❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤Part : จ้าวหย่งเฝิง (ตอนที่ 1 ความหลังที่ 1ฯ)31-01-2018}  (อ่าน 32798 ครั้ง)

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เปิดอินโทรมาใหม่ก็เศร้าเลย :sad4:

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ฟางไม่น่าคิดสั้นเลย เห้อออ :hao5:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
​❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 1 งูเขียวบนกิ่งเหมย

ภายใต้กิ่งก้านสาขา ต้นดอกเหมยออกดอกเบ่งบานชูช่อสวยงามส่งกิ่งหอมฟุ่งกระจายไปทั่ว ใกล้กับสะพานข้ามทะเลสาบซีหู งูสีเขียวมรกตเกล็ดของมันแวววาวราวอัญมณีส่องแสง มันใช้ลำตัวพันรอบกิ่งเหมยสอดส่องสายตามองผู้คนในยุคนั้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ"(ไอ้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ไหนบอกจะให้เกิดเป็นลูกหลานมังกรเขียวไง แต่ไยข้าถึงเกิดเป็นงูเขียวได้เล่า) เจ้างูเขียวบ่นพึมพำกับตัวเองย้อนนึกถึงคำพูดของตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่บอกกับตนในตอนนั้น

เขาตื่นขึ้นมาพบกับ ความมืดมิด ความหนาวเหน็บที่ปกคลุมแผ่ซ่านไปทั่ว สรรพางค์กาย ของคนร่างบาง เขาหนาวสั่น หวาดกลัว นี่เขาตายไปแล้วงั้นเหรอ เขาจำภาพเหตุการณ์สุดท้ายในสายตาของเขาคือ มีชายแก่ เดินตัดหน้ารถ จนเขาเผลอเหยียบคันเร่งแทนที่จะเหยียบเบรค จากนั้น สติสัมปชัญญะ ของเขาก็ดับวูบลงไป นั่นคือสิ่งที่เขาจดจำได้

"ที่นี่ไหน? ทำไมมันถึงมืด และหนาวเหน็บเช่นนี้" เขาตื่นกลัวกับสิ่งที่พบเห็นนอกจากความืดมิดแล้วไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขามองเห็นได้เลย

"ที่นี่คือเขตกั้นแดนระหว่างความเป็นกับความตาย" เสียงชายแก่ดังขึ้นพร้อมประกายแสงรอบตัว เขาจดจำได้ในทันทีว่า ชายแก่ คนนี้คือคนที่เดินตัดหน้ารถเขา

"ลุง คนที่ตัดหน้ารถผม" เขาชี้นิ้วไปทางชายแก่ที่มีผมกับหนวดเคราขาวโพลน

"ใช่ข้าเอง แต่ที่ข้าโผล่ไปนั้นเพื่อช่วยเจ้านะ" ชายแก่แย้มยิ้มสุภาพแลดูใจดีให้เขา

"ช่วยให้ผมตายเร็วขึ้นน่ะสิ" เขาเถียงสุดใจขาดดิ้นเลย ถ้าช่วยจริงคงไม่เดินตัดหน้ารถเขาหรอก

"ข้าช่วยให้เจ้ามีสิทธ์ที่จะเลือกต่างหากล่ะ"

"เลือกอะไร" เหม่ยฟางทำหน้าสงสัยใคร่รู้

"เลือกจะมีชีวิตใหม่กับคนที่เจ้ารัก ในอีกยุคสมัยไงล่ะ"

"ผมสามารถรักกับเขาได้เหรอครับ"

"แน่นอน ข้าเห็นแก่รักมั่นของเจ้า จึงได้ดึงเจ้าออกมาจากความตายเพื่อเริ่มชีวิตใหม่กับดินแดนใหม่ยุคใหม่"

"ท่านช่วยผมได้จริงๆใช่ไหม" แววตารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเปี่ยมปิติปรีดา ไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะมีโอกาส

"จริงสิ ข้าจะส่งให้เจ้าไปเกิดเป็นลูกหลานมังกร ซึ่งเจ้าสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ ต่อไปนี้ความรักเจ้าจะสมหวัง" ตาเฒ่าวาดมือไปมาจนเกิดแสงสว่างจ้า จนเขาต้องหลับตา นั่นคือสิ่งที่ ตาเฒ่านั้นบอกเขา แต่ดูสิพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ทำไม๊ ทำไม เขาถึงได้กลายเป็นงูเขียว แทนที่จะเป็นมังกรเขียวได้ล่ะ

ขณะที่เขาบ่นพึมพำอยู่นั้น เหล่าเด็กๆในหมู่บ้านต่างพากันวิ่งเล่นแถวทะเลสาบ เด็กชายคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาที่พันตัวอยู่บนกิ่งเหมย จึงส่งเสียงร้องตะโกนเรียกผู้เป็นพ่อให้มาดูเขา

"ท่านพ่อ ท่านพ่อ มาดูงูเขียวตัวนี้สิ ท่านพ่อ" เด็กชายส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นตะลึง

"เหวินเต๋อ เจ้าไม่เคยเห็นงูเขียวหรือไง" ผู้เป็นพ่อส่งเสียงเบื่อหน่ายมาทางลูกชาย

"ท่านพ่อ งูเขียวตัวนี้มันไม่เหมือนงูเขียวทั่วไป" เหวินเต๋อน้อย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนผู้เป็นพ่อจำใจออกมาดู

"ไหนล่ะงูเขียวไม่ธรรดาของเจ้า"

"นั่นไงท่านพ่อ" เหวินเต๋อ ชี้ให้ผู้เป็นพ่อดูงูเขียวมรกต เมื่อผู้เป็นดป็นพ่อเห็นก็อดอ้าปากค้างไม่ได้ 

"งูตัวนี้ประหลาดนัก" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ "

ท่านพ่อ ข้าเลี้ยงมันได้ไหม" เหวินเต๋อเอ่ยขึ้น ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เฮ้ๆ ข้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะของใครนะ) เจ้างูเขียวส่งเสียงประท้วง สะบัดหน้าไปมา จนทำเอาเหวินเต๋อน้อยอดขำกับท่าทางของมันไม่ได้ "ท่านพ่อให้ข้าเลี้ยงมันเถอะนะ ข้าสัญญาจะไม่นำมันเข้าบ้าน ข้าจะสร้างศาลาเล็กให้มันกันฝนที่ใต้ต้นเหมยนี้เอง" เมื่อผู้เป็นพ่อได้ฟังจึงยินยอมให้ลูกชายเลี้ยงเจ้างูน้อย

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าใจดียิ่งนัก สร้างบ้านให้ข้าอยู่ด้วย) เมื่อศาลาถูกสร้างเสร็จเพียงเวลาไม่นาน เจ้างูเขียวจึงเลื้อยเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ที่ถูกปูด้วยผ้านุ่มๆ

หลังจากสร้างศาลาหลังน้อยให้เจ้างูเขียวนั้นแล้ว เหวินเต๋อน้อยจะคอยมาเล่นกับเจ้างูเขียวทุกวันจนเป็นความเคยชิน เจ้างูเขียวรู้สึกสนิทใจกับเหวินเต๋อน้อยเป็นอย่างมากทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนกัน แม้ไม่ใช่ความคิดสำหรับผู้อื่นแต่ก็เป็นความคิดระหว่าง หนึ่งคนหนึ่งงู ที่มีความพันธ์ผูกคล้ายมีบางอย่างเชื่อมโยงทั้งสองเข้าหากัน เป็นสายใยบางๆที่ยากจะเข้าใจ

อากาศยามเช้าอันแสนสดชื่นเจ้างูเขียวนอนหลับอยู่บนที่นอนนุ่มจำต้องตื่นเพราะเสียงเรียกของเด็กชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น

"เจ้างูน้อย เจ้างูน้อย มาเล่นกันเถอะ" เจ้างูเขียวสะดุ้งโหยง เมื่อถูกปลุกขึ้น 

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าเด็กบ้าเอ้ย มาปลุกข้ากำลังหลับได้ที่เชียว) เสียงขู่ ฟ่อๆ ทำให้เด็กชายยิ่มร่าเมื่อรู้ว่าเจ้างูรู้แล้วว่าเขามาเล่นด้วย เขาเอาแมลงกับหนูมาให้เจ้างูน้อยกินด้วย

"ข้าเอาหนูกับแมลงมาให้เจ้าทานด้วย" เด็กชายยิ่มร่านั่งลงข้างๆศาลาหลังเล็กที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ก่อนหยิบหนูตัวเล็กในถุงผ้าส่งให้เจ้างู

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

 หางของเจ้างูน้อยฟาดเข้าที่ถุงผ้าและมือของเหวินเต๋อน้อยอย่างแรงจนหนูหลุดจากมือและถุงผ้าพากันวิ่งหนีไป แม้เจ้างูน้อยจะตัวนิดเดียวแต่แรงที่ฟาดใส่มือนั้นกับรุนแรงยิ่งนัก มือของเหวินเต๋อน้อยแดงเป็นปื้น

 "ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เด็กบ้า ข้าไม่ทานหนูทานแมลง มันใช่อาหารที่ไหนเล่า) เจ้างูเขียวส่ายหัวไปมาส่งเสียงประท้วง

"เจ้าไม่ชอบทานของพวกนี้เหรอ" เหวินเต๋อน้อยทำท่าครุ่นคิด เขายิ้มออกมาก่อนลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งจากไป

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เด็กบ้าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป ชิ ข้าไม่สนเจ้าแล้ว) เจ้างูเขียวบ่นเสร็จจึงเลื้อยกลับเข้าไปนอนต่อ

แต่ใครจะรู้ได้ล่ะการวิ่งจากไปในครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่จะได้เจอกัน เหวินเต๋อน้อย จำต้องย้ายบ้านตามผู้เป็นพ่อออกจากเมืองในวันนั้นทันทีโดยที่ไม่ได้บอกลากันแม้สักคำ เจ้างูเขียวเลื้อยขึ้นไปบนกิ่งเหมยชะแง้คอมองหาเหวินเต๋อน้อยวันแล้ววันเล่า สุดท้ายก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เจ้าเด็กบ้าบังอาจทิ้งข้างั้นเหรอ) ถึงปากจะบ่นเช่นนั้นแต่น้ำตากับหลั่งรินออกมา ปรากฏเป็นไข่มุกเม็ดเล็กๆร่วงหล่นลงพื้นจนชาวบ้านพาตื่นตะลึง จากนั้นมาศาลาเล็กกลับกลายเป็นศาลเจ้าขนาดย่อม ผู้คนต่างแห่กันมาสักการะบูชา เพียงเพราะเจ้างูเขียวน้อยหลั่งน้ำตาเป็นไข่มุก

"เจ้าจะรอเจ้าเด็กนั่นอีกเหรอเจ้าไม่คิดจะตามหาคนรักของเจ้าแล้วงั้นสิ" เสียงชายแก่ดั่งแว่วปะทะโสตประสาทเจ้างูเขียวน้อย เจ้างูเขียวส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายให้เจ้าของเสียง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ใครว่าข้ารอเจ้าเด็กบ้านั่น ข้ารอเจ้าอยู่ต่างหากล่ะ กว่าจะโผล่มาได้นะตาแก่ มาให้ข้าคิดบัญชีเสียดีๆ)

"ช้าก่อนๆ เจ้าจะทำร้ายข้าด้วยเรื่องอะไร"

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ไหนว่าเจ้าบอก จะให้ข้าเกิดไปเกิดเป็นลูกหลานมังกรเขียวไง แต่ดูตัวข้าสิ มันงูเขียวชัดๆ)

"ใจเย็นๆ ร่างของเจ้าในตอนนี้เทียบเท่ากับเด็กอายุ7ขวบ เจ้ายังเติบโตไม่เต็มที่ ต่อไปตัวของเจ้าจะใหญ่โตขึ้นกว่านี้อีก ถึงตอนนั้นข้ากลัวเจ้าจะลำบาก ดังนั้นข้าจึงมาสอนเจ้าฝึกตบะ เจ้าจะได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ไงเล่า เจ้าเป็นถึงมังกรเขียวเชียวนะ" ชายแก่รีบอธิบายให้เจ้างูเขียวฟัง เพื่อไม่ให้เจ้างูพุ่งมาทำร้ายตน

"ทำไมเพิ่งโผล่มา"

"คือข้า...มีธุระต้องไปทำ" ชายแก่เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตา เจ้างูเขียวที่หรี่ตาจ้องมองอย่างจับผิด

"เอาเถอะ ข้าจะยอมเชื่ออีกสักครั้ง จะสอนข้ากลายร่าง ก็รีบสอนสิ"

"ที่นี่ไม่เหมาะ ไปหาบ้านร้างสักแห่งเถอะ" ว่าแล้วชายแก่จึงเดินนำเจ้างูเขียวไป

ชายแก่นำเจ้างูเขียวมาถคงบ้านร้างหลังหนึ่ง บริเวณบ้านร้างที่ถูกทิ้งไว้ไว้จนมีสภาพทรุดโทรม ฝุ่นเกาะติดเต็มพื้น เพียงแค่เดินก็ปรากฏรอยเท้าได้

"ที่นี่เหมาะที่สุด" 

"ข้าต้องอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ" เจ้างูเขียวมองไปรอบๆอย่างไม่ชอบใจ

"ถูกต้อง ข้าจะฝึกฝนตบะให้เจ้า"

"ถ้างั้นจงรีบสอนเถอะ"

"เจ้า กินยานี่ก่อนสิ  มันเป็นเพิ่มพลังปราณในตัวเจ้าได้" เมื่อชายแก่ป้อนยาให้เรียบร้อย เจ้างูเขียวกับรู้สึกตวามร้อนในกายแผ่ไปทั่วร่าง เจ้างูเขียวหันมาจ้องตาเฒ่าอย่างอาฆาต

"เจ้าเอายาอะไรให้ข้ากิน" น้ำเสียงอ่อนแรง ร่างกายล้มกลิ้งดิ้นไปมาอย่างทรมานด้วยความร้อนปานแผดเผาให้ไหม้เป็นจุน 

"มันเป็นเพิ่มพลังปราณและตบะของเจ้า ยังไงก็อดทนหน่อยแล้วกัน"

อดทนบ้าอะไรข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว หากมีเพลิงไฟมะนคงเผาร่างของเขาจนเป็นผุยผงแน่ๆ สุดท้ายความรู้สึกของเจ้างูเขียวดับวูบลงอย่างช้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขาอีกแล้ว หนอย ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์ อย่าให้ข้าฟื้นขึ้นมาได้นะจะฉกให้พรุนเชียว

.

.

.

.

ตะวันเคลื่อนผ่านจากเช้าไปบ่าย จากบ่ายจรดเย็น ในที่สุด เจ้างูเขียวจึงฟื้นคืนสติกลับมา ดวงตาสีนิลวาวจ้องมองเพดานอย่างเบลอๆ เขารู้สึกว่าร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า อย่างประหลาด เขายกมือขึ้นตบศีรษะไล่ความมึนงงออกไป เอ๊ะ! มือ งั้นเหรอ ยกมือทั้งสองข้างชูขึ้น ลองลุกขึ้นยืนกระโดด ด้วยความตื่นเต้น

"ข้ากลายเป็นคนแล้ว" แม้จะดูเล็กไปหน่อยแต่นี่มันร่างกายมนุษย์อย่างแน่นอน เขาคลำส่วนต่างของร่างกายรวมทั้งใบหน้าของเขาด้วย

"เจ้าฟื้นขึ้นมา ดูแข็งแรงดีนะ" ชายแก่เอ่ยทักด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แต่ใบหน้าของเจ้างูเขียวในร่างเด็กน้อยกับบึ้งตึงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียง

"ไยเจ้าทำหน้าเช่นนั้น ทำหน้าให้เหมาะกับใบหน้าแสนงดงามนั่นหน่อยสิ" ชายแก่เลิกคิ้วถาม ใบหน้างดงามงั้นเหรอ เจ้างูเขียวลูบคลำใบหน้าตัวเอง เขาไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นเช่นไร

"หน้าของข้าเป็นเช่นไร"

"อยากรู้เจ้าก็ไปที่แม่น้ำสิ" พอสิ้นเสียง เจ้างูเขียวในร่างเด็กน้อยรูปงามจึงรีบวิ่งตรงไปที่ศาลเจ้าข้างทะเลสาบทันที

"นี่ๆ หน้าของข้างั้นเหรอ" เงาในน้ำสะท้อนให้เห็นเด็กชายรูปร่างหน้าตางดงามราวตุ๊กตา เขาลูบคลำใบหน้าตัวเองอย่างดีใจ แม้ร่างกายจะเป็นเพียงเด็กอายุเพียง7ขวบ แต่ก็ไม่สามารถลดทอนความงามนั้นลงไปได้

"แม่หนู แม่หนู ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวน้ำตกท่าไปหรอก" ชาวบ้านในละแวกนั้นเห็นเด็กชายสวมอาภรสีเขียวอ่อนนั่งอยู่ริมน้ำจึงเอ่ย ทักด้วยความเป็นห่วง เด็กชายลุกขึ้นยืน เขาก้มหัวให้กับชาวบ้านคนนั้นหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยคำพูดขึ้น

"ขออภัยท่านอา ข้าแค่อยากมาดูหน้าตัวเองเท่านั้น ยังไงข้าขอตัวก่อน" รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้างดงามของเด็กน้อย ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน . . เจ้างูเขียววิ่งกลับบ้านร้างด้วยอารมณ์แห่งความสุข แต่ต่องชะงักเมื่อบ้านร้างนั้นแปรเปลี่ยนเป็นบ้านหลังใหมเอี่ยมไม่มีแม้แต่ผงฝุ่น อย่างตอนแรกที่เขามาเยือน ภายในบ้านต่างมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน

"นี่คงเป็นฝีมือเจ้าเฒ่านั่น" เจ้างูเขียวพึมพำกับตัวเอง

"เจ้ากลับมาแล้ว มามาข้าเตรียมอาหารเอาไว้ มาทานด้วยกันสิ" ชายแก่วางอาหารมากมายลงบนโต๊ะ ร้องเรียกเจ้างูเขียวให้มาทานด้วยกัน เจ้างูเขียวจึงนั่งลงตรงข้ามกับชายแก่ ขณะที่จะคีบอาหารเข้าปาก ชายแก่ก็พูดขึ้นว่า

"เจ้าชื่ออะไร"

"หา! คุยกันมาตั้งนานเพิ่งคิดถามชื่อ" ดจ้างูเขียวปรายตามองเป็นสัญญาณว่า

'คิดถามชื่อผู้อื่นไยไม่แนะนำตัวก่อน'

"ขออภัยๆ ข้าคือเทพแห่งโชคชะตา มีชื่อว่า ไท้ส่วยเอี๊ย แล้วเจ้าล่ะ"

"ข้ามีชื่อว่า เหม่ยฟาง" เหม่ยฟางคีบอาหารใส่ปากเคี้ยวอย่างมีความสุข นานแค่ไหนนะที่ไม่ได้ลิ้มรสอาหารแบบนี้

"ต่อไปนี้ทุกวันยามเซิน เจ้ากลายร่างเป็นงูเขียวไปรอคนรักของเจ้าที่ต้นเหมย"

"ทำไมล่ะ"

"บัญชาสวรรค์ข้าไม่อาจแพร่งพรายได้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้"

"ชิ"

"เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง ต่อไปเรียกข้าว่าท่านลุงเอี๊ย เราจะอยู่ด้วยกันจนกว่าเจ้าจะเจอคนรัก" พูดจบคนที่บอกให้เรียกท่านลุงเอี๊ยก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาทานข้าว โดยไม่พูดอะไรอีกต่อไป

.

.

.

.

หลังจากนั้นมา เหม่ยฟาง ในร่างงูเขียวสีมรกต ก็จะพาดลำตัวอยู่บนกิ่งเหมย เมื่อถึง ยามเซิน เป็นแบบนี้ตลอดจนชาวบ้านเห็นจนชินตา แต่เหม่ยฟางกลับกลายเป็น สัตว์โชว์ตัวให้แก่เหล่านักท่องเที่ยวที่ผ่านทางมาไปโดยปริยาย ไม่มีข้อโต้แย้ง

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (เห็นข้าเป็นของแปลกประหลาดไปได้คนพวกนี้ ถ้ามีกล้อง มีโทรศัพท์คงหยิบเอามาถ่ายแล้วมั้งเนี่ย) เหม่ยฟางอดบ่นผู้คนไม่ได้ เขาไม่ใช่ตัวประหลาดสักหน่อย มาชี้ไม้ชี้มือกันอยู่ได้ เดี๋ยวก็ฉกซะเลยนี่ ข้าหงุดหงิดแล้วนะ

'ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ'

เหม่ยฟางทำได้แต่ส่งเสียงขู่อย่างจำใจ ไม่อาจใช้พลังทำร้ายใครได้ ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะถูกสั่งห้ามไว้ต่างหากล่ะ แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้พบ หย่งเจิ้ง ล่ะ ข้าต้องรออีกนานแค่ไหนกัน.......

************************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2017 00:30:44 โดย Vammas »

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รอวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว  :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ใจร้ายอ่ะ แค่เข้าใจผิดเองไม่ใช่เหรอถึงกับให้ตายหรือหลงยุคแบบนี้ แล้วเฟิ้งในยุคปัจจุบันล่ะจะทำยังไง
จะไม่ให้ได้อธิบายเรื่องต่างๆ หรือได้สารภาพความในใจเลยเหรอ สงสารเฟิ้งนะใจร้ายไปแล้วววววว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
แปลกดี แปลงร่างได้ด้วย
รอตอนต่อไปค่ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 2 อยู่อย่างคนไร้ใจ

ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายบัดนี้ หน้ากับทรุดโทรมไปตามสภาพของคนไม่ได้ดูแลตัวเอง ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาสูญเสีย คนซึ่งเป็นดวงใจของเขา เขาเฝ้าโทษตัวเอง ต่างๆนานา อยากบอกเล่าความจริงทุกอย่างให้คนที่เขารักได้ฟัง แต่คนคนนั้นไม่สามารถรับฟังความในใจของเขาอีกแล้ว ฟาง กลับมาได้ไหม ฟาง ใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ มันเหมือนโดนบดละเอียดจนไม่อาจฟื้นกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ เขาเจ็บปวดเกินคำบรรยาย สิ่งที่ทำให้เขาลืมได้เพียงชั่วขณะคือการดื่มเหล้า

"เจิ้ง แกเลิกแดกสักทีเถอะ ไอ้เหล้าเนี่ย แดกไปมันไม่ได้อะไรดีเลยนะเว้ย"  วิรุจยื้อแก้วเหล้าออกจากมือของหย่งเจิ้ง เขาทนไม่ได้ที่เพื่อนต้องโทษตัวเองแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่งเขาเองก็ผิดเช่นกัน เพราะเขาปากไวเกินไป ที่ไปต่อว่า หย่งเจิ้ง เขารู้ว่าหย่งเจิ้งไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาเองก็เสียใจกับการจากไปไม่มีวันกลับของ เหม่ยฟาง เช่นกัน

"มึงอย่ายุ่ง กูจะกินเหล้า เอาแก้วเหล้ากูคืนมา" หย่งเจิ้งพยายามแย่งแก้วในมือของอีกฝ่ายกลับคืน
"ไม่ให้ กูรู้ว่ามึงเสียใจ แต่มึงเบาๆหน่อยเหอะ มึงแดกมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ" วิรุจเอ่ยทัดทานเพื่อนพยายามยื้อแก้วเหล้าหนีห่างจากหย่งเจิ้ง แต่ไม่เป็นผล หย่งเจิ้งผลักวิรุจให้ล้มลง พร้อมกับแย่งแก้วเหล้ากลับคืนมา
"มึงอย่ายุ่ง มึงจะไปรู้อะไร หัวใจกูทั้งดวงนะเว้ย หัวใจกูทั้งดวง ฮึกๆ มึงรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน หัวใจกู....ฮึกๆ" เสียงสั่นเครือแฝงความเจ็บปวดแสนสาหัส เอ่ยกับเพื่อน แต่คำพูดนี้ของ หย่งเจิ้ง ทำเอา วิรุจ ชะงักไปด้วย ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่าการขาดหัวใจไปเป็นอย่างไร

"ทำไมกูจะไม่รู้ กูรู้กูถึงห้ามมึง กูรู้กูถึงไม่อยากให้มึงโทษตัวเอง กูรู้เท่าๆกับที่มึงเป็น เพราะว่ากูก็รักของกูเหมือนกัน" วิรุจพูดพลางสกัดกั้นความรู้สึกอันแสนหนักหน่วงนี้ เพื่อไม่ให้เพื่อนรักต้องรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม ขอเพียงเขาเข้มแข็ง เพื่อนของเขาก็ต้องเข้มแข็งตาม แต่มันช่างเย็นนัก เมื่อต้องมาเจอหย่งเจิ้ง ความทรงจำความรู้สึก ยังคงบ่งชี้ถึงคนที่เขาห่วงหาอาทร ได้จากโลกนี้ไปแล้ว

"หัวใจกูมันเต้นอยู่ก็จริง แต่ทำไมกูรู้สึกว่ามันได้หายไปจากอกกูแล้ว มันหายไปแล้ว มึงได้ยินไหมหัวใจกูมันได้ตายไปแล้ว"

เคร้ง! เพล้ง!

เสียงแก้ว และขวดเหล้าถูกกวาดลงจากโต๊ะรับแขกด้วยความโกรธเกี้ยว ข้าวของบนโต๊ะหล่นแตกกระจัดกระจาย เกลื่อนพื้น
"เฮ้ย! ไอ้บ้าเจิ้ง มึงทำบ้าอะไรเนี่ย" สิ่งที่วิรุจตกใจมากที่สุด ไม่ใช่การที่เห็น หย่งเจิ้งกวาดข้าวของหล่นพื้นแตกกระจาย แต่เป็นมือที่กำแก้วเหล้าจนแตกมันบาดลึกเข้าในผิวเนื้อจนเลือดไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกเจ็บปวด

"ไอ้บ้าเอ้ย! มึงปล่อยมือเดียวนี้เลย" วิรุจรีบเข้าไปแกะมือที่กำเศษแก้วออกจากมือวิรุจ มือที่ชุ่มเลือดคลายออก แผลที่ถูกบาดค่อนข้างลึก เศษแก้วชิ้นเล็กๆยังคงฝังอยู่ในแผล
"โอ๊ย!!! ตายๆ กูจะบ้าตาย มึงจะทำร้ายตัวเองไปถึงไหน หัดสงบจิตสงบใจลงบ้างเหอะ" สายตาหย่งเจิ้งมองอย่างเลื่อนลอย ไม่ปรากฏภาพใครในแววตาแม้แต่น้อย เขาเข้าใจความรู้สึกของหย่งเจิ้ง แต่เขาไม่เคยคิดที่จะทรมานตัวเองแบบนี้

"ปล่อยไว้แบบนี้แหละไม่ต้องทำแผล"
"จะบ้าหรือไง กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำร้ายตัวเอง มึงทรมานตัวเองแบบนี้มันดีแล้วหรือไง"
"มีงไม่เข้าใจ"
"เออ! กูไม่เข้าใจ กูไม่เข้าใจว่า มึงจะทรมานตัวเองไปเพื่ออะไร" วิรุจเริ่มหมดความอดทน เขาไม่อยากคุยอะไรกับคนบ้า วิรุจเดินหนีออกมาหยิบไม้กวาดกับที่โกยขยะมาเก็บกวาดสิ่งที่หย่งเจิ้งทำเอาไว้ เขาไม่คิดเลยว่า หย่งเจิ้ง จะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ แม้เขาจะเศร้าโศกและรู้สึกเจ็บปวดมากไม่น้อย แต่พออยู่ต่อหน้าหย่งเจิ้งแล้ว ความทรมานทุกข์โศกนั้นมันช่างเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความรู้สึกของหย่งเจิ้งได้รับแม้แต่น้อย

ทั้งหย่งเจิ้ง ทั้งวิรุจ นั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะรับแขกขวางกั้นไว้ ต่างฝ่ายต่างเงียบเสียง ไร้การปฏิสัมพันธ์ คล้ายจมลงสู่ห่วงแห่งความเศร้าโศกของตนเอง
"มึงไปนอนพักเถอะ กูจะเก็บกวาดให้" วิรุจเหมือนคิดอะไรได้จึงทำลายความเงียบอันแสนอึดอัดนั้นลง หย่งเจิ้งพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืน แต่ไม่วายหยิบเอาขวดเหล้าติดมือไปด้วย จนวิรุจต้องแย่งมาจากมือในทันที
"พอเลยมึง เลิกแดกได้แล้ว"
หย่งเจิ้งมองอย่างหัวเสียเดินเข้าห้องไป แม้มือยังมีอาการปวดแปลบเพราะเศษแก้วแต่เขากับคิดว่านี่ยังน้อยไปไม่เทียบเท่าจิตใจของเขาได้รับ
"เฮ้อ~" วิรุจผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ที่เพื่อนรักยอมเชื่อฟังบ้าง แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนต้องสูญเสียคนที่รัก ก็พาลให้ตัวเองต้องแอบดื่มอยู่บ้างเล็กน้อยไม่ได้มากมายอย่างที่เพื่อนรักของตนทำ เขาเก็บกวาดทุกอย่างจนเรียบร้อยจึงกลับที่พักของตน
.
.
.
.
หย่งเจิ้งเข้ามาภายในห้องนอนด้วยสภาพอ่อนล้า เขาหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับการมีชีวิตอยู่อย่างนี้ เขาอยากตามไปอยู่เคียงข้าง เหม่ยฟาง อยากอยู่ด้วยกัน อยากเห็นหน้ากัน อยากได้ยินเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม อยากฟังเสียงคนชอบเถียง อยากเห็นใบหน้าแง่งอนนั่น


หากเขามีโอกาส เขาอยากบอกว่ารัก อีกฝ่ายมากแค่ไหน อยากจะพร่ำบอกจนอีกฝ่ายออกปากว่าเบื่อคำๆนี้ แต่โอกาสนั้นกลับมลายหายไปในชั่วข้ามคืน หากเขาบอกอีกฝ่ายให้รู้ก่อนหน้านี้ เรื่องทุกอย่างมันคงไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม
"ฟาง เราขอโทษ ฮึกๆ ฮือๆ ฟาง" การอยู่คนเดียวไม่ส่งผลดีต่อสภาพจิตใจของของหย่งเจิ้งแม้แต่น้อย เพราะมันทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา

หย่งเจิ้งลงนอนในอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เขาเปิดน้ำให้ไหลลงสู่อ่างทีละน้อยส่วนตัวเขาก็นอนรับน้ำเย็นที่ค่อยๆท้วมสูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งท่วมมิดทั้งตัว เขาทิ้งตัวจมลงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นอนอยู่อย่างนั้น หากเขาหลับไปตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้พบกับ เหม่ยฟางไหมนะ เขาหลับตาลงอย่างคนเหนื่อยอ่อน แต่วินาทีนั้นกลับรู้สึกถึงมือคู่หนึ่งมาดึงเขาขึ้นจากน้ำ เขาสำลักน้ำที่กินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนได้รับหมัดหนักๆจากคนที่ช่วยดึงเขาขึ้นมา

"มึงมันบ้า ไอ้เชี่ย ดีนะกูย้อนกลับมาเพราะลืมของ ไม่อย่างนั้นกูคงได้ไปงานศพของมึงอีกคนใช่ไหม"
"ไอ้รุจ" หย่งเจิ้งเอ่ยออกมาเสียงอ่อนแรงเมื่อได้สติ
"เออ กูเอง มึงคิดอะไรอยู่วะ มึงทำแบบนี้ทำไม"
"กูแค่จะอาบน้ำ"
"อาบน้ำ อาบน้ำบ้าบออะไรของมึง มึงแม่ง...บ้าฉิบหาย"
"เออ! กูมันบ้า คนบ้าอย่างกู ตอนนี้อยากตาย"
"มึงตายไปมึงคิดว่า ฟางมันจะดีใจเหรอ มึงบอกกูสิมึงบอกกู มึงบอกกู ไอ้เหี้ย..." วิรุจเขย่าตัวเพื่อนรักอย่างเอาเป็นเอาตาย
"แล้วมึงคิดไหมว่า กูอยู่อย่างนี้กูจะมีความสุขไหม ในเมื่อไม่มีฟางอยู่ข้างๆ กูคนนะเว้ย มีความรู้สึก ร้องไห้เป็น กูเจ็บเป็นนะเว้ย กูทนไม่ได้ กูทนไม่ได้ ฮือๆ ฮือๆ"

เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วห้องน้ำ หย่งเจิ้งนั่งกอดเข่าร้องไห้ จนทำให้ วิรุจที่มีท่าทางนิ่งๆ ถึงกับหลั่งน้ำตาตามไปด้วย พวกเขาสองคนมีความรู้สึกกับ เหม่ยฟาง แบบเดียวกัน พวกเขามีเลือดเนื้อจิตใจ พวกเราสองคนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีหากไร้หัวใจอยู่แบบนี้ นั่นคือความคิดของหย่งเจิ้ง และในส่วนลึกของจิตใจของวิรุจด้วยเช่นกัน

แหมะ แหมะ

ขณะทึ่ทั้งคู่กำลังอยู่ในภวังค์ของตน หย่งเจิ้งเกิดอาการแปลกๆ มีเลือดกำเดาสีแดงเข้มไหลออกจากจมูก จนวิรุจที่อยู่ข้างถึงกับตกใจ
"เฮ้ย!  เจิ้ง มึงเป็นอะไร" หย่งเจิ้งใช้มือแตะจมูก เลือดสีแดงทะลักออกมาไม่หยุด หย่งเจิ้ง รู้สึกมึนๆเบลอ ยืนโซเซคล้ายคนจะล้ม จนวิรุจต้องรีบประคองดูอาการเพื่อน
"เฮ้ย!" วิรุจร้องอุทานขึ้นมาเมื่อหย่งเจิ้งหมดสติไป เขาพยายามตบหน้าเรียกอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ไม่เป็นผล หย่งเจิ้งจึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

โรงพยาบาล ห้องพิเศษ 435

"พี่รุจ เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ ทำไมพี่เขาทำไมถึงเป็นแบบนี้" หญิงสาวใบหน้าสดสวยอ่อนเยาว์ เดินเคียงคู่กับ หญิงสาวหน้าตาดีรูปร่างผอมสูงอีกคน พวกเธอมีสีหน้ากังวลใจมากเมื่อทราบข่าวของหย่งเจิ้ง หากไม่มีหย่งเจิ้งพวกเธอคงไม่ได้ยืนเคียงคู่กันแบบนี้

"เสี่ยวหลิง หลั่วหยี่ พวกเธอมาเยี่ยมในงั้นเหรอ" ทั้งสองพยักหน้ารับ
"พี่เจิ้ง เป็นผู้มีพระคุณของเราสองคนนี่คะ" เสี่ยวหลิงพูด
"ใช่ค่ะ หากไม่มีพี่เขาพวกเราคงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้" หลั่วหยี่เอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
"แล้วนี่พี่เขาเป็นไงบ้างคะ" อสี่ยวหลิงเอ่ยถามอาการ

"โรคใจน่ะ หมอนี่มันตรอมใจ  อาการเลยทรุด"
"น่าสงสารจัง เพราะช่วยพวกเราแท้ๆ" เสี่ยวหลิงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยซบไหล่ของหลั่วหยี่
"แล้วจะพื้นเมื่อไหร่คะพี่รุจ" หลั่วหยี่ถามขึ้น วิรุจได้แต่ส่ายหน้าเขาเองก็ตอบไม่ได้ เขากำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขากลัวเพื่อนรักจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แต่การหลับครั้งนี้ หย่งเจิ้งอาจได้พบกับเหม่ยฟางก็ได้นะ ฉันขอให้แก ได้พบกับเหม่ยฟางนะ แม้จะแค่ความฝันก็ตามที
.
.
.
.
 
"แย่แล้ว แย่แล้ว นี่ข้าทำผิดใช่หรือไม่ สงสัยต้องแก้ไขอะไรบางอย่างแล้วสิ" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยกับตนเองอย่างนึกละอายใจที่ตนเองกระทำการผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ เขาคิดแค่ว่า หากช่วย เหม่ยฟางให้หลุดจากยุคนั้นได้ เหม่ยฟางจะมีชะตาที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า คนที่อยู่ในอีกยุค กับทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
"ท่านลุงเอี๊ย ข้ากลับมาแล้ว ท่านกำลังดูอะไรอยู่" ตาเฒ่าเอี๊ยกำลังวางคันฉ่องวิเศษลงบนโต๊ะ ถึงกับตกใจทำคันฉ่องหลุดมือจนเกิดเสียงดัง

เคร้ง!

"โอ๊ย!!! หัวใจข้าเกือบวายไยเจ้ามาไม่ให้สุ่มให้เสียง" เฮ้อ โชคดีนะคันฉ่องของข้าไม่แตก
"ห๊ะ! ข้าเนี่ยนะไม่ให้สุ่มให้เสียง ท่านนี่คงแก่มากแล้วจริงๆ"
"หนอยๆ เจ้าเด็กคนนี้ ปากคอเลาะร้ายยิ่งนัก"
"ชิ! แค่ถามก็ไม่ได้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ เอ้ย" เสียงงึมงำในลำคอดังขึ้นเพียงให้ตนเองได้ยิน
"เจ้าว่าไงนะ"
"เปล๊า!" ชิ! ทีงี้หูดีเชียว

"ว่าแต่ เจ้าเจอคนรักของเจ้าหรือยัง" ตาเฒ่าเอี๊ยเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ เหม่ยฟาง ถามเรื่องก่อนหน้า
"ยัง ข้าเบื่อจะรอแล้วนะ ตาเฒ่า เอ้ย ท่านลุงเอี๊ย ข้าอยากอแกไปตามหาเอง"
"แต่เจ้าต้องรออยู่ทึ่ต้นเหมยนั่น" แม้จะต้องรอนานสักหน่อยก็ตามที ตาเฒ่าเอี๊ยคิดในใจ

"ไม่ ไม่ ไม่เอา ข้าไม่รอแล้ว ข้าเบื่อที่จะต้องรอ จะให้ข้ารออีกนานแค่ไหน" เหม่ยฟางเริ่มงอแงไม่ชอบใจ
"เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลยน่า"
"ก็ข้ายังเด็กอยู่นี่ เห็นไหมข้าอายุเพียง 7ขวบเอง" เหม่ยฟางใช้ข้ออ้างเรื่องขนาดตัวมาอธิบายว่าเขายังเด็ก
"เจ้านี่มัน....เฮ้อ~" ตาเฒ่าเอี๊ยถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้งี้อย่างนี้น่าจะให้ เหม่ยฟางดื่มน้ำแกงยายเมิ่งก่อนก็ได้จะได้ไม่ต้องมาชวนหัวกับเหม่ยฟางในตอนนี้
 "ท่านลุงเอี๊ย ถอนหายใจทำไมเล่า" เพราะใครล่ะเด็กบ้า ยังจะมาทำหน้าทำตาทะเล้นใส่ข้าอีก ข้าล่ะหน่ายใจกับเจ้าเสียแล้วสิ
"เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของข้าสักเรื่องมิได้หรือ"
"ท่านกำลังว่าข้าเหรอ"
"ข้าเปล่า เจ้าอย่าคิดเองเออเองสิ"
"ห๊ะ! ข้าผิดอีกแล้วเหรอ" เหม่ยฟางเกาหัวตัวเองอย่างงงๆ

"ช่างเถอะ ข้าเตรียมกับข้าวอร่อยไว้ให้แล้วมาทานเถอะ"
"ท่านนี่เปลี่ยนเรื่องไวจริงๆ" เหม่ยฟางหรี่ตามองอย่างจับผิดคนโกหก
"เจ้า เจ้า มองข้าเยี่ยงนี่หมายความว่าไง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก 
"ท่านจะตอบข้าได้หรือยัง ว่าข้าต้องรออีกนานแค่ไหน"
"ก็ ก็..."
"ก็อะไร"
"10ปี"

เคร้ง!

"แค่กๆ แค่กๆ"

ตะเกือบในมือของเหม่ยฟางหล่นสู่ชามข้าวพร้อมกับอาการสำลักอาหารที่ทานเข้าไปอย่างหน้าดำหน้าแดง จนตาเฒ่าเอี๊ยต้องตบหลังให้เบาๆ จนคลายสำลัก

"10ปี ท่านจะบ้าเหรอ แดดร้อนก็ร้อน ท่านคิดให้ข้าคนที่อีก 10 ปีจะโผล่มาให้ข้าเห็นหน้าเนี่ยนะ ท่านบ้าไปแล้วเหรอ" เหม่ยฟางร้องโวยวาย
"เหอะน่า นี่เพื่อการสร้างชื่อเสียงของเจ้านะ"
"เอาเถอะ สักวันเขาจะตามหาเจ้าเมื่อได้ยินชื่อเสียงของเจ้า"
"ท่านมีความลับเยอะเกินไปแล้วนะ" เหม่ยฟางหรี่ตามองอีกครั้ง จนตาเฒ่าเอี๊ยถึงกับเบนหน้าหนีไม่กล้าสบตา

"ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะเชื่อท่าน หากหลังจากนี้ 10ปีเขาไม่มาตามหาข้าอย่างที่ท่านบอกข้าจะกินท่านคอยดูเถอะ"
"นี่เจ้า กล้าขู่ข้า"
"ไม่ได้ขู่ แต่บ้าทำจริงๆ"
"เหอะ ตัวเท่างูเขียวคิดจะกินข้า"
"ไหนท่านบอกพออายุข้ามากพอตัวข้าจะใหญ่โตขึ้นไง"

พอได้ฟังเช่นนั้น ตาเฒ่าเอี๊ย ถึงกับเหงื่อตก ข้าลืมไปเลย ว่าเจ้านี่มันเป็นมังกรเขียว หากเป็นเช่นนั้น อีก 10ปี ข้าต่องโดนมันกินแน่ๆ ข้าคิดถูกคิดผิดเนี่ยที่คิดช่วยเรื่องความรักของเจ้าเด็กนี่ ดูสิ คิดจะกินแม้แต่ผู้มีพระคุณ ข้าให้เจ้าเด็กนี่กินน้ำแกงยายเมิ่งตอนนี้ทันไหมมมมม.......ตาเฒ่าเอี๊ยได้แต่ร้องกู่ก้องแต่ภายในใจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2017 16:06:49 โดย Vammas »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
จะฮาาา ก็เทพเจ้านี่ล่ะ 555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอาเฟิ้งไปอยู่ด้วยกันในยุคนั้นเลยนะ ตาเฒ่าเอี๊ย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
สงสารทั้ง 2 คนเลย
คนนึงเศร้าตรอมใจเพราะคิดว่าคนรักตาย
ส่วนอีกคนก็เศร้านึกว่าคนรักของเราไปรักคนอื่น :mew6:

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 o13 ดราม่าจับจิตใจเหลือเกินนนน ชอบ :m3: ตาเฒ่าจะทำไงต่อล่ะยังงี้~ รอจ้า :mew1: :pig4: :3123: :3123:

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

 ตอนที่ 3 เมื่อแรกพบประสบพักตร์

การรอคอยมันช่างทรมานอะไรแบบนี้ 10ปี แล้วนะ 10ปี ที่ข้าเฝ้ารอ แต่ทำไมไม่เห็นมีวี่แววของคนคนนั้นแม้แต่น้อย ดูตัวข้าสินับวันยิ่งใหญ่โตจนกลายเป็นงูยักษ์ไปเสียแล้ว ตัวของข้าใหญ่โตขึ้นเป็น2เท่าของทุกปี ตาเฒ่านะตาเฒ่าคิดจะทำอะไรกันแน่ บอกให้ข้ามารออยู่แบบนี้ จะให้รอในร่างคนหน่อยก็ไม่ได้ แล้วไหนจะไอ้หอคณิกาฝูหลงฮาว ที่มาเปิดบดบังหน้าบ้านข้าอีก ข้าอยากจะพังทิ้งเสียจริง โมโห อารมณ์เสีย แม้เหม่ยฟางจะเป็นงูเขียวตัวใหญ่ยักษ์ผิดธรรมชาติ แต่ผู้คนในหมู่บ้านซีหู กับไม่มีใครหวาดกลัว มีเพียงความเคารพเลื่อมใส แม้แต่พวกเด็กก็ชอบมาเล่นกับเขา

"เจ้างูยักษ์มาเล่นกันเถอะ เจ้างู"
"เจ้างู"
"เจ้างู" เด็กๆต่างร้องเรียก จนทำให้งูอารมณ์เสียเริ่มรำคาญ
"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (ไปให้พ้นข้ารำคาญ เรียกเจ้างู เจ้างู อยู่ได้) เหม่ยฟางในร่างงูยักษ์ปัดหางไปมาไล่พวกเด็กอย่างรำคาญ แต่สุดท้ายกต้องจำใจลงมาเล่นด้วย เพราะทนการลบเล้าไม่ไหว หากไม่ลงมาเล่นด้วยพวกเด็กๆคงตามตอแยไม่เลิก หนอยๆ ข้าแค่ยอมให้ก่อนหรอกนะ คราวหน้าไม่ทางที่ข้าจะเล่นด้วยอีกคอยดู แม้จะพูดอย่างนั้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยทำสำเร็จสักครั้ง

เมื่อตกเย็นเหม่ยฟางในร่างงูมุดน้ำเข้าไปใต้สะพาน เพื่อกลายร่าง เป็นอย่างนี้ตลอด 10ปี แม้ยุ่งยากสักหน่อย ขอเพียงไม่มีใครจับได้เขาก็รู้สึกดีมากแล้ว แต่ใครจะไปนึกล่ะว่า จู่ๆ จะมีเรือท่องเที่ยวผ่านมา เหม่ยฟางในร่างบุรุษรูปงามโผล่ขึ้นจากน้ำโดยไม่ทันระวังตัว จึงถูกเรือชนเข้าอย่างแรง ร่างทั้งร่างลอยกระเด็นจมลงในน้ำอีกครั้ง

"ตาย ตาย ข้าตายแน่ๆ"เสียงนายท้ายเรือโวยวายเมื่อรู้ว่าตนชนเข้ากับอะไร
"เกิดอะไรขึ้น เรือชนเข้ากับสิ่งใด" ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลารูปร่างกำยำ มีกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธ ถามขึ้นเมื่อขึ้นจากท้องเรือ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเรือชนเข้าอะไรบางอย่างจึงได้ขึ้นมาดู
"เรียนนายท่าน คือ ว่า คือ"
"มีอะไรก็รีบพูดมา"
"คือ...ข้าคิดว่าเรือชนคนขอรับ"
"ชนคน? จะเป็นไปได้อย่างไร" น้ำออกลึก คนที่ไหนจะมาว่ายน้ำเล่นแถวนี้

"จริงๆนะขอรับ ตอนเรือแล่นมาจู่ๆ คนคนนั้นก็โผล่ขึ้นมา แล้ว..." นายท้ายสีหน้าซีดเผือดด้วยความกังวล เอ่ยด้วยน่ำเสียงไม่สู้ดี ทั้งยังยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าตนชนคน

"อวี๋เหวินเต๋อ เกิดอะไรขึ้น" น้ำเสียงกังวานก้องน่าเกรงขามเอ่ยถามขึ้นจากภายใต้ท้องเรือ
"เรียนคุณชาย นายท้ายเรืออ้างว่าตนเองแล่นเรือชนเข้ากับคนขอรับ"
"ชนคน?" ผู้เป็นนายถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
"ขอรับ"

"ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ จู่ๆเขาก็โผล่ขึ้นมา ข้าน้อยจะหยุดเรือทันได้อย่างไร" นายท้ายคุกเข่าอ้อนวอนคุณชายที่อยู่ใต้ท้องเรือ
"เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ หากชนคนจริงจงรีบลงไปช่วยคนที่เจ้าบอกก่อนเถอะ" ชายหนุ่มรูปงามสง่าดูเหมือนคุณชายสูงศักดิ์เดินขึ้นมาจากท้องเรือ แล้วออกคำสั่งให้ผู้เป็นบ่าวให้ลงไปช่วยคนที่ถูกเรือชน

"ขอรับคุณชาย" สิ้นคำสั่งผู้เป็นนาย อวี๋เหวินเต๋อจึงกระโดดน้ำลงไปเพื่อตามหาคนที่ถูกเรือชน เขาดำผุดดำว่ายในน้ำหลายชั่วยาม จนกระทั่งพบร่างของคนคนนั้น นอนหลับไหลอยู่บนขอนไม้ ศีรษะมีเลือดสีแดงเข้มไหลออกมาเล็กน้อย

เพียงเข้าประคองกลับรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดเข้าที่ร่างกายจนตัวชาเพียงเห็นหน้าคนเจ็บ เขารู้สึกอะไรบ้างอย่างก่อกวนปั่นป่วน ร่างกายนุ่มนิ่มผิวเย็นเฉียบดั่งหิมะเช่นกับสีผิว ใบหน้างดงามราวเทพสวรรค์แม้จะซีดเผือดแต่ความงามกับไม่สร่างหายไป แต่อวี๋เหวินเต๋อจำต้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านนั้น เขารีบดึงร่างบอบบางไร้สติขึ้นเรืออย่างเร่งด่วน
"หาพบแล้วขอรับคุณชาย ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ"
"ดีมาก งั้นรีบพาขึ้นฝั่งไปรักษาเถอะ" ผู้เป็นนายหันมาสั่งนายท้ายให้นำเรือขึ้นฝั่ง

"ขอรับ" นายท้ายรับคำรีบนำเรือขึ้นฝั่งอย่างด่วน มีเพียงอวี๋เหวินเต๋ออุ้มคนเจ็บก้าวขาเหยียบพื้นดินชาวบ้านต่างพากันจ้องมองอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเห็นว่าคนเจ็บที่อุ้มมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างพากัน หันมาสนใจโดยไม่ได้นัดหมาย ชี้ไม้ชี้มือมาทางพวกเขา
"นั่น เหม่ยฟาง นี่"
"จริงด้วยนั่นเหม่ยฟาง" ชาวบ้านส่งเสียงเอ่ยชื่อคนถูกอุ้มเข้าโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อยิ้มหน้าบานวิ่งเข้าต้อนรับ
"เตรียมห้องให้ข้า 1ห้อง จากนั้นเตรียมอาหารเลิศรสสัก2-3อย่างไปส่งให้คนบนเรือ"
"ขอรับ ถ้าอย่างไรเชิญด้านบนก่อน เดี๋ยวข้าน้อยนำไปที่ห้อง แล้วจึงจะนำอาหารไปส่งให้" ว่าจบจึงเดินนำขึ้นไปบนห้อง สายตายังคงเหลือบมองคนที่ถูกอุ้มอยู่ในวงแขน จนอวี๋เหวินเต๋อต้องเอ่ยถาม

"เจ้ารู้จักนางงั้นเหรอ"
"เอ่อ...ขอรับ ข้าน้อยรู้จักคุณชายเหม่ยฟางอยู่บ้าง แค่ไม่สนิทอะไรนัก ว่าแต่ เกิดอะไรขึ้นกับคุณชายเหม่ยฟางหรือขอรับ" เสี่ยวเอ้อเอ่ยถามเสียงเบา

 "เกิดเหตุขึ้นเล็กน้อยว่าแต่ คนผู้นี่เป็นบุรุษ?" อวี๋เหวินเต๋อถามย้ำให้แน่ใจว่า เขาไม่คิดว่า บุรุษเหตุใดจึงมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นนัก ไหนจะผิวกายจะเรียบเนียน เนื้อตัวนั้นก็นุ่มนิ่ม ทั้งยังหน้าตาที่งดงาม

เกินหญิงนี่อีก ไหนเลยจะมีใครเชื่อว่าเขากำลังอุ้มบุรุษอยู่ เสี่ยวเอ้อมองท่าทางคุณชายผู้องอาจ ก่อนคลี่ยิ้มเล็กน้อยตอบข้อสงสัยให้กับเหวินเต๋อ
"ท่านไม่ใช่คนเดียวที่เข้าใจผิดหรอกขอรับ ขนาดข้าหรือใครในหมู่บ้านยังเคยเข้าใจผิดว่าเป็นอิสตรีเลยขอรับ"
"งั้นเหรอ ถ้าอย่างไรเจ้าช่วยไปตามหมอกับครอบครัวของคนผู้นี้ได้หรือไม่"
"ได้สิขอรับ คุณชายเหม่ยฟางอาศัยอยู่หลังหอคณิกาฝูหลงฮาวนี่เอง เดี๋ยวข้าจะออกไปตามท่านลุงของคุณชายเหม่ยฟางมาให้เองขอรับ ถ้ายังไงเชิญคุณชายตามสบาย"

อวี๋เหวินเต๋อ พยักหน้าเขาวาง เหม่ยฟางลงบนตั่งเตียง เห็นเสื้อผ้าอีกฝ่ายเปียกชื้น จึงคิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่ใจกับนึกกังวลแม้จะเป็นบุรุษแต่เขากับไม่กล้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หากไม่เพราะรูปร่างที่งดงามเกินหญิงนี่ล่ะก็...เขาคงทำไปนานแล้ว ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
"เจ้าทำอะไรอวี๋เหวินเต๋อ" ผู้เป็นนายก้าวเท้าเข้ามาในห้อง อวี๋เหวินเต๋อตกใจถึงกับสะดุ้งนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย

"ข้าน้อยกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คนผู้นี้ขอรับ" ผู้เป็นายชะโงกหน้าไปมองแต่ไม่เห็นหน้าคนเจ็บ เห็นอพียงรูปร่างอ้อนแอ้นคล้ายสตรีเพศจึงกล่าวทักท้วงขึ้น
"แต่คนนั้นเป็นอิสตรีเจ้าคิดจะล่วงเกินนางหรือไง" ผู้เป็นนายขึ้นเสียงเข้มอย่างไม่พอใจนักที่คนของตนคิดทำรุ่มร่ามกับอิสตรีที่เพิ่งพบหน้า

"หามิได้องค์ชายหย่งเจิ้ง" อวี๋เหวินเต๋อหลุดปากเอ่ยนามผู้เป็นอย่างลืมตัว
"นี่เจ้า..." จ้าวหย่งเจิ้ง หน้าตาถมึงทึงมองอวี๋เหวินเต๋ออย่างคาดโทษ
"ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย"
"พอๆ เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไปสาวใช้มาเปลี่ยนชุดให้นาง"
"ไม่ได้ขอรับ อย่างคนผู้นั้นก็เป็นบุรุษ"

"บุรุษ? แล้วไยเจ้าไม่รีบเปลี่ยนชุดให้เขา" จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองอย่างจับผิด เขาไม่รู้ว่าหน้าตาของคนเจ็บเป็นเช่นไร เพียงเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจคนเจ็บนั้นเท่าไหร่นัก ตอนที่อวี๋เหวินเต๋อช่วยขึ้นมาเขาจึงรีบไล่ให้ไปพาไปรักษา ไม่ได้สนใจใคร่รู้ว่าหน้าตาคนเจ็บเป็นเช่นไร แต่ถึงกับทำให้อวี๋เหวินเต๋อไปไม่เป็นเช่นนี่ ช่างหน้าสนใจนัก

"คือว่า ข้าน้อยไม่กล้า" พอได้ยินคำตอบของอวี๋เหวินเต๋อ จ้าวหย่งเจิ้งถึงกับลมออกหู กับอีแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้บุรุษมันจะยากเย็นเพียงใดเชียว

"ออกไป!"
"คุณชาย"
"ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเอง เจ้าออกไป ในเมื่อเจ้าทำไม่ได้ ข้าคงต้องทำเอง" พอสิ้นคำผู้เป็นนายอวี๋เหวินเต๋อถึงกับเดอนคอตกออกจากห้องไป
จ้าวหย่งเจิ้งเดินตรงไปที่เตียงนอนอย่างช้าแหวกม่านผ้าที่ตกหล่นลงมา ให้เปิดออก จึงพบหน้าคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง จ้าวหย่งเจิ้งแทบลืมหายใจเมื่อเห็นใบหน้าของคนบนเตียง เขาไม่แปลกใจเลย ทำไมอวี๋เหวินเต๋อ ถึงไม่กล้าแม้จะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของคนผู้นี้ เพียงเพราะรูปร่างหน้าตาที่งดงามเกินบรรยายนี่กระมัง ระหว่างที่กำลังจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอยู่ดวงตาสุกใสของเหม่ยฟางก็เปิดออก สองตาสบกัน ใจหนึ่งเต้นด้วยความตกใจ อีกใจหนึ่งเต้นด้วยความรู้สึกผิดแผกต่างจากเดิม

"เจ้าจะทำอะไรข้า" ร่างกายบอบบางดันตัวกระถดถอยหลังน้ำเข้าไปยังมุมเตียง น้ำเสียงไพเราะชวนลุ่มหลงเปล่งออกมาจากปากสีแดงชาด
"ข้ากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งเสียงราบเรียบไม่แสดงอาการใดๆออกมา
"เปลี่ยนเสื้อผ้า" พอก้มมองเห็นเพียงเสื้อตัวในเปียกชื้นจึงเงยหน้าเพ็งมองใบหน้าของคนที่คิดจะเปลื้องผ้าตนให้ชัดเจน เขาขยี้ตาตัวเองอยู่หลายรอบ จนจ้าวหย่งเจิ้งต้องคว้ามือของอีกฝ่ายไว้
"เจ้าเป็นอะไร เคืองตางั้นเหรอ"

"เจิ้ง" เหม่ยฟางเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เจอกับหย่งเจิ้งในเวลาเช่นนี้
"หือ?...ข้าบอกชื่อกับเจ้าแล้วงั้นเหรอ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัยทั้งน้ำเสียงยังแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว แม้เหมือนอคยเห็นหน้าแต่เขามั่นใจว่าเขาเพิ่งพบคนผู้นี้เป็นครั้งแรก
"คือข้า..." เหม่ยฟางก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยความใดออกมาปากพล่อยจริง เรียกชื่ออกไปได้อย่างไรกัน แบบนี้ข้าคงเป็นได้แค่คนน่าสงสัยสินะ

"เมื่อเจ้าฟื้นแล้วถ้าอย่างไรเจ้าก็จงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งยื่นเสื้อผ้าส่งให้
"ขอบคุณ คุณชาย เอ่อ..." เหม่ยฟางมองหน้าอีกฝ่ายแม้อยากยิ้มแต่ก็หาทำได้ จ้าวหย่งเจิ้งไม่มีความทรงจำในชาติก่อนอยู่เลยแม้แต่น้อย หรือเพราะหนาตาของเขาที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้
"เรียกข้า เจิ้ง อย่างที่เจ้าเรียกตอนแรกนั่นก็ได้" จ้าวหย่งเจิ้งตัดปัญหา มองดูคนเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า

"คือ...ท่านออกไปท่านออกไปก่อนได้หรือไม่" ข้าไม่กล้าเปลี่ยนต่อหน้าเจ้าหรอกนะ รีบๆออกไปสิ เหม่ยฟางได้แต่ถอดถอนใจ
"เจ้าก็ผัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปสิข้าแค่ไม่อยากลุกเดินออกไปไหน" ออกไปข้าได้ขายหน้า เจ้าอวี๋เหวินเต๋อสิที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจ้า
"แต่..."
"เป็นบุรุษเพศเช่นกัน เจ้าจะกลัวอะไร หรือเจ้ากลัวข้า" จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ใคร ใครกลัวท่านคนอย่างข้าไม่เคยกลัวอยู่แล้ว"
คำพูดหลุดปากออกไปนั้นกับเป็นไปตามความต้องการของจ้าวหย่งเจิ้งอย่างเหมาะเจาะ ปากเจ้าช้างเจรจาน่ารักนัก หึหึ

ก็อก ก็อก ก็อก

เสียงประตูถูกเคาะขึ้นอย่างขัดจังหวะ จ้าวหย่งเจิ้งมองไปที่ประตูอย่างอารมณ์เสีย
"ใคร"
"ข้าน้อยอวี๋เหวินเต๋อขอรับคุณชาย"
"มีอะไร"
"พอดีมีคนอ้างว่าเป็นท่านลุงของคุณชายเหม่ยฟางมาขอเข้าพบขอรับ"
"ทราบแล้ว เจ้าให้เขารออยูาด้านล่าง ข้าจะลงไปพบเขาเอง"
"ขอรับ"
"เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้า...อ๊ะ เจ้า" เหม่ยฟาง ยืนยิ้มร่าเมื่อเห็นท่าทางแปลกใจของจ้าวหย่งเจิ้ง
"ข้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว ถ้ายังไงข้าลงไปหาท่านลุงข้าได้แล้วใช้ไหม"
"เจ้า ทำไมถึง..."จ้าวหย่งเจิ้งชี้มือไปที่เหม่ยฟาง เขาหันไปคุยกับอวี๋เหวินเต๋อเพียงไม่นาน ทำไมเขาถึงเปลี่ยนเสท้อผเาได้เร็วขนาดนี้ เจ้าทำข้าให้แปลกใจจริงๆ
"ข้าทำไมเหรอ..." เหม่ยฟางยิ้มจนตาหยี ใครจะบอกเจ้าล่ะว่าข้าใช้เวทมนต์
"ถ้าเช่นนั้น เราลงไปข้างล่างเถอะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับ เดินตามจ้าวหย่งเจิ้งไปโดยไม่อิดออด

"เหม่ยฟางหลานลุง ลุงได้ข่าวว่าเจ้าบาดเจ็บเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" ตาเฒ่าเอี๊ยรีบวิ่งเข้าไปกอดหลานชายอย่างเป็นห่วงรักใคร่
"ท่านลุงเอี๊ยข้าไม่เป็นไร ปล่อยข้าเถอะ" เหม่ยฟางกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงรอดไรฟันกับตาเฒ่าเอี๊ย 'เจ้าอยากตายหรือไง ปล่อยข้า'
"โธ่ หลานรัก เจ้าไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหม" ตาเฒ่าเอี๊ย หาได้ฟังไม่ ทั้งยังกอดแน่นขึ้น 'เจ้าต้องขอบคุณข้าสิ'

'ปล่อย! ไม่เช่นนั้น หากกลับบ้านไปข้าจะกินเจ้าแน่ๆ' คำขู่นี้ได้ผลดีนัก ตาเฒ่าเอี๊ยยอมปล่อยแต่โดยดี มองหน้าเหม่ยฟางอย่างไม่ชอบใจนัก
"ขอบคุณคุณชายทั้งสองที่ช่วยหลานข้า ข้าไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี" ตาเฒ่าเอี๊ยคุกเข่าให้กับจ้าวหย่งเจิ้งและอวี๋เหวินเต๋อ
"ท่านลุกขึ้นเถอะหากใครเดือดร้อนเราย่อมช่วยเหลือ"

"ถ้าเช่นนั้นข้าขอนำหลานข้ากลับบ้านก่อนหากช้ากว่านี้พวกบ้าคงเข้าบ้านไม่ได้" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยวาจาแฝงความนัยเอาไว้ ลุกขึ้นจูงมือเหม่ยฟางออกไป
"ช้าก่อน ที่ท่านบอกหมายความเช่นไร" จ้าวหย่งเจิ้งทักท้วงเมื่อได้ยิน
"เอ่อ คือบ้านของข้ากับหลานอยู่หลังหอคณิกาฝูหลงฮาว หากกลับหลังตะวันตกดิน เกรงว่าหลานข้าจะไม่ปลอดภัย เพราะด้วยหน้าตาหลานของข้านั้น..." ตาเฒ่าเอี๊ยเหลือบมองใบหน้าหลานชายซึ่งใบหน้ายามนี้ของเหม่ยฟางดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

"ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้อวี๋เหวินเต๋อไปส่งพวกเจ้า" จ้าวหย่งเจิ้งมองดูทั้งสองอย่างเฉยชา แต่ในใจกับเต้นเร่าๆด้วยความเป็นห่วงเหม่ยฟาง
"ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ" ตาเฒ่าเอี๊ยแสร้งหลั่งน้ำตาหันมายิ้มให้เหม่ยฟาง ตาเฒ่าเอี๊ยเล่นเยอะไปแล้วนะ ลงทนหลั่งน่ำตาเชียวนะ เทพประสาอะไรโกหกหน้าด้านๆ ชิ!

"เชิญท่านลุง เชิญคุณชายเหม่ยฟาง" อวี๋เหวินเต๋อเดินนำทั้งออกจากโรงเตี๊ยม เหม่ยฟางจ้องมองหน้าด้านข้างของอวี๋เหวินเต๋อตาไม่กระพริบ
'ทำไมข้ารู้สึกคุ้นหน้าคนคนนี้ คลับคล้ายคลับคลา วิรุจเกินไปแล้ว'
"คือคุณชายเหม่ยฟางมีอะไรติดหน้าข้างั้นหรือขอรับ ถึงได้จ้องหน้าข้าเช่นนั้น" อวี๋เหวินเต๋อคล้ายเกิดอาการประหม่า เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
"เจ้าเคยอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่"

"เคยสิ ประมาณ 10ปีเห็นจะได้ ตอนเด็กข้าเคยเล่นแถวนี่ ทั้งยังเลี้ยงงูเขียวไว้อีก เจ้างูนั่นแสนรู้บอกเลยนะ แต่ว่า..." อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยด้วยออกมาทั้งรอยยิ้มแต่น้ำเสียงกับแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย
"แต่เจ้าก็ทิ้งมันไปสินะ" เจ้านี่เอง เจ้าเหวินเต๋อน้อยในตอนนั้น หนอยๆ บังอาจทิ้งข้าได้เจ้าช่างใจร้ายนัก เหมือนอวี๋เหวินเต๋อจะไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเคยกระทำไว้

"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งเจ้างูเขียวนั่น แต่เป็นเพราะ...มันมีเหตุ" อวี๋เหวินเต๋อ เอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมอง แต่กับเหม่ยฟางแล้ว เขาเหมอนคนถูกทิ้ง เดินเข้าไปทุบหน้าอกอวี๋เหวินเต๋อครั้งแล้ว ครั้งเล่า ด้วยความคับแค้นใจ
"เหตุอะไร ถึงได้ทิ้งไปโดยไม่บอกลา รู้ไหมว่าเหงาแค่ไหน ที่ต้องอยู่คนเดียว เจ้ารู้ไหม ว่ามันเหงาแค่ไหนที่ต่องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทัเงๆที่เป็นเพื่อนกันแล้วแท้ๆ ทั้งๆที่เป็นเพื่อนกัน"

"หยุดๆ เหม่ยฟาง ห้ามร้องไห้นะ" ตาเฒ่าเอี๊ยฉุดรั้งเหม่ยฟาง ออกมาจาก อวี๋เหวินเต๋อ เมื่อเห็นเหม่ยฟางกำลังจะหลั่งน้ำตา เหม่ยฟางชะงักถอยห่าง จากอวี๋เหวินเต๋อ
"คุณชายไม่ต้องไปส่งพวกข้าแล้ว ดูสิเหม่ยฟางหลานข้าสติหลุดแล้ว ขออภัยด้วยที่หลานชายข้าล่วงเกินท่าน"
"ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าไม่ให้ข้าไปส่งแน่หรือ"
"แน่สิขอรับ เดี๋ยวข้าพาหลานอ้อมไปทางอื่นคงไม่เจอคนของ หอฝูหลงฮาว หรอกขอรับ" ตาเฒ่าเอี๊ยบอกด้วยรอยยิ้มก่อนดึงตัวเหม่ยฟางออกห่าง อวี๋เหวินเต๋อมองทั้งสองอย่างงง แต่เขาไม่อาจทิ้งคำสั่งของผู้เป็นนายไปได้จึงแอบตามไปจนถึงบริเวณ หอคณิกาฝูหลงฮาว

"ตาเฒ่าบ้า เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ห้ามข้า"
"เจ้าสิบ้า หากเจ้าหลั่งน้ำตาจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าน่าจะรู้นะว่าน้ำตาของเจ้าจะทำให้ผู้อื่นสงสัย"
"แต่ข้าแค้นใจ"
"แค้นใจ เจ้าเป็นคนรักกับเจ้านั่นหรือไง ถึงได้เจ็บแค้นนัก"
"ไม่ใช่ เจ้านั่นเป็นแค่เพื่อนในยามเด็ก"
"แล้วไยเจ้าถึง จะเป็นจะตายเช่นนั้น สรุปแล้วเจ้าคิดยังไงกันแน่ ใจเจ้าอยู่ที่ใครกันแน่"
"ข้า..." ใจของข้าคิดอย่างไร ข้ารักหย่งเจิ้ง ข้ามั่นใจเรื่องนั้นข้าสามารถตายได้เพราะเขา แล้วกับอีกคนล่ะ เขาเป็นแค่เพื่อนของข้า แล้ว ทำไมข้าถึงอยากหลั่งน้ำตาเวลาที่เขาห่างไกลจากข้าล่ะ.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-05-2017 13:53:11 โดย Vammas »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
โอ้!!! ตกลงรักใครล่ะเนี่ย อิอิ

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
รู้สึกสับสนแทนจริงๆ

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

 ตอนที่ 4 จิตใจที่กระวนกระวาย

หน้า หอคณิกาฝูหลงฮาว มีคนคุมร่างใหญ่สองคนยืนคุมทวารประตูไม่ให้ใครเข้าไป เมื่อเห็นสองตาหลานเดินเข้ามาจัดขวางเอาไว้ไม่ให้เข้าไปด้านใน

"ช้าก่อน พวกเจ้าสองตาหลานจะไปไหน"

'ข้าเป็นแค่ลุงไยพวกเจ้าถึงหาว่าข้าเป็นตากัน ชิชะ! เจ้าพวกนี้' ตาเฒ่าเอี๊ยก่นด่าอยู่ในใจ

"พวกข้ากำลังจะกลับบ้าน โปรดหลีกทางให้พวกข้าสองคนด้วย" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยถามเสียงเรียบ พยายามเดินฝ่าวงล้อมของผู้ขวางประตู

"ไม่ได้ หากเจ้าจะเข้าก็ต้องเข้าไปคนเดียว หลานสาวของเจ้าห้ามเข้า ที่นี่มีไว้สำหรับบุรุษหาใช่สตรีไม่"

"หลานสาว?"

"ใช่ ก็หลานเจ้าคนนี้ไง" ชายร่างใหญ่ชี้มาที่เหม่ยฟาง งดงามเช่นนี้ คงใช่บุรุษหรอก

"หลานข้าเป็นบุรุษหาใช่สตรีไม่" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง ร่างใหญ่สองคนสบตากันพร้อมรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรนักก่อนพูดว่า

"ถ้าเช่นให้พวกข้าพิสูจน์สิ" ว่าจบสองร่างใหญ่สองคนก็คว้าข้อมือเหม่ยฟาง ยื้อยุดฉุดกระชากอย่างไม่เกรงใจ ตาเฒ่าเอี๊ยทำท่าเข้าห้ามปราม แต่กลับถูกถีบจนล้มลงบนพื้นอนื้อตัวเปรอะเปื้อนจนดูน่าเวทนา

'เจ้าเฒ่าเจ้าเล่ห์ ทำไมไม่ใช้พลังของเจ้า คิดจะทำการใดทำไมไม่บอกกล่าวข้าก่อน'

เหม่ยฟางสบถในใจเมื่อเห็นตาเฒ่าเอี๊ยแกล้งล้มลุกคลุกคลาน ทั้งยังไม่ใช้พลังของตนหยุดเจ้าคนพวกนี้อีก เหม่ยฟางพยายามดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมด้วยแรงมหาศาลเมท่อหลุดพ้นจากอุ้งมือใหญ่ได้ จึงรีบเข้าพยุงตาเฒ่าเอี๊ยพร้อมกับกระซิบเสียงรอดไรฟันว่า

'คิดจะทำการใด ไยไม่ปรึกษาข้าก่อน ไยข้าต้องยอมให้เจ้าพวกนั้นแตะเนื้อต้องตัวด้วย'

'เจ้าไม่สังเกตุหรือไงว่า อวี๋เหวินเต๋อ ตามเจ้ามา'

เพียงสิ้นคำพูดตาเฒ่าเอี๊ย อวี๊เหวินเต๋อก็โผล่ออกมาจากเงามืดเข้าช่วยเหลือทั้งสอง จนหมอบราบคราบ

"พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล

ตาเฒ่าเอี๊ยแสร้งกระอักเลือดออกมาจนทำให้เหม่ยฟางถึงกับอ้าปากค้าง

'เล่นใหญ่ไปแล้วนะ'

ตาเฒ่าเอี๋ยคว้าแขนอวี๋เหวินเต๋อไว้ก่อนเอ่ยคำคล้ายการสั่งเสียหลานสุดที่รักไว้กับเขา

"คะ คุณชายอวี๋ แต่คงไม่รอดแน่ๆ ถ้าเช่นไร อึก ข้าขอฝากฝังหลานข้าไว้กับท่านได้หรือไม่ อึก" ตาเฒ่าเอี๊ยกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง จนทำให้อวี๋เหวินเต๋อต้องยอมรับปาก เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าสองคนนั่นจะทำให้ท่านลุงเอี๊ยบาดเจ็บรุนแรงถึงขนาดนี้

เหม่ยฟางกัดฟันกรอด แสร้งร้องไห้ออกมาอย่างคนที่น่าสงสาร แต่ในใจกับเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เหม่ยฟางก้มกอดร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจ แต่ความจริงกับกระซิบข้างหูตาเฒ่าเอี๊ยว่า

'เจ้าคิดหนีข้างั้นเหรอ ตาเฒ่าเอี๊ยเจ้าเล่ห์'

'โฮะๆ ข้าแค่ทำให้เจ้าได้ใกล้ชิดคนรักของเจ้ามากขึ้นต่างหาก'

'ข้าชังเจ้านักตาเฒ่า'

'ข้าถือว่าเป็นคำชมของเจ้า ข้าจะคอยช่วยเจ้าจนกว่าเจ้าจะสมหวังไม่ต้องห่วง'

เหม่ยฟางเงยหน้าขึ้นจ้องมองตาเฒ่า นี่เจ้าเล่นใหญ่ขนาดยอมตายเชียวนะตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ อยากได้รางสัลตัวประกอบยอดเยี่ยมหรือไง อวี๋เหวินเต๋อเห็นว่าตาเฒ่าสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตา จึงดึงร่างเหม่ยฟางออกมาแล้วพากลับโรงเตี๊ยม จากนั้นจึงสั่งให้คนไปจัดการเรื่องศพของตาเฒ่าเอี๊ย แต่ในเลยจะรู้ว่าจริงๆแล้วแม้กายหยาบตายแต่กายทิพย์ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ มีเพียงเหม่ยฟางเท่านั้นที่มองเห็น

"เจ้าคงเหนื่อยสินะไปพักเถอะ นอนที่ห้องข้าคงไม่เป็นไรนะ"

"ขอบคุณท่านมาก ว่าแต่พวกท่านมาท่องเที่ยวอย่างนั้นหรือ"

"เปล่าหรอก พวกข้ามาตามหางูเขียวมรกตที่ข้าเคยเลี้ยงไว้"

"ตามหามันทำไมหรือ?"

"อีกไม่นานเจ้าจะรู้เอง ไปนอนเถอะ"

เหม่ยฟางพยักหน้ารับเดินตามอวี๋เหวินเต๋อไปที่ห้อง ยังไม่ทันที่จะก้าวขาเข้าไป ประตูห้องข้างๆ กลับถูกเปิดออก คนที่ก้าวขาออกมามองมายังเหม่ยฟางด้วยสีหน้าฉงน เหม่ยฟางตกใจถึงหนีไปอยู่ดิานหลังอวี๋เหวินเต๋อ

"ไยเจ้ายังอยู่ที่นี่" เสียงเย็นเยียบมองมายังร่างบอบบาง ที่ตอนนี้ยืนหลบอยู่ด้านหลังอวี๋เหวินเต๋อ

"คุณชาย ข้าน้อยขออภัยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบ พอดีระหว่างทาง ทาานลุงเอี๊ยถูกรุมทำร้ายจนถึงแก่กรรม ข้ารับปากท่านลุงเอี๊ยว่าจะรับดูแลเหม่ยฟาง ก่อนสิ้นใจขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อคุกเข่าลง ก้มหน้าสำนึกผิด จนเหม่ยฟางต้องคุกเข่าตาม

"แล้วเหม่ยฟางเจ้านอนที่ใด" จ้าวหย่งเจิ้งถามด้วยความใคร่รู้

"เรียนคุณชายข้าจะนอนที่เดียวกับคุณชายอวี๋เหวินเต๋อขอรับ" เหม่ยฟางตอบตามความจริง

"ไม่ได้!" ปากไวกว่าความคิด จ้าวหย่งเจิ้ง แม้จะเป็นคนเยือกเย็น แต่ในคร่านี้ในใจเขากับร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก จึงหลุดปากออกไป

"ถ้าเช่นนั้นคุณชายให้ข้านอนที่ใดกัน" เหม่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย

"เจ้ามานอนห้องข้า"

"คุณชายเป็นผู้สูงศักดิ์ข้าคงไม่อาจร่วมเตียงกับคุณชายได้" เหม่ยฟางตอบสองแง่สองง่ามชวนให้ผู้อื่นเข้าใจผิด

"นั่นสิขอรับคุณชาย ให้เหม่ยฟางนอนกับข้าน้อยก็ได้นะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อเอ่ยท้วงอย่างจริงใจเขาไม่อยากให้ผู้เป็นนายเสื่อมเกียรติ

คำพูดแต่คนฟังแลเวไม่รื่นหู จ้าวหย่งเจิ้งแม้แต่น้อย ไยไม่มีใครฟังคำสั่งข้า ข้าบอกได้ก็ย่อมได้สิ สายตาจ้องมองไปยังมือของเหม่ยฟางที่ตอนนี้เกาะกุมท่อนแขนแกร่งของอวี๋เหวินเต๋อ มันยิ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวมากขึ้น

"เจ้าไปนอนกับข้า" ว่าจบก็คว้าข้อมือร่างบาง ดึงเข้ามาในอ้อมแขนของตนโดยไม่ต้องคิด  ยิ่งทำให้อวี๋เหวินเต๋อ ฉงนกับการกระทำของผู้เป็นนาย

"คุณชาย ให้เหม่ยฟางนอนกับข้าน้อย..." อวี๋เหวินเต๋อกำลังจะกล่าวทักท้วง กับต้องสงบคำเพราะสายตาที่ผู้เป็นนายจ้องมองมา

"คำสั่งข้าเจ้ากล้าขัด"

"ข้าน้อยไม่กล้า"

"ไปนอนได้แล้ว ส่วนเจ้าตามข้ามา" หลังไล่อวี๋เหวินเต๋อไปนอนเรียบร้อยจึงหันมาบอกคนที่อยู่ในอ้อมแขนรั้งดึงเข้าห้องไป

ใต้แสงไฟสลัวภายในห้อง เหม่ยฟางถูกจ้าวหย่งเจิ้งรั้งตัวจนมาถึงเตียงนอน ร่างทั้งร่างถูกผลักขึ้นไปบนเตียงโดยมีจ้าวหย่งขึ้นตามติดๆ

"จะ จะทำอะไร" เหม่ยฟางถามเสียงสั่น จ่องมองร่างสูงอย่างหวาดหวั่น จ้าวหย่งเจิ้งยิ้มละไม ผลักร่างเหม่ยฟางให้ล้มลงนอน แขนข้างหนึ่งเอื้อมไปด้านของของร่างบาง ใบหน้าร่างสูงใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่าย เหม่ยฟางเห็นท่าไม่ดีหลับตาแน่นหัวใจเขาเต้นเป็นกลองรัว จนทำให้จ้าวหย่งเจิ้งแอบยิ้มอยู่ในใจ

พรึ่บ!

เหม่ยฟางลืมตาขึ้นรู้สึกถึงผ้าห่มผืนหนาห่มคลุมร่างตนเองเอาไว้ ก่อนหันไปมองจ้าวหย่งเจิ้งที่ล้มตะแคงตัวนอนหันหลังให้เขา

'ตายๆ นี่ข้ากำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ บ้าจริงเชียว'

เหม่ยฟางดึงผ้าห่มผืนหนาคลุมหน้าตัวเองด้วยความเขินอายอย่างสุดขีด เอาแต่ถอดถอนใจจนจ้าวหย่งเจิ้งต้องถามขึ้น   

"เป็นอะไรนอนไม่หลับหรือ"

"ท่านยังไม่หลับหรือ" เหม่ยฟางตะแคงตัวมองด้านหลังของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าจะหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเอาแต่ถอดถอนใจอยู่แบบนี้" จ้าวหย่งเจิ้งพลิกตะแคงหันมาเผชิญหากับเหม่ยฟาง แต่ใครจะรู้เมื่อพลิกตะแคงกลับมากลับทำให้ใบหน้าของสองใกล้กันจนจมูกแทบติดกัน

ทั้งสองสบตากันครู่ใหญ่สุดท้ายเป็นเหม่ยฟางเองที่ไม่อาจจ้องมองดวงตาคู่นั้นจำต้องหลุบตาลงใจเขาเต้นแรงอย่างประหลาด เช่นเดียวกับจ้าวหย่งเจิ้งแม้ไม่หลบสายตาเช่นเดียวกับเหม่ยฟาง แต่ใจเขากับสั่นไหวจนน่าตกใจเช่นกัน

"ถ้าเช่นนั้นข้าไปนอนกับคุณชายอวี๋เหวินเต๋อก็ได้" ใช่เขาอยากออกจากความตื่นเต้นนี้ หากไปนอนห้องอื่นได้คงดีไม่น้อย เพียงคำพูดนี้เพียงคำเดียวของเหม่ยฟางกับเปลี่ยนใบหน้าเรียบเฉยให้ขมวดคิ้วมุ่นได้ เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายไปนอนกับชายอื่นเป็นแน่

"เจ้านอนเถอะ เดี๋ยวข้าไปนอนกับอวี๋เหวินเต๋อเอง"

"แต่ว่า..."

"เจ้านอนไปเถอะ" ว่าจบจึงดันร่างของเหม่ยฟางลงนอนส่วนตัวจ้าวหย่งเจิ้งเตรียมลุกจะออกจากห้อง แต่มือบางกลับดึงชายเสื้ออีกฝ่ายไว้จนต้องเหลียวมอง 

"คือ..." ไอ้บ้าเอ้ยมือดันไวกว่าสมอง รั้งเขาไว้ทำไมเนี่ย เหม่ยฟางอยากจะดึงทึ้งหัวตัวเองเสียตรงนั้น 

"คุณชายท่านด้วยกันเถอะ ข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว ข้า..." จ้าวหย่งเจิ้งยกมือขึ้นห้ามปรามคำพูดของอีกฝ่าย

"ข้าจะนอนที่นี่ เจ้าช่วยปล่อยมือจากข้าก่อนเถอะข้านอนไม่ได้"

"ข้าขออภัย" เหม่ยฟางยิ้มเขินๆจึงยอมปล่อยมือแต่โดย จ้าวหย่งเจิ้งจึงล้มตัวนอนอีกครั้ง แล้วทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยกัน

.

.

.

.

"เจิ้ง เจิ้ง เจ้าใจร้าย คนโกหก หากไม่รักข้าเจ้าจะให้ความหวังแก่ข้าทำไมคนใจร้าย ฮือๆ" เสียงหวานใสต่อว่าต่อขาน จ้าวหย่งเจิ้งอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ 

"ไม่ใช่ข้าไม่ได้หลอกเจ้า ข้ารักเจ้า เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย ฟาง" ชายหนุ่มเอ่ยกล่าวปลอบประโลมคนตรงหน้า เขาเสียใจที่ไม่ได้บอกความรู้สึกกับคนรัก

"มันสายไปแล้วเจิ้ง มันสายไปแล้ว" สิ้นคำพูดคนรักเปลวไฟก็โหมกระหน่ำเข้าที่ร่างคนรักจนเขาไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ เปลวไฟร้อนแรงแผดเผาคนรักต่อหน้าต่อตา

"ไม่! ฟาง ฟาง ฟางงงง!!!" ชายหนุ่มตะโกนดังลั่นเรียกหาคนรักที่อยู่กลางทะเลเพลิง ใบหน้าจ้าวหย่งเจิ้งส่ายไปมาอย่างร้อนรน เหงื่อพระกาฬผุดพรายไปทั่วทั้งใบหน้า ดวงตาที่เคยหลับบัดนี้เปิดออกด้วยความหวาดหวั่นดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขาลุกขึ้นนั่งเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า เมื่อหันซ้ายแลขวา จึงพบว่าตนเองกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงนอยภายในห้อง

"ฝัน ข้าฝันไปหรือเนี่ย" จ้าวหย่งเจิ้งยันตัวลุกขึ้นนั่ง เสยผมเปียกชื้นอย่างลวกๆ หันมองคนนอนข้างๆอย่างพินิจพิจารณา คลับคล้ายคลับคลา ดั่งคนในฝัน แต่บุรุษผู้กับดูงดงามกว่ามาก คงไม่ใช่คนเดียวกัน

"น่าแปลกทั้งที่ไม่ได้ฝันแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ทำไมถึงกลับมาฝันได้อีกนะ" จ้าวหย่งเจิ้งคิ้วขมวดมองมาทางเหม่ยฟางอย่างช่างใจ เหม่ยฟางสะลึมสะลือเบลอๆค่อยๆเปิดเปลือกตาออก เมื่อเห็นใบหน้านิ่งเงียบของจ้าวหย่งเจิ้งจ้องมาทางตนจึงถามว่า

"คุณชาย ข้านอนรบกวนท่านหรือ"

"ไม่ใช่หรอก เจ้านอนต่อเถอะ ฟ้ายังไม่สร่าง ข้าจะออกไปเดินเล่นสักเดี๋ยว" จ้าวหย่งเจิ้งหยัดตัวลงเตียงมือบางกับคว้าแขนของเขาไว้

"ข้าไปด้วยได้ไหม คือข้า..." ใครจะกล้าบอกล่ะว่าข้าห่วงท่าน เราเพิ่งพบกันเพียงไม่นานจะเกิดความห่วงใยได้อย่างไร ท่านอาจไม่เชื่อข้าก็เป็นได้

 จ้าวหย่งเจิ้งเห็นสายตาเศร้าสร้อยของเหม่ยฟาง จึงคิดว่าเหม่ยฟางเองคงไม่สบายใจที่จู่ๆก็เสียคนอันเป็นที่รักไป จึงได้พยักพยักหน้ารับ เมื่อเห็นว่าจ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้าอนุญาตให้ด้วยได้ เหม่ยฟางจึงอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ รอยยิ้มนั้นช่างงดงามจับใจ แต่จู่เขากับเห็นภาพคนในฝันซ่อนทับกับเหม่ยฟาง

"ไปกันเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งตัดความรู้สึกนั้นออกเชิญเหม่ยฟางออกไปเกินเล่น

"อืม" รอยยิ้มยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น ช่างเป็นใบหน้าที่ชวนลุ่มหลงอะไรเช่นนี้ แต่ข้า...จ้าวหย่งเจิ้งส่ายศีรษะไล่ความคิดยุ่งยากออกไป เหม้ยฟางจะเป็นคนในฝันของเขาไปได้เช่นไร เขาเดินนำเหม่ยฟางออกไปด้านนอก แต่ด้านนอกกับมี อวี๋เหวินเต๋อรออยู่แล้ว ดั่งกับรู้ใจผู้เป็นนาย จะออกไปที่ใด

"คุณชายท่านจะออกไปที่ใดขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อโค้งคำนับก่อนถามเสียงเรียบ 

"ข้าจะออกไปเดินเล่นกับเหม่ยฟาง" อวี๋เหวอนเต๋อ เหลือบสายตามองเหม่ยฟางอย่างไม่ชอบใจที่พาผู้เป็นนายของเขาออกไปด้านนอกยามวิกาลเช่นนี้

"รอให้ฟ้าสางก่อนดีไหมขอรับ หากเหม่ยฟางอยากเดินเล่นข้าจะเดินเป็นเพื่อนเขาเอง" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวทักท้วง ไม่ยอมให้ผู้เป็นนายออกไป ความปลอดภัยของผู้เป็นนายสำคัญที่สุด จ้าวหย่งเจิ้งรู้ดีว่าอวี๋เหวินเต๋อห่วงความปลอดภัยของตนจนจำยอมแต่โดยดี จึงยอมให่เหม่ยฟางออกไปกับอวี๋เหวินเต๋อเพียงลำพัง

"ตามใจเจ้าเถอะ" กล่าวจบก็สะบัดชายเสื้อเข้าไปในห้อง

'แค่ครั้งนี้นะที่ข้ายอมเจ้า'

"เชิญคุณชาย" อวี๋เหวินเต๋อผายมือไปด้านข้างเพื่อให้เหม่ยฟางเดินนำไปข้างหน้า

"เรียกคุณชายอะไรกัน เรียกข้าว่าเหม่ยฟางอย่างเมื่อกี้ก็ได้ ข้าไม่ได้เจ้ายศเจ้าอย่างเสียหน่อย" เหม่ยฟางกล่าวประชดประชัน ที่คนตรงหน้ามาขัดขวางการเชื่อมสัมพันธ์อันกับจ้าวหย่งเจิ้ง

"ถ้าเช่นนั้นน้องเหม่ย"

"ไม่ๆ เรียกข้างว่าน้องฟางก็พอ ท่านพี่อวววววี๋" เหม่ยฟางลากเสียงพลางยิ้มอย่างขบขัน ไม่ให้เขาขบขันได้เช่นไร ในเมื่อคนตรงหน้าชอบตีหน้าเข้มตลอดเวลา บัดนี้กับเลิกคิ้วสูงคล้ายมีคำถามอะไรสักอย่าง

ข้ารู้แล้วล่ะสิ่งที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ถามว่าข้าคิดเช่นไรกับทั้งสองคนนั้น

คนที่ข้าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกใจเต้นแรงคือ จ้าวหย่งเจิ้ง คนที่ข้ารัก ก็คือเขา

ส่วนคนที่ข้าอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นกันเอง คือ อวี๋เหวินเต๋อ ที่ข้าร้องไห้ฟูมฟาย นั้นเพราะเขาเปรียบเสมือนเพื่อน พี่ชาย คนในครอบครัวของข้าอย่างไรล่ะ และอีกอย่างข้าไม่เคยตื่นเต้นแม้สักครั้งดวลาอยู่ใกล้เขา   นี่แหละข้อสรุปของข้า ข้าคิดเช่นนั้น ตอนแรกข้าเองยังสับสนนิดหน่อยแต่พอได้อยู่กับจ้าวหย่งเจิ้ง เพียงลำพัง ทำให้ข้ารู้ว่า ในใจของข้ามีเพียงเขา ผู้ที่ทำให้ใจของข้าเต้นแรง และสั่นไหวได้......

*********************************************************

ไม่เข้าใจหรือสงสัยตรงไหนในเนื้อเรื่องสอบถามไรท์ได้นะคะ ตอนหน้าไรท์จะมาตอบให้ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-05-2017 14:50:46 โดย Vammas »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
แอบงงเล็กน้อย  :3123: เนื้อเรื่องดีจ้าาาา น่าสนใจ :pig4:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สรุปคือเจิ้งเดียวกันซินะ แล้วทำไมถึงฝันแบบนั้นได้ มันเป็นเรื่องอนาคตไม่ใช่หรือ หรือว่ามันเป็นโลกคู่ขนานกันแน่
แต่ก็เอาเถอะอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะเนอะ

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 5 มังกรเขียว

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสันดูเป็นผู้สูงศักดิ์มีสง่าราศี นั่งจิบน้ำชา ปรายตามอง ชายหนุ่มร่างบอบบางราวอิสตรี ก่อนเอ่ยกับข้ารับใช้คนสนิทว่า

"เจ้าจะพาเขาไปด้วยหรือ" 

"ขอรับ ข้ารับปากท่านลุงเอี๊ยไว้ก่อนสิ้นใจ อย่างไรข้าจะต้องดูแลเขา"

"ข้าจะไม่เป็นตัวท้วงพวกท่าน แถวนี้ข้ากว้างขวางนะ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรถามข้าได้...ปึกๆ" เหม่ยฟางหล่าวอย่างขึงขัง ทุบหน้าอกตัวเองเพื่อรับประกัน

"เจ้าพอเถอะอย่าทำอะไรที่มันขัดต่อหน้าตาเจ้านัก" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวพลางส่ายหัวเบาๆ

"นี่ท่านพี่อวี๋ไม่เชื่อใจข้าอย่างงั้นสิ" เหม่ยฟางจับแขนอวี๋เหวินเต๋ออเขย่าไปมา ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากขึ้นหลังจากเดินเล่นกลับมา จนทำให้ จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกคันยุบยิบภายในจิตใจ

'ข้าคิดผิดใช่ไหมที่ให้เขาทั้งสองคนไปเดินเล่นด้วยกัน'

"คุณชายขอรับ ท่านยินยอมให้อาฟางไปด้วยหรือไม่" เพียงแค่การเรียกชื่อกลับยิ่งมำให้จ้าวหย่งเจิ้งรู้สึกขัดหูยิ่งนัก

"ตามใจเจ้าเถอะ"

"ขอรับ"

"ขอบคุณคุณชาย" เหม่ยฟางส่งเสียงสดใสกล่าวขอบคุณด้วยยิ้ม

จ้าวหย่งเจิ้งพยักหน้ารับเพียงเล็กน้อย แม้ได้เห็นรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของคนตรงหน้าจิตใจของเขาก็รู้สึกเบิกบานมากพอแล้ว

"ถ้าเช่นนั้นวันนี้เราไปที่ต้นเหมยริมทะเลสาบซีหูกันเถอะขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อกล่าวเสัยงเรียบ

"พวกท่านจะไปทำไมที่นั่น"

"เขาว่าที่นั่นมีงูเขียวตัวใหญ่ผิดธรรมชาติอยู่ที่นั่น บ้าใคร่อยากชมมันยิ่งนัก" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวพร้อมรอยยิ้มคล้ายกับพวกเขามาท่องเที่ยวกัน

"คือว่า คือ...ท่านออกไปช่วงนี้คงมิได้ชมมันหรอก" เหม่ยฟางกล่าวพลางปาดเหงื่อเล็กน้อย

"ทำไมล่ะ" ทั้งอวี๋เหวินเต๋อ ทั้งจ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยถามพร้อมกัน

'โอ๊ย! ข้าจะบอกได้อย่างไรว่า เจ้างูนั่นมันอยู่ตรงหน้าท่าน ท่านเห็นเห็นมันแล้ว' เหม่ยฟางสบถกับตัวเองในใจ

"คือว่า เจ้างูตัวเองมันจะออกมาเฉพาะยามเซินเท่านั้น ไม่เชื่อท่านไปถามคนในหมูบ้านดูสิ"

"ไม่ต้องหรอกพวกข้าเชื่อเจ้า เจ้าเป็นคนของหมู่บ้านนี้ย่อมไม่โกหกใช่ไหม" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยดเวยรอยยิ้ม

"ใช่ๆ" เหม่ยพยักหน้าพลางไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง

"ถ้าเช่นนั้น ระหว่างนี้ คุณชายจะออกไปที่ใดหรือไม่"

"ข้าจะไปล่องเรือชมความงามของทะเลสาบเสียหน่อย เจ้าจะไปด้วยกันไหมเหม่ยฟาง พอใกล้เวลาเราค่อยขึ้นฝั่งไปชมเจ้างูเขียวนั่นกัน"

"ข้าไปได้เหรอ" เหม่ยฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ได้สิ" รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของจ้าวหย่งเจิ้ง

"ข้าอยากไปล่องเรือ...แต่..." แม้อยากจะไปแค่ไหนเหม่ยฟางจำต้องข่มใจเอาไว้ หากไปเขาจะไม่สามารถกลายร่างเป็นงูออกมาตามเวลาที่ได้บอกกล่าวกับทั้งสองคนนั้นได้

"แต่อะไรงั้นหรือ"

"ข้าอยากไปดูที่ฝังหลุมศพท่านลุงก่อน เช่นนั้นเชิญคุณชายตามสบายเลยนะขอรับ" เหม่ยฟางกล่าวพลางก้มหน้าอย่างเสียดาย

"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ อวี๋...เอ่อ...ไม่สิ...ข้าให้เจ้าอยู่ตามลำพังก็แล้วกัน" จ้าวหย่งเจิ้ง คิดจะให้อวี๋เหวินเต๋อไปดูแล แต่พอนึกๆไปอาจเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สานสัมพันธ์กัน ดังนั้นเขาจึงยินยอมให้เหม่ยฟางอยู่ตามลำพัง

"~เฮ้อ~" เหม่ยฟางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อจ้าวหย่งเจิ้งยอมให้ตนได้อยู่เพียงลำพัง

เหม่ยฟางมองดูจ้าวหย่งเจิ้งกับอวี๋เหวินเต๋อขึ้นเรือ รอจนแน่ใจว่าทั้งคู่ ล่องเรือออกไปไกล จึงตรงไปที่สุสานฝังศพของตาเฒ่าเอี๊ย

"ตาเฒ่าเอี๊ย ตาเฒ่าเอี๊ย ออกมาเดี๋ยวนี้" เหม่ยฟางยืนตะโกนอยู่หน้าสุสานคล้ายคนบ้า

"ถ้าไม่ออกมาข้าจะพังป้ายหลุมศพเจ้า" สิ้นคำ ร่างทิพย์ของตาเอี๊ยก็ปรากฏให้เหม่ยฟางเห็น

"ชิชะ เจ้าเด็กบ้า เอะอะ เอะอะ ก็คิดใช้แต่กำลัง " ตาเฒ่าเอี๊ยโผล่ออกมาก็ต่อว่าต่อขานเหม่ยฟางเป็นการใหญ่

"ข้าเรียกเจ้าแล้วไม่ออกมาเอง"

"ข้าก็มีธุระบ้างไหม" ว่าจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ดูอะไรบางอย่าง

"เดี๋ยวๆนะ เจ้าไปเอาของสิ่งนี้มาจากไหน" เหม่ยฟางชี้ไปยังโทรศัพท์ในมือของตาเฒ่าเอี๊ย

"ของอะไรของเจ้า เจ้าสิ่งนี้คือคันฉ่องทิพย์ สามารถดูข้อมูลข่าวสารได้สารพัด ข้าไปขอให้ท่านเทพอีกองค์เอาไปเปลี่ยนกับคันฉ่องอันเก่า" ตาเฒ่าเอี๊ยอธิบายการได้มาของสิ่งที่อยู่ในมือ

"ขอข้าดูหน่อยสิ" 

"ไม่ได้ไม่ได้ ความลับสวรรค์ทั้งนั้นเจ้าอย่าคิดบังอาจมายุ่ง" ตาเฒ่าเอี๊ยรีบเก็บคันฉ่องทิพย์ในรูปแบบโทรศัพท์เพื่อหลบซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของเหม่ยฟาง

"ขี้งก" เหม่ยฟางกอดอกทำหน้าตาบูดบึ้งใส่อย่างไม่พอใจ

"เรียกข้ามามีเรื่องอะไร"

"ไหนว่าจะอยู่ข้างๆ" 

"เอ๊ะ! เจ้านี่ข้าบอกกี่ครั้งแล้วไงว่า ข้าเองก็มีธุระเช่นเดียวกัน ไม่ได้ว่างอะไรขนาดนั้น" ตาเฒ่าตอบอย่างเสียไม่ได้พลางรอบมองสีหน้าของเหม่ยฟาง ทั้งยังไม่กล้าสบตากันตรงๆ อย่างคนทำความผิด

"นี่ๆทำอะไรผิดมาหรือเปล่า" เหม่ยฟางหรี่ตาจ้องจับผิด มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่เช่นนั้นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์จะหลบสายตาเขาได้อย่างไร

"เปล๊า!" ตาเฒ่าเอี๊ยตอบเสียงสูง

"เหอะ" เสียงแค่นหัวเราะดังออกมาจากคนตัวบาง พลันเกิดแสงสีเขียวประวาบ ปรากฏร่างงูเขียวขนาดใหญ่ จะเรียกงูเขียวก็ไม่ถูก แต่ต้องเรียกว่า มังกรมรกต ถึงจะถูก ร่างกายของเหม่ยฟางใหญ่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้กลายร่างมา 2วันแล้ว โชคดีที่บริเวณสุสานจำเป็นของตาเฒ่าเอี๊ยค่อนข้างลับตาคนเขาจึงสามารถกลายร่างเพื่อยืดเส้นยืดสายได้ แต่ที่กลายร่างจริงที่ไม่ใช่งูเขียวตัวอ้วนใหญ่เพียงเพราะต้องการจะขู่เข็ญตาเฒ่าเอี๊ยให้บอกความจริง

"เจ้าเริ่มเหมือนมังกรขึ้นเรื่อยแล้วสินะ" ตาเฒ่าเอึ๊ยกล่าวอย่างชื่นชม โดยหารู้ไม่ว่าร่างกายถูกพันธการไว้ด้วยหางอันทรงพลังของเหม่ยฟาง

"อย่าได้เฉไฉจงตอบข้ามา" ร่างมังกรยักษ์พันขดรัดร่างตาเฒ่าเอี๊ยแน่นขึ้น 

"เจ้ามันชอบใช้กำลังเสียจริง" ตาเฒ่าเอี๊ยบ่นอุบ

"ยังไม่ตอบอีก"

"โอ๊ยๆ ข้ายอมบอกแล้วปล่อย ปล่อยข้า ปล่อยข้าเถอะ ข้ารู้ว่าพลังมังกรสามารถฆ่าได้ทั้งเทพทั้งมารร้าย" ตาเฒ่าเอี๊ยทนแรงรัดไม่ไหวจึงยอมบอกความจริง ขืนไม่บอกข้าได้สลายกลายเป็นอากาศธาตุแน่ๆ

เหม่ยฟางกลับคืนร่างเป็นคนเช่นเดิม กอดอกมองตาเฒ่าเอี๊ยเพื่อรอคอยคำตอบ ตาเฒ่าเอี๊ยล้วงคันฉ่องทิพย์ที่ทีรูปร่างคล้ายโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดบสงอย่างให้เหม่ยฟางดู

"นี่มัน..." เหม่ยจ้องมองภาพเคลื่อนไหวบางอย่างในคันฉ่องทิพย์

"ก็อย่างที่เจ้าเห็น อีกไม่นานข้ากำลังจะดึงเขามาที่นี่"

"ทำไมเป็นเช่นนี้" น้ำตาเอ่อล้นเต็มสองข้างหยดหยาดหลั่งไหลออกมาเป็นไข่มุกสีขาวพิสุทธิ์ จิตใจของเขาบังเกิดความทุกข์ทรมานขึ้น

"หยุดๆ บอกกี่ครั้งหากร้องไห้ให้หาอะไรมารองน้ำตาของเจ้า น้ำตาเจ้ามีค่ายิ่งกว่าอะไรนัก" ว่าพลางก็เสกชามทองมารองหยดน้ำตาไข่มุกที่ร่วงหล่น

'เจ้าไม่รู้สินะว่าไข่มุกที่มาจากน้ำตามังกรนั้นสามารถนำไปปรุงยาที่รักษาได้ทุกโรคภัย รวมทั้งยาอายุวัฒนะ ที่ใครได้ทานเข้าไปจะกลับมาหนุ่มสาวไม่แก่ไม่ตาย แม้เจ็บบางตายยังรักษาได้ มันมีค่าราคาที่ไม่อาจประเมินได้ เชียวล่ะ' ตาเฒ่ากระหยิ่มย่องเมื่อได้ไข่มุกมามากมาย

ตะวันเริ่มคล้อยใกล้เวลานัดหมาย เหม่ยฟางยังนั่งนิ่งอยู่กับที่ สองตาบวมช้ำเหม่อลอย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขากันแน่ ฟ้าดินช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย ใยคนรักกันถึงต้องพลัดพราก

"นี่เจ้าเด็กน้อย ได้เวลาที่เจ้าต้องไปแล้วนะ อย่ามั่วโทษฟ้าดินอยู่เลย หากเจ้าไปพบพวกเขาในร่างงูพวกเขาจะเจ้าไปยังสถานที่เปลี่ยนชีวิตของเจ้านับแต่นี้รีบไปเถอะ อุ๊ย...ปากพล่อยอีกแล้ว" ตาเฒ่าเอี๊ยตบปากตัวเอง เพราะเผยความลับสวรรค์ เหม่ยฟางได้ยินดังนั้นจึงรีบปาดคราบน้ำตาที่แทบจะไม่มีเปรอะเปื้อนบนใบหน้าแม้แต่น้อย

"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"

"ก็ตามนั้นแหละ ไปเถอะ"

บริเวณท่าเรือทะเลสาบซีหู

ชายหนุ่มสองคนเดินตรงเข้าไปยังบริเวณต้นเหมยที่บานสะพรั่งไม่มีทีท่าจะโรยราแม้แต่น้อย 

"ต้นเหมยนี่ช่างแปลกนัก" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวขึ้นเมื่อเห็นดอกเหมยบานสะพรั่งเต็มต้นทั้งๆที่ไม่วช่ฤดูกาลของมัน

"ต้นเหมยต้นนี้ออกดอกบานสะพรั่งตั้งแต่ 10ปีก่อนแล้วขอรับมันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่มีเจ้างูเขียวนั่นปรากฏตัว" อวี๋เหวินเต๋อบอกเล่าเรื่องราวที่ไปสอบถามชาวบ้านมาให้แก่ผู้เป็นนายได้รับรู้

"น่าแปลกนัก"

"เจ้างูนี่อาจจะเป็นมังกรเขียวจำแลงมาก็ได้ขอรับ"

"นั่นสินะ" ผู้เป็นนายเอ่ยคล้อยตาม

"นี่ก็ยามเซินแล้วใยไม่เห็นวี่แววเจ้างูนั่นเลยขอรับ" อวี๋เหวินเต๋อ เดินเข้าไปใกล้ต้นเหม่ยที่มีศาลเจ้าขนาดกลางตั้งอยู่ข้างๆ เมื่อมองรอดเข้าไปในศาลเจ้าเขาถึงกับผงะถอยหลังออกมา

"ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ" (มองหาอะไรของเจ้า) เหม่ยฟางในร่างงูส่งสียงเป็นการทักทาย ก่อนเลื้อยออกมาจากศาลเจ้า

"คุณชาย คุณชายขอรับ เจ้างูเขียวออกมาแล้วขอรับ" เสียงเรียกทำให้จ้าวหย่งเจิ้งจ้องมองไปยังร่างงูเจียวขนาดใหญ่ที่บัดนี้เลื้อยขึ้นไปอยู่บนกิ่งเหมยตามเวลาแล้ว เกล็ดสีเขียวเป็นประกายระยิบคล้ายมรกตแสนสวยนับหมื่นนับพันติดตัวมัน น่าแปลกที่สีสันเหล่านั้นกับดึงดูดจิตใจของจ้าวหย่งเจิ้งให้เข้าใกล้อย่างประหลาด เขาเอื้อมมือเข้าไปหมายจะลูบไล้บนลำตัวเจ้างู แต่เป็นอวี๋เหวินเต๋อที่เข้ามาห้าม เกรงว่าจะเกิดอันตราย แต่ไม่คาดคิดว่าหางเรียวยาวนั้นได้ตวัดฟาดเข้ากลางหลังอวี๋เหวินเต๋อ จนทรุดกายลงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ความเจ็บปวดแล่นไปตามสันหลังจนแทบลุกไม่ขึ้น

"คุณชายระวังตัวด้วย" แม้เป็นคำเตือนด้วยความหวังดี จ้าวหย่งเจิ้งนั้นหาใส่ใจไม่ยังคงยื่นมือออกไปเพื่อจะสัมผัสร่างกายเจ้างูนั่นอยู่ดี

"เจ้าช่างงดงามนัก" เพียงเขายื่นมือออกไป เหม่ยฟางจ้องมองมือที่ยื่นเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวตนเพียงแค่ปลายนิ้วแตะบนลำตัว กับปรากฏแสงประหลาดวูบวาบไปตามลำตัวเจ้างูเขียว ความร้อนแผ่ขยายคล้ายมีพลังบางอย่างถ่ายทอดภายในกายร่างกายจากที่ใหญ่โตอยู่แล้วกับยิ่งขยายใหญ่จนบังเกิดร่างมังกรที่แท้จริงของเหม่ยฟาง ร่างใหญ่โตพาดอยู่บนต้นเหมยที่ดูเล็กลงอย่างมากเมื่อเทียบกับร่างมังกรนั้น ต้นเหมยกับไม่บอบช้ำทั้งยังรองรับน้ำหนักได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทุกด้านต่างเงียบสงบไร้ผู้คนคล้ายถูกพลังบางอย่างแฝงเร้นไว้เฉพาะพวกเขา

 "เป็นมังกรเขียวจริงๆด้วย เจ้าดูสิอวี๋เหวินเต๋อ เจ้างูนั่นเป็นมังกรเขียวจริงๆ" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยความดีใจ หันไปบอกข้ารับใช้อย่าวกระตือรือร้น

 "ขอรับคุณชาย ไม่คิดว่าจะพบง่ายดายเพียงนี้"

"นั่นสิ อยู่ใกล้จนน่าตกใจ ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบ" "เพราะบุญบารมีของคุณชายขอรับ"

"พวกเจ้ามาตามหาข้าด้วยเรื่องอันใด" มังกรเขียวเอ่ยขึ้นแต่เสียงที่ได้ดังออกมากับก้องกังวานใสไม่ได้ดูน่าเกรงขามอย่างกับร่างกายของมัน

"เสียงของท่านช่างไพเราะนัก หากท่านเป็นคนคงงดงามมากเป็นแน่"จ้าวหย่งเจิ้งกับไม่ตอบคำถามหากแต่กล่าวชื่นชมในน้ำเสียงของมังกรเขียว

"เจ้าจงตอบคำถามข้ามา เจ้าต้องการสิ่งใด" แววตาเจือความหวั่นไหวที่ไม่ผู้ใดสังเกตุเห็นได้
 
"ข้าอยากให้ท่านไปอยู่กับข้ากลับไปจิ้นหยางกับข้าเถอะ" จ้าวหย่งเจิ้งน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อต้องขอร้องมังกรเขียว

"เพื่ออะไร"

"ท่านก็รู้ว่า หากผู้ใดครอบครองมังกรเขียวนั่นหมายถึงผู้นั้นจะได้ครองทุกสิ่งที่สมหวัง" เหม่ยฟางในร่างมังกรถึงกลับตะลึงงัน เมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น

'ที่แท้เขามาตามหามังกรเขียว ไม่ใช่เพื่อต้องการความรัก แต่กับเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ งั้นสิ เขาไม่ได้มาตามหาข้าเพราะอยากมาแต่เพราะต้องการใช้พลังของข้า ที่แท้แล้ว ทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ข้าเป็นแค่เครื่องมือสำหรับเขา' เหม่ยฟางนิ่งเฉยก่อนเค้นเสียงเอ่ยคำบางอย่างออกมา

"ถ้าเช่นนั้นท่านหวังที่จะครอบครองสิ่งใด"

คำถามตรงไปตรงมานี้ถึงกับทำให้จ้าวหย่งเจิ้งก้มหน้านิ่งเงียบ คล้ายกับครุ่นคิดบางอย่าง เมื่อเงยหน้าพร้อมแววตาจริงจังตรงไปตรงมาตอบกลับมาอย่างไม่ลังเลในความคิดว่า

"สิ่งที่ข้าต้องการครอบครองคือ​ บัลลังก์ "

*****************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2017 19:21:28 โดย Vammas »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
สงสารอาฟางจังเลยยย

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
อย่าเพิ่งไปง่ายๆนะ ฟางงงง :katai1: ต่อให้รักมากแค่ไหนก็เถอะะ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Vammas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-1
❤ปาฏิหาริย์รักข้ามยุค❤

ตอนที่ 6 ไม่เกี่ยวข้องกัน

"หากสิ่งทึ่เจ้าต้องการคือ บัลลังก์ ข้าจะช่วย" น้ำเสียงแฝงความเศร้าระคนเจ็บปวดเอ่ยออกมา พร้อมไข่มุกเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงมา 1เม็ด จากดวงตาของมังกรเขียว กลิ้งไปตกที่ปลายเท้าของจ้าวหย่งเจิ้ง เขาจึงก้มเก็บ หมายในใจว่า

'นี่คงมันสิ่งที่มังกรเขียวตั้งใจมอบให้ข้า'

แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาเก็บขึ้นมาได้คือ น้ำตามังกร ไข่มุกซึ่งมีคุณนานัปการ

เขาเงยหน้าขึ้นมองเมื่อมีงกรเขียวกล่าวจบ

"จริงๆหรือขอรับ" แววตาใสกระจ่างทอประกายด้วยความดีใจถามขึ้นเพื่อให้แน่ใจ

"จริงสิ แต่มีข้อแม้ 1ข้อ หากทำได้ข้าจะไปกับเจ้าทันที"

"ข้าพร้อมบุกน้ำลุยไฟ ขอเพียงท่านกลับไปจิ้นหยางกับข้า" จ้าวหย่งเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง แววตาตั้งมั่น

"เจ้าไม่ต้องบุกน้ำลุยไฟหรอก เพียงแค่ตามหาข้าในร่างมนุษย์ให้เจอก็เพียงพอ"

"ตามหา"

"ใช่ ข้มรอเจ้าอยู่ในเจียงหนานแห่งนี้หากเจ้าหาข้าพบข้าจะไปกับเจ้า" สิ้นคำ มังกรเขียวสลายหายไปอย่างไร้ล่องลอย ปล่อยให้จ้าวหย่งเจิ้งกับอวี๋เหวินเต๋อนิ่งงัน เพราะพวกเขาไม่รู้ตะไปตามหามังกรเขียวที่ไหน เจียงหนานช่างกว้างใหญ่แล้วพวกเขาจะไปตามหาที่ไหน

"กลับกันเถอะ" อวี๋เหวินเต๋อพยุงกายอย่างยากลำบาก เดินตามผู้เป็นนายกลับโรงเตี๊ยม

บัดนี้ เหม่ยฟางคืนร่างกลับเป็นมนุษย์สองตาแดงบวมเป่ง คล้ายคนร้องไห้ นั่งทอดกายนั่งบนชิงช้าที่ผูกมัดไว้ใต้ต้นฉำฉาที่ติดริมทะเลสาบหลังโรงเตี๊ยม บรรยากาศเย็นสบายสายลมพัดเอื่อยผ่านร่างบาง ที่เหม่อลอยไร้จุดหมาย แม้อยากร้องไห้กับร้องไม่ออก ความขมขื่นภายในจิตใจมันอัดแน่นไปทั้งกาย

"เจ้าจะนั่งอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้นะ เหม่ยฟาง" ตาเฒ่าเอี๊ยเอ่ยบอก พลางส่ายหัวกับท่าทางของคนร่างบาง

"ท่านคิดว่าข้าจะสมหวังกับเขางั้นเหรอ ข้าหมดกำลังใจ เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาขอข้า ข้าสามารถมอบบัลลังก์ให้เขาได้จริงๆงั้นเหรอ"

"เจ้าเป็นถึงมังกรเขียวใยถึงไม่เชื่อมั่นว่าตนจะนำพาคนผู้นั้นขึ้นครองราชย์ได้"

"หากข้านำเขาขึ้นครองราชย์ได้ แล้วตัวข้าล่ะจะมีความหมายอีกหรือไม่"

ตาเฒ่าเอี๊ยนิ่งเงียบกับคำถามของเหม่ยฟาง ความจริงเขาไปสืบที่ตำหนักเทพแห่งความรักของตาเฒ่าจันทรามา ตาเฒ่าจันทราบอกกับเขาเองว่าได้ผูกดวงของทั้งสองคนไว้ด้วยกันนับแต่ถูกดึงตัวมาที่นี่ อย่างไรเสียต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน

"เจ้าต้องเชื่อมั่นสิ"

"แต่ข้า..."

"ฟางเอ๋อร์ เจ้ากำลังคุยกับใคร" เสียงทุ้มหนาเอ่ยถามเมื่อเห็นคนงามนั่งชิงช้าคล้ายเอ่ยวาจาคุยกับใคร เกม่ยฟางหันไปมองผู้เอ่ยมัก ดวงตากับบังเกิดความเศร้าหมอง คล้ายไม่อยากเห็นหน้าคนที่เอ่ยถาม

"ข้าคุยกับตนเอง หรือ ท่านเห็นคนอื่นนอกจากข้า คุณชายหย่ง" เหม่ยฟางตอบกลับเสียงเรียบ พลางสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่อยากคุยด้วย จนทำให้ จ้าวหย่งเจิ้งมองคนตอบกำลังพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคำเรียกขานชื่อตนดูห่างเหินกว่าทุกครั้ง

"เจ้าโกรธอะไรข้าหรือเปล่า"

"ท่านทำอะไร ข้าจึงต้องโกรธท่าน" คำตอบยอกย้อนนั้นยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วมากขึ้น

"ถ้าเช่นนั้นใยเจ้าเรียกข้าห่างเหิน"

"ห่างเหินเช่นไร เราไม่ได้สนิทชิดใกล้กันเสียหน่อย" เหม่ยฟางว่าจบจึงลุกจากชิงช้าเดินหนีจากคนช่างถาม

"ถ้าเช่นนั้น เรามาทำตัวให้สนิทกันดีไหม ฟางเอ๋อร์" จ้าวหยางเจิ้งคว้าข้อมือเรียวมาจับ ดึงคนตัวบางให้เจ้ามาในอ้อมกอด

"ปล่อยข้า ข้าเป็นบุรุษ ท่านมากอดข้าเช่นนี้ไม่ได้" แววตาแข็งกร้าวบ่งบอกถึงความพยศของอีกฝ่ายกับทำให้จ้าวหย่งเจิ้งชอบใจเสียมากกว่าขัดใจ

"แล้วใครว่าเจ้าเป็นสตรีกันเล่า...หึหึ" จ้าวหย่งเจิ้งหัวเราะในลำคออย่างผู้มีชัย พร้อมกระชับแขนให้แน่เพื่อกันคนหนี

"ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า หย่งเจิ้ง ไอ้บ้าเอ้ย ปล่อยข้า" ขณะที่กำลังแกล้งคนตัวบางกว่า กับมีภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในสมอง



ภายในห้องแห่งหนึ่งมีชายหนุ่มสามคนยืนอยู่ ณ ที่นั้น คนหนึ่งตัวเล็กบอบบาง อีกสองคนรูปร่างสูงใหญ่ เขาเห็นคนตัวเล็กโดนชายคนหนึ่งซึ่ง มีใบหน้าคล้ายเขากอดรัดทางด้านหลังของคนตัวเล็กไว้ด้วยสีหน้าแลดูสนุกที่เห็นอีกฝ่ายดิ้นรน

"ไอ้เจิ้ง ไอ้บ้าปล่อยนะเว้ย คิดบ้าอะไรถึงมากอดไว้แบบนี้ คิดเล่นพิเรนทร์อะไรอีก" เสียงใส ตะโกนโวยวายร้องด่าผู้ชายที่กอดตนอย่างนึกสนุก

"ฮ่าๆๆ ใครว่าล่ะ นี่ทำตามคำสั่งไอ้รุจ มันให้แกแต่งหญิงตามสัญญาไง แกอยากแพ้พนันเองทำไมล่ะ" ชายร่างสูงกว่าตอบ พร้อมรอยยิ้ม

"ไอ้เชี่ย ปล่อยนะ ไอ้หย่งเจิ้งปล่อยกู หย่งเจิ้ง ปล่อยกูไม่แต่งหญิง" คนตัวบางกับร้องตะโกนให้ปล่อยอย่างสุดกำลัง


จ้าวหย่งเจิ้งชะงักงันมือข้างหนึ่งยกกุมขมับคล้ายปวดคนปวดหัว อ้อมกอดคลายลงจนเหม่ยฟางจึงสามารถดิ้นหลุดได้ จึงหันหน้าไปหมายจะด่าคนตรงหน้า แต่เมื่อเห็นอาการอีกฝ่ายจำต้องกลืนคำด่าลงคอ มองคนตัวโตกว่าด้วยความความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีใบหน้าซีดเผือด คล้ายคนไม่สบาย

"เจ้า เจ้าเป็นอะไร" น้ำเสียงบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกของผู้ถามเป็นอย่างดี

"ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่ปวดหัวนิดหน่อย ข้าขอตัวไปพักก่อน" จ้าวหย่งเจิ้งหันกลับหลังหมายเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมเพื่อกลับห้องพักเพียงลำพัง แต่มือเรียวบางกับยื่นเข้ามาประคองอีกฝ่ายสายตาบ่งบอกถึงความเป็นห่วงเป็นใย จ้าวหย่งเจิ้งเหลือบมองอย่างพึงพอใจให้คนตัวเล็กกว่าประคองตนกลับห้อง

"ข้าไปส่งท่านเอง" เหม่ยฟางกระชับแขน โอบไหล่อีกฝ่ายเดินไปอย่างช้าๆ "เรียกข้าว่าเจิ้งดั่งเช่นคร่าแรกที่เจอกันสิ" เหม่ยฟางเหลือบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนพูดก่อนตอบกลับไปว่า

"ข้าคงไม่อาจเอื้อมขนาดนั้น"

"ทำไมล่ะฟางเอ๋อร์"

"เรารู้จักกันเพียงไม่กี่วัน ใยท่านถึงตีสนิทข้าเช่นนี้ ท่านไม่นึกสงสัยในตัวข้าบ้างหรือไร"

"ข้าเชื่อใจเจ้า ข้ารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เจ้า แม้เวลาใกล้เจ้าข้าจะ..." หย่งเจิ้งเก็บคำพูดตนลงคอ ไม่อยากกล่าวอะไรเกี่ยวกับความฝันแปลกประหลาดหรือภาพประหลาดที่มักมองเห็นซ่อนทับกับเหม่ยฟาง ซึ่งทั้งสองคนดูคล้ายกันเพียงนิสัยไม่ใช่หน้าตา หากเทียบกันแล้วเหม่ยฟางนั้นงดงามกว่ามากแต่คนในฝันหรือความคิดกับมีลักษณะคล้ายเหม่ยฟางแต่ความงดงามนั้นเทียบกันไม่ได้เลย

"จะอะไร" เหม่ยฟางขมวดคิ้วมุ่นมองคนที่ไม่ยอมกล่าวให้จบ ปล่อยทิ้งค้างให้เขารอฟังเก้อ

"ช่างเถอะ เจ้าอย่าสนใจเลย" 

"อ้าว..." เหม่ยฟางอ้าปากค้างเมื่อโดนตัดบทไปง่ายๆ

ขณะที่พวกเขาประคองกันกลับห้อง หย่งเจิ้งคล้ายคิดอะไรได้จึงเอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้

"จริงสิ ขึ้น5ค่ำเดือน5ที่ใกล้จะถึงจะมีการจัดงานเทศกาลใช่หรือไม่"

"ใช่...เทศกาลตวงโหงว"

"ข้าได้ข่าวว่า เหล้ายาหรดาล ของที่นี่รสชาติเป็นเลิศ จริงหรือไม่"

"ก็คงงั้น" เหม่ยฟางตอบแบบไม่ใส่ใจเพราะตนไม่ดื่มสิ่งของมึนเมาพวกนี้ ยิ่งเป็น เหล้ายาหรดาล แล้ว เขายิ่งไม่กล้าแตะเข้าไปใหญ่เพราะเหม่ยฟางได้ชื่อว่าเป็นงูชนิดหนึ่งซึ่งหรดาลมีฤทธิ์ต่อต้านกันกับร่างกายตน หากโดนสาดรดมาบนตัวเขาเพียงเล็กน้อยยังแทบจะเผยร่างจริง นับประสาอะไรกับการดื่มเข้าไป

"ถ้าเช่นนั้น เจ้ามาดื่มเหล้ายาหรดาลกับข้านะในวันวานเทศกาลกัน" 

"ขออภัยคุณชายหย่ง เอ้ย หย่งเจิ้ง ข้าดื่มไม่ได้" 

"เจ้าดื่มไม่เป็น"

"ใช่ขอรับ"

"ไม่เป็นไร ข้าสอนเจ้าดื่มเอง" จ้าวหย่งเจิ้ง ยิ้มกริ่มคิดสอนคนดื่มเหล้าไม่เป็น

"ข้า..." เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของอีกฝ่ายจึงรีบเอ่ยปากออกไปในทันที

"ห้ามปฏิเสธ"

"ขอรับ" ซวยแล้ว ทำไงดีนี่ ถ้าขืนดื่มเข้าไปมีหวังกลายร่างแน่ๆ ข้าควรทำอย่างไรดี จ้าวหย่งเจิ้งสังเกตุอาการผิดปกติบนใบหน้าของเหม่ยฟางจึงเอ่ยทักขึ้น

"เจ้าเป็นอะไร ใยเหงื่อถึงออกมากมายเพียงนี้" เพัยงยื่นมือเข้าไปซับเหงื่อให้อีกฝ่ายปแต่กลับถูกปัดมือออกอย่างไร้เยื่อใย

"ข้าไม่เป็นอะไร ข้าส่งท่านเพียงเท่านี้ ข้าขอลา" ว่าจบจึงกำหมัดผสานฝ่ามือโค้งคำนับลาออกมาด้วยใจอันร้อนรน แต่ด้วยท่าทางเช่นนั้นจ้าวหย่งเจิ้งจึงรีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้

"เจ้าโกรธที่ข้าบังคับเจ้างั้นเหรอ" เหม่ยฟางเม้มริมฝีปากแน่นจนเห่อแดง ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง โดยไม่ยอมพูดจา

"หากข้าทำให้เจ้าโกรธข้าขอโทษ เจ้ามีอะไรบอกข้าได้นะ" จ้าวหย่งเจิ้งเอ่ยปาก กลัวอีกฝ่สยจะน้อยใจที่ตนบังคับให้ดื่มเหล้าเป็นเพื่อน เหม่ยฟางก้มหน้านิ่ง พลางครุ่นคิดเพื่อเอาตัวรอดจากเหล้ายาหรดาล

"คือข้า อยากบอกท่านว่าข้าแพ้เหล้าหรดาลหากดื่มเข้าไปจะเกิดผื่นแดงคันไปทั้งตัว" เหม่ยฟางใช้ข้ออ้างนี้เพื่อหลบเลี่ยงการดื่มเหล้าหรดาล

"แล้วเหล้าชนิดอื่นเล่า" 

"พอได้นิดหน่อย แต่ดื่มมากไม่ได้ เพราะอาจมีอาการอย่างเดียวกับเหล้าหรดาล"  จ้าวหยางเจิ้งพยักหน้าอย่าเข้าใจ เขาไม่คิดให้เหม่ยฟางดื่มหากเจ้าตัวแพ้เหล้าเช่นนี้

"ช่างเถอะ ถ้าอย่างไรเจ้ามานั่งเป็นเพื่อนข้าเวลาข้าดื่มเหล้าก็เพียงพอ"

"ขอรับ" เหม่ยฟางแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ไม่ต้องดื่มเหล้ายาหรดาลนั่น

"ข้าคิดว่า อวี๋เหวินเต๋อคงมาดื่มเป็นเพื่อข้าไม่ได้เป็นแน่" จ้าวหย่งเจิ้งขมวดคิ้วแน่น 

"เพราะเหตุใดขอรับ"

"อวี๋เหวินเต๋อบาดเจ็บ"

"หา!!! บาดเจ็บ ใครเป็นผู้ลงมือขอรับ" เอ๊ะ ฟรือตอนที่เอาหางฟาดไปตอนนั้น เหม่ยฟางครุ่นคิด เขาฟาดหางใส่แรงขนาดนั้นเชียวเหรอ

"ฟางเอ๋อร์ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่" รอยยิ้มยังคงประดับหน้าในเวลาที่ถาม

"ข้ากำลังคิดเรื่องพี่อวี๋อยู่" แม้เป็นคำพูดที่ไม่ได้สื่อถึงอะไรมากมากนัก แต่มันกลับทำให้จ้าวหย่งเจิ้งไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก

'ใยต้องคิดถึงคนอื่น ในเวลาที่อยู่กับข้า' ใบหน้าบึ้งตึงหว่างคิ่วขมวดเป็นปมบ่งบอกถึงความไม่พอใจ เมื่อเหม่ยฟางเงยหน้าขึ้นมาสายตาสบเข้ากับใบหน้าที่ไม่รับแขกเอาเสียเลยจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า

"ใยคิ้วท่านถึงขมวดเป็นปมเช่นนี้" ไม่ว่าเปล่ายังใช้ปลายนิ้วแตะไปที่หว่างคิ้วของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ มือหนาคว้ารวบมือเรียวไว้ จนเหม่ยฟางต้องชะงัก เนื่องจากตนทำตัวไม่เหมาะสม

"ข้าขออภัย ข้าไม่มีเจตนาล่วงเกินท่าน" เหม่ยฟางก้มหัวอย่าวสำนึกผิดที่ทำตัวไร้มารยาท

"ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย" มือหนายังคงกุมไว้ไม่ปล่อย แม้เหม่ยฟางอยากดึงมือออกก็ไม่กล้ากลัวเสียมารยาทกับอีกฝ่าย

"ปล่อยมือข้าเถอะ หากใครมาเห็นจะเอาท่านไปนินทาให้เสียหาย"
ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอายที่ถูกจับมือไม่ยอมปล่อยแดงซ่านจนจ้าวหย่งเจิ้งรอบยิ้มด้วยความพึงพอใจ

'เจ้าช่างน่ารักน่าชังยิ่งนักเหม่ยฟาง หากเจ้าเป็นสตรีข้าคงเอ่ยปากขอเจ้าเป็นคนรักเป็นแน่'

"หย่งเจิ้ง ปล่อยมือข้าเถอะ ข้าจะไปดูพี่อวี๋ เสียหน่อย" พอได้ฟังคำพูดที่อีกฝ่ายบอกจะไปดูแลชายอื่นใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับกับบึ้งตึงจนน่ากลัว

"อ๊ะ ท่านเป็นอะไร ทำไมทำหน้าเสียน่ากลัวเชียว" เหม่ยฟางขมวดคิ้วมุ่นมองคนทำหน้าดุ

"เจ้าไม่คิดดูแลข้าบางหรือไง"

"ท่านยังไม่ได้ปวดหัวงั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปส่งท่านที่ห้องก่อน มัวแต่อยู่คุยกับท่าน เลยไม่ได้ไปถึงไหนเสียที"

"นั่นสิ ไปเถอะ" เหม่ยฟางพยักหน้ารับประคองคนอ้างปวดหัวไปยังห้องพัก เมื่อส่งถึงห้อวพักจึงขอลาออกมา โดยคนอ้างปวดหัวมีสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"พี่อวี๋ ข้าเหม่ยฟาง ขอเข้าไปหน่อยสิ" เหม่ยฟางเคาะประตูเรียกคนภายในห้องเพื่อขอเข้าไปด้านใน

"เข้ามาสิ" เสียงตอบรับจากภายในห้องดังออกมา อนุญาติให้คนด้านนอกเจ้ามาในห้อง

"พี่อวี๋ ข้าได้ข่าวว่าท่านบาดเจ็บ ข้าจึงมาเยี่ยม แล้วเอายาดีมาให้ท่าน" เหม่ยฟางชูกล่องยาในมือให้ดู ก่อนมาทเขาได้เรียก ตาเฒ่าเอี๊ย เพื่อขอน้ำตาของเขาที่ตาเฒ่าเอี๊ยเก็บมา ตอนแรกทำท่าอิดออดไม่อยากให้ แต่ถูกเขาขู่จึงยอมให้อย่างจำใจ เขาจึงเอามาบดเป็นยาทาให้กับอวี๋เหวินเต๋อ

"ขอบใจเจ้ามากวางไว้เถอะเดี๋ยวข้าค่อยใข้มัน"

"ไม่ได้ ต้องทาเดี๋ยวนี้ หากท่านทาเองคงไม่ถนัด ข้าจะทาให้ท่านเอง ถอดเสื้อออกสิ" ว่าจบก็สั่งให้อีกฝ่ายถอดเสื้อออก

"คือข้า..." ใบหน้าของอวี๋เหวินเต๋อแดงซ่าน เมื่อถูกบอกให้ถอดเสื้อ

"ท่านอายข้าหรือ"

"ใครอายเจ้า เราเป็นชายเหมือนกันใยต้องอาย" แม้จะพูดเช่นนั้น ใบหน้าของอวี๋เหวินเต๋อกับยังคงแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย

"ฮ่าๆ ท่านนี่น่ารักเสียจริง"

"ขะ ข้า เนี่ยนะ น่ารัก เจ้านี่เหลวไหลสิ้นดี" แม้จะรู้ว่าถูกยั่วเย้าเล่นแต่ก็อดขัดเขินไม่ได้

"ฮ่าๆ เอาเถอะท่านถอดเสื้อเถอะข้าจะทายาให้"

"เจ้าหัวเราะอะไรนัก...ข้าไม่ใช่สตรีจะมาน่ารักเหมือนเจ้าได้อย่างไร" แม้จะบ่นงึมงำกับตัวเองแต่มีหรือที่เหม่ยฟางจะไม่ได้ยิน

"ฮ่าๆ ท่านนี่ตลกเสียจริง"

"เจ้า....ฮึ่ย!" แม้อยากโวยวายแต่ก็ทำไม่ได้จึงเก็บคำถอดเสื้อนั่งหันหลังให้เหม่ยฟางทายาแต่โดยดี

แผ่นหลังเปลือเปล่ามีมัดกล้ามสวยงามดั่งคนฝึกยุทธมีร่องรอยเขียวช้ำพาดผ่านตั้งแต่ต้นคอถึงช่วงเอวจนดูน่ากลัว

"ข้าขอโทษ ไม่คิดว่ามันจะเขียวช้ำรุนแรงขนาดนี้" เหม่ยฟางเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน

"เจ้าว่าอะไรนะ" อสี๋เหวินเต๋อได้ยินเสียงเหมือนเหม่ยฟางพูดอะไรบ้างอย่างจึงหันไปถาม

"เปล่าๆ ข้าไม่ได้พูดอะไร"

"เหรอ สงสัยข้าจะหูแว่ว" เมื่ออีกฝ่ายบอกไม่ได้พูดใยเขาจะต่องสักถามให้มากความจึงหันหลังกลับไปอีกครั้ง เมื่อปลายนิ้วเย็นๆแตะตัวยาไล้ไปตามรอยแผลช้ำเขียวอย่างแผ่วเบา กับไปกระตุ้นบางอย่างในร่างกายจนเกิดอาการขนลุก แม้ไม่ได้คิดอะไรแต่ปลายนิ้วที่ไปไล้ไปตามแนวสันหลังกับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

"ท่านรู้สึกดีขึ้นไหม" เพียงทายาไม่นานร่องรอยเขียวช้ำค่อยๆจางลง อาการเจ็บแปลบจนแทบกระดิกตัวไม่ได้เริ่มเบาบาง อวี๋เหวินเต๋อคิดขยับกายไปมาซึ่งเป็นเวลาที่เหม่ยฟางเดียวกับที่เหม่ยฟางเตรียมจะลุกลงจากเตียง ทั้งสองร่างชนกันเข้าอย่างจังจนเหม่ยฟางหงายหลังจะตกเตียง อวี๋เหวินเต๋อที่มีความว่องไวอยู่แล้วจึงคว้าร่างบางของเหม่ยฟางดึงเข้าหาตัวจนมาอยู่ใต้ร่างตน

"เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม"

"ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่ตกใจเพียงเล็กน้อย"

"ข้าขออภัยเจ้าด้วยที่ชนเจ้าจนเกือบหงายท้องตกเตียง"

"ไม่เป็นไรหรอก แต่ท่านช่วยลุกออกจากกายข้าก่อนเถอะ หากใครเข้ามา..."

แอ๊ด

เสียงประตูเปิดขัดกับการพูดของเหม่ยฟางจนทั้งสองหันกลับไปมองผู้มาเยือนใหม่ แต่ผู้มาเยือนใหม่กับแสดงสีหน้าบึ้งตึงน่ากลัว แววตาเรียวที่จ้องร่างสองร่างที่อยู่ในท่วงท่าชวนเข้าใจผิด

"พวกเจ้าทำอะไรกัน" น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจนทำให้พวกเขาทั้งสองคนแทบหนาวสั่นรีบผละจากกันในทันที

"คุณชาย พวกข้าน้อยไม่ได้ทำอะไรกันขอรับ"

"ใช่ๆ หย่งเจิ้ง พี่อวี๋แค่ช่วยข้าไม่ให้หงายตกเตียงเท่านั้น"

"พวกเจ้าเห็นข้าโง่หรือไง ช่วยอะไรกัน หากข้าไม่เข้ามาพวกทำคงทำเรื่องบัดสีไปแล้วกระมัง"

"คุณชาย นั่นไม่ใช่ในสิ่งที่ท่านเห็น"

"หุบปาก!!!" เสียงเกรี้ยวกราดไม่ฟังใคร ทำเอาเหม่ยฟางคิ้วกระตุก

"ท่านจะเชื่อหรือไม่ มันเรื่องของท่าน พวกข้าไม่ได้ทำอะไรผิด และอีกอย่างหากข้าจะทำอะไรกับพี่อวี๋ นั่นย่อมไม่เกี่ยวกับท่าน"

"นี่เจ้า..." เป็นจริงอย่างเหม่ยฟางว่า แม้อยากจะต่อว่า ก็ทำไม่ได้จึงเก็บอารมณ์ฉุนเฉียวสะบัดชายเสื้อเดินออกจากห้องไป

"เจ้าทำเช่นนี้ทำไม"

"ก็ คนอะไรไม่มีเหตุผล ไหนเมื่อไม่ฟังใยต้องใส่ใจในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด" อวี๋เหวินเต๋อ ได้แต่ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจของเหม่ยฟาง


เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!

"บัดซบ นี่ข้าทำอะไรไม่ได้เลยหรือไง ฮึ่ย!" จ้าวหย่งเจิ้งกวาดข้าวของ
ตกแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นห้องสบถถ้อยคำไม่น่าฟังหลายคำออกมาเพื่อระบายความหงุดหงิดงุ่นง่านภายในใจ สองมือกำหมัดแน่น ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

"แลท่านจะโกรธมากเลยนะ" เสียงใสไพเราะของสตรีนางหนึ่งซึ่วมีรูปโฉมงดงามดั่งบุปผาเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่กลัวเกรงความเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย เมื่อจ้าวหย่งเจิ้งที่นั่งอยู่จึงหันไปมองจึงเอ่ยเสียงเรียบอันแสนเย็นชาออกมาว่า

"นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้าหลิงเอ๋อร์ กลับไปซะ ข้าไม่เรียกเจ้ามา เจ้ามาทำไม" แม้จะถูกตอบกลับอย่างไร้เยื่อไยมั้งยังถูกจับขับไล่ไสส่งแต่นางหาได้ใส่ใจไม่ ในเมื่อนางมาถึงนี่แล้วอย่างไรเสียนางจะต้องได้ปรนนิบัติชายผู้นี้ให้จงได้

"ใยท่านขับไล่ไสส่งข้า ข้ามาทำให้ท่านอารมณ์ดีต่างหาก" ว่าพลางเดินเข้าไปแนบชิดอีกฝ่ายจนเนื้อแนบเนื้อ ลูบไล้อกแกร่งอย่างหลงไหลก่อนสอดมือเข้าไปในอกเสื้ออย่างถือวิสาสะ 

"นั่นสินะหากมีเจ้าคอยปรนนิบัติข้าในคืนนี้ ข้าอาจรู้สึกดีขึ้นก็เป็นได้" ว่าจบจึงอุ้มคนโฉมงามไปที่เตียง และบรรเลงบทรักอันเร่าร้อนในค่ำคืนอันหนาวเย็น เช่นเดียวกับใจของเหม่ยฟาง ที่ยืนหลั่งน้ำตาอยู่หน้าห้องพักของจ้าวหย่งเจิ้ง แต่ไม่คิดว่า จ้าวหย่งเจิ้งจะกำลังเริงสวาทกับหญิงคณิกาฝูหลงฮาวที่มีนามว่า ว่านเสี่ยวหลิง

"นั่นสินะ เป็นข้าบอกเขาเองว่า เราไม่เกี่ยวข้องกัน" พูดจบจึงเดินหันหลังกลับโดยไม่แม้จะหันกลับไปมองห้องนั้นอีกเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2017 19:58:11 โดย Vammas »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด