❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]  (อ่าน 47754 ครั้ง)

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #30 เมื่อ17-04-2017 19:44:30 »

วันที่ 4


   วันที่สี่ในญี่ปุ่นกับการไปเที่ยวสวนสนุก ถ้าพูดถึงสวนสนุกในโตเกียวทุกคนคงต้องนึกถึงโตเกียวดิสนีย์แลนด์หรือโตเกียวดิสนีย์ซี ซึ่งสองที่ที่ว่ามานี้ผมไปทัวร์มาหมดแล้ว ไปมาที่ละสองสามครั้ง ไม่ใช่เพราะพิศวาสชอบอะไรนักหนา แต่ที่ไปเพราะไอดอลชอบไป เผื่อแต้มบุญมีผมจะได้มีวาสนาได้เจอน้องๆ ที่สวนสนุกบ้าง แล้วถามว่าเคยได้เจอบ้างมั้ย ตอบได้แบบเต็มปากเต็มคำเลยว่าไม่

   โตเกียวดิสนีย์แลนด์ทั้งที่มีชื่อว่าโตเกียวแต่ความจริงแล้วอยู่จังหวัดชิบะ จากโรงแรมที่ผมพักไปดิสนีย์แลนด์ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่วันนี้เราไม่ไป ผมเบื่อแล้วล่ะที่แบบนั้น มันยังมีสวนสนุกอีกที่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แถมน้องๆ ไอดอลก็ชอบไปถ่ายรายการ ทั้งน่าสนใจ น่าตื่นเต้น ระทึก แถมใกล้ชิดธรรมชาติ จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาฟูจิคิวไฮแลนด์ วันนี้เราจะไปพิชิตสถิติโลกกัน

   จากโรงแรมต้องนั่งรถไฟไปลงสถานีชินจุกุแล้วนั่งรถบัสต่อ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสี่สิบนาทีก็ถึงฟูจิคิว สวนสนุกที่ตั้งอยู่ในจังหวัดยามานาชิและอยู่ใกล้กับฐานภูเขาไฟฟูจิ เท่ากับยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งเล่นสนุกและชมวิวภูเขาไฟสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นได้ในวันเดียวกัน

   ด้วยระยะทางที่ไกลมากทำให้วันนี้ต้องตื่นกันแต่เช้า เราเลยซื้อของจากซุปเปอร์เอาไว้กินระว่างทาง ขึ้นรถบัสได้ผมกับน้องหมีก็จัดการหม่ำอาหารเช้าแล้วพากันหลับทั้งคู่ ตื่นอีกทีซ้ายมือก็เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิจนต้องรีบหยิบกล้องขึ้นมากดถ่าย ใกล้ฟูจิแล้วแบบนี้อีกไม่กี่นาทีก็ถึง

   แปดโมงห้าสิบห้านาทีตามเวลาที่ระบุในตั๋วพวกเราก็มาถึงสวนสนุกฟูจิคิว แม้เป็นวันธรรมดาคนก็ยังเยอะโดยเฉพาะพวกวัยรุ่น เข้ามาข้างในได้ผมเลยคว้าแขนน้องหมีวิ่งไปต่อคิวเครื่องเล่นแรกทันที นี่ขนาดรีบวิ่งมานะยังรอตั้งยี่สิบนาที สวนสนุกญี่ปุ่นไม่ว่าจะวันไหนเวลาใดคนก็เยอะเสมอ วันนี้ผมเลยวางแผนมาเป็นอย่างดีว่าจะเล่นอะไรบ้าง เก็บเครื่องเล่นแนะนำให้หมด โดยเริ่มจากทาคาบิชะ รถไฟเหาะตีลังกาที่ถูกบันทึกในกินเนสส์บุ๊ค์วันชันที่สุดในโลก

   "ปวดขี้" ระหว่างยืนเข้าแถวอยู่ๆ น้องหมีก็พูดลอยๆ ขึ้นมา

   ผมพอจะเข้าใจอาการแบบนี้นะ เวลาที่ได้ทำอะไรเป็นครั้งแรกจะตื่นเต้น พอตื่นเต้นมากๆ ก็จะปวดท้อง แต่ผมว่าอาการน้องหมีไม่น่าจะใช่คนที่ตื่นเต้นธรรมดา ก็หน้าซีดซะขนาดนี้

   "อย่าบอกนะว่ากลัว"

   "ใช่ กลัว" ถามแล้วก็ยอมรับกันง่ายๆ แบบนี้เลย

   "แล้วทำไมไม่บอก"

   งานนี้โทษผมไม่ได้หรอกนะเพราะก่อนจะมาเราปรึกษากันแล้ว น้องหมีเองก็รู้ว่าที่ฟูจิคิวเป็นยังไง เครื่องเล่นโหดมหาโหดแค่ไหน ตอนผมถามว่าไปกันมั้ยคำตอบที่ได้ก็คือ 'เอาดิ' ฉะนั้นก็ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ

   "ต้องเล่นนะเสียเงินแล้ว" ค่าเครื่องเล่นตั้งหลายพันผมไม่ยอมแน่ๆ ล่ะ หรือจะพูดอีกอย่างคือผมไม่ยอมเล่นคนเดียวแน่ๆ

   "รู้"

   "มันไม่มีอะไรหรอก"

   ระหว่างรอผมพยายามเบี่ยงประเด็นความสนใจหาเรื่องอื่นมาคุยจนน้องหมีดูอาการดีขึ้น แต่มันก็เท่านั้นเพราะไม่กี่นาทีต่อคิวก็รันมาถึงเราสองคนพอดี งานนี้บอกได้คำเดียวว่าทำใจซะไอ้น้อง

   ตัวรถไฟของทาคาบิชะมีทั้งหมดสองแถว แถวละสี่ที่นั่ง เก็บของในล็อคเกอร์เสร็จก็เข้าประจำที่ ผมนั่งริมน้องหมีนั่งกลางเพราะน้องมันคิดว่าที่นั่งตรงกลางจะหวาดเสียวน้อยกว่า

   พนักงานเช็คความเรียบร้อยเสร็จรถไฟก็เริ่มเคลื่อนที่ และด้วยความมุ้งมิ้งตามสไตล์ประเทศที่เต็มไปด้วยความน่ารักก่อนออกไปเผชิญความโหดร้ายจึงมีการโบกมือบ๊ายบายยิ้มหวานส่ง จนเมื่อรถไฟเคลื่อนตัวเข้าอุโมงค์มืดๆ รอยยิ้มก็ได้หายไป

   "ว้ากกกกกกกก!!!"

   ทั้งน้องหมี ทั้งคนที่นั่งข้างหลังกรีดร้องเหมือนคนเสียสติ ผมเองก็ด้วย มือกำที่จับไว้แน่น มันน่ากลัวตรงที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางความมืดในอุโมงค์นี้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือร้องระบายความอัดอั้นตันใจขณะที่กำลังโดนเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที

   โดนเล่นงานในความมืดจนมึนในที่สุดก็ได้ออกสู่แสงสว่าง ตามด้วยการตีลังกาอีกหลายตลบจนแทบจะหมดเสียงร้องรถไฟจึงเริ่มชะลอความเร็วลงเพื่อเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ของเครื่องเล่นนี้

   รางรูปตัวอาร์กับความชัน 121 องศา

   "พี่อิน!! แบร์จะตายม้ายยยย!!!"

   น้องหมีตะโกนออกมาขณะรถไฟเคลื่อนตัวขึ้นเป็นแนวดิ่งตั้งฉากกับพื้นโลกจนผมเกือบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ เลยต้องรีบหาทางเบี่ยงเบนความสนใจ

   "แบร์ไม่ตายหรอกกกกก ดูวิวดิ สวยมากเลย" ผมชี้ไปที่วิวธรรมชาติรอบๆ สวนสนุก ถ้าหากยังมีสติพอที่จะชื่นชมได้ผมว่ามันเป็นวิวที่สุดยอดมาก ชมวิวมุมสูงจากรถไฟเหาะไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ แต่มุกนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับน้องหมี

   "ไม่ดู๊!!!!"

   อาการหนักขนาดนี้ผมเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วเหมือนกัน

   ตัวรถไฟถูกดึงขึ้นมาถึงความสูง 43 เมตรในเวลาอันสั้นก่อนชะลอความเร็วลงคล้ายกับให้เราได้พักหายใจ แต่ยังไม่ทันสูดลมหายใจเท่าเต็มปอดมันก็กระตุกไปด้านหน้า รู้ตัวอีกทีก็มองเห็นพื้นด้านล่างเสียแล้ว

   ใจผมเต้นรัวเมื่อเจ้าทาคาบิชะแล่นไปตามความโค้งของรางที่เขาโฆษณากันว่ามีความชันถึง 121 องศา มันค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ ให้ผู้เล่นได้รับรู้ถึงความหวาดเสียงจากขั้วหัวใจคละเคล้าไปกับธรรมชาติงามๆ โดยรอบสวนสนุก แต่เวลาแบบนี้ใครจะไปมีเวลาคิดถึงธรรมชาติกันเล่า

   "ว้ากกกกกกกก!!"

   "วู้วววววววววว!!"

   ผมกับน้องหมีร้องกันคนละภาษาเมื่อมันทิ้งตัวลงด้วยความเร็วก่อนตีลังกาอีกสามรอบ จากนั้นจึงเข้าทางราบกลับสู่จุดเริ่มต้นที่มีพนักงานยืนรอรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมน่ะไม่เท่าไร แต่คนข้างๆ นี่สิยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

   อุปกรณ์ล็อคเปิดออกเราก็ลุกไปหยิบของแล้วเดินลงมา ผมต้องคล้องแขนน้องหมีเอาไว้เพราะน้องมันดูสติจะยังไม่สมประกอบเท่าไร อาจจะยังล่องลอยอยู่แถวๆ รางเครื่องเล่นก็เป็นได้

   "ไหวมั้ยเนี่ย"

   "มั้งนะ"

   "ปวดท้องนี่ ไปห้องน้ำก่อนมั้ย"

   "ไม่ทันแล้ว"

   "ฮะ!" อยากบอกนะว่าน้องมัน...

   "ขี้มันไหลย้อนกลับเข้าไปในกระเพาะหมดแล้ว" คำตอบของน้องหมีทำเอาผมอ้าปากค้าง สีหน้าน้องมันซีดเซียวดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก แต่นี่มันเพิ่งเครื่องเล่นแรกเองนะจะมาอ่อนปวกเปียกแบบนี้ไม่ได้

   "งั้นก็ไม่ปวดท้องแล้วดิ ดีๆ"

   "พี่อิน~" น้องหมีโอดครวญเสียงอ่อยตอนผมลากแขนให้รีบเดินเร็วๆ เพื่อไปยังเครื่องเล่นถัดไป แต่ผมไม่หยุดหรอก ร้องมาได้เลยเต็มที่

   เราลงมาถึงจุดขายภาพถ่ายบนเครื่องเล่นเลยหยุดดูกัน ผมกวาดตามองภาพบนหน้าจอจนเจอกับรูปถ่ายของเราที่ถ้ามองเผินๆ คงดูไม่ออก ตัวผมน่ะไม่เท่าไรยังยิ้มแย้มร่าเริงสีหน้าดูจะชอบใจกับเครื่องเล่นนี้ด้วยซ้ำ ผิดกับน้องแบร์ที่หลับตาปี๋อ้าปากกว้างไม่สนใจใคร ดูไปแล้วก็ตลกดี

   "ไปๆ อย่าดู" แล้วน้องหมีก็เป็นฝ่ายลากผมออกมา

   จากทาคาบิชะผมก็พาน้องหมีไปต่อแถวเครื่องเล่นถัดไปที่อยู่ข้างๆ กัน จากจุดนี้อีกประมาณสองชั่วโมงกว่าจะคิวเล่นเอาหมีตัวโตแต่ใจป๊อดร้องโฮบ่นว่ารอนาน แต่พอเห็นรางเครื่องเล่นที่สูงจนต้องเงยหน้ามองทำเอาปวดคอคนที่บ่นเมื่อกี้ก็กลับคำขึ้นมาซะงั้น

   "ให้รอสองชั่วโมงยังไม่รู้จะทำใจได้หรือเปล่าเลย"

   "ผ่านอันแรกมาแล้วอันนี้ชิลๆ น่า"

   "เหรอ" ทำเสียงประชดใส่ผมหน้าแหย

   มาเที่ยวด้วยกันมันก็ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแบบนี้แหละ ผมพาน้องหมีไปในที่ที่น้องมันอยากไป น้องหมีก็ต้องยอมมาในที่ที่ผมอยากมาบ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต่างคนต่างไปจะได้ไม่ต้องคอยห่วงกัน ซึ่งเดิมทีแล้วผมตั้งใจให้เป็นอย่างหลังมากกว่า แต่ในเมื่อมาด้วยกันแล้วก็ต้องยอมๆ กันไป

   "หิวมั้ย" มื้อเช้าเรากินของจากร้านสะดวกซื้อกันไปแค่หน่อย นี่ก็ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วน้องมันอาจจะหิวอีกก็ได้ ยิ่งเป็นคนกินเยอะอยู่

   "ไม่อ่ะ กินไปแล้วขึ้นไปเล่นไอ้นี่ได้อวกกันพอดี" น้องหมีเงยหน้าขึ้นมองรางอีกครั้งแล้วทำท่าขนลุกขนชัน

   เล่นทำท่าไม่อยากเล่นมันมากๆ แบบนี้ผมก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันนะ หรือผมควรจะให้น้องหมีเลือกดีว่าอยากเล่นอันไหนแล้วค่อยเล่น ไม่ได้อยากบังคับขนาดนี้แต่ผมไม่อยากเล่นคนเดียวนี่นา

    "ถ้าไม่อยากเล่นจะไปนั่งรอก็ได้นะ" ผมด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางบุ้ยปากไปยังโต๊ะเก้าอี้หน้าร้านอาหารที่อยู่ข้างๆ เล่นเอาน้องหมีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

   "ไม่ใช่"

   "แบร์ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ"

   "แล้วถ้าแบร์ไม่เล่นพี่อินจะเล่นคนเดียวเหรอ"

   "ก็คงงั้นมั้ง" แล้วจะให้ผมไปเล่นกับใครล่ะ

   "เล่นกับแบร์นี่แหละ"

   "งั้นก็อย่าบ่น"

   "นิดนึงน่า ยังพอมีเวลาให้เตรียมใจ ขึ้นไปเผชิญกับมันเมื่อไรแบร์จะอดทน ส่วนผลจะออกมาเป็นยังไงก็จะยอมรับมัน" น้องหมีมองตรงมาที่ผมบอกด้วยน้ำเสียงและแววตามุ่งมั่นต่างจากท่าทีอิดออกเมื่อกี้ลิบลับ

   "แค่ขึ้นรถไฟเหาะไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้มั้ง" ก็นั่นแหละ พูดอยากกับจะออกไปเผชิญปัญหาใหญ่สักอย่าง ถึงไอ้รถไฟเหาะเนี่ยจะเป็นปัญหากับน้องมันก็เถอะ แต่คำพูดเมื่อกี้ผมว่ามันโอเวอร์ไปนิด

   การรันคิวมันรวดเร็วกว่าที่คิด ไม่ถึงสองชั่วโมงผมกับน้องหมีก็มายืนอยู่ในที่กั้นสำหรับรอขึ้นเครื่องเล่น เราได้อยู่แถวที่สองซึ่งคงไม่น่าหวาดเสียวเท่ากับตอนนั่งแถวแรกของทาคาบิชะ แต่ด้วยฉายา KING OF COASTERS ของเจ้าเครื่องเล่นนี้ก็ทำให้ผมใจเต้นตึกตักตั้งแต่ตอนยืนรอ

   ผู้เล่นชุดเก่าออกจากเครื่องเล่นก็ได้เวลาของผู้เล่นชุดใหม่ออกไปเผชิญกับความตื่นตาตื่นใจ ผมนั่งฝั่งซ้ายน้องหมีนั่งขวา ใจหวิวๆ รู้สึกกลัวนิดๆ แต่พยายามไม่แสดงออกตอนรถไฟเริ่มเคลื่อนที่ เพราะถ้าผมกลัวคนข้างๆ ต้องสติแตกแน่นอน

   รถไฟเคลื่อนตัวไปตามรางที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ด้านซ้ายมือเห็นภูเขาไฟฟูจิสัญญาลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม บนยอดมีหิมะปกคลุมรวมถึงก้อนเมฆที่ไหลเอื่อย นับว่าเป็นโชคดีที่วันนี้อากาศแจ่มใสฟูจิซังเลยไม่ขี้อายออกมาให้ยลโฉมได้แบบเต็มตา เป็นอีกมุมที่ผมว่ามันสวยมากๆ สวยในแบบหวาดเสียวด้วย ยิ่งหันไปมองขวามือเห็นตัวเลขที่บอกความสูงตั้งแต่ 20 เมตร 30 เมตร 40 เมตร จนกระทั่งสูงเมตรที่ 79

   รถไฟเหาะที่เคยได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก ทำความเร็ว 130 กม./ชม. กับวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆ KING OF COASTERS ที่มีชื่อว่า ฟูจิยาม่า

   "ว้ากกกกกกกกกก!!!"

   จังหวะที่รถไฟทิ้งดิ่งลงมาจากความสูงกว่า 70 เมตรน้องหมีก็ร้องไม่เป็นภาษาไม่ต่างจากตอนเล่นทาคาบิชะ ต่างกับผมที่รู้สึกดีเอามากๆ มือทั้งสองข้างปล่อยจากที่จับ เงยหน้ารับลมเย็นๆ ที่ทำเอาหน้าชาพลางอ้าปากส่งเสียง 'อา~' เบาๆ อย่างอารมณ์ดี

   เจ้าฟูจิยาม่าพาเราขึ้นที่สูงก่อนทิ้งดิ่งลงมาวนอยู่แบบนี้อยู่หลายรอบ ทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ผมปล่อยมือบ้างจับที่จับบ้างสลับกันไปตามความหวาดเสียวที่ต้องเผชิญในขณะที่น้องหมีเอาแต่แหกปากร้องอย่างเดียว จนผมยกมือขึ้นอีกรอบน้องหมีก็ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ แล้วยกตาม แต่ได้แค่แป๊บเดียวก็กลับไปคว้าที่จับเหมือนเดิมแต่ดันเกี่ยวแขนผมลงไปด้วยซะงั้น เห็นน้องมันร้องเหมือนคนใกล้เสียสติผมเลยเลื่อนมือไปจับมือไว้ จนกระทั่งรถไฟพาเรากลับมายังจุดเริ่มต้น

   สามนาทีแห่งความหฤหรรษ์ผ่านไปทำเอาเวียนหัวนิดๆ ผมอ้าปากรับลมจนรู้สึกคอแห้งในขณะที่น้องหมีเดินเซออกจากเครื่องเล่นจนผมต้องคล้องแขนไว้พาไปหยิบของในล็อคเกอร์แล้วเดินลงมาตามทางลาด อาการหนักขนาดนี้จะไหวไหมล่ะเนี่ย

   มาถึงห้องโชว์รูปถ่ายจากอาการป้อแป้ก็เล่นเอาขำจนปวดท้อง หน้าตาน้องหมีแสดงออกถึงความกลัวสุดขีด ส่วนผมอ้าปากค้างเหมือนคนเมายากันยุง เป็นรูปที่ชาตินี้คงไม่มีวันซื้อกลับไปอย่างแน่นอน

   ด้วยความสงสารกลัวว่าน้องหมีจะช็อคตายไปเสียก่อนผมเลยพาน้องมันไปนั่งพัก เอายาดมให้ดม ซื้อน้ำซื้อขนมให้กิน คนที่โดนรถไฟเหาะสูบวิญญาณออกไปจะได้กลับมามีพลังงานเหมือนเดิม

   "ไปเล่นต่อจะไม่อ้วกใช่มั้ย"

   "อันนี้ก็ไม่แน่ใจ"  ตอบด้วยสีหน้าไม่แยแสปากก็เคี้ยวยากิโซบะตุ้ยๆ

   ผมยกโกโก้ร้อนที่กดมาจากตู้ขึ้นดื่มท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่าน ตอบแบบนี้เล่นเอาหนักใจเหมือนกันนะ แต่หลังจากได้เติมอาหารลงท้องหน้าตาน้องหมีก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย

   "แล้วจะไปเล่นอะไรต่อ"

   "อันนู้น" ผมชี้ไปยังเครื่องเล่นที่มีรางเป็นสีแดงโดดเด่นซึ่งเห็นอยู่ไกลๆ ไฮไลท์อีกอย่างที่ต้องเล่นให้ได้

   น้องหมีลุกขึ้นชะเง้อมอง แต่เห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะมันอยู่ค่อนข้างไกลก่อนนั่งลงแล้วเริ่มจัดการของกินที่วางอยู่เต็มโต๊ะโดยไม่ออกความเห็น



   ต่อด้านล่าง

         v
         v
         v


ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #31 เมื่อ17-04-2017 19:46:00 »



        เติมพลังกันแล้วก็ได้เวลามุ่งหน้าไปพิชิตสถิติโลกลำดับต่อไป เดินมาถึงตัวเครื่องเล่นก็เจอกับแถวยาวเหยียดพร้อมกับป้ายเวลาที่บอกว่าต้องอีกราวๆ สามชั่วโมง เป็นความหฤโหดของสวนสนุกที่นี่ที่ต้องยืนรอขาแข็งท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บที่ผมว่ามันเย็นกว่าตอนเรามาถึงเสียอีก

   ยืนต่อแถวมาได้ชั่วโมงกว่าเราก็ได้เข้ามาด้านในตัวอาคารที่มีทางแยกเป็นสองทางให้เราเลือก ฝั่งซ้ายเป็นด้านนอกฝั่งที่รถไฟวิ่งผ่าน ส่วนทางฝั่งขวาดูค่อนข้างมิดชิดน่าจะอุ่นกว่า หลังจากปรึกษากันเป็นเวลาสิบวินาทีเราก็ตกลงเลือกฝั่งขวากัน

   "ทำไมเหมือนหมอกลง" ไม่ใช่แค่หมอกลงแต่หนาวกว่าเดิมมากด้วย บรรยากาศดูอึมครึมต่างจากช่วงเช้าที่มาถึง ไม่ใช่ว่าฝนจะตกหรอกเหรอ ผมไม่ได้เช็คสภาพอากาศมาด้วย

   "เหมือนฝนจะตกตอนบ่ายสอง" คำตอบมาจากน้องหมีที่เพิ่งเปิดดูแอปพยากรณ์ในอากาศในมือถือ

   ฝนตกบ่ายสอง ตอนนี้บ่ายโมงกว่า ถ้าฝนตกเครื่องเล่นกลางแจ้งทั้งหมดจะปิด งั้นก็หมายความว่าถ้าฝนตกตอนบ่ายสองจริง หลังจากเล่นเครื่องเล่นนี้เสร็จเครื่องเล่นที่เหลือก็จะปิดหมดเลยงั้นสิ ไม่ได้การแล้วนะแบบนี้

   "อย่าตกเลย" ผมยกมือไหว้บนบานศาลเจ้าสิ่งศักดิ์ชองฟิจูคิวให้พยากรณ์อากาศคาดเคลื่อน จะตกก็ได้แต่ขอเป็นหลังหกโมงเย็นแทนได้ไหม ตกตอนนี้ก็เก็บเครื่องเล่นไม่ครบน่ะสิ

   "เจ้าที่ฟังภาษาไทยไม่ออกหรอก"

   "บนเจ้าพ่อที่ไทยก็ได้"

   "ยังไงมันก็ตก ดูบรรยากาศดิ"

   รู้แล้วว่าบรรยากาศแบบนี้คงไม่รอดแน่ แต่หน้าตาน้องหมีมันจะดูยินดีไปไหนที่ฝนกำลังจะตก คงคิดว่าไม่ต้องเล่นอะไรที่มีหวาดเสียวอีกแล้วล่ะสิถ้า แต่เสียใจด้วยนะ ถ้าเล่นเครื่องเล่นที่เรากำลังต่อแถวอยู่นี่แล้วต่อมความกลัวคงตายด้านจนเล่นอะไรก็ไม่มีทางกลัวอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลิกยินดีกับอะไรที่มันไม่เข้าเรื่องซะเถอะ

   อีกห้าสิบนาทีต่อมาเราก็ได้ขึ้นมานั่งบนเครื่องเล่นที่มีแกนตรงกลางวิ่งไปตามรางและแยกที่นั่งออกเป็นสองฝั่งแถมเป็นที่นั่งแบบปล่อยให้ขาลอยห้อยโต่งเต่งไปมา เครื่องประดับทุกอย่างรวมถึงรองเท้าถูกสั่งให้ถอดออก เพียงแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าเครื่องเล่นนี้มันจะสร้างความหฤหรรษ์ให้เราขนาดไหน

   เอ้จาไน่ก๋า แค่ชื่อก็ฟังดูประหลาดแต่เชื่อเถอะว่ามันจะสร้างความประหลาดใจมากกว่าชื่อแน่นอน

   รถไฟเหาะเริ่มเคลื่อนที่พร้อมกับเสียงร้องเสียงปรบมือจากพนักงานรวมถึงคนที่ยืนรอคิวอยู่ว่า ‘เอ้จาไน่ก๋า เอ้จาไน่ก๋า’ เสียงความคึกครื้นก่อนออกเดินไปทางสู่ความโหดร้าย ผมที่ได้นั่งด้านนอกปรบมือและร้องตามไปด้วย ตอนรถไฟแล่นผ่านพนักงานก็โบกมือทักทายกันด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ จนเมื่อมันโผล่พ้นออกมาจากตัวอาคารรอยยิ้มก็ได้จางหายไป

   เอ้จาไน่ก๋า เป็นเครื่องเล่นสี่มิติ นอกจากที่นั่งจะหมุนได้รอบทิศทางแล้วมันยังวิ่งถอยหลังพาเรานอนหงายท้องเท้งเต้งตั้งแต่จุดเริ่มต้นอีกด้วย

   "ฮือออออออ" น้องหมีส่งเสียงร้องเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ตอนถูกถึงขึ้นสู่ที่สูงในท่าถอยหลัง ไม่รู้ว่าหมดแรงจะร้องหรือเริ่มชินกับเครื่องเล่นหวาดเสียวแล้วกันแน่

   น้องหมีเอื้อมมือมาด้านข้างทำสายตาเว้าวอนคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ ผมเลยยื่นมือออกไปจะจับมือน้องมันไว้แต่สัมผัสได้แค่เพียงปลายนิ้วต่างคนก็ต่างชักมือกลับมาจับที่จับไว้แทนเมื่อรถไฟทิ้งตัวลงแล้วเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาตีลังกาม้วนหน้าม้วนหลังจนต้องแหกปากร้องเหมือนคนสติไม่เต็มเต็ง

   "อ๊ากกกกกกกก!!!"

   "วู้วววววววววววว!!!"

   "เอากูลงปายยยยย!!"

   "ฮ่าๆๆๆๆๆ"

   "แม่งเอ้ยยยยยยย!!!"

   สองนาทีโดยประมาณเจ้าเอ้จาไน่ก๋าก็พาเรากลับมาถึงจุดเริ่มต้น ผมรู้สึกมึนเหมือนมีคนเอาอะไรมาทุบหัวเพราะตอนโดนเหวี่ยงหัวมันกระแทกกับพนักพิงจนระบมไปหมด สภาพน้องหมีเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก ใส่รองเท้าหยิบของในล็อคเกอร์ได้ก็พากันเดินออกมาพร้อมกับฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ และพลังงานที่โดนสูบไปจนหมด

   เราพักยกความเสียว แวะเข้าห้องน้ำและหาอะไรกินอีกรอบ ได้น้ำมาคนละขวดกับน่องไก่อบน่องใหญ่เดินถือกินเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกครึ้มให้บรรยากาศน่าพิศวง บวกกับท้องฟ้าอึมครึมในวันฝนตกยิ่งดูน่ากลัวไปกันใหญ่ เพราะที่ที่เรากำลังไปคือ บ้านผีสิง

   ไฮไลท์ของฟูจิคิวผมขอยกให้ที่นี่เลย เรียกว่าบ้านผีสิงมันก็ดูน้อยไป ต้องเรียกว่าโรงพยาบาลผีสิงถึงจะถูก ดูแค่ข้างนอกว่าน่ากลัวแล้ว แล้วข้างในจะน่ากลัวขนาดไหน น่ากลัวไม่น่ากลัวก็ดูได้จากกฎการเข้าเล่นที่ห้ามเข้าไปคนเดียวแถมมียันกันผีให้ซื้อ เจ้าหน้าที่เขาคงกลัวว่าให้ไปเดินวนในโรงพยาบาลผีสิงตั้งยี่สิบสามสิบนาทีคนเดียวจะช็อคตายเอาได้ล่ะมั้ง ขนาดผมมากับน้องหมีสองคนยังรู้สึกหวาดๆ เลย หวังว่าน้องมันจะไม่กลัวผีนะ เพราะผมกลัว

   ยืนรอคิวใต้หลังคาท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แทะน่องไก่จนเหลือแต่กระดูกผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ใกล้ถึงคิว จุดที่พวกเรายืนตอนนี้มันตรงกับทางออกพอดี เห็นคนกรีดร้องวิ่งหนีกันออกมาก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวาเข้าไปอีก

   "ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เลย" น้องหมีพยักพเยิดหน้าไปทางกลุ่มที่เพิ่งวิ่งกันออกมา

   มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ เพื่อนบางคนช่วยปลอบบางคนก็หัวเราะ เห็นแล้วนึกถึงสาวๆ ไอดอลที่ผมชอบเลย เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวไอดอลหลายวงเลยชอบมาถ่ายทำรายการ แล้วก็แทบทุกคนที่กรี๊ดกร๊าดวิ่งหนีออกมา บางคนก็ร้องไห้จนอยากทะลุจอเข้าไปลูบหัวปลอบ แต่รายต่อไปที่จะร้องไห้อาจเป็นผมก็ได้

   "กลัวมั้ย"

   "ไม่อ่ะ"

   ใครกลัว ไม่มีหรอก ไม่ว่าจะดรีมเวิลด์ สวนสยามผมไปทัวร์มาหมดแล้วเมื่อหลายปีก่อน แค่โรงพยาบาลผีสิงแค่นี้ไม่กลัวหรอก จริงจริ๊ง

   "อย่าให้ได้ยินเสียงกรี๊ดนะ" ทำมาเป็นขู่ ถ้าน้องมันกรี๊ดเองนะผมจะเก็บไว้ล้อยันลูกบวชเลย

   ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจ พนักงานก็เรียกรันคิวพอดี ผู้เล่นถูกแบ่งตามจำนวนของแต่ละกลุ่มที่มาด้วยกัน เยอะบ้างน้อยบ้างคละเคล้ากันไป ผมกับน้องหมีเดินตามเข้าไปข้างในเป็นคู่สุดท้าย มีการเปิดวิดีโอความเป็นมาเป็นไปของโรงพยาบาลผีสิงแห่งนี้เป็นการปฐมบทความกลัว ถามว่าได้ผลไหม มันก็นิดนึงล่ะนะ

   จบจากการดูวิดีโอทุกคนในเซ็ตนี้ก็ถูกต้อนไปยืนรอหน้าห้องห้องหนึ่ง ทยอยกันเข้าไปทีละกลุ่มใช้เวลาไม่นานนักจนมาถึงคู่ผมกับน้องหมี พนักงานให้เรานั่งบนเก้าอี้ยาวเพื่อถ่ายรูป นับเลขเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้สัญญาณก่อนกดชัตเตอร์

   แชะ!

   ฟู่ว!

   "เหี้ย!!"

   ลมจากไหนไม่รู้เป่าเข้าหูผมเต็มๆ เก้าอี้ที่เรานั่งอยู่ยุบลงพร้อมกับแสงแฟลชที่สาดออกมาพอดี เป็นการหลอกถ่ายรูปที่น่าโมโหเป็นอย่างมาก และรูปที่ออกมามันคงน่าเกลียดจนดูไม่ได้แน่นอน

   ถ่ายรูปเสร็จพนักงานก็ให้ไฟฉายเล็กๆ มาหนึ่งอัน ตัวช่วยลดความสยดสยองน่ากลัวที่เรากำลังจะได้ออกไปเผชิญ เป็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่ที่ผมจะไม่ลืมเลย

   "แบร์นำนะ" ผมยื่นไฟฉายให้น้องหมีเมื่อพนักงานปล่อยเราให้เผชิญกับความมืดเบื้องหน้าเพียงลำพัง

   "โอเค"

   น้องหมีรับไฟฉายไปถือไว้จากนั้นเราจึงเริ่มออกเดินไปตามเส้นสีแดง ลัดเลาะไปตามซอกซอยและห้องต่างๆ ที่ถูกจัดไว้ซะเหมือนจริง ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ ฉากในห้องผ่าตัด แสงสลัวกับบรรยากาศที่น่ากลัวมากๆ เอฟเฟคเสียงเอฟเฟคลมมาครบ ไหนจะคนที่แต่งเป็นผีในชุดเสื้อกาวน์สีขาวคอยโผล่ออกมาส่งแฮ่ๆ หลอกให้ตกใจจนผมเผลอกระโดดไปเกาะน้องหมีอยู่หลายครั้ง

   "คนทั้งนั้น ไม่มีอะไรหรอกน่า" น้องหมีคงรู้แล้วล่ะว่าผมกลัวผีถึงได้พูดออกมาแบบนี้

   ผมกำเสื้อกันหนาวน้องหมีเอาไว้แน่นตอนที่เราก้าวเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด จนมาถึงทางเดินยาวๆ ที่ด้านขวาเป็นห้องตรวจเรียงไปจนสุดท้าย เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่แค่ทางเดินธรรมดาๆ แน่นอน

   เราค่อยๆ เดินไปตามทางที่เงียบสงัดมีเพียงแสงไฟสลัวๆ กับแสงจากไฟฉายอันน้อยที่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไร แต่ละย่างก้าวที่เดินไปเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ผมหันไปมองข้างหลังเป็นระยะเพราะกลัวจะมีตัวอะไรโผล่มาจนเผลอขย้ำเสื้อน้องหมีเอาไว้แน่น แม้จะบอกตัวเองอยู่ซ้ำๆ ว่าที่นี่เป็นสวนสนุกไม่มีผีจริงๆ สักหน่อย แต่ด้วยบรรยากาศโหวงเหวงนี่มันก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี

   ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเราเดินมาถึงครึ่งทาง แต่ตลอดทางที่ว่านั่นมีเสียงกึกๆ กักๆ ดังมากจากประตูด้านซ้ายตลอดเวลาทำเอาเดาไม่ได้ว่าผีคุณหมอจะโผล่ออกมาเมื่อไร

   "อย่าวิ่งนะ" บอกน้องมันเอาไว้ก่อนเพราะถ้าน้องมันวิ่งผมคงตามไม่ทันแน่ๆ

   "พี่อินก็..."

   ปัง!

   "แฮ่!!!"

   "ว้ากกกกก!!!"

   ใครไม่จะวิ่งไม่วิ่งไม่รู้แต่ผมวิ่งก่อนแล้ว ไอ้ผีหมอนั่นมันดันโผล่มาข้างหลังผมพอดี โกยแน่บสิงานนี้รออะไร

   "พี่อินรอด้วย!!"

   หลุดจากทางเดินยาวมาได้แขนผมถูกดึงไว้จากคนที่วิ่งตามหลังมา เกือบจะสะบัดแขนทิ้งและวิ่งต่อแล้วถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องหมี เล่นวิ่งสี่คูณร้อยแบบนี้ทำเอาหอบแฮ่กทั้งคู่

   "ไหนว่าจะไม่วิ่งไง"

   "บอกแบร์ห้ามวิ่งคนเดียวไง" งานนี้ผมไม่ขอรับผิด ผมสั่งน้องมันฝ่ายเดียว ฉะนั้นผมวิ่งหนีได้

   "ไม่ต้องเลย" พูดเหมือนคนงอนแล้วคว้ามือผมไปจับไว้ก่อนพาเดินต่อ เอางี้เลยเหรอ กะไม่ให้หนีอีกแล้วใช่มั้ย

   เส้นทางต่อจากทางเดินยาวที่วิ่งสู้ฟัดกันมาเป็นอะไรที่ค่อนข้างทุลักทุเล น้องหมีไม่กลัวเลย แทบไม่ตกใจเลยด้วย เดินอาดๆ อย่างกับมาทัศนศึกษา ต่างกับผมที่สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ตกใจทีเดินเซไปชนน้องมันที จะเดินนำหน่อยก็ไม่ได้ล้ำหน้าแค่นิดเดียวก็โดนดึงให้กลับมา ไม่เหลือฟอร์มที่อุตส่าห์เก๊กไว้ก่อนเข้ามา ไม่เหลือแล้วพี่อินผู้องอาจของน้องหมี

   ความหวาดวิตกทรมานอันยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อเดินมาถึงด่านสุดท้ายของโรงพยาบาลผีสิงแห่งนี้ ไฟหน้าห้องที่ขึ้นมาให้รอทำเอาผมใจเต้น พวกกับเสียงกรีดร้องผู้คนที่วิ่งหนีออกมาทำให้ผมเริ่มจินตนาการไปต่างๆ นานาว่าในนั้นมันมีอะไรรอเราอยู่กันแน่

   ปล่อยให้รอด้วยใจลุ้นระทึกไม่นานนักประตูก็เปิดออก ผมบีบมือน้องหมีแน่นตอนก้าวเข้าไปข้างใน มันทั้งเงียบและมืด เราเดินไปช้าๆ ไม่กระโตกกระตาก แต่แล้วเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำเอาใจผมกระตุกวูบ

   "ฮือออออ"

   "อ๊ากกกกก!!"

   ทันทีที่เอี้ยวตัวไปมองก็ต้องแหกปากร้องออกมา ประชิดตัวไปแล้วเว้ยยยยย ถ้าจะหลอกกันใกล้ขนาดนี้มาสิงกันเลยเอาม้ายยยยย

    "แฮ่!!"

   ผีตัวแรกที่พลางตัวเป็นกิ้งก่าวิ่งไล่พร้อมกระทืบเท้าดังตุบๆ จนผมต้องรีบลากน้องหมีให้วิ่งหนี แต่วิ่งไปยังไม่ทันถึงประตูผีอีกตัวก็โผล่ออกมาช่วยกันวิ่งไล่ และส่งเราถึงทางออกโดยสวัสดิภาพ

   ซะเมื่อไรกันเล่า

   ออกมาสู่แสงสว่างก็เจอห่าฝนจู่โจมจนต้องรีบวิ่งเข้าห้องขายของที่ระลึกซึ่งเป็นทางออกไปด้านนอก รวมถึงเป็นจุดดูรูปที่ถูกถ่ายไว้ก่อนจะเริ่มเล่นบ้านผีสิงด้วย

   ผมยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ได้มาตอนถ่ายรูปให้พนักงานรูปถ่ายของเราก็ปรากฏบนหน้าจอ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผมโดนเป่าจนฟู หน้าตาประหลาดๆ ตอนตกใจ มือไม้ยกค้างไม่เป็นท่า ทั้งผมทั้งน้องหมีไม่มีใครดูดีสักคน ขอยกให้เป็นรูปที่แย่ที่สุดของวันนี้เลย

   "ไปไหนต่อดี"

   แต่ที่แย่กว่ารูปถ่ายก็สภาพอากาศตอนนี้นี่แหละ นอกจากจะเซ็งที่อดเล่นเครื่องเล่นกลางแจ้งที่เหลือแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไร

   "ต้องไปหาที่หลบฝนก่อน แบร์เอาร่มมามั้ย"

   "ไม่ได้เอามา"

   "งั้นแบร์ถือ"

   ผมหยิบร่มออกมาจากกระเป๋าแล้วให้น้องหมีเป็นคนถือ ก่อนเดินเบียดๆ กันในร่มคันกระจิ๊ดริดผ่านทางเดินยาวๆ เพื่อมาหาที่หลบฝนข้างนอก ยังโชคดีที่ฝนตกหนักไม่นานนักก่อนจะลงปรอยๆ เป็นละอองน่ารำคาญ แต่ถึงแม้สายฝนจะบางเบาจนไม่น่ากระทบอะไรสุดท้ายเครื่องเล่นกลางแจ้งก็ยังเปิดอยู่ดี
 
   ในเมื่อไม่มีอะไรเปิดให้เล่นเราเลยเดินถ่ายรูปเล่นกัน ตามจุดต่างๆ เริ่มเปิดไฟประดับประดารับกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงเย็น ผมพาน้องหมีเข้าไปดูอีวานเกเลี่ยนที่ยังเปิดให้เข้าชมอยู่ เสร็จแล้วก็ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่กระจกมีแต่หยดน้ำเกาะจนมองอะไรแทบไม่เห็น พอใกล้ห้าโมงเย็นท้องฟ้าก็มืดสนิท ในสวนสนุกไม่มีอะไรเหลือให้เล่น เราเลยตัดสินใจว่าจะออกไปนั่งรอรถที่สถานี แม้จะจองรถบัสขากลับไว้ตอนหกโมงเย็นก็ตาม



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #32 เมื่อ17-04-2017 21:12:19 »

ไปสวนสนุกดิสนีย์แลนด์
ต่างฝ่าย ต่างเห็นจุดอ่อนของกันและกัน
แบร์ กลัวเครื่องเล่นที่มีความเร็วบนที่สูงๆชัน
พี่อิน กลัวรพ.ผีสิง
คนที่ไม่กลัวอะไรเลยก็คงมีนะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #33 เมื่อ17-04-2017 21:16:21 »

คนอ่านฮามาก

ออฟไลน์ LonelyBoiZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #34 เมื่อ17-04-2017 22:36:40 »

สนุกดีครับบบ
ติดตามนะครับบ
เป็นกำลังใจให้นักเขียน

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #35 เมื่อ18-04-2017 11:49:59 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #36 เมื่อ18-04-2017 20:53:31 »

เหมือนอ่านกระทู้รีวิวญี่ปุ่นจากพันทิป ชอบรายละเอียดของเรื่อง อ่านแล้วอยากไปตามรอยน้องหมีพี่อินเลยค่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
«ตอบ #37 เมื่อ18-04-2017 21:47:31 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
«ตอบ #38 เมื่อ26-04-2017 20:08:49 »



คืนที่ 4


   รถบัสพาเรากลับมาถึงชินจูกุตอนสองทุ่มในขณะที่สายฝนยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด ผมเดินลงรถด้วยความงัวเงียเพราะหลับมาตลอดทาง พร้อมกับท้องที่ร้องประท้วงว่าหิวจนจะย่อยผนังกระเพาะแทนอาหารที่ไม่ตกถึงท้องมาตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน
 
   "หิว" เป็นคำเดียวที่หลุดมาจากปากน้องหมีซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากผม

   แต่เพราะฝนตกจะเดินออกไปหาอะไรกินไกลๆ ก็ไม่ได้ แถมย่านชินจูกุเป็นย่านที่ผมไม่ชำนาญอีก เลยเดินวนหาร้านแถวๆ สถานีซึ่งไม่มีร้านอาหารสักร้าน ลองหาบนห้างที่ติดกับสถานก็เจอแต่ร้านแพงๆ แถมไม่มีอะไรที่อยากกิน จุดจบของคนเรื่องมากเลยอยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ กับโรงแรมแทน

   ผมเดินนำหน้ามีน้องหมีถือตะกร้าเดินตาม ด้วยความหิวเราเลยหยิบทุกอย่างที่อยากกินลงตะกร้า ทั้งข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมกรุบกรอบ นม รวมถึงเบียร์อีกหลายกระป๋องที่น้องหมีแทบจะกวาดใส่ตะกร้า คิดเงินมาผมว่ามันแพงพอๆ กับข้าวบนห้างเลยนะ แต่ดีตรงที่มีให้เลือกกินได้หลายอย่าง

   กลับมาถึงโรงแรมด้วยสภาพเปียกมะลอกมะแลก อาบน้ำเสร็จก็มานั่งล้อมของกินบนพื้นจัดการข้าวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนอิ่มแปล้ก็อัดยากันหวัดแล้วกินขนมกันต่อ

   ผมนั่งเอนหลังพิงเตียงตัวเอง ต่างคนต่างหยิบมือถือขึ้นมากดเล่น เปิดเฟซบุ๊กมาก็เจอสเตตัสของน้องหมีโชว์อยู่อันแรก เป็นโพสต์ที่ยาวมากจนต้องใช้เวลาอ่านอยู่หลายนาที อ่านไปก็ขำไปกับการระบายเรื่องราวของวันนี้ บรรยายการขึ้นเครื่องเล่นแต่ละอย่างได้เห็นภาพน่ากลัวจนไม่อยากไปตามรอย แต่สำหรับผมมันตลกมากกว่า ขำหนักจนเจ้าตัวถามเสียงเข้ม

   "ขำอะไร"

   "ก็ขำที่โพสต์ไง"

   "มันคือความทรมานนะนั่น ตลกเหรอ" ทำมาเป็นบอกว่าคือความทรมาน จริงๆ แล้วอยากเห็นคนอ่านเขาเฮฮากันมากกว่านั่นแหละ

   "ก็ตลกไงถึงได้ขำ"

   "แต่ตลกพี่อินมากกว่า"

   "ตลอกอะไร" ไม่น่าเลยผม โดนวกเข้าเรื่องตัวเองจนได้

   "ตลกตอนเล่นบ้านผีสิงไง ยังไม่หายกลัวผีอีกเหรอ"

   เดี๋ยวนะ ที่บอกว่าผมยังไม่หายกลัวผีคืออะไร

   "ไม่ต้องมาทำหน้างง ตอนอนุบาลกลัวผีร้องไห้งอแงจนคุณครูต้องมาปลอบอยู่นานสองนาน" น้องหมีเฉลยออกมาอย่างกับอ่านความคิดผมได้

   แล้วทำไมผมถึงจำไม่ได้แต่น้องมันจำได้ เรื่องตั้งแต่เรียนอนุบาลเลยนะ ผมเคยร้องไห้กลัวผีจนครูต้องมาปลอบด้วยเหรอ

   "กลัวผีกระสือ"

   ยัง ยังจะมาย้ำอีก

   "เป็นผีกระสือที่อยู่ตรงแป้นบาส"

   แล้วผมกลัวผีกระสือตรงแป้นบาสเนี่ยนะ

   "ร้องหนักมากจนเพื่อนๆ มาล้อมวงดู"

   "พอๆ หยุดเล่า" ต้องยกมือขึ้นห้ามเพราะไม่สามารถทนฟังต่อไปได้

   กลัวผีกลางวันแสกๆ ว่าหนักแล้ว กลัวผีกระสือตรงแป้นบาสยิ่งหนักไปกันใหญ่ ซ้ำร้ายเพื่อนยังมาล้อมวงดูครูต้องเข้ามาปลอบ ตอนอนุบาลแค่ห้าขวบเองนะ น้องหมีมันจำรายละเอียดได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเป็นเรื่องจริงผมขอคารวะน้องมันเลย จำได้แม้กระทั่งเรื่องที่ตัวผมเองยังจำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องโกหกผมจะเขกให้กะโหลกยุบ

   "พี่อินง่วงนอนยัง"

   "ยัง" ขนมยังคาปาก โทรศัพท์ยังคามือ แถมตรงหน้ากระป๋องเบียร์ยังวางอยู่ นึกยังไงมาถามว่าง่วงหรือยัง หรือตาผมปรือเหมือนคนใกล้หลับ แต่บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกถึงลางไม่ดี

   "งั้นมาเล่นเกมกันมั้ย"

   นั่นไง ลางสังหรณ์ผมผิดพลาดที่ไหน อะไรที่น้องหมีคิดมันไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น โดยเฉพาะเกมที่คิดขึ้นมาหลังจากมีแอลกอฮอล์อยู่ในเส้นเลือดแบบนี้

   "เกมอะไร"

   "เกมย้อนความจำ"

   แล้วน้องหมีก็เริ่มอธิบายกติกาด้วยความวุ่นวายเพราะต้องลำบากหากระดาษปากกามาจด เกมนี้เป็นเกมถามตอบเล่นง่ายๆ แค่เขียนคำถามและคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราววัยเด็กระหว่างเราสองคนทั้งหมดสามข้อลงในกระดาษสามแผ่น ผลัดกันถามทีละข้อ และต้องตอบภายในห้าวินาที ใครตอบถูกเยอะที่สุดคนนั้นชนะ

   "ยุ่งยาก" ถึงจะยอมเล่นด้วยแต่มันก็อดบ่นไม่ได้ นี่ต้องย้อนกลับไปคิดอีกว่าเคยทำอะไรร่วมกันไว้ แล้วเรื่องตั้งเกือบสิบปีจะจำได้มั้ยล่ะเนี่ย

   "ใครแพ้โดนลงโทษ"

   "ลงโทษอะไร" ผมว่ามันเริ่มร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ คนแพ้โดนลงโทษ แล้วอย่างผมที่จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเองเคยร้องไห้กลัวผีกระสือตอนอนุบาลจะรอดเหรอ

   น้องหมีไม่ตอบยกยิ้มที่ผมคิดว่าร้ายกาจที่สุดก่อนลุกขึ้นไปค้นกระเป๋าของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถุงสีดำอันคุ้นตา

   นั่นมันถุงจากเซ็กช็อปไม่ใช่หรือไง

   "ใครแพ้ต้องใส่ไอ้นี่" ว่าแล้วน้องหมีก็หยิบชุดนางพยาบาลสุดเซ็กซี่ออกมา

   ให้ตายเถอะ เอาจริงดิ น้องมันต้องจงใจแกล้งผมโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแน่ๆ

   "ตลกละแบร์"

   "เอาจริง ใครแพ้ต้องใส่ เพราะถือว่าไม่ใส่ใจกันและกัน"

   "มันเกี่ยวมั้ย" โคตรจะไม่เกี่ยวเลยเถอะ ไม่ใส่ใจกันเท่ากับต้องใส่ชุดนางพยาบาลนี่น่ะเหรอ เบียร์หมดไปสามกระป๋อง ผมว่าน้องหมีมันต้องเมาแล้วแน่ๆ

   "เกี่ยว"

   "โอเคๆ" ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนเริ่มเมาผมเลยบอกยอมรับส่งๆ แล้วเริ่มคิดคำถาม อยากจะตั้งอะไรที่มันยากๆ เอาให้น้องหมีตอบไม่ได้อยู่หรอก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมาสิบปีบวกๆๆ แล้วใครมันจะไปนึกออก แถมยังต้องเป็นเรื่องที่รู้เห็นกันทั้งสองคนอีก ก่อนจะเครียดเรื่องตอบคำถามไม่ได้เครียดเรื่องคิดคำถามก่อนดีกว่า แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยแบบนี้

   ระหว่างที่ต่างคนต่างกำลังเคร่งเครียดกับการตั้งคำถามภายในห้องก็เงียบกริบ ผมแอบมองเห็นน้องหมีกำลังเขียนยิกๆ สมองดูโลดแล่นต่างกับผมที่ตันจนคิดอะไรไม่ออก

   ใช้เวลาร่วมสิบนาทีการเตรียมการเล่นเกมอันแสนวุ่นวายก็เสร็จเรียบร้อย ผมกับน้องหมีนั่งพิงเตียงใครเตียงมัน ถือเศษกระดาษทั้งห้าแผ่นไว้ในมือ ที่ว่างตรงกลางมีซากของกินกองอยู่ รวมถึงชุดนางพยาบาลนั่นด้วย เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจว่าถ้าเพลี่ยงพล้ำจะแพ้เมื่อไรล่ะเตรียมตัวหยิบมันมาใส่ได้เลย

   เราตัดสินคนที่จะได้เล่นก่อนโดยการเป่ายิงฉุบ ผมแพ้เพราะฉะนั้นจึงได้เป็นตอบคำถามก่อน เห็นน้องหมีเหยียดยิ้มด้วยความมั่นอกมั่นใจแล้วรู้สึกหวั่นๆ ยังไงชอบกล

   เอาจริงๆ นะ ตอนนี้ผมตื่นเต้นกว่าตอนรอประกาศผลแอดมิดชั่นซะอีก

   "ตอนประถมเราเคยอยู่ห้องเดียวกันกี่ครั้ง"

   เอาแล้วไง กี่ครั้งวะ

   "ห้า...สี่..."

   ผมยกนิ้วขึ้นมานับพยายามนึกในขณะที่น้องหมีกำลังนับถอยหลังเรื่อยๆ ตอนประถมเราอยู่ห้องเดียวกันแค่ไม่กี่ครั้งเพราะผมจำแทบไม่ได้เลยว่าเคยเรียนด้วยกันนอกจากตอน ป.6 แต่มันคงไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแน่ๆ ที่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่ปัญหาคือมันกี่ครั้งกันล่ะ

   "สาม...สอง..."

   "สองครั้ง"

   "ถูกต้อง"

   เผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออกตอนน้องหมีเฉลยแล้ววางแผ่นกระดาษลงมาตรงกลางเพื่อให้เห็นคำถามและคำตอบที่เขียนลงไป เป็นสองครั้งจริงๆ และยังกำกับไว้ด้วยว่าเป็นตอน ป.1 กับ ป.6 น้องมันจะความจำดีอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้

   ต่อไปเป็นตาผม แม้จะไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คงได้ใช้สมองเค้นความทรงจำกันบ้างล่ะ

   "สัญลักษณ์ที่ใช้ตอนอนุบาลสองของเราสองคนคืออะไร"

   ได้ฟังคำถามแรกจากผมน้องหมีก็กระพริบตาปริบๆ ถึงความทรงจำสมัยอนุบาลของผมมันจะริบหรี่ก็เถอะ แต่มันก็มีบ้างเรื่องที่ผมจำได้แม่นเหมือนกัน อีกอย่างการเล่มเกมนี้เราจะพลิกแพลงยังไงก็ได้ในเมื่อไม่มีอะไรมายืนยันว่าคำตอบนั้นมันถูกจริงๆ หรือเปล่า ถ้าโมเมขึ้นมาแล้วอีกฝ่ายดันเล่นตามเกมด้วยก็เป็นอันจบเห่ งานนี้มีโอกาสได้คะแนนมาแบบฟรีๆ แต่ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ผมแฟร์พอและซื่อตรงกับความทรงจำอันสวยงามในวัยเด็กเสมอ

   "ห้า...สี่..."

   "พี่อินรูปมังคุด ของแบร์รูปรถ" ตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่บ่งบอกว่าชัวร์หรือไม่ แต่คำตอบมัน...

   "ถูก" เรื่องสมัยอนุบาลไว้ใจน้องมันไม่ได้จริงๆ

   ผมวางกระดาษคำถามลงบนพื้นเพื่อให้น้องหมีเห็นคำตอบที่เขียนไว้ สัญลักษณ์ที่เคยใช้ตอนเรียนอนุบาลของผมคือรูปมังคุด ส่วนของน้องหมีเป็นรูปรถ พวกสมุดหนังสือ แก้วน้ำแปรงสีฟัน ของใช้ส่วนตัวจะถูกปั้มด้วยสัญลักษณ์เหล่านี้ทั้งสิ้น เก่งมากที่น้องมันยังจำได้

   คะแนนตอนนี้เสมอกันหนึ่งต่อหนึ่ง เกมการแข่งขันเข้าสู่ข้อที่สอง โดยน้องหมีเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนเหมือนเดิม

   "เราเคยเดินจับมือกันจนโดนเพื่อนล้อตอน ป.อะไร"

   "ฮะ"

   "ตอบมาๆ ห้า..."

   เดี๋ยวก่อนๆ มันมีเรื่องแบบนั้นเคยเกิดขึ้นด้วยเหรอ เดินจับมือกันจนเดินเพื่อนล้อ บ้าไปแล้วแน่ๆ

   "สี่...สาม..."

   ผมนั่งนิ่งเหมือนคนเป็นใบ้ ยิ่งเวลาบีบคั้นยิ่งนึกอะไรไม่ออก แม้จะพอมีภาพเลือนรางอยู่ในหัว เป็นภาพความทรงจำสั้นๆ ที่ผมพอจะนึกออกแต่ไม่สามารถเอามาปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ จับมือกับที่ระเบียงทางเดิน ผมจำได้แค่นั้น แสดงว่าตอนนั้นเราคงยังเด็กมาก

   "สอง..."

   "ตอน ป.1"

   "ผิด ป.2" น้องหมีวางกระดาษคำตอบลงมาพลางยักคิ้วให้อย่างผู้เหนือกว่า

   ชุดนางพยาบาลนั่น ผมเริ่มเดินเข้าไปใกล้มันอีกนิดซะแล้วสิ

   "แต่เสียใจอ่ะ พี่อินจำไม่ได้" จากที่ยิ้มอยู่ดีๆ ก็ตัดพ้อกันขึ้นมาซะอย่างนั้น น้องหมีตีหน้าเศร้ามองมาที่ผม ถึงจะรู้ว่ามันคือการแสดงก็เถอะ แต่มันจะน่าเสียใจอะไรขนาดนั้น

   "จำไม่ได้ว่าเคยโดนล้อ" ผมสารภาพ ถ้าจับมือกันเฉยๆ คงมีหลายครั้ง แต่จับมือกันแล้วโดนล้อนี่ผมจำไม่ได้จริงๆ อีกอย่างทำไมเพื่อนต้องล้อ แล้วล้อว่าอะไร

   "พวกมันล้อว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน หลังจากนั้นพี่อินก็ไม่ยอมจับมือแบร์อีกเลย"

   ผมเลิกคิ้วมองอย่างนึกขำ เด็กสมัยนั้นล้อเพื่อนผู้ชายที่เดินจับมือกันว่าเป็นแฟนกันด้วยเหรอ แล้วผมก็ไม่ยอมจับมือกับน้องมันอีก ถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อแต่ผมก็เชื่อเพราะคนที่เล่าเป็นน้องหมีแม้จะเมาอยู่นิดๆ ก็เถอะ ยังไงน้องมันก็ไม่หลอกผมหรอก

   "ต่อเลยนะ"

   น้องหมีพยักหน้ารับเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม ผมมองคำตอบที่อยู่ในมือแล้วก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ที่จริงอยากจะหัวเราะเลยด้วยซ้ำ เพราะมันคือความอับอายสมัยเด็ก มาดูกันว่าน้องหมีจะจำได้หรือเปล่า

   "ตอนอนุบาลแบร์เคยขี้กับเยี่ยวรถกางเกงกี่ครั้ง"

   "คำถามอะไรเนี่ย" น้องหมีถึงกับอ้าปากค้างกับคำถามของผม เอาสิตอบมาเลย

   "ห้า...สี่..."

   "แบร์ไม่เคยขี้แตกที่โรงเรียน"

   "เหรอ สามแล้วนะ"

   "เดี๋ยวๆๆ เคยก็ได้"

   "สอง"

   "สองครั้ง แค่สองครั้ง"

   "ผิด"

   "ผิดได้ไง" น้องหมีทำหน้าไม่เชื่อ แต่ผมจำได้แม่น มันออกจะเป็นเหตุการณ์ที่ตรึงตราตรึงใจ แถมยังเอามาล้อกันอยู่พักหนึ่งจนผมโดนน้องหมีงอน

   "สามครั้ง เยี่ยวสอง ขี้หนึ่ง ให้แจกรายละเอียดมั้ยว่าที่ไหนยังไงบ้าง"

   "ไม่ต้องเลย พอแล้ว"

   ผมเหยียดยิ้มวางแผ่นคำตอบลงกับพื้นถามอย่างผู้ชนะ เรื่องนี้ผมไม่ได้โกหกนะ น้องหมีทำวีรกรรมนี้ไว้จริงๆ มันอาจจะเป็นเรื่องที่น้องมันอยากลืมก็ได้ถึงได้หายไปจากความทรงจำ

   "ตอนนี้ก็เสมอกันแล้ว"

   คะแนนตอนนี้คือหนึ่งต่อหนึ่ง เรายังเหลือคำถามอีกคนละข้อ เป็นชี้ชะตาว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายได้ใส่ชุดนางพยาบาลนั่น จากที่ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองต้องได้ใส่แน่ๆ แต่ตอนนี้ความเป็นไปได้มันอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบ น้องหมีเองก็ใช่ว่าจะได้หมดซะทุกเรื่องเมื่อไร

   "เราเคยจูบกันตอน ป.อะไร"

   "ฮะ"

   เดี๋ยวก่อนๆ จูบกัน บ้าไปแล้ว มันเคยมีเรื่องเกิดขึ้นซะที่ไหน คำถามข้อนี้มันต้องมั่วแน่ๆ ในเมื่อไม่มีอะไรมายืนยัน น้องหมีมันต้องกุเรื่องขึ้นมาเพื่อนหาทางเอาชนะผมแน่ๆ

   "จริงๆ ไม่น่าเรียกจูบ เรียกว่าจุ๊บก็ได้"

   แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ

   ผมล่ะงงกับน้องหมี ถามแล้วยังยิ้มตาปรือได้หน้าตาเฉย เมามากแล้วนะเนี่ย เบียร์หมดไปจะห้ากระป๋องแล้ว ตั้งคำถามได้เลอะเทอะมาก

   "ห้า"

   "เดี๋ยวก่อนแบร์ มันใช่เหรอคำถามนี้"

   "ท่าโร่คือคำใบ้ สี่" น้องมันพูดไปนับไปในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิดหัวแทบระเบิด แต่เหมือนว่าจะจำได้แล้วรางๆ

   "สาม"

   ทาโร่งั้นเหรอ อ๋อ ผมจำได้แล้ว

   "สอง"

   ตอนนั้นเราเล่นกินทาโร่กัน พอปลาเส้นใกล้หมดหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ จนริมฝีปากเราแตะกันเบาๆ ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ ความรู้สึกตอนนั้นมันก็...นุ่มนิ่มดี

   แล้วมันใช่เวลามาคิดถึงเรื่องความนุ่มนิ่มตอนนี้มั้ยเนี่ย แล้วไอ้ที่เล่นกินปลาเส้นกันมันคือตอนไหนกันล่ะ

   "หนึ่ง"

   "ป.4 มั้ง"

   "ผิด ป.5"

   "จริงดิ"

   "จริง จะลองเล่นแบบตอนนั้นก็ได้" ว่าแล้วก็หมีก็หยิบปลาเส้นที่เหลืออยู่จากกองของกินมาคาบไว้ ไม่รู้ทำไมถึงได้เหมาะเจาะขนาดนี้ แสดงว่าที่ซื้อไอ้นี่มาด้วยน้องหมีก็เตรียมการไว้ตั้งแต่ตอนซื้อของในซุปเปอร์แน่ๆ ร้ายกาจที่สุด

   "ไม่ต้องอ่ะ" ผมบอกปัดเพราะจำได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แค่จำปีผิดไปเท่านั้น ได้แต่นั่งมองชุดนางพยาบาลอย่างอ่อนใจ เพราะถ้าข้อต่อไปน้องหมีตอบถูก ผมจบเห่แน่

    แล้วทำไมคำถามข้อนี้ของผมมันถึงได้ง่ายแบบนี้ก็ไม่รู้

   "หนังเรื่องแรกที่เข้าไปดูในโรงด้วยกันคือเรื่องอะไร"

   น้องหมียิ้มกริ่ม คงรู้คำตอบล่ะสิท่า ก็ตอนนั้นได้ไปดูหนังในโรงบ่อยๆ ที่ไหน ช่วงประถมถึง ม.ต้น ดูแบบนับเรื่องได้ น้องหมีไม่มีทางตอบผิดแน่

   "บางระจัน"

   ผมจ้องหน้าน้องหมีอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่น้องมันยังทำหน้ามั่นใจเต็มที่ โดยหารู้ไม่ว่าคำตอบที่ตัวเองตอบมามันผิด

   "นางนากต่างหาก" ผมวางคำตอบลงบนพื้น ทำไมไม่รู้แต่รู้สึกผิดหวังชะมัด ได้เข้าโรงหนังครั้งแรกด้วยกันเราตื่นเต้นกันจะตาย แต่น้องมันดันตอบผิด

   "อ้าว ไม่ใช่บางระจันเหรอ"

   "ไม่ใช่"

   "แล้วเอาไงดี ได้หนึ่งคะแนนเท่ากัน"

   อุตส่าห์คิดเกมให้ยุ่งยากก็ยังจะเสมอ แถมตอบถูกกันแค่คนละข้อ เป็นการฟื้นความจำวัยเด็กที่ล้มเหลวเป็นที่สุด ขนาดตัวเต็งอย่างน้องหมียังตอบผิดแบบไม่น่าให้อภัยอย่างกับแกล้งทำ แล้วทีนี้จะใช้วิธีไหนตัดสินกันดี หรือยกเลิกบทลงโทษไปเลยมั้ย เก็บของแล้วนอนกันดีกว่า

   "เป่ายิงฉุบ" แล้วน้องหมีก็เสมอวิธีตัดสินออกมา

   ระดมสมองเล่นเกมจนหัวระเบิด สุดท้ายก็ต้องมาตัดสินกันด้วยการเป่ายิงฉุบ

   "ยัน ยิง เยา ปั๊กกะเป้ายิ้งงงงงงง...ฉุบ"



   แล้วผู้แพ้ก็ต้องยอมรับชะตากรรม

   ผมนั่งขำท้องขดท้องแข็งตอนน้องหมีเดินออกมาจากห้องน้ำ ชุดพยาบาลยั่วสวาทรัดติ้วแถมปริสั้นหมิ่นเหม่แทบจะปิดก้นกับส่วนหน้าที่ปูดโปนออกมาไม่มิด ตอนแรกน้องหมีเหมือนจะอายแต่พอมายืนจังก้าตรงหน้าผมก็โพสท่าเหมือนนักเพาะกายเวลาขึ้นประกวด ซึ่งมันไม่เข้ากับชุดที่ใส่อยู่เลยสักนิด

   "โพสท่าเซ็กซี่ดิ"

   "แล้วนี่ไม่เซ็กซี่ตรงไหน" บอกแล้วก็ยังไม่หยุดโพสท่านักเพาะกายอีก

   "มันทุเรศ" บอกไปตามความจริงน้องหมีก็เบะปากใส่ นี่คิดว่าตัวเองน่ารักมากหรือไง

   "แล้วโพสยังไงให้เซ็กซี่"

   "คิดเองดิ" ผมก็ไม่รู้หรอกว่าโพสท่ายังไงให้มันดูเซ็กซี่ ปกติชอบแต่แนวน่ารักหวานๆ ถ้าให้โพสท่าแบ๊วๆ ยังพอนึกได้อยู่ ท่ายูรุชิเตะเนี้ยงเป็นน้องแมวของโมโมจิก็น่ารัก แต่น้องหมีเป็นแมวยั่วสวาทคงต้องเป็นฮารุเนี้ยง

   ยืนคิดอยู่สักพักน้องหมีก็เปลี่ยนมาอยู่ในท่าคลาน มองมาด้วยสายตายั่วสวาทในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกะทันหันจนผมเองยังตกใจ และตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อน้องมันค่อยๆ คลานเข้ามาหา นี่มันไม่ได้น่าดูเลยนะเว้ย น่ากลัวกว่าผีในสวนสนุกฟูจิคิวอีก

   "แบร์ น่ากลัวว่ะ" ผมขยับหนีขึ้นไปบนเตียงตอนน้องหมีคลานเข้ามาใกล้ แต่น้องมันก็ไม่ลดละความพยายามคลานตามขึ้นมาอีก

   แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้วโว้ยยยยย!!!

   "คนไข้อย่าหนีสิคะ มาให้หนูฉีดยาซะดีๆ"

   ขอเปลี่ยนจากน้องหมีขั้วโลกเป็นน้องหมีควายได้มั้ย เจอเวอร์ชั่นดัดเสียงทำท่ากวักมือเรียกแถมกัดปากยั่วยวนผมก็ขำเป็นบ้าเป็นหลัง ถอยหลังติดหัวเตียงจนต้องยกมือดันตัวคนที่คลานมาจนเกือบจะคร่อมผมไว้ทั้งตัวอยู่แล้ว
 
   "จะให้ฉีดยาตรงไหรดีคะ"

   "พอแล้ว ไปเปลี่ยนชุดไป" ผมผลักไหล่น้องมันออกแรงๆ แต่คนที่กำลังอินกับบทบาทนางพยาบาลไม่ยอมเลิกเล่นง่ายๆ

   "ฉีดตรงนี้" น้องหมีจิ้มที่เอวผมจนต้องรีบบิดตัวหลบ น้องมันต้องรู้แน่ๆ ว่าผมบ้าจี้

   "เฮ้ยหยุด!"

   "หรือจะฉีดตรงนี้ดี" พูดจบสองมือก็คว้าหมับที่เอว ตัวผมแข็งทื่อสบตาน้องหมีพยายามบอกให้หยุดในสิ่งที่กำลังจะทำ แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล

   "ฮ่าๆๆ"

   ทันทีที่นิ้วขยับตัวผมก็บิดไปซ้ายที่ขวาที พยายามจะหนีและดึงมือน้องมันออกแต่ไม่สำเร็จ ห้ามให้ตัวเองหยุดหัวเราะก็ไม่ได้ แถมยังห้ามน้องหมีให้หยุดจั๊กจี้ไม่ได้อีก

   "พอ ฮ่าๆๆ พอแล้ว โอยยย"

   หัวเราะจนเหนื่อยน้องหมีถึงได้หยุด แล้วยังมีหน้ามานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้อีก ไปเปลี่ยนออกสักทีเถอะไอ้ชุดนี้ มันติดตา มองจนตาจะเสีย ยิ่งนั่งคร่อมตัวผมไว้แบบนี้กระโปรงมันไหลขึ้นไปกองที่เอวหมดแล้ว ไม่ได้อยากจะดูเลยไอ้กางเกงในสีน้ำเงินเนี่ย

   "ไปเปลี่ยนชุดไป เลิกเล่น จะนอนแล้ว" ผมเอื้อมมือไปดึงกระโปรงให้ลงมาคลุมเป้า ใช้มือผลักแถมใช้เท้ายันช่วยอีกแรงตอนน้องหมียังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน 

   แล้วอยู่ๆ น้องหมีก็โน้มตัวลงมาใกล้จนผมต้องหยุดทั้งมือทั้งเท้าที่พยายามยันน้องมันออก แขนยาวๆ ยื่นมาหาจนเผลอหลับตาเพราะกลัวจะโดนแกล้งจั๊กจี้ให้ขำจนหมดแรงอีก แต่มือที่ยื่นมานั้นกลับวางแหมะลงบนหัวผมแล้วออกแรงขยี้จนผมผมยุ่งไปหมด

   นี่เพื่อนเล่นเหรอมาเล่นหัวกันเนี่ย

   ผมลืมตาขึ้นมองเห็นน้องหมียกยิ้มบางๆ แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำไป จัดทรงผมให้ทางที่ทางเข้าเสร็จผมก็เอนตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงจนมิด

   ใจผมกำลังสั่น มันหวิวๆ วูบๆ จะว่าคล้ายกับตอนได้จับมือกับไอดอลที่ชอบก็ไม่ใช่เพราะมันมากกว่านั้น มันไม่ใช่อาการตื่นเต้น แต่มันเป็นอาการหวั่นไหว

    บ้าไปแล้วแน่ๆ มันเป็นแบบนี้ได้ไง เพราะความน่ากลัวตอนน้องหมีใส่ชุดนางพยาบาลกับกางเกงในสีน้ำเงินที่โผล่มาทักทายแน่ๆ ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ



TBC.



และแล้วชุดนางพยาบาลก็ได้เอามาใช้ประโยชน์
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า
   
   


ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
«ตอบ #39 เมื่อ27-04-2017 01:25:32 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
« ตอบ #39 เมื่อ: 27-04-2017 01:25:32 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
«ตอบ #40 เมื่อ27-04-2017 08:07:52 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
«ตอบ #41 เมื่อ27-04-2017 15:23:56 »

นึกว่าพี่อินจะได้ใส่ ความโมเอะกลายเป็นสยองขวัญ  :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
«ตอบ #42 เมื่อ27-04-2017 19:05:45 »

กรรมตามสนอง..

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
«ตอบ #43 เมื่อ27-04-2017 22:57:53 »

พลิกล็อก  :z3: :z3: :z3:
คิดว่าคนที่ต้องใส่ชุดนางพยาบาลต้องเป็นอิน
แต่กลับเป็นหมี ซะนี่
แต่อย่างน้อย แบร์ ก็ทำให้พี่อิน เริ่มหวั่นไหวแล้ว
นี่ความจำดีกันมากเลย  :ling1: :ling1: :ling1:
ย้อนไปถึงวัยอนุตูม .....เอ๊ย อนุบาล เลยนะเนี่ย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #44 เมื่อ03-05-2017 20:47:33 »



วันที่ 5


   เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าห้องจะเละเทะคาสภาพเดินไว้ตั้งแต่เมื่อวานเสียอีก แต่ปรากฏว่าทุกอย่างผิดคาด พื้นห้องสะอาดเอี่ยม เศษซากของกินถูกเก็บใส่ถังขยะไว้อย่างเรียบร้อย ไม่นึกเลยว่าคนเมาจะมีอารมณ์มาเก็บของก่อนเข้านอนได้ อีกอย่างเช้านี้น้องหมียังดูสดใสเป็นปกติไม่มีอาการเมาค้างเลยสักนิด กลายเป็นผมเองที่ยังง่วงสะลึมสะลือเพราะเก็บเอาเกมที่เล่นกันไปฝันถึงทั้งคืน รายละเอียดเป็นยังไงผมก็จำไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าในความฝันนั้นมีน้องหมีกับเหตุการณ์วัยเด็กหลายๆ อย่างที่ผมจำไม่ได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

   เนื่องจากวันนี้เราต้องย้ายเมืองจากโตเกียวไปโอซาก้า ตื่นนอนทำธุระส่วนตัวเสร็จกันแต่เช้าก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมลากกระเป๋าไปยังสถานีรถไฟที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ขึ้นรถไฟไปลงสถานีชินากาว่าเพื่อต่อชินคันเซ็น รถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงที่กำลังจะได้นั่งเป็นครั้งแรก

   ถึงจะบอกย้ายไปโอซาก้าแต่จริงๆ แล้วแผนการท่องเที่ยวของวันนี้อยู่ที่ชิซุโอะกะ หนึ่งในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องจุดชมวิวภูเขาไปฟูจิ แต่วันนี้ผมไม่ได้จะไปดูฟูจิ ในเมื่อเห็นมาเต็มตาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน มาเที่ยวฤดูใบไม้ผลิจุดสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือซากุระ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปดูซากุระกัน

   ก่อนขึ้นชินคันเซ็นผมกับน้องหมีซื้อเบนโตะเอาไว้กินบนรถไฟเป็นอาหารเช้ากันละคนกล่อง เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งบนรถไฟในญี่ปุ่นที่ผมว่านักท่องเที่ยวควรลอง เพราะรถไฟที่นี่เขาไม่ห้ามเอาอาหารขึ้นมากินเหมือนบ้านเรา

   ก่อนถึงเวลาที่ระบุในตั๋วเจ้ารถไฟหัวกระสุนก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลา ผมกับน้องตั้งกล้องกันทั้งคู่เพื่อจับภาพวินาทีที่รถไฟวิ่งผ่านเอาไว้ ผมเลือกถ่ายวิดีโอแทนการถ่ายรูป เมื่อรถไฟจอดสนิทก็กดหยุดแล้วหันไปหาน้องหมีที่ยืนอยู่ข้างหลัง

   "ถ่ายทันมั้ย"

   "ทัน" น้องหมีละสายตาจากกล้องที่ยังถือถ่ายเอาไว้อยู่ รอยยิ้มบางๆ แต้มบนริมฝีปากตลอดเวลาจนกระทั่งปิดกล้องเก็บใส่กระเป๋า วันนี้น้องมันดูอารมณ์ดีแฮะ

   "ขึ้นรถกัน"

   ที่นั่งบนชินคันเซ็นฝั่งหนึ่งจะเป็นสามที่นั่ง ส่วนอีกฝั่งเป็นสองที่นั่ง ผมกับน้องหมีได้ที่นั่งคู่เพราะจองเอาไว้ตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงโตเกียว หาที่นั่งเจอเก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลาหม่ำมื้อเช้า เปิดถาดวางของด้านหน้าหยิบกล่องข้าว น้ำและขนมขึ้นมาวาง จากนั้นก็ได้เวลาจัดการ

   ข้าวกล่องของผมเป็นข้าวหมูทอดทงคัตสึ ส่วนของน้องหมีเป็นข้าวกล่องที่อัดหลายๆ อย่างไว้รวมกัน ทั้งเนื้อวัวตุ๋น ปลาแซลม่อนย่าง ไข่หวาน ผักต้ม แถมด้วยแซนวิสทงคัตสึอีกกล่องเพราะน้องมันกลัวไม่อิ่ม กลายเป็นมื้อข้าวกล่องที่แพงกว่านั่งกินตามร้านเสียอีก

   "อ่ะ ให้ไข่หวาน" น้องหมีคีบไข่หวานที่มีแค่ชิ้นเดียวมาวางบนข้าวผม รู้อีกว่าผมชอบไข่หวาน แต่แบบนี้มันจะดีเหรอ

   "มีชิ้นเดียวจะแบ่งทำไม"

   "ก็อยากให้กิน ดูที่ซื้อมาดิมีแค่หมูกับข้าว" ว่าแล้วก็ใช้ตะเกียบชี้กล่องข้าวผม ก็คนมันอยากกินแค่นี้นี่หว่า

   "งั้นเอานี่ไป" ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยเท่าเทียมเท่าไร ผมคีบบ๊วยของไม่โปรดที่มีในกล่องผมแต่ไม่มีในกล่องน้องมันไปให้ สำหรับน้องหมีผู้ที่กินได้ทุกอย่าง

   กินข้าวเสร็จก็จัดขนมต่อ ผมแกะห่อเยลลี่ผลไม้โคโรโระหยิบใส่ปากเคี้ยวๆ กลืน อร่อยฟินต้องบอกต่อ ก่อนยื่นไปให้น้องหมีที่กำลังเพลิดเพลินกับแซนวิสทงคัตสึ

   "อันนี้อร่อย"

   "อันนี้ก็อร่อย"

   และแล้วก็เกิดการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมขึ้นอีกหนึ่งรอบ ยืนขนมเยลลี่ไปให้จากนั้นได้แซนวิสไส้หมูทอดชิ้นหนากลับมา ผมให้น้องมันทั้งถุงยังไม่ได้ครึ่งราคาของแซนวิสชิ้นนี้เลยมั้ง

   หนังท้องตึงหน้าตาก็เริ่มหย่อน กินเสร็จแล้วก็ได้เวลานอน เจอกันอีกทีตอนถึงชิซุโอะกะ



   ใช้เวลาห้าสิบห้านาทีชินคันเซ็นก็พาเรามาถึงสถานีชิซุโอะกะ ผมกับน้องหมีช่วยกันยกกระเป๋าลงจากชั้นวางลากออกจากรถไฟเดินเตาะแตะงัวเงียเพื่อไปต่อรถไฟอีกสาย และมันช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้ก็ไม่รู้ ลงจากชานชาลาปุ๊บเจอทางเชื่อมไปอีกชานชาลาปั๊บ แต่เรายังไปไม่ได้ ต้องไปหาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าก่อน

   ด้วยความเด๋อด๋าเหมือนเด็กเพิ่งออกมาเผชิญโลกภายนอกกว่าจะหาคอยล็อคเกอร์ผมก็พาน้องหมีเดินวนในสถานีชิซุโอะกะไปหนึ่งรอบ เสียเงินไปห้าร้อยเยนแลกกับความสบายตัวพร้อมเดินกลับไปขึ้นรถไฟ แต่เดินมายังไม่ถึงสิบก้าวความหลงลืมก็ทำพิษ

   "พี่อิน แบร์ลืมเอากล้องออกมา"

   "เอ้า!"

   "กลับไปเอาได้มั้ย"

   "ได้ แต่ต้องเสียอีกห้าร้อยนะ"

   พอบอกว่าต้องเสียเงินอีกรอบน้องหมีก็ทำหน้ายู่ทันที จะไปดูซากุระแต่ดันลืมกล้องซะงั้น

   "จะกลับไปเอามั้ย"

   "เอาดิ"

   สุดท้ายก็ต้องเสียเงินอีกห้าร้อยเยนเพื่อเอากล้องออกจากล็อคเกอร์ แวะเข้าห้องน้ำอีกสักหน่อย ออกมาจากห้องน้ำเจอร้านขายขนมก็อดไม่ได้ต้องแวะอีก

   "เราต้องไปขึ้นรถไฟกี่โมงนะ" น้องหมีถามตอนกำลังเลือกซื้อขนม เพราะเราต้องขึ้นรถไฟตามเวลาที่กำหนดไว้ในแผนเพื่อไปให้ทันรถไฟจักรไอน้ำที่จองเอาไว้ แต่ผมเผื่อเวลาที่นี่เอาไว้เยอะ เกือบสี่สิบนาทีได้

   "ไม่รีบ ตามสบายเลย" ตอบคำถามแล้วผมก็เดินแยกไปดูขนมอีกฝั่ง

   ซื้อขนมจนพอใจ เดินย้ำต๊อกขึ้นบันไดมาถึงชานชาลาด้วยความอืดอาดรถไฟขบวนหนึ่งก็แล่นผ่านหน้าไปพอดี ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูรู้สึกตงิดนิดๆ ตอนนี้เวลาเก้าโมงสี่สิบสามนาที ซึ่งเวลานี้มันก็ดูใกล้เคียงกับขบวนรถที่ต้องขึ้น แต่ไม่ใช่หรอกมั้ง เผื่อเวลาไว้เยอะแล้วขบวนที่เราจะขึ้นไม่น่าใช่ขบวนนั้น

   "เราต้องขึ้นรถไฟกี่โมงนะ"

   "แป๊บนะ"

   น้องหมีค้นกระเป๋าเป้อยู่พักนึงก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มแหย

   "แบร์ทำแผนเที่ยวหายว่ะ"

   "เอ้า!"

   ซวยแล้วไหมล่ะคราวนี้ แผนเที่ยวเรามีกันคนละเล่มก็จริง แต่วันนี้ตกลงกันว่าจะใช้เล่มของน้องหมีที่สภาพยับเยินใกล้ขาด ผมเลยเก็บของผมไว้ในกระเป๋าเดินทางซึ่งตอนนี้มันอยู่ในล็อคเกอร์ และถ้าไม่มีแผนเที่ยวให้ดูการเดินทางวันนี้อาจจะล่มก็ได้ เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้น

   "แบร์โหลดเก็บไว้ในไอแพดอยู่ ขอเปิดดูแป๊บ"

   ผมยกนาฬิกาขึ้นดูอีกรอบระหว่างรอน้องหมีปัดๆ เลื่อนๆ ไอแพดหาไฟล์ อยู่ๆ ก็รู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา

   "พี่อิน" น้องหมีเรียกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

   และเราก็เผชิญกับข่าวร้ายที่สุดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางกันมา

   "เราต้องขึ้นรถไฟตอนเก้าโมงสี่สิบสอง"

   งั้นก็หมายความว่า

   "เราตกรถไฟ"

   ใจผมวูบตกไปอยู่ตาตุ่มรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันที หันซ้ายแลขวากระวนกระวายพยายามหาทางออก รอบรถไฟจักรไอน้ำที่จองไว้ถ้าไม่ได้ไปรถไฟขบวนนั้นยังไงก็ไปไม่ทัน แล้วถ้าไปไม่ทันที่นั่งที่จองไว้ก็จะเสียเปล่า ถึงรอไปรอบต่อไปก็ไม่รู้จะมีที่นั่งว่างให้ซื้อมั้ย เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แนะนำให้จองก่อน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลที่นักท่องเที่ยวเยอะแบบนี้ด้วย

   "เอาไงดี ไปแท็กซี่กันมั้ย"

   "พี่อินใจเย็นๆ ก่อน"

   "เย็นไม่ได้แล้วเว้ยแบร์ ถ้าไปไม่ทันทำไงอ่ะ ที่นี่อินอยากไปที่สุดในทริปเลยนะ"

   "เรารอรถไฟรอบต่อไปก็ได้"

   "ไปไม่ทันแน่ๆ แล้วถ้ารถรอบต่อไปมันเต็มล่ะ เราจะไปกันยังไง"

   "พี่อิน"

   "ไปแท็กซี่ เผื่อจะทัน"

   "พี่อิน"

   น้องหมีคว้าแขนผมไว้ก่อนจะได้วิ่งลงบันไดเพื่อไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าสถานี สายตานิ่งๆ ที่มองมาทำให้ผมหยุดต้องท่าทางกระวนกระวายอยู่ไม่สุข น้องมันก็ดูเครียดแต่กลับเครียดอย่างมีสติ ไม่กระโตกกระตากโวยวายแถมยังบอกให้ผมใจเย็น

   "ไปแท็กซี่ก็ไม่ทันหรอก ไม่งั้นจะมีรถไฟไว้ทำไม" คนที่รู้เรื่องญี่ปุ่นน้อยกว่าแต่กลับคิดได้ก่อนผมที่รั้นจะหาทางไปให้ได้เร็วๆ

   ที่นี่คนนิยมใช้รถไฟมากกว่ารถส่วนตัวเพราะมันสะดวกและเข้าถึงแทบทุกที่ จากสถานีนี้นั่งรถไฟประมาณสามสิบนาทีและผมไม่รู้เลยว่าถ้าเรานั่งแท็กซี่ไปจะใช้เวลาเท่าไร แถมค่าแท็กซี่ยังแพงมากถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง

   "แต่ยังไงเราก็ไปไม่ทันรถไฟที่จองไว้แน่ๆ" ผมมองรถไฟขบวนถัดมาที่จอดเทียบชานชาลาอย่างหมดความหวัง

   "แล้วพี่อินไม่อยากไปแล้วเหรอ"

   "อยากไปดิ"

   "งั้นก็ไปกัน" น้องหมียกยิ้มเหมือนต้องการปลอบประโลมใจผมที่กำลังแตกสลาย ฝ่ามือใหญ่ๆ คว้ามือผมไว้พาเดินขึ้นรถไฟทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อ

   นานมากแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้มากขนาดนี้ ครั้งล่าสุดคงเป็นตอนที่ไปคอนเสิร์ตจบการศึกษาของไอดอลที่ชอบล่ะมั้ง ตอนนั้นร้องเพราะเสียใจ ใจหายที่จะไม่ได้เห็นคนคนนั้นในแบบที่เราอยากให้เป็นอีก แต่ความรู้สึกตอนนี้มันวุ่นวายไปหมด จุกในอก รู้สึกตื้อๆ ใจโหวงๆ ยังคงกระวนกระวายแต่ผมพยายามเก็บอาการเอาไว้ เพราะตั้งความหวังไว้เยอะ เพราะตั้งใจที่จะไปมาก พอพลาดก็เหมือนทุกอย่างที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย และผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันยังไง

   รถไฟวิ่งไปตามเส้นทางของมัน ผ่านบ้านเรือน ผ่านต้นไม้ ผ่านภูเขา วิ่งขึ้นสะพาน ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างไม่เร่งรีบ ต่างกับใจผมที่อยากจะวิ่งแซงไปเร็วๆ แต่ทำไม่ได้เพราะไม่รู้เส้นทาง ไม่รู้อะไรเลย
 
   "เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว" หน้าตาผมคงคร่ำเครียดมากจนคนข้างๆ ต้องยื่นมือมาช่วยนวดระหว่างคิ้วให้

   "ถ้าไม่ได้ไปแล้วเราจะไปไหนกันดี"

   "ได้ไปดิ"

   "แล้วถ้าไม่ได้ไป"

   "ไปดูหน้างานกันก่อนแล้วค่อยคิด โอเคมั้ย"

   ผมถอนหายใจดังเฮือกเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ น้องหมียกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่พยายามทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากกว่า

   เอาเถอะ ไปดูหน้างานก่อนก็ได้ ระหว่างนี้ก็ตัดใจไปพลางๆ



   แต่บางที ทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

   อีกครึ่งชั่วโมงต่อพวกเราก็มาถึงสถานีคานายะเพื่อเปลี่ยนรถไฟ แน่นอนว่ารถไฟที่จองไว้ก่อนหน้านี้มันออกไปได้สักพักแล้ว แต่รอบต่อไปยังเหลือที่ว่างให้เราซื้ออยู่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนได้ตั๋วมาอยู่ในมือ ยิ้มด้วยความสบายใจได้อย่างเต็มที่ น้องหมีเองก็เหมือนกัน

   "ไปเดินเที่ยวแถวๆ นี้กันมั้ย" ผมชวน เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายนาทีกว่ารถไฟจะออก

   "เดี๋ยวก็ตกรถไฟอีกหรอก" พูดแล้วก็ขำ นี่ถ้าไม่ได้ตั๋วมาอยู่ในมือแล้วผมจะไม่ขำด้วยนะ และถ้าตกรถรอบนี้อีกก็กลับกันเลยเถอะ

   "ไม่มีทาง"

   ที่ชิซุโอกะขึ้นชื่อเรื่องชาเขียว เพราะฉะนั้นแถวนี้เลยมีไร่ชาเต็มไปหมด เราออกมาจากสถานีรถไฟ เดินผ่านบ้านเรือนขึ้นเนินเขามาเรื่อยๆ ผ่านทางที่มีต้นไม้รกครึ้มทั้งสองข้างทาง จนเจอวิวไร่ชาสวยๆ ผมเลยชวนน้องหมีนั่งพักใต้ต้นไม้แถวนั้น

   "รู้สึกดีขึ้นมั้ย"

   "ดีขึ้นเยอะเลย" ถ้าเทียบกับตอนอยู่บนรถไฟตอนนี้ผมใจเย็นลงมากแล้ว จะว่ากลับสู่สภาวะปกติแล้วก็ได้

   ผมเอนตัวพิงกับต้นไม้หลับตาลงรับสัมผัสจากสายลมเย็นที่พัดผ่านมา เรื่องตอนตกรถไฟถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นความผิดผมล้วนๆ ชะล่าใจ ไว้ใจตัวเองเกินไป สุดท้ายเกือบล่มไม่เป็นท่า ยังดีที่น้องหมีคุมสติอยู่ไม่ลนลานแบบผม กลายเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์วันนี้ไปเลย

   "ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจไปขึ้นแท็กซี่จะเป็นยังไง" มันก็น่าคิดถ้าเราเลือกวิ่งไปขึ้นแท็กซี่หน้สถานีแทนที่จะรอรถไฟรอบต่อไป

   "ก็เสียเงินเพิ่ม"

   "คิดว่าจะไปทันเวลามั้ย"

   "คงไม่"

   "รู้ได้ไง"

   "จะลองกลับไปมั้ยล่ะ ลองดูว่าจะใช้เวลากี่นาที"

   "อย่ามากวน" ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างน้องมัน ว่าจะชงเข้าเรื่องซึ้งๆ อย่ามาทำให้หมดอารมณ์ได้มั้ย

   น้องหมียกมือลูบสีข้างทำทีเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา พอเล่นละครแล้วผมไม่สนใจก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายผมแทน

   ปกติจะไม่เขินหรอกเพราะโดนแอบถ่ายแบบไม่ค่อยจะรู้ตัว แต่แบบนี้มันใกล้เกินไป เลนส์กล้องจะจิ้มหน้าอยู่แล้ว
ผมยกมือขึ้นเปิดหน้ากล้องพลางกดเบาๆ ให้น้องหมีลดกล้องลง
 
   "ทำไมพี่อินไม่ชอบถ่ายรูปอ่ะ"

   "ไม่ค่อยชอบเก๊กท่า เวลาโดนมองแล้วมันเขิน" จะบอกว่าผมไม่ชอบถ่ายรูปเลยก็ไม่ถูกซะเดียว เซลฟี ถ่ายเล่นกับกลุ่มเพื่อนก็บ่อยอยู่ แต่ผมไม่ชอบเวลาต้องยืนเก๊กท่าคนเดียวแล้วให้คนอื่นถ่าย มันเขินเวลาโดนมอง

   "ไม่ชอบให้คนอื่นมองผ่านเลนส์"

   "งั้นมั้ง"

   "งี้แบร์ก็พิเศษอ่ะดิ ได้มองมาตั้งหลายวัน"

   "แอบมองไม่นับ"

   น้องหมียู่หน้าเหมือนโดนขัดใจก่อนจะยกกล้องขึ้นส่องผมอีกรอบ เพราะขี้เกียจจะห้ามเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ผมไม่เขินแล้วกับตากล้องคนนี้

   "มีอะไรอยากจะพูดมั้ย"

   "พูดอะไร"

   "อะไรก็ได้"

   "ถ่ายวิดีโอเหรอ" ผมชะเง้อไปมอง คนถ่ายก็เอนตัวหนี

   เดี๋ยวมีการอัพเกรดจากภาพนิ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว

   "พูดอะไรหน่อย"

   ผมหันไปยิ้มให้กล้องหนึ่งทีแล้วหันหน้าหนีให้น้องมันถ่ายด้านข้างไป วันนี้มีเรื่องที่จะบอกน้องหมีอยู่แล้ว ถ่ายวิดีเก็บไว้ก็ได้ เปิดดูบ่อยๆ ก็ดี จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้และผมรู้สึกขอบคุณแค่ไหน

   "วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวอิเอะยาม่ากัน มันอยู่ไกลมากกกกกต้องนั่งรถไฟตั้งหลายต่อ แต่ดันเอ้อระเหยจนตกรถไฟซะงั้น กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก โชคดีได้คนหน้าตาดีแถวนี้ช่วยเตือนสติไว้ ไม่งั้นได้เสียค่าแท็กซี่หัวบานแน่ๆ"

   "คนหน้าตาดีชื่ออะไรนะ"

   ผมหันไปมองเห็นน้องหมีหัวเราะร่า มีการมาต่อมุกชงให้ตัวเองได้อีก

   "ชื่ออิน"

   ได้ฟังคำตอบถึงกับละสายตาออกจากกล้องโผล่หน้ามามองผม แค่สวมรอยนิดหน่อยมาทำหน้าเคืองใส่ ล้อเล่นหรอกน่า

   "แบร์ ขอบคุณนะที่ช่วยเตือนสติ" ผมไม่ได้มองกล้อง แต่มองคนที่กำลังอมยิ้มจนตาเกือบหยี

   โชคดีจริงๆ นั่นแหละที่ทริปนี้มีน้องหมีมาด้วย กลับไทยเมื่อไรผมจะไปขอบคุณแม่ที่เอาเรื่องนี้ไปเม้าท์ให้ป้าวาดฟัง



   จากสถานีคานายะต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นไปลงสถานีชินคานายะแล้วต่อรถไฟจักรไอน้ำอีกทีกว่าจะถึงที่หมาย เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนนั่งรถไฟหลายต่อจนเกือบรู้สึกท้อทีเดียว แต่พอได้ยลโฉมรถจักรไอน้ำที่กำลังพ่นควันสีเทาออกมาความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายแหล่ก็ถูกโยนทิ้งกลายเป็นความตื่นเต้นเข้ามาแทน

   ผมเรียกน้องหมีมาถ่ายรูปคู่เก็บไว้ ก่อนจะเดินแยกไปเก็บภาพรถจักรไอน้ำกันคนละมุม ผมถ่ายไว้แค่สองสามรูปเหมือนอย่างเคยก่อนออกมายืนมองมันห่างๆ รอน้องหมีที่แพลนกล้องไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ ก่อนเจ้าตัวจะแพลนกล้องมาที่ผม

   จะแอบถ่ายกันอีกแล้วหรือไง

   "เจอกล้องแล้วหันหน้าหนีทุกที" น้องหมีส่ายหน้ายิ้มตอนเดินเข้ามาหา

   แอบถ่ายเขาแล้วมีสิทธิมาบ่อยด้วยหรือไง
 
   ใกล้ถึงเวลานักท่องเที่ยวก็ทยอยกันขึ้นรถไฟ โบกี้ของเราอยู่เกือบท้ายขบวน ที่นั่งเป็นแบบหันหน้าเข้าหากัน ได้เพื่อนร่วมทริปเป็นคุณป้ากับลูกชายวัยประถม แต่โชคร้ายที่เราต้องนั่งหันหลังสวนกับทางที่รถไฟวิ่งไป

   เส้นทางของรถไฟสายนี้จะลัดเลาะไปตามแม่น้ำโออิกาวะ ผ่านภูเขา    บ้านเรือนและไร่ชา มีเสียงบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างตลอดทาง

   "พี่อินๆ ดูนี่ๆ" น้องหมีเรียกเสียงตื่นเมื่อข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่านมีซากุระบานเรียงรายเป็นแนวยาว
 
   ผมรีบหยิบกล้องมือถือขึ้นมาถ่าย แต่มันเบลอบ้าง ติดสายไปบ้าง ติดหน้าต่างรถไฟบ้าง ใช้ไม่ได้สักรูป จนรถไฟจอดที่สถานนีอิเอะยาม่าถึงได้รู้ว่าถึงที่หมายแล้ว และซากุระริมทางรถไฟที่ผ่านมาเมื่อกี้นี้ก็คือที่นี่ผมตั้งใจอยากจะมา

   ลงรถไฟได้ผมกับน้องหมีก็เดินตามคนส่วนใหญ่ไป เขาไปไหนเราไปด้วย จนมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่สองข้างทางมีต้นซากุระปลูกเรียงรายอยู่ เป็นจุดที่ผมเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งในรีวิวซึ่งมันสวยมาก แต่วันนี้ ในวันนี้ที่ผมได้มาเห็นกับตา ดอกซากุระมันกลับยังไม่บาน

   "ทริปนี้จะได้เห็นซากระบานสวยๆ กับเขาบ้างมั้ยเนี่ย" ผมบ่นอย่างอดไม่ได้ เป็นทริปที่โชคร้ายที่สุดตั้งแต่ที่เคยมา เป้าหมายหลักที่ตั้งใจไว้ไม่สมหวังสักอย่าง

   "แต่ที่เรานั่งรถผ่านมากันเมื่อกี้มันก็บานนะ"

   "บานนิดเดียวเอง"

   "เอาน่า อยากมาไม่ใช่เหรอ"

   "แต่มันไม่เหมือนอย่างที่คิดไง"

   เจอโหมดงอแงเข้าไปน้องหมีคงเพลียกับผมแน่ๆ ตอนตกรถไฟก็โวยวาย มาถึงไม่เจอซากุระบานอย่างที่ตั้งใจไว้ก็โวยวายอีก

   "ก็ยังดีกว่าไม่ได้มาล่ะน่า ไปเร็ว"

   ผมเดินตามน้องหมีลงจากสะพาน เดินเลียบไปตามริมแม่น้ำที่มีคนมานั่งปิกนิคอยู่ประปราย ถึงซากุระจะยังไม่บานแต่อากาศเย็นสบายกับธรรมชาติรอบตัวก็พอจะกลับช่วยดึงอารมณ์ขุ่นมัวของผมให้กลับมาเป็นปกติได้

   "ปีนี้ยังไม่บาน หวังว่าปีหน้าคงจะบานนะ" มองดอกตูมๆ ที่ติดอยู่กับกิ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง

   ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะมาที่นี่อีกสักครั้ง มาค้างแถวนี้เลยก็ได้ มาทุกวัน มาจนกว่าจะเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งรอบแม่น้ำสายนี้

   
   จากสะพานเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็เจอกับจุดชมซากุระเลียบทางรถไฟ จริงๆ มันเลียบไปกับถนนด้วย มีร้านขายของกินเปิดสองฝั่งข้างทาง ซากุระตรงจุดนี้มันบานแบบกั๊กๆ ไม่ได้บานสะพรั่งแบบที่อยากเจอ มันสวยแต่ก็สวยไม่สุด

   ผมกับน้องหมีเดินเทอดน่องไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปตามถนน สุดทางแล้วก็เดินกลับ แวะกินโซบะข้างทางประทังความหิวก่อนไปนั่งทิ้งอารมณ์ใต้ต้นซากุระริมแม่น้ำที่เดินผ่านตอนขามา

   "ปีหน้าพี่อินจะมาอีกเหรอ"

   ผมหันไปมองน้องหมีที่ถามขึ้นอย่างกับรู้ใจผมงั้นแหละ ก็ไอ้ที่พร่ำเพ้อไปก่อนหน้านี้ผมพูดคนเดียว คุยกับดอกซากุระตูมๆ เป็นการให้คำมั่นสัญญากัน

   "แบร์หมายถึงที่นี่น่ะ"

   "ถ้ามีโอกาสก็อยากมา ทำไม จะมาด้วยเหรอ"

   "อืม อยากมา"

   "ชอบซากุระแล้วอ่ะดิ"

   "แค่อยากมากับพี่อิน" น้องหมียิ้มบางๆ ตอนพูดมันออกมา

   ได้ฟังประโยคแบบนี้ทีไรใจผมมันก็พองโตรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันน่าชื่นใจนะที่มีคนเห็นว่าเราสำคัญ อยากอยู่ด้วยหรืออยากไปไหนมาไหนด้วยกัน ยิ่งกับน้องหมีที่ตอนเด็กแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา ผ่านไปหลายปีสิ่งที่ผมคิดว่าจะเปลี่ยนไปหลายอย่างกลับยังเหมือนเดิม และมีบางอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองก็ยังไม่มั่นใจ

   "เออพี่อิน รู้ใช่ป่ะว่าทำไมแบร์ถึงเรียบจบช้า" แล้วประเด็นใหม่กับเรื่องในอดีตก็ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยเจ้าตัวเอง

   "ติดเพื่อนไม่ใช่เหรอ"

   "เปล่า จริงๆ แล้วติดแฟน"

   "จริงดิ" ผมเลิกคิ้วมอง ที่ผ่านมาเข้าใจว่าน้องหมีติดเพื่อนมาโดยตลอด เพราะแม่น้องมันบอกมาแบบนั้น เป็นความร้ายกาจของน้องหมีที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กนิสัยน่ารักอย่างน้องมันจะทำตัวแบบนี้ได้

   "จริง"

   "แล้วแม่ไม่รู้เหรอว่าเป็นแฟน หรือโกหก"

   "ไม่ได้โกหกหรอก แม่ดูไม่ออกเอง"

   "แยกเพื่อนกับแฟนของลูกไม่ออกเนี่ยนะ"

   "จะไปรู้เหรอ" พูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเปิดเป้หยิบขนมออกมากิน เป็นท่าทีเฉยเมยที่บอกให้รู้ว่าหัวข้อนี้ได้จบลงแล้ว

   ผมได้แต่ส่ายหน้า คนเราทุกคนย่อมมีความดื้อดึงอยู่ในตัว น้องหมีเองก็แสดงมันออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่มุมที่ผมเห็นจะเป็นด้านดีกับนิสัยที่ผมมองว่าน้องมันน่ารักมากกว่า ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งสารภาพมาผมไม่ขอออกความคิดเห็นแล้วกัน แต่สงสัยเรื่องที่ป้าวาดไม่รู้ว่าน้องมันมีแฟนจนคิดว่าติดเพื่อนนี่แหละ สองปีเชียวนะเวลาที่เสียไป คิดแล้วก็อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจริงๆ คนที่ทำให้น้องหมีผู้น่ารักของผมเสียผู้เสียคนได้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

   เอื่อยเฉื่อยอยู่ริมแม่น้ำจนใกล้เวลารถไฟขากลับเราก็เดินกลับไปที่สถานี รอบนี้ไม่มีพลาดไม่มีทางตกรถไฟ แถมยังมีเวลาเหลือให้แวะกินไอติมกูลิโกะอีก เป็นคอลเลคชั่นที่อยู่ในตู้กดไม่เหมือนกับที่ขายในประเทศไทย กินเสร็จขึ้นรถไฟจักรไอน้ำกลับไปสถานีคานายะ มุ่งหน้าสู่สถานีชิซุโอะกะ และนั่งชินคันเซ็นต่อไปยังโอซาก้าจุดหมายของค่ำคืนนี้



TBC.



ย้ายเมืองกัแล้วววววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #45 เมื่อ03-05-2017 23:31:57 »

แยกเพื่อนกับแฟนไม่ออก แสดงว่าแฟนเป็นผู้ชาย 555

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #46 เมื่อ03-05-2017 23:34:35 »

รึว่าแฟนเป็นผู้ชายเลยคิดว่าเป็นเพื่อน

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #47 เมื่อ03-05-2017 23:59:08 »

แฟนน้องหมีเป็นผู้ชายชัวร์ แม่ถึงแยกไม่ออก  :hao5:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #48 เมื่อ05-05-2017 08:03:38 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #49 เมื่อ05-05-2017 22:21:52 »

อยากไปเที่ยวญีปุ่นด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
« ตอบ #49 เมื่อ: 05-05-2017 22:21:52 »





ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #50 เมื่อ06-05-2017 03:29:49 »

อ่านไปก็ลุ้นไป
อ่านนิยายเหมือนได้เที่ยวเองเลยค่ะ  :hao6:

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #51 เมื่อ06-05-2017 07:42:45 »

สนุกมากเลยค่ะะ รอๆๆ ชอบเหมือนได้เที่ยวเองเลย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
«ตอบ #52 เมื่อ07-05-2017 17:37:59 »

 o13

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
«ตอบ #53 เมื่อ07-05-2017 18:17:08 »


คืนที่ 5



   มาถึงโอซาก้าท้องฟ้าก็มืดสนิท เดินงงกันในสถานีรถไฟอยู่สักพักในที่สุดก็คลำทางมาถึงโรงแรมจนได้ ที่โอซาก้าผมว่าเข้าใจยากกว่าโตเกียวเยอะเลย หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยมาจะขึ้นรถไฟแต่ละทีต้องหาชานชาลากันวุ่นวาย เพราะไม่รู้ว่าต้องขึ้นชานชาลาไหน

   จากสถานีชินโอซาก้า ขึ้นรถไฟอีกสองต่อลงสถานีชินอิมามิยะ โรงแรมที่ผมจองไว้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟไม่ถึงสิบก้าว เช็คอินเสร็จก็ลากกระเป๋าขึ้นชั้นสอง

   "ทางเดินกว้างดี"

   "หรือจะนอนทางเดิน"

   "อย่าดีกว่า" ว่าแล้วก็หัวเราะ

   ผมยิ้มรับมองน้องหมีที่เดินลากกระเป๋าอาดๆ ไม่ต้องค่อยๆ ใช้เท้าดันไปตามทางแคบๆ เหมือนที่โตเกียว แต่ดีใจไปเถอะ เห็นห้องพักแล้วอาจจะยิ้มไม่ออก

   มาถึงหน้าห้อง ไขกุญแจ เปิดประตูเปิดไฟ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็เรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์กันเลยทีเดียว

   น้องหมีอ้าปากเหวอมองห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่กว้างสักสามเมตรได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่มีฟูกวางไว้สองอันกับตู้เก็บของแค่นั้น

   "ห้องแค่เนี้ยะ!"

   "ก็แค่เนี้ยแหละ"

   ผมลากกระเป๋าเดินนำเข้าไปข้างใน ผ่านส่วนห้องน้ำที่ถูกกั้นออกมาจากห้องนอนรวมอยู่กับที่วางรองเท้า แล้วก็รู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมาทันที ขนาดว่าผมดูรูปอ่านรายละเอียดมาอย่างดีแล้วนะ แต่ห้องมันเล็กแบบคาดไม่ถึงจริงๆ สมกับเป็นโรงแรมราคาประหยัด

   กระเป๋าสัมภาระทุกอย่างถูกเก็บไว้ในตู้ที่หน้าตาเหมือนตู้นอนของโดเรมอนซึ่งความจริงแล้วเอาไว้ใช้เก็บฟูกที่นอน ของของผมเก็บชั้นล่าง ของของน้องหมีเก็บชั้นบน จัดการเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็เหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง เตรียมตัวออกไปหาอะไรใส่กระเพาะ

   "เราจะไปไหนกันนะ"

   ผมเหล่ตามองน้องหมีตอนเรากำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าประตู นอกจากจะจำแพลนไม่ได้แล้วยังทำมันหายอีกด้วย

   "ชินเซไก"

   "ชินเซไก"

   "โลกใบใหม่ของมวลมนุษย์"


   ชินเซไก แปลว่า โลกใหม่ ส่วนที่บอกว่าโลกใบใหม่ของมวลมนุษย์ผมพูดโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง ย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทอดเสียบไม้ มีหอคอยซึเทนคาคุเป็นสัญลักษณ์ แถมยังอยู่ใกล้กับโรงแรมแบบที่สามารถเดินถึงกันได้ ชินเซไกจึงกลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับมื้อค่ำของวันนี้

   แม้โอซาก้าจะอุ่นกว่าโตเกียวแต่ช่วงหัวค่ำแบบนี้สำหรับคนขี้หนาวอย่างผมก็ยังหนาวอยู่ดี ขนาดใส่เสื้อมาสองชั้นเจอลมพัดมาทีปากก็สั่นจนฟันกระทบกัน ผิดกับคนข้างๆ ที่หน้าตายิ่งเบิกบานตอนเจออากาศเย็นๆ ดูสดชื่นสบายอุราจนผมรู้สึกอิจฉา อยากเกิดมาหนังหนาบ้าง

   "หนาวเหรอ" แล้วนี่น้องมันต้องรู้ทันผมไปหมดทุกเรื่องเลยหรือไง

   "นิดหน่อย"

   สิ้นเสียงเสื้อกันหนาวตัวเดิมที่ผมเคยพึ่งพาอยู่หลายครั้งก็ถูกเปลี่ยนผู้ครอบครอง น้องหมีเอามันมาคลุมตัวผมไว้ทั้งที่ไม่ไดขอหรือบอกปฏิเสธ
 
   "ถ้าหนาวก็เอาคืนไปนะ"

   "แค่นี้สบาย" ว่าแล้วทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน

   ผมล่ะอิจฉาจริงๆ คนที่ชอบอากาศหนาวๆ เพราะผมดันชอบทั้งคนทั้งของที่อยู่ประเทศหนาวแต่กลับทนหนาวไม่ค่อยได้ เป็นตัวทรมานตัวแต่สุขใจโดยแท้

   เดินตรงมาตามถนนใหญ่ผ่านสี่แยกที่มีห้างดองกิโฮเต้ตั้งอยู่และผมเล็งไว้แล้วว่าขากลับจะแวะดูของสักหน่อย จากสี่แยกเดินมาอีกไม่ไกลก็เจอทางเข้าชินเซไก ข้ามถนนเดินเข้าซอยไปอีกนิดแสงสีตามร้านค้าที่ประดับประดากันอย่างอลังการเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเราได้มาถึงโลกใหม่แล้ว

   แสงสีกับการประดับร้านด้วยโคมไฟเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของย่านนี้ที่ผมชอบ เก็บรูปพอเป็นพิธีให้รู้ว่ามาถึงเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินหาของกิน ทุกร้านจะมีเมนูหลักเหมือนๆ กันคือของทอดเสียบไม้ ส่วนเมนูเสริมจะมีอะไรบ้างก็แล้วแต่ร้านจะจัดสรรกันมา

   รอบแรกผมกับน้องหมีเดินสำรวจและเล็งร้านร้านหนึ่งที่น่าสนใจเอาไว้ เดินไปจนถึงหอคอยซึเทนคาคุถ่ายรูปกับคอหอยเป็นที่ระลึกแล้วเดินกลับมาย่านของกิน

   ร้านที่ผมกับน้องหมีเล็งเอาไว้เป็นร้านที่มีผ้าใบสีขาวขุ่นคลุมหน้าร้าน แต่น่าเสียดายที่พอเปิดเข้าไปปุ๊บพนักงานก็เชิญออกทันทีเนื่องจากร้านปิดแล้ว ผลักเราเข้าสู่ความเวิ้งว้างเพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ใกล้เวลาปิดร้านกันทั้งนั้น

   นี่เพิ่งจะสามทุ่มครึ่งเองนะ

   "เอาไงกินร้านไหน"

   เครียดว่ากินร้านไหนดีคือกลัวไม่มีอะไรกิน จนน้องมีเรียกผมให้เดินเข้าร้านที่กำลังเดินผ่าน

   พนักงานร้านที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเด็กมหาลัยสองคนต้อนรับเราด้วยความคึกคัก ร้านนี้มีเฉพาะที่นั่งตรงเคาน์เตอร์แถมทั้งร้านเหลือเราอยู่ค่าสองคนเนื่องจากใกล้เวลาปิดร้านแล้ว ผมเลยเลือกนั่งใกล้ประตูร้านกับแคชเชียร์ซะเลย

   ย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องของทอดเสียบไม้ผมเลยสั่งมาเต็มที่ ทั้งผัก เนื้อ ไข่ ชีส วางพูนเต็มจาน เสริมด้วยยากิโซบะที่น้องหมีอยากกิน

   "คนโอซาก้าเขาดูคึกคักดีเนอะ"

   "ร่าเริงมากด้วย"

   ดูตัวอย่างได้จากพนักงานของร้านนี้ที่ยังเรียกลูกค้าด้วยน้ำเสียงทรงพลังทั้งที่ใกล้เวลาปิดร้าน แถมยังวิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งที่มีลูกค้าแค่สองคน

   "พี่อิน น้ำเอาตรงไหนอ่ะ"

   "เออ ไม่รู้ว่ะ"

   ปกติร้านอาหารญี่ปุ่นจะมีบริการน้ำดื่มฟรี แต่ที่นี่ผมไม่เห็นถังน้ำตั้งอยู่ ลองชะเง้อมองอีกฝั่งก็ไม่มี หรือต้องเรียกเอาจากพนักงาน

   "ต้องสั่งเอามั้ง"

   "สั่งให้หน่อยดิ"

   "สั่งเองดิ"

   "พูดญี่ปุ่นได้ก็สั่งให้หน่อย"

   "ภาษาอังกฤษก็สั่งได้" ภาษาญี่ปุ่นแบบเป็นคำๆ ของผมอย่านับว่าพูดได้เลย

   "หรือพี่อินไม่กินน้ำ"

   "กินดิ"

   "งั้นสั่งเลย"

   แล้วทำไมเราต้องมาเกี่ยงกันเรื่องนี้ด้วยก็ไม่รู้ เพราะสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายแพ้เมื่อยกมือเรียกพนักงานมาสั่งน้ำดื่ม

   "สุมิมาเซน"

   "ไฮ!"

   ส่งเสียงไปถึงวินาทีพนักงานผู้ร่าเริงทั้งสองคนก็เดินมาหา แต่ว่าทำไมต้องมาสองคน เพราะเห็นเป็นต่างชาติใช่มั้ยเลยต้องผนึกกำลังกันมา

   "โอะมิซุ" ผมสั่งเป็นคำสั้นๆ ที่แปลว่าน้ำ พนักงานทั้งสองคนก็พยักหน้ารับก่อนจะตะโกนกันลั่นร้าน

   "มิซู!!!!~"

   อื้ม บริการกันอย่างเต็มที่จริงๆ

   หลังจากได้น้ำดื่มมาสองแก้วพนักงานผู้ร่าเริงทั้งสองก็มาช่วยกันนับเงินตรงแคชเชียร์เป็นสัญญาณบอกที่ผมคิดเอาเองว่า 'ร้านใกล้จะปิดแล้วนะ พวกแกรีบกินกันเร็วๆ สิ' อะไรประมาณนั้น

   "ลองชวนเขาคุยมั้ย" กินจนใกล้หมดอยู่ๆ น้องหมีก็นึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาอีก ให้สั่งน้ำเองยังไม่ยอมสั่งแล้วทีนี้จะไปชวนเขาชวนคุย

   "ก็คุยเองดิ"

   น้องหมียิ้มให้ตาเป็นขีดทำจริงอย่างที่ว่า หันไปชวนหนุ่มโอซาก้าทั้งสองคนคุยด้วยคำถามภาษาอังกฤษง่ายๆ ว่าอายุเท่าไร

   "สิบเก้า" พนักงานหมายเลขหนึ่ง

   "สิบเก้า" พนักงานหมายเลขสอง

   "ยี่สิบสี่" ผมกับน้องหมีตอบเหมือนกัน

   หนุ่มโอซาก้าทั้งสองคนร้อง อู้ว! เป็นรีแอคชั่นที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรก่อนจะเข้าสู่คำถามที่สองซึ่งฝ่ายนั้นเป็นคนถามว่ามาจากไหน

   "ไทยแลนด์ แบงค็อก" น้องหมีตอบ ก่อนผมจะช่วยพูดให้ฟังง่ายขึ้นเป็นภาษาญี่ปุ่น

   "บังโคะคุ"

   "โอ้ว! บ็อกซิ่ง" พูดแล้วก็ทำท่าเตะมวยให้ดูเรียกรีแอคชั่นจากผมกับน้องหมีให้ปรบมือร้องชมว่ากู้ดๆ อารมณ์เหมือนตอนอยู่ในเมดคาเฟ่ยังไงยังงั้น

   เราคุยเล่นกันแบบถามคำตอบคำจนหนึ่งในสองคนนั้นถามขึ้นมาว่าพูดภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย น้องหมีรีบโบกมือว่าพูดไม่ได้ ผมตอบไปว่าได้นิดหน่อยประเด็นเลยถูกเหวี่ยงไปหาพ่อหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในครัวหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งความจริงเขายืนทำงานอยู่ตรงหน้าที่ผมนั่งอยู่ตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านแล้ว

   พ่อหนุ่มคนนั้นถูกแนะนำตัวว่าเป็นเวียดนามมาเรียนภาษาและทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ ทันทีที่รู้ว่าผมพอจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้างเขาก็ชวนคุยใหญ่ แต่เพราะเขาพูดเบามากแถมยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ผมเลยต้องลุกขึ้นไปฟังใกล้ๆ เรื่องที่เขาถามก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป อย่างเช่นเรียนอยู่หรือทำงานแล้ว มาเที่ยวเหรอ ชอบที่นี่ไหมอะไรประมาณนั้น แต่คุยได้ไม่กี่ประโยคชายเสื้อผมก็ถูกดึงยิกๆ จากคนที่ผมปล่อยให้คุยกับพนักงานผู้ร่าเริงทั้งสองคน ซึ่งตอนนี้โดนทิ้งให้นั่งจ๋องอยู่คนเดียว

   "อิ่มแล้วกลับกัน" บอกหน้าตึง เพิ่งเคยเห็นน้องหมีกินอิ่มแล้วหน้าบึ้งก็คราวนี้

   "โอเค"

   ผมบอกลาเพื่อนชาวเวียดนาม เรียกสองหนุ่มผู้ร่าเริงมาคิดเงินก่อนออกมาจากร้านท่ามกลางเสียงขอบคุณดังกระหึ่ม เป็นมื้ออาหารที่ดีและคึกคักที่สุดตั้งแต่เคยมาญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สำหรับหมีตัวโตข้างๆ

   "เป็นอะไร ไม่อร่อยเหรอ"

   "เปล่า"

   "แล้วทำไมหน้าบึ้ง"

   น้องหมีทำหน้างอแงมองผม ตอนแรกยังร่าเริงแข่งกับหนุ่มโอซาก้าสองคนนั้นอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้เป็นแบบนี้ไปซะได้

   "พี่อินคุยอะไรกับไอ้หนุ่มเวียดนามนั่น"

   "ก็เรื่องทั่วๆ ไป"

   "ขอรายละเอียด"

   ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องหมีอย่างไม่เข้าใจ อยู่ๆ มาเค้นกันเฉยเลย แล้วอย่าบอกนะว่าทำหน้าบึ้งเพราะเรื่องนี้ แค่ฟังไม่ออกว่าผมกับคนเวียดนามคุยอะไรกันเนี่ยนะ ทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉาไปได้

   "เขาถามว่ามาเที่ยวเหรอ ชอบที่นี่มั้ย เรียนอยู่หรือทำงานแล้ว แค่นี้แหละ"

   ได้ฟังที่ผมบอกสีหน้าน้องหมีก็เริ่มดูดีขึ้นมา ไม่บึ้งเหมือนก่อนหน้านี้แต่ก็ยังไม่ยอมยิ้มอยู่ดี ไม่รู้ข้องใจอะไรนักหนากับเรื่องที่ผมคุยกับพนักงานเวียดนามคนนั้น

   "แล้วถามทำไม"

   "เปล่า"

   "บอกมา" ไม่มีทางหรอกที่อารมณ์บูดซะขนาดนั้นจะบอกว่าไม่มีอะไร

   น้องหมีมองผม สูดลมหายใจเข้าช้าๆ แล้วถอนหายใจออกเบาๆ เป็นท่าทางที่เพิ่มความงุนงงให้ผมอีกสิบเท่า ถามถึงสาเหตุแค่นี้ถึงขั้นต้องเตรียมใจโดยการกำหนดลมหายใจใหม่เลยเหรอ

   "ตอนที่คุยกันพี่อินยิ้มตลอดเลย ไอ้หมอนั่นก็ยิ้ม แบร์อยากรู้ว่าคุยอะไร แค่นั้นแหละ"

   "เป็นเด็กหวงของเหรอ"

   "แล้วพี่อินเป็นของที่แบร์หวงได้มั้ยล่ะ"

   ผมกะจะถามเพื่อเล่นงานน้องมันแต่กลายเป็นว่าโดนเล่นงานกลับจนไปต่อไม่ถูกซะเอง แล้วสายตาแบบนั้นมันหมายความว่าไง หวงของ ของที่หวง ใครเขาสอนให้เล่นมุกแบบนี้ จะไม่คิดอะไรเลยนะถ้าไอ้ของที่พูดถึงกันนี้ไม่ใช่ตัวผมเอง

   แบบนี้มันเรียกว่าหึงไม่ใช่หรือไง

   "กลับกันเหอะ" เถียงไม่ได้ก็เบี่ยงประเด็นมันซะเลย



   ขากลับผมกับน้องหมีแวะเข้าดองกิโฮเต้ ห้างที่ใครๆ ก็ต้องมา มีของทุกอย่างให้เลือกสรรแบบครบครัน ตั้งแต่ขนมยันของแบรนด์เนม ที่สำคัญถ้าซื้อถึงจำนวนที่ทางห้างกำหนดไว้คนต่างชาติอย่างเรายังสามารถขอคืนภาษีได้อีกด้วย

   ขึ้นบันไดเลื่อนมาถึงในห้างก็หยิบตะกร้ามาหนึ่งใบ ผมไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษเลยเดินดูของไปตามโซนต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็ไปสะดุดตากับโซนหนึ่งที่เขากั้นผ้าใบเอาไว้แถมยังระบุชัดเจนว่าโซนนี้สิบแปดบวกเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ผมคิดว่าน้องหมีต้องอยากเข้าแน่ๆ

   "พี่อิน เข้าไปดูกัน" นั่นไง ทายผิดที่ไหน

   โซนสิบแปดบวกหลังผ้าใบกั้นแห่งนี้คือเซ็กช็อปขนาดย่อม ของที่ขายก็เหมือนๆ กับร้านที่ชินจูกุที่ผมพาน้องหมีไป ต่างกันที่ที่นี่มีของน้อยกว่าเยอะมาก แต่มีบางอย่างที่น่าสนใจกว่าคือดิลโด้หลากไซส์หลากขนาดหลายรูปแบบ มาพร้อมกับปุ่มกดเพื่อใช้ดูตัวอย่างการเคลื่อนไหวของมัน

   ดิลโด้แปดอันถูกแบ่งใส่ตู้ละสี่อันเพื่อตั้งโชว์ แล้วเจอของน่าสนใจแบบนี้มีหรือที่น้องหมีจะไม่ทดลองเล่น

   "พี่อินดูนี่"

   พอผมหันไปมองตามน้องก็กดปุ่มทั้งสี่พร้อมกัน ดิลโด้ที่อยู่ในตู้นั้นขยับโยกย้ายส่ายดุ๊กดิ๊กไปมาตามระบบที่มันถูกตั้งเอาไว้ ดูน่ารัก ตลก แปลกประหลาดแล้วก็น่าขนลุกไปพร้อมๆ กัน

   "กดแปดอันไหวป่ะ จะถ่ายวิดีโอ" ผมบอกน้องมันก็รีบพยักหน้าแล้วทำตามที่บอก

   คราวนี้ดิลโด้ทั้งแปดอันส่ายไปมาพร้อมกัน ผมหัวเราะค้างตอนกดถ่ายวิดีโอเอาไว้ เป็นพฤติกรรมชั่วช้าที่อย่าได้ไปบอกพ่อแม่ให้รู้เชียว   
   
   ออกจากโซนของเล่นผู้ใหญ่เราก็ไปยังโซนขนม น้องหมีหยิบคิทแคททุกรสที่มีขายกับขนมหน้าตาแปลกๆ ลงตะกร้า ส่วนผมซื้อเยลลี่โคโรโระของโปรด ได้ของที่ต้องการครบถ้วนก็ได้เวลากลับโรงแรม

   วันนี้สำหรับผมเป็นอะไรที่หฤโหดมาก ตกรถไฟ ไม่สมหวัง งงเป็นไก่ตาแตกขึ้นรถไฟไม่ถูกตอนมาถึงโอซาก้า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างผู้หญิงเป็นประจำเดือน อยากจะรีบกลับไปนอนเตรียมจิตใจให้สดชื่นสำหรับการเที่ยวในวันพรุ่งนี้แล้ว

   เปลี่ยนโรงแรมใหม่แต่ลำดับการอาบน้ำของเรายังเหมือนเดิม ผมอาบก่อนเข้านอนก่อนเลยได้นอนด้านใน ล้มตัวลงห่มผ้านอนได้ไม่ถึงสองนาทีไลน์ก็แจ้งเตือน ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงน้องหมี

   "โทษที หลับยัง"

   "ยัง" ตอบกลับแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูแจ้งเตือนว่าคนมีสร้างอัลบั้มรูปส่งมาให้

   ผมเปิดดู รูปทั้งหมดถ่ายที่อิเอะยาม่าตอนเรานั่งรถจักรไอน้ำไปดูซากุระ แต่ไม่คิดเลยว่าน้องหมีจะถ่ายรูปผมมาเยอะขนาดนี้

   เลื่อนดูไปทีละรูปแล้วมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาเอง น้องหมียังถ่ายรูปสวยเหมือนเดิม ทั้งแสงและมุม อย่างกับผมจ้างตากล้องมืออาชีพมาถ่าย แต่รูปส่วนใหญ่ที่น้องมันถ่ายเป็นรูปผมตอนเผลอทั้งนั้น รวมกันห้าวันจะแยกเก็บเป็นคอลเลคชั่นได้อยู่แล้ว

   ผมเลือกเซฟรูปหนึ่งเอาไว้จากรูปทั้งหมด เป็นรูปที่ผมกำลังยืนมองดอกซากุระตูมๆ ด้วยสายตาตัดเพ้ออย่างกับกำลังเล่นเอ็มวีเพลงรักอยู่ เป็นช่วงที่ผมกำลังพร่ำเพ้ออยู่คนเดียวกับซากุระดอกนั้น และน้องหมีคงเข้ามาเห็นพอดีตอนที่ผมไม่รู้ตัว

   รูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ใช้มาแรมปีถูกเปลี่ยนออก แทบจะทันทีที่รูปอัปโหลดเสร็จเจ้าของรูปถ่ายก็เข้ามากดไลค์ อย่างกับรู้ว่าผมจะเปลี่ยนรูปงั้นแหละ

   "เร็วจังนะ"

   "ก็รออยู่"

   ผมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้อยู่ใต้ผ้าห่มก่อนปิดเสียงโทรศัพท์วางเอาไว้ข้างหมอน

   หรือบางทีน้องหมีอาจจะเดาออกก็ได้ว่าผมคิดจะทำอะไรบ้าง ก็เล่นรู้ทันผมไปหมดซะทุกอย่างขนาดนี้ ตอนเด็กเคยรู้ใจกันยังไง ตอนโตไม่ได้เปลี่ยนไปเลย   



TBC.



ทำไมทุกคนต้องบอกเหมือนกันว่าแฟนน้องหมีเป็นผู้ชายอ่ะ ฮ่าๆๆ
คนอ่านบางคนเคยไปเที่ยวมาแล้วใช่มั้ยคะ ตอนเราเขียนก็อยากกลับไปเที่ยวอื่นเหมือนกัน
แต่ไปเที่ยวไม่ได้ก็เอามาลงกับนิยายนี่แหละ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-05-2017 22:10:26 โดย kinsang »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
«ตอบ #54 เมื่อ07-05-2017 20:19:35 »

 :กอด1:
อบอุ่นดีจัง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
«ตอบ #55 เมื่อ08-05-2017 21:48:15 »

น้องหมีถ่ายรูปพี่อินขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวเหรอคะ  :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
«ตอบ #56 เมื่อ08-05-2017 23:10:19 »

หมีแบร์ หวงพี่อิน
เพราะเห็นพี่อินยิ้มไปคุยไปกับหนุ่มเวียดนาม
แต่พี่อินกลับรู้ดีกว่า ว่านั่นนะมันหึงไม่ใช่หรือ
อย่างนี้พี่อิน เท่ากับรู้ความในใจของน้องหมีสิว่าชอบพี่อิน
เหมือนหมี รู้ใจพี่อิน มาตั้งแต่เด็ก โตก็ยังรู้ใจเหมือนเดิม
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #57 เมื่อ13-05-2017 20:14:31 »



วันที่ 6


   เสียงนาฬิกาดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ผมขยับตัวไม่ได้ ขาก็ขยับไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าผมจะโดนผีญี่ปุ่นอำ

   จะท่องบทสวดไปก็เปล่าประโยชน์ ผีญี่ปุ่นคงฟังไม่รู้เรื่อง บทสวดของชินโตเป็นยังไงผมก็ท่องไม่เป็น เลยเลือกที่จะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อขัดขืนและดิ้นรนให้หลุดจากการครอบงำนี้ซะ

   "ย้า!!~"

   ปึก!

   ออกแรงหมุนตัว 360 องศา กลิ้งไปด้านขวาได้หนึ่งตลบครึ่งตัวก็กระแทกเข้ากับผนังห้องคราวนี้ถึงได้ตื่นเต็มตา ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งยกมือปิดปากหาวหนึ่งวอดก่อนหันไปมองบนฟูกที่นอนแล้วก็ได้รู้ว่าไอ้ผีที่มันอำผมเมื่อกี้นี้คือเพื่อนร่วมทริปของผมเอง
   "พี่อินเป็นอะไร" ถามตาแป๋วกลั้วหัวเราะ แขนกับขายังอยู่ในท่าก่ายหมอน ซึ่งหมอนที่ว่าก็คือตัวผม

   "ฝันว่าโดนผีอำ"

   "แบร์อำเองอ่ะ" บอกอย่างอารมณ์ดีก่อนน้องมันจะลุกไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว

   ผมยังคงนั่งเกาหัวยุ่งๆ อยู่ที่เดิมด้วยความมึนไม่หาย อยู่โตเกียวนอนแยกเตียงใครเตียงมันหลับสบายยาวนานทั้งคืน ย้ายมาโอซาก้าคืนเดียวได้นอนฟูกข้างกันน้องหมีมันก็เล่นผมเลย รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอีกสองคืนหลังจากนี้ขึ้นมาทันที


   วันแรกในโอซาก้าแต่วันนี้เราไม่เที่ยวโอซาก้า ผมจะพาน้องหมีไปเยี่ยมอดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น เมืองแห่งพระใหญ่และฝูงกวาง นั่นก็คือนารา สถานที่ที่ผมได้มาด้วยการจับฉลากเพราะเลือกไม่ได้ว่าจะไปนาราหรือเกียวโตดี

   จากโรงแรมที่พักนั่งรถไฟต่อเดียวใช้เวลาสี่สิบนาทีก็มาถึงนารา เช้านี้อากาศแจ่มใสแถมแดดแรงเป็นพิเศษ มนุษย์เมืองร้อนอย่างผมเลยค่อนข้างลัลล้าที่ไม่ต้องทนหนาวจนปากสั่น ส่วนหมีขั้วโลกข้างๆ ใส่แค่เสื้อแขนยาวตัวเดียว โชว์เก๋าไปอีก

   ออกจากสถานีรถไฟข้ามถนนมาก็เดินยาวๆ วันนี้เราจะเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน เพื่อซึมซับบรรยากาศอันร่มรื่นของธรรมชาติ วัดเก่าแก่ และเล่นกับน้องกวาง ที่นารายังเป็นอีกเมืองที่ผมตั้งความหวังกับซากุระเอาไว้ด้วย หวังว่าจะเห็นมันบานสวยๆ สักที

   สถานที่แรกที่มาถึงคือวัดโคฟุคุจิ ทางขึ้นจะเป็นบันไดยาวๆ ที่แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว วัดนี้เข้าชมฟรี มีเจดีย์สามชั้นและห้าชั้นที่สูงเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น เราเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ จนได้เจอกับน้องกวางตัวแรก แล้วความสนใจก็ถูกดึงไปหามันทันที

   "กวางน้อย" น้องหมีกระโดดเหยงๆ เข้าไปหาน้องกวางแถมใช้เสียงสองคุยด้วยอีก เป็นมุมสาวน้อยที่ดูน่ารักปนน่าถีบ

   แถวเจดีย์ห้าชั้นมีกวางอยู่กันหลายตัว บริเวณนี้เลยชุกชุมไปด้วยนักท่องเที่ยว น้องหมีได้รูปถ่ายกับกวางไปแล้วผมเองก็อยากถ่ายบ้างเลยนั่งลงข้างน้องกวางตัวหนึ่ง ตอนแรกเราก็มองหน้ากันอยู่ดีๆ หรอก เก๊กท่าพร้อมเตรียมถ่าย แต่พอกดชัตเตอร์ปุ๊บน้องกวางก็หันหน้าหนีผมซะงั้น

   "กวางเมินอ่ะ" เปิดรูปให้ดูแล้วยังจะหัวเราะเยาะล้อกันอีก

   รูปที่ถ่ายได้กลายเป็นว่าผมกำลังสะกิดน้องกวางที่หันหน้าหนีให้หันกลับมา สีหน้าท่าทางเหมือนคนกำลังง้อแฟนยังไงยังงั้น ทั้งที่มันควรจะเป็นรูปที่เรามองกล้องด้วยกันแท้ๆ

   "ถึงกวางจะเมินแต่หมีไม่เมินนะ" ส่วนไอ้น้องคนนี้ก็ได้จังหวะเล่นมุกหน้าระรื่นไปอีก

   ผมทำหน้าเพลียใส่ก่อนเดินหนี ถึงจะเป็นน้องหมีสุดที่รักก็เถอะ ถึงจะรู้สึกดี แต่มากันเล่นมุกเต๊าะกันบ่อยๆ แบบนี้มันก็อดระแวงไม่ได้ ก็ได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่มีอะไร น้องมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว

   เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก...จริงๆ งั้นเหรอ

   ออกจากวัดโคฟุคุจิมาก็เจอกับร้านขายเซมเบ้เลี้ยงกวาง ผมเชียร์ให้น้องหมีซื้อสุดท้ายกลายเป็นคนซื้อซะเอง แล้วพวกกวางอย่างกับมีสัมผัสพิเศษ แค่ผมรับเซมเบ้จากมือคุณป้าคนขายมายังไม่ได้ทันได้แกะห่อพวกมันก็เดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง แบบนี้มันน่ากลัวนะเว้ย

   "แบร์ แบ่งกันคนละครึ่ง" ผมพยายามจะแบ่งเซมเบ้ให้น้องหมีตอนที่กวางเริ่มเข้ามารุมขอกิน ป้อนตัวหนึ่ง อีกตัวก็มางับเสื้อ อีกตัวก็งับกางเกง ซ้ำร้ายคำตอบที่ได้จากน้องหมีคือ

   "พี่อินป้อนไปเลยเดี๋ยวแบร์ถ่ายรูปให้"

   แกมันร้ายกาจมากไอ้น้องหมี

   "เฮ้ยหยุด!"

   "แกน่ะออกไปก่อนเว้ย"

   "ใจเย็นได้ทุกตัว"

   "ไอ้นี่อย่างับสิวะ"

   "ว้ากกก!"

   ผมป้อนไปก็แหกปากร้องโวยวายไปตอนโดนกวางดึงเสื้อผ้าจนเป็นรอยเปื้อนจากดินผสมน้ำลาย ส่วนน้องหมีที่อาสาเป็นตากล้องก็ถ่ายไปขำไปมีความสุขซะเหลือเกิน

   เซมเบ้หมดจากมือน้องกวางก็สลายตัว รอดพ้นจากการรุกรานครั้งนี้มาได้ผมก็เดินดุมๆ เข้าไปหา ลงโทษด้วยการเตะขาน้องมันหนึ่งทีโทษฐานที่ปล่อยให้ผมเผชิญกับความโหดร้ายเพียงคนเดียว

   "รูปสวยนะ เดี๋ยวส่งให้" ยังมีหน้าเอารูปมาล่ออีก

   "ไปได้แล้ว"

   จากจุดที่ผมให้อาหารกวางเดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงศาลเจ้าฮิมุโระ แค่ปากทางเข้าใจผมก็เต้นแรงเมื่อเห็นว่าซากุระของที่นี่มันบานสะพรั่งเต็มต้น ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในผมก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ

   ที่ศาลเจ้าฮิมุโระมีซากุระพันธ์ย้อยอายุกว่าสี่ร้อยปี เป็นความสวยที่มาพร้อมกับความขลังลึกลับน่าค้นหา ได้เจออะไรสวยๆ งามๆ แบบนี้ทำเอาผมยิ้มแก้มปริ

   "สวย" น้องหมีพูดขึ้นตอนเรายืนมองซากุระด้วยกัน

   "สวยมาก"

   "ที่จริงความสวยมันนิยามได้หลายแบบนะ"

   "ยังไง" ผมหันไปถาม ไม่ได้งงอะไรมากมายแค่อยากรู้ความหมายที่น้องมันอยากจะสื่อ อยู่ๆ อยากจะมาเป็นนักปรัชญาอะไรตอนนี้

   "ปกติถ้าพูดถึงความสวยจะนึกผู้หญิงใช่มั้ย แต่จริงๆ ทุกอย่างบนโลกมันก็สวยได้หมด ดอกไม้สวย วัดสวย บ้านเมืองสวย ผู้ชายสวย"

   "ผู้ชายสวยก็สาวสองแล้วดิ" ผมว่าไอ้อย่างหลังนี่มันไม่ใช่แล้ว

   "ผู้ชายที่ไม่ใช่สาวสองก็สวยได้ มันคือความงามไงพี่อิน เราชมเขาว่าสวยก็ไม่ได้แต่แปลว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิงหรือแต่งเป็นผู้หญิง แต่มันคือสิ่งที่เรามองแล้วรู้สึกว่ามันสวย"

   ขอกลับคำจากตอนแรกที่ว่าไม่งง เพราะตอนนี้ยิ่งฟังผมก็ยิ่งงง ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ น้องมันถึงกับเสียสติไปเลยเหรอ

   "ก็ต้องเรียกว่าหล่อดิ"

   น้องหมีส่ายหน้ารับ หันมามองผมแล้วยกยิ้มบางๆ จะเล่นมุกอะไรอีกล่ะคราวนี้

   "อย่างพี่อินกับดอกไม้"

   น้อหงมีเว้นตังหวะจ้องมองกันด้วยใบหน้านิ่งๆ หากแต่แววตาสื่อความหมาย ก่อนจะยกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยประดยคที่ทำให้ผมรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย

   "คือความสวยงามสำหรับแบร์"


   หน้าอกผมเหมือนโดนระเบิกตูมต้อนน้องหมีพูดคำนั้นออกมา เดินเหมือนร่างไร้วิญญาณไปตามเส้นทางที่พลุกพล่านไปด้วยผู้ค้น ส่วนคนพูดน่ะเหรอแค่ยิ้มตาหยีพร้อมกับเอ่ยชวนให้ไปต่อ สองรอบแล้วนะที่วันนี้น้องหมีพูดจาคุกคามหัวใจ จะแกล้งเล่นพูดเอาฮาหรือยังไงก็แล้วแต่ ผมไม่อยากระแวงไปมากกว่านี้ ถ้าเล่นแบบนี้อีกรอบจะถามให้รู้เรื่อง

   สถานที่ต่อมาที่เรามาถึงคือวัดโทไดจิ ทางเดินเข้าวัดเต็มไปด้วยร้านขนมกับร้านขายของฝาก ผมซื้อไดฟุจิไส้ถั่วแดงที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกยักษ์แปะอยู่ด้านบน ส่วนน้องหมีซื้อซอฟต์ครีมรสมันญี่ปุ่น

   แค่กัดสตรอเบอร์รี่เข้าไปคำแรกก็รู้สึกฟินเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ให้นึกถึงการ์ตูนเรื่องโทริโกะตอนที่โคมัตสึได้กินวัตถุดิบชั้นเลิศหน้าผมก็ประมาณนั้นนั่นแหละ สตรอเบอร์รี่หวานๆ ฉ่ำปาก กินแล้วต้องยับยั้งตัวเองไว้ให้ทำหน้าตาแปลกๆ ออกไปเพราะมันอร่อยมากจริงๆ

   "กินมั้ย" เจอของอร่อยก็อยากแบ่งปัน ถ้าน้องมันรังเกียจว่าผมกัดไปแล้วนะ

   "แลกกัน" รับโมจิของผมไป น้องหมีก็ยื่นซอฟต์ครีมมาให้

   "อร่อยมั้ย"

   "ก็พอได้อยู่"

   ผมงับซอฟต์ครีมเข้าปากรับรสชาติของมันญี่ปุ่นที่ไม่ได้แย่เท่าไร หวานนิดๆ พอกินได้ น้องหมีกินสตรอเบอร์รี่ที่เหลือจนหมดลูกแล้วก็ยื่นไดฟุกุเปล่าๆ ที่เหลือคืนให้ผม

   เดินไปแลกของกินกันไปตลอดทางจนถึงทางเข้าวัด เสียค่าเข้าชมคนละห้าร้อยเยน เข้ามาด้านในก็เจอกับซากุระต้นใหญ่ที่บานแล้วแต่ยังไม่สะพรั่งเต็มต้น

   เราหยุดถ่ายรูปต้นซากุระกับอาคารหลักของวัดที่สร้างด้วยไม้หลังใหญ่โตมโหฬาร เพราะในนั้นเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตหรือไดบุตสึเดนที่มีความสูงถึงสิบห้าเมตร

   เก็บรูปด้านนอกจนพอใจก็ได้เวลาเข้าไปในตัวอาคาร สักการะหลวงพ่อโตเสร็จก็เดินชมของที่จัแสดงอยู่ด้านในจนไปเจอของน่าสนใจอีกอย่าง มันเป็นเสาต้นใหญ่มีรูอยู่ตรงกลางติดกับพื้นที่เด็กๆ กำลังต่อแถวเพื่อมุดรอดรูนั้นอยู่

   "เขาบอกว่าถ้ารอดผ่านรูนี้ได้จะโชคดีมีความสุข อยากลองดูมั้ย" ตามข้อมูลที่อ่านเขาว่ามาอย่างนั้น แต่รูเล็กแค่นั้นคงมุดได้เฉพาะเด็กๆ

   "รูเล็กแค่นั้นหัวยังมุดเข้าไม่ได้เลย"

   "ไม่อยากโชคดีมีความสุขเหรอ"

   "แค่ได้อยู่กับพี่อินก็มีความสุขแล้ว"

   พูดแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงไม่คิดอะไรนอกจากน้องมันอยากขอบคุณที่ได้มาเที่ยวด้วยกันและมีความสุขกับทริปนี้จริงๆ แต่พอมากขึ้นกลับกลายเป็นความรู้สึกดีที่แฝงไปด้วยความคลางแคลงใจ ผมไม่ได้ใส่ซื่อขนาดจะมองไม่ออก โดยเฉพาะกับคนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก

   "ไปต่อกัน" ถึงจะบอกว่าอยากถามให้รู้เรื่อง แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะปล่อยให้มันค้างคาใจต่อไป

   ศาลเจ้าทาคุกะไทชะเป็นอีกที่ที่ผมอยากมาตอนเปิดอ่านรีวิวเพื่อหาที่เที่ยวหายัดลงไปในแผนการเดินทาง การไปที่นั่นเราต้องผ่านทางเดินตะเกียงหินลึกเข้าไปด้านใน ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายสองข้างทางยิ่งช่วยเสริมให้การเข้าไปเยือนศาลเจ้าแห้งนี้ดูลึกลับเข้าไปอีก

   ที่หน้าทางเข้าของศาลเจ้ามีซากุระพันธ์ย้อยอยู่หนึ่งต้น นักท้องเที่ยวต่างรุมถ่ายรูปกันยกใหญ่ มันสวย แต่ดูโดดเดียว เป็นซากุระต้นเดียวท่ามกลางทุ่งตะเกียงหินคงจะเหงาน่าดู

   จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือตะเกียงนับพันอันที่ได้รับบริจาคมา มีทั้งแบบแขวนสีทองกับสีดำ แขวนเรียงไปตามระเบียงทางเดินที่เป็นเสาสีแดงของศาลเจ้า สวยจนต้องเก็บภาพเอาไว้

   ออกจากทางเดินตะเกียงหินของศาลเจ้าทาคุกะไทชะก็มาโผล่ที่ถนน ฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารพอเหมาพอเจาะกับท้องพวกเราที่กำลังร้องโครกประท้วงเป็นการใหญ่ เพราะยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกันตั้งแต่เช้า

   ผมกับน้องหมีสั่งเมนูเดียวกันคือข้าวหน้าไก่ เพราะมันดูกินง่ายและน่ากินสุดสำหรับคนต่างชาติ สังเกตได้จากฝรั่งโต๊ะข้างๆ ที่กินเมนูเดียวกับเราเด๊ะ แถมยังมีการหันมายิ้มให้อีกตอนเห็นว่าสั่งเมนูเหมือนกัน

   "ไข่ยังดิบอยู่เลยนะ กินได้เหรอ" ทันทีที่ข้าวมาเสิร์ฟน้องหมีก็เอ่ยปากถาม

   ผมเห็นตั้งแต่ในรูปแล้วว่ามันมีไข่โปะหน้า แต่เพราะไม่อยากกินเมนูเส้นเลยเลือกเมนูนี้ และไม่คิดด้วยว่าไข่มันจะดิบเหมือนเพิ่งตอกใส่มา

   "จะลองกินดู" สั่งมาแล้วนี่ ยังไงก็ต้องกิน

   "สั่งใหม่ก็ได้นะ เดี๋ยวจานนี้แบร์กินให้"

   "ไม่เป็นไร" ไม่รอให้โดนเซ้าซี้อีกผมก็ลงมือกิน ไก่อร่อยข้าวก็โอเค พะอืดพะอมนิดหน่อยกับไข่ที่ยังไม่สุกแต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก

   "กินได้ใช่มั้ย" แค่กินของไม่ชอบ ไม่ต้องทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้นก็ได้

   "มันก็โอเค"

   น้องหมียิ้มรับก่อนกลับไปตั้งใจกินของตัวเอง การเปิดใจรับเริ่มต้นลองอะไรที่ไม่ชอบมันก็ไม่ได้แย่เสมอ ถ้าไม่ไหวก็ไปต่อ ถ้าไม่ไหวก็ถอยกลับ ของกินมันอาจจะเอามาเทียบกับความรู้สึกไม่ได้ แต่ถ้าได้เผลอใจไปแล้วมันก็คงยากที่จะดึงมันกลับมา


   อิ่มท้องก็ได้เวลาเดินทางต่อ ตามแพลนยังเหลืออีกหนึ่งที่ที่ต้องไปกับตอนนี้ที่เพิ่งจะบ่ายสองโมงกว่า นับว่าทำเวลาได้ดีมาก แต่ขาก็ล้ามากเช่นกัน

   ผมเริ่มรู้สึกเจ็บเข่าตอนเดินออกจากร้านอาหาร มันส่ออาการมาตั้งแต่ช่วงวันแรกๆ ที่เดินเยอะๆ เพราะไม่เจ็บมากเลยไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนมันคงถึงขีดจำกัดแล้วถึงได้แสดงอาการออกมา

   จังหวะการเดินของผมผ่อนลงเพราะความเจ็บที่แสดงอาการเป็นระยะ ปกติผมเป็นคนเดินค่อนข้างเร็วในระดับที่ขาสั้นๆ ก็เดินตามคนขายาวๆ อย่างน้องหมีทัน แต่ตอนนี้ความเร็วผมลดลงมากจนคนข้างๆ เริ่มสงสัย

   "เหนื่อยเหรอ"

   "ก็นิดหน่อย"

   "พักกันก่อนมั้ย" ถามแล้วก็มองหาที่พอจะนั่งพักได้ แต่ริมถนนแบบนี้มันมีซะที่ไหน

   "ไม่เป็นไร ไปช้าๆ ก็พอ"

   น้องหมีเดินประกบข้างตลอดทางเหมือนผมเป็นคนป่วย แต่ถึงยังไม่ป่วยก็คงใกล้เต็มที เพราะต้องตื่นเช้าเกือบทุกวัน ใช้ร่างกายหนัก เดินวันละไม่ต่ำกว่าสิบกิโล เผชิญอากาศหนาว บางวันก็ตากฝน ขนาดพยายามนอนเร็วทุกวันยังรู้สึกอ่อนเพลีย และตอนนี้ผมก็ง่วงมากๆ

   เดินเตาะแตะเลาะริมถนนช้าๆ จนมาถึงสถานที่สุดท้ายในเมืองนารา บึงซากิที่มีศาลาตั้งอยู่กลางน้ำกับต้นซากุระที่ปลูกไว้รอบบึง มันคงจะสวยกว่านี้ถ้าน้ำในบึงไม่แห้งขอดจนเห็นโคลนตมกับซากุระที่บานเป็นหย่อมๆ

   เราเดินข้ามสะพานที่เชื่อมไปยังศาลากลางน้ำ ซึมซับกับบรรยากาศโดยรอบได้ชั่วครู่ผมก็เดินไปนั่งพัก วันนี้ที่นาราไม่หนาวเลย เรียกว่าร้อนยังได้ หลังจากที่เดินติดต่อกันมาหลายชั่วโมงร่างกายผมมันก็ล้าเต็มทน แล้วดันมาเจ็บเข่าอีก นั่งตาปรือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่จนน้องหมีที่เพิ่งถ่ายรูปเสร็จเดินมานั่งข้างๆ 

   "ไหวมั้ยเนี่ย" น้องหมีถามพร้อมยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผาก แต่อุณหภูมิร่างกายผมปกติดี ไม่ได้เป็นหวัดแค่เพลีย

   "ไหว"

   "ตอนเย็นเราไปไหนกันต่อนะ"

   "โดทงโบริ"

   น้องหมีพยักหน้ารับแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดู ตอนนี้ยังไม่บ่ายสามเลย กว่าจะเย็นยังเหลือเวลาให้เตร็ดเตร่ได้อีกเยอะ แต่ตอนนี้ผมเตร็ดเตร่ไม่ไหวแล้ว อยากนอน

   "งั้นกลับโรงแรมกันมั้ย กลับไปพักกันนอน เอาไว้สักหกโมงค่อยไปโดงทงโบริ ย่านนั้นมันต้องตอนเย็นๆ ใช่มั้ย"

   อย่างกับน้องหมีอ่านใจผมออกอีกแล้ว คิดว่าอยากนอนน้องมันก็ชวนกลับโรงแรมไปพัก แล้วมีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ

   "เป็นความคิดที่ดี" ผมลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อนิดหน่อย พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางกลับ


   สี่โมงเย็นเราก็กลับมาถึงโรงแรม เข้าห้องได้ผมก็รีบปูฟูกแล้วทิ้งตัวลงนอนหน้าจิ้มหมอน แต่กลับโดนน้องหมีดึงแขนให้ลุกขึ้นมา

   "กินยาก่อน"

   "กินทำไมไม่ได้ป่วย" และถึงจะป่วยแต่ถ้าเป็นไม่มากผมก็ไม่กินหรอกยา ชอบใช้วิธีการผักผ่อนให้ร่างกายได้รักษาตัวเองมากกว่า ตอนนี้ผมแค่เพลีย นอนพักเดี๋ยวก็หาย

   "กินดักไว้ก่อน"

   "ไม่เอาอ่ะ" ผมขัดขืนสุดพลังที่เหลือ บิดแขนที่โดนพันธนาการไว้อย่างแรงจนมันหลุดออก แต่มันแรงเกินไปทำให้น้องหมีที่อยู่ในท่าโกงโค้งล้มลงมาด้วย

   ให้มันได้อย่างนี้สิ ฉากในละครหลังข่าวชัดๆ อ้อ แต่ตอนนี้เราอยู่ญี่ปุ่น ต้องเปลี่ยนเป็น นี่มันฉากในซี่รีย์ญี่ปุ่นชัดๆ จะเหมาะกว่า

   น้องหมีล้มลงมาทับผมทั้งตัว หน้าซุกอยู่ตรงคอแขนพาดขึ้นไปด้านบน ผมเองก็หมดแรงจะขัดขืนเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ได้แต่หันหน้าหนีไปด้านข้างเพื่อรอว่าเมื่อไรน้องมันจะลุกขึ้นสักที

   "ลุกได้แล้ว"

   "ขออีกนิด" เสียงอ้อแอ้ตอบกลับมาเพราะหน้ายังซุกอยู่ที่เดิม

   ผมยอมให้น้องหมีทำตามอำเภอใจ ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่น้องมันเอ่ยปากขอ จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ทำเป็นบ่นนู่นนั่นนี่สุดท้ายก็ยอมให้ตลอด

   "พอใจยัง"

   "อืม"

   ทิ้งเวลาให้เดินไปสักพักน้องหมีก็ลุกขึ้นนั่ง เราสบตากัน น้องมันยิ้มตาหยีให้แบบที่ชอบทำ แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก ความรู้สึกในอกมันสับสนและปั่นป่วนไปหมด จากที่ง่วงๆ กลายเป็นตื่นเต็มตา อยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าอะไรๆ มันจะไม่เหมือนเดิม

   เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกสองวัน ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามเรื่องราวของมัน ผมไม่รู้ว่าคำตอบที่ผมอยากได้จะตรงกับคำตอบในใจน้องหมีมั้ย ท่าทางและคำพูดที่น้องมันแสดงออกมาผมคิดไปเองหรือเปล่า สองวันจะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว หากคำตอบที่ได้มันไม่ตรงใจ ผมไม่อยากให้ความรู้สึกไม่ดีเข้ามาทำให้ทริปมันกร่อย
   "นอนเถอะ" ปูฟูกของตัวเองเสร็จลุกขึ้นไปปิดไฟเรียบร้อยน้องหมีก็ล้มตัวลงนอน

   "ตั้งปลุกตอนห้าโมงครึ่งนะ" ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งนาฬิกาไว้กันหลับเพลินจนเลยเวลาเที่ยว

   "โอเค" สิ้นเสียงตอบรับทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

   ผมยังนอนหงายอยู่ท่าเดิม หลับตาลงแต่ใจยังไม่หลับ แต่เชื่อเถอะว่าแม้ใจวุ่นวายแค่ไหนถ้าร่างกายไม่ไหว ร่างกายก็ย่อมชนะใจอยู่ดี



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #58 เมื่อ13-05-2017 22:25:59 »

แบร์ แสดงออก สื่อความในใจแล้ว
แต่อิน ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อยากรู้ กลัวความสัมพันธ์เปลี่ยน
ที่จริงอิน แค่ถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับแบร์ รับได้ หรือรับไม่ได้
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #59 เมื่อ14-05-2017 04:40:22 »

 :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด