❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}  (อ่าน 32786 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เจ้าชู้นักนะ หย่งเจิ้ง

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ปวดใจแทนฟางๆน้อยจริง เจิ้งงงง  :angry2: ถ้ายังไม่ปรับปรุงตัวจะส่งฟางไปให้คนอื่นแล้วนะ  :angry2: :fire:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หย่งเจิ้นอย่าประชดกันแบบนี้ มีแต่เสียกับเสียเน้อ

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 7 เทศกาลตวงโหงว

เช้าอันแสนสดชื่นแต่จิตใจคนกลับหดหู่ ร่างบางเปียกชื้นไปด้วยน้ำค้างนั่งเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย อวี๋เหวินเต๋อเปิดประตูห้องพักออกมา พบร่างบางของเหม่ยฟางนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนของโรงเตี๊ยม ร่างกายดูเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำค้างคล้ายกับนั่งอยู่ที่ตรงนี้มานาน จึงเดินเข้าไปหา

"น้องฟาง เจ้ามานั่งทำอะไรตรงนี้" เหม่ยฟางโดนทักจึงหันไปมองดวงตาแดงเรื่อคล้ายคนร้องไห้แต่ไร้คราบน้ำตา

"พี่อวี๋..."

"เจ้านั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหน แล้วใยตาเจ้าถึงได้แดงเช่นนี้" ว่าจบจึงใช้มือแตะใบหน้าของอีกฝ่าย เพียงแค่สัมผัสที่อบอุ่นก็ยิ่งอยากจะร้องไห้ จึงโผเข้าอ้อมกอดอีกฝ่ายในทันที คนถูกกอดถึงกับชะงักทำอะไรไม่ถูก

"ฮือๆ พี่อวี๋ ฮือๆ"

"เจ้าร้องไห้ทำไม" ว่าแล้วจึงผลักร่างบางออกเพื่อซักถาม แต่ภาพตรงหน้ากับทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องแปลกใจ เพื่อคนตรงหน้ากับหลั่งน้ำตาเป็นไข่มุก

"ข้าแปลกประหลาดมากใช่ไหม คนที่หลั่งน้ำตาที่ไม่ใช่น้ำตาแบบนี้"

"ไม่หรอก เจ้างดงามมาก ใครว่าเจ้าประหลาดกัน" อวี๋เหวินเต๋อใช้มือรองเม็ดไข่มุกที่ไหลออกมายากดวงตาเรียวคู่สวย  ใบหน้าซบเข้ากับฝ่ามือที่รองน้ำตาไข่มุกรอยยิ้มบางๆจึงเริ่มปรากฏบนใบหน้า

ขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนเคียงคู่กัน จ้าวหย่งเจิ้งได้เปิดประตูออกมาเห็นท่าทางที่ชิดใกล้ของทั้งสองคน ความรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจจึงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้มีหญิงงามที่ร่วมเสพสมยืนเคียงข้างแต่จิตใจภายในกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าไฟรน

'แม้เมื่อคืนจะเสพสมกับหญิงงาม ใยในหัวข้ากับถึงภาพของเหม่ยฟาง ปรากฏอยู่ตลอด นี่ข้าคงบ้าไปแล้วกระมัง'

"คุณชายหย่งเจ้าคะ ดูท่าบ่าวของท่านคงชื่นชอบบุรุษเพศเช่นเดียวกันเป็นแน่ ดูสิเจ้าคะ ท่าจะมีข่าวดีอีกไม่นาน" ว่านเสี่ยวหลิงเอ่ยขึ้นคล้ายเติมเชื้อไฟในอกของจ้าวหย่งเจิ้ง จึงเหลือบมองนางที่อยู่เคียงข้างอย่างเย็นชาจนนางต้องสงบปากสงบคำ ก้มหน้าสำนึกผิด

"เจ้ากลับไปได้แล้วหากข้าไม่ได้เรียกไม่ต้องมาที่นี่อีก"

"เจ้าค่ะ" แม้ท่าทางอ่อนน้อมดูสง่า แต่ภายในใจของหญิงสาวกลับเต็มไปด้วยแรงริษยาที่มีต่อเหม่ยฟาง

'ข้าจะกำจัดเสี้ยนหนามอย่างเจ้าให้จงได้เหม่ยฟาง'


หอคณิกาฝูหลงฮาว

บุรุษชุดดำสองคนยืนเคียงข้างหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นบุปผาประจำหอคณิกา หญิงสาวผู้งดงามสดสวยจนใครต่างชื่นชม

"ข้าเจ็บใจนัก รูปโฉมข้าไม่ได้งดงามแพ้หญิงใดในเจียงหนาน แล้วใยข้าจึงแพ้บุรุษผิดเพศเช่นนั้นได้ ข้าเจ็บใจนัก" ว่านเสี่ยวหลิงระบายความอัดอั้นในจิตใจให้กับลูกน้องคนสนิทซึ่งคล้ายกับนักฆ่ามากกว่าบ่าวรับใช้ธรรมดา

"คุณหนูจะให้ข้าสองคนทำอย่างไรจงสั่งการ" บุรุษหนึ่งในสองกล่าวออกมา

"นั่นสินะ ข้าควรทำอะไรดีกับเจ้าบุรุษผิดเพศนั่น" หญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างมีแผนการบางอย่าง

"คุณหนูจะทำเช่นไรขอรับ"

"ข้าแอบได้ยินว่า เจ้าบุรุษผิดเพศนั่นแพ้เหล้ายาหรดาลหากเราแอบใส่ลงไปอาหารที่จัดเลี้ยงในงานเทศกาลก็คงจะดี"

"ข้าน้อยรับคำสั่ง ข้าจะไปสั่งให้ร้านรวงที่ปรุงอาหารออกงานไม่เว้นแต่เหลาอาหารและโรงเตี๊ยมผสมเหล้ายาหรดาลลงไปในอาหารทุกชนิดขอรับ หากใครไม่ทำตามคำสั่งข้าจะสั่งสอนพวกมันเอง"

"ดี ดูสิเหล้าหรดาลมากมายที่ผสมลงไปในอาหารจะทำให้เจ้ารู้สึกอย่างไร"



เทศกาลตวงโหงว (เทศกาลไหว้บะจ่าง) ผู้คนมากมายต่างเตรียมงานกันอย่างคึกคัก เหม่ยฟางออกมาเที่ยวเล่นในตลาดอย่างชื่นบาน หลังจากวันที่มีปากเสียงกับจ้าวหย่งเจิ้ง เหม่ยฟางเอาแต่หลบหน้าอีกฝ่าย จนจ้าวหย่งเจิ้งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฟาดงวงฟาดงาใส่คนไม่เกี่ยวข้องให้โดนกันถ้วนหน้า แม้แต่อวี๋เหวินเต๋อคนสนิทในตอนนี้ก็ยังเข้าหน้าไม่ติด

"ใยเจ้าไม่ไปปรับความเข้าใจกับคนรักของเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยที่ตามอยู่ข้างๆเอ่ยขึ้น

"ใครกันคนรักข้า เขาไม่เคยเป็นอะไรกับข้ามาแต่แรก ใยท่านถึงเรียกเขาว่าคนรักของข้า" ตาเฒ่าได้แต่ส่ายหัวให้กับคนทิฐิแรงอย่างเหม่ยฟาง

"เจ้าก็รู้ว่าเขายังจำเรื่องของเจ้าไม่ได้ แล้วใยยังถือทิฐิอีก" เหม่ยฟางนิ่งชะงักไปสักพักก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า

"เรื่องนั้นข้าไม่รับรู้ เจ้าอย่ามาก่อกวนข้าให้ข้าหมดสนุกไปหน่อยเลย"

"ตามใยเจ้าละกัน" ว่าจบตาเฒ่าเอี๊ยก็หายตัวไป ทิ้งให้เหม้ยฟางเดินเล่นในตลาดงานเทศกาลต่อไป


ตกดึก ภายในโรงเตี๊ยมกับสว่างไสว เสียงเพลงเสียงดนตรีเสียงขับขานดังไปทั่วสารทิศ ชายหนุ่มผู้สูงสง่าอย่างจ้าวหย่งเจิ้งนั่งอยู่บนที่ที่สูงที่สุดเฝ้ามองผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมวานเลี้ยงฉลอง แม้แต่สาวคณิกายังถูกเชื้อเชิญให้มาปรนนิบัติแขกเรื่อ แม้แต่จ้าวหย่งเจิ้งยังมีว่านเสี่ยวหลิงสาวงามแห่งหังโจวคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย แต่สายตากับสาดส่องหาคนที่สัญญาว่าจะมาดื่มด้วยกัน

"คุณชายหย่งท่านมองหาใครหรือเจ้าคะ" นางถามพลางรินเหล้ายาหรดาลใส่จอกให้กับจ้าวหย่งเจิ้ง

"เหม่ยฟาง เขาสัญญาว่าจะมาดื่มกับข้า" แม้ปากพูดออกไปแต่สายตากับยังคงสาดส่องหาร่างบางโดยไม่สนใจหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ซึ่งบัดนนี้นางได้แต่กำหมัดแน่นจนเล็บยาวๆจิกเข้าไปในเนื้อตนเอง

"คุณชายเหม่ยอาจติดธุระก็ได้ เลยมาช้า"

"คงเป็นเช่นนั้น" จ้าวหย่งเจิ้งตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

เวลาผ่านไปเกือบค่อนคืน ในที่สุด ร่างบางในชุดเขียวอ่อนเดินย่างเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างสง่างาม ใบหน้าสดสวยงดงามยิ่งกว่าหญิงใดทุกคนภายในโรงเตี๊ยมต่างพากันหันมองด้วยความสนอกสนใจ แม้เดินผ่านที่ไหนบุรุษน้อยใหญ่ต่างเรียกขานชื่อ จนเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ เรียกความสนใจของจ้าวหย่งเจิ้งเป็นอย่างดี เมื่อสายตาพบร่างบางในชุดเขียวจึงรีบยืนขึ้นด้วยความสนใจ แต่พอเห็นเจ้าตัวเดินผ่านใครแล้วโปรยยิ้มหวานให้คนที่คอยเรียกชื่อตน จึงเกิดความไม่พอใจ รีบเดินลงไปตาม เหม่ยฟางในทันที สร้างความไม่พอใจให้ว่านเสี่ยวหลิงยิ่งนัก

"เจ้ามัวหว่านเสน่ห์อะไรตรงนี้ ไหนว่าจะดื่มร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า" เหม่ยฟางเหลือบมองว่านเสี่ยวหลิงที่อยู่ด้านหลังก่อนยกยิ้มมุมปากตอบกลับจ้าวหย่งเจิ้งไปว่า

"ใยท่านต้องรอข้า ในเมื่อท่านมีหญิงงามอย่างแม่นางเสี่ยวหลิงนั่งเป็นเพื่อนร่ำสุราด้วยอยู่แล้ว สำหรับท่านแล้วข้าคงไม่จำเป็นแล้วกระมัง" แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่กลับสร้างความเจ็บแปลบให้กับจ้าวหย่งเจิ้งเป็นอย่างมาก

"ใยเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าอุตส่าห์รอเจ้ามาค่อนคืนแต่เจ้ากับตอบข้าเช่นนี้งั้นเหรอ" เสียงสั่นเครือบ่งบอกถึงความอัดอั้นภายในใจใกล้ปริแตก

"ถ้าท่านพูดเช่นนั้นข้าไปร่วมดื่มกับท่านก็ได้" ว่าจบจึงยื่นมือไปลูบแผ่นอกของอีกฝ่ายพลางช้อนตาส่งยิ้มหวานให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"ดีจริง" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มละไมจนทำไมเหม่ยฟางชะงัก ความจริงที่เขาทำเมื่อครู่แค่ยั่วเย้าให้ว่านเสี่ยวหลิงเกิดโทสะเท่านั้น ว่านเสี่ยวขบฟันแน่นมองตามร่างเหม่ยฟางที่เดินขึ้นมาด้านบน

'เจ้ามันเป็นมารสำหรับข้าเสียจริง' ว่านเสี่ยวหลิงสบถภายในใจเล็บยาวสวยจิกเข้ากับหน้าขาตนเองด้วยความรู้สึกริษยา

"อุ๊ย คุณชายเหม่ยเชิญนั่งเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าน้อยรินสุราให้นะเจ้าคะ"

"ไม่ต้องเดี๋ยวข้าทำเอง" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เอ่ยปากเพื่อจะเอาใจเหม่ยฟางพลางยกกาสุราจะรินใส่จอกให้ แต่เป็นเหม่ยฟางที่เอามือปิดปากจอกไว้

"ข้าน้อยมิบังอาจให้คุณชายผู้สูงส่งรินสุราให้หรอกขอรับ ข้าขอรับการรินจากแม่นางเสี่ยวหลิงดีกว่า" ว่าจบจึงยกจอกสุรายื่นให้ว่านเสี่ยวหลิงเป็นนนรินสุราให้

"เชิญเจ้าค่ะ" ว่านเสี่ยวหลิงยิ้มหวานหยดย้อยแต่แววตากับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ยกกาสุราหมายจะรินให้เหม่ยฟาง

"ช้าก่อนแม่นางเสี่ยวหลิง พอดีข้าไม่ถูกกับเหล้ายาหรดาลอย่างไรเจ้าช่วยเปลี่ยนกาสุราให้ข้าได้หรือไม่

"อุ๊ย ตายจริงข้าน้อยไม่ทราบเดี๋ยวข้าน้อยจะนำไปเปลี่ยนให้นะเจ้าคะ" ว่านเสี่ยวหลิงลุกขึ้นจากโต๊ะถือกาสุราจะไปเปลี่ยนแต่คล้ายเหมือนถูกขัดขาสุราในกาจึงหกรดร่างบางเหมือนตั้งใจ

"ตายแล้ว ข้าน้อยสมควรตายเจ้าค่ะ ข้าน้อยสมควรตาย" ว่านเสี่ยวหลิง หลั่งน้ำตาก้มหน้าคุกเข่าขออภัย แต่ภายใต้ม่านน้ำตากับมีรอยยิ้มน่าเกลียดปรากฏอยู่

"บังอาจ" จ้าวหย่งเจิ้งตบโต๊ะเสียงดัง หมายไล่ว่านเสี่ยวหลิงออกจากงานแต่เป็นเหม่ยฟางที่ยกมือห้ามไว้ใบหน้างามยังคงก้มไว้ไม่ยอมเงยก่อนลุกขึ้นยืน

"ไม่ต้องไล่นาง ข้าน้อยขอตัวกลับห้องก่อน"

"เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม เหล้ายาหรดาลไม่ได้ทำอันตรายเจ้าใช่หรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งรั้งข้อมือคนงามไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"ปล่อยข้าเถอะ จ้าต้องรีบไปล้างพิษเหล้ายาหรดาลออก" เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งปล่อยมือ หากอยากวิ่งลงไปด้านล่างคงไม่ทัน เหม่ยฟางจึงวิ่งไปทางหน้าต่างแทน เพียงสะกิดปลายเท้าเพียงเล็กน้อยร่างเหม่ยฟางก็ลอยตรงไปที่ทะเลสาบซีหูอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนต่างตื่นตะลึงไม่เว้นแม้แต่จ้าวหย่งเจิ้ง

'เจ้าเป็นใครกันแน่เหม่ยฟาง'

ฝ่ายว่านเสี่ยวหลิงได้แอบกำชับให้บ่าวรับใช้ตามไปลอบสังหารเหม่ยฟางในทันทีเมื่อเหม่ยฟางกระโดดหน้าต่างหายไปทางทะเลสาบซีหู

บัดนี้ เหม่ยฟางที่ใช้กำลังภายในพาตัวเองกระโดดจากหน้าต่างมาทางทะเลสาบซีหูได้ลงไปดำผุดดำว่ายเพื่อล้างพิษเหล้ายาหรดาลออกจากกาย แต่เพราะมาช้าจนเกินไปร่างของเหม่ยฟางกลายเป็นงูไปครึ่งหนึ่งเจ้าตัวดิ้นพล่านอยู่ในน้ำ จนเกิดคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่

แต่เหม่ยฟางกับไม่รู้เลยว่า บริเวณที่ตนกระโดดลงมานั้นมีร่างบุรุษคนหนึ่งยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าตะลึงตะลาน เขาไม่ได้แอบตามมา แต่เขามายืนอยู่ก่อนที่เหม่ยฟางจะกระโดดลงไปในน้ำเสียอีก ดังนั้นจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พร้อมกับสังหารนักฆ่าที่ตามมาด้วยนั้นจนสิ้น อวี๋เหวินเต๋อลอบมองดูเหตุการณ์อยู่ครู่ใหญ่จนเห็นว่าร่างบางสงบลงมากแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ร่างที่หายใจรวยรินอยู่ริมฝั่งอย่างกล้าๆกลัว

"มะ เหม่ยฟาง นั่นเจ้าหรือ" อวี๋เหวินเต๋อเดินตรงมายังร่างครึ่งคนครึ่งงูที่ลอยเกยบนฝั่ง สองตาเรียวสวยเปิดออกเพื่อมองว่าคนที่มานั่นคือใคร

"พี่อวี๋ เป็นท่านเองเหรอ ร่างกายข้าคงน่าเกลียดน่ากลัวมากสินะ" รอยยิ้มขื่นที่มอบให้ทำให้อวี๋เหวินเต๋อปวดใจไปด้วยไม่น้อยไปกว่าร่างบาง

"ที่แท้เจ้า เป็นมังกรเขียวสินะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับแต่โดยดี ก่อนหลับตาลงอีกครั้งแต่ยังคงเอ่ยถามสิ่งที่ตนจ้องใจ

"ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ท่านไม่ได้อยู่ที่งานหรอกหรือ"

"ข้าถูกคุณชายสั่งห้ามไม่ให้ไปที่งาน ข้าเบื่ออยู่ในห้องจึงมาเดินเล่น"

"ท่านนี่เดินมาไกลจังนะ" แม้จะอ่อนเพลีย แต่ยังคงเย้าแหย่อวี๋เหวินเต๋อเล่น

"ว่าแต่เจ้าเถอะจะกลับร่างเดิมตอนไหน"

"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน" "ถ้าอย่างไรข้าเฝ้าคนให้เจ้าละกัน"

"ขอบคุณพี่อวี๋ ท่านยังใจดีกับข้าเหมือนเมื่อก่อนเสมอ"

"เจ้าขึ้นมาจากน้ำเถอะเดี๋ยวจะไม่สบาย" อวี๋เหวินเต๋อเข้าช่วยประคองร่างเหม่ยฟางขึ้นมาพิงกัยต้นไม้ใหญ่

"พี่อวี๋ พี่าญญากับข้าได้ไหมว่าจะไม่บอกใครเรื่องมี่ข้าเป็นมังกรเขียว"

"เจ้านอนเถอะเรื่องอื่นค่อยว่ากัน" เหม่ยฟางพยักหน้ารับอย่างจำใจ แม้อยากคุยให้รู้เรื่องแต่ร่างกายกับอ่อนล้าจนเกินไป

"พี่อวี๋ ขอบคุณท่านมาก"

"หลับเถอะ ค่ำคืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง" เพียงคำพูดคำปลอบโยนที่แสนอบอุ่นจึงทำให้เหม่ยฟางวางใจ จึงยอมหลับไปในที่สุด

'ว่านเสี่ยวหลิงเจ้าคิดฆ่าข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้เช่นกัน ตาต่อตาฟันต่อฟัน'

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2017 14:59:07 โดย Vammas »

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
เรื่องกำลังเข้มข้นนนน  :pig4: :3123:  รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่ออออ  :ling1:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤
ตอนที่ 8 แผนการร้ายของนางจิ้งจอก

ตุบ ตุบ

เสียงคล้ายของหนักหล่นกระทบพื้นห้องนอน บนเตียงมีร่างหญิงสาวงดงามหยดย้อยนอนหลับนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติภายในห้องจึงขยับเปลือกตาไปมาคล้ายกำลังรู้สึกตัว ร่างสีดำ 2ร่าง ซ่อนอยู่ในมุมมืดเพื่อรอดูปฏิกิริยาของผู้ที่กำลังจะตื่นนอน เมื่อดวงตาสองข้างเปิดออก ความรู้สึกแรกที่นางสัมผ้สได้คือกลิ่นคาวเลือด หญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาชั่วครู่ เหมือนคิดว่ากลิ่นคาวเลือดนั้นเป็นของคนที่นางอยากกำจัด แค่เมื่อนางก้าวเท้าจากเตียง ของบางอย่างแตะโดนเท้าของนาง นางก้มลงมอง แล้วร้องออกมาเสียงดัง

"กรี๊ด กรี๊ดดด!!!" นางตกใจตาค้าง ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนที่นางส่งไปจะกลับมาเพียงแค่หัว นางชักเท้าขึ้นเตียง ถอยร่นนั้งกอดเข่าอยู่มุมเตียงด้วยความหวาดกลัว

"นี่คือการเตือน หากยังรักตัวกลัวตาย อย่ามายุ่งกับข้าอีก ข้าไม่ฟังแล้วนั้น หัวต่อไปคงเป็นเจ้า"

เสียงในเงาดังขึ้น ก่อนเผยร่างให้เห็น เมื่อนางเห็นว่าผู้ใดเดินออกมาจากเงาถึงกับอ้าปากค้างมองคนชุดเขียวด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แม้นางจะกลัวแต่ยังไม่วายปากดีใส่คนตรงหน้า

"เจ้า...เจ้ากล้าดียังไงมาสังหารคนของข้า หรือเจ้าอยากไม่รู้ว่าข้ากับคุณชายของเจ้ามีความสัมพันธ์กันเช่นไรถึวกล้าบุกรุกและยังสังหารคน"

"นั่นคงเป็นเรื่องของเจ้าที่ต้องตอบคำถามของข้า" อวี๋เหวินเต๋อ ที่ยืนฟังอยู่เดินออกมาจากมุมมืดที่ตนยืนอยู่

"นี่เจ้า..." นางยกนิ้วชี้หน้าอวี๋เหวินเต๋อด้วยมือสั่นเทา นางไม่คิดว่าอวี๋เหวินเต๋อจะมาปรากฏตัวตรงหน้าอีกคน

"เจ้าคิดว่าส่งคนไร้ฝีมือไปสังหารน้องของข้า แล้วจะไม่มีใครรู้หรือไง" ว่าแล้วก็โยนศีรษะอีกหัวไปที่ปลายเท้านาง

ตุบ ตุบ

"กรี๊ดดด กรี๊ดดด" นางกรีดร้องอีกครั้ง นางกระทืบเท้าเร่าๆดเวยความเจ็บใจ จนคนด้านนอกได้ยินเสียง

"คุณหนูเกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ" บ่าวรับใช้ได้ยินเสียงนางจึงรีบพากันขึ้นมา นางจึงรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อเปิดให้เข้ามาช่วยนาง

ทั้งเหม่ยฟางกับอวี๋เหวินเต๋อหันไปทางประตูเห็นว่ามีคนมาเพิ่มจึงพากันหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย

"เกิดอะไรขึ้นขอรับ" เมื่อเปิดให้บ่าวรับใช้เข้ามานางถึงกับหัวเสีย เมื่อสองร่างหายไป นางกัดกรอด มองไปทางบ่าวรับใช้อย่างหัวเสีย ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

"เตรียมเกี้ยวให้ข้า ข้าจะไปหาคุณชายหย่ง แล้วเก็บหัวคนเหล่านี้ห่อผ้าให้ข้าด้วย"

"ขอรับ"


"คุณชายหย่ง ฮือๆ คุณชายหย่ง ให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ" ว่านเสี่ยวหลิงร้องไห้น้ำตานองหน้า ส่งเสียงสะอึกสะอื้นจนน่าเวทนา มาร้องขอความเห็นใจกับจ้าวหย่งเจิ้งที่หน้าประตูห้องพัก

"เกิดอะไรขึ้นหลิงเอ๋อร์ ใยเจ้าถึงร้องห่มร้องไห้มาหาข้า" จ้าวหย่งเจิ้งเปิดประตูออกเห็นสภาพอันน่าเวทนาของว่านเสี่ยวหลิงตึงเจ้าประคองนางไถ่ถามความทุกข์ของนาง

"คุณชายให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ"

"เจ้าร้องขอความเป็นธรรมเรื่องอะไร"

"คนของคุณชายบุกรุกห้องนอนของข้า ทั้งยังสังหารคนของข้า หมายจะข่มเหงรังแก...ฮือๆ แต่ยังโชคดีที่ข้าหนีรอดมาได้ เพียงแต่คนข้ากับถูกสังหารอย่สงโหดเหี้ยม ฮือๆ ท่านโปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ" นางร้องไห้คร่ำครวญพลางเปิดห่อผ้า ที่ใส่ศีรษะบ่าวรับใช้ทัเงสองคนให้กับจ้าวหย่งเจิ้งดู

"มันผู้ใด ช่างบังอาจนัก ทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้" สายตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธซักถามถุงคนที่ลงมือ นางคิดใคร่ควรแล้วว่า หากให้เหม่ยฟางเป็นคนผิดอาจถูกสงสัยได้ นางจึงเอ่ยชื่อบุรุษอีกคนขึ้นมา

"คุณชายอวี๋เจ้าค่ะ ฮือๆ"

"เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งเจิ้งตกใจอ้าปากค้าง เป็นไปไม่ได้ที่อวี๋เหวินเต๋อ จะเป็นผู้กระทำ อวี๋เหวินเต๋อเป็นคนเถรตรง ยึดถือคุณธรรมที่สุด ไหนเลยจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้

"เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงเจ้าค่ะ ข้าเป็นผู้เสียหาย ใยต้องใส่ร้ายคนผิด ได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยคุณชาย" นางร้อวไห้เกาะแข้งเกาะขา จ้าวหย่งเจิ้งไม่ยอมปล่อย

"เจ้าปล่อยข้าเถอะ ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้าเอง หากอวี๋เหวินเต๋อผิดจริงข้าจะลงโทษเขาให้เหมือนเช่นบ่าวรับใช้ของเจ้า

"ขอบคุณคุณชายที่ให้ความเป็นธรรมกับข้า" แม้จะร้องไห้ แต่ใบหน้าของนางยังคงแอบซ่อนรอยยิ้มชั่วร้าย

เมื่อให้สัจจะไป จ้าวหย่งเจิ้งจึงให้คนไปตามอวี๋เหวินเต๋อ มาไต่สวนที่สำนักผู้ตรวจการ ในทันที โดยมีจ้าวหย่งเจิ้งเป็นผู้ไต่สวน ซึ่ง ว่านเสี่ยวหลิงเองยังคาดไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งจะเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งขนาดผู้ตรวจการยังต้องก้มหัว หากนางได้แต่งเป็นอนุ นางจะต้องสบายเป็นสิบชาติอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงคิดกำจัดเสี้ยนหนามในครั้งนี้ให้สิ้นซาก หากไม่เช่นนั้นเป็นนางเองที่จะเดือดร้อน

"เบิกตัวอวี๋เหวินเต๋อ" เสียงอันส่งพลังบ่งบอกถึงอำนาจ ให้ทหารนำตัวอวี๋เหวินเต๋อมา

อวี๋เหวินเต๋อ เดินเข้ามาอย่างสง่างาม โดยมีเหม่ยฟางเดินตามมาข้างๆ พลันหัวใจของจ้าวหย่งเจิ้งกับสั่นไหวกับภาพที่เห็น แต่หน้าที่ต้องมาก่อน ดังนั้นเขาจำต้องละเรื่องส่วนตัว มาสนใจคดีที่เกิดขึ้น

"ข้าน้อย อวี๋เหวินเต๋อ คารวะคุณชาย" อวี๋เหวินเต๋อยืนนิ่งไม่ยอมคุกเข่าลง จ้าวหย่งเจิ้งจึงซักถามไปว่า

"ใยเจ้าไม่คุกเข่า"

"เรียนคุณชาย ข้าน้อยไม่ได้ทำผิดสิ่งใด ใยข้าน้อยต้องคุกเข่า"

"ถ้าเช่นนั้น เจ้าจำนางได้หรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อมองไปยัง ว่านเสี่ยวหลิง ก่อนหันมาตอบผู้เป็นนายว่า

"จำได้ขอรับ นางเป็นหญิงคณิกาของฝูหลงฮาวขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อ ตอบพร้อมเน้นคำว่า หญิงคณิกา ลงไปในน้ำเสียง

"นางกล่าวอ้างว่า เจ้าคิดข่มเหงนางเป็นเรื่องจริงหรือไม่"

"ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอนขอรับ นางเป็นหญิงคณิกา ใยข้าจะต้องคิดข่มเหงนาง หากจ่ายเงินข้าย่อมได้เชยชมนางจริงหรือไม่ขอรับ"

"นั่นสินะ เป็นอย่างเจ้าว่า เจ้ามีอะไรมาอธิบายหรือไม่ว่านเสี่ยวหลิง" จ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอวี๋เหวินเต๋อ จึงหันไปถามว่านเสี่ยวหลิงอีกครั้ง

"คุณชายหย่ง โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย แม้ข้าจะเป็นนางคณิกาแต่ข้าก็ยังสามารถเลือกแขกได้ ไม่เชื่อคุณชายลองไปถามเหล่าบุรุษที่เคยมาเที่ยวที่หอคณิกาก็ได้นะเจ้าคะ ว่าปีหนึ่งข้ารับแขกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนอนกับข้าได้นะเจ้าคะ ฮือๆ คุณชายให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ฮือๆ"

เมื่อฟังที่นางพูดจ้าวหย่งเจิ้งจึงให้คนไปสืบเรื่องเหล่านี้ และเป็นจริงอย่างที่นางเอ่ยเช่นกัน ปีหนึ่งนางรับแขกบางเป็นบางครั้ง และหนึ่งในนั้นรวมเขาด้วย

"เจ้ามีอะไรจะแก้ด้วยอีกหรือไม่"

"เรียนคุณชายข้าน้อยไม่ได้กระทำขอรับ"

"หากเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะให้คนนำเจ้าไปโบย50ไม้" 

"ข้าน้อยไม่ผิด แม้จะโบยข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่อาจสารภาพสิ่งที่ข้าน้อยไม่ได้ทำได้"

"คุณชาย ให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วย ไม่เช่นนั้นบ่าวรับใช้ของข้าอาจตายตาไม่หลับ"

"จริงสิ เจ้าได้กระทำการเหี้ยมโหดโดยสังหารคนสองคนนี้หรือไม่" ว่าแล้วจึงให้ทหารนำศีรษะของคนสองคนมาวางไว้ตรงหน้าอวี๋เหวินเต๋อ เมื่ออวี๋เหวินเต๋อจึงกำหมัดประสานฝ่ามือก้มหะวกล่าวกับจ้าวหย่งเจิ้งไปว่า

"เรียนคุณชาย ข้าเป็นคนสังหารคนสองคนนี้เองขอรับ แต่ข้าไม่ได้คิดแม้แต่จะข่มเหงนาง นางผู้มีจิตใจชั่วช้าเช่นนี้ ไม่มีทางทำให้ข้าเกิดอารมณ์พิศวาสได้หรอกขอรับ"

"นี่เจ้า...เจ้ากล้าดูถูกข้า" ว่านเสี่ยวหลิง ตวาดเสียงเขียวชี้หน้า อวี๋เหวินเต๋อ

"ถ้าเช่นนั้น เจ้าเป็นคนฆ่าบุรุษสองคนนี้ใช่หรือไม่"

"ขอรับ"

"เจ้าทำไปทำไม" 

"บุรุษสองคนนั่นคิดจะสังหารข้า" เสียงหวานเสนาะหูของเหม่ยฟาวที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกมาพร้อมเดินมายืนเคียงข้างอวี๋เหวินเต๋อ ยิ่งสะท้อนให้จิตใจจ้าวหย่งเจิ้งเจ็บปวดยิ่งนัก

"คิดสังหารเจ้า พวกเขาจะสังหารเจ้าด้วยเรื่องอะไร" เจ้าหย่งเจิ้งเอ่ยถามก่อนเหลือบตาไปมองว่านเสี่ยวหลิงที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มซีดเผือด นางมีตัวคนเดียว หากทั้งสองคนช่วยกันไขความกระจ่างนั้น คนที่ซวยคือนางเป็นแน่

"เรื่องนั้นข้าไม่รู้ ถ้าอยากรู้คงต้องถามแม่นางว่านเสี่ยวหลิงแล้วกระมัง" เมื่อเหม่ยฟางเอ่ยออกไป จ้าวหย่งเจิ้งจึงหันมาสอบนางในทันที

"เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่ว่านเสี่ยวหลิง"

"ข้า...คือ ข้า ไม่ได้สั่งนะเจ้าคะ คนพวกนี้บุกเข้ามาในห้องของข้าทั้งยังโยนศีรษะบ่าวรับใช้มาที่ข้าอีก ข้ากลัวมากเลยเจ้าค่ะคุณชาย" ว่านเสี่ยวหลิงทำเสียงออดอ้อนพลางหวาดกลัวหวังให้จ้าวหย่งเจิ้งเห็น

"งั้นเจ้าช่วยบอกข้าได้ไหม หากข้าพวกข้าสังหารคนของเจ้าในที่พักแล้วไหนล่ะ ร่างของบ่าวรับใช้ของเจ้า" เหม่ยฟางกล่าวซักถาม จนว่านเสี่ยวหลิงไม่อาจตอบออกไปได้ นางอึกอักอยู่นานแต่ไม่สามารถหาคำตอบให้กับจ้าวหย่งเจิ้งได้ ความจริงแล้วนางได้ส่งคนไปหาศพของบ่าวรับใช้ของตนแต่ไม่มีใครหาพบ นางจึงไม่มีร่างไร้หัวของบ่าวทั้งสองมาให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้ามีข้อแก้ตัวหรือไม่ว่านเสี่ยวหลิง"

"คือข้า..."

"เรียนคุณชายเมื่อวันงานเทศกาลตวงโหงว มีชาวบ้านแอบมาร้องเรียนว่าคนของหอคณิกาฝูหลงฮาว ได้ข่มขู่ให้ชาวบ้านผสมเหล้ายาหรดาลในอาหารด้วยขอรับ"

"เจ้าทำเช่นนั้นเพื่ออะไร" ว่านเสี่ยวหลิงไม่ตอบได้แต่ก้มหน้าก้มตา อย่างอย่างอับจน

"นางคงแอบได้ยินตอนที่ข้าน้อยคุยกับท่าน เรื่องที่ข้าแพ้เหล้ายาหรดาล จึงคิดใส่ในอาหารหากข้าทานคงเกิดอาการแพ้และจนถึงแก่ชีวิตได้" เหม่ยฟางเสริมขึ้นแล้วมองไปยังว่านเสี่ยวหลิงอย่างเวทนากับการกระทำของนาง

"เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งใช้สายตาเยียบเย็นมองไปยังร่างบางที่สั่นเทา ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่นางคิดจะใส่ร้ายคน แต่กลับเป็นนางที่ตกเป็นจำเลย

"ข้าไม่มีอะไรอธิบาย เชิญคุณชายมอบคสามตายให้ข้าด้วย หากข้าไม่ตายข้าจะกลับมาฆ่ามันอีกครั้ง" นางยืนขึ้นชี้หน้าเหม่ยฟางด้วยอารมณ์โกรธสุดยากจะบรรยาย "ดี ในเมื่อเจ้ารับผิดข้าจะมอบความตายให้แก่เจ้า ทหารเอานางไปตัดหัว"

"ช้าก่อนคุณชาย ไหนๆนางก็เคยปรนนิบัติรับใช้ท่านใยท่านไม่ลงโทษสถานเบาใยต้อวฆ่าแกงกัน" เหม่ยฟางกล่าวทัดทาน

"เช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร"

"แค่เนรเทศนางออกไปให้พ้นเจียงหนานก็คงพอ" แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เหม่ยฟางกับคิดว่าบทลงโทษนี้เหมาะสมกับนางที่สุด แม้ไม่ตายก็เหมือนตายทั้งเป็น

"เจ้า...หากข้าพบเจ้า ข้าจะตามไปฆ่าเจ้าให้จงได้เจ้าบุรุษผิดเพศ" แม้เพียงคำเดียวที่เหม่ยฟางไม่อยากได้ยิน นั่นคือ คำที่ ว่านเสี่ยวหลิง เอ่ยออกมา ในตาของเหม่ยฟางทอประกายวูบไหวกับคำว่า บุรุษผิดเพศ ยิ่งนัก ไม่ว่าโลกนั้น หรือโลกนี้ มันเป็นคำที่เหม่ยฟางรู้สึกเจ็บปวดที่สุด จ้าวหย่งเจิ้งคล้ายมองออกว่าเหม่ยฟางรู้สึกเช่นไร จึงสั่งทหารตบปากว่านเสี่ยวหลิง ทั้งยังสั่งโบยนางอีก 20ไม้ ก่อนขับนางออกจากเมือง

เรื่องคดีจบไปด้วยดี นางจิ้งจอกถูกขับออกจากเมืองไปแล้ว วิถีชีวิตของเหม่ยฟางกลับมาเหมือน แต่ก็ไม่เหมือนเดิมไปเสียทีเดียวเมื่อ จ้าวหย่งเจิ้งมาคอยตามติดยิ่งกว่าแต่ก่อน

"ฟางเอ๋อร์ เจ้าโดนพิษเหล้าหรดาลเป็นอย่างไรบ้าง ข้าห่วงเจ้าเหลือเกิน" จ้าวหย่งเจิ้งนั่งประกบด้านข้างเหม่ยฟางทั้งยังถือวิสาสะคว้ามือเหม่ยฟางมาลูบเล่น

"ท่านปล่อยมือข้าเถอะ หากใครมาเห็นเข้าคงไม่ดี" เหม่ยฟางพยายามดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล 

"เจ้า โกรธข้าอยู่งั้นเหรอ ข้าขออภัยเจ้าจริงๆนะฟางเอ๋อร์ เจ้ายกโทษให้ข้านะ นะ นะ" ชายชาติบุรุษกับทำเสียงออดอ้อนเป็นเด็กๆจนเหม่ยฟางต้องหลุดยิ้มออกมา

"เจ้ายิ้มแล้ว ข้าดีใจจริง ข้าชอบรอยยิ้มของเจ้าที่สุด แต่ข้าไม่ชอบเวลาที่เจ้าโปรยยิ้มเสน่ห์ให้ผู้อื่น ข้ารู้สึกคันยิบยิบในใจอ่างไรไม่รู้" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากพูดความในใจของตน แม้บางคำกลับดูเหมือนคำสารภาพรักอย่างไรอย่างนั้น จนเหม่ยฟางยังอดเขินกับคำพูดเหล่านั้นไม่ได้

"ท่านพูดยังกับบอกรักข้า" "บอกรักงั้นเหรอ มันเหมือนข้าบอกรักเจ้างั้นเหรอ"

"อืม ก็ไม่เชิง" เหม่ยฟางรู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกครั้ง 

"หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงจะหลงรักเจ้าโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่"

"ท่าน ท่าน ต้องล้อข้าเล่นเป็นแน่" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

"ข้าไม่เคยล้อเล้นกับความรู้สึกของตัวเอง ข้าขอถามเจ้าสักหน่อยได้ไหม" แววตาจริง สองมือกอบกุมมือเหม่ยฟางไว้แน่พลางบีบเบาเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจว่าเขาจริงจังมากมายแค่ไหน

"เจ้าคิดเล่นไรกับอวี๋เหวินเต๋อ"

"ข้ากับพี่อวี๋ เราเป็นเหมือนพี่น้องกัน ข้าอยู่กับเขาแล้วข้ารู้สึกอุ่นใจ"

"ข้าฟังเจ้าพูดเช่นนี้ข้าชักไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่ แล้วกับข้าล่ะ เวลาเจ้าอยู่กับข้าเจ้ารู้สึกอย่างไร"

ตึก ตึก ตึก

"เวลาข้าอยู่กับท่าน หัวใจข้ามักเต้นแรงเสมอ คล้ายจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ" เหม่ยฟางก้มหน้าเอียงอาย กับคำพูดของตน ใบหน้าขาวนวลแดงซ่านไปหมดทั้งหน้า

"ถ้าเช่นนั้น ความรู้สึกของเจ้ากับข้าคงคล้ายกันสินะ" จ้าวหย่งเจิ้ง จับมือเหม่ยฟางทาบลงบนอกด้านซ้ายเพื่อให้ได้ยินเสียงหัวใจของเขา

ตึก ตีก ตึก

"ใจท่านเต้นแรงนัก" 

"เจ้าอย่างได้ยินมันใกล้กว่านี้ไหม" ว่าจบจคงรั้งคอเหม่ยฟางให้หัวเอนมาซบตรงอกซ้ายของตน แม้เหม่ยฟางจะแข็งขืนในตอนแรก แต่ก็อ่อนลงซบหน้าแนบหูเข้ากับอกซ้ายของจ้าวหย่งเจิ้ง

"เสียงมันดังชัดเจน พอหรือไม่ พอที่จะบอกอะไร ต่อมิอะไรได้หรือไม่" จเาวหย่งเจิ้งดันตัวเมื่อเหม่ยฟางออกเพียงเล็กน้อย มือหนึ่งเชยคางคนงามให้เงยหน้าขึ้น หมายจะมอบจุมพิตแสนหวานให้ อีกเพียงนิด ริมฝีปากของทั้งคู่จะแตะกัน อวี๋เหวินเต๋อผู้ไม่รู้เวล่ำเวลาก็เข้ามาขัดเสียก่อน

"คุณชาย" เพียงเสียงเรียกเดียว ทุกอย่างถึงกับชะงักลง

"มีอะไรอวี๋เหวินเต๋อ หากไม่สำคัญข้าจะสั่งโบยเจ้า"

"เรียนคุณชาย นกพิราบสื่อสารแจ้งข่าว ให้คุณชายกลับจิ้นหยางขอรับ"

เพียงแค่ได้ยินว่าต้องกลับจิ้นหยางใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้งก็แปรเปลี้ยนเป็นเคร่งขรึมทันที

"เจ้าตอบไปหรือเปล่าว่าเรายังตามหามังกรเขียวไม่พบ"

"แจ้งไปแล้วขอรับ แต่ทางนั้นกลับบอกให้คุณชายรีบกลับ เพราะ ท่านพ่อของคุณชายล้มป่วย"

"ท่านพ่อน่ะเหรอ" ใบหน้าเคร่งเครียดของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้เหม่ยฟางรู้สึกเห็นใจ

"คุณชายจะกลับหรือไม่ขอรับ"

"กลับสิ ให้คนเตรียมม้าให้พร้อม อีกครึ่งชั่วยามเราจะออกเดินทางกัน เจ้าไปเตรียมเถอะเหม่ยฟาง" สั่งอวี๋เหวินเต๋อแล้วจึงหันมาสั่งเหม่ยฟางด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

"ข้าต้องไปด้วยเหรอ" เหม่ยฟางชี้มาที่ตัวเอง

"แน่นอนสิ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะอยู่อย่างไรคนเดียว ที่นี่มันอันตรายมากนะ ข้าเป็นห่วงเจ้า" เหม่ยฟางเถียงอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับ แม้อยากตอบว่า 

'หากเจ้าไม่อยู่ข้าก็กลายร่างเป็นงูเฝ้าบ้านของข้าน่ะสิ ใครกล้าทำร้ายข้า ข้ากินไม่ให้เหลือซากเชียว' แม้อยากจะต​อบแบบนี้ แต่ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอไปเก็บข้าวของ

ระหว่างเดินทางกลับจิ้นหยางนั้น ไม่มีใครสังเกตุเลยว่ามีคนเพิ่มด้วยอีกคนในขบวนเดินทาง ซึ่งเป็นคนที่ไม่อยากให้เหม่ยฟางมีชีวิตอย่างสุขสบายไปกว่าตน ใช่นางนั่นเอง ว่านเสี่ยวหลิง นางลักลอบเข้าเมืองมาโดยใช้เส้นสายที่นางเคยมี แล้วถือโอกาสแอบขึ้นขบวนเดินทางมาด้วย เพื่อมาลอบสังหารเหม่ยฟาง คนที่ทำให้นางมีชีวิตเช่นนี้

"ข้าจะสังหารเจ้าให้ได้เจ้าบุรุษผิดเพศ หึหึ"

***************************************************************

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
นางจิ้งจอกบ้า อุตส่าห์ละเว้นโทษตายดันร้นหาที่ตายจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ประหารตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง  ยัยจิ้งจอกร้ายยย

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :hao4: ทำไมกลับมาเร็วจัง ยังไม่ได้ออกจาเมืองหรือยังไง  :m21: :m28:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 9 ความสำคัญ

จะกล่าวถึง ว่านเสี่ยวหลิง ที่ถูกขับออกนอกเมือง แม้นางจะถูกขับออกไป ร่างกายบาดเจ็บเล็กน้อย แต่สอ่งที่นางเจ็บที่สุดคือใจ นางไม่คิดเลยว่าแผนจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ นางเดินเตร่อยู่หน้าประตูเมืองรอคนของนางมาพานางลักลอบเข้าไปในเมืองอีกครั้ง

"คุณหนูขอรับ ด้านนี้ขอรับ"

"เจ้าพาข้ากลับเข้าไปในเมืองได้หรือไม่"

"ย่อมได้ขอรับ อีกฝั่งของกำแพงเมืองมีประลับซ่อนอยู่ เชิญคุณหนูทางนี้ขอรับ"

"โชคดีที่พวกมันโง่งมปล่อยข้าไว้หน้าประตูเมือง คิดว่าข้าเป็นหญิงคงทำอะไรมันไม่ได้ ช่างโง่งมเสียจริง คอยดูข้าจะล้างแค้นมันให้สมกับที่มันทำกับข้า" นางยกยิ้มชั่วร้าย รอยยิ้มนั้นช่างน่าเกลียดเสียจนไม่หลงเหลือความงดงามบนใบหน้าของนาง บ่าวรับใช้พานางลัดเลาะกำแพงเมืองจนมาถึงพุ่มไม้หนาเมื่อแหวกพุ่มไม้หนาออกจึงพบทางเข้าซึ่งเล็กจนคล้ายช่องทางหมารอด

"นะ ไหน เจ้าบอกข้าว่ามีประตูลับ แต่นี่มัน..." นางชี้ไม้ชี้มือไปทางช่องหมารอด ด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"นี่เป็นทางเดียวที่คุณหนูจะเข้าไปในเมืองได้นะขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวด้วยสีหน้าสลด เพราะตัวมันเองก็ไม่อยากให้นายมันมุดเข้าช่องทางแบบนี้เช่นกัน

"ช่างเถอะ ขอเพียงข้าเข้าไปได้เป็นพอ" นางกัดฟันมุดรอดเข้าไปในช่องทางนั้นอย่างจำใจ เพียงเพื่อแก้แค้นคนที่ทำกับนาง นางจึงยอมทำเช่นนี้ ความแค้นของนางมันมากเสียกว่าศักดิ์ศรีเสียอีก เมื่อเข้าไปในเมืองได้ นางจึงคนไปสืบความที่โรงเตี๊ยมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพวกจ้าวหย่งเจิ้ง เมื่อทราบข่าวว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปจิ้นหยางนางกับบ่าวรับใช้อีกสองคน จึงปลอมตัวเข้าไปปะปนกับคนดูแลเสบียงอาหาร

จ้าวหย่งเจิ้ง นำขบวนออกเดินทางมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3วัน จนมาถึงยอดผาถ่าหยุนซาน ซึ่งเป็นจุดพักม้า กับเติมเสบียง บริเวณ ยอดผาถ่าหยุนซานเป็นสถานที่ชมวิวที่สวยงาม จ้าวหย่งเจิ้งไม่ได้รีบเร่งอะไรจึงคิดหยุดพักที่นี่สักสองคืน

"เจ้าเหนื่อยหรือไม่ เหม่ยฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งกระโดดลงจากหลังม้าตรงไปเปิดม่านรถม้าที่มีเหม่ยฟาง อยู่ด้านในอย่างเป็นห่วง

"ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้เราถึงไหนกันแล้ว" 

"ตอนนี้เราอยู่บริเวณยอดผาถ่าหยุนซาน ข้าตั้งใจจะหยุดที่นี่สักสองวันเจ้าเห็นว่าอย่างไร"

"ท่านมาถามความเห็นข้าเพื่ออะไร" เหม่ยฟางตอบอย่างไม่ใคร่พอใจ ไหนว่า ท่านพ่อป่วยแล้วใยถึงไม่รีบร้อนเดินทาง

"พ่อข้าไม่ได้ป่วยหนักอะไร ข้าจึงไม่รีบร้อนมากนัก" คล้ายกับจ้าวหย่งเจิ้งรู้ความคิดของเหม่ยฟางจึงไขข้อข้องใจนี้ให้

"ถ้าเช่นนั้น ใยต้องส่งจดหมายมาบอก ทำยังกับป่วยหนักเข่นนั้น"

"มันเป็นธรรมเนียม" จ้าวหย่งเจิ้งตอบเพียงเท่านั้น ก่อนยื่นมือไปให้เหม่ยฟางจับเพื่อดึงลงจากรถม้า

"ธรรมเนียมบ้าบออะไร" เหม่ยฟางบ่นงึมงำกับตัวเอง แม้เพียงเสียงเบาเล็กน้อย แต่ก็ทำให้จ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเต็มสองรูหู

"ข้าได้ยินนะว่าอจ้าพูดอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเย้าแหย่ "ได้ยินก็เรื่องของเจ้า ใครสนกัน" เหม่ยฟางตอบกับอย่างไม่สนใจคนพูดเย้าแหย่

"เหตุใด นิสัยของเจ้าจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ เจ้าคนสุภาพหายไปไหน ใยถึงกลายเป็นคนปากร้ายเช่นนี้" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มขำๆกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของเหม่ยฟาง

"ข้าก็เป็นของข้าเช่นนี้ ใครจะทำไม" นับวันที่อเขาได้รู้จักกับเหม่ยฟาง เจ้าตัวกับปากร้ายมากขึ้นทุกวันจนจ้าวหย่งเจิ้งถึงกับส่ายหัว

"ข้ายอมแพ้กับเจ้าจริงๆ หึหึ" แม้เหม่ยฟางจะดูปากร้ายขึ้นแต่ความน่ารักน่าเอ็นดูกับยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปด้วย น่าแปลกนักที่ใจเขาคิดเช่นนี้

เมื่อขบวนเดินทางหยุดลง ว่านเสี่ยวหลิงที่แฝงตัวเข้ามากับคนเสบียงจึงเริ่มแผนการทุกอย่างโดยเริ่มจากการวางยานอนหลับลงในอาหารและน้ำดื่มของทุกคน

"พวกเจ้าจัดการ อาหารกับน้ำดื่มพวกนี้เรียบร้อยหรือไม่"

"ขอรับคุณหนู ข้าน้อยจัดการใส่มันลงในอาหารน้ำดื่มเรียบร้อยแล้วขอรับ"

"ดี ไปจับตาดูเจ้าบุรุษผิดเพศนั่น ถ้ามันหลับจัดการฆ่ามันทันที" ว่านเสี่ยวหลิงกล่าวเสียงเหี้ยม กรีดปลายนิ้วผ่านคอตนให้บ่าวรับใช้ดู

"ขอรับ" บ่าวรับใช้มุ่งหน้าไปที่กระโจมที่เหม่ยฟางอาศัย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทานอาหารที่ใส่ยาลงไป จึงรออีกครึ่งชั่วยามเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ พวกมันเห็นเหล่าคนในขบวนต่างล้มพับไปเพราะยาสลบ มีเพียงเหม่ยฟางที่ยังนั่งเฉยไม่มีอาการใดๆ จึงรีบไปรายงานคุณหนูของพวกมัน

"คุณหนูขอรับ" เสียงเรียกด้วยความเคารพเอ่ยขึ้น

"ว่าไงสังหารมันได้หรือไม่"  ว่านเสี่ยวหลิงเห็นบ่าวรับใช้มาจึงรีบถามด้วยความอยากรู้ บ่าวรับใช้ส่ายศีรษะก่อนเอ่ยขึ้นว่า

"คุณหนู พวกข้ารออยู่ครึ่งชั่วยามแต่บุรุษนั่นกับไม่มีวี่แววง่วงงุ่นแม้แต่น้อย พวกข้าน้อยเห็นคนอื่นๆหลับกันหมดแต่มีเพียงบุรุษผู้นั้นที่ไม่หลับขอรับ"

"หากเหลือมันอยู่คนเดียวพวกเจ้าก็สังหารมันให้สิ้น จะรออะไรกับบุรุษรูปร่างเช่นนั้น"

"ขอรับ" ว่าจบนางจึงออกเดินนำไปยังกระโจมที่เหม่ยฟางอยู่ และเป็นอย่างที่บ่าวรับใช้มาบอกกล่าว ยาสลบไร้ผลกับร่างบางนั่น
ในเวลานั้น เหม่ยฟางสังเกตุถึงสิ่งผิดปกติจึงออกเดินดูรอบๆที่พัก จึงพบว่าผู้คนที่เดินทางมาด้วยนั้น ต่างพากันหลับเป็นตาย ไม่เว้นแม้แต่ จ้าวหย่งเจิ้ง หรืออวี๋เหวินเต๋อ 

"แปลก ทำไมทุกคนถึงได้หลับเป็นตายแบบนี้" เหม่ยฟางเดินดูผู้คนที่หลับไหล แม้จะเข้าไปเขย่าตัวคนพวกนั้นแล้วแต่กลับไม่มีใครตื่นขึ้นมาแม้แต่คนเดียว

"นี่มันแปลกเกินไปแล้ว ทำไมทุกคนหลับอย่างกับโดนวางยา" ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ บุรุษสองคนปกปิดใบหน้า ถือดาบวิ่งมาทางเหม่ยฟาง  แต่เหม่ยฟางกับนิ่งสนิทไม่ได้เกิดความเกรงกลัวแม้แต่น้อย

"พวกเจ้าคงเป็นคนวางยาสินะ คิดจะขโมยของงั้นสิ อยากได้อะไรก็หยิบไปสิ ข้าจะนั่งดูตรงนี้" พูดจบก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตนเอง มองพวกโจนที่ทำหน้าเหรอหรามองเหม่ยฟางด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วถ้าเห็นโจรจะต้องมีอาการตกใจกลัวกันบ้าง แต่นี่กระไร กลับนั่งมองพวกมัน ทั้งยังบอกให้หยิบข้าวของมีค่าอีก หรือคนผู้นี้จะเสียสติไปแล้ว

"เจ้าไม่เกรงกลัวพวกข้าหรืออย่างไร" หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นพลางชี้ดาบไปทางเหม่ยฟางปลายดาบใกล้กับลำคอขาวเพียงเล็กน้อย แต่เหม่ยฟางกับนิ่งเฉยไม่ตอบโต้เพียงแต่ใช้ปลายนิ้วเบี่ยงดาบออกห่างจากตัว

"พี่ชาย ท่านชี้ดาบมาเช่นมันอันตรายนะ หากพลาดพลั้งไปจะแย่เอาได้"

"นั่นคือสิ่งที่พวกข้าต้องการ" หนึ่งในบุรุษปกปิดใบหน้าเอ่ยพลางเหวี่ยงคมดาบใส่เหม่ยฟาง

"พี่ชายเล่นของมีคมแบบนี้มันอันตรายนะ" เหม่ยฟางหลบหลีกได้อย่างลื่นไหลคล้ายคนไม่มีกระดูก ร่างกายอ่อนพลิ้วไหวหลบหลีกการโจมตีได้อย่างราบรื่น จนผู้บุกรุกทั้งสองคนเริ่มหมดความอดทน และขวัญเสีย

"เจ้ามันตัวอะไรกันแน่"

"พี่ชายท่านนี้ช่างหยาบคายยิ่งนัก" เหม่ยฟางยิ้มรับ เพียงพริบตาประกายตากับทอแสงแดงประหลาด จนผู้บุกรุกขนลุกซู่ ถึงถึวก้าวถอยหลังหนี

"ว๊ากกกก ปะ ปีศาจ มัน ปะ เป็นปีศาจ!!!" บุรุษปิดหน้าทั้งสองถอยหลังจนล้มลุกคุกคลานหนีไป โดยมีเหม่ยฟางมองตามพร้อมเสียงทอดถอนหายใจ

"เฮ้อ~ ข้าหาใช่ปีศาจที่ไหนกัน ไม่ไหว ไม่ไหว แค่นี้ก็พากันวิ่งหนีเสียล่ะ" เหม่ยฟางส่ายศีรษะเล็ก ก่อนก้าวเข้าไปในกระโจม เพื่อกลับไปพักผ่อน แต่หลังไม่ทันได้พิงหลัง ตาเฒ่าเอี๊ย กลับพูดแทรกขึ้นมา 

"เจ้าไปหลอกคนพวกนั้น ไม่กลัวจะเดือดร้อนหรือไง" 

"ถ้ารู้ว่าข้าจะแย่ทำไมเจ้าไม่ออกมาช่วยข้าล่ะ" เหม่ยฟางตอบแบบไม่ใส่ใจ

"ข้าเฝ้าดูเหตุการณ์หากมันเกินกำลังเจ้าข้าจะเข้าช่วย แต่นี่ยัง..." ตาเฒ่าเอี๊ยเหตุผลที่ตนไม่ออกมาช่วย

"ช่างเถอะ ข้าไม่ใส่ใจ หากพวกมันกล้ามาอีก ครั้งหน้าข้าจะสังหารมันเสียจะได้หมดเรื่อง"

"เจ้าระวังตัวเอามากๆเถอะ"

"รู้แล้ว" ตาเฒ่าเอี๊ยส่ายมองดูเหม่ยฟางที่ไม่ใส่ตาอสิ่งที่กล่าวเตือน จากนั้นจึงจางหายไปกับสายลม

ทางด้านว่านเสี่ยวหลิง ผู้ที่ส่งคนไปลอบสังหาร ยืนมองบ่าวสองคนที่วิ่งหนีมาโดยที่ทำอะไรเหม่ยฟางไม่ได้แม้ตาปลายก้อย

เพี๊ยะ!!! เพี๊ยะ!!!

"ไร้ประโยชน์ กับแค่บุรุษบอบบางแค่คนเดียวเจ้าสองคนกับทำอะไรมันไม่ได้ เลี้ยงเสียข้าวสุก" ว่านเสี่ยวหลิงตบใบหน้าของบ่าวทั้งสองด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ นางตั้งใจรอฟังข่าวดี แต่ข่าวที่ได้กับทำให้ตนโมโหมากว่าจะดีใจ

"คุณหนูคนผู้นั้นมันเป็นปีศาจขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวเสียงตื่น

"เหลวไหล" ปีศาจอะไรกันไร้สาระ นางไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้เด็ดขาด

"จริงๆ นะขอรับ ตาของมันแดงฉาน น่ากลัวมากขอรับ" บ่าวอีกคนช่วยเสริมอีกแรง อยากให้นายของมันรับรู้ว่าพวกมันไม่ได้โกหก เมื่อบ่าวทั้งสองยืนยันเป็นมั่นเหมาะ นางจึง้กิดความลังเลขึ้น แม้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้นัก แต่ใช่ว่านางจะลบหลู่ แต่หากเหม่ยฟางเป็นปีศาจจริง นั่นย่อมเป็นเรื่องดี

"ปีศาจ งั้นเหรอ" นางยกยิ้มขึ้นอย่างนึกแผนการบางอย่างออก

"ขอรับคุณคนผู้นั้นเป็นปีศาจอย่างแน่นนอนขอรับ" บ่าวรับใช้กล่าวน้ำเสียงจริงจัง

"หากคนผู้นั้นไม่ใข่ปีศาจดวงตาคงไม่เป็นสีแดงอย่างแน่นอน" บ่าวรับใช้อีกคนกล่าวเสริมเพื่อให้คำพูดของพวกมันหนักแน่นยิ่งขึ้น

"ดี ถ้ามันเป็นปีศาจจริงล่ะก็ พวกเจ้าจงไปตามนักพรตที่เก่งกล้ามาปราบมันซะ"

"ขอรับคุณหนู" พวกมันหันหลังให้นายของมันเอง จากนั้นจึงออกเดินทาวไปตามนักพรตผู้ที่พลังปราบปีศาจ

รุ่งเช้ามาเยือนทุกคนต่างตื่นจากการหลับไหลมาทั้งคืน เมื่อคืนทุกคนต่างรู้ดีว่า พวกเขาหลับลึกกันมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนโดยเฉพาะอวี๋เหวินเต๋อ ที่เดินเป็นหนูติดจั่น เนื่องจากเขาหลับไปขณะทำหน้าที่ เมื่อคิดได้จึงคุกเข่าต่อหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง

"คุณชายได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยขอรับ"

"เจ้าทำผิดอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งถามด้วยใบหน้าราบเรียบไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา

"เรื่องที่ข้าน้อยสะเพร่า เผลอหลับไปไม่อาจรักษาความปลอดภัยให้กับคุณชายได้" อวี๋เหวินเต๋อก้มหน้ากล่าวความผิดตน

"เจ้าจะผิดได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าและคนอื่นๆต่างโดนวางยา" เหม่ยฟางกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง หากจ้าวหย่งเจิ้งจะลงโทษคงต้องลงโทษทุกคนแล้วกระมัง

"พวกนั้นคงเป็นโจรที่คิดจะขโมยของมีค่า" จ้าวหย่งเจิ้งสรุปสิ่งที่ตนคิด
"คุณชายขอรับ แต่พวกโจรไม่ได้หยิบของมีค่าไปเลยนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วง

"ถ้าเช่นนั้นพวกมันต้องการอะไร"

"คือ ว่านะ ยังไงพวกมันก็ไม่ได้อะไรไปอย่าคิดมากเลยพวกเรารีบออกเดินทางดีไหมไม่ต้องค้างคืนหรอก" เหม่ยฟางชักชวน เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนคิดเรื่องนี้ ถ้าทั้งสองคนรู้ว่าสิ่งที่โจรต้องการคือชีวิตเขาคงไม่ดีแน่

"นั่นสื ที่นี่คงไม่ปลอดภัยหาก พวกโจรย้อนกลับมาอีกครั้งเราอาจแย่ก็เป็นได้" จ้าวหย่งเจิ้งเห็นด้วยกับความคิดของเหม่ยฟาง เช่นเดียวกับอวี๋เหวินเต๋อ หากรั้งอยู่ต่อมีแต่อันตรายแก่นายตน

"ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยจะไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวเดินทาง"

"ไม่ต้อง เจ้าไล่คนพวกนี้กลับเมืองไป เราจะออกเดินทางกันแค่ 3 คน" จ้าวหย่งเจิ้งคิดว่าหากเรานำคนไปมาก จะยิ่งเป็นภาระสู้ไปกันเพียงแค่นี้จะดีเสียกว่า ความจริงเขาไม่ได้ต้องการขบวนเดินทางที่มีผู้คนติดตามเยอะแยะเช่นนี้ แต่เป็นความเจ้ากี้เจ้าการของผู้ตรวจการที่อยากให้เขาเดินทางสะดวกสบาย

"แต่ว่า..."

"ทำตามที่ข้าสั่ง มอบเงินให้พวกเขาสักเล็กน้อยด้วย"

"ขอรับ" หลังรับคำอวี๋เหวินเต๋อจึงไปแจ้งข่าวกับคนในขบวน ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป คล้ายกังวลหากกลับไปจะโดนลงโทษ อวี๋เหวินเต๋อจึงเกลี่ยกล่อมอยู่นานทุกคนจึงแยกย้ายกันไป

"เฮ้อ~ ไปกันหมดเสียที" อวี๋เหวินเต๋อถอนหายใจเมื่อเห็นผู้คนแยกย้ายกันไปหมด เขานั่งลงพิงต้นไม้ใหญ่อย่างหมดแรง

"เหนื่อยแย่เลยน้า พี่อวี๋" เหม่ยฟางเอ่ยทักส่งรอยยิ้มหวานให้ 

"นิดหน่อย"

"อ๊ะ น้ำ ดื่มซะคงคอแห้งแย่" เหม่ยฟางส่งกระบอกไม้ไผที่บรรจุน้ำให้กับอวี๋เหวินเต๋อ "ขอบใจเจ้ามาก" เขายื่นมือออกมารับกระบอกน้ำ

"พี่อวี๋ ข้ามีความจำเป็นกับพวกท่านขนาดนั้นเชียวเหรอ" จู่ๆเหม่ยฟางก็เอ่ยเรื่องที่ตนข้องใจกับอวี๋เหวินเต๋อ จากนั้นจึงนั่งลงข้างๆของอีกฝ่าย สองขาตั้งชันสองมือโอบเข่าส่วนปลายคางจึงวางลงบนเข่าจนดูเป็นก้อนกลมๆ

"นั่นสินะ เจ้ามีความสำคัญสำหรับข้ามากเพราะเจ้าคือคนที่ข้ารักเยี่ยงน้องชาย" แม้คำที่ออกมาจากปากอวี๋เหวินไม่ดังมากแต่ก๋ไม่เบาจนอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เขาจะบอกได้เช่นไรว่ารักของเขานั้นมากกว่าน้องชาย เหม่ยฟางพยักหน้ารับกับคำตอบของอวี๋เหวินเต๋อ

"แล้วอย่างไรอีก"

"นอกจากนั้นเจ้ายังมีความสำคัญกับการเป็นฮองเฮาของเมืองจิ้นหยางอีกด้วย"  "ห๊ะ!!! พี่อวี๋ ท่านล้อข้าเล่นใช่ไหม"

"หากเจ้าเป็นมังกรเขียวจริง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมืองจิ้นหยาง ยกย่องมังกรเขียวให้เป็นฮองเฮามาทุกยุคทุกสมัย"

"แต่ข้าเป็ยบุรุษ บุรุษจะขึ้นเป็นฮองเฮาได้อย่างไร"

"หากไม่เชื่อเจ้าลองไปถามคุณชายดูสิ" ว่าจบจึงลุกขึ้นยืนเดินไปยังม้าที่ถูกผูกเอาไว้

"นี่ต้องเป็นตลกร้ายสำหรับข้าแน่ๆ" เหม่ยฟางนึกถึงคำพูดที่ว่า มังกรเขียวคือ ฮองเฮา 

"ฮ่าๆ นั่นคือเรื่องจริง มิเช่นนั้นข้าจะให้เจ้าเกิดเป็นมังกรเขียวไปทำไม" ตาเฒ่าเอี๊ยผู้ลอยไปลอยมาคล้ายอากาศธาตุกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ จนเหม่ยฟางเด้งตัวขึ้นจากพื้น ชี้นิ้วไปยังร่างโปร่งแสงที่ชอบไปๆมาๆคล้ายภูติผีของตาเฒ่าเอี๊ย

"ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ นี่มันเรื่องอะไรกัน บ้านเมืองนี่มันอะไรกัน ใยมังกรเขียวต้องเป็นฮองเฮา"

"เจ้าอยากรู้งั้นเหรอ เรื่องมันยาวนะ เกรงว่าเวลาจะไม่พอ"

"ตาเฒ่าเอี๊ย เจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์ ข้ามีเวลาฟังเจ้าเล่ามาเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางคล้ายสติหลุด เอ่ยสบถใส่ตาเฒ่าเอี๊ยอย่างหัวเสีย ทั้งตาเฒ่าเอี๊ยยังหายพร้อมกับเสียงหัวเราะอีก แต่คล้ายกับเหม่ยฟางนึกบางอย่างออกจึงเอ่ยเบาๆกับตนเองว่า

"อ่อ มิน่า หย่งเจิ้งถึงเอ่ยบอกกับข้าว่า หากข้าเป็นมนุษย์คงจะงดงามมาก ที่แท้เขาคิดว่าข้าเป็นสตรีสินะ โธ่...หากเขาทราบว่าข้าเป็นบุรุษเขาคงรังเกียจข้าเป็นแน่" เหม่ยฟางทรุดตัวนั่งอย่สงหมดแรง เอาแต่คิดแง่ลบ จนไม่ทันสังเกตุว่ามีใครเดินมาทางด้านหลัง สองมือใหญ่เข้าปิดตาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

"นั่นใคร" เหม่ยฟางเอ่ยถามเสียง

"ทายสิ" เพียงได้ยินเสียงความกังวลต่างกับมลายหายไป เหลือเพียงรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า

"หย่งเจิ้ง" มือใหญ่คลายออก เหม่ยฟางหันไปสบตากับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม

"เล่นอะไรเป็นเด็กๆ" แม้จะพูดเช่นนั้นแต่รอยยิ้มยังไม่จางหาย

"เมื่อกี้เจ้าคุยกับใคร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถาม ทั้งยังสอดส่ายสายตามองว่าเหม่ยฟางคุยกับใคร

"เจ้าเห็นว่าข้าคุยกับใครไหมล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งส่ายหัวไปมาก่อนจับมือเหม่ยฟางจูงเดินไปทางม้า

"ไปกันเถอะ เราต้องเร่งเดินทาง"

"ไหนเจ้าบอกไม่รีบไง"

"แต่ตอนนี้ข้ารีบไปแล้ว" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวคล้ายคนเอาแต่ใจ แต่ที่จริงแล้วเขาห่วงความปลอดภัยของเหม่ยฟางเสียมากกว่า

"ท่านห่วงข้าเหรอ ข้าหาใช่คนไร้ฝีมือเสียหน่อยใยต้องห่วง" เหม่ยฟางเบ้หน้าใส่

"ข้ารู้ แต่ข้าอดห่วงเจ้าไม่ได้" ใยข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีฝีมือนั้นดีแค่ไหน ตั้งแต่เจ้ากระโจนออกหน้าต่างของโรงเตี๊ยมแล้วหายไปอย่างไร้เงานั่นแล้ว แต่ข้ายังอดห่วงเจ้าไม่ได้ ไม่รู้ทำไมจิตใจข้าถึงได้กระวนกระวายเช่นนี้

"ท่านคิดเช่นไรกับข้า ใยถึงห่วงข้าเช่นนี้" เหม่ยฟางถามออกไปอย่างข้องใจ นั่นสินะ ข้าคิดเช่นไรกับเหม่ยฟางกันแน่ ข้า...ควรตอบเช่นไรดี

"ข้า...ข้า คิดว่าเจ้าคือสหายของข้า"

"สหาย ข้าเป็แค่สหายของท่านงั้นเหรอ แล้วที่ท่านแสดงออกมาทั้งหมดนั่นเล่า" เพียงได้ยิน ความรู้สึกร้อนๆในดวงตาของเหม่ยฟางก็ปะทุขึ้น ดวงตาช้ำแดงอย่างสะกดกลั้นน้ำเสียงสั่นเครือคือสิ่งที่สื่อออกมาได้ตอนนี้

"ฟางเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกเสียใจกับคำพูดนั้นเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของเหม่ยฟาง

"ข้าขอตัวก่อน ท่านไม่ต้องตามมา" เหม่ยฟางหันหลังเดินจากไป

'ท่านให้ความหวังข้าอีกแล้ว แล้วท่านก็ทำลายมันลงเช่นนี้ ความสำคัญของข้า คือสิ่งที่เรียกว่าสหายงั้นเหรอ' เม็ดมุกร่วงหล่นจากขอบตา หลั่งไหลออกมาไม่หยุด หากข้าหลั่งน้ำตาเช่นคนปกติได้คงจะดีไม่น้อย ข้าคงหลั่งน้ำตาปานสายเลือดตรงหน้าท่านได้แล้ว

"เหม่ยฟาง เจ้าเป็นอะไร" เป็นอวี๋เหวินเต๋ออีกครั้งที่เข้ามาพบตอนที่เหม่ยฟางเสียน้ำตา เขาเห็นเหม่ยฟางกับนายของตนคุยกันสักพัก และมองเห็นสิ่งผิดปกติจากสีหน้าเหม่ยฟางจึงเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง เป็นจริงอย่างเขาคิด เหม่ยฟางหลั่งน้ำตาอีกแล้ว

"พี่อวี๋ ข้าปวดใจเหลือเกิน ฮือๆ" เหม่ยฟางเข้าซบอกอวี๋เหวินเต๋อด้วยความอัดอั้น

"เจ้าชื่นชอบคุณชายของข้างั้นเหรอ" 

"ข้าเฝ้ารอเขามาเนิ่นนานแต่เขาหาได้รักข้าไม่ เขาเห็นข้าเป็นเพียงสหาย พี่อวี๋ ข้าทรมานใจเหบือเกิน ฮือๆ" 

"ให้ข้าเป็นตัวแทนเขาได้หรือไม่ เป็นข้าได้ไหม" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยความจริงใจ เขาไม่อยากเห็นเหม่ยฟางต้องเจ็บปวด หากเป็นเขา เขาจะให้ความสำคัญแก่คนตรงหน้าได้ โดยไม่ให้อีกฝ่ายต้องหลั่งน้ำตาอย่งแน่นอน

"พี่อวี๋"

"เป็นข้าได้ไหม"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2017 13:16:45 โดย Vammas »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ขออีกตอนได้มั้ยอ่ะ อยากรู้น้องเหมยฟางจะตอบตกลงหรือปฎิเสธกันแน่

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
"พี่อวี้"

"อย่าจบค้างได้ไหม" :laugh:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 10 การกลับจิ้นหยาง

"พี่อวี๋" น้ำเสียงแผ่วเอ่ยเรียกคนที่กำลังโอบกอดตน คล้ายกับฟังอะไรผิดไป

"เป็นข้าได้ไหม ข้าจะแลเจ้าอย่างดี ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไรข้ายอมรับในตัวเจ้าเสมอ ข้าจะดูแลเจ้า ไม่ให้เจ้าต้องทรมานใจ" อวี๋เหวินเต๋อคำในใจ ที่ไม่อาจคนที่ตนรักนั้นต้องเจ็บปวด

"ข้า...คือข้า...." เหม่ยฟางอ่ำอึ้งทีาตะตอบคำ ทุกคำที่จะพูดออกไปมันช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียจริง อวี๋เหวินเต๋อเห็นท่าทางลำบากใจจึงไม่อาจทนคาดคั้นคนตรงหน้าได้จึงปล่อยเหม่ยฟางออกจากวงแขนตน

"ข้าจะรอคำตอบ จนกว่าเจ้าจะเห็นใจข้า"

"ขอบคุณพี่อวี๋ที่ไม่เร่งรัดข้า" เหม่ยฟางลอบถอนหายใจ โชคดีแค่ไหนที่อวี๋เหวินเต๋อไม่เร่งรัดเอาคำตอบจากตน

"กลับไปเถอะ คุณชายรออยู่" อวี๋เหวินเต๋อเตรียมหันหลังออกเดิน แต่เหม่ยฟางกลับรั้งแขนเขาไว้

"พี่อวี๋ ข้ามีเรื่องจะขอร้อง" อวี๋เหวินเต๋อมองมาทางเหม่ยฟางอย่างสงสัยว่าจะขอร้องสิ่งใดเขา

"เจ้าจะขอร้องอะไรข้า" 

"ข้าจะขอเข้าไปอยู่ในเสื้อของท่าน ตอนนี้ข้าไม่อยากพบหน้าเขา" 

"จะ เจ้า เฮ้อ~ แล้วเจ้าจะให้ข้าตอบคุณชายว่าอย่างไร"

"นั่นมันเรื่องของท่าน" ว่าจบจึงกลายร่างเป็นงูเขียวตัวเล็กเลื้อยดข้าไปอยู่ในเสื้อของอวี๋เหวินเต๋อ โดยไม่ขออนุญาตอีกครั้ง

"เหม่ยฟางเจ้าอยู่เฉยๆไม่ได้หรือไง ข้าจั๊กจี้ จะตายอยู่แล้ว ทั้งตัวเจ้ามันรื่นๆจนข้าขนลุกไปหมดแล้ว" อวี๋เหวินเต๋อทำตัวขยุกขยิกอยู่ไม่สุขคล้ายไม่สบายตัว ขณะเดินกลับมาหาจ้าวหย่งเจิ้ง

"อวี๋เหวินเต๋อ เจ้าเห็นฟางเอ๋อร์บ้างหรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ ตั้งแต่แยกกับเหม่ยฟาง เขาก็ไม่เห็นเจ้าตัวมาพักหนึ่งแล้วจึงอดห่วงไม่ได้ อวี๋เหวินเต๋อเมื่อได้ยินคำถามจึงเหลือบมองเข้าไปในสาบเสื้อของตนก่อนตอบไปว่า

"เห็นขอรับ เหม่ยฟางมาบอกข้าว่าติดธุระ ขอตัวกลับไปก่อน"

"กลับไป!!!" เสียงอันดังของจ้าวหย่งเจิ้งดังก้องไปทั่ว

"ขอรับ ข้าน้อยห้ามเขาแล้วแต่เขาไม่ฟัง ดังนั้นจึงจำใจปล่อยเขากลับไป" แม้อวี๋เหวินเต๋อไม่อยากโกหก แต่สุดท้ายก็จำต้องโกหก เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเหม่ยฟางอยู่ในเสื้อของเขา

"บ้าที่สุด ใยเขาไม่บอกข้า"

"เหม่ยฟางคงกลัวคุณชายไม่ให้กลับ โอ๊ย!!!" อวี๋เหวินเต๋อร้องเสียงหลงเมื่อโดนเหม่ยฟางฉกเบาๆ

"เจ้าเป็นอะไร"

"ไม่เป็นอะไรขอรับ แค่แมลงกัด โอ๊ย!!!" คล้ายกับอวี๋เหวินเต๋อพูดไม่ถูกใจจึงถูกเหม่ยฟางฉกเข้าอีกครั้ง

"เราออกเดินทางกันเถอะ แมลงนั่นคงจะกัดเจ็บน่าดูเจ้าถึงร้องเสียงหลงขนาดนี้ เรารีบเดินทางกันเถอะ"

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวแล้วถอยไม่ขึ้นม้าของตนเอง

"เหม่ยฟางเจ้าฉกข้าทำไม" เมื่ออวี๋เหวินเต๋อ ก้าวขึ้นหลังม้าจึงเอ่ยตัดพ้อเหม่ยฟางอย่างเสียไม่ได้

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ใครใช้ให้ท่านพูดมากล่ะ)

"ข้าฟังเจ้าไม่รู้เรื่องหรอกนะ ข้าฟังภาษางูไม่ออก"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (นั่นมันเรื่องของเจ้า)

"เจ้าพูดภาษาคนไม่ได้หรือไง เป็นถึงมังกรเขียวแท้ๆ" เหม่ยฟางโผล่หัวขึ้นมาพันไว้รอบคออวี๋เหวินเต๋ออย่างหลวมๆ ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะฉกเข้าที่ลำคออวี๋เหวินเต๋ออีกครั้ง

"โอ๊ย!!! เจ้าฉกข้าอีกแล้วนะ หากเจ้ามีพิษข้าคงตายไปแล้วเป็นแน่"

"เฮอะ คิดว่าข้าสนท่านหรือไง" ที่เหม่ยฟางฉกไปที่คอนั้นคล้ายกับทำสัญลักษณ์บ้างอย่างลงไปจึงทำให้อวี๋เหวินเต๋อเข้าใจสิ่งที่เขาพูด

"เอ๊ะ! คล้ายกับข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด"

"แน่ล่ะ ข้าทำสัญลักษณ์เอาไว้ที่คอของเจ้า ต่อไปนี้เจ้าก็กลายเป็นข้ารับใช้ของข้าแล้ว ฮ่าๆ" เหม่ยฟางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

"แสดงว่าที่เจ้าฉกข้า คือการทำสัญลักษณ์ข้ารับใช้งั้นสิ"

"ใช่ ดังนั้นเจ้าจึงเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดไงล่ะ"

"เจ้ามันร้ายกาจนัก บังคับข้าทางอ้อมชัดๆ"

"มันช่วยไม่ได้" อวี๋เหวินเต๋อส่ายหัวกับความเอาแต่ใจของเหม่ยฟางก่อนเหลือบมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ขี่ม้าตามมา

จ้าวหย่งเจิ้งขี่ม้าออกมาจากผาถ่าหยุนซาน ก็เอาแต่เหม่อลอยไม่พูดไม่จา คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ อวี๋เหวินเต๋อชะลอม้าเพื่อให้จ้าวหย่งเจิ้งตามมาทัน

"คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ" จ้าสหย่งเจิ้งเงยหน้ามองอวี๋เหวินเต๋อแต่กับส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย

"คุณชายท่าทางแปลกๆ ดูซึมๆยังไงไม่รู้สิ" อวี๋เหวินเต๋อพึมพำกับตัวเอง มองจ้าวหย่งเจิ้งขี่ม้านำตนออกไป

"เจ้าก็ถามสิ" เหม่ยฟางร้องบอก

"ข้าถามแล้วเจ้าไม่ได้ยินหรือไง" 

"อ๋อ"

ฉึก!

"โอ๊ย!!! เจ้าฉกข้าอีกแล้วนะ พอเลยออกมาจากเสื้อข้าเดี๋ยวนี้" อสี๋เหวินเต๋อล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อตะดึงตัวเหม่ยฟางออกมา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงเหม่ยฟางก็หลบรอดมือเจาได้ทุกที 

"เสื้อตัวแค่นี้ใยเจ้าหลบเก่งนัก"

"หากข้าไม่หลบเจ้าคงจับข้าโยนทิ้งนะสิ" เหม่ยฟางส่งเสียงโวยวาย ขณะที่อวี๋เหวินเต๋อกำลังง่วนอยู่กับการจับเหม่ยฟางออกจากเสื้อ จนไม่สังเกตุว่า จ้าวหย่งเจิ้งวกม้ากับมา

"อวี๋เหวินเต๋อเจ้าเป็นอะไร ข้าเห็นเจ้ายุกยิกไปมาอยู่นาน มีอะไรเข้าไปในเสื้อเจ้างั้นเหรอ"

"คุณชาย!!!" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นายจะย้อนกับมา

"ไหนให้ข้าดูหน่อย"

จ้าวหย่งเจิ้งดึงรั้งเสื้อของอวี๋เหวินเต๋อ เพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ในเสื้อจนทำให้เห็นรอยเขี้ยวคล้ายงูกัดอยู่หลายจุด

"คุณชายข้าไม่เป็นไร"

" เจ้า เจ้าโดนงูกัด!!!" จ้าวหย่งเจอ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจมองดูรอยที่ลำคอแบะที่ตัวอีกสองสามแห่ง

"งูไม่มีพิษขอรับวางใจได้" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเพื่อไม่ให้คนเป็นนายต้องกังวล

"ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าว่ามันไม่ปลอดภัยอยู่ดี"

"คุณชาย ข้า..."

"ถอดเสื้อเจ้าออกสิ ข้าจะดูแผลงูกัดให้" พูดยังไม่ทันจบจ้าวหย่งเจิ้งก็ตรงเข้าดึงเสื้ออวี๋เหวินเต๋อทั้งๆที่ยังอยู่บนม้า จนเกิดการยื้อยุดกันเกิดขึ้น

"คุณชายไม่ต้องขอรับ" หากถอดเสื้อต้องเจอเหม่ยฟางแน่ๆ

"ไม่ได้" หากไม่ตรวจดูว่าเป็นรอยงูกัดมีพิษหรือไม่ข้าไม่อาจเบาใจได้

แคว๊ก!

ฟิ้ว!

หมับ!

ขณะที่ยื้อยุดอยู่นั้นเสื้อของอวี๋เหวินเต๋อดันเกิดขาดจนทำให้ เหม่ยฟางที่พยามหลบอยู่ในเสื้อร่วงหล่นออกมานอกเสื้อ และเป็นจ้าวหย่งเติ้งที่คว้าตัวเอาไว้ได้

"งูเขียว?" จ้าวหย่งเอ่ยด้วยเสียงแปลกใจ

'เหม่ยฟาง' แย่แล้วร่วงไปอยู่ในมือคุณชายเสียแล้ว

"จับได้แล้ว เจ้าคือตัวการที่ทำร้ายคนของข้าสินะ" จ้าวหย่งเจิ้งคว้างูเขียวตัวน้อยขึ้นมาดู เจ้างูเขียวพยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ไม่อาจหลุดรอดมือใหญ่ที่จับมันเอาไว้ได้

"คุณชายได้โปรดปล่อยมันเถอะ ความจริงแล้วข้าน้อยแอบเลี้ยงมันไว้เองคุณชายโปรดอย่าทำร้ายมัน" อวี๋เหวินเต๋อแก้ตัวแทนงูเขียวในมือจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าเลี้ยง" "ขอรับ พอดีข้าเห็นมันมีลักษณะคล้ายเจ้างูเขียวตัวเก่าที่ข้าเคยขอท่านพ่อเลี้ยงน่ะขอรับ"

"งั้น เจ้าจึงยอมให้มันกัดสินะ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอมันไว้ก่อนได้หรือไม่" จ้าวหย่งเอ่ยขอเจ้างูเขียวจากอวี๋เหวินเต๋อเสัยดื้อๆ ซึ่งอวี๋เหวินเต๋อนั้นอยากปฏิเสธผู้เป็นนายแต่เขาก็ทำไม่ได้ จึงจำใจยกเจ้างูเขียวให้ผู้เป็นนาย

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อก้มหน้า เหลทอบมองเจ้างูเขียวที่ตอนนี้มีทีท่าคล้ายจะพุ่งมาฉกเขาอีกรอบ

"ขอบใจเจ้ามาก" จ้าวหย่งเจิ้งกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้งเมื่อได้เจ้างูเขียวมาอยู่กับตน ชั่วพริบตาที่เห็นกับรู้สึกดีกับมันอย่างประหลาด คล้ายกับคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีจึงเอ่ยขอเจ้างูเขียวมาอยู่กับตน แม้จะเป็นการบังคับฝืนใจอวี๋เหวินเต๋อทางอ้อมก็ตาม

"จริงเจ้างูน้อยนี่ชื่ออะไร" จ้าวหย่งเจิ้งหันไปถามอวี๋เหวินเต๋อ

"คือว่า ข้าน้อยยังไม่ได้ตั้งชื่อขอรับ"

"ฟางน้อย ข้าจะให้เจ้าชื่อว่า ฟาง" เหม่ยฟางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจ้าวหย่งเจิ้งตั้งชื่อร่างงูของตนว่าฟาง

"จะดีหรือขอรับ นำชื่อของเหม่ยฟางมาตั้งเช่นนี้ หากเจ้าตัวรู้เข้าคงไม่ดีแน่" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วง

"นั่นสินะหากฟางเอ๋อร์รู่เข้าคงไม่ชอบใจ แต่หากเจเาไม่บอกข้าไม่บอกเขาก็คงไม่รู้หรอกตามนี้เถอะ"

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากเล็กน้อยมองดูผู้เป็นนายหยอกล้อกับเจ้างูเขียว

"งั้นเหรอ ถ้าเช่นนั้น นับแต่นี้เจ้าชื่อ ฟางน้อย" ว่าพลางลูบหัวเจ้างูเขียวเหม่ยฟางไปด้วย แต่เจ้างูกับ ทำหน้าเชิดใส่คล้ายกับงอนจ้าวหย่งเจิ้ง อย่างไรอย่างนั้น

"คุณชายระวังมันกัดเอานะขอรับ" กลัวใจเจ้าจริงๆหากกัดคุณชายเจ้าได้กลายเป็นงูสับแน่ๆ เหม่ยฟาง

"เจ้าจะกัดข้าเหรอ" น้ำเสียงยินดีนั้นกับทำให้เหม่ยฟางจ้องเขม็ง แม้จะโดนลูบหัวลูบหาง แต่เขากับรู้สึกดีมาก พอเหม่ยฟางได้สติ ก็สะบัดหน้าหนีมุดเข้าไปในแขนเสื้อของจ้าวหย่งเจิ้ง

'พี่อวี๋ เจ้าคนไร้ประโยชน์ไหนว่าจะดูแลข้าเป็นอย่างดี แล้วทำไมข้าถึงมาอยู่กับคนผู้นี้ได้ ไม่ดีเลย แบบนี้ข้าจะไปโกรธเขาลงได้อย่างไร ในเมื่อข้าเอาแต่คิดถึงเขา เพราะกลิ่นกายของเขา ทำให้ใจข้าเต้นแรงเช่นนี้'

"ออกเดินทางเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งออกเดินทางควบม้าไปขึ้นเหนือไปเรื่อยๆไม่มีการหยุดพัก จนเข้าวันที่ 6 พวกเขาจึงมาถึงหน้าประตูเมืองจิ้นหยาง

เพียงเขาก้าวเท้าเข้าไปในประตูเมือง เหล่าทหารต่างคุกเข่าทำความเคารพเขาด้วยความจงรักภักดี อวี๋เหวินเต๋อ เคลื่อนม้าไปด้านหน้ากวาดมือไปรอบๆก่อนพูดขึ้นว่า

"องค์ชายรองเสด็จกลับมา พวกเจ้าให้คนไปส่งข่าวแล้วหรือไม่"

"พวกเกล้ากระหม่อม ได้ให้คนไปส่งข่าวฝู่กงกงแล้วขอรับท่านองครักษ์อวี๋" หัวหน้าทหารเอ่ยเสียงหนักแน่นพวกเขาเห็นองค์ชายรองเสด็จมาแต่ไกลจึงรีบให้คนไปส่งข่าวเรียบร้อยแล้ว

"พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี ข้ากลับมาเหนื่อยๆต้องการพักผ่อน" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงพลังอย่างประหลาด

"พะยะค่ะ" เสียงทหารตอบรับเสียงหนักแน่นลุกขึ้นทำหน้าที่ของตนตามเดิม

"องค์ชายรองเชิญเสด็จกลับตำหนักเถอะพะยะค่ะ" การขานนามของจ้าวหย่งเจิ้งเปลี่ยนไปเมื่อก้าวเข้ามาในวังของเมืองจิ้นหยาง

"ไม่ ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่ตำหนัก เฉียนชิงกง"

"น้อมรับบัญชา" อวี๋เหวินเต๋อก้มหัวถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อให้ผู้เป็นนายเดินนำไปก่อน

"อวี๋เหวินเต๋อ เจ้าไม่ต้องไป เจ้าเอาฟางน้อยกลับตำหนักข้าไปก่อน" ว่าจบจึงเปิดแขนเสื้อขึ้นปล่อยให้เจ้างูเขียวเลื้อยผ่านมือไปหาอวี๋เหวินเต๋อ

"พะยะค่ะ" อวี่เหวินเต๋อรับคำถอยหลังแล้วพาเจ้างูเขียวกลับตำหนัก จิงเหรินกง

ตำหนัก เฉียนชิงกง เป็นตำหนักใหญ่ โอ่อ่า งดงามที่สุดในบรรดาตำหนักทัง12 ตำหนัก ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ฮองเต้ จ้าวหย่งเจิ้ง เดินตัดผ่านอุทยานหลวงที่มีดอกไม้นานาพันธ์ต่างพากันเบ่งบานชูช่อสวยงาม เมื่อมาก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก ฝู่กงกงจึงนำเสด็จไปยังพระที่นั่งที่มีองค์ฮองเต้ประทับอยู่แล้ว

"เสด็จพ่อลูกลับมาแล้วพะยะค่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งคุกเข่าทำความเคารพผู้ที่อยู่สูงเหนือคนทั้งปวง

"หย่งเจิ้ง" หย่งคัง กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ริ้วรอยบนหน้าจะมากขึ้น แต่ความน่าเกรงขามกลับไม่ลดน้อยลง

"เสด็จพ่อให้คนไปตามข้ากลับมาด้วยเรื่องอันใด"

"ลุกขึ้นเถอะ ท่านนักพรตได้จับยามสามตาพบว่า เจ้าพบมังกรเขียวผู้จะมาเป็นฮองเฮาเคียงคู่บัลลังก์กษัตริย์แล้ว ดังนั้นพ่อจึงให้คนส่งข่าวให้เจ้ากลับวังหลวง"

"กราบทูลเสด็จพ่อ ลูกได้พบกัลมังกรเขียวจริงแต่มังกรเขียวไม่ยินยอมที่จะมากับลูกหากลูกยังหาร่างมนุษย์ของเขาไม่เจอ ลูกจึงรั้งรอเวลาเพื่อตามหา"

"หากเป็นเช่นนั้นจริง ใยนักพรตจึงกล่าวกับพ่อว่า ดวงดาวแห่งมังกรเขียวเคียงคู่มังกรทองแล้ว"

"เรื่องนั้นลูกหาทราบไม่พะย่ะค่ะ"

"เอาเถอะ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ กลับมาคงเหนื่อย ไปพักผ่อนเถอะ" หย่งคังโบกมือเบาให้ต้าวหย่งเจิ้งกลับไปพักผ่อน

"ลูกทูลลา" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวถอยหลังสามก้าวก่อนหันตัวเดินจากไป เมื่อเห็นว่สจ้าวหย่งเจิ้งลับตาไปแล้ว จึงเรียก ฝู่กงกงเข้ามา

"ฝู่กงกง" ขันทีผู้ใกล้ชิดองค์ฮองเต้สาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว

"ฝู่กงกงอยู่นี่แล้วฝ่าบาท"

"ไปตามท่านนักพรตมาหาข้า"

"ฝู่กงกง รับบัญชา" ฝู่กงกงถอยหลังไปจนสุดประตูก่อนพลิกตัวเดินจากไป

อารามหลวง

นักพรตเจินหยวน ผู้รอบรู้ทุกสิ่ง ได้เห็นจับยามสามตาพบว่า องค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้งได้พามังกรเขียวกลับมาด้วย แต่เขารู้สึกว่ามังกรเขียวตนนี้แตกต่างจากมังกรเขียวตนอื่น จึงออกจากอารามหลวง เพื่อไปพบมังกรเขียวด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับฝู่กงกงกำลังเดินทางมาพบท่านนักพรตเจินหยวนเข้าพอดี

"โชคดีนักที่จ้ามาพบท่านก่อน ท่านนักพรตกำลังเดินทางไปที่ใด" ฝู่กงกง ใช้มือแตะน่าอกด้วยความโล่งใจที่ตนมาทันเจอนักพรต

"ท่านฝู่กงกง มีเรื่องอันใด ข้ากำลังจะเข้าวังอยู่พอดี" นักพรตหนุ่ม ผู้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนวัยย่าง 30 เศษ แต่จริงๆแล้วเขามีอายุมานานนับร้อยปี เขาก้มศีรษะให้ฝู่กงกงเล็กน้อยเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย

"ฮองเต้มีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า"

"ท่านฝู่กงกงช่วยเรียนฮองเต้ทีว่า ข้าจะเข้าฮองเต้วันพรุ่ง" ว่าจบนักพรตเจินหยวนจึงเดินจากไป ปล่อยให้ฝู่กงกงอ้าปากค้าง มองตามจนนักพรตเจินหยวนลับสายตาไป

ตำหนัก จิงเหรินกง อวี๋เหวินเต๋อ พาเจ้างูเขียวน้อยเหม่ยฟางเข้ามาในห้องพักห้องหนึ่ง เหม่ยฟางเลื้อยลงจากแขนของเขาก่อนกลายร่างกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง

"ข้าคิดแล้วเชียวว่า หย่งเจิ้งไม่ใช่คนธรรมดา คนธรรมดาที่ไหนจะเอ่ยปากขอบัลลังก์กับข้า" เหม่ยฟางเอ่ยปากพูดออกมา ตามความคิดของตนที่คิดไว้ก่อนที่จะเข้ามาในวังหลวงเสียอีก

"เจ้าอย่าเรียกองค์ชายรองด้วยชื่อเช่นนี้มันไม่เหมาะนัก" อวี๋เหวินเต๋อ กล่าวทักท้วงเตือนให้ระวังคำพูด

"เจ้าไม่พูดข้าไม่ไม่พูดใครจะไปรู้"

"ถึงอย่างไร ประตูก็มีหู หน้าต่างมีช่อง หากไม่สำรวมคำพูดจะเดือดร้อน"

"โอ๊ย รู้แล้ว รู้แล้ว เจ้าอย่าเคร่งนักเลย" เหม่ยฟางร้องโวยวายกับคนเคร่งในกฏระเบียบ

"หากเจ้าเป็นเด็กข้าจะจับเจ้าตีก้นเสียให้เข็ด" เหม่ยฟางเบ้ปากใส่อวี๋เหวินเต๋อพลางพูดว่า

"ไหนเจ้าบอกจะดูแลข้า ใยเจ้าคิดจะตีข้าเสียแล้ว" แม้ตนจะพูดไปโดนไม่ใส่ใจเช่นนั้น แต่มันกลับไปจุดประกายบางอย่างของอวี๋เหวินเต๋อ

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ยอมให้ข้าดูแลเจ้าสิ" ดวงตาเป็นประกายความหวังของอวี๋เหวินเต๋อช่างทำให้เหม่ยฟางอึดอัดใจยิ่งจึงเอ่ยไปว่า

"ไหนท่านบอกจะให้เวลาข้า แต่ทำไมตอนนี้ท่านยังเร่งรัดข้าอีก ความรู้สึกของข้า สำหรับท่านแล้วยังคงเป็นพี่ชายเสมอ ได้โปรดอย่าถามข้าเรื่องนี้อีกเลย"

"ข้าขออภัย ข้าผิดเอง เจ้าพักผ่อนเถอะข้าขอตัว" แม้ตนจะรู้คำตอบอยู่แล้วแต่เขากับยังอดที่จะคาดหวังให้เหม่ยฟางหันมามองตนสักนิดก็ยังดี อวี๋เหวินเต๋อก้าวเท้ายังไม่ทันออกจากประตูดี ขันทีรับใช้นามว่า เสี่ยวจื่อหยี่ ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า นักพรตเจินหยวนต้องการเข้าเฝ้าองค์ชายรอง

"ท่านองครักษ์อวี๋ ท่านนักพรตเจินหยวนต้องการเข้าเฝ้าองค์ชายรองขอรับ"

"ออกไปเรียนท่านนักพรตว่า องค์ชายรองทรงเสด็จเข้าเฝ้าฝ่าบาท"

"ข้าน้อยเรียนท่านนักพรตแล้วขอรับ แต่ว่า..." เสี่ยวจื่อหยี่ยังกล่าวไม่ทันจบ นักพรตเจินหยวน กลับถือวิสาสะเดินเข้าว่าเสียอย่างนั้น

"ข้าจะรอองค์ชายรองอยู่ที่นี่ ได้หรือไม่ท่านองครักษ์อวี๋" แม้ใบหน้าจะฉาบไปด้วยรอยยิ้มแต่นัยน์ตากับแอบแฝงบางอย่าง

"เช่นนั้นคงไม่เหมาะนักหากองค์ชายรองเสด็จมา...ข้าคิดว่า...องค์ชายรองคงไม่พอพระทัย"

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอพบคนที่ท่านพากลับมาด้วยได้หรือไม่" ใบหน้ายังคงฉาบไปด้วยยิ้มแต่สายตากับจ้องมอง

ราวกับมองเห็นทะลุปรุโปร่งว่าตนได้พาใครเข้ามาในตำหนัก และเหม่ยฟางที่อยู่ในห้องก็รู้สึกถึงสายตานั้นเช่นกัน

"น่าแปลกที่ข้าไม่ได้พาใครกลับมา ทาานนักพรตคงเข้าใจอันใดผิด" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวแก้ตัว

"ถ้าเช่นนั้นรังสีแห่งมังกรเขียวใยอยู่ที่ห้องนั่นเหล่า" นักพรตเจินหยวน กล่าวพลางเดินไปหยุดประตูห้องห้องหนึ่ง เมื่อเหม่ยฟางรู้ตัวว่าไม่อาจปกปิกคนผู้นี้ได้จึงเปิดประตูออกมา

แอ๊ด!

"ข้าคงหลบหลีกสายตาท่านไม่ได้ ขนาดข้าลบจิตออกไป ท่านยังคงรู้ว่าข้าอยู่ที่แห่งนี้" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ พอที่จะสะกดคนทุกผู้ทุกนามให้นิ่งตะลึงงัน แม้แต่นักพรตเจินหยวนเองก็เช่นกัน

"ไม่คิดเลยว่า มังกรเขียวจะกลายเป็นบุรุษเพศที่มีใจหน้างดงามหมดยิ่งกว่าหญิงใดเช่นนี้" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยความชื่นชม จนรู้สึกตัวว่าตนทำกริยาไม่เหมาะสมลงไป

"ขออภัยที่ข้าแสดงกริยาไม่เหมาะสม" นักพรตจิ้นหยวนกล่าวอย่างเก้อเขิน

"เรื่องนั้นข้าไม่ถือสา ว่าแต่ท่านต้องการคุยเรื่องอันใดกับข้า"

"ข้าจะคุยเรื่องท่านผู้ซึ่งเป็นมังกรเขียว"

"กับข้า..." เหม่ยฟางชี้นิ้วเข้าหาตน

"ใช่เพียงลำพัง"

"ใยต้องคุยกันเพียงลำพัง" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยแทรกขึ้น

"ย่อมได้" เหม่ยฟางตอบตกลงทันทีไม่ฟังเสียงคัดค้านของอวี๋เหวินเต๋อ

"เหม่ยฟาง" อวี๋เหวินเต๋อร้องเสียงอ่อนใจ

"พี่อวี๋ท่านออกไปก่อนเถอะข้าขอคุยกับท่านนักพรตเพียงลำพัง ได้โปรด"

"เข้าใจแล้ว ตามใจเจ้าเถอะ ไปเสี่ยวจื่อหยี่ ออกไปด้านนอกกัน" อวี๋เหวินเต๋อสะบัดชายเสื้ออย่สงไม่พอใจร้องเรียกขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ตามออกไปด้วย ขันทีน้อยได้ ได้แต่มองเหม่ยมองจนยากจะถอนสายตา ตามอวี๋เหวินเต๋อออกไปอย่างเสียดาย

"ท่านต้องการคุยอันใดกับข้า"

"ท่านรู้หรือไม่ว่า มังกรเขียว ทุกยุคทุกสมัยที่บังเกิดมาล้วนเป็นสตรี" นักพรตเจินหยวนเอ่ยเสียงเรียบแต่รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้า

"แล้วท่านมาบอกข้าทำไม" เหม่ยฟางกล่าวออกไปอย่างไม่ใครใส่ใจเท่าใดนัก

"แต่ท่านเกิดเป็นบุรุษ" นักพรตเจินหยวนกล่าวต่อไปอีก จนเหม่ยฟางมองท่าทางการพูดแล้วไม่ใคร่ชอบใจนัก

"ท่านต้องการสื่ออะไรกันกันแน่" เหม่ยฟางถามต่อไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา

"สิ่งที่ข้า ต้องการจะบอกคือ ท่านไม่สมควรที่จะได้เกิดมา..."

ปึง!!!

เสียงตบโต๊ะดังสนั่น เหม่ยฟางยืนตัวสั่นด้วยท่าทางโกรธจัด เขาเป็นบุรุษใยเขาถึงไม่สมควรเกิดมา ช่างกล้าพูดออกมาได้ มันน่าฆ่านัก

"เจ้า สมควรตายนัก กล้าลบหลู่ข้าหรือ"

"นั่งลงก่อนเถอะ สิ่งที่ข้าหมายถึงคือ การที่ท่านควรระวังตัวต่างหาก ข้าหาได้อยากลบหลู่ท่านไม่ ท่านอยากฟังเรื่องของพวกท่านเหล่ามังกรเขียวหรือไม่ หากท่านต้องการฟัง ข้าจะเล่าให้ฟัง ใจเย็นๆแล้วนั่งลงก่อนเถอะ" นักพรตเจินหยวนกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทางตื่นตะหนกกับท่าทางโกรธเกี้ยวของเหม่ยฟางแม้แต่น้อย เหม่ยฟางเมื่อได้ยินว่าจะได้ฟังเรื่องราวของเหล่ามังกรเขียว ใจจึงค่อยๆเย็นลง กลับมานั่งที่เพื่อฟัง นักพรตเจินหยวนพูดอีกครั้ง ข้าก็อยากรู้เช่นกัน ว่าทำไม มังกรเขียวถึงต้องเป็นฮองเฮาของกษัตริย์ แล้วใยมังกรเขียวถึงต้องเป็นสตรี แล้วใยเขาต้องระวังตัว หากตาเฒ่าเอี๊ยจอมเจ้าเล่ห์ยอมเล่าแต่แรกเขาคงไม่โง่งมเช่นนี้...

"ท่านเล่ามาเถอะข้าอยากฟังจะแย่แล้ว"

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 23:39:29 โดย Vammas »

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
รอ ร้อ รออออ~ :mew2: อยากอ่านต่อ :z3: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชอบนิยายแนวนี้จัง

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
ค้างคาจายยยยยยย

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 11 ความจริงเปิดเผย

นักพรตเจินหยวนใบหน้ายิ้มแย้ม มองใบหน้างดงามของเหม่ยฟางอย่างพึงพอใจก่อนเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราว

"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" เหม่ยฟางมุ่ยหน้ามองคนเอ่ยปากเล่าเรื่อง 

"ท่านจะเล่านิทานให้ข้าฟังหรือไง ใยขึ้นเช่นนี้"

"โธ่ นี่มันเรื่องที่นมนานมากแล้ว ย่อมต้องเอ่ยเช่นนี้แหละ ถ้าเช่นนั้นข้าเล่าต่อนะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับ ข้าจะเชื่อถือ ท่านได้ไหมเนี่ย ทำตัวไม่ได้น่าเชื่อถือเลยสักนิด

'กาลครั้งหนึ่ง ตามตำนานในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า เจ้าแม่หนี่วา ผู้มีครึ่งบนเป็นมนุษย์ครึ่งล่างเป็นงู เกิดจิตปฏิพัทธ์กับฮองเต้จิ้นจง ที่เสด็จปลอมตัวเป็นคนสามัญชน ออกไปเที่ยวเล่นที่เมืองเจียงหนาน นางแปลงกายเป็นคนปกติเพื่อเข้าหาเพราะด้วยรูปโฉมอันงดงามที่มีมาแต่เดิมของนาง ทำให้ฮองเต้จิ้นจง เกิดใจปฏิพัทธ์กับนางเช่นกัน จึงพานางกลับวังหลวง ทั้งความงาม ความสามารถทุกด้าน นางจึงเป็นที่ทรงโปรด ขององค์จิ้นจง จนถึงขนาดตั้งนางเป็นฮองเฮาโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดจากผู้อื่น

เพียงปีเดียวที่นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮาก็ทรงตั้งครรภ์ จนบังเกิดลูกมังกรทอง เป็นที่ตกตะลึงแก่องค์จิ้นจงเป็นอย่างมาก แต่เพียง 7วัน ลูกมังกรทองกลับกลายเป็นเด็กทารกมีผิวพรรณเรืองรอง เสียงร้องก้องกังวาน บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่แม้แต่นักพรตทั้งหลายยัง เอ่ยปากว่า เด็กที่เกิดมา จะกลายเป็นองค์จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ องค์ต่อไป เมื่อให้กำเนิดโอรส แก่องค์จิ้นจง นางก็ล้มป่วย ผิวพรรณเริ่มขึ้นเกล็ดสีเขียวมรกต ร่างกายเริ่มแปรเปลี่ยนสภาพ ก่อนนางสิ้นใจกล่าวว่า

'หากอยากให้ลูกหลานกำเนิดเชื้อสายมังกร ทุกๆ 10ปี ให้ตามหาบุตรหลานมังกรเขียวของนาง เพื่อรับเป็นฮองเฮา เพื่อสืบเชื้อสายต่อไป หากเป็นมังกรเขียวเป็นสตรี นางจะให้กำเนิดลูกมังกรทอง 1ตน จะมีชีวิตยืนยาวคู่องค์ฮองเต้จนวาระสุดท้าย แต่หาก เป็นบุรุษ แม้มีสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวจะตั้งท้องในทันที แต่หากคลอดบุตรแล้วชีวิตนั้นจะจบลงภายใน7วัน กลับกลายเป็นงูเขียวไปตลอดชีวิตหากคนที่ตนมอบใจนั้นไม่มีจิตปฏิพัทธ์ในตน แต่หากคนผู้นั้นมีใจด้วยนั้นจะอยู่ครองคู่มีลูกหลานมากมายยิ่งกว่าสตรี แต่ท่านพี่ต้องพึงระวังเสน่ห์ของบุรุษนั้นมีมากว่าสตรีนัก'

นับแต่นั้นองค์จิ้นจงจึงตั้งบัญญัติประเพณีขึ้นมาว่าหากโอรสมังกรเติบใหญ่จะต้องไปเจียงหนานเพื่อหาลูกหลานมังกรเขียว เพื่อสืบสายเลือดมังกรต่อไป และให้ผู้นั้นดำรงตำแหน่งฮองเฮาเคียงคู่บัลลังก์สืบไปนับแต่นั้นมา แต่หากโอรสมังกรมีมากกว่าหนึ่ง นั่นคือหน้าที่ของมังกรเขียวที่จะต้องเลือกว่สผู้ใดเหมาะสมจะได้นั่งอยู่บนบัลลังก์

กล่าวกันว่ามังกรเขียวนับแต่นั้นมาจะบังเกิดแต่สตรี แต่ทุกๆ 100ปี จะบังเกิดบุรุษขึ้นมาสักครั้ง และบุรุษเหล่านั้น แม้ได้ยกย่องเป็นฮองเฮา แต่ก็เป็นแค่เครื่องมือให้กำเนิดลูกมังกรเท่านั้น ไม่เคยมีมาก่อนว่า มังกรเขียวที่เป็นบุรุษ เมื่อคลอดลูกมังกรแล้วจะมีชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของฮองเต้สักคน'

"เรื่องก็เป็นอย่างที่ข้าเล่านี่แหละ ข้าเล่าโดยย่อๆเพราะเวลาไม่เอื้ออำนวยหากท่านอยากฟังต่อเชิญที่อารามของข้า" ใบหน้าของนักพรตเจินหยวนยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม 

"ถ้าเช่นนั้น ข้าสามารถมีลูกได้เหรอ" เหม่ยฟางถามออกไปโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง

"ย่อมได้ ท่านเป็นถึงมังกรเขียวเชียวนะ องค์หนี่วา เองก็เป็นมังกรเขียวผู้ให้กำเนิดมังกรทอง แล้วใยท่านจะให้กำเนิดลูกไม่ได้"

"แต่องค์หนี่วา เป็นสตรี แต่ข้าเป็นบุรุษ" เหม่ยฟางตอบเสียงอ่อย

"ท่านเป็นถึงมังกรเขียวย่อมให้กำเนิดลูกได้อย่างแน่นอน สิ่งที่ข้าจะเตือนท่านคือ ห้ามมีสัมพันธ์กับบุรุษอื่นนอกจากผู้ที่จะขึ้นเป็นองค์ฮองเต้เด็ดขาด หากท่านตั้งครรภ์ขึ้นมาจะเกิดเรื่องยุ่ง นี่คือสิ่งที่ข้ามาเตือนท่าน ท่านได้เลือกแล้วใช่หรือไม่ว่าใครจะมาเป็นองค์ฮองเต้คนต่อไป"

"คือข้า..." เหม่ยฟางลังเลที่จะตอบ

"เอาเถอะข้าไม่ได้มาซักถามว่าท่านต้องการให้ใครเป็นองค์ฮ่องเต้"

แอ๊ด!

"เหม่ยฟาง องค์ชายรองเสด็จกลับมาแล้ว อีกไม่กี่ก้าวจะมาถึงที่นี่แล้ว" เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง หน้าตาตื่นเอ่ยยอกด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

"แย่ล่ะ เจ้ารั้งเขาไว้ก่อน ข้าขอเวลาสักครู่"

"ได้ เจ้ารีบกลายร่างเป็นงูเขียวเถอะ" ว่าจบจึงรีบออกไปรั้งจ้าวหย่งเจิ้งเอาไว้

"ท่านยังไม่ได้บอกองค์ชายรองว่าท่านเป็นมังกรเขียวหรอกหรือ" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ

"ยังไม่ได้บอก แล้วอีกอย่างเขาไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ท่านนักพรตได้โปรดอย่าบอกเรื่องนี้กับเขา" เหม่ยฟางถือวิสาสะคว้ามือของนักพรตเจินหยวนมากุมไว้พร้อมส่งสายตาอ้อนวอน จนทำให้หัวใจที่ไม่เคยสั่นไหวต่อสิ่งใดของท่านนักพรตเจินหยวนต้องสั่นคลอน

"ขะ ข้าเข้าใจแล้ว ได้โปรดสำรวมกับข้าด้วย" นักพรตเจินหยวนชักมือกลับ ตีสีหน้าเรียบเฉยไม่ให้เหม่ยฟางสังเกตุอาการเก้อเขินของตน  มิคาดคิดเลยว่าเสน่ห์ของบุรุษมังกรเขียวจะรุนแรงเช่นนี้ 

"ข้าขออภัย" เหม่ยฟางก้มหน้าขอโทษ ก่อนกลายร่างเป็นงูเขียวขดตัว นอนอยู่บนโต๊ะ

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัว วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมใหม่" นักพรตเจินหยวนเอ่ยปาก เหม่ยฟางในร่างงูจึงผงกหัวรับก่อนนอนขดตามเดิม

"ท่านนักพรต ท่านจะกลับแล้วหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเมื่อเห็นนักพรตเจินหยวนก้าวเท้าออกมาจากตำหนีกของตน

"พอดีข้าน้อยติดธุระ จึงขอตัวกลับก่อน"

"ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่รั้งท่านไว้ เชิญ" จ้าวหย่งเจิ้งผายมือออกไปด้านข้าง นักพรตเจินหยวนโค้งศีรษะเพียงเล็กน้อยก่อนสาวเท้าออกไป

"องค์ชายรองเสด็จกลับมาเหนื่อยๆ ข้าน้อยเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านแล้วพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าว ก่อนเดินเข้าไปในตำหนักเพื่อจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย จึงเหลือเพียงจ้าวหย่งเจิ้ง กับขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่

"เสี่ยวจื่อหยี่ เจ้าเหม่ออะไร" จ้าวหย่งเจิ้งมองขันทีน้อยด้วยความแปลกใจปกติแล้วเสี่ยวจื่อหยี่ค่อนข้างกระตือรือร้นมาก ใยวันนี้ดูเหม่อลอยชอบกล

"เรียนองค์ชาย องค์ชายพาบุรุษรูปงามมาจากที่ใดพะยะค่ะ งดงามหาใดเปรียบจริงๆ" เสี่ยวจื่อหยี่หลุดปากออกไปไม่ทันคิด จนจ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วมุ่น

"บุรุษรูปงาม?" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำ

"ขอรับ งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในวังหลังเสียอีก" คำตอบของเสี่ยวจื่อหยี่ ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งมั่นใจว่า คนผู้นั้น คือ เหม่ยฟาง เป็นแน่ ที่แท้เจ้าก็แอบตามข้ามาสินะ

"รู้หรือไม่ว่าพักอยู่ห้องใด"

"เอ่อ น่าจะเป็นห้องทางปีกซ้ายติดกับห้องขององครักษ์อวี๋พะย่ะค่ะ" เสี่ยวจื่อหยี่ ตอบออกไปโดยไม่รู้ว่าเรื่องที่เหม่ยฟางอยู่ที่นี่เป็นความลับสำหรับจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าทำดีมาก อย่าบอกเรื่องนี้กับอวี๋เหวินเต๋อ เข้าใจไหม"

"เข้าใจพะย่ะค่ะ" แม้จะตอบว่าเข้าใจ แต่ความสงสัยยังคงเก็บไว้ในใจ มิอาจเอ่ยถามออกไปได้

ตกดึกบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบ จ้าวหย่งเจิ้งลอบแอบออกจากห้อง เพื่อไปยังห้องทางปีกซ้ายเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนได้ยินมา แต่เพียงก้าวขาเข้าไปกลับได้ยินเสียง ดังแปลกๆ จึงเจาะรูที่หน้าต่างเพื่อแอบมอง คนในห้อง ปรากฏภาพ เจ้างูเขียวที่เขาพามาด้วยกับ อวี๋เหวินเต๋อ คล้ายกับคุยกันอยู่

"เหม่ยฟาง เจ้ากลับร่างคนได้แล้ว เจ้าอยู่ร่างนี้คล้ายข้าเป็นคนบ้าคุยคนเดียวยังไงยังงั้น"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (นั้นมันเรื่องของเจ้าพี่อวี๋ ท่านอยากเคร่งกฏระเบียบกับข้าทำไม) "หากเจ้าไม่คืนร่างข้าจะมอบจุมพิตให้เจ้า"

ฉึก! ฉึก! ฉึก!

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้ากล้าเหรอ ถ้าเจ้ากล้าข้าจะฉกเจ้าให้พรุนเลย) ไม่ว่าเปล่าเจ้างูน้อยเหม่ยฟาง ก็ระดมฉกอวี๋เหวินเต๋อ

"โอ๊ยๆๆ มันเจ็บนะเหม่ยฟาง ถ้าไม่ฟังข้าจะจูบเจ้าจริงๆ" อวี๋เหวินเต๋อคว้า คองูเขียวขึ้นมา พลางยื่นปากเจ้าไปใกล้หมายจะจูบให้อีกฝ่ายคืนร่าง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (หยุดนะ หยุด นี่ข้าเป็นงู เจ้าก็คิดจะล่วงเกินข้าหรือไง)

"เจ้าจะคืนร่างหรือไม่เล่า" อวี๋เหวินเต๋อยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น จนเหม่ยฟางทนไม่ไหวจำต้องกลายร่างเป็นคนสองมือดันหน้าอวี๋เหวินเต๋อออกห่างจากตน

"ข้าคืนร่างแล้ว พอใจเจ้าหรือยัง"

ภาพที่จ้าวหยางเจิ้งเห็นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า มังกรเขียวที่เขาตามหา กับคนที่ทำให้จิตใจของเขาไขว่เขวจะเป็นคนคนเดียวกัน จ้าวหย่งเจิ้งถอยหลัง ไปชนเข้ากับกระถางต้นไม้จนหล่นแตก ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งอวี๋เหวินเต๋อ หันไปมองทางหน้าต่าง เมื่อเปิดออกไปกับไม่พบใครแม้แต่คนเดียว แต่บริเวณที่กระถางแตกกับมีแมวอยู่แทน

"เกิดอะไรขึ้น" เหม่ยฟางเอ่ยถาม

"แมว สงสัยหลุดเข้ามา วิ่งชนกระถางต้นไม้หล่นแตก" เหม่ยฟางพยักหน้ารับคำตอบ

"เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ข้าง่วงแล้ว"

"อืม เจ้าพักผ่อนเถอะ"

จ้าวหย่งเจิ้งได้รับรู้ความจริงที่ถูกปิดซ่อนไว้ ไม่คิดเลยว่าตนจะถูกคนที่ไว้ใจที่สุดปิดบังเรื่องราวไว้

"โชคดีนักที่มีเจ้าแมวหลงนั่นเข้ามา ไม่เช่นนั้นข้าคงโดนจับได้" ระหว่างหาทางหลบหนีหลังจากทำกระถางต้นไม้หล่นแตก เขาเหลือบไปเห็นเจ้าแมวหลงทางอยู่บนกำแพงจึงจับมันโยนเข้ามาตรงกระถาง ส่วนเขาก็หลบอยู่บนหลังคาหลังจากอวี๋เหวินเต๋อกลับห้องไปจึงลอบกลับห้องตนเอง

"ข้าคงต้องวางแผนจับงูเขียวให้อยู่หมัดเสียแล้ว"

"เช้าวันใหม่ จ้าวหย่งเจิ้งเดินตรงเข้าไปในห้องของอวี๋เหวินเต๋อ เมื่อเห็นอวี๋เวินเต๋อกำลังหลับอยู่บนเตียงจึงใช้มือสะกิดเพียงเล็กน้อย เมื่ออวี๋เหวินเต๋อลืมตาขึ้นถึงกับสะดุ้งตกใจ ไม่คิดว่าผู้เป็นนายจะเข้ามาในห้องตน

"องค์ชายรอง?"

"ก็ข้าน่ะสิ รีบตื่นข้าจะออกไปเดินเล่น"

"พะย่ะค่ะ" "เช่นนั้น ข้าไปเอาฟางน้อยก่อน"

"ฟางน้อย? ห๊ะ!!! มะ ไม่ได้นะองค์ชายเดี๋ยวข้าน้อยไปนำมันมาให้พะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเสียงตะกุกตะกักลนลาน

"ไม่จำเป็น เจ้าจัดการธุระให้เสร็จเถอะ"

"แต่ว่า..."

"นี่คือคำสั่ง" เมื่อผู้เป็นนายเอ่ยปากออกมาเช่นนี้คนเป็นบ่าวมีหรือที่จะกล้าขัดใจจึงจำยอมแต่โดยดี

แอ๊ด!

เสียงประตูห้องด้านข้างของอวี๋เหวินเต๋อถูกผลักออก ร่างสูงสง่าของจ้าวหย่งเจิ้งก้าวเข้าไปในห้อง เขาสำรวจมองรอบห้อง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินตรงไปที่เตียง พบเพียงงูเขียวนอนขดอยู่

'รู้ตัวก่อนงั้นหรือ' จ้าวหย่งเจิ้งคิดในใจ มองร่างงูเขียวที่กำลังนอนหลับ 

"ฟางน้อย เจ้าตื่นไปเดินเล่นกับข้าหน่อยนะ" เมื่อเห็นเจ้างูเขียวนอนนิ่งเขาจึงถือวิสาสะจับมันขึ้นมาแล้วใส่เข้าไปในแขนเสื้อ เมื่อเจ้างูน้อยเหม่ยฟาง ถูกจับจึงสะดุ้ง ตัวโหยงมองคนที่จับตัวตน เมื่อเห็นเป็นจ้าวหย่งเจิ้ง จึงเลื้อยเข้าไปพันที่แขนของเขา

'โชคดีจริงที่ข้ากลายร่างเป็นงูช่วงฟ้าสาง มิเช่นนั้นคงถูกจับได้เป็นแน่ เฮ้อ~' เหม่ยฟางรอบถอนหายใจ ด้วยความโล่งอก

จ้าวหย่งเจิ้งลอบมองท่าทีของเจ้างูเขียวที่อยู่ในแขนเสื้อ เมื่อเห็นท่าทางโล่งอกจึงอดกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้

'ในเมื่อพวกเจ้าบังอาจปิดบังข้า ข้าจะกลั่นแกล้งให้พวกเจ้าหัวหมุนกันเชียว หึหึ'

อวี๋เหวินเต๋อเมื่อจัดแจงตนเองเรียบร้อยจึงรับออกจากห้องด้วยหน้าตาตื่นเพราะกลัวผู้เป็นนายจะจับได้ว่าตนปกปิดเรื่องสำคัญ

"องค์ชายรองจะเสด็จที่ใดพะย่ะค่ะ"

"ข้าจะไปเดินเล่นในตลาด" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ อวี๋เหวินเต๋อได้แต่นิ่งรับคำบัญชา

"เชิญเสด็จองค์ชาย ข้าน้อยสั่งคนเตรียมเกี้ยวไว้แล้ว"

"ไม่จำเป็นข้าจะเดินไป" "น้อมรับบัญชา"

"ฟางน้อยเจ้าขึ้นมาอยู่บนอกข้าดีหรือไม่" ว่าแล้วก็จับเจ้างูน้อยในแขนเสื้อมาใส่ไว้ในอกแทน

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(ข้าอยากจะขึ้นไปอยู่บนหัวเจ้าเสียมากว่า) เจ้างูน่อยส่งเสียงประท้วง

"หึหึ ข้าคงให้เจ้าขึ้นมาอยู่บนหัวไม่ได้หรอกนะ ถ้าเป็นที่คอก็ได้อยู่" เจ้างูได้ยินถึงกับผงะ ไม่คิดว่าจ้าวหยางเจิ้งจะรู้ว่าตนคิดอะไร

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าฟังข้ารู้เรื่องหรือไง)

"ข้าฟังเจ้าไม่รู้เรื่องหรอก สบายใจได้ ข้าสังเกตุจากท่าทางของเจ้าต่างหากล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นเจ้างูเลื้อยขึ้นนมาอยู่บริเวณคอของตน

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (นี่ขนาดฟังข้าไม่รู้เรื่องเจ้ายังตอบข้าได้ ชิ)

"อุ๊บ..." เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่ฟังเหม่ยฟางกับจ้าวหย่งเจิ้งโต้ตอบกัน จนอดที่จะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ซึ่งไม่รอดพ้นสายตาของเหม่ยฟางกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"มีอะไรน่าขำ" เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่เอ่ยปากถามเมื่อเห็นคนสนิทกลั้นขำสุดชีวิต

"ปะ เปล่า พะย่ะค่ะ เชิญเสด็จเถอะองค์ชายรอง"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (หนอย พี่อวี๋หัวเราะข้างั้นเหรอ เดี๋ยวก็ฉกให้) พูดจบก็พุ่งตัวหมายจะฉกอวี๋เหวินเต๋อ แต่เป็นจ้าวหย่งเจิ้งที่ดึงหางเอาไว้จึงไม่สามารถทำอะไรได้

"อย่าดื้อสิ เป็นเด็กดีนะ" เมื่อดึงเจ้างูเขียวน้อยเหม่ยฟางกลับมาได้จึงลูบหัวลูบหางให้เจ้างูน่อยอยู่นิ่งๆ จนทำให้อวี๋เหวินเต๋อแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

"ฮึ ฮึ" "ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ฝากไว้ก่อนเถอะ) เหม่ยฟางหันหน้าหนีคล้ายกำลังงอนจนจ้าวหย่งเจิ้งใองด้วยความเอ็นดู

เช้าจรดเย็นจ้าวหย่งเจิ้งพาเจ้างูน้อยเหม่ยฟางเดินเที่ยวจนทั่วตลาด ผู้คนคึกคีก ข้าวของล้วนแปลกตาจนเหม่ยฟางรู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน 

"เจ้าชอบที่นี่ไหม หากชอบข้าจะพามาเที่ยวบ่อยๆ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนกับเจ้างูเขียวเหม่ยฟาง เหม่ยฟางได้แต่ผงกหัวรับเพื่อเป็นการตอบ

"องค์ชายนี่ก็เย็นมากแล้วเชิญเสด็จกลับเถอะพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วงเมื่อเห็นว่าเริ่มเย็นมากแล้ว

"งั้นกลับกันเถอะ เจ้าอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมข้าจะให้คนเตนียมให้เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบไต่ถามเจ้างูน้อยเหม่ยฟาง เหม่ยฟางส่ายหัวไปมา วันนี้เขาได้ทานอะไรไปตั้งมากมาย จนท้องเขาบวมขนาดนี้ เขาคงทานอะไรไม่ลงแล้วล่ะ

ระหว่างกลับตำหนักจ้าวหย่งเจิ้งเอาแต่พูดกับเจ้างูเขียว จนเป็นเรื่องเป็นราว และส่วนมากจะเป็นคำถามที่ต้องตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ หรือที่แสดงท่าทางออกมาได้ อวี๋เหวินเต๋อมองผู้เป็นนายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขารู้สึกว่า ผู้เป็นนายของเขาเอ็นดูเจ้างูเขียวนี้จนเกินวิสัย ที่เคยจะเป็น หรือเป็นเพราะเขารู้สึกไม่ค่อยชอบใจที่เจ้างูน้อยเหม่ยฟางยอมเออออสนิทสนมกับจ้าวหยางเจิ้งจนเกินไป บางครั้งก็ชอบเอาหัวคลอเคลียบริเวณปลายคางจนจิตใจเขากระตุกอยู่บ่อยครั้ง

'ใจข้าใยกระวนกระวายยิ่งนักนี่มัน คืออะไรกันแน่ ใยข้ารู้สึกไม่ชอบใจเช่นนี้'

อาทิยต์ใกล้จะลับขอบฟ้า พวกจ้าวหย่งเจิ้งเดินทางกลับมาถึงตำหนีกเรียบร้อยเมื่อกำลังจะก้าวเท้าเข้าตำหนัก ขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาก่อนจะรายงานว่า

"เรียนองค์ชายรอง เหล่าองค์ชายทั้ง5มารอเข้าพบพะย่ะค่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งหน้าตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าเหล่าบรรดาพี่น้องของเขามาเยือนถึงตำหนัก เมื่อก้าวเท้าเข้าไป กับมีแรงกดดันมากมายที่ส่งมาที่เขา

"พี่ใหญ่ น้องสาม น้องสี่ น้องห้า ไม่ทราบว่าพวกท่านมาเยือนตำหนักข้าด้วยเรื่องอันใด" จ้าวหย่งเจิ้งก้าวเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มที่เสแสร้ง

"น้องรอง ข้าได้ข่าวว่าเจ้าได้พามังกรเขียวกลับมาด้วย ไหนล่ะ ขอให้ข้ายลโฉมสักครั้งได้หรือไม่" หย่งเฟิ้ง โอรสคนโตกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกาย

"นั่นสิ พี่รอง ท่านนักพรตเจินหยวนเป็นคนเอ่ยปากเองว่าท่านพามังกรเข้าวังมา ไหนล่ะมังกรเขียว" เป็น หย่งจิ้ง โอรสคนที่สี่เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
 "ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าพูดอะไรกัน ข้าไม่ได้นำพาใครกลับมาเสียหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้ง กล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ

"โกหก ความจริงท่านคิดจะเก็บเอาเพียงคนเดียวถึงไม่ให้พวกข้าได้เห็นสินะ" หย่งเฝิง โอรสคนที่สามกล่าวด้วยท่าทางผยองไม่เคารพความเป็นพี่ของจ้าวหย่งเจิ้ง

"พอเถอะท่านพี่ พวกท่านก็ได้ยินแล้วว่าพี่รองไม่ได้พาใครมาใยยังคาดคั้นพี่รองอีก" หย่งฟง โอรสคนสุดท้ายกล่าวทัดทานพี่ชายทั้งหมด เขาไม่อยากให้พี่รองต้องลำบากใจ

"เจ้าถอยออกไปหย่งฟง เจ้าคนอ่อนแอ"

พลั่ก!!!

หย่งเฝิงเดินเข้ามาผลักกายหย่งฟงจนเซถอยหลัง โชคดีที่อวี๋เหวินเต๋ออยู่ใกล้ๆจึงประคองรับได้ทัน ไม่เช่นนั้นคงล้มก้นกระแทก

"ขอบใจท่านองครักษ์อวี๋" หย่งฟงกเมหน้าหลบความเขินอายที่ต้องถูกอสี๋เหวินเต๋อโอบเอวไว้

"มิเป็นไรพะย่ะค่ะ องค์ชายห้า" อวี๋เหวินเต๋อเมื่อเห็นว่า หย่งฟง พยุงตัวยืนได้แล้วจึงปล่อยมือจากเอวอีกฝ่าย โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของหย่งฟงว่าเป็นเช่นไร แต่ไม่พ้นสายตาของเหม่ยฟางที่ลอบมองอยู่

'องค์ชายห้าทรงมีใบหน้างดงามยิ่งนักแม้ไม่หล่อเหลาเท่าหย่งเจิ้งก็ตาม แต่ดูแล้วคงจะมีใจให้พี่อวี๋เป็นแน่'

"น้องสามเจ้าทำเกินไปหรือไม่ใยต้องทำร้ายน้องห้าเช่นนี้" จ้าวหย่งเจิ้งเอายด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

"ข้าจะทำเช่นไรมันสิทธิของข้า แล้วไหนล่ะมังกรเขียวที่เขาร่ำลือกัน ขอให้ข้า จ้าวหย่งเฝิงได้ชมเป็นบุญตาหน่อยเถอะ" หย่งเฝิงกล่าวอย่างไม่สนใจผู้ใด

"หยุดเถอะน้องสาม เจ้าทำเกินกว่าเหตุแล้วนะ" หย่งเฟิ้งกล่าวทัดทานอีกคน

"ใยข้าต้องหยุด ข้าสามารถทำทุกอย่างที่ข้าต่องการได้ใยข้าต้องเกรงกลัวผู้ใด"

"หย่งเฝิง!!!" เสียงอันดังตวาดลั่น จ้าวหย่งเจิ้งหมดความอดทนกับคนผู้นี้เสียแล้ว

"ท่านกล้าขึ้นเสียงกับข้างั้นเหรอ" หย่งเฝิงยังไม่ยอมหยุดคิดหาเรื่องกับจ้าวหย่งเจิ้งต่อ

"น้องรองข้ากับน้องๆขอตัวก่อน ไป กลับได้แล้วน้องสาม เจ้าทำเกินไปแล้ว" หย่งเฟิ้ง ฉุดดึง น้องชายอย่สงสุดกำลัง แต่หย่งเฝิงกับไม่ขยับตามที่เขาดึง ทั้งยังสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมอีก

"พี่ใหญ่ท่านอยากกลับก็กลับไปแต่ข้าไม่ ข้าจะรอดูมังกรเขียวที่นี่"

"ตามใจเจ้า เจ้าสองคนกลับไปพร้อมข้า" หย่งเฟิ้งหมดความอดทนเช่นกัน เขาไม่ได้คิดจะมาหาเรื่องเพียงแค่อยากเห็นมังกรเขียวเท่านั้น เมื่อหย่งเฝิงไม่ฟังเขาก็ไม่รั้ง เช่นนั้นจึงเรียกน้องๆอีกสองคนให้กลับ ไปพร้อมตน

"ไหนล่ะมังกรเขียว" หย่งเฝิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

"กลับไป" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

"ให้ข้าเห็นมังกรเขียวก่อน"

"ข้าบอกให้กลับไป" จ้าวหย่งเจิ้งตวาดเสียงขึ้นอีกครั้ง

"ท่านมีสิทธิ์อันใดมาตวาดข้า ข้าไม่กลับ"

"ที่นี่มันตำหนักของข้า ข้าย่อมมีสิทธิ์"

"เรื่องนั้นข้าไม่สน"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (คนอะไรดื้อด้านนักข้าชักหมดความอดทนแล้วนะ) จ้าวหย่งเฝิงที่ไมทันตั้งตัวถูกเจ้างูเขียวเหม่ยฟางฉกใส่ จนต้องร้องเสียงหลง

"ว๊ากกกก พี่รองเจ้าให้งูมากัดข้างั้นเหรอ ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ" หย่งเฝิงร้องโวยวายไม่คิดว่าจะมีงูโผล่มากัดตน

เพี๊ยะ!!!

รอยนิ้วทั้งห้าปรากฏบนแก้มของหย่งเฝิง แต่นั่นไม่ใข่ฝีมือของจ้าวหย่งเจิ้งแต่กลับเป็นของเหม่ยฟางที่เผลอลืมตัวกลายร่างต่อหน้า จ้าวหย่งเจิ้ง และจ้าวหย่งเฝิง

"เจ้าเป็นเด็กหรือไรถึงได้ร้องโวยวายจะฟ้องพ่อฟ้องแม่" เหม่ยฟางต่อว่าต่อขานหย่งเฝิง เพราะตนหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจของจ้าวหย่งเฝิง

"เจ้า เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาตบหน้าข้า" หย่งเฝิงเอ่ยเสียงติดขัด ไม่ใช่เพราะเจ็บที่โดนตบแต่เป็นเพราะความงามที่ปรากฏในสายตาต่างหาก

"หากเจ้าไม่หยุดพูดอีก ข้าจะตบเจ้าอีกครั้ง"

"ฟางเอ๋อร์!" เสียงเรียกชื่อตน ทำให้เหม่ยฟางชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าตนดันกลายร่างต่อหน้าจ้าวหย่งเจิ้ง

"ตายล่ะ!" เหม่ยฟางหันไปมองผู้ที่ขานชื่อตน ก่อนตบหน้าผากตนเองแรงๆหนึ่งครั้ง ว่าตนได้ทำเรื่องผิดพลาดไปเสียแล้ว

"หย่งเจิ้ง แฮ่ๆ" เหม่ยฟางเรียกชื่อคนตรงหน้าก่อนส่งยิ้มแห้งกลับไป 

"เฮ้อ~ ว่าแล้วเชียว"  อวี๋เหวินเต๋อ ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะไปมา

"เจ้าคือมังกรเขียวสินะ" เป้นเสียงของหย่งเฝิงที่เอ่ยขัดบรรกาศ ก่อนคว้ามือเหม่ยฟางมากุมไว้ "เอ่อ...ชะใช่" เหม่ยฟางตอบเสียงอ่อย

"ประทับใจข้ามาก"

"ห๊ะ!!!"

"ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครกล้าตบตีข้า เจ้าเป็นคนแรก ที่ทำ ข้าประทับใจจริงๆ" เพียงจบคำพูดของหย่งเฝิง เหม่ยฟางก็รับรู้ได้ในทันทีว่า จะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2017 12:11:13 โดย Vammas »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :m3: ตอนฟางๆ ออกมากลายร่างดูเร็วๆไปนิดนึงแฮะ รู้สึกไปคนเดียวหรือเปล่าน้า ถ้ามีมุมของฟางๆตอนที่เจิ้งเถียงกับพี่น้องอยู่คงจะเข้าใจอารมณ์อยู่มั้ง? :m28: o2

ออฟไลน์ mam79

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พึ่งมาอ่าน สนุกดีค่ะ แต่สงสัยตังว่าหย่งเจิ้งอีกโลกตอนนี้เป็นไงมั่ง

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 12 เรื่องวุ่นๆในวังหลวง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ข้าชักรำคาญเจ้าคนนี้แล้วนะ) เหม่ยฟางมองสองพี่ถกเถียงกันจนเกิดความไม่ชอบใจในตัวหย่งเฝิง ประมาณหมั่นไส้ คนเอาแต่ใจตน ทั้งยังไม่เคารพคนอื่นของหย่งเฝิง จนเผลอฉกเข้าที่แขนขององค์ชายสาม จ้าวหย่งเจิ้งก็ไม่คลาดคิดว่า เจ้างูน้อยเหม่ยฟางจะกระทำการเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออหไปได้ หย่งเฝิงโวยวายจนเหม่ยฟางเริ่มหมดความอดทนเลื้อยลงจากตัวจ้าวหย่งเจิ้ง มาที่พื้นก่อนบังเกิดแสงสว่างสีเขียว เปลี่ยนร่างจากงูกลายเป็นคน พุ่งเข้าตบหน้าหย่งเฝิงที่โวยวายจะฟ้องบิดาฟ้องมารดาทัเงยังต่อว่าต่อขานหย่งเฝิง แต่ไม่คิดเลยว่าการกระทำนั้นของเขาจะทำให้เขาต้องมาปวดหัวเช่นนี้

ยามสอง เป็นเวลาที่เหม่ยฟางกำลังหลับสบายอยู่บนเตียง หากไม่มี เสียงรบกวนจากใครบางคนมาปลุกเขาเอาเวลาเช่นนี้

"ฟางน้อย ฟางน้อย วันนี้ข้าก็มาหาเจ้าอีกแล้วนะ ฟางน้อยเจ้าตื่นหรือยัง" เสียงร้องตะโกนส่งเสียงโหวกเหวกของหย่งเฝิง มันช่างทำให้คนที่กำลังหลับสบายเกิดความรำคาญใจเป็นที่สุด ทั้งยังถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเขาตามอำเภอใจอีก

"มารดาเจ้าเถอะ เข้าทำอะไรในห้องข้า" น้ำเสียงติดหงุดหงิดของเหม่ยฟางเอ่ยถามทั้งยังสบถด่าทออย่างไม่ชอบใจ ลุกขึ้นนั่งขัดตะหมาดมองคน

"ข้ามาเล่นกับเจ้า"หย่งเฝิงยิ้มระรื่นไม่ใส่ใจต่อสีหน้า คำด่าว่าที่ไม่สบอารมณ์ของเหม่ยฟาง

"เล่นบ้าเล่นบออะไรของเจ้านี่มันยามใด ออกไปจากห้องข้าเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางตวาดเสียงไล่หย่งเฝิงออกจากห้อง

"ยามสอง ข้าแค่อยากมาเล่นกับเจ้าก่อนจึงจะกลับไปว่าราชกิจกับพวกพี่ๆตอนยามสาม" หย่งเฝิงตอบทั้งรอยยิ้มไม่สนใจใบหน้าที่อยากจะกินเลือดกินเนื้อเขาแม้สักนิด

"ข้าไม่เล่น ข้าจะนอน เจ้ากลับไปซะ ไม่งั้นข้าจะตีเจ้า" ยิ่งเหม่ยฟางเอ่ยขู่เช่นนี้กับทำให้หย่งเฝิงยิ้มร่าขึ้นไปอีก จนมองแล้วรู้สึกขัดใจ ง้างมือทำท่าจะตี

"เจ้าจะตีข้าจริงเหรอ ข้าอยากโดนฝ่ามือนุ่มของเจ้าตี" เหม่ยฟางต้องชะงักเก็บมือลง ไม่กล้าแม้แต่จะตีหย่งเฝิงอีก ใครจะไปคิดว่าจะมีคนอยากโดนเขาตีกัน

"ไสหัวไป" เหม่ยฟางส่งเสียงอันดัง จนคนที่อยู่ห้องๆ อย่างอวี๋เหวินเต๋อ ถึงกับสะดุ้งตื่น ออกจากห้องมาช่วยไกล่เกลี่ย

"องค์ชายสามท่านมาทำอะไรที่ตำหนักจิงเหรินกงพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อ กล่าวทักเมื่อเห็น องค์ชายสามอยู่ในห้องของเหม่ยฟาง

"เจ้านั้นแหละเข้ามาทำอะไรในห้องของฟางน้อย" แต่เป็นหย่งเฝิงทึ่ถามยอกย้อนเขาแทน

"ข้าน้อยได้ยินเสียงเหม่ยฟางจึงมาดู หากเหม่ยฟางยังเสียงดังเช่นนี้ องค์ชายรองทรงมาพบคงไม่พอใจเป็นแน่"

"ใครสนกัน คนที่ข้าสนคือ ฟางน้อยต่างหาก"

"แต่ข้ารำคาญเจ้า กลับไป ข้าจะนอน" เหม่ยฟางตวาดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ ก็ทำให้ จ้าวหย่งเจิ้งที่อยู่ทางปีกขวาได้ยิน

"เสียงของฟางเอ๋อร์" จ้าวหย่งที่กำลังหลับได้ยินเสียงของเหม่ยฟางดังมาทางปีกซ้ายจึงลุกออกจากเตียง เพื่อเดินไปดูเจ้าของเสียง ยิ่งเข้าใกล้ปีกซ้ายมากเท่าไหร่กับได้ยินเสียงดังมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมาถึงจึงพบว่า หย่งเฝิง น้องชายคนที่สามของตนก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งยังมีอวี๋เหวินเต๋อคอยกันหย่งเฝิงออกจากเหม่ยฟางอีก

"นี่มันเรื่องอะไร หย่งเฝิงเจ้ามาทำอะไรที่นี่"

"ข้ามาเล่นกับฟางน้อย" หย่งเฝิงตอบโดยไม่สนใจสีหน้าของคนอื่น"ในยามวิกาลเช่นนี้เนี่ยนะ" จ้าวหย่งเจิ้งถามเสียงสูง

"แล้วอย่างไร ข้าแค่อยากเล่น"

"เล่นอะไรของเจ้า ในยามวิกาลเช่นนี้"

"โธ่ ท่านพี่ ท่านอย่าแกล้งโง่หน่อยเลย ข้ามายามวิกาลเช่นนี้จะเล่นอะไรได้นอกจาก..." หย่งเฝิงหันไปจ้องมองเหม่ยฟางตาเป็นประกาย

"เจ้าคิดจะทำอะไรข้า ขะ ข้าเป็นบุรุษเช่นเจ้านะ" เหม่ยฟางกล่าว ทั้งยังขยับกายไปซ่อนอยู่หลังจ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้าเป็นบุรุษแลเวอย่างไร งดงามกว่าสตรีเช่นนี้ข้าไม่รังเกียจหรอกนะ" ทั้งคำพูดทั้งสายตาที่ส่งมาแทะโลมเหม่ยฟางจนรู้สึกขนลุกชัน เขาไม่เคยรู้สึกรังเกียจใครเช้นนี้มาก่อน

"องค์ชายรองข้าน้อยกล่าวทัดทานองค์ชายสามแล้วแต่ไม่เป็นผลพะย่ะค่ะ" อวี๋เหวินเต๋อก้มคุกเข่าขออภัยที่ไม่อาจกันองค์ชายสามหย่งเฝิงออกห่างจากเหม่ยฟางได้

"เจ้าคืดว่าห้ามข้าได้หรือไง เป็นแค่ขี้ข้าอย่ามาสอดอรื่องเจ้านาย พลั่ก!!!" หย่งเฝิงเตะเจ้าไปที่ลำตัวของอวี๋เหวินเต๋อโดยไม่สนว่าผู้เป็นนายอย่างจ้าวหย่งเจิ้ง

"พี่อวี๋" เหม่ยฟางร้องเรียกเสียงหลง แม้อยากจะวิ่งเข้าไปดูอาการแต่ก็ไม่สามารถทำได้

"หยุดการกระทำของเจ้าซะ หย่งเฝิง ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจ" จ้าวหย่งเจิ้ง กระชากร่างของหย่งเฝิงออกมาจากอวี๋เหวินเต๋อ

"ทำไมข้าต้องเชื่อท่าน ถอยไปข้าจะสั่งสอนมัน พลั่ก!!! " หย่งเฝิงทั้งเตะทั้งถีบจนอวี๋เหวินเต๋อล้มลงไปนอนกับพื้น แม้ลุกขึ้นมาก็จะถูกถีบถูกเตะให้ล้มลงไปนอนกับพื้นเช่นเดิม

"ข้าบอกให้หยุดไง" จ้าวหย่งเจิ้งหมดความอดทนซัดฝ่ามือใส่หน้าอกหย่งเฝิงจนล้มลงไปกับพื้น

"ท่านกล้าทำร้ายข้า ข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ" หย่งเฝิงกระอักเลือดออกมาก่อนลุกขึ้นยืนชี้หน้า

"เชิญ ถ้าเจ้ากล้า ข้าก็กล้าที่จะกราบทูลเสด็จพ่อเช่นกันว่าเจ้าบุกรุกตำหนัก ทั้งยังเข้ามาทำร้ายคนของข้าอีก" จ้าวหย่งเจ้งกล่าวเสียงเรียบทั้งยังแฝงความเย็นชาอยู่หลายส่วน

"ฝากไว้ก่อนเถอะ" หย่งเฝิงกำหมัดแน่นสะยัดชายเสื้อเดินจากไปด้วยความโมโห

"พี่อวี๋ท่านเป็นอย่างไรบ้าง" เหม่ยฟางเข้าไปพยุงร่างอวี๋เหวินเต๋อให้ลุกขึ้น ร่างกายบอบช้ำอย่างเห็นได้ชัด

"ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าอย่าห่วงเลย" อวี๋เหวินเต๋อตอบทั้งยังอดทนเก็บอาการบาดเจ็บไว้ไม่เอ่ยปากออกมา

พลั่ก!!!

"โอ๊ย!!!" จ้าวหย่งซัดฝ่ามือเพียงหนึ่งส่วนใส่ร่างอวี๋เหวินเต๋อ จนต้องร้องออกมา แม้จะไม่รุนแรงมาก แต่ร่างกายที่บาดเจ็บอยู่จึงต้านไว้ไม่ไหว 

"เจ้าทำอะไร ทำไมถึงทำร้ายพี่อวี๋อีก" เหม่ยฟางร้องโวยวายเมื่อเห็นจ้าวหย่งเจิ้งซัดฝ่ามือใส่อวี๋เหวินเต๋อ

"เขาอยากปากแข็งว่าไม่เจ็บไม่ปวด ข้าแค่ทดสอบความจริงจากเขาเท่านั้น บังอาจปิดบังข้าไว้แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยนัก ไปพักผ่อนซะหากไม่หายดีอยาามาให้ข้าเห็นหน้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ แล้วเดินจากไป นี่ก็ปาเขเาไปยามสาม แล้ว เขาต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ

"องค์ชายรอง ข้าน้อยจะตามเสด็จท่าน" อวี๋เหวินเต๋อดื้อแพ่ง จะตามไปด้วย แต่กลับถูกสายตาเย็นเยียบของจ้าวหย่งเจิ้งจึงต้องก้มหน้ารับคำตัดสิน

"หากยังคิดจะตามข้าไปอีก ข้าจะปลดเจ้าเดี๋ยวนี้"

"ข้าน้อยสมควรตายที่ไม่อาจทำหน้าที่ให้พระองค์ได้"

"หุบปากของเจ้าซะ ฟางเอ๋อร์ข้าฝากอวี๋เหวินเต๋อด้วย" เมื่อเห็นเหม่ยฟางพยักหน้ารับจึงเดินจากไป

ทางด้านจ้าวหย่งเฝิง ที่ถูกหักหน้ามานั้น บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แม้จะเจ็บกาย แต่ใจนั้นกลับเจ็บยิ่งกว่า ไม่คิดเลยว่าจะถูกหักหน้าเช่นนี้

"บัดซบที่สุด อย่าให้ถึงทีข้าบ้างแล้วกัน หย่งเจิ้ง ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่" จ้าวหย่งเฝิงรู้สึกไม่สบายกายจึงไม่เข้าเฝ้าเสด็จ่ออย่างเคย ซึ่งในที่ประชุมคงมีแค่จ้าวหย่งเจิ้งเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จ้าวหย่งเฝิงเดินเที่ยวเล่นเพื่อสงบจิตใจ จนมาถึงหน้าประตูเมืองก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกเสียงดัง จึงเดินออกมาดู พบสตรีผู้งดงามชดช้อยอ่อนหวาน ร้องโวยวายหมายจะเข้าพบจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ทหารไม่ยอมให้นางเข้าไปด้านใน จ้ทวหย่งเฝิงจึงเดินเข้าไปดูอยู่ห่างๆ

"ได้โปรดให้ข้าเข้าพบคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งด้วยเถอะเจ้าค่ะ" นางร้องขอความเมตตา

"เจ้าเป็นใครถึงได้รู้จักท่านผู้นี้" ทหารนายหนึ่งเอ่ยถามทั้งยังกักตัวนางไว้ไม่ให้ย่างกายเข้ามา

"ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ ข้ามีเหตุด่วนจะแจ้งกับเขา" เมื่อจ้าวหย่งเฝิงได้ยินว่าเป็นเหตุด่วนยิ่งให้ความสนใจ เดินเข้าไปหาสตรีนางนั้นในทันที

"พวกเจ้าหลบไปก่อนข้าจะซักถามนางเอง" จ้าวหย่งเฝิงคลี่ยิ้ม โบกพัดในมือไปมา ท่วงท่าดูสง่า น่าเลื่อมใส ทั้งรูปร่างหน้าตา ยังหล่อเหลาคมคาย ยิ่งส่งเสริมให้ดูน่าเชื่อถือ เหล่าทหารเมื่อรู้ว่าคนนั้นคือใครก็คุกเข่าเคารพถอยให้บุรุษคนใหม่เดินเข้าไปหาสตรีผู้นั้น

"คุณชายท่านนี้คือ..." เมื่อนางเห็นบุรุษหนุ่มรูปงามนางจึงชะงักการกระทำก่อนเอ่ยถาม

"ได้ยินว่าเจ้ามีเหตุด่วนมาแจ้ง ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นอะไรกับคนคนนั้นหรือ" จ้าวหย่งเฝิงโบกพัดไปมาด้วยท่าทางสง่างามจนคนมองต้องยืนมองตาค้าง

"คือข้า เป็น เป็น" นางอ่ำอึ้งไม่อาจกล้าวออกมาได้ว่านางเป็นอะไรกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"ว่าอย่างไรเล่า" จ้าวหย่งเฝิงคลี่ยิ้มเสน่ห์ให้นาง

"ข้า ข้าเป็นคนรักของเขา" นางแอบอ้างสถานะขึ้นมา จนจ้าวหย่งเฝิงถึงกับชะงักค้าง เลิกคิ้วมองนาง

"คนรัก?" จ้าวหย่งเฝิงทวนคำ มองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าโดยไม่เกรงใจว่านางจะคิดเช่นไร ก่อนคิดในใจว่า

'รูปร่างหน้างดงามอยู่หรอกแต่...ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่คนรักของคนคนนั้น'

"ชะ ใช่" นางตอบเสียงสั่น ไม่รู้ว่า บุรุษตรงหน้าจะเชื่อเรื่องที่นางแอบอ้างหรือไม่

"ถ้าเช่นนั้นบอกข้าได้หรือว่าเรื่องอะไรที่แม่นางอยากจะแจ้งให้คนผู้นั้นทราบ" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามรอยยิ้มเต้าเล่ห์

"ใยข้าต้องบอกท่าน ข้าต้องการพบคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งเท่านั้น" เสียงตอบฉะฉาน ดูไม่เกรงกลัวต่อบุรุษตรงหน้า

"เจ้าไม่บอกข้าคงให้เข้าไปด้านในไม่ได้" จ้าวหย่งเฝิงตอบเพื่อหยั่งสตรีตรงหน้า

"ท่านเป็นใคร ใยมีอำนาจไม่ให้ข้าเข้าไปได้" 

"ข้าเป็นเพียงน้องต่างมารดาของคนที่เจ้าต้องการพบ" จ้าวหย่งเฝิงยังจุดรอยยิ้มบนใบหน้า

"ท่าน...เป็นน้องชายของคุณจ้าวหย่งเจิ้งจริงๆหรือ" ดวงตาเป็นประกายของนางมองจ้าวหย่งเฝิง

"ย่อมเป็นเช่นนั้น เมื่อข้าบอกเช่นนั้น"

"ท่านพาข้ากับคนของข้าอีกสามคนเข้าไปพบคุณชายได้ใช่หรือไม่" นางยิ้มอย่างดีใจเอ่ยถาม

"นั่นย่อมได้ แต่...เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้ามีเรื่องอะไรจะบอกกล่าวพี่ข้า" ข้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามพลาดสะบัดพัดในมือ

"คือว่า..."นางลังเลที่กล่าวบอกแก่บุรุษตรงหน้า

"ว่าอย่างไรเล่า" จเาวหย่งเฝิงหร่ตาถามซ้ำอีกครั้ง

"คือ คนที่พี่ชายท่านพามาเป็นปีศาจ ข้าเห็นมากับตา นัยน์ตาของมันแดงฉานน่ากลัวมาก" นางอ่ยเสียงสั่นแสดงให้เห็นถึงความกลัวของนาง

"ปีศาจตนนั้นหน้าตาเป็นเช่นไรบอกข้าได้หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงจุดรอยยิ้มที่มุมปากเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

"ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นปีศาจชนิดใด แต่ร่างที่มันแปลงกลับงดงามเสียยิ่งกว่าสตรี" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว

"เช่นนั้นหรือ แบบนี้ก็แย่สิ ข้าเห็นบุรุษผู้นั้นมักยืนเคียงข้างท่านพี่ข้าเสมอในเวลาที่กลับมา" จ้าวหย่งเฝิงทำสีหน้าตกใจไปกับเรื่องที่นางเล่า แต่กับมีรอยยิ้มจุดขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนหายไปกับน้ำเสียงของสตรีนางนั้น

"ข้าตั้งใจมาเตือนคุณชายจ้าวหย่งเจิ้งด้วยความเป็นห่วง" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอาลัยอาวรณ์

"ข้าขอถามอีกเรื่องหนึ่งจะได้หรือไม่"

"ได้สิ เชิญท่านถามมาเถอะ"

"เจ้าไม่ใช่คนรักของพี่ข้าใช่หรือไม่" เพียงคำถามเดียวทำให้นางนิ่งเงียบก่อนแสร้งตีหน้าเศร้าหลั่งน้ำตา

"เป็นเช่นคุณพูด ข้าเป็นเพียงอดีตคนรักของคุณชายจ้าวหย่งเจิ้ง เป็นเพราะปีศาจตนนั้นที่ล่อลวงพากเอาคนรักข้าไป ฮือๆ"

"อ่อ เจ้าช่างน่าสงสารนักไม่คิดเลยว่า พี่ข้าจะหลงมัวเมาในปีศาจนั่น" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวด้วยความเห็นใจ

"ข้าพานักบวชฝีมือดีมากำจัดปีศาจนั่นด้วย ท่านจะพาพวกข้าเข้าไปได้หรือไม่"

"ย่อมได้ เชิญพวกเจ้าเข้าไปพักที่บ้านของข้าก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปพบท่านพี่เพื่อเล่าความจริงกับเขา" รอยยิ้มจุดประกายชั่วร้ายบนหน้าของจ้าวหย่งเฝิงเพียงชั่วครู่ก่อนหายไปเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนและเห็นใจ

"ขอบคุณ คุณชาย....เอ่อ..." นางโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม "ข้ามีนามว่า จ้าวหย่งเฝิง" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยแนะนำตัว

"ขอบคุณ คุณชายหย่งเฝิง"

"แล้วเจ้าล่ะมีนามว่าอะไร" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถามนามของสตรีตรงหน้า

"ข้ามีนามว่า ว่านเสี่ยวหลิง เจ้าค่ะ"

"ถ้าเช่นนั้นเชิญตามข้าเข้าไปที่บ้านเถอะ" จ้าวหย่งเฝิงยังคงจุดรอยยิ้มชั่วร้าย หันหลังเดินนำกลับตำหนักตน

'หึหึ หากเก็บไว้นางไว้ ข้าย่อมมีชัยเหนือกว่าเจ้าอย่างแน่นอน แม้นางจะเสแสร้งแกล้งทำเช่นไร อย่างไรนางก็ยังมีประโยชน์'

**********************************
# เรื่องของหย่งเจิ้งในยุคปัจุบันนั้นต้องรอไปก่อนนะคะเพราะจะมีเล่าถึงอย่างแน่นอน ต้องอดใจรอไปก่อน ขอบคุณทุกท่านที่ตามอ่านนะคะ ขอให้อ่านอ่านให้สนุกค่ะ^^#

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
จะเป็นแผนอะไรกันนะ :ruready เจิ้งรีบมาจับตัวแม่นี่ที หนีมาได้หลายรอบไปแล้ว5555 ฟางน้อยชักจะวุ่นๆขึ้นทุกวัน :hao7:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 13 นางจิ้งจอกหวนคืน 1

"พวกเจ้าทั้งสี่พักกันอยู่ที่นี่ อาจจะหลังไปสักหน่อยไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร ข้าต้องขออภัยด้วย หากต้องการอะไรเพิ่มเติมจงแจ้งแก่บ่าวของข้า แล้วข้าจะจัดสิ่งของที่พวกเจ้าต้องการมาให้" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยปากบอก เมื่อพาคนทั้งมายังนอกเมือง ซึ่งมีจวนเล็กๆ ตั้งอยู่ ภายในตกแต่งอย่างวิจิตรสวยงาม

ว่านเสี่ยวหลิงมองไปรอบด้วยความสนใจ แม้จวนนี้จะหลังเล็กแต่ภายในกับมีของมีค่ามากมาย คนคนนี้น่าสนใจยิ่งนัก

"ขอบพระคุณคุณชายเฝิงที่เมตตา" นางเอ่ยขอบคุณแววตาทอประกายแฝงความในให้จ้าวหย่งเฝิงรับรู้ แต่จ้าวหย่งเฝิงกับหักหน้านางโดยไม่สนสายตาของนางแม้แต่น้อย

"ว่าแต่เจ้าจะกำจัดปีศาจเช่นไร"

"ข้ามีท่านนักบวชที่เคยร่ำเรียนวิชามากับปีศาจเต่าฝ่าไห่เจ้าค่ะ" "ปีศาจเต่าฝาไห่?" จ้าวหย่งเฝิงถามด้วยความสงสัย

"เจ้าค่ะ นักบวชท่านี้มีชื่อว่า จางซื่อ ท่านผู้นี้มีเจดีย์เหลยเฟิงของที่ปีศาจเต่าฝาไห่เคยใช้จองจำปีศาจงูขาวจึงสามารถช่วยเรากำจัดปีศาจได้" นางอธิบายความสามารถของนักบวชที่นางพามาทั้งยังรับเจดีย์ขนาดจำลองจากนักบวชมาถือไว้ให้จ้าวหย่งเฝิงได้ยลโฉม

"มันพิเศษขนาดนั้นเชียว" จ้าวหย่งเฝิงเลิกคิ้วสงสัยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ รับเจดีย์มาพลิกด้านนั้นทีด้านนี้ทีอย่างใคร่รู้

"แน่นอนขอรับ อาตมาได้รับมาเป็นมรดกตกทอดสืบต่อกันมาจากวัดจินซาน แต่เดิมมันเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แต่เห็นว่ามีปีศาจจึงตามนางมาเพื่อปราบปีศาจขจัดภัยร้ายให้พ้นแผ่นดิน จึงย่อขนาดเจดีย์ให้เหลือเพียงหนึ่งส่วนเพื่อสามารถนำติดตัวมาด้วยได้"

"ถ้าเช่นนั้น ข้าอยากทราบว่าเจดีย์นี้สามารถขังมนุษย์ธรรดาได้หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงถามแฝงเจตนาของตน

"นั่นย่อมทำได้ ไม่ว่าจะเทพมาร หรือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ก็สามารถจับมาไว้ในเจดีย์ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจดีย์ไม่อาจดึงเข้ามาได้..." นักบวชจางซื่อเอ่ยตอบ

"นั่นคือสิ่งใดเล่า" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถาม

"นั่นคือ มังกร หากเป็นมังกร เจดีย์จะไม่ยอมดึงเข้าไป เพราะว่าเจดีย์หละลังนี้หล่อหลอมจากเกล็ดมังกร" นักบวชอธิบายว่าเหตุใดเจดีย์จึงจับมังกรไม่ได้

"ข้าเข้าใจแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงพยักหน้ารับ

"ว่าท่านถามเรื่องการจับมนุษย์ด้วยเหตุใด" นักบวชเอ่ยถามให้หายข้องใจๆ

"ฮ่าๆ ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้นไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ท่านแสดงให้ข้าชมเป็นบุญตาหน่อยได้หรือไม่" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะ แต่ในแววตากับประกายแฝงอะไรบ้างอย่าง เขาอยากเห็นว่ามันทำได้จริงอย่างที่กล่าวอ้างหรือไม่

"ย่อมได้ขอรับ แต่ข้าไม่มีคนที่จับเข้าไปขัง..." นักบวชคนนั้นเอ่ย เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาคนมาแสดงให้ชมได้อย่างไร

จ้าวหย่งเฝิงสะบัดมือให้คนของเขาไปนำนักโทษประหารที่อยู่ในที่คุกหลวงออกมาหนึ่งคน เพียงไม่นาน นักโทษที่มีโซ่ตรวนพันธนาการมาส่งมอบให้ นักโทษมีแววตาหวาดกลัวในตัวจ้าวหย่งเฝิงอยู่แล้วเมื่อมาอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งสั่นจนเหมือนกับคนบ้า

"เชิญท่านนักบวช  แสดงให้ข้าชมสักหน่อย ข้านำคนมาให้ท่านแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงคลี่ยิ้มผายมือออกเป็นเครื่องหมายให้นักบวชผู้นี้ทำการแสดง

นักบวชพยักหน้าเข้าใจก่อนท่องคาถาบางอย่างจากนั้นเจดีย์ในมือในมือจึงลอยขึ้นฟ้า ส่องแสงจนแสบตา จากนั้นก็คล้ายกับมีลมพายุหมุนดูดเอาตัวนักโทษเข้าไปในเจดีย์ ช่างเป็นความมหัศจรรย์อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน 

"นี่มันเยี่ยมยอดที่สุด ดีๆ ดีจริงๆ" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะชอบใจตบมือให้กับนักบวชอย่างชอบใจ

บ่าวรับใช้ของว่านเสี่ยวหลิงเห็นท่าทางๆไม่ชอบมาพากลทั้งยังคำถามแปลกๆของบุรุษตรงหน้าจึงเข้ากระซิบข้างผู้เป็นนาย

'คุณหนูท่าน เราว่าไว้ใจคนผู้นี้ได้หรือขอรับ' 

'หุบปากเจ้าซะ อย่าพูดอะไรที่ไม่ควร"

'ขออภัยขอรับ' บ่าวรับใช้ก้มหน้า

'ข้าไว้ใจเขาหรือไม่ นั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เขาสามารถช่วยข้าได้หรือไม่ต่างหาก' นางเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จนบ่าวรับใช้ต้องก้มหน้ายอมรับการตัดสินใจของผู้เป็นนาย

จ้าวหย่งเฝิงอยู่คุยกับพวกของว่านเสี่ยวหลิงสักเดี๋ยวจึงขอตัวกลับ อย่างมีมารยาท ส่งยิ้มให้คนเหล่านั้นอย่างเป็นมิตร เมื่อก้าวพ้นประตูจึงเอ่ยกับทหารเสียงเฉียบขาดว่า

"เฝ้าไว้ให้ดีอย่าให้เล็ดรอดออกมาได้ หากมีอะไรผิดปกติมารายงานข้าทันที" ทหารน้อมรับคำบัญชา ทั้งยังเพิ่มเวรยามจนแน่นหนาเฝ้าจวนหลังเล็กไว้ จนคล้ายกับเป็นที่คุมขังขนาดย่อม

จ้าวหย่งเฝิง อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง เดินกลับตำหนักของตนด้วยท่าทางร่าเริงแต่กลับฉุกคิดอะไรบ้างขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนทิศทางไปยังตำหนักของของจ้าวหย่งเจิ้งแทน

"วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะไปเล่นกับฟางน้อยสักหน่อย"

เมื่อใกล้เดินเข้าใกล้ตำหนัก มากขึ้นกับได้ยินเสียงคนพูดสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในสวน จึงลอบเดินไปตามเสียงที่แว่วได้ยิน

"ฟางเอ๋อร์ เจ้าต้องการชี้แจง เรื่องที่เจ้าพูดปดกับข้าหรือไม่" เสียงของจ้าวหย่งเจิ้งดังขึ้นมา จนจ้าวหย่งเฝิงต้องแอบอยู่มุมกำแพงมี่พุ่มไม้หนาเพื่อบดบังสายตาได้เป็นอย่างดี
 "ข้าไปพูดปดอะไรกับท่าน ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย" คนเสียงหวานเถียงกลับจ้องมองคนถามด้วยสายตาไม่พอใจ เขาไม่ได้พูดปด เพียงแค่ไม่ได้พูดสิ่งที่ตนเป็นต่างหาก

หลังจากจ้าวหย่งเจิ้งเสร็จธุระในตอนเช้าจึงตรงมาหาเขาเพื่อสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ใช่ต้องเรียกว่าสอบสวน หากไตร่ถามธรรมดา คงไม่เค้นความจริงกับเขาเช่นนี้ ทั้งยังย้ายให้ไปอยู่ห้องทางปีกขวาใกล้ห้องของตนเองอีก

"นี่เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าคาดโทษ โดยไม่อาจทำอะไรได้ในเมื่อเหม้ยฟางไม่ยอมรับ ไม่ยอมเล่าเรื่องใดๆทั้งสิ้น

"ทำไม ข้าทำไม อย่ามาชี้หน้าข้านะ" ว่าแล้วก็ตีมือที่ชี้หน้าตนลง

"ทำไมเจ้าถึงปากแข็งเช่นนี้ ใยไม่เล่าอะไรให้ข้าฟังบ้าง เห็นข้าเป็นอะไร..." จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยตำหนิ ทั้งตอนท้ายประโยคยังแฝงถึงความน้อยเนื้อต่ำใจอีก

"เจ้าเป็นสตรีหรือไง ถึงทำท่าทางน้อยใจข้าเช่นนี้" แม้จะต่อว่าอีกฝ่ายแต่น้ำเสียงกับโอนอ่อนผ่อนตามอย่างไม่น่าเชื่อ

"ถึงข้าเป็นสตรี เจ้าคงไม่ใยดีข้า" น้ำเสียงกระเง้ากระงอดของคนขี้น้อยใจมองอย่างตัดพ้อ

"นี่ท่านเป็นสตรีจริงๆใช่ไหม ฮึฮึ" เหม่ยฟางกล่าวพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

"หากข้าเป็นหญิงจริง เจ้าจะทำเช่นไร จะรักชื่นชอบข้าหรือไม่" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามประโยคแปลกกับเหม่ยฟาง จนเหม่ยฟางชะงักกับความคิดตน

'แม้ท่านจะเป็นชายข้ายังมอบใจให้ขนาดนี้ แล้วถ้าท่านเป็นหญิงจริงข้าจะไม่ชื่นชอบท่านได้อย่างไร' เหม่ยฟางขบเม้มริมฝีปาก ไม่อาจเอ่ยคำที่คิดออกมาได้

"เหม่ยฟาง ข้าทำเจ้าลำบากใจสินะ ที่จู่ๆข้าก็พูดเช่นนั้น" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงเศร้า

"มะ ไม่ใช่ ใครว่าท่านทำข้าลำบากใจ" เหม่ยฟางพลั้งปากตอบไปเร็วกว่าความคิด

"ถ้าเช่นนั้นใยเจ้าจึงปิดบังข้า" สุดท้ายแล้วคำถามกับไม่พ้นว่าทำไมเหม่ยฟางไม่บอกเขา ทำไมต้องหลอกเขา เขาไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเชียวเหรอ

"ท่านเลิกถามข้าเสียที ข้าตอบอะไรไปมากว่านี้ไม่ได้ หากข้าพูดไปท่านคงเกลียดข้าเปล่าๆ" เหม่ยฟางตอบอย่างหัวเสีย เมื่อคำถามที่จ้าวหย่งเจิ้งถามมาเป็นชุดเช่นนั้น

"ใยข้าต้องเกลียดเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งถามให้แน่ชัดเขาไม่มีทางที่จะเกลียดเหม่ยฟางไแอย่างแน่นอน

"ก็เพราะ..." เหม่ยฟางชะงัก มองไปที่มุมกำแพงที่มีพุ่มไม้หนาขึ้น เขารู้สึกเหมือนพุ่มไม้ตรงมุมกำแพงมันขยับสั่นไหว

"เพราะอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งถามต่อ

"..." เหม่ยฟางยังคงเงียบหันไปจ้องมองไปยังพุ่มไม้ จ้าวหย่งเจิ้งมองตามสายตาของเหม่ยฟาง ทั้งยังถือโอกาสยื่นหน้าเข้าไปใกล้ จนปลายจมูกอยู่เฉียดแก้มขาว เพียงนิดเดียว

"มีอะไรที่พุ่มไม้นั่นหรือ" เหม่ยฟางรับรู้ถึงลมหายใจที่อยู่ใกล้จึงหันกับมามอง เจ้าของลมหายใจอุ่นๆนั่น เมื่อหันมาผิวแก้มขาวก็สัมผัสกับปลายจมูกโด่งเข้าอย่างจัง

"อ๊ะ!" เหม่ยฟางเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนประหม่าในตาวูบไหว ใบหน้าขึ้นสีเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

"หอม" จ้าวหย่งเจิ้งคลี่ยิ้มเอ่ยปากพูดออกมา แต่คำพูดกับนี้กับยิ่งทำให้เหม่ยฟางหน้าเปลี่ยนสีเข้าไปอีก

ปึก!!!

เสียงกำปั้นหนักๆทุบเข้ากับกำแพง เป็นจ้าวหย่งเฝิงที่ลอบแอบมอง นั้นเกิดความไม่พอใจที่ จ้าวหย่งเจิ้งกระทำการเช่นนี้  ทั้งเหม่ยฟาง ทั้งจ้าวหย่งเจิ้งได้ยินเสียงแปลกๆตรงมุมกำแพงจึงค่อยๆสาวเท้าเข้าไปดู แต่เมื่อเข้าไปกับไม่พบใครแม้แต่น้อย

'ต้องรีบหาทางทำอะไรกับพี่รองให้เร็วที่สุด' จ้าวหย่งเฝิงคิดเช่นนั้นขณะหลบออกมาก่อนที่ตนจะถูกทั้งสองคนจับได้ เขาเดินทอดน่องมาเรื่อยๆ จนกลับถึงตำหนักของตน

หลายวันผันผ่านทางด้านว่านเสี่ยวหลิงคล้ายรู้สึกตนว่าพวกเขาโดนคุมตัวไม่ให้ออกไปไหน พอจะเดินออกจากจวนกับถูกเหล่าทหารกันไว้ หลายวันที่อยู่ในจวนแห่งนี้แม้สุขสบายแต่กับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

"คุณหนู คนแซ่จ้าว นั่นเหมือนตั้งใจกักขังพวกเรานะขอรับ" บ่าวผู้ติดตามเอ่ยบอกความในใจตน แม้ไม่ต้องให้ใครบอกว่านเสี่ยวหลิงย่อมรู้แก่ใจ บ่าวอีกคนพยักหน้ารับเห็นด้วยแม้แต่นักบวชที่นางพามาก็เช่นกัน

"เราจะทำอย่างไรดีขอรับ" บ่าวคนดังกล่าวถามขึ้นอีกรอบ นางมุ่นหน้าขบคิดว่านางควรทำเช่นไร ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

"เช่นนั้นพวกเจ้าจงไปหาทางหนีทีไล่ไว้เพื่อฉุกเฉินจะได้หลบหนี" สองบ่าวพยักหน้ารับ รีบเดินหายไปจากบริเวณนั้นเพื่อหาช่องทางให้เร้นกายหลบหนีออกไปได้

"ไหนเขาว่าต้องการความช่วยเหลือจากเรา" นักบวชที่นางพามากล่าวขึ้นอย่างใคร่รู้

"คงไม่ถึงเวลาที่เขาจะใช้งานพวกเรา" นางตอบเสียงเรียบนัยน์ตาสั่นไหวด้วยความกังวล 

"คุณหนูขอรับคุณหนู ข้าเจอทางหมารอดที่ใหญ่พอจะพาคุณหนูออกไปขอรับ" บ่าวคนหนึ่งวิ่งออกมาจากหลังบ้านหลังหายไปได้สักพัก เอ่ยปากร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นช่องทางที่พอจะหนีได้ แต่ช่องทางนั้นกับมีคุณหนูของพวกมันเท่านั้นที่สามารถออกไปได้ 

"ทำไมมีแค่ข้าที่สามารถไปได้" นางเอ่ยถาม

"เชิญทางนี้ขอรับ" เมื่อบ่าวรับใช้นำทางไปแถวกำแพงหลังบ่อน้ำ ก็พบว่ามีทางหมารอดอยู่จริง แต่ช่องที่ว่านั้นใหญ่กว่าตัวนางเพียงนิดเดียว 

"เป็นอย่างนี้นี่เอง" นางรำพึงออกมามองมายังคนทั้งสามที่ยืนมองหน้า หมายให้นางรีบออกไปจัดการธุระของตนให้เรียบร้อย

"คุณหนูรีบไปเถอะขอรับ พวกข้าจะรับหน้าไว้เอง" บ่าวรับใช้ดันหลังนางให้ออกไป

"แล้วพวกเจ้าล่ะ" นางเกิดความลังเลที่จะหลบหนี

"พวกข้าน้อยสามารถเอาตัวรอดได้ขอรับ" ว่าแล้วก็ดันหลังนางให้มุดเข้าไปที่ทางหมารอด

"ข้าจะหาทางช่วยพวกเจ้า รอข้าก่อนนะ" ทั้งสามพยักหน้ารัยมอง ส่านเสี่ยวหลิงที่มุดกำแพงหนี เมื่อนางหลุดพ้นไปได้พวกเขาทั้งสามจึงหาสิ่งขิงมาบดบังช่องทางดังกล่าว

หลังจากมุดออกมาสำเร็จสายตานางกับปะทะเข้ากับร่างของใครบางคนเข้า สายตาเย็นชาที่มองนางทำให้จิตใจของนางหวั้นเกรงเป็นอย่างมาก

"ไม่คิดว่า คุณหนูว่านเสี่ยวหลิงจะชื่นชอบการมุดช่องทางหมารอดเช่นนี้" เสียงเย็นทำให้นางสะดุ้งสั่นไหว ในคอแห้งผากดั่งคนขาดน้ำ ก่อนเอ่ยเรียกชื่อคนคนนั้นอย่างยากลำบาก

"คะ คุณชายหย่งเฝิง ทะ ทำไม..." นางนั่งมองหน้าคนตรงด้วยความตื่นตระหนก

"คงไม่คิดว่าจะออกจากจวนง่ายขนาดนั้นหรอกใช่ไหม" เสียงเย็นๆถามต่อ โดยไม่ใส่ใจคำถามของอีกฝ่าย ทั้งยังย่อตัวลงนั่งยองๆตรงหน้าอีกฝ่าย ว่านเสี่ยวหลิงหน้าซีดเผือดมองคนถาม

"คือว่า...อึก!" นางอยากเอ่ยอะไรสักอย่างแต่ลำคอกับถูกบีบจนตีบตัน พูดไม่อะไรไม่ออก

"คิดว่าผมไม่อยู่จะหนีไปได้หรือ คิดว่าหูตาผมไม่มีงั้นสิ" เขายังส่งเสียงเย้ยหยันกับความคิดโง่ๆของนาง ก่อนที่นางจะพบช่องทางและมุดรอดออกมา คนที่เขาสั่งให้เฝ้าจับตาก็ไปรายงานเขาจนเขาต้องมายืนอยู่ที่นี่เสียแล้ว มันน่าช่างน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าอะไร น่าฆ่าทิ้งจริงๆ จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจ แต่ต้องคลายมือลงเมื่อคิดว่านางยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่

"ข้าขออภัย แค่กๆ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย" นางร้องขอชีวิตด้วยความยากลำบาก จ้าวหย่งเฝิงชะงักมือ เปลี่ยนมือจากคอมาบีบแก้มขาวของนางแทนก่อนเอ่ยเสียงเย็นๆว่า

"เจ้ายังมีประโยชน์ใยข้าต้องฆ่าเจ้า เจ้ายังมีประโยชน์ ดังนั้นกลับไปอยู่ในที่ของตนเสีย" ว่าแล้วก็ดันตัวนางจนล้มล้มหงายหลัง เขาปักมือไปมาก่อนลุกขึ้นโบกมือเรียกทหารให้มาจัดการนำนางกลับไปที่จวน นางพยายามดิ้นรนอยากหนีไปให้พ้นจากตรงนี้ โชคดีที่ทหารไม่กล้าทำร้ายสตรีอย่างนาง นางจึงดิ้นหลุดรอดออกมาได้ นางวิ่งสุดกำลังขา เพื่อหนีให้พ้นจากคนตรงหน้า

"จับตัวมาให้ได้" เสียงสั่งเฉียบขาด มั้งเย็นชา จนขนหลังของนางลุกเกรียว นางวิ่งไปพลางลอบมองคนที่ตามไปด้วย จนไปชนเข้ากับใครบางคน

พลั่ก!!!

"โอ๊ย!!!" 

"โอ๊ย!"

เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อนางเงยหน้ามองคนที่นางชน นางกับยิ้มออกมา ด้วยความดีใจ

"เจ้า..." ชายหนุ่ใตรงหน้ามองหน้านางอย่างฉงน ว่าทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่

"คุณชายหย่งเจิ้ง" นางยิ้มร่ามองคนที่ชน ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกัน ไม่คิดเลยจริงๆ นี่มันสวรรค์โปรด ชัดๆ นางกระหยิ่มยิ้มย่อง

"เจ้าหนีใครมา" เสียงหวานใสเอ่ยถาม นางก็มุ่นคิ้วเงยหน้ามองคนที่เอ่ยถาม

"อ๊ะ!" นางสบตากับบุรุษหน้าสวย ก่อนก้มหน้าลอบยิ้มอย่างร้ายกาจ

'ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันในสถานการณ์เช่นนี้ ดีจริงๆ'
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2017 00:07:23 โดย Vammas »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด