❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤
ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย
ภายใต้กิ่งก้านสาขา ต้นดอกเหมยออกดอกเบ่งบานชูช่อสวยงามส่งกิ่งหอมฟุ่งกระจายไปทั่ว ใกล้กับสะพานข้ามทะเลสาบซีหู งูสีเขียวมรกตเกล็ดของมันแวววาวราวอัญมณีส่องแสง มันใช้ลำตัวพันรอบกิ่งเหมยสอดส่องสายตามองผู้คนในยุคนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(ไอ้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ไหนบอกจะให้เกิดเป็นลูกหลานมังกรเขียวไง แต่ไยข้าถึงเกิดเป็นงูเขียวได้เล่า) เจ้างูเขียวบ่นพึมพำกับตัวเองย้อนนึกถึงคำพูดของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่บอกกับตนในตอนนั้น
เขาตื่นขึ้นมาพบกับ ความมืดมิด ความหนาวเหน็บที่ปกคลุมแผ่ซ่านไปทั่ว สรรพางค์กาย ของคนร่างบาง เขาหนาวสั่น หวาดกลัว นี่เขาตายไปแล้วงั้นเหรอ เขาจำภาพเหตุการณ์สุดท้ายในสายตาของเขาคือ มีชายแก่ เดินตัดหน้ารถ จนเขาเผลอเหยียบคันเร่งแทนที่จะเหยียบเบรค จากนั้น สติสัมปชัญญะ ของเขาก็ดับวูบลงไป นั่นคือสิ่งที่เขาจดจำได้
"ที่นี่ไหน? ทำไมมันถึงมืด และหนาวเหน็บเช่นนี้" เขาตื่นกลัวกับสิ่งที่พบเห็นนอกจากความืดมิดแล้วไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขามองเห็นได้เลย
"ที่นี่คือเขตกั้นแดนระหว่างความเป็นกับความตาย" เสียงชายแก่ดังขึ้นพร้อมประกายแสงรอบตัว เขาจดจำได้ในทันทีว่า ชายแก่ คนนี้คือคนที่เดินตัดหน้ารถเขา
"ลุง คนที่ตัดหน้ารถผม" เขาชี้นิ้วไปทางชายแก่ที่มีผมกับหนวดเคราขาวโพลน
"ใช่ข้าเอง แต่ที่ข้าโผล่ไปนั้นเพื่อช่วยเจ้านะ" ชายแก่แย้มยิ้มสุภาพแลดูใจดีให้เขา
"ช่วยให้ผมตายเร็วขึ้นน่ะสิ" เขาเถียงสุดใจขาดดิ้นเลย ถ้าช่วยจริงคงไม่เดินตัดหน้ารถเขาหรอก
"ข้าช่วยให้เจ้ามีสิทธ์ที่จะเลือกต่างหากล่ะ"
"เลือกอะไร" เหม่ยฟางทำหน้าสงสัยใคร่รู้
"เลือกจะมีชีวิตใหม่กับคนที่เจ้ารัก ในอีกยุคสมัยไงล่ะ"
"ผมสามารถรักกับเขาได้เหรอครับ"
"แน่นอน ข้าเห็นแก่รักมั่นของเจ้า จึงได้ดึงเจ้าออกมาจากความตายเพื่อเริ่มชีวิตใหม่กับดินแดนใหม่ยุคใหม่"
"ท่านช่วยผมได้จริงๆใช่ไหม" แววตารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเปี่ยมปิติปรีดา ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะมีโอกาส
"จริงสิ ข้าจะส่งให้เจ้าไปเกิดเป็นลูกหลานมังกร ซึ่งเจ้าสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ต่อไปนี้ความรักเจ้าจะสมหวัง" ตาเฒ่าวาดมือไปมาจนเกิดแสงสว่างจ้า จนเขาต้องหลับตา นั่นคือสิ่งที่ ตาเฒ่านั้นบอกเขา แต่ดูสิพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ทำไม๊ ทำไม เขาถึงได้กลายเป็นงูเขียว แทนที่จะเป็นมังกรเขียวได้ล่ะ
ขณะที่เขาบ่นพึมพำอยู่นั้น เหล่าเด็กๆในหมู่บ้านต่างพากันวิ่งเล่นแถวทะเลสาบ เด็กชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาที่พันตัวอยู่บนกิ่งเหมย จึงส่งเสียงร้องตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อให้มาดูเขา
"ท่านพ่อ ท่านพ่อ มาดูงูเขียวตัวนี้สิ ท่านพ่อ" เด็กชายส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นตะลึง
"เหวินเต๋อ เจ้าไม่เคยเห็นงูเขียวหรือไง" ผู้เป็นพ่อส่งเสียงเบื่อหน่ายมาทางลูกชาย
"ท่านพ่อ งูเขียวตัวนี้มันไม่เหมือนงูเขียวทั่วไป" เหวินเต๋อน้อย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนผู้เป็นพ่อจำใจออกมาดู
"ไหนล่ะงูเขียวไม่ธรรดาของเจ้า"
"นั่นไงท่านพ่อ" เหวินเต๋อ ชี้ให้ผู้เป็นพ่อดูงูเขียวมรกต เมื่อผู้เป็นดป็นพ่อเห็นก็อดอ้าปากค้างไม่ได้
"งูตัวนี้ประหลาดนัก" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ "
ท่านพ่อ ข้าเลี้ยงมันได้ไหม" เหวินเต๋อเอ่ยขึ้น ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เฮ้ๆ ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะของใครนะ) เจ้างูเขียวส่งเสียงประท้วง สะบัดหน้าไปมา จนทำเอาเหวินเต๋อน้อยอดขำกับท่าทางของมันไม่ได้ "ท่านพ่อให้ข้าเลี้ยงมันเถอะนะ ข้าสัญญาจะไม่นำมันเข้าบ้าน ข้าจะสร้างศาลาเล็กให้มันกันฝนที่ใต้ต้นเหมยนี้เอง" เมื่อผู้เป็นพ่อได้ฟังจึงยินยอมให้ลูกชายเลี้ยงเจ้างูน้อย
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าใจดียิ่งนัก สร้างบ้านให้ข้าอยู่ด้วย) เมื่อศาลาถูกสร้างเสร็จเพียงเวลาไม่นาน เจ้างูเขียวจึงเลื้อยเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ที่ถูกปูด้วยผ้านุ่มๆ
หลังจากสร้างศาลาหลังน้อยให้เจ้างูเขียวนั้นแล้ว เหวินเต๋อน้อยจะคอยมาเล่นกับเจ้างูเขียวทุกวันจนเป็นความเคยชิน เจ้างูเขียวรู้สึกสนิทใจกับเหวินเต๋อน้อยเป็นอย่างมากทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนกัน แม้ไม่ใช่ความคิดสำหรับผู้อื่นแต่ก็เป็นความคิดระหว่าง หนึ่งคนหนึ่งงู ที่มีความพันธ์ผูกคล้ายมีบางอย่างเชื่อมโยงทั้งสองเข้าหากัน เป็นสายใยบางๆที่ยากจะเข้าใจ
อากาศยามเช้าอันแสนสดชื่นเจ้างูเขียวนอนหลับอยู่บนที่นอนนุ่มจำต้องตื่นเพราะเสียงเรียกของเด็กชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น
"เจ้างูน้อย เจ้างูน้อย มาเล่นกันเถอะ" เจ้างูเขียวสะดุ้งโหยง เมื่อถูกปลุกขึ้น
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าเด็กบ้าเอ้ย มาปลุกข้ากำลังหลับได้ที่เชียว) เสียงขู่ ฟ่อๆ ทำให้เด็กชายยิ่มร่าเมื่อรู้ว่าเจ้างูรู้แล้วว่าเขามาเล่นด้วย เขาเอาแมลงกับหนูมาให้เจ้างูน้อยกินด้วย
"ข้าเอาหนูกับแมลงมาให้เจ้าทานด้วย" เด็กชายยิ่มร่านั่งลงข้างๆศาลาหลังเล็กที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก่อนหยิบหนูตัวเล็กในถุงผ้าส่งให้เจ้างู
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
หางของเจ้างูน้อยฟาดเข้าที่ถุงผ้าและมือของเหวินเต๋อน้อยอย่างแรงจนหนูหลุดจากมือและถุงผ้าพากันวิ่งหนีไป แม้เจ้างูน้อยจะตัวนิดเดียวแต่แรงที่ฟาดใส่มือนั้นกับรุนแรงยิ่งนัก มือของเหวินเต๋อน้อยแดงเป็นปื้น
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เด็กบ้า ข้าไม่ทานหนูทานแมลง มันใช่อาหารที่ไหนเล่า) เจ้างูเขียวส่ายหัวไปมาส่งเสียงประท้วง
"เจ้าไม่ชอบทานของพวกนี้เหรอ" เหวินเต๋อน้อยทำท่าครุ่นคิด เขายิ้มออกมาก่อนลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งจากไป
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เด็กบ้าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ชิ ข้าไม่สนเจ้าแล้ว) เจ้างูเขียวบ่นเสร็จจึงเลื้อยกลับเข้าไปนอนต่อ
แต่ใครจะรู้ได้ล่ะการวิ่งจากไปในครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เจอกัน เหวินเต๋อน้อย จำต้องย้ายบ้านตามผู้เป็นพ่อออกจากเมืองในวันนั้นทันทีโดยที่ไม่ได้บอกลากันแม้สักคำ เจ้างูเขียวเลื้อยขึ้นไปบนกิ่งเหมยชะแง้คอมองหาเหวินเต๋อน้อยวันแล้ววันเล่า สุดท้ายก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าเด็กบ้าบังอาจทิ้งข้างั้นเหรอ) ถึงปากจะบ่นเช่นนั้นแต่น้ำตากับหลั่งรินออกมา ปรากฏเป็นไข่มุกเม็ดเล็กๆร่วงหล่นลงพื้นจนชาวบ้านพาตื่นตะลึง จากนั้นมาศาลาเล็กกลับกลายเป็นศาลเจ้าขนาดย่อม ผู้คนต่างแห่กันมาสักการะบูชา เพียงเพราะเจ้างูเขียวน้อยหลั่งน้ำตาเป็นไข่มุก
"เจ้าจะรอเจ้าเด็กนั่นอีกเหรอเจ้าไม่คิดจะตามหาคนรักของเจ้าแล้วงั้นสิ" เสียงชายแก่ดั่งแว่วปะทะโสตประสาทเจ้างูเขียวน้อย เจ้างูเขียวส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายให้เจ้าของเสียง
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ใครว่าข้ารอเจ้าเด็กบ้านั่น ข้ารอเจ้าอยู่ต่างหากล่ะ กว่าจะโผล่มาได้นะตาแก่ มาให้ข้าคิดบัญชีเสียดีๆ)
"ช้าก่อนๆ เจ้าจะทำร้ายข้าด้วยเรื่องอะไร"
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ไหนว่าเจ้าบอก จะให้ข้าเกิดไปเกิดเป็นลูกหลานมังกรเขียวไง แต่ดูตัวข้าสิ มันงูเขียวชัดๆ)
"ใจเย็นๆ ร่างของเจ้าในตอนนี้เทียบเท่ากับเด็กอายุ7ขวบ เจ้ายังเติบโตไม่เต็มที่ ต่อไปตัวของเจ้าจะใหญ่โตขึ้นกว่านี้อีก ถึงตอนนั้นข้ากลัวเจ้าจะลำบาก ดังนั้นข้าจึงมาสอนเจ้าฝึกตบะ เจ้าจะได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ไงเล่า เจ้าเป็นถึงมังกรเขียวเชียวนะ" ชายแก่รีบอธิบายให้เจ้างูเขียวฟัง เพื่อไม่ให้เจ้างูพุ่งมาทำร้ายตน
"ทำไมเพิ่งโผล่มา"
"คือข้า...มีธุระต้องไปทำ" ชายแก่เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตา เจ้างูเขียวที่หรี่ตาจ้องมองอย่างจับผิด
"เอาเถอะ ข้าจะยอมเชื่ออีกสักครั้ง จะสอนข้ากลายร่าง ก็รีบสอนสิ"
"ที่นี่ไม่เหมาะ ไปหาบ้านร้างสักแห่งเถอะ" ว่าแล้วชายแก่จึงเดินนำเจ้างูเขียวไป
ชายแก่นำเจ้างูเขียวมาถคงบ้านร้างหลังหนึ่ง บริเวณบ้านร้างที่ถูกทิ้งไว้ไว้จนมีสภาพทรุดโทรม ฝุ่นเกาะติดเต็มพื้น เพียงแค่เดินก็ปรากฏรอยเท้าได้
"ที่นี่เหมาะที่สุด"
"ข้าต้องอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ" เจ้างูเขียวมองไปรอบๆอย่างไม่ชอบใจ
"ถูกต้อง ข้าจะฝึกฝนตบะให้เจ้า"
"ถ้างั้นจงรีบสอนเถอะ"
"เจ้า กินยานี่ก่อนสิ มันเป็นเพิ่มพลังปราณในตัวเจ้าได้" เมื่อชายแก่ป้อนยาให้เรียบร้อย เจ้างูเขียวกับรู้สึกตวามร้อนในกายแผ่ไปทั่วร่าง เจ้างูเขียวหันมาจ้องตาเฒ่าอย่างอาฆาต
"เจ้าเอายาอะไรให้ข้ากิน" น้ำเสียงอ่อนแรง ร่างกายล้มกลิ้งดิ้นไปมาอย่างทรมานด้วยความร้อนปานแผดเผาให้ไหม้เป็นจุน
"มันเป็นเพิ่มพลังปราณและตบะของเจ้า ยังไงก็อดทนหน่อยแล้วกัน"
อดทนบ้าอะไรข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว หากมีเพลิงไฟมะนคงเผาร่างของเขาจนเป็นผุยผงแน่ๆ สุดท้ายความรู้สึกของเจ้างูเขียวดับวูบลงอย่างช้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกแล้ว หนอย ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ อย่าให้ข้าฟื้นขึ้นมาได้นะจะฉกให้พรุนเชียว
.
.
.
.
ตะวันเคลื่อนผ่านจากเช้าไปบ่าย จากบ่ายจรดเย็น ในที่สุด เจ้างูเขียวจึงฟื้นคืนสติกลับมา ดวงตาสีนิลวาวจ้องมองเพดานอย่างเบลอๆ เขารู้สึกว่าร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า อย่างประหลาด เขายกมือขึ้นตบศีรษะไล่ความมึนงงออกไป เอ๊ะ! มือ งั้นเหรอ ยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น ลองลุกขึ้นยืนกระโดด ด้วยความตื่นเต้น
"ข้ากลายเป็นคนแล้ว" แม้จะดูเล็กไปหน่อยแต่นี่มันร่างกายมนุษย์อย่างแน่นอน เขาคลำส่วนต่างของร่างกายรวมทั้งใบหน้าของเขาด้วย
"เจ้าฟื้นขึ้นมา ดูแข็งแรงดีนะ" ชายแก่เอ่ยทักด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แต่ใบหน้าของเจ้างูเขียวในร่างเด็กน้อยกับบึ้งตึงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง
"ไยเจ้าทำหน้าเช่นนั้น ทำหน้าให้เหมาะกับใบหน้าแสนงดงามนั่นหน่อยสิ" ชายแก่เลิกคิ้วถาม ใบหน้างดงามงั้นเหรอ เจ้างูเขียวลูบคลำใบหน้าตัวเอง เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นเช่นไร
"หน้าของข้าเป็นเช่นไร"
"อยากรู้เจ้าก็ไปที่แม่น้ำสิ" พอสิ้นเสียง เจ้างูเขียวในร่างเด็กน้อยรูปงามจึงรีบวิ่งตรงไปที่ศาลเจ้าข้างทะเลสาบทันที
"นี่ๆ หน้าของข้างั้นเหรอ" เงาในน้ำสะท้อนให้เห็นเด็กชายรูปร่างหน้าตางดงามราวตุ๊กตา เขาลูบคลำใบหน้าตัวเองอย่างดีใจ แม้ร่างกายจะเป็นเพียงเด็กอายุเพียง7ขวบ แต่ก็ไม่สามารถลดทอนความงามนั้นลงไปได้
"แม่หนู แม่หนู ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวน้ำตกท่าไปหรอก" ชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นเด็กชายสวมอาภรสีเขียวอ่อนนั่งอยู่ริมน้ำจึงเอ่ย ทักด้วยความเป็นห่วง เด็กชายลุกขึ้นยืน เขาก้มหัวให้กับชาวบ้านคนนั้นหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยคำพูดขึ้น
"ขออภัยท่านอา ข้าแค่อยากมาดูหน้าตัวเองเท่านั้น ยังไงข้าขอตัวก่อน" รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้างดงามของเด็กน้อย ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน . . เจ้างูเขียววิ่งกลับบ้านร้างด้วยอารมณ์แห่งความสุข แต่ต่องชะงักเมื่อบ้านร้างนั้นแปรเปลี่ยนเป็นบ้านหลังใหมเอี่ยมไม่มีแม้แต่ผงฝุ่น อย่างตอนแรกที่เขามาเยือน ภายในบ้านต่างมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน
"นี่คงเป็นฝีมือเจ้าเฒ่านั่น" เจ้างูเขียวพึมพำกับตัวเอง
"เจ้ากลับมาแล้ว มามาข้าเตรียมอาหารเอาไว้ มาทานด้วยกันสิ" ชายแก่วางอาหารมากมายลงบนโต๊ะ ร้องเรียกเจ้างูเขียวให้มาทานด้วยกัน เจ้างูเขียวจึงนั่งลงตรงข้ามกับชายแก่ ขณะที่จะคีบอาหารเข้าปาก ชายแก่ก็พูดขึ้นว่า
"เจ้าชื่ออะไร"
"หา! คุยกันมาตั้งนานเพิ่งคิดถามชื่อ" ดจ้างูเขียวปรายตามองเป็นสัญญาณว่า
'คิดถามชื่อผู้อื่นไยไม่แนะนำตัวก่อน'
"ขออภัยๆ ข้าคือเทพแห่งโชคชะตา มีชื่อว่า ไท้ส่วยเอี๊ย แล้วเจ้าล่ะ"
"ข้ามีชื่อว่า เหม่ยฟาง" เหม่ยฟางคีบอาหารใส่ปากเคี้ยวอย่างมีความสุข นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้ลิ้มรสอาหารแบบนี้
"ต่อไปนี้ทุกวันยามเซิน เจ้ากลายร่างเป็นงูเขียวไปรอคนรักของเจ้าที่ต้นเหมย"
"ทำไมล่ะ"
"บัญชาสวรรค์ข้าไม่อาจแพร่งพรายได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้"
"ชิ"
"เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง ต่อไปเรียกข้าว่าท่านลุงเอี๊ย เราจะอยู่ด้วยกันจนกว่าเจ้าจะเจอคนรัก" พูดจบคนที่บอกให้เรียกท่านลุงเอี๊ยก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาทานข้าว โดยไม่พูดอะไรอีกต่อไป
.
.
.
.
หลังจากนั้นมา เหม่ยฟาง ในร่างงูเขียวสีมรกต ก็จะพาดลำตัวอยู่บนกิ่งเหมย เมื่อถึง ยามเซิน เป็นแบบนี้ตลอดจนชาวบ้านเห็นจนชินตา แต่เหม่ยฟางกลับกลายเป็น สัตว์โชว์ตัวให้แก่เหล่านักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาไปโดยปริยาย ไม่มีข้อโต้แย้ง
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เห็นข้าเป็นของแปลกประหลาดไปได้คนพวกนี้ ถ้ามีกล้อง มีโทรศัพท์คงหยิบเอามาถ่ายแล้วมั้งเนี่ย) เหม่ยฟางอดบ่นผู้คนไม่ได้ เขาไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อย มาชี้ไม้ชี้มือกันอยู่ได้ เดี๋ยวก็ฉกซะเลยนี่ ข้าหงุดหงิดแล้วนะ
'ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ'
เหม่ยฟางทำได้แต่ส่งเสียงขู่อย่างจำใจ ไม่อาจใช้พลังทำร้ายใครได้ ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะถูกสั่งห้ามไว้ต่างหากล่ะ แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้พบ หย่งเจิ้ง ล่ะ ข้าต้องรออีกนานแค่ไหนกัน.......
************************************************************