❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}  (อ่าน 32787 ครั้ง)

ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 24 จ้าวหย่งฟง

ร่างสูงบางเดินเข้ามาในตำหนักจิงเหรินกง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเหล่าขันที นางกำนัล ออกมายืนออกันอยู่ด้านนอกไม่เข้าไปด้านใน แม้แต่อวี๋เหวินเต๋อเองก็เช่น

"นี่พวกเจ้าใยออกมาอยู่ด้านนอก ไม่เข้าไปคอยรับใช้พี่รองของข้า"

"เรียนองค์ชายห้า พวกข้าน้อยเข้าไปไม่ได้จริงๆขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่ขันทีที่คอยรับใช้ข้างกายจ้าวหย่งเจิ้งเป็นคนกล่าวแทนทุกคนในที่นี้

"ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้ มันมีอะไรกันแน่" จ้าวหย่งฟงรู้สึกขัดใจอยู่เล็กน้อยก่อนก้าวเดินเข้าไปในตัวตำหนัก เพียงกล่าวเท้าเข้าไปไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงแปลกออกมาจากห้องของพี่ชายตน เสียงครวญครางปนกระเส่าที่คนฟังรับรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงของอะไร

"เสียงนี่มัน...บ้าจริงเชียว ทำไมไม่มีใครบอกข้าเลยสักคน..." ใบหน้าของจ้าวหย่งฟงแดงเรื่อขึ้น แม้อยากจะก้าวขาออกไป ยังก้าวออกไปไม่ได้

พรึ่บ

มือหนาทั้งสองข้างดึงจ้าวหย่งฟงเจ้าหาตัว แล้วกดศีรษะให้แนบกับอกแกร่ง พร้อมกับปิดหูทั้งสองข้างเอาไว้ โอบกระชับให้จ้าวหย่งฟงออกจากตัวตำหนักไปรวมกับคนอื่นๆ เมื่อออกมาแล้ว มือนั้นก็ปล่อยออก จ้าวหย่งฟงเมื่อเงยหน้าก็พบว่าคนที่ไปดึงตัวเขาออกมานั่นก็คือ อวี๋เหวินเต๋อ นั่นเอง

"องครักษ์อวี๋" ใบหน้าของจ้าวหย่งฟงกลับมาแดงอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว

"พวกข้าน้อยเตือนแล้วทำไมไม่เชื่อกันบ้าง" อวี๋เหวินเต๋อขมวดคิ้วเอ่ยว่ากล่าวผู้เป็นนายไปอย่างลืมตน

"ข้าไม่คิดว่าพี่รองจะยังไม่เลิกพลอดรักกับเหม่ยฟางน่ะสิ นี่ก็วันที่ 5แล้วนะ ข้าคิดว่า...

" จ้าวหย่งฟงก้มหน้ามองเท้าตัวเองตัวความขัดเขิน

"ช่างเถอะองค์ชาย ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรทอเปล่าถึงได้มาถึงนี่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถาม

"ข้าอยากมายืมตัวเจ้า เจ้าจะไปกับข้าได้หรือไม่ แต่ข้าไม่กล้าเข้าไปถามพี่รองแล้วล่ะ" จ้าวหย่งฟงตอบสีหน้าอายๆ

"หึหึ" อวี๋เหวินเต๋อเห็นท่าทางของจ้าวหย่งฟงจึงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้

"หัวเราะอะไร" จ้าวหย่งฟงถลึงตาใส่ แต่การกระทำของเขามันดูน่ารักเสียมากว่าน่ากลัว

"เปล่าขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงอมยิ้มขำๆ ในท่าทีของจ้าวหย่งฟง

"เจ้าว่างใช่ไหม" จ้าวหย่งฟงปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยก่อนเอ่ยถามอวี๋เหวินเต๋ออีกครั้ง

"ขอรับ ข้าน้อยว่าง"

"ดี ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามา" ว่าจบก็เดินนำหน้าอวี๋เหวินเต๋อออกจากตำหนัก

"องค์ชายจะเสด็จไหนขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามขณะเดินตามออกไปจนถึงคอกม้าหลวง

"เจ้าสอนข้าขี่ม้าที" จ้าวหย่งฟงหยุดยืนหน้าคอกม้า ก่อนหันมาจิ้มนิ้วลงที่อกของอีกฝ่าย

"อะไรนะขอรับ!" อวี๋เหวินเต๋อพูดเสียงดัง จนจ้าวหย่งฟงต้องขมวดคิ้ว

"เจ้าจะเสียงดังทำไมกัน หูข้าไม่ได้หนวกเสียหน่อย" คนเอ่ยวาจาเดินเข้าไปในคอกม้าเพื่อเลือกม้าทีาตนชอบ

"องค์ชายคิดดีแล้วใช่ไหม" อวี๋เหวินเต๋อถามซ้ำให้แน่ใจ

"ใช่สิ ข้าอยากขี่ม้าเป็น อ๊ะ ม้าตัวนี้สวยจัง" ขณะเลือกม้าอยู่สายตาก็พลันไปเจอม้าที่ถูกใจเข้า มันมีสีดำแต้มขาวบนปลายหูขนเงางาม จนน่าสัมผัสแต่ท่าทางของมันดูอารมณ์ร้าย และพยศเอามากๆ

"จับไม่ได้ขอรับ" อวี๋เหวินร้องห้ามก่อนที่มือของจ้าวหย่งฟงจะแตะต้องม้าตัวนั้น

"ทำไมล่ะ" สิ้นคำถามม้าตัวนั้นก็คล้ายกับหงุดหงิดบ้างมันส่งเสียงร้อง ยกขาหน้าทั้งขึ้นเต็มความสูงหมายจะย่ำคนที่อยู่ตรงหน้า

ฮี้ๆๆ~

"อ๊ะ!"

"องค์ชายระวัง" อวี๋เหวินเต๋อดึงตัวของจ้าวหย่งฟงหลบม้าจนทั้งคู่เสียหลักล้มลงไป ร่างของทั้งสองกลิ้งลงไปกับกองหญ้าจนศีรษะของจ้าวหย่งฟงไปชนกับผนังคอกม้า

"โอ๊ย! หัวข้า" จ้าวหย่งฟงคลำศีรษะตนเอง แต่บนศีรษะกับมีมีอหนาของอวี๋เหวินเต๋อประคองอยู่ การชนกับผนังจึงไม่ทำให้เขาเจ็บมาก

"ปลอดภัยนะขอรับ"

"เจ้าต่างหากเล่าที่ข้าต้องถามว่าปลอดภัยไหม" จ้าวหย่งฟงที่ก้มหน้าอยู่ต้องเงยขึ้นมองอวี๋เหวินเต๋อ ผู้ที่โอบกอดตนเองไว้ เพียงเงยหน้าริมฝีปากบางก็สัมผัสเข้ากับปากของอวี๋เหวินเต๋อที่ก้มลงมาพอดี จ้าวหย่งฟงตกใจตาเบิกกว้าง ใบหน้าขึ้นสี  จนต้องรีบผละออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างรีบร้อน

"องค์ชายไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อเห็นจ้าวหย่งฟงลุกขึ้นยืนหันหลังให้ตน

"ข้าว่าวันนี้ข้าคงดวงไม่ดี วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ วันพรุ่งค่อยมาใหม่" จ้าวหย่งฟงยืนหันหลังให้ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นใบหน้าแดงก่ำของตน สองมือปัดเศษฝุ่นออกจากเสื้อผ้า ปล่อยให้อวี๋เหวินเต๋อนั่งมองตามหลัง จ้าวหย่งฟงที่เดินออกจากคอกม้าอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า

"หึหึ ไม่คิดว่าท่านจะทำตัวน่ารักเช่นนี้ก็เป็น ข้าชักจะสนใจท่านขึ้นมาแล้วสิ" อวี๋เหวินเต๋อพูดขึ้นเบาๆเพื่อให้ตนได้ยินเพียงผู้เดียวพลางเลียริมฝีปากตนเองแล้วอมยิ้มกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

"องครักษ์อวี๋ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ออกมาจากคอกม้าได้แล้ว" จ้าวหย่งฟงเมื่อปรับอารมณ์ได้จึงเอ่ยเรียกอวี๋เหวินเต๋อที่ยังคงอยู่ในคอกม้าให้ออกมา

"ขอรับ ข้าน้อยกำลังไป" อวี๋เหวินเต๋อเดินออกจากคอกม้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังจูงม้าตัวหนึ่งออกมาด้วย จ้าวหย่งฟงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย

"เจ้าจูงม้าออกมาทำไม ข้าบอกแล้วไงเล่าว่าวันนี้ข้าไม่ขี่ม้าแล้ว"

"องค์ชายไม่ขี่แต่ข้าน้อยจะขี่" รอยยิ้มยังคงประดับใบหน้าผู้ที่ตอบ

"เจ้า กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ" จ้าวหย่งฟงชี้หน้าต่อว่าอวี๋เหวินเต๋อ

"ไม่บังอาจขอรับ แต่องค์ชายไม่มีงานให้ข้าน้อยทำแล้วไม่ใช่หรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อโค้งศีรษะเล็กน้อย เพื่อตอบคำถามนั้น ทั้งยังกระโดดขึ้นนั่งบนม้าโดยไม่รอฟังคำสั่ง

"มันก็จริงของเจ้า"

"ถ้าเช่นนั้น องค์ชายไปกับข้าน้อยเถอะขอรับ" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อก็ดึงมือของจ้าวหย่งฟงให้ขึ้นมานั่งด้านหน้าตน โดยที่ตนเองนั่งประกบหลังกันจ้าวหย่งฟงตกม้า 

"เอ๊ะ! เจ้า ข้ายังไม่..." จ้าวหย่งฟงที่ถูกดึงให้ขึ้นบนหลังม้า ตั้งใจจะหันมาต่อว่า แต่พอหันไปหน้าผากของตนก็แตะกับริมฝีปากของอวี๋เหวินเต๋อเข้าพอดี จ้าวหย่งฟงจึงรีบหันหน้ากลับไปตามเดิมอย่างไว หัวใจเองก็ดันเต้นโครมครามไม่หยุด

"ข้าอภัยที่ข้าน้อยเสียมารยาท" อวี๋เหวินเต๋อสังเกตุเห็นใบหูที่ขึ้นสีจึงแอบอมยิ้มอยู่ด้านหลัง

"ท่านดูน่ารักขึ้นนะ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเบาๆจึงไม่อาจทำให้คนักพูดถึงได้ยิน

"เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งฟงหันกลับมาถามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับเบี่ยงตัวออกเพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้หน้าผากของตนไปสัมผัสริมฝีปากของอวี๋เหวินเต๋อ

"เปล่าขอรับ เราไปกันเถอะขอรับ" ว่าจบ อวี๋เหวินก็เอื้อมมือไปกุมบังเหียนเพื่อจะควบม้าไปด้านหน้า การที่จ้าวหย่งฟงนั่งอยู่ด้านหน้าจึงเป็นเหมือนว่าอวี๋เหวินเต๋อกำลังโอบกอดจ้าวหย่งฟงอย่างไรอย่างนั้น

"นี่ เจ้า...อย่ามากอดข้าสิ" "ข้าน้อยเปล่ากอดองค์ชายนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยแย้งหน้าตาย

"จะไม่ได้กอดได้อย่างไร ก็ตอนนี้เจ้ากำลังทำอยู่" จ้าวหย่งฟงขยับกายไปมาให้อวี๋เหวินเต๋อนั้นปล่อยตน

"องค์ชาย ข้าน้อยกุมบังเหียนอยู่ อย่างไรเสียก็ต้องทำอย่างนี้อยู่แล้วหากไม่ทำเช่นนี้ไว้องค์ชายคงตกม้าลงไป ข้าน้อยหวังดีนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อบอกกล่าวถึงความห่วงใยที่มีให้

"แต่ข้าไม่ชอบแบบนี้ มันเหมือนกับเจ้ากำลังกอดข้า"

"องค์ชายคงจะเข้าใจผิดเรื่องการกอดแล้วกระมัง เพราะการกอดจริงๆมันเป็นเช่นนี้" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อก็ชลอม้าปล่อยบังเหียน แล้วสวมกอดเข้าที่เอวของจ้าวหย่งฟงอย่างตั้งใจ

"อ๊ะ! เจ้า" จ้าวหย่งฟงสะดุ้งเล็กน้อย

"ข้าน้อยแค่อธิบาย องค์ชายอย่าทรงกริ้วไป" อวี๋เหวินเต๋ออธิบายสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป

"แต่ข้าว่า..."

"ถ้าเช่นนั้นองค์ชายจะไปนั่งด้านหลังข้าน้อยหรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อเสนอความคิด

"เอ๊ะ ได้เหรอ"

"ได้สิขอรับ แต่เวลาอยู่ด้านหลังองค์ชายต้องกอดเอวข้าน้อยให้แน่นเข้าไว้หากตกลงไปข้าน้อยคงลำบาก" อวี๋เหวินเต๋อจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของจ้าวหย่งฟง

"ถ้าเช่นนั้น แบบนี้ก็ได้ ข้ากลัวจับเจ้าไม่ดีแล้วตกม้าไปเจ้าคงโดนโทษหนักเป็นแน่" จ้าวหยางฟงเอ่ยบอกด้วยท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

'ใครจะไปกล้ากอดเจ้ากัน' จ้าวหย่งฟงได้ได้คิดในใจกับเรื่องที่ต้องทนนั่งให้อวี๋เหวินเต๋อโอบกอดเช่นนี้ ใจทั้งใจก็เต้นโครมครามเสียจนกลัวคนที่อยู่ด้านหลังจะได้ยิน

"จะว่าไปแล้วองค์ชายผอมเกินไปหรือเปล่าขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อทักคนที่อยู่ด้านหน้า

"ข้าเนี่ยนะผอม ข้าว่าข้าออกจะมีเนื้อมีหนังนะ" จ้าวหย่งฟง เริ่มมองสำรวจตนเอง "หึหึ" อวี๋เหวินเต๋อขำออกมาอย่างไม่อยู่เมื่อเห็นจ้าวหย่งฟงหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจร่างกาย จ้าวหย่งฟงได้ยินเสียงหัวเราะก็ตวัดสายตาไปมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างไม่พอใจ

"หัวเราะอะไร"

"ขออภัยขอรับ" แม้จะเอ่ยขอโทษไปแล้วแต่มือของอวี๋เหวินเต๋อกับยังบังปากตนเองไว้เพื่อกันไม่ให้จ้าวหย่งฟงรู้ว่าตนนั้นกำลังกลั้นขำไว้

"แล้วเจ้าจะพาข้าไปไหน" 

"รอให้ถึงก่อน" อวี๋เหวินเต๋อไม่ยอมตอบทั้งยังเร่งให้ม้าวิ่งให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

สถานที่ๆอวี๋เหวินเต๋อพามานั้นอยู่ไม่ไกลจากวังหลวงมากนัก มันเป็นพื้นหญ้ากว้างใหญ่ มีลำธารเล็กๆไหลผ่าน ทั้งบริเวณใกล้ลำธารยังมีต้นไม่ใหญ่ให้ร่มเงา หากยิ่งมีลมอ่อนๆพัดมายิ่งทำให้บรรยากาศของที่นี่ดีเพิ่มมากขึ้น จ้าวหย่งฟงรู้สึกตื่นตากับภาพที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก

"ว้าว ที่นี่บรรยากาศดีมาก ไม่คิดเลยว่า ในเมืองหลวงจะมีที่เช่นนี้อยู่" จ้าวหย่งฟงยังนั่งอยู่บนม้าในขณะที่ อวี๋เหวินเต๋อเดินจูงม้ามาผูกไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่

"องค์ชายส่งมือมาสิขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยื่นมือออกไปเพื่อรับจ้าวหย่งฟงท่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า

"ไม่ต้องหรอก เราลงเองได้" จ้าวหย่งฟงเอ่ยปฏิเสธความช่วยเหลือ แม้ตนจะลังเลว่าจะลงจากม้าเช่นไร

"ไม่ให้ข้าน้อยช่วยแน่นะขอรับ" ไม่ทันขาดคำจ้าวหย่งฟงก็ร่วงลงจากหลังม้าเสียงดัง

ตุบ!

"โอ๊ย!!!"

"หึหึ"

"อวี๋เหวินเต๋อ อย่าหัวเราะข้านะ" จ้าวหย่งฟงตวัดสายตามองผู้ที่ยทนหัวเราะตน ทั้งยังไม่ยอมเข้ามาช่วยเขาอีก

"มาสิขอรับข้าน้อยช่วย" อวี๋เหวินเต๋อยื่นมือเข้าไปเพื่อช่วยเหลือ แต่กลับโดน จ้าวหย่งฟงปัดมือออกด้วยสายตาไม่พอใจ

"ไม่ต้อง ข้าลุกเองได้" จ้าวหย่งฟงลุกขึ้นยืนปัดเศษดินเศษใบไม้ใบหญ้าออกจากเสื้อผ้า ในใจยังอดเคืองอวี๋เหวินเต๋อไม่หาย

"องค์ชายโกรธ ข้าน้อยหรือขอรับ ข้อน้อยขออภัยที่ทำให้ท่านไม่พอใจ" อวี๋เหวินเต๋อโค้งศีรษะเป็นการขอโทษผู้เป็นนาย จ้าวหย่งฟงเมื่อเห็นท่าทีสำนึกผิดของอวี๋เหวินเต๋อก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

"ช่างเถอะ ข้าทำตัวข้าเอง หากยอมจับมือเจ้าข้าคงไม่ตกจากหลังม้าเช่นนี้ น่าขายหน้าเสียจริง" จ้าวหย่งฟงยกมือเกาท้ายทอย ก่อนเบนสายตาไปทางลำธาร

"แต่..." อวี๋เหวินเต๋อยังเอ่ยคำไม่ทันจบ จ้าวหย่งฟงจึงเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ

"โอ้โห ลำธารที่นี่น้ำใสดีจัง ไปเล่นน้ำกันเถอะองครักษ์อวี๋" ใบหน้าเง้างอนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของอวี๋เหวินเต๋อเริ่มสั่นคลอน

"มาเร็วสิ องครักษ์อวี๋"

"ขอรับ"

ทั้งจ้าวหย่งฟง ทั้งอวี๋เหวินเต๋อต่างพากันเล่นสนุกอยู่ค่อนวัน สุดท้ายแล้วทั้งสองต่างพากันมานอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

"ที่นี่บรรยากาศดีจัง" จ้าวหย่งฟงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

"ขอรับ"

"นี่ องครักษ์อวี๋ ข้าขอถามอะไรเจ้าสักสองข้อสิ เจ้าต้องตอบตามความจริงนะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยสิ่งที่ย้องการออกไป อวี๋เหวินเต๋อเองก๋เพียงแคาเอ่ยตอบรับมาเท่านั้น

"ขอรับ"

"ข้อแรก ทำไมวันนี้เจ้าจึงชอบแกล้งข้านัก ปกติแล้วเจ้าไม่ใข่คนเช่นนี้" จ้าวหย่งฟงถามในสิ่งที่ตนคิด

"นั่นเพราะว่า องค์ชายในวันนี้ชอบทำตัวให้น่าแกล้ง" อวี๋เหวินเต๋อตอบคำถามแบบขอไปที เขาเองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกันว่าทำไมวันนี้องค์ชายห้าถึงได้ดูน่าแกล้ง

"หา!" จ้าวหย่งฟงถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำตอบ ที่ไม่น่าจะเป็นคำตอบได้เลย

"ตามนั้นเลยขอรับ คำถามข้อสองขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อตอบเสียงเรียบทั้งยังเอ่ยถามหาคำถามข้อที่สุด

"ข้อสอง เจ้าชอบคนรักของพี่รองสินะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย เขารู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงลงบนอกด้านซ้ายของตน ในขณะที่รอฟังคำตอบ

"ใช่ขอรับ ข้าน้อยชอบเขา และยอมเป็นตัวแทนให้เขาหากองค์ชายรองไม่ต้องการ" อวี๋เหวินเต๋อตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเกินจะคาดเดา

"งะ งั้นเหรอ ดีจังนะ" จ้าวหย่งฟงแทบจะร่ำไห้ออกมา ณ ตอนนั้น เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปากอวี๋เหวินเต๋อ

"ขอรับ แต่ว่า ตอนนี้..."

"เรากลับกันเถอะ ข้าเริ่มหิวแล้ว" ยังไม่ทันที่จะได้ฟังคำพูดต่อไปของอวี๋เหวินเต๋อจ้าวหย่งฟงก็พูดแทรกขึ้น โดยไม่คิดจะฟังคำอื่น

"เอ๋... ขอรับ ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง ที่อารมณ์แลเปลี่ยนง่ายอย่างกับคลื่นลม

"ข้ารู้ แล้วว่าในใจของเจ้ามีแต่ เหม่ยฟางชายาของพี่รองเท่านั้น แม้อีกฝ่ายจะสมรสกันแล้วเจ้าก็คงจะรอใช่ไหม"

ขณะขี่ม้ากลับทั้งสองคนยังทำเหมือนตอนแรกที่มานั่นคือจ้าสหย่งฟงนั่งด้านได้โดยมีอวี๋เหวินเต๋อซ่อนหลังคอยควบม้า แล้วจ้าวหย่งฟงก็เอ่ยถามอวี๋เหวินเต๋อเรื่องเดิม แต่แผ่นหลังกับแฝงไปด้วยความเศร้า

"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกขอรับ เพราะตอนนี้ข้าน้อยเริ่มสนใจผู้อื่นอยู่บ้างแล้ว เป็นคนน่ารักดีนะขอรับ ทั้งยังทำให้ข้าน้อยหัวเราะได้อีก ข้าน้อยว่าคนผู้น่าสนใจมากขอรับ องค์ชายคิดว่าอย่างไร" อวี๋เหวินเต๋อโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของจ้าวหย่งฟง จนจ้าวหย่งฟงถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ

"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไร" จ้าวหย่วฟงกบ่าวด้วยความน้อยใจ

"องค์ชายไม่อยากทราบหรือขอรับ ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร" อวี๋เหวินเต๋อกระเซ้าเย้าแหย่จ้าวหย่งฟงอีกครั้ง ใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดแก้ม

"ข้าไม่อยากรู้" จ้าวหย่งฟงตอบกลับด้วยอารมณ์ไม่พอใจ "แต่ข้าน้อยอยากบอก"

"นี่ เจ้า! อ๊ะ!" จ้าวหย่งฟงหันไปหมายจะต่อว่า แต่กลับกลายเป็นว่าเขาหันไปให้อวี๋เหวินเต๋อนั้นหอมแก้มตัวเองแทน

"หอมดีนะขอรับ"

"เจ้า....อวี๋เหวืนเต๋อ!!!" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงดังด้วยใบหน้าซับสีแดง ไม่รู้ว่าจะโกรธ หรือจะเขินดี

"ขอรับ" คนถูกเอ่ยชื่อตอบรับหน้าตาเฉย

"ทำไมเจ้าชอบเอาเปรียบข้าเช่นนี้" เสียงเอ่ยแผ่วเบายิ่งทำให้อวี๋เหวินเต๋อชอบใจ

"กับคนที่ชอบหรือสนใจ มันเป็นเรื่องธรรมดานะขอรับ" คำตอบนั้นทำให้จ้าวหย่งฟงไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีก เขานั่งเงียบมาตลอดทางไม่กล้าแม้แต่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ



'ไม่จริงน่า อวี๋เหวินเต๋อชอบข้างั้นหรือ' นี่เป็นเสียงที่เอ่ยถามตนเองในใจของจ้าวหย่งฟง แล้วรอยยิ้มบางๆฝุดขึ้นบนใบหน้า....

****************************************************

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Vivivo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 25 สักการะบรรพบุรุษ

ร่างผอมบางนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ มีผ้าแพรสีแดงสดคลุมร่างที่เปลือยเปล่าไว้ เช้าวันใหม่ที่แสนสดชื่นของจ้าวหย่งเจิ้งที่ได้นั่งมองเรือนกายขาวราวหิมะ ที่ถูกแต่งแต้มรอยกลีบกุหลาบบนผิวกายสวยๆที่ตนเป็นผู้กระทำด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ มือหนาเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าของผู้ที่นอนหลับด้วยสายตารักใคร่

"ข้ามีความสุขที่มีเจ้าเคียงกาย ข้ารักเจ้าฟาง ไม่ว่าจะเป็นข้าคนใด ข้าบอกได้เพียงคำเดียวว่าข้ารักเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งกดปลายจมูกลงบนแก้มขาวนวล แล้วลุกเดินออกจากห้องนั้น ในยามเช้าตรู่

คืนสุดท้ายได้ผ่านพ้นไปด้วยดีไอคำสาปได้จางหายไปจากร่างของเหม่ยฟางเป็นที่เรียบร้อย ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ภารกิจสำคัญอีกสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญต่อไปคือการรับมอบอำนาจจากผู้เป็นบิดา

"เสี่ยวจื่อหยี่ เสี่ยวจื่อหยี่" จ้าวหย่งเจิ้งส่งเสียงเรียกหาขันทีคนสนิทที่หน้าชานระเบียง

"ขอรับองค์ชาย องค์ชายมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้" เสี่ยวจื่อหยี่รีบวิ่งเข้ามาเมื่อถูกเรียกใช้

"เจ้าจงคอยดูแลชายาของข้าให้ดี ข้าจะไปเจ้าเฝ้าเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งสั่งงานขันทีคนสนิท

"ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" เสี่ยวจื่อหยี่น้อมศีรษะรับคำสั่งผู้เป็นนาย

"จริงสิ อวี๋เหวินเต๋อไปไหน"

"เรียนองค์ชาย องครักษ์อวี๋ถูกองค์ชายห้าขอให้ไปช่วยสอนขี่ม้าขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบไปตามที่ได้ยินมา

"สอนน้องห้าขี่ม้างั้นหรือ"

"ขอรับ องค์ชายจะให้ข้าน้อยไปตามหรือไม่ขอรับ" จ้าวหย่งเจิ้งยกมือห้ามเมื่อเห็นขันทีคนสนิทเตรียมจะลุกออกไปตามอวี๋เหวินเต๋ออย่างที่ตนเอ่ย

"ไม่จำเป็น อีกเรื่อง หากชายาของข้าตื่นแล้วเจ้าให้คนไปรายงานข้าด้วย"

"ขอรับ" เมื่อได้ยินคำตอบของขันทีคนสนิท จ้าวหย่งเจิ้งก็เดินจากไปเพื่อเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง

ท้องพระโรง ฮ่องเต้และเหล่าคุณนางน้อยใหญ่กำลังปรึกษาเรื่องการรับตำแหน่งขององค์ชายรองจ้าวหย่งเจิ้ง

"เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยได้หาฤกษ์มงคลไว้แล้วขอรับ อีกสองเพลาข้างหน้า องค์ชายรองต้องเข้าไปสักการะเหล่าบรรพบุรุษเป็นเวลา7วันหลังจากนั้น จึงจะเข้าสู่พิธีรับตำแหน่งจากพระองค์ได้พะย่ะค่ะ" นักพรตเจินหยวนกล่าวถึงฤกษ์งามที่ตนคิดว่าดีที่สุด

"ท่านนัดพรตทำไมมันไวเช่นนั้นเหล่า ข้าเพิ่งจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสเองนะจะไม่ให้ข้ามีเวลาให้กับชายาของข้าเลยหรืออย่างไร" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวทักท้วงเรื่องพิธีรับตำแหน่ง

"โธ่ พี่รองท่านเองก็ได้เวลาไปตั้ง7วันแล้ว หากเสียไปอีก7วัน นั่นก็ถือว่าทางเราชดเชยให้ไปแล้ว" จ้าวหย่วเฝิงกล่าวยิ้มๆ

"น้องสาม เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งอยากจะเอ่ยคำต่อว่า แต่จำต้องสะกดกั้นไว้ มือทั้งสองกำหมัดแน่นอย่างสะกดอารมณ์

"ไม่ต้องห่วงนะ พี่รองข้าจะเป็นคนดูแลชายาของพี่ให้เอง ระหว่างที่ท่านเข้าไปสักการะบรรพบุรุษ" จ้าวหย่งเฝิงยิ้มอย่างเหนือกว่า จนจ้าวหย่งเจิ้งอยากเข้าไปบีบคอคนพูด

"จ้าวหย่งเฝิง เจ้าจะไปเย้าแหย่พี่ของเจ้าทำไมนัก หากเจ้าอยากได้ชายาสักคน ข้าจะสู่ขอสตรีชั้นสูงมาให้เป็นชายาของเจ้าเอง เจ้าพึงพอใจใครจงบอกมา" เป็นองค์ฮ่องเต้ที่ทนให้สองพี่น้องถกเถียงกันไม่ได้จึงเอ่ยปากจะหาชายาให้จ้าวหย่งเฝิง

"เสด็จพ่อ ลูกไม่ต้องการ" จ้าวหย่งเฝิงตอบปฏิเสธ อย่างไม่ต้องคิด

"ถ้าเช่นนั้นจงเงียบซะ หากไม่แล้ว ข้าจะหาชายาให้กับเจ้า"

"องค์ฮ่องเต้ตรัสสั่งอีกครั้ง

"ลูกน้อมรับบัญชา ลูกจะปิดปากให้สนิท" จ้าวหย่งเฝิงก้มหน้ารับคำ

"เสด็จพ่อลูกว่ามันเร็วไป" จ้าวหย่งเจิ้งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจัดอะไรแล้วจึงเอ่ยกล่าวคัดค้านอีกครั้ง

"ข้าว่ามันไม่เร็วไปหรอกนะ ตกลงตามนี้ ช่วงเวลาก่อนจะเจ้าจะเข้าไปสักการะบรรพบุรุษ จงใข้เวลากับชายาเจ้าเถอะ" ตรัสจบองค์ฮ่องเต้ก็ลุกจากไปโดยมีนักพรตเจินหยวนคอยประคอง

"หากเจ้าไม่อยากรับตำแหน่งจะมอบให้ข้าก็ได้นะ" จ้าวหย่งเฟิ้งผู้เป็นพี่ชายคนโตเข้ามาแตะบ่าน้องชายฝาแฝดของตน

"ใช่ๆ พี่รองถ้าท่านไม่ต้องการก็จงยกให้พี่ใหญ่ไปเสียแล้วท่านจะได้ไปอนู่กับเมียงูของท่านให้สมใจ ฮ่าๆ" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยสมทับอีกคน

"หากข้าต้องยกบัลลังก์ให้ใคร คงไม่ใช่ท่านหรอกพี่ใหญ่ และไม่ใช่เจ้าด้วยน้องสี่ ข้าว่าหากข้าจะยกให้ใครก็ดูความเหมาะสมมากกว่า และคนผู้นั้นก็ไม่ใช่พวกเจ้าทั้งสองคน ข้าขอด้วย" จ้าวหย่งเจิ้งปัดมือของจ้าวหย่งเฟิ้งที่แตะบ่าตนออก แล้วเดินออกจากตรงนั้นมา

"เจ้าคอยดูแล้วกันว่าใครจะได้เป็นฮ่องเต้คนต่อไป จ้าวหย่งเจิ้ง!" น้ำเสียงโมโหเกรี้ยวกราดของจ้าวหย่งเฟิ้งและจ้าวหย่งจิ้งดังไล่หลังมา แต่เขาหาได้สนใจกับเสียงนั้นไม่

"พี่รอง ท่านไม่ควรไปพูดเช่นนั้น" เป็นจ้าวหย่งเฝิงที่ออกมาจากมุมลับตาคน กล่าวเตือนจ้าวหย่งเจิ้ง

"หากไม่ทำเช่นนี้พวกนั้นคงไม่เผยธาตุแท้ออก เจ้าเถอะจัดการคนคิดจะโค่นบัลลังก์ข้าเรียบร้อยหรือยัง" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามน้องชายด้วยสีหน้าจริงจัง

"พี่รอง เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงข้าจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้ว รอแค่พี่ใหญ่กับน้องสี่ลงมือเมื่อไหร่ก็เท่านั้น" จ้าวหย่งเฝิงตอบพร้อมรอยยิ้ม

"เจ้ายิ้มอะไร" จ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยถาม

"พี่รอง เรื่องดูแลพี่สะใภ้ข้ายินดีนะ ข้าจะทำหน้าที่ของท่านแทนเอง" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

พลั่ก!

หมัดหนักๆของจ้าวหย่งเจิ้งลอยเข้าปะทะใบหน้าของจ้าวหย่งเฝิงเต็มแรง จนคนโดนหมัดล้มลงไปนั่งกับพื้น

"ห้ามเจ้าเจ้าใกล้ชายาของข้าอีกเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าคาดโทษน้องชายไว้อย่างไม่สบอารมณ์

"หึหึ" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะในลำคอด้วยท่าทางพอใจเมื่อเห็นพี่ชายของตนเดินจากไปด้วยท่าทางโมโห

ทางด้านเหม่ยฟาง เมื่อตื่นนอนขึ้นมาก็พบเสี่ยวจื่อหยี่นั่งชันเข่ากับพื้นพิงอยู่ข้างเตียงเพื่อรอตนตื่นนอน

"เสี่ยวจื่อหยี่ ทำไมเจ้ามานั่งอยู่แบบนี้" เหม่ยฟางขยับกายลุกอย่างยากลำบาก เพราะร่างกายรู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งช่วงล่าง

"อ๊ะ! พระชายาตื่นแล้วหรือขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่รีบลุกขึ้นยืนเพื่อรอรับใช้เหม่ยฟาง แต่เมื่อสายตามองไปเห็นเรือนกายขาวที่มีรอยกลีบกุหลาบแต่งแต้มอยู่เต็มผิวกายที่โผล่พ้นผ้าแพรออกมา เสี่ยวจื่อหยี่ก็พลันหน้าหน้าแดงหลุบสายตาลงต่ำ

"เจ้าเป็นอะไร" เหม่ยฟางเห็นท่าทีของขันทีรับใช้อย่างเสี่ยวจื่อหยี่จึงอดเอ่ยถามไม่ได้

"ปะ เปล่าขอรับ ว่าแต่พระชายาร่างกายรู้สึกอย่างไรบ้างขอรับ"

"ร่างกายข้าหรือ" เหม่ยฟางทวนคำ พอก้มมองร่างกายตน ใบหน้าก็พลันแดงซ่าน รู้สึกอับอายต่อร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้

"ข้าน้อยเตรียมน้ำให้พระชายาไว้แล้ว พระชายาจะให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่ขอรับ" เสี่ยวจื่อหยีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

"รบกวนเจ้าแล้ว" เหม่ยฟางจำใจต้องให้เสี่ยวจื่อหยี่ช่วยตนทำความสะอาดร่างกาย ขณะที่เสี่ยวจื่อหยี่กำลังพยุงเหม่ยฟางที่สวมเสื้อคลุมตัวบางไปที่อ่างอาบน้ำ จ้าวหย่งเจิ้งก็เดินเข้ามาพอดี

"เสี่ยวจื่อหยี่เจ้าจะพาฟางไปไหน"

"เรียนองค์ชายข้าน้อยกำลังจะพาพระชายาไปอาบน้ำขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบขณะยังพยุงร่างเหม่ยฟางเอาไว้

"ไม่ต้อง เจ้าออกไปได้แล้ว ข้าจะพาฟางไปเอง" เสี่ยวจื่อหยี่น้อมรับคำสั่งปล่อยมือออกจากร่างของเหม่ยฟางเมื่อได้ยินคำสั่ง ใบหน้าของเขายังคงแดงไม่หาย

"เจิ้งไม่ต้องหรอก ข้าอาบเองได้" เหม่ยฟางบอกกล่าวคนที่เดินตรงเข้ามาช้อนกายตนเข้าแนบอก

"ปล่อยให้อาบเองได้อย่างไร อาการไม่ค่ยดีไม่ใช่หรือ ข้าอยากอยู่กับเจ้านานๆรู้ไหม" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งก็จรดปลายจมูกเข้ากับจมูกของเหม่ยฟาง

"เจิ้ง มีอะไรหรือเปล่า" เหม่ยฟางเอ่ยถามเมื่อจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยคำแปลกๆกับตน

"คือ อีกสองวันข้างหน้าข้าจะต้องเข้าไปสักการะบรรพบุรุษเป็นเวลา7วัน เพื่อเข้ารับตำแหน่งฮ่องเต้ต่อจากเสด็จพ่อ" จ้าวหย่งเจิ้งพาเหม่ยฟางมายังอ่างอาบน้ำหินอ่อนขนาดใหญ่ แล้วปล่อยร่างบางลงกับพื้น เพื่อปลดเสื้อคลุมออก เพื่อให้เหม่ยฟางลงแช่ในน้ำอุ่น แต่สีหน้าเป็นกังวลของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้เหม่ยฟางพลอยไม่สบายใจไปด้วย

"เป็นอะไร แบบนี้ก็ดีแล้วนี่"

"ข้าเป็นห่วงเจ้าเหม่ยฟาง ข้าไม่อยากจากเจ้าไปไหน ข้าเพิ่วแต่งกับเจ้าได้เพียง7วัน จะให้ข้าแยกกับเจ้าอีก7วันงั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเข้าสวมกอดเหม่ยฟางจากทางด้านหลังโดยใช้คางเกยอยู่บนบ่าของอีกฝ่าย

"ใข่ว่าเราจะแยกกันตลอดไปนี่" เหม่ยฟางใช้มือลูบแก้มของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

"มันก็ใช่"

"อย่างอแงสิ หน้าที่ก็คือหน้าที่ จำไว้หน้าที่สำคัญกว่าสิ่งใด" อ้อมแขนของจ้าวหย่งเจิ้งกระชับขึ้นอีกเท่าตัวเขาอยากโอบกอดเหม่ยฟางเอาไว้แบบนี้ไม่อยากแยกหากแม้เพียงเสี้ยวนาที

"ข้าจะยอมเชื่อฟังเจ้า หากเจ้ายอมให้ข้ากอดเพิ่มสักสองวันก่อนเข้าพิธีครองราชย์" รอยยิ้มกรุ่มกริ่มมองร่างเปลือยที่โผล่พ้นน้ำด้วยสายตาสิเน่หา

"หยุดเลยนะ หยุดความคิดเดี๋ยวนี้เลย ข้าไม่ไหวแล้วนะ แค่ 7วันที่ผ่านมาข้าก็แย่พอแรงอยู่แล้วหากยังคิดทำต่อมีหวังข้าได้ตายกันพอดี" เหม่ยฟางหาเหตุผลมากล่าวอ้าง

"หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งเองก็เพียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ ก่อนลุกขึ้นจากน้ำอุ้มร่างบางของเหม่ยฟางกลับไปที่ห้องนอนตามเดิม

"จ้าวหย่งเจิ้งปล่อยข้าาาาา" เหม่ยฟางพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากวงแขนแกร่งดั่งกรงเล็บเหยี่ยวที่ตะครุบเหยื่อ

'เจ้าคนบ้าจะไม่ใครพักผ่อนบ้างหรือไงกัน' เป็นเพียงร่ำร้องภายในจิตใจของเหม่ยฟางที่ถูกกระตุ้นจนไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ จำต้องปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจอย่างห้ามไม่อยู่

หลังจากผ่านพ้น 2วัน ที่จ้าวหย่งเจิ้งได้กักเก็บความสุขกับตัวของเหม่ยฟางจนเป็นที่พอใจ เขาจึงเข้าไปสักการะบรรพบุรุษตามรับสั่งของผู้เป็นจ้าวเหนือของคนทั้งปวงอย่างจำใจ แต่เขาหารู้ไม่ว่าการไปครั้งนี้จะทำให้เหม่ยฟางเดือดร้อน

"ข้าฝากฟางไว้กับเจ้าด้วยน้องห้า" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปากฝากฝังผู้เป็นที่รักให้กับน้องชายเป็นคนดูแล

"ได้สิพี่รอง ข้ารับฝากอยู่แล้ว พี่สามเองก็เช่นกัน ใช่ไหมพี่สาม" จ้าวหย่งฟงรับปากพี่ชายอย่างแข็งขัน

"ใช่ พี่รองไม่ต้องห่วงไปทำหน้าที่ให้ดีเถอะ ข้าจะดูแลเหม่ยฟางให้ดีอย่างที่พี่เคยทำ" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม
"คนที่ข้ากังวลที่สุดคือเจ้านี่แหละ" จ้าวหย่งเจิ้งชี้หน้าจ้าวหย่งเฝิง

"ฮ่าๆ พี่รองท่านก็พูดไป ใครจะไปกล้าทำกัน หากข้าทำ ฟางฟางคงได้กินข้าก่อนแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงหะวเราะกลบเกลื่อน

"ก็ขอให้มันจริงอย่างเจ้าพูดเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงคาดโทษจ้าวหย่งเฝิงไม่เลิก

"ฮ่าๆ ท่สนไม่เคยได้ยินหรือ สามวันจากนารีเป็นอื่น แต่นี่ท่านหายไปถึง เจ็ดวันเชียวนะ ท่านคิดไหมว่า ฟางฟางจะเป็นเช่นไร ฮ่าๆ" จ้าวหย่งเฝิงเริ่มพูดจาเย้าแหย่ให้จ้าวหย่งเจิ้งระแวง

ปึก!

"โอ๊ย!!! ใครกันบังอาจดีดก้อนหินใส่หลังข้า" จ้าวหย่งเฝิงร้องเสียงหลงเมื่อถูกใครบางคนดีดเม็ดหินใส่เข้ากลางหลังอย่างแรง

"เป็นข้าเอง เจ้าสมควรโดนแล้ว ข้าไม่ใช่นารี เจ้าไม่ต้องมายุแยงพวกข้าหรอก" เป็นเหม่ยฟางนั่นเองที่เป็นคนดีดก้อนก้อนหินใส่หลังของจ้าวหย่งเฝิง เหม่ยฟางแต่งกายด้วยชุดสีเขียวอ่อน เดินย่างกายเข้ามาเคียงคู่จ้าวหย่งเจิ้ง

"เจ้ามาทำไม ยังรู้สึกไม่ดีไม่ใช่เหรอ ข้าขอโทษนะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "หากห่วงข้าจริงเจ้าก็ไม่น่าฝืนข้า" เหม่ยฟางตีเข้าที่อกของจ้าวหย่งเจิ้งไปหนึ่งทีอย่างตั้งใจ

"โอ๊ย! เจ้าทำร้ายร่างกายข้าเช่นนี้ร่าวกายคงดีขึ้นแล้วสินะ ระหว่างข้าไม่อยู่เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีรู้ไหม" จ้าวหย่งเจิ้งมองเหม่ยฟางอย่างรักใคร่พลางลูบเส้นผมดำเงา อย่างไม่สนใจสายตาอีกหลายคู่ที่จ้องมองมา

"พอเถอะ ท่านพูดจาอะไรหรือกระทำการใดไม่คิดอายผู้อื่นเลยหรือไง" เป็นเหม่ยฟางที่รู้สึกขัดเขินกับท่าทีของอีกฝ่ายแทน

"ข้ารักเจ้านะ เหม่ยฟางดูแลตัวเองดีๆล่ะ" สิ้นคำจ้าวหย่งเจิ้งก็จรดปลายจมูกเข้าที่แก้มใสแล้วเดินเข้าไปในอารามหลวงเพื่อสักการะบรรพบุรุษเป็นเวลา 7วัน ปล่อยให้เหม่ยฟางยืนอึ้งตะลึงกับคำบอกรักอย่างไม่ทันตั้งตัว

"นี่ พี่สะใภ้ พี่ชายข้ารักเจ้ามากนะ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม เหม่ยฟางเพียงได้แต่ยิ้มรับอย่างเขินๆ

"ดีจังน้าาา ที่รักกันดี ข้าหรืออยากให้มีคนรักแทบตายกับไม่มี" จ้าวหย่งเฝิงเอ่ยคล้ายตัดพ้อใครแล้วเดินอมยิ้มจากไป

"กลับเถอะพี่สะใภ้ ข้าไปส่ง ท่านจะตามพวกข้าไปไหนองครักษ์อวี๋" จ้าวหย่งฟงเอ่ยตามองครักษ์คู่กายของพี่ชาย

"พวกท่านไปกันเถอะขอรับ ข้าน้อยต้องคอยอยู่รับใช้องค์ชายรอง" อวี๋เหวินเต๋อตอบตามตรงว่าเขาต้องคอยรับใช้ผูเป็นนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"อืม ตามใจเจ้าเถอะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับคำกับจ้าวหย่งฟงแล้วทั้งคู่ก็เดินกลับตำหนักด้วยกัน แต่ระหว่างทางกลับมีกลุ่มคนชุดดำ เข้าล้อมกรอบพวกเขาไว้ ทั้งคนชุดดำเหล่านี้ยังมีอาวุธครบมืออีก

"พวกเจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาขวางพวกข้า" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัว เพราะตนเองไม่มีวิชาอะไรติดตัว

"ขอเชิญองค์ชายห้ากับพระชายา มากับพวกข้าน้อยเถอะขอรับ หากทำตามที่บอกพวกท่านจะปลอดภัย พวกข้าไม่อยากทำร้ายพวกท่าน" หนึ่งในชายชุดเอ่ยบอกกับทั้งสองคน

'เอาอย่างไรดีพี่สะใภ้' จ้าวหย่งฟงเอ่ยกระซิบถามเหม่ยฟาง

'ยอมไปก่อน อย่าผลีผลามถ้าไม่จำเป็น' เหม่ยฟางตอบไปตามที่คิด

'ทำไมเจ้าไม่จัดการพวกมันเล่า' จ้าวหย่งฟง เอ่ยถามให้หายข้องใจ

'ข้าอยากรู้ว่าใครบ่งการพวกมัน และพวกมันต้องการอะไร' เหม่ยฟางตอบในสิ่งที่ตนคิด

'ตามใจเจ้าแล้วกัน' จ้าวหย่งฟงถอนหายใจออกมา ยอมให้คนชุดดำเอาถุงผ้าคลุมสีดำคลุมตัว เมื่อถูกคลุมจนมองไม่เห็นแล้วยังถูกตีที่ต้นคอจนสลบไปอีก ทำให้จ้าวหย่งฟงรู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิม แม้แต่เหม่ยฟางก็เช่นกัน ร่างสองร่างถูกแบกขึ้นบ่าของชายชุดดำไปไว้ยังวัดร้างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก

ปึง!!!   

"พวกเจ้าดูแลกันอย่างไรถึงปล่อยให้พวกเขาถูกจับตัวไปได้" ทางด้านจ้าวหย่งเฝิงที่ทราบข่าวการถูกลักพาตัวไปของน้องชายและคนที่ตนแอบรักไปก็เกิดบันดาลโทสะทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างคุมสติไม่อยู่

"องค์ชายเรื่องนี้ท่านจะบอกองค์ชายรองหรือไม่ขอรับ" ไป๋เสวี่ยหนึ่งในองครักษ์มากฝีมือของจ้าวหย่งเฝิงเอ่ยถาม

"ไม่ต้องหากบอกไปพี่รองคงไม่มีสมาธิเป็นแน่ เรื่องนี้เราจะจัดการเอง ว่าแต่เจ้าให้คนติดตามพวกคนชุดดำไปหรือเปล่า" จ้วหย่งเฝิงเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา

"เรียนองค์ชายข้าน้อยให้คนติดตามจนทราบแน่ชัดแล้วขอรับว่าทั้งของคนอยู่ที่ไหน" ไป๋เสวี่ยเอ่ยตอบสิ่งที่ตนทราบให้ผู้เป็นนายได้รับรู้

"ดี เจ้าจงไปสืบด้านพี่ใหญ่กับน้องสี่ หากมีการเคลื่อนอะไรจงให้คนมารายงานข้า" จ้าวหย่งเฝิงสั่งองครักษ์ไป๋เสวี่ย เพื่อให้ไปดำเนินการ

"ขอรับ" ไป๋เสวี่ยรับคำสั่งแล้วหายเข้าไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว

"หึหึ พวกเจ้าสองคนเลือกจับคนผิดเสียแล้ว" จ้าวหย่งเฝิงหัวเราะในลำคออย่างรู้สึกสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้น "มีเรื่องสนุกให้ข้าชมอีกแล้วสิ หึหึ" เสียงหัวเราะชอบใจยังคงดังอยู่เช่นนั้น จนทำให้คนที่ได้ยินได้ฟังถึงกับขนลุกไปตามๆกัน.....

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
สงสารคนที่ลักพาตัว 2 คนนั้นไปจังเลย  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 26 คนบ่งการ

แสงไฟไหวไปตามแรงลมสั่นพริ้วโอนเอนจนจับทางไม่ได้ วัดร้างที่เต็มไปด้วยฝุ่น ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นอับชื้น ทำให้เหม่ยฟาง กับจ้าวหย่งฟงไม่สบายตัว พวกเขาทั้งสองค่อยๆเปิดเปลือกตาออก เพื่อรับภาพที่ปรากฏตรงหน้า แต่สิ่งที่พวกเขารับรู้ได้จากการมองเห็นคือความมืดสีดำสนิท

"หย่งฟง หย่งฟง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เหม่ยฟางร้องเรียกจ้าวหย่งฟง อย่างนึกเป็นห่วง 

"เหม่ยฟาง ข้าไม่เป็นไร แต่ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย แขนขาก็ขยับไม่ได้" จ้าวหย่งฟงโอดโอยกับสถานการณ์ที่ตนได้ประสบ

"พวกมันคงปิดตากับมัดพวกเราไว้ เจ้าไม่ต้องห่วงนะเดี๋ยวข้าจัดการเอง" ว่าจบเหม่ยฟางก็กลายร่างเป็นงูเขียว เมื่อเชือกกับผ้าปิดตาหลุดออกจากตัวเขาก็กลายร่างเป็นคนอีกครั้ง เพื่อแก้เชือกกับผ้าปิดตาให้กับจ้าวหย่งฟง

"เจ้ายิ้มอะไร ข้าไม่ชอบเลยจริงๆ ทำไมจ้าต้องโดนจับมาด้วยกัน" จ้าวหย่งฟงหน้าหงิกงออย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งยังเห็นเหม่ยฟางยิ้มอย่างนึกขำตนก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก

"เปล่าหรอก เอานี้ไปคาดปิดตาไว้ ส่วนเชือกนี่ก็ทำให้เหมือนถูกมัดด้วยล่ะ" เหม่ยฟางออกคำสั่งกับคนหน้าบึ้ง

"อะไรกันจะให้ข้าถูกมัดถูกปิดตาอีกแล้วหรือ" จ้าวหย่งฟงร้องโอดโอย

"ผ้าปิดตานี่ข้าเป็นคนเสกขึ้นมาแม้ปิดตาก็ยังสามารถมองเห็นได้เหมือนกับไม่ได้ปิดตา ส่วนเชือกนี่ ข้าไม่ได้ให้มัดจริงๆเสียหน่อย แค่แกล้งให้เหมือนถูกมัดต่างหากล่ะ รีบเข้าเถอะ ก่อนพวกมันจะกลับมา" เหม่ยฟางรีบเร่งจ้าวหย่งฟงให้ทำตาม

"รู้แล้วน่า" จ้าวหย่งฟงบ่นปากขมุบขมิบจนเหม่ยฟางถึงกับส่ายศีรษะไปมา เพียงไม่นานนัก ชายชุดดำกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับ ชายอีกสองคนที่ดูแต่งกายหรูหรา เหมือนลูกผู้ดี

"พวกเจ้าจับจ้าวหย่งฟงมาทำไม พวกข้าต้องการเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น" เสียงทุ้มหนาตวาดใส่ชายชุดดำ

"เรียนองค์ชายตอนที่ไปจับตัวพอดีองค์ชายห้าอยู่ด้วยพวกข้าน้อยไม่มีทางเลือกจึงพากลับมาด้วย" ชายชุดดำก้มศีรษะต่ำอย่างยอมรับผิด

"บ้าสิ้นดี พี่ใหญ่เราควรทำเช่นไรดี" เสียงทุ้มแสนคุณเคยทำให้จ้าวหย่งฟงอดที่จะหลุดปากเอ่ยเรียกคนนั้นไปไม่ได้

"พี่สี่ พี่สี่ เป็นท่านใช่ไหม พี่สี่" จ้าวหย่งฟงร้องเรียกเสียงหลงเมื่อเขาเงยหน้าสบตากับกับผู้เป็นพี่ชาย แม้จะถูกปิดตาก็ตาม "ปิดปากมันซะ อย่าให้มันส่งเสียงออกมา" เสียงแสนคุ้นเคยอีกเสียงสั่งชายชุดดำ จ้าวหย่งฟงมองไปทางพี่ชายคนโตอย่างรู้สึกเสียใจ

"พี่ใหญ่ อ๊ะ อุ๊บ อื้อ อื้อ" จ้าวหย่งฟงไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดต่อ ปากของเขาก็ต้องถูกปิดด้วยผ้าแพร ทำได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ซับ

"เปิดตาพวกมันออก" จ้าวหย่งเฟิ้งสั่งขึ้น ในเมื่อน้องชายที่คนของตนจับมาด้วยรู้ว่าพวกตนเป็นใครก็ไม่จำเป็นต้องปิดปิดอะไรอีก เมื่อผ้าปิดตาถูกเปิดออกจ้าวหย่งฟงถึงกับดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ

"พี่ใหญ่จัดการน้องห้าด้วยเลยไหม"  จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยน้ำเสียงเชียบขาดไม่สนใจความ้ป็นพี่น้อง

"ดี หากฆ่าน้องห้า เสี้ยนหนามก็หมดไปอีกหนึ่ง หากเราตัดแขนตัดขาน้องรองได้ ต่อไปน้องรองก็เหลือเพียงตัวคนเดียว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น" จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยเสียงเย็น ความเป็นพี่น้องมันจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดมาแล้ว หากเขาเกิดมาเป็นมังกรทอง เรื่งทุกอย่างคงง่ายกว่านี้

"หึหึ ถึงแม้เจิ้งจะสูญเสียแขนขา เขาก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดต้องพึ่งพาผู้อื่นหรอก" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นอย่างใจกล้า

'คนพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย นี่คงเป็นสาเหตุให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องการ บัลลังก์มากสินะ' เหม่ยฟางคิดในใจกับเรื่องที่จ้าวหย่งเจิ้งเคยเอ่ยขอให้ตนช่วยมอบบัลลังก์ให้

"ใช่ เพราะน้องรองข้ามันไม่อ่อนแอ พวกข้าถึงได้จับตัวเจ้ามาอย่างไรล่ะ" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

"ฮ่าๆ จับข้ามาเนี่ยนะ ช่างโง่เขลานัก ฮ่าๆ" แต่เหม่ยฟางกับหัวเราะกับความคิดของผู้ที่จับตนมา

เพี๊ยะ!!!

"สามห้าว เจ้ากล้าดีอย่างไรมาว่าพวกจ้าโง่เขลา" จ้าวหย่งจิ้งตบเข้าใบหน้าขาวของเหม่ยฟางจนเกิดริ้วรอยแดง

"เหม่ยฟาง!!!" จ้าวหย่งร้องขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเขาเห็นเหม่ยฟางโดนตบหน้า

"ข้าไม่เป็นไร โดนตบแค่นี้ เรื่องเล็กน้อย" เหม่ยฟางเอ่ยยิ้มๆให้จ้าวหย่งฟงสบายใจ แต่จ้าวหย่งจิ้งกลับกระชากสาบเสื้อเหม่ยฟางให้เข้าหา จนสาบเสื้อแหวกออกให้เห็นผิวขาวแต้มกลีบกุหลาบนับสิบ ทำให้ผู้ที่พบเห็นดวงตาวาววับ เหมือนเจอสิ่งที่ทำให้ตนพอใจ

"หึ เจ้ามันก็แค่ปีศาจงูยั่วราคะสินะ" จ้าวหย่งจื้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม มองดูเรือนกายที่โผล่พ้นจากสาบเสื้ออย่างจาบจ้วง

"น้องสี่ เจ้าคิดจะทำอะไร" จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นน้องชายเริ่มแสดงอาการที่ไม่สมควรออกมา ไม่ใช่เขาไม่รู้สึกเสน่ห์ของเหม่ยฟาง แต่เพราะไม่อยากให้ใครแตะต้องสิ่งที่จะนำพาตนขึ้นครองบัลลังก์ต่างหาก

พลั่ก!!!

ปึก!!!

"พี่สี่ท่านคิดจะทำไรเหม่ยฟาง อย่าแตะต้องเหม่ยฟางนะ" จ้าวหย่งฟงพุ่งตัวกระแทกจ้าวหย่งจื้งจนเซถอยหลังไป เขาไม่ยอมให้ใครแตะค้องพี่สะใภ้ของเขา พี่รองอุตส่าห์ฝากฝังเขาไว้

"ฮึ่ย!!! จ้าวหย่งฟง!!!"
ด้วยความโมโห จ้าวหย่งจิ้งพุ่งเข้ากระแทกจนจ้าวหย่งฟงล้มลงไปกระแทกกับพื้น ทั้งยังเข้าปล่อยหมัดซัดใบหน้าสวยๆของจ้าวหย่งฟงจนบวมช้ำ

"โอ๊ยๆ พี่สี่อย่าทำข้า โอ๊ยๆ" จ้าวหย่งฟงร้องขอด้วยความเจ็บปวด

"หยุดๆ หย่งจิ้งเจ้าช่วยสงบสติอารมณ์หน่อย" จ้าวหย่งเฟิ้งร้องห้ามอย่างหัวเสีย

"พี่ใหญ่ก็ดูมันทำข้าสิ" จ้าวหย่งจิ้งตอบอย่างหัวเสียเมื่อถูกห้ามปราม จ้องมองจ้าวหย่งฟงอย่สงกับจะกินเลือดกินเนื้อ

"หย่งฟงเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เหม่ยฟางเข้าไปซักถามด้วยความเป็นห่วง

"ก็เจ็บสิถามได้" จ้าวหย่งฟงตอบไปอย่างหัวเสีย

"เจ้าไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย"

"ก็เจ้าโดนพี่สี่ทำลาย" จ้าวหย่งฟงตอบเสียงอ่อน

"เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าไม่ป็นไร อย่าทำเช่นนั้นอีก หากเห็นอะไรจงอยู่เฉยๆไว้นะ" เหม่ยฟางเอ่ยกระซิบด้วยสีหน้าป็นห่วงจ้าวหย่งฟง

"อื้ม ข้าจะทำตามเจ้าบอก"

"พวกเจ้าคุยอะไรกัน" จ้าวหย่งจิ้งสังเกตุเห็นว่าจ้าวหย่งฟงกับเหม่ยฟางกำลังคุยอะไรบ้างอย่างกันจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

เหม่ยฟางเบนสายตามาทางมาทางจ้าวหย่งจิ้งเพียงชั่วครู่ ก่อนหันกลับอย่างไม่สนใจหันไปหาจ้าวหย่งฟงอีกครั้ง

"แบมืออกมา" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบาให้จ้าวหย่งฟงได้ยินเพียงผู้เดียว จ้าวหย่งฟงมองอย่างงงๆ แต่ก็ยอมแบมือมาด้านหน้า เหม่ยฟางจึงคายฟองลูกแก้วสีเขียวใสออกมาจากปากให้จ้าวหย่งฟงเก็บไว้

"นี่มัน?" จ้าวหย่งฟงมองฟองลูกแก้วที่ทั้งใสและบางจนเขากลัวว่าตนจะมันจะแตก แต่ก็ยอมเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว

"นี่คือสิ่งยืนยันตัวผู้บ่งการเก็บไว้ให้ดี....อึก" กลุ่มผมดำสวยของเหม่ยฟางถูกดึงอย่างแรงด้วยมือของจ้าวหย่งจื้ง

"กล้าดียังไงถึงเมินข้า" จ้าวหย่งจิ้งดึงกลุ่มผมสีดำสวยอย่างแรงจนเหม่ยฟางถึงกับเซตามแรงดึง

"เหม่ยฟาง!!!" จ้าวหย่งฟงร้องเสียงหลงด้วยความเป็นห่วง นี่มันรุนแรงกันเกินไปแล้วนะ

"พวกเจ้าต้องการอะไร เอ่ยคำออกมาเสียเลย" เหม่ยฟางกัดฟันเอ่ยคำพทั้งยังยื้อจับกลุ่มผมที่ถูกจ้าวหย่งจิ้งดึงให้คืนกลับมา

"ยกบัลลังก์ให้ข้าสิ ยอมเป็นของข้า มอบโอรสมังกรให้แก่ข้า นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ" จ้าวหย่งเฟิ้งเดินเข้ามายืนตรงหน้าเหม่ยฟางพร้อมกับเชยคางของอีกฝ่ายขึ้น

"เฮอะ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เจิ้งถึงต้องการบัลลังก์มากนัก ที่แท้ก็มีคนอย่างพวกเจ้าอยู่นี่เอง โลภ ไม่มีที่สิ้นสุด อยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน" สายตาจ้องมองใบหน้าของจ้าวหย่งเฟิ้งอย่างไม่ยอมลงให้ง่ายๆ ของเหม่ยฟางทำให้จ้าวหย่งเฟิ้งถึงกับอดรนทนไม่ไม่ไหว ฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าเหม่ยฟางอย่างแรง

เพี๊ยะ!!!

"ใช่สิ ข้าอยากได้ในสิ่งที่มันสมควรเป็นของข้า ข้าผิดตรงไหน หากเจ้าไม่ยอมให้ในสิ่งที่ข้าขอ ข้าจะให้พวกมัน มัน มัน เสพสมกับเจ้า ให้สมกับที่เจ้าเป็นปีศาจยั่วราคะ ดีไหม" จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยเสียงเย็น แสยะยิ้มร้าย โบกมือให้จ้าวหย่งจิ้งปบ่อยมือจากผมของเหม่ยฟาง

"ฮ่าๆ" เหม่ยฟางหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวกับคำพูดของอีกฝ่าย

"เจ้าหัวเราะอะไร เจ้าคิดว่าข้าแค่ขู่ไม่กล้าทำอะไรเจ้าสินะ" จ้าวหย่งเฟิ้งโบกมือให้ชายชุดดำสองคนเข้ามายืนขนาบข้างตนเพื่อให้เหม่ยฟางรู้ว่าตนนั้นพูดจริง

"พี่ใหญ่ ข้าจัดการเอง ข้าขอเป็นผู้ลิ้มรสปีศาจราคะตนเอง" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยคำเดินแทรกเข้ามาระหว่างชายชุดดำทั้งสองคน

"หึหึ ดี ข้าจะให้เจ้าจัดการอย่างที่เจ้าต้องการ พวกเจ้าไปพาน้องห้าออกไปด้านนอกพร้อมกับข้า" จ้าวหย่งเฟิ้งถอยหลังออกมาพร้อมกับชายชุดดำทั้งสองคนที่ดึงตัวจ้าวหย่งฟงออกไปด้านนอก

"เฮ้อ~ พวกเจ้าเอาแต่เรียกข้าปีศาจ ปีศาจ แต่ไม่คิดเกรงกลัวปีศาจอย่างข้าเนี่ยมันผิดนะ" เหม่ยฟางถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ มองดูคนที่คิดจะเข้ามาหยามเกียรติตนอย่างเบื่อหน่าย

"ปีศาจอย่างเจ้า มันก็แค่มีไว้ยั่วกามารมณ์ผู้อื่น มีตรงไหนให้น่ากลัวกัน" จ้าวหย่งจิ้งแสยะยิ้มร้ายผลักร่างของเหม่ยฟางลงไปกับพื้น สองมือแหวกสาบเสื้อของอีกฝ่ายอย่างช้า เพื่อให้เหม่ยฟางรู้สึกกลัว

"ฮ้าววว~น่าเบื่อ" เหม่ยฟางบ่นพึมพำ ออกมาจนจ้าวหย่งจิ้งรู้สึกโมโหจนควันออกหู ไม่เคยมีใครกบ้าหยามเกียรติในเวลาเช่นนี้

"นี่เจ้า..." 

"ทำไม ก็เจ้ามันทำอะไรน่าเบื่อ"

"เจ้า" จ้าวหย่งจิ้งโกรธจนพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำจึ้นด้วยความกรุ่นโกรธ

"เอาแบบนี้ดีกว่า เจ้าลงไปนอนด้านล่างตัวข้า ข้าจะจัดการให้เอง" ว่าจบร่างของจ้าวหย่งจิ้งกลับถูกพลิกลงไปนอนด้านล่างอย่างรวดเร็ว

"นี่ๆมันอะไรกัน ทำไมเจ้าถึงแรงเยอะนัก" จ้าวหย่งจิ้งตกใจตาค้างไม่คิดว่าตนจะถูกอีกฝ่ายกดลงไปด้านล่างได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังขยับร่างกายที่ถูกอีกกดทับไม่ได้

"จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิ ข้าอุตส่าห์ถนอมแรงไว้ยอมให้พวกเจ้ากดขี่ข่มเหงอยู่ตั้งนาน ไหนๆก็ไหนๆแล้วเจ้าก็ยอมให้ข้ากดขี่หน่อยแล้วกัน" เหม่ยฟางยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากจ้าวหย่งจิ้ง ก่อนเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มหวาน

"ไม่ๆ นะ เจ้าคิดจะทำอะไรข้า" จ้าวหย่งจิ้งรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเมื่อร่างกายรู้สึกหนักอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่ผู้ที่ทับร่างตนอยู่นั้นรูปร่างผอมบางกว่าตนหลายเท่า
"จริงสิ ข้าเปลี่ยนช่วงล่างให้มันเร้าใจเจ้าอีกหน่อยดีกว่า เพื่อให้เจ้าจะสุขสมจนช็อคตายไปเลย ฮ่าๆ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเย้าแหย่จ้าวหย่งจิ้ง พร้อมกับเปลี่ยนช่วงล่างของตนเป็นงูอย่างที่ใจตนนึก

"มะ ไม่ ไม่" จ้าวหย่งจิ้งพูดเสียงสั่น ในใจเกิดความกลัวอย่างที่สุด เนื้อตัวสั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

"ฮ่าๆ นี่เจ้ากลัวข้าหรือ ไหนว่าข้าไม่น่ากลัวไงล่ะ" เหม่ยฟางหัวเราะชอบใจกับสิ่งทีาตนได้เห็น

"ได้โปรด อย่าทำอะไรข้าเลยข้ากลัวแล้ว" จ้าวหย่งจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือความรู้สึกกลัวเข้าถาโถมจนเขาแทบบ้า

"ไม่ได้ในเมื่อเจ้าอยากสุขสมก็ก็จะช่วยเจ้าไม่ดีหรือไวเราว่ามาเริ่มกันดีกว่า" ว่าจบดวงตาเหม่ยฟางกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานจ้องมองเข้าไปในดวงตาของจ้าวหย่งจิ้งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

"อ๊ากกกกกก" จ้าวหย่งจิ้งร้อฝออกมาเสียงหลงแล้วสลบไปในทันที

"ฮ่าๆ แค่นี้ก็เป็นลมไปเสียแล้ว น่าเบื่อจริงๆ" ว่าจบเหม่ยฟางก็กลายร่างช่วงล่างให้กลับมาเป็นคนตามเดิม แล้วนั่งลงด้านข้างจ้าวหย่งจิ้ง

ทางด้านจ้าวหย่งเฟิ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องของจ้าวหย่งจิ้ง จึงรีบเข้าไปด้านในพร้อมชายชุดดำเพื่อดูน้องชาย

"น้องสี่เกิดอะไรขึ้น นี่เจ้าทำอะไรน้องของข้า" จ้าวหย่งเฟิ้งถามขึ้นด้วยเสียงอันดัง 

"ข้าทำเหรอ อะไรกัน คนที่ทำมันน้องเจ้าต่างหากล่ะ ข้าแค่ทำตามที่น้องเจ้าต้องการแต่น้องเจ้ามันดันใจเสาะเป็นลมไปเสียก่อน น่าเสียดายชะมัด ข้าเลยอดสนุกเลย" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงอ่อน บิดตัวไปมาอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย

"เจ้าอยากสนุกมากมากสินะ ดี ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง" จ้าวหย่งเฟิ้งดึงแขนเหม่ยฟางขึ้นมาอย่างโมโหกับท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของอีกฝ่าย

"ดีสิ ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้ามีดีเพียงใด" มือบางไบ้ไปตามกรอบหน้าของจ้าวหย่งเฟิ้งอย่างตั้งใจ

"พวกเจ้าออกไปก่อน แล้วเอาหย่งจิ้งออกไปด้วย" จ้าวหย่งเฟิ้งสั่งข้ารับใช้ทั้งสองให้นำร่างไร้สติของจ้าวหย่งจิ้งออกไปจากห้องนั้น

"ท่านอยากได้ภรรยาเป็นงูจริงๆสินะถึงได้คิดจะทำกับข้า"

"ฮึ อย่าสำคัญตัวผิดข้าเพียงต้องการพลังของเจ้าต่างหาก" จ้าวหย่งเฟิ้งปลดเสื้อคลุมตัวออกแล้วกดร่างเหม่ยฟางลงไปนอนกับพื้นอย่างเช่นจ้าวหย่งจิ้งทำ

"แต่ข้าว่าท่านคงไม่ได้เป็นสามีหรอก น่าจะได้เป็นภรรยางูเสียมากกว่า" น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งเอื้อนเอ่ยคำให้ผู้อื่นคล้อยตาม

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

ปรี๊ดดดด!!!

เสียงเป่าปากของเหม่ยฟางดังสะท้อนไปทั่วห้อง ไม่นานนัก เสียงซอกแซก ซอกแซก คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างจำนวนมากกำลังมาทางพวกเขา แม้แต่บนหลังคาก็มีเสียง

"ข้าขี้เกียจเป็นคนทำแล้ว ข้าจะให้เด็กๆของข้าเป็นคนทำให้แล้วกัน" ว่าจบเหม่ยฟางจึงลุกขึ้นยืน ปัดเศษฝุ่นดินที่ติดตามเสื้อผ้าออกแล้วเดินออกจากห้องนั้นมา ปล่อยให้จ้าวหย่งเฟิ้งเผลิญหน้ากับงูเขียวนับร้อยๆตัวที่เลื้อยเข้าไปหาจ้าวหย่งเฟิ้ง

"ไม่ ปล่อยข้านะ ไม่ ไม่ ไม่ ออกไป เอามันออกไปจากตัวข้าาา ไม่ ใครก็ได้ช่วยข้าด้วยยยย" น้ำเสียงร้องโหยหวนดังตามหลังเหม่ยฟาง จนเหม่ยฟางอดที่จะหัวเราะกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับจ้าวหย่งเฟิ้งไม่ได้

"ฮ่าๆ ดีสม นี่คือโทษของผู้ที่คิดทำร้ายข้า ขอให้สนุกกับเด็กๆของข้านะ" เหม่ยฟางเดินออกตามหาจ้าวหย่งฟงที่ถูกพาตัวไปไว้อีกห้องซึ่งอยู่ถัดจากที่เขาอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อพบจ้าวหย่งฟง ใบหน้าของเหม่ยฟางก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่หาย

"เจ้ายิ้มอะไรนัก ทำอย่างกับมีเรื่องน่ายินดีอะไรนัก" จ้าวหย่งฟงมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของเหม่ยฟางอย่างงง

"ไปกันเถอะ ข้าจะนำตัวพวกพี่ชายของเจ้าไปส่งให้ฮ่องเต้" เหม่ยฟางพยุงตัวจ้าวหย่งฟงขึ้นแล้วนำไปยังห้องที่จ้าวหย่งเฟิ้งอยู่

"เกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่ ทำไมพี่ใหญ่ถึงอยู่ในสภาพเช่นนั้น" สภาพที่จ้าวหย่งฟงเห็นคือสภาพที่จ้าวหย่งเฟิ้งนอนไม่ได้สติร่างกายเปลือยเปล่ามีน้ำเมือกเหนียวติดเต็มตัวไปหมด แม้แต่ช่องทางด้านหลังยังบวมเป้ง

"เจ้ารีบใส่เสื้อผ้าให้พี่ชายเจ้าเถอะ ข้าจะนำตัวพี่ชายของเจ้าอีกคนมา" สิ้นคำพูดเหม่ยฟางก็เดินออกไปนำตัวจ้าวหย่งจิ้งมา ส่วนชายชุดดำที่อยู่รอบๆ ถูกเด็กๆของเขาจัดการจนสลบไปหมดทุกคนแล้ว

"เหม่ยฟางเกิดอะไรขึ้นกับพี่ใหญ่" ระหว่างทางกลับเข้าเมืองจ้าวหย่งฟงยังคงเซ้าซี้ถามเรื่องของพี่ขายตนไม่เลิก

"เจ้าไม่อยากรู้หรอก อย่าถามข้าเลย" เหม่ยฟางปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้น

"เจ้าพูดเช่นนี้ข้ายิ่งอยากรู้นะ บอกข้ามานะ"

"เฮ้อ~ เจ้าอยากรู้ขนาดนั้นกลับไป เจ้าก็ให้พี่อวี๋ช่วยบอกเจ้าแล้วกัน" เหม่ยฟางยังคงไม่ยอมบอกทั้งยังโบ๊ยหน้าที่นี้ให้กับอวี๋เหวินเต๋อเป็นคนตอบแทน

"เอ๋...ทำไมต้ององครักษ์อวี๋ล่ะ"

"ก็เพราะเขาจะบอกเรื่องนี้ได้ดีกว่าข้าน่ะสิ หรือเจ้าจะให้เขาทำให้ดูก็ได้ เลิกถามข้าสักทีเถอะ ข้าอยากกลับไปนอนไวๆแล้ว เจ้ารีบๆเดินเถอะ"

เหม่ยฟางรู้สึกว่าร่างกายของตนหลังจากเสร็จงานนี้ร่างกายของเขาหนักๆอย่างไรไม่รู้ เขารู้สึกเหนื่อย แล้วก็ง่วงนอนมากๆ สงสัยเขาคงใข้แรงมากเกินไป กลับไปถึงเขาขอนอนหน่อยก็แล้วกัน....

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :a5: สภาพแต่ละคน เฮ้อ...ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี เล่นกะใครไม่เล่นดันไปกระตุกเส้นอาฟาง อาเมนนนน.....  :call:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :m24: คนแก่ช่วยเก็บหลักฐาน เอาไปฟ้องฮ่องเต้เลย เล่นกับใครไม่ดูหนังหน้าตัวเองเลย โสมน้ามหน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 27 การเปลี่ยนแปลง (ตอนต้น)

ท้องพระโรงที่รวมเหล่าขุนนางน้อยใหญ่มาเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้แต่บัดนี้ท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์กลับเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ของสองพี่น้องจ้าวหย่งเฟิ้ง กับจ้าวหย่งจิ้งทั้งสองเนื้อตัวสั่นเทาร่ำไห้ขอความเป็นธรรมหลังหมดสติไปนานกว่า 3วันแต่กว่าองค์ฮ่องเต้เรียกประชุมก็ปาเข้าไปวันที่ 5แล้ว ซึ่งอีก 2 วัน จ้าวหย่งเจิ้งถึงจะออกจากอาราม

"ฮือๆ เสด็จพ่อ ต้องช่วยให้ความเป็นธรรมกับลูกทั้งสองด้วยขอรับ ฮือๆ พวกลูกถูกปีศาจงูนั่นรังแก" จ้าวหย่งเฟิ้งร่ำไห้ชี้มือมาทางเหม่ยฟางที่ยืนอ้าปากหาวอย่างไม่ใส่ใจผู้ใด

"ใช่ขอรับเสด็จพ่อต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกลูกฮือๆ" เสียงร่ำไห้ ดังระงมชี้ผู้กระทำว่าคือเหม่ยฟางแต่ไม่ว่าใครจะมองเยี่ยงไรการที่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองกล่าวหาบุรุษผู้มีรูปร่างผอมบางกว่าว่าเป็นผู้รังแกพวกตน ไม่ว่าจะดูเช่นไรก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทุกคนในท้องพระโรงจึงไม่มีผู้ใดสามารถปักใจเชื่อได้

"เจ้ามีอะไรแก้ตัวหรือไม่เหม่ยฟาง" เสียงอันทรงพลังขององค์ฮ่องเต้รับสั่งถาม

"เรียนฝ่าบาท ทุกสิ่งที่องค์ชายทั้งสองกล่าวมาเป็นความจริงทุกประการขอรับข้าน้อยเป็นผู้กระทำให้องค์ชายทั้งสองได้รับความอับอายและเสื่อมเสียข้าน้อยยอมรับผิดทุกประการ"การยอมรับผิดของเหม่ยฟางทำให้ผู้คนในท้องพระโรงพากันแตกตื่นเสียงพูดคุยอื้ออึ้งไปทั่วบริเวณ

"เงียบเสียงกันหน่อยข้าขอถามเจ้าสักหนึ่งได้ไหม"องค์ฮ่องเต้รับสั่งห้ามปรามเหล่าขุนนางที่ทำเสียงดัง

"ได้ขอรับ" เหม่ยฟางน้อมรับคำขององค์ฮ่องเต้โดยมีจ้าวหย่งเฟิ้งกับจ้าวหย่งจิ้งยืนยิ้มเยาะ แม้ใจจะรู้สึกหวาดกลัวกับ้หม่ยฟางอยู่บ้างแต่หากอยู่ต่หน้าผู้เป็นบิดาพวกเขาหาได้กลัวสิ่งใดไม่ เช่นไรผู้เป็นบิดาย่อมเชื่อพวกตนมากกว่าผู้อื่น

"สิ่งที่ข้าอยากถามคือเจ้ามีเหตุผลอะไร ที่ต้องทำลายพวกเขา"องค์ฮ่องเต้รับสั่งถามโดยไม่มีความรู้สึกโกรธเคืองสิ่งใด เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับโอรสทั้งสองคนพระองค์ทรงทราบเรื่องราวทุกอย่างดีแต่ไม่อยากเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไป

"เสด็จพ่อ เรื่องที่พี่ใหญ่กับพี่สี่กล่าวหาเหม่ยฟางล้วนไม่เป็นความจริง พี่ใหญ่กับพี่สี่ทำร้ายเหม่ยฟางก่อนขอรับแม้แต่ข้ายังโดนพวกพี่ใหญ่กับพี่สี่ทำร้าย"จ้าวหย่งฟงออกตัวโต้แย้งแทนเหม่ยฟางอย่างร้อนรนเมื่อเห็นเหม่ยฟางโดนใส่ร้าย

"จะ เจ้าพูดสิ่งใด ข้าจะใส่ร้ายเขาไปเพื่ออะไรเจ้าพูดให้มันดีๆนะน้องห้า" จ้าวหย่งจิ้งพูดตะกุกตะกักต่อว่าน้องชายอย่างหัวเสีย

"นั่นสิ พวกข้าเป็นผู้เสียหาย เจ้าต้องเข้าข้างพวกข้าที่เป็นพี่สิ"จ้าวหย่งเฟิ้งกล่าวต่อว่าต้าวหย่งฟงอย่างไม่ชอบใจ

"แต่พวกท่านพี่ก็ทำร้ายร่างกายข้ากับเหม่ยฟางก่อน พวกข้ายังไม่เห็นเรียกร้องความรับผิดชอบเลย หรือขอความเป็นธรรมอะไรเลย" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงอ่อนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อเมื่อถูกพี่ชายทั้งสองต่อว่า

"แต่พวกข้าเสียหายมากกว่าเจ้าโดยเฉพาะข้าที่ถูก..." จ้าวหย่งเฟิ้งเอ่ยพร้อมทำท่าขนลุกจนพองเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเผชิญในวันนั้น "ก่อนอะไรหรือขอรับพี่ใหญ่" เสียงจ้าวหย่งเฝิงเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความสนใจที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขารู้เห็นเรื่องทุกอย่างดีแม้ไม่ได้ย่างกายเข้าไปในสถานที่นั้นด้วยก็ตาม

"ไม่ใช่รื่องของเจ้า" จ้าวหย่งเฟิ้งตอกกลับด้วยน้ำเสียงสะบัดอย่างไม่พอใจเขาไม่อยากให้ใครก็ตามทราบเรื่องที่เกิดขึ้น

"จริงสิ พี่ใหญ่ท่านโดนอะไรมาหรือ"จ้าวหย่งจิ้งที่สลบไปก็อยากจะรู้เรื่องนี้เช่นกันแต่กลับถูกสายตาดุๆของจ้าวหย่งเฟิ้งตอบกลับมาแทนเขาจึงได้แต่ก้มหน้าเงียบ

"พอๆพวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้วข้าต้องการคำตอบจากเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น"ฮ่องเต้เอ่ยห้ามปรามเสียงเชียบขาดเมื่อเห็นเหล่าโอรสทั้งสี่ต่างโต้แย้งเรื่องเกิดขึ้น

"เรียนฝ่าบาท ข้าน้อยกระทำการทุกอย่าง เพียงเพราะเหตุการณ์พาไปขอรับ ข้าน้อยถูกคนขององค์ชายทั้งสองจับตัวไปพร้อมกับองค์ชายห้า ทั้งยังขู่บังคับให้สวามิภักดิ์กับองค์ชายใหญ่เพื่อที่องค์ชายใหญ่จะได้ขึ้นครองราชย์แทนองค์ชายรอง ข้าน้อยไม่ยอม องค์ชายทั้งสองจึงคิดจะข่มเหงข้าน้อย..." เหม่ยฟางยังไม่ทันได้กล่าวจบ

"โกหก เจ้าโกหก ข้าหรือจะคิดข่มเหงบุรุษเช่นเจ้า"จ้าวหย่งจิ้งกล่าวคัดค้านคำพูดของเหม่ยฟางอย่างสุดกำลัง

"เงียบ!!! ข้าต้องการฟังคำตอบของเขา"องค์ฮ่องเต้กล่าวเสียงดังจนจ้าวหย่งจิ้งต้องสงบปากสงบคำ

"องค์ชายทั้งสองคิดข่มเหงข้าน้อยทั้งยังทุบตีองค์ชายห้าจนได้รับบาดเจ็บ ข้าน้อยทนไม่ได้จึงกระทำการสั่งสอนองค์ชายทั้งสอง ด้วยวิธีของข้าน้อยเอง ข้าน้อยยอมรับผิดทุกประการขอรับ" เหม่ยฟางคุกเข่ายอมรับผิดกับสิ่งที่ตนได้กระทำ

"เอาเถอะเจ้าไปพักผ่อนเถอะเรื่องนี้ข้าจะจัดการหลังจากที่หย่งเจิ้งเสร็จสิ้นพิธีขึ้นครองราชย์ หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน" องค์ฮ่องเต้ตัดสินโดยไม่ถามความเห็นจากผู้ใดต่อ 

"เสด็จพ่อ" "เสด็จพ่อ" เสียงประสานของจ้าวหย่งเฟิ้ง จ้าวหย่งจิ้ง ดังขึ้นพร้อมกัน เสียงอ่อน ไม่คิดเลยว่าแม้แต่เสด็จพ่อของพวกตนยังเข้าข้างแม้กระทั่งปีศาจงูยั่วราคะ
"เหม่ยฟาง เจ้าไปพบข้าที่ห้องอักษร" องค์ฮ่องเต้เอ่ยจบจึงลุกขึ้นยืนโดยมีนักพรตเจินหยวนประคองเข้าไปด้านใน

"ขอรับ" เหม่ยฟางรับคำแล้วเดินตามเข้าไปด้านใน

ห้องทรงอักษร

องค์ฮ่องเต้นั่งประทับลงบนเก้าอี้สลักลายมังกร ช่วยเสริมให้พระองค์ดูยิ่งใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อได้นั่งบนเก้าสลักลายมังกรที่สวยงามตัวนี้ ทั้งภายในห้องทรงอักษรยังตกแต่งอย่างวิจิตรสวยงามเหมาะสมกับตำแหน่งของผู้ปกครองประชาชน ซึ่งบนโต๊ะด้านหน้ายังคงมีกองฎีกาวางอยู่เต็มโต๊ะ

"ฝ่าบาทเรียกข้าน้อยมามีสิ่งใดให้ข้าน้อยได้รับใช้หรือขอรับ" เหม่ยฟาง เมื่อเห็นว่าองค์ฮ่องเต้นั่งลงบนเก้าอี้เป็นที่เรียบร้อย จึงเอ่ยถามโดยไม่รอให้องค์ฮ่องเต้รับสั่งถามตนก่อน

"ตรงประเด็นดี" องค์ฮ่องเต้กล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

"ทรงถามมาเถอะขอรับ หากข้าน้อยตอบได้ข้าน้อยยินดีตอบทุกคำถาม" เหม่ยฟางเอ่ยไปตามสิ่งที่ตนคิด

"ดี ข้าต้องการถามว่า หลังจากที่เจ้าเข้าหอกับลูกชายข้าตั้งแต่7วัน ไม่สินี่ก็ผ่านมาราวๆ15วันได้แล้วสินะ เจ้ามีอาการอะไรแปลกๆบ้างหรือไม่" องค์ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"อาการแปลกๆหรือขอรับ?" เหม่ยฟางทวนคำก่อนเริ่มนึกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน

"ใช่ มีอาการอะไรแปลกๆบ้างไหม" องค์ฮ่องเต้ถามด้วยท่าทีตื่นเต้น ร้อนรน จนทำให้เหม่ยฟางยังนึกแปลกใจ

"ก็ไม่นะขอรับ นอกจากอาการง่วงอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น" เหม่ยฟางตอบตามจริงเขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปนอกจากอาการง่วงนอนของตน

"ง่วง?"

"ขอรับ หลังจากเกิดเรื่องข้าน้อยก็มีแต่ความรู้สึกง่วงอยากนอนเพียงอย่างเดียว" เหม่ยฟางตอบตามจริงเช่นเดิม เขาไม่รู้จริงๆเลยว่าอาการที่องค์ฮ่องเต้ต้องการสื่อคืออะไร

"เจินหยวน เจ้าคิดว่าอย่างไร" องค์ฮ่องเต้หันไปถามความเห็นจากนักพรตเจินหยวน

"เรียนฝ่าบาท น่าจะเข้าระยะที่หนึ่งแล้วขอรับ ข้าน้อยจะให้หมอหลวงมาตรวจอาการของชายาเหม่ยฟาง" นักพรตเจินหยวนกล่าวเสียงเรียบแต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอย่างปลื่มปริ่มไม่หายเช่นเดียวกับองค์ฮ่องเต้

"พวกท่านกล่าวอะไรกัน  ข้าไม่เข้าใจ" เหม่ยฟางเอ่ยถามด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

"เหม่ยฟางเจ้ากลับตำหนักก่อนเถอะ แล้วอีกสองวันข้าจะส่งหมอหลวงไปตรวจอาการให้เจ้า" องค์ฮ่องเต้รับสั่งให้เหม่ยฟางกลับตำหนักโดยไม่บอกในสิ่งที่ตนอยากทราบ

"ขอรับ" เหม่ยฟางเดินกลับตำหนักอย่างงงๆ นี่เกิดอะไรขึ้นกับเขาทำไมทุกคนถึงดูวุ่นวายกับเขานัก

เวลาสองวันผ่านอย่างรวดเร็ว จ้าวหย่งเจิ้งออกจากอารามหลวงด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย เขาตรงกลับตำหนักโดยทันทีเพื่อไปหาคนรักที่ไม่ได้พบหน้ากันมากว่า 7วัน เมื่อเข้าไปในห้องนอน ร่างบางนอนตะแคงข้างซุกตัวกับผ้าห่มผืนหนา เขาจึงถือวิสาสะสอดตัวเข้าไปภายใต้ผ้าห่มเพื่อรับไออุ่นจากร่างของผู้ที่นอนหลับ วงแขนกอดกระชับร่างบางจากทางด้านหลังด้วยความคิดถึงอย่างหาใดเปรียบกดปลายจมูกลงบนซอกคอขาวเพื่อสูดกลิ่นหอมจากกายของอีกฝ่ายด้วยความคนึงหา

"อือ" เหม่ยฟางครางออกมาอย่างรู้สึกรำคาญเมื่อถูกรบกวน เมื่อเปิดเปลือกตาออก จึงพบว่าตนถูกโอบกอดจากใครคนหนึ่ง

"ข้าทำเจ้าตื่นหรือ" เสียงกระซิบแผ่วเบาทำให้ใจของเหม่ยฟางเต้นระรัวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักกลับมา

"เจิ้ง คิดถึงจัง" เหม่ยฟางพลิกตัวให้ตนได้เชิญหน้ากับอีกฝ่ายพร้อมกับวาดแขนเพื่อกอดตอบอีกฝ่าย

"ข้าก็คิดถึงเจ้า คิดถึงมากจนข้ารู้สึกป่วยเชียวล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งพูดพลางกลั้วหัวเราะกับคำพูดตนเอง

"ออกจากอารามหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่" 

"เมื่อเช้ารุ่งนี่เอง พอออกมาก็ตรงมากอดเจ้านี่แหละ" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มละไมให้อย่างรักใคร่

"ฮ้าวววว" เหม่ยฟางหาวออกมาเสียงดัง

"ง่วงหรือ นอนต่อเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งกดจมูกลงบนแก้มขาวเพื่อสูดกลิ่นหอมให้หายคิดถึง แล้วนอนโอบกอดเหม่ยฟางพากันหลับไป ในระหว่างนั้น องค์ฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมหมอหลวง ทั้งยังมีนักพรตเจินหยวนติดตามมาด้วย 

"ฝ่าบาท!!!"

"เสด็จพ่อ" เหม่ยฟางสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับจ้าวหย่งเจิ้งเมื่อรู้สึกว่ามีผู้บุกรุกคนอื่นเข้ามาในห้องนอนของตน

"เหม่ยฟางเจ้านอนบนเตียงต่อเถอะเราแค่ให้หมอหลวงมาตรวจอาการของเจ้าเท่านั้น ส่วนเจ้าหย่งเจิ้งลงมาจากเตียงเดี๋ยวนี้" องค์ฮ่องเต้รับสั่งขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาในห้องนอนของเขาอย่างถือวิสาสะพร้อมหมอหลวงในขณะที่เขากำลังนอนหลับ หมอหลวงตรวจชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันไปพยักหน้าพร้อมยิ้มให้กับองค์ฮ่องฮ่องเต้

"ยินดีด้วยขอรับฝ่าบาทพระชายาทรงตั้งครรภ์อ่อนๆได้ราวๆหนึ่งสัปดาห์แล้วขอรับ" หมอหลวงหันไปบอกองค์องค์ฮ่องเต้ ก่อนหันกลับมายิ้มให้กับเหม่ยฟางอีกครั้ง

"เมื่อกี้ท่านว่าอย่างไรนะ ท่านหมอหลวง" จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ตนได้ยิน

"พระชายาเหม่ยฟางทรงครรภ์ขอรับ" หมอหลวงตอบข้อข้องใจให้อีกครั้ง

"ท้อง? ฟางเจ้าท้อง? เจ้ากำลังจะมีลูกกับข้า" จ้าวหย่งเจิ้งทวนคำก่อนหันไปพูดกับเหม่ยฟางด้วยความยินดีความรู้สึกดีใจส่งผ่านทางสีหน้าอย่างชัดเจน ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้เป็นพ่อคนไวเช่นนี้ ดีจริงๆ
 "ห๊ะ อะ อืม ข้าท้องงั้นหรือ" เหม่ยฟางรู้สึกมึนๆงงกับสิ่งที่ตนได้ยิน

"เจ้าเป็นอะไร ไม่ยินดีหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งหันมาส่งยิ้มยินดีให้กับอีกฝ่าย 

"ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจ แต่ข้าทำไมถึงท้องไวเช่นนั้น" เหม่ยฟางทำหน้าไม่อย่างจะเชื่อว่าตนจะท้องได้ไวเช่นนี้

"ชายาเหม่ยฟาง ข้าน้อยเคยบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ว่าหากท่านมีความสัมพันธุ์กับบุรุษเพียงแค่ครั้งเดียวท่านก็สามารถตั้งครรภ์ได้ แต่นี้ท่านมีสัมพันธ์ติดต่อกันมากกว่า7วัน ได้รับเชื้อพันธุ์มังกรอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เหตุใดท่านจะไม่ตั้งครรภ์ได้ไวล่ะขอรับ" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดีกับการตั้งครรภ์ของเหม่ยฟาง

"เรียนพระชายา ระหว่าง3เดือนแรกเป็นช่วงที่ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ระวังองค์ด้วยนะขอรับ" หมอหลวงกล่าวอย่างห่วงใย

"อย่างงั้นหรือ" เหม่ยฟางตอบรับไปอย่างงงๆเช่นเดิม

"ใช่ขอรับ พอครบกำหนดคลอด9เดือนอาจเจ็บท้องมากหน่อยอย่างไรเสียขอให้พระองค์รักษาวรกายให้แข็งแรงเพื่อพร้อมแก่การคลอดโอรสมังกรด้วย ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัว" จบคำหมอหลวงจึงขอตัวกลับไป

"ข้าเดินไปส่งท่านเอง" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้นแล้วเดินออกไปส่งหมอหลวง แต่ก่อนหมอหลวงกลับไป เขาได้แอบกระซิบกระซาบบางอย่างกับหมอหลวงโดยไม่ให้ใครรู้

"ดีจริงๆในที่สุดข้าก็ได้อุ้มหลาน ฮ่าๆ" องค์ฮ่องเต้หัวเราะชอบใจเมื่อได้ทราบข่าวดี

"ในเมื่อรู้ความแล้ว ฝ่าบาทเชิญเสด็จกลับตำหนักเถอะขอรับ อีกสามองค์ชายรองต้องรับตำแหน่งต่อจากพระองค์ ปล่อยให้เขาทั้งสองอยู่กันตามลำพังเถอะขอรับ" นักพรตเจินหยวนเอ่ยปากกับองค์ฮ่องเต้

"นั่นสินะ หย่งเจิ้งดูแลเหม่ยฟางดีๆล่ะ" องค์ฮ่องเต้กล่าวย้ำให้จ้าวหย่งเจิ้งดูแลเหม่ยฟางให้เป็นอย่างดี

"ลูกทราบแล้ว" เมื่อรับผู้เป็นบิดา จ้าวหย่งเจิ้งก็กลับมาให้ความสนใจเหม่ยฟางอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายจ้องมองอย่างลึกซึ้งจนเหม่ยฟางต้องแอบขนลุก

"ทำไมต้องข้าเช่นนี้" เหม่ยฟางมองอย่างหวาดๆ เมื่อเห็นดวงตาเป็นประกายของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ฟาง ข้าต้องการเจ้า ข้าดีใจที่เจ้ากำลังจะมอบลูกให้กับข้าแต่ว่านะ ข้าไม่ได้เจอเจ้ามา7วัน ลูกชายข้าเองก็กำลังบ่นคิดถึงเจ้าอยู่เช่นกัน เจ้าช่วยดูแลลูกชายข้าอีกสักคราสิ นะ นะ ฟางงงงง" น้ำเสียงออดอ้อนจ้องมองเหม่ยฟางอย่างกับจะกลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปทั้งตัว 

"ลูกชาย ดะ เดี๋ยวนะ ข้ากำลังท้องอยู่ เจ้ายังคิดจะทำอีกหรือ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงสั่นจ้องมองดวงตาที่ฉายแววเจ้าเล่ห์

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าถามหมอหลวงตอนออกไปส่งด้านนอกแล้วว่าจะเป็นอันใดไหมหากข้าจะเอ็นดูเจ้า อย่างเช่นที่เคยทำ หมอหลวงบอกว่าอย่างไรรู้ไหม" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมเข้มของจ้าวหย่งเจิ้ง

"หมอหลวงว่าอย่างไรหรือ" เหม่ยฟางเอ่ยถามเสียงหวาดๆ

"หมอหลวงว่าข้าสามารถเอ็นดูเจ้าได้ตามปกตื แต่อย่ารุนแรงนัก ถ้ารู้เช่นนี้แล้วข้าขอเอ็นดูเจ้าสักครั้งก่อนอาบน้ำแล้วกัน" สิ้นคำผ้าห่มพื้นหนาก็ถูกตลบคลุมร่างทั้งสองด้วยฝีมือของจ้าวหย่งเจิ้งในทันที....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-09-2017 17:50:16 โดย Vammas »

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :mc4: ยินดีด้วยจ้า แหมะดีใจที่ได้ลูก แต่ก็หื่นได้อีก รอเขาเอ็นดูกัน :hao3:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :mc4: อย่างนี้ต้องฉลองกันหน่อย  :mc3: :mc2: :m18:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
​❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 28 จ้าวหย่งฟง

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าวิ่งอย่างหนักแน่นมุ่งมั่นของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักที่ไม่คุ้นเคย ตำหนักที่เป็นถิ่นอาศัยของบุรุษรูปร่างผอมบางใบหน้าน่ารักละม้ายคล้ายอิสตรีผู้มีตำแหน่งเป็นถึงน้องร่วมสายเลือดของจ้าวชีวิตเขา เมื่อย่างกายเข้ามาด้านในเขาก็ได้พบคนที่เขาต้องการเจอที่ม้านั่งในสวน

"องค์ชายหย่งฟง" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยเรียกชื่อผู้มีฐานะที่สูงกว่าตนหลายเท่า

"องครักษ์อวี๋" จ้าวหย่งฟงได้ยินของอวี๋เหวินเต๋อจึงลุกขึ้นยืนหันไปหาคนที่ขานนามตน

"องค์ชายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าขอรับ ข้าน้อยทราบข่าวจึงมาเยี่ยม" อวี๋เหวินประคองไหล่ทั้งสองของจ้าวหย่งฟงเพื่อสำรวจร่างกายภายนอก

"ข้าไม่ป็นไร แค่มีรอยเขียวช้ำเพียงเล็กน้อย" จ้าวหย่งฟงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

"มีรอยเขียวช้ำ แถวไหนขอรับ ให้ข้าน้อยดูได้ไหม" อวี๋เหวินเต๋อยังคงง่วนกับการสำรวจร่างกายของจ้าวหย่งฟง จนทำให้อีกฝ่ายอดที่จะอมยิ้มตามกับท่าทีกระตือรือล้นนั้นไม่ได้

"รอยช้ำให้เจ้าดูได้อยู่หรอก แต่ดูที่นี่คงไม่เหมาะ" จ้าวหย่งฟงกล่าวยิ้มๆ

"ถ้าเช่นนั้นเข้าไปด้านในตำหนักเถอะขอรับ ขอข้าน้อยดูหน่อย" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เขาแค่อย่างสำรวจรอยฟกช้ำว่าองจ้าวหย่งฟงว่ามีมากน้อยแค่ไหนเพียงแค่นั้น

"แต่ว่า..." มือของจ้าวหย่งฟงถูกดึงเข้าไปในห้องนอนของตนเอง โดยที่อวี๋เหวินเต๋อไม่ยอมฟังเสียงที่จะคัดค้านของจ้าวหย่งฟงแม้แต่น้อย

"ถ้าเป็นที่นี่คงให้ข้าน้อยดูได้แล้วนะขอรับ" สายตาเป็นห่วงเป็นใยจ้องมองมายังจ้าวหย่งฟง 

"แต่มันอยู่ภายใต้เสื้อผ้าของเรา เจ้าจะให้ข้าถอดให้เจ้าดูงั้นหรือองครักษ์อวี๋" ใบหน้าของจ้าวหย่งฟงแดงก่ำด้วยความรู้สึกเขินอาย

"แน่นอนสิขอรับ ข้าน้อยอยากดูให้แน่ใจว่าร่างกายขององค์ชายไม่เป็นอะไรมาก รีบถอดเถอะขอรับ ข้าน้อยพกยาดีมาด้วยจะได้ทาให้" สิ้นคำพูดของอวี๋เหวินเต๋อ จ้าวหย่งฟงรู้สึกกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก ยิ่งเมื่อเจอสายตาที่จ้องมองรอการถอดเสื้อผ้าของตนออกมือของเขาก็เกิดสั่นขึ้นมา

"องครักษ์อวี๋ข้า..."

"เรียกพี่อวี๋สิขอรับ อยู่กันลำพังข้าน้อยอยากให้องค์ชายเรียกข้าน้อยเช่นนี้" อวี๋เหวืนเต๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

"พี่อวี๋ ข้าไม่ถอดไม่ได้หรือ เอายาให้ข้าเถอะ เดี๋ยวข้าทาเอง" 

"อายหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

"ข้าเปล่า เราสองคนต่างเป็นบุรุษใยต้องอาย" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงแข็งอย่างไม่ยอมรับความจริง

"หึหึ เช่นนั้น ก็ถอดสิขอรับ"  อวี๋เหวินเต๋อหัวเราะในลำคอมองคนปากแข็ง

"ได้ ขะ ข้าจะถอด" จบคำจ้าวหย่งฟงจึงหันหลังให้อวี๋เหวินเต๋อก่อนจะค่อยๆปลดสาบเสื้อลงช้าๆ เมื่อสาบเสื้อพ้นไหล่ลงมา ผิวขาวๆก็ปรากฏต่อสายตาของอวี๋เหวินเต๋อ

'บ้าจริง ข้าลืมนึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร' อวี๋เหวินเต๋อเบนสายตาไปทางอื่น เขาพลาดเองที่บอกให้จ้าวหย่งฟง เปลื้องผ้าต่อหน้าตน

"องค์ชาย" อวี๋เหวินเต๋อจับชายเสื้อที่ตกลงเกือบถึงอกดึงขึ้นคลุมไว้ตามเดิม ซึ่งการกระทำนี้ทำให้จ้าวหย่งฟงแทบใจสลาย

"ทำไม ทั้งๆที่เจ้าขยั้นขยอให้ข้าถอด แต่พอข้าถอด ทำไมเพราะข้าเป็นบุรุษสินะเจ้าถึง...ฮึกๆ" จ้าวหย่งฟงเอ่ยพร้อมเสียงสะอื้นในลำคอ หันหน้ามาหาอวี๋เหวินเต๋อในขณะที่สาบเสื้อที่ถูกดึงขึ้นแหวกให้เห็นอกขาวๆ

"ไม่ใช่ ไม่ว่าองค์ชายจะเป็นบุรุษหรือสตรีข้าน้อย ก็ยังรู้สึกดีด้วยเสมอ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัดแม้จะเป็นในสิ่งที่ตนคิดก็ตาม แม้จะมีสีหน้าจะดูกระอักอ่วนในภาพตรงหน้าอยู่บ้าง แต่ความกระอ่วนที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการรังเกียจ แต่มันเกิดขึ้นเพราะความต้องการส่วนลึกของจิตใจ มันกระตุ้นร่างกายของเขาให้มีปฏิกิริยา

"เจ้ารังเกียจข้าใช่ไหม ฮึกๆ" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงสั่น หันหลังหนีเพื่อซ่อนหยดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา

"ไม่ใช่นะองค์ชาย ข้าน้อยไม่ได้รังเกียจองค์ชายแม้แต่น้อย" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสียงด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอักไม่เต็มเสียง

"ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าถึงทำท่าทางกระอักกระอ่วนใจเวลามองข้า" 

"ข้าทำท่าทางเช่นไรหรือขอรับ"

"ท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้ารังเกียจข้าอย่าไงไรเล่า" จ้าวหย่งฟงหันมาพบตากับอวี๋เหวินเต๋อ ดวงตาแดงก่ำจากการสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาทำให้ใจของอวี๋เหวินเต๋อหล่นวูบ

"อย่าร้องไห้ไปเลยข้าน้อยไม่เคยรังเกียจ สิ่งใดในตัวองค์ชายแม้แต่น้อย โปรดจงเชื่อใจ ข้าน้อย" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสียงอ่อน ปาดหยาดน้ำที่หางตาของจ้าวหย่งฟงด้วยเสน่หาที่มีแม้อยากมอบจุมพิตแสนหวานให้อีกฝ่าย เขายังต้องสะกดกั้นความต้องการเอาไว้

"แสดงให้ข้าเห็นสิว่าเจ้าไม่ได้รังเกียจข้า" จ้าวหย่งฟงกล่าวเสียงจริงจัง ดวงตาแน่วแน่จ้องมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างไม่ลดละ

"จะให้ข้าน้อยทำเช่นไรองค์ชายถึงจะเชื่อว่าข้าน้อยไม่ได้รังเกียจพระองค์แม้แต่น้อย" อวี๋เหวินเต๋อมองใบหน้านวลอย่างไม่รู้สึกลังเลที่จะทำตามความต้องการ

"อืม....ขอข้าคิดดูก่อน" จ้าวหย่งฟงทำท่าครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้อวี๋เหวินเต๋อแทบกุมขมับ
"ถ้าเช่นนั้น...เจ้าสามารถมองร่างกายข้าโดยไม่หลบสายตาได้หรือไม่" จ้าวหย่งฟง ใบหน้าซับสีเลือด กล่าวเสียงเบา แต่ดังพอที่จะทำให้อวี๋เหวินเต๋อได้ยิน 

"ห๊ะ!!! องค์ชายพูดจริงหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวถามผู้ที่เอ่ยข้อเสนอนี้ออกมาให้แน่ใจ

"อืม" จ้าวหย่งฟงพยักหน้ารับกับคำพูดของตน

"เอ่อ...มันจะดีหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง หากให้มองร่างกายเปลือยเปล่า ความอดทนอดกลั้นคงได้ขาดสะบั้นเป็นแน่

"ทำไมถึงถามย้ำไปย้ำมาเช่นนี้ หรือเจ้ารังเกียจข้าจริงๆกันแน่" น้ำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจของจ้าวหย่งฟงทำให้ อวี๋เหวินเต๋อต้องถอนหายใจออกมา แล้วยอมทำตามสิ่งที่จ้าวหย่งฟงต้องการ

"เฮ้อ~ เข้าใจแล้วขอรับ เอาที่พระองค์สบายใจแล้วกัน แต่หากเกิดอะไรขึ้นจะโทษข้าน้อยไม่ได้นะ" อวี๋เหวินเต๋อพยักหน้ารับ กล่าวเสียงเบาเพื่อให้ตนได้ยินเพียงคนเดียว

"เจ้าว่าอะไรนะ" จ้าวหย่งฟงได้ยินเสียงคล้ายอวี๋เหวินเต๋อกล่าวอะไรบางอย่างจึงเอ่ยถามออกไป

"ไม่มีอะไรขอรับ เชิญองค์ชายทำตามที่ใจปรารถนาเถอะขอรับ" จ้าวหย่งฟงกล่าวพร้อมรอยยิ้มพร้อมกับเดินไปนั่งที่เก้าอี้

จ้าวหย่งฟง จึงปลดเปลื้องอาภรณ์บนกายออกทีละชิ้น โดยมีสายตาของอวี๋เหวินเต๋อจับจ้องอย่างไม่วางตาตามที่จ้าวหย่งฟงต้องการ

"เจ้าอย่าจ้องเช่นนั้น" จ้าวหย่งฟงรู้สึกถึงสายตาของอวี๋เหวินเต๋อที่ดูร้อนแรงกว่าปกติจนเขาอยากจะสวมเสื้อผ้ากลับเข้าที่เดิมเสียตอนนี้

"ข้าน้อยแค่ทำตามที่องค์ชายสั่งเท่านั้น ว่าแต่รอยช้ำค่อนข้างเยอะนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อสังเกตุเห็นรอยฟกช้ำที่บริเวณหัวไหล่ หลัง ช่วงเอว จึงลุกเดินมาหยุดตรงหน้าจ้าวหย่งฟง อย่างอดไม่ได้

"โดนพี่สี่ทุบตี ตอนโดนจับตัว อ๊ะ!" จ้าวหย่งฟงกล่าวออกไปเสียงสั่นเมื่อปลายนิ้วของ อวี๋เหวินเต๋อสัมผัสกับร่างกายตนทางด้านหลัง ปลายนิ้วสาก ค่อยๆลากจากหัวไหล่ ไล่ลงมาที่หลัง แล้วจบลงที่เอว ลมหายใจอุ่นๆรินรดต้นคอ จนทำให้เขารู้สึกหายใจติดขัด

"ข้าน้อยได้ยาดีมาจากเหม่ยฟาง ข้าน้อยจะทาให้นะขอรับ" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อจึงดันหลังให้จ้าวหย่งฟงเดินไปนั่งเก้าอี้ที่เจาเคยนั่ง จากนั้นเขาก็หยิบตลับยาจากสาบเสื้อ ขึ้นมาทาบนรอยฟกช้ำให้จ้าวหย่งฟง ปลายนิ้วค่อยๆแต้มยาลูบไล้ไปตัวรอยฟกช้ำ ตัวยาเย็นๆทำให้จ้าวหย่งฟงรู้สึกหวิวแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

"พี่อวี๋ พอเถอะ ที่เหลือข้าทำต่อเอง" จ้าวหย่งฟงแตะบนหลังมือที่กำลังทายาให้ตน เพื่อให้หยุดการกระทำนั้น

"ทายาด้านหลังคงลำบาก ให้ข้าน้อยทำเถอะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงทายาต่อไม่ยอมหยุดมือตามที่จ้าวหย่งฟงบอก

"พี่อวี๋" จ้าวหย่งฟงร้องเรียกเสียงอ่อนสีหน้าลำบากใจ

"ว่าอย่างไรหรือขอรับ" เสียงกระซิบข้างหูทั้งลมหายใจร้อนๆที่เป่ารดลงมาที่ต้นคอทำให้จิตใจของจ้าวหย่งฟงกระสับกระส่าย

"พอเถอะ ข้าจัดการเองได้" จ้าวหย่งฟงเบี่ยงตัวหลบมือที่กำลังทายาให้ตน แต่กับถูกสองมือหนากดช่วงเอวไว้ไม่ให้ขยับไปไหนทางด้านหลัง

"คิดยั่วข้าน้อย แล้วเปลี่ยนใจตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยหรือขอรับ" จ้าวหย่งฟงยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหู

"ยั่ว! ใครยั่วเจ้ากัน ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าเจ้าไม่รังเกียจข้าที่เป็นบุรุษต่างหาก" จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงติดขัด

"แต่ ไม่ควรเล่นกับไฟนะขอรับ องค์ชายน่าจะรู้ว่าข้าน้อยเริ่มสนใจในตัวพระองค์ ดังนั้นก็ยิ่งไม่ควรถอดเสื้อผ้าต่อหน้าบุรุษที่บอกว่าสนใจตนนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้าขณะที่มองใบหน้าที่กำลังสลับสีของจ้าวหย่งฟง

"ก็...เจ้าทำท่ารังเกียจข้า" จ้าวหย่งฟงมุ่ยหน้าอย่างไม่ชอบใจ

"ฟังให้ดีนะขอรับ ข้าน้อยไม่เคยนึกรังเกียจองค์ชายแม้แต่น้อย แต่ที่ข้าน้อยทำเช่นนั้นเป็นเพราะ ข้าน้อยกำลังหักห้ามใจไม่ให้จับกดองค์ชาย" สองมือหนาสอเข้ารัดรอบเอวอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับกดจมูกลงไปที่ซอกคอขาว

"อะ อวี๋ เหวิน เต๋อ! เจ้า..." จ้าวหย่งฟงร้องเรียกชื่อคนด้านหลังเสียงดังด้ใยความตกใจ

"หึหึ ใส่เสื้อผ้าเถอะขอรับ ข้าน้อยไม่ทำอะไรองค์ชายหรอก" ว่าจบอวี๋เหวินเต๋อจึงดึงเสื้อขึ้นมาคลุมไหล่ให้ตามเดิม

"พี่อวี๋..."

"ขอรับ"

"เจ้าชอบข้าจริงๆใช่ไหม" จ้าวหย่งฟงเอ่ยถามให้แน่ใจ

"แน่สิขอรับ ข้าน้อยออกไปรอด้านนอกนะขอรับ ก่อนที่ข้าน้อยจะอดใจไว้ไม่ไหว" อวี๋เหวินเต๋อขอตัวออกไปด้านนอกเพื่อระงับอารมณ์ของตนเอง

"พะ พี่อวี๋"

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อที่กำลังจะก้วออกประตูต้องชะงักเมื่อถูกเรียกเอาไว้ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ

"คือว่านะ..." จ้าวหย่วฟงเอ่ยเสียงติดขัด กล้าๆกลัวๆ

"ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อยังคงยิ้มรับรอฟังคำพูดจากจ้วหย่งฟง

"ไม่ต้องอดทนก็ได้นะ" สิ้นคำ ใบหน้าจ้าวหย่งฟงก็กลายเป็นสีแดงดั่งลูกตำลึงสุก

"ห๊ะ!!! เมื่อกี้องค์ชายว่าอย่างไรนะ" อวี๋เหวินเต๋อถามซ้ำเพื่อให้ตนแน่ใจ นี่เขาฟังอะไรผิดไปหรือเปล่านะ

"ก็บอกไปแล้วไง" จ้าวหย่งฟงเริ่มทำเสียงดังเมื่อถูกอวี๋เหวินเต๋อถามซ้ำ

"ฮ่าๆ องค์ชายพูดผิดพูดใหม่ได้นะ" เสียงหัวเราะกับคำพูดเชิงหยอกล้อทำให้จ้าวหย่งฟงหน้างอขึ้นมาทันที

"นี่ เจ้า หัวเราะอะไร" จ้าวหย่งฟงขึ้นเสียงเมื่อถูกหัวเราะใส่ เขาอุตส่าห์ทำใจกล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมา

"เปล่าขอรับ แค่ไม่คิดว่าองค์ชายกจะมีมุมเช่นนี้เหมือนกัน"

"หมายความว่าไง" จ้าวหย่งฟงรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เกิดคิด เขาคิคผิดจริงๆที่เอ่ยปากออกไป

"องค์ชาย อย่าเข้าใจผิดนะขอรับ ข้าน้อยแค่คิดว่าหากองค์ชายแน่ใจกับสิ่งที่พูดออกมาจริงๆแล้วล่ะก็..."

"ก็อะไร" จ้าวหย่งฟงหรี่ตามคนตรงหน้ามี บัดนี้มีจุดรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก

"ก็...อย่าคิดเปลี่ยนใจทีหลัง เพราะถึงบอกให้หยุดข้าน้อยคงหยุดไม่ได้แล้ว" สายตาร้อนแรงดั่งไฟปรารถนากำลังลุกโชนนำพาให้อวี๋เหวินเต๋อเดินตรงเข้าไปช้อนร่างของจ้าวหย่งฟง แล้วพาไปยังเตียง

"เจ้า...จะทำจริงๆหรือ" จ้าวหย่งฟงเกิดความลังเลขึ้นมา

"เปลี่ยนใจตอนนี้คงไม่ทันแล้วขอรับ เพราะข้าน้อยเตือนองค์ชายแล้วแต่องค์ชายแล้วแต่พระองค์ไม่ฟังข้าน้อยเอง" อวี๋เหวินเต๋อยิ้มกริ่ม โน้มใบหน้าเข้าหาจ้าวหย่งฟงอย่างตั้งใจ ริมฝีปากหนาประทับเข้ากับปากบางสีเชอรี่ของจ้าวหย่งฟงเบาๆ แล้วเพิ่มแรงบดเบียดลงไปอย่างหนักหน่วง ร่างสองร่างแนบชิดจนไม่มีช่องว่าง ทั้งสองกอดก่ายไปมา ก่อนที่อวี๋เหวินเต๋อจะชะงักค้างถอนริมฝีปากถอยห่างออกมา

"พี่อวี๋" เสียงแหบพร่าของจ้าวหย่งฟงเรียกร้องหาอวี๋เหวินเต๋อ อย่างนึกเสียดายที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไป

"วันนี้อย่าเพิ่งเลยดีกว่าขอรับ องค์ชายยังมีรอยช้ำตามร่างกายอยู่หากกระทำการมากกว่านี้คงไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย รอให้องค์ชายหายดีเสียก่อนนะขอรับแล้วเราค่อยมาต่อจากนี้กัน" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวออกไปอย่างที่เขาคิด

"แต่ ถ้าเจ้าหยุดตอนนี้ แล้วข้าจะทำอย่างไร ข้า...." จ้าวหย่งฟงเอ่ยเสียงเบา ก้มมองส่วนล่างของตนที่มีปฏิกิริยากับรสจูบของอวี๋เหวินเต๋อ

"ต้องการหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อมองส่วนที่กำลังพองขยายของจ้าวหย่วฟง

"ก็ข้ารู้สึกดีกับรสจูบของเจ้านี่นา" จ้าวหย่งฟงก้มหน้าเอ่ยคำพูดให้อวี๋เหวินเต๋อได้ยิน

"เฮ้อ~ มาขอรับข้าน้อยช่วยใช้มือกับสิ่งนั้นให้" อวี๋เหวินเต๋อขยับลุกขึ้นซ่อนหลังจ้าวหย่งฟงก่อนใช้มือกอบกุมจุดอ่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างเบามือ

"อ๊ะ...อื้อ...อ๊า" เสียงครวญครางของจ้าวหย่งฟงดังไปพร้อมกับแรงขยับมือของอวี๋เหวินเต๋อ เพียงไม่นานนักจ้าวหย่งฟงก็ไปถึงฝั่งฝันของตนเอง

"รู้สึกดีสินะ" อวี๋เหวินเต๋อถามด้วยรอยยิ้ม

"อืม" จ้าวหย่งฟงยังคงเคลิ้มกับสิ่งที่ตนได้รับจากอีกฝ่ายจึงเผลอตอบไปตามความรู้สึกของตนเองโดยไม่ปิดบัง ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของอวี๋เหวินเต๋อ

"เฮ้อ~ ท่านอย่ายั่วข้านักเลย ท่านรู้ไหมคำพูดของท่านมันมีผลต่อจิตใจข้ามากแค่ไหน แต่ข้าจะรอวันที่ท่านตั้งการมากกว่านี้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำให้ท่านมีความสุขจนบืมช่วงเวลานั้นไม่ลงเชียว" พูดจบอวี๋เหวินเต๋อก็จุมพิตที่ผากของจ้าวหย่งฟง ก่อนจัดท่าทางการนอนให้อีกฝ่ายให้สบายขึ้นกว่าเดิม...

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
องค์ชายช่างอ้อน ช่างยั่วพี่เขาเหลือเกิน รอให้หายฟกช้ำก่อนน่อ เราจะรอปูสาดชิดชอบเตียงเลย  :z1:
 :L1:  :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
คู่องค์รักษ์องค์ชายนี่ช่างไวไฟยิ่ง แบบนี้ฮ่องเต้ต้องรีบประทานสมรสให้หรือไม่ 55 :hao6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 29  การเปลี่ยนแปลง(ตอนท้าย)

เพล้ง!!!

ร่างบางของเหม่ยฟางถอยชนเข้ากับแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะ หลังจากที่ตนขึ้นจากการแช่น้ำในอ่างอาบน้ำ เงาสะท้อนภายในน้ำเผยให้เห็นผิวกายที่เริ่มมีเกล็ดอ่อนๆขึ้นตามร่างกายภายใต้เสื้อผ้า แม้ตอนนี้ใบหน้าของตนจะยังไม่มีแต่อีกไม่นานมันจะต้องปรากฏขึ้นอย่างแน่นอน

"ไม่จริง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของข้า ไหนว่าล้างคำสาปไปแล้วอย่างไร แล้วเกล็ดพวกนี้มันคืออะไร" เหม่ยฟางสัมผัสเกล็ดที่ขึ้นตามผิวกายด้วยความรู้สึกหดหู่

ปัง ปัง ปัง

"ฟาง ฟาง เกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นแตก" จ้าวหย่งเจิ้งเคาะประตูเรียกด้วยความร้อนใจ เขาได้ยินเสียงเหมือนบางอย่างแตกหลังจากเหม่ยฟางเข้าไปอาบน้ำได้สักพัก

"มะ ไม่มีอะไร ข้าเผลอไปชนแจกันจนหล่นแตกเท่านั้น" เหม่ยฟางร้องตอบรีบสวมเสื้อผ้าให้เข้าที่

"เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ เปิดประตูให้ข้าเข้าไปดูเจ้าสักนิดสิ"

"มะ ไม่ ไม่ เจ้าไม่ต้องเข้ามา ข้ากำลังจะออกไปแล้ว" สิ้นเสียงเหม่ยฟางเปิดประตูออกจากห้อง ทั้งยังกระชับเสื้อผ้าให้เข้าที่กว่าปกติ เพื่อปกปิดรอยเกล็ดภายใต้เสื้อผ้า "เป็นอะไร หน้าเจ้าดูซีดๆไปนะ ไม่สบายหรือ" มือเย็นๆแตะเข้าที่ใบหน้าขาวด้วยความเป็นห่วง แต่กลับถูกมือของเหม่ยฟางปัดออกอย่างไร้เยื่อใย แม้จ้าวหย่งเจิ้งจะรู้สึกแปลกใจที่ถูกทำเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร

"ชะ ใช่ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากจะนอน" เหม่ยฟางรู้สึกตกใจที่ตนปัดมือของจ้าวหย่งเจิ้ง ตนจึงเอ่ยกลบเกลื่อนว่าตนอยากนอนเพื่อไม่ให้จ้าวหย่งเจิ้งเข้าใจผิด

"งั้นพักผ่อนเถอะ เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลตนเองมากๆ" จ้าวหย่งเจิ้ง กดปลายจมูกลงบนหน้าผากของเหม่ยฟางอย่างอ่อนโยน ก่อนประคองอีกฝ่ายไปนอนพักผ่อนบนเตียง "เจิ้ง เจ้าออกไปนอนห้องอื่นได้ไหม" เหม่ยฟางกล่าวเสียงเบา เขาไม่อยากอีกฝ่ายเข้าใจว่าตนไม่อยากนอนร่วมกับอีกฝ่าย แต่คำพูดนั้นก็ทำให้จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับตั้งคำถามขึ้นมา

"ทำไมล่ะ ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจจนทำเจ้าไม่อยากให้ข้านอนด้วยหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาทำอะไรให้เหม่ยฟางไม่พอใจหรืออย่างไร

"มะ ไม่ใช่นะ แต่ข้าอาจทำให้เจ้าลำบาก"

"ลำบาก?"

"ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยมาดูแลข้า ข้า..."

"ลำบากอะไรกัน ข้ายินดีทำเพื่อเจ้าไม่ว่าจะลำบากเพียงใด ไปนอนเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มอบอุ่นใจให้กับเหม่ยฟาง สองมือค่อยๆประคองให้อีกฝ่ายนอนบนเตียง

"เจิ้ง กลับไปห้องของเจ้าเถอะ ถือว่าข้าขอร้อง" มือเรียวโอบกอดคนรักอย่างรักใคร่ก่อนผลักไสให้คนรักไปนอนที่อื่น จ้าวหย่งเจิ้งชั่งใจอยู่สักพักก่อนเอ่ยตกลงที่จะกลับไปห้องนอนของตน

"ตกลงข้าจะไป หากทำให้เจ้าสบายใจขึ้น" จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป

เหม่ยฟางที่นอนอยู่ไม่อาจหลับตาลงได้แม้แต่น้อย หยดน้ำตามากมายหยดลงที่นอนอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอื้นที่พยายามสะกดกลั้นทำให้ร่างทั้งร่างสั่นไปทั้งตัว

'เกิดอะไรขึ้นกับข้า ฮึกๆ ทำไมร่างกายข้าถึงเป็นเช่นนี้' เหม่ยฟางนอนครุ่นคิดสิ่งที่เกิด น้ำตาที่รินไหลออกมามากมายทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนเพลียกว่าจะผล็อยหลับได้ก็เข้ารุ่งสาง

เช้าวันใหม่จ้าวหย่งเจิ้งตรงมาหาเหม่ยฟางที่ห้องอย่างเคยหากไม่ได้นอนที่ห้องเดียวกันโดยให้ขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่เป็นคนเฝ้าหน้าห้องเอาไว้

"เสี่ยวจื่อหยี่ ฟางเป็นเช่นไรบ้าง"

เสี่ยวจื่อหยี่ที่กำลังชะเง้อชะแง้ มองทางหน้าต่างห้องด้วยความเป็นห่วงเหม่ยฟาง ตนได้ยินเสียงร่ำไห้ของผู้เป็นนายอยู่เป็นระยะๆ จนเสียงนั้นเงียบไปช่วงใกล้รุ่งสาง ตนรู้สึกเป็นห่วงอย่างจับใจแต่ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้

"เรียนองค์ชาย ชายาเหม่ยฟางร่ำไห้ทั้งคืนเลยขอรับ พิ่งหลับไปเมื่อช่วงใกล้รุ่งสางนี่เอง"

"ร้องไห้?"

"ขอรับ"

"เจ้ามีอะไรไปทำก็ไปเถอะข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย" จ้าวหย่งเจิ้งโบกมือไล่ขันทีน้อยให้ออกไปก่อนตนจะสาวเท้าเข้าไปในห้องนอน "เอ่อ...คือ...ขอรับ" แม้ใจเสี่ยวจื่อหยี่จะกังวลแต่จำต้องทำตามคำสั่งถอยออกไป จากตรงนี้

แอ๊ด!!!

เสียงเปิดประตูห้องเข้าไปอย่างเบามือ เพราะเกรงว่าคนในห้องจะตื่นขึ้นมาไล่ตนออกจากห้องดั่งเช่นเมื่อวาน เขาก้าวเท้าเข้ามาหยุดที่เตียงนอนซึ่งมีร่างบางนอนหลับ สีหน้าดูซูบซีดอิดโรย สาบเสื้อแหวกกว้างเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวภายใต้ร่มผ้า แต่สิ่งที่ต้องชะงักเมื่อเห็นเกล็ดสีเขียวปรากฏตามผิวขาวๆนั้นด้วย

"นี่มัน..." มือหนายื่นเข้าไปแหวกสาบเสื้อให้กว้างขึ้นจนทำให้คนหลับต้องสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

"อ๊ะ!!!" ดวงตาเรียวเบิกกว้าง สายตาที่จ้องมองเกิดความหวั่นไหวขึ้น รีบลุกขึ้นนั่งกระชับเสื้อผ้าเข้าหากายอย่างไม่เคยทำมาก่อน

"ฟาง เจ้าตกใจอะไร กลัวข้างั้นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปลอบขวัญคนตกใจกลัว สายตาที่มองอย่างขลาดกลัวนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปด้วย

"จะ เจิ้ง เจ้า...เห็นมันหรืเปล่า" เสียงสั่นๆเอ่ยถามด้วยความลังเล เขาไม่อยากให้คนรักเห็นความน่ารังเกียจของตน

"เห็นสิ" จ้าวหย่งเติ้งตอบตามจริงเขาไม่อยากโกหกว่าตนนั้นไม่เห็นสิ่งใดที่เหม่ยฟางพยายามจะปกปิด

"เห็น...." เสียงสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ของเหม่ยฟางยิ่งทำให้หัวใจของจ้าวหย่งเจิ้งยิ่งเจ็บปวด

"ฟาง ร่างกายของเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งคว้าหัวไหล่ทั้งสองของเหม่ยฟาง

"รังเกียจสินะ ร่างกายที่เป็นแบบนี้" เหม่ยฟางผลักไสร่างกายของอีกฝ่ายออกห่างจากตน

"ฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งเรียกเสียงอ่อน พยายามรั้งร่างเหม่ยฟางเข้าหาตนเอง

"ออกไป ออกไป!!!" เหม่ยฟางขึ้นเสียงดังออกปากไล่จ้าวหย่งเจิ้งทันทีเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายรังเกียจร่างกายของตน

"ฟาง"

"ออกไป!!!!" เหม่ยฟางเพิ่มระดับจนเสียงนั้นเหมือนการคำรามมากกว่าการเสียงาตะโกนไล่

"ฟาง เจ้าอย่าไล่ข้าแบบนี้สิ ข้าไม่เคยบอกว่าข้า" จ้าวหย่งเจิ้งสวมกอดเหม่ยฟางเมื่อเห็นว่าแรงผลักอ่อนลง

"ออกไปเถอะ อย่ามองร่างกายที่น่ารังเกียจเลย ขอร้องล่ะ ฮึกๆ" เหม่ยฟางหลั่งน้ำตาอีกครั้ง หลังจากที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไป น้ำตาที่เคยเป็นไข่มุกกลับกลายเป็นหยดน้ำเหมือนคนปกติ ซึ่งมันทำให้เหม่ยฟางรู้สึกว่าตนเหมือนมนุษย์กว่าเมื่อก่อน แต่ความจริงหาใช่ไม่ เมื่อเกล็ดงูเกิดขึ้นตามผิวกายตน ความหวังที่อยากจะกลับมาเป็นมนุษย์ก็ดับลง

"ฟาง เจ้าฟังข้านะ ข้ารักเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเช่นไรข้าก็ยังรัก แม้เจ้าจะกลายเป็นปีศาจหรือไม่เจ้าก็คือเจ้า เชื่อใจข้าสิ ไว้ใจในความรักของข้าสิ" จ้าวหย่งเจิ้งกระชับอ้อมแขนขึ้นเพื่อส่งความรู้สึกที่จริงใจของตนไปให้ถึงจิตใจอันเศร้าหมองของเหม่ยฟาง

"เจิ้ง เจิ้ง ข้า...ฮือๆ...ข้าทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ได้" เหม่ยฟางร้องไห้หนักขึ้นกว่าเก่าเขาไม่อยากเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจแบบนี้

"ฟางใจเย็นๆ มันต้องมีทางแก้ไข ข้าจะให้คนไปตามท่านนักพรตเจินหยวนมาที่นี่" ว่าจบ จ้าวหย่งเจิ้งตะโกนเรียกคนด้านนอกให้ออกไปตามนักพรตเจินหยวนมาหาตน . . . ใช้เวลาไม่นานนัก นักพรตเจินหยวนก็มาปรากฏตัวตรงหน้าจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟาง

"องค์ชาย ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรกับข้าน้อยหรือขอรับ" นักพรตเตินหยวนโค้งคำนับพร้อมเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ตนถูกเรียกมา สายตาเหลือบมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ประคองกอดเหม่ยฟางไม่ห่าง

"ท่านนักพรตข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าร้อนรน

"เรื่องถามข้าน้อย" นักพรตเจินหยวนเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยจับจ้องใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้งกับเหม่ยฟางสลับกันไปมา

"เจ้าดูนี่สิ" จ้าวหย่งเจิ้งเปิดสาบเสื้อของเหม่ยฟางออกเพื่อให้นักพรตเจินหยวนเห็นเกล็ดงูที่เริ่มขึ้นตามร่างกายของเหม่ยฟาง

"เกล็ดงู" นักพรตเจินหยวนทำสีหน้าแปลกใจเพียงเล็กน้อยก่อนส่ายศีรษะไปมา

"เกิดอะไรขึ้นกับข้า หรือว่าคำสาปยังไม่คลาย" เหม่ยฟางเอ่ยถามใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

"คำสาปนั้นได้คลายลงแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือชะตาของชายาเหม่ยฟาง"

"ชะตาของข้า" เหม่ยฟางทวนคำใบหน้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

"ยังจำเรื่องที่ข้าน้อยเคยเล่าให้ฟังได้หรือไม่ขอรับเกี่ยวกับตำนานมังกรเขียว" นักพรตเจินหยวนกล่าวถามด้วยใบหน้าราบเรียบ

เหม่ยฟางหวนคิดถึงเรื่องที่นักพรตเจินหยวนเล่าให้ฟัง เพียงไม่นานดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ

"เรื่องนั้น..." เหม่ยฟางคล้ายจะพูดบางอย่างแต่กับหยุดชะงักลงไม่ยอมพูดต่อ

"เรื่องอะไรกันตำนานมังกรเขียวอะไรกันทำไมบ้าไม่รู้เรื่อง ท่านนักพรตได้โปรดเล่าให้ข้าฟังทีเถอะ ท่านนักพรต" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยเสียงอ่อนอ้อนวอนนักพรตเจินหยวน

"องค์ชายข้าน้อยบอกได้เพียงแค่ว่า หลังชายาเหม่ยฟางตั้งครรภ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับพวกท่านทั้งสอง" นักพรตเจินหยวนเอ่ย แม้จะมีคำบางคำที่ฟังไม่เข้าใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเหม่ยฟางตั้งครรภ์

"ที่แท้ร่างกายฟางเป็นเช่นนี้เป็นเพราะตั้งครรภ์สินะ ดีจังนะฟาง" จ้าวหย่งเจิ้งหันไปส่งยิ้มอ่อนให้เหม่ยฟาง แต่ใบหน้าของเหม่ยฟางกับไร้สีเลือดจนน่าตกใจ

"อืม" เหม่ยฟางพยักหน้าตอบรับแม้ตะส่งยิ้มกลับมาแต่รอยยิ้มกับดูฝืดฝืนใจที่จะยิ้ม

"เจ้าเป็นอะไร เจ้ากังวลสิ่งใด"

"ไม่มีอะไร ข้าแค่..."

"ไม่ต้องกังวลนะ ท่านนักพรตก็บอกแล้วนี่ว่าที่เจ้าเป็นเช่นนี้เพราะตังครรภ์หากเจ้าให้กำเนิดแล้วจะกลับเป็นเช่นเดิม ใช่ไหมท่านนักพรต" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงยิ้มให้กับทั้งสองคน

"ใช่ขอรับ หากไม่มีอะไรแล้วข้าน้อยขอตัว ขอให้ชายาเหม่ยฟางโชคดี" นักพรตเจินหยวนกล่าวขอตัวกลับอารามหลวง

"ฟาง อาการเจ้าดูไม่ค่อยดี ข้าชักกังวลแล้วสิ เจ้าดูซูบซีดไปนะ ให้ข้าตามหมอหลวงดีไหม" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าว หลังจากนักพรตเจินหยวนกลับไปใบหน้าของเหม่ยฟางก็ดูซีดขึ้นมากกว่าเก่าจนเขากังวล

"เจิ้ง ข้า...ไม่เป็นไร ไม่ค้องตามหมอหลวงหรอก" เหม่ยฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน

"เช่นนั้นเจ้าพักผ่อน ข้ามีธุระต้องไปทำ" จ้าวหย่วเจิ้งก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของเหม่ยฟางแล้วดันร่างบางให้นอนลง ดึงผ้าห่มคลุมกายอีกฝ่าย แล้วเดินออกจากห้อง

เมื่อพ้นประตูห้องนอนออกมาจ้าวหย่งเจิ้งก้าวเท้าไปยังโถงกลางที่พ้นรัศมีการได้ยินของเหม่ยฟาง

"เสี่ยวจื่อหยี่!!! เสี่ยวจื่อหยี่!!!" จ้าวหย่งเจิ้งออกปากตะโกนเรียกขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ด้วยเสียงอันดัง เสี่ยวจื่อหยี่เองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงรีบกุลีกุจอมายังโถงกลาง

"องค์ชายข้าน้อยอยู่นี่ มีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้" เสี่ยวจื่อหยี่เอ่ยถามเสียงเรียบแม้จะตกใจที่ถูกตะโกนเรียกชื่อเสียเสียงดังแต่เขาก็รู้จักเก็บอาการเป็นอย่างดี

"ไปนามอวี๋เหวินเต๋อที่ตำหนักน้องห้า แล้วพาไปที่หอคำภีร์หลวง ข้าจะรออยู่ที่นั่น" จ้าวหย่งเจิ้งออกคำสั่ง แล้วเดินออกไป โดยไม่ฟังคำซักถามใดๆจากเสี่ยวจื่อหยี่

หอคำภีร์หลวง

เสี่ยวจื่อหยี่ที่ได้รับคำสั่งให้ไปตามองครักษ์คู่กายอย่างอวี๋เหวินเต๋อที่ตำหนักองค์ชายห้า รีบนำทางอวี๋เหวินเต๋อมายังหอคำภีร์อย่างเร่งด่วนตามคำสั่งผู้เป็นนาย

"เรียนชายข้าน้อยพาองครักษ์อวี๋มาแล้วขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่กล่าวรายงานเมื่อมาถึง

"องค์ชายมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามผู้เป็นนาย

"ข้าอยากให้เจ้าสองคนช่วยข้าค้นหาบันทึกมังกรเขียว" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาคิดว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเหม่ยฟางอย่างแน่นนอน

"บันทึกมังกรเขียว" อวี๋เหวินเต๋อทวนคำ ส่วนเสี่ยวจื่อหยี่ได้แต่มองตาปริบๆเพราะหอคำภีร์มีทั้งหนังสิออยู่มากมายเกินจะนับไหว

"ใช่บันทึกมังกรเขียว พวกเจ้าทั้งสองจะต้องช่วยข้าหา" ว่าจบจ้าวหย่งเจิ้งก็เดินตรงไปตามชั้นหนังสือเพ่อเปิดหาหนังสือที่ต้องการ

"เอ่อ...องครักษ์อวี๋" เสี่ยวจื่อหยี่ยื่นมือไปสะกิดอวี๋เหวินเต๋ออย่างเสียมารยาทด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

"มีอะไรหรือ"

"ให้ข้าเริ่มหาจากตรงไหนหรือ คือมันเยอะมากและที่นี้ก็กว้างมากข้าเลยไม่รู่จะเริ่มจากตรงไหนดี" เสี่ยวจื่อหยี่เอ่ยยิ้มๆ

"นั่นสินะ งั้นเจ้าไปด้านขวา ส่วนข้าจะไปด้านซ้าย" อวี๋เหวินเต๋อบอกทิศทางที่จะเริ่มค้นหาหนังสือก่อนเดินไปตามด้านที่ตนต้องหา

"ถึงจะบอกด้านขวาแต่มันใช่ว่าข้าจะเริ่มถูกนะขอรับ" เสี่ยวจื่อหยี่บ่นอุบ แต่ก็ยอมเดินไปค้นดูหนังสือตามชั้นแต่โดยดี "ฮือๆ แล้วเมื่อไหร่มันจะเจอกันล่ะเนี่ย" เสี่ยวจื่อหยี่เบ้ปากบ่นกับตนเอง

"หาอะไรกันหรือให้ข้าช่วยหาไหม" เสียงแสนคุ้นๆหูดังขึ้นข้างหลังเสี่ยวจื่อหยี่ จนทำให้เสี่ยวจื่อหยี่สะดุ้งตกใจหันมาตีคนทักด้วยหนังสือที่ตนลูบคลำๆทันที

"ว๊ากกกกกก....ผัวะ ผัวะ ผัวะ"

"โอ๊ยๆ หยุดๆ ข้าเจ็บนะ" มือหนาคว้าข้อมือขันทีน้อยไว้มั่น เพื่อให้คนที่เอาหนังสือตีตนให้รู้ว่าเป็นใคร เมื่อขันทีน้อยเสี่ยวจื่อหยี่ตั้งสติได้ และรู้ว่าตนตีใครก็ถึงเข่าอ่อนกัรเลยทีเดียว

"อง องค์ชายสาม ข้าน้อยขออภัย ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจ ข้าน้อย..." เสี่ยวจื่หยี่คุกเข่าขออภัยโทษด้วยความหวาดกลัวใครจะไปคิดว่าคนที่ตนตีไปจะเป็นองค์ชายสามจ้าวหย่งเฝิงกันล่ะ

"ช่างเถอะ ข้าผิดเองที่ไปพูดใกล้ๆเจ้าทางด้านหลัง" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเพ่งพินิจขันทีน้อยที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าเนื้อตัวสั่นเทา

"มิได้ขอรับ ข้าน้อยต่างหากที่ผิด"

"เงยหน้าขึ้นสิ เจ้าชื่ออะไรทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้า เพิ่งมาใหม่หรือไง"จ้าวหย่งเฝิงสั่งให้เสี่ยวจื่อหยี่เงยหน้าขึ้นมองตนเพื่อตอบคำถาม

"ข้ามีนามว่าเสี่ยวจื่อหยี่ขอรับ ข้าน้อยเป็นขันทีข้างกายองค์ชายรองตั้งแต่ช่วงต้นหนาวขอรับราวๆปีเศษ" เสี่ยวจื่อหยี่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่น เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ขององค์ชายมาไม่น้อย ที่หากไม่พอใจใครจะสั่งประหารทันที หรือหากเบาหน่อยก็เพียงแค่สั่งโบย

"ว่าแต่เจ้ากำลังหาสิ่งใด ข้าเห็นพี่รอง กับพวกเจ้าเข้าที่นี่ จึงตามเข้ามาดู" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวดวงตายังคงเพ็งพินิจใบหน้าขาวของขันทีน้อยตรงหน้าอย่างพิจารณา

'หน้าตาใช้ได้เลยแฮะ' จ้าวหย่งเฝิงคิดในใจแอบลอบยิ้มมุมปากเพียงเล็กอย่างพึงพอใจ

"เรียนองค์ชายข้าน้อยกำลังช่วยองค์ชายรองตามหาบันทึกมังการเขียวขอรับ"

"บันทึกมังกรเขียว อ่อ เล่มนั้นสินะ" จ้าวหย่งเฝิงทำท่านึกก่อนเอ่ยขึ้นมาเหมืนรู้จักหนังสือเล่มนั้น

"องค์ชายทรงรู้หรือขอรับว่าบันทึกนั่นอยู่ที่ไหน" รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวจื่อหยี่ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาจ้าวหย่งเฝิงชักติดใจ

"อืม เมื่อ2-3วันก่อนข้าเอากลับไปอ่านที่ตำหนัก เจ้าต้องการมันไหมล่ะ"

"ขอรับ บันทึกนั่นน่าจะสำคัญกับ องค์ชายรอง" เสี่ยวจื่อหยี่ยิ้มตอบรับ โชคดีจริงที่ตนไม่ค้นหาอีกต่อไป

"ไปเอาที่ตำหนักข้าสิ" จ้าวหย่งเฝิงกล่าวชักชวนพร้อมรอยยิ้มแฝงความใน

"ขอรับ แต่ข้าน้อยคงต้องขอตัวไปบอกกล่าวองค์ชายรองก่อนที่จะไป" ยังไม่ทันที่จะได้ไปบอกผู้ใดมือหนาก็คว้าข้อมือของเสี่ยวจื่อหยี่เอาไว้

"ไม่ต้องไปบอกหรอก เจ้าไม่อยากให้พี่รองของข้าดีใจหรือที่เจ้าสามารถหาบันทึกนั่นมาคืนได้ ไปเถอะมากับข้า" ว่าจบจ้าวหย่งเฝิงก็ดึงมือเสี่ยวจื่อหยี่ออกไปกับตนเอง โดยไม่มีใครสังเกตุเห็น

.

.

.

จ้าวหย่งเจิ้งค้นหาบันทึกอยู่หลายชั่วยามก็หาไม่เจอ เขาได้แต่ยืนมองชั้นหนังสือที่ตนได้ค้นหาไปแล้วกว่าครึ่งก่อนทอดถอนหายใจออกมา

"องค์ชาย องค์ชายข้าน้อยเจอแล้วขอรับ ข้าน้อยเจอแล้ว" อวี๋เหวินเต๋อวิ่งถือสมุดบันทึกตรงมาหาจ้าวหย่งเจิ้งด้วยรอยยิ้ม

"จริงหรือไหนเอามาให้ข้าดูหน่อยสิ" จ้าวหย่งเจิ้งคว้าสมุดบันทึกมาเปิดออกอย่าวรวดเร็ว จนมาถึงหน้าหน้าหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึง การตั้งครรภ์ของมังกรเขียวที่มีใจความว่า

'มังกรเขียวทุกรุ่นที่ตั้งครรภ์โอรสมังกร เมื่อครบ 1เดือน ผิวกายจะแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดงู เพื่อสร้างเสริมพลังชีวิตให้แก่โอรสในครรภ์ ครบ 4 เดือนท้องน้อยจะขยายอย่างชัดเจน เกล็ดงูเริ่มเด่นชัด ครบ 6 เดือน จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอนมากกว่าปกติ ครบ 9 เดือน หลังคลอดโอรสมังกรได้ 7วัน ร่างกายส่วนล่างกลายเป็นหางงู มีอาการป่วยแทรกซ้อน การนอนหลับยาวนานจนเกินความจำเป็น....' มือทั้งสองของเขาเริ่มสั่นเทาเมื่ออ่านไล่ตัวอักษรลงมาเรื่อยๆ แต่สิางทำให้ใจของเขาหล่นวูบลงไปคงเป็น

'ไม่เคยมีมังกรเขียนตนไหนมีชีวิตยืนยาวหลังคบอดโอรสมังกร เกิน 1เดือน' หนังสือในมือร่วงหล่นพร้อมกับร่างของจ้าวหย่งเจิ้งที่ทรุดกายนั่งกับพื้น จนทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องตกใจ

"องค์ชาย องค์ชายเป็นอะไรขอรับ บันทึกนั่นบอกอะไรไว้หรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเข้าพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของผู้เป็นนายด้วยความตกใจ

"ไปอารามหลวง พาข้าไปอารามหลวง" สิ้นคำ อวี๋เหวินเต๋อจึงพยุงจ้าวหย่งเจิ้งออกจากหอคัมภีร์เพื่อไปยังอารามหลวงต่อไป

"องค์ชายแล้วเสี่ยวจื่อหยี่ล่ะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อนึกสงสัยที่เสี่ยวจื่อหยี่หายตัวไป

"คงกลับไปแล้ว พาข้าไปอารามหลวงเถอะ ข้ามีเรื่องจะถามท่านนักพรตเจินหยวน"

"ขอรับ"

"มันต้องมีทางช่วยฟางสิ" จ้าวหย่งเจิ้งบ่นกับตนเอง ก่อนเดินทางไปอารามหลวงเพื่อถามหาวิธีแก้ไขเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น  "ฟาง ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่ ข้าสัญญา"

**********************************************************

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ pawara123

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เนื้อเรื่องอาจจะอ่านแล้วรู้สึกติดขัดบ้าง ไม่ค่อยลื่นไหล  แต่โดยรวมก็สนุกมากครับ เป็นกำลังใจให้คนแต่งน้าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 30 เมื่อรักต้องพลัดพราก

ร่างสูงโปร่งของจ้าวหย่งเจิ้งจำต้องหยุดยืนอยู่หน้าอารามหลวงด้วยความลังเล ความลังเล ที่เกิดจากความกลัวที่จะได้รับรู้ความจริงบางอย่างที่เหมือนกับในสมุดบันทึก

"องค์ชายไม่เข้าไปด้านในหรือขอรับ"อวี๋เหวินเต๋อถามผู้เป็นนายอย่างสงสัยใคร่รู้

"ข้ารู้สึกไม่แน่ใจแล้วสิ ข้ากลัวคำตอบ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยเสียหน้าหดหู่

"องค์ชายหากต้องการทราบความจริงก็ต้องเข้าไปนะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเตือนสิ่งที่ผู้เป็นนายอยากรู้

"นั่นสินะ เฮ้อ~" จ้าวหย่งเจิ้งถอนหายใจออกมาแรงๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเบยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสาวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมองครักษ์หนุ่มคู่ใจ

"องค์ชายรอง ข้าคาดไว้อยู่แล้วเชียวว่าท่านต้องมาหาข้า" นักพรตเจินหยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่น

"ถ้าเช่นข้าคงไม่ต้องพูดให้มากความ ข้าขอถามท่านตรงนี้เลยแล้วกัน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเปิดประเด็นที่เขามาในครั้งนี้

"ช้าก่อนขอรับหากอยากจะคุยเรื่องนี้เชิญที่ห้องรับรองด้านในน่าจะเหมาะสมกว่า" นักพรตเจินหยวนกล่าวชักชวน ซึ่งจ้าวหย่งเจิ้งก็เห็นด้วยหากคุยกันในที่เช่นนี้คงไม่เหมาะจึงยินยอมตามเข้าไปด้านใน

จ้าวหย่งเจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ตัวเมื่อเข้ามาในห้วรับรอง ซึ่งนักพรตเจินหยวนเองก็นั่งลงตรงข้ามกัน ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วจ้าวหย่งเจิ้งทนแรงกดดันจากอีกฝ่ายไม่ไหวจึงต้องเป็นฝ่ายกล่าวออกมาก่อน

"ข้าขอเข้าประเด็นเลยแล้ว"

"อวค์ชายต้องการทราบเรื่องใดโปรดถามมา" ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มของนักพรตเจินหยวน บัดนี้กับจางหายกลายเป็นใบหน้าราบเรียบจริงจังเข้ามาแทนที่

บรรกาศภายในห้องชวนอึดอัดเสียจนคนนอกจากอวี๋เหวินเต๋อเองแทยหายใจหายคอไม่ออก เขาจึงขออนุญาตผู้เป็นนายออกไปเฝ้าด้านนอกแทนที่จะอยู่ด้านใน

"ข้าอยากทราบเรื่องของเหม่ยฟาง"

"เรื่องชายาเหม่ยฟาง องค์ชายอยากทราบเรื่องใด" นักพรตเจินหยวนเอ่ยถาม

"มีวิธีแก้ไขหรือไม่"

"หากมีรักแท้ย่อมมีวิธีช่วยเหลือ" นักพรตเจินหยวนกบ่สวด้วยรอยยิ้มขื่นอีกครั้ง

"ข้ามีรักแท้ให้แก่เหม่ยฟางเสมอ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"ข้าน้อยเคยเล่าให้ชายาเหม่ยฟางฟังว่า หากมีรักแท้ย่อมมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่มลายสิ้นหรือกลายร่างเป็นงูเขียว แต่ข้าน้อยไม่ได้บอกข้อแม้ของเรื่องนี้แก่พระชายาเหม่ยฟาง"

"ข้อแม้ ข้อแม้อะไร" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยสีหน้ามีความหวัง

"ชีวิตแลกชีวิต องค์ชายมีความเห็นเช่นไร" นักพรตเจินหยวนกล่าวด้วยสีหน้าหมองเศร้า

"หมายความว่าอย่างไร"

"ชีวิตของพระองค์สามารถแลกกับพระชายาได้หรือไม่"

"ข้าสามารถแลกชีวิตกับเพื่อเหม่ยฟางผู้เป็นที่รักของข้าได้" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"อย่าใจร้อนไป เพราะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่องค์ชายคิด หากพระชายาไม่ยอมรับสิ่งที่องค์ชายมอบให้นั่นหมายถึง การสูญเสีย อันยิ่งใหญ่เชียวนะขอรับ ลองคิดดูให้ดี องค์ชายจะเลือกความรัก หรือหน้าที่ ซึ่งผู้คนนับล้านต่างเฝ้ารอฮ่องเต้อย่างพระองค์ องค์ชายสามารถทอดทิ้งภาระหน้าที่ได้หรือไม่ " นักพรตเจินหยวนกล่าวน้ำเสียงจริงจัง

"ข้า...." ความคิดอยากช่วยเหม่ยฟางมีมากเท่าๆกับหน้าที่แห่งการเป็นกษัตริย์ที่ผู้คนนับล้านต่สงเฝ้ารอตนให้ขึ้นครองราช

"กลับไปคิดดูให้ดีแล้วค่อยมาให้คำตอบข้าน้อย ข้ายังไม่ได้เร่งรีบอะไรขนาดนั้น เวลายังอีกหลายเดือนนัก" ว่าจบนักพรตเจินหยวนก็ผายมือออกเป็นเชิญเสด็จกลับขององค์ชายจ้าวหย่งเจิ้ง จ้าวหย่งเจิ้งลุกขึ้นยืนอย่างคนไร้วิญญาณเฝ้าครุ่นคิดคำตอบตลอดการเดินทางกลับตำหนัก

"องค์ชาย กำลังคิดอะไรหรือขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยความเผ็นห่วงตั้งแต่องค์ชายกลับมาใบหน้าก็ดูเศร้าหมองลงจนน่าเป็นห่วง

"ข้า..." จ้าวหย่งเจิ้งคล้ายอยากจะพูดบางอย่างออกแต่ต้องชะงักคำพูด ก่อนส่ายหน้าไล่ให้อวี๋เหวินเต๋อออกไปด้านนอก จ้าวหย่งเจิ้งเดินเรื่อยเปื่อยจนถึงประตูห้องที่มีเหม่ยฟางนอนหลับพักผ่อนอยู่ด้านใน สองมือค่อยๆเปิดบานประตูอย่างแผ่วเบาเพื่อเข้าไปด้านใน

"เจิ้ง นั่นเจ้าหรือ" เสียงแหบพร่าอย่างคนเพิ่งตื่นเอ่ยถาม

"ข้าทำเจ้าตื่นหรือ" จ้าวหย่งเจิ้งยังคงยืนอยู่หน้าประตูเพื่อรอดูท่าที เมื่อเห็นเหม่ยฟางส่ายหน้าตึงได้เดินเข้าไปนั่งข้างๆ บนเตียง

"ออกไปไหนมาหรือ" เหม่ยฟางเอนศีรษะซบอกของอีกฝ่าย

"ออกไป...เอ่อ... ข้าออกไปพบท่านนักพรตเจินหยวนมา" จ้าวหย่งเจิ้งตอบพร้อมส่งยื้มบางๆให้

"ถามเรื่องข้าหรือ" เหม่ยฟางแหงนหน้ามองอีกฝ่ายเพื่อรอคำตอบ

"ใช่ ข้าถามวิธี ทำให้เจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม"

"แล้ว...ท่านนักพรตว่าเช่นไรมีวิธีช่วยไหม"

"มีสิ เจ้าสบายใจได้ ท่านนักพรตบอกข้าว่ามันเป็นผลพวงจากการตั้งครรภ์เท่านั้น หากเจ้าคลอด จะกลับเป็นเหมือนเดิม" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มให้เพื่อให้เหม่ยฟางสบายใจ

"ถ้าเป็นอย่างเจ้าว่า ทำไมต้องทำคิ้วขมวดตลอดเวลาด้วย ตั้งแต่เข้ามาในห้อง เจ้าเอาแต่ทำหน้าอมทุกข์ ไม่สบายใจอะไรบอกข้ามาเถอะ" เหม่ยฟางชี้ปลายนิ้วไปที่หว่างคิ้วของจ้าวหย่งเจิ้งเพื่อคลายปมที่ผูกติดกัน

"ฟาง หากเจ้าต้องเลือกระหว่างความรัก กับหน้าที่ เจ้าจะเลือกสิ่งใด" จ้าวหย่งเจิ้งรวบมือทั้งสองข้างของเหม่ยฟางมากุมไว้แล้วถามด้วยสีหน้าจริง จัง

"ข้าคงต้องดูที่เหตุผล ว่าเหตุใดข้าต้องเลือกความรัก เหตุใดข้าต้องเลือกหน้าที่" เหม่ยฟางถามด้วยรอยยิ้มบาง

"หากเลือกหน้าที่ ผู้คนนับล้านจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่สูญเสียผู้ซึ่งเป็นที่รักตลอดกาล" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวเสียงขื่น

"ถ้าเช่นนั้นหากเลือกอีกอย่างทุกอย่างจะสลับกันใช่ไหม" เมื่อสิ้นคำถามจ้าวหย่งเจิ้งจึงพยักหน้ารับ "เช่นนั้นข้าคงเลือกหน้าที่ ผู้คนนับล้าน กับ คนคนเดียว ข้าจะเสียสละ ข้าจะเห็นแก่ตัวยึดติดกับคนคนเดียวไม่ได้"

"แม้คนที่เรารักจะตายงั้นหรือ"

"ใช่ หากข้าต้องตายข้ายินดีที่สามารถทำให้พสกนิกรของเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข" เหม่ยฟางตอบพร้อมรอยยิ้ม

"แต่ข้าทนสูญเสียเจ้าไปอีกครั้งไม่ได้ เจ้ารู้ไหม วันที่ไม่มีเจ้าทำให้ข้าทุกข์แค่ไหน ถ้าเจ้าตาย ข้ายินดีตายพร้อมเจ้า ใครจะเป็นเช่นไรข้าไม่สน" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวทั้งน้ำตา เมื่อเห็นน้ำตาที่หลั่งเพื่อตน้หม่ยฟางเองก๋อดที่ร้องไห้ตามไม่ได้

"เจิ้ง เจ้าต้องทำหน้าที่ของเจ้าสิ อย่าเห็นแก่ตัวเพื่อข้า หน้าที่สำคัญที่สุด" เหม่ยฟางดึงมือทั้งออกมามือหนาของอีกฝ่าย แล้วยื่นไปจับใบหน้าคมเข้มที่หลั่งน้ำตาเพื่อตน

"ข้า ข้า จะอยู่เช่นไร ถ้าไม่มีเจ้า"

"แม้ข้าจะสิ้น ข้าจะคอยเป็นสายลมอยู่ข้างกายเจ้าเสมอ" สิ้นคำทั้งคู่ต่างโอบกอดซึ่งกันและกันไว้อย่างโหยหาอาลัยอาวรณ์ แม้ไม่อยากพรากจาก แต่ต้องทำจำเพื่อจะแยกจากกันเมื่อถึงเวลา

เมื่อใจจำต้องเลือกจ้าวหย่งเจิ้งจึงต้องยอมรับชะตากรรมที่จะตาม แต่เวลานี้เขาขอเก็บโกยความสุขของกันและกันเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ไม่อยากให้วันเวลาเคลื่อนผ่านแต่เขาไม่อาจจะหยุดยั้งสายธารแห่งเวลานั้นได้ เขานับวันเวลาที่กำลังลดน้อยถอยลงทุกวัน ทุกวัน

ก่อนคลอด 2 เดือน จ้าวหย่งเจิ้งได้ขึ้นราชาภิเษก เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ภาระหน้ามากขึ้นจนแทบไม่มีเวลาให้กับเหม่ยฟางตลอดทั้งสัปดาห์ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตใจของทั้งสองต่างพากันหดหู่ไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะจิตใจของเหม่ยฟาง ที่ต้องรับรู้ว่า การที่จ้าวหย่งเจิ้งขึ้นเป็นฮ่องเต้ต้องรับพระสนมเข้ามาในวังหลังมากมาย นั่นยิ่งทำให้ตนรู้สึกแย่เป็นสองเท่า ขณะที่เหม่ยฟางนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนเหล่านางสนมนับสิบก็เข้ามาทำความเคารพตน บ้างให้ความเคารพ บ้างมองด้วยสายตาหยามเหยียด เสียจนอยากจะควักลูกตาของพวกนางออก

"พวกเจ้ามาทำไมที่นี่" น้ำเสียงคมเข้มที่แล้วฟังเสียวสันหลังของจ้าวหย่งเจิ้งดังขึ้นด้านหลังพวกนาง

"เรียนฝ่าบาทพวกข้าน้อยมาเข้าเฝ้าว่าที่องค์ฮองเฮาเจ้าค่ะ" นางสนมคนหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

"ออกไป!!! พวกเจ้าไม่รู้หรืออย่างไร ว่าที่นี่ห้ามคนนอกเข้ามา" เสียงตวาดของจ้าวหย่งเจิ้งทำให้พวกนางตัวสั่นเหมือนลูกนกพากันถอยหนีในทันที

"ดีนะ นางสนมพวกนั้นหน้าตาสะสวยคงทำให้เจ้ามีความสุขมาก" เหม่ยฟางกล่าวลอยๆอย่างไม่ใส่ใจ

"ฟางเจ้าอย่าคิดมากนะ นางพวกนั้นข้าถูกยัดเยียดให้รับพวกนางเข้ามา ข้าไม่เคยยุ่งกับพวกนางแม้แต่น้อย" จ้าวหย่งเจิ้งเข้าโอบกอดทางด้านหลังเหม่ยฟาง"ถ้าเจ้าไม่ชอบใจข้าจะส่งพวกนางคืนกลับไปก็ได้ ความจริงข้าไม่ต้องการพวกนางแม้แต่น้อย ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้าไม่ต้องการใครทั้งนั้น" จ้าวหย่งเจิ้งกระชับมือให่แน่นขึ้น

"อย่าส่งพวกนางไปเลยหากไม่มีข้า เจ้าก็ยังมีพวกนางคอยปรนนิบัติรับใช้" เหม่ยฟางแตะมือลงบนมือของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการห้ามปราม เขาอยากให้มีใครสักคนอยู่ข้างจ้าวหย่งเจิ้งในวันที่ตนจากไป

"ข้าไม่ต้องการใครนอกจากเจ้า เจ้ารู้ไหมข้ารีบสะสางงานที่คั่งค้างจนเสร็จเพื่อให้2เดือนหลังจากนี้เราได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ขอโทษที่ไม่มีเวลาให้เจ้า รู้ไหมข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหน" วงแขนโอบกระชับร่างบางให้แน่นจึ้นเพื่อส่งมอบความรู้สึกให้แก่คนรัก

"ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน"

"เข้าด้านในเถอะ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงอยู่" ว่าจบก็ประคองร่างเหม่ยฟางเข้าไปด้านในตำหนัก

"วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งหนัก ดูท้องข้าสิมันโตเสียจนน่าตกใจ หึหึ" เหม่ยฟางนั่งลงบนเตียงพร้อมจ้าวหย่งเจิ้งก่อนเอ่ยพร้อมหัวเราะในลำคอใช้มือลูบหน้าท้องเบาๆ จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองหน้าท้องของคนรักก่อนเอนตัวแนบใบหน้าลงกับหน้าท้องของเหม่ยฟาง

"หากได้อยู่พร้อมหน้าคงจะดีไม่น้อย"

"นั่นสินะ" รอยยิ้มบางๆแต้มขึ้นบนใบหน้าแต่จิตใจกลับรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจอยู่เคียงข้างกันและกัน ภายในห้องต่างมีความรู้สึกอันดีให้กัน แม้ไม่ต้องพูดจาใดๆก็สามารถรับรู้ได้ บรรยากาศอบอ่วนไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นนั้นถ่ายทอดให้ทั้งสองได้ซึมซับจนกว่าจะแยกจาก ในคืนนั้นเองเหม่ยฟางเกิดอาการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด

"โอ๊ย เจิ้ง เจิ้ง โอ๊ย" มือบางสะกิดคนรักที่นอนอยู่ข้างๆให้ตื่น ขณะที่ร่างการช่วงล่างแปรเปลี่ยนหางงูขนาดใหญ่สะบัดไปมาด้วยความเจ็บปวด จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกตัวตื่นหลังถูกสะกิด ทั้งยังมีเสียงข้าวของหล่นแตกจนทำให้เขาแปลกใจ "ฟาง เกิดอะไรขึ้น"

"เจิ้งข้าเจ็บท้อง เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ ข้ากลัวเจ้าเป็นอันตราย" เหม่ยฟางบอกด้วยความเป็นห่วง

"แต่ข้าจะทิ้งเจ้าไว้ตามลำพังได้อย่างไร"

โครม!!!!

หางงูตวัดไปมาจนหน้ากลัว เหม่ยฟางรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย เจาไม่สามารถบังคับหางทึ่ตวัดกวัดแกว่งด้วยความเจ็บปวดไปได้

"เจิ้ง ออกไป ออกไป!!!" เหม่ยฟางตวาดเสียงดัง ไล่อีกฝ่ายออกไปให้ห่างตน จ้าวหย่งเจิ้งมีท่าทีลังเลแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี

"เสี่ยวจื่อหยี่ เสี่ยวจื่อหยี่" จ้าวหย่งเจิ้งออกปากตะโกนเรียกขันทีน้อย แต่ไร้วี่แววการตอบรับ มีเพียงขันทีคนอื่นเข้ามาแทน

"ฝ่าบาทมีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ"

"เสี่ยวจื่อหยี่ ไปไหน" น้ำเสียงติดหงุดหงิดเอ่ยถาม

"เรียนฝ่าบาทเสี่ยวจื่อหยี่ ป่วยไม่ได้ทำงานมาหลายเดือนแล้วขอรับ"

"ป่วย เอาเถอะส่งหมอหลวงไปดูอาการหน่อยแล้วกัน แต่ตอนนี้เจ้าไปแจ้งแก่ท่านนักพรตเจินหยวนทีนะว่าเหม่ยฟางกำลังจะให้กำเนิดโอรสแก่ข้า" แม้น้ำเสียงจะติดยินดีอยู่บ้างแต่จิตใจบางส่วนกับรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ใช้เวลาไม่นานนักนักพรตเจินหยวนและคนอื่นๆก็เดินทางยังตำหนักพร้อมหน้า

"ฝ่าบาท"

"ท่านนักพรต ทำไมเหม่ยฟางถึงเจ็บท้องก่อนกำหนดล่ะแล้วแบบนี้ฟางจะไม่แย่หรือ"

"ใจเย็นๆก่อนฝ่าบาท"

"ข้าเย็นไม่ลงจริงๆ หากฟางเป็นอะไรระหว่างนี้ล่ะท่าน หมอหลวงก็เข้าไปดูแลไม่ได้ คนนอกก็เข้าไปไม่ได้ ฟางต้องทนเจ็บปวดต่อสู้เพียงลำพังเช่นนี้ จะให้ข้าเย็นลงได้อย่างไรกัน" เสียงดังโครมครามในห้องดังไม่หยุด ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งไม่สบายใจเป็นร้อยเท่าพันเท่า เขาเดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกเป็นหนูติดจั่นร่วมสองชั่วยาม แต่เหม่ยฟางก็ไม่มีทีท่าจะคลอดออกมาง่ายๆ จนเข้าชั่วยามที่สามเสียงดังในห้องเงียบลง เหล่าหมอหลวงที่ถูกตามมาจึงรีบพากันเข้าไปดูแล แม้แต่จ้าวหย่งเจิ้งก็ไม่อยู่เฉยต้องตามเข้าไปดูด้วยเช่นกัน

สภาพภายในห้องเละเทะข้าวจองกระจัดกระจายตกแตกเกลื่อนพื้น ร่างบางของเหม่ยฟางยังคงนอนหอบหายใจเหงื่อเม็ดใหญ่ยังคงแตะแต้มตามหน้าผาก ช่วงล่างที่เป็นงูยังคงเหมือนหางงูสะบัดไปมาเบาๆไม่รุนแรงเหมือนช่วงแรกๆ ข้างๆกันมีแสงสีทองอร่ามล้อมรอบกายลูกมังกรน้อย

"เจิ้ง ลูกของเรา" เหม่ยฟางยิ้มด้วยสีหน้าเต็มตื้น จ้าวหย่งเจิ้งจึงค่อยๆโอบอุ้มลูกมังกรมาวางจ้าวเหม่ยฟาง

"น่ารักดีนะ" น้ำเสียงเอื้อนเอ่ยด้วยความดีใจ

"อื้อ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้า

"นอนพักเถอะ ข้าจะให้คนมาเก็บกวาดทำความสะอาดห้องเสียหน่อย" พูดจบจ้าวหย่งเจิ้งก็อุ้มร่างของเหม่ยฟางจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่ง โดยไม่ใส่ใจว่าอีกครึ่งร่างของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร ส่วนลูกมังกรทองนักพรตเจินหยวนเป็นผู้อุ้มตามมา

"เจิ้งขอบใจนะ ว่าแต่เสี่ยวจื่อหยี่ล่ะ" เหม่ยฟางกล่าวขอบคุณกทอนเอ่ยถามหาขันทีน้อย

"เห็นว่าไม่สบายมาหลายเดือน ข้าเองก็พึ่งทราบเรื่องจึงส่งหมอหลวงไปดูอาการให้แล้วล่ะ" จ้าวหย่งเจิ้งลูบศีรษะเหม่ยฟางด้วยความรักใคร่หลังจากอุ้มอีกฝ่ายมานอนที่เตียงใหม่เรียบร้อย

"เจิ้ง ข้าง่วงนอน" น้ำเสียงอู้อี้บ่งบอกถึงอาการง่วงของคนตัวบางทำให้จ้าวหย่งเจิ้งต้องยิ้มออกมา

"นอนเถอะ" ข้าจะอยู่ข้างๆเจ้าไม่ไปไหน มือหนากอบกุมมือคนรัก เฝ้ารอจนคนรักหลับ

"ฝ่าบาท นี่โอรสมังกร ท่านจะตั้งพระนามเลยหรือไม่" ท่านพรตเจินหยวนเอ่ยถามพร้อมกับส่งโอรสมังกรให้จ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าจะรอฟาง" ว่าจบก็อุ้มโอรสมังกรมาขึ้นแนบอก แช้วกดปลายจมูกลงบนหน้าผากน้อยๆ

ช่วงเวลาที่เหม่ยฟางหลับนั้น เหม่ยฟางก็ฝันถึงตาเฒ่าเอี๊ยอีกครั้ง ตาเฒ่าเอี๊ยส่งยิ้มละมุนให้พร้อมกับเดินมาจากอีกฟากฝั่งของประตู

"เหม่ยฟางหมดเวลาในการใช้ชีวิตในโลกนี้ของเจ้าแล้ว" รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าของตาเฒ่าเอี๊ยอย่างทุกครั้งที่พบหน้า

"ข้าต้องตายจริงๆหรือ" เหม่ยฟางร้องถาม ดวงหน้าเริ่มเศร้าหมองลง

"ใช่ เวลาของเจ้าหมดในโลกนี่แล้ว คืนนี้ข้าจะกลับมารับตัวเจ้า จงเตรียมตัวเตรียมใจให้ดี" จบคำร่างของตาเฒ่าเอี๊ยก็จางหายไปในหมอกควัน เหม่ยฟางพยายามไขว่คว้าเพื่อขอเวลาเพิ่ม แต่ก็ไม่อาจจะไขว่คว้าตัวตาเฒ่าเอี๊ยได้

"ฟาง ฟาง" เสียงเรียกของจ้าวหย่งเจิ้งต้องทำให้เหม่ยฟางลืมตาขึ้นมองผู้ที่เรียกตน

"เจิ้ง เจิ้ง" เหม่ยฟางรีบลุกขึ้นสวมกอดจ้าวหย่งเจิ้งไว้แน่น

"เป็นอะไรฝันร้ายหรือ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับก่อนกระชับมือกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก

"ไม่ต้องกลัวนะ มันก็แค่ฝันร้าย" จ้าวหย่งเจิ้งลูบศีรษะเหม่ยฟางแผ่วเบา

"แล้วลูกล่ะ" เหม่ยฟางคลายอ้อมแขนเงยหน้าถามหาลูกชายตน จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มก่อนตบมือสองสามครั้ง แม่นมก็อุ้มลูกมังกรเข้ามาด้านใน

"ข้ารอเจ้าตั้งชื่อลูกอยู่นะ" จ้าวหย่งเจิ้งรับลูกชายจากแม่นมแล้วส่งให้เหม่ยฟาง

"ฟาหลง"

"ฟาหลง อืมดี ตามใจเจ้า ฟาหลง ชื่อดี ข้าชอบ" จ้าวหย่งเจิ้งส่งยิ้มชอบใจกับชื่อที่คนรักเป็นคนตั้ง

"เจ้ารักเขาให้มากๆนะ เจิ้ง" น้ำเสียงสั่นเครือบอกกล่าวกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"แน่นอน ลูกของข้ากับเจ้า ข้าจะรักเขาให้มากๆ มากเท่าชีวิตข้า" จ้าวหย่งเจิ้งตบปากรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพื่อให้เหม่ยฟางสบายใจ

"ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าโหมงานหนัก ดูแลตนเองดีๆ" เสียงสั่นๆยังคงเอ่ยต่อไป ดวงตาแดงเรื่อเหมือนคนจะร้องไห้ยิ่งทำให้จ้าวหย่งเจิ้งใจคอไม่ดี "แน่นอน ข้าจะดูแลตนเองให้ดีอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้านอนพักเถอะ ดูสิหน้าซีดหมดแล้ว" มือหนาลูบศีรษะของอีกฝ่ายเบา

"อยู่ข้างๆกันนะ อยู่ข้างๆกัน"

"อืม ข้าจะคอยอยู่ข้างๆเจ้าไม่ไปไหน นอนเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งรับปาก เลื่อนมือมาจับมือของเหม่ยฟางที่ค่อนข้างเย็นผิดปกติ

"ข้ายังไม่อยากหลับตอนนี้เลย หากหลับไปตอนนี้ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก"หยดน้ำตาค่อยๆไหลรินออกมาตามคำพูด

"ไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะปลุกเจ้าเอง"

"สัญญานะ จะปลุกกันจริงๆนะ" เหม่ยฟางยื่นนิ้วก้อยขึ้นเพื่อยืนยันคำสัญญา

"อืม สะ สัญญา เกี่ยวก้อยสัญญากัน" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นมือไปเกี่ยวก้อยเพื่อสัญญา เหม่ยฟางจึงค่อยๆปิดเปลือกตาลง หยดน้ำตายังคงไหลย้อยอาบแก้ม

"ดีจัง" เสียงพึมพำเบาๆดังรอดออกมาจากริมฝีปาก ก่อนมือข้างที่เกี่ยวก้อยจะตกลงอย่างคนหมดแรง

"ฮึก ฮึก ฟาง ฮือๆ ฟาง" มือของเหม่ยฟางเริ่มเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง น้ำตาของจ้าวหย่งเจิ้งยังควหลั่งไหลออกมา แม้แต่ลูกมังกรน้อยยังคงส่งเสียงร้องตามผู้เป็นบิดา....


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กลับไปอนาคตก่อนรักษาตัว แล้วมาอดีตใหม่ดีไหม  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ฮืออออออ ก็เจิ้งมีสองวิญญาณไม่ใช่เหรอ ก็ให้ใครก็ได้เสียสละหน่อยซิ ฟางจะได้ไม่ตายอ่ะ

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 31 การเริ่มใหม่

ทางเดินสีขาวทอดยาวาองสว่างในความมืดมิด ร่างบางของเหม่ยฟางกำลังเดินตามเส้นทางสีขาวที่มีประตูบานหนึ่งรอให้เขาไปเปิด

"ฟาง ฟาง ฟาง" เสียงเรียกขานชื่อดังขึ้นหลังประตูบานนั้น

"ใคร...ใครเรียกเรา" เหม่ยฟางเดินตรงเข้าไปเปิดประตูบานนั้น แสงสว่างหลังประตูทำให้เขาต้องหลับตาเพื่อปรับภาพที่จะเห็นตรงหน้า

"ฟาง ตื่นสิ ตื่นได้แล้ว" ร่างของเหม่ยฟางถูกเจ้าของเสียงเขย่าตัวเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น เหม่ยฟางจำต้องลืมตาเพื่อมองใบหน้าคนที่เรียกขานชื่อ

"อืม...." เหม่ยฟางขานรับเสียงเรียก ลืมตาขึ้นมอง เมื่อสายตาปรับภาพตรงหน้าได้ เขาได้พบใบหน้าแสนคุ้นเคยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนมองมายังเขา

"ตื่นได้สักทีนะ รู้ไหมฉันปลุกนายตั้งกี่รอบ" เจ้าของใบหน้าและเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยยิ้มๆ อีกทั้งการแต่งตัวยังดูทันสมัย เหม่ยฟางจึงมองดูรอบๆ ตัว สิ่งที่เขาเห็น คือ ห้องกว้างสีขาว ข้าวของเครื่องใช้ล้วนอยู่ในยุคปัจจุบัน ยิ่งใบหน้าของคนตรงหน้าเขายิ่งรู้จักเป็นอย่างดี

"เจิ้ง" เหม่ยฟางขานชื่อคนตรงหน้าเสียงเบาหวิว ก่อนลุกขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียง

"ว่าไง ยังไม่หายเมาค้างเหรอไง เอ้ากาแฟ ดื่มซะ" หย่งเจิ้งเดินเข้ามาขยี้ผมของคนที่นั่งมึนๆอยู่บนเตียง พร้อมส่งแก้วกาแฟที่ชงร้อนๆ มาให้

"อย่าขยี้หัวฉันนะ" เหม่ยฟางปัดมือของอีกฝ่ายออก ก่อนรับแก้วกาแฟมาดื่ม ก่อนส่งค้อนให้คนที่ขยี้ผมตน

"หึหึ" หย่งเจิ้งอดขำกับท่าทาง คนตรงหน้าไม่ไหวจึงเบือนหน้าไปทางอื่นแทนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

"นี่มันเกิดอะไรขึ้น" เหม่ยฟางเอ่ยถามไปอย่างงงๆ

"จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็นายเล่นเมาในงานเลี้ยงแต่งงาน จนต้องลำบากฉันแบกนายกลับมานอนที่บ้านเนี่ย" หย่งเจิ้งบ่นอุบ แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางรำคาญแต่อย่างใด

"นายแต่งงานแล้ว แล้วเมียนายไปไหน" เหม่ยเอ่ยถาม ก่อนมองไปรอบๆมองหาคนหญิงสาวผู้เป็นภรรยาของหย่งเจิ้ง

'นี่เขาย้อนเวลากลับมาหรือ' เหม่ยฟางได้แต่คิดในใจ 'หากวันนั้นรถของเขาไม่คว่ำทุกอย่างจะเป็นเช่นที่เขาพบแบบนี้หรือ' คำถามเกิดขึ้นภายในใจแต่ไม่มีใครสามารถตอบอะไรเขาได้

"เอ่อ..." หย่งเจิ้งชะงักกับคำถามนั้นก่อนยิ้มแหยๆออกมา

"อะไร เมียนานไปไหน" เหม่ยฟางเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ก่อนจ้องใบหน้าของคนที่กำลังอึกอักไม่รู้จะตอบเช่นไรดี

"เราแยกกันอยู่น่ะ" หย่งเจิ้งเกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนตอบตามจริง

"ห๊ะ!!! แยกกันอยู่ บ้าหรือไง เพิ่งแต่งเมื่อวานไม่ใช่เหรอ" เหม่ยฟางตกใจกับคำตอบที่ได้รับเป็นอย่างมาก

"ฟาง คือว่า..." หย่งเจิ้งยังคงอ้ำอึ้งไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี "คือ...ฉัน...คือ..."

"อะไร นายตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่ มัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ รีบๆพูดออกมาเลย" คิ้วของเหม่ยฟางเริ่มขมวดเป็นปมด้วยความหงุดหงิด

"คือ ฉันกับเสี่ยวหลิงเราแต่งงานกันหลอกๆ เพื่อให้พ่อกับแม่เลิกยุ่งกับชีวิตของเราสองคน" หย่งเจิ้งรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนยิ้มแหยๆ มองใบหน้าของเหม่ยฟางที่ดูนิ่งเกินไป จนเขารู้สึกใจคอไม่ดี

"แต่งหลอกๆ" เหม่ยฟางทวนคำ

"ฟาง ฟาง เป็นอะไรไป โกรธที่ไม่ยอมบอกเหรอ ฟาง อย่านิ่งแบบนี้สิ" หย่งเจิ้งร้องเรียกอย่างร้อนรน ทำอะไรไม่ถูก

"เจิ้ง ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ" สิ้นคำเหม่ยฟางก็ลุกจากเตียงหมายเดินออกจากห้องนี้ แต่มือแกร่งของหย่งเจิ้งกลับเข้าสวมกอดเขาทางด้านหลังจนเขาต้องชะงักขยับตัวไม่ได้

"ฟาง อย่าไปนะ ฉันชอบนาย ฉันอยากอยู่กับนาย ทุกอย่างที่ทำไปคือฉันต้องการอยู่กับนาย นายอย่าโกรธฉันนะ ฟาง" อ้อมแขนยังถูกกระชับจนแน่น เหม่ยฟางยังคงยืนนิ่ง ไม่ตอบสิ่งใด

"เจิ้ง" เสียงเรียกเบาๆ ทำให้หย่งเจิ้งได้แต่กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

"ฟาง ฉันชอบนาย"

"เจิ้ง ปล่อยเถอะ ขอเวลาให้ฉันคิดอะไรสักอย่างเถอะ ฉันรู้สึกสับสนไปหมด ขอเวลาให้ฉัน " เหม่ยฟางกล่าวเสียงเบา ณ เวลานี้ เขารู้สึกสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งใดจริงสิ่งใดไม่จริง สิ่งที่เขาได้พบพานมานั้น มัน คือ ความฝันงั้นหรือความจริงกันแน่ เวลานี้เขาขอเวลาสักนิดเพื่อยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น หย่งเจิ้งยอมคลายมือออกตามความต้องการของอีกฝ่าย เมื่อเหม่ยฟางหลุดจากพันธการเขารีบเปิดประตูออกจากห้องนี้ หลังประตูยังคงมีแสงสว่างจนแสบตาเช่นเดิม เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง หากลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาจะพบเจออะไรอีกนะ

"ลืมตาสิ ฟาง ได้โปรด ตื่นขึ้นมาสิ" เสียงเรียกแสนคุ้นเคยเช่นเดิมกำลังปลุกเรียกให้เหม่ยฟางลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อเขาลืมตาขึ้น ครั้งนี้ เขาเห็นบุคคลแสนคุ้นเคย แต่งกายยุคจีนโบราณ นั่งร่ำไห้อยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของเขา สองมือกุมมือขาวซีดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"นี่มันอะไรกัน ข้าตายแล้วงั้นหรือ" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา

"ใช่...ในยุคนี้เจ้าได้ตายไปแล้ว" เสียงชายแก่เอ่ยขึ้นด้านหลังเมื่อหันไปเขาได้พบกับตาเฒ่าเอี๊ยอีกครั้ง

"ตาเฒ่า..."

"เจ้าอยากกลับไปยุคไหน ปัจจุบัน ที่เจ้าเพิ่งไปประสบพบเจอเมื่อครู่ หรือ อดีตที่เจ้าเห็น ณ ขณะนี้" ตาเฒ่าเอ่ยถามใบหน้าหน้าราบเรียบ ไม่มีวี่แววล้อเล่น ทางเดินสีขาวเปลี่ยนเป็นสะพานไม้ฝั่งตรงข้ามสะพานของสะพานทั้งสองมีประตูไม้สีขาวตั้งตระหง่านรอผู้ไปเปิด

"ข้า...."

"คิดดูให้ดี ไม่ว่ายุคไหน พวกเขาทั้งสองต่างก็รักเจ้า ครั้งนี้จะเป็นการเลือกครั้งสุดท้ายของเจ้า" ตาเฒ่าเอี๊ยกล่าวเตือน ก่อนสะบัดมือให้ฉายภาพทั้งยุคทั้งสองที่เหม่ยฟางได้ประสบพบเจอมา

"ข้า..." เหม่ยฟางก้มมองภาพที่อยู่เบื้องล่างสะพานไม้ เหม่ยฟางภาพทั้งสองอย่างชั่งใจ ภาพหนึ่งเป็นภาพเขาในยุคปัจจุบันที่กำลังถูกกอดจากทางด้านหลัง ส่วนอีกภาพ ฉายให้เห็นจ้าวหย่งเจิ้ง นั่งกอดร่างไร้วิญญาณของตน

"ว่าอย่างไรเจ้าเลือกไปที่ใด"

"ข้าถามอะไรสักอย่างได้ไหม"

"เชิญถามมา"

"หากข้าเลือกที่จะอยู่อดีตอนาคตจะเป็นเช่นไร" เหม่ยฟางเอ่ยถามสิ่งที่ตนอยากจะรู้

"หากเจ้าเลือกอดีตอนาคตจะไม่มีตัวตนของเจ้า อดีตที่ตัวตนของเจ้าได้ตายไปแล้ว นั้นย่อมมีข้อแม้ข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าต้องปฏิบัติ ซึ่งอาจจะดีหรือร้าย ข้าเองก็ไม่สามารถบอกได้" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบคำถามที่เหม่ยฟางอยากรู้

"อนาคต?" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบา

"หากเลือกอนาคต อดีตแห่งการสูญเสียจะยังคงเดิม บุรุษหนุ่มยังคงทนทุกข์กับความรัก  หากเลือกอนาคต อนาคตจะไม่มีข้อแม้ให้แลกเปลี่ยน ทุกอย่างจะเริ่มต้นหลังงานแต่งงานของเขาผู้นั้น เจ้าจะไม่ตายจากอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อสิ้นงานแต่ง" สิ้นคำตาเฒ่าเอี๊ยก็ยืนมองรอฟังคำตอบจากเหม่ยฟาง

"ทำไมข้าต้องเลือก" เหม่ยฟางกล่าวออกมา เขาเลือกไม่ถูกจริงๆ หากเลือกอนาคต เขาย่อมมีความสุข แต่อดีตที่ไม่ได้เลือก จ้าวหย่งเจิ้งจะทนทุกข์ หากเป็นเช่นนี้ เขาควรจะเลือกความสุขของตน หรือ ความสุขของคนที่เขารักดี

"เพราะมันเป็นสิทธิ์ที่เจ้าควรจะได้รับ จงเลือกให้ดีโอกาสมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น" เหม่ยฟางนิ่งไปชั่วครู่ เพื่อใช้ความคิด เลือกในสิ่งที่ตนคิดว่ามันดีที่สุด

"ข้าเลือกกลับไปอดีต ข้าทนให้จ้าวหย่งเจื้งจมความเศร้าตรมไม่ได้" เหม่ยฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"เจ้าเตรียมใจรับผลที่จะตามมาแล้วใช่หรือไม่ถึงได้เลือกอดีต" ตาเฒ่าเอี๊ยจ้องมองเข้าไปในดวงตาอันแน่วแน่ของเหม่ยฟาง เพื่อมองหาความลังเลในจิตใจ

"ข้ามั่นใจในสิ่งที่ข้าเลือกไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไรข้าก็ยอม" คำตอบที่มั่นคงตอบทุกคำถามที่ตาเฒ่าเอี๊ยแล้วทุกอย่าง

"เฮ้อ~ เจ้าเลือกอนาคตเสียยังจะดีกว่ากลับไปอดีตเสียอีกนะ แต่เอาเถอะในเมื่อเลือกแล้วจงเดินตรงไปยังประตูแห่งอดีตเถิด" ตาเฒ่าเอี๊ยโบกมือไปทางประตูเพื่อให้ประตูแห่งอนาคตหายไปเหลือเพียงประตูแห่งอดีต เหม่ยฟางก้าวเท้าเดินไปอย่างช้าๆ เมื่อเปิดประตูบานนั้นเข้าไป ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง เหม่ยฟางหลับตาลงช้าๆ เพื่อรอให้แสงสว่างนั้นจางหายไป แต่แล้ว ร่างบางของเขาก็คล้ายร่วงหล่นสู่ใต้พื้นน้ำอันเย็น อากาศกำลังหมด เขาพยายามดิ้นรนแหวกว่ายขึ้นไปหายใจบนผิวน้ำ

"แค่ก แค่ก แค่ก" เหม่ยฟางโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ ก่อนพยายามว่ายเข้าฝั่งแต่ขณะว่ายน้ำเขากินน้ำเข้าไปหลายอึกจนไอสำลักน้ำออกมา และนั่งพักเหนื่อยริมฝั่ง

"ดีจริงที่เจ้าไม่เป็นอะไร" ตาเฒ่าเอี๊ยปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่เมื่อเหม่ยฟางเอ่ยปากหมายจะพูดบางอย่างก็ไม่สามารถทำได้ ได้เอามือจับลำคอตนเองแล้วพยายามเค็นเสียงออกมาใหม่

'นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า" เหม่ยฟางได้แต่กู่ก้องในใจทำไมเขาถึงพูดไม่ได้

"นี่คือสิ่งที่เจ้าได้รับเป็นของแลกเปลี่ยนรวมทั้งรูปโฉมที่ต่างออกไป" สิ้นคำ เหม่ยฟางรีบขยับกายเข้าไปใกล้ริมน้ำเพื่อก้มมองเงาของตนในแม่น้ำ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปจริงๆ เหม่ยฟางลูบคลำใบหน้าของตนแม้จะดูงดงามแต่ยังไงก็ไม่ใช่ใบหน้าเดิมของตน

'ข้าต้องกลายเป็นคนพูดไม่ได้ ทั้งใบหน้ายังเปลี่ยนไปเช่นนี้ เจิ้งจะจำข้าได้อย่างไร' เหม่ยฟางร้องท้วงสิ่งที่ตนต้องประสบ

"นั่นเป็นปัญหาของเจ้า ซึ่งเจ้าต้องแก้ปัญหาในข้อนี้เอง หากจ้าวหย่งเจิ้งจดจำ และมอบความรักให้อีกครั้ง เจ้าจะคืนกลับมามีรูปร่างหน้าตาเช่นเดิม" สิ้นคำตาเฒ่าเอี๊ยก็หายไปจากตรงหน้า เหม่ยฟางอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้

'แล้ว...ข้าควรไปทางไหนดี' เหม่ยฟางมองไปรอบๆ เพื่อหาทางไปต่อ เขาจะต้องเข้าไปในตัวเมืองจิ้นหยางเพื่อพบกับจ้าวหย่งเจิ้งอีกครั้ง

"เดินตามดวงตะวันแล้วเจ้าจะได้พบผู้ที่จะพาเจ้าไปหาจ้าวหย่งเจิ้ง" เสียงของตาเฒ่าดังขึ้นเพื่อบอกทิศทางที่จะไป

'ขอบคุณตาเฒ่าเอี๊ยที่ยังอุตส่าห์บอกทิศให้กับข้า' เหม่ยฟางกล่าวประชดก่อนลุกขึ้นยืนแต่เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้นดิน ก็เหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทงจนเขารู้สึกเจ็บปวด

"นั่นก็เป็นอีกข้อแลกเปลี่ยน" เสียงตาเฒ่าดังขึ้นอีกครั้ง จนเหม่ยฟางต้องมองค้อนให้กับเสียงนั้น

'ทำไมไม่บอกให้หมดทีเดียว แล้วไงให้ข้าเป็นใบ้ หน้าตาเปลี่ยน ทั้งยังมีเข็มนับพันทิ่มแทงเวลาเดิน เห็นข้าเป็น นางเงือกน้อยหรือไง เอาเรื่องพวกนี้มาจากนิทานแบบนี้ คนที่แย่คือข้านะ แล้วหากเจิ้งไม่รับรักข้า ข้าต้องสลายกลายเป็นฟองด้วยไหม' เหม่ยฟางอดก่นด่าในใจไม่ได้

"ฮ่าๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ข้าจะคอยให้คำแนะนำเจ้าแล้วกัน จนกว่าเจ้าจะพบผู้ที่ พาเจ้าไปหาจ้าวหย่งเจิ้งได้แล้วกัน" เสียงของตาเฒ่าดังขึ้นอีกครั้งเพื่อยืนยันการช่วยเหลือ

'ชิ' เหม่ยฟางเลิกสนใจตาเฒ่าเอี๊ย เขาพยายามก้าวเท้าเดินซึ่งต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก มันรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน แต่อย่างไรเขาก็ต้องกัดฟันอดทนก้าวเดินไปทางทิศที่ดวงตะวันทอแสงแต่ทิศตะวันทอแสงมันหันไปทางแม่น้ำ'นี่จะให้ข้าว่ายน้ำไปหรือไง'

"ข้าไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก มองไปทางนั้นสิ มีเรือข้ามฟากจอดอยู่ไปขึ้นสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยยังคงส่งเสียงบอกตามหลังดังที่พูดไว้ว่าจะคอยช่วยเหลือเขา

'ไหนว่าคอยช่วยเหลือข้า โกหกชัดๆ' เหม่ยฟางยังคงบ่นตาเฒ่าเอี๊ยอยู่ในใจ แม้จะพูดออกมาเป็นเสียงโต้ตอบไม่ได้แต่การพูดในใจตาเฒ่าเอี๊ยย่อมได้ยิน

 เหม่ยฟางเดินไปยังเรือข้ามฟากที่จอดอยู่ไม่ไกล เมื่อขึ้นเรือลำนั้น ผู้คนต่างมองจ้องมองมายังเขา ซึ่งหน้าแปลกที่ว่าแม้รูปร่างจะดูงดงามก็จริงแต่ไม่น่าจะเรียกความสนใจได้ขนาดนี้ เหม่ยฟางจึงหันไปมองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ทุกคนมองไม่ใช่ตน เมื่อยืนยันแน่ชัดแล้วเหม่ยฟางจึงได้แต่ยิ้มแหยๆส่งไปผู้คนเหล่านั้น

'เกิดอะไรขึ้นกับข้า ทำไมผู้คนต่างจ้องมองข้าเป็นตาเดียว' เหม่ยฟางเอ่ยถามตาเฒ่าเอี๊ย

"เรื่องนั้นอาจเป็นเพราะใบประกาศที่ติดอยู่บนเรือ" เมื่อสิ้นคำตาเฒ่าเอี๊ยเหม่ยฟางจึงเดินไปอ่านใบประกาศตามที่ตาเฒ่าเอี๊ยบอก

'นี่มันภาพวาดของใบหน้าใหม่ของข้านี่ เขียนอะไรไว้นะ ประกาศจับ นักฆ่าหมื่นบุปผา นักฆ่าคิดปองร้ายองค์ฮ่องเต้ ใครพบเห็นรีบแจ้งทางการ องค์ฮ่องเต้จะเป็นผู้ตัดสินคดีนี้ ห๊ะ!!!' เหม่ยฟางตกใจกับประกาศจับนี่เป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าใบหน้าใหม่ของเขาจะเป็นผู้ร้ายหลบหนี 'ตาเฒ่าเอี๊ยข้าควรทำเช่นไรดี ตาเฒ่า' เหม่ยฟางหันซ้ายหันขวาไม่รู้ตนจะทำเช่นไรดี

"ใจเย็นๆ เจ้าไม่ต้องร้อนรนไป ลงไปเล่นน้ำให้ใจเย็นก่อนเถอะ" เสียงๆหนึ่งดังขึ้น ด้านหลังเหม่ยฟาง

พลั่ก! ตูม!

ร่างของเหม่ยฟางถูกผลักตกเรือโดนไม่ทันตั้งตัว แม้เสียงอยากจะร้องเรียกให้คนช่วยก็ยังไม่มี

'ใครก็ได้ ช่วยๆ ช่วยด้วย' ร่างของเหม่ยฟางจมดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำอีกครั้งมือ เมื่อพยายามแหวกว่ายขึ้นจากน้ำก็คลั้ายมีอะไรบางอย่างดึงรั้งขาของตนไม่ให้ขึ้นไปบนผิวน้ำ 'อึกๆ อึดอัด อึก หายใจไม่ออก' ในระหว่างที่สติกำลังจะดับวูบลง มีมือคู่หนึ่งมาช่วยฉุดรั้งมือของเหม่ยฟางให้ขึ้นจากความตาย แต่สติของเหม่ยฟางกับดับลงอย่างไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่ผลักตนให้ตกน้ำและใครที่ช่วยเขาขึ้นจากน้ำ.......

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด