❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]  (อ่าน 47773 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

*****************************************************************************************


เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว]
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว]
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว]
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว]
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว]
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]
เหนือลิขิต [จบแล้ว]



เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา
★  อยากบอกว่าชอบเธอ
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง



========================



8 วัน 7 คืน

8 วันที่เราได้กลับมาเจอกัน
7 คืนที่ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น

คำเตือน : นี่คือกระทู้รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุ


#8วัน7คืน


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2019 20:56:34 โดย kinsang »

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5


ก่อนออกเดินทาง


   แม่ผมชอบเม้าท์ ชอบคุย วันๆ นอกจากทำงานบ้านแล้วภารกิจอีกอย่างคือเอาเรื่องลูกชายไปเม้าท์ให้คนอื่นฟัง ก็แน่ล่ะ ลูกชายแม่แต่ละคนน่าเอาไปอวดสุดๆ เรียนก็เก่ง การงานก็ดีมีเงินเก็บ แถมหนีไปเที่ยวบ่อยๆ แต่ทั้งที่เป็นเรื่องที่กำชับไว้แล้วว่าห้ามบอกใครไหงถึงมีคนรู้เรื่องได้ล่ะเนี่ย

   "อินจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเหรอลูก"

   ผมกำลังปั่นจักรยานเข้าบ้านฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ป้านาถเจ้าของร้านขายของชำประจำหมู่บ้านแกก็ร้องทัก เป็นประโยคที่ทำให้ผมบีบเบรกมือจนรถแทบม้วนหน้าก่อนจะหันไปทำหน้าเหวอใส่ป้าแก

   นี่ป้านาถรู้ได้ไงว่าผมจะไปเที่ยวญี่ปุ่น

   "ครับป้านาถ" ยิ้มแหยตอบกลับไป แต่ในใจเหมือนน้ำใกล้เดือด แม่นะแม่ บอกแล้วไงว่าห้ามเอาไปบอกใคร

   ป้านาถฉีกยิ้มกว้างเดินเข้ามาหาผม ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงชะตากรรมแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากให้ใครรู้

   "ป้าฝากซื้อของหน่อยสิ" กระดาษที่จดอะไรกระยุกยิกเหมือนใบโพยหวยถูกยื่นมาให้

   ผมยิ้มแหยยิ่งกว่าเดิม อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่กล้าปฏิเสธเพราะเป็นญาติผู้ใหญ่ที่จะว่าสนิทก็ไม่เชิง แถมป้านาถแกเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในหมู่บ้าน จะว่าปากสว่างพูดไม่คิดด่าไม่เลือกก็ได้ คนรักสงบอย่างผมเลยเตือนตัวเองไว้เสมอว่าอย่าไปมีเรื่องกับแกเด็ดขาด

   เมื่อผมเอาแต่ยิ้มเหมือนเด็กเอ๋อไม่ยื่นมือออกมาไปรับสักทีป้านาถอกเลยจัดการยัดกระดาษใส่มือผมพร้อมซองเงินให้เสร็จสรรพ ก็ยังถือว่าดีที่ฝากเงินมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากจะรับไว้ให้เป็นภาระอยู่ดี

   "ถ้าเจอถึงจะซื้อให้นะป้า" ผมบอกดักทางไว้ก่อนแต่เหมือนป้าแกไม่ได้สนใจเลย

   "แหม นิดๆ หน่อยๆ เอง ป้าฝากด้วยนะ" ตีแขนผมหนึ่งที ยิ้มหวานให้แล้วป้านาถก็เดินหันหลังกลับไปเฝ้าร้านต่อ

   ให้มันได้อย่างนี้สิ

   ผมปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความเซ็งสุดขีด เข็นรถเข้าที่จอด เปิดประตูเข้าบ้านวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะแล้วมองหาท่านแม่ทันที

   นั่นไง อ่านนิยายสบายใจเฉิบอยู่ที่เก้าอี้โยก

   "แม่~"

   "อะไร"

   "ไปบอกป้านาถทำไมว่าอินจะไปเที่ยว"

   แม่ลดหนังสือนิยายลงพลางหันมาเลิกคิ้วใส่ก่อนตอบอย่างไม่ยี่หระ
 
   "ก็แม่ไปขอให้ลุงไกรไปส่งที่สนามบินพรุ่งนี้ เค้าก็ถามสิว่าอินจะไปไหน"

   ฟังแล้วได้แต่ทำหน้ายู่ พรุ่งนี้ผมบินแปดโมงเช้า ต้องถึงสนามบินอย่างช้าหกโมงครึ่ง ถ้าพ่อไปส่งก็จะไปทำงานไม่ทัน หรือไม่ก็ต้องรีบไปถึงตั้งแต่ตีสามตีสี่ซึ่งผมไม่เอาด้วยหรอก เลยกะว่าจะนั่งแท็กซี่ไป แล้วเผอิญลุงไกรสามีป้านาถแกขับรถแท็กซี่พอดีแม่เลยจัดการทาบทามให้เรียบร้อย เป็นไงล่ะแม่ผม ได้รถไปส่งพรุ่งนี้แถมได้ภาระของฝากมาด้วย

   "แล้วจัดกระเป๋าเสร็จหรือยัง"

   "ยังเลย"

   "แล้วคุยกับน้องแบร์โอเคแล้วใช่มั้ย"

   "โอเคแล้วคร้าบ" ผมตอบหน่ายๆ ก็ไอ้น้องแบร์หรือที่ผมชอบเรียกในใจเองว่าน้องหมีนี่ก็เป็นภาระที่แม่ผมหามาให้เหมือนกัน

   เดิมทีแล้วทริปนี้ผมตั้งใจจะไปคนเดียว เลือกช่วงฤดูใบไม้ผลิจะได้เดินดูซากุระชิลๆ ท่ามกลางอุณหภูมิยี่สิบต้นๆ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ อยากไปไหนเมื่อไรก็ไป แต่แม่ผมอีกแล้วนั่นแหละเอาเรื่องที่ผมจะไปเที่ยวญี่ปุ่นไปเล่าให้เพื่อนบ้านสมัยเก่าเก็บฟังจนสุดท้ายได้เพื่อนร่วมทริปเพิ่มมาอีกคน

   ก็น้องแบร์ของแม่หรือน้องหมีของผมนั่นแหละ

   ครอบครัวผมเพิ่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้เมื่อเก้าปีก่อน แต่หมู่บ้านเก่านั้นอยู่มาตั้งแต่เกิด เรียกว่าเป็นความทรงจำสมัยเด็กของผมเลยก็ได้ ผมมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่นั่น หนึ่งในนั้นก็คือน้องหมี คนที่สนิทกับผมที่สุด ความจริงเราเรียนรุ่นเดียวกันแต่เกิดคนละปี ผมเกิดสิงหาส่วนน้องหมีเกิดกุมภา อายุห่างกันหกเดือน แต่เพราะพ่อแม่ให้เรียกกันแบบนี้สุดท้ายเลยกลายเป็นพี่อินกับน้องแบร์ตั้งแต่จำความได้ แถมยังเรียกชื่อแทนตัวเองแบบไม่มีศักดิ์ทางอายุนำหน้าทั้งคู่

   ผมเรียกแทนตัวเองว่าอิน ส่วนน้องหมีก็เรียกแทนตัวเองว่าแบร์

   แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี่มันก็เป็นแค่อดีต เพราะผมย้ายบ้านเราเลยห่างกันไปด้วย ผมมีเพื่อนกลุ่มใหม่ น้องหมีก็อยู่กับสังคมของเขา มีติดต่อหากันบ้างช่วงวันสำคัญอย่างวันเกิดหรือวันปีใหม่ แต่ที่จริงจะเรียกว่าติดต่อก็อาจจะมากไปเพราะเราแค่ส่งข้อความอวยพรกันเท่านั้น ก็สมัยนั้นโซเชียลเน็ตเวิร์คยังไม่แพร่หลายเท่าไรเลยใช้วิธีส่ง SMS กันซะมากกว่า

   ปัจจุบันได้ข่าวว่าน้องหมีเพิ่งเรียนจบป.ตรี ทั้งที่ควรจะจบตั้งแต่สองปีก่อน เพราะติดเพื่อนทิ้งการเรียนเลยกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่น้องมันกลับตัวทัน พอเรียนจบเลยได้ของขวัญเป็นแพ็กเกจเที่ยวญี่ปุ่นกับผมนี่แหละ

   ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราเจอหน้ากันแบบนับครั้งได้ อาจจะปีละครั้งหรือสองครั้งเวลามีงานสำคัญอย่างพวกงานแต่งงานหรืองานศพ ขนาดตกลงว่าจะไปเที่ยวด้วยกันแล้วเรายังนัดเจอกันแค่ครั้งเดียวคือตอนไปงานเที่ยวญี่ปุ่น ที่เหลือคุยกันผ่านตัวหนังสือทางไลน์ เพราะงานผมยุ่งด้วยล่ะถึงไม่ว่างไปเจอแม้น้องจะนัดอยู่หลายครั้ง

   "อินไปจัดกระเป๋าก่อนนะแม่" รำลึกความหลังกันพอแล้วผมก็เลี่ยงขึ้นห้อง

   กระเป๋าเดินทางเปล่าๆ ยังวางแอ้งแม้งอยู่ในห้องนอน พวกเสื้อผ้าของใช้ผมลิสต์รายการไว้หมดแล้วว่าจะเอาอะไรไปบ้าง เหลือแค่ยัดลงกระเป๋าก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

   แค่คิดก็ตื่นเต้น อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ ชะมัด


TBC


หายไปหลายเดือนเลยมีใครยังจำเราได้มั้ย ฮา
ตอนแรกมีความตั้งใจว่าจะปั้นเรื่องนี้ให้เสร็จแล้วค่อยลงทีเดียว คือจะลงช่วงปลายมีนาถึงต้นเมษา
แต่สุดท้ายแล้วไม่รอดค่ะ ถ้ารอแต่งจบค่อยลงสงสัยไม่ได้ลงแน่ๆ กลับมาอีกทีปีหน้าเลยงี้
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยน้า ขอบคุณค่า


ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
รอๆๆๆๆพี่อินน้องหมี

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 1 [26/03/2560]
«ตอบ #3 เมื่อ26-03-2017 17:43:27 »



วันที่ 1


   เวลานัดคือหกโมงเช้า ส่วนตอนนี้ตีห้าสิบนาที ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเช้าขนาดนี้แต่ถนนมันโล่งลุงไกรแกเลยเหยียบเต็มที่ ส่วนผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น นั่งหาวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ อยากจะยึดเก้าอี้แล้วนอนยาวๆ เหมือนพี่ฝรั่งฝั่งตรงข้ามบ้างก็เกรงใจ ส่วนเพื่อนร่วมทริปอย่างน้องหมีได้ข่าวว่าเพิ่งออกจากบ้านอยู่เลย

   เฮ้อ~ ชีวิต

   สนามบินยามเช้ามันช่างเหงาหงอย นั่งแก่วไถเฟซบุ๊กไถทวิตเตอร์จนไม่มีอะไรให้อ่านในที่สุดไลน์จากน้องหมีก็เด้งขึ้นมาเสียที

   น้องหมี : ถึงแล้วนะ พี่อินอยู่ตรงไหน

   อิน : ไปรอเคาน์เตอร์เช็คอินเลยก็ได้ เดี๋ยวเดินไปหา

   น้องหมี : เราเช็คอินเคาน์เตอร์ R ใช่ป่ะ

   อิน : ใช่

   น้องหมี : งั้นรอตรงนี้นะ

   อิน : โอเค

   นัดแนะกันเรียบร้อยผมก็ลากกระเป๋าเดินไปหาน้องหมีที่เคาน์เตอร์ R น้องผมคนนี้น่ะสังเกตง่าย มองไกลร้อยเมตรยังจำได้เลย ตัวสูงเกิน 180 ซม. ผิวขาวหน้าหล่อเหมือนนายแบบ แม้จะแต่งตัวธรรมด๊าธรรมดาอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ผู้หญิงก็พากันมองจนเหลียวหลัง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ แค่ผมเดินเข้าใกล้บริเวณจุดนัดหมายของเราก็เห็นแล้วว่าน้องมันอยู่ตรงไหน

   นั่นไง ยืนเต๊ะท่าเล่นมือถืออยู่ตรงนั้น

   ผมลากกระเป๋าเดินไปยืนตรงหน้า พอน้องหมีรู้ตัวว่ามีคนมาถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ยกมือเสยผมที่ปลกหน้าไปข้างหลังแล้วยิ้มให้ตาเป็นขีด บอกได้คำเดียวว่าโคตรดูดี

   ถ้าสาวๆ ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ใกล้ๆ คงกรี๊ดกันสลบแน่ เงยหน้าขึ้นมาแบบหล่อๆ เสยผมแบบเท่ๆ แต่พอยิ้มแล้วดูน่ารักขึ้นมาทันที น้องหมีเป็นผู้ชายที่สามารถปรับลุคได้สามแบบในเวลาสามวินาที

   "มาถึงนานยัง" น้องหมีถามด้วยเสียงทุ้มๆ ตามความใหญ่ของขนาดตัว

   "สี่สิบนาทีที่แล้ว"

   "จริงดิ แล้วไมไม่บอก" พอรู้ว่าผมรอนานน้องมันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่บอกแล้วมันจะช่วยอะไร ในเมื่อตอนผมถึงสนามบินแล้วน้องหมีเพิ่งออกจากบ้าน อีกอย่างเราทั้งสองคนก็มาถึงก่อนเวลานัดกันทั้งคู่

   "ช่างเหอะ ไปเช็คอินกัน" ผมบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจก่อนลากกระเป๋าไปต่อแถวเช็คอิน
 


   ผ่านเข้ามาด้านในแล้วเราก็มานั่งรอกันหน้าเกท ระหว่างเดินมาน้องหมีมันชวนผมคุยย้อนความหลังครั้งวัยเยาว์ตลอดทาง เพราะเราเจอหน้ากันไม่บ่อยเลยมีเรื่องให้คุยเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ที่สุดคือส่วนสูงที่เพิ่มเอาๆ ของน้องมันมากกว่า ทั้งที่ตอนเด็กตัวเล็กกว่าผมแท้ๆ มาโดนแซงเอาตอนไหนก็ไม่รู้ แถมแซงไปไกลด้วย

   "ก็แค่กินทุกอย่างให้หมดแล้วนอนเยอะๆ แค่นั้นเอง"

   และนี่ก็คือคำตอบของน้องหมี ฟังแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม

   ผมก็นอนเยอะนะ ทุกวันนอนไม่เกินห้าทุ่มแต่ต้องตื่นตีห้าทุกวันเพื่อปั่นจักรยานไปจอดไว้หน้าหมู่บ้านแล้วนั่งรถตู้ไปทำงานซึ่งอยู่อีกฟากกับเขตบ้านผมเลย นับเวลานอนก็หกชั่วโมง เพียงพอแล้วสำหรับผู้ใหญ่วัยเบญจเพส ส่วนตอนเด็กผมหลับตั้งแต่สามสี่ทุ่ม เล่นกีฬาออกกำลังกายไม่ค่อยได้ทำเหมือนคนอื่นเขาเท่าไร เพราะงั้น 172 ซม. ที่ได้มาผมว่ามันก็โอเคแล้ว

   เวลาอยู่กับน้องหมีแล้วเหมือนผมเป็นฝ่ายรับฟังเสียงมากกว่า ตั้งแต่เจอหน้ากันน้องมันก็พูดไม่หยุด ปกติผมไม่ใช่คนเงียบเท่าไรนะ แต่ก็นั่นแหละ เจอคนพูดมากกว่าเลยต้องยอม

   "พี่อินไปญี่ปุ่นครั้งแรกป่ะ" แล้วคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะเจอก็หลุดออกมา

   คุยกันเรื่องญี่ปุ่นมาก็เยอะแต่น้องหมีไม่เคยถามคำถามนี้กับผมเลย ส่วนใหญ่จะปรึกษากันเรื่องที่เที่ยวมากกว่า ซึ่งผมวางแผนไว้หมดแล้วก่อนจะรู้ว่าได้เพื่อนร่วมเพิ่มมาอีกคน มีเอามาปรับใช้นิดหน่อยตอนน้องมันขอว่าอยากไปที่นั่นที่นี่แค่นั้น

   "ไม่อ่ะ"

   "จริงดิ" น้องหมีทำตาโต ดูจะตื่นเต้นมากที่ผมไม่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

   "อืม"

   "ไปกี่ครั้งแล้ว"

   "ก็...ครั้งที่สี่"

   "โห!~ ไม่เห็นเคยบอก" ร้องแบบโอเวอร์แอคติ้งแถมเบิกตากว้างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม นี่น้องหมีมันจบเอกการแสดงหรือไง

   ผมไม่บ้าโซเชียล ปกติไปเที่ยวเลยไม่ค่อยอัพรูปอัพเดทเหตุการณ์เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไร แต่ประเด็นที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปไหนก็คือหนึ่ง เบื่อพวกฝากซื้อของ และสอง ผมไม่ได้ไปเที่ยวแบบคนอื่นเขาไง เลยชอบไปแบบเงียบๆ ไปแค่ไม่กี่วัน รู้เฉพาะคนที่สนิทจริงๆ ขนาดเพื่อนที่ทำงานบางคนยังไม่รู้เลยว่าผมไปญี่ปุ่น 

   "งี้ก็เที่ยวครบทั้งประเทศแล้วดิ"

   "ไม่หรอก"

   อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนความลับที่ปกปิดไว้กำลังจะถูกเปิดเผย ผมไม่อยากบอกเลยว่าที่ผ่านมาไปญี่ปุ่นเพราะอะไร แต่พลั้งปากพูดไปแล้วแถมน้องหมีมันยังทำหน้าอยากรู้ซะขนาดนี้ผมควรจะแถออกไปมหาสมุทรไหนดี

   "ทำไมอ่ะ"

   "ก็ไม่ทำไมอ่ะ"

   "แล้วพี่อินไปที่ไหนมาแล้วบ้าง"

   "โตเกียวแล้วก็..." ผมลากเสียงยาวเพราะมันนึกไม่ออก ความจริงคือนอกจากโตเกียวแล้วผมก็แทบไม่ได้ไปไหนอีกเลย เพราะฉะนั้นคำตอบคือโตเกียวที่เดียวเท่านั้น

   "แล้วก็..."

   "จำไม่ได้แล้ว ไหนเอาแผนเที่ยวที่ให้ปริ๊นมาดูดิ๊" เลือกมหาสมุทรแถออกไปไม่ได้ผมก็เบี่ยงประเด็นมันซะเลย

   แบมือไปตรงหน้าน้องหมีขอแผนการท่องเที่ยวที่ผมใช้เวลาร่วมเดือนในการหาข้อมูลและจัดเรียงแต่ให้น้องมันเป็นคนพิมพ์เข้าเล่มมาให้

   น้องหมีก็แสนว่าง่าย ออกปากขอปุ๊บรีบเปิดกระเป๋าหยิบให้ปั๊บ เรื่องที่คุยกันอยู่เมื่อกี้ก็ลืมๆ มันไปแล้วขึ้นหัวข้อใหม่กันเถอะ

   พอเบี่ยงเบนประเด็นได้ผมก็ชวนน้องหมีคุยเรื่องที่เที่ยวในแผนการเดินทางไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง แล้วน้องมันก็เหมือนจะลืมประเด็นการไปญี่ปุ่นที่เดียวซ้ำๆ ของผมไปเลย



   ห้าชั่วโมงกับอีกห้าสิบนาทีเราสองคนก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะโดยสวัสดิภาพ ผมเดินงัวเงียตามหลังน้องหมีไปเรื่อยๆ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงสายพานรับกระเป๋า เห็นผมเดินทางบ่อยๆ ก็เถอะความจริงไม่ค่อยถูกโรคกับเครื่องบินเท่าไร แต่เพราะความอยากเลยต้องมา ถึงไม่ชอบนั่งเครื่องบินยังไงก็ต้องมา

   ที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมง ตอนนี้จึงเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง หลังจากได้กระเป๋าเราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองตรงไปยังโรงแรมที่สถานีอิเคะบุคุโระ ทิ้งสัมภาระเอาไว้แล้วจะได้ออกไปตะลุยโตเกียวในยามค่ำคืนกัน
   ลากกระเป๋าใบโตด้วยความทุลักทุเลมาถึงสถานีอิเคะบุคุโระได้สองกระเหรี่ยงจากเมืองไทยก็งงเป็นไก่ตาแตก ถึงผมจะมาโตเกียวบ่อยก็เถอะแต่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานีใหญ่แถมคนเยอะเลยต้องรีบพากันไปหลบมุมเสาแล้วหยิบแผนเที่ยวที่ทำไว้มากางดู
   "ออกทาง west" น้องหมีบอกแล้วชี้ป้ายให้ผมดูเราถึงได้ลากกระเป๋าไปกันต่อ

   ทางออกที่พวกเราต้องออกนั้นไกลมาก เดินผ่านร้านอาหารผมก็ได้แต่มองตามตาละห้อย มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น แต่ด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาเลยต้องอดไว้ก่อน เอากระเป๋าไปโยนทิ้งที่โรงแรมเมื่อไรผมจะแวะมันทุกร้านที่อยากกินเลย

   เดินมาจนถึงทางออก บันไดเลื่อนพามาโผล่บนทางเดินแล้วก็พากันงงอีกรอบ

   "ไปไหนต่อนะ" น้องหมีหันซ้ายหันขวาก่อนหันมาถามผม

   "เขาบอกให้ตรงไป เจอร้านยาแล้วเลี้ยวซ้าย" บอกรายละเอียดที่หามาได้ไป

   ปกติผมไม่เคยหาข้อมูลอะไรแบบนี้เลย สามครั้งที่ผ่านมาคือมากับแก๊งเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันแถมเป็นผู้ตามตลอด อารมณ์แบบเดินตามอย่างเดียว เขาพาไปไหนก็ไป พอต้องมานำเองแบบนี้เลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

   "ตรงไป งั้นก็ข้ามถนนใช่มั้ย" ถามแล้วก็หันมาทำหน้ามึนใส่ผม

   อยากจะตอบกลับไปดังๆ ว่า 'ไม่รู้โว้ย! มาครั้งแรก' แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทำหน้ามึนตอบกลับไปบ้าง

   "มั้ง"

   สุดท้ายก็เป็นอันสรุปว่าเราจะข้ามถนน เพราะโผล่ออกจากทางขึ้นสถานีก็เจอทางม้าลายอยู่ตรงหน้าเลย ฉะนั้น ตรงไปก็เท่ากับข้ามถนนไปล่ะมั้งนะ



   แล้วไหนล่ะร้านยา

   เดินลากกระเป๋าด้วยความลำบากยากเย็นมาจนจะสุดทาง ข้างหน้ามีถนนตัดผ่านตามด้วยกำแพงผมก็ยังไม่เจอร้านยาสักร้าน ไหนข้อมูลบอกเดินไม่ไกลแต่นี่มันโคตรไกล ไกลมากด้วย

   "มาถูกทางป่ะเนี่ย" ไม่ถามเปล่ามีการหัวเราะเยาะ

   ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าตรงไปคือข้ามถนนน่ะไอ้น้องหมี ก่อนจะได้เที่ยวต้องลุ้นว่าจะหาโรงแรมเจอหรือเปล่าด้วยใช่มั้ย

   "เปิดแมพดูดิ๊"

   "พี่ไม่เปิดอ่ะ"
   อุตส่าห์โยนไปให้แล้วยังจะโยนกลับมาอีก ถ้าดูเป็นคงทำเองไปแล้ว

   จุดบอดเรื่องการท่องเที่ยวของผมอีกอย่างคือเดินตามแมพไม่เป็น งงทิศ ไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหน เปิดดูแล้วไม่ช่วยอะไรรอบนี้ที่มาเองเลยเน้นการหาข้อมูลแน่นๆ แทน แต่ตอนนี้ข้อมูลแน่นแค่ไหนก็คงไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน ในเมื่อหลงทางไปแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าการมีน้องหมีมาด้วยมันอาจจะดีก็ได้ ถ้าไม่นับเรื่องตรงไปเท่ากับข้ามถนนเมื่อกี้น่ะนะ

   "แบร์นำนะ" ให้ผมเปิดผมก็เปิดแต่ยื่นมือถือไปให้น้องหมีดูเอง น้องมันทำหน้างงนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับไปถือไว้โดยดี

   อย่าให้พี่เดินนำเลยไอ้น้อง จากที่ควรจะถึงโรงแรมอาจจะพาเดินกลับสนามบินเลยก็ได้

   สุดท้ายด้วยความสามารถของหมียักษ์ก็ทำให้พวกเรามาถึงโรงแรมได้สำเร็จ ซึ่งทางที่เดินไปก่อนหน้านี้ก็เหมือนเป็นการสำรวจย่านนี้เล่นๆ ว่าง่ายๆ คือไปเดินอ้อมมาเกือบครบทั้งย่านแล้วนั่นแหละ

   โรงแรมที่ผมจองไว้เป็นโรงแรมเล็กๆ และราคาถูกมาก เจ้าหน้าที่ก็สุดแสนจะเงียบขรึม จ่ายเงินให้กุญแจห้องเป็นอันจบข่าว ไม่มีการแนะนำใดๆ ต่อทั้งสิ้น เช็คอินเรียนร้อยผมกับน้องหมีก็ลากกระเป๋าเข้าลิฟต์กดชั้นสามตามหมายเลขห้องบนกุญแจที่ได้มา

   "โคตรแคบ" ประตูลิฟต์เปิดออกปุ๊บน้องหมีก็บ่นปั๊บ

   จะว่าไปทางเดินมันก็แคบจริงๆ นั้นแหละ กระเป๋าใบเดียววางก็เต็มแล้ว ยิ่งคนตัวใหญ่อย่างกับหมีขั้วโลกอย่างน้องมันไปยืนคือคับเต็มทางเดินไปหมด เห็นแล้วก็ขำ

   "ไม่ต้องมาหัวเราะ ใครให้จองที่นี่เนี่ย" ปากบ่น คิ้วขมวด พร้อมทั้งลากกระเป๋าไปด้วยความทุลักทุเล

   "อย่ามาบ่น ตอนจองก็เอาให้ดู"

   "ใครจะไปรู้ว่าทางเดินจะแคบขนาดนี้"

   "นอนในห้องไม่ได้นอนตรงทางเดิน"

   น้องหมียู่หน้าใส่ผม หยุดบ่นแล้วลากกระเป๋าเงียบๆ ไปยังห้องพักที่อยู่สุดทางเดิน

   เปิดประตูห้องเข้ามา เปิดสวิตช์ไฟเรียบร้อย อย่างแรกที่ผมมองหาคือเตียงนอน เตียงใหญ่กว่าติดริมหน้าต่างส่วนเตียงเล็กติดผนังห้องอีกด้าน และนี่คือความประหลาดของโรงแรมนี้ที่สองเตียงมันขนาดไม่เท่ากัน แม้จะต่างกันแค่ครึ่งฟุตก็ตาม

   ผมกับน้องหมีมองหน้ากัน เป็นใครก็อยากนอนเตียงใหญ่ใช่ไหม ถ้าว่ากันตามหลักความจริงน้องหมีมันตัวใหญ่กว่าก็สมควรได้เตียงใหญ่ไป แต่ใครสน

   "อิน..."

   "แบร์นอนเตียงเล็กเอง" ผมยังไม่ทันพูดน้องหมีก็พูดขัดขึ้นมา มีการหันมายิ้มตาหยีให้ก่อนลากกระเป๋าเข้าไปไว้ฝั่งเตียงตัวเอง

   ยอมให้ขนาดนี้ผมก็น้อมรับแต่โดยดี ตั้งแต่เด็กแล้วที่เวลาเถียงกันทะเลาะกันน้องหมีมักจะยอมให้ผมตลอด ทั้งที่ผมซึ่งเป็นพี่ควรจะยอมให้มากกว่า

   แม้ตัวจะสูงขึ้น แม้จะห่างกันมานาน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี นิสัยข้อนี้ของน้องหมีก็ยังน่ารักสำหรับผมเหมือนเดิม

   ดูเป็นพี่ที่เอาเปรียบน้องชะมัด



   ตามตารางที่ผมวางไว้คือหลังจากเก็บของที่โรงแรมเรียบร้อยเราจะออกไปหาข้าวเย็นกินกัน ไม่ได้ระบุว่าจะไปที่ไหน อารมณ์แบบไปหาเอาดาบหน้า เจออะไรน่ากินก็กิน และจากการเดินวนย่านนี้มาแล้วหนึ่งรอบทำให้ตัวเลือกผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ต่อให้อยู่เป็นเดือนก็คงกินไม่ครบทุกร้าน

   "จะกินแถวนี้มั้ย หรืออยากไปที่อื่น" ผมถามลองเชิง อันที่จริงก่อนจะรู้ว่าได้น้องหมีเป็นเพื่อนร่วมทริปผมมีแผนอยู่แล้วว่าจะไปที่ไหน ก่อนมาก็เช็คตารางเรียบร้อยและคิดว่าจะไม่พลาดแน่ๆ ใจหนึ่งก็อยากไปใจหนึ่งก็ไม่อยากเพราะน้องหมี ความชอบของคนเรามันเหมือนจะซะที่ไหน เกิดพาไปแล้วน้องมันไม่เอ็นจอยขึ้นมาจะพาลเอาผมเซ็งไปด้วย

   "แถวนี้ก็ได้ หรือพี่อินมีที่ไหนแนะนำมั้ย เอาที่ไม่มีในแผนนะ"

   "ที่จริงก็มีอยู่ที่นึง" เสริมอีกนิดว่าเป็นย่านที่มีในแผนแต่ไม่คิดว่าจะพาไปเพราะอยากจะไปคนเดียว

   เฮ้อ! แล้วผมจะบอกน้องมันทำไมวะ เกริ่นซะน่าไปขนาดนี้น้องหมีมันเลยทำหน้าตาอยากรู้เข้าไปใหญ่

   "ที่ไหน"

   "อากิบะ"

   "ฮะ" พูดชื่อย่อก็ไม่เข้าใจ มาทำหน้างงใส่ผมอีก มาเที่ยวนี่ศึกษาอะไรมาบ้างมั้ยเนี่ย

   "อากิฮาบาระ"

   "มันมีในแผนไม่ใช่เหรอ"

   "ก็ไปส่วนที่ไม่ได้อยู่ในแผนไง"

   ได้ยินแบบนี้น้องหมีก็ทำหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที แต่พาไปแล้วน้องมันจะชอบหรือเปล่า ผมกับน้องมันชอบอะไรคนละสไตล์กันด้วย

   "มันแพงนะ กินเสร็จอาจจะไม่อิ่มก็ได้" พูดดักไว้ก่อน ที่ที่ผมอยากไปคือไปเอาความสุขใจล้วนๆ เป็นความชอบส่วนบุคคลจริงๆ

   แต่สำหรับน้องหมีแล้วดูเหมือนเรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหา

   "ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มดิ จ่ายได้น่า มาเที่ยวต้องเอาให้คุ้ม"

   ถ้าพาไปก็เท่ากับว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของผมซึ่งน้อยคนนักที่รู้อาจจะถูกเปิดเผย ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก แต่กับน้องหมี เด็กที่เคยเดินตามผมต้อยๆ มีผมเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนั้น หลังจากห่างหายจากกันไปเกือบสิบปีมารู้ว่าตอนโตรสนิยมผมกลายเป็นแบบนี้ความนับถือมันจะยังหลงเหลืออยู่ไหม

   "สรุปพี่อินจะพาไปไหน"

   ผมยังไม่ตอบในทันที มองหน้าน้องมันแล้วยิ้มแห้งๆ หรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

   "บอกมาเร็วๆ"

   มาถึงญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องไปที่แบบนี้ดิถึงจะถูก จริงมั้ย

   "เมดคาเฟ่"



TBC.



ตอนแรกมาแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยน้า
ตอนหน้าจะพาไปเมดคาเฟ่กัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน แล้วเจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
«ตอบ #4 เมื่อ27-03-2017 18:49:05 »



คืนที่ 1


   อากิบะหรืออากิฮาบาร่าในยามค่ำคืนยังครึกครื้นเหมือนทุกที ย่านนี้เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผม ถ้ามาญี่ปุ่นก็ต้องมาที่นี่ แล้วย่านนี้มันมีอะไรน่ะเหรอ

   ก็อย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านอาหาร แล้วก็...ของเกี่ยวกับอนิเมะ มังงะ ไอดอล ฟิกเกอร์ กาชาปอง วิดีโอเกมส์ เมดคาเฟ่ พูดง่ายๆ ก็สวรรค์ของโอตาคุนั่นแหละ หรือจะพูดอีกทีก็คือสวรรค์ของผมอีกเหมือนกัน

   ผมพาน้องหมีเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยอย่างช่ำชอง ดูเหมือนน้องมันจะชอบที่นี่นะ มองดูสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความสนใจ โดยเฉพาะตอนเดินผ่านร้านที่มีตู้เรียงเป็นแถวๆ แถมเสียงดังไปถึงหน้าปากซอย

   "สนใจ" ถามลองเชิงออกไปน้องหมีมันก็รีบพยักหน้ารับ หรือจะทิ้งน้องมันไว้ที่นี่แล้วผมไปเมดคาเฟ่คนเดียวดี

   "มันคืออะไร"

   "ปาจิงโกะ เล่นเป็นมั้ย"

   "ไม่อ่ะ"

   "อย่าไปเล่นเลย" ผมเดินผ่านร้านปาจิงโกะทิ้งน้องหมีให้ยืนมองหน้าร้านตาละห้อยต่อไป มันเป็นการพนันอย่าไปเล่นเลย ถึงจะถูกกฎหมายก็เถอะ เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า



   เมดคาเฟ่ที่ผมพามาอยู่ชั้นสี่ของตึก ตอนเข้าไปในลิฟต์เจอเพื่อนร่วมทางอีกสองคน แถมตอนออกจากลิฟต์เจอน้องเมดเลิกงานพอดีอีก คนอื่นเขาก็ทักทายน้องเมดกันไป ยกมือบ๊ายบายทำเสียงงุ้งงิ้งอะไรแบบนี้ ผมก็อยากทำบ้างนะแต่แอบเหล่ไอ้คนข้างๆ เห็นมันมองเขาแล้วยิ้มตาปิดเลยไม่ทำดีกว่า

   ออกจากลิฟต์เดินมาอีกนิดหน่อยก็ถึงทางเข้าร้าน มีสาวน้อยใส่ชุดเมดสีน้ำตาลหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังคอยต้อนรับอยู่พร้อมกับแนะนำรายละเอียดของร้านซึ่งผมก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง อาศัยประสบการณ์มาบ่อยเลยเข้าใจเป็นอย่างดี

   "มันต้องเสียค่าเข้านะ คนละพันสี่ร้อยเยนค่าอาหารต่างหาก ส่วนอันนี้เป็นแพ็กเกจแนะนำ อาหารอย่างเดียว อาหารพร้อมเครื่องดื่ม ส่วนอันนี้มีถ่ายรูปคู่ จะเลือกแบบไหนก็คิดไว้" หลังจากรับแผ่นแนะนำจากน้องเมดมาผมก็อธิบายให้น้องหมีฟังคร่าวๆ

   "พี่อินเลือกแบบไหน"

   เออไอ้นี่ ให้เลือกไว้ในใจไม่ได้ให้ถามกลับ

   ผมมองหน้าน้องหมีแล้วยิ้ม อย่างพี่น่ะเหรอ แบบที่สามอยู่แล้ว การถ่ายรูปกับน้องเมดคือภารกิจหลัก ส่วนอาหารน่ะมันของแถม

   "สาม" ตอบน้องหมีแล้วผมก็เดินตามน้องเมดเข้าไปข้างใน

   ผมสอดส่ายสายตาไปตามมุมต่างๆ ของร้าน วันนี้ลูกค้าค่อนเยอะดูวุ่นวายนิดหน่อย และตอนที่กำลังเดินผ่านโต๊ะลูกค้ากลุ่มหนึ่งใครบางคนที่ผมอยากเจอก็หันมามองพอดิบพอดี

   "อ๊ะ!" เมดสาววัยยี่สิบต้นๆ ในชุดสีน้ำตาลกับผมทรงทวินเทลยิ้มหวานพร้อมโบกมือให้

   "ไอริจัง~" ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ส่งยิ้มทักทายกลับ ถ้าไม่ติดว่าโต๊ะนั้นมีลูกค้าอยู่ผมคงเดินเข้าไปหาแล้ว ตอนนี้เลยทำได้แค่เดินตามน้องเมดไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง

   "รู้จักกันด้วยเหรอ" หย่อนก้นนั่งได้น้องหมีมันก็สะกิดถามผมยิกๆ หน้าตาอยากรู้อยากเห็นแบบปิดไม่มิด

   "อืม รู้"

   "โห ร้ายว่ะ"

   ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หยิบเมนูมาเปิดดูพร้อมกับอธิบายกฎของร้านในน้องหมีมันฟังไปพลางๆ อย่างเช่นห้ามจับตัวน้องเมด ห้ามถ่ายรูปน้องเมด จนเลือกเมนูที่ต้องการได้น้องเมดคนเดิมก็เดินมารับออเดอร์

   ผมจิ้มแพ็กเกจที่สามอย่างไม่ลังเล น้องหมีมันแอบมองผมแล้วก็จิ้มแพ็กเกจที่สามเหมือนกัน ลอกกันนี่หว่า

   พอน้องเมดคนน่ารักรับออเดอร์จากไปแล้วผมเลยหันไปหาไอริจังที่ยังวุ่นวายกับลูกค้าคนเดิมอยู่ เลยได้แต่ส่งกระแสจิตไปหาให้เธอทิ้งไอ้หมอนั่นแล้วมาหาผมเร็วๆ แต่เชื่อเถอะว่ายังไงเธอก็ต้องมาหาผม เพราะผมมันคนพิเศษไง

   "พี่อินๆ"

   "อะไร" แต่ที่มันจะไม่พิเศษก็เพราะมีน้องมันอยู่ด้วยนี่แหละ สะกิดกันจัง

   "อย่าบอกนะที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ คือมาที่นี่"

   โอโห้ เดาได้แทงใจดำแถมตรงประเด็นเผงๆ นี่ขนาดผมเก็บอาการแล้วนะ ถ้ามากับกลุ่มเพื่อนที่ชอบเหมือนกันจะดี๊ด๊ายิ่งกว่านี้อีก

   แล้วทำไม มาบ่อยแล้วมีปัญหาหรือไง

   "อืม"

   "พี่ชอบอะไรแบบนี้เหรอ"

   "ทำไม"

   "มันก็น่ารักดี ไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไทย" น้องหมีมันว่าแล้วหันมองไปรอบๆ ร้าน

   "ที่ไทยก็มีนะ"

   "จริงดิ" แล้วก็หันมาทำตาโตใส่ผม จะตกใจอะไรขนาดนั้น ที่ไทยเองก็มีดินแดนอาโนเนะเหมือนกันนั่นแหละ

   "อืม ไม่ชอบเหรอ"

   "ไม่นะ มันก็โอเค" ยืนยันสีหน้าจริงจังแล้วยิ้มจนตาหยี

   ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นผู้ชาย อายุแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ มีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยใกล้เกษียร ทุกคนต่างเข้ามาหาความสุขให้ตัวเอง ผมก็ใช่ ได้เล่นบทบาทสมมติที่ตัวเองกลายเป็นคุณหนูคุณชายมีเมดสาวสวยคอยดูแล ผมไม่รู้หรอกว่าคนไทยส่วนใหญ่เขาคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้ ไร้สาระหรือเสียเงินไปเปล่าๆ กับน้องหมีเองผมก็ไม่รู้ความคิดน้องมัน แต่ดูจะเป็นไปในทางบวกมากกว่าที่คิด

   ถ้าท่าทางที่น้องมันแสดงออกมาคือความรู้สึกจริงๆ

   รอไม่นานนักเครื่องดื่มสีเขียวก็ถูกนำมาเสิร์ฟโดยน้องเมดคนเดิม แต่ที่นี่ไม่ใช่ว่าของมาเสิร์ฟแล้วจะได้กินเลย ต้องมีพิธีการเสกมนต์คาถาก่อน

   "โออิชิคุนาเระ โมเอะ โมเอะ บีมมม~"

   "เอ่อ..."

   น้องหมีเหวอรับประทานทันทีตอนน้องเมดผายมือให้พูดและทำตามโดยการทำมือเป็นรูปหัวใจโยกไปมาแล้วยื่นไปที่อาหารตอนพูดว่าบีม ที่จริงน้องมันคงอึ้งตั้งแต่เห็นผมทำแล้วล่ะ ปกติไม่เคยอายนะ แต่เห็นน้องมันมองด้วยสายตาแปลกๆ ก็ชักจะเขิน

   ทำไม ไม่เคยเห็นผู้ชายแอ๊บแบ๊วหรือไงวะ

   "ทำตามด้วย"

   "ต้องทำจริงดิ"

   "เออ"

   ตกลงกับน้องหมีเสร็จผมก็หันไปยิ้มให้น้องเมด แล้วการร่ายคาถาเพื่อเพิ่มความอร่อยของอาหารก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

   "ไฮ เซโนะ โออิชิคุนาเระ โมเอะ โมเอะ บีมมม~"

   เสกคาถาใส่เครื่องดื่มเสร็จน้องเมดก็อวยพรอีกนิดหน่อยแล้วลุกออกไป ผมน่ะชินแล้วกับการทำอะไรแบบนี้ แต่คนที่ไม่ชินก็คนข้างๆ นี่เลย นั่งเขินเกาหัวเกาคอเหมือนโดนเห็บกัด

   "เดี๋ยวข้าวมาต้องทำอีก"

   "พูดจริง"

   "อืม"

   "โอ้ว" ดูท่าน้องหมีมันจะเขินจริงจัง ยกมือขึ้นทำท่าแบบเมื่อเหมือนจะซ้อมแล้วก็ยิ้มเขิน เป็นท่าทางที่มองแล้วต้องหัวเราะ
 
   ผมว่าดีนะที่น้องหมีแสดงอาการออกมาแค่นี้ จะโอเคอย่างที่ปากบอกหรือจริงๆ แล้วไม่ชอบผมก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันดีที่น้องมันไม่ทำท่าทางโอเวอร์หรือพูดเหยียดดูถูกเหมือนบางคนที่ผมเคยเจอมา

   "ฮายยย~ คนนิจิวะ อินซัง"

   ปล่อยให้รออยู่นานสองนานในที่สุดเมดสาวสวยคนพิเศษของผมก็มาเสียที

   ไอริจังเดินมายืนอยู่หน้าโต๊ะพวกผมซึ่งเป็นเคาน์เตอร์บาร์ยาวๆ พื้นด้านหน้าที่ทำไว้ให้สำหรับเมดจะเตี้ยกว่าเพื่อความสะดวกเวลาบริการลูกค้าความสูงจะได้อยู่ในระดับเดียวกันซึ่งมันดีมากๆ ดีพอๆ กับรอยยิ้มของไอริจังในตอนนี้เลย

   ผมคุยกับไอริจังด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบงูๆ ปลาๆ ที่เพียรศึกษามาด้วยตัวเอง เราเคยเจอกันที่ไทยตอนไอริจังเป็นตัวแทนของร้านไปโปรโมทวัฒนธรรมในงานเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ผมเอาน้ำไปให้เธอที่ดูเหมือนจะยังไม่ชินกับอากาศที่ร้อนมากๆ ของเมืองไทยเลยได้ทำความรู้จักกัน หลังจากนั้นถ้ามาญี่ปุ่นผมก็จะแวะมาที่นี่เสมอ ตามเธอในบล็อคกับทวิตเตอร์จนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย

   "ท่านนี้ใครเหรอ" ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนานคุยเพลินจนลืมไปเลยว่าพาน้องหมีมันมาด้วยจนไอริจังถามนั่นแหละถึงได้แนะนำ

   "น้องชายน่ะ มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก"

   "คนนิจิวะ"

   "อะ เอ่อ...คนนิจิวะ" น้องหมีพูดตามไอริจังแบบเก้ๆ กังๆ จะว่าไปแล้วก็ดูน่ารักแบบเด๋อๆ ดี

   หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีอาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ เป็นข้าวห่อไข่หน้าตาน่ากินตกแต่งด้วยผักกระจุ๋มกระจิ๋ม และมีความพิเศษอีกอย่างคือเมดจะวาดรูปบนไข่ให้เราด้วย

   ไอริจังใช้ซอสมะเขือเทศวาดรูปหน้าคนลงบนไข่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร หน้าผมนี่แหละ แม้จะวาดไม่ค่อยเหมือนแต่ยังไงเราก็ต้องชมไว้ก่อน พอเธอวาดเสร็จผมก็ทำหน้าตื่นเต้นแสดงรีแอคชันที่ควรจะเป็นออกไป

   "น่ารักมาก เก่งจังเลย" พูดเสียงเล็กเสียงน้อยไปก็ปรบมือไปด้วย ยิ้มกว้างให้ไอริจังที่ยิ้มหวานกลับมาจนไอ้คนข้างๆ มันมองนี่แหละถึงได้หยุดทำ

   ขอโทษที ลืมตัวไปหน่อย

   น้องหมียิ้มกริ่ม มันต้องกำลังขำผมอยู่ในใจแน่ๆ เล่นทำท่าทางแอ๊บแบ๊วเป็นรอบที่สองตั้งแต่มาถึงคาเฟ่ หมดกันไอ้ที่เก๊กขรึมมาก่อนหน้านี้ แต่มาที่นี่มันก็ต้องทำแบบนี้ดิ อารมณ์ร่วมไงรู้จักไหม ที่น่ารักๆ แบบนี้จะมาทำหน้าโหดมันเข้ากันที่ไหน

   แล้วนี่เมื่อไรจะหยุดยิ้มวะ

   ผมทำหน้าหงุดหงิดใส่น้องมันแก้เขิน ก็เหมือนคนไม่สนิทมาเห็นเราในมุมแปลกๆ มันเลยไม่ชิน รอปรับตัวได้อีกนิดก่อนเถอะผมจะเปิดเผยตัวเต็มที่ จะรับได้หรือรับไม่ได้ก็เรื่องของน้องมันแล้ว เพราะจบทริปนี้ก็แยกย้าย ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม

   หลังจากวาดให้ผมเสร็จไอริจังก็ไปวาดให้น้องหมีบ้าง ส่วนรูป ก็หน้าน้องมันนั่นแหละ ตอนเธอวาดน้องมันก็มองไปยิ้มไป ไอริจังก็เงยหน้าขึ้นมาเหมือนจะให้ทายว่าวาดอะไร ไอ้น้องหมีก็ชี้ตัวเองใหญ่ แล้วก็ปรบมือดี๊ด๊ากันอยู่สองคน

   เออ ปรับตัวเร็วดีนี่ ทีเมื่อกี้มาทำเป็นยิ้มล้อ เดี๋ยวปั๊ดตบคว่ำ

   ทุกครั้งก่อนกินต้องมีการร่ายคาถา ไอริจังตั้งท่า ผมตั้งท่า น้องหมีเหล่มองแล้วตั้งท่าตาม

   "โออิชิคุนาเระ โมเอะ โมเอะ บีมมม~"

   สดใสร่าเริงสมกับเป็นเมดสาวผู้น่ารัก รอบนี้ผมไม่เขินแล้ว ทำเสร็จน้องหมีมันก็หัวเราะ แถมบีนานกว่าผมอีก ท่าทางจะชอบใจ โบกมือบ๊ายบายให้ไอริจังที่ต้องไปดูแลคุณหนูท่านอื่นต่อใหญ่

   "ชอบเหรอ"

   "มันแปลกดี ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน"

   ผมพยักหน้ารับแล้วลงมือกินข้าวห่อไข่ที่มีฝีมือการวาดหน้าผมด้วยซอสมะเขือเทศของไอริจัง รสชาติก็ไม่เท่าไรแต่สุขใจที่มีเมดน่ารักๆ คอยดูแลนี่แหละ

   "จริงๆ ร้านนี้มันก็เหมาะกับพี่อินดีนะ"

   "เหมาะยังไง"

   "ไม่รู้ดิ แต่เหมาะดี"

   ผมได้แต่ส่ายหน้าเลิกเซ้าซี้จะเอาคำตอบ จะเหมาะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ แค่น้องมันไม่ดูถูกสิ่งที่คนอื่นชอบผมก็พอใจแล้ว

   แพ็กเกจที่พวกผมเลือกกันสามารถถ่ายรูปโพลารอยด์คู่กับเมดได้หนึ่งรูป อยากได้คนไหนก็เลือกได้ตามอัธยาศัย แน่นอนว่าผมต้องเลือกไอริจัง ตอนถ่ายก็ทำท่ารูปหัวใจกัน ถ่ายเสร็จเธอก็เอาไปวาดรูปเขียนข้อความให้ ได้มาเก็บเข้าคอลเลคชั่นไว้อีกรูป

   ส่วนน้องหมีหลังจากเล็งอยู่นานก็เลือกน้องคนหนึ่งที่แทบไม่ได้เดินเฉี่ยวมาใกล้โต๊ะพวกเราเลย แถมน้องมันให้เหตุผลว่า 'ดูเหมือนหน้าอกจะใหญ่ที่สุด' เลยอยากถ่ายด้วย ผมล่ะหมดคำจะพูด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาก็น่ารักนะ สูงผม ออกแนวเซ็กซี่หน่อยๆ

   ใช้เวลาอยู่ในเมดคาเฟ่หนึ่งชั่วโมงตามเวลาที่กำหนดก็ได้เวลาต้องลาจาก แถมไอริจังจังแอบมากระซิบบอกผมว่าถึงเวลาที่เธอต้องเลิกงานพอดี ล่ำลากันแล้วเช็คบิลพาน้องหมีออกมาจากร้าน ส่วนไอริจังกว่าจะออกมาก็คงสักพักใหญ่ๆ ใจหนึ่งก็อยากรอแต่ใจหนึ่งก็เกรงใจคนที่พามาด้วย ผมควรจะสนใจน้องหมีมากกว่าจริงไหม

   "ทำอะไรต่อดี" ยกนาฬิกาขึ้นดูเพิ่งจะสองทุ่ม หรือควรจะรีบกลับไปนอนเตรียมตัวลุยวันพรุ่งนี้ดี

   "หิว"

   "อะไร เพิ่งกินมา" ออกจากร้านไม่ถึงห้านาทีบ่นหิว แล้วที่เพิ่งกินไปเมื่อกี้เอาไปไว้ส่วนไหนของกระเพาะวะ

   "งั้นหาอะไรกินที่ซุปเปอร์แล้วกัน" เสนอทางนี้ไปเพราะผมไม่หิว ให้ไปนั่งกินในร้านด้วยคงไม่ไหว

   "โอเค"



   ผมว่าน้องหมีมันตัวโตขนาดนี้ได้คงเป็นเพราะกินทุกอย่างให้หมดอย่างที่บอกไว้จริงๆ ทั้งข้าวห่อไข่ที่เมดคาเฟ่ ของที่ซื้อจากซุปเปอร์ไม่ว่าจะเป็นยากิโซบะ นมกล่องใหญ่ ขนมกินเล่น แล้วก็สตรอเบอรี่อีกกล่องที่แวะซื้อตรงร้านขายผักผลไม้ใกล้ๆ โรงแรม ทุกอย่างนี้ถูกซัดเรียบในมื้อเดียว

   "อิ่ม" ว่าแล้วก็ตบพุงใหญ่ๆ ของตัวเองดังปุๆ

   กินไปเยอะขนาดนี้ถ้าไม่อิ่มก็ให้มันรู้ไปสิ

   "พี่อินกินน้อยตัวเลยโตแค่นี้"

   ฟังแล้วผมอยากจะพุ่งเข้าไปล็อคคอ มองแรงแล้วยังไม่สำนึกมีหน้ามาหัวเราะชอบใจอีก ต่อให้ผมกินเท่าน้องมันก็ไม่ขยายขึ้นข้างบนหรอก ดีไม่ดีออกด้านข้างทำไง ถึงจะหน้าตาดีแต่อ้วนแล้วมันไม่โอเคนะเว้ย

   "พี่อิน"

   ปล่อยให้เงียบได้ไม่นานน้องมันก็เรียกขึ้นมาอีก ผมเลิกคิ้วมองน้องหมีที่นอนผึ่งพุงอยู่บนเตียง จากหมีกลายร่างเป็นงูหลามไปแล้ว

   "พี่อินชอบผู้หญิงแบบพวกเมดเหรอ" แล้วอยู่ๆ ก็ยิงคำถามประหลาดออกมา

   "ก็ใช่"

   จะบอกว่าชอบผู้หญิงแบบสาวๆ เมดเลยก็ไม่เชิง ถ้าหมายถึงผู้หญิงที่คิดจะคบจริงจังผมไม่มีสเปคที่ชัดเจน แต่ละคนที่ชอบไม่ค่อยเหมือนกันสักแนว แต่ถ้าหมายถึงความสุขทางจิตใจใครน่ารักผมก็ชอบหมดนั่นแหละ

   "ถามทำไม"

   "อยากรู้เฉยๆ ตอนเด็กเห็นติดแต่การ์ตูน ไม่คิดว่าจะชอบอะไรแบบนี้ด้วย"

   ฟังแล้วเหมือนได้ย้อนความหลัง ผมติดการ์ตูนญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก โตมากับช่องเก้าการ์ตูนอะไรประมาณนั้น และเพราะสนิทกันเลยลากน้องหมีมันมาดูด้วยแต่น้องมันไม่ได้บ้าขนาดผม ยังจำได้อยู่เลยว่าผมเล่นเป็นยามาโตะ ส่วนน้องมันเล่นเป็นไทจิจากเรื่องดิจิม่อนกัน

   นึกถึงแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ตอนเด็กคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว

   "แล้วพี่อินเริ่มชอบพวกเมดนี่ตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ"

   คำถามยากแฮะ กะจะเปิดโปงกันเลยใช่มั้ย

   ผมมองน้องมันนิ่งๆ กังคิดว่าจะเล่าเรื่องความชอบของตัวเองไปให้มันจบๆ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปดี ความจริงมันก็ไม่เสียหายหรอกถ้าจะบอก แต่เราต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน ถ้าเกิดน้องมันแหยงผมขึ้นมาจะทำยังไง อึดอัดตาย เที่ยวไม่สนุกกันพอดี

   "งั้นจะเล่าความจริงนะ"

   แค่กริ่นน้องหมีมันทำหน้าตกใจ คงงงว่าอะไรคือความจริง ความจริงก็คืออะไรที่มันซับซ้อนมากกว่าการชอบเมดของผมนี่แหละ

   "อินเป็นโอตาคุ รู้จักมั้ยโอตาคุอ่ะ"

   คนฟังส่ายหน้ารัว ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไม่รู้จัก

   "โอตาคุก็คือพวกที่คลั้งไคล้อะไรมากๆ มันก็จะแบ่งเป็นหลายประเภทน่ะนะ ส่วนอินชอบไอดอล ที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ คือมาดูคอนเสิร์ต มาอีเวนท์ งานจับมือ งานวัดเกิดอะไรพวกนี้ เลยไม่เคยไปที่อื่นไกลๆ เลยนอกจากโตเกียว"

   น้องหมีนิ่งไปเลยตอนผมเล่า ไม่รู้อึ้งหรืองงอยู่กันแน่ แต่ทิ้งจังหวะให้ลุ้นได้ไม่นานน้องมันก็ยิ้มออกมา

   "เจ๋งว่ะ"

   ผมจ้องหน้าน้องมันกลับ จากใจแน่ๆ ใช่มั้ยที่พูด

   "ให้มันจริง"

   "ได้ทำในสิ่งที่ชอบมันก็ต้องเจ๋งดิ ยังไงก็เจ๋งกว่าชีวิตแบร์ล่ะวะ"

   "อะไรนะ" ประโยคหลังเหมือนน้องหมีมันพูดกับตัวเองผมเลยได้ยินไม่ค่อยชัด

   "ไม่มีอะไร พี่อินไปอาบน้ำไป ขอนอนย่อยแป๊บ"

   ขี้เกียจเถียงด้วยผมเลยหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ แล้วนอนเป็นหมีขึ้นอืดแบบนั้นมันคงย่อยหรอก อยู่นี่จะขุนจากหมีให้กลายเป็นหมูเลย กลับไทยไปมีน้ำหนักขึ้นแบบไม่ต้องสืบ



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ ณัฐฐา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
«ตอบ #5 เมื่อ27-03-2017 19:34:03 »

น้องหมีน่ารักอะไรขนาดนี้~~~ แต่ตลกพี่อินคนขรึม ฮา  :hao6: :katai2-1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
«ตอบ #6 เมื่อ27-03-2017 23:15:58 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
«ตอบ #7 เมื่อ28-03-2017 18:46:10 »

พี่อิน เป็นโอตาคุ
น้องแบร์ ตามพี่อินต้อยๆเลย

ออฟไลน์ colorofthewind21

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
«ตอบ #8 เมื่อ28-03-2017 19:15:22 »

โมเอะ โมเอะ บีมมมม 555555
น่ารักดี

ออฟไลน์ farhhhh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
«ตอบ #9 เมื่อ28-03-2017 23:17:29 »

บางทีเราก็รู้สึกเหมือนพี่อินนะ55555
จะฟังเพลงในรถทีก็ต้องเปิดไม่เพลงไทยก็สากล ฟังเพลงอนิเมะไม่ได้ ขี้เกียจตอบคำถามแบบ ติดการ์ตูนหรอ นั่นนู่นนี่ เลยไม่ค่อยได้เสนอตัวเองในภาพลักษณ์คนติดการ์ตูนเลย อึดอัดนะบางที55555
อยากมีคนแบบน้องหมีมาเข้าใจบ้างอ่ะค่ะ ขอน้องหมี 1 ที่ค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
« ตอบ #9 เมื่อ: 28-03-2017 23:17:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 2 [31/03/2560]
«ตอบ #10 เมื่อ31-03-2017 23:08:53 »



วันที่ 2


   เช้าวันใหม่ในประเทศญี่ปุ่น เสียงนาฬิกาปลุกดังตอนเจ็ดโมง น้องหมีลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวก่อนตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนผมก็นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจนน้องมันพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำนั่นแหละถึงได้เยื้องย่างลงจากเตียง
   ว่าแต่น้องหมีมันอาบน้ำด้วยแฮะ
   ผมคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กเดินเข้าห้องน้ำ ใช้พื้นที่แค่บริเวณอ่างล้างหน้าในการล้างหน้าแปรงฟันและปลดทุกข์อีกนิดหน่อย ไม่ถึงห้านาทีก็เดินตัวปลิวออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เห็นผมยังใส่ชุดนอนตัวแห้งสนิทน้องหมีก็โยนคำถามมาให้ทันที
   "ไม่อาบน้ำเหรอ"
   "ที่นี่ใครเขาอาบน้ำตอนเช้ากัน" ก็อย่างที่บอก คนญี่ปุ่นเขาอาบน้ำตอนเช้ากันซะที่ไหน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม พูดง่ายๆ ก็ขี้เกียจนั่นแหละ มันเสียเวลา ช่วงนี้อากาศเย็นจะตาย ออกเที่ยวทั้งวันยังไม่มีเหงื่อเลย
   "สกปรก ซกมก แสดงว่าตอนเด็กๆ ไปโรงเรียนพี่อินไม่เคยอาบน้ำเลยดิ"
   "ไม่ใช่โว้ย มั่วละ"
   โอ้โห น้องหมีมันเล่นย้อนอดีตไปยันวัยประถม มันต้องมีกันบ้างไหมวะอย่างหน้าหนาวอะไรแบบนี้ แปรงฟันล้างหน้าเอาน้ำลูบแขนลูบขาก็พอ
   "อย่ามา" ทำมาเป็นชี้หน้าจับผิด
   ผมขี้เกียจเถียงด้วยเลยเดินหนี เปิดกระเป๋าหยิบชุดที่จะใส่วันนี้ออกมาเปลี่ยน ส่วนน้องหมีมันก็แค่แกล้งผมเล่นนั่นแหละ พอโดนเมินใส่ก็หัวเราะอยู่คนเดียว อารมณ์ดีมากไหม ท่าทางจะอาการหนัก

   ผมกับน้องหมีออกจากที่พักกันแปดโมงกว่า กะจะหาอะไรกินแถวโรงแรมแต่ปรากฏว่าร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเลยต้องซื้อของในซุปเปอร์กินรองท้องกันไปก่อน
   เป้าหมายแรกในวันนี้ของคือสะพานแว่น สะพานที่ใช้ข้ามไปยังพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสะพานหินที่มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลม เมื่อสะท้อนกับผิวน้ำจะมีลักษณะคล้ายแว่นตา ที่นี่น้องหมีเป็นคนรีเควสมาเอง แต่พอมาถึงจริงๆ กลับไม่ถูกใจซะงั้น ถ่ายรูปสองสามแชะได้รูปที่ถูกใจแล้วก็ชวนกันเดินต่อ ซึ่งผมว่าที่นี่มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละถ้าไม่ได้เข้าไปดูข้างในวังที่เปิดให้เข้าแค่ปีละสองครั้งเอง
   เราเดินเลียบคูน้ำไปทางฝั่งตะวันออกของพระราชวังอิมพีเรียลก็เจอกับสวนซึ่งในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารปกป้องก่อนถึงตัวปราสาท มีสนามหญ้ากว้าง ต้นไม้หลากหลายชนิด และฐานของหอคอยปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ผมพาน้องหมีเดินไปตามแผนที่หาข้อมูลมา เจอต้นซากุระที่ยังไม่ค่อยบานเท่าไร แอบเซ็งนิดๆ แต่ก็ยังมีมุมสวยๆ อยู่เหมือนกัน
   "พี่อินถ่ายรูปมั้ย"
   ผมส่ายหน้ารับ เป็นคนประเภทไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไร ขนาดมาเที่ยวผมยังมีแค่มือถือเลย ถ่ายสองสามรูปให้รู้ว่ามาแล้วก็เก็บมือถือยัดใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิมเพราะอยากใช้ร่างกายซึมซับกับบรรยากาศมากกว่า ผิดกับน้องหมีที่มาพร้อมกับกล้องรุ่นใหม่ราคาแพงที่ได้ข่าวว่าเพิ่งไปถอยมา เก็บทุกรายละเอียด ถ่ายทุกจุดทุกมุมทุกบรรยากาศ ยกเว้นถ่ายตัวเอง
   "แบร์อยากถ่ายมั้ย เดี๋ยวถ่ายให้" ผมแบมือขอกล้องแต่น้องมันส่ายหน้าใส่
   "ไม่เป็นไรๆ"
   มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกทั้งนี่ไม่คิดจะถ่ายรูปตัวเองไว้บ้างหรือไง
   ในเมื่อเจ้าของเขาไม่ให้ใช้กล้องผมเลยใช้มือถือตัวเองแอบถ่ายน้องมันตอนเผลอ รูปไม่ค่อยสวยเท่าไรเพราะถ่ายรูปไม่เป็น ได้แต่ความเป็นธรรมชาติมาเต็มๆ เอาน่า ก็ยังดีกว่าไม่มีรูปเก็บไว้เลย วิวสวยถ่ายยังไงก็ต้องมีความสวยในรูปบ้างล่ะ
   จากสวนตะวันออกพวกเราเดินทะลุจนมาโผล่ที่สวนจิโดริงะฟุจิ สวนที่ตั้งอยู่ระหว่างทางระบายน้ำสองสาย มีเรือพายให้เช่า เป็นสถานที่ชมซากุระอันดับต้นๆ ของโตเกียว แต่เพราะโชคไม่ดี สภาพอากาศไม่เป็นใจ ซากุระที่ควรบานสะพรั่งย้อยระไปกับคูน้ำกลับมีแต่ก้านกับดอกหุบๆ
   "เซ็งว่ะ ถ้ามันบานต้องสวยมากกกกกกก" ผมลากเสียลาวแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง เจอแบบนี้มันอดไม่ได้ที่จะบ่นจริงๆ
   ผมยืนเกาะรั้วริมแม่น้ำ มองก้านต้นซากุระแล้วได้แต่ถอนหายใจ ครั้งนี้ผมหวังไว้สูงมาก วางแผนช่วงเวลาไว้อย่างดีว่าจะได้เห็นซากุระบานสะพรั่งเต็มไปทั้งสวนแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ อากาศจะเย็นนานกว่าปกติก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่แผนที่วางมาครึ่งปีมันเปลี่ยนไม่ได้ มาญี่ปุ่นบ่อยก็จริงกลับไม่มีครั้งไหนเลยที่มาตรงช่วงซากุระบานแบบนี้
   "เพิ่งวันที่สองเอง ไม่เจอที่นี่ก็อาจจะไปเจอที่อื่นก็ได้" คำปลอบใจจากน้องหมีฟังแล้วมีพลังขึ้นมานิดหน่อย
   แต่ซากุระเป็นดอกไม้ที่เปราะบางมาก แต่ละปีบานแค่หนึ่งอาทิตย์ไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้ขึ้นเหนือ เจอลมเจอฝนนิดหน่อยก็ร่วงหมด บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้เห็นภาพสวยๆ เหมือนคนอื่นเขา
   ปลอบใจผมเสร็จน้องมันก็ผละออกไป ผมมองน้องหมีเดินเก็บภาพมุมนู้นทีมุมนี้ทีทั้งที่ซากุระมันมีแต่ก้านแล้วก็อดไม่ได้ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง แต่ผมเป็นพวกถ่ายรูปไม่สวยแถมไม่เจอบรรยากาศที่หวังยิ่งไม่อยากถ่าย เลยเลือกที่จะเก็บภาพเพื่อนร่วมทริปแทน มาเที่ยวด้วยกันทั้งทีน่าจะเซลฟี่คู่กันสักหน่อย
   "แอบถ่ายเหรอ ขอดีๆ ก็ได้"
   อย่างกับมีจิตสัมผัส น้องหมีดันเห็นมาตอนผมยกกล้องแอบถ่ายทีเผลอพอดีเลยหันมาเก๊กท่าชูสองนิ้วยิ้มตาหยีก่อนเดินเข้ามาหา
   "อยากได้รูปตอนขี้เหล่ไง"
   "ถ่ายยังไงก็ไม่ขี้เหล่หรอก เพราะคนมันโคตรหล่อ"
   คนเรา หลงตัวเองไปอี๊ก   
   "แล้วหิวยัง"
   "หิวมากกกกกก"
   "'งั้นไปฮารากัน"

   จากสวนจิโดริงะฟุจิเราไปต่อกันที่ถนนทาเคชิตะหรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันติดปากว่าฮารากุจุ ย่านแฟชั่นที่สาวๆ มาต้องชอบเพราะมีร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับน่ารักๆ เต็มไปหมด ของกินเองก็เช่นกัน
   ออกจากสถานีรถไฟเดินข้ามถนนมาก็ถึงที่หมาย คนจำนวนมากมายมหาศาลหลั่งไหลมาที่นี่ ทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นที่แต่งตัวได้หลุดโลกไม่สนใจใคร ผมปล่อยให้น้องหมีถ่ายรูปตรงหน้าซอยที่ใครมาก็ต้องถ่ายก่อนเดินลงเนินเล็กๆ มาด้วยกัน แต่เดินยังไม่พ้นห้าเมตรน้องมันก็เหมือนจะสนใจบางสิ่งบางอย่างเข้าให้แล้ว
   "ร้านอะไรอ่ะ"
   "พุริคุระ"
   "ฮะ"
   "ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์"
   "น่าสน ไปกันมั้ย"
   "เค้าไม่ให้ผู้ชายเข้า"
   "ทำไมอ่ะ"
   "จะไปรู้เหรอ"
   ผมรีบเดินหนีก่อนที่น้องมันจะเกิดความคิดแผลงๆ ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ที่นี่เขาห้ามผู้ชายเข้า ยกเว้นคนที่มากับแฟน เพราะเหตุผลอะไรผมไม่รู้หรอก เดาเอาว่าเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงล่ะมั้งเลยห้ามผู้ชายล้วนเข้าไป ก่อนหน้านี้ผมเคยถ่ายกับเพื่อนผู้หญิงที่มาดูคอนเสิร์ตด้วยกันครั้งหนึ่ง รูปมันแต่งหลอกตาซะกลายเป็นคนละคน ตาโตปากแดงหน้าใสเวอร์ๆ ไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหน เห็นตัวเองในรูปนั้นยังสะพรึงจนถึงทุกวันนี้
   ที่ทาเคชิตะมีของกินเยอะก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นขนมจุกจิกซะมากกว่า ตลอดทั้งซอยเจออะไรน่ากินก็ซื้อ โดยเฉพาะเครปของเด็ดของที่นี่ เจอร้านน่าเข้าก็แวะ เดินกันจนสุดซอยก็วนไปทางโอโมเตะซันโดถนนที่อยู่ติดกันมาโผล่สี่แยกเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปคือศาลเจ้าเมจิ
   เดินข้ามถนนข้ามสะพานมาเจอกับโทริอิต้นใหญ่ ปากทางเข้าสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางเมืองหลวงในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีความทันสมัย เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หากมาโตเกียวผมจะแวะมาทุกครั้ง
   ผมกับน้องหมีแยกย้ายกันไปถ่ายรูปในมุมที่ต้องการ ผมถ่ายมาได้หนึ่งรูปก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ายืนรอน้องมันใกล้ๆ กับเสาต้นยักษ์ที่หนึ่งคนโอบไม่มิด ผมชอบที่นี่นะ มาทีไรก็รู้สึกร่มรื่น มองไปเห็นต้นไม้ใหญ่ มันให้ความรู้สึกร่มเย็นคล้ายกับป่า เป็นสถานที่ที่ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ในเมืองหลวง
   "ไปกัน" ถ่ายรูปจนพอใจน้องหมีก็เดินกลับมาหา ยิ้มตาปิดพยักหน้าให้ผมก่อนเราจะออกเดินไปพร้อมกัน
   ระยะทางจากปากทางเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าค่อนข้างไกลเอาเรื่อง แถมทางเดินยังเป็นพื้นหิน ดูเหมือนจะลำบากแต่เพราะบรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ทำให้ลืมเรื่องระยะทางไปเลย อากาศเย็นมากจนเริ่มหนาว หนาวจนผมต้องกระชับเสื้อชุกมือไว้ในกระเป๋า
   "หนาวเหรอ"
   "นิดนึง"
   "ขี้หนาวเหมือนเดิม"
   "ใครมันจะไปหนังหนาเหมือนแบร์"
   "อุ่นดีนะ มา ให้ยืมจับมือ"
   "โน" งานนี้ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด น้องมันก็หัวเราะคิกคักได้ใจที่แกล้งผมได้ นี่ถ้าบ้าจี้ยอมจับจริงๆ ขึ้นมาบอกเลยน้องมันนั้นแหละจะไปต่อไม่ถูก
   พูดถึงเรื่องขี้หนาวแล้วคิดถึงสมัยเด็ก ช่วงเช้าในฤดูหนาวของกรุงเทพฯ อุณหภูมิอยู่ในช่วงยี่สิบต้นๆ ซึ่งถือว่าหนาวแล้วสำหรับผม แต่ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายทำให้ไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาวบวกกับความเชื่อที่ว่ากรุงเทพฯ มันไม่หนาวแม้จะเป็นหน้าหนาวก็เถอะ เวลาไปโรงเรียนตอนเช้าก็จะขนลุกอยู่บนรถจนน้องหมีสละเสื้อกันหนาวมาให้ใส่บ่อยๆ เป็นคุณงามความดีที่ผมยังซาบซึ้งใจมาจนถึงทุกวันนี้
   เดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้าจะเจอกับบ่อน้ำสำหรับชำระล้างก่อนเข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์ ผมทำให้น้องหมีดูเป็นตัวอย่าง มือขวาจับกระบวยตักน้ำล้างมือข้างซ้ายจากนั้นสลับมาล้างข้างขวา เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับกระบวยมือซ้ายรองน้ำล้างรอบปาก ล้างมือซ้ายอีกแล้วตักน้ำใหม่เพื่อล้างด้ามจับกระบวยเป็นอันเสร็จ
   "ฝากกล้องหน่อย ถ่ายรูปให้ด้วย"
   น้องหมีมันเอากล้องมาคล้องคอพร้อมออกคำสั่ง ผมก็จัดให้ถ่ายรูปทุกกิริยาท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ตักน้ำขึ้นมาระหว่างทำน้องมันก็หันมาถามผมตลอด สรุปที่ทำให้ดูเมื่อกี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ
   ผ่านการชำระล้างเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าไปข้างใน แต่พอก้าวผ่านประตูเข้ามาผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปจากทุกที เพราะตรงหน้าอาคารมีผู้ชายใส่ชุดองเมียวยืนอยู่สองคน แถมมีคนมุงอยู่ด้านหน้าด้วย
   ใจผมเริ่มแรงขึ้นมาเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ เดินนำเข้าไปใกล้หยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องรอ จนเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดแบบดั้งเดิมของศาลเจ้าชินโตเดินออกมา ใช่เลย ใช่แน่ๆ
   พิธีแต่งงาน
   "แบร์ๆ ถ่ายรูป" ผมตีแขนน้องหมีด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สองขาก้าวตามคู่บ่าวสาวที่กำลังเดินขบวนไปตามพิธี หามุมสวยๆ กดชัตเตอร์เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสองสามรูป ก่อนลดกล้องลงใช้สองตาเก็บภาพความทรงจำมองดูขบวนพิธีเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร
   นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ใจเต้นแรงและรู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ได้ ผมคิดมาตลอด คิดว่าสักครั้งหนึ่งที่มาที่นี่จะได้เห็นพิธีแต่งงานด้วยตาตัวเองสักครั้ง และมันเป็นจริงแล้วในวันนี้
   "ลัคกี้แบร์ว่ะ" ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมทริปแต่น้องมันกลับทำหน้าเอ๋อใส่
   "แบร์อ่ะนะ"
   "อืม ลัคกี้แบร์ พามาครั้งแรกก็โชคดีเลย อยากเห็นมานานแล้วงานแต่งงานที่นี่ มาตั้งหลายทีไม่เคยเจอเลย ไหนเอารูปมาดูหน่อย"
   "อ่ะ อืมๆ"
   ดูเหมือนน้องหมีจะงงที่ผมพูดรัวใส่แต่ก็ยอมเปิดรูปในกล้องให้ดู มีแต่สวยๆ ทั้งนั้น ฝีมือการถ่ายรูปไม่ใช่เล่นๆ เลย
   "พี่อินชอบงานแต่งที่นี่เหรอ"
   "อืม เคยอ่านเจอในรีวิวแล้วอยากเห็นบ้าง อาจจะเป็นเพราะแบร์ก็ได้เลยได้เจอ"
   "แบร์เนี่ยนะ"
   "ก็ใช่ไง ลัคกี้แบร์"
   ผมยังยืนยันคำเดิมกับน้องหมีผู้นำพาโชคดี บางทีการที่ได้น้องมันมาเป็นเพื่อนร่วมทริปโดยไม่ได้ตั้งใจอาจจะทำให้ทริปนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ ก็ได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละที่ผมคิดว่ามันพิเศษ
   "ดีแล้ว" เสียงทุ้มๆ ของคนตัวโตกว่าดังอยู่บนหัว
   ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นรอยยิ้มหวานๆ บนใบหน้าหล่อๆ มาญี่ปุ่นแค่วันที่สองจำเป็นต้องยิ้มได้แบ๊วขนาดนี้เลยไหม ติดมาจากน้องเมดเมื่อวานหรือยังไง เห็นแล้วมันชวนให้รู้สึกแปลกๆ จนต้องรีบยื่นกล้องคืนให้แล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
   "ไปขอพรกันดีกว่า"

   ขากลับจากศาลเจ้าเมจิพวกเราก็เดินเอ้อระเหยออกกันทางเดิม จุดหมายต่อไปคือชิบูย่า ย่านฮอตฮิตของวัยรุ่นกับห้าแยกในตำนาน ขึ้นรถไฟมาสถานีเดียวก็ถึง โผล่ออกมาจากสถานีได้ก็เจอกับจำนวนผู้คนมหาศาลกับอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์สำคัญของที่นี่
   รูปปั้นน้องหมาฮาจิโกะ
   น้องหมาผู้ซื่อสัตย์ที่มานั่งรอเจ้านายหน้าสถานีสถานีชิบูย่าหลังเลิกงานทุกวัน จนวันที่เจ้านายมันเสียชีวิตและไม่ได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีก แต่ฮาจิโกะก็ยังเฝ้ารอเจ้านายของมันที่เดิมเวลาเดิมทุกวันเป็นเวลาเก้าปีจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของมัน
   ผมพาน้องหมีไปดูรูปปั้นฮาจิโกะที่อยู่หน้าสถานี มารอบก่อนผมได้รูปคู่ไปแล้วเพราะเพื่อนไล่ให้มาถ่าย โพสท่ากอดเจ้าฮาจิโกะได้ไม่เกรงใจฟ้าดินจนคนมองกันเป็นแถว แต่อายที่ไหน ยังไงก็ไม่มีใครจำได้อยู่แล้ว
   "ถ่ายรูปคู่มั้ย" เอ่ยถามเพื่อนร่วมทริปที่รัวชัตเตอร์ไปแล้วหลายรูป แต่คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า
   "ไม่เอาอ่ะ"
   "ไปเลยเร็วๆ" แต่ผมยอมที่ไหน ผลักไสไล่ส่งเต็มที่ เอากล้องตัวเองนี่แหละถ่ายให้
   น้องหมีหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมแต่ก็ยอมเดินไปยืนข้างรูปปั้นฮาจิโกะ โพส่ทายืนตรงเคารพธงชาติกับชูสองนิ้วแล้วยิ้มตาเป็นขีด ผมเลยรีบกดชัตเตอร์จนได้ท่าเดิมๆ มาหลายรูป
   "ได้ยัง"
   "ได้แล้วๆ"
   น้องมันรีบวิ่งมาหาจนผมเกือบหลุดขำ อะไรจะเขินขนาดนั้น หรือว่าไม่ชอบโพสท่าถ่ายรูปในที่ที่คนเยอะๆ แบบนี้
   "อายอะไร"
   "คนเยอะ" นั่นไง จริงด้วย
   "ไม่มีใครเขาสนใจหรอกน่า มัวแต่อายเดี๋ยวก็อดอะไรดีๆ หรอก"
   น้องหมีมันมองผมเหมือนจะอึ้งไปนิดๆ ที่พูดจาดูมีสาระก็เป็นด้วย
   "แล้วพี่อินไม่ถ่ายเหรอ"
   "เคยแล้ว ปะ เดี๋ยวพาไปข้ามถนนเล่น"
   น้องหมีเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใส่ตอนผมพาไปยืนรอข้ามทางม้าลายที่ห้าแยก อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของโตเกียว ภาพสะท้อนความวุ่นวายของมหานคร ใครมาชิบูย่าถ้าไม่ได้มาข้ามถนนเล่นคือมาไม่ถึง แต่เชื่อไหมว่าคนเดินสวนกันเยอะขนาดนี้กลับไม่มีใครเดินชนกันเลย
   ยืนรอสักพักพอสัญญาณขึ้นไฟเขียวฝูงชนก็เริ่มออกเดิน ผมเห็นน้องหมีเอากล้องขึ้นมากดถ่ายวิดีโอดูตื่นตาตื่นใจกับจำนวนผู้คนจนตาแทบไม่ได้มองทางเลยคว้าแขนน้องมันมาจูง แล้วดูแววตาตื่นๆ ที่หันมามองกันสิ ไม่รู้จะตกใจอะไร
   "มองทางหน่อย"
   ได้ผมเตือนสติน้องหมีก็ยิ้มตอบ ปล่อยให้ผมจูงไปจนถึงอีกฝั่งแล้วตัวเองถ่ายคลิปไป อย่างกับผู้ปกครองพาเด็กมาเที่ยว
   จุดประสงค์ของการมาชิบูย่าคือกินกับช็อปปิ้ง เพราะวันนี้เรายังไม่ได้กินอาหารหนักๆ สักมื้อผมเลยพาไปกินราเมงข้อสอบแก้หนาว อิ่มจนพุงกางก็ไปเดินช็อปปิ้งกันต่อ
   ปกติแล้วผมไม่ใช่สายช็อปยกเว้นของที่เกี่ยวกับไอดอล ร้านที่แวะไปเลยมีแค่ทาวเวอร์เรคคอร์ดกับร้านสึทะยะ ส่วนที่เหลือให้น้องหมีนำ อยากแวะร้านไหนก็แวะ ผ่านไปสามชั่วโมงก็ได้ของมาเต็มสองมือ
   "เหนื่อย" ช็อปเสร็จแล้วบ่นเหนื่อย ให้มันได้แบบนี้ดิคนเรา
   ผมกับน้องหมีนั่งพักขากันที่ข้างตึก 109 ที่เพิ่งเดินออกมากัน ตึกที่ว่าเป็นตึกขายเสื้อผ้าผู้หญิงที่ผมบอกไปปุ๊บน้องหมีมันขอแวะปั๊บแล้วก็ได้ชุดผู้หญิงมาหนึ่งชุด แถมทำเป็นกั๊กไม่ยอมบอกด้วยว่าซื้อไปให้ใคร ถ้าให้ผมเดาต้องซื้อไปให้แฟนชัวร์ๆ
   เห็นถุงที่วางกองกับพื้นเหมือนโดนผีเข้าให้ซื้อมาแล้วเริ่มหนักใจ พะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือแบบนี้จะไปต่อไหวเหรอ หิ้วแขนหลุดแน่ๆ ผมหมายถึงน้องหมีนะ เพราะของผมมีแค่ถุงใบเดียว
   "เพิ่งจะห้าโมง กลับโรงแรมก่อนมั้ย เอาไว้สักทุ่มนึงค่อยออก" ผมเสนอทางที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด
   ที่หมายต่อไปของวันนี้คือแม่น้ำเมกุโระ สถานที่ชมซากุระยอดฮิตอีกแห่งของโตเกียว ไฮไลท์อยู่ไลท์อัพตอนกลางคืน มีการประดับโคมไฟที่ต้นซากุระซึ่งปลูกเรียงรายสองข้างแม่น้ำ ในรูปที่ผมเห็นมันสวยมาก เลยอยากไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้ง
   "ดีๆ จะได้เอาของไปเก็บ"
   ตกลงกันได้เราก็เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟ แขนขาล้าหมดเรี่ยวแรงจะเดิน ต้องไปพักร่างเอาแรงสักนิดก่อนออกตะลุยยามราตรีกันต่อ


TBC.


นี่นิยายหรือรีวิวพันทิป ฮ่า จะเบื่อกันมั้ยเน้อ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 2 [31/03/2560]
«ตอบ #11 เมื่อ01-04-2017 00:13:42 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
«ตอบ #12 เมื่อ01-04-2017 19:00:27 »



คืนที่ 2


   มีแต่ก้าน
   ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไงดี หนาว เคว้งคว้าง หว่าเว้ ลมพัดแรงจนผมเสียทรง ได้แต่กระชับเสื้อหนาวแล้วถอนหายใจยาวๆ
   แห้วอีกแล้ว ไม่สมหวังอีกแล้ว แม้แต่ที่แม่น้ำเมกุโระก็ไม่มีซากุระบานสักดอก
   ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพความช้ำใจอย่างปลงตก ก้านของต้นซากุระกับโคมไฟสีชมพูที่ประดับไปตามความยาวของแม่น้ำ มองดูแล้วเหงาจับใจ
   "ไปไหนต่อดี" ยืนเท้าขอบสะพานเอ่ยถามอย่างหมดแรง อุตส่าห์เดินลงเนินจากสถานีรถไฟมาตั้งไกล ถึงจะพอรู้ชะตากรรมจากตอนกลางวันมาแล้วก็เถอะ แต่ก้านโล้นๆ ไม่มีดอกใบผสมแบบนี้มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ
   "กินข้าว" ส่วนไอ้น้องคนนี้ก็ชวนกินตลอด ไม่ได้สลดตามผมเลย
   "โอเค งั้นไปชินจูกุกัน"

   ชินจูกุเป็นอีกย่านช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียง ใครมาเที่ยวโตเกียวต้องมาที่นี่เพราะมีครบทุกอย่าง และด้วยความกว้างขวางของมันผมเลยไม่ค่อยช่ำชองย่านนี้เท่าไร เคยไปร้านไหนก็จะอยู่แค่แถบนั้น ร้านอาหารที่เคยไปกินก็จำไม่ได้ ร้านไหนดังก็ไม่รู้ เรียกว่าผมไร้ประโยชน์สำหรับย่านนี้ก็ว่าได้
   "แบร์อยากกินไร"
   "จริงๆ อยากกินแค่ซูชิ"
   "อย่างอื่นๆ" ผมส่ายหน้าใส่
   เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปกินซูชิวันพรุ่งนี้ อีกอย่างผมกินของดิบไม่เป็น เกิดมากินซูชินับครั้งได้และไม่เคยกินที่ญี่ปุ่น โดนพ่อแม่พี่น้องบ่นเรื่องนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้น้องหมีขอร้องอ้อนวอนเลยจะพาไป ถือซะว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของผมด้วย กลับไปจะได้ไม่โดนใครว่าว่ามาเสียเที่ยวอีก
   "งั้นกินอะไรก็ได้ แต่พี่อินพาแบร์ไปที่ที่หนึ่งหน่อยดิ" ขอเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วยิ้มจนตาหยี แปลงร่างเป็นลูกหมีกัมมี่แบร์ น่าจับใส่ปากแล้วเคี้ยวๆ กลืน
   "อะไร" บอกก่อนว่าผมไม่ค่อยไว้ใจคำขอน้องมันเท่าไร จากรอยยิ้มอันมีเลศนัยนั่น ถ้าเป็นที่ไม่ดีไม่พาไปนะเว้ย ชินจูกุยิ่งขึ้นชื่ออะไรแบบนี้อยู่
   "เซ็กช็อป"

   หลังจากเต็มส่วนว่างในท้องด้วยชาบูชุดใหญ่น้องหมีก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ้มหน้าระรื่นชวนผมคุยไม่หยุด เรื่องคุยก็ไม่พ้นร้านที่เรากำลังมุ่งหน้าไป
   กล้าขอมาผมก็กล้าพาไป
   "เพื่อนมันฝากซื้อถุงยาง 0.01 พี่อินเคยเห็นป่ะ"
   "เคย" มันก็มีหมดนั่นแหละ 0.01 0.02 แบบเรืองแสงได้ หรือแบบผิวขรุขระ ทำมาเป็นบอกว่าเพื่อนฝากซื้อ จริงๆ แล้วคงซื้อไปใช้นั่นมากกว่ามั้ง
   "ไปบ่อยอ่ะดิ" น้องมันชี้หน้าทำท่าล้อ แต่ผมไม่อายไง
   "ก็ใช่"
   "แหน่ะๆ ไปซื้อไร"
   "เยอะแยะ อยากได้อะไรก็บอก เดี๋ยวแนะนำให้"
   "เห็นหน้าซื่อๆ แต่ร้ายนะครับ ขอคาราวะอาจารย์"
   น้องหมีทำท่าโอเวอร์แอคติ้งจนต้องส่ายหน้าใส่ เล่นใหญ่ไปไหม แล้วอย่างผมเนี่ยนะหน้าซื่อ อีกอย่างไอ้ของพวกนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ ร้านนี้มาแถวนี้ทีไรก็แวะ ไม่ได้ซื้อทุกครั้งแต่มันมีอะไรแปลกตาให้ดูเยอะดี หรือบางทีซื้อเก็บไว้เล่นคนเดียวก็ไม่เสียหาย
   เดินยังไม่ทันถึงหน้าร้านเสียงเพลงไทยลูกทุ่งก็ดังลอยมา น้องหมีทำหน้าเหลอหลาเลิกคิ้วสูง ผมเลยช่วงสงเคราะห์ชี้หน้าร้านให้ดู
   "เปิดเพลงไทยด้วย เห็นหมีหนูมั้ย เห็นหมีหนูมั้ย" พูดอย่างเดียวไม่พอมียังดัดเสียงร้องแถมเต้นได้กวนบาทาสุดๆ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องผมเตะเสยปลายคางไปแล้ว ถ้าเตะถึงน่ะนะ
   ร้านที่ผมพามานี้ชอบเปิดเพลงไทยเป็นประจำ หน้าร้านแขวนพวกชุดคอสเพลย์ไว้ ดูไปแล้วก็คล้ายร้านขายชุดนักเรียนที่เมืองไทย แต่พอเดินเข้าไปก็เจอชั้นวางขายถุงยางอยู่ทางซ้ายมือก่อนเลย
   "อยากได้แบบไหนก็เลือกเลย"
   "โอ้โห"
   ผมกอดอกยืนมองน้องหมีมันหยิบถุงยางกล่องหนึ่งขึ้นมา พลิกหน้าพลิกหลังแล้วก็หันมายิ้มให้ ถูกใจล่ะสิ ก็ทั้งชั้นสูงท่วมหัวน่ะ ถุงยางหมดเลย
   "อะไรอ่ะ อ่านไม่ออก" หัวเราะแฮะๆ จับกล่องถุงยางด้วยสองมือยื่นมาให้ผมดูอย่างกับเป็นพรีเซ็นเตอร์
   "เรืองแสง แบบแท่งไฟอ่ะ"
   "เออ เจ๋ง" พึมพำกับเจ้ากล่องนั้นแล้วน้องมันก็ถือไว้เลย ไหนบอกเพื่อนฝากซื้อ 0.01 ไง สงสัยเก็บไว้ใช้เองหมดชัวร์
   0.01 0.02 เรืองแสง ผิวขรุขระ ลายน่ารัก ผมเห็นน้องมันหยิบมาหมดเลยอาสาไปเอาตะกร้ามาให้ใส่ก่อนเดินวนไปโซนอีก น้องหมีมันจับดูของทุกชิ้นที่แปลกๆ ชุดคอสเพลย์ก็ดูอยู่นานโดยเฉพาะชุดคุณพยาบาลรัดติ้ว แบบนี้มันต้องแซวสักหน่อย
   "ซื้อไปให้แฟนใส่ดิ"
   "ใส่ไม่ได้หรอก"
   "ทำไม แฟนอ้วนอ่ะดิ"
   "เพราะแฟนไม่มีต่างหาก"
   "อย่ามาอำ" แฟนไม่มีอะไร เมื่อสองเดือนก่อนยังขึ้นสถานะกำลังคบหาอยู่เลย ถึงผมจะไม่เคยเห็นหน้าแฟนน้องมันก็เถอะ
   "ไม่มีครับ เลิกแล้ว" หันมาตอบด้วยหน้านิ่งๆ จนผมรู้สึกผิด แต่มันเพิ่งสองเดือนเองนะ ทำไมถึงเลิกกันเร็วจัง
   "ขอโทษนะ อินไม่รู้"
   "เฮ้ย! อย่าทำหน้างั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย มันไม่ใช่ก็ต้องเลิกนั่นแหละ"
   "ตอนนี้โอเคแล้วใช่มั้ย"
   "ท่าทางแบร์เหมือนคนอกหักขนาดนั้นเลยเหรอ"
   "ไม่อ่ะ" ไม่เหมือนเลย ไม่เหมือนเลยสักนิด ถ้าดูออกผมคงไม่เด๋อถามคำถามแบบนั้นออกไปหรอก
   "งั้นก็เลิกทำหน้าสลด อยู่กับพี่อินตอนนี้แบร์มีความสุขดี" น้องมียกยิ้มบางๆ  มันดูไม่เสแสร้งว่าโอเคผมเลยอุ่นใจที่จะยิ้มตอบกลับไป
   ความสบายใจกลับมาพร้อมๆ กับเสียงดังตุ้บในตะกร้าที่น้องหมีถืออยู่ มองตามไปก็เห็นชุดนางพยาบาลวางอยู่ในนั้น ตอนนี้ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าน้องมันคงโอเคมากๆ
   "อย่าบอกนะว่าเพื่อนฝากซื้ออีก"
   "เปล่า ใช้เอง"
   ไดแต่แสยะยิ้มตอนฟังคำตอบ ไม่คิดมันแล้วปวดหัว จะใช้เองหรือเอาไปให้คนอื่นใช้ก็เรื่องของมันแล้วกัน
   เดินวนชั้นหนึ่งเสร็จเราก็ลงชั้นใต้ดิน เดินดูกันไปเรื่อยเปื่อยจนน้องหมีไปเจอของน่าสนใจเข้า น้องมันยืนมองนิ่งๆ อยู่สักพักก่อนเดินถอยออกมา ไม่ถามไม่พูดอะไรอย่างทุกที ซึ่งมันน่าแปลก
   "รู้มั้ยมันใช้ทำอะไร"
   น้องหมีพยักหน้ารับแล้วถามผมกลับ
   "แล้วพี่อินรู้มั้ย"
   "รู้ดิ"
   เรามองหน้ากันนิ่งๆ เพราะต่างคนต่างรู้ว่าไอ้นั่นมันคืออะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ เราควรจะเฮฮากันกว่านี้นะ หรือไม่ก็พูดเล่นกันเหมือนตอนดูของอย่างอื่น
   "อยากลองหรือไง" ผมแกล้งถาม
   "อยากลองให้คนอื่นมากกว่า" น้องหมียักไหล่มองตาผมกลับ
   อยู่ๆ ผมก็รู้สึกใจหายแวบ จะไม่ตกใจเลยถ้าของที่ว่านั่นมันไม่ได้เอาไว้ใช้สำหรับช่องทางข้างหลังของผู้ชาย แล้วไอ้สีหน้าจริงจังนี่หมายความว่ายังไง มองกันแบบนี้คนอื่นที่ว่าคงไม่ได้หมายถึงผมใช่มั้ย
   "ทำหน้าระแวงจัง ล้อเล่น" ว่าแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน
   "มุกคุณน้องจะตลกไปแล้วนะครับ"
   "พี่อินไม่ชอบอะไรแบบนี้เหรอ แบร์หมายถึง พวกเกย์" น้องหมีดูลังเลที่จะถาม สีหน้าก็ดูลุ้นกับคำตอบ
   ผมไม่เข้าใจหรอกว่าอยู่ๆ ทำไมน้องหมีถึงถามอะไรแบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะท่าทางระแวงที่ผมแสดงออกไป แต่ผมเป็นพวกความคิดเปิดกว้างอยู่แล้ว ใครจะชอบอะไรหรือเป็นแบบไหนมันก็เรื่องของเขา พวกรักร่วมเพศก็ด้วย ผมน่ะรับได้ เมื่อกี้แค่ตกใจที่น้องมันทำหน้าจริงจังเฉยๆ
   "เปล่า"
   น้องหมียิ้มจนตาหยีตอนได้ฟังคำตอบ ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจไปกันใหญ่ อะไรจะอารมณ์ดีขนาดนั้น
   "แล้วจะซื้ออะไรอีกมั้ย"
   น้องหมีก้มดูของในตะกร้าแล้วส่ายหน้า ผมว่าก็ควรพอได้แล้วล่ะ คงจะพอใช้ไปอีกนาน
   "ไปจ่ายตังค์"
   ผมดันหลังน้องหมีให้เดินกลับขึ้นไปข้างบน จ่ายเงินให้เสร็จๆ จะได้กลับโรงแรมสักที ดูนาฬิกาแล้วเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่าที่แม่น้ำเมกุโระซะอีก พูดถึงแล้วก็ช้ำใจ

   เรากลับมาถึงสถานีอิเคะบุคุโระราวๆ สามทุ่มพร้อมถุงหิ้วสีดำที่บรรจุของจากเซ็กช็อปมาเต็มถุง เป็นของน้องหมีล้วนๆ ไม่มีของผมปนแม้แต่อย่างเดียว คนซื้อก็ท่าทางอารมณ์ที่ได้ของถูกใจ ผมล่ะอยากเห็นคนที่น้องมันจะเอาไปใช้ด้วยจริงๆ
   ที่สถานียังคงคึกคักแม้จะดึกแล้วก็ตาม มนุษย์เงินเดือนในชุดสีเข้มเดินสวนกลับไปมาอย่างรีบเร่ง ร้านค้าร้านขนมเริ่มทยอยปิดกันไปบ้างแล้ว ผมเองก็ง่วงแล้วด้วย ขาก็เริ่มปวด วันนี้เดินมาทั้งวันอยากรีบกลับไปอาบน้ำเอาขาแช่น้ำอุ่นทายาแล้วนอน เพราะพรุ่งนี้ยังต้องเดินกันอีกไกล
   "พี่อินๆ"
   คิดว่าอยากรีบกลับไปนอนแต่แล้วก็มีคนขัด ตัวผมแทบจะเซไปตามแรงดึงจากเพื่อนร่วมทริป ถ้าเหตุที่ทำให้ต้องเสียเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นดีไม่พอนะผมจะปลดน้องมันออกจากการเป็นลัคกี้แบร์ตอนนี้เลย
   "อะไร"
   "กินอันนั้นกันมั้ย"
   ชวนกินอีกแล้ว ชาบูชุดใหญ่ที่เพิ่งกินมาไม่ถึงสองชั่วโมงเอาไปยัดไว้ไหนหมด
   "พี่อินรอแป๊บนึง"
   ถามแล้วก็ไม่ต้องรอให้ผมตอบน้องมันก็จัดการวิ่งไปซื้อมาเรียบร้อย เป็นวาราบิโมจิกลองใหญ่ที่ผมว่ายังไงคืนนี้ก็คงกินไม่หมด แต่ถ้าเป็นน้องหมีกินก็คงไม่แน่เหมือนกัน
   
   เดินกลับมาถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเป็นอย่างแรก แต่นอนนานไม่ได้เดี๋ยวจะเพลินแล้วหลับไปก่อนเลยต้องเด้งตัวขึ้นจากที่นอนหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ ส่วนน้องหมีเข้ามุมจัดของที่กองรกไว้จนไม่มีที่จะวาง แค่วันที่สองก็ช็อปหนักจัดเต็ม กระเป๋าเดินทางที่เอามาแค่ใบเดียวไม่พอใส่แน่ๆ
   จัดการตัวเองเสร็จผมก็ไล่น้องหมีเข้าไปอาบน้ำต่อ น่าแปลกตรงที่ของทุกอย่างถูกยัดเก็บใส่กระเป๋าแล้วเป็นที่เรียบร้อย สิริรวมเวลาที่ผมอาบน้ำกับน้องมันเก็บของไม่ถึงสิบนาที แถมเตียงฝั่งน้องมันยังดูเป็นระเบียบกว่าฝั่งที่ของน้อยกว่าซะอีก ดูสะอาดเรียบร้อยกว่าตอนเด็กๆ ขึ้นเยอะเลย
   หลังจากน้องหมีอาบน้ำเสร็จผมก็เข้าไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างแล้วเรียกน้องมันมานั่งแช่ขาด้วยกัน แต่ทำไมตอนลุกวางถึงไม่วางขนมในมือก่อน จะเอาเข้าไปกินในห้องน้ำด้วยหรือไง
   "หยุดกินก่อน"
   "อร่อยนะ พี่อินกินด้วยกันดิ" ไม่ฟังแถมยังมีหน้ามาชวนกินอีก
   แล้วยังไงล่ะทีนี้ ผมก็ต้องปล่อยเลยตามเลยในเมื่อน้องมันถือเข้ามาแล้ว คือบ้านไหนเขาสอนให้เอาของกินมากินในห้องน้ำวะ
   ห้องน้ำแบบสำเร็จรูปที่ว่าเล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กไปกันใหญ่มีผู้ชายสองคนเข้ามาพร้อมกัน ผมกับน้องหมีนั่งบนขอบอ่างหันหน้าเข้าหากำแพง หย่อนเท้าแช่ไว้ในน้ำอุ่นเพื่อบรรเทาอาการเมื่อล้าจากการเดินมาทั้งวัน
   นั่งกันเงียบๆ ได้ไม่ถึงสิบวินาทีน้องหมีก็ใช้แขนข้างที่ถือวาราบิโมจิไว้อยู่มาถูแขนผมเป็นการชวนกินรอบที่สอง แต่ผมเพิ่งแปรงฟันไปไง
   "ช่วยกินหน่อย"
   "ไม่เอาอ่ะ"
   "อร่อยนะ"
   "รู้"
   "อ่ะเร็ว อ้าปาก อ้าม" ไม่พูดเปล่ายังหยิบไอ้ก้อนโมจิยื่นๆ มาจ่อปากกันอีก
   เฮ้อ! นี่ผมอยู่กับเด็กประถมหรือไงวะ
   สุดท้ายก็อ้าปากงับไว้ คนป้อนก็ยิ้มได้ใจหยิบใส่ปากตัวเองเสร็จเลยทำท่าจะหยิบชิ้นต่อไปให้ผมต่อจนต้องยกมือห้าม ได้ทีล่ะเอาใหญ่
   "หยุด"
   "ไม่กินแล้วเหรอ"
   "ไม่ต้องป้อน จะกินเดี๋ยวหยิบเอง"
   น้องหมียิ้มตาปิดมาให้ก่อนส่งโมจิชิ้นที่ถืออยู่เข้าปากตัวเอง ดูเป็นคนอารมณ์ดีกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ
   "พี่อิน รู้ตัวป่ะว่าเวลาเอาผมหน้าม้าลงกับเวลาเช็ตผมขึ้นหน้าจะเปลี่ยน"
   "เหรอ" ทำทีเป็นจับผมหน้าม้าชื้นๆ ของตัวเองแล้วตอบรับไปงั้น หน้าตาตัวเองทำไมจะไม่รู้ ทรงผมมันช่วยเปลี่ยนหน้าตาคนได้จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะชมตัวเท่าไร แต่อย่างผมเวลาผมยาวแล้วไว้หน้าม้าหน้าจะเด็กลงดูหน่อมแน้มขึ้น เวลาไว้ผมสั้นหรือเช็ตผมข้างหน้าขึ้นจะหล่อแบบผู้ใหญ่
   "อย่างตอนนี้ดูน่ารักกว่าตอนกลางวัน" ชี้หน้าแล้วบอกด้วยสีหน้านิ่งๆ
   "ขอบคุณ" ผมจะถือว่ามันคือคำชมแล้วกัน
   เรานั่งแช่เท้ากันจนกินวาราบิโมจิหมดทั้งกล่องถึงได้ออกมาจากห้องน้ำกัน เช็ดเท้าทายาแล้วเข้านอน แต่หมายถึงผมคนเดียวนะ เพราะน้องหมีมันยังวุ่นวายอยู่กับกล้องถ่ายรูปของตัวเองอยู่เลย
   "ปิดไฟมั้ย" คนที่ยังไม่นอนร้องถาม
   "ไม่เป็นไรนอนได้" ผมเป็นพวกหลับง่ายอยู่แล้ว นอนบนรถจนชิน จะแสงไฟหรือเสียงดังถ้าง่วงยังไงมันก็หลับ
   พลิกตัวนอนตะแคงดึงผ้าห่มมาคลุมจนเกือบมิดหัวแล้วหลับตา ใกล้จะผล็อยหลับเต็มทีแต่เสียงเตือนจากมือถือดันดังขัดจังหวะการนอนขึ้นมาซะงั้น ผมจะไม่สนใจมันเลยถ้าดังแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่นี่ดังติดกันรัวๆ จนชักสงสัยแล้วว่าใครมันส่งอะไรมาเวลานี้
   เอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อคนร้ายก็เด่นหราอยู่หน้าจอ
   น้องหมี ได้ส่งรูปภาพถึงคุณ
   ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งมองไปเตียงข้างๆ น้องหมีก็รู้ตัวหันมามองแล้วยกยิ้มแหย มันน่าโมโหไหมล่ะจะหลับอยู่แล้วดันโดนกวน แต่ต้องโทษตัวเองด้วยที่ดันลืมเปิดเสียง
   "สร้างอัลบั้มก่อนส่งก็ได้นะ" แนะนำทางเลือกให้แล้วผมก็ทิ้งตัวลงนอนต่อ กดปิดเสียงโทรศัพท์ว่าจะนอนต่อเลยแต่มันก็อดไม่ได้ต้องเปิดรูปที่น้องหมีมันส่งมาให้ดูสักหน่อย ไหนๆ ก็ตาสว่างแล้ว
   รูปผมที่มีฉากหลังเป็นวิวสวยๆ หลายสิบรูปโชว์อยู่เต็มหน้าจอ เป็นรูปทีเผลอที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าน้องมันถ่ายเอาไว้ตอนไหน ตั้งแต่ที่สถานีรถไฟ สะพานแว่นตา ในสวนกับดอกซากุระที่ยังไม่บาน ตอนเดินเล่นที่ฮาราจูกุกับศาลเจ้าเมจิ หลากหลายอิริยาบถที่เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
   ผมมีรูปสวยๆ ไว้เปลี่ยนโปรไฟล์แล้ว
   เห็นรูปที่ตัวเองโดนแอบถ่ายผมเลยส่งรูปที่แอบถ่ายน้องมันไปให้บ้าง แต่ความสวยของรูปมันต่างกันลิบลับ ต่างกันขนาดที่ว่าคนที่อยู่ในรูปถ่ายของผมรีบคอมเมนต์ตอบกลับมาทันที
   น้องหมี : ถ่ายหน้าโคตรเด๋อ
   อิน : โทษหน้าตัวเองเถอะ
    น้องหมีส่งสติ๊กเกอร์หมีทำหน้าจ๋อยกลับมา
   อิน : พรุ่งนี้ตื่นหกโมง
   อิน : รีบนอนเลย
   น้องหมีส่งสติ๊กเกอร์หมีทำท่าโอเคกลับมา ผมเลยส่งสติ๊กเกอร์คนทำท่านอนหลับกลับไป
   มันแปลกดี ทั้งที่อยู่ในห้องกันแค่สองคนแต่กลับส่งไลน์คุยกัน ปกติผมกับเพื่อนจะทำแบบนี้กันเฉพาะตอนจะนินทาใครแล้วคนคนนั้นอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้เราไม่ได้จะนินทาใคร ก็แค่ต้องการคุยกัน คุยแบบเงียบๆ เท่านั้น
   "ฝันดี"
   เสียงเหมือนคนบ่นกับตัวเองดังขึ้นมาเบาๆ แต่เพราะห้องมันเงียบผมเลยได้ยินชัดเจน ไม่ได้ยินเสียงคนบอกฝันดีก่อนนอนแบบนี้นานแค่ไหนแล้วผมก็จำไม่ได้ คงตั้งแต่เลิกกับแฟนเมื่อปีก่อนล่ะมั้ง
   ฝันดีเหมือนกัน



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า




ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
«ตอบ #13 เมื่อ01-04-2017 22:11:15 »

ชอบมากเลยค่ะะะะะ บรรยากาศญี่ปุ่นมาก เราว่าน้องหมีต้องมีอะไร ไม่น่าเป็นคนใสๆยิ้มตาหยี ต้องมีท่าไม้ตายยิ่งกว่านั้น หรือเราจะคิดไปเอง  :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
«ตอบ #14 เมื่อ01-04-2017 23:22:53 »

ชักระแวง น้องหมีแอบคิดไม่ซื่อกับพี่แน่เลย
ตอนที่พี่บอกไม่คิดอะไรกับพวกเกย์ ก็ทำท่าดีใจ
หมี ชมพี่ว่าทรงผมเปลี่ยนพี่หล่อขึ้นต่างไป
แสดงว่าแอบเห็นพี่หล่อ น่ารักด้วยละสิ
หมีทำเนียนป้อนขนมพี่ด้วย
แล้วยังแอบถ่ายพี่ทีเผลอซะด้วย
ขำ ที่อยู่ด้วยกันแต่ส่งไลน์คุยกัน ตลกดี
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
«ตอบ #15 เมื่อ01-04-2017 23:39:47 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ anntonies

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
«ตอบ #16 เมื่อ02-04-2017 21:55:57 »

แอร๊ยยยยยย สนุกมากกก
เอาจริงสองคนนี้ต้องสนิทกันมากแน่ๆ ขนาดไม่ได้เจอกันหลายปี
ยังไปร้านเซ็กส์ช็อปด้วยกันได้ แถมไม่เขินกันเลย คนอ่านนี่เขินแล้วเขินอีก
ขำตอนที่พี่อินร่ายเวทย์มนต์ อร๊ายยยย โมเอะเว ่อร์

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #17 เมื่อ08-04-2017 19:14:11 »


วันที่ 3


   วันนี้เราตื่นนอนกันแต่เช้าเพราะจะออกนอกโตเกียวไปเที่ยวย้อนอดีตสมัยเอโดะที่เมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะกัน ลำดับการตื่นก็เหมือนเมื่อวาน น้องหมีตื่นก่อน ผมตื่นทีหลังเพราะไม่อาบน้ำตอนเช้า และเป็นเพราะได้ผมเป็นแบบอย่างเช้านี้น้องมันเลยไม่อาบน้ำบ้าง

   ช่างเป็นน้องชายที่มีผมเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตโดยแท้จริง

    "พี่อิน"

   ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นน้องหมีนั่งทำหน้าครุ่นคิดอยู่บนเตียง ตอนนี้น้องมันพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง เหลือแต่ผมนี่แหละที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ

   "วันนี้ใส่ชุดนี้ได้มั้ย" แล้วถุงกระดาษใบใหญ่ก็ถูกยื่นมาให้

   ใส่เสื้อเสร็จผมก็เดินไปหยิบมาดู แต่ขอโทษเถอะ นี่มันเสื้อผ้าผู้หญิงที่น้องมันซื้อเมื่อวานตอนไปชิบูย่าไม่ใช่หรือไง แล้วจะให้ผมใส่ไอ้นี่เนี่ยนะ

   "จะเล่นอะไร" ผมยื่นถุงคืน ไม่รู้ว่าเป็นมุกแกล้งอำหรือว่าอะไร แต่ใครมันจะไปใส่

   "แบร์อยากถ่ายสติ๊กเกอร์อ่ะ" ไม่ยอมรับถุงกลับแถมทำตาละห้อยใส่ผมอีก นี่ยังไม่ตัดใจกับพุริคุระอีกเหรอ

   "แล้วจะให้ใส่ชุดนี้เนี่ยนะ คิดได้เนอะ" คิดได้ไม่พอแถมยังเสียเงินซื้อมาอีก ตอนแรกผมก็คิดว่าน้องหมีมันซื้อให้แฟน ที่ไหนได้ อยากจะตะโกนด่าดังๆ ว่าไอ้บ้า!

   "มันก็โอเคนะ ไม่หญิงเท่าไร พี่อินใส่น่าจะเหมาะอยู่" ว่าแล้วก็หยิบชุดออกจากถุงมากางให้ผมดู เป็นเสื้อแขนยาวสีกรมท่าตัวโคล่งกับกระโปรงสั้นจีบรอบสีขาว นี่น่ะเหรอไม่หญิงเท่าไร แค่กระโปรงมันก็ไม่ใช่แล้วมั้ยไอ้น้อง

   "ไม่ใส่" ปฏิเสธเสียงแข็งแล้วผมก็เดินกลับไปมุมของตัวเอง แอบหันไปมองเห็นน้องหมีพับเสื้อผ้าเก็บด้วยสีหน้าเซ็งๆ ดูไปแล้วก็ตลกดี แต่ที่ตลกกว่าก็ความคิดน้องมันนี่แหละ

   "งั้นขออะไรอย่างนึง" เงียบไปสักพักจนผมแต่งตัวใกล้เสร็จข้อแม้ก็ผุดขึ้นมาอีก ไม่ได้อย่างก็จะเอาอีกอย่างงั้นเหรอ

   "อะไร"

   "วันนี้ไม่ต้องเช็ตผมหน้าม้าขึ้นนะ"



   สถานีอิเคะบุคุโระยามเช้ายังคึกคักเหมือนอย่างเคย เรานั่งรถไฟหวานเย็นออกนอกเมืองโดยใช้เวลาห้าสิบนาที แปดโมงนิดๆ ก็มาถึงสถานีคาวาโกเอะ แต่ลิตเติ้ลเอโดะที่เราจะไปกันนั้นต้องไปต่ออีก ทางเลือกมีอยู่สองทางคือรถบัสกับเดิน แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะเลือกอะไร

   แน่นอนว่าต้องเลือกเดินอยู่แล้ว

   ออกจากสถานีเราก็เดินไปตามเส้นทางที่หาข้อมูลมา ปกติผมเป็นพวกชอบเดินอยู่แล้ว ยิ่งเจออากาศเย็นสบายในฤดูใบไม้ผลิกับบ้านเมืองแปลกหูแปลกตายิ่งชวนให้อยากเดินซึมซับบรรยากาศมากกว่านั่งรถบัส แม้คนข้างๆ จะบ่นหิวแล้วหิวอีกก็เถอะ

   "เดี๋ยวถึง CREA MALL ค่อยหาอะไรกิน"

   CREA MALL เป็นซอยสำหรับช็อปปิ้งคล้ายกับทาเคชิตะที่ฮาราจุกุ ซอยนี้ใช้เดินทะลุไปยังย่านโกดังเก่าสมัยเอโดะ มีของขายตลอดทั้งซอยและแน่นอนว่าต้องมีของกิน ผมเลยวางแผนไว้ว่ามาถึงคาวาโกเอะเราค่อยมาหาอะไรกินที่นี่แล้วค่อยไปเดินเที่ยวกัน

   เดินเรื่อยเปื่อยถึงมาถึงหน้าทางเข้า CREA MALL ทว่าสิ่งแรกที่เราพบกลับเป็นความเงียบสงบไม่ต่างจากซอยร้าง ร้านค้าตลอดสองฝั่งทางเดินปิดประตูเงียบกริบยังไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการสักร้าน มีเพียงคนเดินถนนไม่กี่คนเดินสวนกันเข้าออกซอย

   หรือว่าจะมากันเช้าเกินไป

   เราหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย รู้ถึงชะตากรรมท้องไส้รางๆ ว่าอาจจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเร็วๆ นี้ก็เป็นได้ แต่ยังไงซะมันก็ต้องมีเปิดสักร้านล่ะน่า อย่างน้อยก็ร้านสะดวกซื้อ

   ผมกับน้องหมีเดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่เงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่เพราะร้านค้าส่วนใหญ่เขาเปิดช่วงสิบหรือสิบเอ็ดโมงกันหมด ความหวังเลยตกไปอยู่ที่โซนเมืองเก่าคุราซุคุริที่เรากำลังมุ่งหน้าไป แหล่งท่องเที่ยวแบบนั้นต้องมีร้านอาหารอร่อยๆ อย่างแน่นอน

   เริ่มเดินเข้าใกล้โซนคุราซุคุริบ้านเรือนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแบบสมัยเก่า ตัวอาคารสองชั้นสร้างด้วยไม้เรียงเป็นแนวยาวตลอดทั้งซอย บวกกับความเงียบสงบยามเช้าเลยสามารถเก็บภาพวิวสวยๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวจะติดใครเข้ามาในภาพ

   "พี่อิน"

   ผมไม่ได้หันไปตามเสียงเรียกเพราะรู้ว่าน้องหมีมันคิดจะทำอะไร เลยทำทีเป็นเดินเก๊กท่ามองดูอาคารบ้านเรือนไปเรื่อยเปื่อย

   จะแอบถ่ายก็ถ่ายเลย เอามุมนี้แหละหล่อสุดแล้ว

   "ทำเป็นเมิน"

   เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นใกล้หูก่อนวงแขนของคนตัวสูงกว่าจะอ้อมมาจากด้านหลังพร้อมกล้องในมือที่หันเลนส์เข้าหา คางแหลมๆ วางลงบนไหล่ผมเบาๆ ก่อนเสียงนับให้สัญญาณจะดังตามมา

   "นึง ส่อง ซั่ม"

   ผมยิ้ม กดคางต่ำจนรู้สึกได้ว่าเนื้อที่คางมากองรวมกันเป็นชั้นๆ แล้วเหลือกตามองบน ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังแชะเจ้าของกล้องก็หัวเราะร่วนก่อนหันกล้องมาเปิดรูปดู

   ทำหน้าอะไรกันวะเนี่ย โคตรตลก

   หน้าผมว่าตลกแล้วหน้าน้องหมีเองก็ไม่ต่าง ทำปากเบี้ยวตาเหล่ หมดกันกับความคูลและความหล่อที่สั่งสมมา นี่เราไม่ได้นัดกันนะว่าจะทำหน้าตาทุเรศทุรังแบบนี้ หรือน้องมันเห็นผมทำเลยทำตาม

   รูปแบบนี้อย่าให้หลุดสู่สาธารณะเลยนะ อายเขา

   "ลบๆ" ผมตั้งท่าจะคว้ากล้องมาลบรูปทิ้ง แต่ด้วยตำแหน่งที่เสียเปรียบแค่ยกมือขึ้นน้องหมีก็ยกกล้องหนีแล้วถอยออกห่าง

   "ตลกดีไม่ต้องลบหรอก" ว่าแล้วก็ยิ้มอารมณ์ดีเดินลัลล้าไปถ่ายรูปมุมอื่น

   ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วเดินตามน้องมันไป เรื่องรูปพวกนี้ผมไม่คิดมากหรอก เบ้าหน้าดีซะอย่างถ่ายรูปตลกโปกฮายังไงมันก็ยังมีความดูดี แต่ถ้าไม่มีคนอื่นเห็นเลยนอกจากเราสองคนมันจะดีที่สุด

   เดินทอดน่องกันมาเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็มาถึงโซนเมืองเก่าคุราซุคุริ ในรีวิวที่ผมอ่านกับรายการที่ผมเคยดูมามันช่างคึกคักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้มันให้บรรยากาศต่างกันลิบลับจนชักไม่แน่ใจแล้วว่ามาถูกที่จริงหรือเปล่า

   "เราคงมาเช้าเกินไป" ผมยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

   เก้าโมงสิบห้านาที นี่ขนาดเดินเอื่อยเฉื่อยมาตั้งไกลเพิ่งจะเก้าโมง บ้านเมืองตอนนี้เลยสงบสุขอย่างกับไม่มีคนอยู่ ถ้าไม่เห็นว่ามีรถวิ่งผมคงคิดว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านร้างไปแล้ว แต่โทษใครได้ที่ไหน โทษตัวเองนี่แหละที่เป็นคนจัดตารางเวลาเอง

   จ๊อกกกกก~

   เหมือนผมได้ยินเสียงท้องใครบางคนร้องนะ

   "ขอโทษ ไม่รู้ว่าร้านมันจะเปิดช้าขนาดนี้" ผมยอมรับผิดก็ได้ คิดว่าสถานที่ท่องเที่ยวร้านค้าจะเปิดเร็วไง ศึกษามาไม่ดีเอง
 
   โป้ก! มโนว่าเคาะกะโหลกตัวเองหนึ่งทีเป็นการลงโทษ

   "ไม่เป็นไร หิวนิดเดียว" พูดเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วยิ้มจนตาปิด

   พูดมาได้หิวนิดเดียว ท้องร้องดังซะขนาดนั้นคงจะเชื่อหรอก น้องมันยิ่งเป็นคนกินเยอะอยู่ เก้าโมงแล้วยังไม่ได้กินข้าวเช้ามันต้องหิวอยู่แล้ว ดูท่าจะหิวมากด้วยแต่ยังเก็บอาการ

   "พี่อินๆ ร้านนั้นเปิดแล้ว" ระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทางอันแสนเงียบสงบน้องหมีมันก็กระตุกแขนผมซะแรงพลางชี้ไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่มีร้านขนมเปิดอยู่

   ไหนเมื่อกี้ว่าไม่หิวไง

   "ไปดูกัน" แล้วผมก็โดนลากไปรอที่ทางข้ามทันที

   พอไฟเขียวน้องหมีก็เดินนำหน้าไปยังร้านที่มีควันฉุยลอยออกมาจากหมอนึ่ง ของที่ขายหน้าตาคล้ายกับซาลาเปาบ้านเราแต่เป็นสีเหลืองเข้ม ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร รู้แค่ว่าน้องหมีมันสั่งไปเรียบร้อยแล้วสี่ลูก

   ซาลาเปาสีเหลืองสองลูกถูกยื่นมาให้ ผมจะควักเงินจ่ายก็เจอน้องหมีทำท่าปางห้ามญาติใส่ ครั้งนี้เลยได้กินแบบฟรีๆ งั้นเอาไว้เลี้ยงคืนทีหลังก็แล้วกัน

   เราเดินไปกินไปตามทางที่เงียบสงบไร้สิ่งน่าสนใจใดๆ นอกจากอาคารบ้านเรือน ร้านค้าที่ยังไม่เปิด สวนสาธารณะกับศาลเจ้าเล็กๆ เลยชวนกันแวะเข้าไปถ่ายรูป ใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาทีก็เดินจนทั่วโซนคุราซุคุริ ขนาดตอนเดินวนกลับมาร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิดเราเลยตกลงว่าจะไปสถานที่ต่อไปกันเลย

   ขามาเดินฝั่งหนึ่งขากลับก็เดินอีกฝั่งหนึ่ง เจอร้านขายซอฟต์ครีมกับพวกน้ำหอมสมุนไพรเปิดแล้วน้องหมีเลยสะกิดผมยิกๆ
 
   "กินไอติมกัน"

   "หนาวแบบนี้อ่ะนะ"

   "หนาวตรงไหน กำลังเย็นสบายเลย"

   ครับ ไอ้พ่อคนหนังหนา ไอ้หมีขั้วโลก ผมเป็นพวกขี้หนาวไง อากาศยี่สิบต้นๆ ก็ว่าหนาวแล้ว ที่เดินเล่นเมื่อกี้เจอลมพัดแรงๆ ก็สั่น ส่วนเรื่องจะกินซอฟต์ครีมตอนนี้นั้น

   "งั้นเอาวนิลา"

   ถึงหนาวก็อยากกินอยู่ดี


   มือถือซอฟต์ครีม ปากและลิ้นเล็มเนื้อไอศกรีม ตัวก็สั่นถี่ๆ บางจังหวะฟันก็กระทบกันดังกึกๆ

   ผมเหลือบมองน้องหมีที่เดินกินซอฟต์รสชาเขียวแบบชิลๆ แล้วรู้สึกอนาถใจกับตัวเอง เหมือนพวกไม่เจียมสังขาร ทนไม่ไหวก็อยากจะทน สุดท้ายก็ทรมานตัวเอง แต่เป็นการทรมานด้วยความอร่อย

   "ไหวมั้ยเนี่ย" น้องหมีถามกลั้วหัวเราะ นี่คือเป็นห่วงกันใช่มั้ย

   "ไม่อ่ะ" ผมก็ยืดอกรับความจริง สั่นจนเหมือนเป็นโรคพาร์กินสันขนาดนี้จะบอกว่าไม่หนาวมันก็ยังไงอยู่

   "งั้นเอาเสื้อแบร์ไปใส่" พูดจบน้องหมีก็ถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกมาคลุมให้ผม เหลือเสื้อไหมพรมไว้กันหนาวตัวเดียว

   แล้วถามว่าผมปฏิเสธมั้ย

   "ขอบใจ" ยิ้มรับน้ำใจด้วยความยินดี เอาไว้ร่างกายอุ่นเมื่อไรจะคืนให้แล้วกัน

   น้องหมียิ้มตาปิดตามสไตล์เจ้าตัว กินซอฟต์ครีมหมดก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปต่อ ถ่ายวิวบ้างถ่ายผมตอนเผลอบ้าง โดนถ่ายบ่อยๆ จนชักเริ่มชิน ผมเลยปล่อยให้น้องหมีมันถ่ายไป รูปที่ออกมามันก็ดูเป็นธรรมชาติและสวยดีด้วย จบทริปนี้ผมคงมีรูปไว้เปลี่ยนโปรไฟล์สารพัดแอปในโซเชียลตลอดทั้งชาติแน่ๆ



   จบทริปคาวาโกเอะเราก็นั่งรถไฟกลับโตเกียวเพื่อไปยังสถานีอุเอโนะ เป้าหมายคือการชมซากุระในสวนซึ่งไม่รู้ว่ามันจะบานหรือยัง และอีกหนึ่งภารกิจคือไปกินซูชิหน้าล้นที่ร้ายมิอุระมิซากิ โคว ใกล้ๆ กับตลาดอะเมะโยโกะ

   ตามแพลนที่จัดไว้เราต้องไปเดินสวนอุเอะโนะกันก่อนแต่เพราะแบกท้องอันหิวโหยมาจากคาวาโกเอะเลยเปลี่ยนไปกินซูชิก่อนแทน เป็นการรวบมื้อเช้ากับเที่ยงเอาไว้ด้วยกัน ผมว่าน้องหมีต้องซัดเรียบจานกองท่วมหัวแน่ๆ เล่นบ่นหิวตั้งแต่ขึ้นรถไฟที่คาวาโกเอะจนถึงตอนนี้

   เข้ามาในร้านได้ไม่ถึงห้าวินาทีน้องหมีก็หยิบซูชิจานแรกจากสายพาน ผมเลยต้องเป็นคนบริการให้ทั้งชงชาเขียวทั้งเทโชยุใส่ถ้วยไถ่โทษที่ปล่อยให้น้องหิว

   ซูชิแซลมอนชิ้นใหญ่ถูกยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ น้องหมีทำหน้าฟินหลับตาพริ้มส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอเหมือนพวกรายการเวลาชิมอาหารไม่มีผิด ไม่รู้อร่อยจริงหรือเพราะหิวมากกันแน่

   "อร่อยมั้ย" ผมหันไปถามระหว่างชงชาให้ตัวเอง

   คนที่กำลังเคี้ยวซูชิอยู่เต็มปากพยักหน้ารับรัวๆ ผมยิ้มรับแล้วเล็งหาจานที่พอจะกินได้บ้าง

   ปกติแล้วผมไม่ชอบกินของดิบ เวลาเพื่อนยกโขยงกันไปกินบุฟเฟต์แซลมอนก็ไม่เคยไปกับเขา ตอนไปเที่ยวใต้เคยกินหอยนางรมสดๆ แล้วแทบจะขย้อนออกมา มันหยึ๋ยๆ รู้สึกไม่ค่อยดี พวกปลาดิบก็เหมือนกัน และไม่ว่าซูชิหน้าไหนที่เลื่อนผ่านหน้าไปผมก็เลือกไม่ถูกสักจาน ก็มันของดิบเกือบทั้งนั้นเลยนี่หว่า

   "เลือกไม่ได้เหรอ" น้องหมีที่เพิ่งจัดการจานแรกหมดหันมาถาม น้องมันก็รู้ว่าผมไม่ชอบปลาดิบเลยทำหน้าลำบากใจใหญ่

   "ไม่รู้จะกินอะไรดี"

   "ลองปลาไหลก่อนก็ได้"

   ซูชิหน้าปลาไหลย่างถูกหยิบมาวางตรงหน้าโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ผมยิ้มขอบคุณ อย่างน้อยมันก็เป็นของสุก รสชาติก็คงไม่ต่างจากข้าวหน้าปลาไหลที่เคยกิน แต่เอาจริงๆ ปลาไหลผมก็ไม่ค่อยชอบนะ

   "แบ่งคนละชิ้นมั้ย"

   ซูชิจานหนึ่งจะมีสองชิ้น ผมไม่ค่อยชอบมันอยู่แล้วคงกินได้ไม่เยอะ อีกอย่างถ้าแบ่งกันแบบนี้น่าจะได้กินหน้าที่หลากหลายกว่า

   "โอเค" ทันทีที่ผมตอบรับซูชิหนึ่งชิ้นก็โดนน้องหมีคีบไป จิ้มโชยุนิดหน่อยแล้วยัดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงบอกว่ามันอร่อยมากจริงๆ นะ

   โอเค อร่อยก็อร่อย

   ผมคีบซูชิหน้าปลาไหลย่างเข้าปากในคำเดียว มันใหญ่จนเต็มปากไปหมด รู้สึกได้ถึงแก้มอูมๆ เวลาเคี้ยวกับรสชาติของปลาไหลที่คุ้นเคย

   โอเค มันก็อร่อยดี

   ผมนั่งเคี้ยวซูชิคำใหญ่ปากด้วยความเร็วต่ำแสนต่ำ กลืนลงคอได้ก็จิบน้ำชาตาม หันหน้าไปมองคนข้างๆ ก็เห็นเอาแต่ยิ้ม
   ทำไม แค่กินซูชิได้ไม่ต้องทำหน้าภูมิอกภูมิใจเหมือนแม่คนขนาดนั้นก็ได้

   ผ่านหน้าปลาไหลไปได้ผมก็โดนเชียร์ให้กินทุกอย่างจากคนที่ทำตัวเป็นพริตตี้ร้านซูชิ ทั้งแซลมอน มากุโระ เอนกาวะ กุ้งสด ไข่หวาน ไข่กุ้ง ไข่หอยเม่น กินไปจิบน้ำไปบวกกับขนาดชิ้นของมันผมเลยอิ่มในเวลาไม่นาน ส่วนน้องหมีก็กินเหมือนไปอดอยากมาจากไหน เผลอแป๊บเดียวจานกองเป็นตั้ง

   "ขอบคุณนะที่พามากิน"

   กินอิ่มแล้วก็มาทำซึ้ง ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดมากอะไรที่ต้องกินของที่ไม่ค่อยชอบ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ใช่

   "งั้นมือนี้แบร์เลี้ยงเอง"

   "ไม่ต้อง"

   "ถือว่าขอบคุณไง พี่อินไม่ชอบยังพาแบร์มากิน แล้วนี่อิ่มใช่มั้ย"

   "อิ่มดิ" ไม่อิ่มได้ไงไหวชิ้นใหญ่ขนาดนี้ กินไปห้าชิ้นก็อิ่มแล้ว ส่วนที่จะเลี้ยงเอาเป็นว่ายอมให้ก็แล้วกัน

   สรุปค่าเสียหายซูชิมื้อนี้สองคนหมดไปเกือบห้าพันเยน ที่ผมกินไปแค่พันนิดๆ ส่วนที่เหลือของน้องหมีล้วนๆ แค่มื้อแรกของวันก็ทำเอากระเป๋าเบาไปเลย ผมหมายถึงน้องหมีนะ

   อิ่มท้องจากร้านซูชิเราก็มาเดินเล่นที่ตลาดอะเมโยโกะกันต่อ ที่นี่เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีตั้งแต่ของสดยันสิ้นค้าแบรนด์ ผ่านร้านผลไม้เลยได้เมล่อนที่เขาหั่นแบ่งเป็นชิ้นขายเดินกินกันคนละไม้

   "อร่อยนะ"

   "อืม อร่อยดี"

   พวกเมล่อนหรือสตรอเบอร์รี่เวลาผมมาก็มักจะซื้อกินครั้งละไม้สองไม้เดินดูของแบบไม่เร่งรีบ ที่นี่ของลดราคาเยอะ แต่ละร้านก็แข่งกันตะโกนเรียกลูกค้า บางร้านจะมีคนผิวสีคอยแจกโบว์ชัวร์คอยรั้งคอยดึงซึ่งอันนี้ผมว่าน่ากลัว ครั้งเพื่อนผู้หญิงผมเคยโดนดึงเอาไว้เล่นเอาเจ้าหล่อนร้องใหญ่ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรหรอกก็แค่จับเฉยๆ

   เออ แล้วใครมาจับแขนผมไว้ล่ะเนี่ย

   ขาผมยังก้าวต่อพลางหันไปมองหนุ่มผิวสีร่างใหญ่ที่ยิ้มโชว์ฟันขาวมาให้พร้อมกับพูดเชิญชวนให้เข้าไปดูของในร้าน ไอ้ผมก็ยิ้มตอบส่ายหน้าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ขนาดเดินไปด้วยก็ยังไม่ยอมปล่อย กลายเป็นว่าแขนผมถูกยึดเอาไว้

   "แบร์ช่วยด้วย" ร้องหาใครไม่ได้ก็ร้องหาคนข้างๆ นี่แหละ

   น้องหมีหันมามองงงๆ แต่พอเห็นว่าผมถูกดึงเอาไว้ก็ทำหน้าตาถมึงทึงขึ้นมาทันที เจอจ้องด้วยใบหน้าโกรธเกี้ยวแขนผมถึงได้เป็นอิสระแล้วน้องหมีก็จัดการกอดเอวผมเดินหนีแถมยังมาโอ๋กันอีก

   "ไม่ต้องกลัว"

   "ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ" ก็นั่นแหละ ไม่ใช่เด็กแล้วจะได้กลัว

   น้องมันไม่พูดอะไรต่อเอาแต่ยิ้มตาหยี ปิดโหมดคุณหมีตกมันกลับสู่โหมดเท็ดดี้แบร์ผู้น่ารัก 

   เดินเล่นวนรอบตลาดได้ของติดมากันคนละอย่างสองอย่างจนเกือบถึงทางออกผมก็โดนน้องหมีดึงกระเป๋าให้หยุดเดิน

   "แวะไปเล่นกัน" น้องหมีพยักพเยิดหน้าไปยังร้านเกมคีบตุ๊กตาทางซ้ายมือ

   ความจริงวันนี้เรามีแพลนจะไปอากิบะกันด้วย ซึ่งที่นั่นมีร้านเกมให้เลือกเล่นเยอะกว่า แต่วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ จะแวะให้คนที่ยืนทำตาละห้อยอยู่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

   "ไปดิ"

   เข้ามาในร้านได้ก็พากันเดินวนอยู่รอบสองรอบ ผมว่ามันไม่ค่อยมีตัวน่ารักๆ เท่าไร มีแต่ตัวแปลกๆ หน้าตาประหลาดๆ เลยปล่อยให้น้องหมีเล่นไปคนเดียวส่วนผมคอยให้กำลังใจ เล่นไปสามรอบเสียหายไปสามร้อยเยนได้พวงกุญแจเล็กๆ มาหนึ่งอัน มันคุ้มมั้ยเนี่ย

   "ไปกัน"

   "แป๊บนึงพี่อิน ไอ้นั่นใช่ตู้สติ๊กเกอร์ป่ะ"

   ว่าจะชวนออกจากร้านน้องหมีก็ดันตาดีเห็นตู้สติ๊กเกอร์ที่อยู่ด้านในสุดอีก เห็นน้องมันยิ้มแหยๆ ส่งสายตาอ้อนวอนก็รับรู้ได้ถึงลางไม่ดีขึ้นมาทันที

   วอแวตั้งแต่เช้าแล้วนะไอ้เรื่องถ่ายสติ๊กเกอร์เนี่ย ถึงที่นี่เขาจะไม่กั้นเขตจนดูเป็นที่ต้องห้ามแต่ยังไงก็ห้ามผู้ชายเข้าอยู่ดีนะเว้ย อย่าแม้แต่จะคิดเชียว

   "ไปถ่ายกัน" นั่นไง เดาผิดที่ไหน

   "ก็บอกว่าเขาห้ามผู้ชายเข้า"

   "ผู้ชายที่ไหน ผู้หญิง" พูดแล้งน้องมันก็ชี้มาที่ผม

   ผู้หญิงบ้านป้าคุณน้องสิครับ อะไรมันไปกระตุ้นต่อมให้น้องมันอยากถ่ายสติ๊กเกอร์แบ๊วๆ ขนาดนี้เนี่ย

   "ผู้หญิงอะไรหล่อขนาดนี้ ลูกกระเดือกชี้หน้าอยู่เนี่ยเห็นมั้ย" ผมหมดคำจะเถียง ส่ายหน้าใส่ลูกเดียว แต่น้องหมีกลับไม่ยอมง่ายๆ

   "พูดเบาๆ ดิ อ่ะ ใส่ไว้" ว่าผมให้เบาเสียงแล้วยังเอาผ้าพันคอมาใส่ให้กันอีก
 
   ผมล่ะปวดหัว เข้ามากันตั้งนานแล้วพนักงานไม่รู้เลยมั้งว่าไอ้สองคนที่เดินวนอยู่ในนี้เนี่ยมันเป็นผู้ชาย ถึงผมจะเห็นพนักงานเดินผลุบๆ โผล่แค่คนเดียวก็เถอะ

   "นะๆ"

   ตกลงจะถ่ายให้ได้เลยใช่ไหม

   "ลองดูน่า ถ้าเขาไล่ก็แค่เดินออกมา"

   ตื้อและดื้อดึงเท่านั้นที่ชนะ ในเมื่อผมไม่ยอมน้องหมีเลยจัดการกุมมือฉุดๆ ลากๆ เดินเข้าไปหาตู้สติ๊กเกอร์ เนียนมากเลยครับ ไม่มีใครรู้เลยครับ มีพิรุธซะขนาดนี้

   มายืนอยู่หน้าตู้แล้วก็ไม่เห็นมีพนักงานคนไหนมาห้าม อ่านวิธีการใช้คร่าวๆ เสร็จน้องหมีเลยรีบหยอดเงิน กดเลือกแบบแล้วลากผมเข้าตู้ถ่ายทันที

   ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อ นี่พนักงานไม่เห็นหรือคิดว่าเราเป็นคู่ชายหญิงจริงๆ กันแน่ ถึงการแต่งตัวของผมวันนี้มันจะดูเรียบร้อยใสๆ ก็เถอะ ใส่เสื้อคอกลมสีเทาทับด้วยโค้ทยาวสีกรม กางเกงยีนส์พับขาประมาณหนึ่งคืบกับรองเท้าผ้าใบสีขาว แถมมีผ้าพันคอสีเลือดหมูที่น้องหมียัดเยียดให้ใส่อีกหนึ่งผืน รวมถึงความจริงอีกอย่างที่ผมยอมให้น้องหมีมาตั้งแต่เช้าคือการเอาผมหน้าม้าลงทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้องมันคิดอะไรอยู่ แต่แค่นี้มันไม่ทำให้คนอื่นเขาคิดว่าผมเป็นผู้หญิงไปได้หรอก

   การถ่ายพุริคุระเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาที ได้รูปแล้วผมเลยรีบชวนน้องหมีออกจากร้านก่อนพนักงานจะมาเห็นเดี๋ยวใครมาเห็นจะเป็นเรื่องเอา

   ว่าแต่ทำไมผมต้องมาทำอะไรเสี่ยงโดนจับแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

   "น่ารักอ่ะดิดู" ดูรูปแล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

   "ตลก" ตาก็โตเหมือนไม่ใช่คน แก้มก็แดง ปากก็แดง ผู้หญิงเขาถ่ายมันก็น่ารักนะ แต่ผมว่ารูปที่เราถ่ายมามันดูตลกมากกว่า อย่าริอาจเอาไปให้ใครดูเชียว

   คนอยากถ่ายดูท่าจะถูกใจรูปน่าดู น้องหมีมองมันแล้วก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก เพิ่งรู้นะว่าชอบอะไรแบบนี้ด้วย ซึมซับความเป็นญี่ปุ่นได้เร็วดีจริงๆ



ต่อด้านล่าง
v
v
v


ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #18 เมื่อ08-04-2017 19:16:07 »



        ออกจากอะเมโยโกะเราก็ไปเดินเล่นในสวนอุเอโนะกันต่อ แต่เพราะซากุระมันยังไม่บานเท่าไรเดินวนถ่ายรูปกันแป๊บเดียวผมก็ชวนน้องหมีไปอากิฮาบาร่า

   ใช่แล้ว อากิบะที่ผมพาน้องหมีไปเมดคาเฟ่วันแรกที่มาถึงนั่นแหละ

   "ไปเมดคาเฟ่กันอีกดีมั้ย"

   ผมหันไปมองคนที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทว่าหน้าตาดูมีความหวัง ติดใจเมดแล้วหรือไง แต่เสียใจด้วยวันนี้พามาเพื่อหมุนกาชาปอง ตามหาฟิกเกอร์กับแวะช็อปไอดอลแค่นั้น

   "ไม่ไปอ่ะ วันนี้ไอริจังไม่เข้า"

   น้องหมีเบะปากใส่ น่ารักตายล่ะ อยู่ญี่ปุ่นไม่ต้องทำตัวนุ่มนิ่มขึ้นก็ได้มั้ง ตอนนี้ไอ้น้องชายจอมเกเรหล่อสไตล์เมกันของผมหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

   "จะไปดูฟิกเกอร์ไม่ใช่เหรอ"

   "อยากได้กัปตันอเมริกา มันมีใช่มั้ย"

   "น่าจะนะ"

   ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในคำตอบเท่าไรเพราะสิ่งที่เราชอบอะไรคนละสไตล์กัน อย่างการ์ตูนผมชอบอนิเมะของญี่ปุ่น ดูแทบทุกเรื่องทุกฤดูที่ฉาย ส่วนน้องหมีชอบซุปเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล มาแหล่งขายฟิกเกอร์ทั้งทีน้องมันเลยอยากได้กลับไปสักตัว

   เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้กันเป็นว่าเล่น ในที่สุดน้องหมีได้ฟิกเกอร์กัปตันอเมริกาสมใจอยากในราคาที่แพงเอาเรื่อง แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ ผมเองก็หมุนกาชาปองกับซื้อของไอดอลหมดไปเหยียบหมื่น ที่สำคัญกาชาปองตัวที่อยากได้ดันไม่ออกมาอีก มันน่าเจ็บใจก็ตรงนี้


   จบจากอากิฮาบาระเราก็ไปต่อกันที่ย่านอาซากุสะ วัดเซนโซจิกับโคมไฟยักษ์สีแดงสัญลักษณ์ประจำวัด เป็นแลนด์มาร์คอีกที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมา และด้วยความที่ใครๆ ก็ต้องมานี่แหละ คนเลยเยอะเหมือนมีงานเทศกาลอะไรสักอย่างตลอดเวลา

   "ถ่ายรูปมั้ย" ถามพร้อมแบมือขอกล้องจากน้องหมี ที่นี่ผมมาบ่อยแล้วถ่ายรูปจนเบื่อ เลยอาสาขอเป็นตากล้องให้คนที่มาครั้งแรกแทน แต่กลับโดนปฏิเสธ

   "ถ่ายด้วยกันดีกว่า" ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วน้องหมีก็จับผมหมุนตัวหันหลังให้โคมยักษ์สีแดง คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเกยคางบนไหล่ผมก่อนสองแขนจะยื่นกล้องมาด้านหน้า

   ทำแบบนี้อีกแล้ว

   ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าที่อยู่ห่างแค่ปลายจมูก น้องหมียิ้มกว้างในขณะที่ผมยังปรับสีหน้าไม่ถูก พร้อมกันนั้นเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นโดยไม่มีการนับให้สัญญาณ

   แชะ!

   น้องหมีหันมายิ้ม ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ที่ไม่ทำให้ตาเป็นขีดเหมือนทุกที เป็นรอยยิ้มที่ผมคิดว่ามันดูดีมากๆ มันดูมีเสน่ห์จนอยากมองอยู่อย่างนั้น น่าหลงใหลจนต้องยิ้มตาม

   "ทีตอนถ่ายล่ะไม่ยิ้ม" ปากบ่นแต่ยังยิ้มค้างก่อนเจ้าตัวจะผละออกห่าง

   ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับไป เห็นน้องมันก้มหน้าดูรูปในกล้องแล้วยิ้มอยู่คนเดียว ทำเป็นบ่นไปงั้นแหละ ที่จริงก็ชอบใช่มั้ยล่ะรูปเมื่อกี้น่ะ

   "ไหนมาดูมั่ง"

   "เดี๋ยวตอนเย็นส่งให้" ชูกล้องหนีสุดมือแล้วยักคิ้วกวนๆ มาให้อีก

   ถ้าไม่เกรงใจชาวประชานานาชาติหรือแม้แต่เพื่อนร่วมชาติที่อาจจะเดินสวนกันนี่ผมกระโดดแย่งกล้องจากมือน้องมันไปแล้ว ในกรณีที่แย่งถึงนะ แต่คิดว่าคงจะยาก

   น้องหมียังคงยิ้มอย่างอารมณ์เดินเข้ามากอดแขนผมที่ปั้นหน้านิ่งใส่ เดี๋ยวทำตัวเท่ สักพักก็มาอ้อนเหมือนลูกหมา โตเป็นหมียักษ์ยังไงก็ยังเป็นน้องแบร์หมีน้อยของผมอยู่วันยันค่ำนั่นล่ะน่า

   "เข้าไปข้างในกัน"

   เดินผ่านโคมแดงประตูทางเข้าหลักเข้ามาเราก็เจอกับถนนนากามิเสะที่ทอดยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัด ทั้งสองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านของฝากและของกิน มีเมนูขึ้นชื่อหลายร้านที่ต้องแวะ ผมเลยพาน้องหมีกินทุกร้านที่คิดว่าน่าจะอร่อย กว่าถึงตัววัดเลยใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง

   หลังอิ่มท้องแล้วก็มาอิ่มใจอิ่มบุญกันต่อ ชำระล้างร่างกายก่อนเข้าวัด จากนั้นก็ไปสักการะขอพรกับพระโพธิสัตว์กวนอิม โยนเหรียญห้าเยนหรือห้าสิบเยนเพื่อทำบุญ จากนั้นโค้งสองที ตบมือสองที อธิษฐาน ตามด้วยโค้งงามๆ อีกหนึ่งทีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

   "เขาบอกว่าเครื่องรางวัดนี้ขลังนะ" เดินผ่านจุดขายเครื่องรางผมก็ชวนน้องหมีเข้าไปดู ปกติมาไม่เคยซื้อ แต่เพิ่งเห็นคนเขาฮิตกันในทวิตเตอร์ โดยเฉพาะเครื่องรางความรัก ว่ากันว่าได้ผลดี

   "จริงอ่ะ"

   "อืม เห็นเขาว่ากันแบบนั้น มีคนซื้อเครื่องรางความรักไปแล้วใช้ได้ผล"

   "มันจะได้ผลจริงๆ ใช่มั้ย" อยู่ๆ น้องหมีก็จ้องหน้าผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา

   "ก็ลองดูดิ"

   สุดท้ายจากคำยุยงบวกโฆษณาชวนเชื่อของผมน้องหมีก็ได้มาทั้งเครื่องรางความรัก โชคลาภ สุขภาพ เดินทางปลอดภัย ป้องกันจากสิ่งชั่วร้าย ซื้อมาแบบครบเซ็ต กะว่าปีนี้จะไม่ให้เจอโชคร้ายกันเลย แต่เหมือนว่าผมจะลืมบอกน้องมันไปอย่าง

   "เครื่องรางมันมีอายุแค่ปีเดียวนะ ครบหนึ่งปีต้องเอามาคืน"

   "คืนที่นี่อ่ะนะ"

   "ใช่" ผมโม้ แกล้งอำน้องมันไปงั้น เครื่องรางทุกชิ้นมีอายุการใช้งานแค่หนึ่งปี เมื่อครบหนึ่งปีแล้วให้นำเครื่องรางนั้นกลับไปคืนที่วัดหรือศาลเจ้า แต่ถ้าไม่สะดวกเอาไปคืนก็สามารถเผาเองได้ แต่ต้องใช้กระดาษขาวห่อโรยด้วยเกลือแล้วค่อยเผา ซึ้งในกรณีน้องหมีซื้อไปแล้วคงได้เอากลับมาคืนแน่นอน

   "ไม่เป็นไรหรอก" คนที่ถือถุงเครื่องรางไว้ในมือบอกยิ้มๆ แล้วก็เงียบไป

   ผมเองก็เงียบรอฟัง รู้สึกได้ว่าน้องมันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จนเราเดินลงมาจากอาคารน้องหมีถึงได้ยอมเฉลยสิ่งที่ตั้งใจจะบอกออกมา

   "ปีหน้าเราก็มาด้วยกันอีกไง"

   ปีหน้าเหรอ เป็นความคิดที่ดีนี่

   "อืม ไว้เรามาด้วยกันอีก"



   ตามแผนที่ทำมาต่อจากนี้เราจะไปดูซากุระที่สวนข้างแม่น้ำสุมิดะ แต่เพราะอากาศไม่เป็นใจ ไปมากี่ที่ซากุระก็ยังไม่บาน ที่สวนสุมิดะก็คงยังไม่บานเหมือนกัน ผมตั้งใจว่าจะตัดใจจากที่นี่แล้วแต่เพื่อนร่วมทริปเขาอยากไป สุดท้ายเลยมานั่งเหงาหงอยที่ม้านั่งในสวน แถมอากาศก็เริ่มเย็นลงแล้วด้วย

   เฮ้อ~ หนาวชะมัด

   เสื้อกันหนาวตัวเดิมที่เคยได้ยืมใส่ตอนอยู่คาวาโกเอะคลุมลงมาบนหัวตอนผมเอามือซุกไว้ใต้ขา หันไปมองเจ้าของเสื้อที่ควรจะนั่งอยู่ข้างๆ ก็ดันหายตัวไปซะแล้ว แอบไปเดินเที่ยวเล่นกับกล้องตัวโปรดแล้วทิ้งให้ผมเดี่ยวอยู่กับเสื้อกันหนาวแทน

   ผมดึงเสื้อน้องหมีมาคลุมตัวไว้ดีๆ นั่งมองวิวแม่น้ำยามเย็นกับโตเกียวสกายทรีที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ญี่ปุ่นในฤดูนี้ยังไม่ถึงห้าโมงเย็นพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ตอนนี้ฟ้าเลยดูหม่นๆ ชวนให้รู้สึกเหงา ถ้ามาคนเดียวผมคงนั่งเอ้อระเหยปล่อยอารมณ์ปล่อยใจได้เป็นชั่วโมง แต่เพราะมากับใครบางคนแม้บรรยากาศจะเหงาแค่ไหนกลับไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด

   ระหว่างรอน้องหมีถ่ายรูปเล่นผมก็ใช้เวลาช่วงนี้เพื่อพักขาพักร่างกายที่ใช้งานหนักมาตลอดสองวัน รู้สึกเจ็บหัวเข่านิดหน่อยพอทนไหว แต่ถ้ายังใช้งานมันหนักแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาการคงทรุด ซึ่งมันทรุดแน่นอนสำหรับทริปที่จัดมา นี่แหละผลของการชอบเดิน อยากเดิน โดยไม่คำนึงถึงสังขารตัวเอง

   "แบร์"

   เรียกชื่อคำเดียวคนที่กำลังเพลินกับการถ่ายรูปก็เดินเข้ามาหา

   "ไปกัน" ผมลุกขึ้นยืนยื่นเสื้อกันหนาวคืนให้ น้องหมีรับเสื้อไว้ก่อนเอาพาดบ่า พยักหน้ารับแล้วยิ้มตาปิดแบบที่ชอบทำ

   คืนนี้ยังไม่จบ ยังเหลืออีกสถานที่หนึ่งที่เราจะไปกัน




TBC.



ตอนนี้ยาวมาก คือยาวกว่าทุกตอนที่เขียนเลย
ทีแรกเรากะว่าจะแบ่งเป็นสองพาร์ทมันรู้สึกยุ่งยากเลยลงมันทีเดียวนี่แหละ
ขอให้สนุกกับทริปของเรานะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า



ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #19 เมื่อ08-04-2017 19:55:16 »

น้องหมีไม่ได้คิดแค่พี่ชายแน่นอน  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
« ตอบ #19 เมื่อ: 08-04-2017 19:55:16 »





ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #20 เมื่อ08-04-2017 21:53:16 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #21 เมื่อ08-04-2017 22:11:38 »

แบร์ ได้ถ่ายรูปคู่สมใจ  :mew1:
แม้ไม่ได้อย่างใจเรื่องชุด
แต่ได้ถ่ายสติ๊กเกอร์คู่แล้ว  :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #22 เมื่อ09-04-2017 09:40:07 »

 :L2: :L2: :L2:

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
«ตอบ #23 เมื่อ09-04-2017 12:29:49 »

ตามรอยความรักกันต่อไป อ่านไปเปิดดูไป

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
«ตอบ #24 เมื่อ12-04-2017 18:29:55 »



คืนที่ 3


   โอไดบะ เกาะที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นจากการเอาขยะมาถมทะเล ใช้เวลานานหลายสิบปีจนเป็นแผ่นดินขึ้นมา จนปัจจุบันได้กลายเป็นเกาะศูนย์รวมความบันเทิงของโตเกียวไปแล้ว

   การเดินทางไปโอไดบะนั้นเราต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานีชิมบาชิ แล้วต่อรถไฟลอยฟ้าไร้คนขับที่มีชื่อว่ายูริคาโมเมะข้ามไป ทีเด็ดของการนั่งรถไฟสายนี้อยู่ที่หัวขบวน เพราะการที่ไม่มีคนขับหัวและท้ายขบวนจึงเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิวบ้านเมืองและอ่าวโตเกียวได้โดยรอบ แถมยังมีที่นั่งให้เราโมเมว่าเป็นคนขับรถไฟอีก เหตุนี้เองหลายคนจึงหมายปองที่นั่งหัวขบวน ผมเองก็เหมือนกัน

   "ไปกันเลยมั้ย" ขึ้นมาถึงชานชาลาน้องหมีก็ตั้งท่าเตรียมพุ่งไปขึ้นรถไฟที่จอดอยู่

   "รอขบวนต่อไปก็ได้ อยากนั่งหน้าขบวน"

   "ทำไมต้องหน้าขบวน"

   "เดี๋ยวก็รู้" ผมยักคิ้วกวนๆ ให้ ก่อนพาน้องหมีไปยืนเข้าแถวรอรถไฟคนละฝั่งกับขบวนที่กำลังจะออก

   ที่สถานีชิมบาชิเป็นสถานีแรกของสายยูริคาโมเมะ ชานชาลาจึงมีสองฝั่ง รถไฟที่กลับมาจากโอไดบะจะสลับกันมาจอดรอคนละชานชาลา เพราะฉะนั้นถ้าเล็งหัวขบวนอยู่ต้องมายืนรอขึ้นเป็นคนแรกๆ ถึงจะสมหวัง

   "นี่ไงมาแล้ว" ขบวนเก่ายังไม่ทันออกขบวนต่อไปก็กลับมาถึงชิมบาชิ

   ยืนรอให้คนลงหมดก่อนผมก็คว้าแขนน้องหมีลากเข้าไปในรถไฟ ช้าไม่ได้หรอก ข้างๆ มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งรอลงสนามแย่งที่นั่งอยู่ คือผมจะไม่ซีเรียสเท่าไรถ้าที่นั่งหน้าขบวนเป็นเบาะคู่ทั้งสองฝั่ง แต่นี่ฝั่งขวาเป็นเบาะคู่ส่วนฝั่งซ้ายเป็นเบาะเดี่ยว แม้ความจริงถ้าไม่ได้นั่งยืนดูเอาก็ได้ แต่ได้นั่งสบายๆ มันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

   ผมพาน้องหมีมาถึงที่นั่งหน้าขบวนก่อนคู่หนุ่มสาวเพียงเสี้ยววินาที คู่นั้นเลยยอมสละที่ให้คุณผู้หญิงส่วนคุณผู้ชายก็ยืนไปตามระเบียบ มองแล้วผมแอบยิ้มสะใจกับตัวเอง เป็นครั้งแรกเลยที่ได้นั่งตรงนี้ มาทีไรไม่เคยจะทันคนอื่นเขาหรอก

   "อยากนั่งตรงนี้ขนาดนั้นเลย"
 
   "ถ้าขึ้นยูริคาโมเมะก็ต้องนั่งตรงนี้ดิ"

   "ทำไม" น้องหมีมุ่นคิ้วทำหน้างง ถึงผมไม่เคยบอกแต่น้องมันไม่มีเซ้นส์เลยหรือไง ได้นั่งหัวขบวนกระหน้าใสกริ๊งขนาดนี้
 
   "ชมวิวไง รถไฟขบวนนี้เขาคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไม่มีคนขับ ตรงนี้เป็นหัวขบวน เดี๋ยวรอดู"

   "อ๋อ~" ทีนี้ล่ะลากเสียงยาวแถมยิ้มหวานตาเป็นขีดอีก

   ขอบคุณพี่ซะไอ้น้อง

   นั่งรอเวลาอยู่หลายนาทีในที่สุดรถไฟไร้คนขับก็เคลื่อนขบวน ขับผ่านอีกสี่สถานีก่อนขึ้นสะพานสายรุ้งเพื่อข้ามไปยังเกาะโอไดบะ

   ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วท้องฟ้าจึงกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม แม้จะยังไม่มืดสนิทแต่เมื่อหันไปมองฝั่งโตเกียวตามอาคารบ้านเรือนต่างถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสี สมกับเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับใหล

   "เห็นโตเกียวทาวเวอร์มั้ย" ผมชี้ให้น้องหมีดูคอหอยสีส้มที่หน้าตาเหมือนหอไอเฟล ต้องรีบดูก่อนรถไฟจะขึ้นสะพานแล้วโดนเสาบังซะก่อน

   "เห็นๆ ถ้ารถไฟมันเปิดประทุนก็ดีเนอะ"

   "หนาวตายกันพอดี" ผมล่ะขำกับความคิดน้องหมี รถไฟเปิดประทุนว่าไม่เคยพบไม่เคยเห็นแล้ว แต่ถ้ามาเปิดประทุนในฤดูนี้ผู้โดยสารต้องแข็งตายแน่ อย่างน้องก็ผมคนหนึ่งล่ะ

   ใช้เวลาสิบห้านาทีเราก็มาถึงสถานีไดบะ ด้วยความที่เป็นเกาะติดทะเลลมเลยพัดแรงอยู่ตลอดเวลา บวกกับอากาศเย็นๆ ในฤดูใบไม้ผลิยิ่งทำให้คนขี้หนาวอย่างผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว หนาวจนต้องเดินห่อตัว

   "เอาเสื้อมั้ย"

   "ไม่ต้อง"

   พ่อสุภาพบุรุษหมีขั้วโลกทำท่าจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองให้ผมเป็นรอบที่สามของวันจนต้องรีบปฏิเสธ ที่นี่มันลมแรงจริงๆ ต่อให้หนังหนาอย่างน้องหมีก็ทนไม่ไหวหรอก

   ปฏิเสธเสื้อไปผ้าพันคอเลยถูกนำมาพันตัวผมไว้แทน มันพอบรรเทาอาการหนาวได้บ้างแต่ก็ยังหนาวอยู่ดี

   ออกจากสถานีมาเราก็เดินไปยังลานที่เชื่อมติดกับห้าง Aqua City ซึ่งเป็นที่ชมวิวสะพานสายรุ้งกับเทพีเสรีภาพขนาดย่อส่วนที่ไม่ต้องถ่อไปถึงอเมริกา

   ผมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปสะพานสายรุ้งสองสามรูปพอเป็นพิธี เก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วยืนเท้าขอบสะพานให้ลมหนาวพัดโกรกหน้า จำได้ว่าเมื่อเดือนสิงหาปีที่แล้วยังมานั่งจับโปเกม่อนอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมง แต่ตอนนี้เหล่าเทรนเนอร์ทั้งหลายน่าจะไปเอาดีทางอื่นกันหมดแล้ว

   ยืนเอื่อยเฉื่อยจับจองที่ตรงนี้ไว้เสียนานจนรู้สึกว่าหน้าเริ่มชาเพราะลมทะเล ผมเลยดึงผ้าพันคอขึ้นมาคลุมหัวปิดหน้าไว้เหลือแค่ตา สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นหูดังอยู่ใกล้ๆ

   "ว่าจะถ่ายรูปให้ ทำแบบนี้ก็ไม่เห็นหน้าดิ" น้องหมีหยุดยืนอยู่ข้างกัน มองมาแล้วยิ้มตาปิดแถมยังช่วยจัดผ้าพันคอให้อีก

   "ก็ไม่ต้องถ่าย"

   บอกไม่ต้องถ่ายแต่คนไม่ฟังก็ยังจะยกกล้องขึ้นมาถ่าย ผมถลึงตาใส่หนึ่งทีก่อนหันไปสนใจวิวสะพานสายรุ้งกับโตเกียวทาวเวอร์ที่เห็นอยู่ไกลๆ ที่จริงมาเที่ยวโอไดบะช่วงนี้มีเรื่องน่าเสียดายอยู่อย่าง

   "ถ้ามาช่วงปีใหม่สะพานมันจะเป็นสีรุ้งนะ"

   "ก็ว่าอยู่ ชื่อสะพานสายรุ้งแต่ไม่เห็นเป็นสีรุ้ง"

   "เขาเปิดแค่ช่วงเทศกาลสำคัญๆ ตอนนี้ก็ดูแค่สองสีไปก่อน"

   "เสียดายเนอะ คงจะสวยน่าดู"

   ผมพยักหน้ารับคำ เคยมาก็หลายรอบแต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นตอนสะพานเปิดไฟสีรุ้งเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสได้มาตรงช่วงเทศกาลที่เขาเปิดไฟสีรุ้งก็คงดี

   "เออ แล้วแบร์จำเรื่องดิจิม่อนได้ป่ะ" มาโอไดบะทั้งทีไม่พูดถึงเรื่องนี้คงไม่ได้ ผมฝันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากมาตามรอยสถานที่ในการ์ตูนเรื่องโปรดที่เคยดูตอนเด็กสักครั้ง ได้พาน้องหมีมาด้วยเลยต้องนำเสนอสักหน่อย

   "จำได้ดิ"

   "โลเคชั่นในเรื่องคือโอไดบะนี่แหละ"

   "จริงอ่ะ คิดว่ามันเค้าโมเมขึ้นมาใหม่นะนั่น"

   "ก็สะพานสายรุ้งนี่ไงที่เห็นในฉากบ่อยๆ ส่วนข้างหลังนู่นก็สถานีโทรทัศน์ฟูจิที่เทลม่อนโดนวันเดมอนจับตัวไป แต่มองตรงนี้มันไม่เห็น" แนะนำสะพานด้านหน้าเสร็จผมก็พาน้องมันหันไปดูด้านหลังที่มีสถานีโทรทัศน์ฟูจิตั้งอยู่แต่ตอนนี้โดนบังมิด จุดสังเกตเด่นๆ ของฟูจิทีวีคือลูกกลมๆ ตรงกลางตึก ภาพในการ์ตูนยังติดตาผมอยู่เลย

   "เจ๋งดีอ่ะ ไม่เคยรู้มาก่อน"

   ก็ไม่รู้ว่าจะเจ๋งจริงอย่างที่น้องหมีว่าหรือเปล่า แต่ผมยังมีอีกหลายอย่างเลยที่อยากอวด เสียดายที่มีเวลาอยู่ที่นี่น้อยไป

   "ที่จริงว่าจะพาไปดูกันดั้มนะ แต่มันโดนรื้อไปแล้ว มาช้าไป" ผมชี้ไปฝั่งห้าง Diver City ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนตรงนั้นเคยมีกันดั้มสูงสิบแปดเมตรตั้งอยู่ แต่ตอนนี้โดนรื้อถอนไปแล้ว ผมว่ากันดั้มขนาดเท่าของจริงถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของโอไดบะเลยนะ เสียดายที่น้องหมีไม่ได้เห็น

   "จริงดิ แต่แบร์ไม่บ้ากันดั้มอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก" อุทานออกมาเหมือนจะเสียดาย แต่ฟังคำที่พูดต่อแล้วผมขอถอนคำพูด ไม่น่าไปเสียดายแทนเลย

   "อุตส่าห์อยากให้ดู"

   น้องหมีหัวเราะร่า เท้าแขนกับราวสะพานหันมาหาผมแล้วก็ยิ้ม

   "ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้มากับพี่อินก็ดีแล้ว"

   ลมเย็นๆ พับวูบมาจนผ้าพันคอที่ใช้คลุมหัวไว้หล่นไปด้านหลัง ผมจับมันไว้แล้วหันไปยิ้มให้กับสะพานสายรุ้งที่สีไม่เป็นสายรุ้งเหมือนกับชื่อ

   ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีชะมัด


   พยากรณ์อากาศบอกว่าค่ำนี้ฝนจะตก ด้วยความที่ไม่อยากทนทรมานกับความหนาวที่มากับฝนผมเลยชวนน้องหมีกลับโรงแรมหลังจากดื่มด่ำกับวิวสะพานสายรุ้งจนพอใจ แต่ก่อนถึงโรงแรมท้องมันก็ร้องโครกคราก ก็เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย

   "กินร้านนี้มั้ย" คนตัวโตเหมือนหมีชี้โปสเตอร์หน้าร้านอาหารร้านหนึ่งระหว่างทางเดินกลับโรงแรม

   ผมว่ามันก็โอเคนะ เป็นข้าวหน้าเนื้อหน้าตาน่ากิน แต่ติดที่มันมีไข่ดิบโปะหน้านี่ดิ พวกไม่ถูกกับของดิบอย่างผมถึงขั้นคิดหนัก

   "กินมั้ย" เห็นผมเงียบน้องหมีเลยหันมาถามย้ำ

   "อืม เอาดิ"

   คนชวนยิ้มจนตาปิดตามสไตล์ก่อนเดินนำเข้าไปในร้าน

   ร้านอาหารส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมักจะเป็นแบบตู้กด ร้านนี้ก็เหมือนกัน คือให้เราเลือกเมนูที่อยากกินจากตู้ซึ่งจะมีรายการอาหารพร้อมราคา วิธีกดก็ง่ายๆ แค่ใส่เงิน จิ้มเมนู ได้คูปองมาแล้วเอายื่นให้พนักงานร้านเป็นอันเสร็จ แต่มันยากตรงที่ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นนี่แหละ

   ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะเมนูที่เราอยากกินมันมีรูปประกอบให้ดู

   ผลัดกันกดเมนูจากตู้ได้คูปองมาคนละใบก็เดินเอาไปให้พนักงาน ร้านนี้มีทั้งที่นั่งแบบโต๊ะกับหน้าเคาน์เตอร์ เราเลยเลือกนั่งกันที่เคาน์เตอร์ รอไม่นานข้าวหน้าเนื้อต้มกลิ่นหอมฉุยก็มาเสิร์ฟ

   "เค้าแยกไข่มาให้แฮะ" ผมพึมพำ แอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง นึกว่าจะต้องทนกินไข่ดิบซะแล้ว

   "ไข่ก็ไม่กินใช่มั้ย"

   ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ น้องหมียิ้มกริ่มเป็นการบอกให้รู้ว่าผมควรจะทำยังไงกับไข่ฟองนี้ดี แต่ถึงไม่บอกผมก็ต้องให้น้องมันอยู่แล้ว

   น้องหมีจัดการตอกไข่ราดลงบนข้าวทีเดียวสองฟอง ผมมองแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื้อก กินได้เหรอแบบนั้น ไม่รู้สึกคาวหรือไง

   "มองแบบนี้ อยากกินอ่ะดิ"

   "ดูสายตาด้วยว่ามองแบบไหน"

   น้องหมีมองหน้าผมแล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนจะลงมือกินข้าวหน้าเนื้อต้มที่มีไข่ดิบโปะหน้าถึงสองฟอง แม้ความร้อนของข้าวจะช่วยให้มันสุกจนไข่ขาวกลายเป็นสีขุ่นๆ ก็เถอะ แต่ถ้าให้ผมกินก็ไม่ไหวอยู่ดี

   "ทีเมื่อก่อนทำไมกินไข่ลวกได้อ่ะ" กินไปได้สักพักน้องหมีก็หันมาชวนคุย พาย้อนอดีตไปตอนที่เคยซื้อไข่ปิ้งหาบเร่กินด้วยกัน หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อตอนนั้นมีไข่ลวกด้วย เอามาเจาะเปลือกใส่น้ำซอสใส่พริกไทยคนๆ ให้เข้ากันแล้วก็กิน ซึ่งมันไม่เหมือนไข่ดิบที่ตอกราดข้าวแน่นอน

   "มันไม่เหมือนกัน อันนี้มันดิบ"

   "แต่ข้าวมันร้อนนะ มันก็คล้ายไข่ลวกอ่ะ"

   "ไม่เหมือน"

   "ลองกินดูดิ" บอกแล้วก็เลื่อนชามข้าวของตัวเองมาให้

   ขี้เกียจเถียงด้วยผมเลยใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อที่ชุ่มไปด้วยไข่สีเหลืองค้นๆ ขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าปาก สัมผัสแรกรับรู้ได้ถึงความนุ่มแต่สำหรับผมเรียกว่าแหยะจะเหมาะกว่า ไม่อยากจะรับรู้รสชาติอะไรมากเลยรีบเคี้ยวๆ กลืน ก่อนยกยิ้มให้คนมีน้ำใจที่พยายามแบ่งของกินให้

   อร่อยนะ อร่อยจริงๆ ดูหน้าดิ

   "ทำหน้าพะอืดพะอมขนาดนี้จะปฏิเสธก็ได้นะ ไม่ว่าหรอก" บอกยิ้มๆ หน้าตาชอบอกชอบใจก่อนดึงชามกลับไป 

   ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นเตะก้านคอน้องมันจริงๆ

   ผ่านไปไม่กี่นาทีข้าวหน้าเนื้อต้มสองที่ก็เกลี้ยงชาม อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลากลับไปนอนอืดที่โรงแรม ระหว่างทางเราแวะซื้อน้ำกับขนมอีกนิดหน่อยเผื่อหิวตอนดึก ก้าวเข้าห้องได้ไม่กี่นาทีต่อมาฝนก็ตก โชคดีแบบเฉียดฉิว

   นั่งพักพอให้หายเหนื่อยเราก็สลับกันอาบน้ำเหมือนทุกที ผมอาบก่อนส่วนน้องหมีนั่งจัดของ จัดการตัวเองจนสะอาดเรียบร้อยออกมาจากห้องน้ำอีกทีเพื่อนร่วมทริปของผมก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว หายไปไหนของเขา

   ผมหยิบมือถือเตรียมจะโทรหาประตูห้องก็เปิดออกเสียก่อน น้องหมียิ้มน้อยๆ เดินมานั่งบนเตียงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ถ้าเป็นตอนเด็กผมว่าไปแล้วนะ แต่ตอนนี้โตๆ กันแล้วไปไหนน่าจะบอกกล่าวกันสักหน่อย แถมมาต่างที่ต่างถิ่นแบบนี้ยิ่งต้องบอก

   "ไปไหนมา"

   "ลงไปขอยืมกรรไกรมา" ว่าแล้วก็โชว์ที่ลงไปยืมมาให้ดู

   "ไม่บอกกันก่อน"

   "ก็พี่อินอาบน้ำอยู่"

   "ตะโกนบอกกันก็ได้"

   "เป็นห่วงเหรอ" ถามแล้วยังมาเล่นหูเล่นตาใส่อีก ที่บอกนี่สำนึกบ้างไหม

   "ก็เป็นห่วงดิ จะไปไหนก็บอก อยู่กันแค่สองคนเนี่ย เกิดเป็นอะไรไปขึ้นมาทำไง"

   "เฮ้ยพี่อิน คิดมาก มานี่มา" น้องหมีดึงแขนผมให้ไปนั่งข้างกันก่อนเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบบางอย่างออกมา
 
   มันคือรูปสติ๊กเกอร์พุริคุระที่ไปถ่ายกันมาเมื่อตอนกลางวัน เห็นแล้วก็อนาถใจ

   "ที่ลงไปยืมกรรไกรคือจะเอามาตัดไอ้นี่อ่ะนะ"

   "ก็ใช่ดิ"

   เพราะที่ร้านผมรีบลากน้องหมีออกมาเลยยังไม่ได้ตัดรูปแบ่งกัน แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้เท่าไรหรอกไอ้รูปนี้น่ะ

   "แบร์เก็บไว้คนเดียวเลยก็ได้"

   "ไม่" ปฏิเสธหนักแน่นแล้วยัดรูปที่เพิ่งตัดเสร็จใส่มือผม

   จะดูกี่รอบรูปนี้ผมก็ว่ามันตลก ตลกทั้งคู่เลยไม่มีใครถ่ายออกมาแล้วดูดี โดยเฉพาะน้องหมี นี่มันหมีกระเทยควายชัดๆ ตาโต ปากแดง แต่ตัวสูงไหล่กว้าง เห็นแล้วไม่หลอนตัวเองบ้างหรือไง

   "ได้ของแล้วกลับไปนอนได้" ทำตามใจได้ก็ไล่กันเลย

   "แล้วกรรไกร"

   "เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยคืน" พูดจบก็กองทุกอย่างไว้บนโต๊ะทีวีแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ให้มันได้อย่างนี้สิ

   ด้วยความเป็นคนดีผมเลยอาสาเอากรรไกรไปคืนแทน กลับมาอีกทีน้องหมีก็ยังอาบน้ำไม่เสร็จผมเลยชิงนอนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพราะเราจะออกไปผจญภัยนอกเมืองกันอีกวัน แต่ออกไปไกลกว่าวันนี้หลายเท่า และน่าตื่นเต้นกว่าวันนี้อีกร้อยเท่า



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
«ตอบ #25 เมื่อ12-04-2017 20:12:00 »

น้องหมีคงฟินมาก ได้มากับพี่อิน น่าล้าคคคคค  :hao5:

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
«ตอบ #26 เมื่อ12-04-2017 20:54:53 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
«ตอบ #27 เมื่อ12-04-2017 21:26:14 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
«ตอบ #28 เมื่อ13-04-2017 01:11:03 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
«ตอบ #29 เมื่อ13-04-2017 21:18:40 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด