❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]  (อ่าน 47772 ครั้ง)

ออฟไลน์ saruwatari_guy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #60 เมื่อ14-05-2017 09:41:53 »

โอ๊ยยยยยยย เหมือนนิยายนำเที่ยว โซนโตเกียวคือเหมือนกันเลย ที่ขำสุดคือ ฟูจิคิวคือแบบบ มันใช่เลย เพื่อนเรานี่สภาพเหมือนมีเลย ขำสุดไรสุด อ่านแล้วนึกถึงตอนไปเลยอ่ะ โอ๊ยอยากกลับไปอีก

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #61 เมื่อ14-05-2017 21:36:13 »

แบร์รุกแรงมากพี่อินตั้งรับไม่ทัน

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #62 เมื่อ14-05-2017 22:00:45 »

พี่อินถามสิ น้องหมีอาจจะอยากบอกมานานแล้วก็ได้  :hao5:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
«ตอบ #63 เมื่อ19-05-2017 13:29:08 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
«ตอบ #64 เมื่อ20-05-2017 18:17:26 »





คืนที่ 6

 

            นาฬิกาปลุกตอนหน้าโมงครึ่งกว่าจะลุกจริงๆ ดันเลยไปหกโมงกว่า สลับกันไปล้างหน้าล้างตา พับฟูกเก็บเข้าที่ เหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง ผูกเชือกร้องเท้าเรียบร้อยก็ได้เวลาออกไปตะลุยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโอซาก้า

            จากโรงแรมนั่งรถไฟไปอีกหนึ่งสถานี เดินผ่านทางเชื่อใต้ดินนัมบะวอร์คเพื่อไปทะลุที่โดทงโบริ แต่เอาเข้าจริงไม่ต้องไปถึงโดทงโบริพวกเราก็โดนร้านอาหารร้านขนมในนัมบะวอร์คทำให้ไขว้เขวจนเกือบจะแวะเข้าไปอยู่หลายร้าน ของแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น

            โผล่ขึ้นมาจากทางออกที่สิบสี่เดินย้อนขึ้นไปอีกนิดหน่อยก็ถึงย่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโอซาก้า สีสันยามค่ำคืน การตกแต่งร้านด้วยตัวการณ์ตูนยักษ์เคลื่อนไหวได้อันเป็นเอกลักษณ์ ผู้คนพลุ่กพล่า และป้ายกูลิโกะที่ต้องไปถ่ายรูปด้วย เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มาถึง

            "นั่นไงปู" น้องหมีสะกิดผม ชี้ไปยังปูยักษ์หน้าร้านที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้

            "เห็นแล้ว"

            "เจ๋งอ่ะ ขยับได้ด้วย"

            "ถ่ายรูปเก็บไว้ดิ"

            "ถ่ายแล้ว"

            "เอาไง จะไปหาอะไรกินก่อนหรือไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก่อน"

            เรื่องกินคือภารกิจสำคัญ ส่วนถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก็ต้องทำ แต่อย่างน้องหมีไม่น่าถามว่าจะเลือกแบบไหนก่อน

            "กินดิ"

            "จัดไป"

            ถึงจะว่าบอกว่ามากินแต่เอาเข้าจริงผมไม่รู้หรอกว่าที่นี่มีร้านอะไรน่ากินบ้างนอกจากปูกับทาโกะยากิ ร้านปูคนก็ต่อแถวยาวเหยียด ถามน้องหมีว่าอยากกินมั้ยน้องมันก็บอกยังไงก็ได้ เพราะฉะนั้นร้านนี้เราเลยผ่านไปก่อน

            ทุกร้านที่เดินผ่านหน้าสนใจหมดโดยเฉพาะของฝาก ผมกับน้องหมีแวะเกือบทุกร้านทั้งที่ของมันก็เหมือนๆ กัน แล้วก็ไม่รู้จะซื้อไปทำไมเยอะแยะเพราะไม่มีคนให้ฝาก พวกขนมส่วนใหญ่ที่ผมซื้อไปคือกินเองทั้งนั้น

            ได้ขนมติดมือมากันคนละนิดคนละหน่อยเราก็แวะร้านทาโกะยากิ สั่งเซ็ตแปดชิ้นแล้วมานั่งกินด้านในที่ทางร้านจัดที่เอาไว้ให้ ทาโกะยากิหอมๆ ควันฉุยเล่นเอาน้ำลายสอ รอน้องหมีถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลาลงมือกิน

            "โอ้ย! ร้อนๆๆๆ"

            ผมเพิ่งจับตะเกียบ น้องหมีก็คีบทาโกะยากิทั้งลูกเข้าปากโดยไม่เป่าให้หายร้อนหรือรอให้มันเย็นก่อนมันก็ลวกปากเอาน่ะสิ แถมน้ำยังไม่ได้ซื้อด้วย

            "สมน้ำหน้า" อวยพรได้คำเดียวเลย ณ ตอนนี้

            ผมใช้ตะเกือบแยกแป้งลูกกลมๆ ออกเป็นสองส่วนควันก็ลอยออกมา รอให้มันเย็นสักพักแล้วค่อยคีบเข้าปาก สอนวิธีการกินให้น้องมันแบบอ้อมๆ ลูกต่อไปจะได้ไม่ลวกปากอีก

            ทาโกะยากิแปดลูกถูกจัดการในเวลาอันรวดเร็วและพร้อมแล้วสำหรับเมนูถัดไป ผมกับน้องหมีแทบจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ของคาวของหวานผสมปนเปกันไปหมด ทั้งเกี๊ยวซ่า โอเด้ง ไทยากิ หอยเชลล์ย่างเนย เมล่อนปังไอศกรีม จนท้องเริ่มอิ่มถึงได้หยุดกินกัน

            โดทงโบริมีหลายซอกหลายซอยผมก็พาน้องหมีเดินมั่วๆ มันไปทุกซอย ผ่านร้านเกมร้านหนึ่งที่มีคนมุงดูอยู่เยอะๆ ก็ไปมุงดูกับเขา ตรงหน้าเครื่องเกมมีชายรูปร่างท้วมคนหนึ่งกำลังวาดลวดลายตามจังหวะเพลง บนหน้าจอที่ฉายมีตัวการ์ตูนเป็นแบบเต้นให้ดู แต่มันไม่จำเป็นเลยสำหรับชายคนนั้น สเต็ปเขาเทพเกินเกมไปแล้ว

            "โคตรเก่งเลย" ขนาดน้องหมียังออกปากชม

            ผมกอดอกมองแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เอาจริงๆ เพลงแนวนี้ผมก็เต้นได้ สายถนัดอยู่แล้วเพลงไอดอล แขนขากระตุกอยากออกลวดลายเต็มแก่แต่ตรงนี้คงไม่เหมาะ สงสัยต้องรีบชวนน้องหมีไปที่อื่นก่อนมือจะโยกตามอย่างควบคุมไม่ได้

            "เปลี่ยนคนแล้ว"

            "ไปเหอะ" ผมคว้าแขนน้องหมีให้เดินตามมาทันทีตอนเปลี่ยนคนเล่นเกม เพราะเพลงที่คนคนนั้นเลือกเป็นเพลงโปรดของผม ให้ยืนดูต่อต้องทนไม่ไหวแน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องรีบหนี

            "รีบไปไหนอ่ะ"

            "ไปดูอย่างอื่น"

            "พี่อินไม่ได้ชอบเพลงแนวนั้นเหรอ" นี่ก็รู้ใจผมไปอีก แต่เพราะชอบมากไงเลยต้องรีบไป

            "ก็ชอบอยู่"

            "แล้วเต้นได้ป่ะ"

            "ก็พอได้"

            "งั้นกลับโรงแรมไปเต้นให้ดูหน่อยดิ"

            "ไม่มีทาง" คนนอกวงการอย่างน้องมันไม่มีทางได้ดูผมเต้นหรอก

            "ใจร้ายจริงๆ"

            ว่าผมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ยังไงก็ไม่มีทางเต้นให้ดูเด็ดขาด

 

            ท้องอิ่มได้ของฝากครบเราก็หมดธุระที่โดทงโบริ แต่ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะถ่ายรูปกลับป้ายกูลิโกะที่ต้องแก่งแย่งกับผู้คนหลากหลายชาติเพื่อให้ได้มุมเหมาะๆ แถมรูปที่ได้มายังเป็นรูปที่ผมรู้สึกว่ามันโคตรจะ

            "เหมือนป๊ะป๋ากับหม่าม้าเลย" และนี่คือความคิดเห็นจากน้องหมีผู้น่ารักที่ติ๊ต่างว่าตัวเองเป็นป๊ะป๋าส่วนผมเป็นหม่าม้า ถามจริงนะคิดได้ไง

            "เหมือนตรงไหน"

            "ไม่รู้ ความรู้สึกมันบอก" ผมเกลียดการตอบคำถามแล้วยิ้มตาหยีของน้องมันจัง

            ขี้เกลียดเถียงด้วยเลยส่งกล้องคืนให้ หมุนตัวกลับกำลังจะก้าวขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนต้องก้มลงไปนวดๆ คลึงๆ เดินมาตั้งนานมาออกอาการอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้

            "พี่อิน"

            "ฮึ ว่า" ผมรีบยืดตัวตรงตอนน้องหมีเข้ามาหา แล้วนี่เป็นอะไรอีกถึงมาทำหน้าเครียดขมวดคิ้วใส่

            "เจ็บขาอยู่ใช่มั้ย"

            "ฮะ เปล่า" อย่าบอกว่าแค่เห็นผมก้มลงไปนวดหัวเข่าเมื่อกี้น้องมันก็รู้เลย

            "ก็เห็นอยู่"

            "ไม่ได้เจ็บขา แต่เจ็บเข่า"

            "มันใช่เวลามาเล่นมั้ย"

            ผมยิ้มแหยไม่เถียงต่อ น้องหมีทำหน้าจริงจังมาก จริงจังเหมือนโลกกำลังจะแตก ทั้งที่ผมแค่เจ็บเข่านิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย พักสักหน่อยก็หาย แต่พอเดินเยอะๆ มันก็เจ็บอีก แบบนี้เรียกว่าเป็นนิดหน่อยได้มั้ย

            "กลับกัน" น้องหมียื่นมือออกมาข้างหน้า จุดประสงค์ชัดเจนว่าต้องการให้ผมจับไว้แล้วเดินไปพร้อมๆ กันทั้งที่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้

            "เดินเองได้"

            "ถ้าเกิดล้มขึ้นมาจะทำไง"

            "แล้วคิดว่าแค่จับมือมันจะช่วยอะไรได้" อีกอย่างผมไม่ได้บอบบางขนาดที่ว่าเจ็บเข่าแล้วจะเดินล้มได้ง่ายๆ สักหน่อย ถ้าเจ็บมากแค่เดินกะเผลกลากขาไปก็จบ

            "งั้นพยุงเอามั้ย หรือจะให้แบร์อุ้ม" แล้วน้องหมีก็ยื่นคำขาด

            จากคำพูดอาจจะคิดว่าเราทะเลาะกันหรือโวยวายเสียงดังใส่กันใหญ่โต แต่ความจริงแล้วน้ำเสียงที่ใช้พูดทุกประโยคกลับนุ่มนวล ไม่มีใครเสียงดัง ไม่มีใครตะคอก เรียกว่าเป็นการเจรจาอย่างสงบสุขจะเหมาะกว่า และผมไม่เคยเถียงกับใครด้วยอารมณ์และน้ำเสียงแบบนี้เลยน้องจากน้องหมี

            สุดท้ายแล้วผมก็เป็นฝ่ายยอม ยอมตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร ยื่นมือไปวางบนมือที่ยกค้างรอไว้แล้วรอยยิ้มกับตาขีดก็แต่งแต้มบนใบหน้าที่แสนจะดูดีนั่นอีกครั้ง

           

            กลับมาถึงโรงแรมผมก็โดนไล่ให้ไปอาบน้ำทันที อาบน้ำเสร็จน้องหมีก็เอายาที่พกมาจากไทยมาทา บีบๆ นวดๆ ขากับหัวเข่าให้ ขอยกให้เป็นพนักงานห้าดาว บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ

            ผมนอนเหยียดยาวบนฟูก สบายจนจะผล็อยหลับอยู่หลายทีตอนน้องหมีนวดขาให้ คนนวดก็นวดไปบ่นไป ส่วนใหญ่ก็บ่นผมที่ดื้อไม่ยอมบอกว่าเจ็บเข่านั่นแหละ เลยทำให้น้องมันเป็นห่วงบลาๆๆๆ บ่นอะไรอีกบ้างผมก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้างจนน้องมันนวดเสร็จ

            "เป็นไงมั้ง ดีขึ้นหรือยัง"

            "ดีมาก จะหลับอยู่แล้ว"

            "นอนเลยก็ได้นะ" บอกแล้วเก็บยาใส่ถุงซิบล็อคก่อนลุกไปล้างมือแล้วกลับมานั่งบนฟูกตัวเอง

            บอกไปว่าจะหลับแต่ตากลับยังใส่แป๋วมองหมียักษ์ข้างๆ โหลดรูปจากกล้องลงมือถือ เมื่อกี้มันสบายจนอยากหลับจริงๆ แต่พอน้องหมีหยุดนวดความง่วงมันก็หายไป

            "ไม่นอนเหรอ ปิดไฟมั้ย"

            "ไม่ต้อง" บอกปฏิเสธก่อนนอนตะแคงข้างหันหน้าไปหา อยู่ๆ ก็มีเรื่องบางอย่างที่ผมคาใจอยากจะรู้ และหวังว่าน้องมันจะตอบ

            "ไหนบอกง่วง"

            "อยากคุยด้วยมากกว่า"

            น้องหมียิ้มตาหยี เป็นรอยยิ้มที่ผมมองทีไรก็ชอบ มันดูมีเสน่ห์มันน่าหลงใหล และถ้าน้องมันชอบยิ้มแบบนี้ให้ผมเพื่อจุดประสงค์นั้น บอกเลยว่าน้องมันอาจจะทำสำเร็จแล้วก็ได้

            "อยากเห็นหน้าแฟนแบร์อ่ะ"

            "แฟนคนไหน"

            "แสดงว่ามีเยอะ"

            "ก็เยอะนะ คนมันหล่อ"

            ฟังแล้วก็หมั่นไส้กับความเป็นจริง

            "อยากเห็นแฟนคนที่ทำให้แบร์เสียการเรียนน่ะ"

            น้องหมีนิ่งไปเลยตอนผมบอก วางกล้องในมือลงแล้วหันมามองก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แววตาน้องมันดูหม่นหมองยังไงชอบกล เป็นท่าทีทำเอาผมอยากหยิบประโยคเมื่อกี้ยัดใส่ปากเคี้ยวๆ กลืน ถือซะไม่ว่าไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกมา

            "ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"

            "ทำไมถึงอยากเห็น"

            "ก็แค่อยากเห็นคนที่แบร์รักจนยอมทิ้งการเรียนไปแบบนั้น แต่ถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร"

            "ถ้าเห็นแล้วพี่อินมากกว่าที่จะไม่โอเค"

            ผมควรตีความความหมายของประโยคเมื่อกี้ว่าไงดี แล้วทำไมผมถึงต้องไม่โอเค ผมไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์ความชอบคนอื่นอยู่แล้วไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นยังไง ผมเคารพความชอบส่วนบุคคลเสมอ อย่างที่น้องหมีเคารพความชอบของผม และถ้าน้องมันไม่อยากให้ดูผมก็ไม่ติดขัดอะไร

            "ไม่ต้องเอาให้ดูก็ได้นะ"

            พูดยังไม่ทันขาดคำน้องหมีก็ยื่นมือถือมาตรงหน้า ผมรับมันมาดูแล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น

            "ดูดีใช่มั้ยล่ะ"

            ใช่ ดูดี คนคนนี้ดูดีมาก แต่...

            "เขาเป็นผู้ชาย"

            "..."

            "แบร์ชอบผู้ชายนะพี่อิน"

            ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่ถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น มองพิจารณารูปถ่ายของชายหนุ่มที่เรียกได้เต็มปากว่าดูดีมาก เป็นภาพถ่ายหน้าตรงครึ่งตัวที่คนในรูปยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงตัวสวย ทุกส่วนประกอบของใบหน้าทำให้เขาดูหล่อ แต่รอยยิ้มนั่นทำให้เขาดูน่ารัก ดูดีอย่างกับหลุดออกมาจากในหนังสือการ์ตูน

            "ช็อคใช่มั้ย"

            "ช็อคดิ" ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้ ไม่ใช่แค่ช็อค แต่โคตรช็อค ช็อคมากๆ

            มันทำให้ผมนึกย้อนไปช่วงสองถึงสามปีที่เราได้เจอกัน ผมไม่รู้ว่าน้องหมีเริ่มรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไร่ แต่คำพูดและการกระทำของน้องมันไม่เคยบ่งบอกถึงเรื่องรสนิยมมาก่อน หรือเพราะผมไม่เคยสังเกต

            "แต่ไม่ต้องห่วงนะ แบร์ไม่ทำอะไรพี่อินหรอก" พูดแล้วยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย

            ได้ยินแบบนี้ผมล่ะอยากลุกขึ้นไปเขกกะโหลกน้องมันให้ยุบ พูดมาได้ว่าไม่ทำอะไรพี่อินหรอก ทั้งรอยยิ้ม การกระทำ และคำพูด มันคงส่งผลตั้งแต่อยู่อนุบาลนู่นแล้วล่ะมั้ง ด้วยนิสัยน่ารักๆ ขี้อ้อนเป็นบางทียอมกันเป็นบ้างครั้ง มันสั่งสมมาเรื่อยๆ กลายเป็นความสนิทสนมแบบไม่มีชื่อเรียก เป็นความรักที่ผมก็พูดไม่ได้เต็มปากนักว่ารักแบบพี่น้องจริงๆ และแม้จะถูกตัดขาดด้วยกาลเวลาแต่มันก็กลับมาต่อกันใหม่เหมือนเดิม

            ตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกประหลาดที่ได้รับจากน้องหมี และคำตอบที่คาใจมาทั้งวันคืออะไร 

            "พี่อินโอเคมั้ยวะเนี่ย" เห็นผมไม่พูดอะไรอยู่นาน สีหน้าน้องหมีเลยดูกังวลจนเผลอขึ้นเสียงใส่

            "โอเคดิ ใจกว้างพอ" ผมเป็นพวกใจกว้างรับได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขนาดตัวตนของตัวเองยังรับได้ แล้วทำไมจะรับตัวตนของน้องมันไม่ได้

            "ให้จริง" ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้อีก คิดว่าจะสะดิ้งแล้วสะบัดทิ้งหรือไง

            "ไม่ใช่ตัวเชื้อโรคไม่จำเป็นต้องรังเกียจ"

            "คนจริงว่ะ" น้องหมียิ้มตาหยีที่ดูเป็นธรรมชาติไม่ฝืนเหมือนครั้งก่อน

            แต่คนพิเรนทร์อย่างน้องหมีเดาความคิดได้ที่ไหน ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เห็นผมไม่มีท่าทีรังเกียจน้องมันก็เอาใหญ่เลย

            "งั้นเจอนี่เป็นไง" ร่างโตๆ อย่างกับหมีขั้วโลกกระโจนทับผมทั้งตัว ปลุกปล้ำกอดรัดก่อนจะกลายเป็นฟัดจิกหัวกันในเวลาต่อมา

            เล่นกันจนเหนื่อยก็นอนหงายหอบแฮ่กกันทั้งคู่ ผมหันไปมองน้องหมีที่นอนหลับตาหายใจแรงจนหน้าอมกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะถี่ๆ คุยถึงเรื่องแฟนน้องมันผมก็อยากรู้ให้ลึกกว่านี้อีก

            "งั้นถามได้มั้ยว่าทำไมถึงเลิกกัน"

            "คนมันไม่ใช่ เขาจะไปแบร์ห้ามไม่ได้หรอก"

            "ทั้งที่ยอมให้เขาขนาดนั้นน่ะนะ"

            ยอมทิ้งการเรียน ทิ้งอนาคตเพื่อคนเพียงคนเดียวแต่กลับได้ผลตอบแทนเป็นการจากลา มันไม่คุ้มเลย ไม่คุ้มสักนิด แต่หากคิดในทางกลับกัน ถ้าผมเป็นผู้ชายคนนั้น กับน้องหมีในตอนนั้น คนที่ไม่ห่วงแม้กระทั่งอนาคตของตัวเอง ทุ่มเทกับความรักโดยไม่คิด ผมว่ามันก็หาความมั่นคงจากคนคนนั้นไม่ได้เหมือนกัน

            "ยอมให้แต่เขาไม่เห็นมันก็ไร้ประโยชน์"

            "สองปีเลยนะ สองปีมันนานมากนะ"

            "สามีภรรยาอยู่กินกันมาเป็นยี่สิบปียังเลิกกันได้เลย นับประสาอะไรกับเด็กวัยรุ่นที่คบกันแค่สองปี"

            ผมเถียงอะไรไม่ออก มันจริงอย่างที่น้องหมีว่า คนรอบข้างมีให้เห็น ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็ออกกันโคลมๆ อย่างกับว่าเราจะหาความมั่นคงจากความรักไม่ได้เลย

            "ที่จริงเราจบกันด้วยดีนะ หลังจากเลิกกันแล้วชีวิตก็ไม่ได้แย่อะไร"

            "ก็ดีแล้ว"

            เราสองคนหันมายิ้มให้กัน ทุกคนย่อมเคยเจอช่วงเวลาที่ไม่ดีกันมาทั้งนั้น อกหักรักคุดผมก็เคย แต่ทุกอย่างย่อมผ่านไปได้ เวลามันจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีเอง

            "แล้วหลังจากนั้นก็คบผู้ชายมาตลอดเลยเหรอ"

            "ก็ใช่ดิ"

            "อยากเห็นหน้าแฟนอื่นบ้างอ่ะ"

            แฟนคนนั้นหน้าตาดีขนาดนั้น แสดงว่ารสนิยมของน้องหมีต้องสูงมากแน่ๆ ผมเลยอยากรู้ว่าหน้าตาแฟนคนอื่นๆ ของน้องมันจะเป็นยังไง

            "ไม่ให้ดูแล้ว"

            "อย่าหวงดิ"

            "ไม่ให้ดู"

            "ขอดูหน่อย"

            "ไม่"

            "นะๆๆ"

            "นอนไปเลยไป" พูดพร้อมกับผลักผมออกห่าง ซ้ำร้ายยังดึงผ้าห่มมาคลุมโปงกันอีก

            โอเค้ ไม่อยากดูแล้วก็ได้

            ผมส่งสายตาคาดโทษไปให้แต่น้องมันกลับหัวเราะ นอนก็นอน ได้รู้ความลับแค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว

            ไม่ว่าจะเป็นยังไง น้องหมีก็ยังเป็นน้องชายที่น่ารักสำหรับผมเสมอ





TBC.





แฟนเก่าน้องหมีเฉลยแล้ว ทุกคนตอบถูก ปรบมือ!!!

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า เจอกันตอนหน้าค่า




ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
«ตอบ #65 เมื่อ24-05-2017 01:48:36 »

พี่อินไม่ขอดูหน้าแฟนคนต่อไปเหรอคะ เอ้า น้องหมี หยิบกระจก  :hao7:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
«ตอบ #66 เมื่อ24-05-2017 09:10:30 »

ถ้ารู้แฟนน้องหมีคนต่อไป คนถามจะทำหน้ายังไงน้าาา
 :m22:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
«ตอบ #67 เมื่อ24-05-2017 12:17:10 »

ศึกษาข้อมูลอดีตแฟนหรอพี่อิง :ruready

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
«ตอบ #68 เมื่อ26-05-2017 19:58:14 »



วันที่ 7

 

            ฝน เป็นเพียงอย่างเดียวที่ผมไม่อยากเจอที่สุด แม้เราจะเผชิญกับฝนมาแล้วถึงสองวันในทริป แต่ไม่มีวันไหนที่ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่แบบวันนี้ พยากรณ์อากาศยังบอกอีกว่าฝนจะตกทั้งวัน หนักเบาก็แล้วแต่ช่วงเวลา

            ช่างเป็นวันที่ไม่สดใสเอาเสียเลย

            ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อฟังเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำมาตั้งแต่ช่วงกลางดึก ภาวนาให้ฝนหยุดก่อนแปดโมงเช้าที่เราจะออกเดินทางแต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพยากรณ์อากาศบอกชัดเจนว่ามันจะตกทั้งวัน กว่าจะซาอีกทีก็ช่วงบ่ายนู่นเลย

            ทอดถอนหายใจอย่างปลงตกผมก็พลิกตัวนอนตะแคงมองน้องหมีที่ยังหลับอุตุ ผ้าห่มคลุมอยู่แค่อกนอนอ้าปากหว๋อยังดีที่น้ำลายไม่ไหล ผมแอบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้แล้วยกยิ้มกับตัวเอง ตอนตื่นอย่างเท่อย่างหล่อแต่ตอนนอนนี่ดูไม่ได้เลย แต่ว่าเขาไม่ได้หรอก ตัวผมตอนนอนก็คงดูไม่ได้เหมือนกัน

            นอนเอื่อยเฉื่อยจนใกล้หกโมงครึ่งผมก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน รู้สึกไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรเพราะอ่อนเพลียสะสมมาหลายวัน ยังดีที่หัวเข่าหายเจ็บแล้ว แต่ไม่รู้ว่าถ้าวันนี้ใช้งานหนักมันจะเจ็บขึ้นมาอีกหรือเปล่า ซึ่งผมว่าไม่น่าจะรอด

            ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็กลับมานั่งบนที่นอนทาครีมบำรุงสักหน่อย เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกเดินทางเสร็จจะหันไปปลุกน้องหมีก็เห็นน้องมันนอนมองตาแป๋วอยู่

            "จะเจ็ดโมงแล้ว" ผมบอกพลางจัดของใส่กระเป๋าเป้

            แต่แทนที่น้องหมีจะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตากลับลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าผมซะงั้น

            "อะไร"

            "ฝนยังตกอยู่เลย"

            "ก็ใช่ไง"

            "พี่อินหายดีแล้วเหรอ"

            "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" ผมแค่เหนื่อยกับเจ็บเข่านิดหน่อย มันไม่เป็นอุปสรรคอะไรกับการเที่ยวหรอก

            "หน้ายังง่วงอยู่เลย" ว่าแล้วก็ยกมือมันปัดผมหน้าม้าผมขึ้นแล้วก็ขมวดคิ้วใส่

            "ตื่นเช้าก็ง่วงดิ"

            "ตัวรุมๆ นะ วันนี้พักเถอะ แบร์ไม่ไปก็ได้"

            "ฝนตกนิดเดียวเอง ไปเถอะ มาแล้วไม่ได้เที่ยวน่าเสียดาย" อุตส่าห์มาเที่ยวทั้งทีจะมัวมานอนอุดอู้อยู่แต่ในห้องได้ยังไง พรุ่งนี้ก็ต้องกลับกันแล้ว ป่วยนิดป่วยหน่อยผมไม่เป็นอะไรหรอก

            "ถ้าพี่อินป่วยหนักกว่านี้แบร์จะไม่สบายใจยิ่งกว่าไม่ได้ไปเที่ยวอีก" น้องหมีมองผมนิ่ง สายตาแสดงความเป็นห่วงที่มักจะได้เห็นบ่อยๆ สมัยเด็ก หรือแม้แต่ช่วงเวลาหกวันที่ผ่านมา จนสุดท้ายผมก็ต้องยอม

            "งั้นยกเลิกฮิเมจินะ ตอนบ่ายค่อยออกไปปราสาทโอซาก้า"

            เช้านี้เรามีแพลนจะไปเที่ยวที่ปราสาทฮิเมจิซึ่งอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะห่างออกไปประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะที่นี่สวยมากผมเลยตั้งใจจับยัดไว้ในแพลนด้วย ถึงจะเสียดายแต่ก็ต้องยอม ดีกว่าให้น้องหมีมาพะวงเรื่องผมตลอดทางมันจะเที่ยวไม่สนุกเอา

            "เอาแบบนั้นก็ได้ ทีนี้ก็นอนพักซะ"

            ผมโดนน้องหมีดึงให้กลับไปนอนด้วยกันแถมยังห่มผ้าให้เสร็จสรรพ อากาศเย็นสบายบวกกับอ่อนเพลียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วถึงจะล้างหน้าจนตาสว่างเชื่อเถอะอีกไม่ถึงห้านาทีผมก็หลับ

            ต้องพักให้เต็มที่ หน้าตาจะได้แจ่มใสไม่ทำให้คนแถวนี้เป็นห่วงอีก

 

            ผมถูกปลุกอีกทีตอนใกล้เที่ยง ตื่นขึ้นมาก็มีอาหารจากร้านสะดวกซื้อส่งกลิ่นหอมฉุยจนต้องรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาอีกรอบ แล้วกลับมานั่งโซ้ยด้วยความหิวโหย

            "ไม่รู้ว่าอยากกินอะไรบ้าง เลยเลือกหยิบมาจากที่เห็นว่าเคยกิน" น้องหมีบอกตอนผมกำลังตักข้าวแกงกะหรี่เข้าปาก ช่างสังเกตจริงๆ

            "แต่แกงกะหรี่นี่ไม่เคยนะ" ผมแกล้งหยอก น้องหมีรีบสั่นหน้าใหญ่

            "เคย อย่ามาโม้"

            ผมหัวเราะร่วนเลยโดนชี้หน้าคาดโทษ แต่น้องหมีไม่กล้าทำอะไรผมหรอกนอกบอกให้กินของทุกอย่างที่ซื้อมาให้หมด กินเสร็จผมก็โดนบังคับผมกินยาดักเอาไว้ ใกล้บ่ายโมงถึงได้เตรียมตัวออกจากโรงแรม

            มุ่งหน้าสู่ปราสาทโอซาก้าท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาเบาๆ

            จากสถานีรถไฟไปถึงปราสาทโอซาก้าต้องเดินผ่านสวนค่อนข้างไกล ถ้าเทียบกับวันก่อนๆ ถือว่าวันนี้พวกเราเดินช้าลงมาก ผมช้าเพราะกลัวอาการเจ็บเข่ากำเริบ ส่วนน้องหมีช้าเพราะต้องเดินรอผมอีกที

            เดินเข้ามาในสวนไม่นานฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ ก็หยุดสนิท มีต้นซากุระบานเรียงเป็นแนวยาวเป็นช่วงๆ รวมถึงรอบคูน้ำรอบปราสาท เป็นความสดใสท่ามกลางความอึมครึมที่ให้ความรู้สึกสดชื่นได้ไม่เต็มที่นัก เราเดินไปถ่ายรูปกันไป ปะปนไปกับนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ กว่าจะถึงตัวปราสาทก็เกินเวลาไปหลายนาที

            เพราะฝนเพิ่งหยุดตกบรรยากาศเลยดูขะมุกขะมัว บนพื้นมีน้ำเจิ่งนอง ท้องฟ้าเป็นสีเทาแทบไม่มีแสง ถ่ายรูปออกมาก็ไม่สวย ชื่นชมกับปราสาทด้านนอกได้แป๊บเดียวผมก็ชวนน้องหมีเข้าไปข้างใน แล้วก็ประสบกับปัญหาใหญ่จนได้ เพราะแถวรอลิฟต์ขึ้นปราสาทมันยาวจนเลยออกมาข้างนอก ถ้าไม่อยากรอต้องขึ้นบันไดอย่างเดียว

            "ไหวมั้ย"

            "ไหว"

            "แปดชั้นเลยนะ"

            "ไม่เป็นไรหรอก"

            ผมเดินนำขึ้นบันไดไปโดยไม่รอให้น้องหมีค้านอะไรอีก ตอนนี้หัวเข่าผมยังโอเค เดินขึ้นหนึ่งชั้นแล้วก็พักเพราะต้องดูของที่เขาจัดแสดงไว้ในแต่ละชั้น แค่นี้สบายมาก

            ปราสาทโอซาก้านั้นมีการจัดแสดงทั้งหมดแปดชั้น ทางที่ดีควรขึ้นลิฟต์ซึ่งจะสิ้นสุดที่ชั้นห้าจากนั้นเดินขึ้นไปชั้นแปดแล้วเดินไล่ลงมาทีละชั้น แต่เพราะแถวรอลิฟต์มันยาวเลยตัดใจ

            ภายในปราสาทจะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของปราสาท ภาพเขียน แบบจำลอง เครื่องแต่งกายโบราณ ผมกับน้องหมีเดินแยกกันดูทางใครทางมัน ใครดูเสร็จก่อนก็มารอหน้าบันไดแล้วค่อยขึ้นไปพร้อมกันจนมาถึงชั้นแปดที่เป็นจุดชมวิว

            คนเยอะ เยอะมาก แถมยังมีตะข่ายลวดกั้นเอาไว้แทบจะหามุมถ่ายรูปสวยๆ ไม่ได้เลย ผมกับน้องหมีเดินแยกไปหามุมเหมาะๆ ถ่ายได้สองสามรูปผมก็กลับเข้ามานั่งรอข้างใน อีกย่างเพราะลมมันแรงผมหนาว

            "เข่าเป็นไงบ้าง" เดินวนเก็บภาพด้านนอกอยู่นานสองนานเดินตามเข้ามาข้างในน้องหมีก็ถามถึงแต่หัวเข่า

            ผมลูบๆ บีบๆ นวดๆ มันเบาๆ ไม่รู้สึกเจ็บอะไร แต่หลังจากนี้ที่ต้องเดินลงบันไดอีกแปดชั้นล่ะก็ไม่แน่

            "โอเคอยู่"

            น้องหมีนั่งลงข้างๆ โดยไม่ตอบอะไร เหมือนต่างคนก็ต่างเพลียเลยพากันเงียบทั้งคู่ มองผู้คนที่ผลัดเปลี่ยนกันเดินเข้าเดินออกจนใกล้จะหลับก็ชวนกันลงไปข้างล่าง

            แม้จะออกเที่ยวช่วงบ่ายแต่ทริปวันนี้ยังอีกยาวไกล

 

            จากปราสาทโอซาก้านั่งรถไฟไปลงสถานีโอซาก้าโกะ เดินต่อไปอีกนิดก็ถึงริมอ่าวโอซาก้า เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมา เพราะที่นี่มีทั้งพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า และยังเป็นท่าเรือ จากนี้เราจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์กับร่องเรือซานต้ามาเรียรอบอ่าวกันแบบชิลๆ ความจริงผมอยากเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคังด้วย แต่เพราะเวลาที่มีอยู่อันน้อยนิดเลยต้องเลือกมาแบบตัดใจ

            ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกรอบพร้อมกับอากาศที่เย็นลง เวลาแค่สี่โมงกว่าท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มดูหม่นหมอง เหมาะแก่การนอนอยู่บ้านเฉยๆ มากกว่ามาเดินเตร็ดเตร่ตากลมแรงๆ แบบนี้

            เพราะเรือซานต้ามาเรียจะออกทุกต้นชั่วโมง ผมกับน้องหมีเลยไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์เท็มโปซาน ที่สูงถึง 112.5 เมตรกันก่อน ที่นี่จะมีให้เลือกสองแบบคือแบบธรรมดากับแบบกระจกใสทั้งตู้สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทางที่มีตู้จำนวนน้อยกว่า ซึ่งความพิเศษของมันก็มาพร้อมแถวยาวเหยียดแม้จะเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวัน เราเลยเลือกขึ้นแบบธรรมดาแทน

            บริการพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือพนักงานจะถ่ายรูปให้ก่อนขึ้นโดยมีชิงช้าสวรรค์ยักษ์เป็นฉากหลังแบบระยะประชิด ผมชูสองนิ้วยิ้มแบบเนือยๆ เสียงชัตเตอร์ดัง พนักงานเช็ครูปเรียบร้อยเราก็ได้เข้ามานั่งในชิงช้าสวรรค์

            เท็มโปซานลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมองเห็นอ่าวโอซาก้ากับตัวเมืองได้โดยรอบ ทุกอย่างเกือบจะโอเคแล้วถ้าไม่ติดว่ากระจกเต็มไปด้วยหยดน้ำจากฝนจนทำให้ถ่ายรูปไม่ชัด กดถ่ายไปไม่กี่รูปผมก็มานั่งมองวิวเฉยๆ รู้สึกหวิวๆ เป็นครั้งคราวตอนลมพัดแรงๆ แล้วตู้มันแกว่ง หวังว่ามันคงไม่ตกลงไปหรอกนะ

            "ง่วงแล้วเหรอ นั่งเงียบเลย" น้องหมีถามแบบรู้ทันผมอีกแล้ว แต่ผมไม่บอกหรอกว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่นั่งนิ่งแบบนี้เพราะผมกลัวตอนตู้มันแกว่งเดี๋ยวจะโดนน้องมันว่าเอา เล่นรถไฟเหาะไม่กลัวดันมากลัวตอนขึ้นชิงช้าสวรรค์

            "มันเห็นวิวไม่ค่อยชัด"

            "มาดูตรงนี้ดิ ไม่มีน้ำฝน" กวักมือเรียกไม่พอน้องหมียังย้ายมานั่งฝั่งที่ผมนั่งอยู่อีก

            เข้าใจจุดประสงค์ว่าอยากให้สลับที่กัน แต่ผมยังไม่ทันลุกเลยไง น้ำหนักถูกเทมาฝั่งเดียวบาลานซ์มันเสียตู้ก็แกว่งสิแบบนี้

            ผมคว้าราวจับเอาไว้มั่นพยายามนั่งนิ่งๆ จนตู้หยุดแกว่ง เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่คนข้างๆ จะไม่สังเกตเห็น

            "พี่อินเป็นไร"

            "เปล่า" ส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนเมื่อกี้ไม่มีความกลัวเกิดขึ้นมาในจิตใจเลยสักนิด ก่อนผมจะย้ายไปนั่งอีกฝั่งเพื่อดูวิว แต่สุดท้ายก็โดนหาเรื่องแกล้งจนได้

            น้องหมีย้ายกลับมานั่งฝั่งเดียวกัน เพราะงั้นไม่ต้องเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตู้แกว่งเบาๆ ทำเอาผมใจหายแว๊บแอบกลั้นหายใจชั่วขณะ แถมมือยังคว้าราวจับไว้อัตโนมัติ บอกเลยว่าโคตรเสียเซลฟ์

            "กลัวเหรอ"

            "กลัวอะไร"

            "ก็กลัวแบบนี้ไง" ไม่พูดเปล่ายังสาธิตโดยการขยับตัวแรงๆ จนตู้เริ่มแกว่งอีก

            ผมล่ะอยากจะเคาะกะโหลกน้องมันแรงๆ สักที ถ้าไม่ติดว่ากำลังมือไม้อ่อนอยู่ล่ะก็นะ ทั้งที่รู้ว่ากลัวก็ยังจะแกล้ง ตอนเด็กๆ ไม่เป็นแบบนี้นี่

            "อืม กลัว"

            "ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย"

            พอยอมรับน้องหมีก็หยุดแกล้ง ผมล่ะเริ่มสับสนกับน้องมันจริงๆ สรุปว่าเป็นห่วงกันจริงๆ ใช่มั้ยถึงได้แกล้งคนใกล้ป่วยแบบนี้ แล้วยังมายิ้มจนตาเป็นขีดอีก

            "แบร์อยู่ด้วยทั้งคนพี่อินไม่ต้องกลัวหรอก"

            เกือบจะซึ้งแล้วแต่ผมว่าเพราะน้องมันอยู่ด้วยนี่แหละถึงได้น่ากลัวกว่าเดิม

            สิบห้าสิบนาทีโดยประมาณเท็มโปซานก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น ตรงทางออกมีรูปที่พนักงานถ่ายไว้ก่อนขึ้นชิงช้าสวรรค์ขายอยู่ ในรูปหน้าตาผมไม่รู้จะโทรมไปไหน เห็นแล้วอยากจะไล่ตัวเองกลับไปนอน แต่น้องหมียังดูเปล่งประกายสดใส รูปนี้จึงกลายเป็นรูปแรกที่น้องมันซื้อเก็บไว้ ทั้งที่ผมคิดว่ารูปถ่ายตอนเราไปฟูจิคิวมันน่าสนใจกว่ากันเยอะ

            ลงจากชิงช้าสวรรค์ยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยผมเลยชวนน้องเดินเล่นหาอะไรกระจุ๊กกระจิ๊กกินในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ติดกัน พอใกล้ห้าโมงเย็นก็ไปต่อแถวขึ้นเรือท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายลงมาเบาๆ

            รอบนี้คนไม่เยอะเท่าไรนัก คำนวณด้วยสายตาไม่น่าจะถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ ขึ้นเรือได้ต่างคนก็ต่างจับจองหามุมของตัวเอง และถือเป็นโชคดีด้วยที่วันนี้ฝนตกเขาเลยเปิดให้เข้าด้านในโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่งั้นได้นั่งด้านนอกดมกลิ่นน้ำมันจนเวียนหัวแน่ๆ

            ผมกับน้องหมีเลือกนั่งฝั่งขวาติดกระจก มีประชากรอีกสองกลุ่มอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่กระจายกันนั่งคนละมุม ซานต้ามาเรียใช้เวลาห้าสิบนาทีต่อหนึ่งรอบ ช่วงเวลานี้จึงเป็นเหมือนเวลาพักผ่อนของเรา นั่งมองวิวไปพลางถ่ายรูปไปพลาง นานเข้าผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ น้องหมีเองก็ทำแบบเดียวกัน

            "หลับเหรอ"

            "เปล่า" ผมตอบโดยไม่ได้หันหน้าไปมองสักพักก็รู้สึกว่าโดนสะกิดที่นิ้วก่อนฝ่ามือนั้นจะกุมมือผมเอาไว้

            ผมไม่ได้ขัดขืน ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่น้องหมีอยากให้เป็น ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าออกแรงบีบเบาๆ แล้วคลายออก สักพักก็เปลี่ยนเป็นใช้นิ้วลูบหลังมือ ทำแบบนี้อยู่หลายนาทีแล้วก็หยุดไป ผงกหัวขึ้นมองก็เห็นน้องมันหลับไปแล้ว

ใช้ร่างกายหนักติดต่อกันมาหลายวันแถมเจอทั้งแดดลมฝน ถึงจะเป็นหมีร่างใหญ่ผู้อึดถึกทน ก็ต้องมีเพลียกันบ้างล่ะ

            งั้นให้หมีจำศีลจนกว่าเรือจะเทียบท่าก็แล้วกัน

 

            เราแทบจะไม่ได้อะไรเลยบนเรือซานต้ามาเรียนอกจากความสดชื่นที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อยหลังจากได้นอนหลับ มือที่กุมกันไว้ร่วมชั่วโมงยังหลงเหลือความรู้สึกอบอุ่น ผมเลยซุกมันไว้มันในกระเป๋าเสื้อกันหนาวก่อนความเย็นจากอากาศจะทำให้มือชา

            หกโมงเย็นแล้ว ฟ้ามืดสนิท ออกจากที่นี่เราก็ไปต่อกันที่อุเมดะ แวะคิดดี้แลนด์ไปช็อปริลัคคุมะเพื่อซื้อตุ๊กตาให้พี่สาวของน้องหมี จากนั้นไปต่อที่อุเมดะสกาย แต่มาถึงแค่สถานีอุเมดะก็เหมือนจะไปไหนต่อไม่เป็นแล้ว

            ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกับการเปิดหาว่าคิดดี้แลนด์มันอยู่ส่วนไหนของอุเมดะ บวกกับถามทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงในที่สุด เล่นเอาหมดแรงจนไม่อยากเดินไปไหนต่อ

            ผู้ชายสองคนอยู่ในช็อปริลัคคุมะอาจจะเป็นอะไรที่แปลกตาไปสักหน่อย ผมเดินตามน้องหมีเลือกตุ๊กตาตามคอลเลคชั่นที่พี่สาวสั่งมา หยิบตัวนู้นวางตัวนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ทั้งที่โซนที่หยิบดูมันก็เหมือนๆ กัน

            "จะเลือกอะไรขนาดนั้น"

            "ต้องเลือก ตุ๊กตาหน้าไม่เหมือนกันนะ"

            "มันก็เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ" ไม่ว่าจะมองไปตัวไหนหน้าตาก็เหมือนกันหมด เขาก็เย็บมาแบบเดียวกันมันจะไม่เหมือนกันได้ยังไง

            "ไม่เหมือน ดูสองตัวนี้นะ" น้องหมีหยิบตุ๊กตาขึ้นมาให้ผมดูสองตัว แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน

            "ก็เหมือนกัน"

            "ไม่เหมือน ตัวนี้หน้าบึ้ง ส่วนตัวนี้ยิ้ม"

            "อื้มมม เหรอ"

            สงสัยผมจะมีปัญหากับการแยกหน้าตุ๊กตา ขนาดน้องหมีบอกว่าตัวไหนยิ้มตัวไหนหน้าบึ้งผมก็ยังดูไม่ออก เพราะทั้งสองตัวก็ทำหน้านิ่งเหมือนกัน

            "แล้วจะซื้อตัวไหน"

            "ตัวหน้ายิ้ม" บอกแล้ววางตุ๊กตาตัวนั้นลงในตะกร้า แล้วน้องหมีก็เดินไปเลือกตัวอื่นต่อ หยิบมาเทียบหลายตัวกว่าจะเลือกได้

            ผมก็เพิ่งรู้แหละว่าการเลือกซื้อตุ๊กตามันลึกซึ้งขนาดนี้

            ออกจากช็อปริลัคคุมะผมก็แวะเข้าช็อปจิบลิอีกที่ ว่าจะซื้อของเกี่ยวกับโตโตโร่ไปฝากน้องสาวผู้น่ารัก เลือกอยู่นานสุดท้ายได้กระเป๋าใบสะพายใบเล็กๆ มาหนึ่งใบ เป็นอันจบภารกิจที่คิดดี้แลนด์

            ตามแผนเที่ยวที่วางเอาไว้หลังจากนี้เราจะไปต่อกันที่อุเมดะสกาย แต่เพราะฝนยังตกอยู่อีกทั้งร่างกายต้องการการพักผ่อนมากกว่าเดินตากอากาศหนาวๆ ความอยากเที่ยวของผมเลยกลายเป็นศูนย์ แม้จะเสียดายแต่ผมอยากหาอะไรกินแล้วกลับไปนอนแผ่ที่โรงแรมมากกว่า

            "เอาไงต่อ"

            "หาอะไรกิน" ความคิดแรกของน้องหมีตรงกับผมแป๊ะๆ

            ว่ากันตามตรงถ้าผมหลุดปากไปว่าอยากกลับโรงแรมเชื่อเถอะว่ายังไงน้องหมีก็ต้องพาผมกลับ แม้ว่าน้องมันอาจจะยังอยากเที่ยวต่อก็ตาม เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าจะไม่พูด ให้มันเป็นไปตามแผนเดิมที่กำหนดเอาไว้ แม้ขาจะล้า ตาจะปรือ หน้าจะโทรมหมดสภาพก็ตาม

            "กินอะไรดี"

            ที่ชั้นใต้ดินของห้างที่เราอยู่ตอนนี้เป็นส่วนของร้านอาหาร ถ้าตกลงกันว่าจะกินที่นี่คงจบที่ร้านใดร้านหนึ่งในชั้นใต้ดิน

            "พี่อินอยากกินอะไร"

            "อะไรก็ได้"

            "พูดอย่างกับกินได้ทุกอย่าง"

            ผมเหล่ตามอง ไม่โกรธหรอกก็น้องหมีมันพูดจริงๆ ผมเป็นคนกินยาก มาเที่ยวนี่ก็เลือกตลอดว่าอันนั้นกินได้อันนี้กินไม่ได้ แต่อะไรที่ผมไม่เคยกินก็พยายามลองกิน อย่างซูชิที่น้องมันอยากกินผมยังไปกินเป็นเพื่อนเลย เพราะฉะนั้นคำนี้ใช้ไม่ได้กับผมแล้ว

            "อะไรไม่กินก็ให้แบร์กินไง"

            "แบบนี้ไงถึงหยุดโต"

            "ไม่เกี่ยวเลย"

            คุยเรื่องของกินอยู่ดีๆ ยังวกมาหาเรื่องส่วนสูงได้ ผมน่ะสูงตามมาตรฐานชายไทย ส่วนน้องหมีน่ะเกินมาตรฐานที่ใครๆ ก็อยากเกิน

            "ให้แบร์เลือกใช่ป่ะ"

            "อืม เลือกเลย"

            น้องหมียิ้มบางๆ มองหน้าผมอย่างพินิจพิจารณาอย่างกับว่ามันจะช่วยสุ่มร้านอาหารอร่อยๆ ให้ได้ แต่แล้วคำตอบของน้องมันก็ทำให้ผมแปลกใจอีกครั้ง

            "งั้นไปกินราเมงแถวโรงแรมแล้วกัน"

            สรุปว่านี่อ่านใจคนได้จริงๆ ใช่มั้ย

 


TBC.

 
 

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-05-2017 20:43:09 โดย kinsang »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
«ตอบ #69 เมื่อ26-05-2017 21:29:26 »

น้องหมีเป็นทุกอย่างให้พี่อินแล้ว เมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนนนนน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
« ตอบ #69 เมื่อ: 26-05-2017 21:29:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kingkongkaew

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
«ตอบ #70 เมื่อ26-05-2017 23:02:25 »

แบร์ขี้แกล้ง แต่ไม่โหดเท่าอินที่พาแบร์ไปขึ้นแต่เครื่องเล่นน่าหวาดเสียว ที่ถึงกับต้องไปดูคลิปว่าเครื่องเล่นที่แบร์อินไปเล่นหน้าตาเป็นยังไง 

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
«ตอบ #71 เมื่อ26-05-2017 23:29:47 »

วันที่เจ็ดแล้วนะ
หมีแบร์ พี่อิน ยังไม่ก้าวหน้าเท่าไรเลย
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
«ตอบ #72 เมื่อ27-05-2017 01:05:20 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
«ตอบ #73 เมื่อ28-05-2017 19:01:52 »

หมีแบร์เอาใจใส่มากอะ หลงเลย

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #74 เมื่อ02-06-2017 19:35:56 »


คืนที่ 7

 

            ราเมงร้อนๆ เป็นอาหารที่เหมาะจะกินตอนอากาศหนาวๆ นอกจากราเมงคนละชามแล้วบนโต๊ะเรายังมีข้าวผัด ไก่ทอดคาราอะเกะ แล้วก็เกี๊ยวซ่าจานใหญ่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหิวโหยกันขนาดไหน

            จบจากร้านอาหารไม่พอน้องหมียังชวนผมเข้าร้านสะดวกซื้อ เดินวนกันอยู่สองสามรอบก็ได้ของกินติดไม้ติดมือกลับมา ทั้งพุดดิ้ง ขนมขบเคี้ยว รวมถึงไอติมที่น้องมันถือกินระหว่างกำลังเดินกลับโรงแรม

            "ไม่หนาวหรอ" ผมล่ะนับถือความหนังหนาของน้องมันจริงๆ อากาศตอนนี้แค่เดินเฉยๆ ยังสั่นเลย

            "ไม่นะ อร่อยดี" ว่าแล้วก็ยื่นไอติมมาจ่อที่ปากผม

            ไอติมที่น้องหมีซื้อมาเป็นโคนลักษณะเหมือนไอติมกูลิโกะที่เอามาขายบ้านเราแต่เป็นแบรนด์ของร้านสะดวกซื้อเอง ผมงับส่วนหัวทู่ๆ ต่อจากน้องมันที่งับเนื้อไอศกรีมส่วนหัวที่เป็นปลายแหลมไปแล้ว ความเย็นกระจายไปทั่วปากบวกกับลมเย็นๆ ที่พัดมาเล่นเอาขนลุกซู่

            "อร่อยมั้ย"

            "ก็ดี"

            ไอติมแบบนี้รสชาติมันก็คล้ายๆ กัน มาถามว่าอร่อยไหมทำอย่างกับเป็นเจ้าของแบรนด์ แต่พอยื่นมาให้กินอีกผมก็กิน แล้วเราก็ผลัดกันกินจนหมด

 

            สามทุ่มนิดๆ ก็กลับมาถึงห้องพัก กำลังจะปูที่นอนเพื่อเอนกายพักร่างน้องหมีก็ไล่ผมไปอาบน้ำ อยากจะเถียงอยู่หรอกแต่ขี้เกียจฟังน้องมันบ่นเลยยอมทำตาม อาบให้มันเสร็จๆ จะได้นอนได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร

            หลังจากผลัดกันอาบน้ำแล้วเราก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการจัดกระเป๋าสำหรับเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเช้าวันพรุ่งนี้ จัดของเสร็จก็มานั่งกินขนม เล่นโทรศัพท์ อัปโหลดรูป แถมรูปผมที่น้องหมีเอาเวลาไหนไปแอบถ่ายก็ไม่รู้ยังเยอะไม่ต่างจากวันแรกๆ ทั้งที่วันนี้ฝนตกแท้ๆ

            ผมนอนดูรูปที่น้องหมีส่งมาให้ เลื่อนไปก็ยิ้มไปรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แม้บรรยากาศวันนี้จะไม่เป็นใจแต่รูปที่ถ่ายออกมาก็ยังสวย นายแบบที่ถูกถ่ายตอนเผลอก็หล่อ จะกี่รูปก็ดูดี

            เลื่อนดูมาเรื่อยๆ จนถึงรูปที่ถ่ายบนเรือซานต้ามาเรีย กับรูปมือของคนสองคนที่กุมกันไว้

            ผมหันไปมองน้องหมีที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ อยากจะถามอยู่หรอกว่าตอนนั้นไม่หลับหรือไงถึงได้ถ่ายรูปนี้ไว้ได้ แต่กลัวถามไปแล้วจะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ความรู้สึกผมมันบอกแบบนั้น

            เผลอจมอยู่กับความคิดจ้องคนข้างๆ นานไปหน่อยจนเขารู้ตัว น้องหมีเลิกคิ้วมองก่อนหันตะแคงข้างมาหา

            "แอบมองเหรอ"

            "ไม่ได้แอบ" ก็มองกันโต้งๆ เนี่ย แอบตรงไหน

            "พี่อิน ถามไรหน่อยดิ"

            ประโยคแบบนี้เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร จะบอกว่ากลัว ระแวง แนวนั้นก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าคนถามต้องการอะไร อยู่ดีๆ ก็เกริ่นขึ้นมา จะบอกไปว่าห้ามถามมันก็ไม่ใช่ ยิ่งเป็นน้องหมีด้วย จะถามอะไรประหลาดๆ ออกมาหรือเปล่าก็ไม่รู้

            "อะไร"

            "สึคิแปลว่าอะไร"

            ได้ยินคำถามใจผมก็เต้นแรงขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าน้องหมีจะอยากรู้ความหมายของภาษาญี่ปุ่นคำนี้ไปทำไม อีกอย่างความหมายของมันไม่ได้ชวนให้รู้สึกพิเศษหรือต้องใจเต้นแรงเสียหน่อย เพราะคำนี้มันแปลว่า

            "พระจันทร์"

            "พระจันทร์" น้องหมีทวนคำแล้วทำหน้างง แต่คนที่สมควรงงคือผมมากกว่า

            "ใช่ ทำไมอ่ะ ไปเอามาจากไหน"

            "กูเกิ้ล"

            "เสิชกูเกิ้ลมาก็ต้องรู้ความหมายอยู่แล้วดิ จะมาถามทำไม"

            "ก็อยากถามพี่อิน ที่จริงมันต้องไม่ใช่แบบนี้ดิ" น้องหมีทำหน้ายุ่งพึมพำกับตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ ผมเดาว่าคงเสิชกูเกิ้ลดูอีกรอบ

            ทำไม คิดว่าผมแปลให้ผิดเหรอ หรือตั้งใจให้มันเป็นคำไหน ในเมื่อ สึคิ(tsuki) มันแปลว่า พระจันทร์

            ผมปล่อยให้น้องหมีวุ่นวายอยู่กับมือถือโดยไม่เร่งเร้าหรือซักถามอะไร แถมยังรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ เชื่อได้เลยว่าคำถามของน้องหมีคงไม่จบแค่นี้หรอก หาจากในกูเกิ้ลแล้วก็มาถามผม ซึ่งที่จริงมันก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าคำที่น้องมันอยากถามคืออะไร แต่ผมอยากฟังให้มั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

            "โอเค ได้ละ เอาใหม่นะ" เจอสิ่งที่ต้องการน้องหมีก็บอกด้วยสีหน้าจริงจังอย่างกับกำลังเล่นเกมส์ตอบคำถามชิงเงินล้านในรายการทีวี

            "ว่ามา"

            "สุคิ"

            รอบนี้พูดเสียงดังออกเสียงชัดเจน ฟังออกและรู้แน่นอนถ้าไม่แกล้งโง่เอาความหมายอื่นมาใส่ ผมเงียบไม่ตอบเพราะมันใช่อย่างที่คิดไว้จริงๆ

            ในที่สุดน้องหมีก็พูดมันออกมา

            "คำนี้แปลว่าอะไร"

            "เสิชกูเกิ้ลก็รู้อยู่แล้วดิ"

            "แบร์อยากให้พี่อินตอบ" แววตาน้องหมีไร้ความขี้เล่น มันบังคับให้ผมต้องตอบ

            "แปลว่า...ชอบ"

            "ถ้างั้น 'อะนะตะก๊ะ สุคิเดส' ล่ะ"

            "..."

            "มันแปลว่าอะไรพี่อิน"

            "แบร์รู้"

            "แบร์อยากให้พี่อินรู้ด้วย"

            ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนไล่ต้อน น้องหมีต้อนนี้คือเป็นสัตว์ป่าที่กำลังหิวและออกล่าเหยื่อ ในขณะที่เหยื่อของมันไม่สามารถหนีไปไหนได้ 

            "ความหมายของมันคืออะไรเหรอพี่อิน"

            เราสบตากันนิ่ง มันทำให้ผมลังเลที่จะตอบ แต่ถึงจะยึกยักเบี่ยงประเด็นแถไปเรื่องอื่น เชื่อเถอะว่ายังไงมันก็ต้องวกกลับมาเรื่องเดิม

            ก็แค่ตอบไปให้มันจบๆ

            "ฉันชอบเธอ"

            น้องหมียิ้มบางๆ ตอนผมตอบ เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่มั่นใจนักเหมือนกับเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่างที่สำคัญทั้งคู่  ลังเล ไขว้เขว ไม่พร้อมแต่ก็ยังตัดสินใจที่จะทำ

            "ถ้างั้น สึคิอัตเตะ คุดะไซ"

            อยู่ๆ ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันวูบๆ โหวงๆ ยิ่งกว่าตอนนั่งชิงช้าสวรรค์แล้วโดนลมพัดจนตู้แกว่งเสียอีก เพราะประโยคที่น้องหมีพูดมาเมื่อกี้มันแปลว่า...

            คบกันไหม

            ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรแสดงออกยังไงดี แม้จะพอรู้ตัว รับได้ ไม่ได้รังเกียจ มีความรู้สึกดีๆ ให้กันยังไงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเร็วขนาดนี้ มันยังมีความลังเลที่ทำให้ผมไม่กล้าตัดสินใจ สุดท้ายเลยทำเป็นเสแสร้งแกล้งถามเบี่ยงประเด็น

            "เก่งหนิ จะเอาไปบอกหนุ่มญี่ปุ่นคนไหนเหรอ"

            "เค้าเป็นคนไทย"

            "..."

            "แล้วเค้าคนนั้นก็อยู่ตรงหน้าแบร์"

            "แบร์..."

            "มันอาจจะกะทันหันเกินไปแต่แบร์อยากบอก"

            น้องหมีลุกขึ้นนั่งจนผมต้องลุกตาม เว้นจังหวะแล้วสูดลมหายใจเข้า ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะรวบรวมความกล้าเพื่อพูดมันออกมา เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขัดและรับฟัง

            "แบร์รักพี่อินนะ กลายเป็นรักแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะตั้งแต่เด็กเลยล่ะมั้ง พยายามคิดว่าไม่ใช่แต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งห่างกันความรู้สึกมันก็ยิ่งชัดเจน แบร์มีความสุขมากที่เราได้กลับมาอยู่ด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม"

            น้องหมีเว้นจังหวะอีกครั้ง ผมยังตั้งใจรอฟังทุกคำพูดทุกความรู้สึกที่น้องมันบอกออกมา ชอบที่จะฟัง อยากที่จะได้ยิน ผมชอบเวลามีคนมาบอกรัก มาบอกว่าเราสำคัญกับเขา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี

            "เปิดใจให้แบร์หน่อยได้มั้ย" คำขอสุดท้ายถูกเอ่ยออกมา

            สายตาและน้ำเสียงอ้อนวอนไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างจบง่ายขึ้นและเป็นไปในทางที่ดีเสมอ ผมรักน้องหมีนะ รักมาก แม้จะมีช่วงเวลาที่หวั่นไหวแต่นั่นมันคงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น ผมยังไม่มั่นใจกับความรักในรูปแบบอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมให้ได้ยังคงเหมือนเดิม

            "เป็นมุกสารภาพรักที่ใช้ได้เลยนะ แต่..."

            พอเว้นจังหวะน้องหมีก็แสดงสีหน้าเหมือนกับรู้คำตอบของผมแล้ว แต่ผมใจกว้างพอ ตอนนี้ให้ได้แค่พี่น้องใช่ว่าจะพัฒนาไม่ได้ แค่ให้เปิดใจมันได้อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อแม้เสมอ

            "แบร์ก็น่าจะรู้ว่าสเปคอินเป็นยังไง ตัวใหญ่เป็นหมีแบบนี้ตกรอบแรก"

            "พี่อิน จริงจังป่ะเนี่ย"

            "จริงจังดิ"

            "สรุปคืออกหักใช่มั้ย"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบ เวลาน้องหมีทำหน้าเศร้า ตัวงอหูตกแปลงร่างเป็นริลัคคุมะมันทำให้ผมรู้สึกเหนือกว่า ไม่ได้อยากจะแกล้งแต่อยากให้น้องมันพยายามอีกนิด ถึงเราจะอยู่ในจุดเริ่มต้น แต่มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์

            "ถ้ารักจริงก็ต้องพยายามดิ"

            "อย่ามาให้ความหวัง"

            "นี่เปิดใจอยู่นะ ถ้าเกลียดจริงๆ ป่านนี้หนีออกจากห้องไปแล้ว"

            ถ้าว่ากันตามเรื่องแบบแมนๆ ใจแคบ บรรยากาศในห้องนี้คงอึดอัดจนทนอยู่ไม่ได้ ผมอาจจะตะคอกใส่น้องหมีแล้วออกไปจากห้อง หรือไม่ผมก็ไล่น้องมันออกไปแทน หรือไม่ถ้ามันคนที่ใจเย็นมากๆ คงเก็บอารมณ์จนรู้สึกอึดอัด แต่นี่เรายังพูดคุยกันได้ปกติ

            "แล้วแบร์ต้องทำไงต่อ"

            "คิดเองดิ"

            "ก็พี่อินบอกไม่ชอบผู้ชายตัวใหญ่"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบอีกรอบ ผมชอบไอดอล และไอดอลส่วนใหญ่ที่ผมชอบจะตัวเล็กๆ ขาวๆ มีทั้งน่ารัก สวย เซ็กซี่ปะปนกันไป แต่นั่นมันคือดินแดนในฝัน ไอดอลคือความฝัน ผมไม่มีทางคว้าเธอเหล่านั้นมาอยู่ข้างกายได้ และมันก็ไม่ได้บ่งบอกด้วยว่าคนรักในชีวิตจริงของผมต้องเป็นยังไง บางทีในอนาคตคนคนนั้นอาจจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่เหมือนหมีก็ได้ใครจะไปรู้

            "สึคิ เอ้ย! ไม่ใช่ดิ ต้องสุคิ"

            "จะเล่นอะไรอีก"

            "อะนะตะก๊ะ สุคิเดส"

            "รู้แล้ว"

            "สึคิอัตเตะ คุดะไซ"

            ผมส่ายน้า น้องหมีก็ทำหน้างอ ถึงผมจะชอบมุกนี้แต่จะเล่นกี่รอบผลตอนนี้มันก็ออกมาเหมือนเดิม

            "ที่ผ่านมาไม่หวั่นไหวเลยเหรอ"

            "ทำไมต้องหวั่นไหว"

            "ทั้งหล่อ ใจดี สปอร์ต กทม. ด้วยนะ"

            แม้มุกจะเก่าแต่ผมก็เห็นด้วย ที่ผ่านมาผมชมน้องมันตลอด ตัวสูง เท่ หน้าตาดี นิสัยน่ารัก แถมมาเที่ยวยังเปย์ผมอยู่หลายมื้อ มีคุณสมบัติครบถ้วนพอที่จะทำให้ทั้งหญิงและชายทั่วแผ่นดินหวั่นไหวได้ และผมก็เคยหวั่นไหวกับด้านดีๆ ของน้องหมีมาแล้ว แต่ใจผมมันก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี

            "ก็ทำให้หวั่นไหวมากกว่านี้ดิ"

            "แสดงว่าที่ผ่านมาก็มีหวั่นไหวบ้างใช่มั้ย"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบอีกครั้ง ปล่อยให้คิดเอาเอง

            "งั้นขอกำลังใจหน่อยดิ"

            "ยังไง"

            "ขอจูบหน่อย"

            ผมส่ายหน้ารัวๆ คำขอนี้มันมากเกินไป ให้ไม่ได้

            "หอมแก้ม"

            ส่ายหน้ารัวๆ เป็นคำตอบอีกครั้ง อันนี้ก็เยอะไป

            "ขอกอดก็ได้"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบ แต่น้องหมีคงรู้คำตอบแล้วถึงได้ขยับเข้ามาหาแล้วสวมกอดจนผมเกือบจะจมหายเข้าไปในตัวน้องมัน

            "ขอบคุณที่ไม่รังเกียจนะ แบร์กลัวว่าจะโดนพี่อินเกลียดตั้งแต่ที่ยอมรับว่าชอบผู้ชายแล้ว"

            "คิดมากน่า" แบบนั้นมันไร้เหตุผลเกินไป ถ้าเกิดผมเกลียดน้องหมีเพียงเพราะน้องมันชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ ผมคนนี้คงจะผิดหวังในตัวเองอย่างมาก

            "ตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่นแบร์พยายามจะจีบพี่อินตลอดเลยนะ รู้ตัวบ้างมั้ย"

            "ตั้งแต่มาถึงเลยเหรอ" ผมเงยหน้าขึ้นมอง ประหลาดใจมากกับคำสารภาพนี้เพราะผมเพิ่งจะสงสัยว่าน้องมันอาจจะคิดไม่ซื่อเมื่อสองวันก่อนหน้านี้เอง

            "ที่จริงอยากจะจีบตั้งนานแล้ว แต่ก็กลัว กลัวว่าพี่อินจะไม่ยอมมาเจอกันอีกทั้งที่ปกติก็เจอกันน้อยมากอยู่แล้ว"

            "เหรอ" ได้แค่ตอบรับแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะผมก็กลัวว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนจุดจบคงเป็นอย่างที่น้องหมีพูดมา

            "สมมตินะ ถ้าแบร์บอกรักพี่อินตั้งแต่เก้าปีก่อนจะเป็นยังไง"

            "คงไม่ได้มาเจอกันแบบนี้แล้วมั้ง"

            "นั่นไง เพราะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นไง" พูดแล้วก็กอดผมแน่นขึ้นไปอีก

            "ปล่อยก่อน แน่นไปแล้ว"

            "อยากกอดทั้งคืนเลย" บอกแล้วก็ไม่ยอมฟัง ถ้ารัดแน่นกว่านี้ตัวผมอาจจะขาดสองท่อนก็เป็นได้

            ในเมื่อไม่ยอมปล่อยดีๆ ผมเลยออกแรงดันเต็มกำลังจนในที่สุดน้องหมีก็ยอมคลายอ้อมแขนออก แต่พอเห็นทำหน้าจ๋อยเหมือนเด็กโดนทิ้งแล้วก็ไม่อยากลุกหนี ทำไมน้องมันต้องทำให้ผมเป็นพวกให้ความหวังคนอื่นด้วยก็ไม่รู้

            "นั่งแบบนี้เหมาะกว่า" ผมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งหันหลังพิงน้องมันแทน พูดง่ายๆ ก็นั่งตักนั่นแหละ

            พออยู่ในท่าทางแบบนี้ตัวผมยิ่งดูเล็กเข้าไปอีก แค่น้องหมีใช้สองแขนโอบไว้ก็แทบจะจมหายเข้าไปในอก แต่ได้อยู่ในอ้อมแขนคนตัวใหญ่กว่าแบบนี้มันอุ่นดีชะมัด

            "ไม่เหมือนตอนเด็กแล้วนะ ตอนนั้นพี่อินยังกอดปลอบแบร์ได้อยู่เลย"

            "ใครไม่รู้โคตรขี้แย"

            "ตอนโดนแม่ตีไม่เคยร้องไห้เลยเถอะ"

            "แต่โดนด่าคำเดียวร้องเลย"

            "โดนด่ามันกระทบความรู้สึกไง"

            "แบร์หนังหนาไงโดนตีเลยไม่เจ็บ"

            นึกถึงเรื่องสมัยเด็กทีไรก็มีความสุขทุกที ช่วงประถมน้องหมียังตัวเล็กกว่าผม เวลาโดนด่าโดนตีทีไรก็ชอบวิ่งมาให้ผมปลอบ ต้องกอดแล้วลูบหัวจนกว่าน้องมันจะหยุดร้อง น้ำหูน้ำตาน้ำมูกเปรอะเลอะเสื้อไปหมด แต่ตอนนี้ผมก็ยังกอดปลอบน้องมันได้นะ ยังพร้อมเป็นที่พักพิงให้เสมอ

            "พี่อิน" น้องหมีเสียงเรียกอ่อยดังใกล้ๆ หู

            ผมไม่หันไปมองหรอกเพราะน้องมันก้มหน้าลงมาคลอเคลียแถวๆ คอ เดาได้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

            "ไม่คิดดูใหม่หน่อยเหรอ"

            "คิดอะไร"

            "แฟนอย่างแบร์หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ หล่อ สูง รวย เก่ง อ้อนได้ ปกป้องพี่อินได้ด้วย รับรองไม่มีใครมารังแก"

            อะไรคือการโฆษณาตัวเองแบบนี้ มันถูกอย่างที่ว่ามาหมดนั่นแหละ ครบเครื่องแบบนี้คงหาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ แถมความกวนประสาทไปด้วยอีกข้อ แต่โตป่านนี้แล้วใครจะมารังแกผม ไม่ใช่เด็กๆ ที่ยังนัดต่อยกันหลังโรงเรียนสักหน่อย

            "อยากปกป้องคนอื่นไง ไม่ได้อยากให้ใครมาปกป้อง"

            "พี่อินปกป้องแบร์มาหลายครั้งแล้ว จากนี้ให้แบร์ปกป้องพี่อินบ้างไง"

            ฟังแล้วหุบยิ้มไม่ได้เลย ผมชอบคนขี้อ้อน เลยไม่แปลกใจว่าทำไมผมถึงชอบคนนิสัยแบบน้องหมี

            หวั่นไหวอีกแล้ว เอายังไงดีล่ะหัวใจ

            "นอนเถอะ" ขืนยังอยู่สภาพแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ๆ

            ผมจับแขนน้องหมีออกแล้วลุกออกจากตัก น่าแปลกที่น้องมันยอมปล่อยง่ายๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ล้มตัวลงนอนบนฟูก คนที่ยังนั่งนิ่งอยู่เมื่อกี้ก็ขยับเข้ามาหาจนอยู่ในระยะประชิด

            ผมนั่งชันเข่ามือยันพื้นตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อยในขณะที่น้องหมีคลานเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างขา มันไม่ปลอดภัย ผมรู้แต่กลับไม่ร้องห้ามหรือขัดขืน

            อ้อมแขนที่เพิ่งผละออกมาเข้ามาโอบกอดกันอีกครั้ง หลังผมแนบลงกับฟูกที่นอน สองแขนโอบรอบคอคนที่คร่อมอยู่ด้านบน ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้จนริมฝีปากเราสัมผัสกัน

            น้องหมีรุกเร้าแต่ไม่ได้รุนแรงนัก นอกจากปากที่ดูดดึงขบเม้มเบาๆ ฝ่ามือสากๆ ก็พยายามจะสอดเข้ามาใต้เสื้อตลอดเวลา ขัดขืนปัดป้องได้ชั่วครู่สุดท้ายก็สู้แรงไม่ได้ น้องมันคว้าหมับเข้าที่เอวสัมผัสลูบไล้จนพอใจก่อนจะค่อยๆ ไล่สูงขึ้นมา ถึงจะเคลิ้มสติที่มีก็ยังครบถ้วน ผมยอมนะในขอบเขตที่สมควร แต่ตอนนี้ชักจะเหลิงไปใหญ่แล้ว

            ผมกัดปากน้องหมีไม่แรงนักแต่ก็ทำให้น้องมันผละออกไปได้ เพราะเรื่องกำลังผมไม้สู้ เอาตรงๆ คือสู้ไม่ไหว วิธีนี้นี่แหละได้ผลชะงัด

            "ชอบความรุนแรงเหรอ"

            "ไม่ได้ชอบ"

            "ปากแตกมั้ยเนี่ย"

            "รีบลุกออกไปเลย" ผมออกแรงผลักเบาๆ นอกหมีก็ยอมพลิกตัวกลับไปนอนฟูกตัวเอง

            "กลัวห้ามใจไม่อยู่อ่ะดิ"

            "ยังไม่อยากเสียตัว"

            น้องหมีหัวเราะร่วนๆ วาดแขนขามากอดผมไว้อีกครั้ง ห้ามไปก็เท่านั้นจริงๆ

            เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใคร ลองปล่อยให้จิตใจเตลิดไปมากกว่านี้ ถึงปากจะบอกไม่ยอม แต่พนันล้านนึงเลยว่าถ้าไม่หยุดกันตรงนี้คืนนี้ผมได้เป็นเมียสมใจน้องมันแน่ๆ

            "ขอกอดทั้งคืนเลยได้มั้ย"

            ผมไม่ตอบ ก็กอดไปแล้วยังจะมาขออะไรอีก

            "แล้วพี่อินจะต้องเสียใจที่ปฏิเสธ"

            ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ผมไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วเด็ดขาด แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็เป็นคืนในญี่ปุ่นที่อบอุ่นที่สุด

 


TBC.

 

พระเอกเราต้องอกหักใช่ไหม แค่ 8 วัน 7 คืน มันคงสั้นไปจริงๆ แหละ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า


ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #75 เมื่อ02-06-2017 20:10:35 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #76 เมื่อ02-06-2017 20:45:32 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #77 เมื่อ02-06-2017 21:20:15 »

แบร์ จะอกหักมั้ย ม่ายยยย......นะ
เพราะอิน ก็หวั่นไหวหน่อยๆ ก็หมีรุกจีบ
หมีขี้อ้อน พี่อินก็ชอบคนอ้อนๆนี่นะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #78 เมื่อ02-06-2017 23:41:25 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #79 เมื่อ03-06-2017 07:03:55 »

สงสัยจะได้เป็นเมียน้องหมีคืนที่ 8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
« ตอบ #79 เมื่อ: 03-06-2017 07:03:55 »





ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #80 เมื่อ03-06-2017 14:15:50 »

พี่อินไม่เอาเราเอานะ รีบๆล่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
«ตอบ #81 เมื่อ03-06-2017 17:11:33 »

อกหักหันมาหาพี่ได้นะน้องแบร์ :hao7:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
«ตอบ #82 เมื่อ09-06-2017 17:54:45 »



วันที่ 8


            เมื่อคืนแม้จะมีคนอกหักแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอย่างกับคู่แต่งงานใหม่ พอได้พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตก็เหมือนความใสซื่อแบบเด็กๆ ถูกขุดขึ้นมา มันรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้นึกถึง ดีจนเกือบปล่อยตัวปล่อยใจให้เตลิด แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ยอมให้ทำมันก็เกินเลยความสัมพันธ์ที่บอกจะมอบให้อยู่ดี

            ปฏิเสธเขาแต่ก็ยอมให้เขากอดยันเช้าซะงั้น

            เพราะเป็นวันสุดท้ายโปรแกรมวันนี้เลยไม่แน่นมาก เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมไปเดินตลาดแล้วนั่งชินคันเซ็นกลับโตเกียว เป็นความผิดพลาดเพราะผมดันจองตั๋วไปกลับจากนาริตะแทนที่จะจองขากลับจากคันไซ

            เก้าโมงครึ่งเตรียมตัวกันเสร็จก็ลากกระเป๋าลงไปเช็คเอาท์ ขึ้นรถไฟมาอีกสถานีเดียวก็ถึงตลาดคุโรมง หาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลาไปหาของกินใส่กระเพาะ

            ตลาดคุโรมงเป็นตลาดสด มีขายตั้งแต่ของสด ผัก ผลไม้ เสื้อผ้า ร้านยา หรือแม้กระทั่งร้านร้อยเยน เหตุผลหลักที่ผมพาน้องหมีมาที่นี่เพื่อกินข้าวเช้า ฉะนั้นเมื่อมาถึงตลาดเราเลยเดินหาร้านอาหารเป็นอันดับแรก ส่วนของกินเล่นล่อตาล่อใจทั้งหลายนั้น เสร็จจากมื้อหลักเมื่อไรเดี๋ยวจะมาจัดการให้หมด

            ผมกับน้องหมีเลือกเข้าร้านหนึ่งที่คนไม่เยอะมาก จนสั่งอาหารเสร็จคนที่มาก่อนหน้าก็ลุกออกไปเหลือเราอยู่ในร้านกันตามลำพัง แถมร้านนี้ยังมีคุณยายที่อายุน่าจะเกินหกสิบแล้วดูแลร้านอยู่แค่คนเดียว

            "ยายแกอยู่ร้านคนเดียวเหรอ"

            "น่าจะใช่ ไม่เห็นมีใคร" ผมชะเง้อมองเข้าไปในครัวก็เห็นคุณยายแกวุ่นวายกับการทำอาหารอยู่คนเดียว อาจจะเป็นเพราะร้านเพิ่งเปิดล่ะมั้งพนักงานคนอื่นเลยยังไม่มา

            "ทำไมปล่อยคนแก่เฝ้าร้าน"

            "เดี๋ยวลูกหลานแกคงมามั้ง"

            เพราะผมนั่งหันหลังให้ครัวเลยไม่เห็นว่าคุณยายแก่ทำอะไรอยู่ ถึงลูกหลานจะไม่ดูแลแต่คงไม่มีอะไรน่าห่วง คุณยายยังดูแข็งแรงและแกคงอยู่เฝ้าร้านคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังมีลูกค้าจิตใจดีอีกคนคอยมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย

            "เหมือนจะเสร็จแล้วอย่างนึง" จ้องคุณยายอยู่นานน้องหมีก็ลุกจากโต๊ะเมื่อเห็นอาหารจานแรกถูกวางบนเคาน์เตอร์ครัว ทำตัวเป็นพ่อสุภาพบุรุษคนดีช่วยคุณยายยกอาหารเสิร์ฟทั้งที่เขาปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่สุดท้ายคุณยายก็แพ้ให้กับหมีขั้วโลกที่อยากทำงานเป็นพนักงานร้านชั่วคราว

            น้องหมียกอาหารจานแรกซึ่งเป็นข้าวหน้าเนื้อของผมมาเสิร์ฟ ยิ้มตาหยีภูมิอกภูมิใจก่อนจะเดินไปรออาหารอีกจานจากคุณยายเจ้าของร้าน เมื่อออเดอร์วางบนโต๊ะจนครบยังช่วยเทน้ำดื่มให้อีก บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ

            "เป็นไง ได้คะแนนเพิ่มมั้ย"

            "คะแนนอะไร" ผมก็แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง แล้วก็รู้ด้วยว่าน้องหมีก็แกล้งถามเหมือนกัน

            "คะแนนความรักไง เป็นคนดีขนาดนี้"

            ผมล่ะอยากหัวเราะดังๆ แต่ก็ทำได้แค่นั่งกลั้นยิ้ม ทำดีกับคนอื่นแล้วจะมาขอเพิ่มคะแนนจากผมมันได้ด้วยเหรอ แต่เห็นแก่ความเป็นเด็กดีของชาติจะให้คะแนนเพิ่มก็ได้

            ตลอดเวลาที่ผมกับน้องหมีอยู่ในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นเข้ามาเลย มันรู้สึกเป็นส่วนตัวดี แต่กลับให้ความรู้สึกสองแบบ คือหนึ่ง ปิดร้านเพื่อเบรคฟัสกันสองคน ดูรวยและโรแมนติกไม่หยอก กับสอง พวกผมมันตัวกาลากิณีไล่ลูกค้า แอบหดหู่เบาๆ

            "ร้านนี้ดารามาเยอะนะ"

            คุยกับน้องหมีไปส่ายตาผมก็สำรวจรอบร้านไปด้วย ที่ร้านนี้บนผนังมีรูปถ่ายเจ้าของร้านกับคนดังติดอยู่หลายใบ ผมแอบส่องมาสักพักแล้วเพราะมีรูปคู่คุณยายกับไอดอลที่ผมรู้จักอยู่

            "สงสัยจะเป็นร้านดัง แต่ทำไมเงียบเป็นป่าช้าขนาดนี้" ข้อสงสัยของน้องหมีน่าจะไขกระจ่างได้ด้วยความรู้สึกข้อที่สองของผมก่อนหน้านี้ แต่ยังไงเราก็ควรคิดในทางที่ดีไว้ก่อน

            "ยังเช้าอยู่มั้ง ยังไม่สิบโมงเลย"

            "สิบโมงนี่เรียกสายแล้วนะ"

            ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนเราจบประเด็นลงเพียงเท่านี้

            กินข้าวไปนั่งมองรูปซายาเน่ ไอดอลสาวคนดังของโอซาก้าไปพลางยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว เธอคนนี้อยู่ท็อปสิบห้าของไอดอลที่ผมชอบเลย เห็นรูปแล้วอยากหยิบกลับบ้าน ทำไมไม่โชคดีเจอแบบนี้บ้างก็ไม่รู้

            "รูปพวกนั้นมีคนที่รู้จักเหรอ"

            "คนที่น่ารักที่สุด"

            "คนนี้ใช่ป่ะ" น้องหมียิ้มแป้นแล้วชี้ตัวเอง

            ผมส่ายหน้าใส่แล้วกลับมาสนใจข้าวหน้าเนื้อของตัวเอง สำหรับน้องหมีน่ะ ทั้งหล่อ ทั้งน่ารัก ทั้งเท่ ทั้งนิสัยดีอยู่แล้ว แต่ไม่อยากชม จะเก็บเอาไว้ชมคนเดียวในใจ

            "ไม่รับมุกเลย"

            "กินข้าวไป"

            โดนสั่งนิดสั่งหน่อยมาเบะปากใส่ผมอีก คิดว่าน่ารักเหรอ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้วใช่มั้ยหมีขั้วโลก ชอบทำตัวเป็นริลัคคุมะตลอด

            เอื่อยเฉื่อยในร้านอยู่นานกินเสร็จน้องหมีก็ยังทำตัวเป็นพนักงานที่ดียกจานไปเก็บให้ คุณยายแกก็ทำท่าเกรงใจแล้วเกรงอีกก่อนจะโบกมือลากันด้วยรอยยิ้มแล้วเดินจากมา

            ภารกิจต่อไปก็ยังอยู่ที่ของกินเหมือนเดิม

            ซีฟู้ดเสียบไม้ย่าง ของทอด เนื้อย่าง ครอกเก้ น้ำสตรอเบอรี่สีขาวปั่น อะไรก็ตามที่เดินผ่านแล้วน่าอร่อยผมกับน้องหมีซื้อมาหมด เดินไปกินไปไม่ปล่อยให้มือว่าง ใส่ให้เต็มกระเพาะสำหรับเวลาอีกสามชั่วโมงที่ต้องอยู่บนชินคันเซ็นกลับโตเกียว

            กินอิ่มจนแน่นท้องก็เดินกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ในล็อคเกอร์ มุ่งหน้าสู่สถานีต่อไปชินโอซาก้า

 

            ภารกิจหลังจากนี้คือหลับยาวจนกว่าจะถึงภูเขาไฟฟูจิ

            ขึ้นมาบนชินคันเซ็นแล้วผมกับน้องหมีก็เตรียมตัวนอนหลับยาวๆ  เอาไว้ค่อยตื่นอีกทีตอนถึงชิซุโอะกะ ขากลับนี้ผมจองได้ที่นั่งฝั่งวิวฟูจิเลยอยากถ่ายรูปสวยๆ ก่อนจากลากันเสียหน่อย หวังว่าเมฆคงไม่เยอะมากจนบังฟูจิซังมิดเหมือนขามาจากโตเกียว

            รถไฟออกจากสถานีได้สักพักผมก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง ใส่หูฟังได้ข้างหนึ่งกำลังจะใส่อีกข้าง ข้อมือผมก็โดนจับเอาไว้ มีปัญหาอะไรอีกล่ะน้องหมี

            "อะไร"

            "ฟังด้วยดิ"

            "มีแต่เพลงญี่ปุ่นนะ"

            "นั่นแหละ" อยากรู้ว่าชอบฟังเพลงแบบไหน" ไม่รอให้ผมตอบน้องหมีก็แย่งหูฟังอีกข้างของผมไปเสียบหูตัวเองหน้าตาเฉย

            เพลงในมือถือผมส่วนใหญ่เป็นเพลงญี่ปุ่น ไล่มาตั้งแต่เพลงไอดอล เพลงการ์ตูน ประกอบซีรีย์ หรือของนักร้องวงดนตรีทั่วไปก็มี แนวร็อคโผล่มาบ้างนิดหน่อย ปะปนไปกับเพลงไทย เพลงสากล แซมๆ จีนกับเกาหลีมาบ้าง จะเรียกว่านานาชาติเลยก็ได้

            ผมกดเปิดเพลงที่ฟังค้างไว้ก่อนหน้านี้ เป็นเพลงช้าความหมายเกี่ยวกับฤดูร้อนของไอดอลวงที่ผมชอบ เพลงนี้เพราะนะ เสียงใสๆ ของเด็กสาววัยสิบต้นๆ ฟังสบาย ซาวด์ดนตรีฤดูร้อนมาเต็ม ซึ่งไม่เหมาะกับอากาศหนาวๆ ตอนนี้เอาเสียเลย

            "เพราะดีนะ"

            "ฟังรู้เรื่องเหรอ"

            "จะฟังเพลงให้เพราะไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายสักหน่อย"

            ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะบางเพลงที่ชอบฟังผมยังไม่รู้ความหมายของมันเลย แค่ได้ฟังดนตรี ฟังเสียงนักร้อง สัมผัสถึงอารมณ์ที่คนร้องต้องการถ่ายทอดออกมา แม้ไม่เข้าใจก็สามารถรับรู้และชื่นชอบมันได้

            เพลงแรกจบไปเพลงที่สองแบบไอดอลจ๋าก็ถูกสุ่มขึ้นมา ผมจวนเจียนจะหลับเต็มทนแต่เพราะคนข้างๆ โผงออกมากเลยต้องหันไปคุย

            "เพลงนี้ไม่ใช่แนวเลย"

            "ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง" ผมจะยึดหูฟังคืนแต่น้องหมีไม่ยอม

            "ไม่ได้บอกว่าจะไม่ฟัง แค่บอกว่าไม่ใช่แนวเฉยๆ"

            "ก็คือไม่ชอบไม่ใช่หรือไง"

            "ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องชอบเลย"

            เรามองหน้ากันนิ่งๆ เหมือนจะชวนทะเลาะแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนโกรธง่ายด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ขี้เกียจไปบวกกับใครด้วยโดยเฉพาะน้องหมี ตอนนี้เลยอยู่ในอารมณ์เคืองนิดหน่อยที่น้องหมีดื้อดึงทั้งที่บอกว่าไม่ชอบมากกว่า

            "แบร์อยากรู้ว่าพี่อินฟังเพลงแบบไหนบ้าง ถึงไม่ได้ชอบแนวนี้แต่ไม่เห็นต้องกีดกันไม่ให้รู้เลยหนิ ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากจะรู้ แบร์เองก็อยากให้พี่อินรู้ความชอบของแบร์เหมือนกัน แค่รู้ไว้เฉยๆ ไม่ได้บังคับให้มาชอบตาม เข้าใจใช่มั้ย" ร่ายยาวจนจบแล้วมาทำขมวดคิ้วใส่เหมือนเวลาคุณครูประถมอยากได้คำตอบจากเด็กๆ

            ผมยิ้มตอบ เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง

            "บ่นซะยาว"

            "ก็อยากให้เข้าใจ"

            "ก็เข้าใจแล้วไง"

            "ดีมาก" ว่าแล้วก็ยิ้มตาหยี นั่งหลับตาซึมซับบทเพลงที่แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ยังจะฟัง

            เราไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนกัน แค่รู้ว่าอีกคนชอบหรือไม่ชอบอะไรก็พอ

 

            ใช้เวลาบนชินคันเซ็นเกือบสามชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงสถานีชินากาว่า มีเรื่องน่าเสียดายมากอยู่อย่างหนึ่งที่ตอนรถไฟวิ่งผ่านภูเขาไฟฟูจิเมฆหนาจนมองไม่เห็นทั้งที่อุตส่าห์ตั้งตารอ แต่ยังถือว่าโชคดีที่ทริปนี้ได้เห็นฟูจิใกล้ๆ มาแล้ว

            ลากกระเป๋าลงจากรถไฟมาผมก็โดนความหนาวเข้าเล่นงาน เปิดพยากรณ์อากาศดูอุณหภูมิต่ำกว่าโอซาก้าถึงสี่องศา ตอนอยู่แถบคันไซกลายเป็นอากาศอบอุ่นไปเลยถ้าไม่นับวันที่ฝนตก   

            ความจริงกลับมาถึงโตเกียวจะเรียกว่าสิ้นสุดการท่องเที่ยวของทริปนี้แล้วก็ได้ เพราะที่เหลือคือการเดินทางกลับ มาถึงสนามบินนาริตะ เช็คอินโหลดกระเป๋า ผ่าน ตม. ซื้อขนมของฝากในสนามบินแล้วมานั่งรอกันหน้าเกท อีกไม่กี่ชั่วโมงเมื่อกลับถึงสุวรรณภูมิก็ได้เวลาแยกย้ายทางใครทางมัน ผมหมายถึงในกรณีที่ความสัมพันธ์ของเรายังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม แต่หลังจากนี้เราคงได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น กลับไปเป็นความผูกพันเมือนสมัยเด็ก

             "ขี้เกียจกลับไปทำงานชะมัด" นึกถึงวันทำงานแล้วก็หมดแรง รู้สึกว่าเวลาแปดวันเจ็ดคืนมันผ่านไปเร็วมากจนอยากจะรีเซ็ทกลับไปวันแรกใหม่

            "ขี้เกียจเดี๋ยวก็ไม่มีเงินมาเที่ยวหาสาวอีกหรอก"

            "เออเนอะ"

            เรื่องไอดอลน่ะเรื่องใหญ่ คิดถึงเมื่อไรก็มีแรงฮึดขึ้นมาเสมอ

            "ว่าแต่แบร์ได้งานทำยัง"

            "ได้แล้ว"

            "งานอะไร"

            "โฟร์แมน"

            ผมพยักหน้ารับ ได้ยินจากแม่มาว่าน้องมันเรียนเทคโนโยลีการก่อสร้างอะไรทำนองนี้ แต่ผมคิดสภาพตอนน้องหมีไปอยู่ตามไซต์งานก่อสร้างไม่ออกเลย

            "ที่จริงแบร์ไม่ได้อยากได้งานนี้หรอก แต่แม่บอกให้ทำไปก่อน"

            "ไม่ชอบเหรอ"

            "แต่ก่อนก็ชอบอยู่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว"

            "ทำไมอ่ะ"

            "เพราะคงไม่มีเวลาไปตามวุ่นวายพี่อินไง" พูดแล้วก็ทำหน้าเครียด แล้วที่ว่าไม่มีเวลามาตามวุ่นวายผมนี่หมายความว่ายังไง

            "ไปอยู่ต่างจังหวัดเหรอ" ถ้าไปต่างจังหวัดก็ไม่เห็นต้องเครียด หรือว่ามันไกลมาก เหนือสุดใต้สุดอะไรแบบนั้น

            "เปล่า"

            "..."

            "โดนส่งไปอยู่สิงคโปร์หนึ่งปี"

            ผมพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่คิดว่าจากนี้คงจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ได้กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมแต่กลับต้องแยกจากกันอีก มันไม่ตลกเลย ถ้าจะมาบอกรักกันทั้งที่รู้ว่ายากที่จะได้เจอกันอีกแบบนี้ สู้อย่าพูดตั้งแต่แรกเลยดีกว่า

            "พี่อิน"

            "จะไปเมื่อไร"

            "เดือนหน้า"

            ตอนนี้อารมณ์ผมมันปั่นป่วนไปหมด แค่คิดว่าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีกความรู้สึกมันก็ดิ่งลงเหวไปแล้ว ถูกบอกรัก ถูกทำให้รู้สึก ถูกทำให้คิดให้วาดฝันถึงอนาคตว่าจะเป็นไปในทางไหนต่อไปได้ แล้วจู่ๆ กลับโดนดับฝันด้วยคนที่สร้างฝันนั้นขึ้นมาเสียเอง

            "แล้วบอกรักทำไม"

            "เพราะไม่รู้ไงว่าจะมีโอกาสได้บอกอีกมั้ย" น้องหมีหลับตาถอนหายใจ

            "ทำไมคิดแบบนั้น"

            "จบทริปนี้พี่อินก็คงจะหายเงียบเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดหลายปีตั้งแต่เราห่างกัน ให้รออีกหนึ่งปีก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกหรือเปล่า อีกอย่าง พี่อินไม่ได้ตอบตกลงจะคบกับแบร์นะ ถ้ามีความหวังกว่านี้อีกสักนิดแบร์อาจจะยอมยกเลิกงานก็ได้ แต่นี่มัน...ไม่ใช่"

            เหมือนโดนตบหน้าอย่างจังจนพูดอะไรไม่ออก ก็ในเมื่อผมยังยืนยันว่าระหว่างเราเป็นได้แค่พี่น้องแล้วจะไปเรียกร้องอะไรได้ เวลาหนึ่งปีไม่ใช่น้อยๆ น้องมันอาจจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้มากกว่าผมก็ได้

            น้องหมีถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีอย่างมาก ทว่าประโยคหลังจากนั้นทำให้ความหวังเริ่มกลับคืนมา

            "แต่ไหนๆ ก็รอมาตั้งหลายปีแล้วนี่"

            "..."

            "รออีกสักปีจะเป็นไรไป"

            ผมได้แต่นั่งนิ่งเหมือนคนเป็นใบ้ มันดีใจจนเผลอถอนใจออกมาอย่างโล่งออก แล้วเพราะอะไรทำไมผมถึงดีใจ คำตอบนั้นมันเริ่มชัดเจนขึ้นมาอีกนิด

            เพราะไม่อยากให้น้องมันไป อยากให้อยู่ข้างๆ กันหลังจากนี้ อยากทำความรู้จักกันให้มากเพิ่มในความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่ใช่พี่น้อง

            "ซากุระปีหน้า แบร์จะรอพี่อินนะ" ทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้น้องหมีก็ไม่พูดอะไรอีก เป็นการเปิดโอกาสให้เก็บเอาไปคิด

            แล้วผมจำเป็นต้องรอไปอีกหนึ่งปีเลยงั้นเหรอ

 

TBC.

 


วันสุดท้ายแล้ววววววววว จบแล้วววววววว เย้ๆๆๆ ไม่ใช่ละ 5555555555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า เจอกันตอนหน้าจ้า ตอนสุดท้ายแล้ววววววว




ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
«ตอบ #83 เมื่อ09-06-2017 19:25:14 »

พี่อิน ชัดเจน ก็บอกหมีไปเถอะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หมี รอมาตั้งหลายปีแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
«ตอบ #84 เมื่อ09-06-2017 21:17:50 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
«ตอบ #85 เมื่อ11-06-2017 00:00:51 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
«ตอบ #86 เมื่อ12-06-2017 17:34:34 »

ไม่ถึงปีหรอกแบร์ พี่อินออกอาการขนาดนี้แล้ว  :hao7:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5


สิ้นสุดการเดินทาง

 

            ปกติตอนนั่งเครื่องบินผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนเพื่อให้ช่วงเวลาที่ไม่ชอบผ่านไปเร็วๆ แต่ตลอดทั้งไฟท์นี้ผมกลับนอนไม่หลับ หลับไปไม่ถึงสิบนาทีก็ตื่น สมองมันหาเรื่องมาให้คิดตลอดเวลา มองคนที่นั่งข้างๆ แล้วในหัวก็ยิ่งว้าวุ่น ถึงขนาดเก็บเอาไปฝันในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ บอกเลยว่าเป็นเอามาก อาการหนักมากๆ

            ห้าทุ่มสิบนาทีพวกเราก็กลับมาถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ น้องสาวผมเป็นคนมารับ ส่วนน้องหมีนั่งรถแท็กซี่กลับเอง ถึงผมจะชวนกลับด้วยกันเแต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธหัวชนฝา พร้อมกับฝากคำทิ้งท้ายเอาไว้ที่ทำเอาผมไมเกรนขึ้น

            'ซากุระปีหน้าแบร์ไม่ไปกับพี่อินนะ แต่แบร์จะไปรอที่อิเอะยาม่า ถ้าคำตอบของเราตรงกัน เอาไว้กันเจอกันวันที่ซากุระบาน'

            พูดเป็นละครเลยนะ 'เจอกันวันที่ซากุระบาน'

            ถ้าวันนั้นผมได้คำตอบแล้วจะไปรู้เหรอว่าวันที่ไปถึงอิเอะยาม่าซากุระมันจะบานมั้ย แล้วถ้ามันร่วงไปแล้วล่ะจะทำยังไง ต้องลางานไปนอนค้างคืนเป็นอาทิตย์แบบนั้นเหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด         

            "เที่ยวไม่สนุกหรือไงดูทำหน้าเข้า" น้องสาวตัวดีของผมร้องแซวตอนเราขึ้นมาถึงชั้นสามเพื่อเดินไปยังอาคารจอดรถ

            "เปล่า"

            "แล้วเป็นอะไร" ว่าแล้วก็หยุดเดินหันมาจ้องหน้า นี่ผมทำหน้าเครียดมากขนาดนั้นเลยเหรอ

            "มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"

            "คิดอะไร วางแผนทริปต่อไปแล้วเหรอ"

            จะว่างั้นก็ได้มั้ง ทริปต่อไปคือซากุระปีหน้า มันน่าเครียดตรงที่ว่าจะไปยังไง จะลางานช่วงไหนกี่วันให้ตรงช่วงที่ซากุระบานนี่แหละ

            คิดแล้วก็เครียดอีก ในเมื่อคิดว่าปีหน้ายังไงก็จะไป แล้วผมจะปล่อยให้ตัวเองรอไปอีกหนึ่งปีแบบนี้เหรอ ทั้งที่คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว

            "แอลรอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ"

            "จะไปไหนอ่ะ"

            "เดี๋ยวมา"

            "พี่อิน"

            ไม่รอให้โดนรั้งผมก็ก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดเลื่อนกลับลงไปชั้นสอง มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปถึงไหนแล้ว

            "แบร์อยู่ไหน" สัญญาณดังอยู่นานกว่าปลายสายจะรับ ผมถามอย่างเร่งรีบ หวังว่าน้องมันคงยังไม่ไปไหนไกลนะ

            (ชั้นหนึ่ง)

            "ตรงไหนของชั้นหนึ่ง"

            (กำลังจะไปรอแท็กซี่)

            "รอตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวไปหา"

            สั่งเสร็จผมก็กดวางสายลงบันไดเลื่อนไปชั้นหนึ่ง วิ่งตามป้ายไปยังจุดรอรถแท็กซี่ แต่ลงบันไดเลื่อนเดินต่อมาได้ไม่เท่าไรก็เจอผู้ชายสูงเกินมาตรฐานชายไทยยืนทำหน้างงมองโทรศัพท์ในมืออยู่กลางทาง

            "ไม่ต้องรีบวิ่งมาขนาดนี้ก็ได้"

            น้องหมีบอกยิ้มๆ ตอนผมเดินไปหยุดหอบอยู่ตรงหน้า

            "หรือว่าลืมของ" ถามแล้วทำหน้าสงสัย มองกระเป๋าเดินทางของตัวเองประมาณว่าถ้าผมบอกว่าลืมแล้วมันอยู่ในกระเป๋าจะรีบค้นออกมาให้ทันที

            ผมลืมจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ลืมของ

            "ไม่ได้ลืมของแต่ลืมบอกอะไรบางอย่าง"

            ใจผมเริ่มเต้นแรง ในขณะที่น้องหมีทำหน้าบอกบุญไม่รับ

            ผมเพิ่งจะรู้ว่าการสารภาพความในใจมันรู้สึกไม่มั่นคงแบบนี้นี่เอง ขนาดรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่แล้วยังเกิดความกลัว แล้วคนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงล่ะจะกลัวขนาดไหน ต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนถึงจะพูดออกไปได้

            "ปีหน้าคงไปตามที่แบร์บอกไม่ได้แล้วนะ"

            น้องหมีทำหน้าเศร้าพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าผมจะพูดอะไรกันแน่ คิดเองเออเองไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

            "เพราะปีหน้าเราจะไปด้วยกัน"

            "ไปด้วยกัน" คนฟังขมวดคิ้วใส่ หน้าเครียดชนิดที่ว่าถ้าพูดอะไรกลับกลอกไม่รู้เรื่องอาจจะโดนฉีกเนื้อกินก็เป็นได้

            เพราะการเล่นกับความรู้สึกคนมันไม่ใช่เรื่องสนุก

            "หมายความว่าไงพี่อิน พูดให้มันเคลียร์ๆ หน่อย แบร์เครียดนะ"

            "สุคิ แปลว่าอะไร"

            น้องหมีขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ต้องคิดว่าผมแกล้งอยู่แน่ๆ แต่ใครจะบ้าวิ่งร้อยเมตรจากชั้นสามมาชั้นหนึ่งเพื่อแกล้งหยอดมุกที่ชวนโดนโมโหกันล่ะ

            ผมชอบมุกนี้มากหรอก ถึงได้อยากเอามาเล่นบ้าง

            "ตอบมาเร็วๆ"

            "ชอบ"

            "อะนะตะก๊ะ สุคิเดส ล่ะ"

            "ฉันชอบเธอ"

            "สึคิอัตเตะ สุดะไซ" ผมยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าแล้วก้มหัวลง เป็นวิธีสารภาพรักเพื่อขอใครสักคนคบแบบคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้ว่าน้องหมีจะเข้าใจมันหรือเปล่า

            ยืนเคว้งคว้างท่ามกลางความเงียบอยู่นานจนผมรู้สึกใจไม่ดี แต่แล้วความอบอุ่นที่เข้ามากอบกุมมือไว้ก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มกับตาหยีๆ คู่นั้น กับคำตอบตกลงด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบกระท่อนกระแท่น

            "โยโรชิ..ขุ โอเนงาย...ชิมัส"

            ผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆ กับประโยคที่แปลได้ว่า 'ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ' เป็นการตอบแบบสุภาพอ่อนน้อมสุดๆ ไม่รู้ว่าน้องหมีไปจำมาตอนไหน

            "ทำไมนาน"

            ตอนแรกเกือบคิดว่าจะโดนปฏิเสธเพราะน้องหมีเล่นไม่พูดอะไรเลย ถ้าไม่เข้าใจก็น่าจะถามสักหน่อยว่าคืออะไร แต่นี่มีแต่เงียบกับเงียบ เงียบจนคิดว่าน้องมันอาจจะเดินหนีผมไปแล้วก็ได้

            "เสิชกูเกิ้ลว่าเขาต้องทำกันยังไง" คำตอบของน้องหมีมักมาเหนือความคาดหมายเสมอ แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

            ไม่ถามเพราะอยากทำให้ถูกต้องด้วยตัวเอง ผมคิดว่าคงเป็นแบบนั้น

            "แล้วถ้าเสิชไม่เจอนี่ต้องรอจนเช้าเลยมั้ย"

            "ไม่ปล่อยให้พี่อินรอนานขนาดนั้นหรอก"

            น้องหมียิ้มตาหยีไม่ยอมปล่อยมือ และผมเองก็ไม่อยากให้น้องมันปล่อยเหมือนกัน จากนี้จะไม่ทิ้งห่างไปไหนอีกแล้ว แม้อยู่ไกลกันก็จะพยายาม จะคุยให้เยอะ จะติดต่อให้บ่อย จะไม่ทำให้เกิดช่องว่างเหมือนเก้าปีที่ผ่านมาอีก

            "กลับด้วยกันนะ"

            จะปล่อยให้รอแท็กซี่คงอีกนาน ตกลงปลงใจคบหากันแล้วนี่ ทิ้งให้น้องมันกลับบ้านเองคนเดียวก็ยังไงอยู่ ความจริงบ้านเราก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมากเท่าไร แค่สี่สิบกิโลเอง เดี๋ยวให้น้องสาวผมขับไปส่ง

            "ต้องอ้อมไปส่งไกลเลยนะ"

            "ก็ไม่เห็นเป็นไร"

            "หรือว่าจะค้างด้วยเลยดี" แกล้งทำเป็นทำหน้าครุ่นคิด แต่ผมเห็นด้วยนะ เป็นความคิดที่ดีกว่าขับรถอ้อมกรุงเทพฯไปส่งอีก

            ผมไหวไหล่ไม่ตอบ แต่คิดว่าน้องหมีคงรู้คำตอบอยู่แล้ว

            แปดวันกับอีกเจ็ดคืน ช่วงเวลาที่ทำให้ผมได้คนสำคัญในวัยเด็กกลับคืนมา

            สัญญาเลยว่าจากนี้จะดูแลอย่างดี

 

END

 

จบแล้วววววว เย้!!!!! จบเลยกำหนดแบบมาไกลมาก ฮา

ความจริงตั้งใจว่าจะเขียนให้เสร็จช่วงซากุระบานตั้งแต่เดือนเมษา

แต่นี่ลากยาวมาจนกลางมิถุนาเลย ซากุระร่วงจนจะบานใหม่ได้อีกรอบ

ขอบคุณทุกคนที่ไปเที่ยวด้วยกันนะคะ หวังว่าจะชอบทริปซากุระบานของเราน้า

สำหรับตอนพิเศษจะตามมาเร็วๆ นี้ค่า




ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมตอนจบสั้นจังคะะะะ  :ling1: รอตอนพิเศษค่าา ชอบน้องหมีมากกว่าเดิมอีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด