมัยนี้ พูดจาไม่มีสัมมาคารวะเอาซะเลย”

            “ใครกันแน่ที่เด็ก”

            “ช่างเถอะ แล้วนายจะไปอยู่ที่หอเพื่อนเหรอ”

            “ใช่”

            “ทำไมล่ะ”

            “ก็ไม่อยากให้ป้าเป็นห่วง ถ้าอยู่ที่บ้านเช่านี่คนเดียวต่อ ป้าก็คงเป็นห่วงอยู่ดี”

            “เป็นเด็กดีเหมือนกันนะ” จาณีนเอ่ยชมอีกฝ่ายเบาๆ

            “เด็กดีสิ” ชนัญญูตอบด้วยความภูมิใจ

            “นายนี่ก็มีมุมน่ารักกับเขาเหมือนกันนะ” จาณีนยังชมคนข้างๆ ต่อ แล้วคิดตัวเองมองไม่ผิดที่เห็นหูของคนนั่งข้างๆ ดูแดงๆ คงจะเขินสินะ

            “ถึงแล้ว” จาณีนขับรถมาจอดที่หน้าคณะวิทยาศาสตร์ สาขาการคอมพิวเตอร์ที่ชนัญญูเรียนอยู่ ซ้ำยังเป็นคณะที่เขาเคยเรียนมาก่อนเช่นกัน

            “จอดที่หน้ามหา’ลัยก็ได้ ทำไมต้องมาจอดที่คณะด้วย”

            “ไม่ได้มาคณะนานแล้วก็อยากมาบ้างนี่”

            “ยังไงก็ขอบคุณละกัน พี่จา”

            “เรียกพี่ค่อยน่าฟังหน่อย”

            “ไปละ” ชนัญญูเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าคณะไป

            “ยู เดี๋ยวก่อน” จาณีนลดกระจกลงฝั่งที่ชนัญญูนั่งเมื่อครู่นี้ พร้อมตะโกนเรียกคนที่เพิ่งลงไป

            “ว่า?” ยูหันกลับมาตามเสียงเรียก

            “เย็นนี้รอพี่ด้วยนะ”

            “อืม” ชนัญญูตอบรับพลางสะพายเป้เดินเข้าคณะไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าคณะไปแล้ว จาณีนจึงขับรถมุ่งหน้าไปที่ทำงานต่อ


=========================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineth Drop -- 19 July 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-08-2017 10:34:06

          ช่วงนี้จาณีนงานไม่ค่อยยุ่งเพราะปิดไปสองโปรเจ็คหนึ่งก็คือของศมนและลูกค้าอีกแห่งหนึ่งที่ทำร่วมกับไตรภัทร   กตพลเห็นว่าเด็กหนุ่มทำงานที่ผ่านมาได้ดี แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานได้ไม่เกิดผลกระทบต่องาน เขาจึงยังไม่มอบหมายงานอื่นให้จาณีนดูแล ให้เคลียร์พวกเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย

            หลังเลิกงานจาณีนโทรศัพท์ไปหาศมน แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับ เขาเลยส่งข้อความไปแทนว่าวันนี้จะเข้าไปมหาวิทยาลัยที่เคยเรียน คงจะกลับคอนโดค่อนข้างดึก ชายหนุ่มไม่ต้องเป็นห่วง ส่งข้อความเสร็จจาณีนก็เก็บข้าวของบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว บอกลากตพลแล้วรีบขับรถตรงไปที่หมายทันที

            ผู้คนค่อนข้างหนาตา ถึงแม้จะจะเป็นเวลาช่วงเย็นแล้วก็ตามเพราะไฮไลท์ของงานจะอยู่หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาวนหาที่จอดรถอยู่พักหนึ่งก็ได้ที่จอดรถ ตรวจดูว่าล็อครถเรียบร้อยแล้วก็เดินมุ่งไปยังลานเอนกประสงค์ของมหาวิทยาลัย จาณีนพยายามสอดส่ายสายตามองหาคนคุ้นตา แต่ก็ไม่เจอ เขาก็ไม่มีเบอร์ของชนัญญูเสียด้วย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชนัญญูทำหน้าที่อะไรเกี่ยวกับงานนี้หรือเปล่า

            จาณีนยืนพิงเสามองที่เวทีจัดงานในปีนี้ ขณะนี้เป็นการแสดงความสามารถของผู้เข้าประกวดดาวเดือนแต่ละคณะ แต่ละคนก็มีความสามารถพิเศษเฉพาะของตัวเอง บ้างก็ร้องเพลง บ้างก็รำไทย หรือบ้างก็โชว์ทักษะทางดนตรี เปียโน กีตาร์ ขนมาเกือบหมด จะว่าไปก็ไม่ค่อยต่างจากสมัยที่เขาเรียนอยู่ที่นี่นักหรอก ที่ต่างกันคงเป็นการตกแต่งและสีสันของพิธีกรในแต่ละรุ่นมากกว่า

            “และนั่นก็จบไปแล้วกับการแสดงของน้องพลอย ดาวจากคณะวิทยาศาสตร์ค่า ขอเสียงปรบมือให้กำลังใจน้องพลอยด้วยค่ะ” พิธีกรชายและหญิงเดินขึ้นมาเวทีหลังจากการแสดงรำไทยของน้องพลอยจบลง เสียงพิธีกรหญิงก็พูดขึ้นแล้วปรบมือไปพร้อมกัน

            “งั้นเรามาทำความรู้จักกับน้องพลอยสักหน่อยกันดีมั้ยคะ” พิธีกรชายยื่นไมค์ไปให้ดาวคณะที่ยืนโปรยยิ้มหวานไปรอบๆ เพื่อเรียกคะแนนเสียง

            “ขอบคุณค่ะ” น้องพลอยรับไมค์มาแล้วกล่าวขอบคุณ

            “เชิญน้องพลอยแนะนำตัวเลยครับ” พิธีกรชายเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง

            “ค่ะ สวัสดีค่ะ ดิฉันนางสาวพลอยใส ตั้งวิริยะ ชื่อเล่นชื่อพลอย อายุ 18 ปี คณะวิทยาศาสตร์ค่ะ” เสียงปรบมือดังไปทั่วบริเวณราวกับให้กำลังใจหญิงสาว

            “เป็นยังไงบ้าง หายตื่นเต้นหรือยังคะ” พิธีกรสาวถามขึ้น

            “ไม่ค่อยตื่นเต้นแล้วค่ะ ตอนนี้รู้สึกโล่งมากกว่า”

            “เอาล่ะครับ ถึงช่วงให้กำลังใจน้องพลอยกันแล้ว ใครชื่นชอบน้องพลอย อยากให้น้องเป็นดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้ นำดอกกุหลาบที่ขายอยู่บริเวณซ้ายมือของเวทีมามอบให้ได้เลยครับ”

            “เชิญเลยค่า” สิ้นเสียงพิธีกรสาว นักศึกษาที่มีดอกไม้อยู่ในมือก็กรูเข้ามามอบดอกไม้ให้กับน้องพลอยกันเป็นการใหญ่ ดาวคณะวิทยาศาสตร์เกือบถือดอกไม้เกือบไม่ไหว

            “สต๊าฟด้านหลังมาช่วยถือดอกไม้ของน้องพลอยหน่อยจ้า” พิธีกรสาวยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด

            “สำหรับดอกไม้ที่น้องๆ หรือพี่ๆ ทุกคนซื้อมา รายได้ส่วนหนึ่งหลังจากหักค่าใช้จ่ายการจัดงานนี้แล้ว เราจะไปบริจาคสมทบทุนกับมูลนิธิกระจกเงาครับ”

            “รีบซื้อรีบมอบเลยค่ะ เหลือเวลาอีกสามสิบวินาที ยิ่งซื้อมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้บุญมากเท่านั้น และก็ยิ่งทำให้ผลโหวตของน้องพลอยชนะได้เลยค่า” จาณีนยิ้มให้กับการขายของในรูปแบบนี้ พิธีกรคู่นี้ผลัดกันพูดต่อบทกันได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัดเลย

            “หมดเวลาครับ เดี๋ยวขอเชิญน้องพลอยไปพักด้านหลังก่อนนะครับ”

            “ลำดับถัดไป จะเป็นการแสดงทางฝั่งฝ่ายชาย เดือนจากคณะวิทยาศาสตร์กันบ้างนะคะ ขอเสียงปรบมือให้กับน้องไทป์ด้วยค่า” พิธีกรประกาศเสียงดังชัดเจนแล้วก็เดินหลบไปด้านข้างของเวที เสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดดังขึ้นเมื่อเดือนคณะเดินออกมาพร้อมกีตาร์โปร่งคลาสสิค จาณีนดูแล้วน้องไทป์คงจะเล่นกีตาร์กับร้องเพลงไปด้วยล่ะมั้ง

            เสียงดีดกีตาร์ดังขึ้นเป็นจังหวะ จาณีนตั้งใจดูการแสดงนี้อย่างใจจดใจจ่อแต่เขาก็รู้สึกถึงโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงเสียก่อน เขาหยิบขึ้นมาคาดหวังว่าจะเป็นศมนโทรมาแต่ก็พบกับเบอร์ที่ไม่รู้จัก เขารู้สึกผิดหวังแต่ก็กดรับสายนั้น

            “จาณีนพูดครับ” เขากรอกเสียงลงไปค่อนข้างดังเล็กน้อย

            “พี่จาใช่มั้ย นี่ผมเองนะ”

            “ใครนะ ไม่ค่อยได้ยิน” เสียงโดยรอบและเสียงกรี๊ดของคนดูดังขึ้นต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด

            “ผมเอง ยู”

            “ใครนะ แปปนึงนะครับ” จาณีนเดินเลี่ยงบริเวณนั้นออกมา จนเสียงเบาลงแล้วจึงเริ่มพูดต่ออีกครั้ง “ใครนะครับ”

            “ยู ได้ยินหรือยัง”

            “ได้ยินแล้ว อ้าว ยูเหรอ”

            “อืม”

            “รู้เบอร์พี่ได้ไง”

            “ผมขอเบอร์พี่จากป้ามา”

            “อ้อ” จาณีนจำได้ว่าเขาเคยให้เบอร์คุณป้าไว้ หากมีอะไรฉุกเฉินให้โทรเรียกเขาได้ทุกเวลา ไม่ต้องเกรงใจ

            “นี่พี่อยู่ไหน มางานหรือยัง”

            “มาแล้วตอนนี้อยู่แถวๆ เวที”

            “ตรงไหน เดี๋ยวผมเดินไปหา”

            “เดี๋ยวนะ พี่หาจุดสังเกตก่อน” จาณีนมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบจุดไหนที่ชัดเจนเลย จนกระทั่งสายตาหยุดลงที่ซุ้มที่ขายดอกไม้

            “เจอยังพี่”

            “เจอแล้วๆ เอาเป็นตรงซุ้มที่ขายดอกไม้ดีมั้ย”

            “ได้ครับ”

            “โอเค เดี๋ยวเจอกัน”

            “ครับ” ชนัญญูตัดสายลงทันที จาณีนจึงรีบเดินไปจุดนัดพบดังกล่าว

            “พี่จา” จาณีนยืนรออยู่สักพักก็ได้ยินเสียงทุ้มเรียก

            “หวัดดียู” จาณีนโบกมือให้อีกฝ่าย

            “อืม ไปนั่งตรงนั้นมั้ย เป็นที่ว่างของคณะเรา”

            “เอาสิ” จาณีนทำท่าจะเดินตามอีกฝ่ายแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะชนัญญูหันกลับมามอง

            “มีอะไร ยู”

            “คนเยอะ เดี๋ยวหลง เอามือมา” ชนัญญูยื่นมือมา จาณีนลังเลใจก่อนจะยอมวางมือลงให้อีกฝ่าย เขากับชนัญญูไม่ได้คิดอะไรกัน คงไม่มีอะไรหรอก

            “ขอบใจ”

            “เดินดีๆ ล่ะ” ชนัญญูว่าพลางกระชับมือนั้นไว้ ก่อนจะเดินนำทางไป

            “อืม” จาณีนรับคำแล้วก็ตามอีกฝ่ายไปเช่นกันเพราะคนเดินนำเดินค่อนข้างเร็วทีเดียว

            “อะ นั่งตรงนี้ละกัน” ชนัญญูพาจาณีนมานั่งบริเวณพื้นที่ของคณะวิทยาศาสตร์อย่างที่เจ้าตัวได้บอกไว้ในทีแรก

            “อืม”

            “แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง”

            “ยังเลย พอเลิกงานก็รีบมาที่นี่”

            “เดี๋ยวไปหาน้ำกับขนมมาให้รองท้องก่อนแล้วกัน”

            “ขอบใจนะ” จาณีนเห็นชนัญญูเดินไปซุ้มข้างๆ ที่เป็นของกินใกล้ๆ กับที่เขานั่งอยู่ พลันก็ได้ยินเหมือนใครกำลังพูดถึงตัวเอง

            “ใครวะ ไอ้ยู ชื่ออะไร น่ารักดีนี่หว่า” จาณีนได้ยินเสียงผู้ชายที่ยืนข้างๆ ถามชนัญญู

            “ชื่อจา แล้วมึงจะอยากรู้ไปทำไม” เสียงทุ้มตัดบทเพื่อนห้วนๆ

            “หวงเรอะ หรือว่าแฟนมึง ทำงานแล้วใช่เปล่าวะ เหมือนใส่ชุดทำงาน แต่หน้าโคตรเด็ก นี่มึงชอบคนแก่กว่าเหรอ” จาณีนยกมือจับหน้าโดยอัตโนมัติ เขาไม่เคยคิดว่าตนเองหน้าเด็ก เพราะตัวอย่างของศมนมันแทงใจดำให้เขาได้เห็นว่าคนหน้าเด็กมันต้องเป็นอย่างคนนั้นต่างหากล่ะ จะมีใครเชื่อว่าคนหน้าดุแบบนั้นแต่พอยิ้มกับปล่อยผมสบายๆ โดยไม่เซทแล้ว หน้าตาจะเหลือยี่สิบปลายๆ

            “ทำงานแล้ว”

            “ตกลงว่าเป็นแฟนมึง” เสียงคนมาใหม่ยังเซ้าซี้ ชนัญญู

            “ไม่ใช่”

            “แล้วใครวะ”

            “พี่ชายกูเอง”

            “พี่ชายท้องชนกันอะดิ” เพื่อนคนนั้นยังแซวด้วยความคะนองปาก

            “หยุดพูด ไม่งั้นกูต่อยปากแตก” ชนัญญูเตือนเพื่อนด้วยความหวังดีก่อนจะเสียเพื่อนไปเสียก่อน

            “กูแค่แซวเล่น”

            “มึงไม่ควรพูดแบบนั้น ใครได้ยินเข้าจะคิดว่าไง ถึงพี่เขาจะเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่ควรพูดแบบนั้น”

            “เออๆ โหดจริง กูไม่พูดแล้ว ขอโทษละกัน”

            “เออ”

            “ไปดูน้องในคณะเราที่หลังเวทีดิ” ชนัญญูบอกเพื่อน

            “ทำไมวะ พวกปีสองก็อยู่”

            “ก็กูไล่มึงไง” และเมื่อชนัญญูพูดตรงๆ กับเพื่อน ก็ทำให้จาณีนหลุดขำกับสิ่งที่ได้ยิน ตรงไปตรงมาเหลือเกิน

            “มึงชอบเขาหรือไง”

            “เปล่า”

            “ทำไมมึงดูปกป้องเขาจังวะ”

            “เขาเป็นคนดี มึงเข้าใจคำว่าคนดีมั้ย”

            “กูโง่ แต่เอาเถอะ ไม่อยากให้ยุ่งก็จะไม่ยุ่ง” เพื่อนยียวนกลับมา แต่ในใจก็รู้ว่าชนัญญูหมายความว่าอะไร

            “ดีมาก ไปได้แล้ว เกะกะ”

            “เออ ไปก็ได้”

            “ขนมกับน้ำ” ชนัญญูเดินกลับมาพร้อมกับยื่นของในมือให้ จาณีนรับไว้แล้วบอกขอบใจ

            “นี่ยู” กินขนมไปเกือบหมด จาณีนก็เพิ่งนึกได้

            “หืม”

            “นายมีแฟนหรือเปล่า” จาณีนถามอีกฝ่าย

            “ไม่มีอะ”

            “ทำไมล่ะ”

            “ยังไม่อยากมี ไม่อยากให้ป้าเป็นห่วง”

            “หืม คุณป้าไม่อยากให้มีแฟนเหรอ”

            “อืม ป้ากลัวเสียการเรียน”

            “เด็กดีจริงๆ ด้วยสินะ”

            “มันก็ต้องมีความดีกันบ้าง”

            “เออ ว่าแต่ปีนี้มีแต่น้องๆ น่ารักทั้งนั้นเลยเนอะ” จาณีนเปลี่ยนเรื่องคุย เขาสังเกตมาหลายคณะแล้วว่าเด็กสมัยนี้หน้าตาดีจริงๆ

            “งั้นมั้ง ไม่ค่อยได้สนใจหรอก”

            “อ้าว”

            “แต่ปีนี้จะเรียนอยู่ที่นี่ปีสุดท้ายแล้วก็เลยไม่อยากพลาดทุกอย่างในช่วงนี้ไป” ชนัญญูพูดออกมา สายตาก็มองไปที่เวทีประกวด

            “ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยสาระ นับถือๆ” จาณีนพยักหน้าอย่างจริงจัง

            “พูดอะไรแบบนี้ก็เป็นเหรอ”

            “พูดอะไร”

            “ก็แบบพูดเล่นหรือพูดอะไรที่วัยรุ่นเป็น”

            “พี่ก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่นะ ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะ” อาจจะเป็นเพราะจาณีนได้พูดกับชนัญญูมากกว่าทุกครั้ง ทำให้เขาถึงกล้าผลักศีรษะอีกฝ่ายไปเบาๆ

            “ก็ปกติเห็นแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ ดูจริงจังเกินวัยแต่ไม่เข้ากับหน้า”

            “คงชินน่ะ” จาณีนเงียบไปสักพักจึงพูดต่อ “อยู่กับคนแก่เยอะก็งี้แหละ เลยจำแต่คำพูดพวกเขามาใช้”

            “ทำไมล่ะ”

            “จะได้เป็นผู้ใหญ่แล้วตามเขาได้ทันน่ะสิ”

            “ทำไมต้องไล่ตามใครด้วย” ชนัญญูหันมามองอีกฝ่าย ถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

            “ก็มันห่างกันเกินไป ทั้งอายุ ทั้งฐานะ หรือความคิดก็ตาม”

            “ผมอาจจะยังเด็กเกินไปก็เลยไม่เข้าใจ แต่ที่รู้ก็คือ ทำไมเราต้องไล่ตามใคร ทำไมไม่ให้เขามาตามเราบ้างล่ะ หรือเป็นตัวของตัวเอง อะไรแบบนี้”

            “นั่นสินะ ไม่รู้เหมือนกัน”

            “อีกอย่าง เป็นตัวของตัวเองมันดีที่สุดนะพี่จา”

            “ตัวตนของพี่มันไม่ได้เรื่อง”

            “ใครบอกพี่ล่ะ ไม่รู้นะ ผมคิดของผมเองว่าพี่ตอนไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่น่ะ มีเสน่ห์ที่สุดแล้ว” หัวใจจาณีน กระตุกวูบ ทำไมชนัญญูถึงเห็นเขาชัดเจนขนาดนี้

แล้วศมนล่ะจะมองเขาออกมั้ย

            “แล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญของค่ำคืนนี้กันแล้วนะคะ พี่ๆ น้องๆ ที่นี่คงอยากรู้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าใครจะได้เป็นดาวและเดือนของมหาวิทยาลัยในปีนี้”

            “เฮ....” เสียงเชียร์พร้อมเสียงปรบมือดังไปทั่วบริเวณอีกครั้ง

            “เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เรามาประกาศผลกันเลยนะครับ ตอนนี้ผลโหวตทั้งหมดและคำตัดสินจากคณะกรรมการอยู่ในซองที่ผมถืออยู่นี่แล้วครับ”

            “โห จริงจังเหมือนประกาศเวทีระดับโลกเลยอะ” จาณีนเปรยออกมาด้วยความตื่นเต้นและลุ้นกับผลคะแนน

            “อืม เล่นใหญ่อยู่แล้ว”

            “ยูเชียร์ใครอะ คณะเราป่ะ”

            “ก็ต้องคณะเราดิพี่ ถามอะไรแปลกๆ”

            “รองอันดับสอง ได้แก่ น้องเบล ดาวคณะศิลปกรรมศาสตร์ และน้องแมน เดือนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีค่า ปรบมือให้กับเขาทั้งคู่ด้วยค่า”

            “รางวัลต่อไปที่ผมจะประกาศคือผู้ที่เป็นดาวและเดือนของมหาวิทยาลัยในปีนี้เลยนะครับ และดาวมหาวิทยาลัยในปีนี้ได้แก่ น้องโฟกัส คณะพยาบาลศาสตร์ครับ”

            “เดือนมหาวิทยาลัย ได้แก่ น้องป๊อป จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ค่า”

            “โห วิศวะ ได้ทุกปีเลยมั้งเนี่ย” จาณีนบ่นอุบเพราะคณะนั้นมีผู้ชายมากกว่าคณะอื่นทั่วไปทำให้มักได้ตำแหน่งเหล่านี้เป็นประจำ

            “ไม่ขนาดนั้นหรอก ปีที่แล้วหมอได้”

            “ก็วนๆ อยู่เท่านี้ ไม่ก็สถาปัตย์”

            “ก็แน่ล่ะ คณะที่เหลือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงแล้วผู้ชายที่เหลือน้อยก็มักไม่อยากเป็นผู้ชายอีก”

            “ถูกของยู”

            “ยังไม่หมดค่ะ รางวัลป๊อปปูลาร์โหวตของปีนี้ ได้แก่ น้องพลอยและน้องไทป์ จากคณะวิทยาศาสตร์ทั้งคู่เลยค่า ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ”

            “เฮ....” จาณีนลุกขึ้นกระโดด ส่งเสียงเฮด้วยความลืมตัว

            “พี่จา คนหันมามองกันหมดแล้ว”

            “เอ่อ โทษที ดีใจไปหน่อย” เขายิ้มแหยให้กับรุ่นน้องคนอื่นที่หันมามองแล้วรีบทรุดตัวนั่งลงทันที

            “ไปเหอะพี่ ไม่มีอะไรแล้ว กินข้าวกัน”

            “ตกลง กินอะไรอะ”

            “ได้หมด”

            “งั้นหาร้านแถวบ้านนายแล้วกันนะ จะได้เข้าบ้านเลย”

            “ครับ”

            แกรก.... เสียงเปิดประตูคอนโดดังขึ้น ศมนเปิดประตูเข้ามาทั้งที่รู้ว่าตอนนี้ไม่มีร่างของจาณีนอยู่ เด็กหนุ่มส่งข้อความมาบอกเขาตั้งแต่ช่วงเย็น ทั้งที่รู้แบบนั้นแต่เขาก็ยังมาอยู่ดี

           


===============================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Tenth Drop -- 6 August 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-08-2017 21:23:17
Eleventh Drop

           

            รูปถ่ายหลายรูปถูกส่งเข้ามาในมือถือของศมน เขาเปิดดูมันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นักเพราะรู้เรื่องราวมาบ้างแล้ว ภาพของจาณีนเดินออกมาจากบ้านเช่าพร้อมเด็กหนุ่มอีกหนึ่งคน เดาว่าคงเป็นชนัญญู หลานของผู้หญิงมีอายุแล้วคนนั้น รูปถัดมาเป็นรูปของจาณีนยืนพิงเสาอยู่บริเวณแถวเวทีประกวดที่มหาวิทยาลัยตามที่เจ้าตัวได้บอกเขาไว้

            แต่รูปสุดท้ายที่ทำให้เขาชะงักไปนิดหนึ่งและทำให้เขาต้องมาหาจาณีนในคืนนี้ ภาพของชนัญญูจับมือจาณีนเอาไว้ ไม่อยากจะคิดให้มันเลยเถิดจนเกินไปนัก แต่จะนับอะไรกับคนที่เคยมีประวัติไม่ดีล่ะ ศมนยืนอยู่กลางห้อง ดูรูปพวกนั้นซ้ำๆ พลางคิดถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับบอดี้การ์ดหนุ่มขึ้นมา

            “นายครับ” พันธกรโทรกลับมารายงานในช่วงเวลาประมาณสามทุ่ม

            “ว่าไง”

            “ช่วงเช้าคุณจาออกไปกับคุณชนัญญู ผู้ชายในชุดนักศึกษาตัวสูงโปร่ง รูปแรกที่ผมส่งไปครับ”

            “ไปด้วยกันหรือ” ศมนหยิบรูปแรกที่บอดี้การ์ดหนุ่มรายงานขึ้นมา

            “ครับ คุณจาไปส่งคุณชนัญญูที่มหาลัย จากที่ผมสืบเพิ่มเติมเด็กคนนั้นเรียนสาขาเดียวกับคุณจาครับ”

            “อืม แล้วไงอีก”

            “หลังเลิกงานคุณจาไปที่มหา’ลัยเก่าครับ วันนี้มีงานประกวดดาวเดือนมหา’ลัย”

            “คนเดียว?”

            “ขับรถไปคนเดียวครับ แต่นัดกับคุณชนัญญูไว้ครับ เพราะเขาเดินมารับคุณจา ตามรูปสุดท้ายครับ”

            “อืม ขอบใจเธอมาก” ศมนหยิบรูปสุดท้ายขึ้นมาดูและบอกขอบใจอีกฝ่าย

            “นายครับ...เท่าที่ผมเห็น สองคนนั้นไม่มีอะไรต่อกันแน่นอนครับ” เสียงบอดี้การ์ดหนุ่มเรียกเจ้านายและพยายามอธิบายด้วยความเป็นห่วง

            “ฉันรู้ นายมารับฉันหน่อย คืนนี้ฉันจะกลับไปค้างที่คอนโด”

            “ครับนาย”

            แล้วเขาก็มายืนอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วแต่จาณีนยังไม่กลับมา ศมนจึงเดินเข้าไปอาบน้ำหมายจะให้สมองได้ปลอดโปร่งกว่านี้ ยอมรับว่าเขาให้พันธกรหรือพันธกานต์คนใดคนหนึ่งเฝ้าคอยติดตามจาณีนอยู่ไม่ห่าง แต่เหตุผลหลักก็คือความปลอดภัยของเด็กหนุ่มเพียงเท่านั้น

            ศมนไม่อยากให้จาณีนรู้สึกอึดอัดหากต้องมีบอดี้การ์ดมาคอยประกบอยู่เสมอ เขาเลยให้ฝาแฝดหนุ่มเฝ้าตามอยู่ห่างๆ แต่ไม่ให้ห่างสายตา ถึงจะให้เด็กหนุ่มไปเรียนวิธีการป้องกันตัวแล้วแต่เขาก็ไม่อยากวางใจเพราะจาณีนไม่เคยลงสนามจริง อีกทั้งคนที่คิดไม่ดีนั้นลงมือปองร้ายได้ตลอดเวลาและไม่เลือกสถานที่

            ไม่นึกไม่ฝันว่าการให้คนของตัวเองติดตามเด็กหนุ่มในวันนั้น กลับทำให้เกิดเรื่องราวไม่คาดฝันตามมา ความลังเลใจกับไตรภัทรและเรื่องของชนัญญูอีกล่ะ เขายังไม่รู้เรื่องเท็จจริงแค่ไหน เขาไม่อยากสืบต่ออีกแล้ว และหวังว่าจาณีนจะไม่ทำให้เขาผิดหวังอีกอย่างที่เจ้าตัวเคยให้สัญญาเอาไว้

            จาณีนเลือกร้านข้าวต้มมื้อดึกง่ายๆ แถวหน้าปากซอยบ้านเช่า เสร็จแล้วก็ขับรถมาที่คอนโด เขาตั้งใจจะเข้าไปส่งชนัญญูที่บ้าน แต่ฝ่ายนั้นปฏิเสธเพราะระยะทางไม่ได้ไกลจนเกินไปนัก และไม่อยากให้จาณีนเสียเวลาต้องแวะเข้าไปส่ง จาณีนไม่ขัดใจแล้วก็ตรงดิ่งมาที่คอนโด การจราจรเริ่มซาลงแล้วทำให้เขาใช้เวลามาถึงคอนโดในเวลาไม่นาน

            เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้ามาก็เจอคนที่คิดถึงมาทั้งสัปดาห์ ศมนนั่งหลังตรงสวมชุดนอนอยู่ที่โต๊ะอาหาร ในมือถือแก้วไวน์รสโปรดของตัวเอง ไม่รู้ว่าศมนใจลอยหรือระบบประตูที่นี่ทำงานได้ดีจนเงียบเชียบ ศมนถึงมีทีท่าว่าคงจะไม่ได้ยิน ทั้งที่เขาเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายแล้วแต่ศมนก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย

            “คุณศมนครับ” จาณีนเรียก เขายืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ที่ศมนนั่งแล้วเอี้ยวตัวข้ามไปจูบแก้มขาวนั้นเบาๆ ด้วยความคิดถึง

            “กลับมาแล้วเหรอ”

            “ครับ แล้วคุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทานข้าวมาหรือยัง”

            “เรียบร้อยแล้ว ทำไมกลับดึกจัง”

            “ผมบอกคุณแล้วไงครับว่าวันนี้ไปมหา’ลัยที่ผมเคยเรียน วันนี้มีงานเฟรชชี่ไนท์ประกวดดาวเดือนด้วยครับ”

            “สนุกมั้ย”

            “สนุกมากๆ เลย ไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานแล้ว เสียดายคุณศมนไม่ได้ไปด้วยกัน ปีหน้าไปด้วยกันนะครับ” จาณีนยิ้มจนตาปิดให้กับอีกฝ่าย

            “ไปคนเดียวเหรอ”

            “ผมนัดกับยูไว้ที่นั่นครับ” จาณีนนึกได้ว่าศมนคงไม่รู้จักทางนั้นจึงอธิบายเพิ่ม “ยูเป็นหลานของคุณป้าน่ะครับ”

            “คุณป้า?” ศมนเล่นละครทำเหมือนไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน

            “คุณป้าที่เช่าบ้านเก่าของคุณยายผมเอง จำได้มั้ยครับ”

            “จำได้แล้ว”

            “นั่นแหละครับ เมื่อคืนผมนอนค้างที่นั่น ตอนเช้าก็เลยอาสาขับรถไปส่งยู เห็นว่าเรียนเช้าแล้วก็ไปทางเดียวกัน คุณศมนไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ” จาณีนรายงาน เขาไม่อยากให้ศมนรู้จากคนอื่น ไม่อยากให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ

            “ฉันจะว่าได้ยังไง นั่นมันรถของเธอ”

            “ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง ผมแค่ขับรถไปส่งน้องเขาเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรแม้แต่นิดเลยและไม่มีทางคิดด้วยครับ ผมมีแต่คุณคนเดียว” จาณีนกอดชายหนุ่มจากด้านหลัง แนบแก้มลงบนบ่าของอีกฝ่ายอย่างประจบ

            “พูดเอาใจฉันเหรอ”

            “เปล่าสักหน่อยครับ”

            “เล่าบรรยากาศที่งานให้ฉันฟังบ้างสิ” สิ่งที่ศมนอยากได้ยินนั้นคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอก แต่เขารอให้เด็กหนุ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานคืนนี้ต่างหากล่ะ

            “อืม จะเริ่มยังไงดีนะ เดี๋ยวผมมาเล่าได้มั้ยครับ ขอไปอาบน้ำก่อนได้หรือเปล่า เหนียวตัวไปหมดเลยครับ” คำตอบของจาณีนทำเอาศมนคิ้วขมวดอยู่เพียงครู่แต่เด็กหนุ่มก็ไม่มีโอกาสได้เห็น

            “ตามใจ”

            “หมดแก้วนี้ก็พอได้แล้วนะครับ แล้วไปนอนในห้องรอผมดีๆ นะครับ เดี๋ยวผมจะกอดคุณให้หนำใจเลย”

            “ตกลง” ศมนยิ้มน้อยๆ ให้กับตัวเอง

การที่จาณีนขอยืดเวลาออกไปอีกนิด บอกไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มอยากอาบน้ำจริงๆ หรือแค่ถ่วงเวลาคิดหาคำตอบเหมาะๆ มาเล่าให้เขาฟังกันแน่ เอาเถอะเขาจะรอฟังว่าจาณีนจะเล่าออกมาในรูปแบบไหน

“ที่งานนะครับ มีแต่เด็กน่ารักๆ ทั้งนั้นเลย เด็กสมัยนี้หน้าตาดีมากๆ เลย แต่ผมก็เชียร์คณะผมนะครับ ยังไงก็ไม่นอกใจไปมองคณะอื่น เหมือนที่ผมไม่นอกใจคุณศมนไปมองใครแน่นอน” จาณีนเปิดปากเล่าเรื่องราวยืดยาวที่ตัวเองได้พบเจอในงาน แขนขาเกี่ยวพันอยู่กับร่างกายของศมน หากเข้ามาสิงในร่างชายหนุ่มได้ ศมนคิดว่าจาณีนคงจะทำไปแล้วแน่นอน

“ไปหัดพูดอะไรแบบนี้มาจากไหน”

“ทำไมครับ ตลกเหรอ”

“เปล่าหรอก แค่แปลกใจ ไม่เคยได้ยินเธอพูดอะไรแบบนี้”

“เปลี่ยนรสชาติบ้างไงครับ คุณจะได้ไม่เบื่อกัน  แล้วชอบมั้ยล่ะครับ”

“ก็ดีนะ แปลกดี”

“หลอกด่าผมใช่มั้ยเนี่ย”

“คิดว่าไงล่ะ”

“ผมไม่คุยต่อด้วยแล้ว คุยทีไรแพ้หมดรูปตลอด เปลี่ยนเรื่องๆ ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงมาคอนโดได้ล่ะครับ” จาณีนเงยหน้าจากอกที่หนุนอยู่ขึ้นมามองเจ้าของแผ่นอกนั้น

“คิดถึง”

“ปากหวานจริงๆ แฟนใครเนี่ย”

“สักคน ใครก็ได้”

“คุณศมน ไม่รับมุกผมเลย”

“สนิทกับหลานป้าบ้านเช่าเหรอ” ศมนเปลี่ยนเรื่องคุย เขากำลังทวงหาคำตอบในใจโดยที่จาณีนไม่รู้สึกตัวเลย

“ไม่เชิงครับ ปกติก็ไม่ค่อยได้คุยกันแต่พอได้คุยกัน ยูก็โอเคดีนะครับ”

“อืมเหรอ” เสียงทุ้มนิ่งเรียบ ไร้สิ้นความรู้สึกในน้ำเสียงทำให้จาณีนรู้สึกแปลกๆ คำตอบของศมน ทำไมวันนี้ชายหนุ่มถึงกลับมาค้างที่นี่ แล้วมาถามอะไรแบบนี้

ความลับไม่มีในโลกใช่มั้ย

“คุณศมนครับ”

“หืม”

“ผมไม่ได้นอกใจคุณนะครับ แล้วกับยูก็ไม่มีอะไรจริงๆ เชื่อผมนะครับ” จาณีนเริ่มพูดขึ้นก่อน

“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเธอสักหน่อย ร้อนตัวทำไม”

“ผมเปล่านะครับ ถ้าผมไม่พูดคุณก็ต้องคิดเองแน่ๆ แล้วพอผมพูดก็กลายเป็นแก้ตัว ผมทำตัวไม่ถูกแล้วนะครับ”

“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเธอสักหน่อย ไม่ใช่หรือไง”

“ผมจะไปรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่กันแน่ล่ะครับ คนที่เคยทำผิดแบบผม ก็กลัวเป็นเหมือนกันนะครับ” ศมนนิ่ง มือที่ลูบต้นแขนของอีกฝ่ายเบามือนั้นหยุดชะงักลง

เขามัวแต่คิดว่าจะโดนหลอกอีกครั้งแต่กลับลืมไปว่าอีกฝ่ายก็คงร้อนใจไม่ต่างกันเพราะความเชื่อใจที่เคยเฝ้าทำมามันถูกทำลายลงแค่ทำผิดพลาดครั้งเดียว

“จา...” ศมนเรียกชื่ออีกฝ่าย มาถึงตอนนี้เขาเองก็เริ่มรู้สึกผิดต่อเด็กหนุ่มแล้วบ้างเช่นกัน เขาช่างเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ไม่ได้เลยใช่มั้ย แค่อะไรนิดหน่อย ก็วิตกกังวลไปเสียยกใหญ่

“ผมไม่ได้อยากทะเลาะกับคุณเลย ไม่เจอกันตั้งหลายวันก็แทบบ้าแล้ว ยังจะมาผิดใจกันอีก คุณอยากให้ผมพูดว่าอะไรครับ วันนี้ผมนัดกับยูที่มหาลัยจริง แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะครับนอกจาก...” จาณีนผุดลุกขึ้นนั่ง หน้าตาของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความร้อนรนในขณะที่จ้องตามองคนที่นั่งอยู่อย่างไม่ละสายตา

“นอกจากอะไร” สิ่งที่รอคอยกำลังใกล้เข้ามาแล้ว




“นอกจากแค่จับมือกันครับ...” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเสร็จก็พูดต่อ “แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ คือคนมันเยอะแล้วยูก็กลัวจะพลัดหลงกันอีก ก็เลยยื่นมือมาให้จับ พอถึงที่นั่งแล้วก็ปล่อยครับ ไม่มีอะไรจริงๆ นะครับ คุณศมนต้องเชื่อผมนะ เชื่อจานะครับ” จาณีนเขย่าแขนอีกฝ่ายแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา ชายหนุ่มยังเงียบนิ่ง

“....”

“คุณจะให้ผมทำยังไงครับ ทำยังไงถึงจะเชื่อ เชื่อว่าผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ผมกับยูไม่มีอะไรกัน ผมเห็นยูเป็นแค่น้องชาย หลานของคุณป้าจริงๆ” เด็กหนุ่มยังพูดรัวเร็ว เขาร้อนรนจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว

“เมื่อก่อน... ฉันก็มองเธอเป็นแค่น้องชายคนหนึ่ง...” ศมนเปรยขึ้นมาเบาๆ

“ค..คุณกำลังจะพูดอะไรครับ”

“ความรักน่ะมันไม่เข้าใครออกใคร” ถ้าจาณีนเข้าใจไม่ผิด ชายหนุ่มกำลังจะบอกเขาว่า เขามีโอกาสที่จะรัก ชนัญญูได้ในสักวันใช่หรือเปล่า

“คุณศมน คุณมันบ้า คุณอยากให้ผมเป็นอย่างที่คุณคิดจริงๆ น่ะเหรอ จริงๆ ใช่มั้ย” จาณีนพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นในช่วงท้ายแต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำไม่สำเร็จ เขาจึงก้มหน้าลง ไม่อยากให้คนตรงหน้าเห็นเขาเสียใจ

“อย่าร้องไห้” ศมนเชยคางเด็กหนุ่มขึ้นมา

“ผมเปล่า” เงยหน้ามาให้ศมนได้เห็น ก็ไม่เจอน้ำตาแม้แต่หยดเดียว

“ฉันเชื่อเธอ” บอกคำนั้นออกไป ความรักนั้นทำให้คนตาบอดเสมอล่ะมั้ง เห็นเด็กหนุ่มเศร้า เขาก็ทิ้งทุกอย่างที่คิดออกไปให้หมด แล้วบอกกับตัวเอง

ช่างมัน ไม่เป็นไร เขาต้องหยุดความคิดแย่ๆ พวกนี้ ไม่งั้นเรื่องระหว่างเขากับจาณีนจะไปไม่รอด

“คุณเชื่อผมใช่มั้ย เชื่อจริงๆ ใช่มั้ยครับ” เพราะดีใจที่ได้ยินคำพูดนั้น จาณีนเขย่าแขนอีกฝ่ายไม่เบามือนัก สักพักก็ทิ้งตัวลงบนร่างคนที่นอนอยู่ กอดศมนไว้แน่น

“อืม” ตอบกลับไป มือก็ลูบหลังเด็กหนุ่มเอาไว้

“คุณศมนครับ”

“ว่าไง”

“เมื่อไหร่คุณกานต์จะกลับมาครับ” เมื่อคิดว่าเข้าใจกันแล้ว จาณีนเลยถามเรื่องใหม่

“ฉันก็ไม่รู้ กรเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ไม่รู้คุณกานต์จะเป็นยังไงบ้าง”

“กานต์สบายดี ไม่ต้องห่วงกานต์หรอก รายนั้นเก่งกว่าที่เธอคิดเยอะ”

“ผมรู้ครับ แต่ก็อดไม่ได้นี่นา”

“คิดถึงกานต์เหรอ”

“คนเคยเห็นกันอยู่ทุกวัน ไม่เจอกันนานก็ต้องคิดถึงกัน เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ”

“ง่วงหรือยัง” ศมนไม่ตอบแต่เปลี่ยนเรื่องอื่นแทน

“ง่วงครับ แต่อยากคุยกับคุณต่อ ไม่ได้คุยกันตั้งหลายวัน”

“ง่วงก็นอนเถอะ ค่อยคุยทีหลังก็ได้”

“เมื่อไหร่คุณจะกลับมานอนที่นี่ครับ”

“หลังงานเลี้ยง วันงานรอกลับพร้อมฉันนะ”

“ได้ครับ แล้วให้ผมไปยังไง”

“กรจะมารับเธอไปที่งาน”

“ครับ ผมจะรอ”

คนอ่อนวัยกว่าเฝ้านับถอยหลังอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุดก็มาถึงงานเลี้ยงที่รอคอย จาณีนแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ห้าโมงเย็น วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำ แล้วสวมเสื้อสูทสีเทาเข้มคลุมทับไปอีกชั้น เซทผมให้เป็นทรงกว่าที่เคย การแต่งตัวไม่ถึงกับทางการแต่ก็สามารถออกงานได้โดยไม่ขัดเขิน การแต่งตัวแบบนี้ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับจาณีน เพราะปกติแล้วเด็กหนุ่มจะสวมเสื้อยืดหรือโปโล กับกางเกงยีนส์ไปทำงาน หากวันไหนไปพบลูกค้าถึงจะเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อเชิ้ต แต่นั่นก็ไม่ได้บ่อยนัก

จะทุ่มแล้วแต่ยังไร้วี่แววของพันธกร เขายังเลือกที่จะรอจนกระทั่งเวลาเดินมาถึงทุ่มครึ่ง เด็กหนุ่มก็ร้อนใจจนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว กลัวงานเลี้ยงจะจบลงไปเสียก่อน เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออกไปปลายทางที่ต้องการนั้นทันที

“สวัสดีครับคุณกร ผมจาเองนะครับ” รอเสียงสัญญาณไม่นาน พันธกรก็กดรับ

“คุณจา แต่งตัวเสร็จหรือยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วครับ ผมรอคุณกรอยู่”

“ผมกำลังไปครับ แต่รถติดมากๆ คุณจารอก่อนนะครับ”

จาณีนได้ฟังก็เกิดไอเดียขึ้นมา เขาจึงรีบบอกอีกฝ่ายไป “เอางี้ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมขับรถไปเอง คุณกรเลี้ยวรถกลับงานไปเลยครับ แล้วเจอกันที่งานเลยนะครับ”

“เดี๋ยวก่อนครับคุณจา”

“เอาอย่างที่ผมที่ว่านี่แหละครับ คุณศมนไม่โกรธคุณกรหรอก แล้วเจอกันครับ” จาณีนตัดบทแล้ววางสายลงทันที ผิดกับอีกฝ่ายเมื่อเห็นสัญญาณถูกตัดไปก็หน้าผิดสี เขารีบเปิดไฟเลี้ยวแล้วกลับรถไปที่งานทันที พันธกรคิดแต่เพียงว่าต้องไปให้ถึงงานก่อนจาณีนให้ได้ ไม่งั้นเขาคอขาดแน่ เพราะคำพูดของศมนยังก้องอยู่ในหัว

‘ทำยังไงก็ได้ให้จาไปถึงใกล้ๆ งานเลิกหรือหลังพิธีสำคัญไปแล้ว’

ไอ้กานต์ มึงอยู่ไหน ช่วยกูด้วย

เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากรถึงฝาแฝดอีกคนแต่พันธกานต์คงไม่ได้รับรู้อยู่แล้วเพราะตอนนี้เจ้าตัวอยู่ไหนเขายังไม่รู้เลย

โชคร้ายของพันธกร เขาไม่ได้มาถึงงานก่อนจาณีน บอดี้การ์ดหนุ่มยังรถติดแหง่กอยู่ใกล้บริเวณเดิม ผิดกับจาณีนที่ขับรถออกมาอีกทางและถนนทางฝั่งนี้ค่อนข้างโล่งกว่าถึงแม้ระยะทางที่ไปงานจะไกลกว่าทางของบอดี้การ์ดหนุ่มก็ตาม

จาณีนวนรถหาที่จอดภายในโรงแรมอยู่เพียงครู่ก็ได้ที่จอด เขาปิดประตู ล็อครถเรียบร้อยก็เดินเข้าไปในตัวโรงแรม หมายจะไปยืนรอกรอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดงานเพราะเขาไม่มีบัตรเชิญ ขาเรียวเดินไปไม่เร่งรีบ หูก็ได้ยินเสียงประกาศอยู่ภายใน

“พรีเซนท์เทชั่นที่จบลงไปสักครู่คือโฉมใหม่เว็บไซต์รีสอร์ท ธาราแกรนด์ค่ะ สวยงามมากๆ เลยใช่มั้ยคะ ภายใต้คอนเซ็ปต์อบอุ่นเหมือนบ้าน ฟังดูแล้วตรงใจหลายๆ คนเลยหรือเปล่าคะ และเว็บไซต์นี้คงไม่สวยงามขนาดนี้ถ้าขาดเบื้องหลังคนสำคัญที่ทำให้เป็นรูปเป็นร่างไม่ได้เลยก็คือบริษัทเก็นติ้งเฮาส์ค่ะ ขอเสียงปรบมือด้วยค่ะ” เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงานเลี้ยง

จาณีนยืนปรบมืออยู่ด้านนอก เขารอพันธกรอยู่หน้าประตูมาสักพัก แต่ตอนนี้เขาอยากเข้าไปข้างในใจจะขาดแล้ว ได้ยินเสียงก็อยากเห็นภาพในงานด้วยว่าจะเป็นอย่างไร ถึงจะเสียดายไปหน่อยที่ไม่ได้เห็นพรีเซนต์เว็บไซต์ แต่ก็ไม่เป็นไรไว้ขอศมนมาดูทีหลังก็ได้ และโชคก็เข้าข้างเด็กหนุ่มเมื่อมีใครสักคนเปิดประตูออกมา จาณีนจึงรีบแทรกตัวเองเข้าไปในงานนั้นโดยไม่รอพันธกรอีกต่อไป

 “การจัดงานในวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เว็บไซต์โฉมใหม่ของเราเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งด้วยค่ะ จาณีน มองพิธีกรสาวที่ยืนอยู่บนเวที ท่าทางคล่องแคล่ว ทำให้จาณีนนึกชื่นชมในความเก่งของเธอ เด็กหนุ่มจำพิธีกรสาวคนนี้ได้ เพราะเธอเป็นดาราโลดแล่นอยู่ในวงการ

“เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา งั้นเราเชิญคนสำคัญของเราขึ้นมากล่าวพูดถึงคอนเซ็ปต์นี้กันเลยค่ะ ขอเชิญคุณศมน ธาราเกียรติดำรง รองประธานบริษัทธาราแกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ค่ะ ขอเสียงปรบมือต้อนรับคุณศมนค่ะ”

“สวัสดีครับ ผมศมน ธาราเกียรติดำรง ขอเริ่มเข้าคอนเซ็ปต์ อบอุ่นเหมือนบ้าน เลยนะครับ คอนเซ็ปต์นี้มาจากเวลาที่ผมไปพักที่หลายๆ โรงแรม แล้วก็มักจะคิดถึงห้องนอน ที่นอนของตัวเองเกือบทุกครั้ง ซ้ำยังอยากจะกลับไปนอนที่บ้านอีก” พูดเท่านั้นก็มีเสียงหัวเราะดัง ยังมีอีกหลายมุมที่หลายต่อหลายคนคงไม่รู้ว่าศมนเป็นคนอย่างไร ชายหนุ่มส่งยิ้มจนเห็นลักยิ้มได้ถนัด ไปรอบๆ ห้อง

 “ผมก็เลยมีไอเดียว่าถ้าเราทำทุกอย่างให้ผู้ที่เข้ามาพักอบอุ่น สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้านตัวเองก็คงดี แต่ก็ไม่ทิ้งความหรูหรา ก็เลยได้แนวคิดมาพัฒนาทั้งเว็บไซต์ แล้วยังมีการรีโนเวทห้องพักของเราต่างๆ ให้เหมาะกับคอนเซ็ปต์นี้ โดยจะเน้นสีเขียว สีทอง สีขาว และสีส้มเป็นหลัก โดยจะใช้สีไหนก็จะขึ้นอยู่กับห้องนั้นๆ ครับ ทั้งนี้ผู้เข้าพักสามารถเลือกและบอกความต้องการได้เลยครับ หลักๆ ก็คงมีเพียงเท่านี้ ขืนพูดยาวกลัวว่าแขกทุกท่านจะหลับกันเสียก่อน” ศมนพูดแซวแขกที่ยืนอยู่ด้านล่าง แล้วก็มีเสียงหัวเราะตามมาอีกระลอก นับว่าเป็นคนที่พูดเป็น และเข้าใจพูดได้เป็นอย่างดี

“เป็นแนวคิดที่เข้าใจง่ายและค่อนข้างจะตอบโจทย์ผู้เข้าพักได้ดีทีเดียวเลยนะคะ ขอเสียงปรบมือให้กับคุณศมนอีกครั้งค่ะ” เสียงปรบมือดังไปทั่วบริเวณงานนั้นอีกครั้งหลังสิ้นเสียงพิธีกรสาว

“แต่..แต่.. ยังไม่หมดนะคะ วันนี้คุณศมนมีอะไรจะมาเซอร์ไพรส์ด้วยใช่มั้ยคะ”

“อย่าเรียกว่าเซอร์ไพรส์เลยครับ เรียกว่าแจ้งข่าวก็แล้วกัน”

“แขกทุกท่านคงอยากทราบแล้วใช่มั้ยคะว่าเรื่องอะไร” ได้ยินเสียงใช่ๆ จากแขกที่มางานเลี้ยง พิธีกรสาวจึงรีบพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญคุณธัญชนก สิริโรจนา คณะกรรมการผู้จัดการบริษัทขึ้นมาบนเวทีนี้เลยค่ะ” ศมนเดินไปที่บันไดทางขึ้นเวที ยื่นมือออกไปให้หญิงสาวได้จับตอนที่ก้าวเท้าขึ้นบันได เพราะเจ้าตัวสวมกระโปรงยาวอาจทำให้ก้าวลำบาก

ศมนและธัญชนกกลับมายืนที่กลางเวทีอีกครั้ง เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร มันยิ่งทำให้จาณีนอยากรู้เหตุการณ์ข้างในเต็มทีแล้ว

จาณีนมองเห็นไม่ค่อยชัด เขาเลยแทรกตัวเพื่อเลื่อนขึ้นไปข้างหน้าให้มากที่สุด

“เอ ยังไงเอ่ย” พิธีกรแซว

“ครับ ในฐานะที่ผมเป็นฝ่ายชาย จะขอเป็นฝ่ายพูดแทนแล้วกันนะครับ”

“เชิญค่ะ”

“ผมขอแจ้งเลยละกันว่า ผมกับน้องธัญ เราทั้งสองคนจะแต่งงานกันครับ งานจะมีขึ้นประมาณต้นปีหน้า หากไม่รังเกียจรบกวนเชิญทุกท่านไปเป็นสักขีพยานในงานด้วยนะครับ ส่วนการ์ดและวันเวลาจะแจ้งไปทีหลังครับ” ศมนพูดจบก็เรียกเสียงเฮและเสียงปรบมือดังไม่ขาดสาย ชายหญิงสองคนบนเวทีจับมือกันแน่น ยิ้มให้แขกเหรื่อทุกคนที่อยู่ด้านล่าง

“คุณธัญมีอะไรจะพูดหน่อยมั้ยคะ” พิธีกรสาวเอ่ยขึ้นพลางยื่นไมค์ไปให้

“ขอบคุณค่ะ” ธัญชนกรับไมค์มาได้ก็พูดขึ้นด้วยท่าทีที่มั่นใจของหญิงสาวยุคใหม่ “จริงๆ แล้วตอนนี้ธัญตื่นเต้นมากเลยค่ะ ไม่คิดว่าพี่มนจะประกาศเรื่องของเราวันนี้”

“ก็พี่เห็นว่าวันนี้เป็นโอกาสดีที่จะบอก”

“อย่าเพิ่งหวานกันตรงนี้ค่ะ ดิฉันอิจฉาไปหมดแล้ว”

“ค่ะ พี่มนกับธัญก็รู้จักกันมานานหลายปีแล้วค่ะ แต่เพิ่งจะได้สานสัมพันธ์มาช่วงเร็วๆ นี้ ยังไงก็ขอเชิญทุกท่านไปที่งานแต่งของเรานะคะ ขอบคุณค่ะ” ธัญชนกส่งไมค์คืนให้กับพิธีกรสาว

“เป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างยิ่งเลยนะคะ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากๆ เลย ทุกท่านเห็นด้วยมั้ยคะ” เสียงแขกตอบพร้อมเพรียงกันว่าเห็นด้วย พิธีกรเลยพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเราให้คุณธัญชนกลงไปพักข้างล่างก่อนดีมั้ยคะ ส่วนคุณศมน รบกวนยืนอยู่ต่อก่อนนะคะ แหม ทางด้านข้างล่าง ดิฉันว่าตอนนี้ทุกคนคงอยากพูดคุยกับคู่นี้แล้วแน่ๆ เลยล่ะค่ะ อดใจรอก่อนนะคะ”

ศมนกับธัญชนกยิ้มให้แขกทุกคน จังหวะที่ศมนกวาดสายตาไปโดยรอบ เขาก็ได้พบกับเด็กหนุ่มยืนอยู่บริเวณประตู สายตาทั้งคู่สบตากันนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากจาณีนหันหลังกลับออกไปจากงาน เขาตั้งใจจะลงจากเวทีมาเดี๋ยวนั้น แต่ก็ถูกมือของหญิงสาวดึงไว้เสียก่อน

“พี่มนจะไปไหนคะ”


===========================

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Tenth Drop -- 6 August 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-08-2017 21:24:08


“พี่มนจะไปไหนคะ”



“เดี๋ยวพี่มา”



“พี่มนต้องอยู่บนเวทีก่อนนะคะ หรือพี่มนต้องการอะไรหรือเปล่าคะ”



“ไม่เป็นไร ขอบใจน้องธัญมาก” ใจของศมนกับร้อนรุ่ม แต่ถ้าไม่ได้ธัญชนกพูดขึ้นมา เขาคงขาดสติลงไปตามจาณีนแน่นอน และแผนการที่ถูกเตรียมไว้คงจะต้องล้มเหลว



“ธัญลงไปก่อนนะคะ” ธัญชนกยิ้มหวานส่งไปให้ชายหนุ่ม แต่จิตใจของศมนนั้นแทบบินตามคนที่เพิ่งออกจากห้องไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว



ศมนอยากจะระงับจิตใจแต่มันทำไม่ได้จริง เขากำลังกระวนกระวายใจเรื่องจาณีน ระหว่างที่รอพิธีการต่อไป ศมนก็คิดอะไรบางอย่างได้ ชายหนุ่มเดินไปหาพิธีกรสาวแล้วพูดอะไรบางอย่างกับพิธีกร เธอพยักหน้าว่าเข้าใจก่อนจะประกาศให้แขกเหรื่อเข้าใจว่าศมนขอตัวสักครู่เดี๋ยวจะกลับขึ้นมา



ศมนพยายามกดเบอร์ไปหาเด็กหนุ่ม แต่จาณีนไม่ได้รับปล่อยดังจนสายถูกตัดไป หลายครั้งเข้าเบอร์ที่ต้องการติดต่อนั้นกลับถูกเจ้าตัวปิดเครื่องลงแทน เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายโทรไปหาอีกคนแทน



“กร...” เสียงทุ้มแต่แฝงด้วยความเยียบเย็นถูกส่งไปให้พันธกรจนเจ้าตัวรู้สึกได้



“ขอโทษครับ นาย” พันธกรก้มหน้าด้วยความสำนึกผิดที่ตนเองทำงานผิดพลาด



“ทำไมจาณีนถึงเข้ามาที่งานได้”



“คุณจาขับรถออกมาเองครับ”



“ทำไมเธอไม่ห้ามจาเอาไว้”



“ผมห้ามไม่ทันเพราะคุณจาขับรถมาตอนนั้นผมเองก็รถติดอยู่ครับ เลยมาที่งานไม่ทันคุณจา”



“กร...” เสียงกดต่ำลงมา บ่งบอกว่าศมนค่อนข้างโกรธมากเลยทีเดียว



“จะลงโทษผมยังไงก็ได้ครับ”



“จารู้เรื่องหมดแล้ว...” ศมนถอนหายใจพร้อมกับพูดประเด็นที่เขาปิดบังจาณีนมาโดยตลอด



“คุณจา” พันธกรยิ่งรู้สึกผิดไปมากกว่าเดิมเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ศมนตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้จาณีนต้องรู้เรื่อง



“ฉันพยายามติดต่อจา แต่เขาปิดเครื่องไปแล้ว บอกฉันทีสิกร ว่าฉันจะต้องลงโทษเธอยังไง”



“ผมจะรีบตามหาคุณจาให้เจอครับ ปกติแล้วคุณจาไปอยู่ไม่กี่ที่ครับ ผมจะพาคุณจากลับมาให้ได้”



“พาเขากลับมาให้ได้ ทำยังไงก็ได้ให้เขากลับมา เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย”



“ครับ ผมจะพาคุณจากลับมาให้” พันธกรกดวางสายพร้อมกับความผิดที่อยู่ภายในใจ





.

.

“ว่าไงพี่ชาย ไม่เจอกันนาน ทำไมคอตกแบบนั้นล่ะ” เสียงคุ้นเคย พร้อมแขนยาวที่กอดคอกรเอาไว้ด้วยความสนิทสนม มีเพียงคนเดียวที่ทำแบบนี้กับเขาได้



“กานต์”



“เออ กูเอง”



“มึงกลับมาแล้ว” พันธกรเห็นน้องชายก็รู้สึกเหมือนสวรรค์มาโปรด



“เออ กูกลับมาแล้ว”



“กูโคตรดีใจ กูกำลังจะตาย กูทำงานพลาด”



“ทำไมวะ” พันธกานต์ได้ยินปุ๊ปก็รับรู้ได้ว่า เขาเลือกกลับมาได้ถูกเวลาจริงๆ



“ขึ้นรถไปด้วยกันก่อน เดี๋ยวกูเล่าให้ฟังระหว่างทาง”



“เออ ได้ นี่กะมากินของฟรีในงานเลยนะ อดเลย”



“กลับมาเมื่อไหร่” พันธกรขับรถออกจากลานจอดรถภายในโรงแรมแล้วก็เริ่มถามแฝดน้อง



“สองสามวันแล้ว”



“ทำไมเพิ่งมาหากู”



“เรื่องของกูน่า นายให้พักร้อนกูก็พักให้เต็มที่”



“สบายใจยัง”



“เออ ดีขึ้นแล้ว เลิกถามเรื่องของกูเถอะ ว่าแต่เรื่องอะไรวะ มึงทำอะไรพลาด” พันธกานต์ตัดบทแล้วถามอีกฝ่ายกลับ แฝดผู้พี่เลยเล่าให้ฟังจนละเอียด



“กูว่างานนี้มึงรอดยาก” พันธกานต์แสดงความคิดเห็นออกมาหลังฟังจบ



“ไอ้นี่ แทนที่จะช่วยปลอบใจ”



“ก็มันจริงนี่หว่า พลาดอะไรไม่พลาด ดันพลาดเรื่องใหญ่”



“กูก็ทำเต็มที่แล้ว นายให้กูถ่วงเวลา ค่อยให้คุณจามาถึงงานหลังประกาศข่าวของนาย แต่รถมันติด คุณจาไม่ยอมรอแล้วกูก็ไปไม่ทันด้วย ซวยซ้ำซวยซ้อน”



“แล้วที่มึงขับรถพากูออกมาก็คือ” แฝดน้องถามต่อ



“ช่วยไปหาคุณจายังไงล่ะ”



“แล้วจะไปตามหาที่ไหน มึงรู้แล้วเหรอ”



“เออ ยังว่ะ แต่ปกติคุณจาไปไม่อยู่กี่ที่หรอก ไม่บ้านเช่าก็คอนโด”



“งั้นจะไปที่คอนโดก่อนหรือบ้านเช่า” พันธกานต์ถามกลับ



“ไปคอนโดก่อน”



“แยกกันไปหรือจะไปพร้อมกัน”



“แยกกันไปก็เร็วดี แต่กูกลัวจะไม่มีปัญญาพาคุณจากลับไปด้วย มีมึงไปด้วยคุณจาน่าจะยอมไปง่ายกว่า”        พันธกรสรุปให้



“ตามนั้น รีบไปเลยมึง”







.

.

“ขออภัยแขกผู้มีเกียรติทุกท่านด้วยนะคะ เนื่องจากเมื่อสักครู่คุณศมน มีสายด่วนเข้ามาค่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนคุณศมนจะพร้อมแล้วใช่มั้ยคะ” พิธีกรสาวหันไปถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนเวทีข้างกัน



“ครับ”



“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอเชิญท่านเจ้าสัว ประธานกรรมการบริษัทธาราแกรนด์ ขึ้นมาบนเวที เพื่อกล่าวอะไรสักเล็กน้อยค่ะ” พิธีกรสาวกล่าวเรียนเชิญเจ้าของตัวจริง เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องจัดงาน



แม้ว่าท่านเจ้าสัวจะมีอายุถึงเจ็ดสิบแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงเหมือนหนุ่มวัยห้าหกสิบเสียมากกว่า กรรมพันธุ์ถ่ายทอดเรื่องใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นถูกส่งมาให้ศมนโดยไม่มีกั๊กเลยแม้แต่น้อย



“สวัสดีทุกท่าน ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่เป็นเกียรติมาร่วมงานในวันนี้ครับ วันนี้ได้มีข่าวดีและข่าวมงคลไปแล้ว ผมขอเพิ่มอีกสักข่าวก็แล้วกันนะครับ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ผมวางมือจากบริษัทไปสักพักใหญ่แล้ว โดยมีลูกชายของผม หรือศมน บริหารจัดการดูแลบริษัทนี้ต่อไป และวันนี้ผมคิดว่า ตอนนี้ทั้งผมและธาราแกรนด์พร้อมแล้วที่เราจะมีประธานกรรมการบริษัทคนใหม่เสียที”



“ผมขอมอบตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทธาราแกรนด์นี้ให้กับศมน ทุกท่านคงประจักษ์ฝีมือของเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว วินาทีนี้ผมคงไม่ต้องพูดอะไรหรือนำเสนอความสามารถของเจ้าตัว เพราะผลงานที่ปรากฏสู่สายตาของทุกท่าน ก็คงรับรู้ได้แล้วว่า ศมนเป็นนคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ เหมือนผมจะยกยอลูกชายตัวเองเลยนะครับ แต่มันก็คือความจริงครับ ขอบคุณครับ” ประโยคสุดท้ายของท่านเจ้าสัวใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะจากภายในงานได้ดังไม่น้อย



“ถือเป็นข่าวดีจริงๆ ค่ะ แล้วท่านเจ้าสัวจะทำอะไรต่อหลังจากมอบตำแหน่งนี้ให้กับคุณศมนแล้วคะ” พิธีกรสาวถามต่อ



“ผมจะผันตัวเองมาเหลือแค่ตำแหน่งที่ปรึกษาครับ เพราะฉะนั้นถ้าทุกท่านมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ ผมยินดีรับใช้เหมือนเดิม” ท่านเจ้าสัวโค้งตัวนิดๆ เพื่อเป็นการให้เกียรติแขกที่มาร่วมงาน



“คุณศมนกล่าวอะไรสักหน่อยคะ” พิธีกรหันไปถามศมน



“ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณคุณพ่อที่ไว้ใจและมอบหมายตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่นี้ให้กับผม เพื่อให้ผมดูแลบริษัทธาราแกรนด์ต่อ และผมต้องขอบคุณทุกท่านด้วยครับที่เชื่อใจผมด้วยเช่นกัน” ศมนกล่าวขอบคุณเพื่อปิดประโยค



“ค่ะ ขอบคุณท่านเจ้าสัวและคุณศมนมากเลยค่ะ และเพื่อไม่ให้เป็นการขัดเวลาที่มีค่าของทุกท่านอีก ขอเชิญทุกท่านรับประทานอาหารภายในงานต่อได้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ” พิธีกรสาวกล่าวปิดท้ายเพื่อเป็นการบอกว่าจบเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งให้ทราบแล้ว



เมื่อลงมาจากเวที ศมนตั้งใจจะปลีกตัวสักครู่เพื่อติดต่อจาณีนอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะทุกคนต่างรุมเข้ามาเพื่อแสดงความยินดีกับตนเอง ทั้งเรื่องตำแหน่งใหม่และการแต่งงาน ทำให้ศมนต้องปั้นหน้ารับแขกต่อไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้







.

.

จาณีนขับรถออกมาโดยไม่ได้สนใจว่าจะไปที่ไหน เขาขับมาที่บ้านเช่าด้วยความเคยชิน ไม่กลับคอนโด พอมาถึงก็ไม่กล้าเรียกคุณป้าเพราะเกรงว่าคุณป้าน่าจะเข้านอนไปแล้ว เขานั่งปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาหลังพวงมาลัยโดยไม่สนใจจะเช็ดมัน เขาไม่ได้ร้องไห้นานแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้ก็คือการจากไปของคุณยาย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ร้องไห้อีกเพราะไม่มีความเสียใจครั้งไหนจะเท่ากับเรื่องคุณยาย



จนกระทั่งเรื่องนี้หัวใจของเขาเหมือนมีใครมาดึงมันออกไปให้แยกออกจากกัน แทบจะขาดใจ เขาหลอกตัวเองมาตลอดว่าศมนเหมือนเดิม ชายหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนใจ รู้แจ้งอยู่แก่ใจแต่ก็ทำหลับหูหลับตาว่ามันไม่ใช่ เขาคิดไปเอง



ศมนไม่เหมือนเดิมหลังจากเหตุการณ์กับไตรภัทรครั้งนั้น จาณีนรู้ตัวดี เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เขาเหนื่อยใจแต่เขาไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมถอดใจ ถึงบาดแผลมันจะไม่จางหายไปแต่ก็มันก็สามารถบรรเทาให้เบาบางลงได้ เขาเชื่ออย่างนั้นทุกครั้ง



วินาทีที่เขาได้ยินศมนประกาศแต่งงานกับหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างนั้น เขาแทบใจสลาย เข่าอ่อน อยากจะทรุดตัวลงอยู่กลางพื้นพรมนุ่มนั้น แต่ก็ต้องแข็งใจเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป รู้แก่ใจว่าศมนไม่เหมือนเดิม แต่ศมนเอาคืนเขาแรงเกินไป



เหมือนถูกหลอก



ใช่ คำนี้เหมาะสมที่สุด



ถูกหลอกให้รักและเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายยังมีใจให้



ศมนต้องรู้ทีเดียวแหละว่าวันนี้จัดงานเพื่ออะไร จาณีนถึงไม่ได้รับการ์ดเชิญ มันไม่ใช่เพราะการ์ดของเขานั้นตกหล่นแต่มันเกิดจากความจงใจต่างหาก ศมนตั้งใจไม่ส่งการ์ดเชิญให้เขาตั้งแต่ทีแรก แต่เพราะเขาอยากไปชายหนุ่มเลยใช้แผนสองแทน ศมนตั้งใจให้พันธกรไปรับ อ้างเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อให้บอดี้การ์ดหนุ่มมารับเขาไปงานช้าหรือหลังจากศมนประกาศเรื่องงานแต่งงานไปแล้วต่างหากล่ะ





จาณีนไม่เคยตามศมนทันเลย





ยอมรับตรงๆ อย่างไม่อคติว่าศมนกับธัญชนกนั้นเหมาะสมกันมาก หญิงสาวคนนั้น ดูมั่นใจในตัวเองเหมาะที่จะเป็นภรรยาผู้บริหารอย่างเต็มเปี่ยม อีกทั้งใบหน้าผิวพรรณยังหมดจดงดงาม สมกันราวกิ่งทองใบหยก หากวันหนึ่งมีทายาทออกมา เด็กคนนั้นคงฉลาดและน่ารักอย่างแน่นอน



มันก็ดีแล้วนี่... ถ้าอีกฝ่ายยังอยู่กับเขาต่อไป ก็ไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่สังคมจะยอมรับ ลำพังตัวเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอกเพราะเขาเป็นแค่พนักงานทำงานทั่วไปไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่ศมนนั้นไม่ใช่ ชายหนุ่มเป็นมากกว่านั้น



เสียงเคาะกระจกดังขึ้นข้างตัว จาณีนสะดุ้งสุดตัว รีบเช็ดน้ำตาออก หันไปมองคนที่เคาะกระจก แล้วรีบลดกระจกลงเมื่อเห็นว่าคนเคาะนั้นเป็นใคร





“มาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าบ้าน” ชนัญญูถามขึ้น

“ก็มันดึกแล้ว ไม่อยากปลุกคุณป้า”



“จะเข้าบ้านมั้ย” ชนัญญูถามแต่จาณีนส่ายหน้าออกมาเบาๆ เขาไม่อยากรบกวนใครในตอนนี้



“เป็นอะไรทำไมต้องร้องไห้” ถึงจะดึกแล้ว แต่แสงไฟจากไฟริมทางก็พอให้เห็นคราบน้ำตาและแพขนตาที่เปียกเป็นกระจุกชุ่มแบบนั้น



“ไม่มีอะไร พี่ไปก่อนนะ ดึกแล้ว รีบเข้านอนล่ะ” จาณีนทำท่าจะปิดกระจก



“อย่าเพิ่ง ขยับไปนั่งที่ข้างๆ หน่อย เดี๋ยวผมมา”



“จะทำอะไร” จาณีนท้วงถาม



“ทำตามที่บอกเถอะ เร็วๆ” ชนัญญูพูดพลางหายเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักอีกฝ่ายก็กลับออกมาพร้อมเป้คู่ใจใบเดิม



ชนัญญูเปิดประตูฝั่งคนขับแต่เพราะภายในยังไม่ได้ปลดล็อค ชนัญญูมองไปที่ประตู จาณีนที่เพิ่งเข้าใจเลยปลดล็อคให้อีกฝ่าย





“ทำไมยังไม่ย้ายไปนั่งข้างๆ อีก” ชนัญญูที่เปิดประตูออกมาถามเจ้าของรถ





“ย้ายทำไม” จาณีนไม่เข้าใจว่าชนัญญูต้องการอะไร



“เถอะน่า”



“อืม ก็ได้” ถึงจะสงสัย แต่จาณีนก็ยอมขยับไปแต่โดยดี ชนัญญูก้าวขึ้นนั่งแทนที่คนขับแล้วค่อยถอยรถออกจากหน้าบ้านไป



“ขับรถเป็นแน่นะ”



“อืม ก็ขับอยู่”



“ไม่เห็นเล่าให้ฟังว่าขับได้” จาณีนไม่รู้มาก่อนว่าชนัญญูขับรถเป็น เห็นปกติเดินดุ่มๆ ขึ้นรถเมล์อย่างเดียว



“ก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าผมขับรถเป็นนะ”



“เออก็จริงว่ะ มีอารมณ์ขันนะเนี่ย แล้วนี่จะพาพี่ไปไหน”



“อยากไปไหนล่ะ” ชนัญญูย้อนถามกลับ



“ไม่รู้สิ”



“เขาบอกคนอกหักมักไปทะเล ผมไม่รู้ว่าพี่มีปัญหาอะไรหรอกนะ แต่ก็จะพาไปทะเล”



“เหรอ...”



“แต่คงไปแถวภาคตะวันออกละกัน”



“ทำไม?”



“บ้านเกิดผมเอง อีกอย่างมันดึกแล้ว ไม่อยากขับไปถนนที่ไม่ค่อยคุ้นทาง”



“ตามใจ”



“นอนเถอะ ตื่นมาตาจะได้ไม่บวม”



“ขอบใจนะ ขับไม่ไหวก็เรียกแล้วกัน” จาณีนไม่ได้คัดค้าน เขาปรับที่นั่งให้เอนลงแล้วก็หลับตาลง คืนนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว พรุ่งนี้เขาจะต้องคิดทุกอย่างด้วยสติ แล้วลงมือจัดการชีวิตตัวเองสักที








=================

คุณศมนทำอะไรลงไป ฮืออ งานเข้าแล้วค่า  :z3:

ฝากเพจทาง fb : https://www.facebook.com/akanae14/
ทาง twitter : https://twitter.com/khemmakan

ขอบคุณมากค่ะ ติดตามกันเยอะๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eleventh Drop -- 28 August 2017
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 20-09-2017 10:40:01
 :กอด1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eleventh Drop -- 28 August 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 04-10-2017 22:22:59

Twelveth Drop


            “พี่จา พี่จา ตื่นเถอะ” แรงเขย่าอีกทั้งเสียงที่เรียกไม่เบานัก ทำให้จาณีนรู้สึกตัวขึ้นมา



            “ยู”



            “อือ ผมเอง ลุกเถอะต้องไปต่อ” ชนัญญูปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ดับเครื่องยนต์ เตรียมตัวจะลงจากรถ แต่ก็ถูกจาณีนเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน



            “ไปไหน แล้วที่นี่ที่ไหน”



            “ลงมาก่อนเถอะ เดี๋ยวบอกให้ฟังทีเดียว”



            “แต่..ที่นี่” จาณีนมองไปรอบๆ ตอนนี้ท้องฟ้าก็ยังมืดมิด บรรยากาศภายนอกก็มืดดำ ไร้แสงไฟ ทำให้เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย



            “ไม่พาไปขายหรอกน่า ที่นี่เป็นบ้านผมเอง”



            “บ้าน”



            “อืม ลงมาเถอะ เดี๋ยวลุงเขาจะคอย”



            “อ่า อืม” จาณีนยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกนัก แต่ก็ยอมติดตามอีกฝ่ายลงไปแต่โดยดี





            ตอนนี้จาณีนลงมายืนที่พื้นถนน ชนัญญูดึงแขนเขาให้เดินตามไปจนกระทั่งเห็นเรือหางยาวจอดอยู่ สายตาของเขาเริ่มปรับภาพให้คุ้นชินได้แล้วก็พบว่าที่นี่น่าจะเป็นสะพานปลา สะพานแห่งนี้ล้อมรอบด้วยน้ำ รู้สึกถึงความเย็นเมื่อลมได้พัดผ่านส่งมากระทบผิวกาย



            “ลุงครับๆ ไปกันเลยมั้ย” จาณีนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยตอนได้ยินสำเนียงแปร่งแปลกหูของชนัญญู เขาบอกไม่ได้ว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงแบบไหน ชนัญญูพูดค่อนข้างเร็วกว่าเดิม และเสียงที่ลงท้ายคำพูดนั่นค่อนข้างจะสูงกว่าปกติ แต่เขาคิดว่าเขาพอฟังออก



            “เออ ขึ้นมา ระวังๆ ล่ะ ฟ้ายังเช้าอยู่” แต่พอจาณีนได้ยินเสียงที่ลุงพูด เขาเกือบจะฟังไม่ทัน และไม่เข้าใจ ท้องฟ้ายังมืดสนิททำไมลุงบอกว่าเช้า เขาอดไม่ได้ที่ยกนาฬิกาขึ้นมาดู ตอนนี้เพิ่งจะตีสามนะ เช้าตรงไหนล่ะครับลุง



            “พี่จา เดินตามผมมานะ อย่าให้ตกเรือไปล่ะ ฟ้ายังไม่ค่อยสว่าง” แต่เขาก็ถึงบางอ้อ เมื่อชนัญญูเป็นคนเฉลยให้ฟัง คงเป็นคำที่ใช้กันในท้องถิ่นล่ะนะ ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน



            “ตกลง” จาณีนค่อยๆ ก้าวขึ้นเรือด้วยความระวัง



            เมื่อลุงเห็นว่านั่งกันเรียบร้อยแล้ว ลุงจึงติดเครื่องยนต์ เสียงดังของมันทำให้จาณีนต้องตกใจเล็กน้อย เพราะรอบๆ บริเวณนี้เงียบสงัด พอมีเสียงใดเสียงหนึ่งดังขึ้นมามันจะดังกว่าปกติ



“พี่จา เอ้านี่” ชนัญญูยื่นเสื้อชูชีพมาให้ เขารับมันไว้มาถือไว้กับตัว



“ขอบใจนะ”



“ทำไมไม่ใส่ ว่ายน้ำเป็นใช่มั้ย”



“เป็นสิ”



“ใส่เถอะ ถึงจะว่ายแข็งแค่ไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ไหวหรอก ตะคริวกินแน่ๆ เพราะตอนนี้อากาศในน้ำเย็นมาก”



“อืม ยูก็ใส่ด้วยสิ เตือนแต่คนอื่น แล้วทีตัวเองล่ะ”



“ก็ได้” ชนัญญูใส่เสื้อชูชีพโดยดี เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนที่มาด้วยอีก



“ตกลงว่า ที่นี่คือที่ไหน”



“โฮมสเตย์ บ้านผมเอง”



“จริงอะ ที่บ้านยูเปิดโฮมสเตย์ด้วยเหรอ เจ๋งอะ” จาณีนตื่นเต้นเพราะเขาอยากมาพักที่โฮมสเตย์นานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเพราะศมนไม่ว่าง ครั้นจะมาคนเดียวก็ไม่สนุก เขาก็เลยไม่ได้มาสักที



“เจ๋งอะไรล่ะ พ่อแม่ผมนู่นที่ทำ ผมมันแค่ลูกจ้างของเขา”



“แล้วพาพี่มาแบนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่า”



“จะเป็นอะไร..อ๋อ...ไม่หรอก ผมพาเพื่อนๆ มาออกจะบ่อย”



“เหรอ ขอบใจนะที่พามา”



“เล็กน้อย อาจจะผิดแผนไปหน่อยที่ไม่ใช่น้ำทะเล ดันเป็นน้ำกร่อย แต่ก็โดดน้ำเล่นได้เหมือนกัน”



“แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว” จาณีนบอกจากใจจริง



“อือ”



“แล้วนึกไงถึงพาพี่มาที่นี่”



“เห็นหน้าเป็นหมาหงอยแล้วสงสาร”



“ไอ้ยู ถึงแล้วเว้ย” ชนัญญูทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา จนกระทั่งลุงพูดเสียงดังแข่งกับเครื่องยนต์บอกว่าถึงที่หมายแล้ว





เรือเทียบตรงทางขึ้นที่ถูกทำไว้ตรงข้างบ้าน ชนัญญูเดินขึ้นไปบนบ้านก่อนด้วยความคล่องแคล่ว แล้วยื่นมือมาเพื่อช่วยจาณีนให้ขึ้นไปด้วยกัน เมื่อเห็นว่าทั้งสองขึ้นบ้านได้อย่างสวัสดิภาพแล้ว ลุงจึงเตรียมหันหางเสือเพื่อบังคับเรือให้แล่นออกไปทางจุดมุ่งหมายข้างหน้า



จาณีนก้าวขึ้นบ้านตามเจ้าของบ้านมา เขายืนอยู่กลางบ้าน เห็นชนัญญูเดินหายเข้าไปในห้องริมสุดทางขวามือ สักพักไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับของในมือ แล้วยื่นส่งมาให้จาณีนต่อ



“นี่เป็นเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวแล้วก็พวกของใช้ พี่ใช้ได้หรือเปล่า”



“ใช้ได้สิ ขอบใจมากนะ”



“ห้องน้ำอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวผมเข้าไปเตรียมที่นอนให้” ชนัญญูชี้ไปห้องฝั่งตรงข้ามกับที่ยูหายเข้าไปในทีแรก  จาณีนมองตามมือที่ชี้บอก



“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนละกัน”



“ครับ”



จาณีนเดินตรงไปห้องน้ำตามที่ชนัญญูบอก ส่วนอีกฝ่ายก็แยกไปเตรียมที่นอนสำหรับคืนนี้ที่ห้องริมสุดทางขวาห้องเดิม จาณีนสำรวจภายในห้องน้ำ ออกแบบมาเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว เพราะมีฝักบัวและเครื่องอาบน้ำอุ่นไว้ครบครัน เขาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสักพักก็ออกมาพร้อมกลิ่นกายที่หอมกรุ่นจากครีมอาบน้ำ



“เสร็จแล้วเหรอ” ชนัญญูนั่งอยู่ตรงที่นั่งริมระเบียง



“อืม แล้วยูล่ะ อาบน้ำมั้ย”

“เดี๋ยวผมมา พี่นั่งรับลมเล่นตรงนี้ไปก่อน” ชนัญญูหายไปในห้องน้ำที่เขาเพิ่งเดินออกมา ไม่นานนักอีกฝ่ายก็กลับออกมาด้วยกลิ่นกายเดียวกับเขา



“ไวจัง”



“ผ่านน้ำน่ะ เดี๋ยวเช้าก็อาบอีกรอบ”



“ซกมก”



“เอาน่า ตัวไม่เหม็นหรอก ตามผมมา คืนนี้คงต้องนอนที่ห้องนี้ก่อน เพราะห้องอื่นยังไม่ได้ปัดกวาดเลย”



“ยังไงก็ได้” จาณีนเดินตามชนัญญูเข้าห้องไป เขาเห็นฟูกที่นอนสองอันวางติดกัน มีหมอนหนุนวางบนที่นอนนั้น และผ้าห่มที่ถูกพับเรียบร้อยอยู่ตรงปลายที่นอน



“พอนอนได้มั้ย”



“เฮ้ย ได้ดิ คิดว่าพี่ติดหรูหรือไง เด็กนี่” จาณีนบอกอีกฝ่ายออกไป เพราะเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าชนัญญูกลัวว่าเขาจะอยู่ไม่ได้



“ไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่พี่ก็อยู่ดีกินดีใช่มั้ยล่ะ”



“พี่ไม่ใช่คนเรื่องมากขนาดนั้น ก็กินอยู่เหมือนยูจนมหา’ลัยนั่นแหละ”



“อ้าวเหรอ”



“อืม เลิกกังวลได้แล้ว พี่อยู่ได้” จาณีนพูดออกไปจากใจ เขาชอบวิถีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายแบบนี้ เขาไม่ได้หลงใหลความร่ำรวย และก็ไม่ได้รังเกียจความยากจน



“พี่เลือกเลยจะนอนฝั่งไหน” จาณีนเลือกที่นอนที่ใกล้ตัวเองที่สุด “ผมปิดไฟนะ”



“อืม” ไฟถูกปิด แสงสว่างกลับมามืดมิดอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังอยู่ไกลๆ



“ยู หลับยัง” จาณีนยังตาสว่างอยู่เพราะได้นอนมาแล้วในรถและเพราะเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ



“ยังหรอก แต่ก็ใกล้ละ ง่วง ทำไมอะ”



“ลุงคนที่มาส่งเรา เขาไปไหนต่ออะ”



“เขาขับเรือไปที่เรือหาปลาน่ะ”



“อ่อ แล้วพ่อกับแม่ยูล่ะ”



“อยู่ที่สวนกัน เดี๋ยวตอนเช้าค่อยโทรบอก เขาคงตามมาเองแหละมั้ง”



“ทำไมล่ะ”



“ถ้ามีงานในสวนเยอะ ก็ไม่มาหรอก แต่ไม่ต้องกลัวอดตายนะ ยิ่งรู้ว่าพาเพื่อนมา แม่จะให้เด็กเอาข้าวมาให้เยอะจนกินไม่หมดเลย”



“ดูท่าทางแม่ยูคงจะใจดี” พูดแล้วก็อดไม่ได้ ยายเขาก็ใจดี ถ้าเพื่อนมาที่บ้าน ยายจะทำกับข้าวหลายอย่างให้เขากับเพื่อนได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว



“ใจดีมั้ง ไม่รู้สิ แต่เพื่อนผมก็บอกว่าแม่ใจดี”



“พูดเหมือนแม่ไม่ใจดีกับยู”



“เป็นลูกก็คงแบบนั้นมั้ง แม่ค่อนข้างขี้เป็นห่วงแล้วก็เข้มงวด แต่จริงๆ แล้วก็ใจดีจริงๆ นั่นแหละ”



“เหรอ”



“ตีสี่กว่าแล้ว ผมง่วงละ รีบนอนเถอะ มีปัญหาอะไรค่อยคิดพรุ่งนี้” ชนัญญูตัดบทลงง่ายเพราะเจ้าตัวคงง่วงเต็มทีแล้ว



“อืม”



“ฝันดี พี่จา อย่าคิดมาก”



“ฝันดียู”





.

.

“ไม่เจอคุณจาครับ นาย” พันธกรยืนรายงานเจ้านายหนุ่มที่ยืนหัวเสียอยู่ในห้องพักขนาดใหญ่ที่คอนโด



============

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eleventh Drop -- 28 August 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 04-10-2017 22:23:46



“ไม่เจอคุณจาครับ นาย” พันธกรยืนรายงานเจ้านายหนุ่มที่ยืนหัวเสียอยู่ในห้องพักขนาดใหญ่ที่คอนโด



ตอนนี้บอดี้การ์ดหนุ่มเริ่มรู้สึกกลัวคนตรงหน้าเป็นครั้งแรก โดยปกติแล้วศมนค่อนข้างใจเย็นกับทุกๆ สถานการณ์ แต่มันไม่ใช่เรื่องนี้ เรื่องของจาณีนเท่านั้นที่ชายหนุ่มจะร้อนใจอยู่เสมอ และพันธกรยังทำงานผิดพลาดซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากเลยทีเดียว เขาถูกศมนย้ำหนักหนาว่าห้ามทำพลาดเด็ดขาด แต่เขาก็ทำไม่ได้



พันธกานต์เห็นพี่ชายยืนรายงานผลด้วยความขยาดแล้วก็รู้สึกเป็นห่วง กลับมาถึงก็เจอปัญหาเลย ค่ำคืนนี้เขากับพี่ชายออกตามหาจาณีนทั้งที่คอนโด มุ่งหน้าต่อไปที่บ้านเช่าหลังนั้น แวะเวียนไปที่บริษัทแต่ก็กลับไร้วี่แววของคนที่ตามหาเลย ฝาแฝดหนุ่มยังไม่ย่อท้อ ออกตามหาเด็กหนุ่มอีกหลายๆ ที่ ทั้งร้านอาหารที่เจ้าตัวชอบไป สวนสาธารณะ จวบจนเลยเข้าวันใหม่มาสองสามชั่วโมง พวกเขาจึงลงความเห็นว่าควรหยุดการตามหาจาณีนเอาไว้ก่อน



ไม่นึกเลยเมื่อกลับมาถึงห้องจะยังพบเจ้านายยืนรอฟังข่าวอยู่ ในมือของเขายังถือแก้วไวน์บรรจุน้ำสีแดงอยู่ภายในเอาไว้ พันธกรรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดไป ศมนเงียบไม่พูดอะไรหลังจากได้ที่ฟังรายงานจนจบ ขนาดทำงานกับศมนมานาน เขาเองยังเดาเหตุการณ์ต่อไปไม่ถูกเลยว่างานนี้จะถูกลงโทษจากศมนอย่างไร



“นายครับ” แฝดคนพี่รวบรวมความกล้าเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป



“ไปตามหาทุกที่แล้วใช่มั้ย” ศมนกดเสียงให้ต่ำลงเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง



ได้ยินคำว่า ‘ไม่เจอ’ แล้ว



เขาอยากจะไล่ฝาแฝดคู่นั้นออกจากห้องไป แล้วลงมือทำลายข้าวของ ระบายอารมณ์ใส่ของพวกนั้น โมโหต่อทุกอย่าง แต่มันก็ทำไม่ได้ เขาต้องควบคุมอารมณ์ไม่ให้ความรู้สึกฝ่ายต่ำในจิตใจมันชนะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คนหายไปหนึ่งคนแล้วต้องทำเหมือนเขาแค่ไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง



“ครับ พรุ่งนี้เช้าผมกับกานต์จะแยกกันไปตามหาอีกครั้งครับ”



“ไม่ต้องแล้ว”



“ทำไมครับ” พันธกานต์แปลกใจไม่คิดว่าศมนจะถอดใจลงง่ายๆ



“กลับมาแล้วเหรอ กานต์” ศมนไม่ตอบกลับเลี่ยงถามพันธกานต์แทนเสียอย่างนั้น



“ครับนาย”



“แล้วจะให้พวกผมทำยังไงต่อไปครับ” พันธกรถามศมนเพราะอยากรู้ว่าพวกเขาจะต้องทำอะไร



“ทำเหมือนที่เคยทำก็พอ”



“ครับ?” แฝดคนพี่ถึงกับงงในคำตอบ ทำเหมือนที่เคยทำคืออะไร ในเมื่อตอนนี้จาณีนไม่อยู่ให้เขาติดตามแล้ว



“คืนนี้พวกเธอเหนื่อยมามากแล้ว พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้หยุดงานได้หนึ่งวัน”



“นาย...” เสียงของศมนนิ่งเสียจนกรนึกเป็นห่วง ศมนนิ่งเกินไปกับเรื่องนี้ มีอะไรเกิดขึ้นกับศมนหรือเปล่า



“มีอะไร”



“นายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”



“ฉันสบายดี ทำไมหรือ”



“เรื่องคุณจา...”



“ฉันมัวแต่คิดเรื่องตัวเองจนลืมนึกถึงจาณีนไป เขาคงต้องการเวลา พร้อมเมื่อไหร่ก็คงกลับมาเอง เรื่องนี้กานต์คงจะเข้าใจจาได้ดีกว่าใคร” ท้ายประโยคศมนหันไปถามพันธกานต์



“ครับ” ถึงจะไม่หนักเท่ากับจาณีน แต่พันธกานต์เองก็พอจะเข้าใจอารมณ์นี้ได้ดีกว่าใครในที่นี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าคนที่ต้องประกาศการแต่งงานนั้นรู้สึกอย่างไร



“ตามนั้น ไปพักกันได้แล้ว ฉันเองก็ต้องพักเหมือนกัน”



.

.

จาณีนได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอยู่ข้างนอก เหลือบมองที่นอนข้างกายก็ไม่พบชนัญญูในห้องแล้ว เขายังรู้สึกง่วงอยู่มาก แต่ก็ไม่อยากนอนต่อมากไปกว่านี้ เขาจึงลุกขึ้นพับผ้าห่มให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไป



“ตื่นแล้วเหรอพี่”



“ตะกี้คุยกับใครอะ”



“เด็กที่สวนน่ะ แม่ให้เอาข้าวมาส่ง” ชนัญญูชูเถาปิ่นโตขนาดใหญ่พอสมควรให้จาณีนได้เห็น



“เขาไปไหนแล้วล่ะ” จาณีนถามหาคนมาส่งข้าว



“กลับไปแล้ว”



“ไวจัง”



“กลับไปทำงานต่อ”



“อย่างนั้นเหรอ”



“พี่จะเข้าไปนอนต่อมั้ย หรือจะกินข้าวเลย” ชนัญญูถามอีกฝ่าย



“กินข้าวเลยดีกว่า ไม่อยากนอนต่อแล้ว”



“ไปแปรงฟันก่อนแล้วกัน” ชนัญญูบอกให้จาณีนไปจัดการธุระส่วนตัวเสียก่อน



จาณีนเดินไปห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวและแปรงฟันตามที่ชนัญญูบอกให้เรียบร้อย เช็ดหน้าเช็ดตาจนสะอาดแล้วก็เดินออกมา ได้กลิ่นอาหารหอมโชยมาแตะจมูก ท้องก็เริ่มร้องประท้วงหิวขึ้นมาทันที



“หน้าตาน่ากินจัง” จาณีนชะโงกหน้าเข้ามาดูอาหารที่ถูกจัดลงในชามแล้ว



“ไม่ใช่แค่หน้าตาดีนะ แต่อร่อยมากด้วย”



“โม้หรือเปล่า”



“เอ้า ลองชิมดู เผลอๆ จะขอข้าวเพิ่มแทบไม่ทัน” ชนัญญูตักอาหารใส่จานของจาณีนที่ฝั่งตรงข้าม ท่าทางจับช้อนส้อมของจาณีนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เหมือนเด็กๆ ที่รอคอยกินของอร่อยๆ ทำให้ชนัญญูต้องหลุดขำกับกิริยาเหมือนเด็กของเจ้าตัว



“หัวเราะอะไร อื้อออ อร่อยอะ มันคืออะไร” จาณีนตักอาหารเข้าปาก รสชาติอาหารดีมากทีเดียว เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่อร่อยมาก แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายที่กำลังพยายามกลั้นขำก็ต้องสงสัย จึงได้ถามกลับไป



“หมูชะมวง อร่อยล่ะสิ”



“อร่อยมาก ไม่เคยกินเลย”



“ถ้าอย่างนั้นก็กินเยอะๆ ลองจานนี้ด้วย อันนี้เป็นเส้นจันท์ผัดปู สีมันแดงๆ หน่อย แต่ไม่ได้เผ็ดมากหรอก ลองชิมดูก่อนก็ได้” ชนัญญูม้วนเส้นจันท์เข้ากับส้อมแล้วก็ไปวางบนจานอีกฝ่ายอีกครั้ง



จาณีนค่อยๆ ตักกินด้วยความระวังกลัวว่าจะเผ็ดเพราะสีของมันแดงค่อนข้างน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อลิ้นได้สัมผัสกับรสชาติแล้ว มันกลับอร่อยอย่างบอกไม่ถูก



“เฮ้ย อันนี้ก็อร่อย”



“ก็บอกแล้วว่าอร่อย มีกุ้งต้มด้วย แพ้อาหารทะเลหรือเปล่า”



“ไม่ๆ ไม่แพ้ กินได้ กินได้ทุกอย่าง” สำหรับจาณีนแล้วเรื่องกินไว้ใจเขาได้เลย



“กุ้งก็จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด คนที่นี่เรียกพริกเกลือ เผื่อไปได้ยินคนอื่นเรียกจะได้ไม่ งง แต่รสชาติจะเผ็ดหน่อย ค่อยๆ จิ้มล่ะ”



จาณีนใช้ส้อมจิ้มกุ้งตัวโตอวบอิ่มขึ้นมา กุ้งพวกนี้ถูกแกะเปลือกออกเรียบร้อยแล้ว สะดวกที่จะทานได้เลย เขาค่อยๆ จิ้มกุ้งลงน้ำจิ้มที่ชนัญญูอธิบายว่ามันคือพริกเกลือ



“สดมากเลย อร่อยอะ”



“ฟินเลยสิ ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ มีอีกเพียบ เดี๋ยวตอนเย็นแม่ก็ให้เด็กเอาข้าวมาส่งอีก ไม่ต้องกลัวว่าจะอด”



“ขอบใจนะ”



“เล็กน้อยน่า ยังไงผมก็ต้องกินด้วยอยู่แล้ว” ชนัญญูโบกมือตัดความเกรงใจ เขาไม่ได้อยากทำเพราะหวังผลประโยชน์ เขาแค่ทำให้อย่างคนหวังดีทำให้ก็เท่านั้น



“อ้อ อีกเรื่อง” ชนัญญูที่เพิ่งกลืนกุ้งตัวใหญ่ลงไปหมดก็พูดต่อ



“หืม”



“ผมให้เวลาพี่เศร้าหรือเครียด ถึงแค่วันพรุ่งนี้นะ หลังจากนั้นพี่ต้องกลับมาเป็นคนเดิม”



“นายก็พูดง่ายเกินไป”



“ก็รู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่ผมมีเวลาให้พี่ได้เท่านี้”



“จะพยายามแล้วกัน”



“แค่นี้ก็เยี่ยมแล้ว”





ทานมื้อเช้าจนพุงกาง ชนัญญูก็ขอตัวหายเงียบเข้าไปนอนต่อในห้อง จาณีนเลยนั่งรับลมอยู่ที่ระเบียง เขามองไปรอบๆ คอยมองวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ รับรู้ถึงความเรียบง่าย ช่วงเวลาที่ผ่านไปแต่ละนาทีดูไม่วุ่นวาย ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายกันไปมา คนขับเรือผ่านก็ตะโกนคุยกับคนที่อยู่ภายในบ้าน ให้ความรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ต่างจากชีวิตในกรุงอย่างสิ้นเชิง ทุกคนเร่งรีบเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง อีกทั้งยังใช้ชีวิตต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกัน





เมื่อคืนยังมองเห็นอะไรไม่ชัด แต่ตอนนี้มองเห็นชัดทุกอย่างแล้ว จาณีนเห็นผืนน้ำทีกว้างไกล เรือสัญจรกันไปมา อีกทั้งโฮมสเตย์ของชนัญญูเองก็จัดตกแต่งเรียบง่ายเหมือนได้อยู่บ้านของตัวเอง ตัวบ้านเป็นไม้ยกใต้ถุนสูงทั้งหมด เพราะตัวบ้านตั้งอยู่ในน้ำ





จาณีนนั่งมองไปเรื่อยๆ ความสงบช่วยผ่อนคลายจิตใจที่เครียดขึงตั้งแต่เมื่อวานให้ดีขึ้น สมองเริ่มปลอดโปร่ง ก็เริ่มคิดอะไรได้ดีกว่าเดิม จาณีนในตอนนี้กำลังจัดระเบียบความคิดของตัวเอง เขาไม่ได้ยินดีกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ แต่ก็ไม่ฝืนรั้งเอาไว้ เมื่อวานเขาคิดหัวแทบแตกว่าทำไมศมนถึงต้องทำแบบนั้น แล้วทำไมศมนไม่พูดหรือบอกอะไรให้เขาฟังก่อนหน้านี้







ในหัวมีแต่คำว่า ทำไมและทำไม







แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่อยากรู้คำตอบนั้นแล้ว ศมนจะมีเหตุผลอะไรก็ช่าง หรือจะทำไปเพราะอะไรก็ช่าง เขาไม่อยากสนใจหรือรับรู้มันแล้ว ถึงรู้ไปมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ สู้เตรียมใจเตรียมรับมือกันมันดีกว่า





ถึงตอนนี้จาณีนก็ยังไม่ได้เปิดโทรศัพท์ เขาลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารเมื่อเช้านี้มาเปิด มีการแจ้งเตือนเข้ามาอย่างมากมาย ทั้งสายที่ไม่ได้รับอีกหลายสาย ทั้งจากกตพล บอดี้การ์ดหนุ่มอย่างพันธกร หรือแม้กระทั่งศมน จาณีนเลือกกดโทรศัพท์ออกไปหาคนแรกก่อน





“เฮ้ย ไอ้จา เป็นอะไรมั้ยวะ กูติดต่อมึงไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน มึงโอเคมั้ยเนี่ย” กตพลพูดรัวเร็วผ่านโทรศัพท์มาจนจาณีนเกือบจะหาจังหวะแทรกไม่ทัน



“ใจเย็นก่อนครับพี่พล คือตอนนี้ผมโอเค สบายดี ไม่ต้องห่วงครับ แต่มีเรื่องจะขอพี่อย่างหนึ่ง”





“เออ บอกมาเลย ข้าช่วยเอ็งอยู่แล้ว”



“โหย ไม่มีปฏิเสธเลยแฮะ ยืมเงินได้มั้ยเนี่ย”



“เออ จะยืมเงินก็ได้ เอาเท่าไหร่ล่ะ”



“เอาจริงนะเนี่ย ผมพูดเล่นครับ แค่จะขอลางานพรุ่งนี้วันหนึ่งครับ”



“วันเดียวเองเหรอ หยุดเพิ่มอีกมั้ย ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก”



“ไม่เป็นไรครับ วันเดียวก็พอแล้ว”



“เอ็งรู้เรื่องนี้มาก่อนมั้ย”



“ไม่เลยครับ ผมก็รู้พร้อมพี่นั่นแหละ”



“ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเอ็งวะ”



“ผมก็ไม่รู้ แต่ช่างเถอะพี่พล ตอนนี้ผมไม่อยากรู้แล้ว”



“แล้วเอ็งจะเอายังไงต่อ”



“ก็คงคุยกันมั้งครับ ยังไม่รู้เลย”



“ไหวแน่นะ”



“ก็...ไหวครับ” จะบอกได้อย่างไรว่าเรื่องสดใหม่ขนาดนี้แล้วยังไหว เขาไม่อยากให้กตพลต้องเป็นห่วงเขามากไปกว่านี้



“ถ้ามีอะไร ให้ข้าช่วย รีบบอกมาได้ทันทีเลยนะไม่ต้องเกรงใจ”



“ครับพี่พล”



“แล้วเจอกัน”



“ครับ” จาณีนกดวางสาย ไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งเข้ามามากมาย พยายามไม่กดอ่านข้อความจากศมน เขาจงใจละมันไว้เป็นข้อความสุดท้าย เมื่ออ่านข้อความจนครบหมดก็กดปิดเครื่องคืนดังเดิม



“ไง วันอาทิตย์ก็ยังมาทำงานเลยเหรอ” คุณหมอชลทีเดินเข้ามาในห้องทำงานของศมนโดยไม่แม้กระทั่งจะเคาะประตู





“เสียมารยาทนะครับพี่ชล”



“เคาะไปก็ไม่ได้ยินหรอกมั้ง งานเยอะหรือไง”



“ครับ”



“ไม่ใช่ว่าเครียดจนอยู่บ้านไม่ได้เหรอ”



“ถ้ารู้แล้วพี่จะถามผมทำไม นี่พี่มาได้ยังไงครับ” ศมนวางมือจากงานตรงหน้าแล้วลุกขึ้น เดินนำอีกฝ่ายมานั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง



“พูดจาไม่รื่นหูเอาซะเลย”



“พี่ชล” ศมนถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะรับแขก”



“นี่พี่กลายเป็นแขกของนายไปแล้วหรือมน”



“ขอโทษครับ ผมหงุดหงิดไปหน่อย”



“ถ้ารู้ว่าจาณีนเป็นคนสำคัญของเธอ แล้วทำไมถึงทำแบบนี้กับเขา หรือว่าเพราะเรื่องคุณลุง” คุณหมอหว่านถามไปเผื่อว่าจะถูกบ้าง



“.....”



“คิดไว้ไม่มีผิด เรื่องคุณลุงจริงๆ ด้วยสินะ” และคุณหมอชลทีก็ได้คำตอบ



“พี่รู้ได้ยังไง”



“ข่าวใหญ่ขนาดนี้ สาวๆ พยาบาลที่โรง’บาลพี่ พาอกหักกันทั้งนั้น แล้วพี่จะไม่รู้ได้ยังไง แต่ที่พี่แปลกใจก็คือ ทำไมมนเลือกไม่บอกใคร ไม่บอกแม้กระทั่ง ‘พี่’  และนายเคยตัดสินใจทุกอย่างได้ดีกว่านี้”



“ผมไม่อยากให้พี่ต้องกังวล ลำพังแค่งานของพี่ก็เหนื่อยมากพอแล้ว วันนี้พี่ไม่เข้าเวรเหรอครับ” ศมนจงใจถามเรื่องอื่น



“อย่าเปลี่ยนเรื่องน่ามน” ชลทีรู้ทัน แผนของศมนเลยไม่เป็นผล



“ผมก็แค่ถามดู”



“ถ้าเข้าเวรแล้วพี่จะมาหาเธอได้เหรอ นี่ศมน...” ไม่บ่อยนักที่คุณหมอจะเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยชื่อจริง



“ครับ...”



“พี่เคยบอกเธอใช่มั้ยว่ามีอะไรให้รีบพูดรีบบอก อย่าเก็บเอาไว้เพราะมันอาจจะสายไป จำได้มั้ย”



“จำได้ครับ”



“อยากเสียจาณีนไปจริงๆ เหรอ”



“ไม่ครับ ผมรักจาณีน พี่ก็รู้ แต่ครั้งนี้ผมขัดคุณพ่อไม่ได้”



“เรื่องเดิม?”



“ครับ”



“คุณลุงไม่ยอมทิ้งความตั้งใจเลยสินะ”



“ตั้งแต่เรื่องพี่คราวนั้น ผมก็คิดว่าพ่อจะยอมปล่อยวางลงบ้างแล้วแท้ๆ นอกจากจะไม่ปล่อยวาง ครั้งนี้ยังหนักหนากว่าคราวของพี่นัก เพราะคุณพ่อเห็นว่าผมจริงจังกับจามาก”



“โดนขู่?” คุณหมอชลทีเดาเรื่องได้ไม่ยาก พ่อลูกนิสัยไม่ได้ต่างกัน ใครแข็งกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด



“อย่าเรียกว่าขู่เลยครับ มันแย่กว่านั้นเยอะ”



“แล้วนี่จาณีนเป็นยังไงบ้าง คุยกับเขาแล้วหรือยัง” ชลทีเห็นว่าถามไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เลยเปลี่ยนไปถามถึงจาณีนที่เป็นผู้รับผลกระทบนั้นโดยตรงด้วยดีกว่า



“จาไม่กลับห้องตั้งแต่เมื่อคืนครับ ตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้”



“แจ้งตำรวจหรือยัง” คุณหมอเสนอความคิด



“อย่าดีกว่าครับ เขาไม่เป็นอะไรหรอก” ศมนเลือกที่จะปฏิเสธ



“รู้ได้ไง”



“ผมมั่นใจ” ศมนตอบเพียงสั้นๆ ไม่อธิบาย



“ให้กรตามหาแล้วหรือยัง”



“แล้วครับ แต่ก็ไม่เจอ ถ้าจาพร้อมเมื่อไหร่คงติดต่อผมกลับมาเอง”



“ถ้าอย่างนั้นก็อาศัยจังหวะนี้ค่อยๆ หาทางแก้ไข ถึงจะไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่ก็อย่าให้ช้ำไปหมดทุกฝ่ายละกัน”



“ครับพี่ชล”



“เลิกทำงานได้แล้ว ไปโรง’บาลกับพี่ก่อน”



“ไปทำไมกันครับ” ศมนหันไปถามเพราะเขาไม่ได้เป็นอะไรหรือมีธุระอะไรที่โรงพยาบาล



“เธอเหนื่อยเกินไปแล้ว ไปนอนรับวิตามิน ให้มันผ่อนคลายหน่อย”



“ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น ยังโอเคอยู่นะพี่ชล”



“อย่าเถียงหมอได้มั้ยเล่า อายุขนาดนี้แล้วเครียดมากๆ เดี๋ยวหน้าจะแก่เอาได้ จากลับมาจำหน้าไม่ได้ทำไงล่ะ” มุกตลกๆ ของคุณหมอเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้นิดหน่อย แค่นั้นคุณหมอก็เบาใจขึ้นมาหน่อยว่าศมนยังไม่ได้มีอาการย่ำแย่จนเกินไปนัก



“ไปนะ”



“ก็ได้ครับ” คุณหมอหนุ่มคงไม่ยอมให้ปฏิเสธแน่ๆ ชายหนุ่มเลยยอมปล่อยเลยตามเลย



=======================


ช่วงเวลาอกหัก ช่วงเวลาทำใจ


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twelveth Drop -- 4 October 2017
เริ่มหัวข้อโดย: TAJIPO ที่ 05-10-2017 23:33:49
 :katai1:
อีตาศมนคนบ้าาาา
โอ้ยยยย น้องจาลูกกกกกก ใจบางมาก
หน่วงตามเลย

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twelveth Drop -- 4 October 2017
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2017 17:24:29
 :เฮ้อ:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twelveth Drop -- 4 October 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 08-11-2017 10:37:04
Thirteenth Drop


           

            “ยู... ยู...” เสียงเรียกมาจากคนในเรือที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดตรงท่าเทียบตรงข้างตัวบ้าน



            “เอ่อ.. ยูนอนหลับครับ มีอะไรหรือเปล่า”



            “คุณ...เพื่อนยู ใช่มั้ย ฉันเอากับข้าวมาให้ ช่วยมารับที ต้องรีบไป” สำเนียงแปร่ง แถมยังพูดค่อนข้างเร็ว จาณีนฟังไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก แต่ก็พอจับใจความได้บางส่วน



            “ได้ครับ” จาณีนกุลีกุจอลุกขึ้นเดินไปรับเถาปิ่นโตอีกสองเถาไว้ หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกันแฮะ



            “ถ้าขาดเหลืออะไรก็ให้ยูโทรไปบอกได้เลยนะ จะแวะเอาเข้ามาให้อีก”



            “ขอบคุณมากครับ” จาณีนยกมือไหว้ขอบคุณ



            “ไปล่ะ”



            “ครับ”





            เสียงเรือแล่นห่างออกไปจนเงียบเสียงในที่สุด เขายกปิ่นโตไปวางบนโต๊ะอาหารเอาไว้ กำลังจะกลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาเสียก่อน



            “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”



            “อื้อ ตะกี้ใครมาน่ะ ได้ยินเสียงคนคุยกัน”



            “เขาเอานี่มาให้” จาณีนชี้ไปที่ปิ่นโตนั้น



            “คนงานบ้านแม่”



            “คนที่นี่ดูอัธยาศัยดีเนอะ”



           

            “คนต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ อยู่ง่ายกินง่าย มีอะไรก็ช่วยเหลือ แบ่งปันกัน”



            “ไม่เหมือนคนกรุงเลย”



            “แน่อยู่แล้ว เป็นไงบ้างพี่” ชนัญญูเข้ามานั่งข้างๆ จาณีน เขาไม่ได้หันมาสบตาถามจาณีน

ตรงๆ แต่จาณีนก็คิดว่าเขาพอจะเข้าใจว่าชนัญญูหมายถึงอะไร



            “ยู...”



            “ว่า?”



            “เรื่องที่จะยกเลิกเช่าบ้านน่ะ ยังจะยกเลิกสัญญาอยู่หรือเปล่า”




            “อืม สิ้นเดือนนี้ก็ย้ายออกแล้วล่ะ”



            “ถ้าพี่จะเช่าบ้านหลังนั้นต่อได้หรือเปล่า” ชนัญญูหันไปมองคนพูดด้วยความสงสัย



            “คิดอะไรเนี่ย” ชนัญญูหรี่ตามองคนพูดด้วยความไม่ไว้ใจ



            “พี่จะขอเช่าบ้านต่อ ยูจะว่าไง”



            “ผมไม่ใช่เจ้าของบ้านสักหน่อย จะตอบพี่ได้ไงล่ะ”



            “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่หมายถึง ถ้าพี่เช่าบ้านหลังนั้นต่อ ยูจะอยู่ด้วยกันมั้ย”



            “หืม? พี่ว่าไงนะ”



            “อยู่กับพี่นะ อยู่เป็นเพื่อนกันหน่อย”



            “พี่จา นี่พี่คิดจะทำอะไรกันแน่” ชนัญญูคิดว่าเรื่องมันเริ่มจะไปกันใหญ่แล้ว



            “ได้หรือเปล่า” ดูเหมือนคำถามและคำตอบของชนัญญูและจาณีนจะไม่สัมพันธ์กันนัก



            “พี่นี่นะ ดื้อเหมือนเด็กเลย เดี๋ยวผมคุยกับป้าก่อนแล้วกัน” แต่ครั้นจะปล่อยให้จาณีนอยู่เพียงลำพัง บอกตรงๆ ว่าเขาไม่สบายใจเลย



            “จริงนะ”



            “ครับ”







            .

            .



            “เป็นไงบ้าง” เสียงทักทายของคุณหมอชลทีดังขึ้นข้างเตียงผู้ป่วยของศมน



            ศมนมานอนรับวิตามินและน้ำเกลือไปพร้อมๆ กัน ถึงเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ชลทีก็ไม่วางใจอยู่ดี และเขาก็หลับไป รู้สึกตัวตื่นก็เป็นเช้าวันใหม่ วันจันทร์เริ่มต้นแห่งการทำงานเสียแล้ว



            “ผมหลับยาวเลยเหรอครับ”



            “ใช่ หลับยาวข้ามวันมาเลยล่ะ ก็แน่นอนอยู่แล้ว พอร่างกายได้พักมันก็เลยรีบกอบโกย”



            “ขอบคุณพี่ชลมาก แต่วันนี้ผมมีประชุม ต้องเข้าบริษัท”



            “ไม่ต้องรีบๆ รู้แล้วว่าเป็นคนรับผิดชอบงานสูงมาก พี่โทรบอกให้กรมารับเธอแล้วล่ะ นั่งรออยู่หน้าห้อง”



            “ขอบคุณครับ”





            ระหว่างทางจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปยังบริษัทของเจ้านายหนุ่มนั้น พันธกรเหลือบมองศมนผ่านกระจกหลังเป็นระยะๆ เขาไม่รู้เลยว่าศมนไปนอนที่โรงพยาบาลหากคุณหมอชลทีไม่โทรบอกก็คงไม่มีทางรู้ ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ท่าทีลุกลี้ลุกลนไม่สมกับเป็นพันธกร เด่นชัดจนศมนรู้สึกได้ ศมนเลยเอ่ยปากขึ้นก่อน



            “เป็นอะไรหรือเปล่า” ศมนถามถึงความผิดปกติของสารถีหนุ่ม



            “นายเป็นอะไรหรือเปล่าครับถึงไปนอนที่โรงพยาบาล”



            “ไม่ได้เป็นไรอะไรหรอก พี่ชลแค่กังวลกลัวว่าฉันจะเครียดมากไปเท่านั้นเอง เธอไม่ต้องเป็นห่วง ขอบใจมาก”



            “มีอีกเรื่องหนึ่งครับ”



            “ว่ามา”



            “เรื่องคุณจา เมื่อเช้าผมลองคนของเราสืบหาคุณจาจากทางสัญญาณโทรศัพท์ พบว่าตอนนี้คุณจาอยู่แถวตะวันออกครับ แต่สัญญามีแป๊ปเดียวก็ถูกตัดไปอีกครั้ง คาดว่าคงปิดเครื่องครับ นายจะให้ผมกับกานต์ทำอย่างไรต่อครับ” พันธกรรายงานความคืบหน้าของจาณีนให้อีกฝ่ายรู้



            “กรไปกับฉันเหมือนเดิม รอจากลับมาเองและให้กานต์ตามจาเหมือนเดิมก่อนหน้านี้”



หน้าที่หลักของพันธกรก็คือติดตามศมน ส่วนพันธกานต์จะคอยติดตามจาณีนแต่เพราะศมนไม่อยากให้จาณีนอึดอัด เรื่องพวกนี้จึงไม่ได้ถูกบอกออกไป



            “รับทราบครับ นาย”



            “ถ้ามีอะไรเกี่ยวกับจาณีนก็ให้รีบบอกฉันทันที เข้าใจมั้ย”



            “เข้าใจครับ”



            “พวกเธอทั้งสองคน ถ้าจะไปไหนหรือทำอะไร บอกฉันด้วยก็ดี เพราะฉันก็เป็นห่วงพวกเธอ

เหมือนกัน”



            “ขอบคุณครับนาย แล้วเรื่องนั้นจะเอายังไงต่อครับ” ศมนไม่ใช่คนที่พูดด้วยความรู้สึกบ่อยๆ การที่เขาพูดขึ้นมาในเวลานี้ พันธกรเองก็รับรู้ได้ดีว่าอีกฝ่ายคงเป็นห่วงจาณีนไม่น้อยกว่าใคร



            “เรื่องนั้น รอฉันเซนต์สัญญาขึ้นเป็นประธานบริษัทก่อน เราค่อยเดินหน้ากันต่อ ระหว่างนี้ที่จาณีนยังไม่กลับมา ให้กานต์ไปเฝ้าที่บ้านของฉัน จับตาดูพฤติกรรมที่บ้านฉันอย่างละเอียด” ศมนออกคำสั่ง



            “ครับ”



            “หลังจากเซนต์สัญญาวันนี้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะให้ยัยวิเรียกประชุมผู้บริหารทุกคน และเรื่องนี้ต้องเป็นความลับ”



            “คุณวิจะไม่แปลกใจเหรอครับ”



            “วิมาลาฉลาดพอที่จะเข้าใจความต้องการของฉัน และฉันเชื่อว่างานนี้วิอยู่ข้างฉัน เพราะฉะนั้นเธอสบายใจเรื่องวิมาลาได้”



            “ครับ นาย”







            .



            .



            “ขอบใจมากนะ ยู” จาณีนขับรถออกจากโฮมสเตย์ในช่วงบ่าย มาส่งชนัญญูที่หน้าบ้านเช่าก็พลบค่ำแล้ว



            “ไม่เป็นไร แล้วนี่พี่จะไปไหนต่อ”



            “กลับบ้าน”



            “อยู่ได้นะ”



            “ได้สิ แค่นี้เองสบายมาก”



            “เก่งแต่ปากไม่เอานะพี่”



            “ไอ้เด็กนี้ ปีนเกลียวแฮะ”



            “ก็ผู้ใหญ่ดูจะเด็กกว่าผมอีก”



            “แล้วอย่าลืมเรื่องเช่าบ้านแล้วก็เรื่องของยูด้วยว่าจะเอาไง”



            “ครับ พี่ไปเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ”



            “อือ ไปล่ะ” จาณีนสตาร์ทรถแล้วก็ถอยรถออกจากซอยไป เขากำลังปากเก่งอย่างที่ชนัญญูกล่าวหาไว้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะกลับคอนโดหรอก เพราะเขายังไม่พร้อมจะกลับไปตอนนี้





            จาณีนได้โรงแรมราคาไม่แพงนักเพื่อเป็นที่พัก นอนในคืนนี้ โรงแรมนี้ตั้งอยู่ใกล้กับที่ทำงานของเขา สามารถเดินไปทำงานได้เลย แต่ติดตรงที่เขาไม่มีเสื้อผ้าที่จะใส่ไปทำงานในวันพรุ่งนี้แล้ว เขาเลยต้องออกมาข้างนอกเพื่อซื้อเสื้อผ้าและหาอะไรรองท้องสำหรับมื้อเย็นด้วย



            เขาชอบทานสเต๊กเนื้อเพราะใครคนหนึ่งที่ชื่นชอบเมนูนี้และทำอาหารชนิดนี้ได้ดีมากทีเดียว เขาเข้าไปสั่งอาหาร วางของกระจุกกระจิกและเสื้อผ้าหลายถุงไว้ที่เก้าอี้ที่ว่างด้านข้างแล้วรออาหารอย่างใจจดใจจ่อ สายตามองออกด้านนอกของร้านที่ตกแต่งด้วยกระจกใสเนื้อดี



            จาณีนเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินผ่านร้านที่เขานั่งอยู่ เขาคุ้นหน้าผู้ชายที่เดินผ่านไปและคงเป็นความคุ้นเคยที่มากทีเดียวล่ะ ถ้าในแง่ความสัมพันธ์ ส่วนผู้หญิงคนนั้นเขาเพิ่งเห็นหน้าครั้งแรกที่งานเลี้ยงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เอง ใจของจาณีนกระตุกวูบ ไม่คาดคิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายในช่วงเวลาแบบนี้  แววตาสั่นไหว คลอใสด้วยน้ำตา แต่ก็ไม่มีแม้แต่หยดเดียวที่จะไหลรินลง       





โลกกลมเกินไป





          เขาไม่ต้องการ



           จาณีนเรียกพนักงานมาเปลี่ยนให้ห่อกลับบ้าน เขาเปลี่ยนใจไม่อยากนั่งทานที่นี่แล้ว อารมณ์อื่นที่มีมากกว่าถูกเข้ามาแทนที่เสียแล้ว เด็กหนุ่มรีบจ่ายเงินตรงเคาเตอร์ชำระเงินแล้วหิ้วของมากมายนั้นกลับไปที่โรงแรมทันที

           

           “น้องธัญ อยากทานอะไรครับ”



            “อืม อะไรดีน้า ช่วงนี้ต้องไดเอทด้วย เดี๋ยวจะใส่ชุดวันงานไม่สวย” น้ำเสียงสดใส เหมือนสายน้ำเย็น ให้คนที่ได้ฟังรู้สึกสบายใจ

   

            “ช่วงนี้กำลังฮิตทานพวกอาหารคลีนใช่มั้ย”



            “ใช่ค่ะ พี่มนเคยทานมั้ยคะ”



            “ไม่เคยครับ แต่อีกหน่อยคงต้องหัดลองทานบ้าง อายุก็มากขึ้น แก่ขึ้นไปทุกที”



            “พี่มนยังไม่แก่เลย บอกใครว่าอายุสามสิบ เขาก็คงเชื่อกันทั้งนั้น” ธัญชนกพูดติดตลก แต่คำพูดของหญิงสาวกับกระทบใจของศมน เพราะเหมือนกับใครคนหนึ่งที่เคยพูดอยู่บ่อยๆ



            จาณีน....



            “ถ้าอย่างนั้นร้านนี้ดีมั้ยคะ มีทั้งสลัดบาร์ของธัญ แล้วก็มีสเต๊กที่พี่มนชอบด้วย”



            ธัญชนกยังพูดต่อไป แต่ศมนไม่ได้ยินต่อเสียแล้ว เขากำลังคิดถึงใครอีกคนที่ชอบทานสเต๊ก ศมนไม่ได้ชอบทาน สเต๊กแต่เพราะเด็กหนุ่มชอบทาน เขาเลยชอบทำเป็นมื้ออาหารและมักจะเลือกทานอาหารชนิดนี้อยู่บ่อยๆ เพราะเอาใจใครบางคน



            จาณีน...อีกแล้ว

   

           ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน



            “ว่าไงคะพี่มน ร้านไหนดี” ธัญชนกจับมืออีกฝ่ายขึ้นเบาๆ ทำให้ให้ศมนรู้สึกตัว



            “ครับ ร้านนี้ก็ได้” ศมนแตะหลังเป็นเชิงให้ธัญชนกเดินเข้าร้านไปพร้อมกัน





            .

            .



            “ไงเอ็ง เป็นไงบ้างวะ” กตพลรีบลุกปรี่เข้ามาหาจาณีนที่เพิ่งได้นั่งโต๊ะทำงานประจำของตัวเอง

       

            “ก็ไม่ยังไงพี่ ทำไมเหรอ”

           

            “อย่ามาเฉไฉน่า ยังไหวมั้ย โอเคหรือเปล่า บอกข้ามาเถอะ ข้าเป็นห่วงเอ็งว่ะ”



            “ไม่ไหว...แต่ยังอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงผมนะ ขอบคุณครับ” จาณีนไม่อยากโกหกความรู้สึกกับ

อีกฝ่ายจึงเลือกบอกความจริงออกไป



            “เฮ้อ ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้วะ” กตพลเกาหัว ผมที่ยุ่งอยู่แล้วยิ่งยุ่งนักไปกว่าเดิม



จาณีนลงมือทำงาน สลัดเรื่องอื่นๆ ออกจากสมองออกให้หมด หวังให้งานมาช่วยบรรเทาเรื่องราวที่กำลังหนักใจอยู่ในตอนนี้ แล้วมันก็ช่วยได้จริงๆ เขาทำงานเพลินจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กตพลมาเรียกนั่นแหละ



            “ยังไม่กลับบ้านหรือไง”



            “ครับ?”



            “ข้าถามว่า เอ็งน่ะ จะทุ่มแล้ว ยังไม่กลับบ้านหรือไง”



            “จะทุ่มแล้วเหรอครับ” จาณีนเหลือบมองนาฬิกาที่อยู่ข้างจอโน้ตบุค



            “เออสิวะ”



            “อ้อครับ”



            “กลับคอนโดเลยหรือเปล่า”



            “ไม่อะพี่ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังไม่กลับไปที่นั่นเลย”



            “อ้าว แล้วเอ็งไปนอนที่ไหน”

            “ผมพักโรงแรมใกล้ๆ ตึกเรานี่แหละพี่”



            “อืม ใช่ โรงแรมประจำของบริษัทเราเปล่าวะ” กตพลถามให้แน่ใจ



            “ใช่ครับ”



            “เออ ก็ยังโอเค พอรู้จักกัน” อย่างน้อยหัวหน้าคนนี้ก็ยังโล่งใจอยู่บ้างว่าจาณีนไม่ได้ไปพักที่ไหนไกลให้เขาต้องเป็นห่วง



            “ครับ”



            “จะพักที่โรงแรมนั่นไปอีกนานมั้ยวะ พักนานไปก็เปลืองเงิน”



            “ไม่นานหรอกพี่” จาณีนทำท่าคิดต่ออีกพักหนึ่งจึงพูดต่อ “คิดว่าไม่นานนะ ตอนนี้ผมดูที่ทาง

ไว้แล้ว”



            “เออๆ มีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกมาเลย แล้วถ้ายังไม่มีที่พักจริงๆ ก็มาพักห้องข้าก่อน ถึงจะไม่สะดวกสบายเท่าโรงแรมหรือคอนโดเอ็ง แต่ก็อยู่ได้แหละ”



            “ขอบคุณครับพี่พล ถ้ามีอะไรให้ช่วยผมจะรีบบอกพี่เป็นคนแรกเลย”



            “น่าดีใจซะจนขนลุก ไปได้แล้ว รีบกลับไปพักเถอะ”



            “ครับ ถ้างั้นผมเก็บของก่อน”



            “อืม ข้าไปก่อน แล้วก็อย่าคิดมาก”



            “สวัสดีครับ”



            จาณีนเก็บของเสร็จแล้วเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นโรงแรมที่เขาพักอยู่ แต่เด็กหนุ่มไม่ได้เดินตรงกลับไปยังห้องพักเลย เขาเลือกเดินไปยังลานจอดรถแล้วขับรถออกไปจากโรงแรมแห่งนั้น การกระทำทั้งหมดของจาณีนนั้นอยู่ในสายตาของใครอีกคนที่เฝ้าตามมาทั้งวัน



            “นายครับ” พันธกานต์เรียกสายปลายทางทันทีที่อีกฝ่ายกดรับโทรศัพท์



            “ว่าไง”



            “คุณจากลับมาทำงานแล้วครับ” บอดี้การ์ดคนน้องเริ่มรายงานทันที



            “อืม เขาเป็นไงบ้าง”



            “สบายดีครับ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ตอนนี้คุณจาพักอยู่โรงแรมที่อยู่ตรงข้ามกับบริษัท”



            “อย่างนั้นเหรอ ตอนนี้เข้าที่พักไปแล้วใช่มั้ย”



            “เปล่าครับ คุณจาขับรถออกไปข้างนอก ตอนนี้ผมกำลังขับตามไป”



            “รายงานฉันเป็นระยะก็แล้วกัน” ศมนกดวางสายและมองออกไปด้านนอก ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ นอกจากเจ้าตัว





            จาณีนขับรถมุ่งไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย เมื่อถึงที่หมายเด็กหนุ่มดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ เขาเดินตรงเข้าไปใต้คณะที่เคยเรียนมาตลอดสี่ปี ดวงตาเรียวสวยสอดส่องสายตาไปรอบๆ บริเวณ แต่ไม่พบกับนักศึกษาคนไหน เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาก็พบว่าจวนจะสองทุ่มเต็มทีแล้ว





            เขาผิดเอง จาณีนทอดถอนหายใจออกมา ป่านนี้ชนัญญูน่าจะกลับบ้านไปเรียบร้อยแล้ว เขาน่าจะโทรหาอีกฝ่ายก่อนที่จะมา จาณีนล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาหมายจะโทรไปหาคนที่มาหา เมื่อกดดูเขาก็เข้าใจได้ว่าที่วันนี้โทรศัพท์เงียบ ปราศจากสายเรียกเข้าหรือแม้กระทั่งเสียงเตือนข้อความต่างๆ นั้นไม่มีก็เพราะเขายังไม่เปิดโทรศัพท์เลย





            เด็กหนุ่มกดเปิดโทรศัพท์ เสียงเตือนต่างๆ ประดังเข้ามาแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เขาเลือกกดโทรออกไปยังคนที่ต้องการ รออยู่สักพักไม่นานปลายสายก็กดรับ



            “ยู”



            “ครับ ว่าไงพี่”



            “คือ เอ่อ...”



            “พี่จามีอะไรหรือเปล่า”



            “พอดีมีพี่มาที่ใต้คณะน่ะ แต่เพิ่งมาคิดว่าได้ว่ายูน่าจะกลับไปแล้ว”



            “อ๋อ...”



            “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี่ค่อยมาหาใหม่แล้วกันนะ”



            “เฮ้ย ไม่ต้องๆ ตอนนี้ผมยังไม่กลับ แต่กำลังจะกลับแล้ว” ชนัญญูรีบท้วงขึ้นมา



            “เหรอ แล้วยูอยู่ทำอะไร”



            “ผมอยู่ช่วยงานเพื่อนนิดหน่อยครับ นี่พี่อยู่ข้างล่างใช่มั้ย”



            “ใช่”



            “นั่งรอแถวๆ นั้นไปก่อน เดี๋ยวผมเสร็จแล้วจะรีบลงไป ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง”



            “โอเค”



            “ครับ”





            จาณีนกดวางสายแล้วเริ่มไล่ดูข้อความที่ถูกส่งเข้ามาในโทรศัพท์ของตัวเอง ส่วนใหญ่เป็นพวกข้อความโฆษณาขยะทั่วไป แต่คนที่เขาอยากให้ส่งข้อความมามากที่สุดนั้นกลับไม่มี





            เขายังมีความสำคัญกับคุณศมนอยู่หรือเปล่า....

            หรือเรื่องของเราที่ผ่านทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องจริง





            ‘ที่คุณบอกว่ารักผม มันโกหกอย่างนั้นหรือ



            คุณหลอกผมมาตลอดเหรอ หลอกให้ผมรักเหรอ หรืออยากเอาคืนที่ผมทำผิดต่อคุณเรื่องพี่ไตร



 คุณเอาคืนผมแรงไปหรือเปล่าครับ คุณศมน’







            ได้แต่คิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี จาณีนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา หลายวันมานี้เขาคงจะอายุสั้นลงไปอีกหลายปีเพราะถอนหายใจบ่อยเกินไปแล้ว

 

           คิดถึง...



            อยากเจอ...



            ถึงจะเจ็บปวดที่ถูกหลอก แต่เขาก็ยังรักศมนไม่เปลี่ยนแปลง ใจเขายังเหมือนเดิม คิดถึงอีกฝ่ายเหลือเกิน



            มันไม่ถูกต้อง เขารู้ดี ตอนนี้ศมนมีความสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา ไม่ว่าเขาจะมาก่อน

หรือหลังก็คงไม่สำคัญไม่มีใครรู้จักเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นอะไรกับศมน แต่ผู้หญิงคนนั้นคือความสัมพันธ์ที่ทุกคนยอมรับ เขาเองก็กลายเป็นมือที่สามขึ้นมากลายๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว



            แต่เขาขอสักครั้งได้มั้ย ขอเจอศมนเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วเขาจะออกไปจากชีวิตของศมน จะหายเข้ากลีบเมฆไปเลย



            “รอนานมั้ยพี่จา” เสียงชนัญญูดังขึ้นข้างตัว ปลุกให้เขาหลุดออกมาจากภวังค์





            “มาแล้วเหรอ”



            “ครับ”



            “ไปกันเลยมั้ย”



            “ครับ”



            จาณีนเดินนำตรงไปยังรถของเขาที่จอดอยู่ รอจนชนัญญูขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วเขาก็ค่อยๆ ขับออกไปด้วยความนุ่มนวล




            “ว่าแต่ที่พี่มาหาผมเนี่ย มีอะไรหรือเปล่า” รถแล่นไปได้สักระยะ ชนัญญูก็หันมาถาม



            “เรื่องบ้านเช่าน่ะ ว่าไง”



            “เรื่องนั้นผมคุยกับป้าให้แล้วนะ ไม่มีปัญหาพี่ย้ายเข้ามาอยู่ต่อได้เลย ตอนนี้ป้าเลยรีบทำความสะอาดเสียยกใหญ่”



            “ดีเลย ขอบใจนะ”



            “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ทำอะไร”



            “เอ้อ...” จาณีนอ้ำอึ้งไม่แน่ใจว่าจะพูดไปดีหรือไม่



            “ครับ”



            “แล้วยูล่ะ ตกลงจะมาอยู่กับพี่มั้ย”



            “นึกว่าจะเปลี่ยนใจไม่ถามซะแล้ว พี่ชวนผมแล้วนี่ ก็ต้องอยู่สิ”



            “จริงนะ” จาณีนหันมายิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความดีใจ



            “พี่ขับรถมองทางด้วยสิ... ยิ่งป้ารู้ว่าพี่อยากให้ผมอยู่ด้วย ป้ายิ่งดีใจ ไม่รู้ว่าเป็นห่วงผมหรือพี่กันแน่” ชนัญญูเตือนก่อนจะพูดต่อ



            “ขอบใจมากนะ ยู ขอบใจจริงๆ”



            “ไม่ต้องขอบใจผมขนาดนั้น ทำเหมือนผมทำอะไรให้พี่ซะเยอะเลย เขินนะเนี่ย” ชนัญญู

แสร้งมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อหลบความเขินอาย



            “เขินเหรอ เอาเถอะน่า ไม่รู้จะตอบแทนยังไงนี่นา”



            “แล้วพี่จะย้ายเข้ามาวันไหน”



            “วันอาทิตย์นี้แหละ”



            “แล้วปัญหา?”



            “พี่จัดการได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”



            “อืม แล้วแต่พี่ละกัน”



            “ทานข้าวหรือยัง หรือจะเข้าบ้านเลย”



            “พี่ล่ะ ทานหรือยัง”



            “ยังอะ พอเลิกงานก็ขับรถออกมาเลย”



            “งั้นไปหาอะไรทานก่อนแล้วกัน ดีมั้ยครับ”



            “ได้เลย” จาณีนตอบรับอย่างอารมณ์ดี


======================================



เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twelveth Drop -- 4 October 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 08-11-2017 10:37:44

          วันสุดท้ายของการทำงานในสัปดาห์นี้ได้สิ้นสุดลง จาณีนเลิกงานตรงเวลา บอกลากตพลอย่างเร่งรีบ ทำเอาชายหนุ่มถึงกับแปลกใจว่าลูกน้องมีอะไรด่วนถึงต้องรีบขนาดนั้น จาณีนเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าแล้วเอากระเป๋าและสิ่งของใช้จำเป็นมาเก็บไว้ในรถ เมื่อเข้ามาถึงลานจอดรถอีกครั้งก็สามารถขับรถออกไปได้เลย



            เด็กหนุ่มจอดรถริมทางเท้า เปิดไฟกระพริบเอาไว้ แล้วรีบออกจากรถเข้าไปร้านค้าแห่งหนึ่ง เขาไม่ได้มาที่นี่หลายเดือนแล้ว ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่มาซื้อของที่นี่เพื่อไปง้อคนคนหนึ่ง วันนี้เขากลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์เดิม แต่เป็นจุดประสงค์อื่น

 

           เขาเลือกไวน์แดงมาได้หนึ่งขวด เป็นยี่ห้อที่เขาคิดว่าศมนคงจะชอบและถูกใจไม่น้อย จ่ายเงินเสร็จก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป จาณีนเปิดประตูเข้าไปในห้อง เขาไม่ได้กลับมาที่คอนโดแห่งนี้เกือบสัปดาห์ ทุกอย่างภายในห้องยังเหมือนเดิม เขาไม่แน่ใจว่าศมนได้กลับมานอนที่นี่บ้างหรือเปล่า เพราะอะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว



            จาณีนเดินตรงไปห้องนอนของชายหนุ่ม เขาค่อยๆ เปิดประตูออก กลิ่นอายของเจ้าของห้องทำให้เขารู้สึกได้ จาณีนเดินเข้าไปนั่งยังปลายเตียง แล้วมองไปรอบๆ ห้อง หากพ้นจากวันพรุ่งนี้ไป เขาก็คงไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกของอีกฝ่ายอีกแล้ว



            เด็กหนุ่มลุกขึ้นออกจากห้องไปทำมื้อค่ำของวันนี้ เขาทำไปทั้งที่ไม่รู้ว่าศมนจะกลับมาหรือเปล่า ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่กลับมาก็ถือว่าเขาทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้เคลียร์ปัญหากันก็แล้วกัน เขาเลือกทำอาหารง่ายๆ ข้าวไข่เจียว แทบจะไม่มีใครล่วงรู้เลยมั้งว่าศมนโปรดปรานเมนูนี้มากขนาดไหน ถามว่าทำไมศมนถึงชอบน่ะเหรอ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะว่าเจ้าตัวมีโอกาสได้ทานน้อยครั้ง ด้วยหน้าที่การงาน ที่ศมนต้องไปก็มักจะเป็นมื้ออาหารที่ค่อนข้างมีระดับและสูงราคาทั้งนั้น แล้วฝีมือใครล่ะที่ศมนจะถูกใจมากที่สุดถ้าไม่ใช่เขา เพราะเขาแทบจะเป็นคนเดียวที่ทำข้าวไข่เจียวให้อีกฝ่ายทานบ่อยๆ เท่าที่จะมีโอกาส



            เขาตั้งโต๊ะตระเตรียมอาหารไว้พร้อมสรรพแล้วจึงเข้าไปอาบน้ำที่ห้องนอนของตัวเอง สภาพภายในห้องยังเหมือนเดิม ความสะอาดที่หมดจรด ไร้ฝุ่นจับ นั้นบ่งบอกว่ามีคนเข้ามาทำความสะอาดที่ห้องนี้อยู่เป็นประจำ เขาเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วก็หายเข้าไปอาบน้ำ



            ศมนเปิดประตูเข้าห้องมา เขาถึงกับแปลกใจเพราะมีมื้ออาหารที่ถูกเตรียมไว้อย่างดีเรียบร้อยแล้ว เขาเดินเข้าไปใกล้โต๊ะอาหาร ข้าวไข่เจียวสองจานนั้น ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือของจาณีน



            จาณีนกลับมา?



            เขาแทบจะปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด มองไปรอบห้องแต่ก็ไม่เจอร่างของเด็กหนุ่มเลย เขาเงียบเพื่อรอฟังเสียงบางอย่าง และเขาก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวที่ร่วงหล่นมาเป็นสายโดยไม่ขาดระยะ รอสักพักใหญ่นั่นแหละ เสียงน้ำถึงเงียบไป เจ้าตัวคงอาบน้ำเสร็จแล้ว



            “เตรียมมื้อเย็นให้ฉันเหรอ” ศมนทักทันทีเมื่อจาณีนเปิดประตูออกมาจากห้องนอน



            “ครับ” จาณีนตกใจเล็กน้อยที่ได้เจอศมนโดยไม่ตั้งตัว



            “ขอบใจนะ”



            “กลับมาตอนไหนครับ” จาณีนถามออกไปเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยตอนที่ศมนเข้ามาในห้อง



            “ตอนที่เธอกำลังอาบน้ำ คงไม่ได้ยินเสียงฉันเปิดประตู”



            “คงจะอย่างนั้น คุณจะทานเลยมั้ยครับ หรืออยากอาบน้ำก่อน”



            “ถ้าฉันไปอาบน้ำ แล้วเธอจะหายไปมั้ย” ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินคำพูดไม่มั่นใจแบบนี้ออกมาจากคนที่มากวุฒิภาวะ



            “ไม่หายหรอกครับ” จาณีนหัวเราะเบาๆ กับคำพูดนั้นก่อนจะตอบไปพร้อมกับรอยยิ้ม



            “เดี๋ยวฉันมา ไม่นานหรอก”





            คล้อยหลังศมนเดินหายเข้าไปในห้องนอน จาณีนก็เตรียมเทไวน์ทื่ซื้อมาเมื่อช่วงค่ำให้อีกฝ่าย จัดแจงดูว่าเรียบร้อยดีแล้ว ก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งที่ประจำของตัวเอง ไม่นานหลังจากนั้นศมนก็ออกมา ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำเร็วกว่าปกติ คงจะเป็นกังวลจริงๆ



            “ทานเลยนะครับ”



            “อืม” ศมนยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ หน้าตาของชายหนุ่มบ่งบอกว่าพึงพอใจในรสขาติอยู่ไม่น้อย จาณีนที่ลุ้นอยู่ในใจก็นึกดีใจที่อีกฝ่ายชื่นชอบ


 

           ศมนลอบสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย เขารู้สึกแปลกใจ เกิดอะไรขึ้นกับจาณีน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาให้พันธกานต์คอยเฝ้าติดตามเด็กหนุ่มตลอด ดูยังไงจาณีนก็ไม่มีทีท่าที่จะอยากกลับมาหาเขาในเร็ววัน แต่ทำไมวันนี้ ตอนนี้ เด็กหนุ่มถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อีกทั้งยังคอยเอาอกเอาใจเขาอย่างดี



            “อร่อยมั้ยครับ” จาณีนยิ้มให้พลางถามขึ้นเมื่อศมนตักข้าวเข้าปากคำแรก



            “อร่อย ถ้าเป็นเธอทำต้องอร่อยอยู่แล้ว”



            “เห็นจะมีแค่ไข่เจียวนี่แหละครับ ที่ผมทำจนทานได้”



            “ก็คงจริง” ศมนแกล้งเย้าเด็กหนุ่มกลับไป



            มื้ออาหารดำเนินต่อไปจนกระทั่งจาณีนลุกขึ้นเก็บจานเปล่าเข้าไปล้างในครัวจนเรียบร้อย เดินกลับออกมาอีกครั้งก็เห็นศมนนั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาว ในมือยังถือแก้วไวน์ เป็นภาพที่เด็กหนุ่มเห็นจนชินตา เขาเดินเข้าไปนั่งข้างชายหนุ่ม แรงยวบของโซฟาทำให้ศมนหันกลับมามองผู้มาทีหลัง



            “เป็นยังไงบ้าง” ศมนเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา



            “ก็เหมือนเดิมครับ ตื่นเช้าไปทำงาน เย็นก็กลับที่พัก” จาณีนไม่ได้อธิบายว่าเขาพักที่ไหนเพราะอีกฝ่ายคงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาหายไปอยู่ที่ไหนมา



            “ไม่ใช่ว่าไปแวะที่ไหนก่อนเหรอ” นั่นไง จาณีนคิดเอาไว้แล้วไม่มีผิด



            “ผมกับชนัญญูไม่มีอะไรกันครับ” จาณีนโน้มตัวลงเข้าไปกอดอีกฝ่าย ซบใบหน้าลงกับอกกว้างแผ่นนั้น มือก็คอยกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้



            “ฉันรู้” ศมนลูบศีรษะของจาณีนด้วยความเอ็นดูเหมือนอย่างเคย



            “ขอบคุณที่เชื่อใจผม” เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้น กดปากอิ่มลงกับแก้มของอีกฝ่าย แล้วก็กลับไปกอดเอวเอาไว้เหมือนเดิม



            “จาณีน เธอคิดอะไรอยู่ บอกฉันได้มั้ย” พฤติกรรมของจาณีนมันทำให้เขาไม่ไว้ใจว่าจาณีนคิดจะทำอะไร



            “ผมกำลังคิดเรื่องของเราครับ”



            “เธอคงโกรธฉันเรื่องนั้น ให้ฉันอธิบายได้มั้ย”



            “อธิบายตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรกันครับ ในเมื่อมันแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” จาณีนพูดเสียงเรียบ ตอนนี้เขาไม่ได้โมโหหรือโกรธอะไรชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย




            “ฉันขอโทษ” ศมนพูดคำนี้ด้วยความรู้สึกที่แท้จริง



            “ครับ ผมไม่โกรธคุณศมนแล้วล่ะครับ คุณเองเป็นคนทำอะไรมีเหตุผลเสมอ”



            “ฉันไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดแล้วคิดว่าฉันนอกใจเธอ ทำอะไรลับหลังเธอ”



            “ไม่เหมือน ที่ผมเคยทำอะไรลับหลังคุณใช่มั้ยครับ” จาณีนย้อนไปถึงเรื่องที่เขาเคยทำผิดต่อศมน



            “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้จะกล่าวโทษเธอ”



“ที่ผมไม่อยากรู้แล้วก็เพราะเหตุผลของคุณตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรกับผมอีกแล้วก็เท่านั้นเองครับ” จาณีน อธิบายออกไป



            “เธอยังโกรธฉัน”



            “เปล่าครับ ผมไม่โกรธคุณเลย ไม่แม้แต่นิดเดียว ผมแค่เสียใจที่ได้รู้ทีหลังเท่านั้นเอง...” จาณีนเงียบไปสักพักจึงเริ่มพูดต่อ “ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมลองทบทวนเรื่องของเราดูแล้ว มันทำให้ผมคิดได้ว่าคุณกับคุณธัญชนกเหมาะสมกันแล้วครับ ผมรู้สึกยินดีจากใจจริง”



            “แต่ฉันไม่ได้รักเขา”



            “ในเมื่อคุณต้องแต่งงานกับเธอ ผมอยากให้คุณศมนมีความสุขนะครับ ผมรู้ว่าคุณรักเด็ก คุณอยากมีลูก แล้วผมคงทำเรื่องนั้นให้คุณไม่ได้ การแต่งงานของคุณครั้งนี้จะทำให้คุณมีความสุขครับ”



            “จาณีน... ทำไม...” ศมนมองจาณีนด้วยความไม่เข้าใจ ไม่คิดว่าจาณีนจะพูดอะไรแบบนี้

ออกมา เขารู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ดี จาณีนไม่น่ามีความคิดอะไรแบบนี้



            “วันอาทิตย์นี้ผมจะย้ายออกแล้วนะครับ”



            “เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ที่นี่เป็นบ้านของเธอ คอนโดห้องนี้เป็นของเธอ”



            “ผมรู้ครับว่าคุณยกให้เป็นชื่อผมนานแล้ว แต่ไม่มีคุณไม่ได้หรอกครับ ผมยังรับไม่ไหว”



            “ทำไมถึงทำแบบนี้”



            “มันยากเกินไปครับ ห้องนี้มีความทรงจำของคุณเต็มไปหมด ผมอยู่ที่นี่โดยไม่มีคุณไม่ได้หรอกครับ”



            “แน่ใจแล้วใช่มั้ย” แต่อย่างหนึ่งที่ศมนรู้จักนิสัยของจาณีนได้ดีเลยก็คือถ้าหากเจ้าตัวตัดสินใจอะไรไปแล้วจะเปลี่ยนใจนั้นคงยาก



            “ครับ แน่ใจแล้ว เพราะอย่างนั้นผมเลยอยากใช้เวลาอีกสองวันอยู่กับคุณที่ห้องนี้ ได้มั้ยครับ”



            “ไปหัดกดดันความรู้สึกของคนแบบนี้จากที่ไหนมา หืม”



            “ผมไม่ได้กดดันคุณศมนสักหน่อย แค่อยากยืดเวลาอยู่กับคุณอีกนิด ก็ไม่ได้หรือครับ”



            “เธอพูดขนาดนี้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”



            “ถ้าอย่างนั้น...ก็จูบผมสิครับ” จาณีนเงยหน้าพร้อมกับหลับตารอรับสัมผัสตามที่ร้องขอ เขาได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายใกล้เข้ามา จนในที่สุดช่องว่างก็ไม่เหลืออีกต่อไป







            ครั้งสุดท้าย ขอแค่ครั้งสุดท้าย จาณีนได้แต่ภาวนาภายในใจ





            สัมผัสที่ห่างหายไปได้รับกลับคืนมาอีกครั้ง รอยรักที่เคยคุ้นเฝ้าวนเวียนอยู่ทั่วทั้งใบหน้า ความอ่อนโยนที่ส่งออกมา ทำให้จาณีนรู้สึกอิ่มเอมใจ ลิ้นอุ่นที่แทะชิมอยู่ทั่วโพรงปาก ต่างดูดกลืนกระหายด้วยความหิวโหย ความคิดถึงถูกส่งออกมาเป็นภาษากาย







            โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ







            ทั้งดีใจและเสียใจไปพร้อมกัน จาณีนจะขอตักตวงความสุขครั้งสุดท้ายเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะชีวิตจากนี้ไปคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ไม่ได้กอด ไม่ได้จูบเหมือนแบบนี้อีกแล้ว สองมือกอดรัดแผ่นหลังกว้างของศมนเอาไว้ราวกับกลัวว่าร่างนั้นจะหายไป เขาไม่อยากเสียคนตรงหน้านี้ไปเลย แต่ศีลธรรมความถูกต้องย่อมมาก่อนความถูกใจและพึงพอใจก่อนเสมอ





ถึงแม้ไม่เต็มใจจะอยากรับมันมา แต่ก็หลีกเลี่ยงมันไม่ได้อยู่ดี





สองมือช่วงกันถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายของกันและกัน ศมนค่อยๆ ดันร่างของจาณีนจนหลังขาวเนียนสัมผัสกับโซฟานุ่ม คนสูงวัยกว่าโน้มตัวลงมาทาบทับร่างข้างใต้เอาไว้ ใช้ศอกดันเบาะเอาไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องรับน้ำหนักร่างกายทั้งหมดของตนเอง เพราะกลัวเด็กหนุ่มจะอึดอัดหายใจไม่ออก





อยากหนีความเจ็บปวดไปสักแค่ไหนก็หนีไม่พ้นสักที





“จาณีน...”



“รักผมเยอะๆ นะครับ คุณศมน”



“อย่าลืมรักฉัน”



“ผมรักคุณครับ”



“ฉันรักเธอ”



อยากจะหลับตาแล้วหายไปพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกรักแบบนี้เอาไว้ แต่เมื่อลืมตามันก็จะหายไป



ศมนผละออกมา ลุกขึ้นยืน ความอบอุ่นที่ได้รับจางหายไป จาณีนลืมตาขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ศมนไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายต้องสงสัยนาน เขาอุ้มร่างของเด็กหนุ่มขึ้นพาดบ่า จาณีนรีบจับอีกฝ่ายเอาไว้เพราะกลัวตกลงมา ศมนรีบก้าวเท้ายาวเร็วพาคนบนบ่าเข้าไปในห้องนอน



ไอร้อนจากสองคนบนเตียงนอนแผ่ไปทั่วห้อง ขายาวเกี่ยวกระหวัดพันกันไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร อารมณ์ที่พุ่งสูงของทั้งคู่แทบไม่มีทีท่าจะลดลงมาได้เลย ความโหยหาและความอาวรณ์กำลังทำให้เขาทั้งสองไขว่คว้าหากันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครยอมแพ้ ไม่มีใครอยากจะเสียอีกคนไป



เราโกหกตัวเองจากความจริงไม่ได้ ถึงจะหลับตาลง แต่สมองกับจิตใจนั้นก็ย่อมรู้ดี



“ได้ที่อยู่แล้วหรือยัง” ศมนถามขึ้นหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ



“ครับ บ้านเช่าของยาย”



“เธอกลับมาอยู่ที่นี่ได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการ” ศมนบอกอีกครั้ง



“ขอบคุณครับ”



“อีกอย่างหนึ่ง เรื่องใบอนุญาตพกปืน จำได้มั้ย”



“จำได้ครับ”



“เรียบร้อยแล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กรจะเอามาให้”



“ไม่จำเป็นหรอกครับ”



“ติดตัวไว้เถอะ อย่างน้อยก็เก็บไว้ในรถ เพื่อให้ฉันสบายใจ ได้มั้ย”



“ก็ได้ครับ”



“แล้วก็หมั่นไปซ้อมคาราเต้ด้วยล่ะ อุตส่าห์ส่งให้ไปร่ำเรียนมา รู้มั้ย” ศมนเคาะมือลงหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ



“คร้าบ ทราบแล้วครับนาย”



“เดี๋ยวเถอะ ล้อเลียนกรกับกานต์หรือไง”



“คำสั่งของนายครับ” จาณีนแกล้งพูดแหย่อีกฝ่าย ก็เลยได้ของขวัญเป็นมะเหงกเคาะลงมาด้วยน้ำหนักมือแรงกว่าเดิมอีกนิด



“เจ็บนะครับ”



“เจ็บสิดี จะได้ไม่ทำอีก”



“คุณจะแต่งงานเมื่อไหร่ครับ” อยู่ๆ จาณีนก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา บรรยากาศที่ดูผ่อนคลายเมื่อสักครู่นี้ กลับแปรเปลี่ยนเคร่งเครียดทันที



“หืม?”



“จะแต่งงานเมื่อไหร่ครับ”



“ยังไม่ได้กำหนด”



“เหรอครับ แล้วจะเชิญผมไปด้วยมั้ย”



“ไม่...”



“เหมือนที่ไม่ให้ผมไปงานเลี้ยงใช่มั้ยครับ”



“ใช่” ศมนรับตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเชิญคนรักไปร่วมงานแต่งงานของตัวเอง ทั้งที่ทั้งเขาและจาณีนยังรักกันอยู่ การที่เชิญไปงานมันยิ่งทำร้ายจิตใจและเพิ่มความเจ็บปวดเสียมากกว่า



“เชิญผมไปงานแต่งของคุณด้วยสิครับ”



“ฉันคิดว่าเธอไม่น่าจะอยากไปนะ”



“ส่งการ์ดมาให้เถอะครับ แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าจะไปหรือไม่ไป”



“อืม” อย่างเคย ศมนเลือกรับปากไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ



“ผมรักคุณนะครับ” จาณีนพร่ำบอกคำว่ารักนั้นซ้ำๆ



“ฉันรู้ ฉันเองก็ต้องขอโทษและขอบใจเธอด้วย”



“ขอบคุณผมเรื่องอะไรครับ”



“ที่ดูแลหัวใจของฉันแต่ฉันกลับดูแลหัวใจของเธอได้ไม่ดี”



“พูดอะไรแบบนี้ก็เป็นด้วยหรือครับ” จาณีนหลุดขำออกมานิดหน่อย “แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก หัวใจของผม ผมดูแลได้ จะดูแลอย่างดีครับ ผมสัญญา” ศมนกดริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากแน่นิ่งนานกว่าจะถอนออกมา



“ขอบใจ”



“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันนะครับ”



“อารมณ์ไหน” ศมนแปลกใจเพราะเขากับจาณีนมักจะดูหนังที่คอนโด ไม่ไปดูตามโรงหนัก



“ก็ไม่ได้ดูนานแล้วนี่ครับ ผมอยากดูหนังกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย”



“เอาสิ”



“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราไปกันสองคนนะครับ ให้คุณกรกับคุณกานต์หยุดนะครับ ผมอยากไปเที่ยวกับคุณตามลำพัง”



“ได้ ฉันตามใจเธอทุกอย่าง”



“ยกเลิกงานแต่งได้มั้ยครับ”



“ได้สิ ถ้าเธอต้องการ” ศมนตอบรับอีกฝ่ายง่ายๆ โดยทันที ทั้งที่ในใจก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ถ้าทำแล้วจาณีนจะไม่จากไปเขาก็ยินดีเห็นแก่ตัวรับปากไปก่อน



“ผมพูดเล่นน่ะครับ เรื่องใหญ่โตขนาดนั้นจะล้มเลิกง่ายๆ ได้ยังไง”



“ฉันก็รู้ว่าเธอพูดเล่น”



“เบื่อคนรู้ทัน ผมง่วงแล้ว นอนกันเถอะครับ”



“อืม ฝันดี”



“ฝันดีครับ”





.

.



“แก จะรักจะชอบใคร ฉันไม่เคยว่าไม่เคยห้าม เรื่องจาณีน เด็กคนนั้น ฉันก็ไม่เคยห้าม แต่ฉันขอแค่นี้ทำให้ฉันหน่อยไม่ได้เหรอ ศมน” เสียงชายสูงวัยอายุราวเจ็บสิบปีแต่ยังแฝงไว้ด้วยความเกรงขามตวาดดังขึ้นกลางบ้านหลังใหญ่ ทำให้คนในบ้านพากันซ่อนตัวเอาไว้อย่างเงียบกริบเพราะกลัวจะถูกหางเลขใส่เข้าให้



“คุณพ่อครับ จะให้ผมพูดอีกกี่ครั้งว่าผมไม่เคยคิดอะไรกับน้องธัญ ผมเห็นเธอเป็นแค่น้องสาว”

“ตอนนี้ไม่รัก อยู่ๆ กันไปเดี๋ยวมันก็รักก็ชอบกันเองแหละ”




ศมนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงน้ำเสียงราบเรียบ “คุณพ่อทำเหมือนกับไม่รู้ว่าผมชอบผู้ชายเท่านั้น”



“ฉันรู้ ฉันถึงต้องพยายามทำใจยอมรับเรื่องแกให้ได้ยังไงล่ะ ตั้งแต่เรื่องเจ้าชลแล้ว ฉันก็หวั่นใจ แต่พอเจ้าชลเลิกกับแกไปได้ ฉันก็เบาใจว่าแกคงจะเปลี่ยนใจ แต่มันก็ไม่ใช่ จนแกได้เจอกับจาณีน”



“ผมรักจาณีน”



“รักแล้วยังไงล่ะ แต่เด็กนั่นมีลูกมีหลานให้แกกับฉันไม่ได้”



“คุณพ่อลืมน้องไนท์ไปแล้วหรือไงครับ”



“น้องไนท์ไม่ใช่ลูกที่มาจากแกโดยตรง มันไม่เหมือนกัน” ท่านเจ้าสัวแย้งขึ้นมา



“ทำไมคุณพ่อต้องไปยึดติดอะไรแบบนั้นด้วยครับ จะยังไงน้องไนท์ก็เป็นหลานของผมกับคุณพ่อเหมือนกัน”



“มันไม่เหมือนกัน เพราะฉันอยากอุ้มหลานที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของแก”



“งั้นก็หาแม่อุ้มบุญแทนสิครับ”



“ฮึ้ยย มันจะได้ได้ยังไง มันผิดกฎหมาย”



“คุณพ่อพูดอย่างกับมือของคุณพ่อใสสะอาด”



“อย่ามายอกย้อนฉัน อีกอย่างหนึ่งผู้หญิงพวกนั้นประวัติเป็นมายังไงก็ไม่รู้ ฉันรับไม่ได้หรอก” บิดาส่งเสียงขัดใจออกมา



“แล้วคุณพ่อจะให้ผมทำยังไง”



“แกต้องแต่งงานกับลูกสาวของคุณหญิงสุวิมลให้ฉัน”



“คุณพ่อ...” ศมนเรียกบิดาอย่างอ่อนใจ



“แกต้องทำให้เขามีลูกให้ได้ แล้วหลังจากนั้นฉันจะไม่ยุ่งชีวิตของแกอีก แกอยากจะหย่าหรือจะทำยังไงก็ตามใจ ตกลงมั้ย”



“ไม่ได้หรอกครับ ถ้าทางนั้นรู้ว่าเราคิดแบบนี้เขาจะรู้สึกยังไง ลูกสาวของเขาไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลานะครับ”



“ช่างสิ ฉันไม่สนใจ”



“แล้วถ้าผมไม่แต่งล่ะ”



“แกยังอยากเจอจาณีนมั้ย ศมน...”



“คุณพ่อขู่ผมเหรอครับ”



“ฉันไม่ได้ขู่ แต่แกคงรู้ว่าฉันสามารถทำให้เด็กคนนั้นหายไปจากชีวิตแกหรือหายไปจากโลกนี้ได้ง่ายๆ สบายๆ เลยใช่มั้ย”





บทสนทนาดุเดือดระหว่างพ่อกับลูกในหลายเดือนก่อน ส่งผลกระทบให้เกิดเหตุการณ์นี้ และเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อปิดบังจาณีน คาดหวังว่าจาณีนไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ความลับไม่มีในโลก ศมนยังลืมตามองเพดานในความมืด ความจริงที่จาณีนไม่อยากรู้อีกต่อไปเพราะต่อให้รู้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับเด็กหนุ่มคนนี้กำลังจะจากลา





จากเป็นยังไงก็ดีกว่าจากตาย





เรื่องของจาณีน ยังไงซะ เขาก็ไม่มีวันถอดใจ



======================================

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Thirteenth Drop -- 8 Nov 2017
เริ่มหัวข้อโดย: TAJIPO ที่ 08-11-2017 13:10:58
อะไรอ่าาา ทำไมกลายเป็นแบบเน้
คุณศมนไม่คิดจะพูดอะไรอีกหน่อยหรอ

ขัดใจจจจจจจจจจจจจ

คนเขียนสู้ๆงับ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Thirteenth Drop -- 8 Nov 2017
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 09-11-2017 22:00:28
อยากให้ จา มีคนรักใหม่ที่ดีกว่า รักมากกว่า และอยู่เคียงข้างกันตลอดไป :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Thirteenth Drop -- 8 Nov 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-12-2017 11:13:59

Fourteenth Drop

         

           “ดูหนังเรื่องอะไรดีครับ” จาณีนตื่นแต่เช้าด้วยความกระตือรือร้น เขาอยากใช้ช่วงเวลากับชายหนุ่มให้มากที่สุด เด็กหนุ่มขับรถพาศมนมาที่ห้าง จุดประสงค์คือเลือกหนังที่อยากดูสักเรื่องหนึ่ง เข้าไปดูด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย



            “เธอเลือกสิ”



            “อืม.. เรื่องอะไรดี” จาณีนไล่สายตามองรอบตารางหนัง จนได้เรื่องที่ถูกใจ เขาดึงมือชายหนุ่มพาไปที่เคาท์เตอร์ขายตั๋ว เลือกที่นั่งจ่ายเงินเสร็จสรรพ แล้วเข้าไปนั่งรอเพื่อรอเวลาหนังฉาย



            วันนั้นศมนแต่งตัวเรียบง่าย เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด ทรงผมไม่ได้ถูกเซทแต่งแต่อย่างใด ผมหน้าม้าที่ดูเหมือนจะยาวแล้วเริ่มทิ่มแทงสายตา เจ้าตัวเลยใช้มือเสยปัดขึ้นไปบ่อยๆ ในคราวแรกชายหนุ่มไม่ได้แต่งตัวลดอายุอะไรแบบนี้หรอก แต่เพราะความเจ้ากี้เจ้าการของจาณีนทำให้ศมนต้องยอมตามใจ



            ส่วนจาณีนก็แต่งตัวคล้ายๆ กับศมนเช่นกัน วันนี้พวกเขาเลยดูเหมือนเป็นคู่รักจริงๆ จังหวะที่เดินอยู่ภายในห้างสรรพสินค้านั้นก็มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่พวกเขา ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเขินอยู่ไม่น้อย โชคดีว่าคนในห้างยังบางตาเพราะห้างเพิ่งเปิด เขาเลยไม่ต้องทนต่อสายตามากมายนัก แต่ถ้าหนังจบเมื่อไหร่ ออกไปอีกครั้งคงหนีไม่พ้นสายตาเหล่านั้นแน่ๆ



            “ถ้าตอนจบนางเอกทิ้งพระเอกไปจริงๆ ล่ะก็คงเศร้าทั้งโรงแน่เลย ว่างั้นมั้ยครับ” จาณีนถือป๊อปคอร์นกับแก้วน้ำใบใหญ่เดินออกมาจากโรงหนังกับศมนทันทีที่หนังจบ



            “อาจจะใช่”



            “ทำไมถึงอาจจะล่ะครับ”



            “บางทีพระเอกก็ไม่สมควรได้รับการอภัยทุกครั้ง”



            “แต่นี่มันหนังนะครับ ก็ควรจบแฮปปี้สิครับ” จาณีนหัวเราะกับคำพูดที่สุดแสนจะจริงจังของอีกฝ่าย



            “นั่นสินะ...เพราะเป็นหนังก็ควรจบแฮปปี้”



            “ดูคุณศมนจะจริงจังมากเลยนะครับ อินเหรอครับ”



            “เปล่า ก็แค่อดเปรียบเทียบไม่ได้”



            “เปรียบเทียบ? เปรียบเทียบอะไรครับ” จาณีนสงสัยในคำพูดของศมน



            “ฉันหิวแล้ว เธออยากทานอะไร” ศมนตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง ทีแรกจาณีนทำท่าจะแย้งขัดขึ้น แต่เพราะเสียงท้องที่ร้องเบาๆ ทำให้เจ้าตัวลืมเสียง่ายดาย แล้วรีบนึกอาหารที่อยากกินทันที



            “อยากกินทุกอย่างเลยครับ”



            “หืม ทุกอย่างเลยเหรอ ถ้าสั่งมาให้ทุกอย่างแล้วจะกินหมดใช่มั้ย”



            “ครับ รวมทั้งคุณด้วย” จาณีนหลิ่วตาให้คนถูกเย้าแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปด้วยความความเขินคำพูดของตัวเอง






            พูดเองทำไมเขินเอง บ้าจริง





            วันนี้เขามีความสุขมาก ได้ดูหนัง เดินห้าง ทานข้าวด้วยกัน ใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ พูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม เต็มไปด้วยความอบอุ่น เขารักทุกอย่างที่เป็นศมน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มารักคนๆ นี้ และรักอย่างสุดหัวใจ



            จาณีนอายุห่างกับศมนเกือบสองรอบ ชายหนุ่มไม่ใช่สเป็คของเขาเลยแม้แต่น้อย จาณีนชอบคนวัยเดียวกัน เขาชอบคนพูดเก่ง ร่าเริง แต่เขาก็รักคนข้างๆ ตรงนี้ไปเสียแล้ว รักจนยากที่จะถอนตัวออกมา รักจนแทบจะปล่อยมือไปไม่ได้






            เขากำลังพยายามทำใจ...





            สองร่างนอนเบียดกันบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ พวกเขาต่างพากันนอนเงียบๆ ไม่ได้พูดจาอะไรกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่เสมอ จาณีนชินกับบรรยากาศแบบนี้เสียแล้ว เขาชินกับความเงียบภายในห้อง ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจของกันและกัน บางครั้งก็เปิดโทรทัศน์เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมืองเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนอีกฝ่าย




            “จาณีน”



            “ครับ”



            “ไม่ต้องย้ายได้หรือเปล่า”



            “ทำไมครับ”



            “ฉันเป็นห่วงเธอ”



            “ผมจะดูแลตัวเองอย่างดี คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ” จาณีนยืนยันเพื่ออยากให้อีกฝ่ายสบายใจ



            “ที่นี่ยังมีกรกับกานต์อยู่ใกล้ๆ”



            “ให้ผมไปเถอะครับ ผมอยากมีเวลาทำใจ”



            “อืม ตามใจเธอ ฉันคงจะห้ามเธอไว้ไม่ได้”



            “ขอบคุณครับ”



            “อย่าลืมเอาปืนไปด้วย” เมื่อช่วงค่ำหลังจากที่เขากับศมนกลับมาได้พักใหญ่ พันธกรนำปืนและใบอนุญาตพกปืนมาให้ แล้วตอนนี้มันก็วางอยู่บนโต๊ะอาหาร



            “ไม่ลืมครับ ดูคุณจะเป็นห่วงผมมากกว่าปกติ มีอะไรหรือเปล่าครับ”



            “ไม่มีหรอก แต่จากนี้ฉันจะไม่ได้ดูแลเธอเหมือนเดิมอีกต่อไป”



            “คุณจะใจดีกับเขาเหมือนที่คุณใจดีกับผมมั้ยครับ” จาณีนหมายถึงหญิงสาวที่ศมนจะแต่งงานด้วย



            “อิจฉาหรือ” ศมนแกล้งถามเด็กหนุ่ม



            “ครับ ตอนนี้ผมอิจฉาเขาแล้วก็อยากจะเกลียดเขาจริงๆ แต่เพราะเขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิด”



            “เขาไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ธัญชนกน่ะ ออกจะน่าสงสารด้วยซ้ำที่เข้ามาพัวพันกับฉัน”



            “ถึงจะฟังดูไม่ดี แต่ผมจะคิดถึงคุณตลอดไปนะครับ” จาณีนโน้มเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้เต็มแรง



            “ฉันก็เหมือนกัน” ศมนกอดตอบอีกฝ่ายด้วยแรงที่ไม่แพ้กัน



            “ไปนอนกันเถอะครับ ผมอยากรักคุณเป็นครั้งสุดท้าย” จาณีนลุกขึ้นยืน ดึงมืออีกฝ่ายฉุดรั้งให้ศมนลุกขึ้นตาม แล้วศมนจะนั่งเฉยอยู่ตรงนี้ต่อไปได้อย่างไร



            วันแห่งการจากลา เวลาที่ไม่ปรารถนาแต่กลับมาไวเหลือเกิน ทั้งที่รู้ว่าจะต้องมีวันนี้แต่ก็ยังเตรียมใจไม่ทันอยู่ดี ถึงไม่พร้อมก็ยืดเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จาณีนยืนกอดลาศมนนิ่งอยู่อย่างนั้น อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ ให้อยู่แบบนี้ด้วยกันไปอีกนานๆ



            “มีปัญหาอะไร ให้รีบบอกฉัน อย่าเกรงใจ”



            “ครับ” จาณีนยิ้มให้ศมน



            “ติดขัดอะไรก็บอก ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบให้ใครช่วย แต่ยกเว้นฉันเสียคนหนึ่งเถอะ”



            “ครับ”



            “ส่วนเรื่องเงิน...”



            “ครับ”



            “รับมันไว้เพราะเธอสมควรได้รับมัน”



ศมนไม่ได้ยื่นเงินทองอะไรมาให้เขา แต่เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าศมนหมายถึงอะไร ทุกวันนี้ศมนจะโอนเงินเข้าบัญชีของเขาไว้ทุกเดือน บัญชีนี้จาณีนไม่เคยนำมันออกมาใช้เลยเพราะเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เลย เขามีทุกอย่างพร้อมเพราะศมนเตรียมไว้ทุกอย่าง





ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีเงินในบัญชีนั้นอยู่เท่าไหร่





            “แต่ผม...”



            “อย่าปฏิเสธ เพื่อความสบายใจของฉัน” ไม้ตายที่ศมนมักจะนำออกมาใช้เวลาที่จาณีนชอบบ่ายเบี่ยงหรือเวลาไม่อยากทำอะไร



            “แต่ผมไม่อยากมีปัญหา...ถ้าภรรยาของคุณรู้” เขาไม่สบายใจ ชีวิตหลังแต่งงานของศมนจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ถ้าหากภรรยาของศมนรู้ว่า ชายหนุ่มโอนเงินเข้าบัญชีเขาทุกเดือนล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากโดนเมียหลวงมาด่าหรืออาละวาดใส่เขา ดีไม่ดี ถ้าหากเจอรุนแรงกว่านั้นจะทำยังไง



            “ฉันยังไม่ได้แต่งงาน ยังไม่มีภรรยา มีแต่เด็กดื้อคนเดียวที่กำลังจะเดินออกไปจากชีวิตฉัน”



“คุณศมนอย่าพูดเล่นสิครับ”



“ฉันไม่ได้พูดเล่นเลย แต่เอาเถอะ ถ้าเธอกังวลเรื่องเงิน ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจัดการได้แน่นอน”



            “ถ้าอย่างนั้นก็...ก็ได้ครับ”



            “ดีมาก เด็กดีของฉัน”



            “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ” จาณีนยืดตัวเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย กดริมฝีปากลงอีกฝ่าย





บอกลา เหลือไว้เป็นเพียงความทรงจำ





            “ผมไปนะ” ฝ่ามืออุ่นที่วางนิ่งอยู่บนศีรษะลูบเบาๆ เป็นการลาเช่นกัน น้ำตาคลอหน่วยนัยน์ตาจาณีน แต่เขาก็สะกดกลั้นเอาไว้ไม่ให้มันไหลรินหล่นมา รีบผละออกจากอ้อมกอดอีกฝ่ายแล้วเดินออกไป





            หากช้าอีกนิด เขาคงจะก้าวขาไปไม่ได้





            ไม่อยากไปเลย...





            ไม่อยากไปเลย...





            ทางด้านคนที่ยังอยู่ในมอง ก็มองแผ่นหลังที่กำลังเดินออกไป ร่างกายที่ศมนเคยกอดกำลังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มอยากจะคว้าและจับจาณีนให้กลับมาอยู่กับเขา แต่เขาทำได้แค่กำมือแน่นเท่านั้น ถ้าหากเขายังจัดการอะไรไม่เรียบร้อย ไม่มีทางที่จาณีนจะกลับมาแน่นอน





            รอฉัน จาณีน อย่าเพิ่งตัดใจจากฉัน





            “สวัสดีครับ คุณป้า” จาณีนจอดรถที่รั้วหน้าบ้านเช่าแล้วส่งเสียงทักหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังกวาดใบไม้ตรงลานเล็กๆ หน้าบ้านนั้น



            “อ้าว หนูจา สวัสดีจ้ะ มาแล้วเหรอ ป้ากำลังรออยู่เชียว” คุณป้ารีบเดินมาหาก่อนจะเปิดประตูรั้วให้เด็กหนุ่ม



            “รอผมทำไมครับ”



            “ก็ไม่รู้ว่าจะมากี่โมงสิจ๊ะ ป้าก็เป็นห่วง แต่เห็นมาแล้วก็โล่งใจ ไปจ้ะ เข้าบ้านก่อน แล้วนี่ข้าวของมีเท่านี้เหรอ หรืออยู่ในรถ”



            “มีเท่านี้ครับ” จาณีนมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่นักถือติดตัวมาด้วย เขาไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาจากคอนโดเลย ที่เอามานั้นเป็นเสื้อผ้าที่ซื้อใหม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทั้งนั้น



            “นี่จ้ะ น้ำเย็นๆ ดื่มน้ำก่อนนะ” คุณป้ายื่นแก้วน้ำมาให้ จาณีนขอบคุณแล้วจึงรับมายกดื่มมันก่อนจะวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟาขนาดนั่งได้ประมาณสามคน



            “ยูไม่อยู่เหรอครับ” จาณีนมองซ้ายมองขวาไม่เห็นเงาอีกฝ่ายจึงถามผู้เป็นป้าของชนัญญูออกไป



            “จ้ะ เห็นบอกจะออกไปซื้ออะไรสักหน่อย สักพักเดี๋ยวก็มา มีอะไรกับตายูหรือเปล่าจ๊ะ”



            “ไม่มีครับ พอดีไม่เห็นผมเลยถามถึง”



            “อ่อจ้ะ จะว่าไป ตอนที่ป้ารู้จากตายูว่าหนูจะมาเช่าบ้านหลังนี้ต่อ ป้าดีใจมากเลยจ้ะ แล้วยิ่งรู้ว่าหนูจาก็อยากให้ตายูอยู่ด้วย ป้าก็ดีใจมาก อยู่ดูแลช่วยเหลือกันไปนะจ้ะ” คุณป้าพูดด้วยความดีใจ



            “ครับคุณป้า”



            “ขาดเหลืออยากได้อะไรเพิ่ม บอกป้าได้เลยนะจ้ะ ไม่ต้องเกรงใจ”



            “ขอบคุณครับ”



            “แล้วถ้าตายูพูดจาหรือทำอะไรไม่ดีกับหนูจา บอกป้าได้เลยนะ ไม่ต้องกลัวตายูจะว่า ป้าจะจัดการให้เองนะ” คุณป้าทำเสียงขึงขังประหนึ่งไม่ยอมให้ใครเข้ามาทำร้ายจาณีนได้



            “แน่นอนเลยครับ ผมจะฟ้องคุณป้าให้ครบเลย” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มรู้สึกดีใจที่ได้รับความเป็นห่วงเหล่านั้นจากผู้หลักผู้ใหญ่



            “ดีมากจ้ะ เอ้า นั่นตายูกลับมาแล้ว ได้อะไรมาเต็มมือเลยน่ะ”



            “สวัสดีครับพี่จา”



            “สวัสดียู”



            “ซื้ออะไรมา ตายู” คุณป้าถามหลานชาย



            “ก็พวกข้าวของเครื่องใช้น่ะครับป้า คิดว่าพี่จาน่าจะยังไม่มี ใช่มั้ยครับ” ชนัญญูหันไปตอบป้า ส่วนประโยคสุดท้ายหันไปถามกับผู้เช่าบ้านคนใหม่อย่างจาณีน



            “ขอบใจนะ แต่ก็ไม่ได้เตรียมมาจริงๆ นั่นแหละ”



            “เอาล่ะจ้ะ เดี๋ยวหนูจานอนที่ห้องของป้านะจ้ะ”



            “แล้วคุณป้าล่ะครับ”



            “เดี๋ยวช่วงบ่ายป้าก็กลับบ้านแล้วล่ะ ลูกชายป้าขับรถออกมารับตั้งแต่เช้า อีกสักพักก็คงถึงแล้วล่ะ”



            “ครับ”



            “งั้นเอาของไปเก็บในห้องก่อน ตายูพาพี่เขาไปสิ”



            “ครับ” ชนัญญูรับคำแล้วก็ออกเดินนำทางไป





======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Thirteenth Drop -- 8 Nov 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-12-2017 11:17:19
            .

            .



            “พี่จา พี่รู้สึกอะไรบ้างมั้ย” อยู่ด้วยกันมาหนึ่งสัปดาห์ชนัญญูก็พูดขึ้นมาแปลกๆ



            “รู้สึกอะไร” จาณีนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่นั้นต้องหันไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีหวาดๆ





            “ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ผี” ชนัญญูดูเหมือนจะเข้าใจความหมายก็บอกออกมาอย่างขัดใจ



            “แล้วอะไรอะ”



            “ผมรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ตลอดเวลา”



            “อ่อ....” จาณีนรับคำสั้นๆ แล้วก็กลับไปสนใจทีวีต่อ



            “อ่อ แล้วไงอะ พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอไง” เด็กมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายทำหน้าเหม็นเบื่อที่จาณีนทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรด้วย



            “ไงดีล่ะ ก็รู้สึกแหละ แต่ชินแล้ว”



            “ชิน ชินอะไร ไม่อะ ต้องไม่ชินสิพี่ จริงๆ แล้วพี่รู้ใช่มั้ยเนี่ย”



            “ก็เพิ่งรู้ตัวเร็วๆ นี้เหมือนกัน”



            “ห๊ะ!!”



            “ลองมองออกไปตรงหน้าต่างสิ มองเยื้องๆ ไปทางซ้ายสักสิบห้าถึงยี่สิบองศาน่ะ” ชนัญญูค่อยๆ ย่องเดินไปทางหน้าต่างอย่างที่จาณีนว่า



            “ทำเนียนๆ หน่อย” จาณีนบอกไม่ให้ชนัญญูทำกระโตกกระตากไป เขาทำท่าเหม่อมองออกไปข้างนอกเหมือนคนที่ใช้ความคิด



            “เห็นยัง” จาณีนกดรีโมทปิดทีวีลง เพราะไม่มีอารมณ์จะดูต่อแล้ว



            “อือ เงาดำๆ” ชนัญญูหรี่ตาลงเล็กน้อย



            “ใส่สูท”



            “ใช่ ชุดดำใส่สูท”



            “เฮ้ย พี่เล่าให้ผมฟังเลย ขนลุกมากอะ เหมือนถูกตามไงไม่รู้”



            “ก็บอกทำตัวให้ชินไง อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ตามนายหรอก” จาณีนพูดด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อน



            “อ้าว ยังไง คืออะไร นี่ผมงงไปหมดแล้ว”



            “เขาชื่อพันธกานต์ หรือ คุณกานต์ เป็นบอดี้การ์ดของคุณศมน”



            “แล้วไงต่อ”



            “ก็คงรับคำสั่งจากคุณศมนมาให้ตามพี่เหมือนเคยนั่นแหละ”



            “เดี๋ยวนะ คือพี่จะบอกว่าพี่ถูกตามแบบนี้อยู่ตลอด”



            “อืม”



“พี่รู้ตัวมาตลอดเลยใช่มั้ย”



“ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยสังเกต เพิ่งรู้ตอนที่ย้ายออกมาแล้วเนี่ยแหละ”



“ทำไมงั้น”



“ก็คงเพราะไม่เคยใส่ใจเรื่องของตัวเองล่ะมั้ง พอไม่มีอีกคนก็เลยได้คิดมากขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น”



“พี่นี่ท่าจะบ้า” ชนัญญูบ่นคนร่วมบ้าน



“คงงั้นมั้ง อยู่กับคนบ้า กลัวมั้ยล่ะ”



“ถ้ากลัวจะอยู่เหรอ ถ้าพี่บ้าจริงๆ ผมนี่แหละจะพาพี่ไปโรงพยาบาลเอง ไม่ต้องห่วง”



“หึ เด็กนี่ พอสนิทด้วยแล้วเอาใหญ่”



“แล้วเขาจะเฝ้าแบบนี้ทั้งคืนเลยเหรอ”



“ไม่หรอก พอเราดับไฟเขาก็กลับ”



“โห งี้ถ้าเราลืมปิดไฟล่ะ ไม่ต้องยืนขาแข็งทั้งคืนเหรอ”



“ก็อย่าลืมปิดสิ”



“ถ้าอย่างนั้นเราให้เขาเข้ามานั่งในบ้านเราไม่ดีกว่าหรอ หรือว่าพี่ไม่ชอบเขา”



“ก็...ไม่เชิง คือ... คุณกานต์ไม่ค่อยชอบพี่เท่าไหร่ แต่นายจะลองไปถามเขาดูก่อนก็ได้” จาณีนแบ่งรับแบ่งสู้



“พรุ่งนี้แล้วกัน วันนี้ง่วงละ”



“ช่วงนี้ใกล้สอบเหรอ เห็นอ่านหนังสือแทบตลอด”



“ใช่ครับ เดี๋ยวเทอมหน้าก็ไปฝึกงานละ ไวจริงๆ”



“ได้ที่ฝึกงานแล้วใช่มั้ย พี่คุ้นๆ เหมือนยูเคยบอกว่าได้แถวแยกที่เลยมหา’ลัยไปหน่อยนึง”



“ใช่ครับ ที่นั่นแหละ เขาตอบรับมาแล้ว”



“เอารถไปใช้สิ”



“ไม่เอาอะ ถ้าผมเอาไปใช้แล้วพี่จะใช้อะไรล่ะ”



“พี่ไม่ค่อยใช้หรอก”



“ไม่ค่อยใช้อะไรล่ะ ก็เห็นขับรถไปทำงานทุกวัน”



“เอ้า ก็ไม่มีคนใช้ ไม่อยากจอดทิ้งไว้เฉยๆ”



“ถ้าผมเอาไปใช้ พี่จะไปทำงานยังไง”



“สบายน่า เยอะแยะหลายหนทาง”



“ไม่เอาอะ พี่เอารถไปใช้เหมือนเดิม แวะส่งผมด้วยแล้วกัน”



“เอางั้นนะ”



“ครับ แบบนี้แหละ งั้นผมไปนอนก่อนนะ ง่วง”



“อืม เรื่องรถไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” จาณีนถามซ้ำ



“ครับ”



“ดื้อจริงๆ ตามใจแล้วกัน”





จาณีนพูดจบก็พลันนึกถึงคำพูดที่ตนเองมักจะโดนใครบ่นเป็นประจำ อะไรที่ศมนคอยดูแล อยากหยิบยื่นมาให้เขา หลายอย่างเด็กหนุ่มมักเลือกที่จะปฏิเสธไปเกือบหมดด้วยความเกรงใจ และคำพูดปิดท้ายก็มักจะเป็นเหมือนที่เขาเพิ่งบอกชนัญญูไปเมื่อสักครู่นี้





ความรู้สึกที่ดูแลใครสักคนหนึ่งคงคล้ายๆ แบบนี้ล่ะมั้ง ถ้าจะต่างกันก็คงต่างกันที่ ความรู้สึกของศมนกับเขา มันไม่เหมือนกับเขาที่มองชนัญญูเป็นเพียงแค่น้องชายคนหนึ่ง ที่เขามีความปรารถนาดีให้อีกฝ่ายเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่ให้ศมนแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มบอกให้เขาไปหาเดี๋ยวนี้ เขาก็คงจะไปแน่นอน





คิดถึงอีกแล้ว...





ใจมันยังตัดไม่ได้







ระยะเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์มันน้อยเกินไปที่จะทำใจลืมเรื่องราวหลายปีที่ผ่านมา แผลมันสดใหม่ ต่อให้ฆ่าเชื้อปิดบาดแผลไว้แน่นเท่าไหร่ ถ้ามีอะไรแตะนิดหน่อย แผลก็พร้อมจะปริออก เลือดแดงสดก็ทะลักไหลออกมาได้ทันที เขาขอเวลาอีกนิด แล้วจะกลับมาเป็นจาณีนคนเดิม





เขาจะพยายาม





‘ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่ครับ อยู่ที่ไหน ที่บ้านเหรอ อยู่กับคุณธัญชนกหรือเปล่า’







เผลอคิดถึงอีกฝ่ายอีกแล้ว



จาณีนสลัดศีรษะ พยายามไม่คิดถึง...พยายามตัดใจ





เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาลุกขึ้นไปดับไฟลงแล้วเดินเข้าห้องนอนไปเหมือนกัน เขาไม่ได้ล้มตัวลงนอนที่นอนหลังใหม่ที่ซื้อมา แต่กลับคว้าเอาหมอนขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องข้างๆ



“ยู หลับยัง”



“เกือบหลับแล้ว เข้ามาเถอะ ไม่ต้องถามหรอก” คนในห้องพูดเหมือนคุ้นเคยดีกับอากัปกิริยานี้ ชนัญญูอนุญาตทันที จาณีนไม่รอให้พูดซ้ำ เปิดประตูเข้าไปแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ เจ้าของเตียงทันที



“ขอบใจนะ”



“ผมจะให้เวลาพี่อีกไม่นาน แล้วพี่ต้องเข้มแข็งให้ได้ เข้าใจมั้ยครับ” ชนัญญูพูดโดยไม่ลืมตา เขากางแขนออก ดึงผู้มาใหม่ขึ้นมานอนหนุนแขนของตัวเอง ลูบหลังอีกฝ่ายไว้ราวกับจะปลอบใจ



“พี่จะพยายาม” จาณีนกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก ก่อนจะหลับตาลง ข่มตาให้หลับในคืนนี้ให้ได้





.

.



“ไอ้จ้า เอ้านี่ ของเอ็ง” กตพลเดินมายื่นอะไรบางอย่างให้เด็กหนุ่ม



“อะไรครับ”



“รับไปอ่านเดี๋ยวก็รู้เอง” จาณีนยื่นมือไปรับซองจดหมายจากอีกฝ่าย เขารู้สึกตัวเองมือสั่นเล็กน้อย พยายามระงับความสั่นของมือเอาไว้ ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังกลัวว่าสิ่งที่คิดนั้นจะเป็นจริง ตอนที่เขารับมาก็เลยเก็บมันลงลิ้นชักแล้วเลือกที่จะไม่อ่าน



“ไม่อ่านล่ะ”



“ผมไม่อยากรู้”



“ไม่ใช่การ์ดแต่งงานหรอกน่า” คำตอบของกตพลทำเอาเด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมา แต่ก็ต้องหน้าซีดลงเหมือนเดิมกับประโยคที่ได้ยินต่อมา ถึงจะเคยปากดีขอการ์ดแต่งงานจากศมนไว้ แต่เอาเข้าจริง เขาไม่ได้กล้าอะไรเลย



“แต่อันนี้เอ็งก็อาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้ ลองอ่านดู”



จาณีนจำต้องฝืนอ่านข้อความบนการ์ดนั้น เนื้อความเป็นการแสดงความขอบคุณจากทางบริษัทธาราแกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทางนั้นบอกว่าตอนนี้ลูกค้าพอใจเว็บไซต์ใหม่ที่ถูกจัดทำใหม่ขึ้นมาค่อนข้างมาก เพราะใช้งานง่าย สะดวกสบายมากขึ้น ซ้ำยังดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องโทรมาแจ้งกับทางโรงแรมเลย ทำให้ลดปัญหาที่ติดต่อเข้ามาทางโรงแรมได้เป็นอย่างมาก จึงอยากจะเลี้ยงขอบคุณบริษัทเก็นติ้งเฮาส์



“ไปมั้ย”





“ไม่ไปก็ได้นะ แต่ซองน่ะ เขาจ่าหน้าซองถึงเอ็งเลย ของคนอื่นยังระบุแค่ชื่อบริษัท”



“งานจะมีตอนสิ้นเดือน ก็อีกสองอาทิตย์ ถ้างั้นผมค่อยให้คำตอบทีหลังได้ใช่มั้ยครับ”



“ได้ แต่ก็อย่านาน เพราะเห็นทางนั้นบอกว่าเป็นการกินเลี้ยงส่วนตัว คงจะนับคนที่ไปแน่นอน”



“ครับ”



“ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องไป ข้าว่าทางนั้นเขาเข้าใจ”



“พี่ว่าผมควรไปมั้ย”



“ถ้าถามข้า ข้าก็จะบอกว่าควรไป จำที่ข้าเคยบอกได้มั้ย โตแล้ว ต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัวให้ได้ ถึงจุดประสงค์ของทางนั้นจะชัดว่ามีอะไรแอบแฝงก็ตามเถอะ แต่เราก็ต้องมืออาชีพพอ”



“งั้นผมจะไปครับ”



“ข้าแค่แนะนำ ไปคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป ถึงเอ็งจะไม่ไป ใครก็ว่าหรือทำอะไรเอ็งไม่ได้ทั้งนั้น เข้าใจมั้ย”



“ครับ”



“ยังติดต่อกับเขาอยู่หรือเปล่า”



“เปล่าครับ ทำไมเหรอพี่”



“ถามดูเฉยๆ แต่ละคนมีวิธีแก้ไขปัญหาไม่เหมือนกัน เอ็งก็อย่าลืมหาวิธีที่เหมาะกับเอ็ง หรือว่าหาเจอแล้ว”



“ยังเลยครับ”



“นึกถึงศีลธรรมเอาไว้เยอะๆ ตั้งสติให้มั่น รู้มั้ย”



“ครับ”



“พูดง่ายแต่ทำยากใช่มั้ย”



“ครับ”



“ยากแต่ก็ต้องทำ”



“พี่พูดจนผมจะร้องไห้แล้วเนี่ย”



“เฮ้ยๆ อย่าร้องนะ ไม่ได้อยากย้ำหรอก แต่อยากให้เอ็งคิดดีๆ คิดเยอะๆ”



“รู้ครับ แต่ราดทิงเจอร์ลงไปแบบนี้ ผมก็แทบจะดิ้นพล่านแล้ว”



“เออๆ เอาแอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผลไปก่อน อย่างน้อยให้มันได้ฆ่าเชื้อบ้างก็คงจะดี” กตพลรับมุกที่จาณีนส่งมาให้



“ครับพี่”



“เออ ข้าส่งโปรเจ็คใหม่ให้เอ็งแล้ว เป็นบริษัททางภาคเหนือ เพราะงั้นเอ็งจะได้สิทธิ์ไปพักผ่อนที่เหนือด้วย งานนี้ไม่ยากมาก แต่เอ็งอาจจะไม่คุ้น ยังไงลองอ่านรายละเอียดก่อนแล้วกัน สงสัยตรงไหนค่อยถามข้า อ้อแล้วที่สำคัญ งานนี้เอ็งลุยเดี่ยว ไม่มีข้าเอี่ยว อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”



“จริงเหรอพี่ ขอบคุณครับ” ความท้าทายของงานช่วยหยุดความเศร้าได้ดีชะงัดนัก งานนี้จะถือเป็นงานแรกที่เขาดูแลโปรเจ็คทั้งหมดเองอย่างเต็มตัว ความท้าทายที่เข้ามาถูกจังหวะ จิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง







.

.



“ทำไมวันนี้กลับเร็ว” จาณีนเดินเข้ามาในบ้านเห็นชนัญญูกำลังกวาดพื้นอยู่ก็สงสัย เพราะช่วงหลังเจ้าตัวมีทำโปรเจ็คร่วมกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยตลอดเลยมักจะกลับดึกเป็นประจำ



“วันนี้เริ่มสอบวันแรก” ชนัญญูตอบ



“โปรเจ็คก็เสร็จแล้วเหรอ”



“เสร็จแล้วสิพี่ ขืนสอบแล้วยังไม่เสร็จ ก็ไม่จบกันพอดี”



“แล้วจะผ่านมั้ย”



“ต้องผ่านสิ ระดับนี้แล้ว ตั้งใจขนาดนี้จะไม่ผ่านได้ไง”



“ดีมาก จะได้จบอย่างที่ตั้งใจ”



“แล้วตอนนี้พี่เรียนไม่ตั้งใจหรือไง”



“ตั้งใจสิ กลัวไม่จบ”



“ก็เหมือนกันแหละ ผมก็อยากจบแล้วล่ะ”



“อืม แล้วนี่กินอะไรยัง”



“ยังอะ รอกินพร้อมพี่”



“เหรอ กินเลยมั้ย หิวแล้ว”



“คนนั้นน่ะ ชวนเข้ามาเลยมั้ย”



“ตามใจ”



“งั้นเดี๋ยวผมมา” ชนัญญูใส่รองเท้าเดินออกจากบ้านไป เขามุ่งไปทางมุมมืดที่ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ พันธกานต์เห็นเด็กหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงแสล็ค ชุดของนักศึกษา เดินตรงเข้ามาหาก็ตกใจเลยคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ทัน



“คุณกานต์... ใช่มั้ย...ครับ” ชนัญญูไม่แน่ใจว่าควรจะพูดจาเรียบร้อยมั้ย แต่เขาก็ตัดสินใจพูดคำลงท้ายนั้นออกมาในตอนท้าย





ชนัญญูไม่ใช่เด็กพูดจาไพเราะมาแต่ไหนแต่ไร หลายครั้งถูกจาณีนบ่นอยู่บ่อยๆ ว่าพูดจากับผู้ใหญ่ต้องมีสัมมาคารวะให้มาก คำลงท้ายต้องมี แล้วคนตรงหน้าก็ดูจะอายุมากกว่าเขาและจาณีนอยู่หลายปี ก็คงนับเป็นผู้ใหญ่ด้วยใช่มั้ย





ใช่แหละมั้ง





“รู้จักชื่อฉันได้ไง”



“พี่จาบอก”





“คุณจา”



“อืม พี่ยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไม่เมื่อยหรือไง” พันธกานต์รู้สึกแปลกใจในคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้า บางทีก็ดูจะอ่อนน้อมมีมารยาทกับคนอายุมากกว่า แต่ดูอีกทีก็เหมือนไม่มี ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก แต่ที่แปลกใจมากที่สุดก็คือ






จาณีนรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่





“นายเห็นฉัน”

“ทีแรกก็ไม่เห็นหรอก แต่พี่จาบอก” คำพูดเดิมๆ ถูกนำออกมาใช้อีกครั้ง



“คุณจาก็รู้” พันธกานต์ทวนคำพูดของชนัญญู



“อืม...เอ่อ...ครับ”



“พูดตามสบายเถอะ ดูท่านายคงไม่ค่อยชินคำพวกนี้”



“โอเค สบายปากเลย”



“แล้วนายมาหาฉันตรงนี้ทำไม”



“คุณเข้าไปในบ้านสิ จะมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม”



“แล้วคุณจา?”



“ผมไม่รู้เรื่องราวเป็นมาของพวกคุณหรอกนะ แต่พี่จาบอกว่าถ้าคุณไม่มีปัญหาก็เข้าไปนั่งในบ้านเถอะ ดีกว่ามายืนบริจาคเลือดให้ยุง ยืนก็เมื่อยแถมจะเป็นโรคไข้เลือดออกอีก”



“คุณจาพูดอย่างนั้นเหรอ” ในตอนนี้พันธกานต์ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือหงุดหงิดใจกับจาณีนเหมือนแต่ก่อนแล้ว ยิ่งได้รู้เรื่องราวมาก่อนหน้านี้เขายิ่งเห็นใจเด็กหนุ่มมากกว่า การติดตามจาณีนครั้งนี้จึงมาจากความเต็มใจและความสมัครใจของเขา



“ครับ..เข้าไปด้วยกันนะ”



“ไหนๆ ก็ความแตกแล้ว เข้าไปนั่งข้างในก็ดีกว่ายืนตรงนี้จริงๆ นั่นแหละ”



“เรียกคุณแล้วมันไม่ชิน ผมขอเรียกคุณว่าพี่กานต์เหมือนเรียกพี่จาแล้วกันนะ”



“อะ ... ตามใจ”



“งั้นเข้าบ้านกันเถอะ” ชนัญญูพูดพลางออกเดินนำเข้าบ้าน



“มากันแล้วเหรอ” จาณีนเอ่ยทักเมื่อเห็นว่ามีสมาชิกเดินเข้ามาในบ้านเพิ่มขึ้น ตอนนี้เขากำลังเตรียมจานชามบนโต๊ะอาหารไว้รองรับสมาชิกทุกคนแล้ว



“ใช่พี่จา”



“แล้วคุณกานต์ทานข้าวมาหรือยังครับ ให้ผมเดาคงยังไม่ได้ทานหรอก งั้นทานด้วยกันเลยนะ”



“ไม่เป็นไรครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ปกติแล้วเขาไม่เคยนั่งโต๊ะทานข้าวร่วมกับศมนและจาณีน หากไปข้างนอกด้วยกันศมนก็สั่งอาหารอีกโต๊ะไว้ให้พวกเขาฝาแฝด



“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ อีกอย่างที่นี่ไม่มีคุณศมนสักหน่อย ทานด้วยกันเถอะครับ”



“ทานเถอะพี่กานต์ ผมหิวแล้ว”



“ก็ได้ครับ” พันธกานต์รู้สึกลำบากใจเพราะเขาไม่เคยชินที่จะทานข้าวร่วมกับคนอื่นนอกจากพันธกร

 ฝาแฝดของตัวเอง



“เดี๋ยวก่อนยู” ชนัญญูที่ถือช้อนส้อมในมือเตรียมจะตักอาหารเข้าปากเป็นอันต้องหยุดชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงคนร่วมบ้าน



“อะไรพี่”



“ออกไปชวนคุณกานต์แปปเดียว เรียกพี่กานต์แล้วเหรอ”



“อื้อ ก็เรียกคุณแล้วมันกระดากปากนี่”



“นายนี่น้า” จาณีนมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันไปขอทางพันธกานต์เพื่อขอลุแก่โทษ



“คุณกานต์ไม่ว่าอะไรนะครับ”



“ไม่เป็นไร เรียกยังไงก็ได้”



“ครับ งั้นเริ่มทานกันเถอะ นี่ยูทำไมไม่รอพี่กับคุณกานต์ก่อน” จาณีนชักชวนอีกฝ่ายให้เริ่มทานมื้อค่ำกัน ยังไม่ทันนั่งลงก็บ่นเด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดต่อทันที



“ก็ผมหิวนี่ พี่ทั้งสองคนรีบกินเถอะ เดี๋ยวเย็นก่อนพอดี” คนถูกบ่นรีบแก้ตัว ชนัญญูตักอาหารทานต่อทันทีโดยไม่สนใจผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ปล่อยให้จาณีนต้องขอโทษพันธกานต์ผ่านทางสายตาอีกครั้ง




======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourteenth Drop -- 6 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-12-2017 19:04:08
Fifteenth Drop


 

 “ที่จริง คุณกานต์ไม่ต้องตามผมแล้วก็ได้นะครับ” จาณีนพูดขึ้นหลังจากย้ายมานั่งคุยกันอยู่หน้าทีวี พื้นที่รับแขกเพียงส่วนเดียวของบ้าน



“เป็นคำสั่งนายครับ”



“แต่ผมกับคุณศมนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”



“นายเป็นห่วงคุณจา”



“ถ้าห่วงเรื่องความปลอดภัย ผมไม่น่าจะตกเป็นเป้าหมายของใคร ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คนที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นคุณธัญชนกมากกว่า”



“เรื่องคุณธัญชนก นายได้ส่งคนอื่นไปดูแลความปลอดภัยแล้วครับ”



“เหรอครับ” จาณีนพยักหน้าว่าเข้าใจ



“อย่าพูดเหมือนอิจฉาผู้หญิงคนนั้นสิ” บอดี้การ์ดหนุ่มหัวเราะในลำคอ ในคราวแรกเขานึกว่ากำลังถูกเยาะเย้ยอยู่ หากมองแววตาอีกฝ่ายจึงรู้ว่าพันธกานต์ไม่ได้ดูถูกหรือสมเพชเขาเลย นอกจากแววตาของความเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของเขา



“ผมคิดว่าเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ เพราะผมเองก็เคยเป็น”



“คุณกานต์” จาณีนแปลกใจ ไม่คิดว่าพันธกานต์จะมีมุมนี้



“อย่ามองผมอย่างนั้นสิครับ จำไม่ได้เหรอว่าผมชอบนายมาตั้งนานแล้วคุณก็มาแย่งไป”



“เปล่านะครับ ผมไม่ได้แย่ง” จาณีนพูดรัวเร็วออกมา



“ผมพูดเล่น ผมชอบนายแต่นายเลือกคุณ ผมเองก็ต้องทนเห็นภาพแบบนั้นมาตลอดสี่ปีเลยนะครับ แล้วผมจะไม่เข้าใจคุณได้ยังไง”



“ผมขอโทษ”



“คุณไม่ได้ผิดหรอก นายเคยบอกผมไว้ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้ ซึ่งมันก็จริง”



“แล้วตอนนี้คุณกานต์เป็นไงบ้าง” จาณีนถามขึ้นด้วยเพราะเป็นห่วงความรู้สึกอีกฝ่าย



“ผมทำใจได้แล้วล่ะ ดีขึ้นมากจริงๆ นายพูดถูกที่บอกว่าผมไม่ได้รักเขาในแง่คนรัก จริงๆ แล้วผมก็รักนายเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง”



“ดีแล้วล่ะครับ”



“ส่วนคุณเองคงจะยากหน่อย เพราะกรณีของผมมันคือรักข้างเดียว แต่เรื่องระหว่างคุณกับนาย มันไม่ได้เป็นแบบนั้น”



“ครับ” จาณีนถอนหายใจอย่างปลงตก มองทางไหนก็ไม่มีทางออกทั้งนั้น ศมนกำลังจะแต่งงานกับคนที่เหมาะสม จะให้เขาไปล้มงานแต่ง ให้กองเงินมาร้อยล้านพันล้าน เขาก็ไม่มีวันทำ



“ขอให้ทำใจได้เร็วๆ นะครับ”



“รู้สึกเจ็บจี๊ดเลยแฮะ แต่ก็ขอบคุณนะครับ จริงสิ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ คุณกานต์ต้องมาที่นี่ตั้งแต่เช้าเลยใช่มั้ยครับ”



“ใช่ครับ ตั้งแต่คุณจาออกจากบ้านจนกระทั่งเข้านอน ผมถึงจะกลับได้”



“ถ้าอย่างนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้คุณกานต์ช่วยไปส่งผมที่บริษัททุกวันเลยได้มั้ยครับ”



“ได้น่ะมันได้ครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”



“ประหยัดน้ำมันดีครับ ไปทางเดียวกัน อีกอย่างผมจะให้ยูขับรถผมไปใช้แทน”



“เอาอย่างนั้นเหรอครับ”



“ครับ เดี๋ยวแปปนะ” จาณีนลุกขึ้นไปเคาะประตูห้องชนัญญู เพราะเจ้าของห้องขอตัวไปอ่านหนังสือหลังจากทานข้าวเสร็จ



“ว่าไงพี่จา”



“ยู ออกมาคุยด้วยกันหน่อย เดี๋ยวเดียว”



“อือ” ชนัญญูเลยออกมาจากห้องมานั่งร่วมวงสนทนา



“คือคุณกานต์ต้องไปกับพี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพราะงั้นพี่จะให้คุณกานต์ขับรถไปกับพี่ ส่วนยูเอารถพี่ไปใช้ โอเค๊”



“ผมบอกไปแล้วไงว่าไม่เอา”



“อย่าเถียงได้มั้ยเล่า ตามนี้แหละ พรุ่งนี้ขับรถไปด้วย ถ้าเห็นรถจอดอยู่นะ จะโทรไปฟ้องคุณป้าว่ายูหือกับพี่”



“อะไรของพี่จาเนี่ย” ชนัญญูโอดครวญกับการมัดมือชกของจาณีน



“ตกลงตามนี้ เข้าไปอ่านหนังสือต่อได้แล้ว”



“คนอะไร เรียกออกมาแค่เนี้ย แล้วก็ไล่กลับไป” ชนัญญูยังบ่นต่อไป แต่ก็ยอมเดินกลับเข้าห้องไปโดยดี 



พันธกานต์มองตามหลังเด็กหนุ่มก็รู้สึกตลกคนที่โวยวาย



บอดี้การ์ดหนุ่มไม่ค่อยเจอเด็กวัยรุ่นที่มีนิสัยแบบนี้มากนัก อย่างจาณีนก็นับว่าเด็กที่สุดที่เขาเคยพูดคุย แต่จาณีนไม่ใช่คนที่บ่นนั่นบ่นนี่ เวลาที่เจอเขา จาณีนก็มักเงียบจนสังเกตเห็นได้ชัด พอมาเจอคนอย่างชนัญญู ก็เหมือนได้เจออะไรแปลกใหม่ในชีวิตเพิ่มขึ้น



น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย



สองหนุ่มพูดคุยกันต่อไปอีกสักพัก ชนัญญูก็เปิดประตูห้องออกมาเขาเดินตรงไปที่ตู้เย็นเพื่อหาน้ำเปล่าดื่ม อ่านหนังสือนานไปก็ชักง่วง แต่เขาไม่ชอบดื่มกาแฟ น้ำผลไม้พอได้ แต่น้ำผลไม้ในตู้เย็นดันหมด ดังนั้นน้ำเปล่าจึงเป็นตัวเลือกสุดท้าย



“ถ้าวันไหนคุณกานต์ขี้เกียจไม่อยากกลับคอนโด จะนอนที่นี่ก็ได้นะครับ ผมยินดี ได้ใช่มั้ยยู” จาณีนหยิบยื่นไมตรีออกไปให้ ถึงเขาจะมีสิทธิ์เต็มที่ในบ้านเช่าหลังนี้ แต่ก็ไม่อยากเอาเปรียบชนัญญูจนเด็กหนุ่มต้องรู้สึกอึดอัด



“แล้วแต่พี่เถอะ พี่เป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้าน”



“ยังไงก็ต้องถามความเห็นยูด้วยสิ”



“ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว พี่กานต์จะนอนห้องผมก็ได้นะ”



“ประชดกันหรือเปล่า” พันธกานต์เอ่ยแซวคนเสนอตัว



“เปล่าครับ นี่พูดจากใจจริงเลย”



“งั้นก็ขอบใจนะ คุณจาไม่ต้องห่วงผมหรอกนะ อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้าคุณจะนอนเมื่อไหร่ผมถึงจะกลับ”



“ไม่เป็นไรคุณกานต์ คุณกลับได้เลย ตอนนี้ผมก็อยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรหรอกครับ”



“คำสั่งนายครับ” พันธกานต์พูดคำติดปาก



“ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณศมนไม่พอใจเดี๋ยวผมบอกให้ก็ได้ครับ”



“ตกลงครับ วันนี้ผมขอตัวเลยละกัน”



“ขับรถดีๆ นะครับ”



“พี่กลับยังไง” ชนัญญูถามขึ้น



“ขับรถกลับ”



“ไม่เห็นมีรถ”



“ผม...เอ่อ...พี่จอดรถไว้ตรงปั๊มหน้าซอย”



“ผมเดินไปส่ง”



“ไม่ต้อง ดึกแล้ว”



“ให้ยูไปส่งเถอะครับ” จาณีนเห็นด้วยกับชนัญญู



“คุณจาลืมไปแล้วหรือครับว่าผมทำงานอะไร” เออ แฮะ พอพันธกานต์พูดขึ้นจาณีนเลยนึกขึ้นได้



“จะทำงานอะไรก็ช่างเถอะ ผมจะเดินไปส่งพี่” คนอ่อนวัยสุดของวงสนทนาตัดบททุกฝ่าย เขาเดินนำออกไปที่ประตูบ้านโดยไม่รอใคร พันธกานต์สบตากับจาณีนด้วยความไม่เข้าใจคนที่เดินลิ่วไปแล้ว



“จะกลับมั้ย มาสิครับ” จนได้ยินเสียงของชนัญญูดังขึ้นนั่นแหละ บอดี้การ์ดหนุ่มจึงรีบตามออกไป



หลังจากทานมื้ออาหารด้วยกันวันนั้น จาณีนกับพันธกานต์ก็สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม ความอึดอัดในใจของจาณีนที่เคยมีก็เริ่มลดน้อยลงแทบไม่เหลือ อย่างน้อยก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุข



“ไอ้จา สรุปเอ็งจะไปงานเลี้ยงขอบคุณมั้ย” กตพลถามจาณีนในช่วงบ่ายหลังจากขึ้นมาจากพักกลางวันของบริษัท



“ไปครับ”



“แน่ใจนะ”



“ครับ” จาณีนยืนยันในคำตอบ



“เออ ไปก็ไป”



“พี่พลครับ เรื่องโปรเจ็คที่เหนือ”



“ทำไมวะ”



“คือให้ผมไปสัปดาห์หน้านี้เลยใช่มั้ยครับ”



“ใช่”



“ขอโทษที ช่วงนี้ข้ายุ่งๆ เลยลืมเอาเอกสารให้เอ็ง” กตพลเดินกลับไปที่โต๊ะของตนเอง คุ้ยเอกสารกุกกักอยู่บนโต๊ะสักพักก็ถือซองเอกสารติดมือยื่นมาให้



“เอ้านี่”



“ครับ” ถึงจะสงสัยแต่จาณีนก็ยื่นมือออกไปรับมา



“ข้างในจะเป็นตั๋วเครื่องบิน รายละเอียดตารางงาน แล้วรายละเอียดที่พัก” จาณีนหยิบมันขึ้นมาอ่านคร่าวๆ ก่อนจะสะดุดตาเรื่องที่พัก



“พี่พลครับ รีสอร์ทที่พักนี้มัน...”



“หืม ทำไม”



“ปะ..เปล่าครับ ไม่มีอะไร”



“ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า งานก็ทำเหมือนที่เคยทำนั่นแหละ”



“ครับ”



“แล้วเตรียมเนื้อหาไปบ้างหรือยัง” กตพลถามด้วยความเป็นห่วงในเนื้องานและหนุ่มรุ่นน้อง



“เรียบร้อยแล้วครับ ผมว่าจะส่งให้พี่ดูอยู่พอดี”



“เออส่งเข้าเมลมาได้เลย เดี๋ยวข้าจะรีบดูให้”



“ขอบคุณครับ”



“วันงานเอ็งจะไปยังไง”



“ไปกับคุณกานต์ครับ”




“หืม คุณกานต์ ใช่คนที่เป็นบอดี้การ์ดของคุณศมนหรือเปล่า ที่เขาไม่ค่อยชอบเอ็งใช่มั้ย ข้าตกข่าวหรือไง เป็นไงมาไงถึงญาติดีกันได้” กตพลถามรัวเป็นชุด



“เรื่องมันยาวน่ะพี่ ไว้วันหลังผมจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่าตอนนี้ ผมกับคุณกานต์เข้าใจกันแล้วครับ ตอนนี้คุณกานต์ตัดใจจากคุณศมนได้แล้ว อีกอย่างผมก็เลิกกับเขาอีก ก็เลยไม่มีอะไรให้หึงหวงอีกล่ะมั้งครับ”



“แต่เอ็งกับคุณเขาก็เลิกกันแล้วนี่หว่า ทำไมเขายังให้คนคอยตามเอ็งอีกวะ”



“คุณกานต์บอกว่าคุณศมนเป็นห่วงผม”



“เออ ดีว่ะ เลิกกันแต่ก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ ดูแลอยู่ห่างๆ”



“พี่พล...”



“โอเค ไม่พูดแล้ว ทำงานต่อดีกว่า อ้อ อย่าลืมส่งเมลด้วยล่ะ”



“ครับ”



“พี่จะไปไหนอะ แต่วตัวซะหล่อเชียว” ชนัญญูทักขึ้น เมื่อเห็นเขายืนสำรวจความเรียบร้อยของตนเองอยู่ในห้องนอน เขาไม่ได้ปิดประตูห้องเพราะก่อนหน้านี้พันธกานต์เพิ่งมาถึง เขาเลยออกไปเปิดประตูรั้วให้



“วันนี้มีนัดกินเลี้ยงกับอีกบริษัทหนึ่ง เป็นไง แต่งแบบนี้ดูเวอร์ไปมั้ย”



“อืม ถ้าเทียบกับอีกคนแล้วไม่เวอร์หรอก” ชนัญญูปรายตามองไปที่บอดี้การ์ดหนุ่มที่นั่งรออยู่บนโซฟา เด็กหนุ่มยักไหล่ให้จาณีนเป็นเชิงว่าแต่งแค่นี้ธรรมดามาก



“อย่าเปรียบเทียบกับคุณกานต์สิ งานของคุณกานต์เขาต้องแต่งแบบนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”



“ไม่เวอร์หรอกน่า โอเคแล้ว เสื้อเชิ้ตสีขาวกับสูท ไม่ผูกไท”



“ขอบใจมากน้องรัก”

“แล้วพี่จะกลับกี่โมง”



“อืม ไม่รู้แฮะ คงจะดึก ยูนอนก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”





“ผมไม่รอพี่อยู่แล้ว”



“ไปกันเถอะครับคุณกานต์” จาณีนเดินออกมาจากห้องแล้วเรียกพันธกานต์ที่รออยู่



“พี่ไปนะ”



“ขับรถกันดีๆ นะครับ” ชนัญญูบอกคนแก่วัยกว่าทั้งสอง



“ขอบใจ” จาณีนรับคำน้องชายร่วมบ้านก่อนจะก้าวขึ้นรถไปนั่งข้างคนขับ



งานเลี้ยงขอบคุณจัดขึ้นที่บ้านของศม น่าแปลกที่ชายหนุ่มเลือกบ้านพักอาศัยของตนเองเป็นที่จัดงานในครั้งนี้ จาณีนใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เขาไม่เคยมาบ้านของศมนมาก่อน แต่คิดไปคิดมา คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็ไม่ควรจะตื่นเต้นให้มากจนเกินไป



“คุณกานต์มาที่นี่บ่อยมั้ยครับ” จาณีนถามขึ้นขณะที่บอดี้การ์ดหนุ่มดับเครื่องยนต์



เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ บ้านสีขาวหลังใหญ่ ด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยมาที่บ้านของศมนเลยสักครั้ง บ้านหลังนี้เป็นสไตล์คลาสสิคทั่วไป ตัวบ้านตั้งเด่นตระหง่านอยู่ด้านหน้า รายล้อมไปด้วยการตกแต่งของสนามหญ้า สวนไม้ที่ปลูกอยู่รอบๆ กลางวันคงจะให้ร่มเงาได้อย่างเต็มที่ พื้นที่ทั้งหมดสุดลูกหูลูกตา มองเห็นไม่หมด แต่ก็เหมาะแล้วกับคนที่มีฐานะและหน้าที่การงานระดับนี้



“ไม่บ่อยหรอก ปกตินายจะกลับคอนโด” ไม่น่าถามอะไรแบบนั้น ที่ชายหนุ่มต้องกลับคอนโดก็เพราะตอนนั้นเขาอยู่กับศมนที่คอนโดยังไงล่ะ



“เหรอครับ”



“แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น นายก็กลับมานอนที่นี่” ไม่ต้องอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่มจาณีนก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี



“....”



“เข้าไปในงานกันเถอะ คนที่ทำงานของจาคงมาถึงแล้วล่ะ เห็นรถจอดอยู่หลายคัน”




======================================

เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fourteenth Drop -- 6 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 18-12-2017 19:05:09

พันธกานต์เปิดประตูลงจากรถ จาณีนก็เช่นกัน เขาทั้งคู่เดินตรงเข้าไปยังสถานที่จัดงาน สปอนเซอร์ใจดีสนับสนุนพื้นที่จัดงานเป็นสนามหญ้าด้านข้างของตัวบ้าน บริเวณนี้ดูเหมือนจะถูกออกแบบไว้ใช้รับรองแขก เดินใกล้เข้าไปได้ยินเสียงน้ำตกเทียมขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งทานข้าวอยู่ท่ามกลางน้ำตก ไอเย็นสัมผัสผิวกาย จาณีนแหงนหน้ามองขึ้นไปก็เจอพัดลมทำไอน้ำอยู่รอบๆ บริเวณ โต๊ะจัดงานเป็นโต๊ะขนาดยาวรับแขกได้ประมาณยี่สิบที่นั่ง คลุมด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาด อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับบนโต๊ะอาหารถูกจัดวางเรียงอย่างสวยงาม ไม่ต่างอะไรกับโรงแรมห้าดาวเลย สมแล้วที่เป็นบ้านของเจ้าของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทหลายสิบแห่ง



ในบริเวณงาน จาณีนเห็นบริกรถือถาดบริการเครื่องดื่มให้แขกรับเชิญอยู่หลายคน แต่ละคนแต่งตัวด้วยเชิ้ตสีขาวทับด้วยกั๊กสีดำ และสวมกระโปรงหรือกางเกงแสล็คสีดำเหมือนกันทั้งหมด ตลอดเวลาที่ให้บริการทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มีจิตบริการอย่างเต็มที่ ฉับพลันสายตาของเด็กหนุ่มก็ปะทะกับร่างของใครบางคน เขาสะดุดเท้าจะหกล้ม โชคดีที่พันธกานต์รับไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงได้ทำขายหน้าตั้งแต่เข้างาน



“เดินระวังหน่อย”



“ขอบคุณครับคุณกานต์”



“คนนั้นใช่หัวหน้าของคุณจาหรือเปล่า” บอดี้การ์ดหนุ่มชี้มือไปยังคนที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายของงาน ก่อนจะพยักหน้า ตอบแทนคำพูดว่า ‘ใช่’ ตอนนี้กตพลยืนคุยกับคุณวิมาลาที่กำลังอุ้มน้องไนท์อยู่ ข้างๆ เป็นชายหนุ่มที่เขาปฏิเสธความรักไปก็คือไตรภัทร





จะว่าไป หลังจากที่เขาบอกปฏิเสธชายหนุ่มไป ไตรภัทรเดินมาที่แผนกของเขาน้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เจอชายหนุ่มมักจะพูดคุยเป็นปกติ จาณีนไม่รู้ว่าไตรภัทรทำใจเรื่องของเขาได้หรือยัง แล้วเขาก็ไม่คิดจะถามอีกฝ่ายด้วย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปกวนตะกอนให้ขุ่นขึ้นมาอีก



“ถ้างั้นผมไปหาพี่พลก่อนนะครีบ”



“ผมว่าคุณจาควรไปทักทายเจ้าภาพของงานก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”



“คุณกานต์ ก็รู้นี่ครับว่าทำไมผมถึงไม่อยากไป”



“ถูกอย่างที่คุณคนนั้นเขาพูดแล้วล่ะไอ้จา แยกแยะหน่อย” กตพลเดินมาหาพวกเขาสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้



“ถ้าไม่กล้า เดี๋ยวข้าพาไป เอามั้ย” กตพลถามต่อ



“พี่เห็นผมได้ไง”



“ก็เอ็งยืนทำท่ามีพิรุธอยู่ตรงนี้สักพักหนึ่งแล้ว ข้าเลยต้องเดินมาตามเนี่ย”



“ก็ผมกำลังคิดอยู่นี่ว่าจะเอายังไง อ้อ นี่คุณกานต์ ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง” จาณีนแนะนำพันธกานต์ให้อีกฝ่ายรู้จัก “แล้วก็คุณกานต์ครับ นี่คุณกตพล หัวหน้าผมเอง” ทั้งคู่ต่างทักทายกันก่อนที่กตพลจะไล่ให้จาณีนไปทักทาย

เจ้าของงานอีกครั้งหนึ่ง แต่จาณีนก็ยังทำอิดออดอยู่



“ผมพาไปเอง ยังไงก็ต้องไปหานายอยู่แล้ว ขอตัวก่อนนะครับคุณพล”



“ครับคุณกานต์ รีบพาไอ้จามันไปเร็วๆ เลยครับ”



“พี่พล...”



“รีบไปแล้วก็รีบมา ข้าจะไปรอตรงนั้น” กตพลชี้มือไปยังที่เขายืนคุยกับวิมาลาก่อนหน้านี้ จาณีนพยักหน้ารับคำเสร็จก็เดินตามพันธกานต์ไป มีบอดี้การ์ดหนุ่มไปเป็นเพื่อน ยังดีกว่าเดินดุ่มๆ เข้าไปคนเดียวล่ะว้า



“นายครับ” พันธกานต์เรียกผู้เป็นนายที่กำลังยืนคุยอะไรบางอย่างกับธัญชนกทำให้บทสนทนาของทั้งคู่ต้องหยุดลง จาณีนเดินตามหลังเข้าไป



“อ้อ มาแล้วหรือ”



“ครับ”



“แล้วนี่พาใครมาด้วยล่ะ” ศมนเอ่ยปากถามบอดี้การ์ดหนุ่มคนน้อง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ตอบอะไร ส่วนคนพี่พอได้ยินแบบนั้นก็เริ่มรู้สึกอยากจะหมั่นไส้นายของตัวเองขึ้นมาครามครัน ทำเป็นไม่รู้จักได้ยังไงกัน



“สวัสดีครับ ผมจาณีน เป็นผู้ช่วยของคุณกตพลครับ” จาณีนจำต้องเงยหน้าสบตาคนตรงหน้า ดวงตาเรียวสวยเลยได้สบสายตากับอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ เกือบเดือนทีเดียวที่ไม่ได้เจอกับอดีตคนรัก



จาณีนกำลังถามคำถามอีกฝ่ายมากมาย แต่ก็สามารถถามได้แค่ภายในใจเท่านั้น





‘แข็งแรงดีใช่มั้ย ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรใช่มั้ยครับ



ดูตาคล้ำๆ นอนหลับพักผ่อนเต็มที่บ้างหรือเปล่า



ดูผอมไป น้ำหนักลดหรือเปล่า ทานอาหารครบทุกมื้อใช่มั้ยครับ คงไม่ได้ดื่มแต่ไวน์อย่างเดียวนะ’



คำถามมากมายผุดขึ้นอยู่ในศีรษะ อยากจะถามออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ และคำถามสุดท้ายที่อยู่ในใจ





‘คิดถึงผมอย่างที่ผมคิดถึงคุณเหมือนกันบ้างหรือเปล่า’





“สวัสดีค่ะ คุณจาณีน ใช่มั้ยคะ” หญิงสาวทักกลับมาเป็นคนแรก “ได้ยินชื่อของคุณบ่อยๆ ขอบคุณนะคะ ที่ให้เกียรติมางานเลี้ยง คุณเก่งมากเลยค่ะ งานยอดเยี่ยมจริงๆ”



“ขอบคุณครับ”



“กร กานต์ พาคุณจาไปที่โต๊ะ เดี๋ยวงานจะเริ่มแล้ว”



“ครับ”



“สบายดีนะครับ คุณจา ไม่ได้เจอกันนานเลย” แฝดคนพี่ชวนคุยหลังจากที่เดินมาจากบริเวณน่าอึดอัดเมื่อสักครู่นี้



“สบายดีครับ คุณกรก็สบายดีนะครับ”



“ครับ ถ้าจะย้ายกลับคอนโดเมื่อไหร่บอกผมกับกานต์ได้เลยนะครับ”



“ไม่ย้ายหรอกครับ”



“ทำไมล่ะครับ อยู่ที่คอนโดสะดวกสบายกว่า และปลอดภัยกว่าบ้านหลังนั้นมากนะครับ”



“แต่ความสบายใจสู้ที่บ้านเช่าไม่ได้เลยล่ะครับ”



“พอเถอะน่ากร ในเมื่อจาอยากอยู่ที่บ้านเช่าก็ให้เขาอยู่ มึงจะไปเซ้าซี้อะไรเขานักหนาวะ” แฝดคนน้องตัดบทออกมาด้วยความรำคาญ



“อะไรวะ ก่อนหน้านี้ก็เห็นด้วยกับกูนี่หว่า”



“เออ ตอนนี้เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว กูก็ดูแลคุณจาอย่างดี มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า”



“ใช่ครับ คุณกานต์ดูแลผมดีมาก”



“ผมไม่ติดใจที่กานต์ดูแลคุณจาดีหรอกครับ แต่ดูเหมือนจะสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”



“ก็คนสนิทกัน อย่าอิจฉา อย่าถามมากได้มั้ย” แฝดคนน้องตัดบทต่ออีกครั้งทันที



“ก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง ไม่ถามแล้วก็ได้”



“อย่าทะเลาะกันเลยครับ ก็ผมเจอคุณกานต์ทุกวัน ไปรับไปส่งกันตลอด มันก็ต้องสนิทกันมากกว่าเดิมล่ะครับ” จาณีนเข้ามาช่วยห้ามทัพศึกสองพี่น้อง



“ไม่ได้ทะเลาะกันหรอกคุณจา จริงๆ แล้วกรน่ะมันขี้โวยวาย” พันธกานต์ขยายความ



“จริงเหรอครับ”



“อืม แต่เพราะมันต้องอยู่กับนายตลอด ขืนโวยวายคงถูกนายไล่ตะเพิด”



“อ่อ... ลำบากแย่เลยนะครับ” จาณีนทำท่าว่าเห็นใจ ที่พันธกรไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง



“ไม่หรอกครับ เวลาทำงานไม่ควรโวยวายเสียงดัง ถูกแล้วล่ะครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มจอมโวยวายออกรับแทน เพื่อปกป้องนายที่เคารพ



“ถึงแล้ว ที่นั่งของคุณจา”



“ตรงนี้เหรอครับ ผมว่าไม่น่าใช่” จาณีนคิดว่าพันธกานต์ต้องจำที่นั่งเขาผิดแน่ๆ เพราะตำแหน่งที่นั่งของเขามันคือด้านซ้ายของเจ้าภาพงานเลยน่ะสิ นั่นก็คือเขาอาจจะต้องนั่งตรงข้ามกับคุณธัญชนกและประจันหน้ากับเธอตลอดมื้ออาหาร คงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่



“ถูกแล้วล่ะครับ นี่ไงครับ ชื่อของคุณจา” พันธกรตอบแทนน้องชาย ชายหนุ่มชี้ป้ายชื่อตรงที่นั่งให้กับจาณีนได้ดู



“แบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ คนอื่นๆ จะสงสัยเอาได้”



“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ นายทำอะไรมีเหตุผลเสมอ นั่น นายเดินมาแล้วครับ คงจะเริ่มงานแล้ว นั่งเลยครับ”      พันธกรกดไหล่ให้จาณีนนั่งลงประจำที่ของตัวเอง





เด็กหนุ่มดูป้ายชื่อที่นั่งถัดจากนั้นเป็นไตรภัทร กำลังกังวลว่ากตพลนั่งตรงไหน พลันก็เห็นหัวหน้าตัวเองนั่งลงตรงข้ามกับไตรภัทรนั่นเอง ทำให้จาณีนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็มีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่คาดหวังว่าจะเป็นกตพลนั่งอยู่ข้างๆ แต่ทีแรกก็เถอะ





ตอนนี้ทุกคนนั่งประจำที่นั่งของตนเองเรียบร้อยแล้ว ศมนยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะ บอดี้การ์ดฝาแฝดยืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นนาย ส่วนธัญชนกนั่งตรงข้ามกับเขาอย่างที่คิด แววตาของหญิงสาวดูแปลกใจ เพราะที่นั่งตรงนี้ไม่ควรจะเป็นเขา    จาณีนมองที่นั่งอื่นๆ แต่กลับไม่พบคุณวิมาลากับน้องไนท์ ก่อนหน้าที่เขาจะไปสวัสดีเจ้าของงานเขายังเห็นเธออยู่เลย



“พี่ไตรครับ” จาณีนเอียงหน้าเข้าไปกระซิบถามไตรภัทร



“ว่าไงครับน้องจา” ไตรภัทรก้มหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม เพราะไม่อยากให้เสียงดังไปรบกวนคนอื่น



“คุณวิมาลาไปไหนล่ะครับ ไม่เห็นเธอมานั่งโต๊ะ” จาณีนถอนใบหน้าออกมานิดหน่อย เขาคิดว่าใบหน้ามันใกล้เกินไปหน่อย



“ขอตัวพาน้องไนท์ไปเข้านอนน่ะครับ”



“เหรอครับ”



“น้องจาเป็นไงบ้าง พี่รู้เรื่องเราแล้วนะ ไม่เป็นไรใช่มั้ย”



“เอ่อ..ครับ ผมก็สบายดี เรื่อยๆ ครับ”



“พี่เป็นห่วงจานะ”



“ขอบคุณครับ”



“แฮ่มม...” ได้ยินเสียงกระแอมกระไอจากคนเตรียมจะเปิดงาน จาณีนและไตรภัทรเลยหยุดการพูดคุยไว้เพียงเท่านั้นแล้วหันกลับมาสนใจกับคนที่ยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะแทน



“สวัสดีครับทุกท่าน ผมศมน ธาราเกียรติดำรง ประธานบริษัทธาราแกรนด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอเป็นตัวแทนกล่าวขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันในวันนี้ครับ งานวันนี้เราจัดขึ้นเพื่อขอบคุณที่ทุกคนเหน็ดเหนื่อยจากโปรเจ็คทำเว็บไซต์ของโรงแรม ซึ่งเสียงตอบรับจากลูกค้ากลับมาดีมาก ทุกคนพอใจกับงานชิ้นนี้มากครับ ทั้งระบบใช้งานได้ดีและสะดวกกับลูกค้า ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ผมเองไม่ค่อยได้เข้าไปร่วมในโปรเจ็คนี้มากนัก ต้องขอบคุณคุณชัยยุทธและคุณกตพลมากครับ ที่ทำให้ความต้องการของลูกค้า บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ชายหนุ่มทั้งสองคนที่ถูกขานชื่อรีบลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังไปทั่วโต๊ะ เสร็จแล้วจึงนั่งลง



“มีอยู่อีกคนหนึ่งที่ไม่ขอบคุณไม่ได้เลย คนนั้นก็คือคุณจาณีน แสงชัยกุล ที่คอยให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่อง คอยตามงาน หรือคอยเตือนในหลายจุดๆ ที่ทางผมคาดไม่ถึง ต้องขอบคุณจริงๆ ครับ” เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง จาณีนลุกขึ้นยืนโค้งให้ทุกคนก่อนจึงนั่งลง





จาณีนรู้ว่าศมนไม่ได้พูดเกินจริง หลายครั้งที่เขาคุยเรื่องโปรเจ็คชิ้นนี้กับศมนในเวลาส่วนตัว เขาค่อนข้างจริงจังกับโปรเจ็คนี้มาก อยากให้งานออกมาดีที่สุดเพราะมันเป็นการพิสูจน์ตัวเขาเองด้วย เด็กหนุ่มจึงตั้งใจมุ่งมั่นทำงานนี้อย่างเต็มที่



แล้วนั่นก็คือเหตุผลของศมนที่ทำให้เขามานั่งอยู่ตรงนี้



ศมนยังเหมือนเดิม เรื่องความเจ้าเล่ห์แล้วไม่เป็นรองใคร



“ดังนั้น เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา ขอเชิญทุกท่านทานอาหารได้เลยครับ อาหารในวันนี้ผมให้ทางโรงแรมปรุงขึ้นพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ ขอให้ทุกท่านดื่มด่ำกับรสอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างเต็มที่เลยครับ ขอบคุณครับ” เมื่อเจ้าภาพกล่าวเปิดงานเสร็จเรียบร้อย ยี่สิบชีวิตทั้งหมดก็เริ่มลงมือทานกัน



อาหารในงานมีหลากหลายมาก โดยจะมีอาหารชุดพิเศษของแต่ละคน และก็ยังมีอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าของแต่ละคน ใครชื่นชอบอาหารจานใดก็สามารถตักไปได้ หากหมดก็มีมาเติมตลอดเวลา



จาณีนก็เช่นกันเขาเริ่มลงมือทานอาหารเหมือนคนอื่นๆ ถ้านั่งเฉยๆ ก็จะกลายเป็นที่สะดุดตาของคนรอบข้าง ครั้นจะเงยหน้าชวนคนตรงข้ามพูดคุย ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากทำ



“น้องจา ทานนี่สิครับ ท่าทางน่าอร่อย” ไตรภัทรตักปลานึ่งสมุนไพรมาให้ เนื้อปลาเป็นสีขาวนวลดูน่าทาน



“ขอบคุณครับ” จาณีนรับมาแล้วตักเข้าปาก



“เป็นยังไง อร่อยมั้ย”



“อร่อยครับ อร่อยมากเลย”



“ลองนี่ด้วย ทานเยอะๆ หน่อย จาผอมไปนะ” ไตรภัทรตักอะไรที่เหมือนจะเป็นข้าวปั้นมาให้



“ขอบคุณครับ พี่ไตร” จาณีนลองตักขึ้นมาทานก็พบว่าเป็นข้าวปั้นแกงเขียวหวานไก่ ไม่น่าเชื่อว่าลองประยุกต์ผสมผสานแบบญี่ปุ่นก็ยังเต็มไปด้วยความอร่อย



“ไวน์ที่นี่ก็รสชาติดี น้องจาลองหรือยัง”



“ยังเลยครับ” จาณีนกำลังคิดว่าไตรภัทรคอยเอาอกเอาใจเขาไปทำไมกัน ดูแปลกๆ ไป



“ต้องลองนะ”



“ก็ต้องดีสิครับ เพราะว่าคุณศ...” จาณีนเกือบหลุดปากพูดออกไป เขาตั้งใจจะบอกว่าไวน์นี่มันของโปรดเจ้าของโรงแรมที่นั่งอยู่นี่เลย จะรสชาติไม่ได้อย่างไรล่ะ



“อะไรนะครับ”



“ปะ..เปล่าครับ ผมจะบอกว่าก็ต้องดีอยู่แล้ว เพราะว่าคุณศมนเขาสั่งมาจากโรงแรมเลยนี่ครับ ไม่ให้ขายหน้าหรอก”



“จริงด้วยสินะ นี่ไวน์ของน้องจาครับ” ไตรภัทรยื่นแก้วไวน์มาให้ จาณีนรับไปจิบเบาๆ ก่อนจะวางลง เขาไม่ถนัดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นัก เขาเคยเมาเมื่อนานมาแล้ว และบอกกับตัวเองไว้ว่าจะไม่เมาอีก



จาณีนเหลือบมองไปทางด้านขวาของเขา ศมนไม่แตะอาหารใดๆ เลย ชายหนุ่มดื่มแต่ไวน์ แก้วแล้วแก้วเล่าถูกเติมอยู่ตลอดเวลา น่ากลัวท้องไส้จะพังเอาเสียก่อน เขาอยากจะห้ามอีกฝ่าย แต่ก็ต้องปิดปากให้เงียบสนิทไว้ เพราะเขาไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว



“พี่มนคะ ธัญไม่เห็นพี่ทานอะไรเลย ปล่อยให้ท้องว่างแบบนี้ไม่ดีเลย ทานไก่อบซอสส้มสักหน่อยสิคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ธัญชนกเอาใจอีกฝ่ายโดยตักอาหารมาวางให้ การกระทำและคำพูดของหญิงสาว กระทบโสตประสาทจาณีนเข้าอย่างจัง



ตอนนี้ศมนมีคนที่คอยดูแลได้ดีกว่าเขาแล้ว



“ขอบใจครับน้องธัญ” ศมนกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตักอาหารขึ้นมา



“พี่มนคะ ทานหน่อยเถอะค่ะ ธัญเป็นห่วงพี่นะคะ พี่มนทานน้อยลงไปมาก” ธัญชนกคะยั้นคะยอจนอีกฝ่ายยอมทาน



“เป็นไงคะ อร่อยมั้ย”



“อาหารจากโรงแรมเครือธาราแกรนด์จะไม่อร่อยได้ไงล่ะครับ น้องธัญ”



“จริงด้วยสิคะ ธัญลืมไปเลย”



คำพูดของศมนกับธัญชนกดังเข้ามาเต็มสองรูหูของจาณีน เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ เขาไม่อยากนั่งตรงนี้อีกแล้ว ไม่อยากได้ยินบทสนทนาของคนสองคน เขาอยากจะไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ในความเป็นจริงเขาทำตามใจตัวเองแบบนั้นไม่ได้



 คมมีดกำลังกรีดแทงลงมาที่หัวใจ จาณีนไม่รู้จะระบายความอึดอัดอย่างไร เขาอยากลุกขึ้นเดี๋ยวนี้แต่ก็ถูกสายตาของกตพลมองมาว่าเขาต้องอดทน ฝืนทนนั่งต่อไปให้ได้ ในเมื่อลุกไปไหนก็ไม่ได้ เด็กหนุ่มเลยคว้าแก้วไวน์มาดื่มหมดแก้วทันที บริกรด้านหลังก็รู้หน้าที่รีบรินเติมให้อย่างว่องไว แก้วที่สองถูกยกสาดเข้าไปในลำคอต่อโดยไม่สนใจ และแก้วต่อไปก็ตามมาอีกเรื่อยๆ



“พี่มนคะ” ธัญชนกเรียกศมนพลางแตะที่แขนของชายหนุ่มเบาๆ



“ว่าไงครับ น้องธัญ”



“วันนี้ธัญต้องเสียมารยาท ขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีเมื่อสักครู่นี้คุณแม่โทรมาน่ะค่ะ คุณพ่อไปสังสรรค์กับเพื่อนสมัยเรียน ป่านนี้ยังไม่กลับเลย ธัญเป็นห่วงไม่อยากให้ท่านอยู่คนเดียว”



“ครับน้องธัญ เดี๋ยวพี่ให้กรไปส่ง”



“ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ส่งคนที่บ้านมาแล้วล่ะค่ะ ให้คนมารอรับเลยกลัวธัญจะแอบหนีไปเที่ยวล่ะมั้งคะ” หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ



“ถ้างั้นกลับถึงบ้านแล้ว แมสเซสบอกพี่ด้วยนะครับ พี่เป็นห่วง”



“ได้เลยค่ะ ธัญไปนะคะ” ธัญชนกรับคำแล้วลุกขึ้นยืนขอตัวกับทุกคนก่อนจะเดินออกจากงานไป



“น้องจา ดื่มเยอะเลย เมาหรือเปล่าครับ” ไตรภัทรสังเกตคนนั่งข้างๆ แล้วก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก เห็นจาณีนนั่งโอนมาไปเอนมา แต่ใบหน้าเด็กหนุ่มนั้นกลับนิ่งเรียบเหมือนคนปกติ



“เปล่าสักหน่อยยย” เสียงยานคางของเจ้าตัวเป็นคำตอบได้อย่างดี ท่าทางคำพูดแบบนี้ร้อยทั้งร้อย เมาแน่นอน



“กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ไตรภัทรลุกขึ้นประคองจาณีนให้ลุกขึ้นยืน



“คุณศมนครับ พอดีจาณีนเมามากแล้ว ผมเลยจะไปส่งเขาที่บ้าน ถ้ายังไงขอตัวลากลับก่อนเลยนะครับ วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” เขาบอกเจ้าภาพเพื่อขอตัวลากลับ



“เดี๋ยวผมให้กานต์ไปส่งคุณจาก็ได้ครับ คุณไตรภัทรไม่ต้องลำบากหรอก”



“ไม่เป็นไรครับ ผมกับน้องจา เราค่อนข้างสนิทกัน ทำงานด้วยกันมานาน เรื่องแค่นี้ไม่ลำบากอะไรเลยครับ”



“ให้กานต์ไปส่งดีกว่าครับ คุณเองก็ดื่มไปไม่น้อยไม่ใช่เหรอครับ” ศมนยังไม่ยอมลดละให้



“ผมขับไหวครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” ไตรภัทรเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อลงแม้แต่น้อย



“ให้คุณกานต์ไปส่งไอ้จาเถอะ ไอ้ไตร มึงน่ะเมามากแล้ว เดี๋ยวกูขับไปส่งเอง”



“ให้ผมไปส่งดีกว่าครับคุณไตร เดี๋ยวผมพาคุณจาไปส่งเอง” พันธกานต์เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ก่อนที่มันจะลุกลามไปกันใหญ่



“คุณศมน ผมขอตัวด้วยละกันนะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้มาก อร่อยทุกอย่างเลยครับ” กตพลบอกลาก่อนจะพาเพื่อนรักตัวดีออกไปจากงาน



“กร” ศมนเรียกแฝดพี่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง



“ครับนาย” พันธกรรีบเดินเข้ามาทันทีที่ได้ยิน เขาก้มหน้าลงรอรับคำสั่ง



“บอกกานต์ให้พาจาไปส่งที่คอนโด”



“ครับ” พันธกรรับคำสั่งแล้วออกไปจากบริเวณนั้น เขารีบเดินไปหาพันธกานต์เพื่อแจ้งคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา

 

 


======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fifteenth Drop -- 18 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 19-12-2017 00:16:53
สงสารจา
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fifteenth Drop -- 18 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 20-12-2017 20:14:11
Sixteenth Drop


 

            พันธกานต์พาเด็กหนุ่มเข้ามาในห้องนอน บอดี้การ์ดหนุ่มค่อยๆ วางจาณีนนอนลงที่นอนด้วยความนุ่มนวล จัดท่าทางให้สบาย เขายืดตัวขึ้นมองเด็กหนุ่ม สำรวจตรวจตราดูอีกครั้ง แล้วจึงห่มผ้าให้เรียบร้อย พันธกานต์เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่ก็ถูกมือของคนเมาคว้าไว้เสียก่อน

           

            “คุณศมน..” จาณีนกำลังเพ้อถึงชายหนุ่มอีกคน



            “จา นี่ผม กานต์เอง ไม่ใช่นาย”



            “คุณศมนครับ..” พันธกานต์อ่อนใจ จาณีนจับมือเขาไว้แน่นเหลือเกิน เขาจึงทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียงข้างๆ เด็กหนุ่ม



            “ว่าไง” ให้พูดคอแตก คนเมาก็คงไม่รับรู้ ถ้าอย่างนั้นก็สวมรอยไปเลยแล้วกัน



            “คุณศมนไม่แต่งงานได้มั้ยครับ”



            “ทำไม”



            “อย่าแต่งงานเลยนะครับ อย่าทิ้งผมไปเลยนะ” จาณีนระบายความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ฤทธิ์ของน้ำเมากำลังครอบงำให้ขาดสติ



            “จาณีน...” บอดี้การ์ดหนุ่มไม่รู้จะตอบว่ายังไงเหมือนกัน เขาเลยทำได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่าย มือก็คอยลูบเบาๆ เป็นกำลังใจ



            “ผมเจ็บ เจ็บที่ตรงนี้เหลือเกิน” จาณีนขยุ้มที่เสื้อเชิ้ตตรงหน้าอกของตัวเอง ใบหน้าเด็กหนุ่มเริ่มมีน้ำตาซึมออกมา



            “....”



            “ยิ่งเห็นคุณอยู่กับเขาวันนี้ ผมแทบทนไม่ได้ ผมจะไม่ไหวแล้ว”





            “....”



“ผมยังลืมคุณไม่ได้ ลืมไม่ได้จริงๆ”



            “....”



            “อย่าทิ้งผมเลยนะครับ”



            “....”



            “ผมรักคุณครับคุณศมน ผมรักคุณ ได้โปรดอย่าทิ้งผม” น้ำตากำลังไหลรินลงมาโดยที่จาณีนก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำ มันช่างเป็นความเจ็บปวดจนคนที่เห็นยังอยากจะร้องไห้ตาม



            “นอนเถอะคุณจา พรุ่งนี้เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น” พันธกานต์ถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ในสิ่งที่เห็นและได้ยิน เขาลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ ให้เด็กหนุ่มได้รู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนคอยให้กำลังใจจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจดังเข้าออกเป็นจังหวะ เขาจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้อง



            “นาย...” พันธกานต์เดินออกมาเห็นผู้เป็นนายยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน เขาเองไม่รู้ว่าศมนมายืนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนไหน แล้วได้ยินอะไรบ้างหรือเปล่า



            “ขอบใจมาก คืนนี้เธอคงเหนื่อยแล้ว ไปพักเถอะ”



            “ขอบคุณครับ”  บอดี้การ์ดหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปห้องพักที่อยู่ข้างๆ







            .

            .



            “คุณจาเป็นไงบ้าง” แฝดน้องได้ยินเสียงพี่ชายคนเดียวทักขึ้นตอนที่เขาเดินเข้ามาในห้อง



            “หลับไปแล้ว”



            “อืม ก็ดี”



            “กูสงสารคุณจา บอกตรงๆ กูโคตรไม่เข้าใจนายเลยว่ะ ทำไมนายถึงทำแบบนี้ อยากให้คุณจาเสียใจแค่ไหนกันวะ”  พันธกานต์ระบายออกมาด้วยความอัดอั้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าจาณีนรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้ เพราะตลอดเวลาเด็กหนุ่มทำทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้เสียใจกับอะไรทั้งนั้น



            “อะไร ทำไมวะ” พันธกรที่ถูกแฝดน้องพูดรัวเร็วใส่ก็ถึงกับงงว่าพันธกานต์เป็นอะไร แล้วจาณีนด้วยเป็นอะไร มันเกิดอะไรขึ้น



            “ตอนที่กำลังจะออกมาจากห้องนาย คุณจาคว้ามือกูเอาไว้เพราะคิดว่ากูคือนาย กูบอกเขาว่ากูไม่ใช่นาย แต่เขาไม่สนใจ เด็กคนนั้นไม่มีสติรับรู้อะไรเป็นอะไร มึงรู้มั้ยว่าคุณจาพูดกับกูว่าอะไร”



            “ว่าอะไรวะ”



            “คุณจาร้องไห้ ขอให้นายอย่าทิ้งเขาไป คุณจายังทำใจไม่ได้ แล้วที่สำคัญกูเองก็เพิ่งรู้ว่าจริงๆ แล้วคุณจารู้สึกยังไงกับนาย”



            “รู้สึกอะไร”



            “คุณจารักนายมาก กูไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะรักนายมากขนาดนี้ กูเคยคิดมาตลอดว่าเขา

รักเงินกับความสะดวกสบายที่นายมีให้ต่างหาก”



            “กูเคยบอกมึงแล้วว่าคุณจาเป็นคนดีกว่าที่มึงคิด นายไม่เคยมองคนผิด”



            “เออ กูยอมรับว่าเคยคิดอคติกับเขา แต่หลังจากกูได้คลุกคลีอยู่กับเขามากขึ้น กูก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณจาเป็นคนน่าคบ คอยเป็นห่วงและคอยดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างอยู่เสมอ”



            “ถ้ามึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อคุณจาได้มันก็ดีแล้ว ก่อนออกมามึงเจอนายแล้วใช่มั้ย”



            “เจอแล้ว นายเลยให้กูกลับมานอนนี่ไง”



            “ให้เวลาเขาสองคนเถอะ นายเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้เท่าไหร่หรอก เห็นใจนายเถอะ”



            “ถ้าคุณธัญรู้” พันธกานต์ทิ้งท้ายประโยค



            “เรื่องนี้มีคนรู้อยู่กันแค่นี้ มึงจะปูดหรือไง” พันธกรมองหน้าน้องชายอย่างท้าทาย



            “ไม่มีทาง”



            “แล้วคุณธัญจะรู้จากใครได้ จริงมั้ย”



                “ก็จริง”



            “ไปอาบน้ำดีกว่า ง่วงนอนแล้ว วันนี้ยืนขาแข็งทั้งวันเลยว่ะ”



            “เออ เหมือนกัน” พันธกานต์พยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วก็แยกย้ายไปห้องนอนของตัวเอง



            ศมนเดินเข้ามาในห้อง เขายืนมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบเดือน นอกจากรูปถ่ายที่    พันธกานต์คอยส่งมาให้ดูเท่านั้น จาณีนยังเป็นเหมือนอย่างที่เขาได้รับรายงานบอดี้การ์ดหนุ่มอยู่ตลอด เขานั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม ยื่นมือไปลูบศีรษะนุ่มที่เคยคุ้น เขาคิดถึงใบหน้านี้จนแทบบ้า อยากเจอแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้

   

         ตอนนี้เขาเป็นคนมีพันธะทางสัญญาทางสังคมไปแล้ว ทุกคนต่างรับรู้ว่าเขากำลังคบหาดูใจอยู่กับธัญชนก ลูกสาวสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียวของคุณหญิงสุวิมล ผู้ถือหุ้นรายสำคัญของเขา ถึงตอนนี้เขาจะยังไม่เข้าพิธีแต่งงาน แต่มันคงไม่สมควรนัก ถ้าหากเขายังไปมาหาสู่ หรือพยายามติดต่อกับจาณีนอยู่ตลอดเวลา



            การใช้โอกาสแสร้งทำว่าเป็นเรื่องของงานนั้นถูกงัดออกมาใช้ในสถานการณ์นี้ ศมนลงทุนครั้งใหญ่เพื่อให้ได้เจอกับจาณีน เขาลงทุนไปครั้งนี้โดยไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจะตอบตกลงหรือไม่ คนลงทุนลุ้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งใกล้ถึงวันงานเขายิ่งเครียดเพราะกลัวจะได้รับแจ้งจากทางนั้นว่ามีการ

ปฏิเสธเหลือเกิน



            แล้ววันงานก็มาถึง สารภาพจากใจว่าเขาจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นเต้นนั้นมันเมื่อไหร่ เขายืนรออยู่ในความด้วยความระส่ำระส่าย ต้องปั้นหน้ารับแขกด้วยความยิ้มแย้ม ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ธัญชนกไปด้วย ถึงจะไม่ได้รักหญิงสาว แต่เขาก็เอ็นดูธัญชนกไม่น้อย เพราะคุ้นเคยกันตั้งแต่ธัญชนกยังเป็นเด็ก



            วินาทีที่เห็นจาณีนเดินเข้ามาพร้อมกับพันธกานต์ หัวใจที่หนักอึ้งของศมนได้ถูกปลดปล่อยออกไปเสียที เขาดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นหน้าเด็กคนนี้อีก อยากจะเดินเข้าไปกอดทันทีแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะหน้าที่ยังค้ำคออยู่ เขายังต้องอยู่ต้อนรับแขกที่มาอยู่ตลอดไม่ขาดสาย



            ศมนไม่คาดคิดว่าจาณีนจะเมา แวบแรกที่เห็นเด็กหนุ่มดื่มไวน์ เขารู้สึกแปลกใจ จาณีนไม่ดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เจ้าตัวดื่มนั้นแหละ มันได้สร้างปัญหาเอาไว้ เจ้าตัวถึงกับตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะไม่ดื่มมันอีกแล้ว



            ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะให้พันธกานต์ไปส่งจาณีนที่บ้านเช่าในคราแรก แต่ไตรภัทร ผู้ชายที่เขาไม่เคยพบหน้าแต่จำชื่อได้อย่างขึ้นใจว่าจะไปส่งจาณีนที่บ้านเอง เขาเกือบลืมตัวแล้วลงมือทำอะไรรุนแรงลงไป แต่ก็ยั้งใจเอาไว้ได้ก่อน การพูดคุยครั้งนี้เขาคิดว่าไตรภัทรรู้เรื่องของเขากับจาณีนแล้วเหมือนกัน ไตรภัทรจึงแสดงท่าทางไม่สนใจหรือเกรงใจเขาแบบนั้น ศมนไม่ไว้ใจ เขาเลยให้พันธกานต์พาเด็กหนุ่มมานอนพักที่นี่ อย่างน้อยที่คอนโดก็เป็นที่เดียวที่ไม่มีใครเข้ามายุ่มย่ามได้



            ศมนตั้งใจเขามาดูเด็กหนุ่มในห้องนี้ แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพร่ำเพ้อของคนเมา จาณีนพูดออกมาอย่างเจ็บปวดถึงจะไม่ได้เห็นสีหน้ายามพูดของเด็กหนุ่ม เพียงแค่ฟังน้ำเสียงก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี จาณีนกำลังเจ็บปวดกับความรักที่มีให้เขา ศีลธรรมจรรยามันบังคับให้เราทำตามความเหมาะสมมากกว่าความรู้สึกที่มี ถ้าตอนนี้เขาบอกเลิกกับธัญชนก ผลเสียที่ตามมาย่อมเลวร้ายมากกว่าผลดีอย่างแน่นอน



            คราบน้ำตาบนใบหน้าของจาณีนยังไม่จางหาย ศมนเช็ดมันออกให้อย่างเบามือ เขาถอนหายใจออกมาเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นได้



            “ที่ฉันทำลงไปก็เพื่อความปลอดภัยของเธอ”



            “....” ไม่มีคำตอบรับจากคนที่กำลังหลับ ศมนกำลังพูดออกไปทั้งที่รู้ว่าจาณีนไม่มีทางจะ

ได้ยิน



            “ขอโทษที่ทำตามคำขอของเธอไม่ได้” รีมฝีปากอิ่มจรดแผ่วเบาลงหน้าผากของจาณีน ก่อนจะผละออกมาอย่างรวดเร็ว



            “ฉันจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ถ้าวันนั้นเธอยังรอ ฉันจะไปหาเธอเอง”





            หวังว่าคืนนี้จะเป็นอีกคืนที่เขาได้อยู่กับจาณีนอีกครั้ง แค่เพียงอยู่ข้างกัน แค่นั้นก็เพียงพอมากแล้วในเวลานี้







            .



            .



            คนเมาขยับเปลือกตาขยุกขยิกก่อนจะลืมตาคู่สวยขึ้น เด็กหนุ่มปรับสายตาให้ชินกับความมืด โชคดีที่มีแสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา เขาเลยใช้เวลาปรับสายตาไม่นานนัก จาณีนรู้สึกเหมือนมีแรงกดอยู่บริเวณหน้าผาก เขาค่อยๆ วางมือลงไปสัมผัส มืออุ่นร้อนของใครบางคนกำลังแตะอยู่บนหน้าผากเขา ความรู้สึกนี้มันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน



            จาณีนค่อยๆ หยิบมือข้างนั้นออกมาวางไว้ข้างๆ ตัว เด็กหนุ่มขยับตัวแล้วพลิกตัวไปทางเจ้าของมือข้างนั้น ใจมันอ่อนยวบเมื่อรู้ว่าคนที่กำลังหลับพิงหัวเตียงอยู่นั้นเป็นใคร





            ‘คุณศมน’







            เด็กหนุ่มได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายอยู่ภายในใจ ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาเพราะกลัวจะทำให้คนที่หลับสบายนั้นตื่น น้ำตาของเขากำลังไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจด้วยความคิดถึงคนตรงหน้า นี่เขากลายเป็นคนขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่ ร้องไห้ง่ายดายเกินไปมั้ย



ศมนจะรู้มั้ยว่า จาณีนโหยหาชายหนุ่มมากเพียงใด เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง สองมือประคองหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสร่างกายคนๆ นี้ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าคนๆ นี้ อยากจะสัมผัสให้มากกว่านี้ จาณีนค่อยๆ ก้มหน้าลงไป เขาอยากสัมผัสริมฝีปากของคนที่หลับแทบขาดใจ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก้มต่ำเข้าไปใกล้อีกจนริมฝีปากเกือบจะแตะกันอยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มก็เลือกหยุดมันลง





ไม่ได้...ตอนนี้ทำไม่ได้อีกแล้ว





จาณีนถอนใบหน้าออกมาจากอีกฝ่าย เขาเม้มปากด้วยความเสียดายรสหวานที่แสนคุ้นเคย เด็กหนุ่มลุกขึ้นออกจากเตียงนุ่มนั้น พยายามระมัดระวังเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาก่อน เขายืนมองใบหน้าคนรักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงเดินออกมาจากห้องนั้น โดยไม่รู้ว่ามีใครอีกคนได้ลืมตาขึ้นมองหลังของคนที่เดินออกไป






ใกล้รุ่งสาง จาณีนลงจากแท็กซี่แวะซื้อโจ๊กและน้ำเต้าหู้มาให้ตัวเองและเผื่อไปยังน้องชายที่คาดว่ายังหลับอยู่อีกคน เขาไขประตูเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ ไฟกลางบ้านยังเปิดอยู่ คาดว่าชนัญญูคงเปิดทิ้งไว้ให้เขา หากกลับมากลางดึก เมื่อปิดประตูลงเรียบร้อยแล้วจึงคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ เหนียวตัวเหลือเกิน ไหนจะกลิ่นไวน์ที่ออกมาจากร่างของเขาอีก ถ้าต้องนอนไปทั้งที่ยังมีสติครบถ้วนแบบนี้คงจะนอนไม่หลับแน่ๆ



อาบน้ำเสร็จ ร่างกายรู้สึกสดชื่นแต่จาณีนก็ยังนอนไม่หลับ พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็หลับไม่ลง ใจมันคอยเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่นาน ศมนมาหาเขา ชายหนุ่มยังไม่ลืมเขา ตอนนั้นเขาดีใจมากจริงๆ ที่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ อีกครั้ง





แทบเหมือนฝัน





เมื่อคืนเขาเมา ถึงจะเมาจนขาดสติเหมือนครั้งนั้น แต่ก็มึนพอดู ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่เมาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่เขาก็ทำมันลงไปจนได้ เด็กหนุ่มก่นด่าตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ ทำตัวเหมือนเด็กๆ เขารู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะหึงในตัวอีกฝ่ายแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าไม่มี แต่พอได้เห็นศมนอยู่กับคนอื่น เขาก็ทนไม่ได้ ใจของเขาก็ร้อนรุ่มเป็นไฟ น้ำเย็นแค่ไหนก็คงดับมันไม่ได้ นอกจากอานุภาพของแอลกอฮอล์ที่จะช่วยยับยั้งมันไว้ได้ชั่วคราว



จาณีนจะควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาเมา ใช่ เขากับศมนต่างรู้ดีในข้อนี้ นั่นเลยเป็นเหตุผลข้อเดียวที่จาณีนเลือกไม่ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิด





.

.



“ยาย.. อย่าทิ้งจาไปเลยนะ ฮึก...ฮึก...” หลังงานเผาศพของยาย ช่วงเย็นจาณีนหอบเหล้านานาชนิดไปที่บ้านเช่าของยาย เขาเอาแต่พูดอยู่กับรูปถ่ายของยายที่มีเขาในวัยเด็กยืนกอดเอวยายอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มยังทำใจยอมรับการสูญเสียนี้ไม่ได้



“ยายจ๋า...จาขอไปอยู่กับยายด้วยได้มั้ย จาไม่มีใครแล้ว” สายน้ำตาหยดแหมะลงบนรูปถ่ายใบนั้น เขาปาดน้ำตาออกจากรูปและที่ใบหน้าของตัวเอง พลางสูดจมูกเพราะน้ำมูกที่ไหลย้อยลงมา

         

         “ฮึก...” เด็กหนุ่มทั้งเมาทั้งร้องไห้ ผสมปนเปกันไปหมด จนแยกไม่ออกว่านั่นเป็นเสียงร้องไห้หรือเสียงคนเมากันแน่

   

             “ยาย....ยาย...จาคิดถึงยาย” จาณีนยกขวดเหล้ากรอกเข้าปากไปทั้งขวด เขาขี้เกียจจะผสมเหล้ากินแบบนี้มันเมาเร็วดี เผื่อว่าการที่เขาเมาจะทำให้เขาหนีความจริงไปได้บ้าง



            “จาณีน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ไปไหนทำไมไม่บอก ทำคนอื่นเป็นห่วงกันแค่ไหน รู้มั้ย” ศมนเดินเข้ามาในบ้านเช่าเห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่กลางพื้นบ้าน ข้างกายมีขวดเหล้าเปล่าวางอยู่ เขาถึงกับส่ายหน้าให้กับภาพตรงหน้า



            จาณีนหายไปตั้งแต่เย็น เขาให้บอดี้การ์ดหนุ่มฝาแฝดทั้งสองออกตามหาก็ไม่เจอ จนเอะใจว่าน่าจะเป็นที่บ้านเช่าหลังนี้ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด ทำให้เป็นห่วงได้ตลอดเวลาจริงๆ เลยสินะ เด็กคนนี้



            “หืม นั่นใครน่ะ” จาณีนเงยหน้ามองคนที่เข้ามานั่งยองๆ ข้าง ด้วยดวงตาฉ่ำปรือเพราะความเมา หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่เขายังจำไม่ค่อยได้



            “ฉันเอง ศมน จำได้หรือเปล่า”



            “ศมน ศมนไหน ไม่เห็นรู้จัก” เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ทบทวนในความทรงจำแล้วเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย ผู้ชายคนนี้เป็นใคร



            “ไม่รู้จักได้ยังไง เธอข้ามถนนตัดหน้ารถฉัน แล้วก็พักอยู่ที่คอนโดฉัน พอจะนึกออกบ้างมั้ย ลองนึกดูดีๆ” ศมนอ่อนใจ เขาไม่ชอบสู้รบปรบมือกับคนเมา ชายหนุ่มกำลังพยายามอธิบายกับคนที่ไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ ร้อยทั้งร้อย พูดไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี



            “อ๋อ....คุณศมน” จาณีนทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก



            “นึกออกแล้วใช่มั้ย ไปเถอะกลับคอนโดกัน” ศมนจับแขนอีกฝ่ายขึ้นเพื่อลุกขึ้นยืน



            “ไปไหน ไม่ไป จะอยู่ที่นี่จะอยู่กับยาย” จาณีนสะบัดแขนออก ดื้อแพ่งไม่ยอมไป



            “ไว้ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ วันนี้เธอเมามากแล้ว คืนนี้กลับไปพักที่คอนโดก่อน ลุก” ศมนลุกขึ้นยืน พยายามช่วยประคองคนที่นั่งอยู่กับพื้น



            “ไม่เอา ไม่ไป อย่ามายุ่งกับจา ปล่อยจา จาจะอยู่กับยาย จะอยู่กับยาย ได้ยินมั้ย ฮือ...” จาณีนร้องไห้ออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ศมนตกใจเล็กน้อย วันนี้เขาดูจะเจอเรื่องที่รับมือไม่ค่อยได้ในตัวเด็กหนุ่มหลายเรื่อง



            “ไม่ดื้อนะ เด็กดี กลับคอนโดกลับกันฉัน พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอมาหายาย” ชายหนุ่มทรุดนั่งลงอีกครั้ง ดูท่าทางจะไม่ได้กลับง่ายๆ



            “จริงๆ นะ จะพามาหายายใช่มั้ย”



            “จริงสิ” ศมนดึงเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ จะได้ดึงอีกฝ่ายขึ้นได้ถนัด



            “สัญญานะ”



            “สัญญา” ศมนกำลังต่อสู้กับความอดทนอยู่ภายในใจ นี่เขากำลังคุยกับเด็กอนุบาลอยู่หรือไง



            “ไม่จริง เดี๋ยวคุณก็ทิ้งผมไปเหมือนยาย” จาณีนผลักอกอีกฝ่ายออก



            “ไม่ ฉันจะไม่ทิ้งเธอ อย่ากลัวเลย” ชายหนุ่มให้คำมั่น



            “คุณจะอยู่กับจาใช่มั้ย ไม่ทิ้งจานะ”



            “ฉันจะไม่ทิ้งเธอ” ชายหนุ่มลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเบามือ



            “งั้นอยู่กับจาด้วยกันคืนนี้นะ...”




======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Fifteenth Drop -- 18 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 20-12-2017 20:14:54
            “งั้นอยู่กับจาด้วยกันคืนนี้นะ...”



            “รู้ตัวมั้ยว่าพูดอะไรออกมา ตอนนี้เธอกำลังเมา ถ้าพรุ่งนี้เธอจำได้ เธอจะต้องเสียใจ” ศมนพูดเตือนคนกำลังเมา



            “ไม่มีทาง จาจะไม่เสียใจ”



            “จาณีน ลุกขึ้นเถอะกลับไปกับฉัน”



            “อยู่กับจานะ” จาณีนพุ่งเข้าหาคนที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ ตัวเต็มแรง ศมนเสียหลักล้มหงายตึงบนพื้นไม้ เด็กหนุ่มทาบทับร่างของอีกฝ่ายเอาไว้ ใครโดนจู่โจมแบบเขาก็คงต้องตกใจด้วยกันทั้งนั้น



            “เธอจะทำอะไร”



            “ทำให้คุณอยู่กับผม” เด็กหนุ่มตั้งใจจะจูบริมฝีปากของคนสูงวัยกว่า แต่ศมนกลับเบี่ยงหน้าหลบ ถ้าจาณีนมีสติ เด็กหนุ่มไม่มีวันที่จะทำอะไรแบบนี้เป็นแน่



            “อย่าทำแบบนี้” ศมนพยายามขยับร่างกายออกมาจากเด็กหนุ่ม ถึงเขาจะตัวใหญ่กว่าแต่สู้กับแรงของคนเมาแล้วนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย กว่าจะหลุดพ้นออกมาก็เล่นเอาเหงื่อแทบท่วมตัว





            ศมนกอดจาณีนเอาไว้แน่น ป้องกันไม่ให้เด็กหนุ่มคิดทำอะไรผิดแปลกไปนอกจากนี้ เขาค่อยๆ ลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ พลางพูดไปเรื่อยๆ



            “ตอนนี้ฉันก็อยู่กับเธอแล้ว กำลังกอดเธออยู่นี่ไง เห็นมั้ย” ศมนพูดอยู่ข้างหูของเด็กหนุ่ม เสียงทุ้มต่ำเป็นจังหวะทำให้ใจของจาณีนได้ผ่อนคลายลง



            “อื้อ อยู่ด้วยกันนะ”



            “....” ชายหนุ่มกอดเด็กหนุ่มนิ่งๆ ไว้แบบนั้น จนลมหายใจของจาณีนเข้าออกดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ



            “กร...เข้ามาหน่อย” ศมนเรียกบอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูด้านนอก



            “ครับนาย”



            “เปิดประตูรถที ฉันจะพาจาไปที่รถ”



            “ครับ” พันธกรรับคำสั่งเสร็จก็รีบเดินไปเปิดประตูรถรอทันที พันธกานต์ยืนรอที่ประตูบ้านเพื่อรอเก็บกวาดข้าวของภายในบ้านให้เรียบร้อย



            และนั่นเป็นความทรงจำของจาณีนในตอนนั้น คิดแล้วเขาก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวอยู่ในความมืด เขาเคยทำเรื่องหน้าอายแบบนั้นลงไปโดยไม่รู้ตัว หากวันนั้นศมนไม่พยายามประคับประคองสถานการณ์ไว้ ไม่รู้ว่าตอนที่สติกลับคืนมาเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน



                จาณีนพอจะนึกเหตุการณ์เมื่อคืนออกคลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง แน่ล่ะเพราะเขาไม่ได้เมามายจนขาดสติขนาดนั้น เขาไม่น่าระบายความในใจออกไปกับพันธกานต์แบบนั้นเลย ตอนนั้นเขาแยกไม่ได้จริงๆ ว่าหน้าตาของบอดี้การ์ดหนุ่มไม่ใช่ศมน เขาเลยเผยความรู้สึกภายในใจออกไป เพราะอัดอั้นเกินกว่าจะเก็บเอาไว้



            เอาล่ะ สัญญากับตัวเองอีกหนึ่งครั้ง เขาจะไม่แตะแอลกอฮอล์เป็นครั้งที่สาม!



            เขาพรูลมหายใจออกมา พยายามข่มตาให้หลับให้ได้ พรุ่งนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ เพราะสัปดาห์ใหม่เขาจะต้องบินไปทางภาคเหนือ ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาจากกตพล แล้วในที่สุด จาณีนก็หลับลงได้สักที



            ชนัญญูตื่นนอนตามปกติ เขาเดินหาวหวอดออกมาจากห้องนอน เจอถุงโจ๊กกับน้ำเต้าหู้วางอยู่บนโต๊ะหน้าทีวี ชนัญญูมองไปประตูห้องนอนของอีกคนที่ปิดเงียบอยู่ คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกลับมาใกล้เช้าเป็นแน่ เมื่อคืนนี้เขานั่งดูทีวีรอจาณีนอยู่ราวเที่ยงคืน เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าจาณีนจะกลับมา ชนัญญูเลยเปิดไฟทิ้งไว้แล้วก็เข้าตัวนอนไปก่อน



            คนอ่อนวัยกว่าหยิบถุงโจ๊กไปแกะเทลงใส่ชามโดยไม่ได้สนใจจะขออนุญาตคนที่นอนหลับอยู่ เพราะโจ๊กมีอยู่หลายถุงด้วยกัน ฝ่ายนั้นคงซื้อเผื่อเขาแน่นอน ชนัญญูตักโจ๊กเข้าปากพลางคิดถึงคนในห้อง จาณีนเป็นแบบนี้เสมอ คนที่มีอายุมากกว่าแต่กลับดูเด็กกว่าเขา มักจะเป็นห่วงและเอาใจใส่คนรอบข้างอยู่เสมอ ถ้าภูมิต้านทานไม่ดีพอ ไม่แคล้วต้องหลงสเน่ห์เจ้าตัวอย่างไม่ต้องสงสัย



            โชคดีที่เขาคิดและกลับตัวได้ทัน ชนัญญูยอมรับว่ามีเขวไปกับความรู้สึกนั้นบ้าง แต่ก็ดึงกลับมาได้ก่อนที่จะถลำลึกลงไปมากกว่านี้ จาณีนไว้ใจและเชื่อใจคนอื่นได้ง่าย ยิ่งกับเขาด้วยแล้วคงไม่ต้องพูดถึง ชวนให้อยู่บ้านร่วมกัน ไว้ใจแค่ไหนล่ะ



            หลายครั้งที่จาณีนเขามานอนในห้องกับเขา คนที่ไม่เคยคิดอะไรยังต้องคิดเลย บวกกับความน่าหลงใหลของเจ้าตัว เขาจึงเกือบเผลอไผลไป จนกระทั่งเขาเริ่มเข้าใจว่าทุกครั้งที่จาณีนมาขอนอนกับเขานั้น เกิดจากที่เจ้าตัวคิดมากและไม่สบายใจเพราะอะไรบางอย่างของเจ้าตัว



            จาณีนโหยหาความอบอุ่น เขาเชื่ออย่างนั้น



            ในช่วงสาย ร่างของคนที่ปิดประตูเงียบได้เปิดออกกว้าง ร่างสูงผอมเดินออกมาด้วยความงัวเงียพร้อมเอามือเคาะศีรษะตัวเองเบาๆ ไปด้วย ชนัญญูที่กำลังนั่งดูทีวีเพลิดเพลินอยู่ถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ



            “ตื่นแล้วเหรอ”



            “อืม”



            “หิวมั้ย มีโจ๊กที่พี่ซื้อมานั่นแหละ เดี๋ยวผมไปอุ่นให้”



            “ไม่อะ กินไม่ลง ปวดหัว”



            “เมาค้าง”



            “ก็ไม่เมานะ แต่คงไม่ได้กินนานไปหน่อย แล้วนอนน้อยอีก หลายๆ อย่างมั้ง” จาณีนพยายามสวมบทเป็นคุณหมอวิเคราะห์อาการของตัวเอง



            “มานอนที่นี่ก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”



            “อืม” ชนัญญูหายเข้าไปในครัวก่อนจะถือแก้วน้ำอุ่นเดินออกมายื่นให้อีกฝ่าย



            “ขอบใจนะ”



            “เมื่อคืนกลับกี่โมง”



            “ไม่รู้สิ เช้าล่ะมั้ง”



            “งานเลิกเช้าเลยเหรอ โหดมาก”



            “ไม่หรอก ออกมาจากงานตั้งนานแล้ว” จาณีนดื่มน้ำหมดแก้วด้วยความกระหาย ก่อนจะวางมันลงไปบนโต๊ะข้างหน้าแล้วตอบคำถาม



            “แล้วพี่ไปอยู่ที่ไหนมา” โดนซักถามอย่างไม่ทันตั้งตัว จาณีนจึงรู้ว่าพลาดไปเสียแล้ว



            “ไปไหนก็เรื่องของพี่เถอะน่า”



            “มีพิรุธนะ ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปถามพี่กานต์เอาก็ได้”



            “เฮ้ย ไม่ต้องๆ ไม่ได้เป็นความลับอะไร บอกก็ได้ เมื่อคืนพี่เมานิดหน่อย คุณกานต์เลยพาไปพักที่คอนโด”



            “ทำไมต้องที่คอนโด พี่กานต์เองก็รู้จักที่นี่ดีอยู่แล้ว แปลกจัง” เด็กช่างสงสัยกำลังทำหน้าฉงนด้วยความสนเท่ห์



            “พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะ ตอนนั้นก็ยังมึนๆ ไม่มีแรงไปเถียงใครหรอก ช่างเถอะน่า” ตอนนั้นเขามึนน่ะเรื่องจริง แต่จะบอกว่าไม่รู้จุดประสงค์ตอนที่มีสติแล้วก็คงไม่ใช่



            “อืม ช่างก็ช่าง”



            “พรุ่งนี้พี่จะไปเหนือนะยู พอดีพี่พล หัวหน้าที่ทำงานให้ขึ้นไปเก็บรีไควร์เมนท์ของลูกค้า”



            “ได้เที่ยวด้วยมั้ย”



            “เด็กนี่ห่วงแค่เรื่องเดียวนะ” จาณีนบ่นไม่จริงจัง



            “อ้าว ไหนๆ ก็ไปทั้งที แค่ถามดู เป็นแนวทางการทำงาน”



            “ถ้าไปเรื่องงาน ปกติก็ไม่ได้เที่ยวหรอก แต่ครั้งนี้กรณีพิเศษ เพราะพี่ลาพักร้อนด้วย”



            “ไปกี่วันอะ”



            “อาทิตย์หนึ่ง กลับอีกทีวันเสาร์หน้าเลย”



            “โอ๊ะ น่าอิจฉา อยากไปด้วยอะ”



            “ไม่ต้องมาอิจฉา อยู่ที่นี่ก็เตรียมตัวไปฝึกงาน จะเริ่มฝึกแล้วไม่ใช่เหรอ”



            “อีกตั้งสองอาทิตย์แน่ะ จะรีบทำไม”



            “เตรียมตัวไว้เนิ่นๆ มันก็ดีทั้งนั้น ขาดเหลืออะไรจะได้ไม่ฉุกเฉิน”



            “พี่จา นี่พี่เริ่มพูดอะไรเหมือนป้าผมแล้วเนี่ย”





            “พี่เป็นพี่นะ เคยเจอเรื่องพวกนี้มาแล้วทั้งนั้น ก็ต้องคอยแนะนำสิ” จาณีนพูดเสร็จพลางหลังตาลง ทำไมห้องมันเริ่มหมุนอีกแล้วล่ะเนี่ย



            “พี่ไม่อยู่ ผมคงเหงา”



            “ถ้าเหงาก็กลับบ้าน”



            “เพิ่งกลับบ้านไปเอง ไม่กลับแล้ว”



            “งั้นก็โทรมาคุยกับพี่”



            “ทำอย่างพี่จะว่าง ไปทำงานไม่ใช่เหรอไง” ชนัญญูย้อนอีกฝ่ายเข้าให้ ก็จาณีนพูดอยู่เมื่อสักครู่นี้ว่าตนไปทำงาน แล้วจะโทรไปคุยเล่นได้ยังไงกันล่ะ



            “ก็โทรมาหลังเวลาเลิกงานสิ ไม่ก็หาอะไรทำหรือจะออกไปดูหนังกับเพื่อนก็ได้”



            “ไม่เอาล่ะ เพื่อนมันไปเที่ยวกับแฟน ไม่อยากไปเป็นก้าง เบื่อ”





            “เอ้อ.. เอาใจไม่ถูกสักอย่าง พี่ล่ะปวดหัวกับเด็กสมัยนี้”





            สองหนุ่มกำลังคุยกันอยู่เมื่อชนัญญูได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่รั้วหน้าบ้าน ก่อนจะมีร่างสูงของใครคนหนึ่งลงมาจากรถ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กับกางเกงแสล็ค ชนัญญูพินิจใบหน้าฝ่ายนั้น ผู้มาเยือนมีใบหน้ายิ้มแย้ม สวมแว่นสายตากรอบบาง คงจะมีอายุราวประมาณสามสิบปลายๆ



            “พี่จา มีคนมาหน้าบ้าน”



            “ใครอะ” จาณีนถามกลับโดยไม่ลืมตา



            “ไม่รู้เหมือนกัน”



            “หน้าตา ท่าทางเป็นไง”



            “ก็สูงๆ ขาวๆ เหมือนคนไม่เคยถูกแดด ใส่แว่น หน้าตาดูเป็นมิตร สวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงทำงาน”



            “ไหนพูดใหม่อีกทีสิ” จาณีนขมวดคิ้ว มีอยู่ไม่กี่คนที่เขารู้จักแล้วจะแต่งตัวแบบนี้



            “ลืมตาดูเองเถอะน่า”



            “....” จาณีนค่อยๆ หันออกไปมองที่ด้านนอก เขาปรับสายตาอยู่นาน ทั้งฤทธิ์ของอาการปวดหัวกับสายตาที่ต้องเผชิญแดดจ้าในเวลานี้ ดูราวจะร่วมมือทำร้ายเขาได้เป็นอย่างดี



            “พี่หมอ...” จาณีนพึมพำออกมาเบาๆ



            “รู้จักมั้ย พี่จา”



            “รู้จักๆ นั่นคุณหมอชลที เดี๋ยวยูช่วยไปเปิดประตูให้พี่หมอหน่อย พี่ปวดหัวลุกไม่ไหว ถ้าไปเองล้มแน่”



            “ครับ” ชนัญญูรีบลุกไปตามคำไหว้วานของพี่ชายร่วมบ้าน เขาเปิดประตูให้คนแปลกหน้าที่จาณีนเรียกว่าพี่หมอนั้นเข้ามา



            “จา เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” คำแรกของคนเป็นหมอก็ถามไถ่เรื่องสุขภาพเลยทันที



            “สวัสดีครับ ขอเสียมารยาทไม่ลุกนะครับ เชิญพี่หมอนั่งก่อน ผมแค่ปวดหัวนิดหน่อยเองครับ” จาณีนรับแขกทั้งที่นอนหมดสภาพบนโซฟาอยู่แบบนั้น



            “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำให้นะครับ” ชนัญญูพูดขึ้นแล้วก็เดินไปหาน้ำดื่มมาให้แขก



            “ขอพี่หมอตรวจอาการหน่อย” คุณหมอหยิบอุปกรณ์ที่ติดตัวอยู่ในกระเป๋ามาด้วย



            “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”



            “แล้วทำอะไรมาถึงปวดหัวแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนได้ยินว่าไปงานเลี้ยงบ้านมนมาใช่มั้ย” มีอะไรบ้างมั้ยที่คุณหมอคนนี้จะไม่รู้เรื่องเขากับศมน ถึงจะขลุกอยู่แต่โรงพยาบาล เลิกงานก็กลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว แต่เขาไม่เคยเห็นว่ามีเรื่องไหนที่คุณหมอจะพลาดเลยสักเรื่อง



            “ใช่ครับ เมื่อคืนผมดื่มเยอะไปหน่อยเลยมึน แล้วก็นอนไม่พอด้วยครับ” คุณหมอถามพลางยื่นมือไปรับแก้วน้ำจากเด็กหนุ่มอีกคน ยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นการขอบใจ



            “กลับดึกหรือไงล่ะเรา”



            “เช้าเลยครับพี่หมอ” ชนัญญูเรียกพี่หมอตามคนไม่สบายเรียก จาณีนพอได้ยินถึงกับหันไปมองหน้าน้องร่วมบ้านอย่างคาดโทษที่ถูกเจ้าตัวฟ้อง



            “โอ้ เช้าเลยรึ หายไปไหนมาล่ะ ได้ข่าวว่างานเลิกก่อนเที่ยงคืนอีกนะ” คุณหมอหนุ่มแกล้งทำเป็นตกใจ



            “นั่นสิครับ ผมก็อยากรู้ด้วยเหมือนกัน” ชนัญญูได้ที รีบเสริมกำลังให้คุณหมอ



            “ถ้าพี่หมอจะถามกันขนาดนี้ ผมว่าพี่หมอเองก็คงพอจะทราบมาแล้วหรือเปล่าล่ะครับ” จาณีนทำเฉไฉไม่ตอบ เพราะคงมีอยู่ไม่กี่เรื่องที่คุณหมอหนุ่มจะมาหาเขาที่นี่



            “จริงๆ ก็พอรู้ เพราะใครบางคนก็อารมณ์ไม่ดี ทั้งที่น่าจะมีความสุขมากกว่านี้แท้ๆ”



            “พี่หมอก็เลยมาหาผมที่นี่ใช่มั้ยครับ”



            “ถูกต้อง”



            “เอ่อ... งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ดูท่าทางพวกพี่คงมีเรื่องคุยกัน” ชนัญญูเอ่ยขอตัว



            “อืม ไว้พี่จะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกัน”



            “รับปากแล้วนะ” ชนัญญูถามย้ำ



            “เออ...” ได้ยินคำตอบที่น่าพอใจแล้ว ชนัญญูก็เข้าห้องนอนของตนเองไปอย่างเรียบร้อย



            “ไม่รู้มาก่อนว่าจามีน้องชาย”



            “ไม่ใช่หรอกครับ ผมเป็นลูกคนเดียว เด็กคนนั้นชื่อยู ชนัญญู เป็นหลานคุณป้าที่เคยเช่าบ้านหลังนี้น่ะครับ”



            “สนิทกันถึงขนาดอยู่ร่วมบ้านกันเลยเหรอ” คุณหมอถามเพราะจาณีนไม่ได้เข้าหาคนง่ายๆ



            “ครับ”



            “จากับชนัญญู เป็นอะไรมากกว่าที่พี่หมอกับมนไม่รู้หรือเปล่า” และคุณหมอจำต้องถามตรงๆ เพื่อความแน่ใจ



            “เปล่านะครับ ผมกับยูไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณกานต์ก็ทราบเรื่องนี้ดีครับ”



            “อืม พี่ก็แค่ถามเผื่อไว้เฉยๆ ไม่โกรธพี่หมอนะ” คุณหมอหนุ่มวางมือลงบนศีรษะของคนที่นอนปวดหัวอยู่



            “ไม่โกรธครับ”



            “เด็กดี...”



            “ว่าแต่พี่หมอมาที่นี่ทำไมเหรอครับ หรือคุณศมนเป็นอะไรเหรอครับ”



            “ไม่ใช่หรอก รายนั้นสบายดี ยกเว้นแต่อารมณ์ที่ไม่ค่อยดี เมื่อคืนทะเลาะกันหรือเปล่า”



            “เปล่าครับ ผมกับคุณศมนไม่ได้พูดอะไรกันเลยด้วยซ้ำ”



            “อืม มนคงจะหงุดหงิดล่ะนะ ช่างเถอะ ที่พี่หมอมาวันนี้ก็แค่มาหาจาเฉยๆ ไม่เจอนานแล้ว”



            “อ้อ...ครับ”



            “พรุ่งนี้จะไปทำงานที่เหนือใช่มั้ย”



            “เดี๋ยวนะครับ พี่หมอรู้ได้ยังไงว่าผมจะไปที่นั่น ผมชักจะสงสัยแล้วว่าพี่หมอติดกล้องหรือสัญญาณดักฟังอะไรที่ตัวผมหรือเปล่าเนี่ย”



            “คิดมากไปแล้ว ที่พี่รู้ก็เพราะบริษัทที่ว่าจ้าง เป็นธุรกิจของบ้านพี่เอง”



======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixteenth Drop -- 20 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-12-2017 13:10:13
Seventeenth Drop

 

            จาณีนเดินออกมาจากประตูทางออกของสนามบิน เขาได้รับโทรศัพท์ก่อนขึ้นเครื่องว่าผู้ว่าจ้างจะส่งคนมารับเขา ตอนนี้เขายืนรอได้สักพักแล้วแต่ยังไร้วี่แววคนมารับ



            ‘เอายังไงดีล่ะ’ เด็กหนุ่มคิดพลางดูดแก้วโกโก้เย็นในมือที่แวะซื้อก่อนไปด้วย



            “คุณจาณีนใช่มั้ยครับ” สำเนียงของคนเหนือเรียกให้จาณีนหันไปตามเสียเรียก



  “เอ่อ..ครับ” จาณีนยิ้มให้ผู้ที่เข้ามาทักเป็นมารยาท คนๆ นั้นดูน่าจะมีอายุราวห้าสิบปี เขามีรูปร่างสูงไม่มากนักน่าจะสักหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรได้ ผมมีสีขาวมากกว่าสีดำ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูมีมนุษยสัมพันธ์ดี สวมเสื้อซาฟารีสีเทาเข้มกับกางเกงแสล็กสีเดียวกันกับเสื้อ



  “ผมชื่อศักดิ์ เป็นคนขับรถที่ไร่ พ่อเลี้ยงฝากขอโทษเพราะติดธุระกับลูกค้าเลยให้ผมมารับคุณไปไร่แทนครับ”



“ครับ พ่อเลี้ยง คุณชลนันท์ ใช่มั้ยครับ”



“ใช่ครับ ใช่”



“ครับ” ทำความเข้าใจกัน จาณีนก็คลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายเต็มที



“เชิญขึ้นรถเลยครับ”



“ขอบคุณครับ”



“ลุงศักดิ์ครับ” หลังจากนั่งรถตู้ออกมาสักระยะ เด็กหนุ่มก็เกิดความสงสัย



“ไร่ที่จะไปชื่ออะไรเหรอครับ แล้วอยู่ไกลมั้ย”



“ชื่อไร่สายชล จากสนามบินไปถึงไร่ก็ราวชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงครับ”



“ก็ไกลเหมือนกันนะครับ”



“ครับ เนื่องจากไร่เราอยู่บนดอยก็เลยอยู่ไกลหน่อย”



“อากาศก็คงดีมากๆ เลยใช่มั้ยครับลุง”



“ใช่ครับ อากาศดี สดชื่นครับ”



“ช่วงนี้อากาศเป็นไงบ้างครับ” จาณีนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยขึ้นดอยมาก่อนในชีวิต



“เช้าๆ อากาศจะค่อนข้างเย็น กลางวันก็ร้อนล่ะครับคุณ แต่ช่วงนี้ฝนจะตกบ่อยครับ”



“อย่างนั้นเหรอครับ”





รถตู้ค่อยๆ ไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จาณีนคนนอกพื้นที่เริ่มมึนหัวกับเส้นทางอันแสนคดเคี้ยว แต่ลุงศักดิ์ขับด้วยความชำนาญ รู้ว่าช่วงไหนควรขับอย่างไร  ถ้าเขาขับเองไม่รู้ว่าจะถึงปลายทางหรือเปล่า จนในที่สุดรถตู้ก็แล่นเข้ามาจอดที่เรือนไม้หลังใหญ่



“ถึงแล้วครับ”




“อ่อครับ ขอบคุณครับลุงศักดิ์”



“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ลุงศักดิ์ฉีกยิ้มให้เด็กหนุ่ม เมื่อลงจากรถมาได้ จาณีนมองไปรอบๆ ตัวบ้าน บ้านไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ มีบันไดเป็นทางขึ้นไปยังบนบ้านสองทาง ซ้ายและขวา ตามแต่สะดวก



“เชิญครับ” ลุงศักดิ์ช่วยถือกระเป๋าให้จาณีนก่อนจะพานำขึ้นไปยังบนบ้าน



ตัวบ้านมีระเบียงรอบๆ ลานที่อยู่ยังด้านหน้า จากจุดนี้สามารถมองเห็นพื้นที่บริเวณรอบๆ เห็นภูเขาสลับสับหว่างเรียงรายกันมาอยู่ไกลๆ จาณีนนั่งรออยู่ที่ระเบียงตามคำบอกของลุงศักดิ์ ก่อนที่ลุงจะหายไปที่ไหนสักแห่ง นั่งอยู่ไม่นาน แค่อึดใจก็มีคนเอาแก้วน้ำมาให้ เด็กหนุ่มบอกขอบคุณตามมารยาทแล้วก็ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจบหมดด้วยความกระหาย เพราะตั้งแต่เขาดูดโกโก้เย็นจนหมดแก้วแล้วก็ยังไม่ได้ดื่มอะไรอีกเลย



“สวัสดีครับ คุณจาณีนใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเดินเข้ามาทักจาณีน



“สวัสดีครับ ผมจาณีนจากเก็นติ้งเฮาส์ คุณชลนันท์ใช่มั้ยครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ตอบรับอีกฝ่ายและลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มดูท่าทางจะมีอายุราวสามสิบกลางๆ ใส่เสื้อเชิ้ตลายหมากรุกสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์สีเข้ม เขาประเมินคนตรงหน้าแล้วคิดว่าคนๆ นี้น่าเป็นพ่อเลี้ยงหรือคุณชลนันท์



“ใช่ครับ ผมชลนันท์ ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมงานกันนะครับ”



“เช่นกันครับ ขอบคุณที่เลือกบริษัทของเรานะครับ”



“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ขอบคุณพี่ชายผมดีกว่า เพราะเขาเป็นคนเลือกบริษัทของคุณและเลือกคุณเองพี่ชายของผมชื่อชลที คุณเองคงจะรู้จักเขาอยู่แล้ว”



“พี่หมอเหรอครับ” จาณีนแปลกใจกับคำตอบอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าพี่หมอกับพ่อเลี้ยง นี้เป็นพี่น้องกัน เพราะใบหน้าของพี่หมอติดจะมีความนุ่มนวลอยู่บ้างแต่พ่อเลี้ยงคนนี้กลับมีแต่ความคมเข้มดูดุดัน



“ครับ ใกล้จะมื้อเที่ยงแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณไปทานอาหารด้วยกัน เสร็จแล้วเชิญคุณพักผ่อนที่ห้องหรือจะเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้ครับ ผมให้เด็กจัดห้องไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วเย็นๆ ผมจะพาไปชมไร่”



“ขอบคุณครับ แต่ว่า..เริ่มงานเลยก็ได้นะครับ” จาณีนบอกอย่างเกรงใจ



“ไม่ต้องรีบครับ ทำตัวสบายๆ ครับ”



“ขอบคุณครับ” จาณีนชักหวาดๆ เขาเริ่มจะทำตัวไม่ค่อยถูก



“ถ้าอย่างนั้นเชิญตามผมมาทางนี้ครับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มบอกแล้วเดินนำไปอีกทางของตัวบ้าน



อาหารหลายจานที่ถูกจัดอยู่บนโต๊ะนั้นมีมากมายหลายประเภท ทั้งแบบพื้นเมืองของภาคเหนือและแบบภาคกลาง คนที่ผสมผสานอาหารสองประเภทนี้แสดงว่ามีความใส่ใจแขกเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการจัดเรียงจานที่สวยงามรสชาติอาหารก็ไม่เป็นรองหน้าตาของมันเลย



จาณีนบอกได้เลยว่ามื้อนี้เขาเจริญอาหารค่อนข้างมากจนลืมเขินอายกับเจ้าบ้านที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาดื่มด่ำกับเมนูแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ระหว่างมื้ออาหารเจ้าของไร่ก็ชวนคุยเรื่องราวสัพเพเหระทั่วๆ ไป หน้าตาที่ดูดุแต่จริงๆ แล้ว เป็นคนคุยสนุกค่อนข้างมากเลยทีเดียว



“เดี๋ยวนะครับ คุณนันท์ คุณจะบอกว่าพี่หมอชอบแกล้งน้องๆ เหรอครับ” ระหว่างทานข้าว พ่อเลี้ยงชลนันท์ก็กำลังเล่าประวัติวัยเด็กของคุณหมอชลทีให้ฟัง



“ใช่ครับ วีรกรรมหลายๆ อย่าง พี่ชลเป็นคนทำทั้งนั้น ส่วนผมกับพี่ธิชาก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนทำทั้งนั้นแหละครับ ทั้งเรื่องแกล้งคนงาน ทำของในบ้านแตก สารพัดเลยล่ะครับ” พี่หมอมีน้องอยู่สองคนคือชลธิชาน้องสาวและชลนันท์น้องชายคนสุดท้องของบ้าน



“ดูไม่ออกเลยว่าพี่หมอจะมีนิสัยแบบนั้น” จาณีนคิดไปพลางนึกหน้าคุณหมอชลทีไปพลาง เด็กหนุ่มเคยเห็นแต่ใบหน้าเคร่งขรึมของคุณหมอมากกว่า



“คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ลองดูรูปถ่ายนั่นสิครับ” กรอบรูปขนาดใหญ่ของชายสูงอายุคนหนึ่ง แขวนอยู่บนผนังไม้ของบ้าน จาณีนมองรูปนั้นตามมือของเจ้าบ้าน เด็กหนุ่มคิดว่าเหมือนมีบางอย่างผิดปกติอยู่บนรูป หนวดของชายผู้นั้นดูแปลกๆ เหมือนมีใครมือบอนเอาปากกาเมจิกมาวาดให้ยังไงยังงั้น”



“หนวดนั่น”



“ใช่ครับ คนที่อยู่บนรูปเป็นคุณปู่ของพวกเราเอง แต่ท่านน่ะเข้มงวด ยิ่งพี่ชลเป็นพี่คนโตก็จะถูกควบคุมเป็นพิเศษ วันหนึ่งพี่ชลก็แก้แค้นคุณปู่มาเติมหนวดให้เนี่ยแหละครับ”



“โอ้...แล้วคุณปู่ของคุณทำยังไงกับพี่หมอครับ”



“จะทำยังไงล่ะครับ ก็โดนตีไปตามระเบียบ แต่พี่ชลบอกคุณปู่ว่าผมกับพี่ธิชาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เลยพลอยโดนร่างแหไปด้วยครับ”



“แล้วคุณทำจริงหรือเปล่า”



“เรียกว่าทำไปโดยไม่รู้เรื่องมากกว่าครับ ตอนนั้นพี่ชลบอกว่าจะเอารูปคุณปู่มาทำความสะอาด ผมกับพี่ธิชาเลยช่วยปลดรูปลงมา ที่ไหนได้... โดนตีไปคนละตั้งสามที่แน่ะ”



“พี่หมอนี่วีรกรรมไม่เบาเลยนะครับ”



“ครับ ร้ายพอตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็รักครอบครัว รักน้องสองคนอย่างเรามาก ถ้าใครมารังแกพวกเรา พี่ชลเป็นสู้ตายเลยล่ะครับ พวกเราก็เลยโกรธพี่ชลไม่ลงสักที”



 “แล้วพ่อเลี้ยงทำไร่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ”



“ใช่ครับ ก็พี่ชลหนีไปเรียนหมอ พี่ธิชาแต่งงานกับพี่เขยชาวต่างชาติ ก็เลยย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย พ่อกับแม่ก็เลยตามไปช่วยเลี้ยงหลานด้วยความเห่อหลานคนเดียวของบ้าน เหลือผมคนเดียวจะปฏิเสธพ่อกับแม่ก็กลัวท่านเสียใจ ก็เลยตามใจท่าน แล้วตอนเด็กๆ เราสามพี่น้องแทบไม่รู้เรื่องในไร่เลย พอได้ลองทำก็กล้าๆ กลัวๆ น่ะครับ แต่พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็มีความสุขที่ได้ทำไร่ที่นี่”



“โชคดีมากๆ เลยนะครับ สุดท้ายก็ได้ทำงานที่ชอบ” จาณีนรู้สึกตะหงิดๆ กับคำพูดของชลนันท์ เพราะคุณหมอชลทีก็มีลูกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่ได้ถามออกมาเพราะกลัวจะเสียมารยาท



“ครับ โชคดีจริงๆ ว่าแต่รำคาญผมหรือเปล่าครับ ผมเล่าอะไรเยอะแยะไปหมดพอดีไม่ค่อยมีคนที่พอจะรู้จักครอบครัวของเรามาที่นี่บ่อยนัก ผมเบื่อธุรกิจจะแย่แต่ก็ต้องเจรจากัน”



“ไม่เลยครับ ดีเสียอีก คุณนันท์เล่าเรื่องพี่หมอให้ฟังเยอะๆ สิครับ”



ช่วงบ่าย ชลนันท์ขอตัวไปเคลียร์งานในไร่ ส่วนจาณีนก็เข้าห้องพัก เด็กหนุ่มเปิดโน้ตบุคแล้วลงมือเช็คเมลก่อนเป็นอันดับแรก เสร็จแล้วจึงทักทายหัวหน้าของตนเอง



“พี่พล เป็นไงบ้าง งานยุ่งมั้ยพี่”



“ไม่เท่าไหร่ เป็นไงบ้างวะเอ็ง ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”



“ยังไม่ได้เริ่มเลยพี่ คุณชลนันท์เขาจะเริ่มคุยงานพรุ่งนี้”



“เออๆ ดีแล้ว วันนี้เอ็งก็พักซะ พรุ่งนี้ก็ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”



“ครับพี่”





.

.



“นายครับ”  เสียงเรียกชื่อศมนดังขึ้น หลังจากประตูห้องทำงานถูกเปิดเมื่อได้รับคำอนุญาต



“กานต์? ทำไมเธอถึงมาที่นี่ จาณีน? เกิดอะไรขึ้นกับจาหรือเปล่า” ผู้เป็นนายจำได้ว่า พันธกานต์



มีหน้าที่ต้องติดตามจาณีน



“เปล่าครับ คุณจาปลอดภัยดี เพียงว่าวันนี้คุณจา เดินทางขึ้นไปที่ไร่ของคุณหมอชลทีครับ”



“จริงสิ ฉันเองก็ลืมไป” เมื่อได้รับคำตอบ ศมนก็ถึงกับโล่งใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นกับจาณีน



“ผมเลยจะถามนายว่าจะให้ผมตามขึ้นไปเลยหรือเปล่าครับ”



“ไม่ต้อง ตอนนี้จาอยู่ที่ไร่พี่ชล ยังไงที่นั่นก็ปลอดภัยกว่าที่นี่แน่นอน ฉันมีงานให้เธอไปทำ แล้วอีกสองวันค่อยขึ้นไปพร้อมกับฉัน”



“ครับ จะให้ผมทำอะไรครับ” พันธกานต์รอรับคำสั่งจากศมน



“ฉันอยากให้เธอไปสืบเพิ่มหน่อย คนของฝั่งนั้นที่ฉันเคยให้เธอกับกรไปกว้านซื้อตัวมา ฉันคิดว่าเรากำลังมีหนอนบ่อนไส้ คนพวกนั้นไม่ได้หันมาอยู่ฝั่งเราจริง คิดว่าที่ยอมมาอยู่กับเราเพียงเพื่อเอาตัวรอด ซ้ำยังคอยรายงานหัวหน้าเก่าอยู่”



“ได้ครับ เรื่องเดียวหรือครับ”



“ใช่ พวกเอกสารอื่นๆ เรื่องนั้นฉันคงต้องจัดการเอง ไว้ใจคนนอกไม่ได้ นอกจากเธอกับกรแล้ว ฉันไว้ใจใครไม่ได้อีก เรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก เธอรู้ใช่มั้ย”



“ทราบครับ ถ้างั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” พันธกานต์พูดจบก็เตรียมออกจากห้องไป



“เดี๋ยว” ศมนเรียกอีกฝ่ายเอาไว้



“ครับนาย”



“ระวังตัวด้วย ทางนั้นก็มีฝีมือไม่เบา” ศมนพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง



“ขอบคุณครับ”



จังหวะที่พันธกานต์เปิดประตูออกไป ธัญชนกก็สวนเข้ามาเช่นกัน หญิงสาวยิ้มให้คนที่กำลังจะออกไปก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องของศมน พันธกานต์โค้งศีรษะให้หญิงสาวก่อนจะเดินผ่านเธอไปเช่นกัน



“พี่มนคะ ใกล้เที่ยงแล้วค่ะ ธัญมาชวนไปทานข้าวค่ะ”



“ใกล้เที่ยงแล้วเหรอ” ศมนไม่รู้เวลาเลยจนกระทั่งธัญชนกบอก



“ใช่ค่ะ นี่พี่มนทำงานเพลินอีกแล้วเหรอคะ”



“ช่วงนี้งานเยอะ น้องธัญก็รู้ว่าเรากำลังจะเปิดสาขาใหม่”



“แหม แต่ยังไงก็ต้องรักษาสุขภาพดูแลตัวเองด้วยนะคะ ถ้าประธานบริษัทเจ็บป่วยไป จะทำยังไงล่ะคะ” หญิงสาวบอกเตือนด้วยความหวังดี



“ขอบใจน้องธัญมาก แต่วันนี้พี่คงต้องขอตัวนะครับ พี่มีประชุมอีกห้านาทีข้างหน้านี้”



“แต่นี่ใกล้จะเที่ยงแล้วนะคะ ทำไมถึงนัดประชุมตอนนี้ล่ะคะ แบบนี้ก็หิวแย่เลย” ธัญชนกบ่นเล็กน้อย ไม่ได้โวยวายเป็นเรื่องใหญ่อะไร เธอเองก็พอเข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับศมนแล้ว เธอคิดว่ามันบ่อยไปหรือเปล่า

“ก็ประธานบริษัทงานเยอะนี่ครับ แค่เวลาเล็กน้อยก็ถูกนัดประชุดหมด แต่น้องธัญไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวยัยวิก็จัดเอาพวกแซนด์วิชหรืออาหารเบาๆ เข้าไปรองท้องให้” ศมนแกล้งเย้าอีกฝ่ายเล่นว่าเวลาของเขานั่นถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากแค่ไหน



“ตกลงค่ะ งั้นธัญไปทานข้าวก่อนนะคะ”



“ทานให้อร่อยนะครับ”



“ขอบคุณค่ะ” ธัญชนกยิ้มให้ศมนก่อนจะเดินออกมาเหมือนกับบอดี้การ์ดหนุ่มก่อนหน้านี้



หญิงสาวไม่ได้ไปร้านอาหารอย่างที่ตั้งใจ เธอเปลี่ยนใจ และบอกเลขาให้สั่งอาหารขึ้นมาทานในห้องทำงานแทน เพราะตอนนี้ธัญชนกไม่มีอารมณ์ที่จะลงไปทานที่ร้านแล้ว นิ้วมือสวยที่เล็บเจือแต้มไปด้วยสีชมพูอ่อนนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออกไปเบอร์ที่ไม่ค่อยได้ใช้บริการบ่อยนัก



“สวัสดีครับ” ปลายสายรับสายอย่างรวดเร็ว



“สวัสดีค่ะ ธัญชนกค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงลงไป



“ทราบครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับคุณธัญ”



“ธัญอยากให้คุณอิทธิหาประวัติคนๆ หนึ่งให้ธัญหน่อยค่ะ”



“ได้ครับ เขาชื่ออะไรครับ”



“สักครู่นะคะ” หญิงสาวค้นอะไรบางอย่างกุกกักในกระเป๋าใบหรูก่อนจะหยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่ง



“ครับ”



“เขาชื่อ จาณีน แสงชัยกุล ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทเก็นติ้งเฮาส์ ธัญทราบเพียงเท่านี้ค่ะ”



“ได้ครับ แค่นี้ก็ช่วยให้สืบง่ายมากแล้ว คุณธัญอยากได้เมื่อไหร่ครับ”



“เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายธัญไม่เกี่ยงค่ะ ขอให้ได้เร็วๆ ก็พอ”



“ยินดีครับ ผมจะรีบจัดการให้ครับ”



“ขอบคุณค่ะ ธัญจะรอ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณก่อนจะกดวางสายไป สักพักไม่นานเลขาประจำตัวของเธอก็ยกอาหารมื้อเที่ยงเข้ามาให้





ธัญชนกไม่ได้อยากทำเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่จังหวะที่เธอกำลังจะไปหาศมนแล้วบังเอิญได้ยินชื่อนี้จากทั้งศมนและพันธกานต์พอดี





เด็กคนนั้น เกี่ยวข้องยังไงกับศมน



จาณีนเช็คเมลจนเสร็จ เตรียมเนื้อหาคร่าวๆ สำหรับพรุ่งนี้จนเรียบร้อย จึงปิดเครื่อง มีข้อความเข้ามาที่โทรศัพท์ เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมากดดู เป็นข้อความจากบอดี้การ์ดหนุ่มแจ้งว่าคงจะตามมาได้อีกสองวันเพราะมีธุระอื่นต้องไปจัดการก่อน เมื่อเช้านี้พันธกานต์มารับเขาที่บ้าน จาณีนเลยเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกบอดี้การ์ดหนุ่มเรื่องที่เขาต้องมาทำงานที่นี่ ฝ่ายนั้นเลยบอกว่าจะรีบตามมาทีหลัง ถึงแม้ว่าจาณีนจะบอกปฏิเสธว่าไม่ต้องก็ตาม



เด็กหนุ่มคิดว่าเร็วๆ นี้เขาคงต้องหาทางบอกศมนให้รับรู้เรื่องการให้คนมาคอยติดตามเขา จาณีนรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริงที่ยังคอยเป็นห่วงใยเขาเสมอ แต่เขาไม่อยากให้พันธกานต์หรือใครต้องมาเสียเวลาตามเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงนักหรอก



จะทำยังไง ถึงจะหาโอกาสบอกได้



แดดเริ่มร่ม อากาศกำลังเย็นกว่าช่วงบ่าย ชลนันท์เคาะประตูห้องของจาณีน เขาแจ้งว่าจะพาเด็กหนุ่มไปชมไร่องุ่นแห่งไร่สายชลนี้ เจ้าของไร่แนะนำให้เขาเอาเสื้อแขนยาวกับหมวกไปสวมด้วยเพราะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ จาณีนจึงขอตัวเข้าไปหยิบเสื้อในกระเป๋าออกมา เขาเห็นกล่องสี่เหลี่ยมกล่องหนึ่ง เลยนึกขึ้นได้



“คุณนันท์ครับ พี่หมอฝากกล่องนี้มาให้คุณ ขอโทษที่ลืมให้แต่แรกนะครับ” จาณีนออกมาจากห้องแล้วจึงยื่นกล่องขนาดฝ่ามือให้อีกฝ่ายตรงหน้า



“ขอบคุณครับ นึกว่าพี่ชลจะลืมไปแล้ว เพราะผมไม่อยากให้ส่งมาทางไปรษณีย์ เลยต้องลำบากคุณจา” ชลนันท์รับกล่องมาเปิดดูพลางกล่าวขอบคุณ



“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”



“ไม่เล็กน้อยหรอกครับ พี่ชลคงไว้ใจคุณจามากพอสมควร รู้มั้ยครับว่าอะไรอยู่ในนี้”



“ไม่ทราบครับ พี่หมอไม่ได้บอกผม” จาณีนบอกจากใจจริง เขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะถามคุณหมอชลทีด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร



“ในนี้เป็นแหวนของคุณแม่ครับ ปกติแล้วลูกชายคนโตจะได้ไปเพื่อมอบให้เจ้าสาว แต่พี่ชลไม่ได้แต่งงาน เลยยกให้ผมแทน”



“พี่หมอ? เอ.. พี่หมอยังไม่ได้แต่งงานเหรอครับ เท่าที่ผมรู้พี่หมอแต่งงานแล้วนี่ครับ” เป็นไปไม่ได้ จาณีนเคยได้ยินมาว่าคุณหมอชลทีแต่งงานแล้ว เลิกงานคุณหมอก็จะกลับบ้านไปหาภรรยาและลูกตรงเวลาทุกครั้ง



“ยังครับ ไม่เคยแต่งด้วย แถมโสดสนิท ไม่มีแม้กระทั่งแฟน”



“เดี๋ยวก่อนครับ แต่ผมเคยได้ยินว่าพี่หมอแต่งงานมีลูกและภรรยาแล้วนะครับ”



“โดนหลอกแล้วล่ะครับ พี่ชลชอบบอกว่าพี่ธิชากับหลานเป็นลูกเมียของตัวเองครับ เพราะกลัวคนมาจีบ ตลกจริงๆ” ชลนันท์หัวเราะเบาๆ



“....”



“ทำหน้าแบบนี้ไม่เชื่อใช่มั้ยครับ ไม่เป็นไรครับ ไว้คุณจาลองกลับไปถามพี่หมอดูก็ได้ครับ เราไปดูไร่กันเลยมั้ยครับ” จาณีนพยักหน้าก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไป



ชลนันท์พานั่งรถชมไปรอบๆ ไร่ก่อน เขาเล่าให้ฟังว่าไร่ที่นี่แต่ก่อนเป็นไม้ดอกเสียเป็นส่วนมาก แต่จู่ๆ คุณแม่ก็เกิดอยากจะทำไร่องุ่นเพิ่มขึ้นมา เขาเลยเริ่มทดลองปลูก ลองผิดลองถูกกันอยู่นาน จนในที่สุดก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้ จึงค่อยๆ ลดจำนวนไม้ดอกลงและแทนที่ด้วยองุ่นหลายสายพันธุ์จนหมด แต่เมื่อได้ผลผลิตออกมาค่อนข้างเยอะ เขาเลยแปรรูปออกมาหลายแบบไม่ว่าจะเป็น แยม หรือไวน์องุ่นรสเลิศที่เริ่มมีชื่อในตลาดบ้างแล้ว



“เข้าไปดูโรงบ่มไวน์กันนะครับ” รถจอดลงโรงไม้พอดี



โรงบ่มไวน์ค่อนข้างมืดเพื่อรักษาระดับของอุณหภูมิเอาไว้และหลีกเลี่ยงการไม่ให้ไวน์นั้นโดนแดด สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้เพราะจะมีผลต่อรสชาติของไวน์ ที่นี่เต็มไปด้วยถังไม้เรียงซ้อนกันมากมายหลายถัง ชลนันท์เล่าว่าที่ไร่แห่งนี้ใช้ถังไม้ที่ทำจากไม้โอ๊กแท้ที่นำเข้าจากฝรั่งเศสเลยทีเดียว จาณีนมองถังไม้เหล่านั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ เป็นความรู้และประสบการณ์ใหม่ของเด็กหนุ่มเลยทีเดียว



ออกมาจากโรงบ่มไวน์ ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดงแล้ว ชลนันท์ถามเด็กหนุ่มว่าอยากเดินกลับไปที่บ้านหรือไม่ เพราะจากจุดนี้ไปปลายทางนั้นไม่ไกล จาณีนเห็นว่าระยะทางก็ไม่ได้ไกลเกินไปนักจึงเห็นด้วย เขาทั้งคู่ค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ ข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นองุ่น ลมพัดเย็นมากระทบผิว โชคดีที่เขาเชื่อคำพูดของชลนันท์ให้หยิบเสื้อแขนยาวติดมาด้วย



“รู้จักพี่หมอมานานหรือยังครับ” ชลนันท์ชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อทำลายความเงียบ



“ก็สักสี่ปีได้ครับ”

     

        “รู้จักกันได้ยังไงเหรอครับ”

   

        “ผมไม่สบายครับ เลยไปที่โรงพยาบาลเจอพี่หมอเข้า แต่จริงๆ แล้วตอนหลังพี่หมอเป็นคุณหมอประจำตัวผมครับ” จาณีนอธิบายไม่รีบร้อน



            “แปลกนะ ปกติพี่ชลไม่มีคนไข้ประจำ นอกจากพี่มน...”



            “คุณศมน?” ชื่อที่หลุดออกมาจากชลนันท์ทำให้จาณีนชะงักไป



            “เป็นอะไรครับ” ชลนันท์หันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเดิน



            “เอ่อ เปล่าครับ” จาณีนตอบพลางออกเดินต่อ



            “เหมือนผมจะได้ยินคุณเรียกชื่อพี่มน หรือว่าคุณจาก็รู้จักพี่มนครับ”



            “คะ..ครับ ก็พอรู้จัก”



            “ครับ พี่ชลกับพี่มนรู้จักกันตอนเรียนที่ต่างประเทศ พอกลับมาทั้งสองคนก็ยังสนิทกันอยู่ พี่ชลเลยเป็นคุณหมอประจำตัวพี่มนไปในตัว อย่าหาว่าผมพูดมากเลยนะครับ แต่เพราะรายนั้นหาหมอยากมากเลยล่ะครับ”



            “จริงครับ..” จาณีนหลุดหัวเราะออกมา ศมนเป็นคนที่แทบจะไม่ไปหาหมอเลยถ้ามีทางเลือก แม้กระทั่งยายังหลีกเลี่ยงอยู่ตลอด



            “คุณจาเองก็รู้เหรอครับ คงไม่ใช่แค่พอรู้จักแล้วใช่มั้ย” ชลนันท์หรี่ตามองหน้าเด็กหนุ่มเพื่อจับพิรุธ จาณีนได้แต่ปั้นหน้านิ่งเอาไว้เพราะกลัวถูกจับได้



            “ก็เคยได้ยินจากพี่หมอบ้างน่ะครับ” จาณีนกลบเกลื่อน อ้อมแอ้มตอบอีกฝ่าย



            “อ้อ..ครับ ถ้างั้นคงพอจะมองออกว่าสองคนนี้เค้าเป็นมากกว่าพี่น้อง”



            “ครับ?” จาณีนแปลกใจกับคำถามของชลนันท์ คำพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน



            “ผมหมายถึงพี่ชลกับพี่มนห่วงกันมากกว่าคนที่เป็นพี่น้องกัน หรือที่เราเรียกกันว่าห่วงกันอย่างคนรักไงล่ะครับ”



            “คนรักเหรอครับ” รู้สึกเหมือนน้ำลายเริ่มเหนียว กลืนไม่ลงคอ ยังไงดีล่ะ จาณีนไม่เคยคิดสถานภาพของสองคนนี้มาก่อนเลยสักครั้ง



            ถ้าให้พูดกันตามตรง เขาเป็นพวกเซนส์เรื่องนี้แย่ถึงแย่มาก ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วจาณีนไม่เคยสังเกตออกเลย ว่าใครกำลังคบใคร ใครกำลังจีบกับใครอยู่ แม้เจอจังๆ กับตัวเองเขายังไม่รู้เลย จนต้องมีคนบอกนั่นแหละ เขาถึงพอรู้ขึ้นมาบ้าง แล้วนับประสาอะไรว่าเขาจะดูคุณหมอชลทีกับศมนออกล่ะ



            “ถ้ากลับไปลองสังเกตพวกเขาดูสิครับ ดูไม่ยากหรอก”



            “ครับ ถ้ามีโอกาสจะลองดู”



            “จะว่าไปพี่มนคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พี่ชลไม่แต่งงาน” พ่อเลี้ยงหนุ่มเปรยขึ้นมาลอยๆ



            “....” จาณีนเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไร แต่ในใจ เขาอยากรู้จนแทบระเบิด



            “ดูก็รู้ว่าเขาทั้งคู่ชอบพอกัน แต่น่าแปลกที่ยอมลดความสัมพันธ์ลงไว้เพียงแค่นั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร” ชลนันท์พูดพลางส่ายหน้าเบาๆ ไปด้วย เขาเองก็รู้จักคนทั้งคู่มาก็นาน แต่ไม่เคยเข้าใจว่าสองคนนั้นตกลงในความสัมพันธ์กันเป็นแบบไหนกัน



            “....”



            “เงียบเลย ตกใจเหรอครับ หรือคุณจารังเกียจเรื่องผู้ชายสองคน ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ทันคิด”



            “เปล่าครับ ผมแค่เริ่มรู้สึกเหนื่อย อา ถึงบ้านพอดี” จาณีนจะรังเกียจได้ยังไง เพราะเขาก็เป็นหนึ่งคนที่เป็นชอบพอกับผู้ชาย แถมยังเป็นหนี่งในเรื่องราวชีวิตของศมนและคุณหมอชลที



            “ไวจัง.. ขึ้นบ้านกันเถอะครับ ล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาทานข้าวกันครับ”



            คืนนั้น จาณีนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เด็กหนุ่มกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่ได้ยินมา แน่ล่ะ เขาไม่เคยรู้เรื่องคุณหมอ  ชลทีเลย ไม่เคยรู้ว่าคุณหมอยังไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยรู้ว่าคุณหมอและคนรักเก่าของเขามีความสัมพันธ์กัน แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาเป็นมือที่สามของคนทั้งคู่หรือเปล่า



            มันไม่น่าเป็นไปได้ เขาเคยถามศมน ช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในชีวิตของศมน ในเวลานั้นชายหนุ่มมีใครอยู่หรือเปล่า ศมนบอกว่าไม่มีใคร ไม่มีคนรักและไม่มีแฟน เขาเชื่อศมนอย่างสุดหัวใจเพราะศมนไม่เคยโกหกเขา ไม่นับเรื่องที่ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงเลือกไม่บอกเขาละกัน



            จาณีนกำลังใช้ความคิดอย่างต่อเนื่อง วันนี้เขาได้รับรู้เรื่องแปลกใหม่เต็มไปหมด มีแต่เรื่องไม่น่าเชื่อทั้งนั้น จาณีนไม่ได้หึงหรือรู้สึกผิดต่อคุณหมอชลที ถึงเขาจะเข้ามาทีหลัง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะถูกตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เกี่ยวกับเขา อีกทั้งศมนไม่เคยมีท่าทีนอกลู่นอกทางกับคุณหมอหนุ่ม ตอนที่อยู่กับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ที่เขากำลังเครียดอยู่ตอนนี้ก็คือ





            ทำไมพวกเขาทั้งคู่จึงเลิกกัน




======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Sixteenth Drop -- 20 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 22-12-2017 13:10:51
           

            ทำไมพวกเขาทั้งคู่จึงเลิกกัน

           

            จาณีนไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเคยคบกันหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นอย่างที่ชลนันท์บอกแล้วล่ะก็มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมคุณหมอชลทีจะต้องครองตัวเป็นโสด ยิ่งคิดยิ่งอยากรู้เสียจริง จาณีนยกมือขึ้นมาเกาหัวจนผมยุ่งไปหมดด้วยความอยากรู้

           

           ทำยังไงถึงจะรู้ ถ้าไปถามตรงๆ กับเจ้าตัวเลย พี่หมอจะยอมบอกมั้ย



              เริ่มต้นวันใหม่ด้วยรอยคล้ำใต้ขอบตาเล็กน้อย จาณีนมัวแต่คิดเรื่องเมื่อวานแทบทั้งคืน กว่าจะหลับก็ใกล้รุ่งสางแล้ว ถึงเวลาก็ไม่อยากตื่น แต่เขามาทำงาน ต้องมีความรับผิดชอบ เด็กหนุ่มลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซเข้าไปอาบน้ำด้วยสติที่ยังกลับมาไม่ครบร้อยเปอร์เซนต์



            “อรุณสวัสดิ์ครับคุณจา” เจ้าของบ้านนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงระเบียงบ้าน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามาจึงเอ่ยทัก



            “อรุณสวัสดิ์ครับคุณนันท์”





            “กาแฟหน่อยมั้ยครับ” ชลนันท์ลอบมองจาณีนที่ดูยังไม่ตื่นดีนัก



            “ผมไม่ดื่มกาแฟ ขอเป็นน้ำเปล่าแล้วกันครับ” ชลนันท์เรียกเด็กในบ้านให้ไปนำน้ำดื่มมาให้เด็กหนุ่ม



            “เมื่อคืนนอนดึกเหรอครับ”



            “ครับ ทำงานเพลินไปหน่อย” ใครจะกล้าบอกว่ามัวแต่อยากรู้เรื่องคนอื่นจนนอนดึกกันล่ะ



            “ถ้างั้นเดี๋ยวเราทานมื้อเช้าแล้วเริ่มกันเลยมั้ยครับ”



            “ผมว่าถ้าผมอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ต้องอ้วนแน่เลยครับ เพราะเจอหน้าผมทีไร คุณนันท์ก็ชวนทานข้าวตลอด” จาณีนหัวเราะ



            “ผมเลี้ยงเต็มที่ไงครับ ถ้าดูแลคุณจาไม่ดี พี่ชลต้องบ่นผมจนหูชาแน่เลย”





            งานวันนี้ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความสามารถของจาณีน เพราะเขาเตรียมตัวกับงานนี้มาตั้งแต่ที่ได้รับมอบหมายมาจากกตพล และประสบการณ์ที่ทำงานกับกตพลมาก็ช่วยเด็กหนุ่มได้มาก ทำให้งานวันนี้ค่อนข้างราบรื่นเป็นที่น่าพอใจของเจ้าตัวไม่น้อย



            ชลนันท์บอกให้เขาค้างที่นี่อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าชลนันท์ เจ้าของไร่หนุ่มจะขับไปส่งในตัวเมืองเพราะตัวเขาเองก็มีธุระที่ต้องไปทำที่นั่นเช่นกัน ช่วงบ่ายหลังจากจาณีนส่งเมลเพื่ออัพเดทงานในวันนี้ให้กับหัวหน้าแล้วเขาก็เริ่มว่าง เด็กหนุ่มสวมหมวกปีกกว้างที่ได้มาจากเด็กในบ้านของชลนันท์เพราะหมวกแก๊ปที่เด็กหนุ่มนำมาด้วยนั้นไม่เหมาะที่จะใส่ออกไปท่ามกลางแดดที่ค่อนข้างแรง



            จาณีนเดินไปเรื่อยๆ เขาสังเกตการทำงานของคนงานภายในไร่ ทุกคนต่างตั้งใจทำงานอย่างขะมักเขม้น มีเสียงพูดคุยกันบ้าง แซวกันบ้างพอให้ได้ยิน ถึงจะดูเหน็ดเหนื่อยแต่ใบหน้าของคนงานก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาดูมีความสุขกับงานที่ทำอยู่



            “ลุงครับ” จาณีนเดินเข้าไปทักลุงคนหนึ่งที่นั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ ในมือถือกล่องข้าวขนาดกำลังพอดีมือ ข้างกายมีกระติกน้ำเย็นใบไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ คาดว่าคงจะเพิ่งพักมาทานมื้อเที่ยง



            “ครับคุณ” สำเนียงภาคเหนือตอบกลับมาเช่นเคย สองวันมานี้ จาณีนได้ยินสำเนียงคนที่นี่จนเริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว



            “ทำไมคุณลุงเพิ่งทานข้าวล่ะครับ” จาณีนถามด้วยความสงสัย



            “ผมเพิ่งตรวจงานเสร็จครับ”



            “ผมชื่อจา คุณลุงชื่ออะไรครับ แล้วทำหน้าที่อะไรในไร่เหรอ”



            “ผมชื่อก้าน เป็นหัวหน้าคนงานที่คอยดูแลไร่นี้ครับ”



            “อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ”



            “คุณคงจะเป็นแขกของพ่อเลี้ยงใช่มั้ยครับ”



            “ใช่ครับ”



            “ครับ แล้วทำไมคุณออกมาเดินตอนกลางวันล่ะครับ วันนี้แดดแรง เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”



            “ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ไม่เป็นไรครับ ผมค่อนข้างหัวแข็ง ไม่ป่วยง่ายๆ หรอก” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมกับเคาะไปที่หัวตัวเองเบาๆ



            “ตอนเย็นๆ ค่อยมาเดินไม่ดีกว่าหรือครับ” ลุงก้านเตือนด้วยความเป็นห่วง คนกรุงอาจจะไม่สามารถทนต่อแดดแรงๆ ได้ดีเท่าพวกเขา



            “ขอบคุณครับ แต่พรุ่งนี้ผมก็กลับแล้ว เลยไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้อง”



            “คุณเพิ่งมาไม่ใช่เหรอครับ ทำไมไม่อยู่ต่อล่ะ”



            “เสร็จงานแล้วครับ”



            “แวะมาบ่อยๆ นะครับ”



            “ครับ” จาณีนอยู่พูดคุยกับลุงก้านอีกสักครู่ก็ขอตัวเพื่อให้ลุงก้านได้ทานข้าวและพักผ่อน



            ขากลับลงจากไร่ จาณีนได้สารถีหนุ่มอย่างพ่อเลี้ยงชลนันท์ มาขับรถส่งเขาเข้าไปในเมืองให้  จริงๆ วันนี้ชลนันท์ก็มีธุระด้วยเช่นกัน แต่อยู่ๆ ก็ถูกยกเลิก ดังนั้นเจ้าตัวเลยอาสาที่จะพาเด็กหนุ่มเที่ยวในเมืองเองหนึ่งวัน ทีแรกจาณีนก็เกรงใจแต่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นความเต็มใจ จาณีนเลยยอมตกลง



            พ่อเลี้ยงชลนันท์พาจาณีนเที่ยวสมกับเป็นคนพื้นที่ ไม่เพียงแค่พาไปสถานที่ดังๆ หรือมีความสำคัญแต่ชายหนุ่มมักจะมีประวัติเล่าให้ฟังด้วย เด็กหนุ่มเลยได้ความรู้ไปมากโขเลยทีเดียว ชลนันท์เป็นคนคุยสนุกอาจจะเพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนค่อนข้างขี้เล่น ไม่ถือตัวอยู่แล้ว เลยทำให้คนที่อยู่ด้วยค่อนข้างผ่อนคลายและเป็นกันเองง่ายขึ้น



            “คุณจา มีที่ไหนอยากไปเป็นพิเศษมั้ยครับ” ชลนันท์หันมาถามหลังจากที่ออกมาจากวัดคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด



            “ก็ไม่มีอะไรพิเศษครับ ถ้าไปเองผมก็คงจะไปแลนด์มาร์คที่สำคัญๆ ที่คนเขาไปกัน” จาณีนตอบตามตรง เขาเองไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเที่ยวมากนัก ถึงจะไปมาหลายประเทศแต่มักจะไปเพียงแค่เดินเล่นแถวโรงแรมเท่านั้น เพราะศมนมาทำงาน ตัวเขามาเที่ยวเล่นเพลิดเพลินก็รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก



            บ้าจริง คิดถึงอีกจนได้



            จาณีนก่นด่าตัวเอง เขาเป็นอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไรหรือคิดถึงอะไรอยู่ทุกเรื่องก็มักจะวนเข้าหาอดีตคนรักเก่าทั้งนั้น บางทีก็ทำให้เขาหัวเสียอยู่ไม่น้อย เพราะความเจ็บปวดภายในใจมันดูไม่ค่อยลดลง ไม่รู้อุปาทานไปเองด้วยหรือเปล่า เขารู้สึกเจ็บแปลบที่ตรงหน้าอกจนเผลอยกมือขึ้นจับหน้าอกไว้



            “เป็นอะไรครับ” พ่อเลี้ยงเห็นคนที่นั่งอยู่ด้านข้างยกมือทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ



            “เปล่าครับ”



            “ถ้ารู้สึกไม่สบายก็บอกผมได้นะครับ จะได้เข้าไปพักที่โรงแรมก่อน”



            “ไม่เป็นไรครับ นานๆ จะได้มาทั้งที อยากเที่ยวต่อมากกว่า”



            “ตกลงครับ แต่ถ้าไม่สบายจริงๆ ต้องบอกผมนะครับ ห้ามฝืน ไม่งั้นพี่ชลฆ่าผมทิ้งแน่”



            “ครับ”



            พ่อเลี้ยงหนุ่มพาจาณีนขึ้นดอยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการขึ้นดอยที่ดูไม่ค่อยเวียนหัวเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงแล้ว จาณีนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ขึ้นมาบนนี้ เขาลังเลอยู่นานว่าจะเดินขึ้นบันไดมาไหว้พระดีหรือจะนั่งกระเช้าขึ้นมา แต่เมื่อถูกชลนันท์ดูถูกเอาว่า อายุแค่นี้ก็ไม่สู้แล้วเหรอ เด็กหนุ่มเลยมีแรงฮึดขึ้นมา ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะเหนื่อยเกินไปนัก แต่พอลองเดินเข้าจริงๆ แล้ว หอบไม่น้อยเลย กว่าจะเดินถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็เล่นเอาเหนื่อยจนต้องหาที่นั่งก่อน



            “สูงเหมือนกันนะครับ” จาณีนพูดขึ้นหลังจากเริ่มหายเหนื่อยแล้ว



            “ครับ แต่อีกเดี๋ยวถ้าคุณเข้าไปข้างในคุณจะคิดว่าคุ้มแล้วที่ขึ้นมา”



            “อย่างนั้นเลยเหรอครับ” จาณีนตาโตมองอีกฝ่ายด้วยความไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก



            “หายเหนื่อยหรือยังล่ะครับ”



            “ครับ”



            “ถ้าอย่างนั้นเข้าไปพิสูจน์กันเลยดีมั้ยครับว่าที่ผมพูดนั้นมันจริงหรือเปล่า”



            จาณีนแทบระงับความตื่นเต้นไว้ไม่มิด มันคุ้มค่าอย่างที่ชลนันท์พูดไว้ไม่มีผิด สีเหลืองทองอร่ามขององค์พระเจดีย์สูงเด่นตระหง่าน สวยงามจนพูดไม่ออก



            “ดอกไม้ธูปเทียนครับ” ชลนันท์ยื่นให้เพื่อเตรียมสักการะองค์พระธาตุ



“ขอบคุณครับ” จาณีนรับมาถือไว้



“สวยมั้ยครับ”



            “สวยมากเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเราจะมีอะไรที่สวยขนาดนี้”



            “คุ้มค่าที่ขึ้นมาอย่างที่ผมบอกเลยใช่มั้ย”



            “ครับ ถ้าไม่ได้ขึ้นมาคงเสียใจ”



            “เราไปสักการะพระธาตุกันก่อนแล้วผมจะพาไปดูอะไรเพิ่ม”



            “อะไรครับ”



            “เดี๋ยวก็รู้ครับ เรียกว่าเป็นดับเบิ้ลคุ้มแล้วกัน”



            “ตกลงครับ”



            “คนที่นี่เขามีความเชื่อว่าถ้าได้มาสักการะแล้วขอพรอธิษฐาน ก็จะมีแต่ความสมหวังครับ อย่าหาว่าผมงมงายเลย มันคือที่พึ่งทางใจของมนุษย์ ถ้าหากว่าคุณจาหวังอะไรไว้ ก็ลองขอท่านดูสิครับ”



            “ครับ แล้วผมต้องทำไงบ้าง”



            “ไม่ยากครับ เดินวนขวาสามรอบ กล่าวคำนมัสการพระธาตุ แล้วก็ตั้งจิตขอพรครับ แค่นี้ก็เรียบร้อย”



            “ตกลงครับ”



            จาณีนไม่ใช่คนเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้มากนัก แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่ เขาลองทำตามคำแนะนำของพ่อเลี้ยงชลนันท์ด้วยความตั้งใจ ในตอนนี้เด็กหนุ่มไม่มีอะไรอยากได้นอกจากคนคนหนึ่งเพียงเท่านั้น เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องตั้งจิตอธิษฐานขอพร เด็กหนุ่มจึงพูดอยู่ภายในใจ





            ‘ผมเคยได้ยินว่าอะไรที่เป็นของเรา ช้าหรือเร็วก็จะเป็นของเรา ถ้าคุณศมนเป็นของผม ก็ขอให้เขาเป็นของผมครับ  แต่ขอให้เขากลับมาหาผมอย่างถูกศีลธรรม ไม่ผิดลูกผิดเมียใคร หรือทำร้ายครอบครัวใคร’





            จาณีนบอกกับตัวเองและขอพรออกไป เขาไม่เคยคิดเลิกกับชายหนุ่ม และไม่คิดอยากจะยกให้ใครเลยด้วยซ้ำ แต่คนเราทำทุกอย่างตามใจไม่ได้ ครั้งนี้ศมนได้เลือกแล้ว จะเพราะเหตุผลอะไรก็ช่าง ชายหนุ่มเลือกที่จะแต่งงาน ความจริงข้อนี้จาณีนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เขาเลยต้องยอมปล่อยมือ หากโชคชะตาเข้าข้างเขา วันนั้นคงมาถึง ณ ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือรอและรอเท่านั้น



            “เสร็จหรือยังครับ” พ่อเลี้ยงเดินเข้ามาถาม



            “ครับ”



            “ตามผมมาเลยครับ”



            ชลนันท์พาเด็กหนุ่มออกไปจากจุดนั้น เขาพาคนต่างถิ่นไปที่ลานกว้าง จาณีนเห็นคนเดินมายังทิศทางเดียวกับเขามากมาย มันยิ่งระงับความอยากรู้ไว้ไม่ได้

            “เอาล่ะครับ ถึงแล้ว เดินไปใกล้ๆ เลยครับ จะได้เห็นชัดๆ”



            จาณีนเดินไปตามคำบอกของคนพื้นที่ วินาทีแรกที่เขาได้เห็น ดวงตาสวยเปล่งประกายสุกใส ดูมีความสุขอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นนานแล้ว เขามองเห็นทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตา จุดที่เขายืนคงจะเรียกว่าเป็นจุดชมวิวล่ะมั้งเพราะภาพข้างหน้านั้นเป็นตึกอาคารบ้านเรือนที่เหมือนถูกย่อส่วนตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด



            “อีกหนึ่งความคุ้มครับ”



            “สวยมากเลย ไม่น่าเชื่อการวางเมืองของที่นี่จะสวยขนาดนี้”



            “ครับ เป็นความภาคภูมิใจของคนที่นี่”



            “สวยจริงๆ ไม่รู้วันนี้ผมพูดคำว่าสวยไปกี่ครั้งแล้ว แต่มันสวยจริงๆ ตรงไหนก็สวยทั้งนั้น”



            “ดีใจที่คุณชื่นชอบมันครับ ผมเองก็เหมือนคนขี้อวดคนหนึ่งล่ะครับ เห็นคนชื่นชอบบ้านเกิดของเราก็ยืดอกรับเต็มที่เลย”



            “อิจฉาคุณนันท์จังเลย ที่นี่อากาศก็ดี บ้านเมืองก็สวย แถมยังไม่ค่อยวุ่นวายเท่าเมืองกรุงที่ผมอยู่”



            “แน่นอนครับ ที่นี่เป็นต่างจังหวัดของคนเมืองกรุง มันต้องวุ่นวายน้อยกว่าอยู่แล้ว”



            “ผมจะมาเที่ยวบ่อยๆ เลย ผมชอบที่นี่จริงๆ”



            “ถ้าคุณอยากมีเพื่อนเที่ยวที่นี่ล่ะก็บอกผมได้เลย”



            “ขอบคุณครับ”



            “ยินดีครับ ดูเหมือนฝนใกล้จะตก เรารีบกลับไปที่รถกันเถอะครับ” ชลนันท์มองฟ้าที่เมฆเริ่มครึ้มแถมลอยต่ำอีก คาดว่าฝนคงจะตกเร็วๆ นี้



            “ครับ”



            ช่วงเย็นพ่อเลี้ยงหนุ่มพาจาณีนมาส่งที่โรงแรมเพื่อเช็คอิน ชลนันท์รอจนเด็กหนุ่มได้รับคีย์การ์ดห้องแล้ว เขาก็ขอตัว จาณีนกล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วก็บอกลา จาณีนลากกระเป๋าไปหมายเลขห้องของตัวเอง โรงแรมนี้เด็กหนุ่มไม่ได้จอง แต่เป็นความอนุเคราะห์จากพ่อเลี้ยงหนุ่มที่มอบให้มา



            จาณีนคิดว่าเขาโชคดีไม่น้อยที่เจอลูกค้าใจดีซ้ำยังใจป้ำไม่น้อย เขาจึงใช้พักร้อนนอนพักให้เต็มอิ่ม หลบเลียแผลใจหวังว่ามันจะดีขึ้นมาบ้าง เด็กหนุ่มทาบคีย์การ์ดกับประตูห้องแล้วเปิดเข้าไปด้านใน เขาใส่คีย์การ์ดลงในช่องที่เสียงบัตร เท่านั้นสัญญาณไฟทุกอย่างก็ติดสว่างวาบขึ้น



            เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ ห้องพัก ห้องนี้ถูกตกแต่งออกแนวพื้นเมืองของคนภาคเหนือ เรียกว่าแนวล้านนาหรือเปล่า จาณีนเองก็ไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ เขาเดินสำรวจห้องที่นี้ตกแต่งด้วยลายไม้โทนสีทองอมส้มตัดกับผ้าปูที่นอนขนาดใหญ่สีขาว มีโซฟาสีขาวนุ่มรูปตัวไอติดกับหน้าต่างไว้สำหรับพักผ่อน เขาเปิดประตูระเบียงออกไป ก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ เพราะเจออ่างจากุซซี่ทรงสี่เหลี่ยม เด็กหนุ่มลองเปิดดูมีระบบน้ำวนไว้นวดผ่อนคลายร่างกายด้วย แต่ความตื่นเต้นยังไม่หมดเมื่อพบว่าระเบียงห้องของเขา สามารถเดินลงไปสระว่ายน้ำได้เลย เขาแทบอยากจะโดดน้ำเดี๋ยวนี้



            แดดร่มลมตก เวลากำลังเหมาะกับการเล่นน้ำ จาณีนเดินเร็วกลับไปในห้อง รีบรื้อกระเป๋าเดินทางทันที โชคดีที่ กตพลเตือนให้เตรียมกางเกงว่ายน้ำมาด้วย หัวหน้าของเขาพูดเหมือนกับรู้รายละเอียดของห้องพักเป็นอย่างดี จาณีนรีบเปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำ ล้างตัวพอให้สะอาดแล้วก็พุ่งตัวลงไปในน้ำทันที


======================================
เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventeenth Drop -- 22 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 22-12-2017 13:29:15
หน่วงขึ้นๆทุกที :mew4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventeenth Drop -- 22 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-12-2017 11:43:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventeenth Drop -- 22 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-12-2017 20:40:59
ชอบมากก บรรยายได้ดีจัง
ชอบแนวการบรรยายแบบนี้
แถมเนื้อเรื่องก็แนวผู้ใหญ่ปนความน่ารักเล็กๆของจา
แถมมีหลายคู่หลายรสชาติดี
ติดตามต่อค่ะ ชอบมากๆ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventeenth Drop -- 22 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 25-12-2017 11:45:37
Eighteenth Drop


 

            อุปกรณ์สื่อสารที่แทบจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคนี้ ไปที่ไหนมันก็ต้องติดตามไปด้วยทุกที่ๆ นั้น สั่นครืนขึ้นเพื่อบ่งบอกว่ามันกำลังทำงานให้เจ้าของของมันอยู่ จาณีนแปลกใจที่เครื่องสี่เหลี่ยมนั้นส่งแรงสั่นสะเทือนอยู่บนโต๊ะในมื้ออาหารของค่ำนี้ น้อยครั้งที่จะมีใครโทรติดต่อเขาในเวลาหลังเลิกงานแบบนี้ เด็กหนุ่มเหลือบมองเจ้าเครื่องนั้นก่อนจะกดรับ

     

            “ว่าไง มิกะ”




            “เงียบหายไปเลยนะ” หญิงสาวปลายสายส่งเสียงสดใสมาพร้อมกับคำติเตียนที่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก



            “ช่วงนี้งานยุ่งๆ” จาณีนมองออกไปทางสระบัวที่อยู่ด้านขวามือของตัวเอง มีน้ำพุหลากหลายสีกำลังปล่อยน้ำสลับขึ้นลง



            “แก้ตัว...”



            “เปล่าสักหน่อย”



            “เชื่อแล้ว เพราะจาไม่เคยเงียบหายไปนานขนาดนี้” มิกะเชื่อเพื่อนง่ายๆ เพราะไม่มีเหตุอะไรที่เธอต้องไม่เชื่อ



            “ขอโทษนะ แล้วโทรมามีอะไรหรือเปล่า”



            “จริงๆ ก็มีแหละ แต่คิดถึงมากกว่าเลยรีบโทรมา ไม่ได้เหรอไง ฮึ” ปลายทางแกล้งทำเสียงฮึดฮัดใส่จาณีน แต่เพราะรู้จักนิสัยใจคอกันดี จาณีนเลยรู้ว่าน้ำเสียงนั้นกำลังล้อเล่นเขาอยู่



            “ได้สิ ได้ ใครจะกล้าคุณเปรมมิกา ได้ล่ะครับ” จาณีนทำเสียงขรึม จริงจังใส่อีกฝ่ายกลับ



            “โอ้ย อย่าทำเสียงแบบนี้ได้มั้ยเล่า เดี๋ยวมิกะหลงรักจาไปใครจะรับผิดชอบ”



            “ถ้าจะรัก คงรักไปนานแล้วมั้ง” จาณีนแกล้งเย้าเพื่อน



            “เบื่อคนรู้ทัน อ้อ เกือบลืม ที่โทรมาก็เพราะว่างานเลี้ยงรุ่นปีนี้น่ะ ต้องมานะ ซื้อบัตรให้แล้ว ห้ามเบี้ยว เข้าใจมั้ย”



            “รู้แล้วๆ เมื่อไหร่ล่ะ”



            “ต้นเดือนหน้านี้”



            “ทำไมเร็วจัง ปกติช่วงต้นปีไม่ใช่เหรอ” จาณีนถามด้วยความสงสัย



            “อือ ใช่ ปีนี้เลื่อนขึ้นมาเพราะทางคณะอยากให้จัดงานไปพร้อมกับบายเนียร์ของปีสี่”



            “เดี๋ยวนะ บายเนียร์จัดก่อนจบไม่ใช่เหรอ”



            “อืม ปีนี้เปลี่ยนแปลงไปหมดเลย เห็นทางคณะว่าไม่อยากให้ปีสามต้องเตรียมงานหนักจนอ่านหนังสือและทำโปรเจ็คไม่ทัน”



            “เหตุผล แค่นี้เนี่ยนะ”



            “ก็ใช่น่ะสิ แต่ก็ไม่แปลกใจอะไรหรอกนะ คณะเรามันแปลกๆ มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่ ตั้งแต่วิชาเรียน หรือคนที่เข้ามาเรียน มีใครปกติสักคนบ้าง”



            “เราปกติ” จาณีนบอกออกน้ำเสียงนิ่งเรียบ ถ้าเห็นหน้าคงรู้ว่าเจ้าตัวกำลังหน้าตายอยู่แน่นอน



            “จ้ะ พ่อคนปกติ ปกติเหลือเกินนะ ถ้าไม่เกี่ยวกับงานหรือเรียน เคยเห็นตัวและหน้าหล่อๆ บ้างมั้ยล่ะ พ่อคนลึกลับ” เปรมมิกาอดไม่ได้ที่ไม่พูดถึงฉายาเก่าของจาณีนในสมัยที่เรียนอยู่



            “ก็ต้องไปช่วยยายขายของที่ตลาด” ถูกอย่างที่เปรมมิกา สาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น แต่สำเนียงไทยชัดแจ๋วนั้นได้บอกไว้ จาณีนมักจะขอตัวไปช่วยยายขายของที่ตลาดอยู่เสมอถ้าไม่ติดเรียนหรืองานกลุ่ม ถึงแม้เพื่อนๆ ในกลุ่มจะเข้าใจดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแซวเพื่อนตัวเองว่าเป็นคนลึกลับอยู่บ้าง



            “ตอนนั้นน่ะ ฉันก็เข้าใจ เพื่อนๆ ก็เข้าใจ พ่อคนลึกลับจอมขยัน แต่หลังจากเกิดเรื่องของยายน่ะ คนลึกลับไม่ทำตัวลึกลับยกกำลังสองหรือไงกันฮะ ไอ้เพื่อนบ้า”



            “ก็...นะ”



            “อ้าว ไหงมาตอบแค่นี้ล่ะ มีแฟนก็ปิดเงียบ ไม่ยอมบอกเพื่อน นิสัยไม่ดีเลยจริงๆ”



            “ขอโทษจริงๆ เรื่องตอนนั้น แต่ช่วงนั้นเราไม่ได้มีแฟน” เด็กหนุ่มทำเสียงเศร้าส่งไปให้ปลายสาย



            “เฮ้ย พูดเล่น ไม่ต้องทำเสียงเศร้ารู้สึกผิดขนาดนั้น เรื่องมันผ่านมาแล้ว ทั้งฉันแล้วก็เพื่อนในกลุ่มเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร แค่อยากแซวเล่นเฉยๆ อย่าจริงจังดิ”



            “รู้ได้ไงว่ารู้สึกผิด” และน้ำเสียงกวนอารมณ์ก็ถูกส่งไปให้คนที่โทรมาหา



            “ไอ้จา บางทีฉันก็เกลียดนิสัยแบบนี้ของนายจริงๆ ช่างเถอะๆ ห้ามเบี้ยวงานเลี้ยงรุ่นด้วย อ้อ แล้วข้อความกลุ่มน่ะ หัดตอบบ้างนะ เพื่อนๆ คิดว่านายตายไปแล้วเนี่ย เงียบอยู่คนเดียว”



            “รับทราบครับ คุณเปรมมิกา”



            “ถ้ารับทราบก็ช่วยทำอย่างที่รับปากไว้ด้วยค่ะ คุณจาณีน ดิฉันล่ะดีใจจริงๆ ที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณ ไอ้เพื่อนบ้า”



            “ขอบใจนะ ที่เข้าใจเรา”



            “ฉันไม่ได้เข้าใจนายสักหน่อย แค่เลิกเข้าใจนายเท่านั้น”



            “สมเป็นเธอจริงๆ”



            “แน่นอน เดี๋ยวต้องไปก่อน ฉันต้องวางก่อนนะ ไว้เจอกันที่งาน”



            “อืม แล้วเจอกัน” จาณีนยิ้มให้กับคนปลายทาง แม้ว่าเปรมมิกาจะไม่เห็นก็ตาม



            เปรมมิกาเป็นเพื่อนในกลุ่มของจาณีน พวกเขาเริ่มรู้จักกันตั้งแต่วันรับน้อง แต่ยังไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก จนกระทั่งเริ่มเข้าคลาสเรียน เปรมมิกามีเพื่อนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นจาณีนทำหน้าเหรอหราเหมือนลูกหมาถูกทิ้งเดินเข้ามาในห้องเรียน หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่อยากจะช่วยเพื่อนคนนี้



            จาณีนค่อนข้างสนิทกับเปรมมิกามากที่สุดในกลุ่มเพราะเธอคนนี้ไม่ค่อยถามอะไรจาณีนให้ลำบากใจเท่าไหร่นัก ซ้ำยังอยู่ด้วยแล้วยังรู้สึกสบายใจ เปรมมิกามักมีเรื่องเราสนุกๆ ให้คนในกลุ่มรวมทั้งตัวเขาฟังอยู่เสมอ เธอเป็นคนดีที่พร้อมจะร้ายถ้าหากใครมาทำอะไรคนที่ใกล้ชิดกับเธอ



            “จา ทำไมทำหน้าแบบนั้น เป็นอะไร” ก่อนเริ่มเรียนวิชาในคณะของปีสอง จาณีนก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกๆ เปรมมิกาที่มักสังเกตเพื่อนทุกคนเป็นปกติอยู่แล้ว จึงถามจาณีนทันที



            “ไม่มีอะไร” จาณีนทำหน้าลำบากใจที่จะพูด



            “มีสิ บอกฉันได้มั้ย”



            “คือ... ปีสามมาขอเบอร์”



            “เอ้า ที่แท้มีคนมาจีบ ทำไมทำหน้าอย่างกินยาขม เขาเป็นยังไง สวยมั้ย หรือนายไม่ชอบ เขาแก่ไป หรือเขาไม่ใช่ สเป็ค”



            “ก็ไม่เชิง คือพี่เขาก็น่ารักนะ”



            “เอ้า แล้วมันยังไงล่ะ”



            “เขาเป็นผู้ชาย” จาณีนกระซิบเสียงเบาบอกคนช่างซัก



            “หา!!”



            “เบาๆ” จาณีนกระตุกแขนเพื่อนเพื่อให้เงียบเสียงลง



            “เอ่อ โทษที นายพูดว่าไงนะ ผู้ชายงั้นเหรอ”



            “อืม”



            “จา....”



            “หืม”



            “นายโอเคมั้ย”



            “ก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก”



            “ฉันเข้าใจนะ นายเป็นผู้ชาย แล้วการที่มีผู้ชายมาขอเบอร์เนี่ยมันเป็นเรื่องที่แปลกใช่มั้ยล่ะ นายคงทำตัวไม่ถูก ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเราไปจัดการให้เอง เรื่องแค่นี้สบายมาก” เปรมมิกาตบไหล่เพื่อนปุๆ เป็นการปลอบใจ พร้อมทั้งทำตัวเป็นพี่เลี้ยงสาวที่คอยดูแลน้องชายแม้ว่าจะวัยเดียวกันก็ตาม



            “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก จริงๆ แล้วเราไม่ได้รู้สึกแปลกๆ ที่มีผู้ชายมาขอเบอร์”



            “จา.. อย่าบอกนะว่านาย...” จาณีนพยักหน้าเบาๆ เปรมมิกามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความตะลึงคาดไม่ถึง



            “เราไม่ค่อยชอบพูดเรื่องส่วนตัว มิกะก็คงพอจะรู้ แต่เห็นว่าเป็นเธอ... จริงๆ แล้วเราไม่ชอบผู้หญิง” จาณีนเลี่ยงที่จะพูดว่าเขานั้นชอบผู้ชายออกไป หวังให้เปรมมิการู้สึกดีขึ้นมาบ้าง



            “เฮ้ย เรานี่โง่จริง ที่ดูนายไม่ออกแล้วยังเชียร์นายกับสาวๆ คนอื่นอยู่ตั้งหลายคน”



            “ขอโทษด้วยนะ”



            “ไม่เป็นไรหรอก อ้อ แล้วไม่ต้องกังวลเรื่องความชอบของนายด้วย เราไม่ได้อะไรกับเรื่องพวกนี้”



            “ขอบใจ”



            “อืม สรุปว่าไม่สบายใจเรื่องอะไร”



            “มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ปีสามคนนั้นเข้ามาขอเบอร์เรา ซึ่งเราก็ปฏิเสธเขาไปทุกครั้ง แต่พักหลังชักเริ่มมากขึ้น ก่อนที่เราจะเดินเข้ามา พี่เขาพูดว่าถ้าเรายังกล้าปฏิเสธเขาอีก ก็อย่าหาว่าเขาไม่เตือนละกัน” จาณีนเล่าเรื่องที่ตนเพิ่งเจอมา




            “ปัญญาอ่อนว่ะ คนไม่เอาก็ยังดันทุรัง แต่นายไม่ได้ชอบพี่เขาใช่มั้ย”



            “อืม เราไม่ได้ชอบเขา”



            “เดี๋ยวเรียนเสร็จพาไปชี้ตัวหน่อย” เปรมมิกาพูดอย่างหมายมั่น





            “มิกะจะทำอะไร”



            “เรื่องของเราเถอะน่า กล้ามายุ่มย่ามกับเพื่อนเรา เดี๋ยวเหอะ จะไม่ตายดี”



            “น่ากลัวไปแล้ว”



            “ปากพูดว่าน่ากลัว แต่หน้าตาดูไม่ใช่นะจา”



            “อย่างนั้นเหรอ”



            “คนอื่นตกหลุมใบหน้าซื่อๆ ของนายไปกี่คนกันแล้วเนี่ย ไอ้เพื่อนตัวแสบ”



            “เราไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย ช่วยไม่ได้ที่หน้าตาเราจะดูเป็นแบบนี้”



            “จ้ะๆ พ่อคนลึกลับ”



            นึกถึงวัยเรียน จาณีนก็ต้องยิ้มออกมาให้กับสระบัว เปรมมิกาใจดีและน่ารักเสมอ ซ้ำยังเข้าใจเพื่อนแต่ละคนได้เป็นอย่างดี เขาถือว่าโชคดีที่ได้เจอเพื่อนดีๆ อย่างเปรมมิกา



            “สระบัวนี้มีอะไรดี จาณีนถึงยิ้มเอาๆ พี่จะได้ซื้อไปติดที่บ้านบ้าง” เสียงทักข้างตัวทำจาณีนหลุดออกจากภวังค์ เขารีบหันไปตามเสียงแล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่



            “พี่หมอ”



            “พี่เอง...จะทักแค่พี่คนเดียวเหรอ” คำพูดคุณหมอ ทำให้จาณีนต้องมองเลยไปทางด้านหลัง



            “สวัสดีครับ คุณศมน” จาณีนลุกขึ้นพนมมือไหว้คนทั้งสองตามมารยาท



            “อืม นั่งเถอะจา” ชลทีและศมนรับไหว้เด็กหนุ่มตรงหน้า คุณหมอหนุ่มบอกเชิงอนุญาตให้เด็กหนุ่มนั่งลงได้ไม่ต้องกลัวเสียมารยาทอะไร



            “ทำไมพี่หมอถึงมาอยู่ที่นี่ได้”



            “โรงแรมนี้ จาเองก็น่าจะคุ้นเคยนะ เพิ่งปิดโปรเจ็คไปไม่ใช่เหรอ และเจ้าของเขาก็ยืนอยู่ตรงนี้”



            “ผมทราบครับ แต่ที่แปลกใจก็คือตอนนี้พี่หมอน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า”



            “โชคดีว่าแลกเวรได้อย่างเฉียดฉิว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเลยเข้าไปทีไร่ด้วย ถ้าไม่ติดอะไรก็ไปกับพี่หมอสิ”



            “อ่อ..ครับ” จาณีนตอบอีกฝ่ายไปส่งๆ เพราะใจอยากจะถามว่าแล้วทำไมถึงมากับคนข้างๆ ได้ใจจะขาด แต่ก็ต้องทำปากหนักไม่ถามออกไป เพราะมันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะ



            “พี่นั่งด้วยนะ” คุณหมอชลทียิ้มพร้อมเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งลงที่โต๊ะเดียวกันโดยไม่รอฟังคำตอบ



            “เชิญครับ แล้วคุณศ...” กำลังจะเอ่ยถามอีกคนแต่ก็เห็นคนที่ยังยืนอยู่รับโทรศัพท์ขึ้นมาเสียก่อน ศมนทำท่าขอตัวแล้วก็เดินหายไป ทิ้งให้จาณีนมองตามแผ่นหลังด้วยดวงตาละห้อย



            “งานเยอะเหลือเกินรายนั้น”



            “เรื่องงานก็เป็นประจำแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ หรือไม่ก็อาจจะเป็นคุณธัญชนก...” ช่วงท้ายเสียงของจาณีนแผ่วลง จิตใจห่อเหี่ยว ใบหน้าเศร้าจนคุณหมอชลทีสังเกตได้อย่างชัดเจน

 

  เด็กหนุ่มได้แต่คิดถ้าสองคนนั้นจะคุยโทรศัพท์กันนอกเหนือจากเรื่องงานมันก็ไม่แปลกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

 



           ‘ในเมื่อพวกเขาเป็นกำลังจะแต่งงานกัน’





            หัวใจเจ็บปวดขึ้นมาเมื่อตอนคิดถึงคำนี้ มันทำให้เขาเผลอยกมือขึ้นจับที่หน้าอกทันที หวังว่ามันจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจนี้ภายได้ ครั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากำลังอยู่ต่อหน้าคุณหมอหนุ่ม จาณีนก็รีบยกมือลงทันที แต่ท่าทางทั้งหมดก็ไม่ได้หลุดรอดพ้นจากสายตาของคุณหมอได้เลย



            “คิดมากเกินไปน่า แต่จา ดูเข้าใจมนนะ” ชลทีตั้งใจละเรื่องการแต่งงานและคุยเรื่องอื่นเพื่อให้บรรยากาศนั้นดีขึ้น



            “ถ้าเรื่องงานก็มันเป็นงานนี่ครับ พี่หมอเองก็งานเยอะใช่เล่น แวดล้อมของผมมีแต่คนงานยุ่ง ดูคุณกรกับคุณกานต์สิครับ ผมยังไม่เคยเห็นพวกเขาได้หยุดเลย” จาณีนพยักพเยิดไปที่โต๊ะถัดไปของบอดี้การ์ดฝาแฝด เห็นพันธกานต์ก็กำลังใช้โทรศัพท์ด้วยเช่นกัน



            “ก็ถูกของเธอ ศมนเลือกคนไม่ผิดจริงๆ”



            “ว่าไงนะครับ” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาจนจาณีนได้ยินไม่ชัด



            “ไม่มีอะไรหรอก แล้วทานอะไรหรือยัง”



“ยังเลยครับ”



 “จะสองทุ่มแล้ว ยังไม่ทานอะไรได้ไง เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก”



“ก็กำลังจะสั่งอยู่พอดีครับ”



“พี่คงเข้ามาขัดจังหวะสินะ ถ้าอย่างนั้นพี่หมอก็ขอนั่งทานด้วยสักมื้อ ได้มั้ย”



“ผมปฏิเสธพี่หมอได้ด้วยเหรอครับ” จาณีนยิ้มให้อีกฝ่าย



            “เข้าถึงความคิดคนแก่ได้ดีเสมอ ถือว่าให้เกียรติทานกับพี่นะครับ” คุณหมอชลทีบอกเสียงนุ่มเหมือนเวลาหลอกเด็กฉีดยายังไงยังงั้น ก่อนจะเรียกพนักงานให้ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ จาณีนได้แต่มองจานอาหารที่ถูกวางเรียงรายตรงหน้าจนกระทั่งเต็มโต๊ะ คุณหมอชลทีก็ยังเป็นคนเดิมที่จัดการอะไรเอาไว้ล่วงหน้าพร้อมหาวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้อยู่เสมอ



            “หิวแล้วล่ะ ทานกันเลยดีกว่า”



            “เดี๋ยวสิครับ ไม่รอคุณศมนก่อนเหรอครับ” จาณีนท้วงขึ้นมาก่อนที่คุณหมอจะเริ่มคำแรก



            “ไม่ต้องรอหรอก เสร็จแล้วเดี๋ยวเจ้าตัวก็มากินเองแหละ ถ้าอาหารหมดก็ให้สั่งใหม่”



            “คือ...” ไม่ใช่ว่าจาณีนจะไม่เคยทานอาหารก่อนอีกคน แต่ถ้าอยู่นอกบ้านแบบนี้เขาจะรอทานพร้อมอีกฝ่ายเสมอ



            อา...แต่สถานะของเขาในตอนนี้ยังจำเป็นต้องรอมั้ย



            “ไม่เป็นไรหรอก ทานเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย เจ้ามนไม่ว่าจาหรอก พี่มั่นใจ”



            “ผมไม่ได้กลัวคุณศมนจะไม่พอใจ” เขาแค่ไม่เคยทำต่างหาก





            “ทานเถอะเดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน” จาณีนเลยต้องเริ่มลงมือตามคำผู้อาวุโสกว่า



            “พี่หมอครับ”



            “ว่าไง” คุณหมอท่าทางจะเจริญอาหารอยู่ไม่น้อย เพราะจังหวะที่ตอบรับเด็กหนุ่มยังพูดไม่เต็มเสียงนัก



            “พี่หมอกับคุณศมนรู้จักกันได้ยังไงเหรอ”



            “นึกยังไงถึงถามเรื่องนี้” คุณหมอหนุ่มถึงกับต้องรีบกลืนข้าวให้หมดเพื่อจะได้ถามอีกฝ่ายได้ถนัด



            “ก็ผมอยากรู้”



            “ทั้งที่น่าจะถามตั้งแต่สี่ปีก่อน ไม่ใช่ว่ามีใครมาพูดอะไรให้ฟังเหรอ”



            “ปะ..เปล่าครับ ผมอยากรู้เองครับ”



            “รู้มั้ยว่าโกหกไม่ค่อยเก่ง จาณีน บอกพี่มาเถอะ ใครมาพูดให้ฟังล่ะ ถ้าเดาไม่ผิด เจ้านันท์หรือเปล่า” การเดาของคุณหมอชลทียังแม่นยำอยู่เสมอ



            “ก็...” จาณีนไปต่อไม่ถูก เพราะเขาก็ไม่ได้อยากโกหกคนตรงหน้า



            “ใช่จริงๆ ด้วยสินะ แต่เอาเถอะพี่จะไม่ไปเฉ่งเจ้านันท์หรอก นิสัยเจ้านี่มันคุยเก่งก็คงคุยไปเรื่อยนั่นแหละ”



            “ขอบคุณครับ” จาณีนโล่งอกที่ชลนันท์รอดตัว



            “งั้นเราทานไปด้วย เล่าไปด้วยก็แล้วกันนะ”



            “ครับ”



            “พี่เจอมนที่อเมริกา เจ้านั่นไปเรียน พี่เองก็ไปเรียน ตอนที่เจอมนครั้งแรก เจ้านั่นดูเบื่อๆ เซ็งๆ กับโลกใบนี้ พี่ก็เลยเข้าไปชวนคุย หลังจากนั้นมนมันก็คงรำคาญก็เลยยอมเป็นเพื่อนพี่ล่ะมั้ง”



            “แค่นี้เหรอครับ”



            “อืม อยากรู้อะไรเพิ่มล่ะ”



            “ก็เรื่อง..” จาณีนไม่รู้จะเริ่มเรื่องที่คาใจยังไงดี คนตรงหน้าก็แก่วัยกว่ามาก เขากลัวจะกลายเป็นละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากจนเกินไป จนดูเหมือนขาดความเคารพ




======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Seventeenth Drop -- 22 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 25-12-2017 11:46:41

            “ก็เรื่อง..” จาณีนไม่รู้จะเริ่มเรื่องที่คาใจยังไงดี คนตรงหน้าก็แก่วัยกว่ามาก เขากลัวจะกลายเป็นละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากจนเกินไป จนดูเหมือนขาดความเคารพ

   

           “ให้พี่เริ่มให้มั้ย เจ้านันท์คงพูดมากจริงๆ เอางี้ จาคงอยากรู้ว่าพี่กับมนเป็นอะไรกันใช่มั้ย”



            “.....” เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่เลือกพยักหน้ารับเบาๆ



            “ตอนนี้ก็คือพี่น้องที่คอยห่วงใยกัน แต่ก่อนหน้านี้เคยเป็น....คนรัก” ถึงจะไม่ผิดจากที่คิดแต่พอได้ยินจากปากเจ้าตัวก็ทำให้เด็กหนุ่มนิ่งไปเหมือนกัน



            “พี่หมอเกลียดผมมั้ย” จาณีนรีบถามอีกฝ่ายทันที เพราะเขาชื่นชอบและเคารพในตัวคุณหมอชลทีมาก หากต้องถูกเมินไปหลังจากนี้ เขาคงเสียใจเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน



            “คิดว่าพี่ควรเกลียดจามั้ย” จาณีนรีบส่ายหน้าทันที ไม่ว่าจะอย่างไร คุณหมอชลทีเป็นคนดี เขาไม่อยากถูกคนๆ นี้เกลียดเลย



            “พี่ไม่เคยเกลียดจา พี่ดีใจด้วยซ้ำที่มนเลือกจา แล้วอีกอย่างพี่กับมน เราสองคนก็เลิกกันก่อนที่จาจะเข้ามาเสียอีก”



            “ทำไมล่ะครับ” ได้ที จาณีนรีบถามต่อ



            “รักข้างเดียวน่ะ พี่รักมนข้างเดียว”



            “เอ๊ะ! จริงเหรอครับ”



            “ได้ยินไม่ผิดหรอก มนมองพี่เป็นแค่พี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น เป็นพี่เองแหละที่ทนไม่ได้ก็เลยตัดสินใจเลิกดีกว่า”



            “แต่พี่หมอก็ไม่ได้แต่งงาน”



            “รู้เยอะจริงเชียว เจ้านันท์คงจะเผาพี่ไปเยอะแน่ๆ ขอคืนคำที่บอกว่าจะไม่ไปจัดการได้มั้ย”



            “ไม่ได้ครับ ผู้ใหญ่พูดแล้วห้ามคืนคำ” จาณีนเว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “พี่หมอเล่าต่อสิครับ”



            “ใจร้อน... เพราะพี่เองยังรักมนอยู่ แต่พี่ไม่อยากกลับไปคบอีกแล้ว วิธีนี้มันดีสำหรับพี่ที่สุด รู้แบบนี้แล้วจาเกลียดพี่มั้ย” คุณหมอชลทีส่งคำถามเดิมย้อนกลับไปหาเด็กหนุ่ม



            “ผมไม่เกลียดพี่หมอหรอกครับ แต่ผมรู้สึกไม่ดีเพราะพี่หมอคงเสียใจมากแน่ๆ เลย”



            “เด็กดีจริงๆ” คุณหมอเอื้อมมือมาลูบศีรษะจาณีนเหมือนลูบหัวแมว จาณีนได้แต่หดคอลงเล็กน้อย





            “พี่ดีใจที่มนเลือกจา”



            “แต่ตอนนี้คุณศมนไม่ได้เลือกผมแล้ว”



            “อย่าทำหน้าเศร้าสิ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ”



            “เรื่องนี้...ผมว่าไม่ควรหาทางออกนะครับ ผมไม่อยากเป็นมือที่สามของใคร”



            “จาณีน...รู้มั้ยว่าที่ศมนทำไปทั้งหมดก็เพื่อเธอนะเด็กน้อย ทางนั้นเองก็ไม่ได้เจ็บไปน้อยกว่าเธอ จำคำพี่หมอไว้นะ ทุกอย่างที่มนทำย่อมมีเหตุผลและหวังดีกับเธอเสมอ เชื่อมั่นในตัวเขาให้มาก”



            “ผมก็เชื่อว่าคุณศมนมีเหตุผลครับ แต่การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่จะล้มเลิกลงได้โดยง่าย”



            “พี่หมอรู้ แต่การที่คอยหรือหลีกเลี่ยงไม่เจอกันแบบนี้ มันไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่หรอก จาเจ็บ ศมนเองก็เช่นกัน ไม่เห็นจะดีเลยใช่มั้ย พี่ไม่ได้บอกให้จายื่นมือเข้าไปเป็นมือที่สามของใคร แต่คนเลิกกันมันยังคุยกันได้ไม่ใช่เหรอ เหมือนพี่กับศมนนี่ไง”



            “แต่ผม...” มันดูลำบากใจไม่น้อยหากต้องเผชิญหน้ากับคนที่เพิ่งเลิกกันทั้งที่ยังรักอยู่แบบนี้



            “ลองเก็บเอาไปคิดดู เอ้า มนมาพอดี” คุณหมอหนุ่มรีบพูดก่อนที่คนเพิ่งเข้ามาใหม่จะทันได้ยิน



            “คุยอะไรกัน ไม่ใช่พูดถึงใครตอนที่เจ้าตัวเขาไม่อยู่ใช่มั้ยครับ พี่ชล”





            “มาถึงก็หาเรื่องเลยแฮะ สงสัยคงจะหิว ดีนะเนี่ยที่ฉันกับจายังไม่อิ่มเลยมีของเหลือตั้งหลายอย่างเอาไว้ให้นาย”



            “ขอบคุณที่พี่ยังอุตส่าห์เหลือไว้ให้ผม” ศมนค่อนแคะ จงใจเน้นคำว่า อุตส่าห์ ให้อีกฝ่ายกลับไป จาณีนเองรู้ว่าศมนนี่ปากคอไม่ธรรมดา แต่ไม่บ่อยที่เขาจะได้ยินต่อหน้าชัดเจนขนาดนี้



            ศมนเริ่มลงมือรับประทานอาหาร คงหิวอย่างที่คุณหมอหนุ่มพูดไว้จริงๆ บนโต๊ะอาหารเลยกลับมาเงียบอีกครั้ง จนกระทั่งอาหารบนโต๊ะนั้นพร่องไปเกือบหมด น่าแปลกที่ครั้งนี้ศมนไม่สั่งไวน์มาดื่ม เจ้าตัวยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า คงจะคิดว่าน้ำเปล่าที่ดื่มเป็นไวน์แทนกระมัง



            “แปลกใจเหรอจา เห็นมองตาไม่กระพริบ” คุณหมอถามขึ้นกลางโต๊ะ



            “ครับ”



            “มนไม่ดื่มไวน์ใช่มั้ย พี่สั่งห้ามเอง กลัวจะตายก่อนพี่ อย่าโกรธพี่ล่ะ”



            “ผมไม่ได้โกรธครับ แค่แปลกใจเฉยๆ”

 

          “พี่ชล คิดถึงจัง ไหนว่ามาไม่ได้ยังไงล่ะ” ผู้มาใหม่คนล่าสุดพุ่งเข้ามากอดชลทีจากด้านหลัง จาณีนหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นชลนันท์ น้องชายของคุณหมอหนุ่ม



            “โชคเข้าข้างเลยมาได้” คุณหมอหนุ่มตอบน้องชาย



            “สวัสดีครับพี่มน สวัสดีคุณจาอีกรอบ” ชลนันท์ยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า แต่แค่เพียงพยักหน้าทักทายยิ้มให้กับจาณีนเท่านั้น



            “สวัสดี”



            “แปลกใจนะเนี่ย ที่พี่ทั้งสองคนจะมาพร้อมกันแบบนี้”



            “ไม่เห็นแปลกเลย มาคนเดียวเหรอไง ไม่พาแฟนมาด้วยล่ะ” ชลทีถามถึงแฟนสาวของน้องชายที่มีแพลนจะแต่งงานด้วยกันเร็วๆ นี้



            “ลงไปทำธุระที่เมืองกรุงครับ”



            “น่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไรหรอก ไว้เจอวันงานก็ได้”



            “ครับ พี่จะขึ้นไปไร่เลยมั้ยหรือจะค้างที่นี่ก่อน”



            “อืม ไปเลยดีกว่า คิดถึงไร่แล้ว” คุณหมอบอกน้องชายก่อนจะหันมาบอกจาณีน




“จา เดี๋ยวพี่หมอขอตัวก่อน พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่มารับนะ” พูดเสร็จก็ก้มหน้าเข้าไปใกล้กระซิบให้

ได้ยินเพียงสองคนว่า “แล้วเรื่องที่พี่บอกอย่าลืมเก็บเอาไปคิดล่ะ” คุณหมอชลทีย้ำคำพูดกับจาณีนอีกครั้ง


         

   “ครับ”



            “คุยอะไรกัน ตอนที่ผมไม่อยู่” ศมนถามคุณหมอขึ้นมาด้วยความไม่ไว้ใจ



            “อย่าระแวงนักเลยน่า ฉันไปล่ะ” ชลทีตบบ่าศมนเบาๆ แล้วก็เดินคล้องคอน้องชายออกไป





            ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง ไร้ซึ่งการสนทนา จาณีนไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เขาควรลุกออกไปตอนนี้ดีมั้ย หรือจะหาเรื่องชวนคุย เขามองไปที่สระบัวอีกครั้ง พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด แต่สุดท้ายความเงียบนี้กำลังกัดกินใจให้เขาเป็นบ้า



            “ถ้าไม่มีอะไร ผมขอตัวนะครับ” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถอย จาณีนถอยเก้าอี้ออกเพื่อเตรียมลุก



            “มีธุระต่อเหรอ”



            “ไม่มีครับ”



            “ไปเดินเล่นกับฉันมั้ย” ศมนเอ่ยปากชวน





            “เอ่อ...”



            “แค่เดินเล่น ไม่เป็นไรหรอก ว่ามั้ย”



            “ก็ได้ครับ”



            ศมนพาเด็กหนุ่มออกเดินไปเรื่อยๆ โดยมีบอดี้การ์ดฝาแฝดเดินตามอยู่ห่างๆ จาณีนเห็นพันธกานต์ยังใช้โทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม น่าแปลก เพราะพันธกานต์ไม่ติดโทรศัพท์มากขนาดนี้ บรรยากาศตอนกลางคืนมีลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ พอให้คลายร้อน ร้านรวงหลายร้านยังเปิดไฟสว่างเพื่อรอให้บริการลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ความคึกคักมีมาให้ได้ยินทั่วสองฝั่งถนน ทั้งร้านอาหาร ร้านนมเพื่อสุขภาพ หรือแม้กระทั่งร้านที่เต็มไปแอลกอฮอล์เคล้าเสียงเพลง แบบไหนก็มีมาให้เลือกทั้งนั้น ถูกใจร้านไหนก็เข้าไปโดยไม่ต้องรีรอ



            “อยากเข้าร้านไหน ก็บอกนะ”



            “ไม่เป็นไรครับ ผมขอเดินดูให้ทั่วๆ ก่อนดีกว่า”





            “ตามใจ”



            “คุณมาที่นี่เพราะเรื่องงานเหรอครับ”



            “นั่นก็ส่วนหนึ่ง” ศมนเว้นคำพูด สักพักก่อนจะพูดต่อ



“แต่ถ้าให้พูดตามตรงเหตุผลหลักที่มานี่ก็คงเป็นเพราะเธอ”



            “คะ..ครับ” เหมือนถูกค้อนตีหัวจังๆ เลยแฮะ เล่นเอามึนกับคำตอบไปเลย



            “ตอนนี้ฉันยังกลับมาคบกับเธอไม่ได้ แต่ช่วยรอฉันหน่อยได้หรือเปล่า” จาณีนเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก วันนี้ศมนกินยาอะไรผิดขวดมาหรือ ถึงพูดเข้าเรื่อง ลงหมัดหนักตั้งแต่ยกแรกแบบนี้ เขานี่เข่าแทบทรุดถ้าไม่ฝืนตัวเองไว้คงจะล้มกองกับพื้นไปเรียบร้อยแล้ว



            “คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่” จาณีนหยุดเดินตรงที่มีคนไม่ค่อยพลุกพล่านพอดี เขาประจัญหน้ามองอีกฝ่ายให้ถนัดตา



            “การแต่งงานครั้งนี้มันมีเหตุผล ฉันไม่ได้ต้องการจะแต่งงานกับธัญชนก แต่คุณพ่อของฉันอยากมีหลาน เธอเองก็คงจะเคยได้ยินใช่มั้ยว่าพอของฉันพูดเรื่องหลานกับฉันหลายครั้งแล้ว”



            “.....” จาณีนพยักหน้าหงึกหงักกลับไป เขาเองก็เคยคิดว่าเป็นเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เพราะเขาเคยได้ยินจากพันธกรและพันธกานต์บ่นเรื่องทายาทคนต่อไปหลายครั้งโดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าเขาได้ยิน แม้กระทั่งตัวเขาเองก็เคยได้รับโทรศัพท์จากท่านเจ้าสัวด้วยซ้ำ แต่เพียงครั้งเดียว โทรศัพท์จากเจ้าสัวก็ไม่เคยถูกติดต่อมาอีก



            “ครั้งนี้ถ้าฉันหลีกเลี่ยงการแต่งงานอีก ผลร้ายมันจะเกิดขึ้นกับเธอ” จาณีนได้แต่อึ้งไปกับคำตอบเพราะไม่คิดว่าเจ้าสัวจะเอาเขามาเป็นตัวประกันแบบนี้



            “ฉันคิดมาหลายครั้งแล้วว่าจะบอกเธอเรื่องนี้ดีหรือไม่ แต่ฉันไม่อยากจะทรมานตัวเองอีกต่อไป ก็เลยตัดสินใจที่จะบอกเธอเสียที”



            “บอกผมแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรเหรอครับ”



            “อย่างน้อยฉันก็หวังว่าเธอจะเห็นใจและไม่หลบหน้าฉันอีก แล้วที่สำคัญฉันอยากให้เธอระวังตัวเอาไว้ให้มาก”



            “ระวังตัว”



            “ใช่ ระวังคนจากพ่อของฉันเอง น่าขันนะ คนที่คิดไม่ดีควรจะเป็นศัตรูของเราแต่กลับกลายเป็นคนในครอบครัวเราเอง ฉันขอโทษเธอด้วยนะ จาณีน”



            “ขอบคุณที่อธิบายความจริงให้ผมฟังนะครับ แต่เราคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะคุณยังต้องแต่งงานกับคุณธัญชนกอยู่ดี”



            “ก็ถูกของเธอที่ฉันต้องแต่งงาน ขอแค่เธอไม่หลบหน้ากันเหมือนเดิมฉันก็พอใจแล้ว”



            “ผมไม่ได้หลบหน้าคุณ ผมแค่ไม่อยากไปเจอคุณเท่านั้น คุณเองก็มีพันธะอยู่แบบนี้ คุณ

อยากให้ผมทำตัวยังไงกันเหรอครับ”



            “การพบกัน มันไม่จำเป็นต้องมีแต่เรื่องบนเตียง”



“ขอโทษครับ ผมไม่เข้าใจ”



“ถึงเราจะเลิกกันแต่เราก็สามารถเป็นคนที่ยังรักกันได้ไม่ใช่หรือ”



“....” จาณีนไม่มีคำตอบ เพราะเขาไม่รู้ว่ามันยังเป็นได้หรือเปล่า



“ฉันอยากเจอเธอ คุยกับเธอ ในฐานะคนรู้จักที่ยังรักกันไม่ได้หรือ”





“คนรู้จักที่ยังรักกันเหรอครับ ผมคิดว่าคุณธัญชนก เธอไม่น่าจะรับได้และผมเองก็ไม่เข้มแข็งเท่าพี่หมอที่จะเห็นคนรักเก่าและคนรักใหม่รักกัน”




“พี่หมอเล่าให้เธอฟังเหรอ...ถ้าอย่างนั้นเธอลองบอกฉันหน่อยสิว่าต้องทำยังไง มันถึงจะดีกับทุกฝ่าย”



“ผม...ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา



“ที่เป็นอยู่แบบนี้เธอมีความสุขดีแล้วใช่มั้ย”



“ถ้าเราใจตรงกัน ผมเองก็คงเป็นเหมือนกับคุณ” จาณีนพูดตามความจริง



“ฉันเสียใจทุกครั้งที่เห็นเธอร้องไห้ ฉันอยากให้เธอยิ้ม แต่เรื่องนี้มันคงหนักเกินไปสำหรับเธอ”



“เรื่องของเรามันเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ไม่มีคำตอบ มีแต่คำถามวนเวียนไปมา”



“ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งมันจะมีรอยรั่ว” ศมนแย้ง



“ผมก็หวัง...” และเด็กหนุ่มก็เลือกยอมรับ



ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก จาณีนออกเดินต่ออีกครั้งโดยมีศมนเดินอยู่ข้างกาย พวกเขาเดินผ่านร้านนั้นร้านนี้มากมาย ร้านไหนน่าสนใจหน่อยก็ถูกดึงดูดให้แวะชมอยู่นานหน่อย แล้วก็เปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง จาณีนมองนาฬิกาตรงล็อบบี้ของโรงแรม พบว่าพวกเขาใช้เวลาเดินเล่นร่วมชั่วโมงทีเดียว ถึงว่าเหงื่อซึมเต็มแผ่นหลัง


         

   “คุณศมนครับ ผมขอตัวก่อน”



            “อืม” ศมนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็เหลือเพียงคำสั้นๆ ไว้เพียงคำเดียว





            “คุณเองก็ไปอาบน้ำด้วยสิครับ เดินมาตั้งนานแล้ว น่าจะเหนียวตัว อีกครึ่งชั่วโมง ค่อยออกไปข้างนอกกันอีกรอบมั้ยครับ” จาณีนเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เด็กหนุ่มยื่นข้อเสนอไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า



            “ตกลง” สร้างความแปลกใจให้ศมน แต่มีหรือที่ชายหนุ่มจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยออกไป



            “ครับ ถ้าเสร็จแล้วก็มาเจอกันตรงนี้ละกัน” เด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าเจ้าของโรงแรมหนุ่มไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มที่ติดอยู่บนริมฝีปากของคนสูงวัยกว่า



            ศมนกำลังอาบน้ำพลางคิดเรื่องที่ตัดสินใจบอกเรื่องทั้งหมดให้กับจาณีนได้รับรู้ เขาไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจถูกหรือเปล่า แต่จาณีนเป็นเด็กที่ชอบความชัดเจน ภาวะคลุมเครือเป็นอะไรที่เจ้าตัวไม่ชอบ และมักหาทางออกโดยไม่ถูกต้องนัก ถ้าจะนึกย้อนกลับไปก็ตั้งแต่เรื่องที่จูบกับไตรภัทรนั่นแหละ ที่พิสูจน์ความรวนเรในจิตใจของเด็กหนุ่มได้ดี



            พูดได้เต็มปากว่าเขาไม่มีความสุขเลย เขาจึงมุ่งมั่นอยู่กับงานเพื่อให้เหนื่อยแล้วจะได้หลับง่ายๆ เพื่อไม่ให้ต้องคิดอะไร เขาเกือบจะเหมือนคนที่คอยย้ำคิดย้ำทำ และกลายเป็นคนบ้าไปพร้อมกัน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อคหน้าจอ เปิดโปรแกรมสนทนา ตั้งท่าจะพิมพ์ข้อความแล้วก็ปิดโปรแกรมนั้นลง ล็อคจอคืน แล้ววางโทรศัพท์ลงเหมือนเดิม สักพักก็หยิบขึ้นมาใหม่ ทำแบบนี้วนไปเรื่อย



คุณหมอชลทีเป็นอีกคนที่คอยเทียวแวะเทียวมาหาเขาอยู่เสมอที่บ้านใหญ่ เพราะเจ้าตัวรู้ว่าเขาเครียดกับเรื่องนี้ไม่น้อย ทำให้ต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม คุณหมอหนุ่มเลยมักจะใช้ความเป็นพี่นั้นออกคำสั่งให้เขาพักผ่อนแล้วนอนรับวิตามินเข้าเส้นเลือดอยู่เนืองๆ


 

           รวมถึงแผนการที่ให้จาณีนทำโปรเจ็คนี้ก็เช่นกัน ทางไร่สายชลเองก็มีการจัดทำระบบใหม่ขึ้นจริงๆ คุณหมอหัวใสเลยปิ๊งไอเดียให้เลือกบริษัทของจาณีนแล้วตระเตรียมกับกตพลอีกนิดหน่อย ขอร้องหัวหน้าของจาณีนให้ยอมปล่อยเด็กหนุ่มคุมงานนี้เพียงลำพัง โชคดีที่กตพลตั้งใจให้จาณีนดูแลโปรเจ็คนี้คนเดียวอยู่แล้ว ศมนและคุณหมอเลยไม่ต้องหว่านล้อมอะไรให้มากมายนัก นอกจากคำขอบคุณที่มอบให้ไปเท่าไหร่ก็ไม่หมด

 

           ระหว่างที่เขายังไม่ได้แต่งงานและรอผลิตทายาทนั้น ศมนเลยให้วิมาลา พาน้องไนท์ไปหาคุณตาบ่อยๆ พ่อของเขาจะได้ไม่เหงานัก ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจพ่อของเขา เขารู้ว่าทายาทรุ่นต่อไปมีความสำคัญต่อตระกูลแค่ไหน น้ำพักน้ำแรงที่พ่อของเขาได้ลงมือทุ่มเททั้งกายและใจลงไปนั้นเจ้าตัวก็คงไม่อยากให้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น ถึงจะเป็นญาติแต่มันก็คงไม่อุ่นใจเท่ากับคนในครอบครัวโดยตรง เขาเข้าใจแต่ใช่ว่าบางเรื่องมันจะทำได้ง่าย       

 

          แน่ล่ะเขาไม่สามารถนอนกับผู้หญิงได้ เรื่องนี้ยังต้องหาวิธีที่จะทำให้ธัญชนกไม่ตะขิดตะขวงใจว่าทำไมเจ้าบ่าวหรือสามีในอนาคตนั้นไม่ยอมร่วมหลับนอนด้วย แถมยังต้องใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในการผลิตทายาท ไม่ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ คุณพ่อของเขาก็กระไร โยนโจทย์มาแต่ไม่ให้แนวทางมาด้วย มันยากเหมือนกันที่จะต้องหาคำพูดให้หญิงสาวเชื่อ



ให้ตายเถอะ ธัญชนกเองก็เป็นคนดีเกินกว่าที่จะต้องโดนหลอกมาแต่งงาน คอยฟังคำโกหก ถึงแม้หญิงสาวจะรักในตัวเขาจริงก็ตาม



ใช่ ... เขารู้ว่าธัญชนกชื่นชมและมองเขาเพียงคนเดียวตั้งแต่เริ่มเข้าวัยสาวจนถึงตอนนี้ ดังนั้นการที่แต่งงานคงเหมือนความฝันที่ธัญชนกเคยวาดหวังไว้ เพราะหญิงสาวมีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา ทรัพย์สิน รวมถึงความรู้ ธัญชนกไม่ด้อยกว่าใคร ไม่เคยต้องไขว่คว้าอะไรให้ลำบาก เขาเลยเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่หญิงสาวอยากจะคว้าให้ได้มา



ถ้าโชคดีแผนการที่เขาวางไว้มันสำเร็จ เรื่องราวพวกนี้ก็จะหายไป เขาไม่ต้องแต่งงานกับธัญชนกอีกต่อไป และถ้าจาณีนยังไม่เปลี่ยนใจหรือต่อให้เปลี่ยนใจไป เขาก็จะพยายามดึงเด็กคนนั้นให้กลับมาอยู่กับเขาให้จงได้ จะอย่างไรแล้ว ไม่มีวันที่เขาจะยอมปล่อยจาณีนไป



เมื่อถึงวันนั้น เขาควรจะบอกความจริงแล้วปลุกธัญชนกขึ้นมาจากฝัน หรือ...จะปล่อยให้เธออยู่ในความฝันต่อไป





===========================



เมอร์รี่ คริสต์มาสค่ะ Happy Merry Christmas!!  :mew1:

คอมเมนท์ติชมได้เลยนะคะ เต็มที่เลยค่ะ



ฝากเพจ เฟซบุ๊ค ด้วยค่า https://www.facebook.com/akanae14/

ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan



ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ

PS ใกล้จบแล้ววววววววว อีกไม่กี่ตอนแล้ว
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighteenth Drop -- 25 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-12-2017 19:06:02
สนุกมากค่ะ ลากอ่านยาวมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด สงสารทุกฝ่ายจริงๆ
*** การเว้นระยะห่างของพาร์ท อดีต/ปัจจุบัน หรือของคนนั้น/คนนี้ ลองปรับบรรทัดอีกหน่อยดีไหมค่ะ จะได้เห็นชัดเจนขึ้น เพราะบางครั้งดิฉันอ่านยังรู้สึกงงอยู่ว่ามันเรื่องของอดีตเหรอ อ้าว!!! เป็นความคิดเป็นตอนของคนนี้พูดแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighteenth Drop -- 25 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 26-12-2017 20:52:13
สนุกมากค่ะ ลากอ่านยาวมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด สงสารทุกฝ่ายจริงๆ
*** การเว้นระยะห่างของพาร์ท อดีต/ปัจจุบัน หรือของคนนั้น/คนนี้ ลองปรับบรรทัดอีกหน่อยดีไหมค่ะ จะได้เห็นชัดเจนขึ้น เพราะบางครั้งดิฉันอ่านยังรู้สึกงงอยู่ว่ามันเรื่องของอดีตเหรอ อ้าว!!! เป็นความคิดเป็นตอนของคนนี้พูดแล้วเหรอ

ขอบคุณมากค่ะ น้อมรับไปปรับปรุงค่ะ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighteenth Drop -- 25 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-12-2017 11:10:22

Nineteenth Drop


 

            “สวัสดีค่ะ คุณอิทธิ นัดธัญออกมาร้านกาแฟตั้งแต่เช้า แสดงว่าเรื่องนั้นทราบแล้วใช่มั้ยคะ” ธัญชนกยิ้มแย้มถามคนที่ตนว่าจ้าง

 

           “ใช่ครับ นี่ครับประวัติและรายละเอียดทั้งหมด” นักสืบเอกชนเลื่อนซองเอกสารสีน้ำตาลไปให้หญิงสาวตรงหน้า



            “เปิดดูได้เลยมั้ยคะ” ธัญชนกถามก่อนเพื่อความปลอดภัย ยังไงเธอก็ยังต้องปกป้องชื่อเสียงของศมนและบริษัทไว้ด้วย



            “ได้เลยครับ”



            เมื่อได้ยินคำบอกจากอิทธิ นักสืบเอกชนแล้ว ธัญชนกค่อยหยิบกระดาษออกมาจากซอง

เอกสารนั้น เมื่อลองอ่านดูก็พบว่าเป็นประวัติส่วนตัวและการศึกษาของเจ้าตัว ซึ่งไม่พบอะไรผิดปกติ



            “คุณธัญ หยิบรูปในซองออกมาสิครับ” อิทธิแนะ ธัญชนกจึงหยิบรูปออกมา ซึ่งมีหลายรูปด้วยกัน



            “รูปที่คุณธัญดูอยู่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานครับ คุณทราบหรือเปล่าว่าคุณศมนไปเชียงใหม่”



            “ทราบค่ะว่าคุณศมนไปเชียงใหม่ แต่ไม่คิดว่าคุณจาจะอยู่ที่นั่นด้วย” หญิงสาวตอบ





            “คืองี้ครับ บริษัทของคุณจาได้รับการว่าจ้างจากไร่สายชล และคุณจาเป็นตัวแทนในครั้งนี้ครับ เมื่อวาน คุณจาเจอกับคุณศมน รวมถึงคุณหมอคนนี้ด้วยครับ” อิทธิชี้ไปที่รูปของคุณหมอชลที



            “คนนี้คือคุณหมอชลทีค่ะ ธัญเคยได้คุยครั้งสองครั้ง เขาสนิทกับพี่มนมากค่ะ”



            “ครับ ถ้างั้นผมขอสรุปสั้นๆ เลยนะครับ เพราะรายละเอียดอยู่ในซองนี้แล้ว”



            “เชิญค่ะ”



            “ที่ผมจะพูดอาจจะทำร้ายจิตใจคุณธัญไปบ้าง แต่จากที่สืบมามันคือเรื่องจริง ก่อนหน้าที่คุณศมนจะประกาศแต่งงานกับคุณธัญนะครับ คุณศมนพักอยู่ที่คอนโดแห่งหนึ่งภายใต้ชื่อคุณจาณีน และเขาสองคนอาศัยอยู่ร่วมกันครับ”



“ค่ะ” ธัญชนกรับคำด้วยภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย



“ส่วนเรื่องคุณจาไปเชียงใหม่เพื่อทำงานตามที่ได้รับมอบหมายครับ และการเจอกันระหว่างคุณจากับคุณศมนนั้น ผมไม่ได้สืบมา คุณธัญอยากให้ผมสืบเพิ่มด้วยหรือเปล่าครับ”



            “ไม่เป็นคะ แค่นี้ธัญก็ว่าน่าจะพอเดาอะไรได้แล้วค่ะ”



            “ถ้าต้องการให้ผมสืบเพิ่มก็โทรมาได้เลยนะครับ”



            “ขอบคุณค่ะ นี่ค่ะ ค่าตอบแทน” ธัญชนกหยิบเช็คในกระเป๋าส่งให้อีกฝ่าย อิทธิกล่าวขอบคุณและสักพักก็ลุกออกจากร้านไป ทิ้งไว้เพียงธัญชนกที่ยังนั่งอยู่ตามลำพัง



            ไม่ผิดจากที่เธอคิด เซนส์ของผู้หญิงนั้นแรงเสมอ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าศมนจะรักชอบพอกับผู้ชายด้วยกันก็ตาม แต่ธัญชนกก็หัวสมัยพอที่จะเข้าใจ เพราะเพื่อนที่ต่างประเทศของเธอก็มีแฟนเป็นผู้ชายหลายคน ออกจะเปิดเผยด้วยซ้ำ



            เธอจะทำยังไงต่อไปดี ในใจก็รู้สึกโกรธที่ศมนทำแบบนี้เพื่ออะไร ในเมื่อมีคนรักชอบกันอยู่แล้ว ทำไมถึงมาแต่งงานกับเธอ หรือว่าเรื่องนี้อาจจะมีเบื้องหลังอะไรบางอย่าง เธอจะต้องรู้ความจริงให้ได้



            คิดได้อย่างนั้น ธัญชนกจึงกดโทรศัพท์โทรออกไปหาคนที่เพิ่งเจอกันเมื่อสักครู่



            “คุณอิทธิคะ ธัญมีเรื่องอยากให้คุณสืบอีกนิดค่ะ”



            “ยินดีครับ เรื่องอะไรครับ”





            “ช่วยสืบสาเหตุที่คุณศมนมาแต่งงานกับธัญให้หน่อยสิคะ ธัญอยากทราบว่าเพราะอะไร”



            “ได้ครับ ผมจะรีบสืบมาให้”



            “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวว่าพลางกดวางสาย





            .

            .

            คุณหมอหนุ่มมาเคาะห้องพักของจาณีนตั้งแต่เช้าเพื่อชวนอีกฝ่ายไปไร่สายชลด้วยกัน ทีแรกจาณีนตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจสู้เหตุผลมากมายของคุณหมอชลทีที่ยกมามากมายเหลือเกิน จนในที่สุดจาณีนเลยต้องตอบตกลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



            จาณีนรีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว ถึงแม้คุณหมอชลทีจะบอกว่าไม่ต้องรีบก็ตาม ซ้ำยังกระชับเด็กหนุ่มว่ายังไม่ต้องเอากระเป๋าออกไปเช็คเอาท์เพราะคืนนี้ก็กลับมานอนที่นี่ไม่ได้ค้างที่ไร่ ให้เอาไปแต่ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นก็พอ จาณีนรับคำแล้วก็หายเข้าไปอาบน้ำ



            ลุงศักดิ์ยืนยิ้มแป้นอยู่ข้างรถตู้คันที่เคยมารับจาณีนที่สนามบิน เด็กหนุ่มขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย พอขึ้นไปก็เจอสองพี่น้องที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว จาณีนเอ่ยทักทาย



เก้าอี้ด้านหน้าประตูถูกพับเก็บเพื่อให้จาณีนเดินเข้าไปนั่งแถวต่อไปได้ถนัด แต่เมื่อเข้าไปนั่งก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นศมนนั่งอยู่แถวนี้เหมือนกัน เขากำลังดูอะไรบางอย่างในอุปกรณ์สื่อสารที่มีขนาดใหญ่กว่ามือถือ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มก้าวเข้ามานั่งจึงเก็บเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นเก็บ จาณีนเห็นแบบนั้นใจนึกอยากจะเปลี่ยนใจไปนั่งแถวหลังสุดทันทีแต่ก็ไม่ได้ทำเพราะไม่อยากให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่



วันนี้ชายหนุ่มแต่งตัวคล้ายๆ กับจาณีน เสื้อยืดสีเทาเกือบดำ กางเกงยีนส์สีเข้ม สวมแว่นกันแดดสีดำกลมกลืนกับผมสีดำของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เด็กหนุ่มนั้นสวมเสื้อยืดสีฟ้าอ่อน กางเกงยีนส์สีซีดขาเดฟ มีแว่นตาสีชาเกี่ยวขาไว้ที่คอเสื้อ ทั้งคู่ไม่ได้เซทผมแต่อย่างใดปล่อยให้ผมหน้าปรกลงมาตามธรรมชาติ



            “หลับสบายมั้ย”



            “สบายครับ”



            “ถ้าไม่สะดวกสบายตรงไหนก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องลำบากใจ ถือซะว่าเป็นคำติชมมาปรับปรุงโรงแรม”




            “ครับ”



            “หยุดคิดเรื่องงานบ้างเถอะ พ่อนักธุรกิจใหญ่ ได้มาพักทั้งทีแต่ยังวนเวียนแต่กับเรื่องงาน จริงมั้ย จา” คุณหมอ  ชลทีหันไปต่อว่าชายหนุ่มก่อนจะหันมาทางจาณีนเพื่อหาเสียงเพิ่ม



            “เอ่อ..คงงั้นมั้งครับ” เขาได้แต่อ้อมแอ้มตอบอีกฝ่ายกลับไป เพราะนิสัยของจาณีนมักไม่ค่อยจู้จี้หรือห้ามชายหนุ่มคนข้างๆ ให้หยุดคิดหรือเลิกทำงานนัก น้อยครั้งจริงๆ ถึงจะเปรยๆ ออกมาบ้าง



            “พี่ชลก็อย่าบ่นเยอะเลยครับ เดี๋ยวจะแก่เร็วเสียเปล่าๆ”



            “ว่าพี่เหรอมน เดี๋ยวก็ไม่ช่วยเสียหรอก” คุณหมอชลทีคาดโทษอีกฝ่าย



            “ช่วยอะไรครับ” จาณีนถามออกไปด้วยความสงสัย



            “ช่วยดูแล จา แทนยังไงล่ะ” ถ้าต้องยกรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมให้ เห็นทีปีนี้คงจะต้องตกเป็นของคุณหมอหนุ่มแน่ๆ เพราะปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นคุณหมอใจดีทันทีเมื่อเห็นมาบอกจาณีน



            “เอ่อ...” เมื่อได้ยินคำตอบ เด็กหนุ่มถึงกับไปต่อไม่ถูก จาณีนจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนกลับไปให้





            โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นขึ้นมา จาณีนจึงล้วงไปหยิบออกมาด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะเขาสวมกางเกงยีนส์พอดีตัว ขยับตัวยุกยิกอยู่สักพักจึงสำเร็จก่อนจะกดดู มันทำให้เด็กหนุ่มต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจเพราะคนที่ส่งข้อความมาคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา







            ‘เมื่อคืน ขอบใจเธอมาก’







            จาณีนอ่านข้อความดังกล่าวแล้วก็เข้าใจได้ดีว่าหมายถึงอะไร  เขาเลยกดอะไรลงไปก่อนจะเก็บมันคืนลงในกระเป๋ากางเกงดังเดิม





            ‘เช่นกันครับ’





            บรรยากาศภายในรถค่อนข้างเป็นกันเอง ยิ่งระหว่างศมนและจาณีนทั้งสองคนด้วยแล้ว คุณหมอชลทีรู้สึกว่าทั้งคู่ผ่อนคลายลงไปมาก ไม่มีอาการเกร็งเหมือนเมื่อวานตอนทานมื้อค่ำด้วยกัน คาดว่าหลังจากที่เขาออกไปกับชลนันท์แล้วคงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ขึ้นมาบ้าง คุณหมอได้แต่ลอบยิ้มกับตัวเอง แล้วก็คอยฟังชลนันท์เล่าเรื่องในไร่ให้ฟังจนกระทั่งรถจอดสนิทที่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่




            “เร็วแฮะ ถึงแล้วเหรอ มัวแต่ฟังนันท์โม้เรื่องนั้นเรื่องนี้เพลินเลย” คุณหมอหนุ่มลงมาจากรถคนแรกก่อนที่คนอื่นที่เหลือจะตามลงมาจนครบ



            “พี่ชลพูดอย่างกับว่าผมเล่าเรื่องไร้สาระให้ฟัง ทั้งที่เป็นเรื่องในไร่ทั้งนั้นเลยนะครับ”



            “ก็ไม่ได้บอกว่าไร้สาระสักหน่อย ร้อนตัวไปได้”



            “ชอบแกล้งผมจริงๆ”





            “งอนเป็นเด็กๆ จะแต่งงานอยู่วันสองวันนี้แล้ว จะไหวมั้ย”



            “พี่ก็เวอร์ไป งานอีกตั้งสองเดือน เออจริงสิ ผมเห็นข่าวว่าพี่มนก็จะแต่งงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ จะแต่งเมื่อไหร่ แล้วแฟนพี่ทำไมไม่มาด้วยกันล่ะครับ” คำถามง่ายๆ ของชลนันท์ทำให้จาณีนต้องหันไปมองศมนทันทีเพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน



            “คุณธัญติดงาน ส่วนวันงานยังไม่ได้เลือกวันเลย”



            “เหรอครับ ไว้วันหลังชวนคุณธัญขึ้นมาเที่ยวที่นี่ด้วยสิครับ”



            “อืม”



            “ป่ะ ขึ้นบ้านกันเถอะ คิดถึงอาหารที่บ้านใจจะขาด” คุณหมอชลทีรีบเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ก่อนที่จะเกิดอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้



            ครั้งนี้เจ้าของไร่ไม่ได้พาเที่ยวชมไร่เหมือนเดิมเพราะทุกคนต่างก็เคยมาที่นี่แล้วทั้งนั้น ช่วงบ่ายชลนันท์ เลยไหว้วานให้คุณหมอพาศมนกับจาณีนไปเที่ยวแทน แต่ชลทีกลับไม่ได้ทำตามคำที่น้องชายฝากไว้



            “มน” คุณหมอหนุ่มเดินออกมาหาคนถูกเรียกที่บริเวณระเบียงหน้าบ้าน



            “ครับ”



            “นายพาจาไปเที่ยวที่น้ำตกสิ” ผู้เป็นพี่เสนอความเห็น



            “พี่ชลก็พาเขาไปเองสิครับ”



            “คนเขาอุตส่าห์หาโอกาสให้ ยังไม่รู้จักคว้าไว้อีก มันไม่น่าช่วยเลย”



            “ขอบคุณนะครับ”



            “ขอบคุณแล้วยังไง ยังนั่งนิ่งอยู่อีก ไปสิ ไปรอที่รถเดี๋ยวพี่จะให้คนขับรถไปส่งที่ทางเข้าน้ำตก”



            “พี่ชลไม่ไปด้วยเหรอ”



            “ไปให้เป็นก้างเหรอ ลุกๆ ไปได้แล้ว พี่จะไปตามจาให้” คุณหมอหนุ่มดึงแขนรุ่นน้องให้ลุกขึ้น พลางดันหลังให้รีบลงจากเรือนไป



            ชลทีมองตามแผ่นหลังที่กำลังลงบันไดไป สักพักจาณีนที่ไปเข้าห้องน้ำก็เดินกลับออกมา คุณหมอเลยจัดแจงบอกให้เด็กหนุ่มรีบตามไปขึ้นรถโดยเร็ว จาณีนก้าวขึ้นรถตู้ไปโดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย



            “อ้าว พี่ชลไปไม่ด้วยเหรอครับ” จาณีนถามขึ้นลอยๆ ขึ้นมานั่งบนรถก็ต้องแปลกใจที่ชลทีไม่ได้ตามขึ้นมาด้วย ซ้ำรถยังแล่นออกไปราวกับรู้จำนวนสมาชิกของการไปครั้งนี้ได้ดี



            “ใช่” ศมนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วเป็นคนตอบไขข้อข้องใจ



            “ทำไมล่ะครับ”



            “พี่ชลอยู่คุยธุระกับนันท์”



            “ถ้างั้นจะมีแค่...” จาณีนชี้ไปที่ศมนแล้วก็ชี้มาที่ตัวเอง



            “ใช่ แค่เราสองคน”





            ศมนเดินนำพาเด็กหนุ่มมาที่น้ำตกความสูงเพียงชั้นเดียว ดังนั้นเมื่อเดินมาถึงก็เห็นต้นตอของน้ำเลย นั่นสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับจาณีนเหมือนเดิม มาทำงานครั้งนี้ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ได้เห็นอะไรแปลกใหม่มากมาย จาณีนเลือกก้อนหินที่มีขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลง เด็กหนุ่มมองสายน้ำที่กำลังไหลผ่านไปไม่สิ้นสุด พลันก็ให้ย้อนนึกถึงเรื่องของตัวเองกับคนข้างๆ ที่กำลังวนเวียนไม่จบสิ้นเช่นกัน



            จาณีนยังคิดไม่ตกผลึก เรื่องที่ศมนขอไว้เมื่อคืนนั้นเขายังตัดสินใจไม่ได้ มันยังไม่มีความชัดเจน เขายังหาคำตอบหรือเหตุผลดีๆ ที่ทุกคนนั้นยอมรับไม่ได้ ไม่ว่าทางนั้นก็มีคนที่ต้องเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น ในเวลานี้เขาเริ่มพอจะเข้าใจความคิดของผู้หญิงที่ยอมตกเป็นภรรยาน้อย เป็นชู้กับคนรักหรือสามีคนอื่นบ้างแล้ว



            จะว่ายังไงดีล่ะ รู้ทั้งรู้ว่ามันผิด แล้วถ้าใจไม่แข็งพอมันก็พร้อมจะเอนเอียง ถลำลึกทั้งตัวและใจลงไปได้ง่ายๆ ก็เหมือนกับเขาในตอนนี้นี่แหละต้องฝืนและต่อสู้กับใจตัวเองตั้งเท่าไหร่ ที่จะไม่โผเข้ากอดอีกฝ่าย บดจูบให้แนบแน่น ผลักอีกคนลงนอน แล้วตามขึ้นคร่อมให้มันคลายความอัดอั้น ให้สมกับความคิดถึงคะนึงหา



            แต่มันไม่ได้ไง!! ถ้าทำแบบนั้น ก็เท่ากับเขายอมเป็นชู้ทางใจและร่างกายกับคนที่มีพันธะกำลังจะแต่งงานอยู่รอมร่อ สังคมก็ต้องเหมาว่าเขานั้นเป็นคนแย่งอีกฝ่ายมาจากเจ้าสาวในอนาคต ทำลายครอบครัวที่กำลังจะเกิดขึ้น และอาจจะทำลายอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างเท่าที่คนจะคิดขึ้นมาได้



            เด็กหนุ่มยังคิดต่อไป มองสายน้ำที่ยังไหลต่อไป ศมนที่นั่งอยู่บนก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง ระยะไม่ไกล พอให้พูดคุยโดยไม่ต้องตะโกนหรือเสียงดังจากจาณีนนัก เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วผูกปมแน่น สักพักก็คลายลง ไม่นานก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก เป็นอย่างนี้สลับไปมาอยู่หลายครั้ง



            “หน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้กำลังคิดอะไรอยู่”



            “คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยครับ” จาณีนเลี่ยงคำตอบที่แท้จริงให้กับคนถาม



            “บอกฉันไม่ได้หรือ”



            “กระทั่งความคิดของผม ผมยังเก็บไว้กับตัวเองไม่ได้เลยเหรอครับ”



            “อืม ก็ถูกของเธอ จริงๆ แล้วฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถามเลยด้วยซ้ำ” ศมนพูดจบก็หันไปมองสายน้ำเย็น



            จาณีนกัดริมฝีปาก เคยทวงหนี้กันหรือเปล่า ทั้งที่เราเป็นเจ้าของเงิน เป็นเจ้าหนี้ ให้ลูกหนี้ยืมไป แต่ทำไมพอเจ้าหนี้นั้นเอ่ยปากทวง มักจะรู้สึกผิด ทั้งที่เป็นสิทธิ์พึงกระทำของเจ้าหนี้แท้ๆ



            ทั้งที่มีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบแท้ๆ แต่ทำไมต้องรู้สึกผิดขนาดนี้



            “ขอโทษครับ”



            “เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ขอโทษฉันทำไม ฉันต่างหากที่ยุ่งเรื่องของเธอ” เหยียบให้จมดินแล้วฝังกลบไปเลยดีกว่ามั้ย ถ้าย้ำเรื่องความรู้สึกกันขนาดนี้



            “คุณศมนครับ” จาณีนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเรียกชื่ออีกฝ่าย





จาณีนจำต้องมองศมนให้เต็มตาเสียที เขาไม่อยากมองคนข้างๆ เลยจริงๆ ยิ่งมองอีกฝ่ายชัดเท่าไหร่ จิตใจของเขามันยิ่งสั่นคลอนได้ง่ายขึ้นเท่านั้น จะบอกว่าเขาหลงคนตรงหน้าก็ว่าได้ ไม่ว่าศมนจะทำอะไร แต่งตัวแบบไหน ทุกอย่างนั้นดูดีในสายตาของเขาทั้งนั้น ยิ่งการแต่งตัวธรรมดาแบบนี้ ศมนจะรู้มั้ยว่าเขาชื่นชอบมันมากแค่ไหน ถ้าทำได้จาณีนก็อยากจะจับศมนสต๊าฟเป็นหุ่นแล้วพากลับบ้านเสียจริง





ไปกันใหญ่แล้ว!!







            “ว่าไง” รอยยิ้มเล็กๆ พร้อมลักยิ้มที่บุ๋มลงข้างแก้มถูกส่งมาให้คนเรียก แทบจะทำให้จาณีนลืมเรื่องที่จะพูด เด็กหนุ่มเกือบละเมอแล้วเดินไปหาอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น



            “ว่าไง...” ศมนบอกย้ำคนที่กำลังนิ่ง พลางจ้องหน้าจาณีน



            “อะ..เอ่อ เรื่องที่คุณพูดเมื่อคืน พูดจริงเหรอครับ” จาณีนรีบหลบสายตา แค่นี้เขาก็จะทนไม่ไหวแล้ว ถ้าสบตากันตรงๆ ล่ะก็ เขาอาจจะตบะแตกแน่ๆ จาณีนแสร้งทำเป็นวักน้ำในน้ำตกเล่นเพื่อกลบเกลื่อน



            “เธอก็รู้ ฉันไม่เคยพูดล้อเล่น” ศมนลุกขึ้น ก้าวมาที่ก้อนหินที่จาณีนนั่งอยู่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เด็กหนุ่ม จาณีนตัวเกร็งขึ้นทันที ใกล้ชิดเกินไปแล้ว



            “ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอฉันจริงจังเสมอ” คำพูดตรงๆ ทำให้จาณีนนิ่งอึ้ง ศมนไม่ใช่คนปากหวาน ไม่ใช่คนโรแมนติก นั่นหมายความว่าทุกการกระทำและคำพูดของชายหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความจริงที่อยากจะสื่อออกไป มันเป็นสเน่ห์ของเจ้าตัว ไม่แปลกที่ใครต่อใครจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้



ศมนคว้ามือข้างที่ว่างของจาณีนขึ้นมาจับไว้ ดวงตาสองคู่ประสานสบสายตา จาณีนรู้สึกเหมือนถูกแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นนั้นบังคับให้เขามองอีกฝ่ายไปแบบนี้ เขากำลังตกหลุมรักผู้ชายที่มีเจ้าของคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใบหน้าคมค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาใบหน้าของจาณีน เขาหลับตาลง จาณีนกำลังต่อสู้กับหัวใจตัวเองว่าจะหยุดหรือปล่อยให้มันเกิดขึ้น ตรงนี้ไม่มีใครอยู่ มีเพียงเขากับศมนแค่สองคน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ย่อมไม่มีคนรู้ไม่มีคนเห็น





เขาจะทำอะไรก็ได้...





“อย่าครับ” จาณีนยกมือดันหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มเลือกที่จะหยุดมันลง




======================================



เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Eighteenth Drop -- 25 Dec 2017
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-12-2017 11:10:54


“อย่าครับ” จาณีนยกมือดันหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้ เด็กหนุ่มเลือกที่จะหยุดมันลง



เขาเป็นมนุษย์ มีความรู้สึก รับรู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนกับคนอื่น แล้วตอนนี้เขามีสติสัมปชัญญะครบถ้วน จาณีนหลอกตัวเองไม่ได้ เขาจะสร้างโลกแห่งจินตนาการให้กับตัวเองไม่ได้ ถึงไม่มีใครรู้เห็นแต่เขาคนหนึ่งนี่แหละที่รู้ เขาจะบอกว่าเขาทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือทำไปโดยขาดสติด้วยความเมา





มันใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้!! เขาโตแล้วคิดเองได้แล้ว และที่สำคัญ เขาไม่ได้เมา





“ขอโทษ” ศมนเอ่ย เขารู้สึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบมาบดบังความถูกต้อง ทั้งที่เพิ่งบอกจาณีนไปว่าไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่เพียงข้ามคืนเขาก็จะทำมันไปเสียแล้ว ทั้งที่จาณีนเด็กกว่าเขาเกินรอบ แต่กลับมีสติมากกว่าเขาเสียอีก เขานี่มันใช้ไม่ได้



“ไม่เป็นไรครับ”



“ฉันผิดเองที่ควบคุมตัวเองไม่ได้” ศมนบอกด้วยความรู้สึกผิด แต่ก็ยอมรับว่าอยากให้มันเกิดขึ้น



“ผมเองก็เกือบไปเหมือนกัน”



“เธอเก่งมาก มีสติดีกว่าฉันเสียอีก”



“แต่ผมดีใจนะครับ”



“หืม”



“อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าคุณยังรู้สึกกับผมอยู่ ใช่มั้ยครับ”

“เด็กแก่แดด” ศมนดีดหน้าผากเด็กหนุ่มเบาๆ เพื่อกลบอาการของตนเอง



“ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ ยิ่งอยู่ต่อมันจะยิ่งไม่ดี” เด็กหนุ่มว่าพลางเดินนำกลับไปที่รถก่อน ทิ้งให้ศมนมองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก





ศมนเคยคิดว่าเขาสามารถตัดใจและปล่อยผ่านเรื่องจาณีนไปได้ไม่ยากนัก เพราะเขาไม่เคยเชื่อในเรื่องของความรัก ความรักมันไม่มีความยั่งยืน เปลี่ยนใจกันได้เร็วเหมือนสายลมที่พัดผ่านไป ถึงจะไม่เคยเชื่อในรัก แต่ใช่ว่าไม่เคยคิดจะรัก เขาเคยพยายามคิดจะบังคับใจตัวเองมาชอบชลทีแต่มันก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งคุณหมอหนุ่มยกธงขาวยอมแพ้เหลือไว้เพียงแค่พี่น้อง หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขาไม่น้อย จะด้วยหน้าตา ฐานะทางการเงิน หรือเพราะอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทนอยู่กับเขาได้





เขาคนที่ไม่ค่อยมีเวลา เขาคนที่ทำแต่งาน เขาคนที่ไม่ค่อยพูด ใครจะอดทนกับเขาได้ นอกจาก....จาณีน เด็กคนนั้นคนเดียว





อุบัติเหตุครั้งนั้นตอนที่รถของเขาเกือบขับชนจาณีน ไม่คาดคิดว่ามันจะทำให้เรื่องราวของทั้งคู่ดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ไม่คิดว่าจะมีวันที่เปิดใจยอมรับให้จาณีนเดินเข้ามานั่งอยู่กลางใจได้ และไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถปล่อยมือจากเด็กหนุ่มคนนี้ได้





บางครั้งคนมาถูกเวลากลับไม่ถูกใจ และบางครั้งคนถูกใจแต่ดันมาไม่ถูกเวลาเสียได้ จาณีนไม่ได้พิเศษกว่าคนก่อนหน้าของเขา แถมยังอยู่ในขั้นแย่กว่าทุกคนที่ผ่านมาเลยด้วยซ้ำ แต่จาณีนกลับรู้จักช่วงเวลาที่เหมาะสม รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเข้าหา เมื่อไหร่ควรถอย หรือเมื่อไหร่ควรจะอ้อน กระทบใจให้กร่อนลงไปทุกวันๆ





จาณีนไม่ใช่คนพูดมาก เด็กหนุ่มเลือกพูด และระมัดระวังคำพูดอยู่พอสมควรอาจจะเพราะด้วยความเกรงใจในตัวเขา หรือไม่ก็เพราะอยากให้ก้าวเดินของตัวเองแต่ละก้าวมีความมั่นคงและปลอดภัย จาณีนแทบไม่เคยร้องขออะไรจากเขา นั่นก็เป็นอีกหนึ่งความแตกต่างของจาณีนกับคนที่เขาเคยคบด้วย ทำให้เขาต้องยัดเยียดความต้องการของตัวเองให้กับเด็กหนุ่มมากกว่าที่เคยทำ





ศมนมองออกว่าภายใต้ใบหน้าซื่อๆ นิ่งๆ ของจาณีนนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด จาณีนเป็นเด็กที่แสบเกินกว่าจะคาดคิด เพียงแต่จาณีนเลือกใช้สมองสั่งการให้กับตนเองมากกว่าจะแสดงอารมณ์ของตัวเองไปเรื่อยเปื่อย เด็กหนุ่มไม่ทำร้ายใครก่อน ดีกับทุกคน มีรอยยิ้มที่หยิบยื่นให้เป็นประจำ เป็นสเน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ใครอยู่ใกล้ด้วยแล้วคงจะอดใจไม่ไหว





ถึงจะไม่ได้มากไปด้วยประสบการณ์นักแต่จาณีนมักจะสังเกตสถานการณ์ต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบอยู่เสมอ ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากพ่อของเขาแต่มาจากธัญชนกเองโดยตรงล่ะก็ เขาคงจะได้เห็นอะไรสนุกๆ จากจาณีนก็เป็นได้ แต่เพราะครั้งนี้เรื่องราวมาจากพ่อของเขาเอง จาณีนที่เป็นคนรู้จักผิดชอบชั่วดี เคารพในศีลธรรมจรรยาต่อสังคมค่อนข้างมาก เลยทำให้เหตุการณ์ของเขาทั้งคู่จึงต้องลงเอยแบบนี้





เขาคงปล่อยมือจากจาณีนไปไม่ได้ วันนี้เขารู้แล้วว่าเรายังใจตรงกันอยู่ คงถึงเวลาที่เขาจะต้องรีบจัดการทำอะไรสักอย่างให้ชัดเจนเสียที ที่ผ่านมาเขาต้องเตรียมการณ์อะไรมากมาย อีกไม่นานมันคงจะพร้อมเสียที เขาเคยปิดตาแสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นเวลาจาณีนทำผิด ก็ได้แต่หวังว่าจาณีนจะยอมปิดตาลงข้างหนึ่งบ้างเช่นกัน



“กลับมาเร็วจัง” คุณหมอหนุ่มลดระดับของเอกสารในมือลงแล้วเอ่ยทักจาณีน





“.....” จาณีนเลือกที่จะเงียบ



“โอ้ สงสัยจะไปได้ไม่ดีสินะ แล้วอีกคนล่ะกลับมาด้วยกันหรือเปล่า”



“ครับ” จาณีนตอบพลางหันกลับไปที่บันไดแต่ก็ไม่มีเงาของอีกฝ่ายตามมา ชลทีมองตามอีกฝ่ายไปแล้วพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะเข้าใจ



“ไม่ต้องห่วงหรอก คงเดินไปโรงบ่มไวน์นั่นแหละ มาที่นี่ทีไรก็ชอบไปขลุกอยู่ที่นั่น ดีนะที่เจ้านันท์ก็อยู่พอดี คงจะพอได้แนะนำกัน มานั่งก่อนสิ เดี๋ยวพี่บอกให้เขายกขนมมาให้” จาณีนเดินเข้าไปนั่งข้างๆ คุณหมอชลทีอย่างว่าง่าย คุณหมอเองก็บอกคนในบ้านให้ยกน้ำและขนมออกมาให้เด็กหนุ่มเช่นกัน



“ผมได้ยินมาจากคุณนันท์ว่าก่อนนี้ ที่นี่ไม่ได้เป็นไรองุ่นใช่มั้ยครับ ทำไมถึงเปลี่ยนล่ะครับ”



“อย่างที่เจ้านันท์บอกนั่นล่ะว่าเพราะคุณแม่พี่อยากจะเปลี่ยน”



“แค่นี้เหรอครับ”




“ไม่เชื่อหรือ ขี้สงสัยจริงเชียว” คุณหมอบีบจมูกคนข้างๆ ไปทีหนึ่งด้วยความเอ็นดู



“ถ้าจะเท้าความกลับไปก็คงต้องบอกว่าเป็นพี่เองที่อยากจะเปลี่ยน เลยเสนอไอเดียนี้กับคุณแม่ แต่ถ้าคุณแม่พี่ไม่ยอมเปลี่ยนก็คงไม่ได้ทำใช่มั้ย เพราะงั้นแม่พี่เลยเป็นคนที่อยากเปลี่ยนจริงมั้ย”



“เพราะอะไรพี่หมอถึงอยากเปลี่ยน คุณศมนเหรอครับ”



“นอกจากขี้สงสัยแล้วยังฉลาดด้วยสินะ”



“พูดตามตรงก็ใช่ เพราะมน รู้ใช่มั้ยว่าเจ้านั่นชอบไวน์ และอยากเป็นเชฟ”



“ครับ...” จาณีนมองหน้าคนเล่า เขารู้สึกได้ถึงความรักที่ชลทีมีต่อศมน มันทั้งมากมายและไม่สิ้นสุด



“มองหน้าพี่แบบนั้นทำไม ไม่ต้องสงสารหรือเห็นใจพี่หมอหรอกนะจา เรื่องมันนานเกินกว่าที่พี่จะเก็บเอามาคิดแล้ว”



“แต่พี่หมอก็ยังรักคุณศมนอยู่ไม่ใช่หรือครับ”



“ก็...รัก แต่ตอนนี้มันมีความห่วงใยและความหวังดี ที่มากกว่าคำว่ารักแล้ว”



“ผมรู้สึกเหมือนทำผิดกับพี่หมอตลอดเวลา” จาณีนพูด ถึงเขาจะหยุดความสัมพันธ์กับศมนแล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ล่ะ ทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายไปเท่าไหร่



“อย่าคิดมากสิ เด็กน้อย พี่หมอดีใจนะที่คนๆ นั้นเป็นจา และต่อให้ไม่ใช่จา คนๆ นั้นก็ไม่ใช่พี่อยู่ดี จริงมั้ย แล้วเรื่องมันผ่านมานานแล้วน่า” คุณหมอลูบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างเบามือ จาณีนมองหน้าคุณหมอใจดีนี้คนนี้แล้วได้แต่คิดว่าใครกันแน่ที่ควรเป็นฝ่ายถูกปลอบใจกัน



“ผมขอโทษแล้วก็ต้องขอบคุณพี่หมอนะครับ ที่ดูแลคุณศมนมาโดยตลอด”



“มันเป็นหน้าที่พี่ชาย รู้มั้ยไอ้น้องชาย”



“พี่หมอจะทำผมซึ้งจนร้องไห้แล้วนะเนี่ย”



“อย่าร้องนะ พี่ปลอบคนไม่เป็น เตะเป็นอย่างเดียว”



“ผมรักพี่หมอนะ พี่ชาย”



“พี่ก็รักและเอ็นดูจาเหมือนกัน”



“อีกเรื่องหนึ่งที่พี่อยากบอกให้จาได้รู้”



“ครับ”



“ศมนกำลังพยายามทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น อย่าใจร้ายกับมันนักเลย”





“พี่หมอรู้เหรอครับว่าตอนนี้คุณศมนกำลังคิดจะทำอะไร”



“ก็พอรู้บ้างแต่ไม่ละเอียดหรอก พี่ยังพูดอะไรออกไปตอนนี้ไม่ได้”



“เหรอครับ คุณศมนเองก็ขอให้ผมรอ ตอนนี้ผมมีหน้าที่ทำได้แค่รอครับ ได้แต่หวังว่ามันจะนานจนเกินไปนัก”



“ถึงแม้ศมนจะแต่งงานไป ก็ยังจะรอเหรอ”



“ครับ ก็รอไปเรื่อยๆ  จะรอจนกว่าจะรอไม่ไหว ก็ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัน”



“จำคำที่จาพูดกับพี่เอาไว้นะ เชื่อใจมน แล้วรอไป เมื่อไหร่ที่ใจบอกว่ารอไม่ไหวก็ค่อยพอ แต่อย่ารอจนมันทำร้ายใจตัวเองล่ะ”



“ครับ”





กลับมาจากทางภาคเหนือเกือบเดือนแล้ว หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่ได้เจอกับศมนอีก แต่ยังได้พบกับคุณหมอชลทีอยู่บ้าง เพราะมีนัดตรวจสุขภาพ นอกจากจะมีการตรวจสุขภาพกับทางบริษัทที่ทำงานแล้ว จาณีนยังต้องตรวจกับคุณหมอหนุ่มที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ ต่อให้ไม่เจ็บไม่ป่วย คุณหมอก็หาเรื่องให้เขานอนพักจัดวิตามินให้บ้าง ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องพวกนี้เขาเริ่มทำมาตั้งแต่ตอนอยู่กับศมน ถึงตอนนี้อะไรมันจะเปลี่ยนไปเขาก็ยังปฏิบัติทุกอย่างเหมือนเดิมต่อไป



“พี่กานต์กินนี่ด้วยสิ” ชนัญญูตักเนื้อปลาทอดราดน้ำปลาไปวางไว้บนข้าวสวยร้อนๆ ที่จานของพันธกานต์ ได้ยินคนถูกรับพึมพำขอบคุณเบาๆ



“ของพี่ล่ะ” จาณีนท้วงออกไปแฝงไปด้วยความสงสัยที่มีอยู่ข้างใน ลอบมองคนข้างๆ ทั้งคู่ คนแรกดูมีท่าทีที่เป็นธรรมชาติ แต่อีกฝ่ายดูอึกอักทำตัวแปลกๆ



“พี่จาก็จะกินเหรอ เอ้านี่” คนอ่อนวัยที่สุดถามกลับพลางตักเนื้อปลาให้จาณีนด้วยเช่นกัน



“ขอบใจนะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะดูแลพี่แบบนี้ แปลกนะ”



“แค่ตักอาหารให้ แปลกตรงไหน จริงมั้ยพี่กานต์”



“เอ่อ.. ใช่” คนถูกถามไม่ตั้งตัวเลยทำได้แค่ตอบให้พ้นๆ ตัวออกไปก่อน





หลังจากอิ่มจากมื้อค่ำเรียบร้อย ชนัญญูยกอาหารไปเก็บและเตรียมตัวล้างอย่างเคย แต่จาณีนท้วงเอาไว้ก่อน เพราะเขาอยากเห็นอะไรมากกว่านี้อีกนิด จาณีนล้างจานอยู่ในครัวไปด้วย และคอยแอบมองคนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างนอกทั้งคู่ไปด้วย เขาพอจะเข้าใจอะไรลางๆ บ้างแล้วล่ะ





จาณีนเดินออกมาเห็นภาพชนัญญูพิงศีรษะลงบนไหล่ที่ตั้งตรงของคนแก่กว่า ทั้งคู่คงลืมไปแล้วกระมังว่ายังมีเขาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยก็เป็นได้ เด็กหนุ่มนึกสนุกรู้สึกอย่างแกล้งคนทั้งคู่ขึ้นมาครามครัน จึงกระแอมในลำคอออกไป ได้ผลอย่างที่คิด คนทั้งคู่รีบผละออกจากกันแทบไม่ทัน ตอนนี้ทั้งพันธกานต์และชนัญญูเลยนั่งอยู่คนละมุมของโซฟา ทำให้จาณีนถึงกับแอบขำในท่าที่ของพวกเขา



“ดูสนิทกันจังเลยนะเนี่ย”



“ก็เหมือนพี่นั่นแหละ” ชนัญญูเป็นฝ่ายตอบแทน



“เหมือนพี่ เหมือนยังไงเหรอยู”



“พี่ก็สนิทกับพี่กานต์ไม่ใช่เหรอ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด”



“ไม่รู้ว่าคุณกานต์จะคิดว่าสนิทกับพี่มั้ย แต่สนิทกันถึงขึ้นไหนก็ไม่นอนซบกันหรอกนะยู”



“พี่.... เห็น... ด้วยเหรอ....” ใบหน้านักศึกษาปีสุดท้ายถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อนิดๆ ลามไปจนถึงใบหู คราวนี้จาณีนเลยต้องขำออกมากับอาการขัดเขินของน้องชายร่วมบ้าน ส่วนอีกคนยิ่งแล้วใหญ่ถึงจะไม่แสดงออกเหมือนกับอีกคนแต่ก็นิ่งเงียบผิดปกติเข้าไปใหญ่



“เห็นสิ ทำอะไรกลางบ้าน ไฟสว่างจ้าขนาดนั้น” จาณีนตั้งใจพูดสองแง่สองง่าม



“แค่เมื่อยคอก็เลยพิงไหล่พี่กานต์เฉยๆ พี่พูดอย่างกับผมทำอะไรมากกว่านั้นอย่างนั้นแหละ”



“ก็ไม่ได้บอกว่ายูทำอะไรสักหน่อย จะร้อนตัวทำไม”



“ผมเปล่า”



“ขี้เกียจเถียงกับเด็ก ไหนว่ายังไม่อยากมีความรัก เผลอแป๊ปเดียว ใจแตกซะแล้ว”



“พี่จา!!”



“โอเค ไม่แกล้งแล้ว ไหนเล่าให้พี่ฟังหน่อยสิว่าทั้งยูกับคุณกานต์เป็นไงมาไงกัน นะครับคุณกานต์ ผมอยากรู้” ประโยคแรกหันไปบอกน้องชายแล้วจึงหันไปถามพันธกานต์เชิงขออนุญาต



“ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกครับ คุณจา” ในที่สุดพันธกานต์ก็ยอมเปิดปากออกมาเสียที



“ผมดูออกนะครับคุณกานต์”



“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ ผมกับยูไม่ได้เป็นอะไรกัน”



“จะไม่เป็นได้ไงล่ะพี่กานต์ พี่ได้ผมแล้วนะ!!” นานๆ ทีจะเห็นชนัญญูหลุดมาดเด็กที่ทำตัวแก่กว่าวัย พอมีความรักดูท่าทางจะกลับกลายเป็นเด็กเท่าอายุแล้ว เหมือนแมวเหมียวที่ชอบออดอ้อนเจ้านายแน่ๆ ตอนนี้จาณีนเลยปล่อยให้คนสองคนคายความลับคืนนั้นหรือคืนไหนสักคืนให้เขาได้ฟัง





ก็ดีนะ ไม่ต้องเสียเวลาถาม





“พูดอะไร ยู”



“พี่พูดแบบนี้ได้ไง ผมเสียหายขนาดนี้ พี่จะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรได้ไง”



“อยากจะบ้า ฉันต่างหากที่ควรจะต้องโวยวายนะยู ฉันนี่ที่เสียหาย” พันธกานต์บอกอีกฝ่ายเสียงเครียด เพราะเขาเองก็ลำบากใจไม่น้อยที่ต้องมาพูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ควรจะเปิดต่อหน้าคนอื่น



“พี่จะบอกพี่จาว่าผมกับพี่ เราไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ได้” ชนัญญูยังไม่ลดละความตั้งใจ



“.....” ไม่มีคำตอบจากคู่กรณี



“พี่จา พี่ได้ยินแล้วใช่มั้ย” ชนัญญูหันไปถามจาณีน บุคคลที่สาม



“ก็..คิดว่าได้ยินนะ” จาณีนทำตัวเหมือนอยู่นอกวงสนทนา



“พี่เข้าใจแล้วใช่มั้ย”



“ก็..คิดว่าเข้าใจนะ”



“มีอะไรจะถามอีกมั้ย” ชนัญญูหรี่ตามองจาณีน ประมาณว่ายังจะกล้าถามอีกมั้ย แต่คนอย่างจาณีน ทำไมต้องมากลัวเด็กน้อยนี่ด้วยล่ะ



“มีสิ เมื่อไหร่”



“อะไรครับ”



“ก็ความรู้สึกของยูกับคุณกานต์น่ะ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”



“มันเริ่มต้นช่วงที่พี่ไปเหนือ”



“เดี๋ยวนะ คุณกานต์อยู่ที่นี่แค่สองวันเองนะแล้วก็ตามพี่ไปที่เหนือน่ะ”



“ก็ใช่ไง ช่วงนั้นแหละ”



“แล้ว...”



“ไว้วันหลังผมจะเล่าให้ฟังเอง” ชนัญญูตัดบท จาณีนเลยต้องหยุดอย่างที่น้องชายว่า แต่ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้เขาต้องถามให้ครบทุกข้อสงสัยแน่นอน





พันธกานต์ไม่ได้อยากปิดบังจาณีน แต่เขาก็ยังไม่พร้อมเปิดเผยความสัมพันธ์ของเขากับเด็กหนุ่มในตอนนี้ ตั้งแต่มีคู่ควงหรือคู่นอนมา ชนัญญูเป็นคนแรกที่อายุน้อยกว่าเขา และน้อยกว่าเขามากเลยทีเดียว ปกติแล้วถ้าเวลาเขาต้องการนอนกับใครสักคน เขาจะเลือกคนที่อายุพอๆ กันหรือไม่ก็อายุมากกว่าเขา อย่างน้อยก็เอาไว้หลอกตัวเองว่าเป็นตัวแทนของศมน





เขาไม่น่าเพ้อถึงศมนจนเมาขาดสติในคืนนั้น ไม่น่ารับการปลอบใจจากใครเลย และไม่น่าทำลงไปเลย โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่ม น้องชายร่วมบ้านของจาณีนคนนี้ เขากำลังทำให้เรื่องราวมันเลยเถิด เพราะเขาแค่อยากมีความสัมพันธ์แค่ข้ามคืน ในขณะที่เด็กหนุ่มนั้นกลับเลือกความสัมพันธ์ระยะยาว





ตอนนี้เขาเลยต้องปวดหัวว่าจะเอายังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วดี ชัดเจนเลยล่ะว่าชนัญญูเดินเครื่องกำลังทำคะแนนกับเขาอย่างเต็มที่ จนไม่ค่อยแคร์สายตาของใคร ยังดีว่าปกติเขาจะต้องอยู่กับจาณีนตลอด อีกฝ่ายเลยไม่ค่อยมีโอกาสจะเข้าถึงตัวเขามากนัก





เขายอมรับ การได้รับความรัก ความเอาใจใส่ มันทำให้ใจของเขานั้นกลับมาพองโตอีกครั้ง





ทางด้านธัญชนกที่เพิ่งวางสายจากนักสืบที่ตนเองไหว้วานไปนั้น เมื่อเธอได้ฟังก็เข้าใจเรื่องราวและปะติดปะต่อทุกอย่างได้แล้ว และเธอตั้งใจว่า





เธอจะปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปอย่างนี้เพื่อเก็บหัวใจของเธอคืนมา หัวใจที่เธอหยิบยื่นให้ชายหนุ่มแต่เขาไม่รับ เพราะในใจของศมนมีเด็กหนุ่มที่ชื่อจาณีนนั้นเข้าไปยึดครองอยู่ก่อนแล้ว เธอต้องดูแลหัวใจตัวเอง แต่ถ้าจะทำให้ทุกอย่างมันง่าย คงไม่ยุติธรรมกับเธอใช่มั้ย





เพราะฉะนั้นก็ช่วยหวานอมขมกลืน เจ็บปวดกันทุกฝ่ายไปก่อนเถอะ จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน วันนั้นเธอจะยกเลิกงานแต่งงานด้วยตัวเอง ให้จาณีนได้ร้อนรนกับงานแต่งของเธอ ให้ศมนได้วิ่งเต้นจัดการทุกอย่าง และสุดท้ายให้เธอได้จัดการจิตใจตัวเอง





ไม่ได้เกลียดศมนและจาณีน แต่รู้สึกโกรธมากกว่า ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ ก็ค่อยปลดแอกทุกคนเป็นอิสระก็แล้วกัน





และจาณีน...คนๆ นี้มีอะไรดี ถึงเป็นที่รักของศมนได้ เธอล่ะอยากรู้จริงๆ





เราคงจะได้เจอกันเร็วๆ นี้นะคะ คุณจาณีน




======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineteenth Drop -- 27 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-12-2017 01:51:57
รวดเร็วปานสายฟ้า 55555 สำหรับคู่ยู
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineteenth Drop -- 27 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-12-2017 10:41:35
รวดเร็วปานสายฟ้า 55555 สำหรับคู่ยู

คู่น้ำจิ้ม คู่รองก็แบบนี้
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineteenth Drop -- 27 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-12-2017 10:43:20

Twentieth Drop 50% Re-Write



 

            จาณีนแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเพื่อออกไปงานเลี้ยงรุ่นตามที่ได้นัดหมายไว้กับเพื่อน แต่วันนี้เป็นวันอะไรกันนะ รถถึงได้ติดบรมขนาดนี้ จนเขาสายเกินเวลาที่นัดเอาไว้แล้ว

           

            “นั่นๆ มันมานู่นแล้ว ไอ้จา ทางนี้” เปรมมิกาบอกเพื่อนร่วมโต๊ะพร้อมโบกมือไหวไปมาเพื่อให้จาณีนได้เห็น



            “ขอโทษที่มาสาย” จาณีนบอกพลางเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งข้างหญิงสาว



            “รถติดอะสิ”



            “อืม”



            “เฮ้ย จาเป็นไงบ้างวะ เงียบหายไปเลย” กิตติเพื่อนในกลุ่มตั้งแต่สมัยเรียนถามขึ้น กิตติเป็นชายหนุ่มหน้าไทยแบบหนุ่มลูกทุ่ง พูดเก่ง สาวติดตรึม



            “สบายดี เรื่อยๆ แล้วพวกนายเป็นไงบ้าง” จาณีนตอบตามมารยาทแล้วย้อนถามกลับเพื่อนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ



            “เออ พวกเราก็สบายดีเหมือนกัน” ณัฏฐพล หนุ่มหน้าตี๋ ผิวขาว ตาชั้นเดียว อดีตเดือนคณะ เป็นตัวแทนตอบแทนเพื่อนคนอื่นๆ เพราะพวกเขามาถึงกันสักพักใหญ่ก่อนจาณีนจะมาถึงงานเลยพอได้คุยถามสารทุกข์สุกดิบไปแล้ว



            “เหรอ แล้ว จอยอะ ไม่มาเหรอ” จาณีนถามถึงหญิงสาวอีกคนในกลุ่ม



            “มาๆ อยู่ตรงนู้น ข้างๆ เวที” กิตติชี้มือไปที่เวที จาณีนมองตามไปแต่ไม่เห็นเพราะแสงจากเวทีค่อนข้างสว่าง สายตาเลยสู้แสงไม่ไหว



            “มองไม่เห็น”



            “เออๆ เดี๋ยวก็กลับมาเองแหละ”



            “จอยไปทำอะไรตรงนั้น”



            “ก็ตามสไตล์นักเรียนดีเด่นไง มาถึงก็วิ่งไปหาอาจารย์ก่อนน่ะพ่อคู๊ณ” เปรมมิกาตอบเพื่อนด้วยเสียงล้อเลียน



            “แซวจอย เหรอมิกะ” เจ้าของเรื่องเดินกลับมาทันได้ยินเสียงเปรมมิกาพอดี



            “เปล๊า ไม่ได้แซวเลย”



            “เสียงสูงแบบนี้ โกหกตามเคย อ้าวจา มาแล้วเหรอ สบายดีนะ” ดูจะเป็นคำถามยอดฮิตไปแล้ว แต่จาณีนกลับไม่รู้สึกรำคาญอะไร เขาชอบบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศที่ได้กลับมาพบเจอเพื่อนๆ เหมือนสมัยที่ยังเรียนอยู่



            “อื้อ จอยก็คงสบายดีใช่มั้ย”



            “แน่นอน ไหนๆ ก็มากันครบแล้ว เรามีเรื่องจะบอกทุกคน” นฤภรหรือจอยก็พูดขึ้นพลางหยิบซองออกมาจากกระเป๋าสะพายสีดำใบใหญ่ของเธอ



            “เฮ้ย อย่าบอกนะว่า!!!” เปรมมิกาคนแรกที่ส่งเสียงแหลมออกมา



            “เออ อย่างที่แกคิดนั่นแหละ มิกะ เอาล่ะ ฉันจะแต่งงานแล้วนะ”



            “เฮ้ยยยย” ทั้งหมดพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ยกเว้นเปรมมิกาที่พูดออกไปก่อนหน้านี้แล้ว



            “ได้ไงเนี่ย แกกล้าแต่งก่อนฉันได้ไงฮึ ยัยคุณครู” เปรมมิกาบ่น แต่ก็กอดคอของจอยเข้ามากอด หญิงสาวรู้สึกยินดีกับเพื่อนด้วยจริงๆ



            “ก็ฉันไม่ได้เรื่องเยอะเท่าแกนี่” จอยพูดพลางยื่นซองให้ทุกคน



            “เขาเป็นใคร ชื่ออะไร เจอกันยังไง ดีมั้ย” เปรมมิกาถามรัวเป็นชุดตามนิสัยคนช่างซัก ทำให้ทุกคนต่างรอฟังโดยที่ยังไม่เปิดซองเพื่ออ่านการ์ดแต่งงาน



            “เดี๋ยวก่อน ทำไมนายถึงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ซองล่ะ กิตติ” จาณีนจ้องถามคนที่นั่งตรงข้ามตัวเอง



            “เกลียดความช่างสังเกตของนายว่ะ จา เออ ฉันกำลังจะแต่งงานกับจอย โอเคมั้ยเพื่อน” กิตติหัวเราะ มือข้างซ้ายโอบไหล่ของจอยเข้ามาใกล้ชิดกับตัวเอง



            “เฮ้ยยยยยยยยยย” เสียงอุทานพร้อมกันดังขึ้นอีกครั้ง



            “ใช่แล้วล่ะ ฉันกับกิตจะแต่งงานกัน วันเวลาก็ตามในการ์ดเลย พวกแกต้องไปทุกคนนะ”





            “มึง! ไอ้กิต กับจอย ไปชอบกันตอนไหนวะ” ณัฏฐพลผู้ที่ได้สติก่อนเพื่อน ถามโพล่งออกไป



            “ไม่บอก เอาเป็นว่า ไม่ใช่ตอนเรียนก็แล้วกัน”



            “ความลับนะมึง แต่ยังไงก็เถอะ ดีใจเหี้ยๆ เลยว่ะ ยินดีด้วยนะไอ้กิต จอย”



            “ยินดีด้วยนะกิต จอย” จาณีนอวยพรให้กับคู่รักที่พวกเขาไม่เคยคาดคิด



            “ยินดีด้วยจริงๆ ว่ะ โอ้ย จอย เจ๋งว่ะแก ไอ้กิตนี่คนอยากได้กันทั้งมหา’ลัย แต่แม่งโคตรเล่นตัว” เปรมมิกาเอ่ยชมเพื่อนจากใจ



            “อะไรวะ มิกะ นึกว่าจะชม ทำไมเหมือนด่าเราแบบนี้” กิตติโวยวายออกมา แต่ใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จาณีนมองแล้วก็อดไม่ได้ที่ต้องยิ้มให้กับความสุขของเพื่อน ดีใจจริงๆ ที่ได้มางานเลี้ยงรุ่นในวันนี้



            “พูดอะไรเกรงใจอดีตเดือนคณะอย่างเราด้วย มิกะ เราน่ะสาวๆ ก็อยากได้ทั้งมหาลัยเหมือนกันนะ” ณัฏฐพลไม่ยอมน้อยหน้าเพื่อน



            “เฮอะ ไอ้ตี๋ณัฐ ช่วยที่บ้านเฝ้าร้านทองไปเถอะว่ะ วันๆ อยู่แต่ร้าน เสียดายของชะมัด” เปรมมิกาแกล้งแซวเพื่อนเพราะตอนนี้หนุ่มตี๋ทำงานฟรีแลนซ์ เพราะต้องช่วยกิจการร้านทองของที่บ้าน



            “เออ อยากย้อนกลับไปตอนมหาลัยว่ะ อยากเที่ยว อยากทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ตอนนี้หน้าเราจะกลายเป็นหน้าเลี่ยมทองอยู่แล้ว” ณัฏฐพลบ่นออกมา ทำให้เพื่อนๆ พากันหัวเราะกับคำที่ชายหนุ่มเปรียบเปรยออกมา



            “จา เงียบเหมือนเดิมเลย เห็นเงียบๆ แบบนี้แต่ไม่ธรรมดานะครับ” กิตติพูดขึ้น ทำให้สายตาคนบนโต๊ะต่างพากันจับจ้องมาที่จาณีน



            “หืม เราเหรอ”



            “เราว่าจะคุยในกรุ๊ปแชท แต่ก็ดันลืม”



            “ช้า รีบๆ เล่ามาได้แล้ว ไอ้กิต” เปรมมิกาสาวผู้อยากรู้อยากเห็นพูดขึ้น



            “เออ เล่าเดี๋ยวนี้แหละ เดือนก่อนนายไปแถวทางเหนือมาใช่มั้ย”



            “ใช่ ทำไมเหรอ”



            “วันนั้นที่เชียงใหญ่ แต่ไม่ได้เข้าไปทักเพราะเราต้องรีบเดินทางต่อ เราเห็นนายเดินไปกับผู้ชายคนหนึ่ง ตัวสูงภูมิฐานเชียว ทีแรกเราก็คิดว่าคงเป็นเพื่อน แต่ดูแล้วน่าจะไม่ใช่ คนนั้นใช่แฟนหรือเปล่า”



            “จะแฟนได้ยังไง นั่นผู้ชาย” จาณีนรีบตอบ



            “ผู้ชายไง ถ้าเป็นผู้หญิงสิแปลก” อดีตเดือนคณะพูดแทน จาณีนได้แต่นิ่งเงียบ เห็นจอยพยักหน้าเห็นด้วยกับณัฏฐพล พอหันมองไปเปรมมิกา หญิงสาวรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ประมาณว่าไม่เคยบอกรสนิยมของเด็กหนุ่มให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง



            “พวกนาย...” จาณีนควรจะพูดยังไงดี



            “ไม่ต้องกังวลหรอก พวกเรารู้เรื่องที่นายเป็น มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วจา” จอยเป็นฝ่ายบอกให้จาณีนสบายใจมากขึ้น



            “รู้?”



            “อืม ใช่จ้ะ”



            “รู้ได้ยังไง” จาณีนถามกลับ



            “ขอโทษที่ไม่เคยบอกนะ คือพวกเราสงสัย เมื่อก่อนนายจะไปช่วยงานขายของใช่มั้ย แต่หลังจากเรื่องยาย นายก็ยังหายเงียบไปเหมือนเดิม จนวันหนึ่งที่พวกเรานัดไปกินข้าวกันตอนช่วงฝึกงาน แต่นายปฏิเสธ” กิตติกำลังเล่าเรื่อง     จาณีนพยายามนึกตาม แต่ก็นึกไม่ออกว่าตอนไหนกัน



            “พวกเราเลยเปลี่ยนแผนฉับพลัน ไปดักที่บริษัทที่นายฝึกงานแทน ก็เลยเห็นนายขึ้นรถไปกับผู้ชายคนหนึ่ง”   ณัฏฐพลรับไม้เล่าต่อ





            “แล้วผู้ชายคนนั้นก็เป็นคนเดียวกับที่ฉันเจอเมื่อเดือนก่อน” กิตติสรุปอีกครั้ง



            “พวกนายโอเคกับเรื่องที่เราเป็นใช่มั้ย”



            “แน่นอนดิ ไม่งั้นก็โบกมือลาไปแล้ว” ณัฏฐพลตบบ่าอย่างที่ให้จาณีนรู้ว่าทุกคนพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงก็ตาม



            “ขอบใจพวกนายมากนะ”



            “แล้วตกลงว่าคนนั้นเป็นแฟนของนายหรือเปล่า” เปรมมิกาถามออกมาทันทีที่เพื่อนเล่าจบ



            “ถามทั้งที่รู้นะมิกะ ก่อนหน้านี้น่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เลิกกันมาสักพักหนึ่งแล้ว”



            “ก็อยากให้เพื่อนได้รู้ด้วยนี่ ตอนนี้โล่งชะมัด”



            “อ้าว แล้วที่อยู่ด้วยกัน...” กิตติเริ่มงง แล้วสิ่งที่เขาเห็นคืออะไร



            “คือเรื่องมันซับซ้อนนิดหน่อย ย่อๆ แล้วกัน เขากำลังจะแต่งงานน่ะ แล้วที่กิตเห็นวันนั้นคือแค่บังเอิญเจอกันก็แค่นั้น”



            “สารภาพนะว่าเรารู้เรื่องของจามาตลอด แต่เรื่องที่เลิกกันเนี่ยเราไม่รู้เลย ขอโทษทุกคนด้วยนะที่เราต้องปิดบัง” เปรมมิกาขอโทษคนที่เหลือ



            “เราเองแหละ เราเป็นคนขอมิกะว่าอย่าบอก เพราะกลัวพวกนายจะรับไม่ได้”



            “อืม พวกเราเข้าใจแหละ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเปิดเผยนักหรอก” จอยพูดออกมาแทน ทั้งกิตติและณัฏฐพลพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจอยหรือนฤภร



            “แล้วนายโอเคมั้ย” เปรมมิกาถามด้วยความเป็นห่วง



            “เราเป็นไม่หรอก ไม่โอเค แต่อยู่ได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรา”



            “เขาทำแบบนี้ได้ไงวะ ทำกับเพื่อนเราแบบนี้ได้ไง เราไม่ยอมอะ ” หญิงสาวโวยวายตามนิสัยคนรักเพื่อน



            “ไม่เป็นไรมิกะ ไม่เป็นไรจริงๆ”



            “รู้สึกผิดเลยว่ะที่เป็นคนพูดถึง ขอโทษนะ” กิตติพูดพลางขอลุแก่โทษ





            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ่นเอง” จาณีนตอบพร้อมบอกกับตัวเองเช่นกัน



            “จา คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น มากับนายหรือเปล่า” เปรมมิกาเขยิบเข้ามากระซิบถาม



            “คนไหน”



            “ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ใส่สูทสีดำ ร้อนจะตายชัก”



            “ใช่ เขาชื่อคุณกานต์ บอดี้การ์ดที่คอยดูแลเรา”





            “อ่อ หล่อนะเนี่ย”



            “อืม หล่อ แต่อย่าไปยุ่งด้วยเชียว”



            “ทำไมล่ะ”



            “มีคนรักแล้ว...มั้ง” จาณีนไม่แน่ใจว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของบอดี้การ์ดหนุ่มกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องในบ้านนั้นเป็นยังไง



            “มีม้ง มีมั้ง ตกลงยังไงกันแน่”



            “เอาเป็นว่าอย่าไปยุ่งกับคนนี้จะดีกว่า”



            “ว้า น่าเสียดาย”



            “แต่พี่ชายเขายังโสด” จาณีนแนะนำให้เพื่อน



            “ไม่อะ ไม่เหมือนกัน”



“ยังไง”



“ก็หน้าตาไม่เหมือนกันนี่”



            “ลืมไปแล้วเหรอไงว่าคุณกานต์ เขามีพี่ชายฝาแฝด”



            “เออ จริงด้วย งั้นไว้วันหลังฉันจะทำเนียนไปหานายนะ จา”



            “จะรอแล้วกัน”



======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Nineteenth Drop -- 27 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-12-2017 10:44:36

Twentieth Drop 100% Re-Write


            .

            .
         

               “ไอ้จา มีโปรเจ็คใหม่ เห็นเมลยัง” กตพลชะโงกหน้าข้ามพาร์ทิชั่นมาถาม



            “กำลังอ่านอยู่พอดีเลยครับพี่พล” จาณีนตอบโดยไม่ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า





            “อืม บริษัทนี้เขาระบุเจาะจงเลยว่าขอเป็นทีมเดิมที่ทำระบบให้กับโรงแรมธาราแกรนด์”



            “เหรอครับ” เด็กหนุ่มตอบรับคำไปเรื่อยแบบไม่ยินดียินร้ายอะไร



            “เอ็งว่าไงล่ะ” หัวหน้าถามความคิดเห็น



            “ก็..ไม่ยังไงครับ แล้วแต่พี่พล ผมเป็นแค่ลูกน้องจะปฏิเสธอะไรได้”



            “บ๊ะ! ยอกย้อน เดี๋ยวข้าจะให้ทำทุกโปรเจ็ค” กตพลขู่



            “ผมไม่กลัวงานหนักหรอกครับ แต่กลัวความสามารถจะเกินหน้าใครบางคนต่างหาก” จาณีนแกล้งหยอกล้ออีกฝ่ายเล่น



            “เหอะ ให้มันจริง ถ้าเอ็งเก่งเมื่อไหร่ ข้าก็โล่งใจละเว้ย อย่างน้อยก็พายเรือส่งคนถึงฝั่งไป” กตพลกลับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาแทน เพราะเขาหวังดีกับคนตรงหน้าอย่างแท้จริง จาณีนเป็นเด็กนิสัยดีคนหนึ่ง เขาอยากให้เด็กคนนี้ประสบความสำเร็จ อย่างน้อยในหน้าที่การงานก็ยังดี



            “ขอบคุณครับพี่พล พี่สอนผมทุกอย่างจริงๆ” จาณีนกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย เขารู้ว่ากตพลหวังดีกับเขาเสมอ



“เล็กน้อยว่ะ”  กตพลโบกมือไปมาเป็นเชิงไม่เป็นไรจริงๆ



“บริษัทนี้...พี่รู้จักมั้ยครับ”



            “ไม่.. คิดว่าน่าจะเป็นบริษัทใหม่ ทำพวกแบรนด์เสื้อผ้า น่าจะเป็นแบบคุณหนู หรือพวกไฮโซ ที่อยากเปิดแบรนด์ของตัวเอง”



            “เหรอครับ.. ทำไมเขาต้องระบุใช้ทีมเดียวกับของโรงแรมคุณศมนด้วย”



            “อืม ไม่รู้สิ คงเห็นเวบสวยถูกใจล่ะมั้ง ช่างเถอะๆ อย่าไปสนใจนักเลย ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก ตกลง เอ็งทำโปรเจ็คนี้นะ ข้าจะได้ตอบเมลกลับไป”



            “ครับ” แต่จาณีนก็แปลกใจอยู่ดี เพราะผู้ว่าจ้างคนใหม่นั้นเป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้า มันคนละประเภทกับโรงแรมเลยไม่ใช่เหรอไง



            จาณีนขับรถมาตึกแห่งหนึ่ง เขายื่นบัตรประชาชนเพื่อขอแลกบัตร ตรงบริเวณจุดประชาสัมพันธ์ของตึก เขาเปิดเมลดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามาถูกสถานที่



            “สวัสดีครับ ผมจาณีน จากบริษัทเก็นติ้งเฮาส์ครับ”



            “ค่ะ สักครู่นะคะ” หญิงสาวที่อยู่ประจำทางหน้าทางเข้าของบริษัทตอบและกำลังลงมือตรวจสอบตารางการนัดหมาย



            “ครับ”



            “มีนัดกับคุณกาญจนาไว้ ตอนสิบนาฬิกาตรงนะคะ” หญิงสาวทวนเวลานัดหมาย



            “ใช่ครับ” จาณีนตอบ ตอนนี้นาฬิกาที่ข้อมือบอกว่าอีกห้านาทีจะสิบโมง



            “เชิญทางนี้ค่ะ” เธอพาจาณีนไปยังห้องที่ได้ถูกเตรียมไว้แล้ว เธอบอกว่าคุณกาญจนาจะเข้ามาที่ห้องนี้ประมาณสิบโมง ให้จาณีนนั่งรออีกสักครู่ แล้วเธอจะให้แม่บ้านนำน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้ จาณีนกล่าวขอบคุณเธอก่อนที่หญิงสาวจะออกไป



            “สวัสดีค่ะ กาญจนาค่ะ” หญิงสาวผู้มาใหม่ เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามาก็ยิ้มให้กับจาณีนพร้อมกับแนะนำตัว



            “สวัสดีครับ จาณีน จากเก็นติ้งเฮาส์” จาณีนรีบลุกขึ้นยืนยกมือไหว้พร้อมแนะนำเหมือนกับอีกฝ่ายเช่นกัน



            “เชิญนั่งค่ะ ตามสบายนะคะ”



            “ครับ”



            “ดิฉันขอเกริ่นความเป็นมาของบริษัทเราก่อนเลยนะคะ บริษัทของเราเป็นบริษัทใหม่เพิ่งก่อตั้งค่ะ โดยมีคุณธัญชนกเป็นผู้บริหารสูงสุดของที่นี่ โดยเราจะเริ่มชิมลางโดยการวางขายผลิตภัณฑ์ด้านเสื้อผ้าก่อนค่ะ โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า ThanYa หรือชื่อของคุณธัญชนก ธัญญ่านั่นเองค่ะ”



            “ครับ” จาณีนรับฟังอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งพิมพ์รายละเอียดประวัติคร่าวๆ ไปด้วย ถึงจะสะดุดหูกับชื่อธัญชนกอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก





            ก๊อก..ก๊อก..





            “ขอโทษค่ะ ธัญมาช้าไปหน่อย เริ่มกันไปหรือยังคะ” ผู้มาใหม่คนสุดท้าย กล่าวขอโทษก่อนจะเข้ามานั่งข้างคุณกาญจนา



            “เพิ่งพูดถึงความเป็นมาของบริษัทค่ะ เชิญค่ะคุณธัญ” คุณกาญจนาลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้กับผู้เป็นเจ้านาย



            “ขอบคุณค่ะ ธัญแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ธัญชนกค่ะ” จาณีนเงยหน้ามามองว่าชื่อที่เขาสะดุดหูนั้น คงไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาจำได้ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่สะสวยของคนนี้ได้ดี



            “สวัสดีครับ จาณีน จากเก็นติ้งเฮาส์” จาณีนพูดคำนี้เป็นครั้งที่สามของวัน



            “ยินดีที่ได้ร่วมกันนะคะ” หญิงสาวยื่นมืออกมาตรงหน้าตามแบบสากล เริ่มต้นทำความรู้จักเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้เพิ่งเจอกัน



            “เช่นกันครับ ขอบคุณที่เลือกบริษัทเราครับ” จาณีนเองก็เช่นกันเขายื่นมือออกไปจับพร้อมกับกล่าวคำที่เป็น     แพทเทิร์น  แบบเดิมทุกครั้ง เวลาที่ผู้ว่าจ้างกล่าวประโยคนี้ เขาและกตพล ก็จะตอบประโยคนี้ออกไปเช่นกัน



            “เดี๋ยวธัญพูดต่อเองนะคะพี่ แล้วก็ขอโทษด้วยนะคะ ที่จู่ๆ ธัญเข้ามาแบบนี้ พอดีว่าเป็นสินค้าเปิดใหม่ ธัญก็เลยตื่นเต้นค่ะ เลยอยากจะลงมาดูเอง” ผู้บริหารสาวหันไปบอกหญิงสาวข้างๆ ที่มีอายุมากกว่าและหันมาบอกจาณีนที่ทำได้เพียงยิ้มรับ



            “เชิญค่ะ”



            “ค่ะ อย่างที่ทราบว่าเราเป็นน้องใหม่ในธุรกิจด้านนี้ ธัญเองเลยอยากจะเจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่น โดยจะเน้นสี สำหรับผู้หญิงค่ะ”



            “ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น ธีมบนหน้าเว็บก็จะเป็นสีออกหวานๆ สีพาสเทลแบบนี้ดีมั้ยครับ” จาณีนถามขณะที่ยังรัวพิมพ์ไม่หยุด



            “ไม่ค่ะ ธัญอยากได้ทอง ม่วงๆ ค่ะ”



            “ครับ เอ.. แต่เว็บจะดูทึมไปหรือเปล่าครับ น่าจะออกสดใสนะครับ” จาณีนเสนอความคิดเห็น



“ธัญว่าสีทองและม่วงสวยดีแล้วค่ะ ตามที่ธัญบอกนะคะ” หญิงสาวกดเสียงลงต่ำนิดหนึ่ง เพื่อบ่งบอกความไม่พอใจออกมา



“ครับ แล้วเรื่องรูปของสินค้า รวมถึงรายเอียดราคา ต่างๆ ที่จะปรากฏอยู่บนหน้าเวบล่ะครับ”



            “เรื่องรูป ตอนนี้อยู่ระหว่างเก็บรูปค่ะ แต่พี่กาญมีรายละเอียดและคอลเลคชั่นไว้ใช่มั้ยคะ” ธัญชนกถามคนข้างๆ



            “ใช่ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะส่งรายละเอียดของสินค้าไปให้คุณจาทางอีเมลนะคะ”



            “อีกเรื่องหนึ่งคืออยากให้หนึ่งหน้า แสดงสินค้ากี่ชิ้นครับ เดี๋ยวผมเปิดเว็บตัวอย่างให้ดูนะครับ” จาณีนจัดแจงเปิดเว็บที่บริษัทเคยรับมาก่อนเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับหญิงสาวทั้งสองคนดู



            “อืม..เดี๋ยวธัญขอคิดแล้วให้คุณกาญส่งเมลไปพร้อมกันกับรายละเอียดนะคะ” ธัญชนกทำท่าคิดเพียงครู่ก่อนจะตอบออกมา



            “ได้ครับ งั้นผมจะลองอิงตามเว็บนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ”



            “ค่ะ อ้อ..เกือบลืมค่ะ ธัญไม่ทราบว่าคุณจาณีนทราบหรือยังคะว่างานนี้ทางธัญขอเป็นงานด่วน ระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือน”



            “ทราบแล้วครับ ผมกำลังจะแจ้งทางคุณธัญกับคุณกาญจนาพอดีเลยว่า สำหรับรายละเอียดอย่างน้อยภายในอาทิตย์นี้นะครับ ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทัน เพราะเราต้องเผื่อเวลาสำหรับโพรเซสเทสหรือช่วงปรับแก้งานด้วยครับ”



            “ทันใช่มั้ยคะพี่กาญ” ธัญชนกหันไปถามคุณกาญจนาอีกครั้ง



            “ทันค่ะ คุณธัญ”



            “ค่ะ อย่างนั้นธัญก็โล่งใจ”





            หลังจากนั้นจาณีนก็คุยกับอีกฝ่ายอีกราวหนึ่งชั่วโมงเพื่อลงรายละเอียดเกี่ยวกับของงาน ระบบต่างๆ ที่ทางผู้ว่าจ้างต้องการ ตั้งแต่การตัดเงิน หรือการซื้อขายออนไลน์ต่างๆ เมื่อคุยจบจาณีนรีบขอตัวลาออกมาทันที ทั้งที่ทางกาญจนาและธัญชนกจะกล่าวเชื่อเชิญตนเองให้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันด้วยก็ตาม แต่จาณีนก็ปฏิเสธโดยอ้างว่ายังมีงานที่ต้องกลับไปทำอีกมาก อีกฝ่ายทำท่าว่าเข้าใจไม่ได้รั้งเขาเอาไว้อีก



            “เป็นอะไร ไอ้จา ทำไมทำหน้าแบบนั้น แล้วนี้กินข้าวกินปลาหรือยัง ทำไมกลับเร็วจังวะ แล้วงานอะ เป็นยังไงบ้าง” กตพลถามรัวเป็นชุดเพราะเด็กหนุ่มรุ่นน้องดูแปลกเสียเหลือเกิน



            “ให้ผมตอบคำถามไหนก่อน” ถึงจะรู้สึกเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่จาณีนก็ยังไม่วายที่จะล้อคนห่วงใยกลับไป



            “ทุกคำถาม ตอบให้ด้วย” มีหรือที่กตพลจะไม่รู้ทันจาณีน เขาเลยตอบแบบนี้กลับไป



            “ครับ ผมทำหน้าแบบนี้เพราะผมมีอะไรให้คิดนิดหน่อย ผมกินข้าวมาแล้วก่อนขึ้นมาบนตึก  ที่ผมกลับเร็วก็เพราะหมดธุระแล้ว ส่วนงาน ก็คงดีมั้งครับ ไม่น่ามีอะไร” คำตอบของจาณีนก็ร่ายมายาวเช่นกัน ทำราวกับประชดอีกฝ่าย แต่    กตพลก็ไม่ได้นึกโกรธ เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ





            แต่เขาว่า มันก็แปลกๆ อยู่ดีนา





            “เรื่องงาน มันยังไง ไหนเล่าให้ข้าฟังซิ” จาณีนคิดว่าปิดเรื่องไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เขาเลยเล่าให้หัวหน้าฟังว่าจริงๆ แล้วผู้ว่าจ้างนั้นเป็นใคร และเกี่ยวข้องยังไงกับศมน



            “เอายังไง ไหวมั้ย ถ้าถอนตัวตอนนี้คงทำไม่ได้ ให้ข้าเข้าไปช่วยมั้ย” กตพลเสนอความคิดเห็น





            “ไม่เป็นไรพี่ ผมไหว”



            “ไหวแน่นะ?” หัวหน้าถามย้ำ



            “ครับพี่” จาณีนพยักหน้าเพื่อยืนยันคำพูด



            “อืม คุณธัญชนกเนี่ย คิดจะทำอะไรหรือเปล่าวะ ฟังแล้วมันตะหงิดๆ” กตพลบ่นออกมา



            “พี่พลคิดมาก คงไม่มีอะไรหรอกครับ คุณธัญคงเห็นผลงานเราจะเว็บโรงแรมของคุณศมนจริงๆ นั่นแหละครับ”



            “ถ้าเป็นอย่างที่เอ็งคิด มันก็ดีไป” กตพลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าเด็กหนุ่ม ถึงอยากจะมองโลกในแง่ดี แต่ทำไมเขาถึงไม่วางใจก็ไม่รู้



            “อีกอย่าง ผมไม่อยากให้คุณศมนผิดหวังในตัวผม อยากให้เขารู้ว่าผมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้จริงๆ แล้วงานนี้ก็ไม่ใช่ของคนอื่นไกล ก็เป็นคุณธัญชนก คู่หมั้น และว่าที่ภรรยาของคุณศมน ผมยิ่งต้องทำงานนี้ให้ออกมาให้ดีให้ได้”



            “คนดีเหลือเกิน” กตพลประชดหนุ่มรุ่นน้องแล้วก็เดินกลับไปทำงาน





            หลังจากนั้นเพียงสามวัน จาณีนก็ได้รับเมลเรื่องรายละเอียดสินค้าต่างๆ ที่ได้คุยกับไว้กับกาญจนาและธัญชนก ในส่วนนี้เขายังไม่ได้รับรูป แต่ไม่เป็นไร เพราะการนำรูปมาวางโชว์ในเว็บนั้นไม่ได้ยากหรือเสียเวลามากเท่าไหร่นัก ตอนนี้เขาได้แบ่งงานกับทางทีมงานเรียบร้อยแล้ว ว่าใครต้องทำอะไร มีหน้าที่อย่างไร ลักษณะรูปแบบของเว็บไซต์จะออกมาลักษณะประมาณไหน ซึ่งทุกคนก็รับทราบและลงมือทำกันไปแล้ว





            เจ้าของโปรเจ็คนี้ อ่านรายละเอียดสินค้าก็รู้สึกแปลกๆ รายละเอียดสินค้า ดูเหมาะกับเด็กสาววัยรุ่นมากกว่าวัยทำงาน ที่เขาคิดแบบนี้เพราะสีทองและม่วงตามคอนเซปต์ธีมบนเว็บนั้นมันดูขัดกับภาพลักษณ์เหลือเกิน แต่ธัญชนกคงคิดมาดีแล้ว และเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนสีหรือรายละเอียดต่างๆ ได้เองตามใจชอบ





            จนเมื่อผ่านไปอีกสัปดาห์กว่า จาณีนก็ยังไม่ได้รับรูปของสินค้าเลย เขาเลยกังวลว่ามันจะอาจจะทำให้งานล่าช้าออกไป และถ้าหากเกิดความล่าช้า บริษัทของเขาและตัวจาณีนเองก็อาจจะมีส่วนที่ต้องถูกตำหนิ เพราะบางครั้งลูกค้ามักจะอ้างว่าลืมซึ่งอาจจะแปลว่าเขาไม่ได้ใส่ใจหรือตามงานของลูกค้า ก็จะรวมถึงการที่บกพร่องต่อหน้าที่ด้วยนั่นเอง





จาณีนมีกำหนดจะส่งมอบงานช่วงแรกให้กับอีกฝ่ายดูในช่วงสิ้นสัปดาห์นี้ เขาจึงเมลไปหาอีกฝ่ายเพื่อให้ทางนั้นส่งรูปถ่ายที่ต้องการใช้มาให้กับเขาด้วย คุณกาญจนาก็ตอบมาด้วยความรวดเร็วว่าจะรีบส่งให้ แต่จนแล้วจนรอดเมื่อถึงวันที่ต้องส่งงานช่วงแรก เขาก็ยังไม่ได้รูปถ่ายนี้เลย





เด็กหนุ่มไม่อยากนำเรื่องพวกนี้ไปบอกกตพลเพราะกลัวว่าหัวหน้าเขาจะตีความเป็นอื่น อาจะคิดว่าทางฝ่ายนั้นจงใจทำให้งานเกิดความล่าช้าเองก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นก็เป็นได้



“สวัสดีครับ คุณกาญจนา” จาณีนมาส่งงานให้กับบริษัทของธัญชนกตามเวลาที่นัดไว้



“สวัสดีค่ะ คุณจา อุ๊ย ดิฉันลืมส่งรูปให้คุณจาค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ พอเห็นหน้าคุณจาแล้วนึกขึ้นได้เลย ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ ค่ะ”



“ไม่เป็นไรครับ แต่วันนี้ผมจะได้รูปใช่มั้ยครับ”



“ใช่ค่ะ”



“ครับ ผมจะรีบเพิ่มส่วนนี้ให้วันนี้เลยครับ ถ้างั้นเราเริ่มกันเลยนะครับ”



“ยินดีค่ะ”





จาณีนเริ่มเปิดเวบไซต์และเตรียมอธิบายคร่าวๆ ว่าหน้าตาของเว็บหรือการจัดวางเลย์เอาท์หรือรายละเอียดนั้นถูกต้องตรงตามที่ต้องการหรือไม่ แต่แล้วการพรีเซนท์ก็สะดุดลงเมื่อกาญจนาแทรกขึ้นมา



“คุณจาคะ สีเว็บที่แสดงอยู่นี่คือเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”



“ใช่ครับ”



“แต่ตอนที่เราคุยกันไม่ใช่สีนี้นี่คะ เราคุยกันว่าจะต้องเป็นสีฟ้า ชมพูและม่วง แบบพาสเทลไม่ใช่หรือคะ”



“เดี๋ยวนะครับ สีทองและม่วงนะครับ ตามที่ผมได้พิมพ์ไว้เลย”



“ดิฉันว่าไม่ใช่นะคะ เอ่อ..ดิฉันขอตัวสักครู่นะคะ” กาญจนามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ รวมถึงจาณีนด้วยเช่นกัน เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายบอกเขามาว่าต้องการสีอะไร เด็กหนุ่มนั่งรออยู่สักพักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา แต่คราวนี้กลับเป็นธัญชนก คนเดียว โดยไม่มีกาญจนาเข้ามาด้วย



“สวัสดีครับคุณธัญ”



“สวัสดีค่ะ คุณกาญแจ้งว่า สีไม่ถูกต้องหรือคะ”



“ถูกต้องนะครับ ผมทำตามที่คุณธัญแจ้งมา”



“ธัญอยากได้สีพาสเทลนะคะ ไม่ใช่สีทองหรือม่วง สีพวกนี้มันฉูดฉาดไปหน่อย เด็กวัยรุ่นผู้หญิงไม่น่าจะชอบนะคะ คุณจาฟังผิดหรือเปล่าคะ” ธัญชนกยังยืนยันปฏิเสธว่าสีที่ตนเองต้องการคือสีพาสเทส ไม่ใช่ทองและม่วงตามที่จาณีนทำมา



“แต่คุณธัญบอกผมว่าต้องการสีทองและม่วงนะครับ” จาณีนยืนยันว่าสิ่งที่ตนทำมานั้นถูกต้องแล้ว



“ไหนคะ หลักฐานที่บอกว่าธัญต้องการสีพวกนั้น” ธัญชนกก็ไม่ยอมเช่นกัน



“นี่ครับ” จาณีนเปิดเมลที่เขาสรุปและส่งให้กับกาญจนา คนดูแลงานของอีกฝ่ายและก็ได้รับการยืนยันกลับมาว่าถูกต้อง



“อุ้ย จริงเหรอคะเนี่ย คุณกาญต้องจำผิดแน่ๆ เลยค่ะ เดี๋ยวธัญต้องไปจัดการคุณกาญเสียแล้วล่ะค่ะ โอย ธัญทำขายหน้าต่อคุณจาใช่มั้ยคะ ขอโทษด้วยค่ะ” ธัญชนกมีสีหน้ารู้สึกผิดเมื่อกล่าวขอโทษเด็กหนุ่ม



“ไม่เป็นไรครับ” จาณีนเห็นธัญชนกมีท่าทีรับผิดก็เบาใจ เพราะเขาไม่อยากจะสืบสานเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ จบๆ ไปก็ดีแล้ว



“ช่วงนี้ผ่านมาธัญพักผ่อนน้อย คงเบลอไปหมด” ธัญชนกยังพูดต่อ





“คงงานยุ่งใช่มั้ยครับ ไม่เป็นไรหรอกครับ”



“ไม่เชิงว่าเป็นเรื่องงานหรอกค่ะ ...คือช่วงนี้ธัญต้องเข้าคอร์สเจ้าสาว ไหนจะลดความอ้วนเพื่อให้ใส่ชุดวันงานสวยๆ ยังของชำร่วย การ์ดแต่งงาน จัดเลี้ยงอีก เยอะแยะเลยค่ะ ธัญไม่อยากจ้างออแกไนซ์เซอร์ อยากทำเองค่ะ อยากให้เป็นความทรงจำของธัญและพี่มนให้มากที่สุด” หญิงสาวเล่าให้จาณีนฟังด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความฝันสูงสุดของผู้หญิงที่จะมีงานแต่งงานสักครั้งหนึ่งในชีวิต



“.....” แล้วเขาล่ะ ทำได้เพียงเฝ้ามองดูการแต่งงานของศมนเท่านั้นใช่มั้ย จาณีนพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ น้ำตาพานจะไหลแต่เขาต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด จะร้องไห้ออกมาตอนนี้ไม่ได้ และต่อหน้าธัญชนกไม่ได้ ถ้าเธอรู้เรื่องของเขากับศมนล่ะ เขาจะทำหน้ายังไง ยิ่งเรื่องนี้ถ้าเรื่องถึงหูศมนล่ะ ศมนจะโกรธเขามั้ยจะหาว่าเขาเป็นคนนำเรื่องของเราไปบอกธัญชนกหรือเปล่า





เขาไม่อยากถูกศมน เกลียด ถ้าถูกเกลียดเขาคงทนไม่ได้





ไม่ได้เลย...







“คุณจาคะ แหม..ธัญก็มัวแต่พูดเรื่องส่วนตัว อย่าถือสาธัญเลยนะคะ ช่วงนี้ธัญก็จะลอยๆ แบบนี้ล่ะค่ะ ตื่นเต้นค่ะ ก็ความฝันของผู้หญิงทุกคนนี่คะ”





“ไม่เป็นไรครับ”



“แล้วเรื่องธีมสีบนเว็บ?” ธัญชนกกลับเข้ามาเรื่องงานต่อ



“ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมเตรียมอีกแบบไว้ด้วย ตอนที่อ่านรายละเอียดสินค้า ผมคิดว่าธีมสีพาสเทลเหมาะกับเว็บได้ค่อนข้างลงตัว” จาณีนเปิดหน้าเว็บสำรองที่เขาได้ทำเตรียมไว้ให้ธัญชนกได้ดู



“ขอบคุณค่ะ คุณจารอบคอบมากเลยค่ะ ธัญเกรงใจจริงๆ เป็นความผิดของทางเราและยังเป็นงานเร่งอีก”



“ไม่เป็นไรครับ”





หลังจากส่งงานครั้งแรกแล้ว จาณีนคิดว่าเขาจะต้องรอบคอบและเก็บรายละเอียดมากกว่านี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจธัญชนก แต่เพราะเธอคงมีงานและเรื่องส่วนตัวที่มากมายอาจจะทำให้เธอผิดพลาดได้ง่ายกว่าเดิม จาณีนประณีนและตั้งใจกับงานนี้มากกว่าทุกงาน เพราะเป็นงานของธัญชนก คู่หมั้นและศมน และเพราะงานนี้เขาเองก็เป็นคนดูแลด้วยตัวเองด้วย จึงไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดใดๆ อีก



======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twentieth Drop -- 28 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-12-2017 13:50:46
 :ling3:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twentieth Drop -- 28 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-12-2017 00:39:25
อ้าว ฝีมือใคร คุณพ่อเหรอ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twentieth Drop -- 28 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-12-2017 06:04:10
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twentieth Drop -- 28 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 30-12-2017 13:12:03

Twenty First Drop 50% Re-Write

 

            ศมนกำลังใช้ความคิด ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของจาณีนเต็มไปหมดและยิ่งได้รับข่าวที่มาจากพันธกานต์ว่าตอนนี้ธัญชนกได้ว่าจ้างบริษัทของจาณีนและระบุให้จาณีนนั้นทำโปรเจ็คให้กับตนเอง คราแรกที่ศมนได้ยิน เขารู้สึกแปลกใจ ธัญชนกไม่ใช่ผู้หญิงเรื่องมาก เพราะทุกการกระทำของหญิงสาวจะผ่านทุกกระบวนการความผิดมาแล้วอย่างดีทั้งนั้น ความผิดพลาดแทบไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลย

 

           ชายหนุ่มสั่งพันธกานต์ให้เฝ้าจับตาทั้งสองคนอย่างใกล้ชิด ธัญชนกทำอะไรผิดวิสัย เขาไม่แน่ใจว่าหญิงสาวรู้อะไรมาบ้างหรือเปล่า แต่มันน่าสงสัยเกินไป



            พอมาคิดถึงจาณีน ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าตั้งแต่กลับมาจากทางเหนือแล้วทั้งเขาและจาณีน ต่างก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก เขาเองก็ได้แต่รับฟังข่าวคราวของอีกฝ่ายจากคำบอกเล่าของพันธกานต์เท่านั้น เขากำลังตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริง จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากที่เขาตัดสินใจพลาด ก็คงใช่



            ชายหนุ่มได้รับความเชื่อเหลือจากคุณหมอชลทีเพื่อหาทางเข้าถึงจาณีนได้ง่ายขึ้นในครั้งนั้น แต่การเจรจาที่เขามั่นใจหนักหนาว่ามันจะต้องสำเร็จกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า จาณีนไม่ได้ตอบรับหรือแบ่งรับแบ่งสู้ข้อเสนอของเขาเลย เด็กหนุ่มกลับทวนคำถามนั้นแล้วไม่ตอบอะไร



            แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงน้ำตกทำให้เขารู้คำตอบแล้วว่าจาณีนไม่รับข้อเสนอของเขา และนั่นอาจทำให้เขาต้องเสียจาณีนไปจริงๆ ก็เป็นได้ เขาคิดว่าเด็กหนุ่มจะยอมรับฟังเหตุผลของเขา ทว่ามันกลับไม่ใช่เพราะจาณีนเลือกศีลธรรมและสังคมมาก่อน...ความรัก



            ยอมรับว่าเหมือนคนเหยียบเรือสองแคม ไม่ยอมปล่อยทางใดทางหนึ่งไป ไม่ยอมปลุกธัญชนกให้ตื่นจากฝัน และยังเหนี่ยวรั้งจาณีนให้เหมือนอยู่ในกรงขัง



เขาเห็นแก่ตัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะไม่ยอมปล่อยจาณีน ไม่มีวัน เว้นเสียแต่ว่าจาณีนจะไม่เหลือความรักเอาไว้ให้เขาแล้ว นั่นแหละเขาถึงจะยอมเปิดกรงขังนี้ให้เด็กหนุ่มด้วยตัวเอง





อีกนิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะได้กลับไปหาจาณีนเสียที





            วันนี้ศมนเลิกงานเร็วกว่าปกติ จังหวะที่เขาเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ จึงได้พบกับเจ้าสัวใหญ่ ประมุขของบ้านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือที่ถืออยู่ภายในมือ ศมนตั้งท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ก็ไม่ทันเพราะถูกอีกฝ่ายเห็นเข้าเสียแล้ว



            “กลับเร็วนะวันนี้”



            “ครับ พอดีลูกค้ายกเลิกนัดกะทันหัน” ศมนจำต้องเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ข้างบิดา





            “ได้ฤกษ์วันแต่งหรือยัง”



            “ยังครับ”



            “ไอ้ที่ยังเพราะเขายังไม่ได้วันมงคลหรือเพราะแกยังไม่ไปคุยกับเขา” เจ้าสัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนั้นกำลังจับจ้องมองมาที่บุตรชาย



            “....”



            “หาฤกษ์แต่งงานซะ รีบไปคุยกับทางคุณหญิงสุวิมลได้แล้ว แกจะรอไปถึงเมื่อไหร่” เมื่อเห็นว่าบุตรชายไม่ตอบ ประมุขของบ้านจึงรีบต้อนอีกฝ่ายให้มากขึ้นไปอีก



            “....”



            “แล้วทำไมถึงไม่ชวนหนูธัญ เขาไปทานข้าว” ในที่สุดก็ไม่ได้รับคำตอบ เจ้าสัวเริ่มระอากับความดื้อด้านของบุตรชายคนนี้เสียจริง แต่ถ้าจะผิดเขาเองก็มีส่วนผิดที่เลี้ยงดูศมนให้เป็นคนแบบนี้



            “ผมอยากกลับมาพักมากกว่า”



            “ไปทานข้าวกับว่าที่ภรรยา มันจะเหนื่อยอะไรหนักหนา”



            “ผมอยากพักครับพ่อ”



            “แกไม่ควรทำแบบนี้ ศมน มีอย่างที่ไหน จะแต่งงานอยู่เร็วๆ นี้แล้ว ถึงจะไม่ได้รักชอบอะไรเขานัก แต่แกต้องหัดใส่ใจเขาบ้างสิ หนูธัญก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก”



            “อย่าลืมสิครับว่าผมไม่ได้อยากแต่งงานกับน้องธัญ คุณพ่อเองก็ทราบดี” บุตรชายบอกบิดาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย



            “จะอยากแต่งหรือไม่ แกก็ควรจะดูแลใส่ใจ หนูธัญให้มากกว่านี้” น้ำเสียงบ่งบอกถึงคำสั่งที่คนพูดเคยชินกับการใช้มันเป็นอย่างดี



            “คุณพ่อ อย่าบีบบังคับผม...” ศมนจ้องตาประมุขใหญ่ ทางด้านคนที่สูงวัยกว่าก็มองตาลูกชายตอบโดยไม่ลดละเช่นกัน



            “จาณีน...” ผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่าพูดชื่อของใครอีกคนขึ้นมาลอยๆ



            “อย่าเอาชื่อนี้มาขู่ผม” เสียงทุ้มถูกบังคับให้กดต่ำลงไปจากที่เคยเป็น



            “ฉันไม่ได้ขู่ แกก็รู้จักฉันดีไม่ใช่หรือ”



            “อย่าให้ผมต้องอดทนไม่ไหว” ศมนยืนขึ้น เตรียมที่จะผละออกไปจากตรงนี้ ขืนยังทู่ซี้พูดกันต่อไป มีหวังจะทะเลาะกันเสียงดังจนกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ แต่น้ำเสียงของผู้เป็นบิดาที่พูดขึ้นต่อจากเขาทำให้ชายหนุ่มต้องชะงักเท้าเอาไว้ก่อน



            “หึ อดทนไม่ไหวงั้นหรือ อยากจะรู้จริงๆ ว่าแกจะทำอะไรฉันได้”



            “ผมน่ะเหรอครับ ผมน่ะไม่มีทางทำอะไรคุณพ่อได้อยู่แล้ว เพราะถึงยังไงคุณพ่อเองก็เป็นพ่อของผม แต่คุณพ่อน่ะ รักบริษัทนี้มากใช่มั้ยครับ อยากได้หลานมากนักใช่มั้ยครับ ระวังจะไม่ได้อะไรสักอย่างนะครับ”



            “ศมน!! นี่แกถึงกับกล้าขู่ฉัน เพราะเด็กเมื่อวานซืนคนเดียวอย่างนั้นรึ” ประมุขของบ้าน ตวาดลั่น ยกมือชี้หน้าไปยังบุตรชายด้วยความโมโห



            “ผมไม่ได้ขู่ คุณพ่อเองก็รู้จักผมดีเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ” บุตรชายย้อนด้วยถ้อยคำของบิดาที่ใช้ก่อนหน้านี้



            “แกไม่กล้าหรอก”



            “ก็ลองดูสิครับ จะได้รู้เหมือนกันว่าผมจะกล้าทำหรือไม่ เพราะมาคิดดูแล้ว ผมเองก็ไม่ได้อยากทำนักหรอก บริษัทนี้แล้วผมก็ไม่ได้อยากมีลูกด้วย ยังไงผมก็มีน้องไนท์อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากได้น่ะ...คือจาณีน แล้วตอนนี้เขาก็ปล่อยมือไปจากผม เรามาเล่นทายใจกันหน่อยมั้ยครับว่าถ้าพ่อเป็นผม พ่อจะเลือกอะไร” ศมนสบตาบิดาด้วยความท้าทาย



            “ศมน!!” เจ้าสัวใหญ่เรียกบุตรชายเสียงดัง ทำเอาคนในบ้านต่างพากันหลบหนีหน้าเข้าไปอยู่ด้านในเพราะกลัวจะโดนลูกหลงไปด้วย เหลือเพียงบุตรชายที่ยังมองหน้าบิดาตอบโดยไม่ได้เกรงกลัวน้ำเสียงนั้นแต่อย่างใด



            “คุณน้ากับพี่มนกำลังคุยอะไรกันอยู่คะ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว” วิมาลาอุ้มเด็กชายรัตติกาลเอาไว้ ขณะที่เดินเข้ามาในบ้านของอีกฝ่าย





            หญิงสาวกำลังพาน้องไนท์ออกมาเดินเล่นหลังจากที่ทานมื้อเย็นไปแล้วเป็นปกติ เสร็จแล้วหลังจากนั้นจะพาลูกชายไปอาบน้ำแล้วพาเข้านอน แต่ก็พลันได้ยินเสียงดังเอะอะออกมาจากบ้านหลังนี้เสียก่อน แต่เธอไม่กล้าที่จะเดินบุ่มบ่ามเข้ามาทันที เลยแสร้งส่งเสียงถามมาแต่ไกล



            “ไม่มีอะไรหรอก พี่กับคุณพ่อกำลังคุยกันเรื่องทั่วไป” ศมนหันไปยิ้มให้น้องสาว น้ำเสียงกลับมาอยู่ในภาวะปกติ หน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่เป็นประจำมันทำให้เขาสามารถทำทุกอย่างได้เป็นธรรมชาติ



            “อ่อ... อย่างนั้นเหรอคะ” หญิงสาวพยักหน้าทำท่าว่าเข้าใจ ทั้งที่ในใจนั้นมีคำถามอยู่เต็มไปหมด



            “คุณตา” เสียงเด็กน้อยร้องเรียกหาผู้อาวุโสสุดของบ้าน แล้วพยายามที่จะดิ้นเพื่อลงมาจากอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ วิมาลาเลยย่อตัวลงวางเด็กน้อยลงกับพื้น เมื่อขาเล็กๆ นั้นแตะถึงพื้น น้องไนท์ก็รีบวิ่งเข้าไปเจ้าสัวใหญ่ทันที



            “อย่าวิ่งไป!! น้องไนท์ กลับมาหาแม่ค่ะ” วิมาลาร้องห้ามเสียงหลง เพราะหญิงสาวไม่ค่อยได้พาลูกชายมารบกวนประมุขใหญ่นักด้วยความเกรงใจ แต่ก็น่าแปลกที่น้องไนท์กลับไม่กลัวชายชราเลยแม้แต่น้อย



            “คุณตา...” น้องไนท์เรียกเสียงดังแล้วพุ่งไปหาเป้าหมายโดยไม่สนใจฟังคำเรียกจากมารดา เจ้าสัวเกือบจะตั้งรับเด็กตัวอวบอ้วนเอาไว้แทบไม่ทัน โชคดีว่าประมุขของบ้านนั้นนั่งอยู่ค่อนข้างมั่นคง ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุหกล้มไปแน่ๆ





            วิมาลาเห็นภาพอย่างนั้นก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งที่คุณอาของเธอไม่ได้รับอันตราย หากเกิดอะไรขึ้นมาล่ะก็ หญิงสาวคงถูกมารดาดุอย่างหนัก เธอจึงรีบเข้าไปรับเด็กชายออกมาจากอีกฝ่ายด้วยความกังวลใจ



            “น้องไนท์มากับแม่ค่ะ”





            “ไม่ฮะ น้องไนท์จะเล่นกับคุณตา”



            “น้องไนท์ หนูทำแบบนี้ไม่น่ารักเลยค่ะ ไปกับแม่นะคะ อย่ากวนคุณตาเลยค่ะ” หญิงสาวพยายามพูดจาหว่านล้อมบุตรชาย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล



            “ไม่ฮะ”



            “โธ่น้องไนท์ ทำไมล่ะลูก ขอโทษนะคะคุณอา หนูจะพยายามพูดกับแกค่ะ” เธอบ่นกับตัวเองเบาๆ พลางเงยหน้าขอโทษผู้สูงวัยกว่า



            “ไม่เป็นไร ถ้าน้องไนท์อยากเล่นกับตาก็เล่น” เจ้าสัวใหญ่บอกกับหญิงสาวตอนนี้ เขาเองก็เริ่มใจเย็นบ้างแล้ว เสร็จแล้วจึงหันไปถามกับหลานชาย “ว่าไง น้องไนท์ อยากเล่นกับตาใช่มั้ย”



            “ฮะ”



            “เอาๆ ไม่เป็นไรนะ ยัยวิ ถ้าเจ้าหนูนี่เบื่อเมื่อไหร่จะให้เด็กพาไปส่งละกัน”



            “ขอบคุณค่ะคุณอา ถ้าน้องไนท์ดื้อหรือซนล่ะก็ คุณอาจัดการได้เลยนะคะ”



            “เด็กๆ ก็เป็นแบบนี้ ไม่เป็นไรหรอก”



            “ค่ะ”



            “ศมนไปส่งยัยวิที่บ้านคุณป้าสิ” ประมุขของบ้านออกคำสั่ง



            “ไปกันเถอะ ยัยวิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ศมนหันไปบอกวิมาลา โดยไม่สนใจเจ้าสัวอีกเลย



            “ค่ะ หนูไปนะคะ คุณอา” หญิงสาวบอกผู้สูงวัยกว่าแล้วจึงไปบอกกับบุตรชาย



            “น้องไนท์ เล่นกับคุณตาดีๆ แล้วก็ห้ามดื้อห้ามซนนะคะลูก”



            “ฮะ” เด็กน้อยรับคำ ตอนนี้เจ้าตัวปีนขึ้นไปนั่งบนตักของตาเรียบร้อยแล้วและกำลังดึงเนื้อที่เหี่ยวย่นนั้นเล่นด้วยความสนใจใคร่รู้ ทำให้ผู้เป็นตานั้นถึงกับหัวเราะเบาๆ ในความไร้เดียงสาของหลานชาย





            วิมาลาเห็นแบบนั้นก็เบาใจ หญิงสาวเลยขอตัวเดินออกมาจากบ้านใหญ่ โดยมีชายหนุ่มเดินมาส่งอยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ



            “ส่งวิแค่นี้ก็พอค่ะพี่มน”



            “ไม่เป็นไร จะได้เข้าไปทักทายคุณป้าด้วยเลย”



            “วันนี้คุณแม่ไม่อยู่หรอกค่ะ ไปกินข้าวที่บ้านคุณหญิงสุวิมล ดึกๆ นู่นแหละค่ะ ถึงจะกลับ    พี่มนอยากไปทานข้าวกับวิมั้ยล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยชวน แต่คำตอบของศมนคือส่ายหน้าเบาๆ



            “นั่นไง วิก็ว่างั้นแหละค่ะ” วิมาลาพูดแซวอีกฝ่ายเพราะคาดเดาคำตอบไว้ได้อยู่แล้ว





            “แต่พี่จะไปนั่งเป็นเพื่อนวิทานข้าว ดีมั้ย”



            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ วิทานคนเดียวได้ แล้วอีกอย่างพี่มนจะได้พักด้วย”



            “นั่งเป็นเพื่อนวิ ก็ถือว่าพักเหมือนกัน”  สถานการณ์คล้ายๆ เพียงแค่คนตรงหน้าเป็นอีกคน ความหมายมันก็เปลี่ยนได้โดยง่าย



            “วิไม่ใช่ น้องจานะคะ ไม่ต้องพูดเอาใจวิหรอกค่ะ” คำพูดไม่ทันคิดของหญิงสาว ทำให้ดวงตาของศมนมีไหววูบหน่อยหนึ่ง แต่เพียงชั่วพริบตา ดวงตาคู่สวยของชายหนุ่มก็กลับมาดังเดิม แต่ก็ไม่พลาดสายตาเลขาทรงคุณภาพอย่าง      วิมาลาที่ทันสังเกตเห็น



            “วิขอโทษค่ะ” วิมาลาพนมมือไหว้ขอโทษอีกฝ่าย



            “ไม่เป็นไร” ศมนไม่ถือโกรธน้องสาวด้วยใจจริง เพราะเขารู้ว่าวิมาลาไม่ตั้งใจ



            “แปลกใจจังเลยนะคะ ที่จู่ๆ น้องไนท์ก็อยากเล่นกับคุณอา ทีแรกวิน่ะเกร็งแทบแย่น่ะค่ะ กลัวคุณอาจะไม่พอใจ” หญิงสาวรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางเดินนำอีกฝ่ายเข้าบ้านของตนเอง



            “อืม”



            “คุณอาอยู่บ้านทั้งวัน ท่านคงจะเหงาหรือเปล่าคะพี่มน”



            “ไม่รู้เหมือนกัน ก็อาจจะเหงาตามประสาคนแก่ ไม่งั้นจะเร่งพี่เรื่องหลานหรือ” ศมนพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก แต่   วิมาลาก็รู้ดีว่า คนพูดไม่ได้ตลกด้วยเลย



            “อืม... ถ้าอย่างนั้นวิจะพาน้องไนท์ไปเล่นกับคุณอาบ่อยๆ ดีมั้ยคะ” หญิงสาวเสนอความคิดเห็น



            “ก็ดีเหมือนกัน” ศมนตอบ วิมาลามองหน้าดูอีกฝ่ายก็พบว่าศมนแค่เพียงเออออไปตามความคิดของเธอไม่ได้สนใจว่าด้วยซ้ำว่าเธอพูดอะไร ชายหนุ่มคงจะคิดเรื่องที่กำลังหนักใจอยู่แน่ๆ



            “พี่มนคะ ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ” หญิงสาวจับแขนของพี่ชายเบาๆ อยากจะปลอบและให้กำลังใจพี่ชายคนนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าใจของศมนนั้นเข้าถึงยากเพียงใด





ดูภายนอกของศมนอาจจะมีบุคลิกที่ดูเหมือนเข้ากับคนอื่นได้โดยง่าย ทว่ามันก็เป็นแค่เพียงเปลือกนอกเพื่อใช้ติดต่อทางธุรกิจเท่านั้น แต่ภายในนั้นไม่เคยมีใครเข้าถึงจิตใจของศมนได้เลย จนกระทั่งชายหนุ่มได้พบกับจาณีน วิมาลาก็รู้สึกได้ว่าพี่ชายของเธอดูมีชีวิตจิตใจขึ้นมาบ้าง





แต่ความรักนั้นมันไม่ได้ราบรื่นไปซะทุกคู่ ดูอย่างเธอเป็นตัวอย่างก็ได้ เธอแต่งงานกับผู้ชายที่รัก และเขาก็รักเธอ มีโซ่ทองคล้องใจด้วยกันหนึ่งคน เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แต่กลับเรื่องไม่คาดฝัน สามีของเธอตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ทำให้เธอต้องพรากจากสามีอันเป็นที่รักไปตั้งแต่น้องไนท์เพิ่งเกิด ศมนเองเมื่อมีความรักก็กลับเจอปัญหาโลกแตก ต้องมีหลาน ต้องมีทายาทเพื่อสืบสกุล เพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว วิมาลาไม่รู้ว่าศมนต้องอึดอัดใจแค่ไหนถ้าต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก เพราะถ้าคนที่ต้องแต่งงานนั้นเป็นเธอ เธอเองคงจะทำใจยอมรับได้ยากหรือไม่ก็อาจจะทำอะไรโดยไม่คาดคิดก็เป็นได้





            สถานการณ์ครั้งนี้ หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอนั้นจะทำเช่นไรต่อไป จะเลือกการแต่งงานหรือจะเลือกความรัก แต่เธอก็ภาวนาขอให้ทุกอย่างนั้นจบลงด้วยดีเถิด






======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan

สัปดาห์นี้ก็น่าจะจบแล้วค่า
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twentieth Drop -- 28 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 30-12-2017 13:12:34

Twenty First Drop 100% Re-Write



เมื่อถึงกำหนดส่งงานครั้งที่สองหรือครั้งสุดท้าย จาณีนแทบจะหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ที่ธัญชนกพอใจและปลาบปลื้มกับงานนี้มาก หลังจากที่เธอได้ปรับรายละเอียดหลายอย่างจนกว่าจะถูกใจและปรับเปลี่ยนในระยะเวลาที่เป็นงานด่วนด้วย จาณีนก็ดีใจมากที่งานชิ้นนี้มันสำเร็จลงได้



“ธัญอยากเลี้ยงมื้อกลางวันคุณจาค่ะ ใจจริงอยากจะเลี้ยงมื้อเย็นเลย จะได้คุยกันยาวๆ แต่วันนี้ธัญมีนัดทานข้าวกับพี่มนน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ เลยได้แค่ช่วงกลางวัน”



“เอ่อ...” จาณีนตอบไม่ถูก ถ้าระหว่างที่ทานอาหารด้วยกัน ธัญชนกเล่าแต่เรื่องของศมน เขาไม่แน่ใจว่าจะทนฟังจนจบได้หรือไม่



“อย่าปฏิเสธเลยนะคะ คราวก่อนก็ครั้งหนึ่งแล้ว ถือว่าขอบคุณสำหรับโปรเจ็คนี้ค่ะ ธัญรู้ว่าตัวเองเรื่องมาก คือธัญอยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เลยปรับเปลี่ยนแก้บ่อย คุณจาคงไม่ชอบที่ธัญขอเปลี่ยนหรือแก้งานอยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยคะ”



“ไม่เลยครับ ในฐานะลูกค้า คุณธัญมีสิทธิ์อยู่แล้วครับ” จาณีนตอบตามความจริง

         

   “ถ้างั้น ทานข้าวกันนะคะ”



            “ก็...ได้ครับ” จาณีนเลยต้องจำใจตกปากรับคำอีกฝ่ายไป





            มื้อนั้นจาณีนทานอาหารแบบเกร็งๆ ระวังตัวเพราะกลัวว่าธัญชนกจะคอยเล่าเรื่องของใครอีกคน แต่โชคดี ธัญชนกไม่ค่อยพูดถึงศมนนัก เธอชวนเขาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตบท้ายด้วยเรื่องโปรเจ็คที่เจ้าตัวถูกใจกับมันหนักหนา หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ไม่น่าอึดอัดเท่าไหร่นัก แล้วมันก็สิ้นสุดลงเมื่อธัญชนกเรียกพนักงานมาคิดเงิน



            “กรี๊ดด ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย” เสียงของธัญชนกหวีดขึ้นอยู่ข้างตัวจาณีน ตอนที่ทั้งคู่ก้าวเดินออกมาจากร้านอาหาร หญิงสาวร้องเสียงดังเพราะถูกแรงกระชากจากข้างหลังและพบว่ามีดแหลมขนาดไม่ใหญ่นักกำลังจี้อยู่ที่คอของเธอ



            “คุณจา...ช่วยธัญด้วยค่ะ” ธัญชนกร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ



            “ไม่เป็นไรนะครับ คุณธัญอย่าร้องไห้ครับ ตั้งสติไว้”



            “เอาเงินมา เอาเงินมาให้หมด” โจรที่ถือมืดอยู่ตะโกนเสียงดังที่ข้างธัญชนก



            “ปล่อยฉันสิ เดี๋ยวฉันเอาเงินให้หมดเลย เงินอยู่ในกระเป๋านี้” หญิงสาวพูดจาลนลาน



            “คุณอยากได้อะไร เงินเหรอ งั้นปล่อยผู้หญิงคนนี้ก่อนครับ” จาณีนถามเพื่อสอบถามความต้องการคนร้าย เขาจะต้องทำยังไงดี เด็กหนุ่มไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน



            “ปล่อยให้โง่สิ ปล่อยก็ไม่ได้เงิน” โจรยังเถียง ดูจากท่าทางภายนอกแล้ว จาณีนคิดว่าโจรคนนี้เหมือนคนที่ติดยาเสพย์ติด เขาจะต้องระวังคำพูดให้มากที่สุด





            สายตาของจาณีน พลันไปเห็นพันธกานต์ที่วิ่งแทรกเข้ามาในกลุ่มคนที่กำลังยืนมุงดูเหตุการณ์ เขารีบบอกให้  บอดี้การ์ดหนุ่มโทรแจ้งตำรวจให้เร็วที่สุด พันธกานต์จึงถอยหลังออกไปเล็กน้อยเพื่อเบี่ยงตัวออกมาโทรศัพท์ เพราะกลัวว่าโจรจะรู้ว่าพวกเขาโทรหาตำรวจและทำอะไรไม่ดีลงไป



            “ปล่อยผู้หญิงก่อนนะครับ คุณอยากได้เงินเท่าไหร่” จาณีนถามคนร้ายอีกครั้ง



            “ไม่ปล่อย เอาเงินมา มีเท่าไหร่ก็เอามาให้หมด”



            “แต่ถ้าจับฉันไว้แบบนี้ ฉันก็จะหยิบเงินให้นายไม่ได้” หญิงสาวพูดขึ้นมา



            “เงียบ!!” โจรตวาดธัญชนกดังลั่น เธอจึงยืนตัวสั่นอยู่แบบนั้น



            “ถ้าขืนคุณยังจับผู้หญิงเอาไว้แบบนี้ เธอก็จะเอาเงินให้คุณไม่ได้ เอางี้นะครับ แลกตัวกัน คุณจับผมแทนละกัน เธอจะได้หยิบเงินให้คุณได้ไง ดีมั้ยครับ” จาณีนพยายามหว่านล้อม



            “คุณจาไม่ได้นะคะ/นะครับ” เสียงธัญชนกกับพันธกานต์พูดขึ้นมาพร้อมกัน



            “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเป็นห่วงคุณธัญ เธอเป็นผู้หญิงและเป็นคู่หมั้นของคุณศมน” จาณีนตอบเบาๆ นัยน์ตาโศกนั้นถึงจะดูเศร้าสร้อยแต่ก็เด็ดเดี่ยวในคำพูด



            “คุณจาไม่ต้องทำเพื่อธัญขนาดนี้หรอกค่ะ” ธัญชนกรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างที่เธอคอยกลั่นแกล้งจาณีนเรื่องงานที่ผ่านมา เพราะเธอโกรธศมนและจาณีนด้วยกันทั้งคู่ ที่ปิดบังเรื่องนั้นกับเธอ



            “ผมยินดี”



            “ให้ผมไปแทนคุณจานะครับ” พันธกานต์พูดขึ้น



            “จะเอาไงวะ มัวแต่พูดกันอยู่นั่น รำคาญโว้ย!!” โจรตวาดเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง  ทำให้การถกเถียงของสามคนนั้นต้องหยุดชะงักลง



            “กรี๊ดดดด” เสียงหวีดร้องของธัญชนกดังขึ้นอีกครั้งเมื่อโจรนั้นเอามีดจิ้มที่คอเธอเบาๆ จนเลือดซึมออกมา



            “เปลี่ยนตัวกันนะครับ” จาณีนบอกธัญชนก แต่หญิงสาวเลือกส่ายหน้าเบาๆ



            “เร็วๆ ดิวะ” โจรเร่ง



            “ผมจะนับหนึ่งถึงสามนะครับ คุณก็ปล่อยตัวผู้หญิงคนนี้ออกมา แล้วผมจะเข้าไปหาคุณนะครับ ตกลงมั้ย”    จาณีนบอกให้สัญญาณ



            “เออ”



            “หนึ่ง” ใจของเด็กหนุ่มเต้นตุบๆ เขาไม่เคยทำอะไรขนาดนี้มาก่อน



            “สอง” แต่เขาก็ยินดี....



            “สาม” จาณีนวิ่งเข้าไปหาโจร ในจังหวะที่โจรก็เหวี่ยงธัญชนกออกมาด้วยเช่นกัน





            จาณีนไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปเป็นตัวประกันตั้งแต่แรก เมื่อโจรผลักธัญชนกออกมาแล้ว จาณีนก็รีบแย่งมีดออกจากมือของโจรคนนั้น พันธกานต์รับตัวของธัญชนกได้ทันทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยจาณีนในจังหวะนั้นได้





            โจรมีแรงไม่น้อยเลยทีเดียว แต่จาณีนก็คิดว่าโชคดีที่ศมนให้เขาไปเรียนการป้องกันตัวมาตั้งเยอะมันคงช่วยได้บ้าง และมันก็ช่วยได้จริงๆ ตอนที่จาณีนพลิกมือของอีกฝ่ายให้หงายขึ้นจนมีดหลุดออกจากของผู้ร้ายคนนั้น และเขาจึงล็อคมือทั้งสองข้างของโจรนั้นไว้ด้านหลังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต่อสู้เขาได้อีก





            หลังจากเหตุการณ์สงบลง ตำรวจเข้ามาจัดการเรื่องราวที่เหลือต่อ ตอนนี้ จาณีน พันธกานต์และธัญชนกจึงอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะทั้งคู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บ



            “เธอ...เป็นไงบ้างจา” น้ำเสียงร้อนรนที่เห็นได้ไม่บ่อยนักจากศมนถามขึ้น เมื่อเจ้าตัวเดินมาถึง ทำให้ธัญชนกที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับน้อยใจอยู่ภายใน



            “....” จาณีนยังไม่ได้ตอบอะไร ศมนก็พูดขึ้นต่ออีกครั้ง



            “เอ่อ...น้องธัญ พี่ไม่ทันเห็น น้องธัญเป็นยังไงบ้าง” ศมนรีบถามธัญชนกเมื่อเขาสำนึกได้ว่าไม่ได้มีเพียงเขาและจาณีนอยู่ด้วยกันตามลำพัง



            “ไม่เป็นไรค่ะ เล็กน้อย แต่คุณจา เจ็บที่แขนและฝ่ามือเลยล่ะค่ะ” หญิงสาวตอบ



            “เป็นอะไรหรือเปล่า” ศมนถามจาณีนอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เขาอยากจะจัดการโจรคนนั้นให้หายไปจากโลกนี้เสียเลยด้วยซ้ำ



            “ไม่เป็นไรครับ บาดแผลเล็กน้อย ไม่ได้ลึกอะไรมากมาย หมอให้ทานยา ล้างแผลเดี๋ยวก็หายแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับคุณศมน” จาณีนพยายามอธิบายให้เรียบเฉยมากที่สุดเพราะไม่อยากให้ธัญชนกผิดสังเกต



            “ธัญ เดี๋ยวพี่ไปส่ง...เอ่อ...หรือกานต์ไปส่ง” นี่เป็นครั้งแรกที่ธัญชนกเห็นศมนนั้นไม่เป็นตัวของตัวเองมากขนาดนี้ สาเหตุเหล่านี้ไม่ได้เกิดมาจากเธอ แต่กลับมาจากเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอต่างหาก



            “ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่จะมารับธัญเองค่ะ ขอบคุณพี่มนมากนะคะ”



            “ขอโทษด้วยนะ ที่พี่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”



            “ไม่เป็นไรค่ะ พี่มนคะ ธัญขอคุยกับคุณจา ตามลำพังสักครู่ได้มั้ยคะ ธัญอยากขอบคุณเรื่อง

ที่คุณจาช่วยเหลือธัญน่ะค่ะ”



            “ครับ ตามสบาย” ศมนพูดจบก็ออกไปยืนรอให้ห่างจากคนสองคน ธัญชนกมองตามจนแน่ใจว่า ไม่มีใครได้ยินแล้วแน่ๆ จึงพูดกับจาณีน



            “คุณจาคะ”



            “ครับ”



            “เรื่องวันนี้ขอบคุณคุณจาจริงๆ นะคะ ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยธัญ”



            “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรจริงๆ นะครับ”



            “คุณจาใจดีจังเลยนะคะ ไม่แปลกเลยที่พี่มนรักคุณจา”



            “คะ....คุณธัญทราบ?” เด็กหนุ่มตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ



            “ค่ะ ธัญทราบเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ธัญโกรธ ก็เลยกลายเป็นผู้หญิงที่นิสัยไม่ดี คอยแกล้งคุณจา เอาเรื่องงานมาอ้าง ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำตัวแย่ๆ ทำเรื่องแย่ๆ กับคุณจา ยกโทษให้ธัญด้วยนะคะ”



            “ไม่เลยครับ ผมไม่เคยโกรธคุณธัญเลย”



            “เหตุการณ์ครั้งนี้มันทำให้ธัญรู้ว่าคุณจาเป็นคนดีมากเลยค่ะ ช่วยเหลือธัญ ทั้งที่จริงๆ แล้วคุณควรจะเกลียดธัญด้วยซ้ำที่มาแย่งพี่มนไปจากคุณ แต่คุณก็ไม่ทำ ธัญขอโทษนะคะ ธัญยอมแพ้แล้วค่ะ” หญิงสาวร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ



            “อย่าขอโทษผมเลย คุณธัญไม่รู้เรื่องของผมกับคุณศมนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ใช่ความผิดของคุณเลยครับ อย่าโทษตัวเองเลย ยอมรับว่าผมเสียใจมากที่ผมไม่สามารถอยู่กับคุณศมนได้ แต่ผมคิดว่าคุณธัญก็เหมาะสมกับคุณศมนครับ อย่างน้อยผมก็ดีใจที่คุณศมนจะมีคู่ครองที่เป็นผู้หญิงดีๆ อย่างคุณธัญนะครับ”



            “คุณจา...ขอบคุณนะคะ แต่ธัญตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะไม่แต่งงานกับพี่มน”



            “เพราะผม?” จาณีนรู้สึกไม่สบายใจถ้าการตัดสินใจของอีกฝ่ายนั้นเกิดจากตัวเขา



            “หลายๆ เหตุผลค่ะ ไม่ใช่เพราะคุณจาเพียงคนเดียวหรอกค่ะ ธัญคิดมาเสมอว่า ธัญคงไม่ดีใจหรอก ถ้ารู้ว่าผู้ชายที่เราแต่งงานด้วย หัวใจเขามีเจ้าของแล้ว มันไม่ภูมิใจเลยล่ะค่ะ เพราะฉะนั้น ธัญจะคืนพี่มนให้คุณนะคะ ธัญอยากเห็นคุณมีความสุขค่ะ”

















            .

            .

            “พี่มน ทานอะไรดีคะวันนี้” ธัญชนกเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี เพราะช่วงนี้ศมนดูเหมือนจะใส่ใจเธอมากขึ้นกว่าเดิม ปกติแล้วน้อยครั้งที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายชวนเธอออกมาทานอาหาร นอกเหนือจากนี้ โอกาสที่เธอจะได้ทานอาหารกับศมนนั้นเป็นช่วงที่ไปพร้อมกับลูกค้าเท่านั้น และมื้ออาหารนี้ก็เป็นการชดเชยจากมื้อเมื่อคราวก่อนที่ต้องถูกยกเลิกไปจากเหตุการณ์ร้ายนั้น



            “ตามใจน้องธัญเลยครับ พี่ทานได้หมดทุกอย่าง”



            “พี่มนเลือกอาหารที่อยากทานบ้างสิคะ มากับธัญทีไรก็ตามใจธัญตลอดเลย”



            “ไม่ดีหรือครับ” ศมนยิ้มกว้างให้หญิงสาว จนสองข้างแก้มนั้นเป็นรอยบุ๋มจากลักยิ้มของเจ้าตัว แค่นั้นก็ทำให้    ธัญชนกถึงกับหน้าแดงเห่อร้อนขึ้นมาทันที เพราะเธอก็ไม่ค่อยได้เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้านี้บ่อยนัก



            “จะว่าดีมันก็ดีค่ะ แต่ไม่รู้ว่าหลังแต่งงานจะตามใจธัญเหมือนเดิมอย่างนี้หรือเปล่า” หญิงสาวพูดแก้เขิน แต่รอยยิ้มคนตรงหน้าก็กลับหุบลงฉับพลัน



            “ขอโทษค่ะ ธัญพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ”



            “น้องธัญไม่ได้พูดอะไรผิดครับ ไม่มีอะไรหรอก ตกลงมื้อนี้จะตามใจพี่ใช่มั้ย” ศมนรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศต้องมาขุ่นมัว



            “ใช่ค่ะ สรุปพี่มนทานอะไรดีเอ่ย”



            “ถ้าอย่างนั้นลองทานอาหารไทยบ้างมั้ย เปลี่ยนเมนูบ้าง กินแต่เส้นๆ ชีสๆ เบื่อหรือยังครับ”



            “ใจตรงกันเลยค่ะ ธัญก็กำลังเริ่มเบื่ออาหารฝรั่งเต็มที ลูกค้านัดทานแต่อาหารพวกนี้ตลอดเลย”



            “อยากทานอะไร สั่งได้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่”



            “แน่นอนค่ะ พี่มนเป็นเจ้ามือทั้งที ธัญไม่ยอมปล่อยผ่านแน่นอน”



            “อย่าสั่งจนพี่หมดตัวล่ะ” ศมนหัวเราะในลำคอ



            “พูดดักธัญก่อนเลยเหรอคะ ใจร้าย”



            “พี่พูดเล่นน่ะ น้องธัญสั่งได้เต็มที่เลย”



            “พี่มนน่ารักที่สุดเลย”







            ศมนขับรถพาธัญชนกมาถึงร้านที่ตัวเองเลือกพอดี ทั้งคู่ได้ที่นั่งบริเวณมุมของร้าน ไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่าน เดินผ่านมาตรงนี้เท่าไหร่นัก ซึ่งศมนค่อนข้างพอใจเพราะเขาไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย พนักงานก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะคนไม่ค่อยแน่นขนัดเท่ากับช่วงหัวค่ำแล้ว พวกเขาสองคนมาทานมื้อค่ำที่เรียกว่าค่อนข้างดึกอยู่พอสมควร 





            บทสนทนาในวันนี้ค่อนข้างไหลรื่นไปอย่างไม่ติดขัดอะไรนัก เพราะธัญชนกผูกขาดการเล่าเรื่องอยู่เพียงคนเดียว ศมนพยักหน้าบ้าง ไม่ก็คอยตอบรับหญิงสาวอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ธัญชนกคิดว่าเขาไม่สนใจเธอ ศมนทำไปด้วยความเคยชินเคยชินเมื่อต้องการเข้าสังคม ไม่ได้เคยชินเพราะเป็นตัวของตัวเอง แต่ศมนก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือหงุดหงิด เจ้าตัวกลับคิดว่าดีเสียอีก เพราะเขาจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องมาชวนอีกฝ่ายพูดคุย





            ไม่เหมือนกับเวลาที่ชายหนุ่มอยู่กับใครอีกคน เขาเป็นตัวของตัวเอง เขาไม่ใช่คนพูดเก่ง ดังนั้นเมื่ออยู่ด้วยกัน เขากับเด็กหนุ่มไม่ค่อยพูดคุยอะไรกันมาก มักจะนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ จาณีนมีอะไรทำของตัวเอง เขาเองก็มักจะทำงาน แค่นั้นมันเพียงพอแล้วสำหรับเขา





            พวกเขาเจริญอาหารได้ดีคงเป็นเพราะว่ารสชาติของร้านนี้ถูกปากพวกเขาทั้งคู่ ประกอบกับไม่ได้ทานอาหารไทยมานาน ไม่นานอาหารที่ถูกสั่งมาก็พร่องไปมาก ธัญชนกรวบช้อนส้อมเรียบร้อย หญิงสาวยกน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วแล้วหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก เป็นอันว่าแสดงว่าเจ้าตัวนั่นได้อิ่มมื้ออาหารนี้แล้ว





            ศมนมองอิริยาบถของหญิงสาว ท่วงท่าของธัญชนกเต็มไปด้วยความเคยชินประกอบกับมารยาทที่ได้รับการอบรมและถูกสอนมาเป็นอย่างดีในการวางตัวเวลาที่เข้าสังคม ชายหนุ่มพลันคิดถึงใครอีกคนที่เคยทำให้เขาถึงกับหลุดขำกับมารยาทบนโต๊ะอาหารตอนที่เจ้าตัวต้องไปทานมื้อค่ำสุดหรูกับเขา











            .

            .



            “ทำไมไม่กินล่ะ” ศมนถามด้วยความสงสัยในขณะที่เขาเริ่มลงมือทานไปบ้างแล้ว แต่สายตาก็เหลือบมาเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่เริ่มทานเสียที



            “คือ..ว่า...”





            “หืม”



            “คุณอย่าหัวเราะผมนะครับ แต่ว่าไอ้ช้อนส้อมหลายคู่เนี่ย ผมใช้ไม่ถูกอะ ไม่รู้จะหยิบอันไหนขึ้นมาใช้ก่อน”



            “อย่างนั้นเหรอ” ศมนไม่ได้หัวเราะกับความไม่รู้ของเด็กหนุ่ม แต่เขากำลังยิ้มให้กับท่าทีประดักประเดิดของอีกฝ่ายนั้นมากกว่า ศมนเติบโตมาท่ามกลางคนที่คล่องในการเข้าสังคมด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนใช้อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารนั้นอย่างคล่องแคล่ว ปราศจากความเคอะเขิน ผิดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเขา







            เขาชอบที่อย่างน้อยจาณีนก็ยอมรับมาตรงๆ ไม่แสร้งทำเป็นเก่งหรือทำเป็นอวดรู้ นั่นก็แสดงว่าเจ้าตัวค่อนข้างเปิดเผยให้เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเด็กหนุ่มอยู่มากทีเดียว ศมนในเวลานี้ รู้สึกดีใจ อย่างน้อยเขาก็ได้เป็นคนที่เห็นอีกมุมหนึ่งของจาณีน



            “คุณศมน อย่าหัวเราะผมสิครับ รับปากผมแล้วนี่” จาณีนท้วงสัญญากับอีกฝ่าย



            “ฉันไม่ได้ตกลงอะไรกับเธอเลย จาณีน มีแต่เธอเท่านั้นที่พูดเองเออเองทั้งหมดไม่ใช่หรือ”





            “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ก็ผมใช้ไม่เป็นจริงๆ นี่ครับ”



            “ฉันไม่ได้หัวเราะเธอสักหน่อย เอาล่ะๆ ย้ายที่นั่งมานั่งข้างๆ ฉันสิ เดี๋ยวฉันสอนให้” ศมนเรียกพนักงานเพื่อมาย้ายอุปกรณ์และอาหารตรงหน้าของจาณีนมาอยู่ทางฝั่งขวามือ ข้างๆ กายศมน



            “เสร็จแล้วครับ” จาณีนบอกอีกฝ่ายเมื่อย้ายที่นั่งมาเรียบร้อย



            “ปกติแล้ว ร้านจะเสิร์ฟอาหารโดยเริ่มต้นจากขนมปังก่อน ก็ใช้มือบีแล้วกินได้เลย ไม่ต้องใช้มีดมาหั่น” ศมนหยิบขนมปังตรงหน้าขึ้นมาบีออกพอดีคำแล้วก็ใส่เข้าปาก เด็กหนุ่มพยักหน้าแล้วก็ทำตาม”



“ถัดมา คือซุป นั่นก็คือจานที่เรากำลังจะกินอยู่ตอนนี้ ให้เธอสังเกตง่ายๆ ว่าช้อนซุปจะอยู่ทางขวามือด้านนอกสุดเสมอ แต่หลักการทั่วไปง่ายๆ ก็คือให้เริ่มหยิบช้อนส้อมที่อยู่ข้างนอกสุดเข้ามาด้านใน” ศมนไม่ได้หยิบช้อนซุปขึ้นมาเพราะช้อนคันที่ว่านั่นอยู่ถ้วยซุปไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว



“ครับ” จาณีนรับคำ เด็กหนุ่มกำลังตั้งใจเรียนรู้อย่างจริงจัง



“เวลากินก็ไม่ยาก ค่อยๆ ใช้ช้อนตักน้ำซุปออกจากตัวแบบนี้” ศมนทำให้ดู “ไม่ต้องตักเยอะล่ะ ถ้าจะปาดก้นช้อนก็ปากที่ขอบจานเบาๆ อย่างนี้”



            “ครับ” จาณีนทำตามทันที ศมนเห็นแล้วก็อดเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้ ดูช่างไร้เดียงสา



            “เวลาเธอจะยกช้อนขึ้นมาตักเข้าปากเนี่ย ก็อย่าตักเข้าปากตรงๆ แบบนี้ ให้ซดน้ำซุปจากด้านข้างของช้อน แล้วก็ระวังอย่าซดเสียงดัง หรือทำช้อนกระทบกับขอบจานเสียงดังล่ะ ซึ่งข้อนี้เป็นมารยาทพื้นฐานบนโต๊ะอาหาร เธอคงรู้อยู่แล้ว” ศมนกล่าวทิ้งท้ายสำหรับเรื่องการใช้ช้อนตักซุป



            “ครับ” จาณีนรับคำก่อนจะยกช้อนตักน้ำซุปซดเข้าปากตามที่ได้ร่ำเรียนมาทันที ศมนเห็นลูกศิษย์ตั้งอกตั้งใจ ซ้ำยังทำได้ถูกต้อง ก็ดีใจอยู่ภายใน เด็กคนนี้กำลังจะได้รับการดูแลและการเรียนรู้จากเขา มันเหมือนเขาได้กำลังสร้างเด็กคนนี้ให้เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ













            .

            .

            “พี่มนคะ พี่มน” ธัญชนกสะกิดแขนอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าศมนนั่งเงียบไปนาน





เธอเห็นว่าสายตาของชายหนุ่มไม่ได้สนใจเธอเลย แต่กลับเหม่อลอยเสียมากกว่า ถ้าเดาไม่ผิดก็คงไม่พ้นเรื่องของจาณีนแน่นอน ถึงจะเจ็บในใจเท่าไหร่ แต่ธัญชนกก็ยังต้องแสร้งว่าไม่เป็นไร และไม่เคยรู้เรื่องอะไรพวกนี้มาก่อน





นอกจากศมนแล้ว เธอเองก็เล่นละครได้เก่งเหมือนกัน



            “ครับ”





            “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เห็นพี่มนเงียบไป”



            “เปล่าหรอก ขอโทษทีนะ จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาพอดี”



            “เรื่องอะไรคะ บอกธัญได้หรือเปล่า”



            “เรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไร”



            “อะค่ะ”



            “น้องธัญอิ่มแล้วใช่มั้ย ถ้ายังไงเรากลับกันเลยมั้ย”



            “ได้ค่ะพี่มน” ศมนเรียกพนักงานมาเก็บเงิน



            “อร่อยมั้ยครับ” ศมนถามหญิงสาว เมื่อพวกเขาทั้งคู่ขึ้นมานั่งภายในรถคันใหญ่เรียบร้อยโดยมีพันธกร บอดี้การ์ดคนพี่ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้เจ้านายหนุ่ม



            “อร่อยมากเลยค่ะ ไม่นึกเลยว่าแถวบ้านธัญจะมีร้านอร่อยๆ แบบนี้อยู่ แถมบรรยากาศก็ดี”



            “ดีใจที่น้องธัญชอบ”



            “ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ นายครับ” พันธกรแทรกบทสนทนาขึ้นมาหลังจากที่เจ้าตัวรับโทรศัพท์ขึ้นแล้วส่งต่อมาให้เจ้านาย



            “...” ศมนรับโทรศัพท์นั้นมาก่อนจะเอ่ยขอตัวกับธัญชนกเพื่อลงไปคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอกรถ บอดี้การ์ดหนุ่มติดเครื่องยนต์เอาไว้ ปล่อยให้หญิงสาวนั่งอยู่ภายในรถ ส่วนตัวเขาลงจากรถแล้วมายืนคอยอยู่ด้านหลังผู้เป็นนาย

            “ว่าไง กานต์”



            “ขอโทษที่โทรมารบกวนครับนาย”



“มีเรื่องอะไรถึงได้รีบโทรมา”



“คุณจาหายตัวไปครับ”




======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty first Drop -- 30 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 30-12-2017 14:10:38
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty first Drop -- 30 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 31-12-2017 12:11:38

Twenty Second Drop 50% Re-Write



 

“คุณจาหายตัวไปครับ” รายงานจากพันธกานต์ทำให้คนได้ยินรู้สึกเหมือนแก้วหูของตัวเองลั่นเปรี๊ยะขึ้นมา เขาได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย



            “หืม หายตัว หายไปได้ยังไง คนทั้งคน เธอดูเขาไว้ตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ” ศมนไม่ได้เสียงดังแต่กรอกเสียงนิ่งๆ ลงไปยังปลายสายแทน



            “ครับ คิดว่าหายไปจังหวะที่กำลังออกจากบริษัทเพื่อมาขึ้นรถครับ”



            “เธอรอรับจาที่ไหน”



            “ที่ลานจอดรถของตึกที่คุณจาทำงานอยู่ครับ”



            “ครั้งสุดท้ายที่เธอติดต่อจาได้คือเมื่อไหร่”



            “คุณจาโทรหาผมตอนที่เธอกำลังออกมาจากออฟฟิศครับ หลังจากนั้นผมก็ติดต่อคุณจาไม่ได้อีกเลย”



            “แค่ช่วงเวลาสั้นๆ สินะ ไปสืบอะไรเพิ่มมาแล้วหรือยัง”



            “ครับ...” บอดี้การ์ดหนุ่มคนน้องตอบแล้วก็เงียบไป





            ทางด้านของธัญชนก เธอมองออกไปที่ศมนกับพันธกรยืนอยู่ แต่เมื่อเห็นสีหน้าด้านข้างของศมนดูเคร่งเครียด เธอก็คิดเองว่าคงจะเรื่องงาน หญิงสาวเลยหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างนั่งรออยู่ในนี้



            “ว่าไง” ศมนเร่ง



            “ผมคิดว่าการหายตัวไปของคุณจา น่าจะเป็นฝีมือของท่านเจ้าสัวครับ”



            “ขอบใจเธอมาก กานต์” ศมนเงียบไปอึดใจก่อนที่จะตอบอีกฝ่าย ศมนไม่แปลกใจเท่าไหร่นักเพราะพ่อของเขาเป็นบุคคลต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งเลยทีเดียว



            “นายจะให้ผมทำยังไงต่อครับ”



            “รอคำสั่งจากฉันก็แล้วกัน ระหว่างนี้เธอไปอยู่ที่บ้านของจาก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวเด็กอีกคนนั้นจะได้รับอันตรายไปด้วย”



            “ครับ”



            “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” พันธกรเห็นสีหน้าของเจ้านายไม่ค่อยสู้ดีจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง



            “จาหายไป” ศมนตอบสั้นๆ



            “คุณจาหายไปเหรอครับ”





            “อืม กานต์บอกว่าน่าจะเป็นฝีมือของคุณพ่อ ก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้วล่ะ”



            “ท่านเจ้าสัว ทำไมเท่าเจ้าสัวถึงทำแบบนี้ล่ะครับ”



            “คงเพราะเมื่อวานฉันก็เพิ่งมีปากเสียงกับคุณพ่อมา รีบไปส่งธัญชนก ฉันจะคุยกับคุณพ่อคืนนี้”



            “แต่วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านเจ้าสัวน่าจะเข้านอนไปแล้วนะครับ”



            “....” ศมนกำมือแน่น เขาอยากจะคุยกับพ่อของเขาเดี๋ยวนี้ เวลานี้ แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ อายุอานามของท่านเจ้าสัวนั้นก็ไม่น้อยแล้ว โรคคนแก่นั้นก็นับว่ามี หากปลุกอีกฝ่ายขึ้นมาตอบคำถามเขาในเวลานี้ พอดีพอร้ายนอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วอาจจะได้ผลกระทบอื่นตามไปด้วย ก็ดี... อย่างน้อยคืนนี้เขาจะได้คิดหาคำพูดให้รอบคอบก่อนแล้วคุยกับอีกฝ่ายในวันพรุ่งนี้



            “มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่มนดูเครียดๆ นะคะ” ธัญชนกถามขึ้นเมื่อเห็นศมนและบอดี้การ์ดคู่ใจนั้นกลับขึ้นมาในรถ



            “เรื่องงานนิดหน่อยน่ะครับ” ศมนตอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมดา เหมือนว่าเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อสักครู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร



            “มีอะไรให้ธัญช่วยมั้ยคะ ถ้ามีบอกได้เลยนะคะ ธัญเต็มใจช่วยค่ะ”



            “ขอบใจมากนะน้องธัญ แต่คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว พี่ว่า...น้องธัญรีบกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่งนะครับ”



            “ค่ะ” ธัญชนกได้ฟังก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังรีบๆ อย่างไรก็ไม่รู้ เมื่อรถออกตัวนั้นศมนก็ไม่ได้พูดคุยกับหญิงสาวอีกเลย เธอเองก็ไม่ได้ชวนชายหนุ่มคุยเช่นกัน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงกำลังใช้ความคิดเพื่อแก้ปัญหาเรื่องงานอยู่เป็นแน่ จนกระทั่งเธอได้ลงจากรถไปเมื่อถึงจุดหมาย ธัญชนกเพียงยกมือไหว้ขอบคุณและบอกลาชายหนุ่มสำหรับค่ำคืนนี้







            จาณีนรู้สึกตัวขึ้นมาท่ามกลางความมืด เขารู้สึกมึนเล็กน้อย เด็กหนุ่มลองขยับตัวดูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่บาดเจ็บตรงไหน ยกแขนยกขาดูก็ไม่เจ็บปวดอะไร นอกจากท้ายทอยที่รู้สึกเจ็บคงจะมาจากตอนที่เขาสู้กับใครสักคน ที่เขาไม่รู้จักเลย





สายตาค่อยๆ ปรับให้คุ้นชินในความมืด ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดสามฟุต เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง พอเห็นเป็นเค้าลางว่าเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่นัก เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปพร้อมกับคลำมือไปทางผนังของห้องไปเรื่อยๆ จนพบกับแผงสวิตซ์ไฟ เด็กหนุ่มกดเปิดมัน พลันทั้งห้องก็สว่างจ้า จาณีนรีบหลับตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาที่อาจจะพร่ามัวไปชั่วขณะ แล้วเขาก็ค่อยๆ ลืมตามขึ้นอีกครั้ง จึงได้เห็นห้องนี้ชัดขนัดตา





ลักษณะห้องเหมือนหอพักทั่วไป จากที่แรกคิดว่าไม่ใหญ่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่ามันดูค่อนข้างเล็ก กะจากสายตาคร่าวๆ ห้องนี้น่าจะมีขนาดสิบห้าตารางเมตรและยังมีห้องน้ำในตัว จาณีนเดินเข้าไปสำรวจ ในนั้นไม่มีของใช้ที่ดูจะเป็นอาวุธได้เลย อุปกรณ์อาบน้ำเป็นแบบเก่า แม้กระทั่งสบู่และยาสระผม ยังเป็นแบบซองที่ใช้แล้วทิ้งไป





น่าแปลก... จาณีนกำลังใช้ความคิด คนที่จับเขามา เหมือนไม่ได้ต้องการทำร้ายเขาให้บาดเจ็บ สังเกตได้จากมือและขาของเขาเป็นอิสระไม่ถูกพันธนาการ ดูไม่ได้อยากจะจับเขามาทำร้าย หรือเรียกค่าไถ่ แต่เหมือนจะต้องการให้เขาพักอยู่ที่นี่ไปสักระยะ แต่จะเพราะอะไรเขายังไม่แน่ใจ



“มือหนักชะมัด” จาณีนยกมือขึ้นลูบท้ายทอยที่ถูกทุบด้วยมือจนเขาหมดสติไปในที่สุด





เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงของตนเองหวังว่ามันจะยังอยู่ แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังว่าตอนนี้เขาไม่มีของมีค่าอะไรติดอยู่กับตัวเลย คนพวกนั้นคงเอาโทรศัพท์และกระเป๋าเงินของเขาไปตอนที่เขาไม่รู้สึกตัว













.

.

“ครับ คุณกานต์...” จาณีนรับสายจากบอดี้การ์ดหนุ่มที่มารอรับตนเองที่ลานจอดรถของบริษัท



“คุณจาเลิกงานแล้วหรือยังครับ”



“ครับ ตอนนี้ผมกำลังลงลิฟท์ครับ”



“ผมรอที่เดิม”



“ครับ เดี๋ยวเจอกัน” จาณีนเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงดังเดิม เสียงสัญญาณบอกว่าตอนนี้ลิฟท์เคลื่อนลงมาถึงชั้นที่เป็นลานจอดรถแล้ว เขาก้าวออกไปจากลิฟท์ยังไม่ทันเดินไปถึงลานจอดรถก็เจอผู้ชายสามคน พวกเขามีรูปร่างสูงใหญ่ ใส่สูทแต่งตัวคล้ายกับพันธกรและพันธกานต์ สองพี่น้องนั้น



“ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยครับ” จาณีนเอ่ยบอกเพราะหนึ่งในนั้นยืนปิดประตูทางออกเอาไว้ และจังหวะเดียวกันอีกสองคนก็เข้ามายืนประกบเขาจากด้านหลัง จาณีนเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลเอาเสียแล้ว



“ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยครับ” จาณีนบอกอีกครั้งหนึ่งแต่คนพวกนั้นก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง



“เสียใจด้วยนะ แต่คงให้แกผ่านไปไม่ได้” คนที่ยืนประจันหน้ากับจาณีนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา



“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร”



“ต้องการให้แกไปด้วยกันกับพวกเราหน่อย”



“ผมไม่ไป ถอยไปครับ” จาณีนออกเดินแต่ก็ต้องติดกับคนตรงหน้า



“ไม่ได้หรอกครับ ช่วยไปกับผมดีๆ เถอะครับ อย่าให้พวกเราต้องใช้กำลัง”





พลันสายตาของจาณีนก็ทันเห็นคนตรงหน้าพยักหน้าเหมือนให้สัญญาณกับคนด้านหลังเขาอีกสองคน เด็กหนุ่มเลยยกแขนขึ้นสูงหวังจะใช้ศอกถองไปทางด้านหลัง แต่คนที่ยืนด้านหลังทางขวาเขานั้นกลับจับไหล่เขาไว้ จาณีนก้มตัวลงแล้วใช้ขายันคนข้างหลังอย่างแรง ส่งผลให้เขาเป็นอิสระอีกครั้ง ส่วนคนที่ถูกเขาถีบนั้นลงไปนอนอยู่ที่พื้น





ด้านหน้าของเขาก็มีหมัดพุ่งตรงเข้ามาเหมือนกัน จาณีนหลบได้อย่างหวุดหวิด เขาเลื่อนตัวหลบไปทางด้านขวา จาณีนมองหมัดเมื่อสักครู่ หากโดนจังๆ มีหวังคงจุกจนล้มไปแน่ๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้อันตราย ลำพังเขาคนเดียวคงเอาตัวรอดไม่ได้แน่ๆ เขาต้องเรียกให้คนช่วย





จาณีนตั้งใจจะตะโกนเรียกพันธกานต์ให้มาช่วยเขา แต่จังหวะที่เขาอ้าปากออก อีกฝ่ายคงเดาเหตุการณ์ได้อยู่แล้ว คนที่เผชิญหน้าเขาทีแรกจึงรีบรุดมาปิดปากเขา เด็กหนุ่มยกเข่าขึ้นสูงเพื่อจะถองเข้าไปที่ท้องของคนตรงหน้า แต่ฝ่ายนั้นตัวก่อนเลยหลบออกมาได้ทัน



“คุณก....” เขาพูดได้เพียงเท่านั้นก็หมดสติลง ดูแล้วคนที่ยืนด้านหลังเขาทางด้านซ้ายคงเข้ามาสับท้ายทอยเขาแน่ๆ



“เสียท่าพวกมันจนได้ คุณศมนอุตส่าห์ให้ไปเรียนมาตั้งเยอะ พอใช้จริงกลับไม่ได้เรื่อง” เด็กหนุ่มก่นด่าตัวเองเสร็จแล้วก็คิดต่อว่าจะเอายังไงต่อดี แล้วพันธกานต์จะรู้หรือยังว่าเขาหายตัวไป





แล้วคุณศมนล่ะ จะรู้เรื่องของเขาหรือยัง...





จาณีนเดินไปที่ประตูห้อง เขาลองขยับลูกบิดประตูดู แล้วก็เป็นอย่างที่คิดประตูถูกล็อคออกจากด้านนอก เขาเลยส่งเสียงออกไป อย่างน้อยก็จะได้พอเข้าใจสถานการณ์บ้างว่าเขากำลังเจอกับอะไรอยู่



"นี่...มีใครอยู่บ้าง” จาณีนทุบประตูไปด้วยแต่ไม่แรงนักเพราะเขาต้องถนอมมือเอาไว้ใช้ยามจำเป็น



“หืม..ตื่นแล้วเหรอ ไวดีนี่” เสียงจากภายนอกดังเข้ามา จาณีนแนบหูกับประตูทันที



“พวกคุณจับผมมาทำไม”



“ไม่ต้องรู้หรอก ทำตัวดีๆ สักพักเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านเองแหละ”





“เรียกค่าไถ่เหรอ” จาณีนลองถามดู



“หึ ไม่ใช่ ท่านเจ้าสัวมีเงินเยอะเสียจนชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด”



“ท่านเจ้าสัว เจ้านายของพวกคุณเหรอ” จาณีนรู้สึกคุ้นกับคำนี้เหลือเกินแต่เขายังไม่นึกไม่ออก



“ถูกต้อง แล้วหิวหรือยังล่ะ จะได้เอาข้าวมาให้”



“อือ หิวแล้ว” จาณีนยังไม่หิวหรอก แต่เด็กหนุ่มคิดอย่างรวดเร็วว่า ถ้าทางนั้นเอาข้าวมาให้ก็ต้องเปิดประตูบานนี้ออก บางทีเขาอาจจะพอมีลู่ทางหลบหนีออกไปก็ได้



“ก็ดี เดี๋ยวให้คนเอาข้าวไปให้ แล้วอย่าตุกติกล่ะ ถึงท่านเจ้าสัวไม่ต้องการให้ถึงกับตาย แต่ก็ไม่ได้ห้ามเรื่องลงไม้ลงมือ หวังว่าจะทำตัวดีๆ” คนที่อยู่ด้านนอกขู่จาณีนให้รู้สึกกลัว






จาณีนแนบหูฟังต่อไปอีกสักพักแต่ก็ไม่มีเสียงอะไรภายนอก เด็กหนุ่มจึงเดินกลับเข้ามานั่งที่บนเตียงดังเดิม เสียงสปริงดังเอี๊ยดอ๊าดยามที่เขานั่งลงไป เตียงนี้คงมีอายุอานามไม่น้อยแล้วล่ะ เป็นไปได้ว่าคืนนี้หรือคืนต่อๆ ไปเขาคงต้องปวดหลังแน่ๆ

         



          สักพักใหญ่กว่าจาณีนจะได้ยินเสียงมีคนกำลังไขประตูเข้ามา เขาได้ยินเสียงโซ่ที่ถูกปลดออกตามด้วยเสียงกุกกักจากประตูลูกบิดอีกชั้นก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก มีผู้ชายสามคนเดินเข้ามา พวกเขาแต่งตัวเหมือนกับคนเมื่อตอนเย็น หนึ่งในนั้นถือถาดอาหารเข้ามา เป็นจานกระดาษรวมไปถึงช้อนด้วย มีเพียงช้อน ไม่มีส้อม คนพวกนี้ค่อนข้างรอบคอบพอสมควร



            “กี่โมงแล้ว”



            “สี่ทุ่มแล้ว รีบๆ กินซะ กินเสร็จแล้วก็วางไว้ที่ประตู พรุ่งนี้จะมาเก็บตอนเอาข้าวเช้ามาให้” คนที่ยืนเฝ้าประตูยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วบอกเขา



            “ผมต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน”



            “จะนานหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า นายน้อยของเราจะทำตามคำพูดเมื่อไหร่”



            “นายน้อย นายน้อยเป็นใคร”



            “แกไม่ต้องรู้หรอก” คนที่ยืนอยู่หน้าประตูพูดจบตอนที่อีกสองคนในห้องออกไปพอดี ดังนั้นเขาเลยปิดประตูลงแล้วล็อคลงดังเดิม จาณีนได้ยินเสียงล็อคประตูและตามด้วยโซ่อีกชั้นเหมือนเดิม





            ‘แล้วเขาต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนกันเนี่ย’





จาณีนคิดอยู่ภายในใจแล้วก็เริ่มลงมือทานอาหารตรงหน้า ถึงจะอยู่ในช่วงเวลาย่ำแย่ แต่เขาจะต้องมีแรงเอาไว้ให้มากที่สุด แล้วมื้อนี้ก็ไม่แย่จนเกินไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาที่เริ่มรู้สึกหิวหรือรสชาติของอาหารนั้นมันอร่อยจริงๆ





            ทานอาหารเสร็จ จาณีนลุกขึ้นไปที่มุมของห้องซึ่งมีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่ เด็กหนุ่มเปิดออกดู ข้างในนั้นมีเสื้อผ้ามากมายหลายชุด ทั้งชุดนอนหรือชุดธรรมดาใส่ระหว่างวัน เขาหยิบเสื้อผ้าพวกนั้นออกมา ไซส์เสื้อผ้านั้นเป็นมีขนาดพอดีกับเขาเลยทีเดียว ถ้าไม่บังเอิญจริงๆ ก็คงเตรียมตัวที่จะจับเขามาขังไว้ที่นี่ไว้แต่แรกแล้ว





            จาณีนส่ายหัวโคลงด้วยความไม่เข้าใจเหตุการณ์อีกครั้งก่อนจะหยิบผ้าขนหนูแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย อาบเสร็จไม่นานเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่ยากเย็นนัก







นับว่าเริ่มต้นสำหรับชีวิตแบบใหม่ได้ค่อนข้างดี





“อ้าว พี่กานต์ กลับมาซะดึกเลย” ชนัญญูเดินออกไปเปิดประตูรั้วให้เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นเคยเข้ามาเทียบจอดที่หน้าบ้าน



“ใช่”



“อ้าว แล้วทำไมพี่กลับมาคนเดียว พี่จาล่ะครับ” คนอ่อนวัยกว่าตั้งข้อสงสัยเพราะเห็นพันธกานต์เดินลงมาจากรถเพียงลำพัง



“เข้าบ้านก่อน เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” พันธกานต์รีบเดินนำเข้าบ้านไป เขาไม่รู้ว่าบริเวณรอบๆ บ้านหลังนี้จะมีใครแอบซุ่มอยู่อีกหรือไม่ ในเวลานี้เขาไม่สามารถไว้ใจสิ่งใดได้เลย



“อือ” เด็กหนุ่มพยักหน้างงๆ แล้วเดินตามอีกฝ่ายไป



“พี่กินข้าวยัง”



“ยังเลย พอดีงานเข้าน่ะ”





“เหรอ กินอะไรมั้ยล่ะ ผมจะได้อุ่นให้”



“ก็ดี ขอบใจนะ” บอดี้การ์ดบอกขอบคุณอีกฝ่าย ชนัญญูหายเข้าไปจัดการอุ่นอาหารอย่างที่บอก สักพักไม่นานก็ยกอาหารออกมา



“เสร็จแล้ว พี่มากินสิ”



“อืม”



“พี่จะบอกผมได้หรือยัง ว่าพี่จาไปไหน ถึงไม่กลับมาพร้อมกับพี่”



“รับปากฉันมาสองข้อ” คนเป็นพี่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ชนัญญูเลยไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันกำลังเกิดเรื่องอะไรกับจาณีนหรือเปล่า



“.....”



“รับปากก่อนสิ” เด็กหนุ่มสงสัย แต่พันธกานต์พยักหน้าเบาๆ ว่าให้ชนัญญูเลือกจะตอบตกลงหรือปฏิเสธ



“อือ รับปากก็ได้ เรื่องอะไรล่ะ”



“ข้อแรกห้ามพูดหรือเอาไปบอกใคร”




======================================



เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty first Drop -- 30 Dec 2017 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 31-12-2017 12:12:26

Twenty Second Drop 100% Re-Write


“ข้อแรกห้ามพูดหรือเอาไปบอกใคร”



“ได้” คนอ่อนวัยกว่าได้ยินก็นึกแปลกใจ แต่ก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเอาไปพูดต่ออยู่แล้ว



“ข้อสองห้ามโวยวาย เสียงดัง”



“แน่นอน ผมไม่มีทางโวยวายอยู่แล้ว”



“ดีมาก”



“ตกลงพี่จะบอกผมได้หรือยัง”



“คุณจาถูกลักพาตัวไป” ชนัญญูอ้าปากตั้งท่าจะร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายใช้นิ้วมือขึ้นชี้หน้าว่าให้ทำตามสัญญา นั่นแหละถึงทำให้ชนัญญูต้องรีบหุบปากตัวเองแทบไม่ทัน



“ล้อผมเล่นหรือเปล่าพี่กานต์”



“หน้าพี่ดูพูดเล่นเหรอ” บอดี้การ์ดพูดพลางตัดอาหารเข้าปากไปด้วย



“หายไปได้ยังไง ตอนไหน” เด็กหนุ่มเริ่มซัก



“น่าจะเป็นตอนที่คุณจากำลังจะมาขึ้นรถ”



“บ้าน่า เรื่องตลกชัดๆ แล้วพี่พอจะรู้มั้ยว่าฝีมือใคร”



“ก็พอจะเดาได้”



“ใครอะ ใคร” ชนัญญูร้อนรนด้วยความเป็นห่วงจาณีน



“ยังบอกไม่ได้”



“อ้าว เซ็งเลย พี่บอกหน่อย ผมเป็นห่วงพี่จา” ชนัญญูทำหน้าผิดหวังเพราะเขาอยากรู้ว่าใครทำ



“เอาเป็นว่า ยูช่วยทำตามสัญญาที่ให้กับฉันก็พอ จำได้ใช่มั้ย”



“จำได้ครับ”



“อืม” พันธกานต์รับคำในคอแล้วเริ่มลงมือทานมื้อเย็นของตัวเองต่อ



“ยังไม่นอนอีกหรือ” บอดี้การ์ดหนุ่มเอ่ยถามอีกฝ่าย เมื่อตนเองอาบน้ำเสร็จกำลังเช็ดผมเดินเข้ามาในห้องนอนของชนัญญู แต่ยังเห็นคนอ่อนวัยกว่ายังนอนอ่านหนังสืออยู่



“ยังครับ ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่”



“หนังสือเรียน ตอนนี้ฝึกงานไม่ใช่เหรอไง” คนที่ยังยืนเช็ดผมอยู่มองหนังสือในมืออีกฝ่ายด้วยความสงสัย



“ใช่... ก็ไม่ได้สนใจจะอ่านเท่าไหร่หรอก จริงๆ แล้วผมตั้งใจรอพี่”



“รอฉัน รอทำไม ง่วงก็นอนก่อนเลย นี่ก็ดึกมากแล้ว”



“ไม่รู้สิ แค่อยากรอ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับวางหนังสือลงบนตรงโต๊ะข้างเตียง เมื่อเห็นว่าพันธกานต์ขึ้นมานอนบนเตียงแล้ว เขาก็เอื้อมมือปิดโคมไฟ แล้วทั่วทั้งห้องก็ดับมืดลง



“ผมยังไม่แห้งเลย” ชนัญญูทักขึ้นตอนที่เขาจับเส้นผมอีกฝ่ายเบาๆ แล้วสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ติดปลายนิ้ว



“ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็แห้งไปเอง” พันธกานต์ตอบไปอย่างไม่ค่อยสนใจเรื่องผมเท่าไหร่นัก



“เดี๋ยวก็ไม่สบาย” คนอ่อนวัยกว่าพูดด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย



“แค่นี้เอง ฉันไม่ป่วยง่ายๆ หรอก”



“พี่กานต์” ชนัญญูเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาเบาๆ ท่ามกลางความมืด



“หืม?” คนแก่วัยกว่าตอบรับคนเรียกในลำคอ





ชนัญญูดึงอีกฝ่ายให้เข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง ให้ศีรษะของพันธกานต์หนุนแขนของตัวเองเอาไว้ ดึงมือของบอดี้การ์ดหนุ่มให้มาพาดเอวของเด็กหนุ่มเอาไว้ ส่วนตัวชนัญญูเอง มือหนึ่งก็ลูบเส้นผมของอีกฝ่าย ส่วนมืออีกข้างก็กอดเอวคนข้างๆ เอาไว้



“อยากเล่าหรืออยากระบายอะไรให้ผมฟังมั้ย” ชนัญญูกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างแผ่วเบา



“....”



“พี่รู้มั้ยว่าผมเป็นผู้ฟังที่ดีนะ” เด็กหนุ่มยังพูดด้วยความดังเท่าเดิมต่อไป



“...”



“ผมรู้ว่าพี่กำลังไม่สบายใจ” ถึงอีกฝ่ายจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังฟังเขาอยู่



“...”



“ผมเป็นห่วงพี่” ถ้อยคำที่เขาพูดออกมาจากใจจริง



“...”



“ให้ผมเป็นคนที่ได้ปลอบใจพี่ได้มั้ย”



“...”



“ขอให้ผมได้ดูแลพี่นะครับ” ชนัญญูพูดความในใจของตัวเองจบ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ



“ฉันทำงานพลาด” นานสักพักใหญ่กว่าพันธกานต์จะยอมพูดออกมาท่ามกลางความมืด



“....” ชนัญญูกำลังรอฟัง ดังนั้นเขาเลยไม่ขัดจังหวะ ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ



“แค่คุณจาคนเดียว แค่คนๆ เดียว ฉันยังดูแลไม่ได้ แล้วฉันจะดูแลใครได้” น้ำเสียงเศร้าที่แสดงถึงความผิดหวังในตัวเอง



“...”



“ฉันประมาท ประมาทเกินไป ทั้งที่ผิดสังเกตมาหลายวันแล้วว่ารู้สึกเหมือนมีรถยนต์คันเดิมตามมาบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แค่ชั่วจังหวะเดียว คุณจาก็ถูกคนพวกนั้นอุ้มขึ้นรถไป” พันธกานต์สูดหายใจเข้าปอดอย่างแรง ชนัญญูเลยลูบหลังคอยปลอบอีกฝ่ายเบาๆ



“...”



“ฉันได้ยินเสียงเอะอะ รีบไปที่ต้นเสียงแต่พวกนั้นก็ทำสำเร็จไปแล้ว พอขับรถตามไปก็คลาดกันเสียอีกจนพวกมันหนีรอดไปได้”



“แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้ว่าเป็นฝีมือใครไม่ใช่เหรอ”



“อืม แต่มันก็น่าเจ็บใจ คนทั้งคน ยังไม่มีปัญญาช่วย” พันธกานต์กำมือข้างที่กอดเอวของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกได้



“ผมเป็นห่วงพี่จาก็จริง แต่เรื่องนี้มันไม่ได้แปลว่าพี่ไม่ได้พยายามช่วยเหลือหรือปล่อยปละละเลย พี่ทำเต็มที่แล้วครับพี่กานต์ อย่าโทษตัวเองเลย”



“นายเองก็คงผิดหวังในตัวฉัน นายไว้ใจให้ดูแลคุณจา แต่ฉันก็ทำพลาด”



“ไม่มีใครอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แล้วผมว่านายของพี่คงเข้าใจว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด”



“ขอบใจที่ช่วยพูดให้ฉันรู้สึกดีขึ้น แต่ตอนนี้ฉันเฟลกับตัวเองจริงๆ”



“ถ้าอย่างนั้น แทนที่จะเอาเวลามาพร่ำด่าตัวเอง ก็พยายามแก้ไขเรื่องนี้ ให้พี่จากลับมาโดยปลอดภัยดีกว่ามั้ยครับ” เด็กหนุ่มยื่นข้อเสนอเพื่อดึงสติอีกฝ่ายกลับมา



“ฉันต้องรีบตามหาคุณจาและพาเขากลับมาให้ได้อย่างปลอดภัยและโดยเร็วที่สุด”



“ต้องคิดอย่างนี้สิครับถึงจะถูกต้อง”



“ยู...ทำอย่างนี้บ่อยมั้ย” อยู่ๆ พันธกานต์ก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้เด็กหนุ่มสงสัย



“ทำอะไรครับ”



“ก็อย่างนี้ไง ดึงคนมากอดแล้วก็พูดอะไรแบบนี้” พูดออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง ถามออกไปทั้งที่ก็กลัวคำตอบเหมือนกัน



“อืม...ก็เคยนะ...พี่จาไง” เด็กหนุ่มตอบเว้นระยะ เพราะใช้ความคิดไปด้วย แต่ก็ค้นพบว่ามีเพียงจาณีนคนเดียว เวลาที่เจ้าตัวไม่สบายใจก็จะเข้ามานอนด้วย



“คุณจาเหรอ” บอดี้การ์ดหนุ่มพูดออกมาอย่างไม่เชื่อหู



“อืมใช่”



“ก็คงเหมือนกันสินะ” พันธกานต์พูดออกไปก็เงียบลง อยากจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ ที่ตัวเองไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ได้รับการดูแลแบบนี้ นั่นแปลว่า เขาไม่ใช่คนพิเศษของอีกฝ่าย



“คิดอะไรอยู่ล่ะครับ ถึงเงียบไป”



“เปล่า”



“โกหก ถึงผมจะมองไม่เห็น แต่ผมก็รู้สึกได้นะครับ บอกแล้วยังไงล่ะ เรื่องพวกนี้ผมถนัด”



“เชื่อแล้วล่ะว่าถนัด”



“แน่ะ ดูเหมือนจะโกรธผมด้วยแฮะ ก็พี่ถามเองว่าเคยทำแบบนี้มั้ย ผมก็ตอบตามตรงว่าเคย แต่กับพี่จาคนเดียว ก็แค่การปลอบใจที่น้องชายมีให้พี่ชายคนหนึ่งล่ะครับ”



“ฉันก็คงเหมือนกันสินะ” คนถูกกอดในอ้อมแขนพึมพำกับตัวเอง แต่อีกฝ่ายก็ได้ยินชัดอยู่ดี



“ไม่เหมือนหรอก พี่กานต์ไม่เหมือนกับพี่จา กับพี่จาผมแค่กอดปลอบเขา ห่วงเขา แต่กับพี่น่ะ...ผมห่วงพี่มากกว่านั้น ผมสนใจพี่มากกว่านั้น มากกว่าที่พี่จะรู้ตัวเสียอีก”



“ยังไง”



“ผมไม่ได้มองพี่เหมือนเวลาที่ผมมองพี่จา ผมมองพี่มากกว่านั้น จนถึงตอนนี้พี่ยังไม่รู้อีกเหรอว่าสายตาของผมมองพี่ยังไง”



“ไม่...ไม่รู้”



“พี่กานต์ พี่นี่น้า ผมหวงพี่ ห่วงพี่... แล้วก็รักพี่”



“ว่าไงนะ”



“ผมรักพี่ ชัดพอมั้ยครับ” ชนัญญูกระซิบลงข้างหูอีกฝ่าย ก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มของอีกฝ่าย สูดดมความหอมจากสบู่ที่ใช้ร่วมกัน



“.....”



“ว่าไงครับ ได้ยินชัดมั้ย” คนอ่อนกว่าเร่งเร้าอีกฝ่าย



“อืม ชัดแล้ว”



“แล้วพี่ล่ะ รักผมบ้างหรือเปล่า”



“ฉัน...ฉันไม่รู้” กระชั้นชิดไปจนคนแก่กว่าตอบคำถามนั้นไม่ถูก



“น่าเสียใจแฮะ แต่ไม่เป็นไร ผมจะทำให้พี่ค่อยๆ รักผมไปเอง” ชนัญญูขยับตัวลุกขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่ถูกกดให้นอนราบไปกับเตียงนุ่ม



“มั่นใจ?”



“มั่นใจสิครับ” สิ้นคำพูด ชนัญญูก็ก้มลงมาครอบครองริมฝีปากอิ่มในความมืด ถึงจะมองเห็นไม่ชัด แต่เด็กหนุ่มก็จดจำรายละเอียดของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี





พันธกานต์เผยอปากรอรับจุมพิตจากอีกฝ่าย ราวกับรู้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่บรรจบกัน แรงบดเบียดกดแน่นจนไม่มีช่องว่าง ลิ้นอุ่นของคนที่อยู่ด้านบนสอดเข้าไปในโพรงปาก ควานหาไปรอบเพื่อชิมรสหวานของอีกฝ่าย หลงใหลอยู่ในวังวนห้วงอารมณ์ โรมรันเสียจนไม่รู้ว่าใครติดอยู่ในบ่วงกามารมณ์มากกว่ากัน



ชนัญญูดึงชายเสื้อของคนที่ยังหลับตาอยู่ขึ้นถอดออก นิ้วมือเรียวลากไล้ไปผ่านช่วงอกไล่ต่ำลงไป จนอีกฝ่ายต้องเกร็งท้องด้วยความรู้สึกซาบซ่าน วาบหวิวอยู่ในใจ เขาถอดกางเกงของบอดี้การ์ดหนุ่มลง คนถอดก็ขยับตามกางเกงนอนตัวนั้นไป จนในที่สุดมันก็หลุดพ้นออกไปจากปลายเท้า



เด็กหนุ่มก้มตัวลงไปจูบที่ข้อเท้าของอีกฝ่ายแล้วค่อยๆ ลากไล้ขึ้นมาเรื่อยจนถึงแกนกลางลำตัว พันธกานต์แอ่นหลังขึ้นเพราะเกือบจะห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่อยู่ มือของคนอ่อนวัยกว่าค่อยๆ กอบกุมท่อนเอ็นที่มีความรู้สึกแล้วอย่างเห็นได้ชัดจากการสัมผัสที่แน่นแข็ง คาดว่าตอนนี้เจ้าของนี้คงจะอึดอัดจนอยากจะปลดปล่อยเร็วๆ และยิ่งตอนที่ชนัญญูครอบครองแกนนั้นไว้ด้วยริมฝีปากไว้นั้น พันธกานต์ก็สะดุ้งสุดตัวจากความร้อนระอุในโพรงปากที่อีกฝ่ายมอบให้



“อะ...” พันธกานต์หลุดเสียงออกมาเพราะความตกใจและเกือบจะยั้งความรู้สึกไว้ไม่ทัน เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยอะไรเลย เพราะเขากำลังจะทนไม่ไหวเสียแล้ว



“ทนไม่ไหวแล้วเหรอครับ” เด็กหนุ่มเงยหน้ามาถาม



“ยู...” ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงที่เรียกชื่อชนัญญูเพียงเท่านั้น



“กลัวพี่จะถึงก่อน ถ้าอย่างนั้นผมช้าลงหน่อย ดีมั้ยครับ”



“ฮื้อ...” ไม่มีคำตอบเช่นเคยนอกจากเสียงในลำคอแบบนั้น ชนัญญูเองไม่แน่ใจว่าพันธกานต์พอใจหรือไม่พอใจเขากันแน่



ชนัญญูเลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน เด็กหนุ่มจูบลงที่หน้าอกของอีกฝ่าย มือข้างที่ว่างยังจับแกนกายอีกฝ่ายเอาไว้คอยขยับขึ้นลงไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ปากก็ไม่ทิ้งหน้าที่คอยดูดเม้มไล้เลียจนหน้าอกนั้นแข็งตึงทั้งสองข้าง พันธกานต์กำลังจะทนไม่ไหว เขาประคองใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาจูบ จะว่าไปแล้วเขาค่อนข้างชอบความรู้สึกเวลาที่ได้จูบกับเด็กหนุ่มไม่น้อย



เมื่อถูกดึงตัวให้ขึ้นมาจูบ เด็กหนุ่มเลยต้องผละจากลำตัวเปลี่ยนเป็นหน้าอกของคนเอาแต่ใจแทน ชนัญญูค่อยๆ ผละริมฝีปากออกเปลี่ยนมาเป็นบริเวณสันกรามของอีกฝ่าย พันธกานต์เป็นคนหน้าไทย ใบหน้าคม เครื่องหน้าเด่นชัด นั่นเป็นสิ่งที่สะดุดตาเขาตั้งแต่ในวินาทีแรกที่ได้เจออีกฝ่าย ใบหน้าของคนแก่กว่านั้นช่างผิดกับเขาที่เป็นใบหน้าละมุนกว่าฝ่ายนั้นอย่างตรงข้ามกัน เพราะเขามีหน้าตาที่ออกไปทางหนุ่มตี๋ ดวงตาเรียวรีอย่างลูกคนไทยเชื้อสายจีน



“ชอบเหรอ” พันธกานต์ถามขึ้นด้วยเสียงกระซิบที่เริ่มแหบเพราะอารมณ์ที่กำลังพุ่งอยู่ภายใน



“ครับ”



“ยูชอบจูบตรงนี้” พันธกานต์ชี้ไปที่กรามของตัวเอง



“ชอบ...ชอบมาก” ตอบอีกฝ่ายไปพลางก็เลื่อนริมฝีปากลงไปที่ไหปลาร้าแล้ว พันธกานต์เงยคอรับสัมผัสนั้นอย่างไม่เกี่ยงงอน



ชนัญญูเลื่อนตัวลงไปครอบครองแกนกายนั้นอีกครั้ง ทำให้พันธกานต์เงียบลงไปอีกครั้งเหลือเพียงเสียงหายใจที่หอบกระเส่าราวจะขาดอากาศหายใจ เด็กหนุ่มแทรกตัวอยู่กลางหว่างขาของบอดี้การ์ดหนุ่ม เขาค่อยๆ ยกขาของอีกฝ่ายขึ้นทั้งสองข้าง แล้วใช้นิ้วมือนวดปากทางเข้าให้ผ่อนคลาย นิ้วชี้ค่อยๆ สอดเข้าไปในช่องทางคับแคบนั้น ช้าๆ เบาๆ คนแก่กว่าเกร็งตัวขึ้นมาทันที ปากอิ่มเร่งทำหน้าที่ดูดอมราวกับเป็นแท่งไอติมรสชาติโอชา เพื่อให้ให้พันธกานต์ได้ซึมซับความวาบหวามจนลืมความอึดอัดที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า



“อย่าเกร็งนะครับ” ชนัญญูเพิ่มนิ้วขึ้นเป็นอีกนิ้ว นิ้วกลางถูกสอดใส่ตามเข้าไปช้าๆ เสียงหอบหายใจถี่ของคนข้างใต้กำลังปรับลมหายใจตัวเอง



“อือ...” เสียงครางเครือตอบอยู่ในลำคอ แต่ไม่อาจแปลความหมายออกมาได้ ชนัญญูหมุนนิ้วเป็นวงกลมเพื่อขยายช่องทางนั้น



“ยู...”



“ครับ”



“ใส่เข้ามาเถอะ ฉันรอไม่ไหวแล้ว”



“แต่พี่จะเจ็บ”



“ไม่เป็นไร มันทรมาน”



“พี่เอื้อมไปหยิบถุงยางให้ผมหน่อย” ชนัญญูสั่งคนที่เร่งเขา พันธกานต์ควานมือสะเปะสะปะจนกระทั่งเจอของที่ต้องการจึงหยิบยื่นส่งมาให้ ชนัญญูกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วรับมาก่อนจะฉีกมันแล้วสวมใส่ให้ตัวเอง



“หันหลังมั้ย” ชนัญญูเสนอทิศทางให้อีกฝ่ายเพราะถ้าหากสอดใส่จากด้านหลังจะเจ็บปวดน้อยกว่า



“ไม่...แบบนี้แหละ”



“ตามใจพี่แล้วกัน ถ้าเจ็บจะโกรธผมไม่ได้นะ” ชนัญญูแกล้งพูดใส่อีกฝ่าย เพราะเขารู้ว่ายังไงก็ต้องเจ็บอยู่ดีแค่จะมากหรือน้อยก็ตาม



“อืม เร็วๆ เถอะ” พันธกานต์สูดลมหายใจเข้าเพื่อเตรียมตัวในจังหวะสำคัญ





ชนัญญูใช้แขนสอดเข้าใต้ขาของอีกฝ่ายเพื่อให้ช่องทางคับแคบนั้นยกลอยสูงขึ้น เขาคุกเข่าลงแล้วจับแกนกายของตัวเองที่บัดนี้ก็ตื่นตัวเต็มที่จนเริ่มรู้สึกปวดหนึบแล้วเหมือนกัน เขาค่อยๆ นำท่อนเอ็นร้อนนั้นสอดใส่เข้าหาอีกฝ่าย เขาทำมันช้าๆ ใส่ไปทีละนิดแล้วถอนกายออกไป ใส่เข้าไปลึกขึ้นแล้วก็ถอนกายออก ทำแบบนี้จนคิดว่าอีกฝ่ายนั้นพร้อมแล้วจึงใส่เข้าไปจนสุดความยาว



“เจ็บมั้ย” ชนัญญูก้มลงกระซิบถาม ท่วงท่าที่โน้มตัวลงมาทำให้เขาสองคนเชื่อมต่อกันแน่นขึ้นไปอีก เขาค้างตัวไว้แบบนั้นสักพักเพื่อให้พันธกานต์ปรับตัวอีกนิด



“นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ยูทำดีแล้ว”



“มีชมด้วยแฮะ”



“เด็กนี่” เสียงหัวเราะดังออกมาพร้อมคำประชด ชนัญญูคิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายพร้อมแล้วที่เขาจะเดินหน้าต่อ



คนอ่อนวัยกว่าเริ่มขยับเข้าออกร่างกายอีกฝ่ายเป็นจังหวะ เขายังไม่อยากเร่งจังหวะให้เร็วจนเกินไปนัก ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล เพราะนี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง



 


======================================



เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-12-2017 12:27:09
 :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-12-2017 15:02:56
อยากอ่านตอนพิเศษ ><
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-12-2017 15:36:07
ตกใจกับตอนจบจริงๆค่ะ แอบคิดว่าจะยาวนานกว่านี้ แล้วคิดว่าจะหาทางลงให้คนทั้งคู่ยังไง ต้องทรมานกว่านี้ไหม แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าทำร้ายธัญไปมากกว่านี้ ถึงว่ามันจะดูห้วนไปหน่อยก็ตาม
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 31-12-2017 15:50:42
ตกใจกับตอนจบจริงๆค่ะ แอบคิดว่าจะยาวนานกว่านี้ แล้วคิดว่าจะหาทางลงให้คนทั้งคู่ยังไง ต้องทรมานกว่านี้ไหม แต่แบบนี้ก็ดีค่ะ อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกว่าทำร้ายธัญไปมากกว่านี้ ถึงว่ามันจะดูห้วนไปหน่อยก็ตาม

ขอบคุณค่ะ เราก็คิดคล้ายๆ คุณว่า แค่นี้ก็สงสารธัญมากแล้ว แหะๆ แอบใจอ่อน  ในตอนที่รีไรท์ คาดว่าจะเพิ่มเติมในส่วนนี้ รายละเอียดของธัญ และตอนจบแน่นอนค่ะ เพราะมีหลายจุดที่เราก็ขัดใจอยากจะเสริมต่อ
และอีกหลายๆ ส่วนค่ะ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-12-2017 20:19:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 02-01-2018 11:36:15


จบแล้ว......

กว่าจะผ่านพ้นมาได้ก็หน่วงไปหลายรอบ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-01-2018 23:15:29
ขอบคุณค่ะ

เป็นเรื่องที่อ่านได้เรื่อย ๆ ไม่เยิ่นเย้อ กระชับฉับไวมาก

หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: Kmiew ที่ 04-01-2018 02:43:15
งงตอนจบมากมันเร็วกระชับก็จริงแต่อ่านมาทั้งเรื่องเราก็ยังคิดว่าศมณควรโดนอะไรหน่อยนะ ตัวเองทำอะไรแทบจะไม่เคยบอกจา คิดว่าจานอกใจและคิดว่าจาเป็นคนที่ทำให้ความสัมพันธ์พังอีกต่างหากทั้งที่ทั้งหมดมันเกิดจากตัวเองทั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้นะตอนเลิกกันอยากให้จามีคนรักที่มีหน้ามีตาในสังคมแต่ยอมที่จะเปิดตัวจายอมที่จะขัดคำสั่งหรือไม่ทำตามคำสั่งพ่อแม่ที่บ้าบอเช่นว่าบังคับให้แต่งงานเนี่ย เปิดตัวเย้ยมณไปเลยเอาให้สะอึกแล้วค่อยหาตอนจบลงอีกทีว่าจะจบแบบไหน55555 คือคิดว่าจาเสียใจกว่ามณเยอะไม่รู้อะไรเลยด้อยกว่าทุกเรื่องไม่กล้าหือกล้าอือกลัวมณเป็นนู้นเป็นนี่คือแคร์มณมาก
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 10-01-2018 00:53:50
 o13
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 12-01-2018 22:48:22
จบแล้ว อ่านไปเสียน้ำตาไป แต่จบแฮปปี้เราก็ดีใจ
เสียดายยังไม่ทันสวีทเลยจบซะแล้ว
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-01-2018 23:53:58
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Evil ที่ 16-01-2018 22:54:08
คุณศมนก็เป็นคุณศมนตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่องเลย
สนุกค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 20-01-2018 10:58:07
ขอบคุณค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> Twenty second Drop -- 31 Dec 2017 P.3 จบ ย้ายได้เลยค
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 21-01-2018 17:05:46
สวัสดีค่ะอ่านวันเดียวจบเลยโดนใจตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วค่ะชอบมากๆเลยค่ะให้ความรู้สึกสมจริงดีค่ะถึงตอนจบจะสั้นแล้วก็ห้วนไปหน่อยก็ตามแต่ก็เข้าใจค่ะน่าจะมีตอนพิเศษนะคะแล้วเรื่องจองยูกับกานต์ก็น่าอ่านค่ะอยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นแบบไหนส่วนตัวแล้วเราชอบพี่หมอชลที่สุดเลยค่ะหาคนมารักมาดูแลพี่หมอสักคนเถอะนะคะ  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆแบบนี้นะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: That's Wine I Love You -----> 22th Drop 31/12/2560 จบ Re-Write Drop 1-3
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 14-02-2018 20:39:56

*** เขมกำลังทยอยเนื้อหาที่รีไรท์ลงให้นะคะ ***

และจะทำให้จำนวนตอนเพิ่มอีก 1 ตอนค่ะ ก็จะนำมาลงไว้ด้านหลังสุดนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Re-Write Drop 1-22 100% That's Wine I Love You (END) --> Update 22/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-03-2018 12:33:45
อย่างที่เคยแจ้งค่ะ เพราะมีการรีไรท์เนื้อหา ทำให้มีตอนใหม่เพิ่มมาอีก 1 ตอนค่า ลงวันนี้ 50% และพรุ่งนี้ มาต่อตอนจบนะคะ ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ


Twenty Third Drop 50% Re-Write




 

            ศมนนั่งรอบิดาอยู่ที่ห้องรับแขก ตอนนี้เขากำลังนับหนึ่งถึงสิบไปจนถึงร้อยและคงจะถึงพันเร็วๆ นี้อยู่ภายในใจ ปกติแล้วเจ้าสัวใหญ่จะใช้เวลาทานอาหารในมื้อเช้าไม่นานนัก แต่วันนี้กลับละเลียดทานข้าวต้มนั้นอยู่ร่วมชั่วโมง หลังจากทานอิ่มประมุขของบ้านก็หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านอีกร่วมชั่วโมง ศมนอยากจะเข้าไปดึงหนังสือพิมพ์เล่มนั้นออกจากมือของอีกฝ่าย แล้วฉีกมันให้ละเอียดเป็นผุยผง





            แต่...ก็ทำได้เพียงแค่คิด เขาทำได้เพียงนั่งรอ และรอจนกว่าบิดาจะพร้อมเท่านั้น





            และการรอคอยของเขาก็สิ้นสุดลงเมื่อบิดาวางหนังสือลงบนโต๊ะและลุกออกจากบริเวณนั้น เจ้าสัวใช้ไม้ค้ำค่อยๆ เดินมาหาบุตรชายด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด ตอนนี้เขานับเลขถึงเท่าไหร่แล้วนะ หนึ่งพันสองร้อยสามสิบใช่มั้ย





            “ไม่ไปทำงานหรือ” บิดาเอ่ยถามบุตรชายยามที่เขานั่งลงบนโซฟาใหญ่ แม่บ้านยกน้ำและผลไม้ตามเข้ามาเสิร์ฟทันที



            “ผมมีธุระจะคุยกับคุณพ่อ” ศมนไม่ตอบแต่กลับพูดถึงความประสงค์ของตัวเอง



            “อย่างนั้นเหรอ เรื่องอะไรล่ะ” ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้าทีท่าว่าเข้าใจ



            “คุณพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ” สายตาของคนถามจับจ้องไปยังอีกฝ่ายที่กำลังใช้ส้อมจิ้มมะม่วงสุกขึ้นมาทาน



            “ฉันน่ะหรือ... ฉันทำอะไร” เจ้าสัวเคี้ยวมะม่วงนั้นอย่างช้าๆ เมื่อตอบคำถามก็แกล้งเฉไฉ ส่งผลให้คนฟังต้องนับเลขเพิ่มต่อไปอีกเพื่อข่มความร้อนที่อยู่ภายในจิตใจ



            “คุณพ่อครับ...” ศมนเรียกบิดาเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่สบอารมณ์



            “ทำเสียงแบบนั้น ไม่พอใจฉันเรื่องอะไร แค่นี้ก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เสียแล้ว ต่อไปจะคุมคนไหวได้ยังไง”



            “คุณพ่ออย่าเปลี่ยนเรื่อง เมื่อวานคุณพ่อให้คนไปจับตัวจาณีนทำไม”



            “อ๋อ.. เรื่องนี้นี่เอง นี่ฉันก็ยังแปลกใจอยู่ว่าแกจะกล่าวหาฉันด้วยเรื่องอะไร” ผู้เฒ่าลากเสียงยาว เหมือนเพิ่งนึกออกว่าบุตรชายหมายถึงอะไร



            “ผมคิดว่าคุณพ่อน่าจะรู้อยู่แก่ใจนะครับ”



            “อืม.. ถูกต้อง ฉันไม่ปฏิเสธ ตอนนี้จาณีนอยู่กับฉัน” เจ้าสัวก็ยอมรับออกมาตรงๆ



            “คุณพ่อทำแบบนี้ทำไม” ศมนถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำและเหตุผลของบิดา เขามองบิดาที่วางส้อมลงกับจานผลไม้แล้วหันมาสบตากับเขาตรงๆ



            “แล้วทำไมฉันถึงจะทำไม่ได้”



            “คุณพ่อรับปากกับผมแล้วนี่ครับว่าจะไม่แตะต้องจาณีน ถ้าหากผมยอมแต่งงานกับน้องธัญ”



            “ก็...ใช่...”



            “แล้วคุณพ่อยังทำแบบนี้ทำไม ผมไม่เข้าใจ” ศมนร้อนใจ การควบคุมของเขามักจะไปในทิศทางที่ย่ำแย่เสมอถ้าเป็นเรื่องของจาณีน ถึงคนอื่นจะมองไม่ออก แต่เขาที่รู้จักตัวเองดีว่าเขารู้สึกอย่างไร



            “ศมน... แกลองนึกดูให้ดีว่าใครกันแน่ที่ผิดสัญญาก่อน” คำพูดของบิดา ทำให้เขาสะดุ้งอยู่ภายในใจ ภายนอกเขายังต้องต่อสู้ทางสายตากับคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่ ไม่เผยความอ่อนแอให้เห็น



            “คุณพ่อพูดถึงอะไรครับ”



            “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าตอนนี้แกกำลังทำอะไรลับหลังฉัน”



            “.....”



            “แกคิดว่าแกเก่งกล้ามากสินะถึงคิดจะยึดอำนาจทั้งบริษัทและคนของฉันไว้ทั้งหมด” น้ำเสียงดุดันออกจากปากคนมากประสบการณ์ถูกส่งมาให้บุตรชายที่ตอนนี้รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา



            “.....”



            “แกคิดว่าฉันเป็นแค่ตาแก่ที่นั่งเฝ้าบ้านอยู่ไปวันๆ หรือไงกัน”



            “ผมคิดอยู่แล้วว่าคงปิดคุณพ่อไว้ได้ไม่นาน”



            “แกหรือเปล่า ที่ผิดสัญญากับฉันก่อน เพราะแกไม่เคยคิดจะแต่งงานกับหนูธัญเลย”



            “ใช่ครับ ผมจะไม่แต่งงานกับน้องธัญ”



            “จาณีนก็คงเหมือนกัน คงไม่สำคัญสำหรับแกแล้วสินะ ศมน”



            “เขาเป็นคนสำคัญสำหรับผมเสมอ แล้วคุณพ่อล่ะครับ”



            “ฉันทำไม” ผู้อาวุโสหรี่ตามองบุตรชาย ถึงเขาจะผ่านโลกมามาก แต่ศมนก็เรียนรู้จากเขาไปมากเช่นกัน บุตรชายของเขาคนนี้ไหวพริบปฏิภาณดี แถมยังฉลาดเป็นกรด เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเดินนำบุตรชายไปหนึ่งก้าวหรือเปล่า



            “บริษัทนี้สำคัญกับคุณพ่อมั้ยครับ”



            “สำคัญสิเพราะฉันสร้างมันมากับมือ เอ๊ะ หรือว่าแก! นี่แกทำอะไรกับบริษัท” พอพูดออกไปแล้ว เจ้าสัวก็ชะงักเพราะพอจะจับเค้าลางบางอย่างได้



            “กว่าจะรู้สึกตัว ก็สายไปเสียแล้วครับคุณพ่อ” ศมนยิ้มเย็นให้บิดา เจ้าสัวมองดวงตาของบุตรชายที่เหมือนกับเขา เด็กคนนี้ได้รับการสั่งสอนและเติบโตมาในแบบของเขา สายตาที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร อยากได้อะไรก็ต้องได้ ปีศาจร้ายในใจของศมนกำลังจะแสดงออกมาให้เขาได้เห็น



            “ศมน!! แกคิดจะทำอะไรกับบริษัทฉัน” เจ้าสัวตวาดบุตรชายเสียงดัง เขากำลังทำพลาดใช่มั้ย ที่คิดว่าเดินนำอยู่หนึ่งก้าว แท้จริงแล้ว เขาเดินตามบุตรชายไม่ทันใช่หรือไม่



            “ผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้จาณีนกลับคืนมา” ศมนตอบกลับโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร จะว่าไปเขาก็ชินกับนิสัยของบิดาอยู่แล้ว



            “แค่เด็กเมื่อวานซืนเพียงคนเดียว แกกล้าทำลายบริษัทของฉัน บริษัทที่เลี้ยงแกให้เติบโตมาเป็นแกได้ทุกวันนี้ ศมน! แกมันโง่!”



            “ผมยอมรับว่าผมคงดูโง่ในสายตาของคุณพ่อ แต่...คุณพ่อเคยรักใครมั้ย” ศมนถามบิดากลับไป แต่เจ้าสัวได้แต่เบือนหน้าหนีออกไปอีกทาง



            “...”



            “เคยรักคุณแม่บ้างมั้ยครับ” ชายหนุ่มยังยิงคำถามใส่บิดาต่อแต่น้ำเสียงนั้นก็ฟังดูเหนื่อยล้าเต็มที



            “....”



            “ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่ผมก็ยังอยากถาม ทั้งที่รู้ว่าจริงๆ แล้วคุณพ่อคงไม่เคยรักใครนอกจากบริษัทและตัวเอง” ศมนบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบา



            “ใครบอกว่าฉันไม่เคยรักแม่แก”



            “แล้ววันที่คุณแม่เสีย ทำไมคุณพ่อถึงเลือกงานล่ะครับ ทั้งที่คุณแม่ป่วยหนัก ทั้งที่รู้ว่าคุณแม่อาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้ ทำไมคุณพ่อยังไม่มา!” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายตวาดบิดากลับคืนไปบ้าง ศมนไม่ชอบการใช้เสียงดัง เพราะเขาไม่ชอบเวลาที่บิดานั้นทำเวลาที่โมโหหรือโกรธ ดังนั้นหากเขาไม่พอใจ เขาจะกดเสียงลงต่ำหรือไม่ก็เงียบไปเลย แต่ครั้งนี้ความอัดอั้นในใจที่เขาเก็บมาตลอดสามสิบปี มันทำให้เขาระเบิดออกมา





            ภาพคุณแม่ที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลยังติดตาเขามาถึงตอนนี้ ไม่เคยจางหายไปในความทรงจำ สายยางต่างๆ ระโยงระยางอยู่ทั่วร่างกายของมารดา เขาในตอนนั้นทำได้แค่กอดคุณแม่เอาไว้ พยายามกลั้นน้ำตาไว้เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ คุณแม่รอคุณพ่อมาหาด้วยความหวัง







สุดท้ายคุณพ่อก็ไม่มา







            เขาเห็นดวงตาของมารดาที่เต็มไปด้วยความหวังจนกระทั่งสิ้นหวัง มารดาบอกเขาในวาระสุดท้ายของขีวิตว่าขอให้เขาตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี และที่สำคัญขอให้ดูแลคนรักให้ดี เขารับปากอย่างขันแข็ง มารดาเลยยิ้มให้เขาเพราะคงตลกท่าทีที่ดูตั้งอกตั้งใจ เขาเหลือบไปเห็นหางตาของมารดามีหยดน้ำไหลลงมาเป็นสาย คุณแม่ร้องไห้เงียบๆ ไม่สะอึกสะอื้น ศมนในวัยสิบสองปีใช้นิ้วมือเช็ดน้ำตาให้มารดา พร่ำบอกอีกฝ่ายว่าอย่าร้องไห้ เดี๋ยวคุณพ่อก็มา แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าแล้วบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี ก่อนจะหลับตาลงแล้วจากเขาไปอย่างสงบ กว่าเขาจะรู้ตัวว่าคุณแม่ไม่อยู่ในโลกใบนี้แล้วก็ตอนที่เห็นพยาบาลและคุณหมอเขามาจับเขาออกมาจากร่างของมารดานั่นแหละ



            “....”



            “พูดไม่ออกเลยใช่มั้ยครับ เพราะคุณพ่อไม่เคยคิดจะมาหาคุณแม่เลย คุณแม่เป็นอะไรสำหรับคุณพ่อกันเหรอครับ ผมไม่เคยเข้าใจเลย” ศมนพูดออกไป เขาไม่ได้หวังคำตอบหรอกเพราะได้คำตอบมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยังไงคุณแม่ก็ไม่มีวันฟื้นขึ้นมา



            “และ...คำถามสุดท้าย คุณพ่อรักผมบ้างมั้ย”



            “...”



            “ผมก็คงเหมือนกับคุณแม่สินะครับ ที่ไม่เคยได้รับความรักจากคุณพ่อ นอกจากเป็นอะไรสักอย่างที่คุณพ่อต้องการใช้ประโยชน์”




            “แกจะทำอะไรกับบริษัทของฉัน” ศมนคาดไว้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่ได้รับคำตอบอะไร เลยไม่แปลกใจเท่าไหร่นักตอนที่บิดาถามถึงเรื่องที่บิดารักและให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด



            “ผมจะขายมันทิ้ง...และถ้าจาณีนไม่ได้กลับมาจริงๆ ผมก็จะทำลายมันทิ้ง” คำตอบที่แสนเรียบง่ายจากปากของบุตรชายทำให้บิดาถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหจัด



            “ไม่ได้! แกจะทำอย่างนั้นไม่ได้ บริษัทนั้นมันเป็นของฉัน แกไม่มีสิทธิ์” เจ้าสัวใหญ่ตวาดกร้าวเสียงดังขึ้นมาอีกระลอก เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่มีทางยอมได้



            “เผื่อคุณพ่อจะไม่รู้ หรืออาจจะรู้แล้วแต่ไม่ครบถ้วนในรายละเอียด ตอนนี้ผมถือหุ้นบริษัทนี้เกินครึ่งนะครับ อ้อ.. ผมจะเตือนความจำคุณพ่ออีกนิดก็แล้วกัน เมื่อต้นปีคุณพ่อเพิ่งโอนหุ้นในส่วนของตัวเองมาให้ผมเกือบหมดจำได้มั้ยครับ เพราะจะให้ผมขึ้นตำแหน่งประธานแทน” เมื่อบุตรชายพูดจบ นั่นทำให้เจ้าสัวถึงกับทรุดนั่งลงหมดแรง ใช่แล้ว เมื่อต้นปีเพราะเขาตั้งใจจะให้ศมนแต่งงานกับธัญชนกแล้วจะตำแหน่งประธานให้ ก็เลยโอนหุ้นให้อีกฝ่ายเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่กังขา



            “หึ สัญญานั่นมันเป็นแค่สัญญาลอยๆ ฉันจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็ได้” ผู้เฒ่าชี้หน้าไปยังบุตรชายพร้อมกับหายใจเข้าโดยแรง ใจชื้นขึ้นมาว่าหุ้นยังอยู่ในกำมือของตน



            “รู้จักคำว่าเชื่อใจมั้ยครับ สัญญาลอยๆ ของคุณพ่อนั้นมันก็มีอยู่จริง แต่คุณพ่อแน่ใจได้ยังไงว่าวันที่ผมกับคุณพ่อเซนต์สัญญาร่วมกันนั้น มันยังเป็นสัญญาฉบับนั้น”



            “แก!!”



            “จะบอกให้นะครับ เพราะคุณพ่อมองพลาดเองว่าสัญญามันถูกเปลี่ยนขึ้นมาใหม่ คนของคุณพ่อเนี่ย ใช้เงินซื้อได้ไม่ยากเลยนะครับ” ศมนยิ้มเย็นให้ผู้เป็นบิดา



            “ใจเย็นๆ หน่อยครับ เดี๋ยวความดันจะขึ้นเอา ถ้าคุณพ่อเป็นอะไรไปแผนการณ์ที่วางไว้มันจะเสียเปล่านะครับ ” ศมนมองบิดาด้วยสายตาเย็นชา



            “แกกล้าแช่งฉันหรือไร นี่ฉันเป็นพ่อของแกนะ...ศมน”



            “พ่อที่ไม่เคยรักลูกและเห็นผมเป็นเครื่องมือน่ะเหรอ” ศมนย้อนบิดากลับไปทันควัน



            “แกจะขายบริษัทของฉันไม่ได้” เจ้าสัวใหญ่กำลังมองซ้ายมองขวาเพื่อเรียกบอดี้การ์ดคนสนิทให้เข้ามา แต่ก็ไม่พบใครอยู่ในรัศมีของสายตาเลย



            “เลิกคิดที่จะมองหาให้ใครมาช่วยเถอะครับ เพราะตอนนี้คนของคุณพ่อย้ายข้างเสียแล้วล่ะครับ คนที่คุณพ่อไว้ใจพวกนั้น ผมก็จัดการไปหมดแล้ว คุณพ่อไม่เหลือใครอีก สำหรับบริษัทที่ตอนนี้กลายเป็นของผมแล้ว ถ้าคุณพ่อไม่อยากให้ผมขายมันทิ้งไปล่ะก็ คุณพ่อต้องยอมยกเลิกการแต่งงานและคืนจาณีนให้ผมซะ” ศมนประกาศความต้องการของตัวเองใส่หน้าผู้เป็นบิดา



            “.....”



            “จะตอบมาเลยตอนนี้หรือจะเก็บไปคิดก่อนก็ได้นะครับ แต่มันคงไม่มีผลอะไร เพราะสิ่งที่ผมบอกคุณพ่อไปนั้น ผมไม่ได้ขอร้อง แต่เป็นคำสั่งครับ แล้วถ้าหากคุณพ่อยังชะล่าใจ ผมเองก็ไม่รับประกันว่าหรอกนะครับ หากผมเจอจาณีนก่อน ผมจะยังเก็บบริษัทนี้ไว้หรือเปล่า”



            “ฉันจะส่งตัวจาณีนคืนให้แกก็ได้” ผู้เฒ่าเอ่ยปากบอกหลังจากที่ระดับลมหายใจเริ่มเป็นปกติ



            “ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ” บุตรชายรีบถามทันที



            “แกไม่ต้องรู้หรอก วันนี้ฉันจะให้คนไปส่งเขาที่คอนโด”



            “จะเอาอย่างนั้นก็ได้ครับ ขอบคุณครับ คุณพ่อ” ประโยคสุดท้ายศมนตั้งใจพูดเพื่อเป็นมารยาทเท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกขอบคุณผู้อาวุโสจากใจ



            “ส่วนเรื่องการแต่งงาน แกจะทำให้ฉันหน่อยไม่ได้หรือศมน” เจ้าสัวเริ่มใช้ไม่อ่อนกับบุตรชาย ตอนนี้สถานการณ์ของเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย



            “ไม่ครับ ที่ผมทำแบบนี้ รวบรวมทุกอย่างไว้ในมือก็ไม่ใช่เพราะเรื่องแต่งงานหรอกเหรอครับ”



            “แต่ว่าเรื่องหลาน...”



            “ผมเคยบอกคุณพ่อไปแล้วว่าเรามีน้องไนท์อยู่ ถึงจะไม่ใช่จากผมโดยตรงแต่เขาก็มีเลือดของเราอยู่นะครับ” ศมนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา



            “ผมอยากให้คุณพ่อได้ลองเปิดใจและปล่อยวางอะไรลงบ้างครับ ผมได้ยินจากวิมาว่าคุณพ่อเองก็เอ็นดูน้องไนท์อยู่ไม่น้อย อย่าทิฐิเลยครับ น้องไนท์เองถึงไม่ใช่ลูกแต่ก็เหมือนลูกผม รับเขาไว้เถอะครับ”



            “ฉันไม่มีทางเลือกเลยสินะ” ไหล่ผู้อาวุโสลู่ลงอย่างคนผิดหวัง ศมนเองเห็นภาพนั้นเขาก็เสียใจที่มีหลานให้บิดาไม่ได้



            “ผมขอโทษที่มีหลานให้คุณพ่อไม่ได้ เรื่องคุณแม่มันฝังใจผมเกินกว่าที่ผมจะรักผู้หญิงคนไหนได้ ขอโทษจริงๆ ครับ” ศมนพนมมือยกขึ้นไหว้อีกฝ่าย ถึงเขาจะไม่ได้สนิทกับบิดาหรือได้รับความรักจากบิดา แต่เขาก็ให้ความเคารพบุคคลตรงหน้าอยู่มาก




            “.....” ผู้อาวุโสไม่ตอบนอกจากพยักหน้าหงึกหงัก



            “เรื่องน้องธัญ ผมจะบอกกับน้องเอง อาจจะมีผลกระทบทางธุรกิจอยู่บ้าง แต่คงไม่มีอะไรน่าหนักใจ” ศมนบอกก่อนจะขอตัวไปทำงาน คล้อยหลังบุตรชาย ไหล่ที่งุ้มงอเมื่อสักครู่ก็คลายออกกลับมาผึ่งผายเหมือนดังเดิม





            ใจจริงเขาเองก็ไม่ได้คิดจะทำแบบนี้กับบิดาหรอกแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ศมนวางแผนเรื่องรวมอำนาจบริษัทและคนของบิดาไว้ได้สักพักใหญ่แล้ว เขาอยากจะเร่งมือทำให้มันสำเร็จโดยไว แต่ก็ทำไม่ได้เพราะทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เรื่องบริษัทนั้นเขาไม่ค่อยหนักใจเท่าไหร่ อย่างที่บอกไปว่าหุ้นของคุณพ่อนั้นมาอยู่ที่เขาเกือบหมดแล้ว นับว่าเป็นโชคดีจริงๆ ส่วนเรื่องของคน เขาต้องหว่านล้อมให้คนของบิดายอมเชื่อใจเขาและย้ายมาอยู่ทางฝั่งของตนเอง ซึ่งการจะซื้อใจคนนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย นั่นเลยเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียเวลาอยู่นาน





            หากมองแค่เพียงการยึดบริษัทเอาไว้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะยกเลิกการแต่งงานนี้ได้แล้ว แต่เขาจะประมาทและทำแผนนี้พลาดไม่ได้ เพราะประมุขของบ้านมีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เขาต้องเตรียมแผนสำรองไว้ให้ตัวเองหลายๆ ไม่อย่างนั้นทั้งเขาและจาณีนคงจะต้องจากกันไปจริงๆ แต่เพราะบิดาของเขายังเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บที่แหลมคม เขายังไม่ทันดึงคนของบิดามาได้หมดก็ถูกอีกฝ่ายล่วงรู้แผนการณ์ของตัวเองเข้าเสียก่อน





            นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถเดินหน้าเรื่องจาณีนได้เต็มที่นัก ทำได้แค่กระตุ้นให้จาณีนยังไม่ลืมเขา คอยคิดถึงเขา และคอยให้บอดี้การ์ดแฝดน้องติดตามอีกฝ่าย เหตุผลแรกก็เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่ม แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อให้พันธกานต์กันคนอื่นออกจากจาณีน ซึ่งงานแบบนี้บอดี้การ์ดของเขานั้นถนัดนักล่ะเพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวก็กันคนอื่นออกจากเขาได้เป็นอย่างดี





            คนที่น่าสงสารก็คงเป็นหญิงสาวอย่างธัญชนก ลึกๆ ก็รู้สึกเสียใจที่การกระทำของตัวเองกับบิดานั้นต้องสร้างความผิดหวัง เสียใจ และคงต้องอับอายให้กับหญิงสาวด้วย เพราะพวกเขาได้ประกาศต่อหน้าสื่อหลายสื่อรับรู้หมดแล้ว ถ้ายกเลิกก็ต้องแจ้งกับสื่อเช่นกัน นั่นก็จะตามมาด้วยคำถามว่าทำไมถึงเลิกกัน และอีกมากมาย





            ศมนได้แต่ถอนหายใจออกมา ถึงจะสงสารอีกฝ่ายแค่ไหน แต่เขาก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะทำให้ตัวเองลำบาก ยังไงเขาก็เลือกตัวเองและจาณีนก่อนอยู่ดี ได้แต่หวังว่าธัญชนกจะได้ไปเจอคนที่ดีกว่านี้ 




======================================


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan


หัวข้อ: Re: Re-Write Drop 1-23 50% That's Wine I Love You (END) --> Update 23/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 24-03-2018 11:26:37

Twenty Third Drop 100% Re-Write End



            ทางด้านคนที่ถูกจับมาขังอยู่ในห้องพักตั้งแต่เมื่อวาน เช้านี้เขาถูกปลุกจากเสียงไขกุญแจที่อยู่หน้าห้อง แต่เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ จาณีนสะลึมสะลือลุกขึ้นมานั่งแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปด้วยความเคยชินที่จะต้องไปทำงาน เมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นกล่องข้าวและน้ำตั้งวางอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นข้างเตียง จึงรู้ตัวว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตนเอง



            เพราะยังมีสติไม่เต็มที่ ทำให้จาณีนพลาดโอกาสที่จะหนีในช่วงเช้า เขาต้องอาศัยจังหวะที่ข้างนอกไขกุญแจเข้ามา จาณีนมองสิ่งของที่อยู่ในมือ หากเข้าตาจนด้ามแปรงสีฟันคงพอจะช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย คิดแล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มลงมือทานมื้อเช้า ยังไงแล้วกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง



            เมื่ออิ่มมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว จาณีนก็ลุกขึ้นหยิบกล่องโฟมที่เคยใช้บรรจุอาหารนั้นไปไว้ที่บริเวณหน้าประตู เขาเดินวนอยู่ภายในห้อง เพราะไม่มีอะไรทำ คอยนับเวลาถอยหลัง ยิ่งนับมันก็ยิ่งนาน การรอคอยมันน่าเบื่อ และนั่นถูกต้องแล้ว





            เขากำลังเบื่ออย่างที่สุด









            .

            .



            “ฝนต้องตกหนักแน่เลย จู่ๆ พี่มนก็นัดธัญมาทานมื้อเที่ยงได้ วันนี้งานไม่ยุ่งหรือว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวทักทายอีกฝ่ายก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีเมื่อเดินเข้ามาร้านอาหารที่ศมนเป็นคนนัดแนะตนเองมา



            “เราก็พูดอย่างกับว่าพี่ไม่มีเวลาให้ธัญเลยอย่างนั้นแหละ”



            “อย่าให้ธัญต้องแฉพี่มนเลยค่ะ ว่าแต่ว่า มีอะไรหรือเปล่าคะถึงนัดธัญมาหรือว่า มีอะไรจะเซอร์ไพรส์ธัญหรือเปล่าเอ่ย” ธัญชนกพูดออกไปด้วยความใบหน้ายิ้มแย้มก็จริง แต่ในใจเธอกำลังร้องไห้ สิ่งที่เธอคิดมันอาจจะกำลังเกิดขึ้นแล้ว



            “ทานมื้อเที่ยงก่อนแล้วกัน” ศมนเปลี่ยนเรื่องโดยเรียกพนักงานมารับรายการอาหารก่อน ธัญชนกได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยอยู่ภายในใจ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร



            “อาหารร้านนี้อร่อยเหมือนเดิมเลยนะคะ” ธัญชนกพูดหลังจากรวบช้อนส้อมเรียบร้อย



            “พี่รู้ว่าธัญชอบอาหารร้านนี้”



            “ขอบคุณค่ะพี่มน ที่จำร้านโปรดของธัญได้ด้วย” 



            “น้องธัญอิ่มแล้วเหรอ ของหวานมั้ย”



            “ไม่ล่ะค่ะ ธัญอิ่มแล้ว ธัญว่า พี่มนพูดเรื่องที่นัดธัญมาวันนี้ดีกว่าค่ะ” ถึงธัญชนกจะเป็นหญิงสาวที่สดใส ยิ้มแย้มและเข้ากับผู้คนได้ง่าย แต่ไหวพริบและความฉลาดเฉลียวของเธอนั้นไม่ด้อยกว่าใคร เอกลักษณ์นี้ทำให้เจ้าสัวอธิปถึงค่อนข้างถูกอกถูกใจอยู่ไม่น้อย



            “น้องธัญ เก่งเหมือนเคย พี่คงไม่ขอทำธุรกิจอยู่คนละฝั่งกับน้องธัญ” ศมนเอ่ยชมหญิงสาวจากใจจริง



            “ก็เพราะทุกๆ คนคอยสอนธัญไงคะ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ธัญคงยังทำอะไรไม่เป็น” ธัญชนกยิ้มพร้อมยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว บริกรรีบเข้ามาเทน้ำให้ใหม่ทันที ทั้งสองรอจนพนักงานถอยออกไปจึงเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง



            “พี่เข้าเรื่องเลยนะ”



            “เชิญค่ะ”



            “เรื่องการแต่งงาน...” ศมนเงียบเว้นระยะไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “พี่อยากจะยกเลิกการแต่งงานของเรา” เมื่อพูดจบ ศมนสังเกตสีหน้าของหญิงสาว แต่กลับไม่พบปฏิกิริยาใดๆ นอกจากใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มและนิ่งสงบ



            “มีอะไรหรือเปล่าคะ”



            “น้องธัญอยากจะโกรธหรือเกลียดพี่ก็ทำได้เลยเต็มที่ เพราะพี่เป็นฝ่ายที่ผิดทุกอย่าง พี่ผิดเอง”



            “ธัญอยากรู้เหตุผลค่ะ เหตุผลสั้นๆ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้พี่เปลี่ยนใจ”



            “ข้อแรกคือพี่ไม่ได้รักธัญ” ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองใบหน้าเขาแน่นิ่ง ยิ่งทำให้ศมนรู้สึกใจคอไม่ดี ถ้าธัญชนกจะร้องไห้หรือฟูมฟาย เขาอาจจะเดินหน้าต่อได้ง่ายกว่านี้





            “ค่ะ ข้อเดียวหรือคะ”



            “อีกข้อคือ พี่มีคนรักอยู่แล้ว”



            “คุณจาณีนหรือคะ” น้ำเสียงแผ่วเบาเกือบจะเป็นกระซิบออกมาจากปากของธัญชนก



            “ใช่... พี่ขอโทษน้องธัญด้วยจริงๆ น้องธัญจะไม่ยกโทษให้พี่หรือเกลียดพี่ พี่ก็เข้าใจ แต่ที่พี่อยากบอกก็คือพี่รักและเอ็นดูน้องธัญเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง” ศมนจับน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้ว่าถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามให้เสียงนั้นเข็มแข็งสักเท่าไหร่



            “แล้วทำไมทีแรกพี่มนถึงเลือกที่จะแต่งงานกับธัญคะ”



            “พี่คงอธิบายรายละเอียดมากไม่ได้นอกจาก...เพราะคุณพ่อ”



            “แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ ธัญคิดว่าเข้าใจค่ะ”



            “ธัญรู้เรื่องจาตั้งแต่เมื่อไหร่” บุคคลที่สามที่มีอิทธิพลกับความรู้สึกของเขาถูกถามออกไปเพราะความแคลงใจ



            “จะเรียกว่ารู้เรื่องก็ไม่เชิงค่ะ พี่มนคงรู้ว่าธัญช่างสังเกต ตั้งแต่งานเลี้ยงที่บ้านของพี่มนครั้งนั้นแล้วล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้ผู้หญิงเซนส์แรงนะคะ” หญิงสาวพูดติดตลก แต่ศมนก็รู้ว่าดีว่าธัญชนกไม่ได้ตลกด้วยเลย และเธอเลือกที่จะไม่บอกว่าเธอจ้างนักสืบมาสืบเรื่องของศมนและจาณีน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องบอกชายหนุ่มตรงหน้า



            “ตกใจหรือเปล่า...” ศมนตั้งใจไม่ถามตรงๆ กับหญิงสาว เพราะรู้ดีว่าธัญชนกนั้นเข้าใจ



            “เรื่องไหนคะ... ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ตกใจได้เลยค่ะ ทุกอย่างเซอร์ไพรส์ธัญมากจริงๆ”



            “พี่ขอโทษ พี่เห็นแก่ตัวกับธัญเพราะความขี้ขลาดของพี่ ทำให้ธัญต้องมาเสียใจแบบนี้”



            “ดีแล้วค่ะ ที่พี่มนบอกธัญตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปกว่านี้ ถ้าวันแต่งงานเจ้าบ่าวไม่มาธัญคงแย่” หญิงสาวยิ้มออกมา แต่มันเป็นยิ้มที่เหือดแห้งไร้ความสดใสเหลือเกิน เขาได้แต่รู้สึกเสียใจจริงๆ เพราะธัญชนกเป็นคนที่ดีมาก ถ้าเขารักผู้หญิงได้ คนๆ นั้นจะต้องเป็นเธออย่างแน่นอน



            “พี่ขอโทษ..”



            “อย่าขอโทษอีกเลยค่ะ ธัญรู้ว่าพี่มนไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้หรอกใช่มั้ยคะ”



            “อืม.. แล้วเรื่องนักข่าว ธัญจะบอกยังไงก็ได้นะ จะด่าพี่ยังไงก็ได้”



            “ธัญไม่ทำหรอกอย่างนั้นค่ะพี่มน พี่ก็รู้นั่นไม่ใช่นิสัยของธัญ เรื่องนักข่าวก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ตอบคำถามแบบดาราก็พอ”



            “หืม..” ศมนไม่เข้าใจว่าธัญชนกจะสื่ออะไร



            “ก็หมายถึง ไปกันไม่ได้ไงคะ”



            “อ่อ...เกลียดพี่มั้ย”



            “ธัญอยากเกลียดและโกรธพี่มนมากเลยค่ะ แต่ธัญทำไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร คงเป็นเพราะลึกๆ แล้วธัญก็รู้ว่าพี่มนรักและเอ็นดูธัญเหมือนน้องสาวจริงๆ บอกตามตรงเลยนะคะ ตลอดเวลาธัญก็รู้สึกแบบนั้นค่ะ รู้สึกเหมือนอยู่กับพี่ชายตลอด ตอนที่พี่ขอธัญแต่งงานตอนนั้น ก็ดีใจนะคะ ธัญตอบตกลงกับพี่ทั้งที่ไม่แน่ใจตัวเอง แต่คิดว่าธัญเองก็รู้สึกดีกับพี่ ก็คงรักพี่มนได้ไม่ยาก ยิ่งพอเห็นสายตาที่พี่มนมองคุณจาแล้ว ธัญยิ่งคิดว่าสายตาของพี่มนมันคนละแบบกับเวลาที่มองธัญเพราะเวลาที่พี่มองธัญมันเหมือนกับเวลาที่พี่มองคุณวิมาลา”



            “ธัญพูดแบบนี้..พี่ไม่รู้จะพูดยังไงเลย นอกจากพี่ขอให้ธัญเจอคนที่รักธัญจริงๆ ไม่ใช่แบบนี้”



            “ขอบคุณค่ะพี่มน ถ้าอย่างนั้นธัญไปนะคะ”



            “เดี๋ยวพี่ไปส่ง...”



            “ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้เหมือนลางสังหรณ์ของธัญแม่นค่ะ ธัญให้คนขับรถของคุณแม่ขับรถมาให้ค่ะ เพราะฉะนั้นปลอดภัยไร้กังวลได้ค่ะ สวัสดีค่ะพี่มน ลาก่อนนะคะ” หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้อีกฝ่าย



            “โชคดีนะธัญ พี่ขอโทษอีกครั้ง” ธัญชนกไม่ตอบรับนอกจากเดินออกจากร้านไป





            คนที่ภายนอกดูเข้มแข็ง ใช่ว่าจะร้องไห้ไม่เป็น ธัญชนกเดินเชิดหน้าออกไป เธอจะร้องไห้ที่นี่และต่อหน้าศมนไม่ได้ ความอ่อนแอนั้นจะต้องไม่มีคนเห็น















            .

            .



            “จา..จาณีน.. ตื่นได้แล้ว จะขี้เซาไปถึงเมื่อไหร่” เสียงเรียกคุ้นหู ปลุกให้จาณีนตื่นจากอาการหลับใหล เปลือกตาคู่สวยขยับเบาๆ จนลืมตาขึ้นมาในที่สุด



ภาพตรงหน้ายังดูลางเลือน พร่ามัวอยู่ ใช้เวลาอยู่สักพักถึงจะโฟกัสมองเห็นได้เป็นปกติ จาณีนมองไปรอบๆ ห้อง ที่นี่ไม่ใช่ห้องเดิมที่เขาถูกจับไป คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เพราะห้องนอนนี้เขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร ด้วยความที่รีบลุกขึ้นนึ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาถึงกับมึนต้องยกมือกุมหัวตัวเองสักพัก



“รีบลุก จนมึนเลยเหรอ”



“คะ..ครับ..เอ๊ะ!” ตอบกลับไปด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องตกใจ ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นคนที่กำลังยืนกอดอก เอนตัวพิงกับกรอบประตูโดยใช้หัวไหล่นั้นค้ำยันร่างนั้นเอาไว้



“คุณศมน..” เรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไม อีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร



“ใช่ ฉันเอง... ไม่เจอกันนาน จนเกือบจะจำฉันไม่ได้แล้วเหรอ”



“เปล่าครับ ผมไม่มีทางลืมคุณอยู่แล้ว ผมแค่แปลกใจว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้”



“หิวหรือเปล่าล่ะ ฉันทำของชอบของเธอเสร็จพอดี อยากคุยหรือว่าอยากกินก่อน” คนสูงวัยกว่ายื่นข้อเสนอให้เด็กหนุ่ม มีหรือที่จาณีนจะปฏิเสธ ถึงเขาจะไม่ได้เห็นแก่กิน แต่มันนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ลิ้มรสอาหารฝีมือคนตรงหน้า



“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ” จาณีนเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายหลังจากจัดการอาหารตรงหน้าจนหมดสิ้น



“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจ”



“ไม่เห็นคุณทานอะไรเลย” ศมนยังเป็นเหมือนเดิม ภาพคุ้นตา ที่ไม่ค่อยแตะอาหารสักเท่าไหร่ นอกจากในมือที่ถือแก้วไวน์แล้วยกขึ้นดื่มเบาๆ



“ฉันกินมาแล้ว”



“บอกอย่างนี้ทุกที” จาณีนบ่นกับตัวเอง



“ช่างบ่น...” เสียงทุ้มเจือความขบขันในน้ำเสียงตอนที่ศมนบอกอีกฝ่าย จาณีนก็สัมผัสได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายอารมณ์ดีพอสมควร



“คุณน่าจะรู้เรื่องที่ผมถูกจับตัวไปใช่มั้ยครับ”



“อืม..”



“คุณรู้จักเขามั้ยครับ ผมหมายถึง คนที่จับผมไป”



“รู้จัก”



“คุณศมน อย่าถามคำตอบคำสิครับ” ความร้อนใจของเด็กหนุ่ม ทำให้เจ้าตัวต้องบ่นออกมา



“คนที่จับตัวเธอไป คือ พ่อของฉันเอง”



“เจ้าสัวทำแบบนั้นทำไม” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลย เขากับท่านเจ้าสัวแทบไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกันด้วยซ้ำ



“ท่านต้องการจะบีบบังคับฉันเรื่องแต่งงาน”



“แต่คุณก็ตกลงแต่งงานอยู่แล้วนี่ครับ” พูดออกไปแล้ว จาณีนก็รู้สึกเจ็บที่ใจ ก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้เขากับอีกฝ่ายต้องกลายมาเป็นแบบนี้



“มันมีอะไรที่มากกว่านั้น แล้วฉันไม่ใช่คนที่อธิบายเก่งขนาดนั้น เธอก็รู้นี่ แล้วการที่เธอโดนจับไปครั้งนี้ก็ถือว่าช่วยทำให้ทุกอย่างมันเดินเร็วขึ้น ฉันคงต้องขอบคุณคุณพ่อ” ศมนไม่ใช่คนที่อธิบายเก่งอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ แต่เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวโยงกับคนตรงหน้าด้วย เขายิ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องให้เขานั้นได้ทำทุกอย่างเพื่อให้คนตรงหน้าปลอดภัย นั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว



“ครับ ถึงผมจะถามออกไปคุณก็คงไม่บอกอยู่ดี” และนี่เป็นนิสัยของจาณีนที่ทำให้ศมนนั้นพอใจอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มไม่ใช่คนชอบซัก เมื่อเขาบอกว่าไม่ เด็กหนุ่มก็ยอมรับคำว่าไม่นั้นโดยไม่มีข้อกังขา



“เรื่องการแต่งงาน ฉันยกเลิกไปแล้ว”



“อะไรนะครับ...” จาณีนไม่เชื่อหูกับเรื่องที่ได้ยิน



“เธอได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว”



“คุณยกเลิกการแต่งงานทำไมครับ หรือเกิดอะไรขึ้น หรือเพราะผม ที่ยังอยู่ตรงนี้ ที่ยังเป็นภาระและปัญหาให้คุณใช่มั้ยครับ” เด็กหนุ่มถามออกไปด้วยความร้อนรน สมองของจาณีนกำลังคิดอย่างรวดเร็วว่าเขาจะช่วยอีกฝ่ายได้อย่างไรบ้าง



“มันไม่ใช่เพราะเธอเป็นสาเหตุ แต่เหตุผลที่ยกเลิกก็เพราะเธอ...”



“หมาย..หมายความว่าอย่างไรครับ”



“ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ”



“อ้าว...” เขารู้สึกร้อนใจแต่คนตรงหน้ากลับทำไม่ทุกข์ร้อนเสียอย่างนั้น



“ฉันตัดสินใจดีแล้ว รู้ใช่มั้ย ว่าฉันรักเธอ เพราะฉะนั้นฉันจะทำทุกอย่างให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม” จาณีนเหมือนโดนฮุคเข้าที่ท้องหลายครั้งในวันนี้ มีเรื่องทำให้เขาประหลาดใจหลายเรื่องพร้อมกันจนเขาจะตั้งรับมันไว้ไม่ไหวแล้ว



“คุณ..พูดว่ารักผม อย่างนั้นเหรอครับ”



“ทำไมล่ะ ฉันก็บอกเธออยู่บ่อยๆ ไม่เชื่อกันเลยหรือ” คำตอบของศมนจะให้เขาตอบอย่างไรดีล่ะ ว่าทุกครั้งที่ได้ยิน เขาคิดว่าชายหนุ่มพูดเพื่อเอาใจเขา



“คุณจะบอกว่าที่คุณยกเลิกการแต่งงานก็เพื่อผม คุณอยากอยู่กับผมงั้นหรือครับ”



“ตอนที่ถูกจับไปโดนทำร้ายจนสมองเลอะเลือนเหรอ ฉันก็เพิ่งพูดไปเองนะ ฉันอาจจะไม่บอกความจริงเธอไปบ้าง แต่เรื่องนี้ฉันพูดด้วยความสัตย์จริง ไม่โกหกเธอเลย...หรือเธอไม่เชื่อ...”



“ปะ..เปล่าครับ ผมเชื่อแล้ว”



“ถ้าอย่างนั้นก็ลุกมาหาฉันเสียทีสิ” เด็กหนุ่มว่าง่ายลุกขึ้นตามที่อีกฝ่ายพูด







ศมนวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะกางมือออกเพื่อรับร่างของอีกฝ่ายเข้ามา เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นจึงเลือกที่นั่งตามใจชอบโดยเลือกที่จะนั่งบนตัก หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย เพื่อให้ศมนได้กอดตัวเขาเองได้แน่นขึ้น แนบใบหน้าขาวลงบนบ่านั้นด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ



“คิดถึง...” เสียงกระซิบแผ่วเบา ที่ทำให้จาณีนรู้ว่าอีกฝ่ายก็ทรมาน ไม่ต่างกับเขาเลยจริงๆ



“ผมกลับมาแล้วครับ”



“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”



“ครับ แต่วันนี้ผมคงต้องกลับไปที่บ้านหลังก่อน ป่านนี้ยูคงเป็นห่วงแย่แล้ว”



“โทรไปบอกก็ได้ แต่ไม่จำเป็นหรอกมั้ง กานต์รู้เรื่องเธอแล้ว เดี๋ยวก็คงไปบอกเด็กคนนั้นเอง” ศมนพูดพลางลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ



“คุณพูดแปลกๆ”



“ยังไง”



“คุณพูดเหมือนรู้อะไร”



“แล้วคิดว่าฉันรู้อะไรล่ะ” ศมนย้อนถาม



“เรื่องคุณกานต์”





“เอาเป็นว่า เธอรู้แค่ไหน ฉันก็รู้เท่ากับเธอก็แล้วกัน”



“มีอะไรที่คุณไม่รู้บ้างมั้ยเนี่ย” จาณีนโอดขึ้นมา



“ถมไป แค่คุณพ่อจับตัวเธอไปฉันยังหาเธอไม่เจอเลย”



“คุณยกเลิกการแต่งงานไป แล้วคุณธัญล่ะครับ เธอเป็นยังไงบ้าง” จาณีนพูดเพราะเป็นห่วงหญิงสาว งานนี้     ธัญชนกไม่มีความผิดเลย แต่กลับต้องมารับผลกระทบนี้เต็มๆ



“ไม่ร้องไห้เลย เข้มแข็งเกินไป คนที่มีท่าทางแบบนี้ ยิ่งน่าสงสารเพราะเขาต้องซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็นมัน”



“แล้วเธอจะไม่เป็นไรเหรอครับ”



“ไม่หรอก ธัญแกร่งว่าที่เราคิด แต่คงต้องใช้เวลาเข้าช่วย แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”



“แล้วท่านเจ้าสัวล่ะครับ”



“ก็ผิดหวัง ดูแล้วอาจจะไม่ยอมวางมือจากเรื่องนี้ง่ายๆ  ถึงตอนนี้ไม่มีการแต่งงาน ไม่มีเรื่องทายาทแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยังเบาใจไม่ได้”



“จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรือเปล่าครับ”



“ดูแลตัวเองให้ดี อย่าประมาท แล้วก็อย่าปล่อยมือไปจากฉันก็พอ”



“ครับ ผมจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่ประมาทเหมือนคราวที่แล้ว”



“และ?”



“ผมจะไม่ปล่อยมือคุณศมนไปไหนอีกแล้วครับ นอกจากว่า...” จาณีนทิ้งท้าย



“นอกจากว่าอะไร”



“นอกจากว่าคุณจะแต่งงานหรือมีคนอื่นเหมือนคราวนี้สิครับ” จาณีนพูดด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่มากเกินไปนัก



“ไม่มีแล้ว จะไม่ทำให้เสียใจอีก”



“ผมก็เหมือนกัน จะไม่ทำให้คุณเสียใจเหมือนที่ผมเคยทำอะไรพลาดไป ผมจะหนักแน่นให้มากกว่านี้”



“อืม...”



“ผมรักคุณครับ”



“ฉันรักเธอ...”









 

 

 

จบ

 




======================================


จบแล้วววววว

อยู่ด้วยกันมาเกือบปีเลย

ขอบคุณทุกคนมากค่ะ ตอนพิเศษติดตามได้จากในเล่มนะคะ


หากมีตรงไหนที่ผิดพลาด ขออภัยด้วยค่ะ


เฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/khemmakan
หัวข้อ: Re: *** Pre-Sale That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 12-05-2018 20:21:03

สวัสดีค่ะ

เขมมีข่าวแจ้งรายละเอียดการสั่งซื้อหนังสือเรื่อง That's Wine I Love You ค่ะ

ตีพิมพ์กับ YB Books (https://www.facebook.com/ybbookspublishing/) จิ้มลิงค์ได้เลยค่ะ 

คำโปรย


สถานะระหว่างผมกับคุณศมนคืออะไรไม่รู้

อาจจะคล้ายกับ ‘เด็กในอุปการะ’ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา

แต่สัมพันธ์บนเตียง ทำให้สัมพันธ์ทางใจเปลี่ยน

“คุณบอกคุณวิว่าเราเป็นอะไรกันหรือครับ”

“เรื่องนี้เองเหรอ ไหนลองเดาใจฉันหน่อยสิว่าฉันจะตอบว่ายังไง”

“ไม่รู้สิ น้องชายมั้งครับ”

“จาณีน... ฉันไม่มีน้องชาย เธอก็รู้”

“ไม่รู้แล้วล่ะครับ”

“ฉันบอกว่าเธอคือคนพิเศษ หวังว่าคำตอบนี้คงพอจะถูกใจเธอ”

ความสัมพันธ์ที่เป็นดั่งไวน์แดง นุ่มลึก ซับซ้อน มอมเมาให้ลุ่มหลง

ผมไม่เคยคิดเลยว่าการไม่คาดหวังในความรักนั้น

มันคือการคาดหวังมากขนาดนี้




สามารถสั่งซื้อ ในรอบ Pre-Sale ได้ตั้งแต่วันที่ 11-25 พฤษภาคม 2561 ค่ะ
ค่าส่ง ฟรี !! หรือจะแจ้งรับที่งาน Fiction Market ก็ได้ค่ะ

รายละเอียดเพิ่มเติม รูปปก จิ้มลิงค์ได้เลยค่ะ Details (https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe2nyOthv4q6u9THN4SN4QfP97wpKeci6EGJyzVlDDh_AkXDA/viewform)


ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนค่ะ
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-08-2018 13:41:57
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 17-09-2018 19:08:53
 :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: *** Pre-Sale That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 19-09-2018 18:19:09
เขียนดีค่ะ เนื้อเรื่อง ภาษาที่ใช้ แม้จะตัดจบฉับๆไม่ทันตั้งตัว เหมือนว่ายังต้องมีอะไรต่ออีก แต่คนเขียนไม่อยากบอก

เป็นเรื่องที่เบรคอารมณ์ จากนิยายรักในมหาวิทยาลัยที่มีมากมายในเวบนี้มาเป็นวัยทำงานบ้าง

นิยายของคุณมีเอกลักษณ์จริงๆ ไม่มีการอธิบายรูปร่างหน้าตาของตัวเอกชัดๆ ให้คิดเอาเอง

ดีเหมือนกัน ...ตัวเล็ก ตัวบาง ตัวขาว สูง แกร่ง ล่ำ หนา...ให้ไปอยู่กับเรื่องอื่นละกัน

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 12-10-2018 17:41:46
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:42:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 04-05-2020 06:39:13
จบแล้วววว
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 09-05-2020 12:07:14
 :o8: :o8: :o8: สมหวังสักทีจริง ๆ ตัวแปรก็คือพ่อเลย เป็นงงลูกก็อายุไม่ใช่น้อยละยังจะมาตัดสินใจแทนไปอี๊กกกก ห่วงบริษัทเสมือนตายแล้วเอาไปด้วยได้อ่ะ วงวารเนี่ยพอปล่อยวางแล้วก็สบายใจ ใด ๆ ก็คือน้องไนท์น่ารักมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 15-01-2022 00:01:06
จา  น่ารักและเข้มแข็งมาก  ชอบสุดๆๆ
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 05-10-2022 18:00:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sakura_sung ที่ 02-12-2022 21:51:05
 :-[ อ่านเพลินดีจัง
หัวข้อ: Re: *แจ้งข่าว That's Wine I Love You วันที่ 11 - 25 พฤษภาคม 2561 รายละเอียด P4 ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 13-12-2022 05:00:23
คือทั้งเคลียร์และไม่เคลียร์ 555555 คือจบไวมากๆเลยค่ะ เหมือนตัดฉับตามบ่ทัน แต่ก็ขอบคุณนะคะ :pig4: อ่านง่ายตามเดินเรื่องไว