❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}  (อ่าน 32793 ครั้ง)

ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ mam79

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
นังจิ้งจอกสมควรโดนองค์ชายโรคจิตนั่นจับไว้ไม่น่าหลุด พระเอกอย่าโง่นะ ไม่เอาเด้ออออ รอค่ะ

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 14 นางจิ้งจอกหวนคืน 2 จบ

'ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์เช่นนี้ ดีจริงๆ ข้าจะได้ไม่ต้องตามหาให้มากความ' นางเหลือบมองเหม่ยฟางทางหางตาทั้งยังไม่สนที่จะตอบคำถามของเหม่ยฟางอีก

"คุณชายหย่งเจิ้ง ได้โปรดช่วยข้าด้วย คนพวกนั้นต้องการทำร้ายข้า" นางรีบลุกจากพื้นวิ่งถลาเข้าไปโอบกอดจ้าวหย่งเจิ้งด้วยสีหน้าตื่นกลัว ชี้ไม้ชี้มือไปยังทหารที่หยุดชะงัก ทั้งยังยอมล่าถอยไปเมื่อพบเข้ากับจ้าวหย่งเจิ้ง

"แปลก!" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้น เพียงแต่คิดในใจ

'ทำไมพวกทหารต้องไล่ตามนาง น่าแปลกจริง'

"คุณชายได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วย เห็นแก่สัมพันธ์แต่เก่าก่อนของเราด้วย ฮือๆ" นางตัวสั่นด้วยความกลัว เหม่ยฟางมองนางด้วยความรู้สึกไม่วางใจ แม้ไม่ค่อยชอบนางนักก็ตาม ก่อนเอ่ยถามนางอีกครั้ง

"เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร" นางเหลือบมองเหม่ยฟางอีกครั้งแต่ครานี้นางกับมีสีหน้าตกใจ ยิ่งกว่าเก่า พร้อมเอ่ยเสียงสั้นพร่าชี้ไปทางเหม่ยฟาง

"ปะ ปีศาจ ปีศาจ คุณชายข้ากลัวเหลือเกิน"

"ข้าถามเจ้าดีๆ ใยเจ้าต้องว่าข้าเป็นปีศาจ"

"คุณชายข้ากลัวปีศาจ" นางหันไปพูดกับจ้าวหย่งเจิ้งด้วยอาการสั่นกลัว

"เจ้าว่าใครเป็นปีศาจกัน" เหม่ยฟางสติขาดผึงเค้นเสียงถามด้วยความโกรธ

"จะมีใครอีกนอกเจ้า" นางชี้มือสั่นๆมาที่เหม่ยฟางอย่างตั้งใจ โอบกอดเอวของจ้าวหย่งเจิ้งแน่นขึ้น

"ข้า? ทำไมเป็นข้า" เหม่ยฟางหันไปมองหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง ที่มองเขาอย่างขำๆ จนเหม่ยฟางต้องถลึงตาใส่ ว่านเสี่ยวหลิงจ้องมองปฏิกิริยานั้น ก่อนเอ่ยย้ำว่าสิ่งที่ตนพูดคือเรื่องจริง

"เรื่องที่ข้าเล่าเป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ คืนนั้นข้าเห็นดวงตาแดงก่ำของเขา มันน่ากลัวมาก" นางตัวสั่นขณะเล่าเรื่อง จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองเหม่ยฟางอย่างขำขันก่อนเอ่ยถามเสียงติดตลกจนว่านเสี่ยวหลิงต้องแปลกใจ

"นี่เจ้าเป็นปีศาจหรือ หึหึ"

"หากข้าเป็นปีศาจข้าคงจับเจ้ากินเป็นคนแรก ชิ" เหม่ยฟางตอบเสียงสะบัด เดินหนีไป

"อ้าวเดี๋ยวสิ รอข้าด้วย" แม้อยากตามแต่จ้าวหย่งเจิ้งกับตระหนักได้ว่า เขามีว่านเสี่ยวหลิง รั้งตัวเขาไว้

"คุณชายอย่าทิ้งข้า ข้ากลัวเหลือเกิน ฮือๆ" เสียงสะอึกสะอื้นทำให้จ้าวหย่งเจิ้งไม่อาจทิ้งนางไปได้ จึงพานางอาศัยโรงเตี๊ยมในเมืองแทน

"เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน มีเรื่องเดือดร้อนก็ให้คนไปส่งข่าวกับข้า"

"ขอบคุณ คุณชาย" แม้นางไม่ค่อยพอใจที่จ้าวหย่งเจิ้งพาตนมาพักที่โรงเตี๊ยม แต่ก็ยอมกัดฟันอดทนต่อสิ่งนั้น เพื่อให้จ้าวหย่งเจิ้งช่วยคนของนางออกมา

"เจ้าพักผ่อนเถอะ ช่วงนี้อย่าออกไปไหนล่ะ" เมื่อสั่งลาแล้วจ้าวหย่งเจิ้งคิดจะรีบรุดกลับตำหนัก แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวออกจากห้องกับถูกรั้งแขนไว้

จ้าวหย่งเจิ้งมุ่นคิ้วหันไปมองนางอย่างไม่พอใจนัก

"มีเหตุใดถึงยังรั้งข้าไว้"

"คุณชาย ได้โปรดช่วยคนของข้าด้วย" นางปล่อยมือจากแขนของจ้าวหย่งเจิ้งทั้งยังคุกเข่าขอร้องทั้งน้ำตา ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนานักหากไม่เคยรู้จักนางต้องบอกว่าได้ว่านางน่าสงสารนัก

"เจ้าเลิกเล่นละครตบตาข้าเสียที ข้าไม่ได้โง่ขนาดมองไม่ออกว่าเจ้าเสแสร้งหรือไม่ ข้าอาจจะช่วยเจ้า หากเจ้ามีความจริงใจอยู่บ้าง" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาในตาจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์ ว่านเสี่ยวหลิงชะงักค้าง ก่อนลุกขึ้นยืนมองจ้าวหย่งเจิ้งด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง

"แต่เรื่องที่ข้าบอกเป็นเรื่องจริง หากท่านไม่เชื่อข้าก็จนใจ" นางปรับเปลี่ยนท่าทีในการพูดใหม่แฝงให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของนางมากขึ้น

"ข้าเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดงั้นเหรอ"

"นั่นมันเรื่องของท่าน เจ้าปีศาจนั่นจะถูกกำจัดในอีกไม่นานท่านคอยดู"

"เจ้าหมายถึงใคร"

"ก็คนที่อยู่เคียงข้างใกล้ชิดท่านมากที่สุดไงเล่า ระวังไว้ให้ดีเถอะ" นางเอ่ยเสียงเรียบแต่คล้ายข่มขู่เพื่อให้จ้าวหย่งเจิ้งช่วยตน

"นี่ เจ้ากล้าขู่ข้า" น้ำเสียงติดหงุดหงิดบ่งบอกถึงความไม่พอใจของจ้าวหย่งเจิ้ง ยกมือขึ้นชี้หน้านางอย่างสั่นๆ

"ใครจะกล้ากล้าขู่ท่านได้"

"นางจิ้งจอก เจ้า...ได้ ข้าจะช่วยเจ้า" มือที่ชี้อยู่ลดลงเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่น

"ขอบคุณ คุณชายหย่งเจิ้ง" นางคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะมองจ้าวหย่งเจิ้งอย่างพึงพอใจ

"ใครเป็นคนจับพวกของเจ้าไป"

"จ้าว-หย่ง-เฝิง" นางเอ่ยชื่อออกมาทีละคำเพื่อเรียกความสนใจจากจ้าวหย่งเจิ้ง

"เป็นไปไม่ได้" เสียงพึมพำเบาๆอย่างไม่ได้ใจ ทำให้วาานเสี่ยวหลิงต้องย้ำว่าสิ่งที่นางพูดคือเรื่องจริง

"จวนหลังที่อยู่นอกเมือง ที่นั่นพวกของข้าถูกคุมขังไว้" นางเอ่ยเสียงเรียบไม่มีท่าทางร้อนใจ

จ้าวหย่งเจิ้งนิ่งเงียบ คล้ายอยู่ในภวังค์ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าน้องชายต่างมารดาจะกระทำการเช่นนี้ แม้จ้าวหย่งเฝิงจะใจร้อนเอาแต่ใจไปบ้างแต่ไม่ถึงขนาดกักขังคนไว้ใช้ประโยชน์เป็นแน่

"ท่านไม่เชื่อข้าสินะ" นางถามจึ้นเมื่อเห็นสีหน้าสับสนของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าขอตัว หากเป็นเรื่องจริงข้าจะช่วยเจ้า ข้าขอสืบเรื่องนี้ก่อน" พูดจบจึงเดินจากไปโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงใดๆ

ตำหนักจิงเหรินกง

ตูม!!! ซ่า!!!

เสียงระเบิดดังสนั่น น้ำในสระบัวแตกกระจายด้วยเพลิงอารมณ์ของเหม่ยฟาง
ทั้งยังเกิดเสียงระเบิดอย่างต่อเนื่องจนน้ำแทบเหือดแห้งสระบัว เหล่าขันที นางกำนัล ต่างพากันแตกตื่น อวี๋เหวินเต๋อเห็นว่าหากขืนปล่อยให้เหม่ยฟางระบายอารมณ์อยู่เช่นนี้ ต้องเป็นเหตุให้ถึงหูองค์ฮ่องเต้เป็นแน่จึงรีบเข้าห้ามปรามแล้วเหล่าขันที นางกำนัล ที่ยืนมุงดูให้ออกไป

"เจ้าจะฆ่าปลาให้หมดสระเลยหรือไร"

"อย่ามายุ่ง ข้ากำลังหงุดหงิด" เหม่ยฟางหันไปมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างหงุดหงิด

"เจ้าไปหงุดหงิดเรื่องอะไรมาถึงได้มาระบายอารมณ์กับสระบัว กับพวกปลาที่นอนดิ้นอยู่บนพื้นเช่นนี้"

"ก็ นางจิ้งจอกนั่น มันว่าข้า"

"นางจิ้งจอก?" อวี๋เหวินเต๋อทวนคำยังสงสัย

"ก็นางจิ้งจอกว่านเสี่ยวหลิงน่ะสิ ไม่รู้ว่าโผล่ที่นี่ได้อย่างไร" 

"อ๋อ...ไม่น่าเชื่อว่านางจะดั้นด้นมาถึงนี่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเสัยงเรัยบคล้ายกับไม่ติดใจอะไร

"ก็ใช่สิ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่านางยังกล้าโผลาหน้ามาอีก เจ็บใจนัก"

"ว่าแต่เจ้าบอก นางว่าอะไรเจ้านะ"

"ก็...นางว่าข้าเป็นปีศาจ ข้าเหมือนปีศาจตรงไหนกัน" เหม่ยฟางลังเลที่จะพูด ก่อนจะเอ่ยตอบไปพร้อมคำถามที่ทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องหัวเราะออกมา

"อุ๊บ ฮ่าๆ เจ้าบอกว่านางว่าเป็นปีศาจงั้นหรือ ฮ่าๆ"

"เจ้าหัวเราะอะไร" เหม่ยฟางมุ่ยหน้าอย่างไม่พอใจเมื่อถูกหัวเราะ

"ก็เจ้าน่ะ เหมือนปีศาจจริงๆนี่นา ฮ่าๆ"

"อวี๋เหวินเต๋อ!!!" เหม่ยฟางแผดเสียงอันดังใส่ด้วยเรียกชื่อคนที่บอกตนเหมือนปีศาจ

"ฮ่าๆ ก็ตอนที่เจ้าโมโห ทำลายสระบัวกับปลาในสระ เจ้ามันปีศาจชัดๆ ฮ่าๆ" อวี๋เหวินเต๋อยกมือกุมท้องเพราะตอนนี้เขาหัวเราะเสียจนเจ็บท้องไปหมด

"เจ้า ก็อีกคน ทั้งหย่งเจิ้ง ทั้งเจ้า ต่างหัวเราะข้า เห็นข้าเป็นปีศาจจริงๆใช่ไหม ข้าจะไม่คุยกับพวกเจ้าแล้ว" เหม่ยฟางคิดน้อยใจ จึงหันหลังให้อวี๋เหวินเต๋อการใช้วิชาตัวเบาสะกิดปลายเท้ากระโดดข้ามกำแพงหนีหายไป อวี๋เหวินเต๋อยืนมองด้วยความรู้สึกผิดที่ตนไปหัวเราะ ทั้งยังพูดจาไม่เข้าเรื่องกับเหม่ยฟาง จนเหม่ยฟางต้องหนีไป

เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งกลับมา อวี๋เหวินเต๋อรีบเข้ากราบทูลไปตามจริงว่า ตนเป็นคนทำให้เหม่ยฟางหนีหายไป แต่จ้าวหย่งเจิ้งกับไม่ถือโทษโกรธอวี๋เหวินเต๋อคนเดียวแต่รวมถึงเขาด้วยที่ทำให้อีกฝ่ายน้อยใจ

"โธ่ เหม่ยฟาง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าเสียใจ"

"องค์ชายรอง ข้าจะออกตามหาเหม่ยฟางเองพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อออกตัว

"ไม่ต้อง ข้ามีงานอื่นให้เจ้าไปทำ" จ้าวหย่งเจิ้งยกมือขึ้นห้าม

"งานอะไรพะย่ะค่ะ"

"ไปสืบเรื่องหนึ่งที่จวนหลังเล็กนอกเมือง แล้วกลับมารายงานข้า"

"จวนขององค์ชายสามนี่พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อท้วงขึ้นเมื่อรู้ว่าที่นั่นเป็นที่ของใคร

"ทำตามที่ข้าสั่ง"

"น้อมรับบัญชา" เมื่อรับคำสั่งแล้วจึงลังเลว่าจะไปดีหรือไม่ไปดีดิวยเรื่องข้าเหม่ยฟางาทำให้เขากังวล

"เจ้าลังเลอะไร ใยยังไม่ไปอีก" จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุท่าทางยึกยักของอวี๋เหวินเต๋อจึงถามขึ้น

"คือว่า แล้วเหม่ยฟางล่ะองค์ชาย"

"เรื่องนั้นข้าจัดการเอง ข้าเองก็มีส่วนเช่นกันที่ทำให้เขาต้องเสียใจจนหนีไป" สายตาแสดงความรู้สึกผิดมองไปทางหน้าต่างของจ้าวหย้งเจิ้งทำให้อวี๋เหวินเต๋อยอมล่าถอยออกไป

"ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยขอตัว"

"ทำไมเกิดเรื่องเช่นนี้ได้นะ" จ้าวหย่งเจิ้งพึมพำกับตัวเอง เขาเดินออกจากห้อง 

"ข้าควรไปตามหาเจ้าที่ไหนกันนะฟางเอ๋อร์ โอ๊ย!" เขารำพึงรำพันออก ก่อนมีภาพภาพหนึ่งฉายย้อนเข้ามาในหัวเขา

ภาพของชายหนุ่มหน้าตาน่ารักคนเดิมแต่งกายชุดแปลกตาชายหนุ่มคนนั้นท่าทาง คล้ายคนเมาเหล้า เดินประคองเคียงคู่กับชายอีกคนซึ่งเขาคิดว่าคนคนนั้นคือเขา ทั้งคู่ ทั้งคู่มายืนอยู่ที่ พาหนะรูปร่างแปลกๆคล้ายรถม้าแต่ไม่มีม้าภาพที่ชายหนุ่มน่าตาน่ารักมองเขาด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ ทำให้เขาเจ็บหนึบไปทั้งหัวใจ เขาทั้งคล้ายกับมีปัญหากัน ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักเข้าไปนั่งด้านในเจ้าสิ่งนั้น ก่อนเจ้าสิ่งนั้นเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว เขาได้แต่ยืนมองด้วยตาอาลัยอาวรณ์ ภาพนั้นฉายซ้ำจนเขาจำได้ขึ้นใจ

"นี่มันภาพอะไรกัน คนพวกนั้นเป็นใคร ใยข้าถึงเห็นภาพเหล่านี้" จ้าวหย่งเจิ้งกุมขมับตนเองก่อนล้มหมดสติไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหม่ยฟางที่แอบอยู่บนขื่อเพดานมองเห็นเข้า ความจริงเหม่ยฟางไม่ได้หายไปไหนไกลกว่าตำหนักจิงเหรินกงแม้แต่น้อย เขาแค่แอบอยู่บนขื่อเพดานคอยลอบมองสีหน้าจ้าวหย่งเจิ้งกับอวี๋เหวินเต๋อที่แสดงความสำนึกผิดแก่ตน แต่ดูเหมือนจ้าวหย่งเจิ้งได้ใช้อวี๋เหวินเต๋อออกไปทำงาน เขาจึงได้แต่นั่งมองใบหน้าอมทุกข์ของจ้าวหย่งเจิ้งเพียงคนเดียว แต่เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของคนด้านล่างทั้งยังกุมศีรษะคล้ายคนปวดหัวแล้วล้มตึงลงไปมีเหรอที่เจ้าตัวจะไม่ลงมาดู

"หย่งเจิ้ง หย่งเจิ้งเจ้าเป็นอะไร แย่จริง ทั้งที่ข้าต้องได้รับการปรนนิบัติจากเจ้า แล้วใยข้าต้องมาคอยดูแลเจ้าด้วย" แม้ปากจะพูดเช่นนั้นแต่ใจกับร้อนรนเสียยิ่งกว่าไฟ เหม่ยฟางพยุงร่างไร้สติของจ้าวหย่งเจิ้งเข้าไปด้านใน เมื่อจัดท่าทางการนอนให้แล้วจึงรีบหาผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวให้

"เสี่ยวจื่อหยี่ เสี่ยวจื่อหยี่" เหม่ยฟางร้องเรียกขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ให้เข้ามาด้านใน

"คุณชายมีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่เปิดประตูก้าวเข้ามาอย่างว่องไว โค้งศรีษะให้ความเคารพแก่เหม่ยฟาง

"ไปตามหมอหลวงมาดูอาการของหย่งเจิ้งที" เสียงร้อนใจของเหม่ยฟางทำให้เสี่ยวจื่อหยี่รีบออกไปทำตามคำสั่งอย่างว่องไว ขณะที่กำลังร้อนใจนั่งไม่อยู่ที่ เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น

"เจ้าจะร้อนใจไปใย น้ำตาไข่มุกของเจ้าเพียงเม็ดเดียวก็สามารถช่วยเขาได้แล้ว" เหม่ยฟางหันไปตามเสียงคนที่ปรากฏตัวอย่างไร้ร่องรอยเหมือนภูติผีวิญญาณ เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับร่างไร้สติของจ้าวหย่งเจิ้งแทน

"เจ้าอย่าเมินข้าสิ ข้าอุตส่าห์นำยามาให้ ทั้งยังเอาข่าวเกี่ยวกับอีกโลกมาบอกเจ้า เจ้าไม่อยากได้ ไม่อยากฟังงั้นสิ ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็ตีหน้าเศร้าหันหลังให้เหม่ยฟาง

"ใครใช้ให้เจ้าหายหัวไปเงียบกันเล่า"

"ข้าแค่ไปนำข่าวที่เจ้าต้องดีใจมาบอกเจ้าไวเล่า" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่นยิ้มๆ เพื่อมองดูปฏิกิริยาจองเหม่ยฟาง

"เรื่องอะไร" และนั่นก็เป็นสิ่งที่ตาเฒ่าเอี๊ยคาดการไว้ไม่มีผิด

"เรื่องของหย่งเจิ้งในอีกโลกหนึ่ง"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2017 11:18:16 โดย Vammas »

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
รำคาญนังจิ้งจอกนั่นอ่าาา

ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
แรกๆก็สนุกดี  ชอบเลยแหละ  แต่ตัวละครมันให้ความรู้สึกแปลกๆโดยเฉพาะ  มังกรเขียว  หรืองูเขียว  ทำไหมถึงเด็กขนาดนี้  ถึงจะไม่ได้ลบความจำ  แต่ก็เด็กจนเกินไป  มันให้ความรู้สึกว่า  ไม่สำควรเป็นมังกรเขียวเลย  ไม่มีความฉลาด  เก็บอารมณ์ก็ไม่ได้  แถมเรื่องพลังก็ดูแปลกๆ  เป็นถึงมังกรมันน่าจะมีอะไรดีกว่าที่เป็นอยู่  แถมเสียน้ำตาบ่อยมาก  ก็รู้อยู่ว่ามันจะสร้างหายะนะให้ตนเองกับคนใกล้ตัว  แต่ก็ยังร้องไม่หยุด  เรื่องความรัก  ถ้าที่อ่านมาหลายเรื่อง  มังกรเป็นอะไรที่มีฤทธิ์เยอะ  ยิ่งเป็นมังกรเทพแล้วด้วย  ขนาดเทพสอนให้ถึงจะเป็นคนจากยุคปัจจุบัน  มันก็น่าจะมีดีกว่านี้  เรื่องความรักก็ด้วย  เข้าใจว่ามีสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้  แต่ก็น่าจะถามให้เขาแน่ชัดไปเลย  การจากไปแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการจะถูกปฎิเสธว่าเขาไม่รักเลย  แต่ก็เข้าใจรักมากแต่ตาก็บออมาก  เรื่องความรู้สึกของตัวละคร  อ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้  ยังงงอยู่เลยว่าตกลงเขาคิดยังไงกันแน่  จะแน่ใจอยู่ไม่กี่คน  ตัวร้ายนางจิ้งจอกที่แสดงอารมณ์ได้ชัดเจนกว่าใคร  อ่านแล้วเขาใจในตัวนางเลย  ส่วนพระเอก  กับรองพระเอกกันดูงงๆ  ถ้าเรื่องนี้เกาดีๆ  เป็นเรื่องหนึงที่จะประทับใจมากเรื่องนึง  ถ้าทำเป็นหนังสือ  คงอยากซื้อเก็บไว้อ่าน  แต่ตอนนี้การดำเนินเรื่องมันแปลกๆ

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 15 องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าไม่อยากฟังเรื่องของหย่งเจิ้งในอีกโลกหนึ่งหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยทิ้งท้ายคำถามก่อนคลี่ยิ้มออกมา

"อยากรู้สิ" เหม่ยฟางตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาย่อมอยากรู้เรื่องของหย่งเจิ้งอยู่แล้ว

"ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งจงพาจ้าวหย่งเจิ้งไปยังหุบเขาเร้นใจก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ข้ามาเพื่อบอกเจ้าเพียงเท่านึ้" พูดจบตาเฒ่าเอี๊ยจอมเจ้าเล่ห์ก็ทิ้งความใคร่รู้ของเหม่ยฟาง แล้วจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำนอกจากให้เขาไปที่หุบเขาเร้นใจ

"แล้วไอ้หุบเขาเร้นใจนั่นอยู่ที่ใดกัน" เหม่ยฟางพึมพำออกมา

"อืม...ปวด ปวดหัว" เสียงครางบางเบาของจ้าวหย่งเจิ้งเรียกสติของเหม่ยฟางให้ไปสนใจคนที่นอนป่วย

"อ๊ะ! หย่งเจิ้ง เจ้าเป็นอย่างไรบาง หย่งเจิ้ง" เหม่ยฟางส่งเสียงเรียกคนที่ส่งเสียงบอกปวดหัว

"ฟางเอ๋อร์ นั่นเจ้าเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งค่อยๆลืมตาขึ้นมองหน้าเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อตน

"เป็นข้าเอง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"

"ข้า ปวดหัวนิดหน่อย แต่พอเห็นหน้าเจ้าข้าก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นนั่ง ทั้งยังคว้ามือเหม่ยฟางขึ้นมาจับไว้แนบอก

"ท่านยังจะทำปากดีอีกเหรอ ปึก!" เหม่ยฟางใช้มือที่ถูกจับทุบหน้าอกของจ้าวหย่งเจิ้งไปเบาๆ

"ข้าพูดจริงๆนะ ข้าดีใจที่เจ้าไม่หนีข้าไปไหน" จ้าวหย่งเจิ้งคว้ามือที่ทุบอกตนเข้ามาแนบอกอีกครั้ง

"ท่านไม่คิดว่าข้าเป็นปีศาจหรอกเหรอ"

"แม้เจ้าเป็นปีศาจข้า...ก็ไม่คิดรังเกียจในตัวเจ้าดีด้วยซ้ำไปจะได้ไม่มีใครกล้ามายุ่งวุ่นวายกับเจ้าอีก"

"ท่านคิดเช่นนั้นจริงๆนะ"

"แน่นอน ทุกคำที่เอ่ยออกมาล้วนมาจากใจของข้า ในใจของข้า..." เพียงคำพูดหวานหูก็ทำให้ใบหน้าของเหม่ยฟางแดงปลั่งดั่งลูกตำลึง จนต้องก้มหน้าซ่อนความเขินอายเอาไว้ ในขณะที่จ้าวหย่งเจิ้งจะเอ่ยคำใดต่อไปประตูห้องกับถูกเปิดออกอย่างรีบร้อนโดยไม่มีการขออนุญาติ

"พี่รองข้าได้ยินว่าท่านล้มป่วยข้าจึงมาเยี่ยม ข้าพาหมอหลวงมาดูอาการท่านเองเลยนะ อ๊ะ!" จ้าวหย่งฟงองค์ชายห้า ผู้เป็นน้องเล็กสุดเป็นคนเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา ด้วยความที่ได้ยินว่าพี่ชายของตนล้มป่วยจากปากขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ แต่เมื่อเห็นพี่ชายมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรก็ถึงกับผงะถอยหลัง

"ข้ามารบกวนพี่รองสินะ" จ้าวหย่งฟงยิ้มแหยให้พี่ชายตน ได้แต่ใช้มือเกาศรีษะแก้เก้อ

"องค์ชายห้าเชิญหมอหลวงเข้ามาเถอะ" เหม่ยฟางเอ่ยปากแทน มองใบหน้าของจ้าวหย่งฟงแล้วคลี่ยิ้มอ่อนหวานมาให้

'ห้ามยิ้มนะ' เสียงกระซิบของคนข้างกายทำให้เหม่ยฟางหันไปมองด้วยความสงสัย

'ทำไมล่ะ' 

'ข้าไม่อยากให้เจ้ายิ้มให้ผู้อื่นนอกจากข้า' จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำแม้จะเป็นเพัยงแค่คำกระซิบกับจริงจังจนทำให้เหม่ยฟางเก้อเขินได้

"พี่รองท่านไม่เป็นไรใช่ไหม ทำไมถึงล้มป่วยได้เล่า ปกติท่านแข็งแรงจะตาย" จ้าวหย่งฟงเดินเข้ามาหยุดยืนข้างเตียงแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

"ข้าไม่ได้เจ็บป่วยอะไรมากมายเสียหน่อย"

"ท่านยังทำเป็นปากดีอีกนะ ข้าห่วงท่านมากรู้ไหม" เหม่ยฟางเอ่ยออกไปไม่ทันคิดจนถูกสายตาหวานเชื่อมของจ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองอย่างเอ็นดู

"เจ้าห่วงข้าเหรอ"

"ห่วงสิ"

"คือว่านะ พี่รองหากจะพลอดรักกัน ให้ข้าไปก่อนได้ไหม" จ้าวหย่งฟงใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา

"พูดจาเหลวไหล ฟางเอ๋อร์เป็นสหายสนิทของข้าต่างหาก" จ้าวหย่งเจิ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"สหาย แต่ทำไมพี่รองมองเขาอย่างกับ..." จ้าวหย่งฟงอยากจะพูดแต่ก็ละอายปากที่จะพูดออกไปจึงเอ่ยถามเรื่องอื่นแทน

"ว่าแต่ องครักษ์อวี๋ไปไหนหรือท่านพี่" จ้าวหย่งฟงชะเง้อขะแง้มมองหาองครักษ์คู่กายของพี่ชายตน

"ข้าใช้เขาออกไปทำงาน อาจกลับมาวันพรุ่ง" จ้าวหย่งเจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ

"งั้นเหรอ" น้ำเสียงแห่งความผิดหวังของจ้าวหย่งฟงกับไม่รอดพ้นหูตาของเหม่ยฟางไปได้

"ไม่ทราบว่าองค์ชายห้ามีเรื่องอะไรกับพี่อวี๋หรือพะย่ะค่ะ"

"เอ๊ะ! เอ่อ ปะ เปล่านี่ ข้าแค่ถามถึงเฉยๆ ว่าแต่เจ้าเถอะเป็นอะไรคนรักของท่านพี่งั้นสิ" จ้าวหย่งฟงตอบเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องมาถามเหม่ยฟางแทน เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนจึงเอ่ยถามออกไป

"อ๊ะ จริงสิ เจ้ายังไม่เคยพบฟางเอ๋อร์สินะ" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เอ่ยขึ้นแทน

"ข้ามีนามว่า เหม่ยฟาง พะย่ะค่ะ ข้าเป็นสหายกับองค์ชายรอง ขออภัยที่ข้าทำให้ท่านเข้าใจผิด อีกอย่างข้าเป็นบุรุษคงเป็นคนรักให้องค์ชายรองผู้สูงศักดิ์คงไม่ได้" เหม่ยฟางตอบเสียงดังฉะฉานไม่การลังเล

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ" "ทำไมจะไม่ได้!!!" เสียงประสานของสองพี่น้องดังขึ้นพร้อมกัน เสียงของจ้าวหย่งฟงนั้นอยู่ในระดับปกติแต่เสียงที่แทรกขึ้นมาของจ้าวหย่งเจิ้งกับดังยิ่งกว่า

"ท่านว่าอะไรนะ" เหม่ยฟางหันไปถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนได้ยิน

"ข้าแค่บอกว่าการมีคนรักเป็นบุรุษเพศไม่ใช่เรื่องแปลก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยบอกด้วยใบหน้าจริงจัง

"ใช่แล้วล่ะเหม่ยฟาง ขนาดเสด็จพ่อยังมีฮองเฮาเป็นบุรุษทั้งยังให้กำเนิดพี่ใหญ่กับพี่รองอีก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก" เป็นจ้าวหย่งฟงที่กล่าวอธิบายว่าจ้าวหย่งเจิ้งกับจ้าวหย่งเฟิ้ง เกิดจากฮองเฮามังกรเขียวที่เป็นบุรุษ

"ไหนว่า ฮองเฮาจะมีโอรสมังกรได้เพียงองค์เดียว แล้วใยองค์ใหญ่กับองค์ชายรองจึงเกิดจากฮองเฮาที่เป็นมังกรเขียว"

"นั่นเพราะข้ากับพี่ใหญ่เป็นฝาแฝดกัน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าไม่มีความสุขสักเท่าไหร่นัก

"ฝาแฝด?"

"ใช่แล้วล่ะ เป็นฝาแฝดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ข้าได้ยินมาว่า แม้จะเป็นฝาแฝดแต่พี่ใหญ่กับเกิดเป็นทารกเด็กธรรมดา แต่พี่รองกับมีร่างเป็นมังกรทอง ด้วยเหตุนี้กระมังรูปร่างหน้าของพี่ใหญ่กับพี่รองจึงไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย" เป็นจ้าวหย่งฟงน้องเล็กสุดเป็นคนเอ่ยปากเล่าให้ฟัง

"ถ้าเช่นนั้นคนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้คงต้องเป็นท่านใช่หรือไม่" เหม่ยฟางหันไปถามความเห็นกับจ้าวหย่งเจิ้ง จ้าวหย่งเจิ้งจึงได้แต่พยักหน้ารับ แต่สิ่งที่ตนไม่เข้าใจอย่างยิ่งคือการที่จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยบอกขอบัลลังก์กับตน ทั้งๆที่ บัลลังก์ย่อมเป็นของตนอยู่แล้ว

"เจ้าอยากถามข้าสินะ ว่าทำไมข้าจึงอยากได้บัลลังก์"

"เรื่องนั้นข้ารู้นะ" จ้าวหย่งฟงยกมือขึ้น ดิวยความที่ตนก็อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ด้วย

"เงียบ เรื่องข้าของข้าข้าจะเล่าเอง" จ้าวหย่งฟงก้มหน้าลงด้วยความกระดากอาย

"ขออภัยพี่รอง" จ้าวหย่งเจิ้งปัดมือไปมาเป็นการบอกว่า 'ช่างเถอะ'

"แต่ก่อนจะเล่าเรื่องให้ข้าฟังท่านให้หมอหลวงตรวจอาการก่อนดีไหม" เหม่ยฟางเอ่ยขัดขึ้น เขาอยากให้จ้าวหย่งเจิ้งได้รับการตรวจอาการก่อนที่จะพูดเรื่องอื่น

"เจ้าเป็นห่วงข้าสินะ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่เหม่ยฟาง เหม่ยฟางจึงได้แต่พยักหน้ารับ จนจ้าวหย่งฟงต้องกระแอมออกมาว่าเขายังอยู่ที่นี่

"ฮะ แฮ่ม เกรงใจข้าบ้าง เดี๋ยวข้าไปตามหมอหลวงที่รออยู่ด้านนอกมาให้ละกัน" ว่าแล้วจึงเดินออกไปตามหมอมาให้ จ้าวหย่งฟงออกไปได้ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมหมอหลวง หมอหลวงตรวจอาการเป็นที่เรียบร้อยจึงกล่าวว่า

"องค์ชายรองพลานามัยแข็งแรงดีพะย่ะค่ะ"

"ถ้าแข็งแรงใยถึงล้มหมดสติ ทั้งยังบ่นปวดหัวอีก" เมื่อถูกจ้าวหย่งฟงเอ่ยถาม หมอหลวงจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมา ถึงเป็นหมอหลวงแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอาการปวดหัวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

"ช่างเถอะ เจ้ากลับไปได้แล้ว" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่ออกปากไล่หมอหลวงให้กลับไป

"ใช่ เจ้ากลับไปได้แล้ว พี่รองข้าเป็นอะไรก็ไม่ยังรู้ ไม่น่าเป็นหมอหลวงเลย" จ้าวหย่งฟงกล่าวตำหนิหมอหลวงด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย" หมอหลวงคุกเข่าโขกศีรษะลงตรงหน้าพวกเขาทั้งร้องขอความตายจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องเอ่ยปากไล่อีกครั้ง

"กลับไปซะ ทั้งเจ้า ทั้งหมอหลวง" 

"พี่รอง!!!" จ้าวหย่งฟงร้องโอดครวญไม่อยากกลับ

"กลับไป!!!" เสียงดังเฉียบขาด ทำให้จ้าวหย่งฟงต้องจำใจเดินทางกลับ มั้งนี้ยังไม่วายหันไปถลึงตาใส่หมอหลวงอีกครั้ง

ระหว่างทางกลับตำหนักของตน จ้าวหย่งฟงกำลังจะเดินเตร่ที่อุทยานต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นสระบัวที่สวยงาม พังยับเยิน ไม่มีแม้แต่น้ำสักหยดหรือต้นบัวสักต้น 

"อะไรกันเนี่ย ทำไมสระบัวถึงได้กลายเป็นเช่นนี้"   

"นั่นเพราะเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยพะย่ะค่ะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

"อุบัติเหตุ? มันไม่นิดแล้วนะ" จ้าวหย่งฟงหันกลับไปหาเจเาของคำพูดนั้นเพื่อโต้แย้ง แต่ต้องชะงักเมื่อคนคนนั้นคืออวี๋เหวินเต๋อ

"ข้าน้อยให้คนมาจัดการสวนให้กับสระบัวให้กลับสภาพเดิมแล้วพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อคุกเข่าทำความเคารพผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าตน

"ลุกขึ้นเถอะ องครักษ์อวี๋ท่านทำงานให้พี่รองเสร็จแล้วหรือ"

"พะย่ะค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยทูลลา ต้องเข้าเฝ้าองค์ชายรองก่อน"

"ไปเถอะ ข้าคงรั้งเจ้าไว้ไม่ได้หรอก" จ้าวหย่งฟงเอ่ยปากให้อวี๋เหวินเต๋อไปได้ แต่มีคำพูดบางเบาเอ่ยตามให้ตนได้ยินเพียงคนเดียว

"เมื่อครู่องค์ชายได้พูดอะไรหรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อที่กำลังจะเดินผ่านไปคล้ายได้ยินเสียงพูดอะไรสักอย่างจึงหันไปถามจ้าวหย่งฟง

"เอ๊ะ! คือ เปล่านี่ ข้าไม่ได้เอ่ยอะไรเลยนะ" จ้าวหย่งฟงรีบปฏิเสธทันทีที่ถูกถามขึ้น

'หูดีไปแล้วนะ' จ้าวหย่งฟงคิดในใจพลางกลอกสายตาไปมา

"ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยทูลลา"

"เจ้าไปเถอะ ข้าจะกลับเช่นกัน ที่นี่ไม่มีอะไรน่ารื่นรมณ์แล้วนี่" ว่าจบจึงเดินจากไป อวี๋เหวินเต๋อเห็นว่าจ้าวหย่งฟงกลับไปแล้วจึงเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อกราบทูลสิ่งที่ได้ไปสืบข่าวมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"องค์ชายข้าน้อยกลับมาแล้วพะย่ะค่ะ"

แอ๊ด! เสียงประตูถูกเปิดจากด้านใน โดยมีเหม่ยฟางเป็นคนมาเปิดประตูให้ ใบหน้าของเหม่ยฟางที่เห็นเขากลับบูดบึ้ง ไม่แม้จะยิ้มให้เขาแม้แต่น้อย

'เหม่ยฟาง เจ้ายังโกรธข้าอยู่เหรอ' แม้อยากจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นก็ต้องทนกลืนคำทั้งหมดลงคอ เพื่อรายงานสิ่งที่ตนไปสืบข่าวมาให้ผู้เป็นนาย

"มีอะไรก็ว่ามา" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบ

"เรียนคุณชายเป็นดั่งที่คุณชายบอก มีคน3คน ถูกกักขังอยู่ในจวนท้ายเมืองพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อทูลสิ่งที่ตนไปสืบข่าวมา ตอนแรกเขาเกือบเข้าไปแทบไม่ได้ เพราะมีเวรยามแน่นหนาเสียจนคิดว่าภายในจวนมีของมีค่าจนประเมินไม่ได้ กว่าจะลอบเข้าไปด้านในได้เล่นเอา เลือดตาแทบกระเด็น แม้งานจะหินเพียงเขาย่อมน้อมกายถวายชีวิตให้ หากไม่ได้องค์ชายรองป่านนี้เขาคงตกตายไป หลังจากถูกท่านพ่อพาตัวมาจากเจียงหนานขึ้นเหนือจนมาถึงที่นี่ เขากับท่านพ่อเกือบถูกโจรป่าสังหาร โชคดีที่คุณชายรองผ่านมาช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเขาเฉกเช่นทุกวันนี้

"ถ้าเช่นนั้น คุณชายจะให้ทำเช่นไรต่อไป

"หาคนมีฝีมือไปช่วยคนพวกนั้นออกมา"

"พะย่ะค่ะ"

"เจ้าออกไปได้แล้ว ข้ามีเรื่องต้องคุยกับฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุเกตุเห็นแววตาที่ไม่ค่อยชอบใจจึงไล่อวี๋เหวินเต๋อออกไป อวี๋เหวินเต๋อจึงถอยหลังออกจากประตูเดินจากไปด้วยสายตายังคงจับจ้องเหม่ยฟางอย่างไม่สบายใจเมื่ออีกฝ่ายยังโกรธตนอยู่

"ทำไมต้องช่วย" เป็นเสียงเหม่ยฟางที่เอ่ยถาม จ้าวหย่งเจิ้งหันไปมองผู้ที่ถามขึ้นแต่กลับไม่ตอบสิ่งใดให้กระจ่าง

"ทั้งๆที่พวกนางคิดจะสังหารข้า แล้วทำไม ยังคิดช่วยพวกนางอีก" คำพูดมากมายในใจของเหม่ยฟางเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่ชอบใจ

"ข้าแค่ไม่อยากก่อกรรมกับใครหากช่วยได้เราจะช่วย" 

"เจ้าใจดีเกินไปแล้ว" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา

"ข้าไม่ได้ใจดีอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรเจ้าได้ เจ้าเชื่อข้าสิ หากช่วยพวกนางได้ข้าจะส่งพวกนางออกจากเมือง เจ้าว่าดีไหม" น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยปลอบประโลมคนอารมณ์ร้อน

"เจ้าระวังนางจะแว้งมากัดเจ้า นางก็เหมือนอสรพิษดีๆนี่เอง" เหม่ยฟางออกปากเตือนอีกครั้ง "ข้าจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้น เจ้าวางใจเถอะ"

"ข้าวางใจท่านได้ แต่ข้าไม่วางใจนาง ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าห่วงตัวเองมากกว่า ห่วงท่านเสียอีก เฮ้อ~"

"ฮ่าๆ เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ข้าคิดว่าเจ้าห่วงข้าเสียอีก" จ้าวหย่งเจิ้งระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความอารมณ์ดี

"แล้วจะเล่าเรื่องของท่านต่อเมื่อไหร่" เหม่ยฟางหันมาเปลี่ยนเรื่องคุย หากคุยเรื่องนางจิ้งจอกรังแต่จะเปลืองสมองเปล่าๆ

"เจ้าสนใจเรื่องของข้าขนาดนั้นเชียว" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้ม

"แน่นอน" ดวงตาเป็นประกายสุกใสมองมาอย่างใจจดจ่อ

"เฮ้อ~ ข้าไมามีอารมณ์จะเล่าแล้วสิ ไว้ข้าเล่าให้เจ้าฟังวันอื่นแล้วกัน วันนี้นอนเถอะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เจ้าอย่าทรมานคนป่วยสิ" ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เหม่ยฟางเห็นอีกฝ่ายเล่นแง่ไม่ยอมบอกเรื่องราวของตนต่อจึงเดินไปนั่งข้างเตียงเขย่าตัวคนที่นอนให้ลุกขึ้นมาเล่าเรื่องต่อ

"นี่ นี่ เจ้าอย่ามาเจ้าเล่ห์กับข้านะ ลุกมาเดี๋ยวนี้ นี่ นี่ อ๊ะ เอ้ย!" แต่สิ่งที่ไม่คิดคือเรียวแขนใหญ่ของจ้าวหย่งเจิ้งวาดมาโอบตัวของตนให้ลงไปนอนอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ทั้งยังไม่มีท่าทีจะปล่อยเขาง่ายๆอีก

"หย่งเจิ้ง ปล่อยข้านะ" เหม่ยฟางพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่การดิเนรนกับไร้ความหมายเมื่อ จ้าวหย่งเจิ้งโอบกระชับแขนให้กอดร่างของเหม่ยฟางให้แน่นขึ้นทั้งยังพูดขึ้นว่า

"นอน ได้แล้ว ข้าง่วง หากเจ้าไม่นอนข้าจะตีก้นเจ้า"

"หย่งเจิ้งปล่อย ข้าอึดอัด  ปล่อยข้า" เหม่ยฟางที่ไม่ยอมฟังคำพูดนั้น ยังคงดิ้นให้ตนหลุดจากวงแขนที่โอบกอดตน จนมือหนักๆของจ้าวหย่งเจิ้งฟาดเข้าที่ก้นอย่างแรง ถึงสองครั้ง

ผัวะ! ผัวะ!

"โอ๊ย ข้าเจ็บนะ" เหม่ยฟางร้องประท้วงด้วยความเจ็บ

"ไม่อยากโดนตีก็นอนนิ่งๆ" จ้าวหย่งเจิ้งร้องเตือนเสียงติดหงุดหงิด เพราะตนกำลังจะหลับ 

"เจ้าจะนอนก็นอนไป แต่ข้ายังไม่ง่วงปล่อยข้า ข้าจะกลับห้อง"

"ไม่ ข้าจะกอดตัวเจ้าไว้เช่นนี้ กลิ่นกายเจ้าช่างหอมนัก ทั้งผิวกายยังเย็น นอนกอดแล้วรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก นอนนิ่งๆล่ะข้าจะหลับแล้ว" เสียงงึมงำเอ่ยบอก เหม่ยฟาง นอนตัวแข็งทื่อหลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของคนที่บอกว่ากำลังหลับ

"แล้วจะให้ข้าทนนอนกับเจ้าท่านี้นี้เหรอ แบบนี้ข้าก็นอนไม่หลับกันพอดี" เหม่ยฟางเอ่ยเบาๆกับตนเอง ทั้งยังถอนหายใจเฮือกใหญ่ข่มใจตนให้หลับในอ้อมแขนของจ้าวหย่งเจิ้ง แต่หารู้ไม่ว่าคนที่บอกจะหลับกับหรี่ตาเหลือบมองตนอยู่เช่นกัน

**************************
ขอบบคุณสสำหรับคำติชมนะคะไรท์จะนำไปปรับปรุงแก้ไขนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 18:26:56 โดย Vammas »

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เนื้อเรื่องมันแปลกจริงแหละค่ะ นายเอกเป็นเทพแท้ๆแต่ดูเหมือนอ่อนแอไม่มีพลังอะไรเลยดูคนไม่ค่อยเกรงกลัวทั้งๆที่ตอนนักปราชญ์เล่าก็เล่าแบบยิ่งใหญ่อะ ส่วนพระเอกนี่ก็เหมือนง๊องแง๊งๆเหมือนจะรักจะชอบนายเอกนะแต่ทำไมการกระทำนี่ไม่ชัดเจนเอาซะเลย บางครั้งก็ดูเด็ดขาดสมเป็นองค์ชายบางครั้งก็ไม่เด็ดขาด มีอย่างที่ไหนเจอนักโทษเนรเทศไปช่วยเค้าซะงั้น เหตุผลก็ง่ายๆไม่อยากทำเวรทำกรรม? (หรือเพราะเป็นผู้หญิงแถมเป็นเคยคั่วเลยสงสารว่างั้น?) แล้วไม่สงสารนายเอกเหรอ ก็รู้อยู่ว่าจะมาทำร้ายนายเอก แต่ไปช่วยเค้าซะงั้น งง -*- ขัดใจที่จับนางทำไรนางไม่ได้ซะทีเหมือนนางยิ่งใหญ่มากกกดูไม่กลัวอะไรเลยแม้กระทั่งองค์ชาย ทั้งๆที่จริงๆนางก็แค่นางโลมงะ  :katai1: :katai1:

ปล. จริงๆเลาชอบพล็อตเก่าก่อนเตงรีไรท์มากกว่านะ T_T

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 16 หุบเขาเร้นใจ ตอนต้น

ค่ำคืนนั้นในตำหนักจิงเหรินกง จ้าวหย่งเจิ้ง แม้อยากหลับอย่างปากว่า แต่เมื่อได้นอนเคียงกายกับเหม่ยฟางแล้ว จึงรับรู้ถึงจิตใจอันไม่สงบของตน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายขาวเนียนมันกระตุ้นให้ตนอยากสัมผัส อยากลิ้มรสความหอมหวานนั้นมากขึ้น เขาเข้าใจความรู้สึกของตนแล้วว่าคิดอย่างไรกับคนที่ตนนอนกอด อยากปกป้อง อยากดูแล อยากใกล้ชิดกันมากกว่านี้

"ฟางเอ๋อร์ข้าอยากดูแลเจ้า" แม้เพียงเอ่ยพึมพำแต่ล้วนมาจากใจทั้งสิ้น ความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้มันคือความรู้สึก สิเน่หา เมื่อคิดได้จึงลุกออกจากเตียงเพื่อสงบอารมณ์ไฟปรารถนาในกายตน

'หากยังนอนอยู่เช่นนี้ข้าคงข่มตาหลับไม่ลงแน่ๆ'

เมื่อก้าวเท้าเปิดประตูออกจากห้อง ก็พบ อวี๋เหวินเต๋อกับมาเฝ้ารออยู่แล้ว คล้ายกับมารายงานบางเรื่องที่ตนสั่งการไป

"เจ้ามารอข้านานแล้วหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถาม

"ไม่นานพะย่ะค่ะ ข้าน้อยดำเนินการ ช่วยคนของว่านเสี่ยวหลิง เรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ ตอนนี้ข้าน้อยนำพวกนั้นไปคุมขังเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมเดียวกับว่านเสี่ยวหลิงอยู่"

"เจ้าจับคนเหล่านั้นไปขังอีกงั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเลิกคิ้วมองคนที่ทำเกินคำสั่งตน

"พะย่ะค่ะ หากปล่อยออกมาอาจมาทำร้ายเหม่ยฟางได้"

"นั่นสินะ แต่นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการนะ"

"องค์ชายหมายความว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจ

"อยากตกปลาตัวใหญ่ ย่อมต้องใช้เหยื่อที่พิเศษสิ แม้จะใช้เพียงชื่อก็เถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้มที่แฝงความในเอาไว้

"องค์ชายนางยังไม่ทราบถึงฐานะของพระองค์ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถาม เพราะถ้าว่านเสี่ยวหลิงรู้ถึงฐานะขององค์ชายอาจเรียกร้องอะไรมากขึ้น

"ใช่นางยังไม่ทราบ ข้าแค่อยากเห็นนางเผยหางจิ้งจอกออกมาจนครบจากนั้นก็สังหารนางให้สิ้น" จ้าวหยางเจิ้งเอ่ยเสียงเย็น

"ไหนองค์ชายตรัสว่าไม่อยากเป็นเวรเป็นกรรม" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยความลังเล

"นั่นสินะ เวรกรรมเหล่านั้นให้ข้าเป็นผู้รับดีกว่าไม่ใช่หรือไง ดีกว่าให้มือขาวสะอาดอย่างฟางเอ๋อร์ต้องเปื้อนเลือดคนชั่ว"

"พะย่ะค่ะ" แม้จะรับคำ แต่ยังคงเหลือบมองใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างของผู้เป็นนาย

"เจ้าจงพาคนพวกนั้นไปที่หุบเขาเร้นใจ เพื่อทำตามแผนต่อไป"

"น้อมรับบัญชาพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามหลังคาหายไปหลังจากได้รับคำสั่ง

เช้าวันใหม่อากาศอบอวลด้วยไปด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธ์ในสวน เหม่ยฟางรับรู้ถึงแสงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาจึงค่อยๆเปิดเปิดเปลือกตาออกด้วยท่าทางสะลึมสะลือ หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ จึงเดินไปหาที่นั่งบริเวณสระบัวที่ตอนนี้แห้งขอด ไม่มีน้ำ ไม่มีดอกบัว ไม่มีแม้กระทั่งปลาสวยๆ ด้วยพลังที่ตนซัดระบายอารมณ์ไปตอนโมโหสภาพสระบัวจึงมีสภาพเละเทะเช่นนี้

"ข้าทำให้สระบัวเป็นเช่นนี้หรือเนี่ย น่าสงสารสระบัวจริง ถ้าเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วกัน" ว่าจบเหม่ยฟางก็กำมือชึ้นชิดริมฝีปากกล่าวท่องคาถาบางอย่างจนเกิดแสงสีเขียว แล้วเป่าออกไปยังสระบัว แสงสีเขียวเปล่งประกายวิบวับระยับสวยงามบังเกิดน้ำ ดอกบัว ทั้งยังมีปลาแหวกว่ายเช่นเดิม

"แบบนี้สิถึงจะดี" เหม่ยฟางกล่าวอย่างภูมิใจ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าพลังของตนทำไมถึงได้เพียงน้อยนิดเช่นนี้

"เรื่องทุกอย่างดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ข้าเป็นมังกรเขียวนะทำไมพลังข้าถึง..." เหม่ยฟางบ่นขึ้น พลางเท้าคางมองสระบัวที่ตนได้สร้างขึ้นมาใหม่

"ตาเฒ่าเอี๊ยออกมาคุยกับข้าทีสิ ข้าอยากรู้คำตอบ ท่านจะช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าได้หรือไม่ ตาเฒ่าเอี๊ย" เพียงเอ่ยเรียกชื่อ ตาเฒ่าเอี๊ยก็ปรากฏกายออกมา ทั้งยังมีขวดสุราติดมือมา

"เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้างั้นหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยใบหน้ายิ้มแย้ม

"ข้ากำลังคิดว่าทำไมท่านถึงไม่ให้ข้าใช้พลัง ท่านสั่งห้ามข้ามานานนับสิบปี ให้ใช้พลังเพียงเล็กน้อย เวลาข้าเดือดร้อนทีไร ท่านก็ไม่ค่อยโผล่มาช่วยข้าสักครั้ง" เหม่ยฟางเอ่ยถามออกมา มันเป็นคำถามที่คั่งค้างในใจ นับตั้งแต่ถูกนางจิ้งจอกนั่นวางยา

"นั่นเพราะพลังของเจ้าคือการสร้างไม่ใช่การทำลาย" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม

"ถ้าเช่นนั้นข้าทำไมวันก่อนข้าถึงทำลายสระบัวนี้ได้" เหม่ยฟางพึมพำขึ้นมา

"นั่นเพราะเจ้าโกรธสินะ พลังจึงส่งผลกลายเป็นทำลาย" ตาเผฒ่าเอี๊ยเอ่ยถาม เหม่ยฟางจึงพยักหน้ารับ ตอนนั้นตนรู้สึกโมโหที่ถูกบอกว่าเป็นปีศาจ พลังที่ใช้สร้างจึงกลายเป็นพลังทำลายสินะ เหม่ยฟางพยักหน้าคล้ายรับรู้ถึงบางอย่าง ตาเฒ่าเอี๊ยจึงเอ่ยต่ออีกว่า

"เหม่ยฟางเจ้าฟังข้านะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าคืออะไร หน้าที่สำคัญของเจ้าคือการรักษาความบริสุทธิ์..." ตาเฒ่าเอี๊ยยังเอ่ยไม่จบเหม่ยฟางก็เอ่ยขัดขึ้น

"ข้าก็รักษามา10กว่าปีแล้วไง ตอนนี้ข้าก็ยัง..." เหม่ยฟางอ้อมแอ้มตอบเสียงไม่ดังมากนัก

"เจ้าอย่าพึงขัดได้ไหม" ตาเฒ่าเอี๊ยทำเสียงดุ

"ข้าขออภัย" เหม่ยฟางก้มหน้ารับฟังคำบอกเล่าต่อจากตาเฒ่าเอี๊ย
 "ไม่ใช่อย่างนั้น แม้จะรวมเรื่องนั้นด้วยก็เถอะ แต่ความบริสุทธิ์ที่จะรักษาคือกาย ทั้งภายนอก ภายใน ภายในข้าคงไม่ต้องบอกสินะ ส่วนภายนอกนั้นคือการเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง เพราะเจ้าเกิดมาเพื่อสร้างไม่ใช่ทำลาย หากระเมิดข้อนี้จะไม่เป็นผลดีกับเจ้าแม้แต่น้อย" 

"ถ้าข้าใช้พลังฆ่านางจิ้งจอก ข้าจะเป็นเช่นไร"

"เจ้าอาจจะกลายเป็นปีศาจ ทั้งยังไม่สามารถมอบโอรสมังกรให้กับฮ่องเต้คนต่อไปได้อีก ชีวิตเจ้าจะจบสิ้นดั่งคนไร้ค่า ไม่อาจครองคู่กับคนที่รักได้อีก" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวอธิบายสิ่งที่เหม่ยฟางสงสัย เพราะเขาเป็นถึงมังกรเขียว แต่กับอ่อนแอไร้น้ำยาสิ้นดี ที่แท้พลังของเขาการการสร้างนี่เอง

'มิน่าบุรุษอย่างข้า ถึงสามารถตั้งครรภ์ได้'

"เถอะน่าเจ้าทำใจซะเถอะ มาดื่มกับข้าดีกว่า" ว่าแล้วตาเฒ่าเอี๊ยจึงชูขวดสุราชั้นยอดขึ้นแกว่งตรงหน้าเหม่ยฟาง

"เฮ้อ ดื่มก็ดื่ม" ตาเฒ่าเอี๊ยเสกจอกเหล้าออกมา 2ใบรินเหล้าใส่จอกให้เหม่ยฟาง

"จริงสิอย่าลืมเรื่องที่ข้าบอกเจ้าล่ะ พาจ้าวหย่งเจิ้งไปที่หุบเขาเร้นใจให้ได้ก่อนพระอาทิตย์ตรงดิน" 

"ข้าเข้าใจแล้ว"

"ดีแล้ว เมืาอไปถึงจะเกิดเรื่องยุ่งๆขึ้น ขเาอยากให้เจ้า...." ตาเฒ่าเอี๊ยกระซิบบางอย่างข้างหูเหม่ยฟาง เมื่อเหม่ยฟางได้ฟังสิ่งที่บอกก็ถึงกับตาโต เอ่ยเสียงสั่น

"ข้าต้องทำเช่นนั้นด้วยเหรอ"

"ถูกต้อง เจ้าต้องทำ หากไม่ทำความทรงจำของหย่งเจิ้งทั้งสองคนก็จะไม่บรรจบกันน่ะสิ นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั่น" ตาเฒ่ายกจอกสุราดื่มจนหมดจอก ก่อนยิ้มร่าออกมา 

"เจ้ายิ้มอะไร" เหม่ยฟางขมวดคิ้วเอ่ยถาม

"ดีใจที่ทำให้เจ้ายุ่งยากใจ ฮ่าๆ ข้าไปล่ะ มีคนมาตามเจ้าแล้ว ส่วนเหล้านี่ข้ายกให้เจ้า" ว่าแล้วร่างตาเฒ่าก็สลายหายไปตรงหน้าพร้อมกับเสียงเรียกของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟางเอ๋อร์" เสียงเรียกทำให้เหม่ยฟางหันไปมอง 

"หย่งเจิ้ง" เหม้ยฟางเอ่ยชื่อคนที่เรียกชื่อตน

"เมื่อคืนหลับสบายไหม" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้มหวาน

"อืม" เหม่ยฟางพยักหน้ารับ "ผิดกับข้านะ ข้านอนไม่หลับ" จ้าวหย่งเจิ้งทำสีหน้าสลด

"ทำไมล่ะ ข้านอนดิ้นงั้นเหรอ" เมื่อได้ยินคำถามจ้าวหย่งเจิ้งจึงหลุดหัวเราะออกมา

"ข้านอนไม่หลับเพราะเจ้าจริงๆนั่นแหละ ฮ่าๆ"

"ข้านอนดิ้นจริงๆสินะ น่าขายหน้าจริง"

"ไม่ใช่เพราะเจ้านอนดิ้นหรอก แต่เป็นเพราะกลิ่นหอมๆ จากกาย เจ้าต่างหาก" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นจมูกเข้าไปแตะผิวแก้มของเหม่ยฟางเบาๆ

"ทะ ท่าน!" แม้อยากเอ่ยต่อว่า แต่ความเขินอายมีมากจนพูดไม่ออก

"ว่าแต่เจ้าดื่มสุราอยู่กับใครงั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งจอกสุรา2ใบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจึงเอ่ยถาม

"ข้าจะดื่มกับใครได้ล่ะท่านก็เห็นว่าข้าอยู่เพียงลำพัง"

"อืม นั่นสินะ แล้วทำไมมีจอกสุราอีกใบล่ะ"

"ข้าก็...เตรียมให้ท่านไง"

"ให้ข้า...เจ้ารู้หรือว่าข้าจะมา" จ้าวหย่งเจิ้งเลิกคิ้วถามอย่างไม่แน่ใจ

"ข้าเป็นใคร ข้าเป็นถึงมังกรเขียวจะไม่รู้เชียวหรือว่าท่านกำลังจะมา" เหม่ยฟางเอ่ยแก้ตัว

"อืม ก็จริงของเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้าเออออไปกับเหม่ยฟาง

"ว่าแต่...วันนี้ท่านต้องไปที่ใดหรือไม่" เหม่ยฟางออกปากถามขึ้นขณะจ้าวหย่งเจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามตน

"ข้ามีธุระ นิดหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้งทำท่าครุ่นคิดก่อนเอ่ยออกมา

"งั้นเหรอ ข้าอยากจะไปสถานที่หนึ่งซึ่งต้องไปก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แต่ท่านติดธุระคงพาข้าไปไม่ได้" เหม่ยฟางทำท่าเศร้าเอ่ยเสียงเบาอย่างผิดหวัง เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งเห็นท่าทางเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่ทันคิดว่า

"เจ้าอยากไปที่ใด"

"แต่ท่านติดธุระ" 

"เรื่องนิดหน่อยข้าอาจเจียดเวลาพาเจ้าไปได้"

"จริงนะ" ใบหน้าเศร้าเริ่มเผยรอยยิมออกมาอีกครั้ง

"เจ้าอยากไปที่ใด"

"ข้าอยากไป หุบเขาเร้นใจ" เพียงเอ่ยสถานที่ออกมาจ้าวหย่งเจิ้งถึงกับชะงัก จะให้เหม่ยฟางไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด

"ไม่ได้ เจ้าไปที่นั่นวันนี้ไม่ได้"

"ทำไม" เมื่อถูกปฏิเสธจึงตอบโต้กลับไปโดยอัตโนมัติ

"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้หรอกรู้เพียงวันนึ้ห้ามไป" จ้าวหย่งเจิ้งอ่ยเป็นเชิงสั่ง เหม่ยฟางยืนนิ่งมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ลุกพรวดจากไปไม่บอกเหตุผลอะไรแก่ตน

"คิดว่าห้ามคนอย่างข้าได้งั้นหรือไม่ทางทางเสียหรอก" เสียงตะโกนตามหลังทำให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องชะงัก ได้แต่ข่มใจให้เดินต่อจนลับสายตาเหม่ยฟาง แต่ถึงกระนั้นยังคงสั่งให้ทหารและคนภายในตำหนักคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของเหม่ยฟางไว้ขณะที่ตนออกไปข้างนอก

หลังจากช่วงเช้าที่คุยกับจ้าวหย่งเจิ้ง เหม่ยฟางรับรู้ได้ทันทีว่าตนกำลังถูกจับตามอง ไม่ว่าจะก้าวไปทางไหน

"นี่คิดจะขังข้าหรือไง" เหม่ยฟางสอดส่ายสายตามองคนที่คอยจับตามองตนก่อนหายเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ เมื่อคิดว่าถ้าเข้ามาในห้องแล้วต้องไม่มีใครสังเกตุเห็นตนได้อีกจึงแปลงกายเป็นงูเขียวตัวเล็กเล็ดรอดออกไปจากตำหนัก

ร่างงูเขียวลักลอบออกมาจนพ้นตำหนักเข้าไปในเมือง ด้วยความที่กลัวว่าจะถูกจับได้จึงไม่แปลงกายกลับเป็นคน แต่ระหว่างที่กำลังเลื้อยนั้น ได้พบกับจ้าวหย่งเจิ้งที่เข้าไปยังโรงเตี๊ยม ทั้งยังกลับออกมาพร้อมกับว่านเสี่ยวหลิง ทั้งคู่ดูเรียบร้อนจนเหม่ยฟางเกิดความสงสัยต้องติดตามไปดู เมื่อตามไปเรื่อยๆ ทั้งคู่กับออกห่างตัวเมืองไปเรื่อยๆ คล้ายกับกำลังจะขึ้นเขากัน เมื่อติดตามขึ้นเขามาเรื่อยๆ สายตาของเหม่ยฟางก็มองเห็นหินป้ายหินสลักชื่อ สถานที่นั้นว่า หุบเขาเร้นใจ
'มาทำอะไรที่นี่' เหม่ยฟางได้ได้คิดในใจลอบติดตามทั้งสองจนมาถึงลานกว้างของหุบที่รอบด้านล้วนเป็นหน้าผาหากตกลงไปมีแต่ตายกับตายเพียงอย่างเดียว เหม่ยฟางสอดส่ายสายตาหาทำเลเอาไว้ลอบแอบ มองแอบฟัง เมื่อได้ที่แล้วจึงแอบมองอยู่เงียบๆ

"ไหนละคนของข้า" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวขึ้นใบหน้ายังคงจองหองไม่เปลี่ยนแปลง

"รออีกเดี๋ยวสิ อีกไม่นานก็มาถึง" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ เพียงสิ้นเสียงสักครู่ อวี๋เหวินเต๋อก็เดินขึ้นเขามาพร้อมคน เจ็ดคน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีลูกน้องของว่านเสี่ยวหลิง สามคน

"ข้านำคนของเจ้ามาให้แล้ว" อวี๋เหวินเต๋อกล่าว ทั้งยังผลักคนของนางเข้าไปหานาง

"ถ้าเช่นพวกข้าขอตัว และหวังว่าคงไม่พบพวกเจ้าอีก" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวลา เมื่อว่านเสี่ยวหลิงได้ตัวคนของนางคืนจึงแสยะยิ้ม ทั้งยังกระซืบข้างหูนักบวชอยู่ครู่หนึ่ง นักบวชหันมามองจ้าวหย่งเจิ้ง พร้อมขยับปากท่องอะไรบางอย่างก่อนยื่นมือออกมาข้างหน้า พลันเกิดแสงสว่างวูบหนึ่ง ก็บังเกิดเจดีย์เหลยเฟิงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(นั่นมันเจดีย์เหลยเฟิงนี่!) เหม่ยฟางส่งเสียงออกมาดเวยความตกใจ จึงเลื้อยลงมาจากที่ซ่อนตรงเข้าไปขวางจ้าวหย่งเจิ้งเอาไว้

จ้าวหย่งเจิ้งเกิดก็ตกใจเช่นกัน แต่สิ่งที่ตกใจคือเหม่ยฟางที่โผล่ออกมาในร่างงูเขียว ไม่ใช่เจดีย์ที่ลอยอยู่บนฟ้า

"ฟางเอ๋อร์เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (หนีไปเร็ว พี่อวี๋พาหย่งเจิ้งหนีไป )

"แล้วเจ้าล่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยเป็นห่วง 

"อวี๋เหวินเต๋อ ฟางเอ๋อร์พูดอะไรกับเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอวี๋เหวินเต๋อคล้ายคุยกับเหม่ยฟางในร่างงูรู้เรื่อง

"เหม่ยฟางบอกให้ข้าน้อยพาองค์ชายหนีพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อหันไปตอบ ทั้งเสียงนั้นยังดังพอที่ทำให้ว่านเสี่ยวหลิงได้ยินชัดเจนว่า จ้าวหย่งเจิ้ง คือ องค์ชายของแคว้นจ้าวแห่งนี้

"ที่แท้ท่านก็เป็นองค์ชายแห่งแคว้นจ้าว มิน่าล่ะท่านถึงดูมีอำนาจมากมายได้ถึงเพียงนั้น" ว่านเสี่ยวเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชม

"ข้าเป็นใครมิใช่ธุระกงการอะไของเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยดเวยน้ำเสียงเย็นชา สายแข็งกร้าวจับจ้องที่นาง

"ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาร้อนแรงเช่นนั้นหรอกองค์ชาย ในเมื่อท่านเป็นองค์ชาย ท่านน่าจะให้ในสิ่งที่ข้าต้องการได้มากกว่านี้" ว่านเสี่ยวส่งยิ้มหวานแต่ในตาแฝงบางสิ่งบางอย่าง พร้อมสาวเท้าเพื่อเข้าใกล้จ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (อย่าหวังว่าจะเข้าใกล้หย่งเจิ้ง) เหม่ยฟางเข้าขวางไม่ยอมให้นางเข้าใกล้ แม้นางจะชะงักเมื่อเห็นงูเขียว แต่นางก็ไม่สนใจ ยังคิดจะเดินเข้าไปหา เหม่ยฟางเห็นว่านางไม่เกรงกลัวตน จึงสะบัดหางฟาดเข้าขาของนางจนล้มพับลงไปกับพื้น

"กรี๊ดดดด โอ๊ย!!! ไอ้เจ้างูบ้า พวกเจ้าจัดการเจ้างูนี้ซะ" ว่านเสี่ยวหลิงส่งเสียงร้องปนก่นด่าทั้งยังสั่งให้คนของนางจัดการงูเขียวที่บังอาจทำนาง

"หากพวกเจ้าคิดจะทำอันตรายมันต้องข้ามศพข้าไปก่อน" อวี๋เหวินเต๋อขวางบ่าวของคนของว่านเสี่ยวหลิง แต่ยังไม่ทันจะได้ช่วยอะไรเหม่ยฟาง จู่ๆลมพายุสายหนึ่งก็จู่โจมดูดดึงเอาร่างของอวี๋เหวินเต๋อเข้าไปในเจดีย์

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(พี่อวี๋!)

"อวี๋เหวินเต๋อ!" ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเรียกด้วยความตกใจที่อวี๋เหวินเต๋อถูกดูดเข้าไปในเจดีย์เหลยเฟิง ด้วยเหตุนี้ร่างงูเขียวจึงเปล่งแสงสีเขียวเปลี่ยนร่างจากงูเป็นคน

"เจ้าปล่อยพี่อวี๋เดี๋ยวนี้นะ" เหม่ยฟางที่กลายร่างเป็นคนชี้หน้านักบวชทึ่ดึงร่างของอวี๋เหวินเต๋อเข้าไปขังในเจดีย์

"ในที่สุดก็โผล่หัวของมาแบ้วสินะเจ้าปีศาจ" เสียงของว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยขึ้นเผยร้ายยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า

"เจ้าสิปีศาจ หากข้าเป็นปีศาจเจ้าก็เป็นยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก" เหม่ยฟางกล่าวโต้ตอบด้วยความโมโห

"กรี๊ดดดด เจ้าปีศาจร้าย ท่านนักบวชจับเจ้าปีศาจนั้นขังไว้ในเจดีย์เลยเจ้าค่ะ" ว่านเสี่ยวหลิงร้องบอกนักบวช

"ถ้าทำได้ก็ลองดู ข้าจะทำลายเจดีย์นี่ให้พินาศ" แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจกับไม่รู้ว่าตนจะทำได้หรือไม่ ขณะที่กำลังคิดหาทางออกอยู่นั้น มือเล็กที่กำลังสั่นเทานั้นก็ถูกมือใหญ่ที่แสนอบอุ่นของจ้าวหย่งเจิ้งกอบกุมไว้ เมื่อตนหันไปมองเจ้าของมือนั้นจ้าวหย่งเจิ้งจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

"ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเองอย่ากังวลไปเลย"


ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
จับนางไปลงเอยกับนักบวชซะ

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 17 หุบเขาเร้นใจ ตอนท้าย

สายลมพัดเอื่อยปะทะร่างของคนหลายคนในหุบเขา คนของจ้าวหย่งเจิ้งทั้งหมดที่พามาถูกหายเข้าไปในเจดีย์เหลยเฟิง แม้กระทั่งองครักษ์ผู้มีฝีมืออย่างอวี๋เหวินเต๋อก็ไม่เว้น จึงเหลือเพียงเหม่ยฟาง กับจ้าวหย่งเจิ้ง ที่ยืนจ้องมองคน 4คนที่มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเป็นผู้ออกคำสั่ง

"กำจัดมันสิ มันเป็นปีศาจผิดเพศ" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวว่าร้ายเหม่ยฟางอย่างออกหน้าออกตา ด้วยเพราะเห็นเหม่ยฟางกลายร่างจากงูเป็นคนด้วยนั้นเป็นข้อยืนยัน

"มารดาเจ้าเถอะ ข้าเนี่ยนะปีศาจ เจ้ามากกว่าที่เป็นปีศาจ ทั้งยังเป็นปีศาจจิ้งจอกด้วย" เหม่ยฟางกล่าวต่อว่าว่านเสี่ยวหลิงด้วยวาจาร้ายกาจไม่ต่างกัน ทั้งยังมีมือของจ้าวหย่งเจิ้งคอยเกาะกุมเป็นกำลังใจ ใจเขาก็ดูจะกล้าหาญที่ต่อปากต่อขำด้วย

"หึหึ" เป็นเสียงหัวเราะในลำคอของจ้าวหย่งเจิ้งที่ทำให้เหม่ยฟางต้องหันไปถลึงตาใส่

'ใครจะไปคิดละว่าบุรุษคนนี้จะเป็นมังกรเขียว ช่างเป็นมังกรที่ไม่น่าเกรงขามเลยสักนิด ทั้งยังปากคอเลาะร้ายเช่นนี้อีก' จ้าวหย่งเจิ้งได้แต่คิดในใจไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกไปได้หากเอ่ยออกไปคงโดนโกรธไปหลายวันเป็นแน่

"ท่านนักบวช จับเจ้าปีศาจนี่ไปขังในเจดีย์เลยสิ" เมื่อได้รับคำสั่งนักบวชจางซื่อ จึงท่องคาถาอย่างที่เคยทำ เมื่อเกิดกระแสลมจึงสะบัดมือมาทางเหม่ยฟางลมพายุหมุนพัดเข้ามาที่ร่างเหม่ยฟางกับจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ใกล้ถึงร่างลมพายุหมุนกับแตกกระจายหายไป แม้จะสั่งกี่สั่งก็จะเป็นนี้ซ้ำๆ จนนักบวชจางซื่อ แน่ใจได้เลยในทันทีว่า บุรุษทั้งสองตรงหน้าเป็นอะไรมี่ยื่งใหญ่เกินกว่าที่ตนกับเจดีย์เหลยฟางจะแตะต้องได้

"เป็นไปไม่ได้ ทำไมเจดีย์เหลยเฟิงของข้าถึงทำอันใดพวกเจ้าไม่ได้" นักบวชเอ่ยพึมพำกับตนเองด้วยความท้อแท้

"คิดจะทำร้ายข้า ฝันไปเถอะ" เหม่ยฟางกล่าวเย้ยว่านเสี่ยวหลิง ที่ยืนมองอย่างตื่นตระหนก

"ไม่จริง ท่านนักบวชไหนท่านว่าเจดีย์ของท่านกักขังได้ทุกสิ่งไงเล่า แล้วทำไมถึงกักขังเจ้าปีศาจผิดเพศตนนี้ไม่ได้" มือไม้ที่ชี้มาทางเหม่ยฟางสั่นระริก

"เพราะปีศาจที่เจ้าว่าคือมังกรไงล่ะ อาตมาจึงดึงเข้าไปกักขังในเจดีย์ไม่ได้" นักบวชจางซื่อกล่าว ก่อนร่างของนักบวชจะทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง 

"ไม่จริง คนอย่างมันจะเป็นมังกรไปได้อย่างไรข้าไม่เชื่อ" เสียงสั่นเครือด้วยความกลัวที่บังเกิดขึ้นในใจของนาง

"อาตมาขออภัยกับสิ่งตนได้กระทำต่อท่านทั้งสอง อาตมาไม่คิดว่าตนจะถูกนางหลอกใช้เช่นนี้ วัดของอาตมานับถือมังกรเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่คิดว่าจะถูกหลอกให้มากำจัดพวกท่าน อาตมาผิดไปแล้ว อาตมาผิดไปแล้ว" นักบวชจางซื่อ โขกศีรษะลงกับพื้นดินซ้ำแล้วซ้ำเหล่าหลายต่อหลายครั้งจนหน้าผากมีเลือดซึมออกมา เมื่อเหม่ยฟางเห็นตึงขยับเข้าไปใกล้หมายจะห้ามปราม แต่หารู้ไม่ว่านี่นเป็นแผนการให้ตนออกห่างจากจ้าวหย่งเจิ้ง

"พอเถอะท่านนักบวช ข้า...ไม่ได้ติดใจอะไรเกี่ยวกับท่านแล้ว อ๊ะ!" ในขณะที่ตนไม่ทันระวังตัวนักบวชจางซื่อกับสะบัดมือโยนบางอย่างใส่ตัวของเหม่ยฟางเข้าพอดี สิ่งนั้น เข้าคลุมร่างเหม่ยฟางกดทับร่างไว้กับพื้นไม่ให้ขยับเขยื้อน

"ฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งเจิ้งตะโกนเรียกชื่อ เข้าไปช่วยดึงสิ่งที่คล้ายแหที่คลุมร่างเหม่ยฟางออก แต่สิ่งนั้นกับติดแน่นเหมือนกาวจนดึงไม่ออก "ไอ้เจ้านักบวชเจ้าเล่ห์ปล่อยข้าออกไปนะ หากข้าหบุดออกไปได้ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก" เพียงตะโกนก้องด้วยความโกรธ ท้องฟ้าก็พากันมืดครึ่มส่งเสียงร้องคำรามตามคำตะโกนของเหม่ยฟาง

"ฮ่าๆ มังกรผู้ทรงฤทธิ์เช่นเจ้าทำได้เพียงแค่ให้ท้องฟ้าคำรามปั่นป่วนงั้นหรือ ฮ่าๆ น่าสมเพชจริงๆ" นักบวชจางซื่อกล่าวเยาะเย้ยเหม่ยฟางที่ตกอยู่ในแหวิเศษที่ถูกถักทอจากเส้นผมของปีศาจกระดูกขาวซึ่งสามารถกักขังมังกรได้โดยเฉพาะ

"เราไม่มีเรื่องบาดหมางต่อกันใยถึงคิดทำร้ายพวกข้า" เหม่ยฟางเอ่ยทักท้วงสิ่งที่ตนคิด

"ข้าเป็นลูกศิษของปีศาจเต่าฝาไห่ ย่อมต้องรังเกียจเชื้อสายงูอย่างพวกเจ้า หากไม่ใช่เชื้อสายงูของพวกเจ้า ท่านอาจารย์ของข้า คงไม่จบชีวิตเช่นนั้น ครานี้แหละที่ข้าจะได้กินหัวใจมังกรบริสุทธิ์ เพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ ฮ่าๆ" นักบวชประกาศก้องเดินตรงเข้าไปยังร่างเหม่ยฟางที่ถูกแหวิเศษคุมกายจนขยับไม่ได้ 

"นั่นเพราะอาจารย์ของเจ้าทำตนเองต่างหาก" เหม่ยฟางร้องบอก "เรื่องจะเป็นเช่นไรข้าไม่สน วันนี้ข้าจะล้างเผ่าพันธ์มังกรให้สิ้น" นักบวชจางซื่อย่างเท้าเข้าไปใกล้หมายจะควักหัวใจของเหม่ยฟาง

"หากคิดจะฆ่าเขาเจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เข้ามาขวาง แต่ไม่อาจทานแรงที่มีมากกว่าของอีกฝ่ายได้ ร่างของจ้าวหย่งเจิ้งกระเด็นออกไปทิศทางของว่านเสี่ยวหลิงยืนอยู่

"จับไว้" นางเอ่ยให้บ่าวอีกสองคนไปจับตัวจ้าวหย่งเจิ้งไว้

"ปล่อยข้านะ ปล่อย" จ้าวหย่งเจิ้งถูกล็อคแขนทั้งสองข้างไว้แน่นจนไม่อาจยับได้อย่างใจ เขาพยายามดิ้นรนเพื่อหลุดจากคนทั้งสอง แต่เมื่อหลุดออกมาได้กับโดนนักบวชจางซื่อ สะกดให้หมอบลงไปกับพื้น ไม่อาจลุกขึ้นไปช่วยเหลือเหม่ยฟางได้อย่างใจคิด

"ท่านนักบวชข้าขอจัดการมันเอง" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มน่าเกลียดบนใบหน้า นักบวชจางซื่อพยักหน้ายอมให้นางได้กระทำในสิ่งที่อยากทำ

"หย่งเจิ้ง!" เหม่ยฟางร้องเรียกเมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งสะกดให้หมอบราบลงไปกับพื้น

"โถๆ องค์ชาย กะอีแค่ปีศาจงูแค่ตนเดียวท่านก็ดิ้นรนอยากช่วยเสียขนาดนี้หากข้าทรมานมันตรงหน้าท่านจะเป็นเช่นไรหนอ" ว่าแล้วนางจึงตรงไปที่เหม่ยฟางพร้อมกับมีดสั้นในมือ ตรงเข้าไปกระชากผมเหม่ยฟาง ให้เงยขึ้นเพื่อจ่อปลายมีดไปที่ลำคอขาว

"คิดจะฆ่าข้ามันไม่ง่ายหรอกนะ" เหม่ยฟางเอ่ยทั้งยังยิ้มเยาะให้กับนาง

"ปากดีนักนะ งูเขียวที่ไร้พิษสงเช่นเจ้า ข้าจะทำให้ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก" พูดจบนางก็ลากปลายมีดจากลำคอขึ้นมาที่ใบหน้าของเหม่ยฟาง

"อึก!" ความเจ็บแปลบแล่นผ่านไปตามแรงลากปลายมีดจนทำให้เหม่ยฟางส่งเสียงที่กลั้นไว้ออกมา

"หยุดนะ อย่าทำร้ายเขานะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงวิงวอน มองดูปลายมีดที่ถูกกดแนบเข้าไปกับผิวแก้มขาวเนียนจนมีเลือดซึมตามแรงกด เหม่ยฟางกัดริมฝีปากแน่น หากเขาไม่ถูกแห บ้าๆนี้คลุมตัวไว้คงไม่ปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจเช่นนี้ได้ 

"ฟางเอ๋อร์ ฟางเอ๋อร์ หยุดเถอะ อย่าทำร้ายเขา" เมื่อเห็นเบือดที่ซึมออกมาจากแรงกด ใจของจ้าวหย่งเจิ้งก็ปวดแปลบขึ้นมาด้วยความสงสารคนที่ตนรัก

"ข้าไม่เป็นไร แผลแค่นี้ ข้าทนได้ ท่านไม่ต่องอ้อนวอนเพื่อข้าหรอก อึก!" เหม่ยฟางเห็นสายตาที่มองตนอย่างเจ็บปวดจึงเอ่ยปลอบใจอย่างขอไปที

"รักกันมากสินะ รักกันสินะ หากเจ้าขาดดวงตาไปสักข้างอวค์ชายผู้สูงส่งจะยังรักเจ้าอยู่ไหม" ว่านเสี่ยวหลิงง้างมีดในมือหมายจะแทงเข้าไปในดวงตาของเหม่ยฟาง

ฟิ้ว! ฉึก! เคร้ง!

ธนูปริศนาไร้ที่มาพุ่งเข้าไปที่มีดสั้นที่กำลังง้างเตรียมแทงเข้ามาที่ดวงตาของเหม่ยฟาง จนหลุดกระเด็นออกจากมือของว่านเสี่ยวหลิง 

"นั่นใคร ออกมานะ" แม้จะร้องเรียกแต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เมื่อมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครแม้แต่น้อย เมื่อไม่ออกมาดีๆนางจึงดึงตัวเหม่ยฟางขึ้นจากพื้น แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง เมื่อเหม่ยฟางไม่ยอมให้ความร่วมมือ

"เจ้าคิดจะทำอะไร" นักบวชจางซื่อเอ่ยถาม

"ข้าจะผลักมันให้ตกลงไปข้างล่างน่ะสิ" 

"ไม่ได้ ข้าต้องการหัวใจของมัน" นักบวชจางซื่อเข้าแย่งตัวเหม่ยฟางกับว่านเสี่ยวหลิง

"ไม่ได้ ท่านอยากได้หัวใจมังกรก็ไปเอาที่องค์ชายนั่นสิ"

"ไม่ได้ ต้องหัวใจมังกรเขียวเท่านั้น" ขณะที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่นั้นมีดสั้นในมือของว่านเสี่ยวหลิงก็พลาดไปโดนข้อมือของนักบวชเอา เมื่อเลือดบนข้อมือหลั่งรินออกมาหยดลงบนแหวิเศษ ฤทธิ์ของแหจึงเสื่อมลง แม้แต่มนต์สะกดที่มีต่อจ้าวหย่งเจิ้งก็เช่นกัน

"บ้าจริง เจ้าทำอะไรลงไป" นักบวชจางซื่อสบถออกมาอย่างหัวเสียทั้งยัง ตะคอกใส่ว่านเสี่ยวหลิง จนทำให้นางไม่พอใจ

"ข้า ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ท่านต่างหากที่ผิด" ว่านเสี่ยวหลิงละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกนั้น เหม่ยฟางจึงถือโอกาสปลดแหออกจากกาย เพื่อหลบหนี

"ฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งเจิ้งที่มนต์สะกดคลายรีบไปวิ่งเข้าหาเหม่ยฟาง โอบกอดร่างบางไว้แนบกายด้วยหัวใจอันสั่นเทา

"หย่งเจิ้ง เจ้าไม่เป็นไรนะ" คำถามนี้ทำเอาหย่งเจิ้งชะงัก เพราะมันน่าจะเป็นเขามากกว่าที่ต้องถาม

"ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า"

"ตอนนี้ช่างเถอะ เราไปช่วยพี่อวี๋กับพวกทหารก่อนเถอะ"

"แล้วจะทำเช่นไรดี"

"ข้าจัดการเอง" ว่าจบเหม่ยฟางก็พนมมือสองข้างก่อนกลายร่างเป็นมังกรสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ ส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ท้องฟ้าปั่นป่วนส่งเรียกคำรามตามเสียงร้องของมังกรเขียว ช่างเป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งนัก แม้แต่นักบวชจางซื่อ กับว่านเสี่ยวหลิงยังอ้าปากค้างกะบความยิ่งใหญ่ของมัน

"บ้าจริง ข้าบอกท่านแล้วใช่ไหมให้กำจัดมันเสียแต่แรก" ว่านเสี่ยวหลิงโวยวายใส่นักบวชจางซื่อ

"เป็นเพราะเจ้านั่นแหละที่ไม่ให้ข้าควักหัวใจมันออกมา คราวนี้จะทำอย่างไรกัน เจ้าเด็กนั่นมันกลายร่างแล้ว"

"ท่านก็ใช้แหวิเศษของท่านสิ" ว่านเสี่ยวหลิงเสนอสิ่งที่นางคิด

"แหนั่นสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว" 

"แล้วเราจะทำอย่างไรดีท่านนักบวช"

"หนีก่อน" เมื่อนักบวชกล่าวออกมา ว่านเสี่ยวหลิงและคนอื่นๆจึงพากันหนีออกมาเมื่อเห็นว่าทางจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟางไม่ได้สนใจพวกตน

เพล้ง!!!

เสียงคำรามของมังกรเขียวดังสะท้อนเข้าไปในเจดัย์จนเกิดการแตกร้าว เมื่อคำรามกู่ก้องไปเรื่อยๆเจดีย์เหลยเฟิงจึงพังทลายลง คนที่ติดอยู่ภายในเจดีย์กระเด็นหลุดออกมาจากเจดีย์ไปคนทิศคนละทาง เมื่อช่วยทุกคนได้แล้วเหม่ยฟางจึงกับกลายร่างเป็นมนุษย์เช่นเดิม ร่างมนุษย์ร่างค้างอยู่กลางอากาศก่อนค่อยๆลอยต่ำลงมาอย่างคนหมดแรง

"ฟางเอ๋อร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" จ้าวหย่งเจิ้งประคองร่างลงมาในอ้อมกอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย

"ข้าไม่เป็นไร" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้มพยุงตัวขึ้นยืนก่อนเดินตรงไปทางหน้าผา นี่คือสิ่งที่เขาต้องทำตามคำของตาเฒ่าเอี๊ยร่างกายที่อ่อนแรงเดินโงนเงนไปทางหน้าผาสูงจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องปากห้าม   

"เจ้ายังอ่อนแรงอยู่อย่าเพิ่งไปใกล้หน้าผานักสิ" เมื่อสิ้นคำเหม่ยฟางหันมายิ้มให้เขาพร้อมกับทิ้งตัวลงไปในหุบเขา จ้าวหย่งเจิ้งเห็นดังนั้นถึงกับตกใจ ร่างกายกับไวกว่าสมองพุ่งลงไปในหน้าผาตามเหม่ยฟาง

"ท่านนี่โง่จริงๆนะ" สิ้นคำของเหม่ยฟาง สติของจ้าวหย่งเจิ้งก็ดำมืดจมดิ่งเข้าสู่ความมืดไม่รับรู้สิ่งใดอีก

'นี่เขากำลังจะตายสินะ'

ทางด้านว่านเสี่ยวหลิงกับนักบวชจางซื่อที่วิ่งระหกระเหินออกมาจากหุบเขากับต้องพบชะตากรรมใหม่เมื่อก้าวขาพ้นหุบเขาไม่กี่ก้าว

"พวกเจ้าคิดจะหนีไปไหนกัน" เสียงคมเข้มฟังดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาส่งยิ้มให้อย่างน่าสะพรึง

"จ้าวหย่งเฝิง" ว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยอาการสั่นเทา

"ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูพวกเจ้าอยู่ในจวนอย่างดี แต่ไม่คิดว่าจะหนีออกมาก่อเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าเศร้านัก" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

"คุณหนูเราจะทำอย่างไรดี" บ่าวคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความพรั่นพรึง

"ท่านทำอะไรได้ไหมท่านนักบวช" นางหันไปถามนักบวชจางซื่อ

"ข้าจะสะกดพวกมันไว้ก่อน" แต่เมื่อยกมือขึ้นลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้าที่มือด้านที่ยกขึ้นอย่างกับรู้ท่านว่านักบวชผู้นี้คิดจะทำอะไร

"โอ๊ย!!!" นักบวชจางซื่อร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

"แย่หน่อยนะถ้าคิดจะใช้วิชามารกับพวกข้า หึหึ"  จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะในลำคอดวงตาเย็นชาจ้องมองมายังนักบวชก่อนยกมือตนเองขึ้นเป็นสัญญาณให้พลธนูโผล่ออกจากซุ่มขึ้นมาพร้อมเตรียมเล็งมาทางพวกว่านเสี่ยวหลิง พวกนางต่างตื่นตกใจไม่คิดว่าพวกตนจะถูกล้อมไว้เช่นนี้

"ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย" ว่านเสี่ยวหลิงร้องขอชีวิต

"ข้าเคยไว้ชีวิตพวกเจ้าแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยเสียงเรียบ "ท่านหมายความว่าอย่างไร" เมื่อถูกถามกลับจ้าวหย่งเฝิงจึงแสยะยิ้มก่อนพูดออกมาว่า

"รู้หรือไม่ทำไมข้าพาพวกเจ้าให้ไปอยู่ที่จวนท้ายเมือง เพราะข้ารู้ว่าเจ้าจะทำร้ายฟางฟางกับพี่รองของข้ายังไงล่ะ แต่ไม่คิดว่าพวกเจ้ายังคิดก่อกรรมกับทั้งสองคนอีก" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มเย็นๆที่ทำให้ว่านเสี่ยวหลิงและคนอื่นพลอยหนาวเย็นไปถึงไขสันหลังด้วย

"ท่านไม่ได้คิดจะกำจัดสองคนนั้นหรอกเหรอ" ว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยถามเสียงสั่น

"ไม่ ข้าไม่เคยคิดที่ตะกำจัดใคร ไม่ว่าจะเป็นพี่รอง หรือฟางฟาง แม้ข้าไมงรอยกับพี่รองแต่ข้าก็ชื่นชมเขาที่สุดในบรรดาพี่น้อง ส่วนฟางฟางแม้ข้าจะชื่นชอบ แต่ไม่ได้คิดที่จะเอาไว้ข้างกาย ดังนั้น คนที่ไม่รู้จักถนอมชีวิตไว้คือพวกเจ้า" จ้าวหย่งเฝิงชี้มือมาทางพวกว่านเสี่ยวหลิง ก่อนวาดมือลงเป็นสัญญาณให้พลธนูยิงออกไป ธนูนับร้อยดอกพุ่งทะยานไปทางพวกว่านเสี่ยวหลิง ร่างทั้งสี่ต่างกลายเป็นเป้านิ่งให้ลูกธนูพุ่งเข้าไปที่ร่าง เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทั้งหุบเขา แล้วร่างทั้งสี่ก็ค่อยๆล้มลงไปที่ละคน

"นำร่างพวกมันไปโยนทิ้งในหุบเขา" สิ้นเสียงจ้าวหย่งเฝิงจึงหันหลังสะบัดชายเสื้อจากไป

ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 18  ทางเลือก

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ฟืด ฟาด ฟืด ฟาด

"นั่นเสียงอะไร นี่ข้าตายไปแล้วหรือ ทำไมถึงมืดแบบนี้ แล้วฟางเอ๋อร์ล่ะ ฟางเอ๋อร์!" แม้อยากตะโกนออกไปกับทำไม่ได้ ความืดที่เขารู้สึกถึงมันทำให้เขาเริ่มขยับกายลำบากยิ่งกว่าทุกที

"เจิ้ง หย่งเจิ้ง ฟื้นขึ้นมาสิ" เสียงอันแสนคุ้นเคยเอ่ยเรียกเขา เสียงนั้นเหมือนมอบพลังให้เขาได้พ้นออกจากความมืดมิด

"ฟางเอ๋อร์" เขาเริ่มมองเห็นแสงสว่างจึงยื่นมือออกไปไขว่คว้า แสงสว่างนั้นฉายให้เห็นว่า เหม่ยฟางที่กำลังเรียกตนนั้นไม่ได้มองมาที่ตน แต่กับนั่งอยู่ในห้องที่ดูแปลกตาทั้งยังนั่งข้างๆเตียงที่มีบุรุษคนหนึ่งนอนไม่ได้สติ ที่ช่วงแขนมีสายระโยงระยางจนดูหน้ารำคาญ ห้องนั้นเป็นสีขาวทั้งห้อง บนเพดานมีแสงสว่างกว่าการจุดคบไฟหรือเทียนไข แต่ ห้องที่ๆเขาอยู่เป็นเหมือนกระจกใสที่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายแต่อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นเขาแม้แต่เสียงก็ยังไม่อาจรับรู้ได้

"ที่นี่มันที่ไหนกัน ฟางเอ๋อร์ ข้าอยู่นี่ เจ้าได้ยินข้าไหม เจ้ากำลังเรียกข้าใช่ไหม" เสียงของเขาสะท้อนอยู่รอบกายแต่ไม่อาจส่งไปถึงคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้น แม้จะเกิดคำถามมากมายแต่กับไม่มีใครมาช่วยไขคำตอบนั้นได้ เขาจึงจ้องมองภาพที่สะท้อนนั้นอย่างตั้งใจ

"เจิ้ง ฟื้นขึ้นมาสิ ฉันกลับมาแล้วนี่ไง" มือเล็กๆขาวนวลยื่นไปจับมือของคนที่นอนอยู่บนเตียง ด้านหลังสั่นเทาด้วยความเศร้าโศก แม้จ้าวหย่งเจิ้ง มองเห็นแต่เพียงด้านข้างแต่เขากลับรับรู้ความรู้สึกนั้นได้

"ฟางเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร ใยทำหน้าเศร้าเช่นนั้น หรือเป็นเพราะคนที่เจ้าจับมืออยู่นั่น คนผู้นั้นเป็นใครกัน" อกด้านซ้ายเหมือนมีเข็มนับพันนับแสนเล่มทิ่มแทงเข้ามากลางใจเมื่อเห็นคนที่ตนพึงใจแสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์บุรุษอื่น แม้อยากออกไปฉุดรั้ง กลับทำไม่ได้ด้วยเพราะตนคล้ายถูกขังอยู่ในกระจกสะท้อนแห่งนี้

"ท่านอยากทราบหรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร" ตาเฒ่าเอี๊ยโผล่ออกมาจากผนังกระจกอีกฝั่งส่งยิ้มละไมให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้า! ข้าจำเจ้าได้ เจ้า..." จ้าวหย่งเจิ้งมองดูคนที่เดินเข้ามาใกล้ตน

"ท่านอยากทราบหรือไม่ว่าคนที่เหม่ยฟางจับมืออยู่นั่นคือใคร" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถามซ้ำโดยไม่ฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ

"ข้าต้องการทราบว่าคนผู้นั้นคือใคร" เขามองไปทางด้านหลังของเหม่ยฟางที่กำลังกุมมือใครสักคน ตาเฒ่าเอี๊ยเผยรอยยิ้มขึ้นมา แล้วยกมือขึ้นสะบัดหนึ่งครั้ง ห้องที่คล้ายกระจกก็หมุนเคว้งทิศทางการมองเห็นจึงเปลี่ยนไป ตอนนี้เขามองเห็นใบหน้าของเหม่ยฟางได้อย่างชัดเจน รวมทั้งใบหน้าของบุรุษที่ทำให้ เหม่ยฟางต้องมีสีหน้าเศร้าสร้อย

"นั่นมัน...ไม่จริงน่า ไม่น่าจะเป็นไปได้" จ้าวหย่งเจิ้งตกตะลึงตาค้างเมื่อพบว่าคนที่เหม่ยฟางกุมมืออยู่นั้นมีใบหน้าคล้ายตน แม้รูปร่างหน้าตานั้นจะซูบผอมลงไปบ้างก็ตาม แต่ใบหน้านั้นเป็นของตนไม่ผิดแน่นอน

"หน้าเหมือนกันสินะ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถาม จ้าวหย่งเจิ้งจึงได้แต่พยักหน้ารับ

"ทำไมเขาช่างเหมือนข้ายิ่งนัก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามกับตนเองแต่เป็นตาเฒ่าเอี๊ยที่ตอบคำถามนั้นเอง

"นั้นคือร่างในโลกหน้าของท่าน แต่ที่ร่างนั้นนอนไม่ได้สติมาได้สักระยะแล้ว คงเพราะตรอมใจที่เสียคนรักไป" ใบหน้าตาเฒ่าเอี๊ยยังเต็มไปด้วยยิ้มที่แฝงความบางอย่างไว้

"สูญเสียคนรัก?" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำนั้นอีกครั้ง

"อืม เอาอย่างนี้แล้วกันข้าจะพาท่านเข้าไปดูความทรงจำของชายที่อยู่บนเตียงนั่น" ไม่พูดพร่ำทำเพลงตาเฒ่าเอี๊ยคว้าข้อมือของเขามาจับเอาไว้ ก่อนสะบัดเล็กน้อย ภาพความทรงจำต่างๆพากันวิ่งเข้า มาในหัวของเขาเต็มไปหมด แม้จะทำให้ปวดหัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้ ภาพที่ฉายเข้ามาในหัวของเขาเป็นภาพของบุรุษที่หน้าเหมือนเขาตั้งแต่ตอนเด็กจนโต ภาพฉายมาเรื่อยๆจนบุรุษที่หน้าเหมือนเขาใส่ชุดคลุมแปลกๆยืนสาบานรักกับหญิงสาวสวยคนหนึ่ง

จากนั้นก็ตัดไปเป็นภาพที่เขาตามบุรุษหนุ่มหน้าหวานออกมาส่ง เขารับรู้ได้เลยว่านั่นคือเหม่ยฟาง แม้รูปร่างหน้าตาจะแตกต่างกันแต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรความรู้สึกของเขาก็บอกว่านั่นคือเหม่ยฟาง เหม่ยฟางทำสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ต่อหน้าบุรุษผู้นั้นอยู่หลายครั้ง จนเขาอดที่จะห่วงไม่ได้ วันถัดมาบุรุษผู้นั้นได้รับรู้เหตุสะเทือนใจที่สุด เหม่ยฟางจากไปแล้ว บุรุษผู้นั้นได้แต่ยืนนิ่ง น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากห้ามไม่อยู่

"นี่มันเรื่องอะไรกัน ภาพพวกนี้มันอะไรกัน" น้ำตาของจ้าวหย่งเจิ้งยังหลั่งรินไม่ขาดสาย เขารับรู้ถึงความรู้สึกทุกอย่างของบุรุษที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจที่สุดคือ บุรุษผู้นี้ย่ำยีจิตใจของคนอันเป็นที่รักของเขา

"ท่านอยากได้ความทรงจำเหล่านี้หรือไม่" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยยิ้มๆ

"ข้าไม่ต้องการข้าก็คือข้า บุรุษผู้นั้นหาใช่ข้าไม่ บุรุษผู้นี้ทำให้ฟางเอ๋อร์ต้องร้องไห้" 

"แต่ท่านก็เคยทำให้เหม่ยฟางร้องไห้นะ" จ้าวหย่งเจิ้งชะงักเมื่อถูกยกเรื่องที่ตนเคยทำเอาไว้

"เรื่องนั้นเพราะข้าทำไปโดยไม่รู้ใจตนเอง และนับแต่นี้ข้าจะไม่ทำให้ฟางเอ๋อร์ร้องไห้อีก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยให้คำมั่น 

"แต่เหม่ยฟางรักบุรุษผู้นั้น" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยท้วง ดวงตาของจ้าวหย่งเจิ้งกับส่องประกายหวั่นไหว

"เรื่องนั้น..." จ้าวหย่งเจิ้งเกิดความลังเล เขาสมควรทำเช่นนั้นหรือ

"ท่านไม่ต้องการจิตวิญญาณของบุรุษผู้นี้หรือ หากท่านรับเอาจิตวิญญาณของคนผู้นี้เข้าไปดวงใจของเหม่ยฟางย่อมตกเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียวนั่นย่อมเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยเกลี๊ยกล่อมให้จ้าวหย่งเจิ้งเพื่อรับจิตวิญญาณอีกครึ่งของตนกลับเข้าร่าง

"เรื่องนั้น..." จ้าวหย่งเจิ้งลังเลที่จะตอบ

"ถ้าเช่นนั้น ท่านลองลงไปคุยกับพวกเขาทั้งสองเถอะ" ว่าจบจึงสะบัดมือหนึ่งครั้ง จ้าวหย่งเจิ้งจึงหลุดออกจากห้องกระจกนี้ไปยืนอยู่ตรงหน้าเหม่ยฟาง

"หย่งเจิ้ง ท่านมาแล้วหรือ ท่านได้รับรู้ถึงเรื่องราวของเราแล้วใช่หรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งได้แต่พยักหน้ารับจ้องมองไปที่มือของเหม่ยฟางที่กอบกุมมือของบุรุษอื่นที่ไม่ใช่ตนอย่างไม่พอใจนัก แม้จะบอกว่านี่คือเขาอีกคนก็ตาม

"เจ้ารักบุรุษผู้นี้มากสินะ"

"เอ๊ะ! ทำไมถามเช่นนั้นล่ะ บุรุษผู้นี้คือท่านนะ" 

"ข้า ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ ข้ายืนอยู่ตรงนี้นะ ข้าจะเป็นบุรุษที่นอนอยู่ตรงหน้าเจ้าได้อย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าเห็นข้าเป็นตัวแทนเขาใช่หรือไม่"

"หย่งเจิ้ง ข้าไม่เคยมองท่านเป็นคนอื่น ท่านก็คือท่าน" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้า

"ขอโทษนะ ข้าคงทำความปราถนาของเจ้าเป็นจริงไม่ได้"จ้าวหย่งเจิ้งค่อยๆหมุนตัวกลับหันหลังให้เหม่ยฟาง เขาไม่อยากเห็นสายตาเศร้าๆของเหม่ยฟาง

"เรื่องนั้น...มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ" เหม่ยฟางก้มหน้าสองมือกุมเข้ากัน ทั้งยังจิกเล็บเข้าเนื้อ เขาเสียใจที่ทำให้หย่งเจิ้งเสียใจ แต่เขาไม่เคยคิดที่จะให้หย่งเจิ้งเป็นตัวแทนใครแม้แต่น้อย เพราะหย่งเจิ้งก็คือหย่งเจิ้ง

"ก่อนเจ้าจะตัดสินใจ เจ้าจะไม่ลองคุยกับร่างนี้หน่อยหรือ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ย พร้อมกับยกมือขึ้นเหนือร่างที่นอนอยู่บนเตียงแล้วร่ายมนต์บางอย่าง ร่างที่ไร้สติ เริ่มขยับ ดวงตาที่ปิดเปิดออกอย่างช้าๆ เพียงแค่เหม่ยฟางเห็นก็ยิ้มรับทั้งน้ำตา ไข่มุกมากมายร่วงหล่นอย่างห้ามไม่อยู่

"อื้อ หิวน้ำ" หย่งที่ลืมตาขึ้นกล่าวเสียงแหบพร่า 

"เจิ้ง นายหิวน้ำเหรอเดี๋ยวฉันรินน้ำให้นะ" เหม่ยฟางยิ้มให้กับคนที่เพิ่งลืมตาตื่น ก่อนหมุนตัวไปรินน้ำที่วางอยู่ข้างโต๊ะ

"ขอบใจ ว่าแต่คุณเป็นใคร" คำถามที่ถูกถามนั้นทำเอาเหม่ยฟางที่ยิ้มอย่างดีใจต้องชะงักค้างกลายเป็นริ้วรอยแห่งความเศร้าก่อนปรับสีหน้าใหม่ แล้วหมุนกลับมายิ้มให้หย่งเจิ้งอีกคน เขาหน้าตาเปลี่ยนไป เป็นเรื่องธรรมดาที่หย่งเจิ้งจะจำเขาไม่ได้

"ไหนว่าเขาเป็นคนรักของเจ้าใยเขาถึงจำเจ้าไม่ได้" จ้าวหย่งเจิ้งหันหน้ากลับมามองอย่างเอาเรื่องกับคนที่เพิ่งฟื้นคืนสติ เขารู้สึกไม่พอใจกับบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก

"นาย! ทำไมหน้าตาเหมือนกับผมล่ะ แล้วพวกคุณเป็นใคร" หย่งเจิ้งอีกคนที่กำลังให้ความสนใจกับคนที่หันไปรินน้ำให้ตน ต้องหันกลับไปมองคนที่กล่าวหาว่าเขาเป็นคนรักของคนสวยตรงหน้า

"หย่งเจิ้ง ข้ากับเจิ้ง ไม่ได้เป็นคนรักกัน" เป็นเหม่ยฟางเอ่ยตอบคำถามเสัยงเศร้า

"ฟางเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน"

"ท่านก็รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วนี่ ข้าแค่มีใจให้เขาเพียงข้างเดียว" เหม่ยฟางเริ่มกลับมาทำหน้าเศร้าอีกครั้ง

"เจ้าอย่าทำหน้าเช่นนั้นได้ไหม เวลาข้าเห็นเจ้าทำหน้าเช่นนั้นข้ารู้สึกไม่ดีไปด้วย" จ้าวหย่งเจิ้งเดินเข้าไปลูบหน้าเหม่ยฟาง ก่อนเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น แต่จู่ๆมือของหย่งเจิ้งอีกคนกับยื่นเข้ามาปัดมือของจ้าวหย่งเจิ้งอย่างไม่ทันคิด

เพี๊ยะ!!!

"อ๊ะ! ขอโทษครับ มือผมมันไปเอง" หย่งเจิ้งอีกคนเอ่ยขอโทษ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันทำไมถึงทำเช่นนั้น ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งเจิ้ง ต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน

"ฮ่าๆ นั่นเป็นการต่อต้านทางกายที่จดจำเจ้าได้ จึวเกิดต่อต้านเมื่อเห็นคนอื่นเจ้าใกล้เจ้าไงล่ะเหม่ยฟาง" ตาเฒ่าเอี๊ยพูดขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ

"เหม่ยฟาง?" หย่งเจิ้งอีกคนเอ่ยชื่อนั้นซ้ำอีกครั้ง

"สวัสดี เราชื่อเหม่ยฟาง" เหม่ยฟางส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับหย่งเจิ้งในยุคปัจจุบัน

"ข้าจ้าวหย่งเจิ้ง ฟางเอ๋อร์เจ้าหยุดยิ้มได้แล้ว เลิกหว่านเสน่ห์เสียที ข้าไม่ชอบใจนักที่เจ้ายิ้มให้ผู้อื่นนอกจากข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดดึงมือเหม่ยฟางมากอบกุมเอาไว้แน่น

"สวัสดีครับ ผมชื่อหย่งเจิ้ง" หย่งเจิ้งอีกคนลุกขึ้นนั่งพร้อมแนะนำตัวเอง เขาเหลือบมองเหม่ยฟางเป็นระยะ ระยะ

'ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างนี้นะ' หย่งเจิ้งเอียงคอมองเหม่ยฟางอย่างพิจารณา ช่างให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก

"พวกข้ารู้จักชื่อเจ้า ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งเชิดหน้าขึ้นมองหย่งเจิ้งอีกคนอย่างไม่สบอารมณ์

"ทำไมถึงรู้ได้ ในเมื่อพวกเราเพิ่งเคยเจอกัน" 

"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องรู้หรอก" จ้าวหย่งเจิ้งตอบแบบขอไปทีเพื่อตัดความรำคาญของตน

"อะไรของเขาวะ" หย่งเจิ้งอีกคนเอ่ยพึมพำเบาๆ

"เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ" จ้าวหย่งเจิ้งหรี่ตามองคนตรงหน้า
 "อ่อ ว่าแต่ เหม่ยฟาง ชื่อคุณเหมือนกับชื่อเพื่อนผมเลยนะครับ" หย่งเจิ้งอีกคนเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วกล่าวถามเหม่ยฟางด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ

"นั่นเพราะเหม่ยฟางก็คือเหม่ยฟางไงเล่า" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่ตอบแบบขอไปทีอีกครั้ง

 "หย่งเจิ้ง!" เหม่ยฟางเรียกเสียงดัง

"อะไร ข้าทำอะไรผิดงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ

"ทำตัวไม่สมเป็นองค์ชายเลยนะ" เหม่ยฟางแอบบ่นให้จ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเพียงคนเดียว

"หึ"

'ใครใช้ให้เจ้าสนใจบุรุษอื่นนอกจากข้าล่ะ' จ้าวหย่งเจิ้งเหล่มองบุรุษผู้มีใบหน้าเหมือนตนอย่างไม่พอใจนัก

"นายอย่าไปสนใจเขาเลยนะ ปกติเขานิสัยไม่ค่อยดีแบบนี้อยู่บ่อยๆ" หย่งเจิ้งคนยิ้มรับเขาถูกชะตากับคนตรงหน้าอย่างมาก แต่เขาไม่ค่อยชอบผู้ชายหน้าหน้าเหมือนตนสักนิด

"ฟางเอ๋อร์!" จ้าวหย่งเจิ้งเรียกเสียงอ่อย

"ฮ่าๆ ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะไม่ชอบหน้ากันขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นคนคนเดียวกันแท้ๆ ฮ่าๆ" ตาเฒ่าเอี๊ยหัวเราะร่วนเมื่อเห็นคนสองทำท่าไม่ชอบหน้ากัน

"มันไม่ตลก" "มันไม่ตลก" ทั้งสองเอ่ยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จนทำให้เหม่ยฟางกับตาเฒ่าเอี๊ยพากันหัวเราะ

"ฮ่าๆ เหมือนกันจริงๆ" เหม่ยฟางเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะทั้งสองคน

"เจ้าก็เป็นไปกับเขางั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยอย่างหัวเสีย

"นั่นสิ นั่นไม่ใช่เรื่องตลกสักหน่อย" หย่งเจิ้งอีกคนกล่าวเสียงอ่อย

"พวกท่านทั้งสองข้าจะเชื่อมจิตของพวกท่านให้เข้าหากันดังนั้นข้าขอมือของพวกท่านสักหน่อย" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปหาทั้งสองคน

"ข้าไม่ได้อยากเชื่อมจิตอะไรนั่นกับบุรุษผู้นี้เสียหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้งกับหันหลังหนีไม่ยอมจับมือ

"เชื่อมจิตอะไรกันผมไม่ทำ"  หย่งเจิ้งอีกคนก็เช่นกัน ตาเฒ่าเอี๊ยจึงพยักหน้าให้เหม่ยฟางช่วย อะไรจะไม่ลงรอยกันขนาดนั้น

"นี่ ช่วยฉันหน่อยนะเจิ้ง" เหม่ยฟางแตะไหล่หย่งเจิ้งอีกคนเพื่อขอร้อง เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนเขาจึงยอมใจอ่อน 

"อืม" เมื่อเห็นว่าหย่งเจิ้งตกลงแล้วจึงหันไปขอร้องจ้าวหย่งเจิ้งต่อ

"หย่งเจิ้ง ขอร้องล่ะ" เหม่ยฟางสะกิดไหล่จ้าวหย่งเจิ้งมองด้วยสายตาออดอ้อน "หึ" 

"ขอร้องล่ะ ให้ทำอะไรก็ได้ขอร้องนะ หย่งเจิ้ง" จ้าวหย่งเจิ้งเหมือนได้ยินสิ่งที่ต้องการจึงหันแก้มไปหา พร้อมกับใช้ปลายนิ้วแตะที่กระพุ้งแก้ม

"เอาจริงเหรอ" เหม่ยฟางเกิดความลังเลที่จะทำ แต่จ้าวหย่งเติ้งกับยิ้มระรื่นยื่นแก้มเข้าไปใกล้กว่าเดิม เหม่ยฟางจึงจำใจก้มลงไปหอมแก้มจ้าวหย่งเจิ้ง

"ชื่นใจจัง" พูดจบจึงหันไปเหล่หย่งเจิ้งอีกคน ทั้งยังยิ้มกวนๆพร้อมกับยักคิ้วให้อีกฝ่าย หย่งเจิ้งอีกคนเห็นท่าทางเช่นนั้นยิ่งไม่พอใจจึงได้เบนสายตาไปทางอื่น ตาเฒ่าเอี๊ยจ้องมองทั้งสองคนก่อนส่ายหัวไปมา

'ต้องหลวมจิตรวมกันให้ไวที่สุด มิเช่นนั้นคงตีกันตาย' เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยอมส่งมือให้ตาเฒ่าเอี๊ยจึงคว้ามือทั้งสองคนอย่างว่องไวแล้วจับให้แน่นกันถูกสะบัดออก

"ขออภัยพวกท่านด้วย" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวขอโทษ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มไม่เปลี่ยน

"ช่างเถอะ ท่านขอโทษข้าก็เท่านั้น" จ้าวหย่งเจิ้งโบกมืออีกข้างที่ไม่ได้โดนจับเป็นการปฏิเสธคำขอโทษ

"การเชื่อมจิตนี้จะทำให้พวกท่านเห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เหมือนกัน เรื่องราวเหล่านี้คือเรื่องของพวกท่านทั้งสอง" พอตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวจบทั้งสองคนจึงหลับตาลงตั้งสมาธิกับสิ่งจะถูกนำพามาให้พวกตนได้เห็น

"นี่จะเป็นทางเลือกให้พวกท่านว่าใครจะอยู่ใครจะไปหากท่านรับรู้เรื่องของอีกฝ่ายแล้ว" เพียงสิ้นเสียงของตาเฒ่าพวกเขาทั้งสองก็จมดิ่งสู่ความทรงจำของแต่ละฝ่าย แม้จ้าวหย่งเจิ้งจะได้เห็นความทรงจำของอีกฝ่ายมาบางส่วนแล้วแต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด หวังว่าเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาจะได้พบไหนสิ่งที่ตนคาดหวังไว้....

*****************************************************

**ดีจ้า ขออภัยที่ลงล่าช้า ไรท์รู้สึกว่าตอนนี้ไรท์แต่งออกมางงอยู่นะ เหอๆ ถ้าอ่านแล้วงงๆอย่างไรก็ขออภัยนะที่นี้ด้วยนะค่าาา**

**ปล.หย่งเจิ้งในยุคปัจจุบันยังไม่รู้ว่า หม่ยฟางคือเหม่ยฟางคนเดียวกันนะคะ จะรู่อีกทีตอนหน้านะคะ**


ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 19  เรื่องยุ่งยาก

ความฝัน เสมือนเรื่องจริงที่ได้ประสบพบเจอมาด้วยตนเอง มันทำให้พวกเขาทั้งสองเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ง่ายขึ้น หากลืมตาตื่นขึ้นมาพวกเขาควรที่จะเลือกเส้นทางที่ตนควรจะกระทำตั้งแต่ต้นหากตนละเลยความรู้สึกที่เคยมีมา เรื่องเศร้าก็คงเกิดขึ้นอีกครั้ง หากเสียงเรียกร้องของหัวใจคือการได้อยู่กับคนรัก ไม่ใช่การหนีปัญหาเรื่องทุกอย่างย่อมส่งผลดียิ่งกว่านี้ หากสูญเสียสิ่งที่คอยค้ำจุนจิตใจ ตนคงทนไม่ได้ดังเช่นที่เคยเผชิญ ความเจ็บปวด ทรมานที่มิอาจอยู่เคียงข้างกัน ครั้งนี้พวกเราขอสาบานจะไม่ทรยศจิตใจของตนอีกต่อไป ตะขออยู่เคียงข้างตราบมลายสิ้นลมหายใจ

ดวงตาทั้งสองเปิดกว้างหยาดน้ำตาไหลรินอยู่ทางหางตา เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จนไปจบอยู่ที่ใบหน้าขาวนวลของคนที่คนึงหา สองมือไขว่คว้ากอดคนตรงหน้าอย่างลืมตัว

"ฟาง เราขอโทษ เรารักนาย เราไม่คิดเลยว่าเรื่องทุกอย่างจะเลวร้ายลงแบบนี้ เราขอโทษ ฟาง ฟาง ฟาง เราดีใจทึ่นายกลับมาหา เราจำนายได้แล้ว แม้ใบหน้านายจะเปลี่ยนไปแต่นายคือฟางของเรา นายกลับมาหาเราสินะ" ดวงตาของทั้งคู่สอดประสาน หย่งเจิ้งกอดกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น

"เจิ้งนายรู้แล้วเหรอว่าเราเป็นใคร แล้วหย่งเจิ้งล่ะ หย่งเจิ้งหายไปไหน ตาเฒ่าเอี๊ยหย่งเจิ้ง หายไปไหน" เหม่ยฟางรู้สึกร้อนใจเมื่อหย่งเจิ้ง คนปัจจุบันลืมตาตื่นแต่ร่างของจ้าวหย่งเจิ้งในอดีตกลับหายไป "หมอนั่นบอกว่าจะให้โอกาสฉันดูแลนาย เขายังอยู่ในใจของฉันตรงนี้" หย่งเจิ้งทาบมือเข้ากับหน้าอกด้านซ้ายของตนแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนให้เหม่ยฟาง

ก่อนหน้าที่หย่งเจิ้งจะลืมตาตื่นเขาพบกับตัวเขาอีกคนหลังจากเราเชื่อมจิต พวกเรารับรู้ถึงเรื่องราวของกันและกัน แล้วหย่งเจิ้งในอดีตกับบอกเขาว่าจะกลับเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจตนเอง ก่อนจะบอกว่า

"ข้าจะให้โอกาสเหม่ยฟางได้อยู่กับคนที่เขารักในยุคนี้ เพราะฉะนั้นข้าจะหายไปเอง เพราะอย่างไรข้าก็มาทีหลัง" นั่นคือคำพูดที่เขารับรู้มา ก่อนถ่ายทอดคำพูดนั้นต่ออีกครั้ง

"หย่งเจิ้ง" เสียงรำพึงเบาๆ ใบหน้าสวยแสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวด

"ฟาง เป็นอะไร เจ็บเหรอ" ใบหน้าสวยมองไปยังคนพูดอย่างงง 

"เอ๊ะ! เจิ้งรู้..."

"อยากให้เขากลับมาใช่ไหม รักเขาสินะ ก็เข้าใจหรอกนะว่าฟางรักคนที่อยู่ในนี้ของเรา ถ้าอย่างนั้นเราจะคืนเขาให้นะ"

"เจิ้งไม่โกรธเราเหรอ" เหม่ยฟางมองตาคนที่ตนพูดด้วย

"ไม่โกรธหรอก เพราะอย่างไร เราก็ยังอยู่เคียงข้างฟางเสมอ เราจะคอยมองฟางอยู่ในนี้" ว่าจบจึงใช้มือทาบหน้าอกด้านซ้ายของตนอีกครั้งส่งยิ้มแสนอ่อนโยนให้อีกครั้ง

"ขอบใจนะเจิ้ง" เหม่ยฟางสวมกอดหย่งเจิ้ง แล้วเงยหน้าส่งยิ้มให้ หย่งเจิ้งในปัจจุบันจึงก้มหน้าจุมพิตหวานให้หนึ่งครั้ง

"ถือเป็นรางวัลปลอบใจ" หย่งเจิ้งทำท่าคล้าย จุ๊ ปาก แล้วส่งยิ้มให้ แล้วร่างในวงแขนเหม่ยฟางก็เกิดแสงส่องประกายสักครู่ ร่างในวงแขนก็เปลี่ยนเป็นจ้าวหย่งเจิ้งมาแทนที่

จ้าวหย่งเจิ้งผู้ที่คิดจะหลับไหลอยู่ในใจของหย่งเจิ้งคนปัจจุบัน พลันต้องลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกเหมือนถูกดึงออกมาจากก้นบึงของหัวใจตน เขาเปิดเปลือกตาออกรับรู้ถึงแรงรัดเบาๆรอบตัว เพียงลืมตาออก ใบหน้าสวยหวานยังคงอยู่แนบอกตนทั้งสองแขนของคนหน้าสวยยังโอบกอดตนไม่ปล่อยเขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

"อยู่แบบนี้นานๆก็ดีเหมือนกันนะ" เมื่อสิ้นเสียงเหม่ยฟางจึงเงยหน้ามองคนที่ตนกอด

"หย่งเจิ้ง!" เหม่ยฟางตกใจจคงรีบปล่อยมือแล้วถอยห่าง แต่จ้าวหย่งเจิ้งกลับคว้าเอวอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัวก่อนกดริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากบางสวย

"นี่ถือเป็นการลบรอยเก่าที่เจ้านั่นทำไว้" เหม่ยฟางตะครุบปากตัวเองปิดไว้ ใบหน้าแดงซ่านเมื่อโดนจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว

"ได้เวลากลับแล้วล่ะ เหม่ยฟางคืนร่างเดิมซะ แล้วโอบอุ้มร่างโอรสสวรรค์ไว้ให้ดีข้าจะพาพวกเจ้าทั้งสองคืนกลับกาลเวลาเดิม" สิ้นคำสั่งตาเฒ่าเอี๊ย เหม่ยฟางจึงคืนร่างเป็นมังกรเขียวแล้วสร้างลูกแก้วโอบอุ้มร่างของจ้าวหย่งเจิ้งไว้ จากนั้นก็กลืนลูกแก้วลงไปก่อนหันไปผงกหัวให้ว่าพร้อมแล้ว ตาเฒ่าเอี๊ยจึงสะบัดมือเล็กน้อยแล้วสถานที่ตนอยู่กับหมุนเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหมุนเปลี่ยนเป็นหุบเขาเร้นใจ ที่แท้สถานที่ที่เรียกว่าโรงพยาบาล แท้จริงแล้วในอดีตคือหุบเขาเร้นใจนั่นเอง ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เหม่ยฟางเมื่อกลับมาถึงหุบเขาเร้นใจจึงคลายลูกแก้วออกมา ลูกแก้วเมื่อโดนอากาศด้านนอกจึงสลายหายไป

"ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวขอบคุณเมื่อตนยืนถึงพื้นหุบเขาเป็นที่เรียบร้อย

"นั่นเป็นหน้าที่ของข้า เอาล่ะครานี้ก็หมดหน้าที่ของข้าเสียที พวกเจ้าจงเร่งกลับเมืองไปเถอะตอนนี้เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายขึ้นแล้ว"

"เกิดเรื่องอะไรบึ้นงั้นเหรอตาเฒ่า" เหม่ยฟางเอ่ยถาม

"เมื่อพวกเจ้ากลับเมืองไปเดี๋ยวก็รู้เองรีบๆกลับไปเสียอย่าได้รีรอ" ว่าจบร่างตาเฒ่าเอี๊ยก็สลายกลายเป็นละอองหายไป

"พวกเรารีบไปกันเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากเร่งเหม่ยฟาง

ในขณะนั้นเรื่องวุ่นวายได้เกิดขึ้นเมื่อมีข่าวว่า โอรสมังกรตกหน้าผาหายสาบสูญ ราชสำนัก เกิดเรื่องวุ่นวายในท้องพระโรงขณะนี้ เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างเรียกร้องให้เลือกโอรสมังกรองค์ใหม่จากหนึ่งในสี่ของโอรสทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จ้าวหย่งเฟิ้ง ผู้เป็นองค์ชายใหญ่ จ้าวหย่งเฝิง ผู้เป็นองค์สาม จ้าวหย่งจิ้ง ผู้เป็นองค์ชายสี่ และจ้าวหย่งฟง ผู้เป็นองค์ชายเล็ก แม้ตอนเกิดไม่ได้เกิดเป็นมังกรทองแต่ก็มีสายเลือดกษัตริย์ เหล่าองค์ชายย่อมมีสิทธิ์ครองบัลลังก์

"เรียนฝ่าบาทองค์ชายทั้งสี่ล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ข้าน้อยขอให้พระองค์ทรงไตร่ตรองด้วยเรื่องแบบนี้รอช้าไม่ได้นะพะย่ะค่ะ" ใต้เท้าซินอวี๋ เอ่ยนำเหล่าเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่เพื่อให้ให้องค์ฮองเต้ทรงเห็นสมควรเรื่องโอรสมังกรคนใหม่

"ใต้เท้าซินอวี๋ ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านนะ พระศพของเจ้าพี่ยังหาไม่เจอใยท่านถึงได้รีบเร่งให้หาโอรสมังกรนัก" เป็นจ้าวหย่งเฝิงที่เอ่ยทัดทาน เขาคิดว่าพี่รองยังมีชีวิตอยู่

"เรียนองค์ชายสาม แม้จะหาพระศพขององค์ชายรองไม่เจอแต่เราได้ค้นหากันมาเป็นเวลานานแล้ว หากไม่พบอาจกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายแล้วก็เป็นได้" ใต้เท้าซินอวี๋กล่าวใบหน้าราบเรียบ เหล่าเสนาอำมาตย์คนอื่นๆต่างก็พยักหน้าเห็นชอบด้วย

"นี่ท่านแช่งพี่รองของข้าเรอะ" จ้าวหย่งฟงชี้หน้าใต้เท้าซินอวี๋ด้วยความโกรธ เขาไม่เชื่อว่าพี่รองจะสิ้นแล้วเช่นเดียวกับพี่สาม

"หามืได้พะย่ะค่ะ ข้าน้อยแค่กล่าวเรื่องจริง"

"หยุดปากโสมมของเจ้านะ ไม่เช่นนั้นข้าจะสั่งตัดลิ้นเจ้าเสีย" จ้าวหย่งฟงกล่าววาจาออกไปด้วยความโมโหจนแทบขาดสติ อยากเข้าไปตัดลิ้นคนที่บอกว่าพี่รองของเขาสิ้นแล้วเสียให้หมด

"จ้าวหย่งฟงระงับอาการเจ้าด้วย นี่มันในท้องพระโรงนะเกรงใจเสด็จพ่อบ้าง" จ้าวหย่งเฟิ้งกล่าวตำหนืจ้าวหย่งฟงที่ทำตนไร้มารยาท

"พี่ใหญ่" จ้าวหย่งฟงเรียกชื่อพี่ชายอย่างไม่พอใจ

"เงียบ!!!" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยเสียงดังเพื่อช่วยจ้าวหย่งเฟิ้งกำราบน้องชาย

"พี่สี่" จ้าวหย่งฟงเสียงอ่อย ทำไมไม่มีใครเข้าข้างเขาเลย จะมีพี่สามกระมังที่เห็นด้วยกับเขา จ้าวหย่งฟงเหลือบมองพี่ชายคนที่สามของเขา แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอเข้ากับสายตาดุๆของจ้าวหย่งเฝิง

'น่ากลัวชะมัด' จ้าวหย่งฟงรีบหันหน้ากับมาที่ตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบสายตาน่ากลัวแบบนี้จองจ้าวหย่งเฝิงเลยจริง สายตาอย่างกับว่า อยากจะฆ่าคนพวกนี้ให้สิ้น

"ข้าจับยามสามตาทั้งคำนวนดวงดาราแล้ว ผลออกมาว่า องค์ชายรองยังคงมีชีวิตอยู่ ข้าคิดว่าอีกไม่นาน องค์ชายรองจะกลับมา" เป็นนักพรตเจินหยวนเอ่ยขัดการสนทนาขึ้นในครั้งนี้

"ดีถ้าเป็นเช่นข้าจะรอจนกว่าหย่งเจิ้งจะกลับมา" ฮ่องเต้ผู้เป็นประมุขใหญ่เอ่ยขึ้น พร้อมจบการประชุมในช่วงเช้าในทันที เป็นอันสรุปว่าไม่มีการเลือกโอรสมังกรคนใหม่

หลังจากการประชุมในท้องพระโรงจบลง จ้าวหย่งฟงจึงตรงไปยังตำหนักจิงเหรินกง ซึ่งเป็นตำหนักของพี่รอง เขาอยากรู้จรืงๆว่าำรองนัเนยังไม่ตายจริงๆใช่หรืไม่ เมื่อก้าวเท้าพ้นประประตูโค้งในสวนเข้ามา เขาก็พบ กับอวี๋เหวินเต๋อ ที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าประตู คล้ายกับรอการกลับมาของใครสักคน

"องครักษ์อวี๋ ท่านมายืนตากลมอะไรตรงนี้" 

"ข้าน้อยมานั่งรอองค์ชายรองพะย่ะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่าองค์ชายรองยังมีชีวิตอยู่" อวี๋เหวินที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องทักจึงหันไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงนั่งคุกเข่าก่อนตอบไปตามที่ตนคิด

"เจ้าก็คิดว่าพี่รองยังไม่ตายใช่ไหม" จ้าวหย่งฟงยิ้มร่าเข้ากุมมืออวี๋เหวินเต๋ออย่างลืมตัว

"พะย่ะค่ะ ข้าน้อยเชื่อว่าองค์ชายรองยังไม่สิ้น" อวี๋เหวินเต๋อตอบด้วยความสัจของตน

"ดีจังที่มีคนยังคิดเหมือนข้า ยิ่งคนที่เชื่อเช่นนั้นเป็นเจ้าข้ายิ่งดีใจ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงเบาในตอนท้ายเพื่อให้ตนได้ยินเพียงคนเดียว ก่อนปล่อยมือจากอวี๋เหวินเต๋อ 

"องค์ชายก็คิดเช่นเดียวกับข้า ข้าดีใจยิ่งนัก..." อวี๋เหวินเต๋อลืมตัวคว้ามือที่กำลังจะปล่อยมาจับไว้เอง จนจ้าวหย่งฟงรู้สึกขัดเขินทำสีหน้าไม่ถูก แม้ผู้ที่จับมือตนก็ยังไม่ทันสังเกตุ

"อืม...เข้าไปด้านในเถอะ"

"พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อรับคำแต่กับไม่ยอมปล่อยมือจากจ้าวหย่งฟง จนจ้าวหย่งฟงไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไรก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความขัดเขินว่า

"ท่านองครักษ์อวี๋ เจ้าช่วยปล่อยมือข้าได้หรือไม่" อสี๋เหวินเต๋อมองที่มือตนเองถึงกับตกใจไม่คิดว่าตนจะกระทำการล่วงเกินผู้เป็นนาย

"ข้าน้อยสมควรตาย ได้โปรดโทษข้าน้อยด้วยที่กระทำการล่วงเกินพระองค์" อวี๋เหวินเต๋อคุกเข่าขออภัย พร้อมทั้งร้องขอการลงโทษ

"ช่างเถอะเจ้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าหาได้ใส่ใจไม่" จ้าวหย่งฟงบอกปัด เขาดีใจด้วยซ้ำที่ถูกจับมือเอาไว้

"ขอบพระทัยองค์ชายห้า" เมื่อได้รับการอภัยอวี๋เหวินเต๋อจึงลุกขึ้น จ้าวหย่งฟงโบกมือไปมาเป็นการบอกว่า 'ช่างมันเถอะ' ก่อนเดินนำเข้าไปในตำหนัก

ในช่วงเวลานั้นหลังประชุมเสร็จใต้เท้าซินอวี๋ผู้มีอำนาจมากกว่าผู้ใดกำลังเดินทางกลับจวนของตน แต่ระหว่างทางถูกสตรีรูปโฉมสะคราญท่วงท่าดูงดงามยิ่งกว่าสตรีชาวบ้านทั่วไป ได้เดินเข้ามาขวางขบวนเกี้ยวของใต้เท้าซินอวี๋ไว้ ขบวนเกี้ยวจึงไม่อาจไปต่อได้ ใต้เท้าซินอวี๋เลิกม่านขึ้นดูก่อนเอ่ยปากไต่ถามเรื่องที่นางกล้าเข้ามาขวางขบวนเกี้ยวของตน

"เจ้าเป็นใคร ใยมาขวางเกี๊ยวไว้ ไม่รู้หรือไงว่านี่มันขบวนเกี๊ยวของใด" ทหารนายหนึ่งเข้าขวาง ทั้งยังยื่นคมดาบเข้าขวางนางไว้ก่อนเอ่ยถามนางผู้นั้น

"เรียนใต้เท้า ข้าย่อมรู้ว่าขบวนเกี้ยวนี้เป็นของผู้ใด ข้าจึงกล้ามาขวางไว้" สตรีผู้โฉมสะคราญกล่าวทั้งยังยืนไม่สะทกสะท้านกับคมดาบที่ถูกยื่นออกมาหมายจะบั้นคอตน

"บังอาจนัก หากรู้แล้วยังกล้า คงไม่คิดมีชีวิตอยู่แล้วสินะ" ว่าจบทหารนายนั้นก็ง้างดาบหมายจะเข่นฆ่าสตรีตรงหน้า แต่ดวงตาของสตรีผู้นั้นกับจับจ้องมาที่ทหารไม่เกรงกลัวเกรงปลายดาบที่คิดจะฟาดฟัน จนทหารนายนั้นต้องชะงักดาบงั้นกลับไปรายงานใต้เท้าซินอวี๋แทน

"เรียนใต้เท้าสตรีผู้นั้นยืนขวางไม่ยอมขยับไปไหนเลยขอรับ กระหม่อมขู่นางนางก็ยังไม่เกรงกลัว" ใต้เท้าซินอวี๋สะบัดมือไปมาเป็นการบอกว่าไม่เป็นไรก็บุกออกจากเกี้ยวที่นั่งเดินตรงมาที่สตรีผู้นั้น

"เจ้าเป็นใครมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรถึงมาขวางทางข้า" สตรีผู้นั้นเมื่อเห็นใต้เท้าจึงก้มหัวโค้งคำนับไม่ยอมคุกเข่าทำความเคารพใต้เท้าผู้ใหญ่อย่างเขา ใต้เท้าซินอวี๋ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจกับการกระทำของนาง

"เรียนใต้เท้าซินอวี๋ ข้าน้อยมีนางว่า จางซื่อหลิน ข้าแค่อยากเข้าไปในวังเพื่อทำหน้าที่ของตนที่เคยมีมาแต่ช้านาน ข้าเพียงอยากให้ท่านช่วยเหลือข้าสักครั้ง เพราะตำแหน่งของจ้าถูกบุรุษผู้หนึ่งแอบอ้าง ข้าจึงทนอยู่เฉยไม่ได้ ขอให้ใต้เท้าโปรดเมตตาข้าด้วย"

"แล้วตำแหน่งที่เจ้าถูกแอบอ้างคือตำแหน่งใด ข้าจะได้ช่วยเจ้าถูก" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยไต่ถามเพื่ความกระจ่าง

"ตำแหน่งของข้าคือ ว่าที่ฮองเฮา เพราะข้าคือมังกรเขียวตัวจริง ไม่ใช่บุรุษเพศที่มาแอบอ้างอยู่ในขณะนี้" นางผู้แย้มยิ้ม แววตามุ่งมั่นจริงจัง

"เจ้า... เจ้าคิดแอบอ้างงั้นหรือ" ใต้เท้าซินอวี๋ชีนิ้วไปที่นางด้วยอารมณ์ครุกรุ่น

"ข้าหาได้แอบอ้างไม่ ไม่เชื่อข้าจะแปลงร่างเป็นมังกรเขียวให้ท่านดู" ว่าจบนางก็มือขึ้นพนม แล้วบังเกิดแสงสว่างสีเขียวที่มาพร้อมกับท้องฟ้าปั่นป่วน ฉับพลันร่างมังกรเขียวสง่างามก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าทุกคน เสียงร้องคำรามดังสะท้านกึกก้องตนแสบแก้วหู ท้องฟ้าคำรามลั่นเหมือนเสัยงมัวกรที่ปรากฏตรงหน้า ช่างดูยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้

"โอ้วววว ท่านเป็นมังเขียวจริงๆด้วย" ใต้เท้าซินอวี๋คุกเข่าตรงหน้ามังกรเขียวผู้สง่างามซึ่งมีนามว่า จางซื่อหลิน.........

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เฮ้ยยยย!!! ทำไมมีมังกรเขียวอีกตัวล่ะ!!!!

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 20 มังกรเขียวตัวปลอม

ภายในก้นหุบเขาเร้นใจนับแต่วันที่จ้าวหย่งเจิ้งได้หายตัวไป ร่างสี่ร่างที่ถูกนำมาโยนทิ้งไว้ ซึ่งนอนไร้วิญญาณกำลังรอวันเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา แต่ร่างหนึ่งที่ใครๆต่างคิดว่าหมดลมหายใจไปแล้ว ได้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ร่างนั้นคือร่างของนักบวชจางซื่อ แม้จะถูกโยนลงมาจากหุบเหวที่สูงแต่ร่างกับไม่ได้รับการกระทบกระเทือนแม้แต่น้อยต่างกับร่างไร้วิญญาณอีกสามร่างที่สภาพศพนั้นอเนจอนาถใจยิ่งนัก ร่างของนักบวชเริ่มขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นไปตามแรงที่ขยับ เป็นเสียงที่กำลังบ่งบอกว่ากระดูกกำลังขยับเข้าที่เข้าทางของมัน เมื่อสิ้นเสียงกระดูกร่างจองนักบวชจางซื่อจึงเริ่มลุกขึ้นนั่งอ้าปากหาว คล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเอง จากนั้นจึงหันมองรอบๆข้างก่อนพูดขึ้น

"เล่นแรงกันจริงๆ กะไม่ให้พวกข้าได้มีชีวิตอีกสินะถึงได้โยนลงมาจากที่สูงๆเช่นนั้น เล่นเสียกระดูกของข้าป่นละเอียดเชียว เฮ้อ...ฮึ๊บ...อืม" ว่าจบนักบวชจางซื่อจึงลุกขึ้นจากพื้นพลางบิดไล่ความเมื่อยล้าออกไป ดวงตาสีน้ำตาลกับถูกย้อมไปด้วยสีดำสนิททั้งตาดำ ตาขาว หากใครได้เห็นย่อมเกิดความหวาดกลัวอย่างแน่นอน นักบวชจางซื่อยื่นมือของไปพลางหลับตาท่องคาถาอะไรบางอย่าง เพียงไม่นานนักสิ่งที่ถูกเรียกมากับเป็นเศษของเจดีย์เหลยเฟิงที่แตกกระจายนั่นเอง

"ข้าจะใช้พลังของเจดีย์เหลยเฟิงที่เจ้าเป็นคนทำลาย กลับไปทำร้ายตัวเจ้าเอง" เมื่อพูดจบนักบวชจางซื่อก็กลืนเศษเจดีย์เหล่านั้นลงไปในท้อง ปรากฏแสงสว่างสีเขียวสว่างจ้าแลเวร่างของนักบวชจางซื่อก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหายลับไป

.

.

.

มังกรสีเขียวแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้าพักใหญ่ก่อนกลับคืนร่างเป็นสตรีโฉมงามผู้เพียบพร้อม ที่กำลังก้มหน้าย่อตัวทำความเคารพใต้เท้าซินอวี๋

"แม่นางคือมังกรเขียวผู้งามสง่ายิ่งนัก แต่ข้าหารู้ไม่ว่ามีผู้แอบอ้างตนเป็นมังกรเขียวอีกตน แม่นางโปรดวางใจข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง ได้โปรดเงยหน้าให้ข้าได้ยลโฉมอีกสักครั้งเถอะ" ว่าจบจึงเข้าประคองสตรีผู้นั้น เมื่อนางเงยหน้าขึ้นสบตากับใต้เท้าซินอวี๋คล้ายมีกระแสไฟแล่นผ่านไปตามนิ้วมือทั้งสิบ ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายปรับเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททั้งดวงตาจนใต้เท้าซินอวี๋ชะงักงันเหมือนโดนสะกด ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทเพียงครู่จึงเปลี่ยนกลับเป็นสีตาเดิม

"ใต้เท้า ได้โปรดเรียกข้าว่า ซื่อหลิน เถอะเจ้าค่ะ คิดเสียว่าข้าคือบุตรีของท่านอีกคน" นางเอ่ยปากมอบกายเป็นบุตรีด้วยรอยยิ้มพลางก้มหน้าต่ำให้เสมือนกับคนที่กำลังเจียมตัว

"ช่างเป็นบุญของข้านักที่จะมีลูกบุญธรรมเป็นถึงมังกรเขียว เช่นนั้นเชิญเจ้าเข้าไปนั่งในเกี้ยวเถอะ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยยิ้มๆ

"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" ว่าจบนางก็เข้าไปนั่งในเกี้ยวแทนใต้เท้าซินอวี๋ เหบ่าทหารจึงไปหาเกี้ยวใหม่ให้ผู้เป็นนายนั่งแทน เหล่าทหารเองต่างพากันไม่ลอบใจต้องพากันไปหาเกี้ยวใหม่ให้ผู้เป็นนายใหม่

หลังจากหาเกี้ยวมาแทนได้แล้วจึงเริ่มเดินทางกลับจวนอย่างเร่งด่วน เมื่อกลับมาถึงจวนใต้เท้าซินอวี๋จึงออกคำสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ จางซื่อหลิน โดยทันที ทั้งยังรับเป็นบุตรีบุญธรรมโดยไม่ถามไถ่ความเห็นของฮูหยินใหญ่แม้แต่น้อย จึงสร้างความไม่พอใจให้กับภรรยาน้อยใหญ่และบุตรชาย บุตรสาวเป็นอย่างมาก

ในค่ำคืนนั้นงานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่มีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟหลากสีดั่งงานเทศกาล แขกน้อยใหญ่ต่างเข้ามาแสดงความยินดีที่ใต้เท้าซินอวี๋รับบุตรีบุญธรรมโดยไม่ได้บอกว่านางคือมังกรเขียวผู้เป็นว่าที่องค์ฮองเฮา

"ใยนายท่านไม่ให้ข้าบอกทุกคนว่าท่านคือมังกรเขียวเล่า ข้ารึอย่างประกาศก้องให้ผู้คนรับรู้เสียให้หมด" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่ออยู่สองคนโดยไม่มีผู้ใดรบกวน

"มันยังไม่ถึงเวลา เมื่อถึงเวลาเมื่อไหร่แล้วข้าจะให้เจ้าบอกให้สมใจ" คำพูดคำจาของนางเมื่ออยู่กับใต้เท้าซินอวี๋สองคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเขิงคล้ายกับนางคุยกับบ่าวรับใช้อย่างไรอย่างนั้น

"ดียิ่งนัก ข้าอยากจะเห็นน้ำหน้าขององค์ชายสามกับองค์ขายห้านักดูสิจะกล้าเอ่ยปากต่อว่าอีกไหมเมื่อข้านำท่านขึ้นเฝ้าองค์ฮ่องเต้ในวันพรุ่ง" ใต้เท้าซินอวี๋ผู้ถูกสะกดเอ่ยอย่างภูมิใจโดยไม่รู้ว่าการนำพานางผู้นี้ขึ้นเฝ้าองค์ฮ่องเต้คือการนำหายนะเข้าสู่ตนเอง

.

.

.

งานเลี้ยงในค่ำคืนนั้นจบลงด้วยดีก็เกือบย่ำเช้า จางซื่อหลินเดินออกมาจากห้องรับรองเพื่อดูความเป็นไปในจวนระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้นนางได้พบกับฮูหยินใหญ่ของบ้านที่กำลังเดินผ่านมาพอดี

"ข้าน้อยจางซื่อหลินขอคารวะฮูหยินใหญ่" นางก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนเงยหน้ามองฮูหยินใหญ่ตรงอย่างถือดี

"เจ้านี่ช่างบังอาจนัก กล้าดียังไงมองหน้าข้าเช่นนี้" ฮูหยินใหญ่เดือดดาลกับการถูกมองหน้าเช่นนี้ คล้ายกับการหยามเกียรติของนาง นางไม่ชอบใจตั้งแต่ที่ จางซื่อหลินเข้ามาเป็นบุตรีบุญธรรมของสามีนาง แล้วนี่นางยังไม่ให้ความเคารพกันอีก ช่างเป็นคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนัก
"ขออภัยที่ข้าน้อยบังอาจ แต่ข้าน้อยมิทราบว่าการมองหน้าฮูหยินเช่นนี้เป็นการเสียมายาท" ว่าจบจางซื่อหลินจึงมองหน้าฮูหยินตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนเดินจากไป

"ข้าจะจำการกระทำของเจ้าเอาไว้" ฮูหยินใหญ่กัดเขี้ยวเคี้ยสฟันอย่างเดือดดาลสองมือกำแน่นจนเกิดรอยเล็บบนฝ่ามือ

.

.

.

เมื่อถึงเวลาที่ได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ใต้เท้าซินอวี๋กุลีกุจออย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเขาให้จางซื่อหลิน รออยู่ด้านนอกเพื่อรอสัญญาณจากตน เมื่อองค์ฮ่องเต้มาประทับพระที่นั่งเรียบร้อยจึงก้าวเท้าออกมาเพื่อเป็นการเปิดตัวจางซื่อหลิน

"เรียนฝ่าบาท เมื่อวาน ข้าน้อยได้พบกับสิ่งอัศจรรย์ใจสิ่งหนึ่งจึงพามาถวายแด่พระองค์พะย่ะค่ะ"

"ท่านนำอะไรมามอบให้แก่เราหรือใต้เท้าซินอวี๋" องค์ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่นมองคนเอ่ย

"มังกรเขียวพะย่ะค่ะ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิ

"หือ! ไหนพามาให้ข้ายลโฉมหน่อยสิ" ฮ่องเต้เอ่ยตามน้ำไปกับใต้เท้าซินอวี๋ แล้วหันไปพยักหน้ากับนักพรตเจินหยวน เมือได้สัญญาณจากองค์ฮ่องเต้ เขาจึงตบมือสามครั้งเพื่อเรียกให้จางซื่อหลินเข้ามา

จางซื่อหลินเมื่อได้สัญญาณจึงเดินเข้ามาในท้องพระโรงด้วยท่าทางนอบน้อม แต่เปี่ยมไปด้วยท่วงท่าสง่างาม นักพรตเจินหยวนมองไอพลังวิญาณที่แผ่ออกมา มันช่างเหมือนมังกรเขียวยิ่งนัก แต่ทำไมในไอพลังกับดูชั่วร้ายยิ่งนัก ในขณะที่กำลังเพ่งมองไอพลังนั่นอยู่ ไอพลังชั่วร้ายบางส่วนก็พุ่งเข้าหาตนกับฮ่องเต้โดยไม่ทันตั้งตัว นักพรตเจินหยวนจึงรีบกางเขตอาคมคลุมร่างตนกับองค์ฮ่องเต้ไว้ 

"เงยหน้าขึ้นสิ" ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ จางซื่อหลินจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น แต่นางต้องขมวดคิ้วเมื่อไอพลังที่นางปล่อยออกไปถูกสกัดกั้นด้วยอาคมของนักพรตที่ยืนอยู่ข้างกาย

'บ้าที่สุด! บังอาจต้านทานพลังของข้าได้แสดงนักพรตผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ' จางซื่อหลินยังคงแย้มยิ้มแต่ในใจกลับว้าวุ่นที่ไม่อาจเข้าสะกดจิตใจองค์ฮ่องเต้ได้

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยกลายร่างให้ข้าได้ชื่นชมหน่อยจะได้ไหม" เสียงนักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เป็นถึงมังกรเขียวแต่เสน่ห์เย้ายวนกับไม่มีแม้แต่น้อย มีแต่พลังอาฆาตมาดร้ายเช่นนี้ หากเทียบกับเหม่ยฟางนั้นยังห่างชั้นนัก

"เอ่อ...เรื่องนั้นข้าขอเตรียมตัวก่อน" นักเจินหยวนเลิกคิ้วมองคนที่บอกขอเตรียมตัว

"ถ้าเช่นวันพรุ่งเจ้าคงไม่มีปัญหาสินะ ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไรพะย่ะค่ะ" นักพรตเจินหยวนหันไปขอความคิดเห็นกัยองค์ฮ่อวเต้ด้วยรอยยิ้ม

"ดี วันพรุ่งข้าจะรอดูเจ้ากลายร่างเป็นมังกรเขียว วันนี้เลิกประชุมได้" ฮ่องเต้ทรงเอ่ยตรัสบทแล้วลุกออกจากพระที่นั่งหายไปพร้อมกับนักพรตเจินหยวน

.

.

.

"นายท่าน นายท่าน ทำไมท่านไม่กลายร่างเป็นมังกรเขียวต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ล่ะ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามอย่างสงสัย สายตาคมจองจางซื่อหลินตวัดมองใต้เท้าซินอวี๋ อย่างไม่พอใจที่เอ่ยถาม

"หุบปาก ข้ามีเหคุผลของข้าเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง"

"ขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างเสียไม่ได้เมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของอีกฝ่าย

"รอดูวันพรุ่งเถอะ ข้าจะทำให้พวกมันได้รู้ว่าใครเป็นใคร หึหึ" จางซื่อหลินเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน ปล่อยให้ใต้เท้าซินอวี๋มองตามหลังของนางจากไป

.

.

.

ทางด้านจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟางที่เดินทางกลับเข้าวังมากับรู้สึกถึงความผิดปกติของเหล่าทหารยามที่จ้องมองพวกเขาอย่างแปลกๆ ทั้งยังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างจนน่าสงสัย รวมทั้งในตลาดยังมีภาพประกาศจับของเหม่ยฟางติดเต็มไปหมด

"แปลกจริงทำไมมีภาพของฟางติดเต็มไปหมด ทั้งยังเป็นประกาศจับเสียมากกว่าการตามหาคนเสียอีก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพึมพำกับตนเอง

"นั่นสิ เจิ้งเรารีบกลับเข้าวังกันเถอะข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย" เหม่ยฟางเอ่ยอย่างหวั่นๆ ที่นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ทั้งสองรีบเร่งเข้าวังอย่างเร่งด่วนเมื่อก้าวเท้าพ้นประตูวังกับพบทหารมากมายรายล้อมพวกเขาอยู่

"พวกเจ้ามาล้อมพวกข้าไว้ทำไม" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวดน้ำเสียงไม่ชอบใจ

"เรียนองค์ชายรองพวกข้าน้อยดีใจที่พระองค์ทรงปลอดภัยแต่พวกข้าน้อยไม่ได้ล้อมพระองค์ พวกข้าน้อยได้รับคำสั่งจากใต้เท้าซินอวี๋ให้จับกุมบุรุษผู้นี้พะย่ะค่ะ" หนึ่งในทหารเหล่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"คนผู้นี้มากับข้าพวกเจ้าคิดจับเขางั้นหรือ"

"ต้องขอประทานอภัยด้วยพะย่ะค่ะนี่เป็นคำสั่งที่พวกข้าน้อยต้องทำตาม" หนึ่งในทหารกล่าวเสียงอ่อนแม้ไม่อยากทำร้ายองค์ชายรองแต่หากขัดขืนพวกเขาก็ต้องทำ

"พวกเจ้ากล้า" เสียงเย็นเยียบในตาเย็นชากวาดมองเหล่าทหาร จนคนถูกมองหนาวถึงไขสันหลัง

"หากขัดขืนพวกข้าน้อยคงต้องล่วงเกิน" จบคำเหล่าทหารก็กรูกันเข้ามา เพื่อจับกุมพวกเขา จ้าวหย่งเจิ้งไม่มีทางเลือกจึงกวัดแกว่งดาบเข้าห่ำหั่นเหล่าทหาร เสียงปะทะดาบดังไปทั่วบริเวณ เหม่ยฟางได้แต่ปัดป้องทหารที่เข้าโจมตนอย่างเสียไม่ได้ ทั้งที่ไม่อยากทำร้ายใครแต่ใยถึงมีคนคอยคิดทำร้ายตนอยู่ตลอด

"ฟางเจ้าไหวไหม หนีไปก่อนไหมจะได้ไม่พลั้งมือฆ่าคน" จ้าวหย่งเจิ้งเจ้าขนาบด้านหลังของเหม่ยฟางไว้เพื่อกันทหารจากทางด้านหลังให้
"ไม่! เจ้าจะให้ข้าทิ้งเจ้าได้อย่างไร" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงแข็ง

"ข้าไม่เป็นไรเจ้าหนีไปพสกมันต้องการจับเจ้าไม่ใช่ข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพร้อมกับผลักดันให้เหม่ยฟางหลบหนีออกไป

"แต่ว่า..."

"ไม่มีแต่ รีบไปข้าจะสกัดไว้เอง พวกมันไม่กล้าทำอันตรายข้าหรอก"

"ถ้าเช่นนั้น ระวังตัวด้วย" ว่าจบเหม่ยฟางจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีหายอแกไปจากวงล้อมทหารเมื่อพ้นสายตาเหล่าทหารก็กลายร่างเป็นงูเขียวหลบซ่อนในพุ่มไม้ ส่วนจ้าวหย่งเจิ้งเมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางหนีไปได้ตึงผ่อนแรงลง เพราะคิดว่าทหารคงไม่ทำร้ายตน แต่เขากลับคิดผิด เมื่อเหล่าทหารยังคงฟาดฟันดาบมาที่เขาคมดาบตวัดโดนเข้าที่แขน ขา ของเขา จนล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น เมื่อทหารเห็นว่าเขาเพลี่ยงพล้ำปลายดาบก็จ่อเข้าที่ตัวเขานับสิบ

"ขออภัยด้วย ข้าน้อยขอจับกุมองค์ชายเข้าคุกหลวงเพื่อรอการลงโทษ" เหล่าทหารจึงคุมตัวจ้าวหย่งเจิ้งไปขังไว้ที่คุกหลวง

"ปล่อยข้านะ พวกเจ้าบังอาจนักที่จับตัวข้าไว้" จ้าวหย่งร้องตะโกนออกมาอย่างเสียไม่ได้

"วันพรุ่งพวกข้าน้อยจะปล่อยพระองค์ออกไปชมท่านมังกรเขียวแสดงการกลายร่าง" ว่าจบทหารก็จากไปทิ้งความสงสัยไว้ให้แก่จ้าวหย่งเจิ้ง

"มังกรเขียวอะไรกัน พวกเจ้ามาปล่อยข้าออกไปข้าต้องการเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งร้องขอให้พวกทหารปล่อยตนทันทีโดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องเรื่องมังกรเขียวมากนัก แม้จะร้องขอเพียงใดกลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากเหล่าทหารพวกนั้น

"พี่รองท่านน่าจะสนใจเรื่องมังกรเขียวหน่อยนะ ไม่ใช่สนใจเรื่องอื่น" เสียงของคนคนหนึ่งดังมาจากเงามืดเดินตรวเข้ามายังที่คุมขังของตน

"น้องสาม เจ้ามาอยู่นี่ได้อย่างไร หรือทั้งนี่เป็นคำสั่งเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามอย่างแคลงใจ

"หาใช่ข้าไม่ที่ออกคำสั่ง แต่เป็นคำสั่งใต้เท้าซินอวี๋ผู้นำมังกรเขียวมาถวายเสด็จพ่อต่างหาก" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยเสียงเรียบใบหน้าเรียบเฉยจนอ่านไม่ออก

"มังกรเขียวอะไรกัน เจ้าก็รู้ว่ามังกรเขียวคือใคร" 

"เรื่องนั้นข้าหาทราบไม่เพราะข้าเองเห็นแค่ร่างแปลงงูเขียวของฟางฟางเท่านั้น จึงไม่อาจตอบได้ว่าฟางฟางเป็นมังกรเขียวตัวจริงหรือตัวปลอม"

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

"ข้าว่าพี่รองรอชมพรุ่งนี้จะดีกว่า ข้าขอตัว" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวจบจึงหมุนตัวกลับยืนรอให้จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามบางอย่างกับตน

"บ้าจริง เจ้าไม่คิดจะปล่อยข้าหรือไงกัน" จ้าวหย่งเจิ้งสบถออกมา

"ข้าคิดว่าพี่รองนอนที่นี่สักคืนก็คงดี พรุ่งนี้เช้าค่อยออกมาดูอะไรสนุกๆกัน หึหึ" จ้าวหย่งเฝิงยกยิ้มมุมปากให้จ้าวหย่งเจิ้งแล้วเดินออกจากคุกหลวงไปจริงๆ

"จ้าวหย่งเฝิง เจ้ากลับมานะ" เสียงร้องตะโกนอย่างหัวเสียของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งทำให้จ้าวหย่งเฝิงมีรอยยิ้มมากขึ้น

'หึหึ รอดูพรุ่งนี้เถอะ ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกมันสองคนคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าจะเปิดโปงมังกรเขียวจอมปลอมให้ดู'



***ปล.ขออภัยกับคำผิดนะคะ***

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 21 ปีศาจเต่า

ภายในห้องหนังสือซึ่งสถานที่ทำงานของใต้เท้าซินอวี๋ คนภายในจวนย่อมรู้ว่าห้องหนังสือนี้ห้ามใครเข้าแม้แต่ฮูหยินใหญ่ก็ยังเข้าไปไม่ได้ แต่ในขณะนี้กับมีสตรีโฉมงามเข้ายึดครองตำแหน่งที่นั่งของใต้เท้าซินอวี๋ โดยมิโดนว่ากล่าวแต่อย่างใด ทั้งคู่ใช้เวลาในห้องหนังสือเป็นส่วนใหญ่ จนทุกคนในจวนต่างคิดว่าสตรีที่ใต้เท้าซินอวี๋พามานั้นเป็นอะไรที่เหนือคำว่าบุตรีบุญธรรมเป็นแน่ ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาในห้องหนังสือ ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานเรื่องขององค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้งที่ได้วางแผนลอบส่งคนของตนเข้าไปแทนที่ทหารนายเดิมเพื่อจับกุมตัวองค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้งไว้

"เรียนใต้เท้า ข้าน้อยได้จับองค์ชายรองไว้ในคุกหลวงตามคำสั่งแล้วขอรับ ส่วนบุรุษอีกคนที่มากับองค์ชายหนีรอดไปได้" ทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานผลให้กับผู้เป็นนายได้รับรู้

"ดี เป็นเช่นนั้นดีแล้ว เจ้าออกไปได้แล้วปิดปากให้สนิท"

"ขอรับ แต่ว่า...เอ่อ...คือ..." ทหารนายนั้นทำท่าอ้ำอึ้งจะพูดก็ไม่พูดจนใต้เท้าซินอวี๋ต้อวเอ่ยปากถาม

"มีอะไรก็พูดมา"

"คือ...เรียนใต้เท้า ไม่ทราบว่าองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงทราบเรื่องที่องค์ชายรองถูกขังในคุกหลวงได้อย่างไร ก่อนที่ข้าน้อยจะมา องค์ชายสามได้ทรงเข้าไปพบกับองค์ชายรองด้วยขอรับ" ทหารนายนั้นใช้มือข้าหนึ่งปาดเหงื่อที่หน้าผากของตน

ปึง!!!

"สะเพร่านัก" ใต้เท้าซินอวี๋ตบโต๊ะเสียงดังจนทำให้ทหารที่มารายงานถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

"ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย"

ฉึก!

"อ๊ะ...อึก..." คมเล็บทั้งห้าพุ่งเข้าใส่ดั่งคมธนูพุ่งปักร่างของทหารผู้น่าสงสาร เจ้าของเล็บแหลมคมยังคงนั่งเคียงคู่ใต้เท้าซินอวี๋มีเพียงเล็บที่ยื่นยาวออกไป ทหารนายนั้นได้แต่ตกตะลึงตาค้างก่อนล้มลงสิ้นใจตายเมื่อเล็บแหลมคมหดคืนกลับดั่งเดิมทิ้งไว้แต่ปลายเล็บทั้งห้ายังคงชุ่มเลือด

"คนที่ทำงานง่ายๆไม่ได้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่" เสียงเย็นชาของจางซื่อหลินส่งเอ่ยทิ้งท้าย

"ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาจัดการเอาศพมันผู้นี้ไปทิ้งให้เรียบร้อย" ใต้เท้าซินอวี๋ตะโกนเรียกให้คนมาเก็บกวาดทำความสะอาด แม้คนที่เข้าเก็บกวาดจะตกใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่คุมสติไม่อยู่

ร่างไร้วิญญาณของทหารนายนั้นถูกนำออกไป ใต้เท้าซินอวี๋จึงหันกลับมาคุยกับจางซื่อหลินอีกครั้งเหมือน ณ ที่นั้นไม่เคยเกิดเหตุนองเลือดมาก่อน

"นายท่านใยท่านไม่ให้คนของเราตามจับตัวบุรุษผู้นั้นด้วยหรือขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวบุรุษนั่นตะเจ้ามาหาเราเอง ในเมื่อเรามีเหยื่อล่อชั้นเลิศอยู่ในมือ" รอยยิ้มประดับขึ้นมุมปากของจางซื่อหลินซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ชวนขนลุกเสียจนใต้เท้าซินอวี๋จนลอบกลืนน้ำลาย

"ที่แท้ที่ส่งคนเข้าไปจับตัวองค์ชายรองเพื่อล่อให้บุรุษผู้นี้มาติดกับสินะขอรับ นายท่านช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก" 

"ใช่ แต่คืนนี้ข้าจะเข้าไปในคุกหลวงเพื่อสะกดองค์ชายรองให้มาเป็นพวกเราหลังจากบุรุษผู้นั้นเข้าไปหาองค์ชายรอง"

"นายท่านคิดว่ามันผู้นั้นจะมาหรือขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋เอ่ยถามอีกครั้ง

"ข้าเชื่อว่ามันต้องมา เจ้าคอยดูคืนนี้ละกัน"

.

.

.

.

กลางดึกในคืนนั้นเหม่ยฟางในงูเขียวก็ลอบออกจากที่ซ่อนมุ่งตรงไปที่คุกหลวง บรรยากาศยามค่ำคืนในคุกหลวงช่างหนาวเย็นเสียจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องหาไออุ่นจากำแพงที่เย็นชืด เมื่อเขาได้ยินเสียงดัง แซกๆ คล้ายกับมีอะไรแหวกฟางหญ้าแห้งตรงมาที่เขา เขาจึงเพ่งมองเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรใบหน้าที่ราบเรียบก็บังเกิดรอยยิ้มขึ้นมา

"ฟาง" เายงเอ่ยเรียกด้วยความดีใจมองร่างงูเขียวที่โผล่พ้นออกมาจาฟางหญ้าแห้งในคุกหลวง ก่อนเกิดประกายแสงที่ร่างนั้นเปลี่ยนจากงูเป็นคน

"เจิ้ง ดีใจจังที่ไม่เป็นอะไร" เหม่ยฟางสวมกอดคนที่นั่งอยู่ติดกำแพงด้วยความอาวรณ์

"บอกแล้ว ว่าไม่เป็นไร ขอให้สบายใจได้" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มละมุนให้แก่เหม่ยฟาง

"ก็ข้าเป็นห่วงเจ้า ดูสิ ไหนว่าไม่เป็นไร เจ้าบาดเจ็บแบบนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก" เหม่ยฟางมองสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายเมื่อเห็นบาดแผลจึงอดตัดพ้อไม่ได้

"แค่เจ้าเป็นห่วงข้า ข้าก็หายเจ็บแล้ว" มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าของคนรักอย่างเอ็นดู เหม่ยฟางจึงคว้ามือนั้นไว้เพื่อรองหยดน้ำไข่มุกของตน 

"น้ำตาของข้าจะช่วยรักษาบาดแผลของเจ้าได้" เหม่ยฟางหยิบไข่มุกในมือออกมาบดแล้วใส่แผลให้อีกฝ่ายอย่างเบามือ เพียงไม่นานบาดแผลก็สมานจนหายสนิท เหมือนกับไม่เคยบาดเจ็บแต่อย่างใด

"ข้าคิดถึงเจ้า" มือหนาประคองแก้มขาวก่อนจรดริมฝีปากลงบนพวงแก้มอีกฝ่ายเบาๆ เหม่ยฟางรับรู้ถึงลมหายใจที่รินรดลงมาบนพวงแก้ม ใบหน้าขาวก็แปรดปลี่ยนเป็นแดงเรื่อด้วยความเขินอาย

"หยุดฉวยโอกาสกับข้าเสียทีเถอะ" เหม่ยฟางก้มหน้าลงเพื่อหลบซ่อนความเขินอายไว้

"เงยหน้าขึ้นเถอะ ข้าอยากมองหน้าเจ้าอีกสักครั้ง"

"ไม่เอา ข้าไปล่ะ วันพรุ่งเจ้าก็ได้ออกไปแล้วมิใช่หรือ ข้าไปรอที่ตำหนักเจ้านะ" เหม่ยฟางบ่ายเบี่ยงหลบสายตาของอีกฝ่าย จนจ้าวหย่งเจิ้งอดที่จะยิ้มกับความน่ารักน่สชังของอีกฝ่ายเสียไม่ได้
"วันพรุ่งหลังเสร็จงานที่ลานมังกรจ้าจะกอดเจ้าให้สมใจอยากเชียว" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม

"บ้า ข้าไปก่อนนะ" ว่าจบเหม่ยฟางก็กลับร่างงูเขียวเร้นกายออกไป ส่วนจ้าวหย่งเจิ้งได้แต่ยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นเหม่ยฟางหายลับไปแล้วจึงล้มตัวนอนหันหน้าเข้ากำแพง ในขณะที่กำลังจะหลับไม่หลับอยู่นั้นเจาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับการแหวกหญ้าฟางอีกครั้ง เมื่อหันกลับไปถึงกับสะดุ้งตัวโยนรีบลุกขึ้นยืน เมื่อสิ่งที่เขาเห็นกับเป็นกลุ่มควันสีดำทมิฬ ซึ่งมีนัยน์ตาดำไร้แววชวนขนลุก

"ควันดำ ไม่สิ เจ้าเป็นร่างแปลงของผู้ใดกัน" เพียงจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากทัก ร่างงูดำก็บังเกิดไอหมอกสีดำปกคลุมเมื่อจางหายร่างของหญิงสาวรูปโฉมงดงามก็บังเกิดตรงหน้า

"ไม่คิดว่า จะรู้ตัวไวเช่นนี้ ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแปลงกายให้มันมากความ" เพียงสิ้นเสียงไอพลังสีดำก็พุ่งเข้ายึดแขนขาของจ้าวหย่งเจิ้งเอาไว้

"เจ้าเป็นใคร ปล่อยข้านะ" แม้พยามขัดขืนดิ้นรนไอพลังกับยิ่งยึดเขาแน่นขึ้นจนไม่อาจขยับไปทางไหนได้

"จำข้าไม่ได้หรือองค์ชาย" สิ้นคำถาม ร่างของจางซื่อหลินก็ค่อยๆเลือนหายเปลี่ยนเป็นร่างนักบวชจางซื่อแทน

"เจ้า...เจ้านักบวชชั่ว" 

"ฮ่าๆ อยากเรียกอย่างไรก็เชิญข้า จะทำให้เจ้าสยบอยู่แทบเท้าของข้าฮ่าๆ" เสียงหัวเราะยังคงดังสะท้อนในโสตประสาทของจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ไอพลังสีดำกลับพยายามเข้ามาในร่างเขาทีละน้อยทีละน้อย แม้อยากขัดขืนเพียงใดเงาพลังนั่นกลับยิ่งเกาะกุมเขา

"อ๊ากกกกก" เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดคล้ายร่างกำลังจะถูกแยกนั้นมันทำให้เขาถึงกับสิ้นสติไปชั่วขณะ นี่เขากำลังจะถูกครอบงำจริงๆใช่ไหม

ตุบ

ร่างสูงล้มลงไปนอนแน่นิ่งไม่ขยับไหว นักบวชจางซื่อเมื่อเห็นว่าจ้าวหย่งเจิ้งสลบไปแล้ว จึงแปลงกลายกลับเป็นจางซื่อหลินดังเดิม แล้วเดินออกจากคุกหลวงโดยไม่มีใครขัดขวาง

"นายท่านจัดการองค์ชายรองเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ" ใต้เท้าซินอวี๋ผู้มายืนรออยู่หน้าคุกหลวงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

"วันพรุ่งเจ้าคอยดูผลงานของข้าละกัน หึหึ"

เช้าวันใหม่ ตั้งแต่เหม่ยฟางจากกับจ้าวหย่งเจิ้งมานั้น จิตใจของเขากับกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูกแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายปลอดภัยแต่จิตใจกับเหมือนมีเปลวไฟมาแผดไฟอยู่ตลอดเวลาจนทำเขานอนไม่หลับ

"เหม่ยฟางข้าว่าเจ้านั่งลงก่อนได้ไหม เดี๋ยวสิ้นงานที่ลานมังกรองค์ชายก็คงเสด็จกลับมาเอง" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทัดทาน เขาถูกเหม่ยฟางปลุกมานั่งดูอีกฝ่ายเดินไปเดินมา ตั้งแต่กลางดึก แม้จะดีใจไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายปลอดภัย แต่ในใจก็นึกเป็นห่วงองค์ชายรองเมื่อทราบว่าองค์ชายรองถูกถูกคุมขังในคุกหลวง

"โธ่ พี่อวี๋ ข้าเป็นห่วงเจิ้งนี่นา ใจข้าร้อนเป็นไฟเช่นนี้คงเย็นไม่ได้หรอก" เหม่ยฟางร้องโอดครวญ

"เช่นนั้นพวกเราไปที่ลานมังกรกันเถอะ"อวี๋เหวินเต๋อออกความเห็น

"ข้าไปได้จริงหรือ" เหม่ยฟางยิ้มเข้าเกาะแขนอวี๋เหวินเต๋อแน่น

"อืม แต่ต้องแอบนะ" อวี๋เหวินเต๋อพยักหน้ารับ รอยยิ้มของเหม่ยฟาง

ลานมังกร

จางซื่อหลินยืนอยู่ตรงกลางลานมังกรเพื่อรอแสดงการแปลงร่างให้องค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร เหล่าองค์ชายทั้งสี่ต่างพากันยืนดูอย่างให้ความสนใจ มีเพียงจ้าวหย่งเจิ้งที่ยังไม่ปรากฏกายออกมา จ้าวหย่งเฝิงสอดส่องสายตามองหาพี่ชายตน เขาแค่แกล้งพี่ชายให้นอนในคุกหลวงเพียงเล็กน้อยคงไม่ป่วยไข้เสียก่อนนะ เห็นว่าในคุกหลวงยามค่ำคืนอากาศหนาวเย็นพอๆกับตำหนักเย็นเสียด้วยสิ

"พี่สามท่านมองหาอะไร" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยถามพี่ชายของตนเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันซ้ายหันขวาเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง

"เปล่า ข้าจะไปมองหาอะไรได้" แม้จะถูกตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่จ้าวหย่งจิ้งกัยหาใส่ใจไม่ ในเมื่อนั่นเป็นนิสัยส่วนตัวของพี่ชายตนตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขาจึงเดินไปหาพี่ชายอีกคนเพื่อสนทนา

'แปลกใยพี่รองยังไม่เข้าร่วมชมด้วยกันนะ หรือเกิดอะไรขึ้น' จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจ ก่อนกวักมือเรียกองครักษ์ประจำตนให้ออกไปตรวจตราดูที่คุกหลวง

"พี่สามมีอะไรหรือ" จ้าวหย่งฟงน้องเล็กเอ่ยถามเมื่อเขาขยับเข้าใกล้จ้าวหย่งเฝิงมากขึ้น

"ไม่ใช่เรื่องของเจ้า"

"เรื่องพี่รองหรือเปล่าพี่สาม"

"ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ามาเซ้าซี้ถามข้า!" จ้าวหย่งเฝิงขึ้นเสียงเสียงกับจ้าวหย่งฟงน้องคนเล็กสุด

"ข้าแค่เป็นห่วงพี่รอง" จ้าวหย่งฟงเอ่ยน้ำเสียงเศร้า เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาของน้องชายจึงลอบถอนหายใจ

"เฮ้อ~ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องเข้ามาข้องเกี่ยวหรอกแม้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่รองแต่ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวลหรอก"

"ขอรับ" จ้าวหย่งฟงตอบเสียงอ่อย

ภายในลานมังกรจางซื่อหลินยื่มือกลางออกพร้อมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เพียงไม่นานท้องฟ้าก็แปรปรวนส่งเสียงร้องกึกก้อง จนทำให้ผู้ที่มารับชมเรื่องอัศจรรย์พากันตื่นตกใจ สายฟ้าห้าสายฟาดลงมาในลานมังกรไปตามทิศทางทั้งห้า อันได้แก่ เหนือ ใต้ ออก ตก กลาง ซึ่งมันทำให้ดูน่ากลัวกว่าสิ่งอื่นใดผู้คนต่างพากันหลบลี้เข้าไปหาที่กำบังไม่กล้าออกมายืนบนพื้นที่โล่ง
"น่าอัศจรรย์ว่าไหมท่านนักพรต" องค์ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงอาการตื่นเต้นใดๆ

"ขอรับ แต่การกระทำเช่นนี้หาใช่มังกรเขียว..." ยังไม่ทันที่นักพรตเจินหยวนจะกล่าวจบ อวค์ฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นห้ามปรามไม่ให้พูดอะไรต่อ

"ข้าจะดูสิ่งที่นางผู้นั้นจะกระทำ" "ขอรับ"

ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามองการแสดงตนของจางซื่อหลินนั้น จ้าวหย่งเจิ้งกลับเดินตรงเข้าไปกลางลานมังกร ผู้ซึ่งมีจางซื่อหลินยืนอยู่

"นั่นมันหย่งเจิ้งนี่" องค์ฮ่องเต้ชี้ไปทางจ้าวหย่งเจิ้ง ที่ตอนนี้หยุดยืนตรงหน้าจางซื่อหลินเพียงแค่จ้าวหย่งเจิ้งยืนอยู่ข้างเงาร่างของนางก็คล้ายกับเป็นเป็นมังกรขึ้นมาจนน่าแปลกใจ

"วิชายืมเงา" นักพรตเจินหยวนกล่าวเสียงเบาให้ได้ยินเพียงตนกับองค์ฮ่องเต้

"หมายความว่าอย่างไร" องค์ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

"เรียนฝ่าบาทวิชาคือการยืมร่างวิญญาณของอีกฝ่ายขอรับ ซึ่งพระองค์น่าจะทราบดีว่าองค์ชายรองคือร่างของโอรสมังกรแต่การทำแบบนั้นร่างที่ถูกยืมวิญญาณต้องรับภาระอันหนักและทำให้เจ้าของร่างถึงแก่ความตาย" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าตกตระหนก

"ถ้าเช่นเจ้าจงไปช่วยหย่งเจิ้งเถอะ อย่ามั่วรอช้า"

"แล้วพระองค์เล่า" นักพรตเจินหยวนยังคงลังเลไม่กล้าทิ้งองค์ฮ่องเต้ไว้เพียงลำพัง

"ให้คนไปตามหย่งเฝิงมาหาข้า" เสียงองค์ฮ่องเต้ หันไปสั่งขันทีข้างกาย เมื่อเห็นว่ามีองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงมาอยู่ข้างกาย นักพรตเจินหยวนจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปกลางลานมังกร

"หยุดการกระทำของเจ้าซะเจ้าปีศาจ" นักพรตเจินหยวนตะโกนบอกจางซื่อหลินที่ตอนนี้อยู่ในร่างมังกรสีเขียว เมื่อได้ยินเสียงทักท้วงร่างมังกรนั้นก็ก้มมองผู้ที่กล่าวทัดทานตน

"เจ้านักพรตจอมแส่หาเรื่อง นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าจะสูบไอพลังวิญญาณของโอรสสวรรค์เพื่อหลอมเจดีย์เหลยเฟิงในกายข้า เจ้าจงถอยออกไป หากไม่อยากเจ็บตัว" เสียงกังวานก้องของมังกร ทั้งร่างมังกรเขียวก็กำลังถูกย้อมกลายเป็นสีดำสนิท ไอดำปกคลุมทั่วร่างมังกรดำก่อนแปรสภาพเป็นเต่ายักษ์สีดำ

"ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกหลานของปีศาจเต่าฝ่าไห่สินะ ปล่อยองค์ชายรองคืนมาให้ข้าเดียวนี้"

"ใยข้าต้องคนผู้นี้ให้กับเจ้า ในเมื่อมันเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของข้า" 

"เจ้าทำอะไรองค์ชาย" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"ฮ่าๆ หย่งเจิ้งกำจัดนักพรตนั่นซะ" สิ้นคำสั่งจ้าวหย่งเจิ้งก็ชักกระบี่ออกมาฟาดฟันนักพรตเจินหยวน นักพรตเจินหยวนเองก็ทำได้แต่ปัดป้องไม่อาจจะสู้รบปรบมือกับองค์ชายรองได้

"ออกมาสิข้ารอเจ้าอยู่จ้าวแห่งชีวิตมังกรเขียว" เสียงก้องของเต่าดำจางซื่อรองเรียกเหม่ยฟางอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นอาการผิดปกติของจ้าวหย่งเจิ้งทั้งเต่ายักษ์สีดำเหม่ยฟางก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้

"มันกำลังเรียกข้า"

"เจ้าออกไปไม่ได้นะมันคือกับดัก" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยห้ามปรามใช้มือยึดร่างเหม่ยฟางไม่ให้ออกไป

"แต่ถ้าข้าไม่ออกไปเจิ้งต้องแย่แน่ๆ" เหม่ยฟางสะบัดกายเพียงเล็กก่อนใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปหาปีศาจเต่าจางซื่อ

"เจ้าออกมาไวกว่าที่ข้าคิดอีกนะ เจ้าดูสิหย่งเจิ้งกำลังสนุกที่ไล่ฟาดฟันเจ้านักพรตนั่นอยู่เลย หึหึ" ปีศาจเต่าเอ่ยด้วยน้ำเสียพึงพอใจกับการกระทำของจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าต้องการอะไร"

"ฮ่าๆ เจ้าน่าจะรู้นะว่าสิ่งที่ข้าต้องการคืออะไร" ปีศาจเต่าระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

"หัวใจของข้า" เหม่ยฟางเอ่ยทวนสิ่งที่ปีศาจเต่าต้องการ

"ใช่ การเสียหัวใจ สักดวงคงไม่เสียหายอะไรหรอกกระมัง ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ตายอยู่ดี" 

"เรื่องนั้น..."

"อย่าทำเช่นนั้นนะ หากท่านมอบหัวใจมังกรไป ท่านจะลืมสิ้นทุกอย่างเชียวนะ" นักพรตเจินหยวนกล่าวทัดทาน หากมังเขียวไร้ใจก็ไม่อาจที่จะเป็นผู้สร้างชีวิตได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นการดำรงตัวตนอยู่ก็ไร้ความหมาย

"งั้นเจ้าจงเลือกเอา ระหว่างหัวใจของเจ้า กับหัวใจของหย่งเจิ้ง หย่งเจิ้งเตรียมควักหัวใจเจ้ามาให้ข้า" ปีศาจเต่าเอ่ยสั่งจ้าวหย่งเจิ้งที่ตอนนี้ละทิ้งกระบี่ในมือแล้วเอื้อมไปหยิบมีดสั้นที่ตนซ่อนไว้ด้านหลังแทน ปลายมีดสั้นเตรียมจ่อเข้าที่อกด้านซ้าย รอคำสั่งลงมีด

"เจิ้ง!" เหม่ยฟางร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายกำลังค่อยๆกดปลายมีดลงบนอกซ้ายของตนเอง

"เลือกสิ หัวใจเจ้า หรือ หัวใจของมัน หึหึ" ปีศาจเต่าหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้กับสิ่งที่ตนได้เห็น ข้ากำลังจะได้ชีวิตอมตะจากหัวใจมังกรเขียว ฮ่าๆ...

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤​
ตอนที่ 22 แก้คำสาป

"เลือกสิ เจ้าจะเลือกเสียสละสิ่งใด เจ้า หรือมันผู้นั้น" เพียงแค่ปีศาจเต่าเบนสายตาไปทางจ้าวหย่งเจิ้ง ปลายมีดก็กดลงไปบนผิวหนังของจ้าวหย่งเจิ้งมากขึ้นจนเลือดนั้นซึมออกมา 

"เจิ้ง! เจิ้งอย่าทำเช่นนั้นได้โปรด" เหม่ยฟางร้องถามเสียงสั่น

"ถึงจะห้ามเช่นไรมันผู้นั้นก็ฟังแต่แค่ข้าเท่านั้น จงเลือกเอาว่าเจ้าต้องการสละอะไร"

"ได้โปรด ปล่อยเจิ้งไปเถอะ เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย" เหม่ยฟางคุกเข่าอ้อนวอนปีศาจเต่าตรงหน้า แต่สายตาแข็งกร้าวนั้นกับไม่อ่อนลงแม้แต่น้อย

"เลือกสิ"

"ข้า ข้ายอม ยอมทุกอย่าง แต่ท่านต้องคลายมนต์สะกดเงานั่นก่อน" เพียงสิ้นคำขอ ปีศาจก็ยื่นไปทางจ้าวหย่งเจิ้งคล้ายกับดึงอะไรบางอย่างออกจากตัวอีกฝ่าย พอดึงมือกลับร่างของจ้าวหย่งเจิ้งก็ทรุดลงกับพื้น เป็นเหม่ยฟางที่ใช้วิชาตัวเบาเข้าไปประคองร่างของอีกฝ่ายก่อนลงไปกองกับพื้นจริงๆ

"เจิ้ง เจิ้ง เป็นอย่างไรบ้าง เจิ้ง" เหม่ยฟางตบใบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเรียกสติ 

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มให้เหม่ยฟางอย่างอ่อนโยนแล้วสลบไป

"ท่านนักพรต ช่วยพาเจิ้งกลับไปพักก่อนเถอะ" เหม่ยฟางเอ่ยเรียกนักพรตเตินหยวนเพื่อให้พาจ้าวหย่งเจิ้งกลับไปพัก

"แต่..." แม้อยากจะคัดค้านแต่เขาต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสายตาอันเยือกเย็นของเหม่ยฟาง

"ข้า ไม่เป็นไรหรอก หัวใจถึงข้าไม่มีมันข้าก็ไม่เป็นไร"

"หากท่านตัดสินใจแล้วข้าก็ไม่อาจห้ามได้ แม้ท่านจะลืมพวกข้า แต่พวกข้าจะไม่ลืมท่านอย่างแน่นอน" นักพรตเจินหยวนเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ

"พวกเจ้าคุยกันเสร็จหรือยัง ข้าไม่มีความอดทนมากขนาดนั้นหรอกนะ" ปีศาจเต่าทำสีหน้ารำคาญใจเร่งให้เหม่ยฟางมอบหัวใจมังกรมาให้แก่ตน เหม่ยลุกขึ้นยืนเดินตรงมายังปีศาจเต่า

"อยากได้มากสินะหัวใจของข้า อยากได้เจ้ามาเอามันไปเองสิ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเรียบ 

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอหัวใจเจ้าละนะ" ปีศาจเต่ากางกรงเล็บของตนแล้วปักเข้าไปในอกด้านซ้ายของเหม่ยฟางอย่างไม่ปราณีเลือดสีเขียวหยดลงพื้นจนเกิดรอยไหม้เป็นวงกว้าง เมื่อดึงมือออกมาจากอก หัวใจสีแดงฉานกำลังเต้น ตุบตุบ อยู่ในมือของเหม่ยฟาง แต่หัวใจสีแดงฉานกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอย่างรวดเร็วเมื่อมันถูกย้อมด้วยเลือดสีเขียวของเหม่ยฟาง

"อึก!" เหม่ยฟางกระอักเอาเลือดสีเขียวออกมา แต่เลือดที่กระอักออกมากับไม่เกิดเป็นรอยไหม้เช่นเดียวกับหัวใจย้อมเลือดของตน ปีศาจเต่าดวงตาเป็นประกายอาบย้อมด้วยความปราถนาที่จะเป็นนิรันดร์โดยไม่รู้สึกผิดสังเกตุเลยว่าสิ่งที่ตนได้ไปนั้นไม่ใช่หัวใจมังกรที่แท้จริง เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาปีศาจเต่าจึงรีบกลืนกินสิ่งนั้นลงไป เพียงไม่นาน ภายในร่างปีศาจเต่าก็เกิดอาการปั่นป่วน คล้ายกับตนกินลูกไฟร้อนๆ เข้าไป ความร้อนในกลายทวีความรุนแรงแผดเผาภายในร่างจนแทบล้มทั้งยืน

"มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า อ๊ากกกก เจ้า..." ปีศาจเต่าชี้นิ้วมาทางเหม่ยฟางดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

"รู้สึกดี กับสิ่งที่เจ้ากลืนกินลงไปสินะ" เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

"เจ้า..." ปีศาจเต่าเริ่มกระอักเลือดออกมามากมายทั้งตัวเริ่มก่อนแผลพุพองเหมือนกับร่างกายกำลังละลาย

"เจ้ารู้ไหมว่าส่วนใหญ่หัวใจมังกรจะอยู่ที่อกขวา แต่สิ่งที่อยู่ที่อกซ้ายของข้าคือสิ่งใดเจ้าพอจะนึกออกหรือไม่...."

"..." ปีศาจเต่านิ่งเงียบไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ 

"สิ่งที่อยู่ในอกซ้ายของข้าคือถุงพิษขนาดเท่าหัวใจ ทั้งรูปร่างเองก็ยังเหมือนหัวใจ เจ้าคงอร่อยกับพิษของข้ามากสินะ เจ้ารู้ไหมพิษของข้าเพียงหยดเดียวหากมนุษย์กินเข้าไปร่างกายจะสลายเป็นจุลไปแล้ว แต่โชคดีที่เจ้าเป็นปีศาจ พิษของข้าจึงเข้าไปทรมานร่างกายของเจ้าและอีกไม่นานร่างกายที่ผุพองของเจ้าก็จะสลายหายไป" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบจ้องมองร่างของปีศาจเต่าที่กำลังจะแตกสลายด้วยสายตาเลือดเย็น

"แม้ตัวข้าตาย แต่ข้าเองก็ฝังคำสาปไว้ในกายเจ้าเช่นกัน อีกไม่นานเจ้าจะเป็นปีศาจเหมือนข้า อ๊ากกกกกก!!!!" สิ้นคำพูดอันแสนคับแค้นใจของปีศาจเต่าร่างกายของมันก็แตกสลายเหลือเพียงกองเลือดนองเต็มพื้น

ตุบ!

'จบแล้วสินะ' เหม่ยฟางคิดในใจ ก่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าล้มลงไปนอนกับพื้น ดวงตาทั้งสองเริ่มหนักอึ้งและปิดสนิท แล้วทุกอย่างก็จมอยู่ในความมืด หากตื่นขึ้นมาทุกอย่างคงจะดีขึ้นกว่านี้  . . .

"นี่เหม่ยฟาง เจ้าคิดจะนอนอีกนานแค่ไหนกัน" เป็นเสียงตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

"อืม..." เหม่ยฟางขยับกายไปมาส่งเสียงครางด้วยความขัดใจเมื่อถูกรบกวนการนอน

"เจ้า อยากเป็นปีศาจจริงๆสินะถึงไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องนี้" สิ้นเสียงดวงตาของเหม่ยฟางก็เปิดออกก่อนเอียงหน้ามองไปตาเฒ่าเอี๊ย

"ที่นี่มันที่ไหน" เหม่ยฟางลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆห้อง

"เจ้าอยู่ในฝันที่ข้าสร้างขึ้น"

"พาข้ามาที่นี่ทำไม"

"ข้าแค่อยากช่วยเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยเสียงอ่อน

"เฮอะ ช่วยเหรอ ขนาดข้าเกือบตายเจ้ายังไม่เคยโผล่หน้ามาสักครั้ง แล้วนี่คิดจะช่วย คิดจะช่วยอะไรข้างั้นเหรอ" เหม่ยฟางทำเสียงขึ้นจมูกก่อนเอ่ยประชดใส่ตาเฒ่าเอี๊ย

"เฮ้อ~ ข้าจะมาบอกเรื่องการล้างคำสาปของปีศาตเต่าที่ร่ายไว้ในกายเจ้า เรื่องนี้พอช่วยเจ้าได้หรือไม่" ตาเฒ่าเอี๊ยถอนหายใจแล้วเอ่ยสิ่งที่ตนต้องการบอกออกไป

"ล้างคำสาป ทำได้จริงหรือ" เหม่ยฟางตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่ามีวิธีถอนคำสาป

"แน่นอน การล้างคำสาปนั้นง่ายเพียงนิดเดียว แต่เจ้าจะยอมทำหรือไม่นั้นมันอยู่ที่ตัวเจ้า"

"ทำไมต้องอยู่ทีาตัวข้าล่ะ" เหม่ยฟางเอ่ยถามเพื่อให้หายข้องใจ

"เจ้าต้องรับพลังหยางเข้ามาในกายเป็นเวลา 7วัน 7คืน หากทำสำเร็จ คำสาปนั้นก็จะหายไป" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยสีหน้าจริงจัง

"ถ้าเช่นนั้น ข้าไปดูดซับพลังนั่นจากดวงอาทิตย์ก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องยากเลย" เหม่ยฟางยิ้มร่าออกมา เรื่องการรับพลังหยางนั่นไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย

"พลังหยางที่เจ้าจะต้องรับต้องมาจากกายบุรุษเท่านั้น" สิ้นคำพูดตาเฒ่าเอี๊ย รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าของเหม่ยฟางก็จางหายไปในชั่วพริบตา

"เจ้าว่าอย่างไรนะ!!!"เหม่ยฟางตะโกนเสียงด้วยความตกใจ

"พลังหยางต้องได้รับจากบุรุษเท่านั้นคำสาปถึงจะคลาย" ตาเฒ่าเอี๊ยทวนคำด้วยรอยยิ้ม

"แล้วต้องทำอย่างไร"

"เจ้าไม่เห็นต้องถามเลย เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดนะ ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ หึหึ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

'แค่เปลื้องนอนกอดกันเฉยๆ เจ้าก็ได้รับพลังหยางแล้ว แต่เรื่องอะไรข้าจะบอก ปล่อยให้เจ้าคิดไปเองแบบนั้นแหละดีที่สุด หน้าที่ข้าจะได้จบลงไวๆ หึหึ' เจ้าของรอยยิ้มเจ้าเล่ห์มองใบหน้าของเหม่ยฟางที่กลายเป็นสีแดงปลั่งดั่งลูกตำลึงสุก จนเขาอดกลั้นขำไม่ได้

"ตาเฒ่า ข้าต้องทำจริงๆใช่ไหม" เหม่ยฟางหันไปถามความเห็นอีกครั้ง

"จริง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง เพียงสั้นๆ เขาไม่อยากพูกโกหก โดยไม่จำเป็น

"ข้าจะทำอย่างไรดี" 

"เอาเถอะเจ้าค่อยๆคิดไปนะ ข้าจะไปเข้าฝันบอกนักพรตนั่นเสียหน่อย ขอให้เจ้าโชคดี" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายไปจากในฝัน เหม่ยฟางพยายามร้องเรียกแต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงไออุ่นบางอย่าง จึงลืมตาขึ้น เมื่อหลุดจากฝันมาพบโลกแห่งความจริง เหม่ยฟางก็พบว่า ใบหน้าของใครคนหนึ่งอยู่ใกล้เสียจนเขาต้องตกใจ

"เจิ้ง!"

"น่าตกใจจริง ไม่คิดว่าจะได้ผลด้วย" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยยิ้มๆขณะกำลังจะถอยห่างเหม่ยฟางก็ดันตัวขึ้นด้วยความตกใจ จนทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่แตะกันโดยไม่ได้ตั้งใจ

"อ๊ะ!" เหม่ยฟางตาโตขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังจูบกับจ้าวหย่งเจิ้ง ทั้งคู่ผละออกจากกันมีเพียงจ้าวหย่งเจิ้งที่ยังรู้สึกเสียดาย เขาอยากจะอีกฝ่ายให้นานขึ้นอีกสักนิด

"น่าเสียดาย"

"สะ เสียดายบ้าอะไร เจ้าเข้ามาทำอะไร"

"ข้าเป็นห่วงเจ้า" เพียงคำพูดเดีววก็ทำให้หัวใจของเหม่ยฟางพองโตเสียจนแทบจะแตกออกมา เหม่ยต้องเบนหน้าหลบสายตาของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

"ดีใจจัง ที่เจ้าปลอดภัย" เสียงคนมาใหม่เอ่ยขึ้น จนทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง เมื่อพบว่าเป็นใคร จ้าวหย่งเจิ้งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า

"น้องสามเจ้ามาทำอะไร"

"โธ่ พี่รองข้าแค่อยากมาเห็นหน้าเหม่ยฟางสักครั้งก่อนออกไปว่าความของใต้เท้าซินอวี๋ที่นำปีศาจเต่าเข้ามาทำร้ายผู้คน"

"หย่งเฝิงข้าปลอดภัยดีเจ้าอย่ากังวลไปเลย" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"ดีจัง เจ้ายิ้มออกข้าก็ดีใจ แต่ข้าเสียใจที่ไม่ใช่คนที่เปิดเผยร่างปีศาจเต่านั่น" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ

"น้องสาม เจ้างานยุ่งไม่ใช่เหรอ ในเมื่อเห็นหน้าฟางแล้ว เจ้าก็สมควรกลับไปทำหน้าที่ได้แล้วสิ" จ้าวหย่งเจิ้งตัดบทผู้เป็นน้อง เพื่อไล่อีกฝ่ายออกไป

"พี่รอง ท่านอย่าใจแคบนักเลย อย่างไรเสียท่านก็ได้สมรสกับฟางฟางอย่างแน่นอน เสด็จพ่อเอ่ยให้ทาานนักพรตหาฤกษ์สมรสไว้ให้ท่านแล้ว ถึงท่านจะไม่พาฟางฟางไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเลยก็ตาม" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยบอกข่าวที่ตนทราบให้แก่พี่ชาย

"ข้านี่แย่จริงๆ มาอยู่ในวังได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เลยสักครั้ง" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด

"เจ้าอย่าคิดเช่นนั้นเลย คนที่ผิดคือข้าต่างหากที่ไม่ยอมพาเจ้าเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งกุมมือเหม่ยฟางมาไว้แนบอก พร้อมกับทำหน้าสำนึกผิด เหม่ยฟางจึงใช้มือลูบใบหน้านั้นอย่างรักใคร่

"เฮอะ! สนใจข้าบ้างนะ ข้ายังยืนอยู่ทั้งคน" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยขัดทั้งสองคนที่ตอนนี้ไม่สนใจในตัวเขาอีกแล้ว

"เจ้าก็รีบกลับไปเสียทีสิ"

"ไม่ต้องไบ่ข้าก็จะไปอยู่แล้วล่ะ" ว่าจบก็ลงเท้าหนักๆแล้วจากไป

"เจ้านอนพักเถอะ ข้าจะเฝ้าเจ้าเอง" จ้าวหย่งเจิ้งผลักร่างของเหม่ยฟางลงไปนอนเช่นเดิม แล้วมอบจุมพิตลงบนหน้าผากมน เหม่ยฟางจึงหลับตารับจุมพิตนั้นด้วยความเต็มใจ . . . ช่วงสายในวันนั้น นักพรตเจินหยวนก็เดินทางมายังตำหนักที่เหม่ยฟางรักษาตัว เมื่อทั้งสองพบหน้ากันก็ทำเพียงส่งยิ้มให้กันอย่างทุกที

"ท่านนักพรตมีอะไรกับข้าหรือ"

"ข้าจะมาบอกวิธีแก้คำสาป" นักพรตโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะตอบอแกไป

"เจ้าโดนคำสาปหรือฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งคู่
"อืม ตอนที่โดนปีศาจนั่นควักหัวใจของข้า โชคดีที่มันมันควักหัวใจข้าผิดด้าน ไม่เช่นนั้นข้าคงลืมเลือนทุกอย่างจนหมดสิ้น" เหม่ยฟางเอ่ยด้วยความรู้สึกโล่งใจ

"ท่านนักพรตมีวิธีช่วยหรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งเองก็รู้สึกโล่งอกที่เหม่ยฟางยังมีหัวใจอยู่ แม้เหม่ยฟางจะมีหรือไม่มีหัวใจนั้นอย่างไรเสียความรักที่มีให้อีกฝ่ายก็ยังมั่นคงเสมอ

"มีขอรับ สิ่งที่ใช้ในการแก้คำสาปคือพลังหยางจากบุรุษเพศ ซึ่งต้องเป็ผู้ที่รักท่านเหม่ยฟางด้วยใจอันแท้จริงเท่านั้น"

"ข้าจะทำหน้าที่นี้เอง บอกข้ามาเถอะว่าข้าต้องทำเช่นไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"โอบกอดท่านเหม่ยฟางเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน" เพียงสิ้นคำพูดใยหน้าหน้าของเหม่ยฟางก็เห่อแดงไปทั้งตัว เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งที่ฟังอยู่ยังต้องหันไปมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มขำ

"เหม่ยฟาง ข้าขอคุยกับท่านนักพรตสักครู่ เจ้าช่วยออกไปรอด้านนอกได้ไหม" 

"อืม" เหม่ยฟางพยักหน้ารับก่อนเกินออกจากห้องไป

"ท่านนักพรต ข้าอยากถามให้แน่ใจ คำว่า โอบกอดของท่านหมายถึงสิ่งใด" นักพรตเจินหยวนลอบยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบตามความตริวไปว่า

"โอบกอด ก็คือโอบกอด"

"เฮอะ! เจ้าคงจะพูดให้ฟางเจ้าผิดเป็นอย่างอื่นสินะ อย่าง โอบกอดแบบลึกซึ้งนั่น" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยยิ้ม

"นั่นมันก็แล้วแต่องค์ชาย ว่าอยากจะโอบกอดเช่นไร ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัว" เมื่อนักพรตเจินหยวนเดินจากไป จ้าวหย่งเจิ้งก็ได้แต่จุดยิ้มขึ้นบนใบหน้า

"ข้าจะโอบกอดเช่นไร เจ้าก็น่าจะรู้ หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินออกไปหาเหม่ยฟางที่รออยู่ด้านนอก...

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ร้ายกาจจริงพวกนี้รุมแกล้งฟางฟางกันใหญ่เลยนะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รวมด้วย ช่วยกันกอด  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 23 ส่งตัว

โคมไฟสีแดงถูกนำมาแขวนไว้ทั่วตำหนักจิงเหรินกงของจ้าวหย่งเจิ้ง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแก่การส่งตัวคู่บ่าวสาวเข้าห้องหอ เสียงดนตรีบรรเลงอย่างครึกครื้นสนุกสนาน ทั้งอาหาร สุราเลิศรสมากมายต่างทยอยแจกจ่ายแก่ผู้มาร่วมงาน แม้แต่เหล่าทหารน้อยใหญ่ต่างได้ร่วมดื่มเหล้ามงคล

ภายในห้องนอนที่ประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดงสด เหม่ยฟางแต่งกายด้วยชุดสีแดง ศรีษะที่สวมใส่มงกุฏหงส์ที่ประดับไว้อย่างสวมสวย ใบหน้าที่งดงามถูกแต่งแต้มเพิ่มสีสัน ทั้งยังมีผ้าคลุมแดงคลุมปกปิดใบหน้าไว้ กำลังนั่งรอจ้าวหย่งเจิ้งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ด้วยความตื่นเต้น

"ทำไมถึงเป็นเช่นนี้" เหม่ยฟางบ่นพึมพำกับตนเอง

"โฮ่ๆ ยินดีด้วย ยินดีด้วย ในที่สุดเจ้าก็ได้เป็นฝั่งเป็นฝา" ตาเฒ่าเอี๊ยดังขึ้นในห้องนั้น

"ยินดี อะไรกัน ที่เจิ้งแต่งกับข้าก็เพราะความจำเป็นต่างหากล่ะ" เหม่ยฟางกล่าวค้านสิ่งที่ตาเฒ่าเอี๊ย ก่อนยกมือหมายจะดึงผ้าคลุมหน้าออก

"โอ๊ะๆ อย่าคิดจะถอดผ้าคลุมออกเชียวนะ ข้าขอเตือน เจ้าน่าจะเชื่อเรื่องโชคลางสักหน่อยก็ดี" มือที่กำลังจะดึงผ้าคลุมต้องชะงักเมื่อถูกอีกฝ่ายห้ามปราม

"แต่ที่เขาแต่งกับข้า มันไม่ใช่ความรักเสียหน่อย" เหม่ยฟางอดบ่นไม่ได้ในเมื่อเขาไม่เคยได้รับความแน่นอนจากต้าวหย่งเจิ้งเลยสักครั้ง

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็คุยกับเขาเองแล้วกัน ข้าขอตัว" พูดจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายลับไปตามคำพูด

"แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะกล้าถามเขาหรือไง" เหม่ยฟางอดบ่นไม่ได้ "เจ้าคิดจะถามอะไรใครหรือ" เสียงที่แตกต่างจากตาเฒ่าเอี๊ยดังขึ้นแทนที่

"จะ เจ้า เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร" เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกใจที่ตนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่าย 

"ข้าแอบเข้ามาน่ะ คนพวกนั้นไม่ยอมให้ข้าเข้ามา ทั้งๆที่ข้าอยากเข้ามาหาเจ้าใจจะขาด" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งจึงนั่งลงข้างๆเหม่ยฟาง แล้วจับไหล่เหม่ยฟางหันมาทางตน ก่อนค่อยๆประคองผ้าคลุมหน้าแล้วเปิดออก

"เจ้าช่างงดงามนัก" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยชมอีกฝ่ายจากใจจริง แม้ทุกวันจะงดงามอยู่แล้ว แต่วันนี้กับรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างงดงามเสียยิ่งกว่าทุกวัน

"เจ้าชมข้าเช่นข้าหาได้ดีใจไม่" เหม่ยฟางที่ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนสายตาสั่นไหวของตน แต่อีกฝ่ายกับเชยคางของตนขึ้นก่อน แนบจมูกฝังลงที่แก้มขาวของอีกฝ่าย

"มาดื่มเหล้ามงคลของเรากันเถอะ" ว่าแล้วจึงประคองเหม่ยฟางไปนั่งที่เก้าอี้ ที่บนโต๊ะถูกจัดวางเหล้ามงคลไว้

"ไม่ต้องประคองข้าก็ได้" เหม่ยฟางเอ่ยปรามท่าทางเอาใจใส่ของอีกฝ่าย

"จะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อคืนนี้เป็นคืนพิเศษของเรา"

"แม้จะบอกว่าเป็นคืนพิเศษ แต่ที่เจ้าทำก็แค่ความจำใจไม่ใช่หรือ" เหม่ยฟางพูดออกมาตามที่คิด

"ความจำใจงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำพูดของอีกฝ่ายก่อนทำท่าคิด เมื่อทำท่าทางเช่นนั้น ใบหน้าของเหม่ยฟางก็พลันซีดจางลงคล้ายคนกำลังเสียใจ เมื่อเห็นใบหน้าเช่นนั้นของเหม่ยฟาง จ้าวหย่งเจิ้งก็ยิ้มออกมาก่อนเทเหล้ามงคลใส่จอก ทั้งยังแอบใส่อะไรบางอย่างลงไปในจอกเหล้าหนึ่ง แล้วส่งจอกนั้นให้เหม่ยฟาง เหม่ยฟางรับจอกเหล้าด้วยสีหน้าไม่ยินดีนัก เพราะตนรู้ว่าในจอกเหล้านั้นมีอะไรบางผสมอยู่ แต่ตนไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่ใช่ว่าตนเห็น แต่ตนสัมผ้สได้ถึงกลิ่นที่เปลี่ยนไป

"เป็นอะไร ไม่สบาย หรือ คำสาปเริ่มออกฤทธิ์" เหม่ยฟางส่ายให้กับคำถามของอีกฝ่าย

"ข้าไม่เป็นไร"

"ดีแล้ว ดื่มเหล้ามงคลเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นแขนไปไขว่กับแขนของเหม่ยฟางแล้วดื่มเหล้ามงคลจนหมดจอก เหม่ยฟาง เองก็เช่นกัน เมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางดื่มเหล้าในจอกเรียบร้อยแล้ว จ้าวหย่งเจิ้งจึงประคองแกฝ่ายไปนั่งที่เตียง 

"เจิ้ง เจ้าทำไมทำเช่นนี้" จ้าวหย่งเจิ้งชะงักกับคำถาม  ก่อนโปรยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาให้

"ข้าทำอะไรงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเยิ้งตีหน้าซื่อถามเหม่ยฟางออกไป "ข้ารู้ว่าเจ้าผสมอะไรบางอย่างลงไปในเหล้า หากเจ้าไม่ต้องการข้า ทำไมเจ้าไม่บอกจ้าตามตรง ทำไมต้องวางยาข้าด้วย" น้ำตาไข่มุกหลั่งรินออกมาไม่หยุด

"หึหึ เพราะรักข้าถึงอยากให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นไงล่ะ" คำพูดกำกวมทำให้เหม่ยฟางไม่เข้าใจมากขึ้น

"เจ้าหมายความว่าไง" น้ำตาไข่มุกยังคงไหลรินเกลื่อนพื้น "คือ...ท่านผู้เฒ่าเอายาบางอย่างมาให้ข้า บอกว่าจะทำให้เจ้าผ่อนคลายลง แต่ดูแล้วมันไม่เห็นช่วยให้เจ้าผ่อนคลายเลยสักนิด ข้าขออภัยถ้าทำให้เจ้าไม่สบายใจ อย่าร้องเลยนะ ดูสิตาแดงหมดแล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งลูบใบหน้าจองเหม่ยฟางอย่างรักใคร่ เหม่ยฟางจึงเอนกายซบอกจ้าวหย่งเจิ้งอยู่อย่างนั้น ทั้งคู่นั่งอยู่เช่นนั้นสักพักก่อนเหม่ยฟางรู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตน

"เจิ้ง" เหม่ยฟางเอ่ยเรียกจ้าวหย่งเจิ้งด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนคนเมา ก่อนช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่าย

"หือ..." จ้าวหย่งเจิ้งเอนตัวออกห่าง จ้องมองใบหน้าของคนรักที่ตอนนี้ดูเย้ายวนขึ้นกว่าเดิม

"เจิ้ง ข้าร้อน ร้อนไปทั้งตัว ร้อนมาก" เหม่ยฟางพูดไปพลางปลดเสื้อของตนออกด้วยความงุ่นง่าน

"ร้อน? แต่ข้าว่าอากาศออกจะ..." จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าอาการร้อนของเหม่ยฟางนั้นน่าจะมาจากฤทธิ์ของยาที่ตนใส่ให้อีกฝ่ายเสียมากกว่า มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ายาที่ใส่ลงไปในเหล้าให้เหม่ยฟางนั้น มันมีฤทธิ์เช่นไร 

"เจิ้ง ยาที่ใส่ลงไปในเหล้าของข้ามันเป็นยาอะไรกัน ทำไมข้ารู้สึกร้อนแปลกๆ หรือว่า...เจ้า...อ๊ะ" เหม่ยฟางยังไม่ทันจะกล่าวคำใดออกมา

ริมฝีปากหนาก็ประกบปิดปากของตน ไม่ให้กล่าวคำใดออกมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนปิดเปลือกตาลงเพื่อรับสัมผัสจากริมฝีปากอันแสนอบอุ่น เหม่ยฟางเผยอปากเล็กน้อยเพื่อให้ลิ้นของอีกฝ่ายได้รุกล้ำเข้ามาในโพรงปาก ลิ้นอุ่นๆ สอดประสานกันไปมา จนหยดน้ำใสไหลออกจากมุมปาก จ้าวหย่งเจิ้งถอนริมฝีปากออกเมื่อร่างบางเริ่มส่งเสียงร้องประท้วงในลำคอ ทุบหน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ ดวงตาปรือฉ่ำน้ำของเหม่ยฟางแม้จะพร่ามัว แต่ก็ยังเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

"ไม่ต้องห่วงนะ ข้าแค่อยากให้เจ้าให้รู้สึกดีเพียงเท่านั้น" จ้าวหย่งเจิ้งลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน 

"เจิ้ง เจ้าไม่เห็นต้องวางยาข้าเลยนะ ถ้าเป็นเจ้ายังไงข้าก็ยินดี" ใบหน้าแดงซ่านเอ่ยเสียงอ่อน จ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง

"เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ" รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาค่อยๆดันร่างเหม่ยฟางให้นอนราบลงไปกับพื้นเตียงอย่างเบามือ สองมือค่อยๆปลดเสื้อผ้าที่อยู่บนกายของเหม่ยฟางอย่างช้า แม้เหม่ยฟางจะปลดออกไปเป็นบางส่วนแล้วก็ตาม

"เจิ้ง เร็วเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าอยากให้ท่านช่วยดับความร้อนในกายข้า" เหม่ยร้องขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย

"ใจเย็นๆนะ กำลังจะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้แล้ว" รอยยิ้มแห่งความพึงใจที่เห็นเหม่ยฟางแสดงออกมายิ่งปลุกปั่นให้เขารู้สึกไวไปด้วย

"เจิ้ง" สิ้นเสียงของเหม่ยฟาง จ้าวหย่งเจิ้งก็พลิกกายลงไปนอนแล้วดันร่างเปลือยของเหม่ยฟางขึ้นไปอยู่ด้านบนของตน

"ถอดให้ข้าสิ ในเมื่อข้าถอดให้เจ้าแล้ว เจ้าน่าจะถอดให้ข้าบ้างนะ" มือบางค่อยๆเลื่อนไปปลดชุดที่อีกฝ่ายใส่อย่างตั้งใจ 

"เจิ้ง ข้ารู้สึก..." เหม่ยฟางปลดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายของจ้าวหย่งเจิ้งเสร็จ กผ้รู้สึกว่าร่างกายต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหว ร่างกายส่วนร่างบิดเร่าด้วยความรู้สึกแปลก จึงอดไม่ได้ที่ส่งเสียงเรียก

"หืม..." จ้าวหย่งเจิ้งก้มมองแก่นกายของอีกฝ่าย แล้วเผยรอยยิ้มยั่วเย้า  "เจิ้ง" "อยากให้ช่วยงั้นหรือ"

"อืม"

"แต่ข้าอยากเห็นเจ้าช่วนตนเองนี่" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้ง จึงลุกขึ้นนั่งแล้วอ้อมไปโอบกอดเหม่ยฟางทางด้านหลัง แล้วเอื้อมมือไปจับมือของเหม่ยฟางมาไว้กุมไว้ที่แก่นกายของตนเอง

"เจิ้ง อ๊ะ อ๊า เจิ้ง" มือบางกุมแก่นกายรูดขึ้นลงอย่างเบามือตามแรงส่งของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ใจเย็น อย่าเพิ่งรีบสิ" จ้าวหย่งเจิ้งที่จับมือเหม่ยฟางให้ช่วยตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายผละมือออก เปลี่ยนมาลูบไล้ช่วงสะโพกของของเหม่ยฟางแทน เหม่ยฟางจนรู้สึกหวิวๆในท้องน้อย จากนั้นจ้าวหย่งเจิ้งก็กดศีรษะของตนลงไปกับพื้น พร้อมกับยกสะโพกตนให้สูงเพื่อโชว์ส่วนที่หน้าอายของตนให้อีกฝ่ายได้เห็น มือหนานวดคลึงสะโพกตนไปมา ก่อนสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางลับอันแสนน่าอายของตน

"ดูสิเจ้าแฉะไปหมดแล้ว ข้ายังไม่ทันทำอะไรเลยนะ"

"เจิ้ง...อ๊า เจิ้ง ข้าไม่ไหวแล้ว"

"อะไรกันข้าเพิ่งจะสอดนิ้วเข้าไปเองนะ อดทนหน่อยสิ" จ้าวหย่งเจิ้งดึงนิ้วเข้าออกเร็วบ้างช้าบ้างตามการตอบสนองของคนรักอย่างเหม่ยฟาง

"เจิ้ง ไม่ไหวแล้วจริงๆ ข้าไม่ไหว อ๊ะ อ๊า อ๊าาา" น้ำขาวขุ่นถูกปลดปล่อยจนเลอะไปทั่วหน้าท้องของเหม่ยฟาง

"ออกมาเยอะขนาดนี้เชียว แต่เสร็จก่อนข้าแบบนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะฟาง เจ้าต้องรับผิดชอบข้าสิ" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งจึงถอนมือออกแล้วเปลี่ยนเป็นแก่นกายของตนเข้าแทนที ขณะกำลังกดแกนกายเข้าไปเหม่ยฟางก็ร้องขึ้นมาเสียงดังว่า

"เจิ้ง ไม่เอา ไม่เอาสิ่งนั้น มันเข้ามาไม่ได้หรอก ไม่เอานะ" เหม่ยฟางส่ายหน้าไปมา แม้ร้องขอไม่ให้ใส่เข้ามาก็หาได้เป็นผลไม่ เขาพยายามสอดใส่เข้าว่าจนสุด แล้วค้างเอาไว้เพื่อรอดูท่าทีของเหม่ยฟาง

"อุ๊บ เจ็บ เจิ้ง ข้าเจ็บ เอามันออกไปเถอะ" เหม่ยฟางส่ายหัวไปมามันคับแน่นจนเขารู้สึกอึดอัด

"อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง" จ้าวหย่งเจิ้งจูบปลอบโยนเหม่ยฟางเมื่อน้ำตาไข่มุกเริ่มหลั่งรินอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเหม่ยฟางเริ่มผ่อนคลาย เขาจึงเริ่มขยับแก่นกายเข้าออกเบาๆเพื่อให้เหม่ยฟางได้ปรับตัว

"เจิ้ง อ๊า อ๊า อ๊า เจิ้ง" ร่างกายของเหม่ยฟางรับรู้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ถาโถมเข้ามา แม้จะเจ็บอยู่บ้างแต่ความเจ็บกับแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านสุขสมจนเขาไม่พูดไม่ออก ค่ำคืนแรกของทั้งสองจึงผ่านไปด้วยความราบรื่น ดีตลอดทั้งคืน ยกเว้นตอนเช้า

"จ้าวหย่งเจิ้ง!!! เจ้าคนบ้า เจ้าคนนิสัยไม่ดี ทำไมต้องวางยาข้า" เหม่ยฟางที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หลังจากถูกจ้าวหย่งเจิ้งกระทำจนตนเองสลบไป ลุกขึ้นมาโวยวายทุบตีจ้าวหย่งเจิ้งที่วางยาตนเมื่อคืน

"อืม...อย่าสิ" จ้าวหย่งเจิ้งส่งเสียงครางออกมา ร้องห้ามการกระทำของอีกฝ่าย

"จ้าวหย่งเจิ้ง!!!"

"ไม่พอหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งลืมตาขึ้น ก่อนเอ่ยถามเหม่ยฟางออกไปหน้าตาเฉยอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร

"จ้าวหย่งเจิ้ง!!! คนบ้า ไปตายซะ" เหม่ยฟางรัวกำปั้นทุบเข้าที่อกของอีกฝ่ายไม่หยุด ใครใช้เขาพูดจาแบบนี้กับเขาเล่า ถึงเมื่อคืนเป็นเขาเองที่เรียกร้องให้อีกฝ่ายกระทำเขาก็ตามเถอะ แต่เรื่องวางยาเขา อภัยให้ไม่ได้จริงๆ

พรึ่บ! ปึก!

จ้าวหย่งเจิ้งทนที่จะถูกทุบตีไม่ไหว แม้จะไม่แรงมากแต่มันก็เจ็บเช่นกัน เขาจึงรวบแขนของอีกฝ่ายไว้ก่อนดันให้ร่างบางๆของเหม่นฟางล้มลงไปนอนราบกับพื้นเตียง

"ไม่พอเหรอ ถึงได้เรียกร้องหาข้าเช่นนี้" รอยยิ้มกรุ่มกริ่มปรากฏบนใบหน้าคมเข้มของจ้าวหย่งเจิ้งก่อนที่จะกดจมูกลงไปที่ซอกคอขาวของอีกฝ่าย

"เจิ้ง อืม อ๊า" น้ำเสียงสั่นพร่าดังขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ จนเหม่ยฟางต้องเอามือปิดปากตัวเองด้วยความเขินอาย

"อย่าปิดปากตัวเองสื เสียงของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกดีนะ ฟาง"

"ไม่เอานะเจิ้ง ข้าไม่ไหวแล้ว เจ้าอย่ารังแกข้าสิ" เหม่ยฟางส่งเสียงท้วง

"ใครว่าข้ารังแกเจ้า ข้าเอ็นดูเจ้าต่างหาก 7วัน 7คืนนี้ ข้าจะเอ็นดูเจ้าให้สมใจเลยเชียว"

บทรักของทั้งจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในเช้าวันนี้ บรรดาขันที นางกำนัลที่รับใช้นอกห้องจากพากัน หน้าแดงกันไปตามๆกัน เพราะเสียงภายในห้องนั้นดังจนพวกเขาแทบทำอะไรกันไม่ถูกเลยเชียว....

************************************

**ปล.ขออภัยไรท์แต่ง ncไม่เก่งค่ะ**

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :m25: :m25: :m25: เบาหวานกำเริบ

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
พี่เจิ้งมุ่งมั่นมาก 7วัน 7 คืน หึหึ สงสัยจะได้เด็กๆ วิ่งเต็มวังแน่ ถ้าขยันขนาดนี้  :katai3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด