HEAVY WEIGHT รัก ▪️ หนัก ▪️ มาก: HEAVY WEIGHT: 15.2 KG.
‘To: Pook
Today you can go back home first. I have some practice.
From: Pharaoh’[/i]
โรห์บอกผมอย่างนั้นตอนเกือบแปดโมงเช้าของวันธรรมดาขณะที่ผมกำลังนอนเป็นซากพะยูนอืดตายบนเตียงหลังใหญ่ของมัน
ผมร้องอืออาไปให้คนที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียงพลางจัดเสื้อไปด้วย ฝ่ามือใหญ่ที่ลูบแก้มของผมอยู่มันเย็นจนต้องส่งเสียงอย่างพอใจคงเพราะมันเพิ่งจะอาบน้ำมาก็ได้ตัวก็เลยเย็นๆ
ผมยังนอนอืดต่อไปเพราะว่ามีเรียนตอนบ่าย ตอนแรกที่รู้ว่ามันมีซ้อมแข่งวันนี้ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวรอได้ แต่ไอ้แขกมันดันส่ายหน้าบอกว่าคงเลิกดึกเพราะคงอาจจะมีประชุมต่อนิดหน่อยเลยไม่อยากให้ผมรอนาน
มันเป็นอย่างนี้ตลอดถ้าซ้อมครั้งไหนเลิกตามเวลามันจะต้องลากผมไปรอด้วยแต่ถ้าบางครั้งที่มันซ้อมนานกว่าปกติมันไม่เคยให้ผมไปรอมันเลยครับ มันบอกกลัวผมลำบากกว่าเดิม
ส่วนผมก็แม่งต้องบ่นทุกครั้งเวลามันลากไปซ้อมด้วยแต่กูก็แม่งตามมันต้อยๆทุกครั้งเลย ไอ้ห่านจิก
สุดท้ายก็ต้องงัดร่างแน่นๆนุ่มนิ่มของตัวเองให้ลุกออกจากตอนเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงนู่นแนะครับ คือไม่ใช่อะไรหรอก ท้องร้องโครกครากมากครับ
ในตู้เย็นคอนโดไอ้โรห์มีอาหารทีป้าแช่มทำใส่กล่องเก็บไว้ให้ เลยจิ๊กมันออกมาเวฟกินซะเลย ระหว่างรอข้าวอุ่นก็เดินไปดูชุดนักศึกษาว่ามีหรือเปล่า ความจริงแล้วผมมีเสื้อผ้าหลายชุดที่เอามาทิ้งไว้ที่ห้องไอ้โรห์ครับ
เห็นเสื้อนักศึกษาของแขวนเรียบร้อยเรียงกันเป็นระเบียบทั้งของเจ้าของห้องและของผมเอง กางเกงเอวเกือบสี่สิบของผมแขวนอยู่ในโซนเดียวกันด้วย กลิ่นหอมแบบเดียวกับเจ้าของห้องเพราะใช้น้ำซักผ้าอันเดียวกัน
แต่ไม่รู้ทำไม...รู้สึกว่ากลิ่นหอมอ่อนๆติดจมูกจากตัวไอ้แขกมันถึงได้หอมกว่าก็ไม่รู้
คว้าเสื้อกับกางเกงตัวเองมาได้ก็เอามาเตรียมไว้ ผมว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยออกไปกิน เป็นคนอาบน้ำเร็วอยู่แล้ว ข้าวที่เวฟไว้ก็ปล่อยไว้ในไมโครเวฟก่อน
ออกมาจากห้องน้ำก็ได้กลิ่นอาหารร้อนๆที่เวฟเสร็จพอดี กลิ่นโชยมาทำให้ท้องไส้ร้องโครกคราก ผมรีบใส่เสื้อผ้าแต่ยังไม่เอาเสื้อเข้ากางเกงนะครับ มันอึดอัดพุง เดินลากขามาที่เครื่องอุ่นอาหารหน้าตาทันสมัยแต่กูใช้เป็นอยู่แค่สองปุ่มครับคือปุ่มกดเลขนาทีกับปุ่มเปิดปิดฝาเครื่องเท่านั้น
ผมใช้เวลาไม่นานก็ซัดข้าวในกล่องหมดครับ แล้วก็เก็บกวาดครับ มองนาฬิกาอีกทีก็ได้เวลาพอดิบพอดีครับ ลงไปชั้นล็อบบี้ให้พี่เขาเรียกรถแท็กซี่ให้ครับ
ช่วงเวลาแบบนี้รถไม่ค่อยติดผมเลยคิดว่ามิเตอร์คงไม่แพงเท่าไร พอได้รถแท็กซี่แล้วก็ขึ้นไปนั่งตากแอร์ฉ่ำๆจนเกือบหลับบนรถ ยังดีที่พี่คนขับเขาส่งเสียงเรียกตอนใกล้ถึงมหาวิทยาลัยแล้วพอดี
“มาซะทีนะมึง” เสียงไอ้ปองกุลทักทายยามเกือบเที่ยงครับ
ผมพาร่างแน่นๆของตัวเองไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ รู้สึกเหมือนเก้าอี้กระดกหงายหลังด้วยแต่ก็กลับมาตั้งตรงอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เชี่ย! นั่งเบาๆหน่อยสิเว้ย” มีคนแหกปากอีกแล้วครับ
อะไรวะ! ตัวผมก็แค่นี้อะ ออกจะผอมบาง หึๆ
“แค่เก้าอี้กระดกเองมึง อย่าแตกตื่น” เอาไว้มันหักหรือหงายหลังล้มตึงไปแล้วเราค่อยมาตื่นเต้นดีกว่าครับ
“แล้ววันนี้พ่อยอดขมองอิ่มของมึงไปแล้ว?”
ผมด่ามันแบบไม่มีเสียงไปหลายคำ
“มันก็ไปเรียนสิวะ” ท้องพวกกูไม่ได้ติดกันนะเว้ย
ปองกุลคว่ำปากแบบหมั่นไส้ จนผมแทบอยากจะเตะมันคว่ำไปพร้อมกับปากเลย
ตอนเข้าไปเรียนไอ้แขกมันไลน์มาพอดี ย้ำว่าเย็นนี้มันมีซ้อมแข่งให้ผมกลับบ้านก่อนก็ได้ไม่ต้องรอ ผมก็ตอบเออออไปครับ ไลน์มันขึ้นว่าอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมรู้ว่ามันรับรู้แล้วครับ
พอได้เวลาเข้าเรียนผมก็กลิ้งตัวกลมๆของตัวเองไปถึงที่นั่งประจำในห้องเลคเชอร์ครับ คือนั่งไปได้สักพักใหญ่ท้องมันก็โหวงๆเลยต้องเปิดกระเป๋าไอ้ปองกุลขโมยเยลลี่หมีมันซัดเข้าปากแก้กระหายครับ
จนวิญญาณใกล้ดับสูญนั่นแหละครับอาจารย์ถึงจะยอมปล่อยแต่ยังไม่วายสั่งการบ้านให้ไปอ่านสไลด์มาล่วงหน้าเพิ่มเติมด้วยเพราะว่าครั้งหน้าจะซุ่มควิซในห้อง
ความหายนะมันคือแบบขึ้นอยู่กับอารมณ์ของอาจารย์เลยว่าอยากควิซไหม มีก็คือมีกรรม ถ้าไม่มีก็มีกรรมอีกเหมือนกันครับเพราะว่ามันก็เลื่อนเป็นอาทิตย์ต่อๆไปที่เหล่านักศึกษาไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันจะมาเมื่อไร
ผมเดินตะล็อกต๊อกแต๊กออกมาจากห้องกัน ผมควักมือถือขึ้นมารายงานพ่อก่อนครับว่าเลิกเรียนแล้ว ตอนที่ส่งไปมันดันคอลมาหา
พอดีครับ
“ฮัลโหลว...”
[พุก...]
“เยส...ว่าไงครับพ่อ...”
[พ่อ? Dad?] ไอ้แขกมันคงงงครับ มันคงคิดว่าผมกำลังพูดถึงป๊าอยู่หรือเปล่า มันยิ่งภาษาไทยไม่ค่อยแข็งแรงด้วยครับ หึๆ
“พ่อ...ที่ไม่ได้แปลว่าพ่ออะ”
อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน! อย่าคิดลึกนะครับ ผมแค่เห็นช่วงนี้คนพูดถึงเยอะเลยยืมคำเขามาใช้สักหน่อย ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอะไรทั้งนั้นนะครับ
ไม่คิดมากกันนะครับ ขอร้อง
[What do you mean? พ่อที่ไม่ได้แปลว่า...พ่อ?]
เห็นไหมครับ ผมบอกแล้วว่ามันไม่เข้าใจหรอก แล้วก็...ไม่ต้องมีใครไปใจดีบอกเฉลยมันนะครับ
ไม่งั้นผมกระโดดทับนะเออ...บอกเลย
“ไม่บอกเว้ย ไปหาคำตอบเอาเอง” ให้มาบอกเฉลยอะไร ไม่เอาๆ เขินหมด สะดีดสะดิ้งจริงๆเลยกู
[...]
ปลายสายมันเงียบไป สงสัยยังคงงงไม่หายครับ ผมเลยรีบตัดบท
“เลิกเรียนแล้ว จะกลับหอแล้วนะ”
[หอโรห์เนอะ] มาเนอะมาแนะนะไอ้แขก ไม่เว้ย หอตัวเองมีเว้ย โตแล้วกูจะกลับหอไหนก็ได้
“ไม่เว้ย จะกลับกับไอ้ปองกุล” แม่งป่านนี้หอกูหยากไย่ไม่เกาะเต็มไปหมดแล้วเหรอวะ
[ครับๆ งั้นเดี๋ยวไปหา]
“โอเค”
พอมันวางสายไปผมก็หันมาเจอไอ้ปองกุลที่เบ้ปากมองบนเหมือนหมั่นไส้อยู่
“เหอะ...พ่อที่ไม่ได้แปลว่าพ่อ” มันบึนปาก “กล้าเล่นนะมึง”
ผมเลยแยกเขี้ยวใส่มัน
“ทำไม ไอ้เท่ไม่เล่นด้วยหรือไง”
ไอ้แห้งสะอึกเอือกก่อนจะสะบัดตูดงอนเดินไปเลย อืม...สงสัยว่าคงอิจฉาที่ไม่มีคนเล่นด้วยนั่นเอง แต่แอบเห็นว่ามันแอบหูแดงๆนะเนี่ย
หึๆ
มันต้องมีอะไรแน่ๆ
หึๆ
มีแน่ๆ
พอมาถึงหอตัวเองผมก็แยกกับไอ้แห้งครับ มานอนตากแอร์สบายๆว่าจะงีบสักหน่อยแล้วเย็นกว่านี้ค่อยออกไปหาอะไรกิน กำลังคิิดว่าจะกินร้านสเต็กเจ้าที่ชอบแถวหอนี่แหละครับ ร้านนี้เปิดดึกด้วย ไอ้แขกคงกลับมากินทัน นี่เป็นคนดีนะเนี่ย รอเพื่อนกินข้าว
พอเอนตัวเรียบร้อยก็หลับไปจริงๆครับ โชคดีว่าตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ สุดท้ายตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะออกไปนั่งกินที่ร้านแล้วซื้อกลับมาฝากโรห์ ผมเลยตัดสินใจว่ารอไปกินพร้อมมันเลยละกัน อาจจะต้องฟังมันบ่นนิดหน่อยว่ากินข้าวดึกไป แต่หนูพุกมีแคร์หรือครับ แค่กูไม่กินห้ามื้อต่อวัน มันก็ดีใจน้ำตาแทบไหลแล้วครับ
...ครืด…
เสียงโทรศัพท์บนข้างหัวสั่นครืดๆ ผมเลยกลิ้งตัวหยิบมาดู เป็นไลน์คอลมาจากพี่เก่งครับ ผมกดรับตามปกติ แต่ว่าเสียงทางปลายสายทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น
[ไอ้พุก!]
“ว่าไงพี่?” เสียงร้อนรนแปลกๆของทางฝั่งนั้นทำให้ผมต้องกระเด้งตัวขึ้นมา
[เกิดเรื่องแล้ว...ไอ้ชะรีฟมัน...]
พอผมได้ยินชื่อไอ้แขกเลยร้องงถามเสียงดัง ใจผมดันเต้นรัวเป็นกลอง รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อมันเกร็งตัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“ไอ้โรห์มันทำไมพี่!”
[คือ...มัน...]
“พี่อย่าอ้ำอึ้ง เร็ว” ผมแทบแหวกโทรศัพท์เข้าไปเขย่าคอพี่เก่ง
[มัน...โดนเตะที่หัวแล้วล้มหัวฟาดพื้น]
“หา...” ผมได้แต่นั่งถือโทรศัพท์ค้าง พูดไม่ออก รู้แหละครับว่าการเล่นกีฬาแบบนี้มันก็มีเจ็บตัวตามปกติ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือศีรษะที่เป็นจุดอ่อนไหวที่สุด “พ...พี่...มันเป็นไงบ้าง”
[ไม่รู้ว่ะ รถพยาบาลมารับมันไปแล้ว]
“โรงพยาบาล...ของมหาวิทยาลัยใช่ไหมพี่”
[เออ...เฮ้ย...ไอ้พุก...]
หูผมไม่ฟังอะไรอีก รีบกดตัดสายจากพี่เก่งแล้วพุ่งพรวดเหมือนติดจรวด ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาถึงโรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยได้ยังไง เขารู้สึกร้อนรนไปหมด ขาแน่นๆวิ่งพาร่างหนุบหนับของตัวเองเข้ามาถึงด้านในโรงพยาบาล อยากจะตบกบาลจริงๆ ผมลืมถามว่าพวกพี่เก่งอยู่ที่ไหนกัน
ระหว่างที่ยืนหอบอยู่ในโรงพยาบาล ผมเห็นคนใส่ชุดคาราเต้ลิบๆ เลยรีบวิ่งเข้าไป พี่เขามาทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ข้างๆก็มีรุ่นน้องในชมรมอีกคน
“พี่ฟ่าง!”
“หนูพุก”
รีบเข้าไปจับแขนพี่เขาแล้วถามระรัว “ไอ้โรห์ล่ะพี่...” ผมหายใจไม่ค่อยทันด้วยความเหนื่อย
“พี่ก็เพิ่งตามมาถึงเหมือนกัน พี่เก่งบอกว่าอยู่ที่แผนกฉุกเฉิน”
ผมได้แต่ภาวนาให้มันไม่เป็นอะไรมาก ในใจผมเหมือนมีใครมาบีบคั้นจนมันเจ็บ ครั้งสุดท้ายที่ผมรู้สึกแบบนี้คือเมื่อตอนที่อากงผมเสีย สมัยนั้นผมยังอยู่มัธยม จำได้ว่าตอนนั้นอากงไม่สบายหนักถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ว่าอาการท่านทรุดลงเรื่อยๆ ตอนนั้นเป็นช่วงสอบ ป๊าม้าอยากให้ผมตั้งใจอ่านหนังสือสอบเลยไม่ให้ผมหยุดเพื่อมาอยู่กับอากงที่โรงพยาบาล
และวันนั้นที่ผมยังจำได้ดี วันสอบวันสุดท้ายที่ผมตั้งใจว่าสอบเสร็จผมจะรีบนั่งรถไปเยี่ยมอากง แต่ป๊าโทรมาหาก่อน บอกผมว่า…
...อากงไม่อยู่แล้ว…
ตอนนั้นผมเข้าใจความรู้สึกเลยว่าเวลาที่คนบอกบอกว่าช็อกจนพูดไม่ออกมันเป็นยังไง สุดท้ายผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับอากงเลยในวันที่ท่านจากไป
มันเป็นเหมือนแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหาย เมื่อมีใครมาสะกิดมันจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามันยังคงอยู่ไม่ได้ไปไหนแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เจ็บเหมือนแผลสดก็ตาม
เป็นแผลเป็นในใจของผมที่ว่า...ผมไม่ได้ร่ำลาอะไรอากงผมเลย...ทั้งที่ผมมีหลายอย่างที่อยากบอกอากง
หัวตาร้อนผ่าวเล็กน้อยเมื่อนึกถึงอากง ผมได้แต่บอกอากงว่าคุ้มครองไอ้แขกด้วยนะครับ อย่าให้มันเป็นอะไร
พี่ฟ่างพาผมมาจนถึงแผนกฉุกเฉิน เห็นกลุ่มชมรมคาราเต้นั่งเรียงกันอยู่ที่เก้าอี้
“พี่เก่ง ไอ้โรห์มันเป็นไงบ้าง” ผมพยายามหันซ้ายหันขวาหาเตียงคนไข้ที่น่าจะมีร่างของไอ้โรห์นอนอยู่
ใบหน้ารุ่นพี่กัปตันทีมดูอ้ำอึ้งจนผมใจเสีย ผมแถบจะล้มทับพี่แกได้เลย ตอบสิพี่ เดี๋ยวกระโดดทับเลย
“คือ...”
“ขอย้ายคนไข้ไปทำทีซีสแกนด่วน คาดว่าเลือดคั่งในสมอง”
“คนไข้ผู้ชายที่เป็นชาวต่างชาติ”
“อาการน่าาเป็นห่วง”
ผมถึงหันขวับไปมองเมื่อได้ยินทั้งหมอและพยาบาลแถวนั้นพูดกัน ผมเลยถลาเข้าไปถาม
“หมอครับเพื่อนผม...เพื่อนผมเป็นไงบ้างครับ”
คุณหมอห้องฉุกเฉินมองหน้าครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ต้องรอดูอาการนะครับ อาการค่อนข้างน่าเป็นห่วงครับ คนไข้ไม่ตอบสนอง”
“หมอ...” ผมถึงกับถอยหลัง “พี่เก่ง...หมอพูดเล่นใช่ไหมพี่”
ผมหันไปถามพี่เก่งที่ยังคงนั่งอึ้งอยู่
“เอ่อ พุก...”
ผมตาร้อนผ่าว “พี่...ไอ้โรห์ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมพี่”
พี่เก่งยังคงนิ่ง “คืองี้...”
“ฮึก...พี่...พี่...ไอ้โรห์...ไอ้โรห์” ความกลัวพุ่งเข้ามาจนผมตั้งรับไม่ทัน มันเหมือนโลกมันหยุดไปเฉยๆ
“พุกใจเย็นๆก่อนนะ”
พี่ฟ่างเข้ามาลูบไหล่ปลอบ ผมไม่รู้ว่ามันต้องทำใจเย็นต่อไปยังไงไหว
“พี่...ไอ้โรห์มันจะเป็นอะไรไหม” ตอนนี้ผมต้องการคนบอกว่ามันโอเค มันไม่เป็นอะไร ถึงจะเป็นคำโกหกผมก็อยากฟังมากกว่า
ความจริง “มันต้องโอเคนะ”
“ชะรีฟไม่เป็นอะไร”
“ผม...ยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้คุยกับอีกตั้งเยอะ” ผมน้ำตาไหล “มันยังไม่ได้พาผมไปกินของอร่อยอีกตั้งหลายที่ ไหนมันบอกว่ามันจะ
พาผมไปเที่ยวอียิปต์บ้านมัน พาไปดูพีระมิด ขุดสุสานฟาโรหฺ์ ขี่อูฐ นอนดูดาวในกระโจมเบดูอิน ฮือออออ มึงยังไม่ได้ทำตามสัญญาเพราะงั้นมึงต้องไม่เป็นอะไรนะเว้ย”
ผมเริ่มร่ายสิ่งที่อยากบอกกับมันออกมาไม่รู้ตัว ผมไม่สนใจว่าพี่เก่งกับพี่ฟ่างจะทำหน้ายังไง อย่างน้อยผมอยากคุยกับมันก่อน
ในส่วนลึกของใจผมมันยังบอกว่าผมยังมีเรื่องที่ยังติดอยู่ ผมยังคงไม่ได้พูดออกไปเลย
“กูยังไม่ได้บอกเลย...” ผมพึมพำเสียงค่อย “มึงจะไม่อยู่ฟังกูก่อนเหรอโรห์” มันเคยบอกผมแล้วแต่ผมยังไม่ได้ตอบอะไรมันกลับไปเลย
...คำที่มึงอยากฟังไงวะ…
ผมไม่ขออะไรเลย ขอให้มันได้ฟังในสิ่งที่ผมอยากบอกกับมันก่อน
“กูเขิน เลยไม่กล้าบอกมึง...”
...ว่า…
“กูก็ชอบมึงนะ...”
ประโยคนี้ผมพูดกับตัวเองด้วยเสียงที่เบาที่สุด
-------------------------------------------------- 100% --------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
ขออภัยที่ห่างหายจากเรื่องนี้ไปนานเลยนะคะ แต่ว่าไม่ต้องห่วงค่า เราไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอนค่า ขอบคุณหลายๆท่านที่ยังแวะเวียนเข้ามาอ่านและถามไถ่ถึงหนูพุกกับพ่อยอดชายอยู่เสมอนะคะ
อ่านแล้วคอมเม้นบอกฟี้ดแบ็คกันได้นะคะ หรือจะทวิตมาคุยกันในได้ที่่ #รักหนักมาก #ชะรีฟหนูพุก
ขอบคุณทุกการสนับสนุนนะคะ
เยิฟฟฟฟฟ
ปล. วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสั่งหนังสือเรื่อง รักตามสั่ง รอบไปรฯนะคะ ท่านใดยังไม่ได้รับน้องเจ้าขากลับบ้านอย่าลืมไปจับจองนะคะ
ขอบคุณที่อุดหนุนนะคะ