วันที่ 5
เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าห้องจะเละเทะคาสภาพเดินไว้ตั้งแต่เมื่อวานเสียอีก แต่ปรากฏว่าทุกอย่างผิดคาด พื้นห้องสะอาดเอี่ยม เศษซากของกินถูกเก็บใส่ถังขยะไว้อย่างเรียบร้อย ไม่นึกเลยว่าคนเมาจะมีอารมณ์มาเก็บของก่อนเข้านอนได้ อีกอย่างเช้านี้น้องหมียังดูสดใสเป็นปกติไม่มีอาการเมาค้างเลยสักนิด กลายเป็นผมเองที่ยังง่วงสะลึมสะลือเพราะเก็บเอาเกมที่เล่นกันไปฝันถึงทั้งคืน รายละเอียดเป็นยังไงผมก็จำไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าในความฝันนั้นมีน้องหมีกับเหตุการณ์วัยเด็กหลายๆ อย่างที่ผมจำไม่ได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน
เนื่องจากวันนี้เราต้องย้ายเมืองจากโตเกียวไปโอซาก้า ตื่นนอนทำธุระส่วนตัวเสร็จกันแต่เช้าก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมลากกระเป๋าไปยังสถานีรถไฟที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ขึ้นรถไฟไปลงสถานีชินากาว่าเพื่อต่อชินคันเซ็น รถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงที่กำลังจะได้นั่งเป็นครั้งแรก
ถึงจะบอกย้ายไปโอซาก้าแต่จริงๆ แล้วแผนการท่องเที่ยวของวันนี้อยู่ที่ชิซุโอะกะ หนึ่งในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องจุดชมวิวภูเขาไปฟูจิ แต่วันนี้ผมไม่ได้จะไปดูฟูจิ ในเมื่อเห็นมาเต็มตาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน มาเที่ยวฤดูใบไม้ผลิจุดสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือซากุระ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปดูซากุระกัน
ก่อนขึ้นชินคันเซ็นผมกับน้องหมีซื้อเบนโตะเอาไว้กินบนรถไฟเป็นอาหารเช้ากันละคนกล่อง เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งบนรถไฟในญี่ปุ่นที่ผมว่านักท่องเที่ยวควรลอง เพราะรถไฟที่นี่เขาไม่ห้ามเอาอาหารขึ้นมากินเหมือนบ้านเรา
ก่อนถึงเวลาที่ระบุในตั๋วเจ้ารถไฟหัวกระสุนก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลา ผมกับน้องตั้งกล้องกันทั้งคู่เพื่อจับภาพวินาทีที่รถไฟวิ่งผ่านเอาไว้ ผมเลือกถ่ายวิดีโอแทนการถ่ายรูป เมื่อรถไฟจอดสนิทก็กดหยุดแล้วหันไปหาน้องหมีที่ยืนอยู่ข้างหลัง
"ถ่ายทันมั้ย"
"ทัน" น้องหมีละสายตาจากกล้องที่ยังถือถ่ายเอาไว้อยู่ รอยยิ้มบางๆ แต้มบนริมฝีปากตลอดเวลาจนกระทั่งปิดกล้องเก็บใส่กระเป๋า วันนี้น้องมันดูอารมณ์ดีแฮะ
"ขึ้นรถกัน"
ที่นั่งบนชินคันเซ็นฝั่งหนึ่งจะเป็นสามที่นั่ง ส่วนอีกฝั่งเป็นสองที่นั่ง ผมกับน้องหมีได้ที่นั่งคู่เพราะจองเอาไว้ตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงโตเกียว หาที่นั่งเจอเก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลาหม่ำมื้อเช้า เปิดถาดวางของด้านหน้าหยิบกล่องข้าว น้ำและขนมขึ้นมาวาง จากนั้นก็ได้เวลาจัดการ
ข้าวกล่องของผมเป็นข้าวหมูทอดทงคัตสึ ส่วนของน้องหมีเป็นข้าวกล่องที่อัดหลายๆ อย่างไว้รวมกัน ทั้งเนื้อวัวตุ๋น ปลาแซลม่อนย่าง ไข่หวาน ผักต้ม แถมด้วยแซนวิสทงคัตสึอีกกล่องเพราะน้องมันกลัวไม่อิ่ม กลายเป็นมื้อข้าวกล่องที่แพงกว่านั่งกินตามร้านเสียอีก
"อ่ะ ให้ไข่หวาน" น้องหมีคีบไข่หวานที่มีแค่ชิ้นเดียวมาวางบนข้าวผม รู้อีกว่าผมชอบไข่หวาน แต่แบบนี้มันจะดีเหรอ
"มีชิ้นเดียวจะแบ่งทำไม"
"ก็อยากให้กิน ดูที่ซื้อมาดิมีแค่หมูกับข้าว" ว่าแล้วก็ใช้ตะเกียบชี้กล่องข้าวผม ก็คนมันอยากกินแค่นี้นี่หว่า
"งั้นเอานี่ไป" ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยเท่าเทียมเท่าไร ผมคีบบ๊วยของไม่โปรดที่มีในกล่องผมแต่ไม่มีในกล่องน้องมันไปให้ สำหรับน้องหมีผู้ที่กินได้ทุกอย่าง
กินข้าวเสร็จก็จัดขนมต่อ ผมแกะห่อเยลลี่ผลไม้โคโรโระหยิบใส่ปากเคี้ยวๆ กลืน อร่อยฟินต้องบอกต่อ ก่อนยื่นไปให้น้องหมีที่กำลังเพลิดเพลินกับแซนวิสทงคัตสึ
"อันนี้อร่อย"
"อันนี้ก็อร่อย"
และแล้วก็เกิดการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมขึ้นอีกหนึ่งรอบ ยืนขนมเยลลี่ไปให้จากนั้นได้แซนวิสไส้หมูทอดชิ้นหนากลับมา ผมให้น้องมันทั้งถุงยังไม่ได้ครึ่งราคาของแซนวิสชิ้นนี้เลยมั้ง
หนังท้องตึงหน้าตาก็เริ่มหย่อน กินเสร็จแล้วก็ได้เวลานอน เจอกันอีกทีตอนถึงชิซุโอะกะ
ใช้เวลาห้าสิบห้านาทีชินคันเซ็นก็พาเรามาถึงสถานีชิซุโอะกะ ผมกับน้องหมีช่วยกันยกกระเป๋าลงจากชั้นวางลากออกจากรถไฟเดินเตาะแตะงัวเงียเพื่อไปต่อรถไฟอีกสาย และมันช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้ก็ไม่รู้ ลงจากชานชาลาปุ๊บเจอทางเชื่อมไปอีกชานชาลาปั๊บ แต่เรายังไปไม่ได้ ต้องไปหาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าก่อน
ด้วยความเด๋อด๋าเหมือนเด็กเพิ่งออกมาเผชิญโลกภายนอกกว่าจะหาคอยล็อคเกอร์ผมก็พาน้องหมีเดินวนในสถานีชิซุโอะกะไปหนึ่งรอบ เสียเงินไปห้าร้อยเยนแลกกับความสบายตัวพร้อมเดินกลับไปขึ้นรถไฟ แต่เดินมายังไม่ถึงสิบก้าวความหลงลืมก็ทำพิษ
"พี่อิน แบร์ลืมเอากล้องออกมา"
"เอ้า!"
"กลับไปเอาได้มั้ย"
"ได้ แต่ต้องเสียอีกห้าร้อยนะ"
พอบอกว่าต้องเสียเงินอีกรอบน้องหมีก็ทำหน้ายู่ทันที จะไปดูซากุระแต่ดันลืมกล้องซะงั้น
"จะกลับไปเอามั้ย"
"เอาดิ"
สุดท้ายก็ต้องเสียเงินอีกห้าร้อยเยนเพื่อเอากล้องออกจากล็อคเกอร์ แวะเข้าห้องน้ำอีกสักหน่อย ออกมาจากห้องน้ำเจอร้านขายขนมก็อดไม่ได้ต้องแวะอีก
"เราต้องไปขึ้นรถไฟกี่โมงนะ" น้องหมีถามตอนกำลังเลือกซื้อขนม เพราะเราต้องขึ้นรถไฟตามเวลาที่กำหนดไว้ในแผนเพื่อไปให้ทันรถไฟจักรไอน้ำที่จองเอาไว้ แต่ผมเผื่อเวลาที่นี่เอาไว้เยอะ เกือบสี่สิบนาทีได้
"ไม่รีบ ตามสบายเลย" ตอบคำถามแล้วผมก็เดินแยกไปดูขนมอีกฝั่ง
ซื้อขนมจนพอใจ เดินย้ำต๊อกขึ้นบันไดมาถึงชานชาลาด้วยความอืดอาดรถไฟขบวนหนึ่งก็แล่นผ่านหน้าไปพอดี ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูรู้สึกตงิดนิดๆ ตอนนี้เวลาเก้าโมงสี่สิบสามนาที ซึ่งเวลานี้มันก็ดูใกล้เคียงกับขบวนรถที่ต้องขึ้น แต่ไม่ใช่หรอกมั้ง เผื่อเวลาไว้เยอะแล้วขบวนที่เราจะขึ้นไม่น่าใช่ขบวนนั้น
"เราต้องขึ้นรถไฟกี่โมงนะ"
"แป๊บนะ"
น้องหมีค้นกระเป๋าเป้อยู่พักนึงก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มแหย
"แบร์ทำแผนเที่ยวหายว่ะ"
"เอ้า!"
ซวยแล้วไหมล่ะคราวนี้ แผนเที่ยวเรามีกันคนละเล่มก็จริง แต่วันนี้ตกลงกันว่าจะใช้เล่มของน้องหมีที่สภาพยับเยินใกล้ขาด ผมเลยเก็บของผมไว้ในกระเป๋าเดินทางซึ่งตอนนี้มันอยู่ในล็อคเกอร์ และถ้าไม่มีแผนเที่ยวให้ดูการเดินทางวันนี้อาจจะล่มก็ได้ เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้น
"แบร์โหลดเก็บไว้ในไอแพดอยู่ ขอเปิดดูแป๊บ"
ผมยกนาฬิกาขึ้นดูอีกรอบระหว่างรอน้องหมีปัดๆ เลื่อนๆ ไอแพดหาไฟล์ อยู่ๆ ก็รู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา
"พี่อิน" น้องหมีเรียกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
และเราก็เผชิญกับข่าวร้ายที่สุดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางกันมา
"เราต้องขึ้นรถไฟตอนเก้าโมงสี่สิบสอง"
งั้นก็หมายความว่า
"เราตกรถไฟ"
ใจผมวูบตกไปอยู่ตาตุ่มรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันที หันซ้ายแลขวากระวนกระวายพยายามหาทางออก รอบรถไฟจักรไอน้ำที่จองไว้ถ้าไม่ได้ไปรถไฟขบวนนั้นยังไงก็ไปไม่ทัน แล้วถ้าไปไม่ทันที่นั่งที่จองไว้ก็จะเสียเปล่า ถึงรอไปรอบต่อไปก็ไม่รู้จะมีที่นั่งว่างให้ซื้อมั้ย เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แนะนำให้จองก่อน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลที่นักท่องเที่ยวเยอะแบบนี้ด้วย
"เอาไงดี ไปแท็กซี่กันมั้ย"
"พี่อินใจเย็นๆ ก่อน"
"เย็นไม่ได้แล้วเว้ยแบร์ ถ้าไปไม่ทันทำไงอ่ะ ที่นี่อินอยากไปที่สุดในทริปเลยนะ"
"เรารอรถไฟรอบต่อไปก็ได้"
"ไปไม่ทันแน่ๆ แล้วถ้ารถรอบต่อไปมันเต็มล่ะ เราจะไปกันยังไง"
"พี่อิน"
"ไปแท็กซี่ เผื่อจะทัน"
"พี่อิน"
น้องหมีคว้าแขนผมไว้ก่อนจะได้วิ่งลงบันไดเพื่อไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าสถานี สายตานิ่งๆ ที่มองมาทำให้ผมหยุดต้องท่าทางกระวนกระวายอยู่ไม่สุข น้องมันก็ดูเครียดแต่กลับเครียดอย่างมีสติ ไม่กระโตกกระตากโวยวายแถมยังบอกให้ผมใจเย็น
"ไปแท็กซี่ก็ไม่ทันหรอก ไม่งั้นจะมีรถไฟไว้ทำไม" คนที่รู้เรื่องญี่ปุ่นน้อยกว่าแต่กลับคิดได้ก่อนผมที่รั้นจะหาทางไปให้ได้เร็วๆ
ที่นี่คนนิยมใช้รถไฟมากกว่ารถส่วนตัวเพราะมันสะดวกและเข้าถึงแทบทุกที่ จากสถานีนี้นั่งรถไฟประมาณสามสิบนาทีและผมไม่รู้เลยว่าถ้าเรานั่งแท็กซี่ไปจะใช้เวลาเท่าไร แถมค่าแท็กซี่ยังแพงมากถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง
"แต่ยังไงเราก็ไปไม่ทันรถไฟที่จองไว้แน่ๆ" ผมมองรถไฟขบวนถัดมาที่จอดเทียบชานชาลาอย่างหมดความหวัง
"แล้วพี่อินไม่อยากไปแล้วเหรอ"
"อยากไปดิ"
"งั้นก็ไปกัน" น้องหมียกยิ้มเหมือนต้องการปลอบประโลมใจผมที่กำลังแตกสลาย ฝ่ามือใหญ่ๆ คว้ามือผมไว้พาเดินขึ้นรถไฟทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อ
นานมากแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้มากขนาดนี้ ครั้งล่าสุดคงเป็นตอนที่ไปคอนเสิร์ตจบการศึกษาของไอดอลที่ชอบล่ะมั้ง ตอนนั้นร้องเพราะเสียใจ ใจหายที่จะไม่ได้เห็นคนคนนั้นในแบบที่เราอยากให้เป็นอีก แต่ความรู้สึกตอนนี้มันวุ่นวายไปหมด จุกในอก รู้สึกตื้อๆ ใจโหวงๆ ยังคงกระวนกระวายแต่ผมพยายามเก็บอาการเอาไว้ เพราะตั้งความหวังไว้เยอะ เพราะตั้งใจที่จะไปมาก พอพลาดก็เหมือนทุกอย่างที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย และผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันยังไง
รถไฟวิ่งไปตามเส้นทางของมัน ผ่านบ้านเรือน ผ่านต้นไม้ ผ่านภูเขา วิ่งขึ้นสะพาน ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างไม่เร่งรีบ ต่างกับใจผมที่อยากจะวิ่งแซงไปเร็วๆ แต่ทำไม่ได้เพราะไม่รู้เส้นทาง ไม่รู้อะไรเลย
"เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว" หน้าตาผมคงคร่ำเครียดมากจนคนข้างๆ ต้องยื่นมือมาช่วยนวดระหว่างคิ้วให้
"ถ้าไม่ได้ไปแล้วเราจะไปไหนกันดี"
"ได้ไปดิ"
"แล้วถ้าไม่ได้ไป"
"ไปดูหน้างานกันก่อนแล้วค่อยคิด โอเคมั้ย"
ผมถอนหายใจดังเฮือกเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ น้องหมียกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่พยายามทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากกว่า
เอาเถอะ ไปดูหน้างานก่อนก็ได้ ระหว่างนี้ก็ตัดใจไปพลางๆ
แต่บางที ทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
อีกครึ่งชั่วโมงต่อพวกเราก็มาถึงสถานีคานายะเพื่อเปลี่ยนรถไฟ แน่นอนว่ารถไฟที่จองไว้ก่อนหน้านี้มันออกไปได้สักพักแล้ว แต่รอบต่อไปยังเหลือที่ว่างให้เราซื้ออยู่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนได้ตั๋วมาอยู่ในมือ ยิ้มด้วยความสบายใจได้อย่างเต็มที่ น้องหมีเองก็เหมือนกัน
"ไปเดินเที่ยวแถวๆ นี้กันมั้ย" ผมชวน เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายนาทีกว่ารถไฟจะออก
"เดี๋ยวก็ตกรถไฟอีกหรอก" พูดแล้วก็ขำ นี่ถ้าไม่ได้ตั๋วมาอยู่ในมือแล้วผมจะไม่ขำด้วยนะ และถ้าตกรถรอบนี้อีกก็กลับกันเลยเถอะ
"ไม่มีทาง"
ที่ชิซุโอกะขึ้นชื่อเรื่องชาเขียว เพราะฉะนั้นแถวนี้เลยมีไร่ชาเต็มไปหมด เราออกมาจากสถานีรถไฟ เดินผ่านบ้านเรือนขึ้นเนินเขามาเรื่อยๆ ผ่านทางที่มีต้นไม้รกครึ้มทั้งสองข้างทาง จนเจอวิวไร่ชาสวยๆ ผมเลยชวนน้องหมีนั่งพักใต้ต้นไม้แถวนั้น
"รู้สึกดีขึ้นมั้ย"
"ดีขึ้นเยอะเลย" ถ้าเทียบกับตอนอยู่บนรถไฟตอนนี้ผมใจเย็นลงมากแล้ว จะว่ากลับสู่สภาวะปกติแล้วก็ได้
ผมเอนตัวพิงกับต้นไม้หลับตาลงรับสัมผัสจากสายลมเย็นที่พัดผ่านมา เรื่องตอนตกรถไฟถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นความผิดผมล้วนๆ ชะล่าใจ ไว้ใจตัวเองเกินไป สุดท้ายเกือบล่มไม่เป็นท่า ยังดีที่น้องหมีคุมสติอยู่ไม่ลนลานแบบผม กลายเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์วันนี้ไปเลย
"ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจไปขึ้นแท็กซี่จะเป็นยังไง" มันก็น่าคิดถ้าเราเลือกวิ่งไปขึ้นแท็กซี่หน้สถานีแทนที่จะรอรถไฟรอบต่อไป
"ก็เสียเงินเพิ่ม"
"คิดว่าจะไปทันเวลามั้ย"
"คงไม่"
"รู้ได้ไง"
"จะลองกลับไปมั้ยล่ะ ลองดูว่าจะใช้เวลากี่นาที"
"อย่ามากวน" ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างน้องมัน ว่าจะชงเข้าเรื่องซึ้งๆ อย่ามาทำให้หมดอารมณ์ได้มั้ย
น้องหมียกมือลูบสีข้างทำทีเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา พอเล่นละครแล้วผมไม่สนใจก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายผมแทน
ปกติจะไม่เขินหรอกเพราะโดนแอบถ่ายแบบไม่ค่อยจะรู้ตัว แต่แบบนี้มันใกล้เกินไป เลนส์กล้องจะจิ้มหน้าอยู่แล้ว
ผมยกมือขึ้นเปิดหน้ากล้องพลางกดเบาๆ ให้น้องหมีลดกล้องลง
"ทำไมพี่อินไม่ชอบถ่ายรูปอ่ะ"
"ไม่ค่อยชอบเก๊กท่า เวลาโดนมองแล้วมันเขิน" จะบอกว่าผมไม่ชอบถ่ายรูปเลยก็ไม่ถูกซะเดียว เซลฟี ถ่ายเล่นกับกลุ่มเพื่อนก็บ่อยอยู่ แต่ผมไม่ชอบเวลาต้องยืนเก๊กท่าคนเดียวแล้วให้คนอื่นถ่าย มันเขินเวลาโดนมอง
"ไม่ชอบให้คนอื่นมองผ่านเลนส์"
"งั้นมั้ง"
"งี้แบร์ก็พิเศษอ่ะดิ ได้มองมาตั้งหลายวัน"
"แอบมองไม่นับ"
น้องหมียู่หน้าเหมือนโดนขัดใจก่อนจะยกกล้องขึ้นส่องผมอีกรอบ เพราะขี้เกียจจะห้ามเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ผมไม่เขินแล้วกับตากล้องคนนี้
"มีอะไรอยากจะพูดมั้ย"
"พูดอะไร"
"อะไรก็ได้"
"ถ่ายวิดีโอเหรอ" ผมชะเง้อไปมอง คนถ่ายก็เอนตัวหนี
เดี๋ยวมีการอัพเกรดจากภาพนิ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว
"พูดอะไรหน่อย"
ผมหันไปยิ้มให้กล้องหนึ่งทีแล้วหันหน้าหนีให้น้องมันถ่ายด้านข้างไป วันนี้มีเรื่องที่จะบอกน้องหมีอยู่แล้ว ถ่ายวิดีเก็บไว้ก็ได้ เปิดดูบ่อยๆ ก็ดี จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้และผมรู้สึกขอบคุณแค่ไหน
"วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวอิเอะยาม่ากัน มันอยู่ไกลมากกกกกต้องนั่งรถไฟตั้งหลายต่อ แต่ดันเอ้อระเหยจนตกรถไฟซะงั้น กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก โชคดีได้คนหน้าตาดีแถวนี้ช่วยเตือนสติไว้ ไม่งั้นได้เสียค่าแท็กซี่หัวบานแน่ๆ"
"คนหน้าตาดีชื่ออะไรนะ"
ผมหันไปมองเห็นน้องหมีหัวเราะร่า มีการมาต่อมุกชงให้ตัวเองได้อีก
"ชื่ออิน"
ได้ฟังคำตอบถึงกับละสายตาออกจากกล้องโผล่หน้ามามองผม แค่สวมรอยนิดหน่อยมาทำหน้าเคืองใส่ ล้อเล่นหรอกน่า
"แบร์ ขอบคุณนะที่ช่วยเตือนสติ" ผมไม่ได้มองกล้อง แต่มองคนที่กำลังอมยิ้มจนตาเกือบหยี
โชคดีจริงๆ นั่นแหละที่ทริปนี้มีน้องหมีมาด้วย กลับไทยเมื่อไรผมจะไปขอบคุณแม่ที่เอาเรื่องนี้ไปเม้าท์ให้ป้าวาดฟัง
จากสถานีคานายะต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นไปลงสถานีชินคานายะแล้วต่อรถไฟจักรไอน้ำอีกทีกว่าจะถึงที่หมาย เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนนั่งรถไฟหลายต่อจนเกือบรู้สึกท้อทีเดียว แต่พอได้ยลโฉมรถจักรไอน้ำที่กำลังพ่นควันสีเทาออกมาความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายแหล่ก็ถูกโยนทิ้งกลายเป็นความตื่นเต้นเข้ามาแทน
ผมเรียกน้องหมีมาถ่ายรูปคู่เก็บไว้ ก่อนจะเดินแยกไปเก็บภาพรถจักรไอน้ำกันคนละมุม ผมถ่ายไว้แค่สองสามรูปเหมือนอย่างเคยก่อนออกมายืนมองมันห่างๆ รอน้องหมีที่แพลนกล้องไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ ก่อนเจ้าตัวจะแพลนกล้องมาที่ผม
จะแอบถ่ายกันอีกแล้วหรือไง
"เจอกล้องแล้วหันหน้าหนีทุกที" น้องหมีส่ายหน้ายิ้มตอนเดินเข้ามาหา
แอบถ่ายเขาแล้วมีสิทธิมาบ่อยด้วยหรือไง
ใกล้ถึงเวลานักท่องเที่ยวก็ทยอยกันขึ้นรถไฟ โบกี้ของเราอยู่เกือบท้ายขบวน ที่นั่งเป็นแบบหันหน้าเข้าหากัน ได้เพื่อนร่วมทริปเป็นคุณป้ากับลูกชายวัยประถม แต่โชคร้ายที่เราต้องนั่งหันหลังสวนกับทางที่รถไฟวิ่งไป
เส้นทางของรถไฟสายนี้จะลัดเลาะไปตามแม่น้ำโออิกาวะ ผ่านภูเขา บ้านเรือนและไร่ชา มีเสียงบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างตลอดทาง
"พี่อินๆ ดูนี่ๆ" น้องหมีเรียกเสียงตื่นเมื่อข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่านมีซากุระบานเรียงรายเป็นแนวยาว
ผมรีบหยิบกล้องมือถือขึ้นมาถ่าย แต่มันเบลอบ้าง ติดสายไปบ้าง ติดหน้าต่างรถไฟบ้าง ใช้ไม่ได้สักรูป จนรถไฟจอดที่สถานนีอิเอะยาม่าถึงได้รู้ว่าถึงที่หมายแล้ว และซากุระริมทางรถไฟที่ผ่านมาเมื่อกี้นี้ก็คือที่นี่ผมตั้งใจอยากจะมา
ลงรถไฟได้ผมกับน้องหมีก็เดินตามคนส่วนใหญ่ไป เขาไปไหนเราไปด้วย จนมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่สองข้างทางมีต้นซากุระปลูกเรียงรายอยู่ เป็นจุดที่ผมเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งในรีวิวซึ่งมันสวยมาก แต่วันนี้ ในวันนี้ที่ผมได้มาเห็นกับตา ดอกซากุระมันกลับยังไม่บาน
"ทริปนี้จะได้เห็นซากระบานสวยๆ กับเขาบ้างมั้ยเนี่ย" ผมบ่นอย่างอดไม่ได้ เป็นทริปที่โชคร้ายที่สุดตั้งแต่ที่เคยมา เป้าหมายหลักที่ตั้งใจไว้ไม่สมหวังสักอย่าง
"แต่ที่เรานั่งรถผ่านมากันเมื่อกี้มันก็บานนะ"
"บานนิดเดียวเอง"
"เอาน่า อยากมาไม่ใช่เหรอ"
"แต่มันไม่เหมือนอย่างที่คิดไง"
เจอโหมดงอแงเข้าไปน้องหมีคงเพลียกับผมแน่ๆ ตอนตกรถไฟก็โวยวาย มาถึงไม่เจอซากุระบานอย่างที่ตั้งใจไว้ก็โวยวายอีก
"ก็ยังดีกว่าไม่ได้มาล่ะน่า ไปเร็ว"
ผมเดินตามน้องหมีลงจากสะพาน เดินเลียบไปตามริมแม่น้ำที่มีคนมานั่งปิกนิคอยู่ประปราย ถึงซากุระจะยังไม่บานแต่อากาศเย็นสบายกับธรรมชาติรอบตัวก็พอจะกลับช่วยดึงอารมณ์ขุ่นมัวของผมให้กลับมาเป็นปกติได้
"ปีนี้ยังไม่บาน หวังว่าปีหน้าคงจะบานนะ" มองดอกตูมๆ ที่ติดอยู่กับกิ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง
ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะมาที่นี่อีกสักครั้ง มาค้างแถวนี้เลยก็ได้ มาทุกวัน มาจนกว่าจะเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งรอบแม่น้ำสายนี้
จากสะพานเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็เจอกับจุดชมซากุระเลียบทางรถไฟ จริงๆ มันเลียบไปกับถนนด้วย มีร้านขายของกินเปิดสองฝั่งข้างทาง ซากุระตรงจุดนี้มันบานแบบกั๊กๆ ไม่ได้บานสะพรั่งแบบที่อยากเจอ มันสวยแต่ก็สวยไม่สุด
ผมกับน้องหมีเดินเทอดน่องไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปตามถนน สุดทางแล้วก็เดินกลับ แวะกินโซบะข้างทางประทังความหิวก่อนไปนั่งทิ้งอารมณ์ใต้ต้นซากุระริมแม่น้ำที่เดินผ่านตอนขามา
"ปีหน้าพี่อินจะมาอีกเหรอ"
ผมหันไปมองน้องหมีที่ถามขึ้นอย่างกับรู้ใจผมงั้นแหละ ก็ไอ้ที่พร่ำเพ้อไปก่อนหน้านี้ผมพูดคนเดียว คุยกับดอกซากุระตูมๆ เป็นการให้คำมั่นสัญญากัน
"แบร์หมายถึงที่นี่น่ะ"
"ถ้ามีโอกาสก็อยากมา ทำไม จะมาด้วยเหรอ"
"อืม อยากมา"
"ชอบซากุระแล้วอ่ะดิ"
"แค่อยากมากับพี่อิน" น้องหมียิ้มบางๆ ตอนพูดมันออกมา
ได้ฟังประโยคแบบนี้ทีไรใจผมมันก็พองโตรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันน่าชื่นใจนะที่มีคนเห็นว่าเราสำคัญ อยากอยู่ด้วยหรืออยากไปไหนมาไหนด้วยกัน ยิ่งกับน้องหมีที่ตอนเด็กแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา ผ่านไปหลายปีสิ่งที่ผมคิดว่าจะเปลี่ยนไปหลายอย่างกลับยังเหมือนเดิม และมีบางอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองก็ยังไม่มั่นใจ
"เออพี่อิน รู้ใช่ป่ะว่าทำไมแบร์ถึงเรียบจบช้า" แล้วประเด็นใหม่กับเรื่องในอดีตก็ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยเจ้าตัวเอง
"ติดเพื่อนไม่ใช่เหรอ"
"เปล่า จริงๆ แล้วติดแฟน"
"จริงดิ" ผมเลิกคิ้วมอง ที่ผ่านมาเข้าใจว่าน้องหมีติดเพื่อนมาโดยตลอด เพราะแม่น้องมันบอกมาแบบนั้น เป็นความร้ายกาจของน้องหมีที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กนิสัยน่ารักอย่างน้องมันจะทำตัวแบบนี้ได้
"จริง"
"แล้วแม่ไม่รู้เหรอว่าเป็นแฟน หรือโกหก"
"ไม่ได้โกหกหรอก แม่ดูไม่ออกเอง"
"แยกเพื่อนกับแฟนของลูกไม่ออกเนี่ยนะ"
"จะไปรู้เหรอ" พูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเปิดเป้หยิบขนมออกมากิน เป็นท่าทีเฉยเมยที่บอกให้รู้ว่าหัวข้อนี้ได้จบลงแล้ว
ผมได้แต่ส่ายหน้า คนเราทุกคนย่อมมีความดื้อดึงอยู่ในตัว น้องหมีเองก็แสดงมันออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่มุมที่ผมเห็นจะเป็นด้านดีกับนิสัยที่ผมมองว่าน้องมันน่ารักมากกว่า ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งสารภาพมาผมไม่ขอออกความคิดเห็นแล้วกัน แต่สงสัยเรื่องที่ป้าวาดไม่รู้ว่าน้องมันมีแฟนจนคิดว่าติดเพื่อนนี่แหละ สองปีเชียวนะเวลาที่เสียไป คิดแล้วก็อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจริงๆ คนที่ทำให้น้องหมีผู้น่ารักของผมเสียผู้เสียคนได้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
เอื่อยเฉื่อยอยู่ริมแม่น้ำจนใกล้เวลารถไฟขากลับเราก็เดินกลับไปที่สถานี รอบนี้ไม่มีพลาดไม่มีทางตกรถไฟ แถมยังมีเวลาเหลือให้แวะกินไอติมกูลิโกะอีก เป็นคอลเลคชั่นที่อยู่ในตู้กดไม่เหมือนกับที่ขายในประเทศไทย กินเสร็จขึ้นรถไฟจักรไอน้ำกลับไปสถานีคานายะ มุ่งหน้าสู่สถานีชิซุโอะกะ และนั่งชินคันเซ็นต่อไปยังโอซาก้าจุดหมายของค่ำคืนนี้
TBC.
ย้ายเมืองกัแล้วววววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า