พิมพ์หน้านี้ - ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kinsang ที่ 19-03-2017 18:46:19

หัวข้อ: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 19-03-2017 18:46:19
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

*****************************************************************************************


เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53572.0)
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54065.0)
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58861.0)
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61182.0)
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64766.0)
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64895.0)
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67428.0)
เหนือลิขิต [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69628.0)



เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53650.0)
★  อยากบอกว่าชอบเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62434.0)
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62866.0)



========================


(http://)
8 วัน 7 คืน

8 วันที่เราได้กลับมาเจอกัน
7 คืนที่ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น

คำเตือน : นี่คือกระทู้รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุ


#8วัน7คืน


หัวข้อ: Re: ✿ 8 วัน 7 คืน ✿ ก่อนออกเดินทาง [19/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 19-03-2017 18:48:54


ก่อนออกเดินทาง


   แม่ผมชอบเม้าท์ ชอบคุย วันๆ นอกจากทำงานบ้านแล้วภารกิจอีกอย่างคือเอาเรื่องลูกชายไปเม้าท์ให้คนอื่นฟัง ก็แน่ล่ะ ลูกชายแม่แต่ละคนน่าเอาไปอวดสุดๆ เรียนก็เก่ง การงานก็ดีมีเงินเก็บ แถมหนีไปเที่ยวบ่อยๆ แต่ทั้งที่เป็นเรื่องที่กำชับไว้แล้วว่าห้ามบอกใครไหงถึงมีคนรู้เรื่องได้ล่ะเนี่ย

   "อินจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเหรอลูก"

   ผมกำลังปั่นจักรยานเข้าบ้านฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ป้านาถเจ้าของร้านขายของชำประจำหมู่บ้านแกก็ร้องทัก เป็นประโยคที่ทำให้ผมบีบเบรกมือจนรถแทบม้วนหน้าก่อนจะหันไปทำหน้าเหวอใส่ป้าแก

   นี่ป้านาถรู้ได้ไงว่าผมจะไปเที่ยวญี่ปุ่น

   "ครับป้านาถ" ยิ้มแหยตอบกลับไป แต่ในใจเหมือนน้ำใกล้เดือด แม่นะแม่ บอกแล้วไงว่าห้ามเอาไปบอกใคร

   ป้านาถฉีกยิ้มกว้างเดินเข้ามาหาผม ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงชะตากรรมแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะแบบนี้ไงถึงไม่อยากให้ใครรู้

   "ป้าฝากซื้อของหน่อยสิ" กระดาษที่จดอะไรกระยุกยิกเหมือนใบโพยหวยถูกยื่นมาให้

   ผมยิ้มแหยยิ่งกว่าเดิม อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่กล้าปฏิเสธเพราะเป็นญาติผู้ใหญ่ที่จะว่าสนิทก็ไม่เชิง แถมป้านาถแกเป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในหมู่บ้าน จะว่าปากสว่างพูดไม่คิดด่าไม่เลือกก็ได้ คนรักสงบอย่างผมเลยเตือนตัวเองไว้เสมอว่าอย่าไปมีเรื่องกับแกเด็ดขาด

   เมื่อผมเอาแต่ยิ้มเหมือนเด็กเอ๋อไม่ยื่นมือออกมาไปรับสักทีป้านาถอกเลยจัดการยัดกระดาษใส่มือผมพร้อมซองเงินให้เสร็จสรรพ ก็ยังถือว่าดีที่ฝากเงินมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากจะรับไว้ให้เป็นภาระอยู่ดี

   "ถ้าเจอถึงจะซื้อให้นะป้า" ผมบอกดักทางไว้ก่อนแต่เหมือนป้าแกไม่ได้สนใจเลย

   "แหม นิดๆ หน่อยๆ เอง ป้าฝากด้วยนะ" ตีแขนผมหนึ่งที ยิ้มหวานให้แล้วป้านาถก็เดินหันหลังกลับไปเฝ้าร้านต่อ

   ให้มันได้อย่างนี้สิ

   ผมปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความเซ็งสุดขีด เข็นรถเข้าที่จอด เปิดประตูเข้าบ้านวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะแล้วมองหาท่านแม่ทันที

   นั่นไง อ่านนิยายสบายใจเฉิบอยู่ที่เก้าอี้โยก

   "แม่~"

   "อะไร"

   "ไปบอกป้านาถทำไมว่าอินจะไปเที่ยว"

   แม่ลดหนังสือนิยายลงพลางหันมาเลิกคิ้วใส่ก่อนตอบอย่างไม่ยี่หระ
 
   "ก็แม่ไปขอให้ลุงไกรไปส่งที่สนามบินพรุ่งนี้ เค้าก็ถามสิว่าอินจะไปไหน"

   ฟังแล้วได้แต่ทำหน้ายู่ พรุ่งนี้ผมบินแปดโมงเช้า ต้องถึงสนามบินอย่างช้าหกโมงครึ่ง ถ้าพ่อไปส่งก็จะไปทำงานไม่ทัน หรือไม่ก็ต้องรีบไปถึงตั้งแต่ตีสามตีสี่ซึ่งผมไม่เอาด้วยหรอก เลยกะว่าจะนั่งแท็กซี่ไป แล้วเผอิญลุงไกรสามีป้านาถแกขับรถแท็กซี่พอดีแม่เลยจัดการทาบทามให้เรียบร้อย เป็นไงล่ะแม่ผม ได้รถไปส่งพรุ่งนี้แถมได้ภาระของฝากมาด้วย

   "แล้วจัดกระเป๋าเสร็จหรือยัง"

   "ยังเลย"

   "แล้วคุยกับน้องแบร์โอเคแล้วใช่มั้ย"

   "โอเคแล้วคร้าบ" ผมตอบหน่ายๆ ก็ไอ้น้องแบร์หรือที่ผมชอบเรียกในใจเองว่าน้องหมีนี่ก็เป็นภาระที่แม่ผมหามาให้เหมือนกัน

   เดิมทีแล้วทริปนี้ผมตั้งใจจะไปคนเดียว เลือกช่วงฤดูใบไม้ผลิจะได้เดินดูซากุระชิลๆ ท่ามกลางอุณหภูมิยี่สิบต้นๆ ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ อยากไปไหนเมื่อไรก็ไป แต่แม่ผมอีกแล้วนั่นแหละเอาเรื่องที่ผมจะไปเที่ยวญี่ปุ่นไปเล่าให้เพื่อนบ้านสมัยเก่าเก็บฟังจนสุดท้ายได้เพื่อนร่วมทริปเพิ่มมาอีกคน

   ก็น้องแบร์ของแม่หรือน้องหมีของผมนั่นแหละ

   ครอบครัวผมเพิ่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้เมื่อเก้าปีก่อน แต่หมู่บ้านเก่านั้นอยู่มาตั้งแต่เกิด เรียกว่าเป็นความทรงจำสมัยเด็กของผมเลยก็ได้ ผมมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่นั่น หนึ่งในนั้นก็คือน้องหมี คนที่สนิทกับผมที่สุด ความจริงเราเรียนรุ่นเดียวกันแต่เกิดคนละปี ผมเกิดสิงหาส่วนน้องหมีเกิดกุมภา อายุห่างกันหกเดือน แต่เพราะพ่อแม่ให้เรียกกันแบบนี้สุดท้ายเลยกลายเป็นพี่อินกับน้องแบร์ตั้งแต่จำความได้ แถมยังเรียกชื่อแทนตัวเองแบบไม่มีศักดิ์ทางอายุนำหน้าทั้งคู่

   ผมเรียกแทนตัวเองว่าอิน ส่วนน้องหมีก็เรียกแทนตัวเองว่าแบร์

   แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนี่มันก็เป็นแค่อดีต เพราะผมย้ายบ้านเราเลยห่างกันไปด้วย ผมมีเพื่อนกลุ่มใหม่ น้องหมีก็อยู่กับสังคมของเขา มีติดต่อหากันบ้างช่วงวันสำคัญอย่างวันเกิดหรือวันปีใหม่ แต่ที่จริงจะเรียกว่าติดต่อก็อาจจะมากไปเพราะเราแค่ส่งข้อความอวยพรกันเท่านั้น ก็สมัยนั้นโซเชียลเน็ตเวิร์คยังไม่แพร่หลายเท่าไรเลยใช้วิธีส่ง SMS กันซะมากกว่า

   ปัจจุบันได้ข่าวว่าน้องหมีเพิ่งเรียนจบป.ตรี ทั้งที่ควรจะจบตั้งแต่สองปีก่อน เพราะติดเพื่อนทิ้งการเรียนเลยกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่น้องมันกลับตัวทัน พอเรียนจบเลยได้ของขวัญเป็นแพ็กเกจเที่ยวญี่ปุ่นกับผมนี่แหละ

   ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราเจอหน้ากันแบบนับครั้งได้ อาจจะปีละครั้งหรือสองครั้งเวลามีงานสำคัญอย่างพวกงานแต่งงานหรืองานศพ ขนาดตกลงว่าจะไปเที่ยวด้วยกันแล้วเรายังนัดเจอกันแค่ครั้งเดียวคือตอนไปงานเที่ยวญี่ปุ่น ที่เหลือคุยกันผ่านตัวหนังสือทางไลน์ เพราะงานผมยุ่งด้วยล่ะถึงไม่ว่างไปเจอแม้น้องจะนัดอยู่หลายครั้ง

   "อินไปจัดกระเป๋าก่อนนะแม่" รำลึกความหลังกันพอแล้วผมก็เลี่ยงขึ้นห้อง

   กระเป๋าเดินทางเปล่าๆ ยังวางแอ้งแม้งอยู่ในห้องนอน พวกเสื้อผ้าของใช้ผมลิสต์รายการไว้หมดแล้วว่าจะเอาอะไรไปบ้าง เหลือแค่ยัดลงกระเป๋าก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

   แค่คิดก็ตื่นเต้น อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ ชะมัด


TBC


หายไปหลายเดือนเลยมีใครยังจำเราได้มั้ย ฮา
ตอนแรกมีความตั้งใจว่าจะปั้นเรื่องนี้ให้เสร็จแล้วค่อยลงทีเดียว คือจะลงช่วงปลายมีนาถึงต้นเมษา
แต่สุดท้ายแล้วไม่รอดค่ะ ถ้ารอแต่งจบค่อยลงสงสัยไม่ได้ลงแน่ๆ กลับมาอีกทีปีหน้าเลยงี้
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยน้า ขอบคุณค่า

หัวข้อ: Re: ✿ 8 วัน 7 คืน ✿ ก่อนออกเดินทาง [19/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 19-03-2017 18:53:41
รอๆๆๆๆพี่อินน้องหมี
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 1 [26/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 26-03-2017 17:43:27


วันที่ 1


   เวลานัดคือหกโมงเช้า ส่วนตอนนี้ตีห้าสิบนาที ผมไม่ได้ตั้งใจจะมาเช้าขนาดนี้แต่ถนนมันโล่งลุงไกรแกเลยเหยียบเต็มที่ ส่วนผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น นั่งหาวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ อยากจะยึดเก้าอี้แล้วนอนยาวๆ เหมือนพี่ฝรั่งฝั่งตรงข้ามบ้างก็เกรงใจ ส่วนเพื่อนร่วมทริปอย่างน้องหมีได้ข่าวว่าเพิ่งออกจากบ้านอยู่เลย

   เฮ้อ~ ชีวิต

   สนามบินยามเช้ามันช่างเหงาหงอย นั่งแก่วไถเฟซบุ๊กไถทวิตเตอร์จนไม่มีอะไรให้อ่านในที่สุดไลน์จากน้องหมีก็เด้งขึ้นมาเสียที

   น้องหมี : ถึงแล้วนะ พี่อินอยู่ตรงไหน

   อิน : ไปรอเคาน์เตอร์เช็คอินเลยก็ได้ เดี๋ยวเดินไปหา

   น้องหมี : เราเช็คอินเคาน์เตอร์ R ใช่ป่ะ

   อิน : ใช่

   น้องหมี : งั้นรอตรงนี้นะ

   อิน : โอเค

   นัดแนะกันเรียบร้อยผมก็ลากกระเป๋าเดินไปหาน้องหมีที่เคาน์เตอร์ R น้องผมคนนี้น่ะสังเกตง่าย มองไกลร้อยเมตรยังจำได้เลย ตัวสูงเกิน 180 ซม. ผิวขาวหน้าหล่อเหมือนนายแบบ แม้จะแต่งตัวธรรมด๊าธรรมดาอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ผู้หญิงก็พากันมองจนเหลียวหลัง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหาไม่เจอ แค่ผมเดินเข้าใกล้บริเวณจุดนัดหมายของเราก็เห็นแล้วว่าน้องมันอยู่ตรงไหน

   นั่นไง ยืนเต๊ะท่าเล่นมือถืออยู่ตรงนั้น

   ผมลากกระเป๋าเดินไปยืนตรงหน้า พอน้องหมีรู้ตัวว่ามีคนมาถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง ยกมือเสยผมที่ปลกหน้าไปข้างหลังแล้วยิ้มให้ตาเป็นขีด บอกได้คำเดียวว่าโคตรดูดี

   ถ้าสาวๆ ได้มาเห็นอะไรแบบนี้ใกล้ๆ คงกรี๊ดกันสลบแน่ เงยหน้าขึ้นมาแบบหล่อๆ เสยผมแบบเท่ๆ แต่พอยิ้มแล้วดูน่ารักขึ้นมาทันที น้องหมีเป็นผู้ชายที่สามารถปรับลุคได้สามแบบในเวลาสามวินาที

   "มาถึงนานยัง" น้องหมีถามด้วยเสียงทุ้มๆ ตามความใหญ่ของขนาดตัว

   "สี่สิบนาทีที่แล้ว"

   "จริงดิ แล้วไมไม่บอก" พอรู้ว่าผมรอนานน้องมันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่บอกแล้วมันจะช่วยอะไร ในเมื่อตอนผมถึงสนามบินแล้วน้องหมีเพิ่งออกจากบ้าน อีกอย่างเราทั้งสองคนก็มาถึงก่อนเวลานัดกันทั้งคู่

   "ช่างเหอะ ไปเช็คอินกัน" ผมบอกปัดไปอย่างไม่ใส่ใจก่อนลากกระเป๋าไปต่อแถวเช็คอิน
 


   ผ่านเข้ามาด้านในแล้วเราก็มานั่งรอกันหน้าเกท ระหว่างเดินมาน้องหมีมันชวนผมคุยย้อนความหลังครั้งวัยเยาว์ตลอดทาง เพราะเราเจอหน้ากันไม่บ่อยเลยมีเรื่องให้คุยเยอะแยะเต็มไปหมด แต่เรื่องที่ผมอยากรู้ที่สุดคือส่วนสูงที่เพิ่มเอาๆ ของน้องมันมากกว่า ทั้งที่ตอนเด็กตัวเล็กกว่าผมแท้ๆ มาโดนแซงเอาตอนไหนก็ไม่รู้ แถมแซงไปไกลด้วย

   "ก็แค่กินทุกอย่างให้หมดแล้วนอนเยอะๆ แค่นั้นเอง"

   และนี่ก็คือคำตอบของน้องหมี ฟังแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม

   ผมก็นอนเยอะนะ ทุกวันนอนไม่เกินห้าทุ่มแต่ต้องตื่นตีห้าทุกวันเพื่อปั่นจักรยานไปจอดไว้หน้าหมู่บ้านแล้วนั่งรถตู้ไปทำงานซึ่งอยู่อีกฟากกับเขตบ้านผมเลย นับเวลานอนก็หกชั่วโมง เพียงพอแล้วสำหรับผู้ใหญ่วัยเบญจเพส ส่วนตอนเด็กผมหลับตั้งแต่สามสี่ทุ่ม เล่นกีฬาออกกำลังกายไม่ค่อยได้ทำเหมือนคนอื่นเขาเท่าไร เพราะงั้น 172 ซม. ที่ได้มาผมว่ามันก็โอเคแล้ว

   เวลาอยู่กับน้องหมีแล้วเหมือนผมเป็นฝ่ายรับฟังเสียงมากกว่า ตั้งแต่เจอหน้ากันน้องมันก็พูดไม่หยุด ปกติผมไม่ใช่คนเงียบเท่าไรนะ แต่ก็นั่นแหละ เจอคนพูดมากกว่าเลยต้องยอม

   "พี่อินไปญี่ปุ่นครั้งแรกป่ะ" แล้วคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะเจอก็หลุดออกมา

   คุยกันเรื่องญี่ปุ่นมาก็เยอะแต่น้องหมีไม่เคยถามคำถามนี้กับผมเลย ส่วนใหญ่จะปรึกษากันเรื่องที่เที่ยวมากกว่า ซึ่งผมวางแผนไว้หมดแล้วก่อนจะรู้ว่าได้เพื่อนร่วมเพิ่มมาอีกคน มีเอามาปรับใช้นิดหน่อยตอนน้องมันขอว่าอยากไปที่นั่นที่นี่แค่นั้น

   "ไม่อ่ะ"

   "จริงดิ" น้องหมีทำตาโต ดูจะตื่นเต้นมากที่ผมไม่ได้ไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

   "อืม"

   "ไปกี่ครั้งแล้ว"

   "ก็...ครั้งที่สี่"

   "โห!~ ไม่เห็นเคยบอก" ร้องแบบโอเวอร์แอคติ้งแถมเบิกตากว้างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม นี่น้องหมีมันจบเอกการแสดงหรือไง

   ผมไม่บ้าโซเชียล ปกติไปเที่ยวเลยไม่ค่อยอัพรูปอัพเดทเหตุการณ์เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเท่าไร แต่ประเด็นที่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปไหนก็คือหนึ่ง เบื่อพวกฝากซื้อของ และสอง ผมไม่ได้ไปเที่ยวแบบคนอื่นเขาไง เลยชอบไปแบบเงียบๆ ไปแค่ไม่กี่วัน รู้เฉพาะคนที่สนิทจริงๆ ขนาดเพื่อนที่ทำงานบางคนยังไม่รู้เลยว่าผมไปญี่ปุ่น 

   "งี้ก็เที่ยวครบทั้งประเทศแล้วดิ"

   "ไม่หรอก"

   อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนความลับที่ปกปิดไว้กำลังจะถูกเปิดเผย ผมไม่อยากบอกเลยว่าที่ผ่านมาไปญี่ปุ่นเพราะอะไร แต่พลั้งปากพูดไปแล้วแถมน้องหมีมันยังทำหน้าอยากรู้ซะขนาดนี้ผมควรจะแถออกไปมหาสมุทรไหนดี

   "ทำไมอ่ะ"

   "ก็ไม่ทำไมอ่ะ"

   "แล้วพี่อินไปที่ไหนมาแล้วบ้าง"

   "โตเกียวแล้วก็..." ผมลากเสียงยาวเพราะมันนึกไม่ออก ความจริงคือนอกจากโตเกียวแล้วผมก็แทบไม่ได้ไปไหนอีกเลย เพราะฉะนั้นคำตอบคือโตเกียวที่เดียวเท่านั้น

   "แล้วก็..."

   "จำไม่ได้แล้ว ไหนเอาแผนเที่ยวที่ให้ปริ๊นมาดูดิ๊" เลือกมหาสมุทรแถออกไปไม่ได้ผมก็เบี่ยงประเด็นมันซะเลย

   แบมือไปตรงหน้าน้องหมีขอแผนการท่องเที่ยวที่ผมใช้เวลาร่วมเดือนในการหาข้อมูลและจัดเรียงแต่ให้น้องมันเป็นคนพิมพ์เข้าเล่มมาให้

   น้องหมีก็แสนว่าง่าย ออกปากขอปุ๊บรีบเปิดกระเป๋าหยิบให้ปั๊บ เรื่องที่คุยกันอยู่เมื่อกี้ก็ลืมๆ มันไปแล้วขึ้นหัวข้อใหม่กันเถอะ

   พอเบี่ยงเบนประเด็นได้ผมก็ชวนน้องหมีคุยเรื่องที่เที่ยวในแผนการเดินทางไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง แล้วน้องมันก็เหมือนจะลืมประเด็นการไปญี่ปุ่นที่เดียวซ้ำๆ ของผมไปเลย



   ห้าชั่วโมงกับอีกห้าสิบนาทีเราสองคนก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะโดยสวัสดิภาพ ผมเดินงัวเงียตามหลังน้องหมีไปเรื่อยๆ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงสายพานรับกระเป๋า เห็นผมเดินทางบ่อยๆ ก็เถอะความจริงไม่ค่อยถูกโรคกับเครื่องบินเท่าไร แต่เพราะความอยากเลยต้องมา ถึงไม่ชอบนั่งเครื่องบินยังไงก็ต้องมา

   ที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าไทยสองชั่วโมง ตอนนี้จึงเป็นเวลาสี่โมงครึ่ง หลังจากได้กระเป๋าเราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองตรงไปยังโรงแรมที่สถานีอิเคะบุคุโระ ทิ้งสัมภาระเอาไว้แล้วจะได้ออกไปตะลุยโตเกียวในยามค่ำคืนกัน
   ลากกระเป๋าใบโตด้วยความทุลักทุเลมาถึงสถานีอิเคะบุคุโระได้สองกระเหรี่ยงจากเมืองไทยก็งงเป็นไก่ตาแตก ถึงผมจะมาโตเกียวบ่อยก็เถอะแต่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานีใหญ่แถมคนเยอะเลยต้องรีบพากันไปหลบมุมเสาแล้วหยิบแผนเที่ยวที่ทำไว้มากางดู
   "ออกทาง west" น้องหมีบอกแล้วชี้ป้ายให้ผมดูเราถึงได้ลากกระเป๋าไปกันต่อ

   ทางออกที่พวกเราต้องออกนั้นไกลมาก เดินผ่านร้านอาหารผมก็ได้แต่มองตามตาละห้อย มีแต่ของน่ากินทั้งนั้น แต่ด้วยสัมภาระที่ติดตัวมาเลยต้องอดไว้ก่อน เอากระเป๋าไปโยนทิ้งที่โรงแรมเมื่อไรผมจะแวะมันทุกร้านที่อยากกินเลย

   เดินมาจนถึงทางออก บันไดเลื่อนพามาโผล่บนทางเดินแล้วก็พากันงงอีกรอบ

   "ไปไหนต่อนะ" น้องหมีหันซ้ายหันขวาก่อนหันมาถามผม

   "เขาบอกให้ตรงไป เจอร้านยาแล้วเลี้ยวซ้าย" บอกรายละเอียดที่หามาได้ไป

   ปกติผมไม่เคยหาข้อมูลอะไรแบบนี้เลย สามครั้งที่ผ่านมาคือมากับแก๊งเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กันแถมเป็นผู้ตามตลอด อารมณ์แบบเดินตามอย่างเดียว เขาพาไปไหนก็ไป พอต้องมานำเองแบบนี้เลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

   "ตรงไป งั้นก็ข้ามถนนใช่มั้ย" ถามแล้วก็หันมาทำหน้ามึนใส่ผม

   อยากจะตอบกลับไปดังๆ ว่า 'ไม่รู้โว้ย! มาครั้งแรก' แต่ก็ทำได้เพียงแค่ทำหน้ามึนตอบกลับไปบ้าง

   "มั้ง"

   สุดท้ายก็เป็นอันสรุปว่าเราจะข้ามถนน เพราะโผล่ออกจากทางขึ้นสถานีก็เจอทางม้าลายอยู่ตรงหน้าเลย ฉะนั้น ตรงไปก็เท่ากับข้ามถนนไปล่ะมั้งนะ



   แล้วไหนล่ะร้านยา

   เดินลากกระเป๋าด้วยความลำบากยากเย็นมาจนจะสุดทาง ข้างหน้ามีถนนตัดผ่านตามด้วยกำแพงผมก็ยังไม่เจอร้านยาสักร้าน ไหนข้อมูลบอกเดินไม่ไกลแต่นี่มันโคตรไกล ไกลมากด้วย

   "มาถูกทางป่ะเนี่ย" ไม่ถามเปล่ามีการหัวเราะเยาะ

   ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าตรงไปคือข้ามถนนน่ะไอ้น้องหมี ก่อนจะได้เที่ยวต้องลุ้นว่าจะหาโรงแรมเจอหรือเปล่าด้วยใช่มั้ย

   "เปิดแมพดูดิ๊"

   "พี่ไม่เปิดอ่ะ"
   อุตส่าห์โยนไปให้แล้วยังจะโยนกลับมาอีก ถ้าดูเป็นคงทำเองไปแล้ว

   จุดบอดเรื่องการท่องเที่ยวของผมอีกอย่างคือเดินตามแมพไม่เป็น งงทิศ ไม่รู้จะต้องเดินไปทางไหน เปิดดูแล้วไม่ช่วยอะไรรอบนี้ที่มาเองเลยเน้นการหาข้อมูลแน่นๆ แทน แต่ตอนนี้ข้อมูลแน่นแค่ไหนก็คงไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน ในเมื่อหลงทางไปแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าการมีน้องหมีมาด้วยมันอาจจะดีก็ได้ ถ้าไม่นับเรื่องตรงไปเท่ากับข้ามถนนเมื่อกี้น่ะนะ

   "แบร์นำนะ" ให้ผมเปิดผมก็เปิดแต่ยื่นมือถือไปให้น้องหมีดูเอง น้องมันทำหน้างงนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับไปถือไว้โดยดี

   อย่าให้พี่เดินนำเลยไอ้น้อง จากที่ควรจะถึงโรงแรมอาจจะพาเดินกลับสนามบินเลยก็ได้

   สุดท้ายด้วยความสามารถของหมียักษ์ก็ทำให้พวกเรามาถึงโรงแรมได้สำเร็จ ซึ่งทางที่เดินไปก่อนหน้านี้ก็เหมือนเป็นการสำรวจย่านนี้เล่นๆ ว่าง่ายๆ คือไปเดินอ้อมมาเกือบครบทั้งย่านแล้วนั่นแหละ

   โรงแรมที่ผมจองไว้เป็นโรงแรมเล็กๆ และราคาถูกมาก เจ้าหน้าที่ก็สุดแสนจะเงียบขรึม จ่ายเงินให้กุญแจห้องเป็นอันจบข่าว ไม่มีการแนะนำใดๆ ต่อทั้งสิ้น เช็คอินเรียนร้อยผมกับน้องหมีก็ลากกระเป๋าเข้าลิฟต์กดชั้นสามตามหมายเลขห้องบนกุญแจที่ได้มา

   "โคตรแคบ" ประตูลิฟต์เปิดออกปุ๊บน้องหมีก็บ่นปั๊บ

   จะว่าไปทางเดินมันก็แคบจริงๆ นั้นแหละ กระเป๋าใบเดียววางก็เต็มแล้ว ยิ่งคนตัวใหญ่อย่างกับหมีขั้วโลกอย่างน้องมันไปยืนคือคับเต็มทางเดินไปหมด เห็นแล้วก็ขำ

   "ไม่ต้องมาหัวเราะ ใครให้จองที่นี่เนี่ย" ปากบ่น คิ้วขมวด พร้อมทั้งลากกระเป๋าไปด้วยความทุลักทุเล

   "อย่ามาบ่น ตอนจองก็เอาให้ดู"

   "ใครจะไปรู้ว่าทางเดินจะแคบขนาดนี้"

   "นอนในห้องไม่ได้นอนตรงทางเดิน"

   น้องหมียู่หน้าใส่ผม หยุดบ่นแล้วลากกระเป๋าเงียบๆ ไปยังห้องพักที่อยู่สุดทางเดิน

   เปิดประตูห้องเข้ามา เปิดสวิตช์ไฟเรียบร้อย อย่างแรกที่ผมมองหาคือเตียงนอน เตียงใหญ่กว่าติดริมหน้าต่างส่วนเตียงเล็กติดผนังห้องอีกด้าน และนี่คือความประหลาดของโรงแรมนี้ที่สองเตียงมันขนาดไม่เท่ากัน แม้จะต่างกันแค่ครึ่งฟุตก็ตาม

   ผมกับน้องหมีมองหน้ากัน เป็นใครก็อยากนอนเตียงใหญ่ใช่ไหม ถ้าว่ากันตามหลักความจริงน้องหมีมันตัวใหญ่กว่าก็สมควรได้เตียงใหญ่ไป แต่ใครสน

   "อิน..."

   "แบร์นอนเตียงเล็กเอง" ผมยังไม่ทันพูดน้องหมีก็พูดขัดขึ้นมา มีการหันมายิ้มตาหยีให้ก่อนลากกระเป๋าเข้าไปไว้ฝั่งเตียงตัวเอง

   ยอมให้ขนาดนี้ผมก็น้อมรับแต่โดยดี ตั้งแต่เด็กแล้วที่เวลาเถียงกันทะเลาะกันน้องหมีมักจะยอมให้ผมตลอด ทั้งที่ผมซึ่งเป็นพี่ควรจะยอมให้มากกว่า

   แม้ตัวจะสูงขึ้น แม้จะห่างกันมานาน แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี นิสัยข้อนี้ของน้องหมีก็ยังน่ารักสำหรับผมเหมือนเดิม

   ดูเป็นพี่ที่เอาเปรียบน้องชะมัด



   ตามตารางที่ผมวางไว้คือหลังจากเก็บของที่โรงแรมเรียบร้อยเราจะออกไปหาข้าวเย็นกินกัน ไม่ได้ระบุว่าจะไปที่ไหน อารมณ์แบบไปหาเอาดาบหน้า เจออะไรน่ากินก็กิน และจากการเดินวนย่านนี้มาแล้วหนึ่งรอบทำให้ตัวเลือกผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ต่อให้อยู่เป็นเดือนก็คงกินไม่ครบทุกร้าน

   "จะกินแถวนี้มั้ย หรืออยากไปที่อื่น" ผมถามลองเชิง อันที่จริงก่อนจะรู้ว่าได้น้องหมีเป็นเพื่อนร่วมทริปผมมีแผนอยู่แล้วว่าจะไปที่ไหน ก่อนมาก็เช็คตารางเรียบร้อยและคิดว่าจะไม่พลาดแน่ๆ ใจหนึ่งก็อยากไปใจหนึ่งก็ไม่อยากเพราะน้องหมี ความชอบของคนเรามันเหมือนจะซะที่ไหน เกิดพาไปแล้วน้องมันไม่เอ็นจอยขึ้นมาจะพาลเอาผมเซ็งไปด้วย

   "แถวนี้ก็ได้ หรือพี่อินมีที่ไหนแนะนำมั้ย เอาที่ไม่มีในแผนนะ"

   "ที่จริงก็มีอยู่ที่นึง" เสริมอีกนิดว่าเป็นย่านที่มีในแผนแต่ไม่คิดว่าจะพาไปเพราะอยากจะไปคนเดียว

   เฮ้อ! แล้วผมจะบอกน้องมันทำไมวะ เกริ่นซะน่าไปขนาดนี้น้องหมีมันเลยทำหน้าตาอยากรู้เข้าไปใหญ่

   "ที่ไหน"

   "อากิบะ"

   "ฮะ" พูดชื่อย่อก็ไม่เข้าใจ มาทำหน้างงใส่ผมอีก มาเที่ยวนี่ศึกษาอะไรมาบ้างมั้ยเนี่ย

   "อากิฮาบาระ"

   "มันมีในแผนไม่ใช่เหรอ"

   "ก็ไปส่วนที่ไม่ได้อยู่ในแผนไง"

   ได้ยินแบบนี้น้องหมีก็ทำหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที แต่พาไปแล้วน้องมันจะชอบหรือเปล่า ผมกับน้องมันชอบอะไรคนละสไตล์กันด้วย

   "มันแพงนะ กินเสร็จอาจจะไม่อิ่มก็ได้" พูดดักไว้ก่อน ที่ที่ผมอยากไปคือไปเอาความสุขใจล้วนๆ เป็นความชอบส่วนบุคคลจริงๆ

   แต่สำหรับน้องหมีแล้วดูเหมือนเรื่องเงินจะไม่ใช่ปัญหา

   "ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มดิ จ่ายได้น่า มาเที่ยวต้องเอาให้คุ้ม"

   ถ้าพาไปก็เท่ากับว่าตัวตนอีกด้านหนึ่งของผมซึ่งน้อยคนนักที่รู้อาจจะถูกเปิดเผย ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักหรอก แต่กับน้องหมี เด็กที่เคยเดินตามผมต้อยๆ มีผมเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนั้น หลังจากห่างหายจากกันไปเกือบสิบปีมารู้ว่าตอนโตรสนิยมผมกลายเป็นแบบนี้ความนับถือมันจะยังหลงเหลืออยู่ไหม

   "สรุปพี่อินจะพาไปไหน"

   ผมยังไม่ตอบในทันที มองหน้าน้องมันแล้วยิ้มแห้งๆ หรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

   "บอกมาเร็วๆ"

   มาถึงญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องไปที่แบบนี้ดิถึงจะถูก จริงมั้ย

   "เมดคาเฟ่"



TBC.



ตอนแรกมาแล้วเป็นยังไงกันบ้าง ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยน้า
ตอนหน้าจะพาไปเมดคาเฟ่กัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 27-03-2017 18:49:05


คืนที่ 1


   อากิบะหรืออากิฮาบาร่าในยามค่ำคืนยังครึกครื้นเหมือนทุกที ย่านนี้เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผม ถ้ามาญี่ปุ่นก็ต้องมาที่นี่ แล้วย่านนี้มันมีอะไรน่ะเหรอ

   ก็อย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านอาหาร แล้วก็...ของเกี่ยวกับอนิเมะ มังงะ ไอดอล ฟิกเกอร์ กาชาปอง วิดีโอเกมส์ เมดคาเฟ่ พูดง่ายๆ ก็สวรรค์ของโอตาคุนั่นแหละ หรือจะพูดอีกทีก็คือสวรรค์ของผมอีกเหมือนกัน

   ผมพาน้องหมีเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยอย่างช่ำชอง ดูเหมือนน้องมันจะชอบที่นี่นะ มองดูสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความสนใจ โดยเฉพาะตอนเดินผ่านร้านที่มีตู้เรียงเป็นแถวๆ แถมเสียงดังไปถึงหน้าปากซอย

   "สนใจ" ถามลองเชิงออกไปน้องหมีมันก็รีบพยักหน้ารับ หรือจะทิ้งน้องมันไว้ที่นี่แล้วผมไปเมดคาเฟ่คนเดียวดี

   "มันคืออะไร"

   "ปาจิงโกะ เล่นเป็นมั้ย"

   "ไม่อ่ะ"

   "อย่าไปเล่นเลย" ผมเดินผ่านร้านปาจิงโกะทิ้งน้องหมีให้ยืนมองหน้าร้านตาละห้อยต่อไป มันเป็นการพนันอย่าไปเล่นเลย ถึงจะถูกกฎหมายก็เถอะ เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า



   เมดคาเฟ่ที่ผมพามาอยู่ชั้นสี่ของตึก ตอนเข้าไปในลิฟต์เจอเพื่อนร่วมทางอีกสองคน แถมตอนออกจากลิฟต์เจอน้องเมดเลิกงานพอดีอีก คนอื่นเขาก็ทักทายน้องเมดกันไป ยกมือบ๊ายบายทำเสียงงุ้งงิ้งอะไรแบบนี้ ผมก็อยากทำบ้างนะแต่แอบเหล่ไอ้คนข้างๆ เห็นมันมองเขาแล้วยิ้มตาปิดเลยไม่ทำดีกว่า

   ออกจากลิฟต์เดินมาอีกนิดหน่อยก็ถึงทางเข้าร้าน มีสาวน้อยใส่ชุดเมดสีน้ำตาลหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าชังคอยต้อนรับอยู่พร้อมกับแนะนำรายละเอียดของร้านซึ่งผมก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง อาศัยประสบการณ์มาบ่อยเลยเข้าใจเป็นอย่างดี

   "มันต้องเสียค่าเข้านะ คนละพันสี่ร้อยเยนค่าอาหารต่างหาก ส่วนอันนี้เป็นแพ็กเกจแนะนำ อาหารอย่างเดียว อาหารพร้อมเครื่องดื่ม ส่วนอันนี้มีถ่ายรูปคู่ จะเลือกแบบไหนก็คิดไว้" หลังจากรับแผ่นแนะนำจากน้องเมดมาผมก็อธิบายให้น้องหมีฟังคร่าวๆ

   "พี่อินเลือกแบบไหน"

   เออไอ้นี่ ให้เลือกไว้ในใจไม่ได้ให้ถามกลับ

   ผมมองหน้าน้องหมีแล้วยิ้ม อย่างพี่น่ะเหรอ แบบที่สามอยู่แล้ว การถ่ายรูปกับน้องเมดคือภารกิจหลัก ส่วนอาหารน่ะมันของแถม

   "สาม" ตอบน้องหมีแล้วผมก็เดินตามน้องเมดเข้าไปข้างใน

   ผมสอดส่ายสายตาไปตามมุมต่างๆ ของร้าน วันนี้ลูกค้าค่อนเยอะดูวุ่นวายนิดหน่อย และตอนที่กำลังเดินผ่านโต๊ะลูกค้ากลุ่มหนึ่งใครบางคนที่ผมอยากเจอก็หันมามองพอดิบพอดี

   "อ๊ะ!" เมดสาววัยยี่สิบต้นๆ ในชุดสีน้ำตาลกับผมทรงทวินเทลยิ้มหวานพร้อมโบกมือให้

   "ไอริจัง~" ผมเรียกชื่อเธอเบาๆ ส่งยิ้มทักทายกลับ ถ้าไม่ติดว่าโต๊ะนั้นมีลูกค้าอยู่ผมคงเดินเข้าไปหาแล้ว ตอนนี้เลยทำได้แค่เดินตามน้องเมดไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง

   "รู้จักกันด้วยเหรอ" หย่อนก้นนั่งได้น้องหมีมันก็สะกิดถามผมยิกๆ หน้าตาอยากรู้อยากเห็นแบบปิดไม่มิด

   "อืม รู้"

   "โห ร้ายว่ะ"

   ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หยิบเมนูมาเปิดดูพร้อมกับอธิบายกฎของร้านในน้องหมีมันฟังไปพลางๆ อย่างเช่นห้ามจับตัวน้องเมด ห้ามถ่ายรูปน้องเมด จนเลือกเมนูที่ต้องการได้น้องเมดคนเดิมก็เดินมารับออเดอร์

   ผมจิ้มแพ็กเกจที่สามอย่างไม่ลังเล น้องหมีมันแอบมองผมแล้วก็จิ้มแพ็กเกจที่สามเหมือนกัน ลอกกันนี่หว่า

   พอน้องเมดคนน่ารักรับออเดอร์จากไปแล้วผมเลยหันไปหาไอริจังที่ยังวุ่นวายกับลูกค้าคนเดิมอยู่ เลยได้แต่ส่งกระแสจิตไปหาให้เธอทิ้งไอ้หมอนั่นแล้วมาหาผมเร็วๆ แต่เชื่อเถอะว่ายังไงเธอก็ต้องมาหาผม เพราะผมมันคนพิเศษไง

   "พี่อินๆ"

   "อะไร" แต่ที่มันจะไม่พิเศษก็เพราะมีน้องมันอยู่ด้วยนี่แหละ สะกิดกันจัง

   "อย่าบอกนะที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ คือมาที่นี่"

   โอโห้ เดาได้แทงใจดำแถมตรงประเด็นเผงๆ นี่ขนาดผมเก็บอาการแล้วนะ ถ้ามากับกลุ่มเพื่อนที่ชอบเหมือนกันจะดี๊ด๊ายิ่งกว่านี้อีก

   แล้วทำไม มาบ่อยแล้วมีปัญหาหรือไง

   "อืม"

   "พี่ชอบอะไรแบบนี้เหรอ"

   "ทำไม"

   "มันก็น่ารักดี ไม่เคยเห็นแบบนี้ที่ไทย" น้องหมีมันว่าแล้วหันมองไปรอบๆ ร้าน

   "ที่ไทยก็มีนะ"

   "จริงดิ" แล้วก็หันมาทำตาโตใส่ผม จะตกใจอะไรขนาดนั้น ที่ไทยเองก็มีดินแดนอาโนเนะเหมือนกันนั่นแหละ

   "อืม ไม่ชอบเหรอ"

   "ไม่นะ มันก็โอเค" ยืนยันสีหน้าจริงจังแล้วยิ้มจนตาหยี

   ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นผู้ชาย อายุแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ มีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยใกล้เกษียร ทุกคนต่างเข้ามาหาความสุขให้ตัวเอง ผมก็ใช่ ได้เล่นบทบาทสมมติที่ตัวเองกลายเป็นคุณหนูคุณชายมีเมดสาวสวยคอยดูแล ผมไม่รู้หรอกว่าคนไทยส่วนใหญ่เขาคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้ ไร้สาระหรือเสียเงินไปเปล่าๆ กับน้องหมีเองผมก็ไม่รู้ความคิดน้องมัน แต่ดูจะเป็นไปในทางบวกมากกว่าที่คิด

   ถ้าท่าทางที่น้องมันแสดงออกมาคือความรู้สึกจริงๆ

   รอไม่นานนักเครื่องดื่มสีเขียวก็ถูกนำมาเสิร์ฟโดยน้องเมดคนเดิม แต่ที่นี่ไม่ใช่ว่าของมาเสิร์ฟแล้วจะได้กินเลย ต้องมีพิธีการเสกมนต์คาถาก่อน

   "โออิชิคุนาเระ โมเอะ โมเอะ บีมมม~"

   "เอ่อ..."

   น้องหมีเหวอรับประทานทันทีตอนน้องเมดผายมือให้พูดและทำตามโดยการทำมือเป็นรูปหัวใจโยกไปมาแล้วยื่นไปที่อาหารตอนพูดว่าบีม ที่จริงน้องมันคงอึ้งตั้งแต่เห็นผมทำแล้วล่ะ ปกติไม่เคยอายนะ แต่เห็นน้องมันมองด้วยสายตาแปลกๆ ก็ชักจะเขิน

   ทำไม ไม่เคยเห็นผู้ชายแอ๊บแบ๊วหรือไงวะ

   "ทำตามด้วย"

   "ต้องทำจริงดิ"

   "เออ"

   ตกลงกับน้องหมีเสร็จผมก็หันไปยิ้มให้น้องเมด แล้วการร่ายคาถาเพื่อเพิ่มความอร่อยของอาหารก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง

   "ไฮ เซโนะ โออิชิคุนาเระ โมเอะ โมเอะ บีมมม~"

   เสกคาถาใส่เครื่องดื่มเสร็จน้องเมดก็อวยพรอีกนิดหน่อยแล้วลุกออกไป ผมน่ะชินแล้วกับการทำอะไรแบบนี้ แต่คนที่ไม่ชินก็คนข้างๆ นี่เลย นั่งเขินเกาหัวเกาคอเหมือนโดนเห็บกัด

   "เดี๋ยวข้าวมาต้องทำอีก"

   "พูดจริง"

   "อืม"

   "โอ้ว" ดูท่าน้องหมีมันจะเขินจริงจัง ยกมือขึ้นทำท่าแบบเมื่อเหมือนจะซ้อมแล้วก็ยิ้มเขิน เป็นท่าทางที่มองแล้วต้องหัวเราะ
 
   ผมว่าดีนะที่น้องหมีแสดงอาการออกมาแค่นี้ จะโอเคอย่างที่ปากบอกหรือจริงๆ แล้วไม่ชอบผมก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันดีที่น้องมันไม่ทำท่าทางโอเวอร์หรือพูดเหยียดดูถูกเหมือนบางคนที่ผมเคยเจอมา

   "ฮายยย~ คนนิจิวะ อินซัง"

   ปล่อยให้รออยู่นานสองนานในที่สุดเมดสาวสวยคนพิเศษของผมก็มาเสียที

   ไอริจังเดินมายืนอยู่หน้าโต๊ะพวกผมซึ่งเป็นเคาน์เตอร์บาร์ยาวๆ พื้นด้านหน้าที่ทำไว้ให้สำหรับเมดจะเตี้ยกว่าเพื่อความสะดวกเวลาบริการลูกค้าความสูงจะได้อยู่ในระดับเดียวกันซึ่งมันดีมากๆ ดีพอๆ กับรอยยิ้มของไอริจังในตอนนี้เลย

   ผมคุยกับไอริจังด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบงูๆ ปลาๆ ที่เพียรศึกษามาด้วยตัวเอง เราเคยเจอกันที่ไทยตอนไอริจังเป็นตัวแทนของร้านไปโปรโมทวัฒนธรรมในงานเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ผมเอาน้ำไปให้เธอที่ดูเหมือนจะยังไม่ชินกับอากาศที่ร้อนมากๆ ของเมืองไทยเลยได้ทำความรู้จักกัน หลังจากนั้นถ้ามาญี่ปุ่นผมก็จะแวะมาที่นี่เสมอ ตามเธอในบล็อคกับทวิตเตอร์จนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย

   "ท่านนี้ใครเหรอ" ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนานคุยเพลินจนลืมไปเลยว่าพาน้องหมีมันมาด้วยจนไอริจังถามนั่นแหละถึงได้แนะนำ

   "น้องชายน่ะ มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก"

   "คนนิจิวะ"

   "อะ เอ่อ...คนนิจิวะ" น้องหมีพูดตามไอริจังแบบเก้ๆ กังๆ จะว่าไปแล้วก็ดูน่ารักแบบเด๋อๆ ดี

   หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีอาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ เป็นข้าวห่อไข่หน้าตาน่ากินตกแต่งด้วยผักกระจุ๋มกระจิ๋ม และมีความพิเศษอีกอย่างคือเมดจะวาดรูปบนไข่ให้เราด้วย

   ไอริจังใช้ซอสมะเขือเทศวาดรูปหน้าคนลงบนไข่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร หน้าผมนี่แหละ แม้จะวาดไม่ค่อยเหมือนแต่ยังไงเราก็ต้องชมไว้ก่อน พอเธอวาดเสร็จผมก็ทำหน้าตื่นเต้นแสดงรีแอคชันที่ควรจะเป็นออกไป

   "น่ารักมาก เก่งจังเลย" พูดเสียงเล็กเสียงน้อยไปก็ปรบมือไปด้วย ยิ้มกว้างให้ไอริจังที่ยิ้มหวานกลับมาจนไอ้คนข้างๆ มันมองนี่แหละถึงได้หยุดทำ

   ขอโทษที ลืมตัวไปหน่อย

   น้องหมียิ้มกริ่ม มันต้องกำลังขำผมอยู่ในใจแน่ๆ เล่นทำท่าทางแอ๊บแบ๊วเป็นรอบที่สองตั้งแต่มาถึงคาเฟ่ หมดกันไอ้ที่เก๊กขรึมมาก่อนหน้านี้ แต่มาที่นี่มันก็ต้องทำแบบนี้ดิ อารมณ์ร่วมไงรู้จักไหม ที่น่ารักๆ แบบนี้จะมาทำหน้าโหดมันเข้ากันที่ไหน

   แล้วนี่เมื่อไรจะหยุดยิ้มวะ

   ผมทำหน้าหงุดหงิดใส่น้องมันแก้เขิน ก็เหมือนคนไม่สนิทมาเห็นเราในมุมแปลกๆ มันเลยไม่ชิน รอปรับตัวได้อีกนิดก่อนเถอะผมจะเปิดเผยตัวเต็มที่ จะรับได้หรือรับไม่ได้ก็เรื่องของน้องมันแล้ว เพราะจบทริปนี้ก็แยกย้าย ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม

   หลังจากวาดให้ผมเสร็จไอริจังก็ไปวาดให้น้องหมีบ้าง ส่วนรูป ก็หน้าน้องมันนั่นแหละ ตอนเธอวาดน้องมันก็มองไปยิ้มไป ไอริจังก็เงยหน้าขึ้นมาเหมือนจะให้ทายว่าวาดอะไร ไอ้น้องหมีก็ชี้ตัวเองใหญ่ แล้วก็ปรบมือดี๊ด๊ากันอยู่สองคน

   เออ ปรับตัวเร็วดีนี่ ทีเมื่อกี้มาทำเป็นยิ้มล้อ เดี๋ยวปั๊ดตบคว่ำ

   ทุกครั้งก่อนกินต้องมีการร่ายคาถา ไอริจังตั้งท่า ผมตั้งท่า น้องหมีเหล่มองแล้วตั้งท่าตาม

   "โออิชิคุนาเระ โมเอะ โมเอะ บีมมม~"

   สดใสร่าเริงสมกับเป็นเมดสาวผู้น่ารัก รอบนี้ผมไม่เขินแล้ว ทำเสร็จน้องหมีมันก็หัวเราะ แถมบีนานกว่าผมอีก ท่าทางจะชอบใจ โบกมือบ๊ายบายให้ไอริจังที่ต้องไปดูแลคุณหนูท่านอื่นต่อใหญ่

   "ชอบเหรอ"

   "มันแปลกดี ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน"

   ผมพยักหน้ารับแล้วลงมือกินข้าวห่อไข่ที่มีฝีมือการวาดหน้าผมด้วยซอสมะเขือเทศของไอริจัง รสชาติก็ไม่เท่าไรแต่สุขใจที่มีเมดน่ารักๆ คอยดูแลนี่แหละ

   "จริงๆ ร้านนี้มันก็เหมาะกับพี่อินดีนะ"

   "เหมาะยังไง"

   "ไม่รู้ดิ แต่เหมาะดี"

   ผมได้แต่ส่ายหน้าเลิกเซ้าซี้จะเอาคำตอบ จะเหมาะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ แค่น้องมันไม่ดูถูกสิ่งที่คนอื่นชอบผมก็พอใจแล้ว

   แพ็กเกจที่พวกผมเลือกกันสามารถถ่ายรูปโพลารอยด์คู่กับเมดได้หนึ่งรูป อยากได้คนไหนก็เลือกได้ตามอัธยาศัย แน่นอนว่าผมต้องเลือกไอริจัง ตอนถ่ายก็ทำท่ารูปหัวใจกัน ถ่ายเสร็จเธอก็เอาไปวาดรูปเขียนข้อความให้ ได้มาเก็บเข้าคอลเลคชั่นไว้อีกรูป

   ส่วนน้องหมีหลังจากเล็งอยู่นานก็เลือกน้องคนหนึ่งที่แทบไม่ได้เดินเฉี่ยวมาใกล้โต๊ะพวกเราเลย แถมน้องมันให้เหตุผลว่า 'ดูเหมือนหน้าอกจะใหญ่ที่สุด' เลยอยากถ่ายด้วย ผมล่ะหมดคำจะพูด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาก็น่ารักนะ สูงผม ออกแนวเซ็กซี่หน่อยๆ

   ใช้เวลาอยู่ในเมดคาเฟ่หนึ่งชั่วโมงตามเวลาที่กำหนดก็ได้เวลาต้องลาจาก แถมไอริจังจังแอบมากระซิบบอกผมว่าถึงเวลาที่เธอต้องเลิกงานพอดี ล่ำลากันแล้วเช็คบิลพาน้องหมีออกมาจากร้าน ส่วนไอริจังกว่าจะออกมาก็คงสักพักใหญ่ๆ ใจหนึ่งก็อยากรอแต่ใจหนึ่งก็เกรงใจคนที่พามาด้วย ผมควรจะสนใจน้องหมีมากกว่าจริงไหม

   "ทำอะไรต่อดี" ยกนาฬิกาขึ้นดูเพิ่งจะสองทุ่ม หรือควรจะรีบกลับไปนอนเตรียมตัวลุยวันพรุ่งนี้ดี

   "หิว"

   "อะไร เพิ่งกินมา" ออกจากร้านไม่ถึงห้านาทีบ่นหิว แล้วที่เพิ่งกินไปเมื่อกี้เอาไปไว้ส่วนไหนของกระเพาะวะ

   "งั้นหาอะไรกินที่ซุปเปอร์แล้วกัน" เสนอทางนี้ไปเพราะผมไม่หิว ให้ไปนั่งกินในร้านด้วยคงไม่ไหว

   "โอเค"



   ผมว่าน้องหมีมันตัวโตขนาดนี้ได้คงเป็นเพราะกินทุกอย่างให้หมดอย่างที่บอกไว้จริงๆ ทั้งข้าวห่อไข่ที่เมดคาเฟ่ ของที่ซื้อจากซุปเปอร์ไม่ว่าจะเป็นยากิโซบะ นมกล่องใหญ่ ขนมกินเล่น แล้วก็สตรอเบอรี่อีกกล่องที่แวะซื้อตรงร้านขายผักผลไม้ใกล้ๆ โรงแรม ทุกอย่างนี้ถูกซัดเรียบในมื้อเดียว

   "อิ่ม" ว่าแล้วก็ตบพุงใหญ่ๆ ของตัวเองดังปุๆ

   กินไปเยอะขนาดนี้ถ้าไม่อิ่มก็ให้มันรู้ไปสิ

   "พี่อินกินน้อยตัวเลยโตแค่นี้"

   ฟังแล้วผมอยากจะพุ่งเข้าไปล็อคคอ มองแรงแล้วยังไม่สำนึกมีหน้ามาหัวเราะชอบใจอีก ต่อให้ผมกินเท่าน้องมันก็ไม่ขยายขึ้นข้างบนหรอก ดีไม่ดีออกด้านข้างทำไง ถึงจะหน้าตาดีแต่อ้วนแล้วมันไม่โอเคนะเว้ย

   "พี่อิน"

   ปล่อยให้เงียบได้ไม่นานน้องมันก็เรียกขึ้นมาอีก ผมเลิกคิ้วมองน้องหมีที่นอนผึ่งพุงอยู่บนเตียง จากหมีกลายร่างเป็นงูหลามไปแล้ว

   "พี่อินชอบผู้หญิงแบบพวกเมดเหรอ" แล้วอยู่ๆ ก็ยิงคำถามประหลาดออกมา

   "ก็ใช่"

   จะบอกว่าชอบผู้หญิงแบบสาวๆ เมดเลยก็ไม่เชิง ถ้าหมายถึงผู้หญิงที่คิดจะคบจริงจังผมไม่มีสเปคที่ชัดเจน แต่ละคนที่ชอบไม่ค่อยเหมือนกันสักแนว แต่ถ้าหมายถึงความสุขทางจิตใจใครน่ารักผมก็ชอบหมดนั่นแหละ

   "ถามทำไม"

   "อยากรู้เฉยๆ ตอนเด็กเห็นติดแต่การ์ตูน ไม่คิดว่าจะชอบอะไรแบบนี้ด้วย"

   ฟังแล้วเหมือนได้ย้อนความหลัง ผมติดการ์ตูนญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก โตมากับช่องเก้าการ์ตูนอะไรประมาณนั้น และเพราะสนิทกันเลยลากน้องหมีมันมาดูด้วยแต่น้องมันไม่ได้บ้าขนาดผม ยังจำได้อยู่เลยว่าผมเล่นเป็นยามาโตะ ส่วนน้องมันเล่นเป็นไทจิจากเรื่องดิจิม่อนกัน

   นึกถึงแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ตอนเด็กคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว

   "แล้วพี่อินเริ่มชอบพวกเมดนี่ตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ"

   คำถามยากแฮะ กะจะเปิดโปงกันเลยใช่มั้ย

   ผมมองน้องมันนิ่งๆ กังคิดว่าจะเล่าเรื่องความชอบของตัวเองไปให้มันจบๆ หรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปดี ความจริงมันก็ไม่เสียหายหรอกถ้าจะบอก แต่เราต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวัน ถ้าเกิดน้องมันแหยงผมขึ้นมาจะทำยังไง อึดอัดตาย เที่ยวไม่สนุกกันพอดี

   "งั้นจะเล่าความจริงนะ"

   แค่กริ่นน้องหมีมันทำหน้าตกใจ คงงงว่าอะไรคือความจริง ความจริงก็คืออะไรที่มันซับซ้อนมากกว่าการชอบเมดของผมนี่แหละ

   "อินเป็นโอตาคุ รู้จักมั้ยโอตาคุอ่ะ"

   คนฟังส่ายหน้ารัว ก็ไม่แปลกหรอกที่จะไม่รู้จัก

   "โอตาคุก็คือพวกที่คลั้งไคล้อะไรมากๆ มันก็จะแบ่งเป็นหลายประเภทน่ะนะ ส่วนอินชอบไอดอล ที่มาญี่ปุ่นบ่อยๆ คือมาดูคอนเสิร์ต มาอีเวนท์ งานจับมือ งานวัดเกิดอะไรพวกนี้ เลยไม่เคยไปที่อื่นไกลๆ เลยนอกจากโตเกียว"

   น้องหมีนิ่งไปเลยตอนผมเล่า ไม่รู้อึ้งหรืองงอยู่กันแน่ แต่ทิ้งจังหวะให้ลุ้นได้ไม่นานน้องมันก็ยิ้มออกมา

   "เจ๋งว่ะ"

   ผมจ้องหน้าน้องมันกลับ จากใจแน่ๆ ใช่มั้ยที่พูด

   "ให้มันจริง"

   "ได้ทำในสิ่งที่ชอบมันก็ต้องเจ๋งดิ ยังไงก็เจ๋งกว่าชีวิตแบร์ล่ะวะ"

   "อะไรนะ" ประโยคหลังเหมือนน้องหมีมันพูดกับตัวเองผมเลยได้ยินไม่ค่อยชัด

   "ไม่มีอะไร พี่อินไปอาบน้ำไป ขอนอนย่อยแป๊บ"

   ขี้เกียจเถียงด้วยผมเลยหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ แล้วนอนเป็นหมีขึ้นอืดแบบนั้นมันคงย่อยหรอก อยู่นี่จะขุนจากหมีให้กลายเป็นหมูเลย กลับไทยไปมีน้ำหนักขึ้นแบบไม่ต้องสืบ



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ณัฐฐา ที่ 27-03-2017 19:34:03
น้องหมีน่ารักอะไรขนาดนี้~~~ แต่ตลกพี่อินคนขรึม ฮา  :hao6: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-03-2017 23:15:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-03-2017 18:46:10
พี่อิน เป็นโอตาคุ
น้องแบร์ ตามพี่อินต้อยๆเลย
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 28-03-2017 19:15:22
โมเอะ โมเอะ บีมมมม 555555
น่ารักดี
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 1 [27/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: farhhhh ที่ 28-03-2017 23:17:29
บางทีเราก็รู้สึกเหมือนพี่อินนะ55555
จะฟังเพลงในรถทีก็ต้องเปิดไม่เพลงไทยก็สากล ฟังเพลงอนิเมะไม่ได้ ขี้เกียจตอบคำถามแบบ ติดการ์ตูนหรอ นั่นนู่นนี่ เลยไม่ค่อยได้เสนอตัวเองในภาพลักษณ์คนติดการ์ตูนเลย อึดอัดนะบางที55555
อยากมีคนแบบน้องหมีมาเข้าใจบ้างอ่ะค่ะ ขอน้องหมี 1 ที่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 2 [31/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 31-03-2017 23:08:53


วันที่ 2


   เช้าวันใหม่ในประเทศญี่ปุ่น เสียงนาฬิกาปลุกดังตอนเจ็ดโมง น้องหมีลุกขึ้นไปจัดการธุระส่วนตัวก่อนตามที่ตกลงกันไว้ ส่วนผมก็นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจนน้องมันพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำนั่นแหละถึงได้เยื้องย่างลงจากเตียง
   ว่าแต่น้องหมีมันอาบน้ำด้วยแฮะ
   ผมคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กเดินเข้าห้องน้ำ ใช้พื้นที่แค่บริเวณอ่างล้างหน้าในการล้างหน้าแปรงฟันและปลดทุกข์อีกนิดหน่อย ไม่ถึงห้านาทีก็เดินตัวปลิวออกมา แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เห็นผมยังใส่ชุดนอนตัวแห้งสนิทน้องหมีก็โยนคำถามมาให้ทันที
   "ไม่อาบน้ำเหรอ"
   "ที่นี่ใครเขาอาบน้ำตอนเช้ากัน" ก็อย่างที่บอก คนญี่ปุ่นเขาอาบน้ำตอนเช้ากันซะที่ไหน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม พูดง่ายๆ ก็ขี้เกียจนั่นแหละ มันเสียเวลา ช่วงนี้อากาศเย็นจะตาย ออกเที่ยวทั้งวันยังไม่มีเหงื่อเลย
   "สกปรก ซกมก แสดงว่าตอนเด็กๆ ไปโรงเรียนพี่อินไม่เคยอาบน้ำเลยดิ"
   "ไม่ใช่โว้ย มั่วละ"
   โอ้โห น้องหมีมันเล่นย้อนอดีตไปยันวัยประถม มันต้องมีกันบ้างไหมวะอย่างหน้าหนาวอะไรแบบนี้ แปรงฟันล้างหน้าเอาน้ำลูบแขนลูบขาก็พอ
   "อย่ามา" ทำมาเป็นชี้หน้าจับผิด
   ผมขี้เกียจเถียงด้วยเลยเดินหนี เปิดกระเป๋าหยิบชุดที่จะใส่วันนี้ออกมาเปลี่ยน ส่วนน้องหมีมันก็แค่แกล้งผมเล่นนั่นแหละ พอโดนเมินใส่ก็หัวเราะอยู่คนเดียว อารมณ์ดีมากไหม ท่าทางจะอาการหนัก

   ผมกับน้องหมีออกจากที่พักกันแปดโมงกว่า กะจะหาอะไรกินแถวโรงแรมแต่ปรากฏว่าร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเลยต้องซื้อของในซุปเปอร์กินรองท้องกันไปก่อน
   เป้าหมายแรกในวันนี้ของคือสะพานแว่น สะพานที่ใช้ข้ามไปยังพระราชวังอิมพีเรียล เป็นสะพานหินที่มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลม เมื่อสะท้อนกับผิวน้ำจะมีลักษณะคล้ายแว่นตา ที่นี่น้องหมีเป็นคนรีเควสมาเอง แต่พอมาถึงจริงๆ กลับไม่ถูกใจซะงั้น ถ่ายรูปสองสามแชะได้รูปที่ถูกใจแล้วก็ชวนกันเดินต่อ ซึ่งผมว่าที่นี่มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ นั่นแหละถ้าไม่ได้เข้าไปดูข้างในวังที่เปิดให้เข้าแค่ปีละสองครั้งเอง
   เราเดินเลียบคูน้ำไปทางฝั่งตะวันออกของพระราชวังอิมพีเรียลก็เจอกับสวนซึ่งในอดีตนั้นเป็นที่ตั้งของอาคารปกป้องก่อนถึงตัวปราสาท มีสนามหญ้ากว้าง ต้นไม้หลากหลายชนิด และฐานของหอคอยปราสาทที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ผมพาน้องหมีเดินไปตามแผนที่หาข้อมูลมา เจอต้นซากุระที่ยังไม่ค่อยบานเท่าไร แอบเซ็งนิดๆ แต่ก็ยังมีมุมสวยๆ อยู่เหมือนกัน
   "พี่อินถ่ายรูปมั้ย"
   ผมส่ายหน้ารับ เป็นคนประเภทไม่ค่อยชอบถ่ายรูปเท่าไร ขนาดมาเที่ยวผมยังมีแค่มือถือเลย ถ่ายสองสามรูปให้รู้ว่ามาแล้วก็เก็บมือถือยัดใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิมเพราะอยากใช้ร่างกายซึมซับกับบรรยากาศมากกว่า ผิดกับน้องหมีที่มาพร้อมกับกล้องรุ่นใหม่ราคาแพงที่ได้ข่าวว่าเพิ่งไปถอยมา เก็บทุกรายละเอียด ถ่ายทุกจุดทุกมุมทุกบรรยากาศ ยกเว้นถ่ายตัวเอง
   "แบร์อยากถ่ายมั้ย เดี๋ยวถ่ายให้" ผมแบมือขอกล้องแต่น้องมันส่ายหน้าใส่
   "ไม่เป็นไรๆ"
   มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกทั้งนี่ไม่คิดจะถ่ายรูปตัวเองไว้บ้างหรือไง
   ในเมื่อเจ้าของเขาไม่ให้ใช้กล้องผมเลยใช้มือถือตัวเองแอบถ่ายน้องมันตอนเผลอ รูปไม่ค่อยสวยเท่าไรเพราะถ่ายรูปไม่เป็น ได้แต่ความเป็นธรรมชาติมาเต็มๆ เอาน่า ก็ยังดีกว่าไม่มีรูปเก็บไว้เลย วิวสวยถ่ายยังไงก็ต้องมีความสวยในรูปบ้างล่ะ
   จากสวนตะวันออกพวกเราเดินทะลุจนมาโผล่ที่สวนจิโดริงะฟุจิ สวนที่ตั้งอยู่ระหว่างทางระบายน้ำสองสาย มีเรือพายให้เช่า เป็นสถานที่ชมซากุระอันดับต้นๆ ของโตเกียว แต่เพราะโชคไม่ดี สภาพอากาศไม่เป็นใจ ซากุระที่ควรบานสะพรั่งย้อยระไปกับคูน้ำกลับมีแต่ก้านกับดอกหุบๆ
   "เซ็งว่ะ ถ้ามันบานต้องสวยมากกกกกกก" ผมลากเสียลาวแสดงความเสียดายอย่างสุดซึ้ง เจอแบบนี้มันอดไม่ได้ที่จะบ่นจริงๆ
   ผมยืนเกาะรั้วริมแม่น้ำ มองก้านต้นซากุระแล้วได้แต่ถอนหายใจ ครั้งนี้ผมหวังไว้สูงมาก วางแผนช่วงเวลาไว้อย่างดีว่าจะได้เห็นซากุระบานสะพรั่งเต็มไปทั้งสวนแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ อากาศจะเย็นนานกว่าปกติก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่แผนที่วางมาครึ่งปีมันเปลี่ยนไม่ได้ มาญี่ปุ่นบ่อยก็จริงกลับไม่มีครั้งไหนเลยที่มาตรงช่วงซากุระบานแบบนี้
   "เพิ่งวันที่สองเอง ไม่เจอที่นี่ก็อาจจะไปเจอที่อื่นก็ได้" คำปลอบใจจากน้องหมีฟังแล้วมีพลังขึ้นมานิดหน่อย
   แต่ซากุระเป็นดอกไม้ที่เปราะบางมาก แต่ละปีบานแค่หนึ่งอาทิตย์ไล่ไปตามภูมิภาคจากใต้ขึ้นเหนือ เจอลมเจอฝนนิดหน่อยก็ร่วงหมด บอกตามตรงว่าผมไม่มั่นใจเลยว่าจะได้เห็นภาพสวยๆ เหมือนคนอื่นเขา
   ปลอบใจผมเสร็จน้องมันก็ผละออกไป ผมมองน้องหมีเดินเก็บภาพมุมนู้นทีมุมนี้ทีทั้งที่ซากุระมันมีแต่ก้านแล้วก็อดไม่ได้ต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง แต่ผมเป็นพวกถ่ายรูปไม่สวยแถมไม่เจอบรรยากาศที่หวังยิ่งไม่อยากถ่าย เลยเลือกที่จะเก็บภาพเพื่อนร่วมทริปแทน มาเที่ยวด้วยกันทั้งทีน่าจะเซลฟี่คู่กันสักหน่อย
   "แอบถ่ายเหรอ ขอดีๆ ก็ได้"
   อย่างกับมีจิตสัมผัส น้องหมีดันเห็นมาตอนผมยกกล้องแอบถ่ายทีเผลอพอดีเลยหันมาเก๊กท่าชูสองนิ้วยิ้มตาหยีก่อนเดินเข้ามาหา
   "อยากได้รูปตอนขี้เหล่ไง"
   "ถ่ายยังไงก็ไม่ขี้เหล่หรอก เพราะคนมันโคตรหล่อ"
   คนเรา หลงตัวเองไปอี๊ก   
   "แล้วหิวยัง"
   "หิวมากกกกกก"
   "'งั้นไปฮารากัน"

   จากสวนจิโดริงะฟุจิเราไปต่อกันที่ถนนทาเคชิตะหรือที่ใครๆ ต่างเรียกกันติดปากว่าฮารากุจุ ย่านแฟชั่นที่สาวๆ มาต้องชอบเพราะมีร้านเสื้อผ้าเครื่องประดับน่ารักๆ เต็มไปหมด ของกินเองก็เช่นกัน
   ออกจากสถานีรถไฟเดินข้ามถนนมาก็ถึงที่หมาย คนจำนวนมากมายมหาศาลหลั่งไหลมาที่นี่ ทั้งนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นที่แต่งตัวได้หลุดโลกไม่สนใจใคร ผมปล่อยให้น้องหมีถ่ายรูปตรงหน้าซอยที่ใครมาก็ต้องถ่ายก่อนเดินลงเนินเล็กๆ มาด้วยกัน แต่เดินยังไม่พ้นห้าเมตรน้องมันก็เหมือนจะสนใจบางสิ่งบางอย่างเข้าให้แล้ว
   "ร้านอะไรอ่ะ"
   "พุริคุระ"
   "ฮะ"
   "ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์"
   "น่าสน ไปกันมั้ย"
   "เค้าไม่ให้ผู้ชายเข้า"
   "ทำไมอ่ะ"
   "จะไปรู้เหรอ"
   ผมรีบเดินหนีก่อนที่น้องมันจะเกิดความคิดแผลงๆ ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ที่นี่เขาห้ามผู้ชายเข้า ยกเว้นคนที่มากับแฟน เพราะเหตุผลอะไรผมไม่รู้หรอก เดาเอาว่าเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงล่ะมั้งเลยห้ามผู้ชายล้วนเข้าไป ก่อนหน้านี้ผมเคยถ่ายกับเพื่อนผู้หญิงที่มาดูคอนเสิร์ตด้วยกันครั้งหนึ่ง รูปมันแต่งหลอกตาซะกลายเป็นคนละคน ตาโตปากแดงหน้าใสเวอร์ๆ ไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหน เห็นตัวเองในรูปนั้นยังสะพรึงจนถึงทุกวันนี้
   ที่ทาเคชิตะมีของกินเยอะก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นขนมจุกจิกซะมากกว่า ตลอดทั้งซอยเจออะไรน่ากินก็ซื้อ โดยเฉพาะเครปของเด็ดของที่นี่ เจอร้านน่าเข้าก็แวะ เดินกันจนสุดซอยก็วนไปทางโอโมเตะซันโดถนนที่อยู่ติดกันมาโผล่สี่แยกเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปคือศาลเจ้าเมจิ
   เดินข้ามถนนข้ามสะพานมาเจอกับโทริอิต้นใหญ่ ปากทางเข้าสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางเมืองหลวงในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีความทันสมัย เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่หากมาโตเกียวผมจะแวะมาทุกครั้ง
   ผมกับน้องหมีแยกย้ายกันไปถ่ายรูปในมุมที่ต้องการ ผมถ่ายมาได้หนึ่งรูปก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ายืนรอน้องมันใกล้ๆ กับเสาต้นยักษ์ที่หนึ่งคนโอบไม่มิด ผมชอบที่นี่นะ มาทีไรก็รู้สึกร่มรื่น มองไปเห็นต้นไม้ใหญ่ มันให้ความรู้สึกร่มเย็นคล้ายกับป่า เป็นสถานที่ที่ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ในเมืองหลวง
   "ไปกัน" ถ่ายรูปจนพอใจน้องหมีก็เดินกลับมาหา ยิ้มตาปิดพยักหน้าให้ผมก่อนเราจะออกเดินไปพร้อมกัน
   ระยะทางจากปากทางเข้าไปถึงตัวศาลเจ้าค่อนข้างไกลเอาเรื่อง แถมทางเดินยังเป็นพื้นหิน ดูเหมือนจะลำบากแต่เพราะบรรยากาศร่มรื่นของที่นี่ทำให้ลืมเรื่องระยะทางไปเลย อากาศเย็นมากจนเริ่มหนาว หนาวจนผมต้องกระชับเสื้อชุกมือไว้ในกระเป๋า
   "หนาวเหรอ"
   "นิดนึง"
   "ขี้หนาวเหมือนเดิม"
   "ใครมันจะไปหนังหนาเหมือนแบร์"
   "อุ่นดีนะ มา ให้ยืมจับมือ"
   "โน" งานนี้ปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด น้องมันก็หัวเราะคิกคักได้ใจที่แกล้งผมได้ นี่ถ้าบ้าจี้ยอมจับจริงๆ ขึ้นมาบอกเลยน้องมันนั้นแหละจะไปต่อไม่ถูก
   พูดถึงเรื่องขี้หนาวแล้วคิดถึงสมัยเด็ก ช่วงเช้าในฤดูหนาวของกรุงเทพฯ อุณหภูมิอยู่ในช่วงยี่สิบต้นๆ ซึ่งถือว่าหนาวแล้วสำหรับผม แต่ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายทำให้ไม่ชอบใส่เสื้อกันหนาวบวกกับความเชื่อที่ว่ากรุงเทพฯ มันไม่หนาวแม้จะเป็นหน้าหนาวก็เถอะ เวลาไปโรงเรียนตอนเช้าก็จะขนลุกอยู่บนรถจนน้องหมีสละเสื้อกันหนาวมาให้ใส่บ่อยๆ เป็นคุณงามความดีที่ผมยังซาบซึ้งใจมาจนถึงทุกวันนี้
   เดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าทางเข้าศาลเจ้าจะเจอกับบ่อน้ำสำหรับชำระล้างก่อนเข้าไปในเขตศักดิ์สิทธิ์ ผมทำให้น้องหมีดูเป็นตัวอย่าง มือขวาจับกระบวยตักน้ำล้างมือข้างซ้ายจากนั้นสลับมาล้างข้างขวา เปลี่ยนมาใช้มือขวาจับกระบวยมือซ้ายรองน้ำล้างรอบปาก ล้างมือซ้ายอีกแล้วตักน้ำใหม่เพื่อล้างด้ามจับกระบวยเป็นอันเสร็จ
   "ฝากกล้องหน่อย ถ่ายรูปให้ด้วย"
   น้องหมีมันเอากล้องมาคล้องคอพร้อมออกคำสั่ง ผมก็จัดให้ถ่ายรูปทุกกิริยาท่าทางอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ ตักน้ำขึ้นมาระหว่างทำน้องมันก็หันมาถามผมตลอด สรุปที่ทำให้ดูเมื่อกี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสินะ
   ผ่านการชำระล้างเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้าไปข้างใน แต่พอก้าวผ่านประตูเข้ามาผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปจากทุกที เพราะตรงหน้าอาคารมีผู้ชายใส่ชุดองเมียวยืนอยู่สองคน แถมมีคนมุงอยู่ด้านหน้าด้วย
   ใจผมเริ่มแรงขึ้นมาเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ เดินนำเข้าไปใกล้หยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องรอ จนเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดแบบดั้งเดิมของศาลเจ้าชินโตเดินออกมา ใช่เลย ใช่แน่ๆ
   พิธีแต่งงาน
   "แบร์ๆ ถ่ายรูป" ผมตีแขนน้องหมีด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สองขาก้าวตามคู่บ่าวสาวที่กำลังเดินขบวนไปตามพิธี หามุมสวยๆ กดชัตเตอร์เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสองสามรูป ก่อนลดกล้องลงใช้สองตาเก็บภาพความทรงจำมองดูขบวนพิธีเดินหายเข้าไปในตัวอาคาร
   นับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ทำให้ใจเต้นแรงและรู้สึกดีจนหุบยิ้มไม่ได้ ผมคิดมาตลอด คิดว่าสักครั้งหนึ่งที่มาที่นี่จะได้เห็นพิธีแต่งงานด้วยตาตัวเองสักครั้ง และมันเป็นจริงแล้วในวันนี้
   "ลัคกี้แบร์ว่ะ" ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมทริปแต่น้องมันกลับทำหน้าเอ๋อใส่
   "แบร์อ่ะนะ"
   "อืม ลัคกี้แบร์ พามาครั้งแรกก็โชคดีเลย อยากเห็นมานานแล้วงานแต่งงานที่นี่ มาตั้งหลายทีไม่เคยเจอเลย ไหนเอารูปมาดูหน่อย"
   "อ่ะ อืมๆ"
   ดูเหมือนน้องหมีจะงงที่ผมพูดรัวใส่แต่ก็ยอมเปิดรูปในกล้องให้ดู มีแต่สวยๆ ทั้งนั้น ฝีมือการถ่ายรูปไม่ใช่เล่นๆ เลย
   "พี่อินชอบงานแต่งที่นี่เหรอ"
   "อืม เคยอ่านเจอในรีวิวแล้วอยากเห็นบ้าง อาจจะเป็นเพราะแบร์ก็ได้เลยได้เจอ"
   "แบร์เนี่ยนะ"
   "ก็ใช่ไง ลัคกี้แบร์"
   ผมยังยืนยันคำเดิมกับน้องหมีผู้นำพาโชคดี บางทีการที่ได้น้องมันมาเป็นเพื่อนร่วมทริปโดยไม่ได้ตั้งใจอาจจะทำให้ทริปนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ ก็ได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละที่ผมคิดว่ามันพิเศษ
   "ดีแล้ว" เสียงทุ้มๆ ของคนตัวโตกว่าดังอยู่บนหัว
   ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นรอยยิ้มหวานๆ บนใบหน้าหล่อๆ มาญี่ปุ่นแค่วันที่สองจำเป็นต้องยิ้มได้แบ๊วขนาดนี้เลยไหม ติดมาจากน้องเมดเมื่อวานหรือยังไง เห็นแล้วมันชวนให้รู้สึกแปลกๆ จนต้องรีบยื่นกล้องคืนให้แล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
   "ไปขอพรกันดีกว่า"

   ขากลับจากศาลเจ้าเมจิพวกเราก็เดินเอ้อระเหยออกกันทางเดิม จุดหมายต่อไปคือชิบูย่า ย่านฮอตฮิตของวัยรุ่นกับห้าแยกในตำนาน ขึ้นรถไฟมาสถานีเดียวก็ถึง โผล่ออกมาจากสถานีได้ก็เจอกับจำนวนผู้คนมหาศาลกับอีกหนึ่งสัญญาลักษณ์สำคัญของที่นี่
   รูปปั้นน้องหมาฮาจิโกะ
   น้องหมาผู้ซื่อสัตย์ที่มานั่งรอเจ้านายหน้าสถานีสถานีชิบูย่าหลังเลิกงานทุกวัน จนวันที่เจ้านายมันเสียชีวิตและไม่ได้กลับมาที่สถานีรถไฟอีก แต่ฮาจิโกะก็ยังเฝ้ารอเจ้านายของมันที่เดิมเวลาเดิมทุกวันเป็นเวลาเก้าปีจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของมัน
   ผมพาน้องหมีไปดูรูปปั้นฮาจิโกะที่อยู่หน้าสถานี มารอบก่อนผมได้รูปคู่ไปแล้วเพราะเพื่อนไล่ให้มาถ่าย โพสท่ากอดเจ้าฮาจิโกะได้ไม่เกรงใจฟ้าดินจนคนมองกันเป็นแถว แต่อายที่ไหน ยังไงก็ไม่มีใครจำได้อยู่แล้ว
   "ถ่ายรูปคู่มั้ย" เอ่ยถามเพื่อนร่วมทริปที่รัวชัตเตอร์ไปแล้วหลายรูป แต่คำตอบที่ได้คือการส่ายหน้า
   "ไม่เอาอ่ะ"
   "ไปเลยเร็วๆ" แต่ผมยอมที่ไหน ผลักไสไล่ส่งเต็มที่ เอากล้องตัวเองนี่แหละถ่ายให้
   น้องหมีหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมแต่ก็ยอมเดินไปยืนข้างรูปปั้นฮาจิโกะ โพส่ทายืนตรงเคารพธงชาติกับชูสองนิ้วแล้วยิ้มตาเป็นขีด ผมเลยรีบกดชัตเตอร์จนได้ท่าเดิมๆ มาหลายรูป
   "ได้ยัง"
   "ได้แล้วๆ"
   น้องมันรีบวิ่งมาหาจนผมเกือบหลุดขำ อะไรจะเขินขนาดนั้น หรือว่าไม่ชอบโพสท่าถ่ายรูปในที่ที่คนเยอะๆ แบบนี้
   "อายอะไร"
   "คนเยอะ" นั่นไง จริงด้วย
   "ไม่มีใครเขาสนใจหรอกน่า มัวแต่อายเดี๋ยวก็อดอะไรดีๆ หรอก"
   น้องหมีมันมองผมเหมือนจะอึ้งไปนิดๆ ที่พูดจาดูมีสาระก็เป็นด้วย
   "แล้วพี่อินไม่ถ่ายเหรอ"
   "เคยแล้ว ปะ เดี๋ยวพาไปข้ามถนนเล่น"
   น้องหมีเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใส่ตอนผมพาไปยืนรอข้ามทางม้าลายที่ห้าแยก อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของโตเกียว ภาพสะท้อนความวุ่นวายของมหานคร ใครมาชิบูย่าถ้าไม่ได้มาข้ามถนนเล่นคือมาไม่ถึง แต่เชื่อไหมว่าคนเดินสวนกันเยอะขนาดนี้กลับไม่มีใครเดินชนกันเลย
   ยืนรอสักพักพอสัญญาณขึ้นไฟเขียวฝูงชนก็เริ่มออกเดิน ผมเห็นน้องหมีเอากล้องขึ้นมากดถ่ายวิดีโอดูตื่นตาตื่นใจกับจำนวนผู้คนจนตาแทบไม่ได้มองทางเลยคว้าแขนน้องมันมาจูง แล้วดูแววตาตื่นๆ ที่หันมามองกันสิ ไม่รู้จะตกใจอะไร
   "มองทางหน่อย"
   ได้ผมเตือนสติน้องหมีก็ยิ้มตอบ ปล่อยให้ผมจูงไปจนถึงอีกฝั่งแล้วตัวเองถ่ายคลิปไป อย่างกับผู้ปกครองพาเด็กมาเที่ยว
   จุดประสงค์ของการมาชิบูย่าคือกินกับช็อปปิ้ง เพราะวันนี้เรายังไม่ได้กินอาหารหนักๆ สักมื้อผมเลยพาไปกินราเมงข้อสอบแก้หนาว อิ่มจนพุงกางก็ไปเดินช็อปปิ้งกันต่อ
   ปกติแล้วผมไม่ใช่สายช็อปยกเว้นของที่เกี่ยวกับไอดอล ร้านที่แวะไปเลยมีแค่ทาวเวอร์เรคคอร์ดกับร้านสึทะยะ ส่วนที่เหลือให้น้องหมีนำ อยากแวะร้านไหนก็แวะ ผ่านไปสามชั่วโมงก็ได้ของมาเต็มสองมือ
   "เหนื่อย" ช็อปเสร็จแล้วบ่นเหนื่อย ให้มันได้แบบนี้ดิคนเรา
   ผมกับน้องหมีนั่งพักขากันที่ข้างตึก 109 ที่เพิ่งเดินออกมากัน ตึกที่ว่าเป็นตึกขายเสื้อผ้าผู้หญิงที่ผมบอกไปปุ๊บน้องหมีมันขอแวะปั๊บแล้วก็ได้ชุดผู้หญิงมาหนึ่งชุด แถมทำเป็นกั๊กไม่ยอมบอกด้วยว่าซื้อไปให้ใคร ถ้าให้ผมเดาต้องซื้อไปให้แฟนชัวร์ๆ
   เห็นถุงที่วางกองกับพื้นเหมือนโดนผีเข้าให้ซื้อมาแล้วเริ่มหนักใจ พะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือแบบนี้จะไปต่อไหวเหรอ หิ้วแขนหลุดแน่ๆ ผมหมายถึงน้องหมีนะ เพราะของผมมีแค่ถุงใบเดียว
   "เพิ่งจะห้าโมง กลับโรงแรมก่อนมั้ย เอาไว้สักทุ่มนึงค่อยออก" ผมเสนอทางที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด
   ที่หมายต่อไปของวันนี้คือแม่น้ำเมกุโระ สถานที่ชมซากุระยอดฮิตอีกแห่งของโตเกียว ไฮไลท์อยู่ไลท์อัพตอนกลางคืน มีการประดับโคมไฟที่ต้นซากุระซึ่งปลูกเรียงรายสองข้างแม่น้ำ ในรูปที่ผมเห็นมันสวยมาก เลยอยากไปดูด้วยตาตัวเองสักครั้ง
   "ดีๆ จะได้เอาของไปเก็บ"
   ตกลงกันได้เราก็เคลื่อนที่ไปยังสถานีรถไฟ แขนขาล้าหมดเรี่ยวแรงจะเดิน ต้องไปพักร่างเอาแรงสักนิดก่อนออกตะลุยยามราตรีกันต่อ


TBC.


นี่นิยายหรือรีวิวพันทิป ฮ่า จะเบื่อกันมั้ยเน้อ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 2 [31/03/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-04-2017 00:13:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 01-04-2017 19:00:27


คืนที่ 2


   มีแต่ก้าน
   ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ยังไงดี หนาว เคว้งคว้าง หว่าเว้ ลมพัดแรงจนผมเสียทรง ได้แต่กระชับเสื้อหนาวแล้วถอนหายใจยาวๆ
   แห้วอีกแล้ว ไม่สมหวังอีกแล้ว แม้แต่ที่แม่น้ำเมกุโระก็ไม่มีซากุระบานสักดอก
   ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพความช้ำใจอย่างปลงตก ก้านของต้นซากุระกับโคมไฟสีชมพูที่ประดับไปตามความยาวของแม่น้ำ มองดูแล้วเหงาจับใจ
   "ไปไหนต่อดี" ยืนเท้าขอบสะพานเอ่ยถามอย่างหมดแรง อุตส่าห์เดินลงเนินจากสถานีรถไฟมาตั้งไกล ถึงจะพอรู้ชะตากรรมจากตอนกลางวันมาแล้วก็เถอะ แต่ก้านโล้นๆ ไม่มีดอกใบผสมแบบนี้มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ
   "กินข้าว" ส่วนไอ้น้องคนนี้ก็ชวนกินตลอด ไม่ได้สลดตามผมเลย
   "โอเค งั้นไปชินจูกุกัน"

   ชินจูกุเป็นอีกย่านช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียง ใครมาเที่ยวโตเกียวต้องมาที่นี่เพราะมีครบทุกอย่าง และด้วยความกว้างขวางของมันผมเลยไม่ค่อยช่ำชองย่านนี้เท่าไร เคยไปร้านไหนก็จะอยู่แค่แถบนั้น ร้านอาหารที่เคยไปกินก็จำไม่ได้ ร้านไหนดังก็ไม่รู้ เรียกว่าผมไร้ประโยชน์สำหรับย่านนี้ก็ว่าได้
   "แบร์อยากกินไร"
   "จริงๆ อยากกินแค่ซูชิ"
   "อย่างอื่นๆ" ผมส่ายหน้าใส่
   เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปกินซูชิวันพรุ่งนี้ อีกอย่างผมกินของดิบไม่เป็น เกิดมากินซูชินับครั้งได้และไม่เคยกินที่ญี่ปุ่น โดนพ่อแม่พี่น้องบ่นเรื่องนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้น้องหมีขอร้องอ้อนวอนเลยจะพาไป ถือซะว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของผมด้วย กลับไปจะได้ไม่โดนใครว่าว่ามาเสียเที่ยวอีก
   "งั้นกินอะไรก็ได้ แต่พี่อินพาแบร์ไปที่ที่หนึ่งหน่อยดิ" ขอเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วยิ้มจนตาหยี แปลงร่างเป็นลูกหมีกัมมี่แบร์ น่าจับใส่ปากแล้วเคี้ยวๆ กลืน
   "อะไร" บอกก่อนว่าผมไม่ค่อยไว้ใจคำขอน้องมันเท่าไร จากรอยยิ้มอันมีเลศนัยนั่น ถ้าเป็นที่ไม่ดีไม่พาไปนะเว้ย ชินจูกุยิ่งขึ้นชื่ออะไรแบบนี้อยู่
   "เซ็กช็อป"

   หลังจากเต็มส่วนว่างในท้องด้วยชาบูชุดใหญ่น้องหมีก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ยิ้มหน้าระรื่นชวนผมคุยไม่หยุด เรื่องคุยก็ไม่พ้นร้านที่เรากำลังมุ่งหน้าไป
   กล้าขอมาผมก็กล้าพาไป
   "เพื่อนมันฝากซื้อถุงยาง 0.01 พี่อินเคยเห็นป่ะ"
   "เคย" มันก็มีหมดนั่นแหละ 0.01 0.02 แบบเรืองแสงได้ หรือแบบผิวขรุขระ ทำมาเป็นบอกว่าเพื่อนฝากซื้อ จริงๆ แล้วคงซื้อไปใช้นั่นมากกว่ามั้ง
   "ไปบ่อยอ่ะดิ" น้องมันชี้หน้าทำท่าล้อ แต่ผมไม่อายไง
   "ก็ใช่"
   "แหน่ะๆ ไปซื้อไร"
   "เยอะแยะ อยากได้อะไรก็บอก เดี๋ยวแนะนำให้"
   "เห็นหน้าซื่อๆ แต่ร้ายนะครับ ขอคาราวะอาจารย์"
   น้องหมีทำท่าโอเวอร์แอคติ้งจนต้องส่ายหน้าใส่ เล่นใหญ่ไปไหม แล้วอย่างผมเนี่ยนะหน้าซื่อ อีกอย่างไอ้ของพวกนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ ร้านนี้มาแถวนี้ทีไรก็แวะ ไม่ได้ซื้อทุกครั้งแต่มันมีอะไรแปลกตาให้ดูเยอะดี หรือบางทีซื้อเก็บไว้เล่นคนเดียวก็ไม่เสียหาย
   เดินยังไม่ทันถึงหน้าร้านเสียงเพลงไทยลูกทุ่งก็ดังลอยมา น้องหมีทำหน้าเหลอหลาเลิกคิ้วสูง ผมเลยช่วงสงเคราะห์ชี้หน้าร้านให้ดู
   "เปิดเพลงไทยด้วย เห็นหมีหนูมั้ย เห็นหมีหนูมั้ย" พูดอย่างเดียวไม่พอมียังดัดเสียงร้องแถมเต้นได้กวนบาทาสุดๆ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องผมเตะเสยปลายคางไปแล้ว ถ้าเตะถึงน่ะนะ
   ร้านที่ผมพามานี้ชอบเปิดเพลงไทยเป็นประจำ หน้าร้านแขวนพวกชุดคอสเพลย์ไว้ ดูไปแล้วก็คล้ายร้านขายชุดนักเรียนที่เมืองไทย แต่พอเดินเข้าไปก็เจอชั้นวางขายถุงยางอยู่ทางซ้ายมือก่อนเลย
   "อยากได้แบบไหนก็เลือกเลย"
   "โอ้โห"
   ผมกอดอกยืนมองน้องหมีมันหยิบถุงยางกล่องหนึ่งขึ้นมา พลิกหน้าพลิกหลังแล้วก็หันมายิ้มให้ ถูกใจล่ะสิ ก็ทั้งชั้นสูงท่วมหัวน่ะ ถุงยางหมดเลย
   "อะไรอ่ะ อ่านไม่ออก" หัวเราะแฮะๆ จับกล่องถุงยางด้วยสองมือยื่นมาให้ผมดูอย่างกับเป็นพรีเซ็นเตอร์
   "เรืองแสง แบบแท่งไฟอ่ะ"
   "เออ เจ๋ง" พึมพำกับเจ้ากล่องนั้นแล้วน้องมันก็ถือไว้เลย ไหนบอกเพื่อนฝากซื้อ 0.01 ไง สงสัยเก็บไว้ใช้เองหมดชัวร์
   0.01 0.02 เรืองแสง ผิวขรุขระ ลายน่ารัก ผมเห็นน้องมันหยิบมาหมดเลยอาสาไปเอาตะกร้ามาให้ใส่ก่อนเดินวนไปโซนอีก น้องหมีมันจับดูของทุกชิ้นที่แปลกๆ ชุดคอสเพลย์ก็ดูอยู่นานโดยเฉพาะชุดคุณพยาบาลรัดติ้ว แบบนี้มันต้องแซวสักหน่อย
   "ซื้อไปให้แฟนใส่ดิ"
   "ใส่ไม่ได้หรอก"
   "ทำไม แฟนอ้วนอ่ะดิ"
   "เพราะแฟนไม่มีต่างหาก"
   "อย่ามาอำ" แฟนไม่มีอะไร เมื่อสองเดือนก่อนยังขึ้นสถานะกำลังคบหาอยู่เลย ถึงผมจะไม่เคยเห็นหน้าแฟนน้องมันก็เถอะ
   "ไม่มีครับ เลิกแล้ว" หันมาตอบด้วยหน้านิ่งๆ จนผมรู้สึกผิด แต่มันเพิ่งสองเดือนเองนะ ทำไมถึงเลิกกันเร็วจัง
   "ขอโทษนะ อินไม่รู้"
   "เฮ้ย! อย่าทำหน้างั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย มันไม่ใช่ก็ต้องเลิกนั่นแหละ"
   "ตอนนี้โอเคแล้วใช่มั้ย"
   "ท่าทางแบร์เหมือนคนอกหักขนาดนั้นเลยเหรอ"
   "ไม่อ่ะ" ไม่เหมือนเลย ไม่เหมือนเลยสักนิด ถ้าดูออกผมคงไม่เด๋อถามคำถามแบบนั้นออกไปหรอก
   "งั้นก็เลิกทำหน้าสลด อยู่กับพี่อินตอนนี้แบร์มีความสุขดี" น้องมียกยิ้มบางๆ  มันดูไม่เสแสร้งว่าโอเคผมเลยอุ่นใจที่จะยิ้มตอบกลับไป
   ความสบายใจกลับมาพร้อมๆ กับเสียงดังตุ้บในตะกร้าที่น้องหมีถืออยู่ มองตามไปก็เห็นชุดนางพยาบาลวางอยู่ในนั้น ตอนนี้ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่าน้องมันคงโอเคมากๆ
   "อย่าบอกนะว่าเพื่อนฝากซื้ออีก"
   "เปล่า ใช้เอง"
   ไดแต่แสยะยิ้มตอนฟังคำตอบ ไม่คิดมันแล้วปวดหัว จะใช้เองหรือเอาไปให้คนอื่นใช้ก็เรื่องของมันแล้วกัน
   เดินวนชั้นหนึ่งเสร็จเราก็ลงชั้นใต้ดิน เดินดูกันไปเรื่อยเปื่อยจนน้องหมีไปเจอของน่าสนใจเข้า น้องมันยืนมองนิ่งๆ อยู่สักพักก่อนเดินถอยออกมา ไม่ถามไม่พูดอะไรอย่างทุกที ซึ่งมันน่าแปลก
   "รู้มั้ยมันใช้ทำอะไร"
   น้องหมีพยักหน้ารับแล้วถามผมกลับ
   "แล้วพี่อินรู้มั้ย"
   "รู้ดิ"
   เรามองหน้ากันนิ่งๆ เพราะต่างคนต่างรู้ว่าไอ้นั่นมันคืออะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ เราควรจะเฮฮากันกว่านี้นะ หรือไม่ก็พูดเล่นกันเหมือนตอนดูของอย่างอื่น
   "อยากลองหรือไง" ผมแกล้งถาม
   "อยากลองให้คนอื่นมากกว่า" น้องหมียักไหล่มองตาผมกลับ
   อยู่ๆ ผมก็รู้สึกใจหายแวบ จะไม่ตกใจเลยถ้าของที่ว่านั่นมันไม่ได้เอาไว้ใช้สำหรับช่องทางข้างหลังของผู้ชาย แล้วไอ้สีหน้าจริงจังนี่หมายความว่ายังไง มองกันแบบนี้คนอื่นที่ว่าคงไม่ได้หมายถึงผมใช่มั้ย
   "ทำหน้าระแวงจัง ล้อเล่น" ว่าแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน
   "มุกคุณน้องจะตลกไปแล้วนะครับ"
   "พี่อินไม่ชอบอะไรแบบนี้เหรอ แบร์หมายถึง พวกเกย์" น้องหมีดูลังเลที่จะถาม สีหน้าก็ดูลุ้นกับคำตอบ
   ผมไม่เข้าใจหรอกว่าอยู่ๆ ทำไมน้องหมีถึงถามอะไรแบบนี้ หรืออาจเป็นเพราะท่าทางระแวงที่ผมแสดงออกไป แต่ผมเป็นพวกความคิดเปิดกว้างอยู่แล้ว ใครจะชอบอะไรหรือเป็นแบบไหนมันก็เรื่องของเขา พวกรักร่วมเพศก็ด้วย ผมน่ะรับได้ เมื่อกี้แค่ตกใจที่น้องมันทำหน้าจริงจังเฉยๆ
   "เปล่า"
   น้องหมียิ้มจนตาหยีตอนได้ฟังคำตอบ ยิ่งทำให้ผมไม่เข้าใจไปกันใหญ่ อะไรจะอารมณ์ดีขนาดนั้น
   "แล้วจะซื้ออะไรอีกมั้ย"
   น้องหมีก้มดูของในตะกร้าแล้วส่ายหน้า ผมว่าก็ควรพอได้แล้วล่ะ คงจะพอใช้ไปอีกนาน
   "ไปจ่ายตังค์"
   ผมดันหลังน้องหมีให้เดินกลับขึ้นไปข้างบน จ่ายเงินให้เสร็จๆ จะได้กลับโรงแรมสักที ดูนาฬิกาแล้วเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่าที่แม่น้ำเมกุโระซะอีก พูดถึงแล้วก็ช้ำใจ

   เรากลับมาถึงสถานีอิเคะบุคุโระราวๆ สามทุ่มพร้อมถุงหิ้วสีดำที่บรรจุของจากเซ็กช็อปมาเต็มถุง เป็นของน้องหมีล้วนๆ ไม่มีของผมปนแม้แต่อย่างเดียว คนซื้อก็ท่าทางอารมณ์ที่ได้ของถูกใจ ผมล่ะอยากเห็นคนที่น้องมันจะเอาไปใช้ด้วยจริงๆ
   ที่สถานียังคงคึกคักแม้จะดึกแล้วก็ตาม มนุษย์เงินเดือนในชุดสีเข้มเดินสวนกลับไปมาอย่างรีบเร่ง ร้านค้าร้านขนมเริ่มทยอยปิดกันไปบ้างแล้ว ผมเองก็ง่วงแล้วด้วย ขาก็เริ่มปวด วันนี้เดินมาทั้งวันอยากรีบกลับไปอาบน้ำเอาขาแช่น้ำอุ่นทายาแล้วนอน เพราะพรุ่งนี้ยังต้องเดินกันอีกไกล
   "พี่อินๆ"
   คิดว่าอยากรีบกลับไปนอนแต่แล้วก็มีคนขัด ตัวผมแทบจะเซไปตามแรงดึงจากเพื่อนร่วมทริป ถ้าเหตุที่ทำให้ต้องเสียเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นดีไม่พอนะผมจะปลดน้องมันออกจากการเป็นลัคกี้แบร์ตอนนี้เลย
   "อะไร"
   "กินอันนั้นกันมั้ย"
   ชวนกินอีกแล้ว ชาบูชุดใหญ่ที่เพิ่งกินมาไม่ถึงสองชั่วโมงเอาไปยัดไว้ไหนหมด
   "พี่อินรอแป๊บนึง"
   ถามแล้วก็ไม่ต้องรอให้ผมตอบน้องมันก็จัดการวิ่งไปซื้อมาเรียบร้อย เป็นวาราบิโมจิกลองใหญ่ที่ผมว่ายังไงคืนนี้ก็คงกินไม่หมด แต่ถ้าเป็นน้องหมีกินก็คงไม่แน่เหมือนกัน
   
   เดินกลับมาถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเป็นอย่างแรก แต่นอนนานไม่ได้เดี๋ยวจะเพลินแล้วหลับไปก่อนเลยต้องเด้งตัวขึ้นจากที่นอนหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ ส่วนน้องหมีเข้ามุมจัดของที่กองรกไว้จนไม่มีที่จะวาง แค่วันที่สองก็ช็อปหนักจัดเต็ม กระเป๋าเดินทางที่เอามาแค่ใบเดียวไม่พอใส่แน่ๆ
   จัดการตัวเองเสร็จผมก็ไล่น้องหมีเข้าไปอาบน้ำต่อ น่าแปลกตรงที่ของทุกอย่างถูกยัดเก็บใส่กระเป๋าแล้วเป็นที่เรียบร้อย สิริรวมเวลาที่ผมอาบน้ำกับน้องมันเก็บของไม่ถึงสิบนาที แถมเตียงฝั่งน้องมันยังดูเป็นระเบียบกว่าฝั่งที่ของน้อยกว่าซะอีก ดูสะอาดเรียบร้อยกว่าตอนเด็กๆ ขึ้นเยอะเลย
   หลังจากน้องหมีอาบน้ำเสร็จผมก็เข้าไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างแล้วเรียกน้องมันมานั่งแช่ขาด้วยกัน แต่ทำไมตอนลุกวางถึงไม่วางขนมในมือก่อน จะเอาเข้าไปกินในห้องน้ำด้วยหรือไง
   "หยุดกินก่อน"
   "อร่อยนะ พี่อินกินด้วยกันดิ" ไม่ฟังแถมยังมีหน้ามาชวนกินอีก
   แล้วยังไงล่ะทีนี้ ผมก็ต้องปล่อยเลยตามเลยในเมื่อน้องมันถือเข้ามาแล้ว คือบ้านไหนเขาสอนให้เอาของกินมากินในห้องน้ำวะ
   ห้องน้ำแบบสำเร็จรูปที่ว่าเล็กอยู่แล้วยิ่งเล็กไปกันใหญ่มีผู้ชายสองคนเข้ามาพร้อมกัน ผมกับน้องหมีนั่งบนขอบอ่างหันหน้าเข้าหากำแพง หย่อนเท้าแช่ไว้ในน้ำอุ่นเพื่อบรรเทาอาการเมื่อล้าจากการเดินมาทั้งวัน
   นั่งกันเงียบๆ ได้ไม่ถึงสิบวินาทีน้องหมีก็ใช้แขนข้างที่ถือวาราบิโมจิไว้อยู่มาถูแขนผมเป็นการชวนกินรอบที่สอง แต่ผมเพิ่งแปรงฟันไปไง
   "ช่วยกินหน่อย"
   "ไม่เอาอ่ะ"
   "อร่อยนะ"
   "รู้"
   "อ่ะเร็ว อ้าปาก อ้าม" ไม่พูดเปล่ายังหยิบไอ้ก้อนโมจิยื่นๆ มาจ่อปากกันอีก
   เฮ้อ! นี่ผมอยู่กับเด็กประถมหรือไงวะ
   สุดท้ายก็อ้าปากงับไว้ คนป้อนก็ยิ้มได้ใจหยิบใส่ปากตัวเองเสร็จเลยทำท่าจะหยิบชิ้นต่อไปให้ผมต่อจนต้องยกมือห้าม ได้ทีล่ะเอาใหญ่
   "หยุด"
   "ไม่กินแล้วเหรอ"
   "ไม่ต้องป้อน จะกินเดี๋ยวหยิบเอง"
   น้องหมียิ้มตาปิดมาให้ก่อนส่งโมจิชิ้นที่ถืออยู่เข้าปากตัวเอง ดูเป็นคนอารมณ์ดีกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ
   "พี่อิน รู้ตัวป่ะว่าเวลาเอาผมหน้าม้าลงกับเวลาเช็ตผมขึ้นหน้าจะเปลี่ยน"
   "เหรอ" ทำทีเป็นจับผมหน้าม้าชื้นๆ ของตัวเองแล้วตอบรับไปงั้น หน้าตาตัวเองทำไมจะไม่รู้ ทรงผมมันช่วยเปลี่ยนหน้าตาคนได้จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะชมตัวเท่าไร แต่อย่างผมเวลาผมยาวแล้วไว้หน้าม้าหน้าจะเด็กลงดูหน่อมแน้มขึ้น เวลาไว้ผมสั้นหรือเช็ตผมข้างหน้าขึ้นจะหล่อแบบผู้ใหญ่
   "อย่างตอนนี้ดูน่ารักกว่าตอนกลางวัน" ชี้หน้าแล้วบอกด้วยสีหน้านิ่งๆ
   "ขอบคุณ" ผมจะถือว่ามันคือคำชมแล้วกัน
   เรานั่งแช่เท้ากันจนกินวาราบิโมจิหมดทั้งกล่องถึงได้ออกมาจากห้องน้ำกัน เช็ดเท้าทายาแล้วเข้านอน แต่หมายถึงผมคนเดียวนะ เพราะน้องหมีมันยังวุ่นวายอยู่กับกล้องถ่ายรูปของตัวเองอยู่เลย
   "ปิดไฟมั้ย" คนที่ยังไม่นอนร้องถาม
   "ไม่เป็นไรนอนได้" ผมเป็นพวกหลับง่ายอยู่แล้ว นอนบนรถจนชิน จะแสงไฟหรือเสียงดังถ้าง่วงยังไงมันก็หลับ
   พลิกตัวนอนตะแคงดึงผ้าห่มมาคลุมจนเกือบมิดหัวแล้วหลับตา ใกล้จะผล็อยหลับเต็มทีแต่เสียงเตือนจากมือถือดันดังขัดจังหวะการนอนขึ้นมาซะงั้น ผมจะไม่สนใจมันเลยถ้าดังแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่นี่ดังติดกันรัวๆ จนชักสงสัยแล้วว่าใครมันส่งอะไรมาเวลานี้
   เอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อคนร้ายก็เด่นหราอยู่หน้าจอ
   น้องหมี ได้ส่งรูปภาพถึงคุณ
   ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งมองไปเตียงข้างๆ น้องหมีก็รู้ตัวหันมามองแล้วยกยิ้มแหย มันน่าโมโหไหมล่ะจะหลับอยู่แล้วดันโดนกวน แต่ต้องโทษตัวเองด้วยที่ดันลืมเปิดเสียง
   "สร้างอัลบั้มก่อนส่งก็ได้นะ" แนะนำทางเลือกให้แล้วผมก็ทิ้งตัวลงนอนต่อ กดปิดเสียงโทรศัพท์ว่าจะนอนต่อเลยแต่มันก็อดไม่ได้ต้องเปิดรูปที่น้องหมีมันส่งมาให้ดูสักหน่อย ไหนๆ ก็ตาสว่างแล้ว
   รูปผมที่มีฉากหลังเป็นวิวสวยๆ หลายสิบรูปโชว์อยู่เต็มหน้าจอ เป็นรูปทีเผลอที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าน้องมันถ่ายเอาไว้ตอนไหน ตั้งแต่ที่สถานีรถไฟ สะพานแว่นตา ในสวนกับดอกซากุระที่ยังไม่บาน ตอนเดินเล่นที่ฮาราจูกุกับศาลเจ้าเมจิ หลากหลายอิริยาบถที่เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
   ผมมีรูปสวยๆ ไว้เปลี่ยนโปรไฟล์แล้ว
   เห็นรูปที่ตัวเองโดนแอบถ่ายผมเลยส่งรูปที่แอบถ่ายน้องมันไปให้บ้าง แต่ความสวยของรูปมันต่างกันลิบลับ ต่างกันขนาดที่ว่าคนที่อยู่ในรูปถ่ายของผมรีบคอมเมนต์ตอบกลับมาทันที
   น้องหมี : ถ่ายหน้าโคตรเด๋อ
   อิน : โทษหน้าตัวเองเถอะ
    น้องหมีส่งสติ๊กเกอร์หมีทำหน้าจ๋อยกลับมา
   อิน : พรุ่งนี้ตื่นหกโมง
   อิน : รีบนอนเลย
   น้องหมีส่งสติ๊กเกอร์หมีทำท่าโอเคกลับมา ผมเลยส่งสติ๊กเกอร์คนทำท่านอนหลับกลับไป
   มันแปลกดี ทั้งที่อยู่ในห้องกันแค่สองคนแต่กลับส่งไลน์คุยกัน ปกติผมกับเพื่อนจะทำแบบนี้กันเฉพาะตอนจะนินทาใครแล้วคนคนนั้นอยู่ใกล้ๆ แต่ตอนนี้เราไม่ได้จะนินทาใคร ก็แค่ต้องการคุยกัน คุยแบบเงียบๆ เท่านั้น
   "ฝันดี"
   เสียงเหมือนคนบ่นกับตัวเองดังขึ้นมาเบาๆ แต่เพราะห้องมันเงียบผมเลยได้ยินชัดเจน ไม่ได้ยินเสียงคนบอกฝันดีก่อนนอนแบบนี้นานแค่ไหนแล้วผมก็จำไม่ได้ คงตั้งแต่เลิกกับแฟนเมื่อปีก่อนล่ะมั้ง
   ฝันดีเหมือนกัน



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า



หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-04-2017 22:11:15
ชอบมากเลยค่ะะะะะ บรรยากาศญี่ปุ่นมาก เราว่าน้องหมีต้องมีอะไร ไม่น่าเป็นคนใสๆยิ้มตาหยี ต้องมีท่าไม้ตายยิ่งกว่านั้น หรือเราจะคิดไปเอง  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-04-2017 23:22:53
ชักระแวง น้องหมีแอบคิดไม่ซื่อกับพี่แน่เลย
ตอนที่พี่บอกไม่คิดอะไรกับพวกเกย์ ก็ทำท่าดีใจ
หมี ชมพี่ว่าทรงผมเปลี่ยนพี่หล่อขึ้นต่างไป
แสดงว่าแอบเห็นพี่หล่อ น่ารักด้วยละสิ
หมีทำเนียนป้อนขนมพี่ด้วย
แล้วยังแอบถ่ายพี่ทีเผลอซะด้วย
ขำ ที่อยู่ด้วยกันแต่ส่งไลน์คุยกัน ตลกดี
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 01-04-2017 23:39:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 2 [01/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: anntonies ที่ 02-04-2017 21:55:57
แอร๊ยยยยยย สนุกมากกก
เอาจริงสองคนนี้ต้องสนิทกันมากแน่ๆ ขนาดไม่ได้เจอกันหลายปี
ยังไปร้านเซ็กส์ช็อปด้วยกันได้ แถมไม่เขินกันเลย คนอ่านนี่เขินแล้วเขินอีก
ขำตอนที่พี่อินร่ายเวทย์มนต์ อร๊ายยยย โมเอะเว ่อร์
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 08-04-2017 19:14:11

วันที่ 3


   วันนี้เราตื่นนอนกันแต่เช้าเพราะจะออกนอกโตเกียวไปเที่ยวย้อนอดีตสมัยเอโดะที่เมืองคาวาโกเอะ จังหวัดไซตามะกัน ลำดับการตื่นก็เหมือนเมื่อวาน น้องหมีตื่นก่อน ผมตื่นทีหลังเพราะไม่อาบน้ำตอนเช้า และเป็นเพราะได้ผมเป็นแบบอย่างเช้านี้น้องมันเลยไม่อาบน้ำบ้าง

   ช่างเป็นน้องชายที่มีผมเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตโดยแท้จริง

    "พี่อิน"

   ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นน้องหมีนั่งทำหน้าครุ่นคิดอยู่บนเตียง ตอนนี้น้องมันพร้อมแล้วสำหรับการเดินทาง เหลือแต่ผมนี่แหละที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ

   "วันนี้ใส่ชุดนี้ได้มั้ย" แล้วถุงกระดาษใบใหญ่ก็ถูกยื่นมาให้

   ใส่เสื้อเสร็จผมก็เดินไปหยิบมาดู แต่ขอโทษเถอะ นี่มันเสื้อผ้าผู้หญิงที่น้องมันซื้อเมื่อวานตอนไปชิบูย่าไม่ใช่หรือไง แล้วจะให้ผมใส่ไอ้นี่เนี่ยนะ

   "จะเล่นอะไร" ผมยื่นถุงคืน ไม่รู้ว่าเป็นมุกแกล้งอำหรือว่าอะไร แต่ใครมันจะไปใส่

   "แบร์อยากถ่ายสติ๊กเกอร์อ่ะ" ไม่ยอมรับถุงกลับแถมทำตาละห้อยใส่ผมอีก นี่ยังไม่ตัดใจกับพุริคุระอีกเหรอ

   "แล้วจะให้ใส่ชุดนี้เนี่ยนะ คิดได้เนอะ" คิดได้ไม่พอแถมยังเสียเงินซื้อมาอีก ตอนแรกผมก็คิดว่าน้องหมีมันซื้อให้แฟน ที่ไหนได้ อยากจะตะโกนด่าดังๆ ว่าไอ้บ้า!

   "มันก็โอเคนะ ไม่หญิงเท่าไร พี่อินใส่น่าจะเหมาะอยู่" ว่าแล้วก็หยิบชุดออกจากถุงมากางให้ผมดู เป็นเสื้อแขนยาวสีกรมท่าตัวโคล่งกับกระโปรงสั้นจีบรอบสีขาว นี่น่ะเหรอไม่หญิงเท่าไร แค่กระโปรงมันก็ไม่ใช่แล้วมั้ยไอ้น้อง

   "ไม่ใส่" ปฏิเสธเสียงแข็งแล้วผมก็เดินกลับไปมุมของตัวเอง แอบหันไปมองเห็นน้องหมีพับเสื้อผ้าเก็บด้วยสีหน้าเซ็งๆ ดูไปแล้วก็ตลกดี แต่ที่ตลกกว่าก็ความคิดน้องมันนี่แหละ

   "งั้นขออะไรอย่างนึง" เงียบไปสักพักจนผมแต่งตัวใกล้เสร็จข้อแม้ก็ผุดขึ้นมาอีก ไม่ได้อย่างก็จะเอาอีกอย่างงั้นเหรอ

   "อะไร"

   "วันนี้ไม่ต้องเช็ตผมหน้าม้าขึ้นนะ"



   สถานีอิเคะบุคุโระยามเช้ายังคึกคักเหมือนอย่างเคย เรานั่งรถไฟหวานเย็นออกนอกเมืองโดยใช้เวลาห้าสิบนาที แปดโมงนิดๆ ก็มาถึงสถานีคาวาโกเอะ แต่ลิตเติ้ลเอโดะที่เราจะไปกันนั้นต้องไปต่ออีก ทางเลือกมีอยู่สองทางคือรถบัสกับเดิน แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะเลือกอะไร

   แน่นอนว่าต้องเลือกเดินอยู่แล้ว

   ออกจากสถานีเราก็เดินไปตามเส้นทางที่หาข้อมูลมา ปกติผมเป็นพวกชอบเดินอยู่แล้ว ยิ่งเจออากาศเย็นสบายในฤดูใบไม้ผลิกับบ้านเมืองแปลกหูแปลกตายิ่งชวนให้อยากเดินซึมซับบรรยากาศมากกว่านั่งรถบัส แม้คนข้างๆ จะบ่นหิวแล้วหิวอีกก็เถอะ

   "เดี๋ยวถึง CREA MALL ค่อยหาอะไรกิน"

   CREA MALL เป็นซอยสำหรับช็อปปิ้งคล้ายกับทาเคชิตะที่ฮาราจุกุ ซอยนี้ใช้เดินทะลุไปยังย่านโกดังเก่าสมัยเอโดะ มีของขายตลอดทั้งซอยและแน่นอนว่าต้องมีของกิน ผมเลยวางแผนไว้ว่ามาถึงคาวาโกเอะเราค่อยมาหาอะไรกินที่นี่แล้วค่อยไปเดินเที่ยวกัน

   เดินเรื่อยเปื่อยถึงมาถึงหน้าทางเข้า CREA MALL ทว่าสิ่งแรกที่เราพบกลับเป็นความเงียบสงบไม่ต่างจากซอยร้าง ร้านค้าตลอดสองฝั่งทางเดินปิดประตูเงียบกริบยังไม่มีร้านไหนเปิดให้บริการสักร้าน มีเพียงคนเดินถนนไม่กี่คนเดินสวนกันเข้าออกซอย

   หรือว่าจะมากันเช้าเกินไป

   เราหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย รู้ถึงชะตากรรมท้องไส้รางๆ ว่าอาจจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเร็วๆ นี้ก็เป็นได้ แต่ยังไงซะมันก็ต้องมีเปิดสักร้านล่ะน่า อย่างน้อยก็ร้านสะดวกซื้อ

   ผมกับน้องหมีเดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่เงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่เพราะร้านค้าส่วนใหญ่เขาเปิดช่วงสิบหรือสิบเอ็ดโมงกันหมด ความหวังเลยตกไปอยู่ที่โซนเมืองเก่าคุราซุคุริที่เรากำลังมุ่งหน้าไป แหล่งท่องเที่ยวแบบนั้นต้องมีร้านอาหารอร่อยๆ อย่างแน่นอน

   เริ่มเดินเข้าใกล้โซนคุราซุคุริบ้านเรือนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแบบสมัยเก่า ตัวอาคารสองชั้นสร้างด้วยไม้เรียงเป็นแนวยาวตลอดทั้งซอย บวกกับความเงียบสงบยามเช้าเลยสามารถเก็บภาพวิวสวยๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวจะติดใครเข้ามาในภาพ

   "พี่อิน"

   ผมไม่ได้หันไปตามเสียงเรียกเพราะรู้ว่าน้องหมีมันคิดจะทำอะไร เลยทำทีเป็นเดินเก๊กท่ามองดูอาคารบ้านเรือนไปเรื่อยเปื่อย

   จะแอบถ่ายก็ถ่ายเลย เอามุมนี้แหละหล่อสุดแล้ว

   "ทำเป็นเมิน"

   เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นใกล้หูก่อนวงแขนของคนตัวสูงกว่าจะอ้อมมาจากด้านหลังพร้อมกล้องในมือที่หันเลนส์เข้าหา คางแหลมๆ วางลงบนไหล่ผมเบาๆ ก่อนเสียงนับให้สัญญาณจะดังตามมา

   "นึง ส่อง ซั่ม"

   ผมยิ้ม กดคางต่ำจนรู้สึกได้ว่าเนื้อที่คางมากองรวมกันเป็นชั้นๆ แล้วเหลือกตามองบน ได้ยินเสียงชัตเตอร์ดังแชะเจ้าของกล้องก็หัวเราะร่วนก่อนหันกล้องมาเปิดรูปดู

   ทำหน้าอะไรกันวะเนี่ย โคตรตลก

   หน้าผมว่าตลกแล้วหน้าน้องหมีเองก็ไม่ต่าง ทำปากเบี้ยวตาเหล่ หมดกันกับความคูลและความหล่อที่สั่งสมมา นี่เราไม่ได้นัดกันนะว่าจะทำหน้าตาทุเรศทุรังแบบนี้ หรือน้องมันเห็นผมทำเลยทำตาม

   รูปแบบนี้อย่าให้หลุดสู่สาธารณะเลยนะ อายเขา

   "ลบๆ" ผมตั้งท่าจะคว้ากล้องมาลบรูปทิ้ง แต่ด้วยตำแหน่งที่เสียเปรียบแค่ยกมือขึ้นน้องหมีก็ยกกล้องหนีแล้วถอยออกห่าง

   "ตลกดีไม่ต้องลบหรอก" ว่าแล้วก็ยิ้มอารมณ์ดีเดินลัลล้าไปถ่ายรูปมุมอื่น

   ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่ายๆ แล้วเดินตามน้องมันไป เรื่องรูปพวกนี้ผมไม่คิดมากหรอก เบ้าหน้าดีซะอย่างถ่ายรูปตลกโปกฮายังไงมันก็ยังมีความดูดี แต่ถ้าไม่มีคนอื่นเห็นเลยนอกจากเราสองคนมันจะดีที่สุด

   เดินทอดน่องกันมาเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็มาถึงโซนเมืองเก่าคุราซุคุริ ในรีวิวที่ผมอ่านกับรายการที่ผมเคยดูมามันช่างคึกคักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้มันให้บรรยากาศต่างกันลิบลับจนชักไม่แน่ใจแล้วว่ามาถูกที่จริงหรือเปล่า

   "เราคงมาเช้าเกินไป" ผมยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

   เก้าโมงสิบห้านาที นี่ขนาดเดินเอื่อยเฉื่อยมาตั้งไกลเพิ่งจะเก้าโมง บ้านเมืองตอนนี้เลยสงบสุขอย่างกับไม่มีคนอยู่ ถ้าไม่เห็นว่ามีรถวิ่งผมคงคิดว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านร้างไปแล้ว แต่โทษใครได้ที่ไหน โทษตัวเองนี่แหละที่เป็นคนจัดตารางเวลาเอง

   จ๊อกกกกก~

   เหมือนผมได้ยินเสียงท้องใครบางคนร้องนะ

   "ขอโทษ ไม่รู้ว่าร้านมันจะเปิดช้าขนาดนี้" ผมยอมรับผิดก็ได้ คิดว่าสถานที่ท่องเที่ยวร้านค้าจะเปิดเร็วไง ศึกษามาไม่ดีเอง
 
   โป้ก! มโนว่าเคาะกะโหลกตัวเองหนึ่งทีเป็นการลงโทษ

   "ไม่เป็นไร หิวนิดเดียว" พูดเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วยิ้มจนตาปิด

   พูดมาได้หิวนิดเดียว ท้องร้องดังซะขนาดนั้นคงจะเชื่อหรอก น้องมันยิ่งเป็นคนกินเยอะอยู่ เก้าโมงแล้วยังไม่ได้กินข้าวเช้ามันต้องหิวอยู่แล้ว ดูท่าจะหิวมากด้วยแต่ยังเก็บอาการ

   "พี่อินๆ ร้านนั้นเปิดแล้ว" ระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทางอันแสนเงียบสงบน้องหมีมันก็กระตุกแขนผมซะแรงพลางชี้ไปยังถนนฝั่งตรงข้ามที่มีร้านขนมเปิดอยู่

   ไหนเมื่อกี้ว่าไม่หิวไง

   "ไปดูกัน" แล้วผมก็โดนลากไปรอที่ทางข้ามทันที

   พอไฟเขียวน้องหมีก็เดินนำหน้าไปยังร้านที่มีควันฉุยลอยออกมาจากหมอนึ่ง ของที่ขายหน้าตาคล้ายกับซาลาเปาบ้านเราแต่เป็นสีเหลืองเข้ม ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร รู้แค่ว่าน้องหมีมันสั่งไปเรียบร้อยแล้วสี่ลูก

   ซาลาเปาสีเหลืองสองลูกถูกยื่นมาให้ ผมจะควักเงินจ่ายก็เจอน้องหมีทำท่าปางห้ามญาติใส่ ครั้งนี้เลยได้กินแบบฟรีๆ งั้นเอาไว้เลี้ยงคืนทีหลังก็แล้วกัน

   เราเดินไปกินไปตามทางที่เงียบสงบไร้สิ่งน่าสนใจใดๆ นอกจากอาคารบ้านเรือน ร้านค้าที่ยังไม่เปิด สวนสาธารณะกับศาลเจ้าเล็กๆ เลยชวนกันแวะเข้าไปถ่ายรูป ใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาทีก็เดินจนทั่วโซนคุราซุคุริ ขนาดตอนเดินวนกลับมาร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิดเราเลยตกลงว่าจะไปสถานที่ต่อไปกันเลย

   ขามาเดินฝั่งหนึ่งขากลับก็เดินอีกฝั่งหนึ่ง เจอร้านขายซอฟต์ครีมกับพวกน้ำหอมสมุนไพรเปิดแล้วน้องหมีเลยสะกิดผมยิกๆ
 
   "กินไอติมกัน"

   "หนาวแบบนี้อ่ะนะ"

   "หนาวตรงไหน กำลังเย็นสบายเลย"

   ครับ ไอ้พ่อคนหนังหนา ไอ้หมีขั้วโลก ผมเป็นพวกขี้หนาวไง อากาศยี่สิบต้นๆ ก็ว่าหนาวแล้ว ที่เดินเล่นเมื่อกี้เจอลมพัดแรงๆ ก็สั่น ส่วนเรื่องจะกินซอฟต์ครีมตอนนี้นั้น

   "งั้นเอาวนิลา"

   ถึงหนาวก็อยากกินอยู่ดี


   มือถือซอฟต์ครีม ปากและลิ้นเล็มเนื้อไอศกรีม ตัวก็สั่นถี่ๆ บางจังหวะฟันก็กระทบกันดังกึกๆ

   ผมเหลือบมองน้องหมีที่เดินกินซอฟต์รสชาเขียวแบบชิลๆ แล้วรู้สึกอนาถใจกับตัวเอง เหมือนพวกไม่เจียมสังขาร ทนไม่ไหวก็อยากจะทน สุดท้ายก็ทรมานตัวเอง แต่เป็นการทรมานด้วยความอร่อย

   "ไหวมั้ยเนี่ย" น้องหมีถามกลั้วหัวเราะ นี่คือเป็นห่วงกันใช่มั้ย

   "ไม่อ่ะ" ผมก็ยืดอกรับความจริง สั่นจนเหมือนเป็นโรคพาร์กินสันขนาดนี้จะบอกว่าไม่หนาวมันก็ยังไงอยู่

   "งั้นเอาเสื้อแบร์ไปใส่" พูดจบน้องหมีก็ถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองออกมาคลุมให้ผม เหลือเสื้อไหมพรมไว้กันหนาวตัวเดียว

   แล้วถามว่าผมปฏิเสธมั้ย

   "ขอบใจ" ยิ้มรับน้ำใจด้วยความยินดี เอาไว้ร่างกายอุ่นเมื่อไรจะคืนให้แล้วกัน

   น้องหมียิ้มตาปิดตามสไตล์เจ้าตัว กินซอฟต์ครีมหมดก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปต่อ ถ่ายวิวบ้างถ่ายผมตอนเผลอบ้าง โดนถ่ายบ่อยๆ จนชักเริ่มชิน ผมเลยปล่อยให้น้องหมีมันถ่ายไป รูปที่ออกมามันก็ดูเป็นธรรมชาติและสวยดีด้วย จบทริปนี้ผมคงมีรูปไว้เปลี่ยนโปรไฟล์สารพัดแอปในโซเชียลตลอดทั้งชาติแน่ๆ



   จบทริปคาวาโกเอะเราก็นั่งรถไฟกลับโตเกียวเพื่อไปยังสถานีอุเอโนะ เป้าหมายคือการชมซากุระในสวนซึ่งไม่รู้ว่ามันจะบานหรือยัง และอีกหนึ่งภารกิจคือไปกินซูชิหน้าล้นที่ร้ายมิอุระมิซากิ โคว ใกล้ๆ กับตลาดอะเมะโยโกะ

   ตามแพลนที่จัดไว้เราต้องไปเดินสวนอุเอะโนะกันก่อนแต่เพราะแบกท้องอันหิวโหยมาจากคาวาโกเอะเลยเปลี่ยนไปกินซูชิก่อนแทน เป็นการรวบมื้อเช้ากับเที่ยงเอาไว้ด้วยกัน ผมว่าน้องหมีต้องซัดเรียบจานกองท่วมหัวแน่ๆ เล่นบ่นหิวตั้งแต่ขึ้นรถไฟที่คาวาโกเอะจนถึงตอนนี้

   เข้ามาในร้านได้ไม่ถึงห้าวินาทีน้องหมีก็หยิบซูชิจานแรกจากสายพาน ผมเลยต้องเป็นคนบริการให้ทั้งชงชาเขียวทั้งเทโชยุใส่ถ้วยไถ่โทษที่ปล่อยให้น้องหิว

   ซูชิแซลมอนชิ้นใหญ่ถูกยัดใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ น้องหมีทำหน้าฟินหลับตาพริ้มส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอเหมือนพวกรายการเวลาชิมอาหารไม่มีผิด ไม่รู้อร่อยจริงหรือเพราะหิวมากกันแน่

   "อร่อยมั้ย" ผมหันไปถามระหว่างชงชาให้ตัวเอง

   คนที่กำลังเคี้ยวซูชิอยู่เต็มปากพยักหน้ารับรัวๆ ผมยิ้มรับแล้วเล็งหาจานที่พอจะกินได้บ้าง

   ปกติแล้วผมไม่ชอบกินของดิบ เวลาเพื่อนยกโขยงกันไปกินบุฟเฟต์แซลมอนก็ไม่เคยไปกับเขา ตอนไปเที่ยวใต้เคยกินหอยนางรมสดๆ แล้วแทบจะขย้อนออกมา มันหยึ๋ยๆ รู้สึกไม่ค่อยดี พวกปลาดิบก็เหมือนกัน และไม่ว่าซูชิหน้าไหนที่เลื่อนผ่านหน้าไปผมก็เลือกไม่ถูกสักจาน ก็มันของดิบเกือบทั้งนั้นเลยนี่หว่า

   "เลือกไม่ได้เหรอ" น้องหมีที่เพิ่งจัดการจานแรกหมดหันมาถาม น้องมันก็รู้ว่าผมไม่ชอบปลาดิบเลยทำหน้าลำบากใจใหญ่

   "ไม่รู้จะกินอะไรดี"

   "ลองปลาไหลก่อนก็ได้"

   ซูชิหน้าปลาไหลย่างถูกหยิบมาวางตรงหน้าโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ผมยิ้มขอบคุณ อย่างน้อยมันก็เป็นของสุก รสชาติก็คงไม่ต่างจากข้าวหน้าปลาไหลที่เคยกิน แต่เอาจริงๆ ปลาไหลผมก็ไม่ค่อยชอบนะ

   "แบ่งคนละชิ้นมั้ย"

   ซูชิจานหนึ่งจะมีสองชิ้น ผมไม่ค่อยชอบมันอยู่แล้วคงกินได้ไม่เยอะ อีกอย่างถ้าแบ่งกันแบบนี้น่าจะได้กินหน้าที่หลากหลายกว่า

   "โอเค" ทันทีที่ผมตอบรับซูชิหนึ่งชิ้นก็โดนน้องหมีคีบไป จิ้มโชยุนิดหน่อยแล้วยัดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ พยักหน้าให้ผมเป็นเชิงบอกว่ามันอร่อยมากจริงๆ นะ

   โอเค อร่อยก็อร่อย

   ผมคีบซูชิหน้าปลาไหลย่างเข้าปากในคำเดียว มันใหญ่จนเต็มปากไปหมด รู้สึกได้ถึงแก้มอูมๆ เวลาเคี้ยวกับรสชาติของปลาไหลที่คุ้นเคย

   โอเค มันก็อร่อยดี

   ผมนั่งเคี้ยวซูชิคำใหญ่ปากด้วยความเร็วต่ำแสนต่ำ กลืนลงคอได้ก็จิบน้ำชาตาม หันหน้าไปมองคนข้างๆ ก็เห็นเอาแต่ยิ้ม
   ทำไม แค่กินซูชิได้ไม่ต้องทำหน้าภูมิอกภูมิใจเหมือนแม่คนขนาดนั้นก็ได้

   ผ่านหน้าปลาไหลไปได้ผมก็โดนเชียร์ให้กินทุกอย่างจากคนที่ทำตัวเป็นพริตตี้ร้านซูชิ ทั้งแซลมอน มากุโระ เอนกาวะ กุ้งสด ไข่หวาน ไข่กุ้ง ไข่หอยเม่น กินไปจิบน้ำไปบวกกับขนาดชิ้นของมันผมเลยอิ่มในเวลาไม่นาน ส่วนน้องหมีก็กินเหมือนไปอดอยากมาจากไหน เผลอแป๊บเดียวจานกองเป็นตั้ง

   "ขอบคุณนะที่พามากิน"

   กินอิ่มแล้วก็มาทำซึ้ง ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดมากอะไรที่ต้องกินของที่ไม่ค่อยชอบ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ใช่

   "งั้นมือนี้แบร์เลี้ยงเอง"

   "ไม่ต้อง"

   "ถือว่าขอบคุณไง พี่อินไม่ชอบยังพาแบร์มากิน แล้วนี่อิ่มใช่มั้ย"

   "อิ่มดิ" ไม่อิ่มได้ไงไหวชิ้นใหญ่ขนาดนี้ กินไปห้าชิ้นก็อิ่มแล้ว ส่วนที่จะเลี้ยงเอาเป็นว่ายอมให้ก็แล้วกัน

   สรุปค่าเสียหายซูชิมื้อนี้สองคนหมดไปเกือบห้าพันเยน ที่ผมกินไปแค่พันนิดๆ ส่วนที่เหลือของน้องหมีล้วนๆ แค่มื้อแรกของวันก็ทำเอากระเป๋าเบาไปเลย ผมหมายถึงน้องหมีนะ

   อิ่มท้องจากร้านซูชิเราก็มาเดินเล่นที่ตลาดอะเมโยโกะกันต่อ ที่นี่เป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีตั้งแต่ของสดยันสิ้นค้าแบรนด์ ผ่านร้านผลไม้เลยได้เมล่อนที่เขาหั่นแบ่งเป็นชิ้นขายเดินกินกันคนละไม้

   "อร่อยนะ"

   "อืม อร่อยดี"

   พวกเมล่อนหรือสตรอเบอร์รี่เวลาผมมาก็มักจะซื้อกินครั้งละไม้สองไม้เดินดูของแบบไม่เร่งรีบ ที่นี่ของลดราคาเยอะ แต่ละร้านก็แข่งกันตะโกนเรียกลูกค้า บางร้านจะมีคนผิวสีคอยแจกโบว์ชัวร์คอยรั้งคอยดึงซึ่งอันนี้ผมว่าน่ากลัว ครั้งเพื่อนผู้หญิงผมเคยโดนดึงเอาไว้เล่นเอาเจ้าหล่อนร้องใหญ่ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรหรอกก็แค่จับเฉยๆ

   เออ แล้วใครมาจับแขนผมไว้ล่ะเนี่ย

   ขาผมยังก้าวต่อพลางหันไปมองหนุ่มผิวสีร่างใหญ่ที่ยิ้มโชว์ฟันขาวมาให้พร้อมกับพูดเชิญชวนให้เข้าไปดูของในร้าน ไอ้ผมก็ยิ้มตอบส่ายหน้าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ขนาดเดินไปด้วยก็ยังไม่ยอมปล่อย กลายเป็นว่าแขนผมถูกยึดเอาไว้

   "แบร์ช่วยด้วย" ร้องหาใครไม่ได้ก็ร้องหาคนข้างๆ นี่แหละ

   น้องหมีหันมามองงงๆ แต่พอเห็นว่าผมถูกดึงเอาไว้ก็ทำหน้าตาถมึงทึงขึ้นมาทันที เจอจ้องด้วยใบหน้าโกรธเกี้ยวแขนผมถึงได้เป็นอิสระแล้วน้องหมีก็จัดการกอดเอวผมเดินหนีแถมยังมาโอ๋กันอีก

   "ไม่ต้องกลัว"

   "ไม่ได้กลัว แค่ตกใจ" ก็นั่นแหละ ไม่ใช่เด็กแล้วจะได้กลัว

   น้องมันไม่พูดอะไรต่อเอาแต่ยิ้มตาหยี ปิดโหมดคุณหมีตกมันกลับสู่โหมดเท็ดดี้แบร์ผู้น่ารัก 

   เดินเล่นวนรอบตลาดได้ของติดมากันคนละอย่างสองอย่างจนเกือบถึงทางออกผมก็โดนน้องหมีดึงกระเป๋าให้หยุดเดิน

   "แวะไปเล่นกัน" น้องหมีพยักพเยิดหน้าไปยังร้านเกมคีบตุ๊กตาทางซ้ายมือ

   ความจริงวันนี้เรามีแพลนจะไปอากิบะกันด้วย ซึ่งที่นั่นมีร้านเกมให้เลือกเล่นเยอะกว่า แต่วันนี้มีเวลาเหลือเฟือ จะแวะให้คนที่ยืนทำตาละห้อยอยู่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

   "ไปดิ"

   เข้ามาในร้านได้ก็พากันเดินวนอยู่รอบสองรอบ ผมว่ามันไม่ค่อยมีตัวน่ารักๆ เท่าไร มีแต่ตัวแปลกๆ หน้าตาประหลาดๆ เลยปล่อยให้น้องหมีเล่นไปคนเดียวส่วนผมคอยให้กำลังใจ เล่นไปสามรอบเสียหายไปสามร้อยเยนได้พวงกุญแจเล็กๆ มาหนึ่งอัน มันคุ้มมั้ยเนี่ย

   "ไปกัน"

   "แป๊บนึงพี่อิน ไอ้นั่นใช่ตู้สติ๊กเกอร์ป่ะ"

   ว่าจะชวนออกจากร้านน้องหมีก็ดันตาดีเห็นตู้สติ๊กเกอร์ที่อยู่ด้านในสุดอีก เห็นน้องมันยิ้มแหยๆ ส่งสายตาอ้อนวอนก็รับรู้ได้ถึงลางไม่ดีขึ้นมาทันที

   วอแวตั้งแต่เช้าแล้วนะไอ้เรื่องถ่ายสติ๊กเกอร์เนี่ย ถึงที่นี่เขาจะไม่กั้นเขตจนดูเป็นที่ต้องห้ามแต่ยังไงก็ห้ามผู้ชายเข้าอยู่ดีนะเว้ย อย่าแม้แต่จะคิดเชียว

   "ไปถ่ายกัน" นั่นไง เดาผิดที่ไหน

   "ก็บอกว่าเขาห้ามผู้ชายเข้า"

   "ผู้ชายที่ไหน ผู้หญิง" พูดแล้งน้องมันก็ชี้มาที่ผม

   ผู้หญิงบ้านป้าคุณน้องสิครับ อะไรมันไปกระตุ้นต่อมให้น้องมันอยากถ่ายสติ๊กเกอร์แบ๊วๆ ขนาดนี้เนี่ย

   "ผู้หญิงอะไรหล่อขนาดนี้ ลูกกระเดือกชี้หน้าอยู่เนี่ยเห็นมั้ย" ผมหมดคำจะเถียง ส่ายหน้าใส่ลูกเดียว แต่น้องหมีกลับไม่ยอมง่ายๆ

   "พูดเบาๆ ดิ อ่ะ ใส่ไว้" ว่าผมให้เบาเสียงแล้วยังเอาผ้าพันคอมาใส่ให้กันอีก
 
   ผมล่ะปวดหัว เข้ามากันตั้งนานแล้วพนักงานไม่รู้เลยมั้งว่าไอ้สองคนที่เดินวนอยู่ในนี้เนี่ยมันเป็นผู้ชาย ถึงผมจะเห็นพนักงานเดินผลุบๆ โผล่แค่คนเดียวก็เถอะ

   "นะๆ"

   ตกลงจะถ่ายให้ได้เลยใช่ไหม

   "ลองดูน่า ถ้าเขาไล่ก็แค่เดินออกมา"

   ตื้อและดื้อดึงเท่านั้นที่ชนะ ในเมื่อผมไม่ยอมน้องหมีเลยจัดการกุมมือฉุดๆ ลากๆ เดินเข้าไปหาตู้สติ๊กเกอร์ เนียนมากเลยครับ ไม่มีใครรู้เลยครับ มีพิรุธซะขนาดนี้

   มายืนอยู่หน้าตู้แล้วก็ไม่เห็นมีพนักงานคนไหนมาห้าม อ่านวิธีการใช้คร่าวๆ เสร็จน้องหมีเลยรีบหยอดเงิน กดเลือกแบบแล้วลากผมเข้าตู้ถ่ายทันที

   ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อ นี่พนักงานไม่เห็นหรือคิดว่าเราเป็นคู่ชายหญิงจริงๆ กันแน่ ถึงการแต่งตัวของผมวันนี้มันจะดูเรียบร้อยใสๆ ก็เถอะ ใส่เสื้อคอกลมสีเทาทับด้วยโค้ทยาวสีกรม กางเกงยีนส์พับขาประมาณหนึ่งคืบกับรองเท้าผ้าใบสีขาว แถมมีผ้าพันคอสีเลือดหมูที่น้องหมียัดเยียดให้ใส่อีกหนึ่งผืน รวมถึงความจริงอีกอย่างที่ผมยอมให้น้องหมีมาตั้งแต่เช้าคือการเอาผมหน้าม้าลงทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าน้องมันคิดอะไรอยู่ แต่แค่นี้มันไม่ทำให้คนอื่นเขาคิดว่าผมเป็นผู้หญิงไปได้หรอก

   การถ่ายพุริคุระเสร็จสิ้นภายในไม่กี่นาที ได้รูปแล้วผมเลยรีบชวนน้องหมีออกจากร้านก่อนพนักงานจะมาเห็นเดี๋ยวใครมาเห็นจะเป็นเรื่องเอา

   ว่าแต่ทำไมผมต้องมาทำอะไรเสี่ยงโดนจับแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

   "น่ารักอ่ะดิดู" ดูรูปแล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

   "ตลก" ตาก็โตเหมือนไม่ใช่คน แก้มก็แดง ปากก็แดง ผู้หญิงเขาถ่ายมันก็น่ารักนะ แต่ผมว่ารูปที่เราถ่ายมามันดูตลกมากกว่า อย่าริอาจเอาไปให้ใครดูเชียว

   คนอยากถ่ายดูท่าจะถูกใจรูปน่าดู น้องหมีมองมันแล้วก็ยิ้มแล้วยิ้มอีก เพิ่งรู้นะว่าชอบอะไรแบบนี้ด้วย ซึมซับความเป็นญี่ปุ่นได้เร็วดีจริงๆ



ต่อด้านล่าง
v
v
v

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 08-04-2017 19:16:07


        ออกจากอะเมโยโกะเราก็ไปเดินเล่นในสวนอุเอโนะกันต่อ แต่เพราะซากุระมันยังไม่บานเท่าไรเดินวนถ่ายรูปกันแป๊บเดียวผมก็ชวนน้องหมีไปอากิฮาบาร่า

   ใช่แล้ว อากิบะที่ผมพาน้องหมีไปเมดคาเฟ่วันแรกที่มาถึงนั่นแหละ

   "ไปเมดคาเฟ่กันอีกดีมั้ย"

   ผมหันไปมองคนที่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทว่าหน้าตาดูมีความหวัง ติดใจเมดแล้วหรือไง แต่เสียใจด้วยวันนี้พามาเพื่อหมุนกาชาปอง ตามหาฟิกเกอร์กับแวะช็อปไอดอลแค่นั้น

   "ไม่ไปอ่ะ วันนี้ไอริจังไม่เข้า"

   น้องหมีเบะปากใส่ น่ารักตายล่ะ อยู่ญี่ปุ่นไม่ต้องทำตัวนุ่มนิ่มขึ้นก็ได้มั้ง ตอนนี้ไอ้น้องชายจอมเกเรหล่อสไตล์เมกันของผมหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

   "จะไปดูฟิกเกอร์ไม่ใช่เหรอ"

   "อยากได้กัปตันอเมริกา มันมีใช่มั้ย"

   "น่าจะนะ"

   ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในคำตอบเท่าไรเพราะสิ่งที่เราชอบอะไรคนละสไตล์กัน อย่างการ์ตูนผมชอบอนิเมะของญี่ปุ่น ดูแทบทุกเรื่องทุกฤดูที่ฉาย ส่วนน้องหมีชอบซุปเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล มาแหล่งขายฟิกเกอร์ทั้งทีน้องมันเลยอยากได้กลับไปสักตัว

   เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้กันเป็นว่าเล่น ในที่สุดน้องหมีได้ฟิกเกอร์กัปตันอเมริกาสมใจอยากในราคาที่แพงเอาเรื่อง แต่จะไปว่าเขาก็ไม่ได้ ผมเองก็หมุนกาชาปองกับซื้อของไอดอลหมดไปเหยียบหมื่น ที่สำคัญกาชาปองตัวที่อยากได้ดันไม่ออกมาอีก มันน่าเจ็บใจก็ตรงนี้


   จบจากอากิฮาบาระเราก็ไปต่อกันที่ย่านอาซากุสะ วัดเซนโซจิกับโคมไฟยักษ์สีแดงสัญลักษณ์ประจำวัด เป็นแลนด์มาร์คอีกที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมา และด้วยความที่ใครๆ ก็ต้องมานี่แหละ คนเลยเยอะเหมือนมีงานเทศกาลอะไรสักอย่างตลอดเวลา

   "ถ่ายรูปมั้ย" ถามพร้อมแบมือขอกล้องจากน้องหมี ที่นี่ผมมาบ่อยแล้วถ่ายรูปจนเบื่อ เลยอาสาขอเป็นตากล้องให้คนที่มาครั้งแรกแทน แต่กลับโดนปฏิเสธ

   "ถ่ายด้วยกันดีกว่า" ส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วน้องหมีก็จับผมหมุนตัวหันหลังให้โคมยักษ์สีแดง คนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเกยคางบนไหล่ผมก่อนสองแขนจะยื่นกล้องมาด้านหน้า

   ทำแบบนี้อีกแล้ว

   ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าที่อยู่ห่างแค่ปลายจมูก น้องหมียิ้มกว้างในขณะที่ผมยังปรับสีหน้าไม่ถูก พร้อมกันนั้นเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นโดยไม่มีการนับให้สัญญาณ

   แชะ!

   น้องหมีหันมายิ้ม ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ที่ไม่ทำให้ตาเป็นขีดเหมือนทุกที เป็นรอยยิ้มที่ผมคิดว่ามันดูดีมากๆ มันดูมีเสน่ห์จนอยากมองอยู่อย่างนั้น น่าหลงใหลจนต้องยิ้มตาม

   "ทีตอนถ่ายล่ะไม่ยิ้ม" ปากบ่นแต่ยังยิ้มค้างก่อนเจ้าตัวจะผละออกห่าง

   ผมไม่ได้เถียงอะไรกลับไป เห็นน้องมันก้มหน้าดูรูปในกล้องแล้วยิ้มอยู่คนเดียว ทำเป็นบ่นไปงั้นแหละ ที่จริงก็ชอบใช่มั้ยล่ะรูปเมื่อกี้น่ะ

   "ไหนมาดูมั่ง"

   "เดี๋ยวตอนเย็นส่งให้" ชูกล้องหนีสุดมือแล้วยักคิ้วกวนๆ มาให้อีก

   ถ้าไม่เกรงใจชาวประชานานาชาติหรือแม้แต่เพื่อนร่วมชาติที่อาจจะเดินสวนกันนี่ผมกระโดดแย่งกล้องจากมือน้องมันไปแล้ว ในกรณีที่แย่งถึงนะ แต่คิดว่าคงจะยาก

   น้องหมียังคงยิ้มอย่างอารมณ์เดินเข้ามากอดแขนผมที่ปั้นหน้านิ่งใส่ เดี๋ยวทำตัวเท่ สักพักก็มาอ้อนเหมือนลูกหมา โตเป็นหมียักษ์ยังไงก็ยังเป็นน้องแบร์หมีน้อยของผมอยู่วันยันค่ำนั่นล่ะน่า

   "เข้าไปข้างในกัน"

   เดินผ่านโคมแดงประตูทางเข้าหลักเข้ามาเราก็เจอกับถนนนากามิเสะที่ทอดยาวเข้าสู่พื้นที่ภายในวัด ทั้งสองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านของฝากและของกิน มีเมนูขึ้นชื่อหลายร้านที่ต้องแวะ ผมเลยพาน้องหมีกินทุกร้านที่คิดว่าน่าจะอร่อย กว่าถึงตัววัดเลยใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง

   หลังอิ่มท้องแล้วก็มาอิ่มใจอิ่มบุญกันต่อ ชำระล้างร่างกายก่อนเข้าวัด จากนั้นก็ไปสักการะขอพรกับพระโพธิสัตว์กวนอิม โยนเหรียญห้าเยนหรือห้าสิบเยนเพื่อทำบุญ จากนั้นโค้งสองที ตบมือสองที อธิษฐาน ตามด้วยโค้งงามๆ อีกหนึ่งทีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

   "เขาบอกว่าเครื่องรางวัดนี้ขลังนะ" เดินผ่านจุดขายเครื่องรางผมก็ชวนน้องหมีเข้าไปดู ปกติมาไม่เคยซื้อ แต่เพิ่งเห็นคนเขาฮิตกันในทวิตเตอร์ โดยเฉพาะเครื่องรางความรัก ว่ากันว่าได้ผลดี

   "จริงอ่ะ"

   "อืม เห็นเขาว่ากันแบบนั้น มีคนซื้อเครื่องรางความรักไปแล้วใช้ได้ผล"

   "มันจะได้ผลจริงๆ ใช่มั้ย" อยู่ๆ น้องหมีก็จ้องหน้าผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา

   "ก็ลองดูดิ"

   สุดท้ายจากคำยุยงบวกโฆษณาชวนเชื่อของผมน้องหมีก็ได้มาทั้งเครื่องรางความรัก โชคลาภ สุขภาพ เดินทางปลอดภัย ป้องกันจากสิ่งชั่วร้าย ซื้อมาแบบครบเซ็ต กะว่าปีนี้จะไม่ให้เจอโชคร้ายกันเลย แต่เหมือนว่าผมจะลืมบอกน้องมันไปอย่าง

   "เครื่องรางมันมีอายุแค่ปีเดียวนะ ครบหนึ่งปีต้องเอามาคืน"

   "คืนที่นี่อ่ะนะ"

   "ใช่" ผมโม้ แกล้งอำน้องมันไปงั้น เครื่องรางทุกชิ้นมีอายุการใช้งานแค่หนึ่งปี เมื่อครบหนึ่งปีแล้วให้นำเครื่องรางนั้นกลับไปคืนที่วัดหรือศาลเจ้า แต่ถ้าไม่สะดวกเอาไปคืนก็สามารถเผาเองได้ แต่ต้องใช้กระดาษขาวห่อโรยด้วยเกลือแล้วค่อยเผา ซึ้งในกรณีน้องหมีซื้อไปแล้วคงได้เอากลับมาคืนแน่นอน

   "ไม่เป็นไรหรอก" คนที่ถือถุงเครื่องรางไว้ในมือบอกยิ้มๆ แล้วก็เงียบไป

   ผมเองก็เงียบรอฟัง รู้สึกได้ว่าน้องมันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จนเราเดินลงมาจากอาคารน้องหมีถึงได้ยอมเฉลยสิ่งที่ตั้งใจจะบอกออกมา

   "ปีหน้าเราก็มาด้วยกันอีกไง"

   ปีหน้าเหรอ เป็นความคิดที่ดีนี่

   "อืม ไว้เรามาด้วยกันอีก"



   ตามแผนที่ทำมาต่อจากนี้เราจะไปดูซากุระที่สวนข้างแม่น้ำสุมิดะ แต่เพราะอากาศไม่เป็นใจ ไปมากี่ที่ซากุระก็ยังไม่บาน ที่สวนสุมิดะก็คงยังไม่บานเหมือนกัน ผมตั้งใจว่าจะตัดใจจากที่นี่แล้วแต่เพื่อนร่วมทริปเขาอยากไป สุดท้ายเลยมานั่งเหงาหงอยที่ม้านั่งในสวน แถมอากาศก็เริ่มเย็นลงแล้วด้วย

   เฮ้อ~ หนาวชะมัด

   เสื้อกันหนาวตัวเดิมที่เคยได้ยืมใส่ตอนอยู่คาวาโกเอะคลุมลงมาบนหัวตอนผมเอามือซุกไว้ใต้ขา หันไปมองเจ้าของเสื้อที่ควรจะนั่งอยู่ข้างๆ ก็ดันหายตัวไปซะแล้ว แอบไปเดินเที่ยวเล่นกับกล้องตัวโปรดแล้วทิ้งให้ผมเดี่ยวอยู่กับเสื้อกันหนาวแทน

   ผมดึงเสื้อน้องหมีมาคลุมตัวไว้ดีๆ นั่งมองวิวแม่น้ำยามเย็นกับโตเกียวสกายทรีที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ญี่ปุ่นในฤดูนี้ยังไม่ถึงห้าโมงเย็นพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว ตอนนี้ฟ้าเลยดูหม่นๆ ชวนให้รู้สึกเหงา ถ้ามาคนเดียวผมคงนั่งเอ้อระเหยปล่อยอารมณ์ปล่อยใจได้เป็นชั่วโมง แต่เพราะมากับใครบางคนแม้บรรยากาศจะเหงาแค่ไหนกลับไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด

   ระหว่างรอน้องหมีถ่ายรูปเล่นผมก็ใช้เวลาช่วงนี้เพื่อพักขาพักร่างกายที่ใช้งานหนักมาตลอดสองวัน รู้สึกเจ็บหัวเข่านิดหน่อยพอทนไหว แต่ถ้ายังใช้งานมันหนักแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาการคงทรุด ซึ่งมันทรุดแน่นอนสำหรับทริปที่จัดมา นี่แหละผลของการชอบเดิน อยากเดิน โดยไม่คำนึงถึงสังขารตัวเอง

   "แบร์"

   เรียกชื่อคำเดียวคนที่กำลังเพลินกับการถ่ายรูปก็เดินเข้ามาหา

   "ไปกัน" ผมลุกขึ้นยืนยื่นเสื้อกันหนาวคืนให้ น้องหมีรับเสื้อไว้ก่อนเอาพาดบ่า พยักหน้ารับแล้วยิ้มตาปิดแบบที่ชอบทำ

   คืนนี้ยังไม่จบ ยังเหลืออีกสถานที่หนึ่งที่เราจะไปกัน




TBC.



ตอนนี้ยาวมาก คือยาวกว่าทุกตอนที่เขียนเลย
ทีแรกเรากะว่าจะแบ่งเป็นสองพาร์ทมันรู้สึกยุ่งยากเลยลงมันทีเดียวนี่แหละ
ขอให้สนุกกับทริปของเรานะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-04-2017 19:55:16
น้องหมีไม่ได้คิดแค่พี่ชายแน่นอน  :hao3:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 08-04-2017 21:53:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-04-2017 22:11:38
แบร์ ได้ถ่ายรูปคู่สมใจ  :mew1:
แม้ไม่ได้อย่างใจเรื่องชุด
แต่ได้ถ่ายสติ๊กเกอร์คู่แล้ว  :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 09-04-2017 09:40:07
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 3 [08/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 09-04-2017 12:29:49
ตามรอยความรักกันต่อไป อ่านไปเปิดดูไป
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 12-04-2017 18:29:55


คืนที่ 3


   โอไดบะ เกาะที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นจากการเอาขยะมาถมทะเล ใช้เวลานานหลายสิบปีจนเป็นแผ่นดินขึ้นมา จนปัจจุบันได้กลายเป็นเกาะศูนย์รวมความบันเทิงของโตเกียวไปแล้ว

   การเดินทางไปโอไดบะนั้นเราต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานีชิมบาชิ แล้วต่อรถไฟลอยฟ้าไร้คนขับที่มีชื่อว่ายูริคาโมเมะข้ามไป ทีเด็ดของการนั่งรถไฟสายนี้อยู่ที่หัวขบวน เพราะการที่ไม่มีคนขับหัวและท้ายขบวนจึงเป็นกระจกใสสามารถมองเห็นวิวบ้านเมืองและอ่าวโตเกียวได้โดยรอบ แถมยังมีที่นั่งให้เราโมเมว่าเป็นคนขับรถไฟอีก เหตุนี้เองหลายคนจึงหมายปองที่นั่งหัวขบวน ผมเองก็เหมือนกัน

   "ไปกันเลยมั้ย" ขึ้นมาถึงชานชาลาน้องหมีก็ตั้งท่าเตรียมพุ่งไปขึ้นรถไฟที่จอดอยู่

   "รอขบวนต่อไปก็ได้ อยากนั่งหน้าขบวน"

   "ทำไมต้องหน้าขบวน"

   "เดี๋ยวก็รู้" ผมยักคิ้วกวนๆ ให้ ก่อนพาน้องหมีไปยืนเข้าแถวรอรถไฟคนละฝั่งกับขบวนที่กำลังจะออก

   ที่สถานีชิมบาชิเป็นสถานีแรกของสายยูริคาโมเมะ ชานชาลาจึงมีสองฝั่ง รถไฟที่กลับมาจากโอไดบะจะสลับกันมาจอดรอคนละชานชาลา เพราะฉะนั้นถ้าเล็งหัวขบวนอยู่ต้องมายืนรอขึ้นเป็นคนแรกๆ ถึงจะสมหวัง

   "นี่ไงมาแล้ว" ขบวนเก่ายังไม่ทันออกขบวนต่อไปก็กลับมาถึงชิมบาชิ

   ยืนรอให้คนลงหมดก่อนผมก็คว้าแขนน้องหมีลากเข้าไปในรถไฟ ช้าไม่ได้หรอก ข้างๆ มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งรอลงสนามแย่งที่นั่งอยู่ คือผมจะไม่ซีเรียสเท่าไรถ้าที่นั่งหน้าขบวนเป็นเบาะคู่ทั้งสองฝั่ง แต่นี่ฝั่งขวาเป็นเบาะคู่ส่วนฝั่งซ้ายเป็นเบาะเดี่ยว แม้ความจริงถ้าไม่ได้นั่งยืนดูเอาก็ได้ แต่ได้นั่งสบายๆ มันย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

   ผมพาน้องหมีมาถึงที่นั่งหน้าขบวนก่อนคู่หนุ่มสาวเพียงเสี้ยววินาที คู่นั้นเลยยอมสละที่ให้คุณผู้หญิงส่วนคุณผู้ชายก็ยืนไปตามระเบียบ มองแล้วผมแอบยิ้มสะใจกับตัวเอง เป็นครั้งแรกเลยที่ได้นั่งตรงนี้ มาทีไรไม่เคยจะทันคนอื่นเขาหรอก

   "อยากนั่งตรงนี้ขนาดนั้นเลย"
 
   "ถ้าขึ้นยูริคาโมเมะก็ต้องนั่งตรงนี้ดิ"

   "ทำไม" น้องหมีมุ่นคิ้วทำหน้างง ถึงผมไม่เคยบอกแต่น้องมันไม่มีเซ้นส์เลยหรือไง ได้นั่งหัวขบวนกระหน้าใสกริ๊งขนาดนี้
 
   "ชมวิวไง รถไฟขบวนนี้เขาคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไม่มีคนขับ ตรงนี้เป็นหัวขบวน เดี๋ยวรอดู"

   "อ๋อ~" ทีนี้ล่ะลากเสียงยาวแถมยิ้มหวานตาเป็นขีดอีก

   ขอบคุณพี่ซะไอ้น้อง

   นั่งรอเวลาอยู่หลายนาทีในที่สุดรถไฟไร้คนขับก็เคลื่อนขบวน ขับผ่านอีกสี่สถานีก่อนขึ้นสะพานสายรุ้งเพื่อข้ามไปยังเกาะโอไดบะ

   ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วท้องฟ้าจึงกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม แม้จะยังไม่มืดสนิทแต่เมื่อหันไปมองฝั่งโตเกียวตามอาคารบ้านเรือนต่างถูกแต่งแต้มไปด้วยแสงสี สมกับเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับใหล

   "เห็นโตเกียวทาวเวอร์มั้ย" ผมชี้ให้น้องหมีดูคอหอยสีส้มที่หน้าตาเหมือนหอไอเฟล ต้องรีบดูก่อนรถไฟจะขึ้นสะพานแล้วโดนเสาบังซะก่อน

   "เห็นๆ ถ้ารถไฟมันเปิดประทุนก็ดีเนอะ"

   "หนาวตายกันพอดี" ผมล่ะขำกับความคิดน้องหมี รถไฟเปิดประทุนว่าไม่เคยพบไม่เคยเห็นแล้ว แต่ถ้ามาเปิดประทุนในฤดูนี้ผู้โดยสารต้องแข็งตายแน่ อย่างน้องก็ผมคนหนึ่งล่ะ

   ใช้เวลาสิบห้านาทีเราก็มาถึงสถานีไดบะ ด้วยความที่เป็นเกาะติดทะเลลมเลยพัดแรงอยู่ตลอดเวลา บวกกับอากาศเย็นๆ ในฤดูใบไม้ผลิยิ่งทำให้คนขี้หนาวอย่างผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว หนาวจนต้องเดินห่อตัว

   "เอาเสื้อมั้ย"

   "ไม่ต้อง"

   พ่อสุภาพบุรุษหมีขั้วโลกทำท่าจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองให้ผมเป็นรอบที่สามของวันจนต้องรีบปฏิเสธ ที่นี่มันลมแรงจริงๆ ต่อให้หนังหนาอย่างน้องหมีก็ทนไม่ไหวหรอก

   ปฏิเสธเสื้อไปผ้าพันคอเลยถูกนำมาพันตัวผมไว้แทน มันพอบรรเทาอาการหนาวได้บ้างแต่ก็ยังหนาวอยู่ดี

   ออกจากสถานีมาเราก็เดินไปยังลานที่เชื่อมติดกับห้าง Aqua City ซึ่งเป็นที่ชมวิวสะพานสายรุ้งกับเทพีเสรีภาพขนาดย่อส่วนที่ไม่ต้องถ่อไปถึงอเมริกา

   ผมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปสะพานสายรุ้งสองสามรูปพอเป็นพิธี เก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วยืนเท้าขอบสะพานให้ลมหนาวพัดโกรกหน้า จำได้ว่าเมื่อเดือนสิงหาปีที่แล้วยังมานั่งจับโปเกม่อนอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมง แต่ตอนนี้เหล่าเทรนเนอร์ทั้งหลายน่าจะไปเอาดีทางอื่นกันหมดแล้ว

   ยืนเอื่อยเฉื่อยจับจองที่ตรงนี้ไว้เสียนานจนรู้สึกว่าหน้าเริ่มชาเพราะลมทะเล ผมเลยดึงผ้าพันคอขึ้นมาคลุมหัวปิดหน้าไว้เหลือแค่ตา สักพักก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันคุ้นหูดังอยู่ใกล้ๆ

   "ว่าจะถ่ายรูปให้ ทำแบบนี้ก็ไม่เห็นหน้าดิ" น้องหมีหยุดยืนอยู่ข้างกัน มองมาแล้วยิ้มตาปิดแถมยังช่วยจัดผ้าพันคอให้อีก

   "ก็ไม่ต้องถ่าย"

   บอกไม่ต้องถ่ายแต่คนไม่ฟังก็ยังจะยกกล้องขึ้นมาถ่าย ผมถลึงตาใส่หนึ่งทีก่อนหันไปสนใจวิวสะพานสายรุ้งกับโตเกียวทาวเวอร์ที่เห็นอยู่ไกลๆ ที่จริงมาเที่ยวโอไดบะช่วงนี้มีเรื่องน่าเสียดายอยู่อย่าง

   "ถ้ามาช่วงปีใหม่สะพานมันจะเป็นสีรุ้งนะ"

   "ก็ว่าอยู่ ชื่อสะพานสายรุ้งแต่ไม่เห็นเป็นสีรุ้ง"

   "เขาเปิดแค่ช่วงเทศกาลสำคัญๆ ตอนนี้ก็ดูแค่สองสีไปก่อน"

   "เสียดายเนอะ คงจะสวยน่าดู"

   ผมพยักหน้ารับคำ เคยมาก็หลายรอบแต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นตอนสะพานเปิดไฟสีรุ้งเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสได้มาตรงช่วงเทศกาลที่เขาเปิดไฟสีรุ้งก็คงดี

   "เออ แล้วแบร์จำเรื่องดิจิม่อนได้ป่ะ" มาโอไดบะทั้งทีไม่พูดถึงเรื่องนี้คงไม่ได้ ผมฝันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากมาตามรอยสถานที่ในการ์ตูนเรื่องโปรดที่เคยดูตอนเด็กสักครั้ง ได้พาน้องหมีมาด้วยเลยต้องนำเสนอสักหน่อย

   "จำได้ดิ"

   "โลเคชั่นในเรื่องคือโอไดบะนี่แหละ"

   "จริงอ่ะ คิดว่ามันเค้าโมเมขึ้นมาใหม่นะนั่น"

   "ก็สะพานสายรุ้งนี่ไงที่เห็นในฉากบ่อยๆ ส่วนข้างหลังนู่นก็สถานีโทรทัศน์ฟูจิที่เทลม่อนโดนวันเดมอนจับตัวไป แต่มองตรงนี้มันไม่เห็น" แนะนำสะพานด้านหน้าเสร็จผมก็พาน้องมันหันไปดูด้านหลังที่มีสถานีโทรทัศน์ฟูจิตั้งอยู่แต่ตอนนี้โดนบังมิด จุดสังเกตเด่นๆ ของฟูจิทีวีคือลูกกลมๆ ตรงกลางตึก ภาพในการ์ตูนยังติดตาผมอยู่เลย

   "เจ๋งดีอ่ะ ไม่เคยรู้มาก่อน"

   ก็ไม่รู้ว่าจะเจ๋งจริงอย่างที่น้องหมีว่าหรือเปล่า แต่ผมยังมีอีกหลายอย่างเลยที่อยากอวด เสียดายที่มีเวลาอยู่ที่นี่น้อยไป

   "ที่จริงว่าจะพาไปดูกันดั้มนะ แต่มันโดนรื้อไปแล้ว มาช้าไป" ผมชี้ไปฝั่งห้าง Diver City ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนตรงนั้นเคยมีกันดั้มสูงสิบแปดเมตรตั้งอยู่ แต่ตอนนี้โดนรื้อถอนไปแล้ว ผมว่ากันดั้มขนาดเท่าของจริงถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของโอไดบะเลยนะ เสียดายที่น้องหมีไม่ได้เห็น

   "จริงดิ แต่แบร์ไม่บ้ากันดั้มอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก" อุทานออกมาเหมือนจะเสียดาย แต่ฟังคำที่พูดต่อแล้วผมขอถอนคำพูด ไม่น่าไปเสียดายแทนเลย

   "อุตส่าห์อยากให้ดู"

   น้องหมีหัวเราะร่า เท้าแขนกับราวสะพานหันมาหาผมแล้วก็ยิ้ม

   "ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้มากับพี่อินก็ดีแล้ว"

   ลมเย็นๆ พับวูบมาจนผ้าพันคอที่ใช้คลุมหัวไว้หล่นไปด้านหลัง ผมจับมันไว้แล้วหันไปยิ้มให้กับสะพานสายรุ้งที่สีไม่เป็นสายรุ้งเหมือนกับชื่อ

   ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีชะมัด


   พยากรณ์อากาศบอกว่าค่ำนี้ฝนจะตก ด้วยความที่ไม่อยากทนทรมานกับความหนาวที่มากับฝนผมเลยชวนน้องหมีกลับโรงแรมหลังจากดื่มด่ำกับวิวสะพานสายรุ้งจนพอใจ แต่ก่อนถึงโรงแรมท้องมันก็ร้องโครกคราก ก็เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย

   "กินร้านนี้มั้ย" คนตัวโตเหมือนหมีชี้โปสเตอร์หน้าร้านอาหารร้านหนึ่งระหว่างทางเดินกลับโรงแรม

   ผมว่ามันก็โอเคนะ เป็นข้าวหน้าเนื้อหน้าตาน่ากิน แต่ติดที่มันมีไข่ดิบโปะหน้านี่ดิ พวกไม่ถูกกับของดิบอย่างผมถึงขั้นคิดหนัก

   "กินมั้ย" เห็นผมเงียบน้องหมีเลยหันมาถามย้ำ

   "อืม เอาดิ"

   คนชวนยิ้มจนตาปิดตามสไตล์ก่อนเดินนำเข้าไปในร้าน

   ร้านอาหารส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมักจะเป็นแบบตู้กด ร้านนี้ก็เหมือนกัน คือให้เราเลือกเมนูที่อยากกินจากตู้ซึ่งจะมีรายการอาหารพร้อมราคา วิธีกดก็ง่ายๆ แค่ใส่เงิน จิ้มเมนู ได้คูปองมาแล้วเอายื่นให้พนักงานร้านเป็นอันเสร็จ แต่มันยากตรงที่ทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นนี่แหละ

   ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะเมนูที่เราอยากกินมันมีรูปประกอบให้ดู

   ผลัดกันกดเมนูจากตู้ได้คูปองมาคนละใบก็เดินเอาไปให้พนักงาน ร้านนี้มีทั้งที่นั่งแบบโต๊ะกับหน้าเคาน์เตอร์ เราเลยเลือกนั่งกันที่เคาน์เตอร์ รอไม่นานข้าวหน้าเนื้อต้มกลิ่นหอมฉุยก็มาเสิร์ฟ

   "เค้าแยกไข่มาให้แฮะ" ผมพึมพำ แอบกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง นึกว่าจะต้องทนกินไข่ดิบซะแล้ว

   "ไข่ก็ไม่กินใช่มั้ย"

   ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ น้องหมียิ้มกริ่มเป็นการบอกให้รู้ว่าผมควรจะทำยังไงกับไข่ฟองนี้ดี แต่ถึงไม่บอกผมก็ต้องให้น้องมันอยู่แล้ว

   น้องหมีจัดการตอกไข่ราดลงบนข้าวทีเดียวสองฟอง ผมมองแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื้อก กินได้เหรอแบบนั้น ไม่รู้สึกคาวหรือไง

   "มองแบบนี้ อยากกินอ่ะดิ"

   "ดูสายตาด้วยว่ามองแบบไหน"

   น้องหมีมองหน้าผมแล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนจะลงมือกินข้าวหน้าเนื้อต้มที่มีไข่ดิบโปะหน้าถึงสองฟอง แม้ความร้อนของข้าวจะช่วยให้มันสุกจนไข่ขาวกลายเป็นสีขุ่นๆ ก็เถอะ แต่ถ้าให้ผมกินก็ไม่ไหวอยู่ดี

   "ทีเมื่อก่อนทำไมกินไข่ลวกได้อ่ะ" กินไปได้สักพักน้องหมีก็หันมาชวนคุย พาย้อนอดีตไปตอนที่เคยซื้อไข่ปิ้งหาบเร่กินด้วยกัน หนึ่งในเมนูขึ้นชื่อตอนนั้นมีไข่ลวกด้วย เอามาเจาะเปลือกใส่น้ำซอสใส่พริกไทยคนๆ ให้เข้ากันแล้วก็กิน ซึ่งมันไม่เหมือนไข่ดิบที่ตอกราดข้าวแน่นอน

   "มันไม่เหมือนกัน อันนี้มันดิบ"

   "แต่ข้าวมันร้อนนะ มันก็คล้ายไข่ลวกอ่ะ"

   "ไม่เหมือน"

   "ลองกินดูดิ" บอกแล้วก็เลื่อนชามข้าวของตัวเองมาให้

   ขี้เกียจเถียงด้วยผมเลยใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อที่ชุ่มไปด้วยไข่สีเหลืองค้นๆ ขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งเข้าปาก สัมผัสแรกรับรู้ได้ถึงความนุ่มแต่สำหรับผมเรียกว่าแหยะจะเหมาะกว่า ไม่อยากจะรับรู้รสชาติอะไรมากเลยรีบเคี้ยวๆ กลืน ก่อนยกยิ้มให้คนมีน้ำใจที่พยายามแบ่งของกินให้

   อร่อยนะ อร่อยจริงๆ ดูหน้าดิ

   "ทำหน้าพะอืดพะอมขนาดนี้จะปฏิเสธก็ได้นะ ไม่ว่าหรอก" บอกยิ้มๆ หน้าตาชอบอกชอบใจก่อนดึงชามกลับไป 

   ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นเตะก้านคอน้องมันจริงๆ

   ผ่านไปไม่กี่นาทีข้าวหน้าเนื้อต้มสองที่ก็เกลี้ยงชาม อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลากลับไปนอนอืดที่โรงแรม ระหว่างทางเราแวะซื้อน้ำกับขนมอีกนิดหน่อยเผื่อหิวตอนดึก ก้าวเข้าห้องได้ไม่กี่นาทีต่อมาฝนก็ตก โชคดีแบบเฉียดฉิว

   นั่งพักพอให้หายเหนื่อยเราก็สลับกันอาบน้ำเหมือนทุกที ผมอาบก่อนส่วนน้องหมีนั่งจัดของ จัดการตัวเองจนสะอาดเรียบร้อยออกมาจากห้องน้ำอีกทีเพื่อนร่วมทริปของผมก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว หายไปไหนของเขา

   ผมหยิบมือถือเตรียมจะโทรหาประตูห้องก็เปิดออกเสียก่อน น้องหมียิ้มน้อยๆ เดินมานั่งบนเตียงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ถ้าเป็นตอนเด็กผมว่าไปแล้วนะ แต่ตอนนี้โตๆ กันแล้วไปไหนน่าจะบอกกล่าวกันสักหน่อย แถมมาต่างที่ต่างถิ่นแบบนี้ยิ่งต้องบอก

   "ไปไหนมา"

   "ลงไปขอยืมกรรไกรมา" ว่าแล้วก็โชว์ที่ลงไปยืมมาให้ดู

   "ไม่บอกกันก่อน"

   "ก็พี่อินอาบน้ำอยู่"

   "ตะโกนบอกกันก็ได้"

   "เป็นห่วงเหรอ" ถามแล้วยังมาเล่นหูเล่นตาใส่อีก ที่บอกนี่สำนึกบ้างไหม

   "ก็เป็นห่วงดิ จะไปไหนก็บอก อยู่กันแค่สองคนเนี่ย เกิดเป็นอะไรไปขึ้นมาทำไง"

   "เฮ้ยพี่อิน คิดมาก มานี่มา" น้องหมีดึงแขนผมให้ไปนั่งข้างกันก่อนเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบบางอย่างออกมา
 
   มันคือรูปสติ๊กเกอร์พุริคุระที่ไปถ่ายกันมาเมื่อตอนกลางวัน เห็นแล้วก็อนาถใจ

   "ที่ลงไปยืมกรรไกรคือจะเอามาตัดไอ้นี่อ่ะนะ"

   "ก็ใช่ดิ"

   เพราะที่ร้านผมรีบลากน้องหมีออกมาเลยยังไม่ได้ตัดรูปแบ่งกัน แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้เท่าไรหรอกไอ้รูปนี้น่ะ

   "แบร์เก็บไว้คนเดียวเลยก็ได้"

   "ไม่" ปฏิเสธหนักแน่นแล้วยัดรูปที่เพิ่งตัดเสร็จใส่มือผม

   จะดูกี่รอบรูปนี้ผมก็ว่ามันตลก ตลกทั้งคู่เลยไม่มีใครถ่ายออกมาแล้วดูดี โดยเฉพาะน้องหมี นี่มันหมีกระเทยควายชัดๆ ตาโต ปากแดง แต่ตัวสูงไหล่กว้าง เห็นแล้วไม่หลอนตัวเองบ้างหรือไง

   "ได้ของแล้วกลับไปนอนได้" ทำตามใจได้ก็ไล่กันเลย

   "แล้วกรรไกร"

   "เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยคืน" พูดจบก็กองทุกอย่างไว้บนโต๊ะทีวีแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ให้มันได้อย่างนี้สิ

   ด้วยความเป็นคนดีผมเลยอาสาเอากรรไกรไปคืนแทน กลับมาอีกทีน้องหมีก็ยังอาบน้ำไม่เสร็จผมเลยชิงนอนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพราะเราจะออกไปผจญภัยนอกเมืองกันอีกวัน แต่ออกไปไกลกว่าวันนี้หลายเท่า และน่าตื่นเต้นกว่าวันนี้อีกร้อยเท่า



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-04-2017 20:12:00
น้องหมีคงฟินมาก ได้มากับพี่อิน น่าล้าคคคคค  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 12-04-2017 20:54:53
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2017 21:26:14
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 13-04-2017 01:11:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 3 [12/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 13-04-2017 21:18:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 17-04-2017 19:44:30
วันที่ 4


   วันที่สี่ในญี่ปุ่นกับการไปเที่ยวสวนสนุก ถ้าพูดถึงสวนสนุกในโตเกียวทุกคนคงต้องนึกถึงโตเกียวดิสนีย์แลนด์หรือโตเกียวดิสนีย์ซี ซึ่งสองที่ที่ว่ามานี้ผมไปทัวร์มาหมดแล้ว ไปมาที่ละสองสามครั้ง ไม่ใช่เพราะพิศวาสชอบอะไรนักหนา แต่ที่ไปเพราะไอดอลชอบไป เผื่อแต้มบุญมีผมจะได้มีวาสนาได้เจอน้องๆ ที่สวนสนุกบ้าง แล้วถามว่าเคยได้เจอบ้างมั้ย ตอบได้แบบเต็มปากเต็มคำเลยว่าไม่

   โตเกียวดิสนีย์แลนด์ทั้งที่มีชื่อว่าโตเกียวแต่ความจริงแล้วอยู่จังหวัดชิบะ จากโรงแรมที่ผมพักไปดิสนีย์แลนด์ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่วันนี้เราไม่ไป ผมเบื่อแล้วล่ะที่แบบนั้น มันยังมีสวนสนุกอีกที่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แถมน้องๆ ไอดอลก็ชอบไปถ่ายรายการ ทั้งน่าสนใจ น่าตื่นเต้น ระทึก แถมใกล้ชิดธรรมชาติ จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาฟูจิคิวไฮแลนด์ วันนี้เราจะไปพิชิตสถิติโลกกัน

   จากโรงแรมต้องนั่งรถไฟไปลงสถานีชินจุกุแล้วนั่งรถบัสต่อ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสี่สิบนาทีก็ถึงฟูจิคิว สวนสนุกที่ตั้งอยู่ในจังหวัดยามานาชิและอยู่ใกล้กับฐานภูเขาไฟฟูจิ เท่ากับยิ่งปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งเล่นสนุกและชมวิวภูเขาไฟสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นได้ในวันเดียวกัน

   ด้วยระยะทางที่ไกลมากทำให้วันนี้ต้องตื่นกันแต่เช้า เราเลยซื้อของจากซุปเปอร์เอาไว้กินระว่างทาง ขึ้นรถบัสได้ผมกับน้องหมีก็จัดการหม่ำอาหารเช้าแล้วพากันหลับทั้งคู่ ตื่นอีกทีซ้ายมือก็เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิจนต้องรีบหยิบกล้องขึ้นมากดถ่าย ใกล้ฟูจิแล้วแบบนี้อีกไม่กี่นาทีก็ถึง

   แปดโมงห้าสิบห้านาทีตามเวลาที่ระบุในตั๋วพวกเราก็มาถึงสวนสนุกฟูจิคิว แม้เป็นวันธรรมดาคนก็ยังเยอะโดยเฉพาะพวกวัยรุ่น เข้ามาข้างในได้ผมเลยคว้าแขนน้องหมีวิ่งไปต่อคิวเครื่องเล่นแรกทันที นี่ขนาดรีบวิ่งมานะยังรอตั้งยี่สิบนาที สวนสนุกญี่ปุ่นไม่ว่าจะวันไหนเวลาใดคนก็เยอะเสมอ วันนี้ผมเลยวางแผนมาเป็นอย่างดีว่าจะเล่นอะไรบ้าง เก็บเครื่องเล่นแนะนำให้หมด โดยเริ่มจากทาคาบิชะ รถไฟเหาะตีลังกาที่ถูกบันทึกในกินเนสส์บุ๊ค์วันชันที่สุดในโลก

   "ปวดขี้" ระหว่างยืนเข้าแถวอยู่ๆ น้องหมีก็พูดลอยๆ ขึ้นมา

   ผมพอจะเข้าใจอาการแบบนี้นะ เวลาที่ได้ทำอะไรเป็นครั้งแรกจะตื่นเต้น พอตื่นเต้นมากๆ ก็จะปวดท้อง แต่ผมว่าอาการน้องหมีไม่น่าจะใช่คนที่ตื่นเต้นธรรมดา ก็หน้าซีดซะขนาดนี้

   "อย่าบอกนะว่ากลัว"

   "ใช่ กลัว" ถามแล้วก็ยอมรับกันง่ายๆ แบบนี้เลย

   "แล้วทำไมไม่บอก"

   งานนี้โทษผมไม่ได้หรอกนะเพราะก่อนจะมาเราปรึกษากันแล้ว น้องหมีเองก็รู้ว่าที่ฟูจิคิวเป็นยังไง เครื่องเล่นโหดมหาโหดแค่ไหน ตอนผมถามว่าไปกันมั้ยคำตอบที่ได้ก็คือ 'เอาดิ' ฉะนั้นก็ยอมรับชะตากรรมซะเถอะ

   "ต้องเล่นนะเสียเงินแล้ว" ค่าเครื่องเล่นตั้งหลายพันผมไม่ยอมแน่ๆ ล่ะ หรือจะพูดอีกอย่างคือผมไม่ยอมเล่นคนเดียวแน่ๆ

   "รู้"

   "มันไม่มีอะไรหรอก"

   ระหว่างรอผมพยายามเบี่ยงประเด็นความสนใจหาเรื่องอื่นมาคุยจนน้องหมีดูอาการดีขึ้น แต่มันก็เท่านั้นเพราะไม่กี่นาทีต่อคิวก็รันมาถึงเราสองคนพอดี งานนี้บอกได้คำเดียวว่าทำใจซะไอ้น้อง

   ตัวรถไฟของทาคาบิชะมีทั้งหมดสองแถว แถวละสี่ที่นั่ง เก็บของในล็อคเกอร์เสร็จก็เข้าประจำที่ ผมนั่งริมน้องหมีนั่งกลางเพราะน้องมันคิดว่าที่นั่งตรงกลางจะหวาดเสียวน้อยกว่า

   พนักงานเช็คความเรียบร้อยเสร็จรถไฟก็เริ่มเคลื่อนที่ และด้วยความมุ้งมิ้งตามสไตล์ประเทศที่เต็มไปด้วยความน่ารักก่อนออกไปเผชิญความโหดร้ายจึงมีการโบกมือบ๊ายบายยิ้มหวานส่ง จนเมื่อรถไฟเคลื่อนตัวเข้าอุโมงค์มืดๆ รอยยิ้มก็ได้หายไป

   "ว้ากกกกกกกก!!!"

   ทั้งน้องหมี ทั้งคนที่นั่งข้างหลังกรีดร้องเหมือนคนเสียสติ ผมเองก็ด้วย มือกำที่จับไว้แน่น มันน่ากลัวตรงที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางความมืดในอุโมงค์นี้ สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวคือร้องระบายความอัดอั้นตันใจขณะที่กำลังโดนเหวี่ยงไปซ้ายทีขวาที

   โดนเล่นงานในความมืดจนมึนในที่สุดก็ได้ออกสู่แสงสว่าง ตามด้วยการตีลังกาอีกหลายตลบจนแทบจะหมดเสียงร้องรถไฟจึงเริ่มชะลอความเร็วลงเพื่อเข้าสู่จุดไคลแม็กซ์ของเครื่องเล่นนี้

   รางรูปตัวอาร์กับความชัน 121 องศา

   "พี่อิน!! แบร์จะตายม้ายยยย!!!"

   น้องหมีตะโกนออกมาขณะรถไฟเคลื่อนตัวขึ้นเป็นแนวดิ่งตั้งฉากกับพื้นโลกจนผมเกือบกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ เลยต้องรีบหาทางเบี่ยงเบนความสนใจ

   "แบร์ไม่ตายหรอกกกกก ดูวิวดิ สวยมากเลย" ผมชี้ไปที่วิวธรรมชาติรอบๆ สวนสนุก ถ้าหากยังมีสติพอที่จะชื่นชมได้ผมว่ามันเป็นวิวที่สุดยอดมาก ชมวิวมุมสูงจากรถไฟเหาะไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ แต่มุกนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้กับน้องหมี

   "ไม่ดู๊!!!!"

   อาการหนักขนาดนี้ผมเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้วเหมือนกัน

   ตัวรถไฟถูกดึงขึ้นมาถึงความสูง 43 เมตรในเวลาอันสั้นก่อนชะลอความเร็วลงคล้ายกับให้เราได้พักหายใจ แต่ยังไม่ทันสูดลมหายใจเท่าเต็มปอดมันก็กระตุกไปด้านหน้า รู้ตัวอีกทีก็มองเห็นพื้นด้านล่างเสียแล้ว

   ใจผมเต้นรัวเมื่อเจ้าทาคาบิชะแล่นไปตามความโค้งของรางที่เขาโฆษณากันว่ามีความชันถึง 121 องศา มันค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ ให้ผู้เล่นได้รับรู้ถึงความหวาดเสียงจากขั้วหัวใจคละเคล้าไปกับธรรมชาติงามๆ โดยรอบสวนสนุก แต่เวลาแบบนี้ใครจะไปมีเวลาคิดถึงธรรมชาติกันเล่า

   "ว้ากกกกกกกก!!"

   "วู้วววววววววว!!"

   ผมกับน้องหมีร้องกันคนละภาษาเมื่อมันทิ้งตัวลงด้วยความเร็วก่อนตีลังกาอีกสามรอบ จากนั้นจึงเข้าทางราบกลับสู่จุดเริ่มต้นที่มีพนักงานยืนรอรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมน่ะไม่เท่าไร แต่คนข้างๆ นี่สิยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

   อุปกรณ์ล็อคเปิดออกเราก็ลุกไปหยิบของแล้วเดินลงมา ผมต้องคล้องแขนน้องหมีเอาไว้เพราะน้องมันดูสติจะยังไม่สมประกอบเท่าไร อาจจะยังล่องลอยอยู่แถวๆ รางเครื่องเล่นก็เป็นได้

   "ไหวมั้ยเนี่ย"

   "มั้งนะ"

   "ปวดท้องนี่ ไปห้องน้ำก่อนมั้ย"

   "ไม่ทันแล้ว"

   "ฮะ!" อยากบอกนะว่าน้องมัน...

   "ขี้มันไหลย้อนกลับเข้าไปในกระเพาะหมดแล้ว" คำตอบของน้องหมีทำเอาผมอ้าปากค้าง สีหน้าน้องมันซีดเซียวดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก แต่นี่มันเพิ่งเครื่องเล่นแรกเองนะจะมาอ่อนปวกเปียกแบบนี้ไม่ได้

   "งั้นก็ไม่ปวดท้องแล้วดิ ดีๆ"

   "พี่อิน~" น้องหมีโอดครวญเสียงอ่อยตอนผมลากแขนให้รีบเดินเร็วๆ เพื่อไปยังเครื่องเล่นถัดไป แต่ผมไม่หยุดหรอก ร้องมาได้เลยเต็มที่

   เราลงมาถึงจุดขายภาพถ่ายบนเครื่องเล่นเลยหยุดดูกัน ผมกวาดตามองภาพบนหน้าจอจนเจอกับรูปถ่ายของเราที่ถ้ามองเผินๆ คงดูไม่ออก ตัวผมน่ะไม่เท่าไรยังยิ้มแย้มร่าเริงสีหน้าดูจะชอบใจกับเครื่องเล่นนี้ด้วยซ้ำ ผิดกับน้องแบร์ที่หลับตาปี๋อ้าปากกว้างไม่สนใจใคร ดูไปแล้วก็ตลกดี

   "ไปๆ อย่าดู" แล้วน้องหมีก็เป็นฝ่ายลากผมออกมา

   จากทาคาบิชะผมก็พาน้องหมีไปต่อแถวเครื่องเล่นถัดไปที่อยู่ข้างๆ กัน จากจุดนี้อีกประมาณสองชั่วโมงกว่าจะคิวเล่นเอาหมีตัวโตแต่ใจป๊อดร้องโฮบ่นว่ารอนาน แต่พอเห็นรางเครื่องเล่นที่สูงจนต้องเงยหน้ามองทำเอาปวดคอคนที่บ่นเมื่อกี้ก็กลับคำขึ้นมาซะงั้น

   "ให้รอสองชั่วโมงยังไม่รู้จะทำใจได้หรือเปล่าเลย"

   "ผ่านอันแรกมาแล้วอันนี้ชิลๆ น่า"

   "เหรอ" ทำเสียงประชดใส่ผมหน้าแหย

   มาเที่ยวด้วยกันมันก็ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแบบนี้แหละ ผมพาน้องหมีไปในที่ที่น้องมันอยากไป น้องหมีก็ต้องยอมมาในที่ที่ผมอยากมาบ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต่างคนต่างไปจะได้ไม่ต้องคอยห่วงกัน ซึ่งเดิมทีแล้วผมตั้งใจให้เป็นอย่างหลังมากกว่า แต่ในเมื่อมาด้วยกันแล้วก็ต้องยอมๆ กันไป

   "หิวมั้ย" มื้อเช้าเรากินของจากร้านสะดวกซื้อกันไปแค่หน่อย นี่ก็ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วน้องมันอาจจะหิวอีกก็ได้ ยิ่งเป็นคนกินเยอะอยู่

   "ไม่อ่ะ กินไปแล้วขึ้นไปเล่นไอ้นี่ได้อวกกันพอดี" น้องหมีเงยหน้าขึ้นมองรางอีกครั้งแล้วทำท่าขนลุกขนชัน

   เล่นทำท่าไม่อยากเล่นมันมากๆ แบบนี้ผมก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันนะ หรือผมควรจะให้น้องหมีเลือกดีว่าอยากเล่นอันไหนแล้วค่อยเล่น ไม่ได้อยากบังคับขนาดนี้แต่ผมไม่อยากเล่นคนเดียวนี่นา

    "ถ้าไม่อยากเล่นจะไปนั่งรอก็ได้นะ" ผมด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางบุ้ยปากไปยังโต๊ะเก้าอี้หน้าร้านอาหารที่อยู่ข้างๆ เล่นเอาน้องหมีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

   "ไม่ใช่"

   "แบร์ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ"

   "แล้วถ้าแบร์ไม่เล่นพี่อินจะเล่นคนเดียวเหรอ"

   "ก็คงงั้นมั้ง" แล้วจะให้ผมไปเล่นกับใครล่ะ

   "เล่นกับแบร์นี่แหละ"

   "งั้นก็อย่าบ่น"

   "นิดนึงน่า ยังพอมีเวลาให้เตรียมใจ ขึ้นไปเผชิญกับมันเมื่อไรแบร์จะอดทน ส่วนผลจะออกมาเป็นยังไงก็จะยอมรับมัน" น้องหมีมองตรงมาที่ผมบอกด้วยน้ำเสียงและแววตามุ่งมั่นต่างจากท่าทีอิดออกเมื่อกี้ลิบลับ

   "แค่ขึ้นรถไฟเหาะไม่ต้องจริงจังขนาดนี้ก็ได้มั้ง" ก็นั่นแหละ พูดอยากกับจะออกไปเผชิญปัญหาใหญ่สักอย่าง ถึงไอ้รถไฟเหาะเนี่ยจะเป็นปัญหากับน้องมันก็เถอะ แต่คำพูดเมื่อกี้ผมว่ามันโอเวอร์ไปนิด

   การรันคิวมันรวดเร็วกว่าที่คิด ไม่ถึงสองชั่วโมงผมกับน้องหมีก็มายืนอยู่ในที่กั้นสำหรับรอขึ้นเครื่องเล่น เราได้อยู่แถวที่สองซึ่งคงไม่น่าหวาดเสียวเท่ากับตอนนั่งแถวแรกของทาคาบิชะ แต่ด้วยฉายา KING OF COASTERS ของเจ้าเครื่องเล่นนี้ก็ทำให้ผมใจเต้นตึกตักตั้งแต่ตอนยืนรอ

   ผู้เล่นชุดเก่าออกจากเครื่องเล่นก็ได้เวลาของผู้เล่นชุดใหม่ออกไปเผชิญกับความตื่นตาตื่นใจ ผมนั่งฝั่งซ้ายน้องหมีนั่งขวา ใจหวิวๆ รู้สึกกลัวนิดๆ แต่พยายามไม่แสดงออกตอนรถไฟเริ่มเคลื่อนที่ เพราะถ้าผมกลัวคนข้างๆ ต้องสติแตกแน่นอน

   รถไฟเคลื่อนตัวไปตามรางที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ด้านซ้ายมือเห็นภูเขาไฟฟูจิสัญญาลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม บนยอดมีหิมะปกคลุมรวมถึงก้อนเมฆที่ไหลเอื่อย นับว่าเป็นโชคดีที่วันนี้อากาศแจ่มใสฟูจิซังเลยไม่ขี้อายออกมาให้ยลโฉมได้แบบเต็มตา เป็นอีกมุมที่ผมว่ามันสวยมากๆ สวยในแบบหวาดเสียวด้วย ยิ่งหันไปมองขวามือเห็นตัวเลขที่บอกความสูงตั้งแต่ 20 เมตร 30 เมตร 40 เมตร จนกระทั่งสูงเมตรที่ 79

   รถไฟเหาะที่เคยได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก ทำความเร็ว 130 กม./ชม. กับวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆ KING OF COASTERS ที่มีชื่อว่า ฟูจิยาม่า

   "ว้ากกกกกกกกกก!!!"

   จังหวะที่รถไฟทิ้งดิ่งลงมาจากความสูงกว่า 70 เมตรน้องหมีก็ร้องไม่เป็นภาษาไม่ต่างจากตอนเล่นทาคาบิชะ ต่างกับผมที่รู้สึกดีเอามากๆ มือทั้งสองข้างปล่อยจากที่จับ เงยหน้ารับลมเย็นๆ ที่ทำเอาหน้าชาพลางอ้าปากส่งเสียง 'อา~' เบาๆ อย่างอารมณ์ดี

   เจ้าฟูจิยาม่าพาเราขึ้นที่สูงก่อนทิ้งดิ่งลงมาวนอยู่แบบนี้อยู่หลายรอบ ทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด ผมปล่อยมือบ้างจับที่จับบ้างสลับกันไปตามความหวาดเสียวที่ต้องเผชิญในขณะที่น้องหมีเอาแต่แหกปากร้องอย่างเดียว จนผมยกมือขึ้นอีกรอบน้องหมีก็ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ แล้วยกตาม แต่ได้แค่แป๊บเดียวก็กลับไปคว้าที่จับเหมือนเดิมแต่ดันเกี่ยวแขนผมลงไปด้วยซะงั้น เห็นน้องมันร้องเหมือนคนใกล้เสียสติผมเลยเลื่อนมือไปจับมือไว้ จนกระทั่งรถไฟพาเรากลับมายังจุดเริ่มต้น

   สามนาทีแห่งความหฤหรรษ์ผ่านไปทำเอาเวียนหัวนิดๆ ผมอ้าปากรับลมจนรู้สึกคอแห้งในขณะที่น้องหมีเดินเซออกจากเครื่องเล่นจนผมต้องคล้องแขนไว้พาไปหยิบของในล็อคเกอร์แล้วเดินลงมาตามทางลาด อาการหนักขนาดนี้จะไหวไหมล่ะเนี่ย

   มาถึงห้องโชว์รูปถ่ายจากอาการป้อแป้ก็เล่นเอาขำจนปวดท้อง หน้าตาน้องหมีแสดงออกถึงความกลัวสุดขีด ส่วนผมอ้าปากค้างเหมือนคนเมายากันยุง เป็นรูปที่ชาตินี้คงไม่มีวันซื้อกลับไปอย่างแน่นอน

   ด้วยความสงสารกลัวว่าน้องหมีจะช็อคตายไปเสียก่อนผมเลยพาน้องมันไปนั่งพัก เอายาดมให้ดม ซื้อน้ำซื้อขนมให้กิน คนที่โดนรถไฟเหาะสูบวิญญาณออกไปจะได้กลับมามีพลังงานเหมือนเดิม

   "ไปเล่นต่อจะไม่อ้วกใช่มั้ย"

   "อันนี้ก็ไม่แน่ใจ"  ตอบด้วยสีหน้าไม่แยแสปากก็เคี้ยวยากิโซบะตุ้ยๆ

   ผมยกโกโก้ร้อนที่กดมาจากตู้ขึ้นดื่มท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่าน ตอบแบบนี้เล่นเอาหนักใจเหมือนกันนะ แต่หลังจากได้เติมอาหารลงท้องหน้าตาน้องหมีก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย

   "แล้วจะไปเล่นอะไรต่อ"

   "อันนู้น" ผมชี้ไปยังเครื่องเล่นที่มีรางเป็นสีแดงโดดเด่นซึ่งเห็นอยู่ไกลๆ ไฮไลท์อีกอย่างที่ต้องเล่นให้ได้

   น้องหมีลุกขึ้นชะเง้อมอง แต่เห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะมันอยู่ค่อนข้างไกลก่อนนั่งลงแล้วเริ่มจัดการของกินที่วางอยู่เต็มโต๊ะโดยไม่ออกความเห็น



   ต่อด้านล่าง

         v
         v
         v

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 17-04-2017 19:46:00


        เติมพลังกันแล้วก็ได้เวลามุ่งหน้าไปพิชิตสถิติโลกลำดับต่อไป เดินมาถึงตัวเครื่องเล่นก็เจอกับแถวยาวเหยียดพร้อมกับป้ายเวลาที่บอกว่าต้องอีกราวๆ สามชั่วโมง เป็นความหฤโหดของสวนสนุกที่นี่ที่ต้องยืนรอขาแข็งท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บที่ผมว่ามันเย็นกว่าตอนเรามาถึงเสียอีก

   ยืนต่อแถวมาได้ชั่วโมงกว่าเราก็ได้เข้ามาด้านในตัวอาคารที่มีทางแยกเป็นสองทางให้เราเลือก ฝั่งซ้ายเป็นด้านนอกฝั่งที่รถไฟวิ่งผ่าน ส่วนทางฝั่งขวาดูค่อนข้างมิดชิดน่าจะอุ่นกว่า หลังจากปรึกษากันเป็นเวลาสิบวินาทีเราก็ตกลงเลือกฝั่งขวากัน

   "ทำไมเหมือนหมอกลง" ไม่ใช่แค่หมอกลงแต่หนาวกว่าเดิมมากด้วย บรรยากาศดูอึมครึมต่างจากช่วงเช้าที่มาถึง ไม่ใช่ว่าฝนจะตกหรอกเหรอ ผมไม่ได้เช็คสภาพอากาศมาด้วย

   "เหมือนฝนจะตกตอนบ่ายสอง" คำตอบมาจากน้องหมีที่เพิ่งเปิดดูแอปพยากรณ์ในอากาศในมือถือ

   ฝนตกบ่ายสอง ตอนนี้บ่ายโมงกว่า ถ้าฝนตกเครื่องเล่นกลางแจ้งทั้งหมดจะปิด งั้นก็หมายความว่าถ้าฝนตกตอนบ่ายสองจริง หลังจากเล่นเครื่องเล่นนี้เสร็จเครื่องเล่นที่เหลือก็จะปิดหมดเลยงั้นสิ ไม่ได้การแล้วนะแบบนี้

   "อย่าตกเลย" ผมยกมือไหว้บนบานศาลเจ้าสิ่งศักดิ์ชองฟิจูคิวให้พยากรณ์อากาศคาดเคลื่อน จะตกก็ได้แต่ขอเป็นหลังหกโมงเย็นแทนได้ไหม ตกตอนนี้ก็เก็บเครื่องเล่นไม่ครบน่ะสิ

   "เจ้าที่ฟังภาษาไทยไม่ออกหรอก"

   "บนเจ้าพ่อที่ไทยก็ได้"

   "ยังไงมันก็ตก ดูบรรยากาศดิ"

   รู้แล้วว่าบรรยากาศแบบนี้คงไม่รอดแน่ แต่หน้าตาน้องหมีมันจะดูยินดีไปไหนที่ฝนกำลังจะตก คงคิดว่าไม่ต้องเล่นอะไรที่มีหวาดเสียวอีกแล้วล่ะสิถ้า แต่เสียใจด้วยนะ ถ้าเล่นเครื่องเล่นที่เรากำลังต่อแถวอยู่นี่แล้วต่อมความกลัวคงตายด้านจนเล่นอะไรก็ไม่มีทางกลัวอีกแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลิกยินดีกับอะไรที่มันไม่เข้าเรื่องซะเถอะ

   อีกห้าสิบนาทีต่อมาเราก็ได้ขึ้นมานั่งบนเครื่องเล่นที่มีแกนตรงกลางวิ่งไปตามรางและแยกที่นั่งออกเป็นสองฝั่งแถมเป็นที่นั่งแบบปล่อยให้ขาลอยห้อยโต่งเต่งไปมา เครื่องประดับทุกอย่างรวมถึงรองเท้าถูกสั่งให้ถอดออก เพียงแค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าเครื่องเล่นนี้มันจะสร้างความหฤหรรษ์ให้เราขนาดไหน

   เอ้จาไน่ก๋า แค่ชื่อก็ฟังดูประหลาดแต่เชื่อเถอะว่ามันจะสร้างความประหลาดใจมากกว่าชื่อแน่นอน

   รถไฟเหาะเริ่มเคลื่อนที่พร้อมกับเสียงร้องเสียงปรบมือจากพนักงานรวมถึงคนที่ยืนรอคิวอยู่ว่า ‘เอ้จาไน่ก๋า เอ้จาไน่ก๋า’ เสียงความคึกครื้นก่อนออกเดินไปทางสู่ความโหดร้าย ผมที่ได้นั่งด้านนอกปรบมือและร้องตามไปด้วย ตอนรถไฟแล่นผ่านพนักงานก็โบกมือทักทายกันด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ จนเมื่อมันโผล่พ้นออกมาจากตัวอาคารรอยยิ้มก็ได้จางหายไป

   เอ้จาไน่ก๋า เป็นเครื่องเล่นสี่มิติ นอกจากที่นั่งจะหมุนได้รอบทิศทางแล้วมันยังวิ่งถอยหลังพาเรานอนหงายท้องเท้งเต้งตั้งแต่จุดเริ่มต้นอีกด้วย

   "ฮือออออออ" น้องหมีส่งเสียงร้องเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ตอนถูกถึงขึ้นสู่ที่สูงในท่าถอยหลัง ไม่รู้ว่าหมดแรงจะร้องหรือเริ่มชินกับเครื่องเล่นหวาดเสียวแล้วกันแน่

   น้องหมีเอื้อมมือมาด้านข้างทำสายตาเว้าวอนคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ ผมเลยยื่นมือออกไปจะจับมือน้องมันไว้แต่สัมผัสได้แค่เพียงปลายนิ้วต่างคนก็ต่างชักมือกลับมาจับที่จับไว้แทนเมื่อรถไฟทิ้งตัวลงแล้วเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาตีลังกาม้วนหน้าม้วนหลังจนต้องแหกปากร้องเหมือนคนสติไม่เต็มเต็ง

   "อ๊ากกกกกกกก!!!"

   "วู้วววววววววววว!!!"

   "เอากูลงปายยยยย!!"

   "ฮ่าๆๆๆๆๆ"

   "แม่งเอ้ยยยยยยย!!!"

   สองนาทีโดยประมาณเจ้าเอ้จาไน่ก๋าก็พาเรากลับมาถึงจุดเริ่มต้น ผมรู้สึกมึนเหมือนมีคนเอาอะไรมาทุบหัวเพราะตอนโดนเหวี่ยงหัวมันกระแทกกับพนักพิงจนระบมไปหมด สภาพน้องหมีเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก ใส่รองเท้าหยิบของในล็อคเกอร์ได้ก็พากันเดินออกมาพร้อมกับฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ และพลังงานที่โดนสูบไปจนหมด

   เราพักยกความเสียว แวะเข้าห้องน้ำและหาอะไรกินอีกรอบ ได้น้ำมาคนละขวดกับน่องไก่อบน่องใหญ่เดินถือกินเพื่อไปยังจุดหมายต่อไปที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกครึ้มให้บรรยากาศน่าพิศวง บวกกับท้องฟ้าอึมครึมในวันฝนตกยิ่งดูน่ากลัวไปกันใหญ่ เพราะที่ที่เรากำลังไปคือ บ้านผีสิง

   ไฮไลท์ของฟูจิคิวผมขอยกให้ที่นี่เลย เรียกว่าบ้านผีสิงมันก็ดูน้อยไป ต้องเรียกว่าโรงพยาบาลผีสิงถึงจะถูก ดูแค่ข้างนอกว่าน่ากลัวแล้ว แล้วข้างในจะน่ากลัวขนาดไหน น่ากลัวไม่น่ากลัวก็ดูได้จากกฎการเข้าเล่นที่ห้ามเข้าไปคนเดียวแถมมียันกันผีให้ซื้อ เจ้าหน้าที่เขาคงกลัวว่าให้ไปเดินวนในโรงพยาบาลผีสิงตั้งยี่สิบสามสิบนาทีคนเดียวจะช็อคตายเอาได้ล่ะมั้ง ขนาดผมมากับน้องหมีสองคนยังรู้สึกหวาดๆ เลย หวังว่าน้องมันจะไม่กลัวผีนะ เพราะผมกลัว

   ยืนรอคิวใต้หลังคาท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แทะน่องไก่จนเหลือแต่กระดูกผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ใกล้ถึงคิว จุดที่พวกเรายืนตอนนี้มันตรงกับทางออกพอดี เห็นคนกรีดร้องวิ่งหนีกันออกมาก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวาเข้าไปอีก

   "ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เลย" น้องหมีพยักพเยิดหน้าไปทางกลุ่มที่เพิ่งวิ่งกันออกมา

   มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ เพื่อนบางคนช่วยปลอบบางคนก็หัวเราะ เห็นแล้วนึกถึงสาวๆ ไอดอลที่ผมชอบเลย เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความน่ากลัวไอดอลหลายวงเลยชอบมาถ่ายทำรายการ แล้วก็แทบทุกคนที่กรี๊ดกร๊าดวิ่งหนีออกมา บางคนก็ร้องไห้จนอยากทะลุจอเข้าไปลูบหัวปลอบ แต่รายต่อไปที่จะร้องไห้อาจเป็นผมก็ได้

   "กลัวมั้ย"

   "ไม่อ่ะ"

   ใครกลัว ไม่มีหรอก ไม่ว่าจะดรีมเวิลด์ สวนสยามผมไปทัวร์มาหมดแล้วเมื่อหลายปีก่อน แค่โรงพยาบาลผีสิงแค่นี้ไม่กลัวหรอก จริงจริ๊ง

   "อย่าให้ได้ยินเสียงกรี๊ดนะ" ทำมาเป็นขู่ ถ้าน้องมันกรี๊ดเองนะผมจะเก็บไว้ล้อยันลูกบวชเลย

   ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจ พนักงานก็เรียกรันคิวพอดี ผู้เล่นถูกแบ่งตามจำนวนของแต่ละกลุ่มที่มาด้วยกัน เยอะบ้างน้อยบ้างคละเคล้ากันไป ผมกับน้องหมีเดินตามเข้าไปข้างในเป็นคู่สุดท้าย มีการเปิดวิดีโอความเป็นมาเป็นไปของโรงพยาบาลผีสิงแห่งนี้เป็นการปฐมบทความกลัว ถามว่าได้ผลไหม มันก็นิดนึงล่ะนะ

   จบจากการดูวิดีโอทุกคนในเซ็ตนี้ก็ถูกต้อนไปยืนรอหน้าห้องห้องหนึ่ง ทยอยกันเข้าไปทีละกลุ่มใช้เวลาไม่นานนักจนมาถึงคู่ผมกับน้องหมี พนักงานให้เรานั่งบนเก้าอี้ยาวเพื่อถ่ายรูป นับเลขเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้สัญญาณก่อนกดชัตเตอร์

   แชะ!

   ฟู่ว!

   "เหี้ย!!"

   ลมจากไหนไม่รู้เป่าเข้าหูผมเต็มๆ เก้าอี้ที่เรานั่งอยู่ยุบลงพร้อมกับแสงแฟลชที่สาดออกมาพอดี เป็นการหลอกถ่ายรูปที่น่าโมโหเป็นอย่างมาก และรูปที่ออกมามันคงน่าเกลียดจนดูไม่ได้แน่นอน

   ถ่ายรูปเสร็จพนักงานก็ให้ไฟฉายเล็กๆ มาหนึ่งอัน ตัวช่วยลดความสยดสยองน่ากลัวที่เรากำลังจะได้ออกไปเผชิญ เป็นน้ำใจอันยิ่งใหญ่ที่ผมจะไม่ลืมเลย

   "แบร์นำนะ" ผมยื่นไฟฉายให้น้องหมีเมื่อพนักงานปล่อยเราให้เผชิญกับความมืดเบื้องหน้าเพียงลำพัง

   "โอเค"

   น้องหมีรับไฟฉายไปถือไว้จากนั้นเราจึงเริ่มออกเดินไปตามเส้นสีแดง ลัดเลาะไปตามซอกซอยและห้องต่างๆ ที่ถูกจัดไว้ซะเหมือนจริง ทั้งอุปกรณ์การแพทย์ ฉากในห้องผ่าตัด แสงสลัวกับบรรยากาศที่น่ากลัวมากๆ เอฟเฟคเสียงเอฟเฟคลมมาครบ ไหนจะคนที่แต่งเป็นผีในชุดเสื้อกาวน์สีขาวคอยโผล่ออกมาส่งแฮ่ๆ หลอกให้ตกใจจนผมเผลอกระโดดไปเกาะน้องหมีอยู่หลายครั้ง

   "คนทั้งนั้น ไม่มีอะไรหรอกน่า" น้องหมีคงรู้แล้วล่ะว่าผมกลัวผีถึงได้พูดออกมาแบบนี้

   ผมกำเสื้อกันหนาวน้องหมีเอาไว้แน่นตอนที่เราก้าวเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด จนมาถึงทางเดินยาวๆ ที่ด้านขวาเป็นห้องตรวจเรียงไปจนสุดท้าย เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่แค่ทางเดินธรรมดาๆ แน่นอน

   เราค่อยๆ เดินไปตามทางที่เงียบสงัดมีเพียงแสงไฟสลัวๆ กับแสงจากไฟฉายอันน้อยที่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไร แต่ละย่างก้าวที่เดินไปเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ผมหันไปมองข้างหลังเป็นระยะเพราะกลัวจะมีตัวอะไรโผล่มาจนเผลอขย้ำเสื้อน้องหมีเอาไว้แน่น แม้จะบอกตัวเองอยู่ซ้ำๆ ว่าที่นี่เป็นสวนสนุกไม่มีผีจริงๆ สักหน่อย แต่ด้วยบรรยากาศโหวงเหวงนี่มันก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี

   ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเราเดินมาถึงครึ่งทาง แต่ตลอดทางที่ว่านั่นมีเสียงกึกๆ กักๆ ดังมากจากประตูด้านซ้ายตลอดเวลาทำเอาเดาไม่ได้ว่าผีคุณหมอจะโผล่ออกมาเมื่อไร

   "อย่าวิ่งนะ" บอกน้องมันเอาไว้ก่อนเพราะถ้าน้องมันวิ่งผมคงตามไม่ทันแน่ๆ

   "พี่อินก็..."

   ปัง!

   "แฮ่!!!"

   "ว้ากกกกก!!!"

   ใครไม่จะวิ่งไม่วิ่งไม่รู้แต่ผมวิ่งก่อนแล้ว ไอ้ผีหมอนั่นมันดันโผล่มาข้างหลังผมพอดี โกยแน่บสิงานนี้รออะไร

   "พี่อินรอด้วย!!"

   หลุดจากทางเดินยาวมาได้แขนผมถูกดึงไว้จากคนที่วิ่งตามหลังมา เกือบจะสะบัดแขนทิ้งและวิ่งต่อแล้วถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องหมี เล่นวิ่งสี่คูณร้อยแบบนี้ทำเอาหอบแฮ่กทั้งคู่

   "ไหนว่าจะไม่วิ่งไง"

   "บอกแบร์ห้ามวิ่งคนเดียวไง" งานนี้ผมไม่ขอรับผิด ผมสั่งน้องมันฝ่ายเดียว ฉะนั้นผมวิ่งหนีได้

   "ไม่ต้องเลย" พูดเหมือนคนงอนแล้วคว้ามือผมไปจับไว้ก่อนพาเดินต่อ เอางี้เลยเหรอ กะไม่ให้หนีอีกแล้วใช่มั้ย

   เส้นทางต่อจากทางเดินยาวที่วิ่งสู้ฟัดกันมาเป็นอะไรที่ค่อนข้างทุลักทุเล น้องหมีไม่กลัวเลย แทบไม่ตกใจเลยด้วย เดินอาดๆ อย่างกับมาทัศนศึกษา ต่างกับผมที่สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ตกใจทีเดินเซไปชนน้องมันที จะเดินนำหน่อยก็ไม่ได้ล้ำหน้าแค่นิดเดียวก็โดนดึงให้กลับมา ไม่เหลือฟอร์มที่อุตส่าห์เก๊กไว้ก่อนเข้ามา ไม่เหลือแล้วพี่อินผู้องอาจของน้องหมี

   ความหวาดวิตกทรมานอันยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อเดินมาถึงด่านสุดท้ายของโรงพยาบาลผีสิงแห่งนี้ ไฟหน้าห้องที่ขึ้นมาให้รอทำเอาผมใจเต้น พวกกับเสียงกรีดร้องผู้คนที่วิ่งหนีออกมาทำให้ผมเริ่มจินตนาการไปต่างๆ นานาว่าในนั้นมันมีอะไรรอเราอยู่กันแน่

   ปล่อยให้รอด้วยใจลุ้นระทึกไม่นานนักประตูก็เปิดออก ผมบีบมือน้องหมีแน่นตอนก้าวเข้าไปข้างใน มันทั้งเงียบและมืด เราเดินไปช้าๆ ไม่กระโตกกระตาก แต่แล้วเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำเอาใจผมกระตุกวูบ

   "ฮือออออ"

   "อ๊ากกกกก!!"

   ทันทีที่เอี้ยวตัวไปมองก็ต้องแหกปากร้องออกมา ประชิดตัวไปแล้วเว้ยยยยย ถ้าจะหลอกกันใกล้ขนาดนี้มาสิงกันเลยเอาม้ายยยยย

    "แฮ่!!"

   ผีตัวแรกที่พลางตัวเป็นกิ้งก่าวิ่งไล่พร้อมกระทืบเท้าดังตุบๆ จนผมต้องรีบลากน้องหมีให้วิ่งหนี แต่วิ่งไปยังไม่ทันถึงประตูผีอีกตัวก็โผล่ออกมาช่วยกันวิ่งไล่ และส่งเราถึงทางออกโดยสวัสดิภาพ

   ซะเมื่อไรกันเล่า

   ออกมาสู่แสงสว่างก็เจอห่าฝนจู่โจมจนต้องรีบวิ่งเข้าห้องขายของที่ระลึกซึ่งเป็นทางออกไปด้านนอก รวมถึงเป็นจุดดูรูปที่ถูกถ่ายไว้ก่อนจะเริ่มเล่นบ้านผีสิงด้วย

   ผมยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่ได้มาตอนถ่ายรูปให้พนักงานรูปถ่ายของเราก็ปรากฏบนหน้าจอ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ผมโดนเป่าจนฟู หน้าตาประหลาดๆ ตอนตกใจ มือไม้ยกค้างไม่เป็นท่า ทั้งผมทั้งน้องหมีไม่มีใครดูดีสักคน ขอยกให้เป็นรูปที่แย่ที่สุดของวันนี้เลย

   "ไปไหนต่อดี"

   แต่ที่แย่กว่ารูปถ่ายก็สภาพอากาศตอนนี้นี่แหละ นอกจากจะเซ็งที่อดเล่นเครื่องเล่นกลางแจ้งที่เหลือแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไร

   "ต้องไปหาที่หลบฝนก่อน แบร์เอาร่มมามั้ย"

   "ไม่ได้เอามา"

   "งั้นแบร์ถือ"

   ผมหยิบร่มออกมาจากกระเป๋าแล้วให้น้องหมีเป็นคนถือ ก่อนเดินเบียดๆ กันในร่มคันกระจิ๊ดริดผ่านทางเดินยาวๆ เพื่อมาหาที่หลบฝนข้างนอก ยังโชคดีที่ฝนตกหนักไม่นานนักก่อนจะลงปรอยๆ เป็นละอองน่ารำคาญ แต่ถึงแม้สายฝนจะบางเบาจนไม่น่ากระทบอะไรสุดท้ายเครื่องเล่นกลางแจ้งก็ยังเปิดอยู่ดี
 
   ในเมื่อไม่มีอะไรเปิดให้เล่นเราเลยเดินถ่ายรูปเล่นกัน ตามจุดต่างๆ เริ่มเปิดไฟประดับประดารับกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินทั้งที่ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงเย็น ผมพาน้องหมีเข้าไปดูอีวานเกเลี่ยนที่ยังเปิดให้เข้าชมอยู่ เสร็จแล้วก็ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่กระจกมีแต่หยดน้ำเกาะจนมองอะไรแทบไม่เห็น พอใกล้ห้าโมงเย็นท้องฟ้าก็มืดสนิท ในสวนสนุกไม่มีอะไรเหลือให้เล่น เราเลยตัดสินใจว่าจะออกไปนั่งรอรถที่สถานี แม้จะจองรถบัสขากลับไว้ตอนหกโมงเย็นก็ตาม



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-04-2017 21:12:19
ไปสวนสนุกดิสนีย์แลนด์
ต่างฝ่าย ต่างเห็นจุดอ่อนของกันและกัน
แบร์ กลัวเครื่องเล่นที่มีความเร็วบนที่สูงๆชัน
พี่อิน กลัวรพ.ผีสิง
คนที่ไม่กลัวอะไรเลยก็คงมีนะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 17-04-2017 21:16:21
คนอ่านฮามาก
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 17-04-2017 22:36:40
สนุกดีครับบบ
ติดตามนะครับบ
เป็นกำลังใจให้นักเขียน
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 18-04-2017 11:49:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-04-2017 20:53:31
เหมือนอ่านกระทู้รีวิวญี่ปุ่นจากพันทิป ชอบรายละเอียดของเรื่อง อ่านแล้วอยากไปตามรอยน้องหมีพี่อินเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 4 [17/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 18-04-2017 21:47:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 26-04-2017 20:08:49


คืนที่ 4


   รถบัสพาเรากลับมาถึงชินจูกุตอนสองทุ่มในขณะที่สายฝนยังโปรยปรายลงมาไม่หยุด ผมเดินลงรถด้วยความงัวเงียเพราะหลับมาตลอดทาง พร้อมกับท้องที่ร้องประท้วงว่าหิวจนจะย่อยผนังกระเพาะแทนอาหารที่ไม่ตกถึงท้องมาตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน
 
   "หิว" เป็นคำเดียวที่หลุดมาจากปากน้องหมีซึ่งมีสภาพไม่ต่างจากผม

   แต่เพราะฝนตกจะเดินออกไปหาอะไรกินไกลๆ ก็ไม่ได้ แถมย่านชินจูกุเป็นย่านที่ผมไม่ชำนาญอีก เลยเดินวนหาร้านแถวๆ สถานีซึ่งไม่มีร้านอาหารสักร้าน ลองหาบนห้างที่ติดกับสถานก็เจอแต่ร้านแพงๆ แถมไม่มีอะไรที่อยากกิน จุดจบของคนเรื่องมากเลยอยู่ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ กับโรงแรมแทน

   ผมเดินนำหน้ามีน้องหมีถือตะกร้าเดินตาม ด้วยความหิวเราเลยหยิบทุกอย่างที่อยากกินลงตะกร้า ทั้งข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมกรุบกรอบ นม รวมถึงเบียร์อีกหลายกระป๋องที่น้องหมีแทบจะกวาดใส่ตะกร้า คิดเงินมาผมว่ามันแพงพอๆ กับข้าวบนห้างเลยนะ แต่ดีตรงที่มีให้เลือกกินได้หลายอย่าง

   กลับมาถึงโรงแรมด้วยสภาพเปียกมะลอกมะแลก อาบน้ำเสร็จก็มานั่งล้อมของกินบนพื้นจัดการข้าวกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนอิ่มแปล้ก็อัดยากันหวัดแล้วกินขนมกันต่อ

   ผมนั่งเอนหลังพิงเตียงตัวเอง ต่างคนต่างหยิบมือถือขึ้นมากดเล่น เปิดเฟซบุ๊กมาก็เจอสเตตัสของน้องหมีโชว์อยู่อันแรก เป็นโพสต์ที่ยาวมากจนต้องใช้เวลาอ่านอยู่หลายนาที อ่านไปก็ขำไปกับการระบายเรื่องราวของวันนี้ บรรยายการขึ้นเครื่องเล่นแต่ละอย่างได้เห็นภาพน่ากลัวจนไม่อยากไปตามรอย แต่สำหรับผมมันตลกมากกว่า ขำหนักจนเจ้าตัวถามเสียงเข้ม

   "ขำอะไร"

   "ก็ขำที่โพสต์ไง"

   "มันคือความทรมานนะนั่น ตลกเหรอ" ทำมาเป็นบอกว่าคือความทรมาน จริงๆ แล้วอยากเห็นคนอ่านเขาเฮฮากันมากกว่านั่นแหละ

   "ก็ตลกไงถึงได้ขำ"

   "แต่ตลกพี่อินมากกว่า"

   "ตลอกอะไร" ไม่น่าเลยผม โดนวกเข้าเรื่องตัวเองจนได้

   "ตลกตอนเล่นบ้านผีสิงไง ยังไม่หายกลัวผีอีกเหรอ"

   เดี๋ยวนะ ที่บอกว่าผมยังไม่หายกลัวผีคืออะไร

   "ไม่ต้องมาทำหน้างง ตอนอนุบาลกลัวผีร้องไห้งอแงจนคุณครูต้องมาปลอบอยู่นานสองนาน" น้องหมีเฉลยออกมาอย่างกับอ่านความคิดผมได้

   แล้วทำไมผมถึงจำไม่ได้แต่น้องมันจำได้ เรื่องตั้งแต่เรียนอนุบาลเลยนะ ผมเคยร้องไห้กลัวผีจนครูต้องมาปลอบด้วยเหรอ

   "กลัวผีกระสือ"

   ยัง ยังจะมาย้ำอีก

   "เป็นผีกระสือที่อยู่ตรงแป้นบาส"

   แล้วผมกลัวผีกระสือตรงแป้นบาสเนี่ยนะ

   "ร้องหนักมากจนเพื่อนๆ มาล้อมวงดู"

   "พอๆ หยุดเล่า" ต้องยกมือขึ้นห้ามเพราะไม่สามารถทนฟังต่อไปได้

   กลัวผีกลางวันแสกๆ ว่าหนักแล้ว กลัวผีกระสือตรงแป้นบาสยิ่งหนักไปกันใหญ่ ซ้ำร้ายเพื่อนยังมาล้อมวงดูครูต้องเข้ามาปลอบ ตอนอนุบาลแค่ห้าขวบเองนะ น้องหมีมันจำรายละเอียดได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเป็นเรื่องจริงผมขอคารวะน้องมันเลย จำได้แม้กระทั่งเรื่องที่ตัวผมเองยังจำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องโกหกผมจะเขกให้กะโหลกยุบ

   "พี่อินง่วงนอนยัง"

   "ยัง" ขนมยังคาปาก โทรศัพท์ยังคามือ แถมตรงหน้ากระป๋องเบียร์ยังวางอยู่ นึกยังไงมาถามว่าง่วงหรือยัง หรือตาผมปรือเหมือนคนใกล้หลับ แต่บอกตรงๆ ว่าผมรู้สึกถึงลางไม่ดี

   "งั้นมาเล่นเกมกันมั้ย"

   นั่นไง ลางสังหรณ์ผมผิดพลาดที่ไหน อะไรที่น้องหมีคิดมันไม่น่าไว้ใจทั้งนั้น โดยเฉพาะเกมที่คิดขึ้นมาหลังจากมีแอลกอฮอล์อยู่ในเส้นเลือดแบบนี้

   "เกมอะไร"

   "เกมย้อนความจำ"

   แล้วน้องหมีก็เริ่มอธิบายกติกาด้วยความวุ่นวายเพราะต้องลำบากหากระดาษปากกามาจด เกมนี้เป็นเกมถามตอบเล่นง่ายๆ แค่เขียนคำถามและคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราววัยเด็กระหว่างเราสองคนทั้งหมดสามข้อลงในกระดาษสามแผ่น ผลัดกันถามทีละข้อ และต้องตอบภายในห้าวินาที ใครตอบถูกเยอะที่สุดคนนั้นชนะ

   "ยุ่งยาก" ถึงจะยอมเล่นด้วยแต่มันก็อดบ่นไม่ได้ นี่ต้องย้อนกลับไปคิดอีกว่าเคยทำอะไรร่วมกันไว้ แล้วเรื่องตั้งเกือบสิบปีจะจำได้มั้ยล่ะเนี่ย

   "ใครแพ้โดนลงโทษ"

   "ลงโทษอะไร" ผมว่ามันเริ่มร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ คนแพ้โดนลงโทษ แล้วอย่างผมที่จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเองเคยร้องไห้กลัวผีกระสือตอนอนุบาลจะรอดเหรอ

   น้องหมีไม่ตอบยกยิ้มที่ผมคิดว่าร้ายกาจที่สุดก่อนลุกขึ้นไปค้นกระเป๋าของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมถุงสีดำอันคุ้นตา

   นั่นมันถุงจากเซ็กช็อปไม่ใช่หรือไง

   "ใครแพ้ต้องใส่ไอ้นี่" ว่าแล้วน้องหมีก็หยิบชุดนางพยาบาลสุดเซ็กซี่ออกมา

   ให้ตายเถอะ เอาจริงดิ น้องมันต้องจงใจแกล้งผมโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแน่ๆ

   "ตลกละแบร์"

   "เอาจริง ใครแพ้ต้องใส่ เพราะถือว่าไม่ใส่ใจกันและกัน"

   "มันเกี่ยวมั้ย" โคตรจะไม่เกี่ยวเลยเถอะ ไม่ใส่ใจกันเท่ากับต้องใส่ชุดนางพยาบาลนี่น่ะเหรอ เบียร์หมดไปสามกระป๋อง ผมว่าน้องหมีมันต้องเมาแล้วแน่ๆ

   "เกี่ยว"

   "โอเคๆ" ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนเริ่มเมาผมเลยบอกยอมรับส่งๆ แล้วเริ่มคิดคำถาม อยากจะตั้งอะไรที่มันยากๆ เอาให้น้องหมีตอบไม่ได้อยู่หรอก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นมาสิบปีบวกๆๆ แล้วใครมันจะไปนึกออก แถมยังต้องเป็นเรื่องที่รู้เห็นกันทั้งสองคนอีก ก่อนจะเครียดเรื่องตอบคำถามไม่ได้เครียดเรื่องคิดคำถามก่อนดีกว่า แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยแบบนี้

   ระหว่างที่ต่างคนต่างกำลังเคร่งเครียดกับการตั้งคำถามภายในห้องก็เงียบกริบ ผมแอบมองเห็นน้องหมีกำลังเขียนยิกๆ สมองดูโลดแล่นต่างกับผมที่ตันจนคิดอะไรไม่ออก

   ใช้เวลาร่วมสิบนาทีการเตรียมการเล่นเกมอันแสนวุ่นวายก็เสร็จเรียบร้อย ผมกับน้องหมีนั่งพิงเตียงใครเตียงมัน ถือเศษกระดาษทั้งห้าแผ่นไว้ในมือ ที่ว่างตรงกลางมีซากของกินกองอยู่ รวมถึงชุดนางพยาบาลนั่นด้วย เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจว่าถ้าเพลี่ยงพล้ำจะแพ้เมื่อไรล่ะเตรียมตัวหยิบมันมาใส่ได้เลย

   เราตัดสินคนที่จะได้เล่นก่อนโดยการเป่ายิงฉุบ ผมแพ้เพราะฉะนั้นจึงได้เป็นตอบคำถามก่อน เห็นน้องหมีเหยียดยิ้มด้วยความมั่นอกมั่นใจแล้วรู้สึกหวั่นๆ ยังไงชอบกล

   เอาจริงๆ นะ ตอนนี้ผมตื่นเต้นกว่าตอนรอประกาศผลแอดมิดชั่นซะอีก

   "ตอนประถมเราเคยอยู่ห้องเดียวกันกี่ครั้ง"

   เอาแล้วไง กี่ครั้งวะ

   "ห้า...สี่..."

   ผมยกนิ้วขึ้นมานับพยายามนึกในขณะที่น้องหมีกำลังนับถอยหลังเรื่อยๆ ตอนประถมเราอยู่ห้องเดียวกันแค่ไม่กี่ครั้งเพราะผมจำแทบไม่ได้เลยว่าเคยเรียนด้วยกันนอกจากตอน ป.6 แต่มันคงไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแน่ๆ ที่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่ปัญหาคือมันกี่ครั้งกันล่ะ

   "สาม...สอง..."

   "สองครั้ง"

   "ถูกต้อง"

   เผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออกตอนน้องหมีเฉลยแล้ววางแผ่นกระดาษลงมาตรงกลางเพื่อให้เห็นคำถามและคำตอบที่เขียนลงไป เป็นสองครั้งจริงๆ และยังกำกับไว้ด้วยว่าเป็นตอน ป.1 กับ ป.6 น้องมันจะความจำดีอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้

   ต่อไปเป็นตาผม แม้จะไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คงได้ใช้สมองเค้นความทรงจำกันบ้างล่ะ

   "สัญลักษณ์ที่ใช้ตอนอนุบาลสองของเราสองคนคืออะไร"

   ได้ฟังคำถามแรกจากผมน้องหมีก็กระพริบตาปริบๆ ถึงความทรงจำสมัยอนุบาลของผมมันจะริบหรี่ก็เถอะ แต่มันก็มีบ้างเรื่องที่ผมจำได้แม่นเหมือนกัน อีกอย่างการเล่มเกมนี้เราจะพลิกแพลงยังไงก็ได้ในเมื่อไม่มีอะไรมายืนยันว่าคำตอบนั้นมันถูกจริงๆ หรือเปล่า ถ้าโมเมขึ้นมาแล้วอีกฝ่ายดันเล่นตามเกมด้วยก็เป็นอันจบเห่ งานนี้มีโอกาสได้คะแนนมาแบบฟรีๆ แต่ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ผมแฟร์พอและซื่อตรงกับความทรงจำอันสวยงามในวัยเด็กเสมอ

   "ห้า...สี่..."

   "พี่อินรูปมังคุด ของแบร์รูปรถ" ตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่บ่งบอกว่าชัวร์หรือไม่ แต่คำตอบมัน...

   "ถูก" เรื่องสมัยอนุบาลไว้ใจน้องมันไม่ได้จริงๆ

   ผมวางกระดาษคำถามลงบนพื้นเพื่อให้น้องหมีเห็นคำตอบที่เขียนไว้ สัญลักษณ์ที่เคยใช้ตอนเรียนอนุบาลของผมคือรูปมังคุด ส่วนของน้องหมีเป็นรูปรถ พวกสมุดหนังสือ แก้วน้ำแปรงสีฟัน ของใช้ส่วนตัวจะถูกปั้มด้วยสัญลักษณ์เหล่านี้ทั้งสิ้น เก่งมากที่น้องมันยังจำได้

   คะแนนตอนนี้เสมอกันหนึ่งต่อหนึ่ง เกมการแข่งขันเข้าสู่ข้อที่สอง โดยน้องหมีเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนเหมือนเดิม

   "เราเคยเดินจับมือกันจนโดนเพื่อนล้อตอน ป.อะไร"

   "ฮะ"

   "ตอบมาๆ ห้า..."

   เดี๋ยวก่อนๆ มันมีเรื่องแบบนั้นเคยเกิดขึ้นด้วยเหรอ เดินจับมือกันจนเดินเพื่อนล้อ บ้าไปแล้วแน่ๆ

   "สี่...สาม..."

   ผมนั่งนิ่งเหมือนคนเป็นใบ้ ยิ่งเวลาบีบคั้นยิ่งนึกอะไรไม่ออก แม้จะพอมีภาพเลือนรางอยู่ในหัว เป็นภาพความทรงจำสั้นๆ ที่ผมพอจะนึกออกแต่ไม่สามารถเอามาปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องเป็นราวได้ จับมือกับที่ระเบียงทางเดิน ผมจำได้แค่นั้น แสดงว่าตอนนั้นเราคงยังเด็กมาก

   "สอง..."

   "ตอน ป.1"

   "ผิด ป.2" น้องหมีวางกระดาษคำตอบลงมาพลางยักคิ้วให้อย่างผู้เหนือกว่า

   ชุดนางพยาบาลนั่น ผมเริ่มเดินเข้าไปใกล้มันอีกนิดซะแล้วสิ

   "แต่เสียใจอ่ะ พี่อินจำไม่ได้" จากที่ยิ้มอยู่ดีๆ ก็ตัดพ้อกันขึ้นมาซะอย่างนั้น น้องหมีตีหน้าเศร้ามองมาที่ผม ถึงจะรู้ว่ามันคือการแสดงก็เถอะ แต่มันจะน่าเสียใจอะไรขนาดนั้น

   "จำไม่ได้ว่าเคยโดนล้อ" ผมสารภาพ ถ้าจับมือกันเฉยๆ คงมีหลายครั้ง แต่จับมือกันแล้วโดนล้อนี่ผมจำไม่ได้จริงๆ อีกอย่างทำไมเพื่อนต้องล้อ แล้วล้อว่าอะไร

   "พวกมันล้อว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน หลังจากนั้นพี่อินก็ไม่ยอมจับมือแบร์อีกเลย"

   ผมเลิกคิ้วมองอย่างนึกขำ เด็กสมัยนั้นล้อเพื่อนผู้ชายที่เดินจับมือกันว่าเป็นแฟนกันด้วยเหรอ แล้วผมก็ไม่ยอมจับมือกับน้องมันอีก ถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อแต่ผมก็เชื่อเพราะคนที่เล่าเป็นน้องหมีแม้จะเมาอยู่นิดๆ ก็เถอะ ยังไงน้องมันก็ไม่หลอกผมหรอก

   "ต่อเลยนะ"

   น้องหมีพยักหน้ารับเป็นสัญญาณเตรียมพร้อม ผมมองคำตอบที่อยู่ในมือแล้วก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ที่จริงอยากจะหัวเราะเลยด้วยซ้ำ เพราะมันคือความอับอายสมัยเด็ก มาดูกันว่าน้องหมีจะจำได้หรือเปล่า

   "ตอนอนุบาลแบร์เคยขี้กับเยี่ยวรถกางเกงกี่ครั้ง"

   "คำถามอะไรเนี่ย" น้องหมีถึงกับอ้าปากค้างกับคำถามของผม เอาสิตอบมาเลย

   "ห้า...สี่..."

   "แบร์ไม่เคยขี้แตกที่โรงเรียน"

   "เหรอ สามแล้วนะ"

   "เดี๋ยวๆๆ เคยก็ได้"

   "สอง"

   "สองครั้ง แค่สองครั้ง"

   "ผิด"

   "ผิดได้ไง" น้องหมีทำหน้าไม่เชื่อ แต่ผมจำได้แม่น มันออกจะเป็นเหตุการณ์ที่ตรึงตราตรึงใจ แถมยังเอามาล้อกันอยู่พักหนึ่งจนผมโดนน้องหมีงอน

   "สามครั้ง เยี่ยวสอง ขี้หนึ่ง ให้แจกรายละเอียดมั้ยว่าที่ไหนยังไงบ้าง"

   "ไม่ต้องเลย พอแล้ว"

   ผมเหยียดยิ้มวางแผ่นคำตอบลงกับพื้นถามอย่างผู้ชนะ เรื่องนี้ผมไม่ได้โกหกนะ น้องหมีทำวีรกรรมนี้ไว้จริงๆ มันอาจจะเป็นเรื่องที่น้องมันอยากลืมก็ได้ถึงได้หายไปจากความทรงจำ

   "ตอนนี้ก็เสมอกันแล้ว"

   คะแนนตอนนี้คือหนึ่งต่อหนึ่ง เรายังเหลือคำถามอีกคนละข้อ เป็นชี้ชะตาว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายได้ใส่ชุดนางพยาบาลนั่น จากที่ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองต้องได้ใส่แน่ๆ แต่ตอนนี้ความเป็นไปได้มันอยู่ที่ห้าสิบห้าสิบ น้องหมีเองก็ใช่ว่าจะได้หมดซะทุกเรื่องเมื่อไร

   "เราเคยจูบกันตอน ป.อะไร"

   "ฮะ"

   เดี๋ยวก่อนๆ จูบกัน บ้าไปแล้ว มันเคยมีเรื่องเกิดขึ้นซะที่ไหน คำถามข้อนี้มันต้องมั่วแน่ๆ ในเมื่อไม่มีอะไรมายืนยัน น้องหมีมันต้องกุเรื่องขึ้นมาเพื่อนหาทางเอาชนะผมแน่ๆ

   "จริงๆ ไม่น่าเรียกจูบ เรียกว่าจุ๊บก็ได้"

   แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ

   ผมล่ะงงกับน้องหมี ถามแล้วยังยิ้มตาปรือได้หน้าตาเฉย เมามากแล้วนะเนี่ย เบียร์หมดไปจะห้ากระป๋องแล้ว ตั้งคำถามได้เลอะเทอะมาก

   "ห้า"

   "เดี๋ยวก่อนแบร์ มันใช่เหรอคำถามนี้"

   "ท่าโร่คือคำใบ้ สี่" น้องมันพูดไปนับไปในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิดหัวแทบระเบิด แต่เหมือนว่าจะจำได้แล้วรางๆ

   "สาม"

   ทาโร่งั้นเหรอ อ๋อ ผมจำได้แล้ว

   "สอง"

   ตอนนั้นเราเล่นกินทาโร่กัน พอปลาเส้นใกล้หมดหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ จนริมฝีปากเราแตะกันเบาๆ ไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ ความรู้สึกตอนนั้นมันก็...นุ่มนิ่มดี

   แล้วมันใช่เวลามาคิดถึงเรื่องความนุ่มนิ่มตอนนี้มั้ยเนี่ย แล้วไอ้ที่เล่นกินปลาเส้นกันมันคือตอนไหนกันล่ะ

   "หนึ่ง"

   "ป.4 มั้ง"

   "ผิด ป.5"

   "จริงดิ"

   "จริง จะลองเล่นแบบตอนนั้นก็ได้" ว่าแล้วก็หมีก็หยิบปลาเส้นที่เหลืออยู่จากกองของกินมาคาบไว้ ไม่รู้ทำไมถึงได้เหมาะเจาะขนาดนี้ แสดงว่าที่ซื้อไอ้นี่มาด้วยน้องหมีก็เตรียมการไว้ตั้งแต่ตอนซื้อของในซุปเปอร์แน่ๆ ร้ายกาจที่สุด

   "ไม่ต้องอ่ะ" ผมบอกปัดเพราะจำได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น แค่จำปีผิดไปเท่านั้น ได้แต่นั่งมองชุดนางพยาบาลอย่างอ่อนใจ เพราะถ้าข้อต่อไปน้องหมีตอบถูก ผมจบเห่แน่

    แล้วทำไมคำถามข้อนี้ของผมมันถึงได้ง่ายแบบนี้ก็ไม่รู้

   "หนังเรื่องแรกที่เข้าไปดูในโรงด้วยกันคือเรื่องอะไร"

   น้องหมียิ้มกริ่ม คงรู้คำตอบล่ะสิท่า ก็ตอนนั้นได้ไปดูหนังในโรงบ่อยๆ ที่ไหน ช่วงประถมถึง ม.ต้น ดูแบบนับเรื่องได้ น้องหมีไม่มีทางตอบผิดแน่

   "บางระจัน"

   ผมจ้องหน้าน้องหมีอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่น้องมันยังทำหน้ามั่นใจเต็มที่ โดยหารู้ไม่ว่าคำตอบที่ตัวเองตอบมามันผิด

   "นางนากต่างหาก" ผมวางคำตอบลงบนพื้น ทำไมไม่รู้แต่รู้สึกผิดหวังชะมัด ได้เข้าโรงหนังครั้งแรกด้วยกันเราตื่นเต้นกันจะตาย แต่น้องมันดันตอบผิด

   "อ้าว ไม่ใช่บางระจันเหรอ"

   "ไม่ใช่"

   "แล้วเอาไงดี ได้หนึ่งคะแนนเท่ากัน"

   อุตส่าห์คิดเกมให้ยุ่งยากก็ยังจะเสมอ แถมตอบถูกกันแค่คนละข้อ เป็นการฟื้นความจำวัยเด็กที่ล้มเหลวเป็นที่สุด ขนาดตัวเต็งอย่างน้องหมียังตอบผิดแบบไม่น่าให้อภัยอย่างกับแกล้งทำ แล้วทีนี้จะใช้วิธีไหนตัดสินกันดี หรือยกเลิกบทลงโทษไปเลยมั้ย เก็บของแล้วนอนกันดีกว่า

   "เป่ายิงฉุบ" แล้วน้องหมีก็เสมอวิธีตัดสินออกมา

   ระดมสมองเล่นเกมจนหัวระเบิด สุดท้ายก็ต้องมาตัดสินกันด้วยการเป่ายิงฉุบ

   "ยัน ยิง เยา ปั๊กกะเป้ายิ้งงงงงงง...ฉุบ"



   แล้วผู้แพ้ก็ต้องยอมรับชะตากรรม

   ผมนั่งขำท้องขดท้องแข็งตอนน้องหมีเดินออกมาจากห้องน้ำ ชุดพยาบาลยั่วสวาทรัดติ้วแถมปริสั้นหมิ่นเหม่แทบจะปิดก้นกับส่วนหน้าที่ปูดโปนออกมาไม่มิด ตอนแรกน้องหมีเหมือนจะอายแต่พอมายืนจังก้าตรงหน้าผมก็โพสท่าเหมือนนักเพาะกายเวลาขึ้นประกวด ซึ่งมันไม่เข้ากับชุดที่ใส่อยู่เลยสักนิด

   "โพสท่าเซ็กซี่ดิ"

   "แล้วนี่ไม่เซ็กซี่ตรงไหน" บอกแล้วก็ยังไม่หยุดโพสท่านักเพาะกายอีก

   "มันทุเรศ" บอกไปตามความจริงน้องหมีก็เบะปากใส่ นี่คิดว่าตัวเองน่ารักมากหรือไง

   "แล้วโพสยังไงให้เซ็กซี่"

   "คิดเองดิ" ผมก็ไม่รู้หรอกว่าโพสท่ายังไงให้มันดูเซ็กซี่ ปกติชอบแต่แนวน่ารักหวานๆ ถ้าให้โพสท่าแบ๊วๆ ยังพอนึกได้อยู่ ท่ายูรุชิเตะเนี้ยงเป็นน้องแมวของโมโมจิก็น่ารัก แต่น้องหมีเป็นแมวยั่วสวาทคงต้องเป็นฮารุเนี้ยง

   ยืนคิดอยู่สักพักน้องหมีก็เปลี่ยนมาอยู่ในท่าคลาน มองมาด้วยสายตายั่วสวาทในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกะทันหันจนผมเองยังตกใจ และตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อน้องมันค่อยๆ คลานเข้ามาหา นี่มันไม่ได้น่าดูเลยนะเว้ย น่ากลัวกว่าผีในสวนสนุกฟูจิคิวอีก

   "แบร์ น่ากลัวว่ะ" ผมขยับหนีขึ้นไปบนเตียงตอนน้องหมีคลานเข้ามาใกล้ แต่น้องมันก็ไม่ลดละความพยายามคลานตามขึ้นมาอีก

   แบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้วโว้ยยยยย!!!

   "คนไข้อย่าหนีสิคะ มาให้หนูฉีดยาซะดีๆ"

   ขอเปลี่ยนจากน้องหมีขั้วโลกเป็นน้องหมีควายได้มั้ย เจอเวอร์ชั่นดัดเสียงทำท่ากวักมือเรียกแถมกัดปากยั่วยวนผมก็ขำเป็นบ้าเป็นหลัง ถอยหลังติดหัวเตียงจนต้องยกมือดันตัวคนที่คลานมาจนเกือบจะคร่อมผมไว้ทั้งตัวอยู่แล้ว
 
   "จะให้ฉีดยาตรงไหรดีคะ"

   "พอแล้ว ไปเปลี่ยนชุดไป" ผมผลักไหล่น้องมันออกแรงๆ แต่คนที่กำลังอินกับบทบาทนางพยาบาลไม่ยอมเลิกเล่นง่ายๆ

   "ฉีดตรงนี้" น้องหมีจิ้มที่เอวผมจนต้องรีบบิดตัวหลบ น้องมันต้องรู้แน่ๆ ว่าผมบ้าจี้

   "เฮ้ยหยุด!"

   "หรือจะฉีดตรงนี้ดี" พูดจบสองมือก็คว้าหมับที่เอว ตัวผมแข็งทื่อสบตาน้องหมีพยายามบอกให้หยุดในสิ่งที่กำลังจะทำ แน่นอนว่ามันไม่ได้ผล

   "ฮ่าๆๆ"

   ทันทีที่นิ้วขยับตัวผมก็บิดไปซ้ายที่ขวาที พยายามจะหนีและดึงมือน้องมันออกแต่ไม่สำเร็จ ห้ามให้ตัวเองหยุดหัวเราะก็ไม่ได้ แถมยังห้ามน้องหมีให้หยุดจั๊กจี้ไม่ได้อีก

   "พอ ฮ่าๆๆ พอแล้ว โอยยย"

   หัวเราะจนเหนื่อยน้องหมีถึงได้หยุด แล้วยังมีหน้ามานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้อีก ไปเปลี่ยนออกสักทีเถอะไอ้ชุดนี้ มันติดตา มองจนตาจะเสีย ยิ่งนั่งคร่อมตัวผมไว้แบบนี้กระโปรงมันไหลขึ้นไปกองที่เอวหมดแล้ว ไม่ได้อยากจะดูเลยไอ้กางเกงในสีน้ำเงินเนี่ย

   "ไปเปลี่ยนชุดไป เลิกเล่น จะนอนแล้ว" ผมเอื้อมมือไปดึงกระโปรงให้ลงมาคลุมเป้า ใช้มือผลักแถมใช้เท้ายันช่วยอีกแรงตอนน้องหมียังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน 

   แล้วอยู่ๆ น้องหมีก็โน้มตัวลงมาใกล้จนผมต้องหยุดทั้งมือทั้งเท้าที่พยายามยันน้องมันออก แขนยาวๆ ยื่นมาหาจนเผลอหลับตาเพราะกลัวจะโดนแกล้งจั๊กจี้ให้ขำจนหมดแรงอีก แต่มือที่ยื่นมานั้นกลับวางแหมะลงบนหัวผมแล้วออกแรงขยี้จนผมผมยุ่งไปหมด

   นี่เพื่อนเล่นเหรอมาเล่นหัวกันเนี่ย

   ผมลืมตาขึ้นมองเห็นน้องหมียกยิ้มบางๆ แล้วลุกเดินเข้าห้องน้ำไป จัดทรงผมให้ทางที่ทางเข้าเสร็จผมก็เอนตัวลงนอนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงจนมิด

   ใจผมกำลังสั่น มันหวิวๆ วูบๆ จะว่าคล้ายกับตอนได้จับมือกับไอดอลที่ชอบก็ไม่ใช่เพราะมันมากกว่านั้น มันไม่ใช่อาการตื่นเต้น แต่มันเป็นอาการหวั่นไหว

    บ้าไปแล้วแน่ๆ มันเป็นแบบนี้ได้ไง เพราะความน่ากลัวตอนน้องหมีใส่ชุดนางพยาบาลกับกางเกงในสีน้ำเงินที่โผล่มาทักทายแน่ๆ ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ



TBC.



และแล้วชุดนางพยาบาลก็ได้เอามาใช้ประโยชน์
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า
   
   

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-04-2017 01:25:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-04-2017 08:07:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-04-2017 15:23:56
นึกว่าพี่อินจะได้ใส่ ความโมเอะกลายเป็นสยองขวัญ  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 27-04-2017 19:05:45
กรรมตามสนอง..
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 4 [26/04/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-04-2017 22:57:53
พลิกล็อก  :z3: :z3: :z3:
คิดว่าคนที่ต้องใส่ชุดนางพยาบาลต้องเป็นอิน
แต่กลับเป็นหมี ซะนี่
แต่อย่างน้อย แบร์ ก็ทำให้พี่อิน เริ่มหวั่นไหวแล้ว
นี่ความจำดีกันมากเลย  :ling1: :ling1: :ling1:
ย้อนไปถึงวัยอนุตูม .....เอ๊ย อนุบาล เลยนะเนี่ย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 03-05-2017 20:47:33


วันที่ 5


   เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าห้องจะเละเทะคาสภาพเดินไว้ตั้งแต่เมื่อวานเสียอีก แต่ปรากฏว่าทุกอย่างผิดคาด พื้นห้องสะอาดเอี่ยม เศษซากของกินถูกเก็บใส่ถังขยะไว้อย่างเรียบร้อย ไม่นึกเลยว่าคนเมาจะมีอารมณ์มาเก็บของก่อนเข้านอนได้ อีกอย่างเช้านี้น้องหมียังดูสดใสเป็นปกติไม่มีอาการเมาค้างเลยสักนิด กลายเป็นผมเองที่ยังง่วงสะลึมสะลือเพราะเก็บเอาเกมที่เล่นกันไปฝันถึงทั้งคืน รายละเอียดเป็นยังไงผมก็จำไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าในความฝันนั้นมีน้องหมีกับเหตุการณ์วัยเด็กหลายๆ อย่างที่ผมจำไม่ได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อน

   เนื่องจากวันนี้เราต้องย้ายเมืองจากโตเกียวไปโอซาก้า ตื่นนอนทำธุระส่วนตัวเสร็จกันแต่เช้าก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมลากกระเป๋าไปยังสถานีรถไฟที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน ขึ้นรถไฟไปลงสถานีชินากาว่าเพื่อต่อชินคันเซ็น รถไฟหัวกระสุนความเร็วสูงที่กำลังจะได้นั่งเป็นครั้งแรก

   ถึงจะบอกย้ายไปโอซาก้าแต่จริงๆ แล้วแผนการท่องเที่ยวของวันนี้อยู่ที่ชิซุโอะกะ หนึ่งในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องจุดชมวิวภูเขาไปฟูจิ แต่วันนี้ผมไม่ได้จะไปดูฟูจิ ในเมื่อเห็นมาเต็มตาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน มาเที่ยวฤดูใบไม้ผลิจุดสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือซากุระ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไปดูซากุระกัน

   ก่อนขึ้นชินคันเซ็นผมกับน้องหมีซื้อเบนโตะเอาไว้กินบนรถไฟเป็นอาหารเช้ากันละคนกล่อง เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งบนรถไฟในญี่ปุ่นที่ผมว่านักท่องเที่ยวควรลอง เพราะรถไฟที่นี่เขาไม่ห้ามเอาอาหารขึ้นมากินเหมือนบ้านเรา

   ก่อนถึงเวลาที่ระบุในตั๋วเจ้ารถไฟหัวกระสุนก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลา ผมกับน้องตั้งกล้องกันทั้งคู่เพื่อจับภาพวินาทีที่รถไฟวิ่งผ่านเอาไว้ ผมเลือกถ่ายวิดีโอแทนการถ่ายรูป เมื่อรถไฟจอดสนิทก็กดหยุดแล้วหันไปหาน้องหมีที่ยืนอยู่ข้างหลัง

   "ถ่ายทันมั้ย"

   "ทัน" น้องหมีละสายตาจากกล้องที่ยังถือถ่ายเอาไว้อยู่ รอยยิ้มบางๆ แต้มบนริมฝีปากตลอดเวลาจนกระทั่งปิดกล้องเก็บใส่กระเป๋า วันนี้น้องมันดูอารมณ์ดีแฮะ

   "ขึ้นรถกัน"

   ที่นั่งบนชินคันเซ็นฝั่งหนึ่งจะเป็นสามที่นั่ง ส่วนอีกฝั่งเป็นสองที่นั่ง ผมกับน้องหมีได้ที่นั่งคู่เพราะจองเอาไว้ตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงโตเกียว หาที่นั่งเจอเก็บกระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลาหม่ำมื้อเช้า เปิดถาดวางของด้านหน้าหยิบกล่องข้าว น้ำและขนมขึ้นมาวาง จากนั้นก็ได้เวลาจัดการ

   ข้าวกล่องของผมเป็นข้าวหมูทอดทงคัตสึ ส่วนของน้องหมีเป็นข้าวกล่องที่อัดหลายๆ อย่างไว้รวมกัน ทั้งเนื้อวัวตุ๋น ปลาแซลม่อนย่าง ไข่หวาน ผักต้ม แถมด้วยแซนวิสทงคัตสึอีกกล่องเพราะน้องมันกลัวไม่อิ่ม กลายเป็นมื้อข้าวกล่องที่แพงกว่านั่งกินตามร้านเสียอีก

   "อ่ะ ให้ไข่หวาน" น้องหมีคีบไข่หวานที่มีแค่ชิ้นเดียวมาวางบนข้าวผม รู้อีกว่าผมชอบไข่หวาน แต่แบบนี้มันจะดีเหรอ

   "มีชิ้นเดียวจะแบ่งทำไม"

   "ก็อยากให้กิน ดูที่ซื้อมาดิมีแค่หมูกับข้าว" ว่าแล้วก็ใช้ตะเกียบชี้กล่องข้าวผม ก็คนมันอยากกินแค่นี้นี่หว่า

   "งั้นเอานี่ไป" ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ค่อยเท่าเทียมเท่าไร ผมคีบบ๊วยของไม่โปรดที่มีในกล่องผมแต่ไม่มีในกล่องน้องมันไปให้ สำหรับน้องหมีผู้ที่กินได้ทุกอย่าง

   กินข้าวเสร็จก็จัดขนมต่อ ผมแกะห่อเยลลี่ผลไม้โคโรโระหยิบใส่ปากเคี้ยวๆ กลืน อร่อยฟินต้องบอกต่อ ก่อนยื่นไปให้น้องหมีที่กำลังเพลิดเพลินกับแซนวิสทงคัตสึ

   "อันนี้อร่อย"

   "อันนี้ก็อร่อย"

   และแล้วก็เกิดการแลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมขึ้นอีกหนึ่งรอบ ยืนขนมเยลลี่ไปให้จากนั้นได้แซนวิสไส้หมูทอดชิ้นหนากลับมา ผมให้น้องมันทั้งถุงยังไม่ได้ครึ่งราคาของแซนวิสชิ้นนี้เลยมั้ง

   หนังท้องตึงหน้าตาก็เริ่มหย่อน กินเสร็จแล้วก็ได้เวลานอน เจอกันอีกทีตอนถึงชิซุโอะกะ



   ใช้เวลาห้าสิบห้านาทีชินคันเซ็นก็พาเรามาถึงสถานีชิซุโอะกะ ผมกับน้องหมีช่วยกันยกกระเป๋าลงจากชั้นวางลากออกจากรถไฟเดินเตาะแตะงัวเงียเพื่อไปต่อรถไฟอีกสาย และมันช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้ก็ไม่รู้ ลงจากชานชาลาปุ๊บเจอทางเชื่อมไปอีกชานชาลาปั๊บ แต่เรายังไปไม่ได้ ต้องไปหาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าก่อน

   ด้วยความเด๋อด๋าเหมือนเด็กเพิ่งออกมาเผชิญโลกภายนอกกว่าจะหาคอยล็อคเกอร์ผมก็พาน้องหมีเดินวนในสถานีชิซุโอะกะไปหนึ่งรอบ เสียเงินไปห้าร้อยเยนแลกกับความสบายตัวพร้อมเดินกลับไปขึ้นรถไฟ แต่เดินมายังไม่ถึงสิบก้าวความหลงลืมก็ทำพิษ

   "พี่อิน แบร์ลืมเอากล้องออกมา"

   "เอ้า!"

   "กลับไปเอาได้มั้ย"

   "ได้ แต่ต้องเสียอีกห้าร้อยนะ"

   พอบอกว่าต้องเสียเงินอีกรอบน้องหมีก็ทำหน้ายู่ทันที จะไปดูซากุระแต่ดันลืมกล้องซะงั้น

   "จะกลับไปเอามั้ย"

   "เอาดิ"

   สุดท้ายก็ต้องเสียเงินอีกห้าร้อยเยนเพื่อเอากล้องออกจากล็อคเกอร์ แวะเข้าห้องน้ำอีกสักหน่อย ออกมาจากห้องน้ำเจอร้านขายขนมก็อดไม่ได้ต้องแวะอีก

   "เราต้องไปขึ้นรถไฟกี่โมงนะ" น้องหมีถามตอนกำลังเลือกซื้อขนม เพราะเราต้องขึ้นรถไฟตามเวลาที่กำหนดไว้ในแผนเพื่อไปให้ทันรถไฟจักรไอน้ำที่จองเอาไว้ แต่ผมเผื่อเวลาที่นี่เอาไว้เยอะ เกือบสี่สิบนาทีได้

   "ไม่รีบ ตามสบายเลย" ตอบคำถามแล้วผมก็เดินแยกไปดูขนมอีกฝั่ง

   ซื้อขนมจนพอใจ เดินย้ำต๊อกขึ้นบันไดมาถึงชานชาลาด้วยความอืดอาดรถไฟขบวนหนึ่งก็แล่นผ่านหน้าไปพอดี ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูรู้สึกตงิดนิดๆ ตอนนี้เวลาเก้าโมงสี่สิบสามนาที ซึ่งเวลานี้มันก็ดูใกล้เคียงกับขบวนรถที่ต้องขึ้น แต่ไม่ใช่หรอกมั้ง เผื่อเวลาไว้เยอะแล้วขบวนที่เราจะขึ้นไม่น่าใช่ขบวนนั้น

   "เราต้องขึ้นรถไฟกี่โมงนะ"

   "แป๊บนะ"

   น้องหมีค้นกระเป๋าเป้อยู่พักนึงก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มแหย

   "แบร์ทำแผนเที่ยวหายว่ะ"

   "เอ้า!"

   ซวยแล้วไหมล่ะคราวนี้ แผนเที่ยวเรามีกันคนละเล่มก็จริง แต่วันนี้ตกลงกันว่าจะใช้เล่มของน้องหมีที่สภาพยับเยินใกล้ขาด ผมเลยเก็บของผมไว้ในกระเป๋าเดินทางซึ่งตอนนี้มันอยู่ในล็อคเกอร์ และถ้าไม่มีแผนเที่ยวให้ดูการเดินทางวันนี้อาจจะล่มก็ได้ เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างอยู่ในนั้น

   "แบร์โหลดเก็บไว้ในไอแพดอยู่ ขอเปิดดูแป๊บ"

   ผมยกนาฬิกาขึ้นดูอีกรอบระหว่างรอน้องหมีปัดๆ เลื่อนๆ ไอแพดหาไฟล์ อยู่ๆ ก็รู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา

   "พี่อิน" น้องหมีเรียกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

   และเราก็เผชิญกับข่าวร้ายที่สุดตั้งแต่เริ่มออกเดินทางกันมา

   "เราต้องขึ้นรถไฟตอนเก้าโมงสี่สิบสอง"

   งั้นก็หมายความว่า

   "เราตกรถไฟ"

   ใจผมวูบตกไปอยู่ตาตุ่มรู้สึกมืดแปดด้านขึ้นมาทันที หันซ้ายแลขวากระวนกระวายพยายามหาทางออก รอบรถไฟจักรไอน้ำที่จองไว้ถ้าไม่ได้ไปรถไฟขบวนนั้นยังไงก็ไปไม่ทัน แล้วถ้าไปไม่ทันที่นั่งที่จองไว้ก็จะเสียเปล่า ถึงรอไปรอบต่อไปก็ไม่รู้จะมีที่นั่งว่างให้ซื้อมั้ย เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่แนะนำให้จองก่อน ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลที่นักท่องเที่ยวเยอะแบบนี้ด้วย

   "เอาไงดี ไปแท็กซี่กันมั้ย"

   "พี่อินใจเย็นๆ ก่อน"

   "เย็นไม่ได้แล้วเว้ยแบร์ ถ้าไปไม่ทันทำไงอ่ะ ที่นี่อินอยากไปที่สุดในทริปเลยนะ"

   "เรารอรถไฟรอบต่อไปก็ได้"

   "ไปไม่ทันแน่ๆ แล้วถ้ารถรอบต่อไปมันเต็มล่ะ เราจะไปกันยังไง"

   "พี่อิน"

   "ไปแท็กซี่ เผื่อจะทัน"

   "พี่อิน"

   น้องหมีคว้าแขนผมไว้ก่อนจะได้วิ่งลงบันไดเพื่อไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าสถานี สายตานิ่งๆ ที่มองมาทำให้ผมหยุดต้องท่าทางกระวนกระวายอยู่ไม่สุข น้องมันก็ดูเครียดแต่กลับเครียดอย่างมีสติ ไม่กระโตกกระตากโวยวายแถมยังบอกให้ผมใจเย็น

   "ไปแท็กซี่ก็ไม่ทันหรอก ไม่งั้นจะมีรถไฟไว้ทำไม" คนที่รู้เรื่องญี่ปุ่นน้อยกว่าแต่กลับคิดได้ก่อนผมที่รั้นจะหาทางไปให้ได้เร็วๆ

   ที่นี่คนนิยมใช้รถไฟมากกว่ารถส่วนตัวเพราะมันสะดวกและเข้าถึงแทบทุกที่ จากสถานีนี้นั่งรถไฟประมาณสามสิบนาทีและผมไม่รู้เลยว่าถ้าเรานั่งแท็กซี่ไปจะใช้เวลาเท่าไร แถมค่าแท็กซี่ยังแพงมากถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง

   "แต่ยังไงเราก็ไปไม่ทันรถไฟที่จองไว้แน่ๆ" ผมมองรถไฟขบวนถัดมาที่จอดเทียบชานชาลาอย่างหมดความหวัง

   "แล้วพี่อินไม่อยากไปแล้วเหรอ"

   "อยากไปดิ"

   "งั้นก็ไปกัน" น้องหมียกยิ้มเหมือนต้องการปลอบประโลมใจผมที่กำลังแตกสลาย ฝ่ามือใหญ่ๆ คว้ามือผมไว้พาเดินขึ้นรถไฟทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อ

   นานมากแล้วที่ผมไม่เคยรู้สึกอยากร้องไห้มากขนาดนี้ ครั้งล่าสุดคงเป็นตอนที่ไปคอนเสิร์ตจบการศึกษาของไอดอลที่ชอบล่ะมั้ง ตอนนั้นร้องเพราะเสียใจ ใจหายที่จะไม่ได้เห็นคนคนนั้นในแบบที่เราอยากให้เป็นอีก แต่ความรู้สึกตอนนี้มันวุ่นวายไปหมด จุกในอก รู้สึกตื้อๆ ใจโหวงๆ ยังคงกระวนกระวายแต่ผมพยายามเก็บอาการเอาไว้ เพราะตั้งความหวังไว้เยอะ เพราะตั้งใจที่จะไปมาก พอพลาดก็เหมือนทุกอย่างที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย และผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันยังไง

   รถไฟวิ่งไปตามเส้นทางของมัน ผ่านบ้านเรือน ผ่านต้นไม้ ผ่านภูเขา วิ่งขึ้นสะพาน ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างไม่เร่งรีบ ต่างกับใจผมที่อยากจะวิ่งแซงไปเร็วๆ แต่ทำไม่ได้เพราะไม่รู้เส้นทาง ไม่รู้อะไรเลย
 
   "เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว" หน้าตาผมคงคร่ำเครียดมากจนคนข้างๆ ต้องยื่นมือมาช่วยนวดระหว่างคิ้วให้

   "ถ้าไม่ได้ไปแล้วเราจะไปไหนกันดี"

   "ได้ไปดิ"

   "แล้วถ้าไม่ได้ไป"

   "ไปดูหน้างานกันก่อนแล้วค่อยคิด โอเคมั้ย"

   ผมถอนหายใจดังเฮือกเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ น้องหมียกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่พยายามทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากกว่า

   เอาเถอะ ไปดูหน้างานก่อนก็ได้ ระหว่างนี้ก็ตัดใจไปพลางๆ



   แต่บางที ทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

   อีกครึ่งชั่วโมงต่อพวกเราก็มาถึงสถานีคานายะเพื่อเปลี่ยนรถไฟ แน่นอนว่ารถไฟที่จองไว้ก่อนหน้านี้มันออกไปได้สักพักแล้ว แต่รอบต่อไปยังเหลือที่ว่างให้เราซื้ออยู่ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกตอนได้ตั๋วมาอยู่ในมือ ยิ้มด้วยความสบายใจได้อย่างเต็มที่ น้องหมีเองก็เหมือนกัน

   "ไปเดินเที่ยวแถวๆ นี้กันมั้ย" ผมชวน เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายนาทีกว่ารถไฟจะออก

   "เดี๋ยวก็ตกรถไฟอีกหรอก" พูดแล้วก็ขำ นี่ถ้าไม่ได้ตั๋วมาอยู่ในมือแล้วผมจะไม่ขำด้วยนะ และถ้าตกรถรอบนี้อีกก็กลับกันเลยเถอะ

   "ไม่มีทาง"

   ที่ชิซุโอกะขึ้นชื่อเรื่องชาเขียว เพราะฉะนั้นแถวนี้เลยมีไร่ชาเต็มไปหมด เราออกมาจากสถานีรถไฟ เดินผ่านบ้านเรือนขึ้นเนินเขามาเรื่อยๆ ผ่านทางที่มีต้นไม้รกครึ้มทั้งสองข้างทาง จนเจอวิวไร่ชาสวยๆ ผมเลยชวนน้องหมีนั่งพักใต้ต้นไม้แถวนั้น

   "รู้สึกดีขึ้นมั้ย"

   "ดีขึ้นเยอะเลย" ถ้าเทียบกับตอนอยู่บนรถไฟตอนนี้ผมใจเย็นลงมากแล้ว จะว่ากลับสู่สภาวะปกติแล้วก็ได้

   ผมเอนตัวพิงกับต้นไม้หลับตาลงรับสัมผัสจากสายลมเย็นที่พัดผ่านมา เรื่องตอนตกรถไฟถ้าว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นความผิดผมล้วนๆ ชะล่าใจ ไว้ใจตัวเองเกินไป สุดท้ายเกือบล่มไม่เป็นท่า ยังดีที่น้องหมีคุมสติอยู่ไม่ลนลานแบบผม กลายเป็นฮีโร่ของเหตุการณ์วันนี้ไปเลย

   "ถ้าตอนนั้นเราตัดสินใจไปขึ้นแท็กซี่จะเป็นยังไง" มันก็น่าคิดถ้าเราเลือกวิ่งไปขึ้นแท็กซี่หน้สถานีแทนที่จะรอรถไฟรอบต่อไป

   "ก็เสียเงินเพิ่ม"

   "คิดว่าจะไปทันเวลามั้ย"

   "คงไม่"

   "รู้ได้ไง"

   "จะลองกลับไปมั้ยล่ะ ลองดูว่าจะใช้เวลากี่นาที"

   "อย่ามากวน" ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างน้องมัน ว่าจะชงเข้าเรื่องซึ้งๆ อย่ามาทำให้หมดอารมณ์ได้มั้ย

   น้องหมียกมือลูบสีข้างทำทีเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา พอเล่นละครแล้วผมไม่สนใจก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายผมแทน

   ปกติจะไม่เขินหรอกเพราะโดนแอบถ่ายแบบไม่ค่อยจะรู้ตัว แต่แบบนี้มันใกล้เกินไป เลนส์กล้องจะจิ้มหน้าอยู่แล้ว
ผมยกมือขึ้นเปิดหน้ากล้องพลางกดเบาๆ ให้น้องหมีลดกล้องลง
 
   "ทำไมพี่อินไม่ชอบถ่ายรูปอ่ะ"

   "ไม่ค่อยชอบเก๊กท่า เวลาโดนมองแล้วมันเขิน" จะบอกว่าผมไม่ชอบถ่ายรูปเลยก็ไม่ถูกซะเดียว เซลฟี ถ่ายเล่นกับกลุ่มเพื่อนก็บ่อยอยู่ แต่ผมไม่ชอบเวลาต้องยืนเก๊กท่าคนเดียวแล้วให้คนอื่นถ่าย มันเขินเวลาโดนมอง

   "ไม่ชอบให้คนอื่นมองผ่านเลนส์"

   "งั้นมั้ง"

   "งี้แบร์ก็พิเศษอ่ะดิ ได้มองมาตั้งหลายวัน"

   "แอบมองไม่นับ"

   น้องหมียู่หน้าเหมือนโดนขัดใจก่อนจะยกกล้องขึ้นส่องผมอีกรอบ เพราะขี้เกียจจะห้ามเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ผมไม่เขินแล้วกับตากล้องคนนี้

   "มีอะไรอยากจะพูดมั้ย"

   "พูดอะไร"

   "อะไรก็ได้"

   "ถ่ายวิดีโอเหรอ" ผมชะเง้อไปมอง คนถ่ายก็เอนตัวหนี

   เดี๋ยวมีการอัพเกรดจากภาพนิ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว

   "พูดอะไรหน่อย"

   ผมหันไปยิ้มให้กล้องหนึ่งทีแล้วหันหน้าหนีให้น้องมันถ่ายด้านข้างไป วันนี้มีเรื่องที่จะบอกน้องหมีอยู่แล้ว ถ่ายวิดีเก็บไว้ก็ได้ เปิดดูบ่อยๆ ก็ดี จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้และผมรู้สึกขอบคุณแค่ไหน

   "วันนี้พวกเราจะไปเที่ยวอิเอะยาม่ากัน มันอยู่ไกลมากกกกกต้องนั่งรถไฟตั้งหลายต่อ แต่ดันเอ้อระเหยจนตกรถไฟซะงั้น กระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก โชคดีได้คนหน้าตาดีแถวนี้ช่วยเตือนสติไว้ ไม่งั้นได้เสียค่าแท็กซี่หัวบานแน่ๆ"

   "คนหน้าตาดีชื่ออะไรนะ"

   ผมหันไปมองเห็นน้องหมีหัวเราะร่า มีการมาต่อมุกชงให้ตัวเองได้อีก

   "ชื่ออิน"

   ได้ฟังคำตอบถึงกับละสายตาออกจากกล้องโผล่หน้ามามองผม แค่สวมรอยนิดหน่อยมาทำหน้าเคืองใส่ ล้อเล่นหรอกน่า

   "แบร์ ขอบคุณนะที่ช่วยเตือนสติ" ผมไม่ได้มองกล้อง แต่มองคนที่กำลังอมยิ้มจนตาเกือบหยี

   โชคดีจริงๆ นั่นแหละที่ทริปนี้มีน้องหมีมาด้วย กลับไทยเมื่อไรผมจะไปขอบคุณแม่ที่เอาเรื่องนี้ไปเม้าท์ให้ป้าวาดฟัง



   จากสถานีคานายะต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นไปลงสถานีชินคานายะแล้วต่อรถไฟจักรไอน้ำอีกทีกว่าจะถึงที่หมาย เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อนนั่งรถไฟหลายต่อจนเกือบรู้สึกท้อทีเดียว แต่พอได้ยลโฉมรถจักรไอน้ำที่กำลังพ่นควันสีเทาออกมาความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายแหล่ก็ถูกโยนทิ้งกลายเป็นความตื่นเต้นเข้ามาแทน

   ผมเรียกน้องหมีมาถ่ายรูปคู่เก็บไว้ ก่อนจะเดินแยกไปเก็บภาพรถจักรไอน้ำกันคนละมุม ผมถ่ายไว้แค่สองสามรูปเหมือนอย่างเคยก่อนออกมายืนมองมันห่างๆ รอน้องหมีที่แพลนกล้องไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ ก่อนเจ้าตัวจะแพลนกล้องมาที่ผม

   จะแอบถ่ายกันอีกแล้วหรือไง

   "เจอกล้องแล้วหันหน้าหนีทุกที" น้องหมีส่ายหน้ายิ้มตอนเดินเข้ามาหา

   แอบถ่ายเขาแล้วมีสิทธิมาบ่อยด้วยหรือไง
 
   ใกล้ถึงเวลานักท่องเที่ยวก็ทยอยกันขึ้นรถไฟ โบกี้ของเราอยู่เกือบท้ายขบวน ที่นั่งเป็นแบบหันหน้าเข้าหากัน ได้เพื่อนร่วมทริปเป็นคุณป้ากับลูกชายวัยประถม แต่โชคร้ายที่เราต้องนั่งหันหลังสวนกับทางที่รถไฟวิ่งไป

   เส้นทางของรถไฟสายนี้จะลัดเลาะไปตามแม่น้ำโออิกาวะ ผ่านภูเขา    บ้านเรือนและไร่ชา มีเสียงบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างตลอดทาง

   "พี่อินๆ ดูนี่ๆ" น้องหมีเรียกเสียงตื่นเมื่อข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่านมีซากุระบานเรียงรายเป็นแนวยาว
 
   ผมรีบหยิบกล้องมือถือขึ้นมาถ่าย แต่มันเบลอบ้าง ติดสายไปบ้าง ติดหน้าต่างรถไฟบ้าง ใช้ไม่ได้สักรูป จนรถไฟจอดที่สถานนีอิเอะยาม่าถึงได้รู้ว่าถึงที่หมายแล้ว และซากุระริมทางรถไฟที่ผ่านมาเมื่อกี้นี้ก็คือที่นี่ผมตั้งใจอยากจะมา

   ลงรถไฟได้ผมกับน้องหมีก็เดินตามคนส่วนใหญ่ไป เขาไปไหนเราไปด้วย จนมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่สองข้างทางมีต้นซากุระปลูกเรียงรายอยู่ เป็นจุดที่ผมเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งในรีวิวซึ่งมันสวยมาก แต่วันนี้ ในวันนี้ที่ผมได้มาเห็นกับตา ดอกซากุระมันกลับยังไม่บาน

   "ทริปนี้จะได้เห็นซากระบานสวยๆ กับเขาบ้างมั้ยเนี่ย" ผมบ่นอย่างอดไม่ได้ เป็นทริปที่โชคร้ายที่สุดตั้งแต่ที่เคยมา เป้าหมายหลักที่ตั้งใจไว้ไม่สมหวังสักอย่าง

   "แต่ที่เรานั่งรถผ่านมากันเมื่อกี้มันก็บานนะ"

   "บานนิดเดียวเอง"

   "เอาน่า อยากมาไม่ใช่เหรอ"

   "แต่มันไม่เหมือนอย่างที่คิดไง"

   เจอโหมดงอแงเข้าไปน้องหมีคงเพลียกับผมแน่ๆ ตอนตกรถไฟก็โวยวาย มาถึงไม่เจอซากุระบานอย่างที่ตั้งใจไว้ก็โวยวายอีก

   "ก็ยังดีกว่าไม่ได้มาล่ะน่า ไปเร็ว"

   ผมเดินตามน้องหมีลงจากสะพาน เดินเลียบไปตามริมแม่น้ำที่มีคนมานั่งปิกนิคอยู่ประปราย ถึงซากุระจะยังไม่บานแต่อากาศเย็นสบายกับธรรมชาติรอบตัวก็พอจะกลับช่วยดึงอารมณ์ขุ่นมัวของผมให้กลับมาเป็นปกติได้

   "ปีนี้ยังไม่บาน หวังว่าปีหน้าคงจะบานนะ" มองดอกตูมๆ ที่ติดอยู่กับกิ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง

   ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะมาที่นี่อีกสักครั้ง มาค้างแถวนี้เลยก็ได้ มาทุกวัน มาจนกว่าจะเห็นดอกซากุระบานสะพรั่งรอบแม่น้ำสายนี้

   
   จากสะพานเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็เจอกับจุดชมซากุระเลียบทางรถไฟ จริงๆ มันเลียบไปกับถนนด้วย มีร้านขายของกินเปิดสองฝั่งข้างทาง ซากุระตรงจุดนี้มันบานแบบกั๊กๆ ไม่ได้บานสะพรั่งแบบที่อยากเจอ มันสวยแต่ก็สวยไม่สุด

   ผมกับน้องหมีเดินเทอดน่องไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปตามถนน สุดทางแล้วก็เดินกลับ แวะกินโซบะข้างทางประทังความหิวก่อนไปนั่งทิ้งอารมณ์ใต้ต้นซากุระริมแม่น้ำที่เดินผ่านตอนขามา

   "ปีหน้าพี่อินจะมาอีกเหรอ"

   ผมหันไปมองน้องหมีที่ถามขึ้นอย่างกับรู้ใจผมงั้นแหละ ก็ไอ้ที่พร่ำเพ้อไปก่อนหน้านี้ผมพูดคนเดียว คุยกับดอกซากุระตูมๆ เป็นการให้คำมั่นสัญญากัน

   "แบร์หมายถึงที่นี่น่ะ"

   "ถ้ามีโอกาสก็อยากมา ทำไม จะมาด้วยเหรอ"

   "อืม อยากมา"

   "ชอบซากุระแล้วอ่ะดิ"

   "แค่อยากมากับพี่อิน" น้องหมียิ้มบางๆ ตอนพูดมันออกมา

   ได้ฟังประโยคแบบนี้ทีไรใจผมมันก็พองโตรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันน่าชื่นใจนะที่มีคนเห็นว่าเราสำคัญ อยากอยู่ด้วยหรืออยากไปไหนมาไหนด้วยกัน ยิ่งกับน้องหมีที่ตอนเด็กแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา ผ่านไปหลายปีสิ่งที่ผมคิดว่าจะเปลี่ยนไปหลายอย่างกลับยังเหมือนเดิม และมีบางอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ผมเองก็ยังไม่มั่นใจ

   "เออพี่อิน รู้ใช่ป่ะว่าทำไมแบร์ถึงเรียบจบช้า" แล้วประเด็นใหม่กับเรื่องในอดีตก็ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยเจ้าตัวเอง

   "ติดเพื่อนไม่ใช่เหรอ"

   "เปล่า จริงๆ แล้วติดแฟน"

   "จริงดิ" ผมเลิกคิ้วมอง ที่ผ่านมาเข้าใจว่าน้องหมีติดเพื่อนมาโดยตลอด เพราะแม่น้องมันบอกมาแบบนั้น เป็นความร้ายกาจของน้องหมีที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กนิสัยน่ารักอย่างน้องมันจะทำตัวแบบนี้ได้

   "จริง"

   "แล้วแม่ไม่รู้เหรอว่าเป็นแฟน หรือโกหก"

   "ไม่ได้โกหกหรอก แม่ดูไม่ออกเอง"

   "แยกเพื่อนกับแฟนของลูกไม่ออกเนี่ยนะ"

   "จะไปรู้เหรอ" พูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเปิดเป้หยิบขนมออกมากิน เป็นท่าทีเฉยเมยที่บอกให้รู้ว่าหัวข้อนี้ได้จบลงแล้ว

   ผมได้แต่ส่ายหน้า คนเราทุกคนย่อมมีความดื้อดึงอยู่ในตัว น้องหมีเองก็แสดงมันออกมาให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่มุมที่ผมเห็นจะเป็นด้านดีกับนิสัยที่ผมมองว่าน้องมันน่ารักมากกว่า ส่วนเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งสารภาพมาผมไม่ขอออกความคิดเห็นแล้วกัน แต่สงสัยเรื่องที่ป้าวาดไม่รู้ว่าน้องมันมีแฟนจนคิดว่าติดเพื่อนนี่แหละ สองปีเชียวนะเวลาที่เสียไป คิดแล้วก็อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจริงๆ คนที่ทำให้น้องหมีผู้น่ารักของผมเสียผู้เสียคนได้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

   เอื่อยเฉื่อยอยู่ริมแม่น้ำจนใกล้เวลารถไฟขากลับเราก็เดินกลับไปที่สถานี รอบนี้ไม่มีพลาดไม่มีทางตกรถไฟ แถมยังมีเวลาเหลือให้แวะกินไอติมกูลิโกะอีก เป็นคอลเลคชั่นที่อยู่ในตู้กดไม่เหมือนกับที่ขายในประเทศไทย กินเสร็จขึ้นรถไฟจักรไอน้ำกลับไปสถานีคานายะ มุ่งหน้าสู่สถานีชิซุโอะกะ และนั่งชินคันเซ็นต่อไปยังโอซาก้าจุดหมายของค่ำคืนนี้



TBC.



ย้ายเมืองกัแล้วววววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 03-05-2017 23:31:57
แยกเพื่อนกับแฟนไม่ออก แสดงว่าแฟนเป็นผู้ชาย 555
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 03-05-2017 23:34:35
รึว่าแฟนเป็นผู้ชายเลยคิดว่าเป็นเพื่อน
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-05-2017 23:59:08
แฟนน้องหมีเป็นผู้ชายชัวร์ แม่ถึงแยกไม่ออก  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 05-05-2017 08:03:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 05-05-2017 22:21:52
อยากไปเที่ยวญีปุ่นด้วย
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 06-05-2017 03:29:49
อ่านไปก็ลุ้นไป
อ่านนิยายเหมือนได้เที่ยวเองเลยค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: jejiiee ที่ 06-05-2017 07:42:45
สนุกมากเลยค่ะะ รอๆๆ ชอบเหมือนได้เที่ยวเองเลย คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 5 [03/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 07-05-2017 17:37:59
 o13
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 07-05-2017 18:17:08

คืนที่ 5



   มาถึงโอซาก้าท้องฟ้าก็มืดสนิท เดินงงกันในสถานีรถไฟอยู่สักพักในที่สุดก็คลำทางมาถึงโรงแรมจนได้ ที่โอซาก้าผมว่าเข้าใจยากกว่าโตเกียวเยอะเลย หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยมาจะขึ้นรถไฟแต่ละทีต้องหาชานชาลากันวุ่นวาย เพราะไม่รู้ว่าต้องขึ้นชานชาลาไหน

   จากสถานีชินโอซาก้า ขึ้นรถไฟอีกสองต่อลงสถานีชินอิมามิยะ โรงแรมที่ผมจองไว้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟไม่ถึงสิบก้าว เช็คอินเสร็จก็ลากกระเป๋าขึ้นชั้นสอง

   "ทางเดินกว้างดี"

   "หรือจะนอนทางเดิน"

   "อย่าดีกว่า" ว่าแล้วก็หัวเราะ

   ผมยิ้มรับมองน้องหมีที่เดินลากกระเป๋าอาดๆ ไม่ต้องค่อยๆ ใช้เท้าดันไปตามทางแคบๆ เหมือนที่โตเกียว แต่ดีใจไปเถอะ เห็นห้องพักแล้วอาจจะยิ้มไม่ออก

   มาถึงหน้าห้อง ไขกุญแจ เปิดประตูเปิดไฟ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็เรียกได้ว่าเซอร์ไพรส์กันเลยทีเดียว

   น้องหมีอ้าปากเหวอมองห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่กว้างสักสามเมตรได้ เป็นห้องโล่งๆ ที่มีฟูกวางไว้สองอันกับตู้เก็บของแค่นั้น

   "ห้องแค่เนี้ยะ!"

   "ก็แค่เนี้ยแหละ"

   ผมลากกระเป๋าเดินนำเข้าไปข้างใน ผ่านส่วนห้องน้ำที่ถูกกั้นออกมาจากห้องนอนรวมอยู่กับที่วางรองเท้า แล้วก็รู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมาทันที ขนาดว่าผมดูรูปอ่านรายละเอียดมาอย่างดีแล้วนะ แต่ห้องมันเล็กแบบคาดไม่ถึงจริงๆ สมกับเป็นโรงแรมราคาประหยัด

   กระเป๋าสัมภาระทุกอย่างถูกเก็บไว้ในตู้ที่หน้าตาเหมือนตู้นอนของโดเรมอนซึ่งความจริงแล้วเอาไว้ใช้เก็บฟูกที่นอน ของของผมเก็บชั้นล่าง ของของน้องหมีเก็บชั้นบน จัดการเก็บของเสร็จเรียบร้อยก็เหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง เตรียมตัวออกไปหาอะไรใส่กระเพาะ

   "เราจะไปไหนกันนะ"

   ผมเหล่ตามองน้องหมีตอนเรากำลังใส่รองเท้าอยู่หน้าประตู นอกจากจะจำแพลนไม่ได้แล้วยังทำมันหายอีกด้วย

   "ชินเซไก"

   "ชินเซไก"

   "โลกใบใหม่ของมวลมนุษย์"


   ชินเซไก แปลว่า โลกใหม่ ส่วนที่บอกว่าโลกใบใหม่ของมวลมนุษย์ผมพูดโอเวอร์ไปอย่างนั้นเอง ย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารทอดเสียบไม้ มีหอคอยซึเทนคาคุเป็นสัญลักษณ์ แถมยังอยู่ใกล้กับโรงแรมแบบที่สามารถเดินถึงกันได้ ชินเซไกจึงกลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับมื้อค่ำของวันนี้

   แม้โอซาก้าจะอุ่นกว่าโตเกียวแต่ช่วงหัวค่ำแบบนี้สำหรับคนขี้หนาวอย่างผมก็ยังหนาวอยู่ดี ขนาดใส่เสื้อมาสองชั้นเจอลมพัดมาทีปากก็สั่นจนฟันกระทบกัน ผิดกับคนข้างๆ ที่หน้าตายิ่งเบิกบานตอนเจออากาศเย็นๆ ดูสดชื่นสบายอุราจนผมรู้สึกอิจฉา อยากเกิดมาหนังหนาบ้าง

   "หนาวเหรอ" แล้วนี่น้องมันต้องรู้ทันผมไปหมดทุกเรื่องเลยหรือไง

   "นิดหน่อย"

   สิ้นเสียงเสื้อกันหนาวตัวเดิมที่ผมเคยพึ่งพาอยู่หลายครั้งก็ถูกเปลี่ยนผู้ครอบครอง น้องหมีเอามันมาคลุมตัวผมไว้ทั้งที่ไม่ไดขอหรือบอกปฏิเสธ
 
   "ถ้าหนาวก็เอาคืนไปนะ"

   "แค่นี้สบาย" ว่าแล้วทำหน้าไม่ทุกข์ร้อน

   ผมล่ะอิจฉาจริงๆ คนที่ชอบอากาศหนาวๆ เพราะผมดันชอบทั้งคนทั้งของที่อยู่ประเทศหนาวแต่กลับทนหนาวไม่ค่อยได้ เป็นตัวทรมานตัวแต่สุขใจโดยแท้

   เดินตรงมาตามถนนใหญ่ผ่านสี่แยกที่มีห้างดองกิโฮเต้ตั้งอยู่และผมเล็งไว้แล้วว่าขากลับจะแวะดูของสักหน่อย จากสี่แยกเดินมาอีกไม่ไกลก็เจอทางเข้าชินเซไก ข้ามถนนเดินเข้าซอยไปอีกนิดแสงสีตามร้านค้าที่ประดับประดากันอย่างอลังการเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเราได้มาถึงโลกใหม่แล้ว

   แสงสีกับการประดับร้านด้วยโคมไฟเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของย่านนี้ที่ผมชอบ เก็บรูปพอเป็นพิธีให้รู้ว่ามาถึงเสร็จแล้วก็ได้เวลาเดินหาของกิน ทุกร้านจะมีเมนูหลักเหมือนๆ กันคือของทอดเสียบไม้ ส่วนเมนูเสริมจะมีอะไรบ้างก็แล้วแต่ร้านจะจัดสรรกันมา

   รอบแรกผมกับน้องหมีเดินสำรวจและเล็งร้านร้านหนึ่งที่น่าสนใจเอาไว้ เดินไปจนถึงหอคอยซึเทนคาคุถ่ายรูปกับคอหอยเป็นที่ระลึกแล้วเดินกลับมาย่านของกิน

   ร้านที่ผมกับน้องหมีเล็งเอาไว้เป็นร้านที่มีผ้าใบสีขาวขุ่นคลุมหน้าร้าน แต่น่าเสียดายที่พอเปิดเข้าไปปุ๊บพนักงานก็เชิญออกทันทีเนื่องจากร้านปิดแล้ว ผลักเราเข้าสู่ความเวิ้งว้างเพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ใกล้เวลาปิดร้านกันทั้งนั้น

   นี่เพิ่งจะสามทุ่มครึ่งเองนะ

   "เอาไงกินร้านไหน"

   เครียดว่ากินร้านไหนดีคือกลัวไม่มีอะไรกิน จนน้องมีเรียกผมให้เดินเข้าร้านที่กำลังเดินผ่าน

   พนักงานร้านที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเด็กมหาลัยสองคนต้อนรับเราด้วยความคึกคัก ร้านนี้มีเฉพาะที่นั่งตรงเคาน์เตอร์แถมทั้งร้านเหลือเราอยู่ค่าสองคนเนื่องจากใกล้เวลาปิดร้านแล้ว ผมเลยเลือกนั่งใกล้ประตูร้านกับแคชเชียร์ซะเลย

   ย่านนี้ขึ้นชื่อเรื่องของทอดเสียบไม้ผมเลยสั่งมาเต็มที่ ทั้งผัก เนื้อ ไข่ ชีส วางพูนเต็มจาน เสริมด้วยยากิโซบะที่น้องหมีอยากกิน

   "คนโอซาก้าเขาดูคึกคักดีเนอะ"

   "ร่าเริงมากด้วย"

   ดูตัวอย่างได้จากพนักงานของร้านนี้ที่ยังเรียกลูกค้าด้วยน้ำเสียงทรงพลังทั้งที่ใกล้เวลาปิดร้าน แถมยังวิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งที่มีลูกค้าแค่สองคน

   "พี่อิน น้ำเอาตรงไหนอ่ะ"

   "เออ ไม่รู้ว่ะ"

   ปกติร้านอาหารญี่ปุ่นจะมีบริการน้ำดื่มฟรี แต่ที่นี่ผมไม่เห็นถังน้ำตั้งอยู่ ลองชะเง้อมองอีกฝั่งก็ไม่มี หรือต้องเรียกเอาจากพนักงาน

   "ต้องสั่งเอามั้ง"

   "สั่งให้หน่อยดิ"

   "สั่งเองดิ"

   "พูดญี่ปุ่นได้ก็สั่งให้หน่อย"

   "ภาษาอังกฤษก็สั่งได้" ภาษาญี่ปุ่นแบบเป็นคำๆ ของผมอย่านับว่าพูดได้เลย

   "หรือพี่อินไม่กินน้ำ"

   "กินดิ"

   "งั้นสั่งเลย"

   แล้วทำไมเราต้องมาเกี่ยงกันเรื่องนี้ด้วยก็ไม่รู้ เพราะสุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายแพ้เมื่อยกมือเรียกพนักงานมาสั่งน้ำดื่ม

   "สุมิมาเซน"

   "ไฮ!"

   ส่งเสียงไปถึงวินาทีพนักงานผู้ร่าเริงทั้งสองคนก็เดินมาหา แต่ว่าทำไมต้องมาสองคน เพราะเห็นเป็นต่างชาติใช่มั้ยเลยต้องผนึกกำลังกันมา

   "โอะมิซุ" ผมสั่งเป็นคำสั้นๆ ที่แปลว่าน้ำ พนักงานทั้งสองคนก็พยักหน้ารับก่อนจะตะโกนกันลั่นร้าน

   "มิซู!!!!~"

   อื้ม บริการกันอย่างเต็มที่จริงๆ

   หลังจากได้น้ำดื่มมาสองแก้วพนักงานผู้ร่าเริงทั้งสองก็มาช่วยกันนับเงินตรงแคชเชียร์เป็นสัญญาณบอกที่ผมคิดเอาเองว่า 'ร้านใกล้จะปิดแล้วนะ พวกแกรีบกินกันเร็วๆ สิ' อะไรประมาณนั้น

   "ลองชวนเขาคุยมั้ย" กินจนใกล้หมดอยู่ๆ น้องหมีก็นึกพิเรนทร์อะไรขึ้นมาอีก ให้สั่งน้ำเองยังไม่ยอมสั่งแล้วทีนี้จะไปชวนเขาชวนคุย

   "ก็คุยเองดิ"

   น้องหมียิ้มให้ตาเป็นขีดทำจริงอย่างที่ว่า หันไปชวนหนุ่มโอซาก้าทั้งสองคนคุยด้วยคำถามภาษาอังกฤษง่ายๆ ว่าอายุเท่าไร

   "สิบเก้า" พนักงานหมายเลขหนึ่ง

   "สิบเก้า" พนักงานหมายเลขสอง

   "ยี่สิบสี่" ผมกับน้องหมีตอบเหมือนกัน

   หนุ่มโอซาก้าทั้งสองคนร้อง อู้ว! เป็นรีแอคชั่นที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรก่อนจะเข้าสู่คำถามที่สองซึ่งฝ่ายนั้นเป็นคนถามว่ามาจากไหน

   "ไทยแลนด์ แบงค็อก" น้องหมีตอบ ก่อนผมจะช่วยพูดให้ฟังง่ายขึ้นเป็นภาษาญี่ปุ่น

   "บังโคะคุ"

   "โอ้ว! บ็อกซิ่ง" พูดแล้วก็ทำท่าเตะมวยให้ดูเรียกรีแอคชั่นจากผมกับน้องหมีให้ปรบมือร้องชมว่ากู้ดๆ อารมณ์เหมือนตอนอยู่ในเมดคาเฟ่ยังไงยังงั้น

   เราคุยเล่นกันแบบถามคำตอบคำจนหนึ่งในสองคนนั้นถามขึ้นมาว่าพูดภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย น้องหมีรีบโบกมือว่าพูดไม่ได้ ผมตอบไปว่าได้นิดหน่อยประเด็นเลยถูกเหวี่ยงไปหาพ่อหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในครัวหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งความจริงเขายืนทำงานอยู่ตรงหน้าที่ผมนั่งอยู่ตั้งแต่เข้ามานั่งในร้านแล้ว

   พ่อหนุ่มคนนั้นถูกแนะนำตัวว่าเป็นเวียดนามมาเรียนภาษาและทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ ทันทีที่รู้ว่าผมพอจะพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้างเขาก็ชวนคุยใหญ่ แต่เพราะเขาพูดเบามากแถมยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ผมเลยต้องลุกขึ้นไปฟังใกล้ๆ เรื่องที่เขาถามก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป อย่างเช่นเรียนอยู่หรือทำงานแล้ว มาเที่ยวเหรอ ชอบที่นี่ไหมอะไรประมาณนั้น แต่คุยได้ไม่กี่ประโยคชายเสื้อผมก็ถูกดึงยิกๆ จากคนที่ผมปล่อยให้คุยกับพนักงานผู้ร่าเริงทั้งสองคน ซึ่งตอนนี้โดนทิ้งให้นั่งจ๋องอยู่คนเดียว

   "อิ่มแล้วกลับกัน" บอกหน้าตึง เพิ่งเคยเห็นน้องหมีกินอิ่มแล้วหน้าบึ้งก็คราวนี้

   "โอเค"

   ผมบอกลาเพื่อนชาวเวียดนาม เรียกสองหนุ่มผู้ร่าเริงมาคิดเงินก่อนออกมาจากร้านท่ามกลางเสียงขอบคุณดังกระหึ่ม เป็นมื้ออาหารที่ดีและคึกคักที่สุดตั้งแต่เคยมาญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สำหรับหมีตัวโตข้างๆ

   "เป็นอะไร ไม่อร่อยเหรอ"

   "เปล่า"

   "แล้วทำไมหน้าบึ้ง"

   น้องหมีทำหน้างอแงมองผม ตอนแรกยังร่าเริงแข่งกับหนุ่มโอซาก้าสองคนนั้นอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้เป็นแบบนี้ไปซะได้

   "พี่อินคุยอะไรกับไอ้หนุ่มเวียดนามนั่น"

   "ก็เรื่องทั่วๆ ไป"

   "ขอรายละเอียด"

   ผมเงยหน้าขึ้นมองน้องหมีอย่างไม่เข้าใจ อยู่ๆ มาเค้นกันเฉยเลย แล้วอย่าบอกนะว่าทำหน้าบึ้งเพราะเรื่องนี้ แค่ฟังไม่ออกว่าผมกับคนเวียดนามคุยอะไรกันเนี่ยนะ ทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉาไปได้

   "เขาถามว่ามาเที่ยวเหรอ ชอบที่นี่มั้ย เรียนอยู่หรือทำงานแล้ว แค่นี้แหละ"

   ได้ฟังที่ผมบอกสีหน้าน้องหมีก็เริ่มดูดีขึ้นมา ไม่บึ้งเหมือนก่อนหน้านี้แต่ก็ยังไม่ยอมยิ้มอยู่ดี ไม่รู้ข้องใจอะไรนักหนากับเรื่องที่ผมคุยกับพนักงานเวียดนามคนนั้น

   "แล้วถามทำไม"

   "เปล่า"

   "บอกมา" ไม่มีทางหรอกที่อารมณ์บูดซะขนาดนั้นจะบอกว่าไม่มีอะไร

   น้องหมีมองผม สูดลมหายใจเข้าช้าๆ แล้วถอนหายใจออกเบาๆ เป็นท่าทางที่เพิ่มความงุนงงให้ผมอีกสิบเท่า ถามถึงสาเหตุแค่นี้ถึงขั้นต้องเตรียมใจโดยการกำหนดลมหายใจใหม่เลยเหรอ

   "ตอนที่คุยกันพี่อินยิ้มตลอดเลย ไอ้หมอนั่นก็ยิ้ม แบร์อยากรู้ว่าคุยอะไร แค่นั้นแหละ"

   "เป็นเด็กหวงของเหรอ"

   "แล้วพี่อินเป็นของที่แบร์หวงได้มั้ยล่ะ"

   ผมกะจะถามเพื่อเล่นงานน้องมันแต่กลายเป็นว่าโดนเล่นงานกลับจนไปต่อไม่ถูกซะเอง แล้วสายตาแบบนั้นมันหมายความว่าไง หวงของ ของที่หวง ใครเขาสอนให้เล่นมุกแบบนี้ จะไม่คิดอะไรเลยนะถ้าไอ้ของที่พูดถึงกันนี้ไม่ใช่ตัวผมเอง

   แบบนี้มันเรียกว่าหึงไม่ใช่หรือไง

   "กลับกันเหอะ" เถียงไม่ได้ก็เบี่ยงประเด็นมันซะเลย



   ขากลับผมกับน้องหมีแวะเข้าดองกิโฮเต้ ห้างที่ใครๆ ก็ต้องมา มีของทุกอย่างให้เลือกสรรแบบครบครัน ตั้งแต่ขนมยันของแบรนด์เนม ที่สำคัญถ้าซื้อถึงจำนวนที่ทางห้างกำหนดไว้คนต่างชาติอย่างเรายังสามารถขอคืนภาษีได้อีกด้วย

   ขึ้นบันไดเลื่อนมาถึงในห้างก็หยิบตะกร้ามาหนึ่งใบ ผมไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษเลยเดินดูของไปตามโซนต่างๆ ไปเรื่อย แล้วก็ไปสะดุดตากับโซนหนึ่งที่เขากั้นผ้าใบเอาไว้แถมยังระบุชัดเจนว่าโซนนี้สิบแปดบวกเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ผมคิดว่าน้องหมีต้องอยากเข้าแน่ๆ

   "พี่อิน เข้าไปดูกัน" นั่นไง ทายผิดที่ไหน

   โซนสิบแปดบวกหลังผ้าใบกั้นแห่งนี้คือเซ็กช็อปขนาดย่อม ของที่ขายก็เหมือนๆ กับร้านที่ชินจูกุที่ผมพาน้องหมีไป ต่างกันที่ที่นี่มีของน้อยกว่าเยอะมาก แต่มีบางอย่างที่น่าสนใจกว่าคือดิลโด้หลากไซส์หลากขนาดหลายรูปแบบ มาพร้อมกับปุ่มกดเพื่อใช้ดูตัวอย่างการเคลื่อนไหวของมัน

   ดิลโด้แปดอันถูกแบ่งใส่ตู้ละสี่อันเพื่อตั้งโชว์ แล้วเจอของน่าสนใจแบบนี้มีหรือที่น้องหมีจะไม่ทดลองเล่น

   "พี่อินดูนี่"

   พอผมหันไปมองตามน้องก็กดปุ่มทั้งสี่พร้อมกัน ดิลโด้ที่อยู่ในตู้นั้นขยับโยกย้ายส่ายดุ๊กดิ๊กไปมาตามระบบที่มันถูกตั้งเอาไว้ ดูน่ารัก ตลก แปลกประหลาดแล้วก็น่าขนลุกไปพร้อมๆ กัน

   "กดแปดอันไหวป่ะ จะถ่ายวิดีโอ" ผมบอกน้องมันก็รีบพยักหน้าแล้วทำตามที่บอก

   คราวนี้ดิลโด้ทั้งแปดอันส่ายไปมาพร้อมกัน ผมหัวเราะค้างตอนกดถ่ายวิดีโอเอาไว้ เป็นพฤติกรรมชั่วช้าที่อย่าได้ไปบอกพ่อแม่ให้รู้เชียว   
   
   ออกจากโซนของเล่นผู้ใหญ่เราก็ไปยังโซนขนม น้องหมีหยิบคิทแคททุกรสที่มีขายกับขนมหน้าตาแปลกๆ ลงตะกร้า ส่วนผมซื้อเยลลี่โคโรโระของโปรด ได้ของที่ต้องการครบถ้วนก็ได้เวลากลับโรงแรม

   วันนี้สำหรับผมเป็นอะไรที่หฤโหดมาก ตกรถไฟ ไม่สมหวัง งงเป็นไก่ตาแตกขึ้นรถไฟไม่ถูกตอนมาถึงโอซาก้า อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างผู้หญิงเป็นประจำเดือน อยากจะรีบกลับไปนอนเตรียมจิตใจให้สดชื่นสำหรับการเที่ยวในวันพรุ่งนี้แล้ว

   เปลี่ยนโรงแรมใหม่แต่ลำดับการอาบน้ำของเรายังเหมือนเดิม ผมอาบก่อนเข้านอนก่อนเลยได้นอนด้านใน ล้มตัวลงห่มผ้านอนได้ไม่ถึงสองนาทีไลน์ก็แจ้งเตือน ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงน้องหมี

   "โทษที หลับยัง"

   "ยัง" ตอบกลับแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูแจ้งเตือนว่าคนมีสร้างอัลบั้มรูปส่งมาให้

   ผมเปิดดู รูปทั้งหมดถ่ายที่อิเอะยาม่าตอนเรานั่งรถจักรไอน้ำไปดูซากุระ แต่ไม่คิดเลยว่าน้องหมีจะถ่ายรูปผมมาเยอะขนาดนี้

   เลื่อนดูไปทีละรูปแล้วมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาเอง น้องหมียังถ่ายรูปสวยเหมือนเดิม ทั้งแสงและมุม อย่างกับผมจ้างตากล้องมืออาชีพมาถ่าย แต่รูปส่วนใหญ่ที่น้องมันถ่ายเป็นรูปผมตอนเผลอทั้งนั้น รวมกันห้าวันจะแยกเก็บเป็นคอลเลคชั่นได้อยู่แล้ว

   ผมเลือกเซฟรูปหนึ่งเอาไว้จากรูปทั้งหมด เป็นรูปที่ผมกำลังยืนมองดอกซากุระตูมๆ ด้วยสายตาตัดเพ้ออย่างกับกำลังเล่นเอ็มวีเพลงรักอยู่ เป็นช่วงที่ผมกำลังพร่ำเพ้ออยู่คนเดียวกับซากุระดอกนั้น และน้องหมีคงเข้ามาเห็นพอดีตอนที่ผมไม่รู้ตัว

   รูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กที่ใช้มาแรมปีถูกเปลี่ยนออก แทบจะทันทีที่รูปอัปโหลดเสร็จเจ้าของรูปถ่ายก็เข้ามากดไลค์ อย่างกับรู้ว่าผมจะเปลี่ยนรูปงั้นแหละ

   "เร็วจังนะ"

   "ก็รออยู่"

   ผมเบ้ปากอย่างหมั่นไส้อยู่ใต้ผ้าห่มก่อนปิดเสียงโทรศัพท์วางเอาไว้ข้างหมอน

   หรือบางทีน้องหมีอาจจะเดาออกก็ได้ว่าผมคิดจะทำอะไรบ้าง ก็เล่นรู้ทันผมไปหมดซะทุกอย่างขนาดนี้ ตอนเด็กเคยรู้ใจกันยังไง ตอนโตไม่ได้เปลี่ยนไปเลย   



TBC.



ทำไมทุกคนต้องบอกเหมือนกันว่าแฟนน้องหมีเป็นผู้ชายอ่ะ ฮ่าๆๆ
คนอ่านบางคนเคยไปเที่ยวมาแล้วใช่มั้ยคะ ตอนเราเขียนก็อยากกลับไปเที่ยวอื่นเหมือนกัน
แต่ไปเที่ยวไม่ได้ก็เอามาลงกับนิยายนี่แหละ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-05-2017 20:19:35
 :กอด1:
อบอุ่นดีจัง
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-05-2017 21:48:15
น้องหมีถ่ายรูปพี่อินขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวเหรอคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 5 [07/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-05-2017 23:10:19
หมีแบร์ หวงพี่อิน
เพราะเห็นพี่อินยิ้มไปคุยไปกับหนุ่มเวียดนาม
แต่พี่อินกลับรู้ดีกว่า ว่านั่นนะมันหึงไม่ใช่หรือ
อย่างนี้พี่อิน เท่ากับรู้ความในใจของน้องหมีสิว่าชอบพี่อิน
เหมือนหมี รู้ใจพี่อิน มาตั้งแต่เด็ก โตก็ยังรู้ใจเหมือนเดิม
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 13-05-2017 20:14:31


วันที่ 6


   เสียงนาฬิกาดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกอึดอัดที่หน้าอก ผมขยับตัวไม่ได้ ขาก็ขยับไม่ได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าผมจะโดนผีญี่ปุ่นอำ

   จะท่องบทสวดไปก็เปล่าประโยชน์ ผีญี่ปุ่นคงฟังไม่รู้เรื่อง บทสวดของชินโตเป็นยังไงผมก็ท่องไม่เป็น เลยเลือกที่จะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อขัดขืนและดิ้นรนให้หลุดจากการครอบงำนี้ซะ

   "ย้า!!~"

   ปึก!

   ออกแรงหมุนตัว 360 องศา กลิ้งไปด้านขวาได้หนึ่งตลบครึ่งตัวก็กระแทกเข้ากับผนังห้องคราวนี้ถึงได้ตื่นเต็มตา ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งยกมือปิดปากหาวหนึ่งวอดก่อนหันไปมองบนฟูกที่นอนแล้วก็ได้รู้ว่าไอ้ผีที่มันอำผมเมื่อกี้นี้คือเพื่อนร่วมทริปของผมเอง
   "พี่อินเป็นอะไร" ถามตาแป๋วกลั้วหัวเราะ แขนกับขายังอยู่ในท่าก่ายหมอน ซึ่งหมอนที่ว่าก็คือตัวผม

   "ฝันว่าโดนผีอำ"

   "แบร์อำเองอ่ะ" บอกอย่างอารมณ์ดีก่อนน้องมันจะลุกไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว

   ผมยังคงนั่งเกาหัวยุ่งๆ อยู่ที่เดิมด้วยความมึนไม่หาย อยู่โตเกียวนอนแยกเตียงใครเตียงมันหลับสบายยาวนานทั้งคืน ย้ายมาโอซาก้าคืนเดียวได้นอนฟูกข้างกันน้องหมีมันก็เล่นผมเลย รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอีกสองคืนหลังจากนี้ขึ้นมาทันที


   วันแรกในโอซาก้าแต่วันนี้เราไม่เที่ยวโอซาก้า ผมจะพาน้องหมีไปเยี่ยมอดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น เมืองแห่งพระใหญ่และฝูงกวาง นั่นก็คือนารา สถานที่ที่ผมได้มาด้วยการจับฉลากเพราะเลือกไม่ได้ว่าจะไปนาราหรือเกียวโตดี

   จากโรงแรมที่พักนั่งรถไฟต่อเดียวใช้เวลาสี่สิบนาทีก็มาถึงนารา เช้านี้อากาศแจ่มใสแถมแดดแรงเป็นพิเศษ มนุษย์เมืองร้อนอย่างผมเลยค่อนข้างลัลล้าที่ไม่ต้องทนหนาวจนปากสั่น ส่วนหมีขั้วโลกข้างๆ ใส่แค่เสื้อแขนยาวตัวเดียว โชว์เก๋าไปอีก

   ออกจากสถานีรถไฟข้ามถนนมาก็เดินยาวๆ วันนี้เราจะเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดิน เพื่อซึมซับบรรยากาศอันร่มรื่นของธรรมชาติ วัดเก่าแก่ และเล่นกับน้องกวาง ที่นารายังเป็นอีกเมืองที่ผมตั้งความหวังกับซากุระเอาไว้ด้วย หวังว่าจะเห็นมันบานสวยๆ สักที

   สถานที่แรกที่มาถึงคือวัดโคฟุคุจิ ทางขึ้นจะเป็นบันไดยาวๆ ที่แค่เห็นก็เหนื่อยแล้ว วัดนี้เข้าชมฟรี มีเจดีย์สามชั้นและห้าชั้นที่สูงเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น เราเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ จนได้เจอกับน้องกวางตัวแรก แล้วความสนใจก็ถูกดึงไปหามันทันที

   "กวางน้อย" น้องหมีกระโดดเหยงๆ เข้าไปหาน้องกวางแถมใช้เสียงสองคุยด้วยอีก เป็นมุมสาวน้อยที่ดูน่ารักปนน่าถีบ

   แถวเจดีย์ห้าชั้นมีกวางอยู่กันหลายตัว บริเวณนี้เลยชุกชุมไปด้วยนักท่องเที่ยว น้องหมีได้รูปถ่ายกับกวางไปแล้วผมเองก็อยากถ่ายบ้างเลยนั่งลงข้างน้องกวางตัวหนึ่ง ตอนแรกเราก็มองหน้ากันอยู่ดีๆ หรอก เก๊กท่าพร้อมเตรียมถ่าย แต่พอกดชัตเตอร์ปุ๊บน้องกวางก็หันหน้าหนีผมซะงั้น

   "กวางเมินอ่ะ" เปิดรูปให้ดูแล้วยังจะหัวเราะเยาะล้อกันอีก

   รูปที่ถ่ายได้กลายเป็นว่าผมกำลังสะกิดน้องกวางที่หันหน้าหนีให้หันกลับมา สีหน้าท่าทางเหมือนคนกำลังง้อแฟนยังไงยังงั้น ทั้งที่มันควรจะเป็นรูปที่เรามองกล้องด้วยกันแท้ๆ

   "ถึงกวางจะเมินแต่หมีไม่เมินนะ" ส่วนไอ้น้องคนนี้ก็ได้จังหวะเล่นมุกหน้าระรื่นไปอีก

   ผมทำหน้าเพลียใส่ก่อนเดินหนี ถึงจะเป็นน้องหมีสุดที่รักก็เถอะ ถึงจะรู้สึกดี แต่มากันเล่นมุกเต๊าะกันบ่อยๆ แบบนี้มันก็อดระแวงไม่ได้ ก็ได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่มีอะไร น้องมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว

   เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก...จริงๆ งั้นเหรอ

   ออกจากวัดโคฟุคุจิมาก็เจอกับร้านขายเซมเบ้เลี้ยงกวาง ผมเชียร์ให้น้องหมีซื้อสุดท้ายกลายเป็นคนซื้อซะเอง แล้วพวกกวางอย่างกับมีสัมผัสพิเศษ แค่ผมรับเซมเบ้จากมือคุณป้าคนขายมายังไม่ได้ทันได้แกะห่อพวกมันก็เดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง แบบนี้มันน่ากลัวนะเว้ย

   "แบร์ แบ่งกันคนละครึ่ง" ผมพยายามจะแบ่งเซมเบ้ให้น้องหมีตอนที่กวางเริ่มเข้ามารุมขอกิน ป้อนตัวหนึ่ง อีกตัวก็มางับเสื้อ อีกตัวก็งับกางเกง ซ้ำร้ายคำตอบที่ได้จากน้องหมีคือ

   "พี่อินป้อนไปเลยเดี๋ยวแบร์ถ่ายรูปให้"

   แกมันร้ายกาจมากไอ้น้องหมี

   "เฮ้ยหยุด!"

   "แกน่ะออกไปก่อนเว้ย"

   "ใจเย็นได้ทุกตัว"

   "ไอ้นี่อย่างับสิวะ"

   "ว้ากกก!"

   ผมป้อนไปก็แหกปากร้องโวยวายไปตอนโดนกวางดึงเสื้อผ้าจนเป็นรอยเปื้อนจากดินผสมน้ำลาย ส่วนน้องหมีที่อาสาเป็นตากล้องก็ถ่ายไปขำไปมีความสุขซะเหลือเกิน

   เซมเบ้หมดจากมือน้องกวางก็สลายตัว รอดพ้นจากการรุกรานครั้งนี้มาได้ผมก็เดินดุมๆ เข้าไปหา ลงโทษด้วยการเตะขาน้องมันหนึ่งทีโทษฐานที่ปล่อยให้ผมเผชิญกับความโหดร้ายเพียงคนเดียว

   "รูปสวยนะ เดี๋ยวส่งให้" ยังมีหน้าเอารูปมาล่ออีก

   "ไปได้แล้ว"

   จากจุดที่ผมให้อาหารกวางเดินตรงไปอีกหน่อยก็ถึงศาลเจ้าฮิมุโระ แค่ปากทางเข้าใจผมก็เต้นแรงเมื่อเห็นว่าซากุระของที่นี่มันบานสะพรั่งเต็มต้น ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในผมก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ

   ที่ศาลเจ้าฮิมุโระมีซากุระพันธ์ย้อยอายุกว่าสี่ร้อยปี เป็นความสวยที่มาพร้อมกับความขลังลึกลับน่าค้นหา ได้เจออะไรสวยๆ งามๆ แบบนี้ทำเอาผมยิ้มแก้มปริ

   "สวย" น้องหมีพูดขึ้นตอนเรายืนมองซากุระด้วยกัน

   "สวยมาก"

   "ที่จริงความสวยมันนิยามได้หลายแบบนะ"

   "ยังไง" ผมหันไปถาม ไม่ได้งงอะไรมากมายแค่อยากรู้ความหมายที่น้องมันอยากจะสื่อ อยู่ๆ อยากจะมาเป็นนักปรัชญาอะไรตอนนี้

   "ปกติถ้าพูดถึงความสวยจะนึกผู้หญิงใช่มั้ย แต่จริงๆ ทุกอย่างบนโลกมันก็สวยได้หมด ดอกไม้สวย วัดสวย บ้านเมืองสวย ผู้ชายสวย"

   "ผู้ชายสวยก็สาวสองแล้วดิ" ผมว่าไอ้อย่างหลังนี่มันไม่ใช่แล้ว

   "ผู้ชายที่ไม่ใช่สาวสองก็สวยได้ มันคือความงามไงพี่อิน เราชมเขาว่าสวยก็ไม่ได้แต่แปลว่าเขาหน้าเหมือนผู้หญิงหรือแต่งเป็นผู้หญิง แต่มันคือสิ่งที่เรามองแล้วรู้สึกว่ามันสวย"

   ขอกลับคำจากตอนแรกที่ว่าไม่งง เพราะตอนนี้ยิ่งฟังผมก็ยิ่งงง ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติสวยๆ น้องมันถึงกับเสียสติไปเลยเหรอ

   "ก็ต้องเรียกว่าหล่อดิ"

   น้องหมีส่ายหน้ารับ หันมามองผมแล้วยกยิ้มบางๆ จะเล่นมุกอะไรอีกล่ะคราวนี้

   "อย่างพี่อินกับดอกไม้"

   น้อหงมีเว้นตังหวะจ้องมองกันด้วยใบหน้านิ่งๆ หากแต่แววตาสื่อความหมาย ก่อนจะยกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยประดยคที่ทำให้ผมรู้สึกใจไม่ดีเอาเสียเลย

   "คือความสวยงามสำหรับแบร์"


   หน้าอกผมเหมือนโดนระเบิกตูมต้อนน้องหมีพูดคำนั้นออกมา เดินเหมือนร่างไร้วิญญาณไปตามเส้นทางที่พลุกพล่านไปด้วยผู้ค้น ส่วนคนพูดน่ะเหรอแค่ยิ้มตาหยีพร้อมกับเอ่ยชวนให้ไปต่อ สองรอบแล้วนะที่วันนี้น้องหมีพูดจาคุกคามหัวใจ จะแกล้งเล่นพูดเอาฮาหรือยังไงก็แล้วแต่ ผมไม่อยากระแวงไปมากกว่านี้ ถ้าเล่นแบบนี้อีกรอบจะถามให้รู้เรื่อง

   สถานที่ต่อมาที่เรามาถึงคือวัดโทไดจิ ทางเดินเข้าวัดเต็มไปด้วยร้านขนมกับร้านขายของฝาก ผมซื้อไดฟุจิไส้ถั่วแดงที่มีสตรอเบอร์รี่ลูกยักษ์แปะอยู่ด้านบน ส่วนน้องหมีซื้อซอฟต์ครีมรสมันญี่ปุ่น

   แค่กัดสตรอเบอร์รี่เข้าไปคำแรกก็รู้สึกฟินเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ให้นึกถึงการ์ตูนเรื่องโทริโกะตอนที่โคมัตสึได้กินวัตถุดิบชั้นเลิศหน้าผมก็ประมาณนั้นนั่นแหละ สตรอเบอร์รี่หวานๆ ฉ่ำปาก กินแล้วต้องยับยั้งตัวเองไว้ให้ทำหน้าตาแปลกๆ ออกไปเพราะมันอร่อยมากจริงๆ

   "กินมั้ย" เจอของอร่อยก็อยากแบ่งปัน ถ้าน้องมันรังเกียจว่าผมกัดไปแล้วนะ

   "แลกกัน" รับโมจิของผมไป น้องหมีก็ยื่นซอฟต์ครีมมาให้

   "อร่อยมั้ย"

   "ก็พอได้อยู่"

   ผมงับซอฟต์ครีมเข้าปากรับรสชาติของมันญี่ปุ่นที่ไม่ได้แย่เท่าไร หวานนิดๆ พอกินได้ น้องหมีกินสตรอเบอร์รี่ที่เหลือจนหมดลูกแล้วก็ยื่นไดฟุกุเปล่าๆ ที่เหลือคืนให้ผม

   เดินไปแลกของกินกันไปตลอดทางจนถึงทางเข้าวัด เสียค่าเข้าชมคนละห้าร้อยเยน เข้ามาด้านในก็เจอกับซากุระต้นใหญ่ที่บานแล้วแต่ยังไม่สะพรั่งเต็มต้น

   เราหยุดถ่ายรูปต้นซากุระกับอาคารหลักของวัดที่สร้างด้วยไม้หลังใหญ่โตมโหฬาร เพราะในนั้นเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตหรือไดบุตสึเดนที่มีความสูงถึงสิบห้าเมตร

   เก็บรูปด้านนอกจนพอใจก็ได้เวลาเข้าไปในตัวอาคาร สักการะหลวงพ่อโตเสร็จก็เดินชมของที่จัแสดงอยู่ด้านในจนไปเจอของน่าสนใจอีกอย่าง มันเป็นเสาต้นใหญ่มีรูอยู่ตรงกลางติดกับพื้นที่เด็กๆ กำลังต่อแถวเพื่อมุดรอดรูนั้นอยู่

   "เขาบอกว่าถ้ารอดผ่านรูนี้ได้จะโชคดีมีความสุข อยากลองดูมั้ย" ตามข้อมูลที่อ่านเขาว่ามาอย่างนั้น แต่รูเล็กแค่นั้นคงมุดได้เฉพาะเด็กๆ

   "รูเล็กแค่นั้นหัวยังมุดเข้าไม่ได้เลย"

   "ไม่อยากโชคดีมีความสุขเหรอ"

   "แค่ได้อยู่กับพี่อินก็มีความสุขแล้ว"

   พูดแบบนี้อีกแล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงไม่คิดอะไรนอกจากน้องมันอยากขอบคุณที่ได้มาเที่ยวด้วยกันและมีความสุขกับทริปนี้จริงๆ แต่พอมากขึ้นกลับกลายเป็นความรู้สึกดีที่แฝงไปด้วยความคลางแคลงใจ ผมไม่ได้ใส่ซื่อขนาดจะมองไม่ออก โดยเฉพาะกับคนที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก

   "ไปต่อกัน" ถึงจะบอกว่าอยากถามให้รู้เรื่อง แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะปล่อยให้มันค้างคาใจต่อไป

   ศาลเจ้าทาคุกะไทชะเป็นอีกที่ที่ผมอยากมาตอนเปิดอ่านรีวิวเพื่อหาที่เที่ยวหายัดลงไปในแผนการเดินทาง การไปที่นั่นเราต้องผ่านทางเดินตะเกียงหินลึกเข้าไปด้านใน ต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายสองข้างทางยิ่งช่วยเสริมให้การเข้าไปเยือนศาลเจ้าแห้งนี้ดูลึกลับเข้าไปอีก

   ที่หน้าทางเข้าของศาลเจ้ามีซากุระพันธ์ย้อยอยู่หนึ่งต้น นักท้องเที่ยวต่างรุมถ่ายรูปกันยกใหญ่ มันสวย แต่ดูโดดเดียว เป็นซากุระต้นเดียวท่ามกลางทุ่งตะเกียงหินคงจะเหงาน่าดู

   จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือตะเกียงนับพันอันที่ได้รับบริจาคมา มีทั้งแบบแขวนสีทองกับสีดำ แขวนเรียงไปตามระเบียงทางเดินที่เป็นเสาสีแดงของศาลเจ้า สวยจนต้องเก็บภาพเอาไว้

   ออกจากทางเดินตะเกียงหินของศาลเจ้าทาคุกะไทชะก็มาโผล่ที่ถนน ฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหารพอเหมาพอเจาะกับท้องพวกเราที่กำลังร้องโครกประท้วงเป็นการใหญ่ เพราะยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกันตั้งแต่เช้า

   ผมกับน้องหมีสั่งเมนูเดียวกันคือข้าวหน้าไก่ เพราะมันดูกินง่ายและน่ากินสุดสำหรับคนต่างชาติ สังเกตได้จากฝรั่งโต๊ะข้างๆ ที่กินเมนูเดียวกับเราเด๊ะ แถมยังมีการหันมายิ้มให้อีกตอนเห็นว่าสั่งเมนูเหมือนกัน

   "ไข่ยังดิบอยู่เลยนะ กินได้เหรอ" ทันทีที่ข้าวมาเสิร์ฟน้องหมีก็เอ่ยปากถาม

   ผมเห็นตั้งแต่ในรูปแล้วว่ามันมีไข่โปะหน้า แต่เพราะไม่อยากกินเมนูเส้นเลยเลือกเมนูนี้ และไม่คิดด้วยว่าไข่มันจะดิบเหมือนเพิ่งตอกใส่มา

   "จะลองกินดู" สั่งมาแล้วนี่ ยังไงก็ต้องกิน

   "สั่งใหม่ก็ได้นะ เดี๋ยวจานนี้แบร์กินให้"

   "ไม่เป็นไร" ไม่รอให้โดนเซ้าซี้อีกผมก็ลงมือกิน ไก่อร่อยข้าวก็โอเค พะอืดพะอมนิดหน่อยกับไข่ที่ยังไม่สุกแต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก

   "กินได้ใช่มั้ย" แค่กินของไม่ชอบ ไม่ต้องทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้นก็ได้

   "มันก็โอเค"

   น้องหมียิ้มรับก่อนกลับไปตั้งใจกินของตัวเอง การเปิดใจรับเริ่มต้นลองอะไรที่ไม่ชอบมันก็ไม่ได้แย่เสมอ ถ้าไม่ไหวก็ไปต่อ ถ้าไม่ไหวก็ถอยกลับ ของกินมันอาจจะเอามาเทียบกับความรู้สึกไม่ได้ แต่ถ้าได้เผลอใจไปแล้วมันก็คงยากที่จะดึงมันกลับมา


   อิ่มท้องก็ได้เวลาเดินทางต่อ ตามแพลนยังเหลืออีกหนึ่งที่ที่ต้องไปกับตอนนี้ที่เพิ่งจะบ่ายสองโมงกว่า นับว่าทำเวลาได้ดีมาก แต่ขาก็ล้ามากเช่นกัน

   ผมเริ่มรู้สึกเจ็บเข่าตอนเดินออกจากร้านอาหาร มันส่ออาการมาตั้งแต่ช่วงวันแรกๆ ที่เดินเยอะๆ เพราะไม่เจ็บมากเลยไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนมันคงถึงขีดจำกัดแล้วถึงได้แสดงอาการออกมา

   จังหวะการเดินของผมผ่อนลงเพราะความเจ็บที่แสดงอาการเป็นระยะ ปกติผมเป็นคนเดินค่อนข้างเร็วในระดับที่ขาสั้นๆ ก็เดินตามคนขายาวๆ อย่างน้องหมีทัน แต่ตอนนี้ความเร็วผมลดลงมากจนคนข้างๆ เริ่มสงสัย

   "เหนื่อยเหรอ"

   "ก็นิดหน่อย"

   "พักกันก่อนมั้ย" ถามแล้วก็มองหาที่พอจะนั่งพักได้ แต่ริมถนนแบบนี้มันมีซะที่ไหน

   "ไม่เป็นไร ไปช้าๆ ก็พอ"

   น้องหมีเดินประกบข้างตลอดทางเหมือนผมเป็นคนป่วย แต่ถึงยังไม่ป่วยก็คงใกล้เต็มที เพราะต้องตื่นเช้าเกือบทุกวัน ใช้ร่างกายหนัก เดินวันละไม่ต่ำกว่าสิบกิโล เผชิญอากาศหนาว บางวันก็ตากฝน ขนาดพยายามนอนเร็วทุกวันยังรู้สึกอ่อนเพลีย และตอนนี้ผมก็ง่วงมากๆ

   เดินเตาะแตะเลาะริมถนนช้าๆ จนมาถึงสถานที่สุดท้ายในเมืองนารา บึงซากิที่มีศาลาตั้งอยู่กลางน้ำกับต้นซากุระที่ปลูกไว้รอบบึง มันคงจะสวยกว่านี้ถ้าน้ำในบึงไม่แห้งขอดจนเห็นโคลนตมกับซากุระที่บานเป็นหย่อมๆ

   เราเดินข้ามสะพานที่เชื่อมไปยังศาลากลางน้ำ ซึมซับกับบรรยากาศโดยรอบได้ชั่วครู่ผมก็เดินไปนั่งพัก วันนี้ที่นาราไม่หนาวเลย เรียกว่าร้อนยังได้ หลังจากที่เดินติดต่อกันมาหลายชั่วโมงร่างกายผมมันก็ล้าเต็มทน แล้วดันมาเจ็บเข่าอีก นั่งตาปรือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่จนน้องหมีที่เพิ่งถ่ายรูปเสร็จเดินมานั่งข้างๆ 

   "ไหวมั้ยเนี่ย" น้องหมีถามพร้อมยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผาก แต่อุณหภูมิร่างกายผมปกติดี ไม่ได้เป็นหวัดแค่เพลีย

   "ไหว"

   "ตอนเย็นเราไปไหนกันต่อนะ"

   "โดทงโบริ"

   น้องหมีพยักหน้ารับแล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดู ตอนนี้ยังไม่บ่ายสามเลย กว่าจะเย็นยังเหลือเวลาให้เตร็ดเตร่ได้อีกเยอะ แต่ตอนนี้ผมเตร็ดเตร่ไม่ไหวแล้ว อยากนอน

   "งั้นกลับโรงแรมกันมั้ย กลับไปพักกันนอน เอาไว้สักหกโมงค่อยไปโดงทงโบริ ย่านนั้นมันต้องตอนเย็นๆ ใช่มั้ย"

   อย่างกับน้องหมีอ่านใจผมออกอีกแล้ว คิดว่าอยากนอนน้องมันก็ชวนกลับโรงแรมไปพัก แล้วมีเหรอที่ผมจะปฏิเสธ

   "เป็นความคิดที่ดี" ผมลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อนิดหน่อย พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางกลับ


   สี่โมงเย็นเราก็กลับมาถึงโรงแรม เข้าห้องได้ผมก็รีบปูฟูกแล้วทิ้งตัวลงนอนหน้าจิ้มหมอน แต่กลับโดนน้องหมีดึงแขนให้ลุกขึ้นมา

   "กินยาก่อน"

   "กินทำไมไม่ได้ป่วย" และถึงจะป่วยแต่ถ้าเป็นไม่มากผมก็ไม่กินหรอกยา ชอบใช้วิธีการผักผ่อนให้ร่างกายได้รักษาตัวเองมากกว่า ตอนนี้ผมแค่เพลีย นอนพักเดี๋ยวก็หาย

   "กินดักไว้ก่อน"

   "ไม่เอาอ่ะ" ผมขัดขืนสุดพลังที่เหลือ บิดแขนที่โดนพันธนาการไว้อย่างแรงจนมันหลุดออก แต่มันแรงเกินไปทำให้น้องหมีที่อยู่ในท่าโกงโค้งล้มลงมาด้วย

   ให้มันได้อย่างนี้สิ ฉากในละครหลังข่าวชัดๆ อ้อ แต่ตอนนี้เราอยู่ญี่ปุ่น ต้องเปลี่ยนเป็น นี่มันฉากในซี่รีย์ญี่ปุ่นชัดๆ จะเหมาะกว่า

   น้องหมีล้มลงมาทับผมทั้งตัว หน้าซุกอยู่ตรงคอแขนพาดขึ้นไปด้านบน ผมเองก็หมดแรงจะขัดขืนเลยปล่อยไว้อย่างนั้น ได้แต่หันหน้าหนีไปด้านข้างเพื่อรอว่าเมื่อไรน้องมันจะลุกขึ้นสักที

   "ลุกได้แล้ว"

   "ขออีกนิด" เสียงอ้อแอ้ตอบกลับมาเพราะหน้ายังซุกอยู่ที่เดิม

   ผมยอมให้น้องหมีทำตามอำเภอใจ ก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่น้องมันเอ่ยปากขอ จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ทำเป็นบ่นนู่นนั่นนี่สุดท้ายก็ยอมให้ตลอด

   "พอใจยัง"

   "อืม"

   ทิ้งเวลาให้เดินไปสักพักน้องหมีก็ลุกขึ้นนั่ง เราสบตากัน น้องมันยิ้มตาหยีให้แบบที่ชอบทำ แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก ความรู้สึกในอกมันสับสนและปั่นป่วนไปหมด จากที่ง่วงๆ กลายเป็นตื่นเต็มตา อยากรู้แต่ก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าอะไรๆ มันจะไม่เหมือนเดิม

   เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกสองวัน ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พูดไม่ถามอะไรทั้งสิ้น ให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามเรื่องราวของมัน ผมไม่รู้ว่าคำตอบที่ผมอยากได้จะตรงกับคำตอบในใจน้องหมีมั้ย ท่าทางและคำพูดที่น้องมันแสดงออกมาผมคิดไปเองหรือเปล่า สองวันจะว่าสั้นก็สั้น จะว่ายาวก็ยาว หากคำตอบที่ได้มันไม่ตรงใจ ผมไม่อยากให้ความรู้สึกไม่ดีเข้ามาทำให้ทริปมันกร่อย
   "นอนเถอะ" ปูฟูกของตัวเองเสร็จลุกขึ้นไปปิดไฟเรียบร้อยน้องหมีก็ล้มตัวลงนอน

   "ตั้งปลุกตอนห้าโมงครึ่งนะ" ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งนาฬิกาไว้กันหลับเพลินจนเลยเวลาเที่ยว

   "โอเค" สิ้นเสียงตอบรับทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

   ผมยังนอนหงายอยู่ท่าเดิม หลับตาลงแต่ใจยังไม่หลับ แต่เชื่อเถอะว่าแม้ใจวุ่นวายแค่ไหนถ้าร่างกายไม่ไหว ร่างกายก็ย่อมชนะใจอยู่ดี



TBC.



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-05-2017 22:25:59
แบร์ แสดงออก สื่อความในใจแล้ว
แต่อิน ไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อยากรู้ กลัวความสัมพันธ์เปลี่ยน
ที่จริงอิน แค่ถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับแบร์ รับได้ หรือรับไม่ได้
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-05-2017 04:40:22
 :katai2-1: :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: saruwatari_guy ที่ 14-05-2017 09:41:53
โอ๊ยยยยยยย เหมือนนิยายนำเที่ยว โซนโตเกียวคือเหมือนกันเลย ที่ขำสุดคือ ฟูจิคิวคือแบบบ มันใช่เลย เพื่อนเรานี่สภาพเหมือนมีเลย ขำสุดไรสุด อ่านแล้วนึกถึงตอนไปเลยอ่ะ โอ๊ยอยากกลับไปอีก
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 14-05-2017 21:36:13
แบร์รุกแรงมากพี่อินตั้งรับไม่ทัน
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-05-2017 22:00:45
พี่อินถามสิ น้องหมีอาจจะอยากบอกมานานแล้วก็ได้  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 6 [13/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 19-05-2017 13:29:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-05-2017 18:17:26




คืนที่ 6

 

            นาฬิกาปลุกตอนหน้าโมงครึ่งกว่าจะลุกจริงๆ ดันเลยไปหกโมงกว่า สลับกันไปล้างหน้าล้างตา พับฟูกเก็บเข้าที่ เหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง ผูกเชือกร้องเท้าเรียบร้อยก็ได้เวลาออกไปตะลุยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโอซาก้า

            จากโรงแรมนั่งรถไฟไปอีกหนึ่งสถานี เดินผ่านทางเชื่อใต้ดินนัมบะวอร์คเพื่อไปทะลุที่โดทงโบริ แต่เอาเข้าจริงไม่ต้องไปถึงโดทงโบริพวกเราก็โดนร้านอาหารร้านขนมในนัมบะวอร์คทำให้ไขว้เขวจนเกือบจะแวะเข้าไปอยู่หลายร้าน ของแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น

            โผล่ขึ้นมาจากทางออกที่สิบสี่เดินย้อนขึ้นไปอีกนิดหน่อยก็ถึงย่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโอซาก้า สีสันยามค่ำคืน การตกแต่งร้านด้วยตัวการณ์ตูนยักษ์เคลื่อนไหวได้อันเป็นเอกลักษณ์ ผู้คนพลุ่กพล่า และป้ายกูลิโกะที่ต้องไปถ่ายรูปด้วย เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มาถึง

            "นั่นไงปู" น้องหมีสะกิดผม ชี้ไปยังปูยักษ์หน้าร้านที่ใครมาก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้

            "เห็นแล้ว"

            "เจ๋งอ่ะ ขยับได้ด้วย"

            "ถ่ายรูปเก็บไว้ดิ"

            "ถ่ายแล้ว"

            "เอาไง จะไปหาอะไรกินก่อนหรือไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก่อน"

            เรื่องกินคือภารกิจสำคัญ ส่วนถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก็ต้องทำ แต่อย่างน้องหมีไม่น่าถามว่าจะเลือกแบบไหนก่อน

            "กินดิ"

            "จัดไป"

            ถึงจะว่าบอกว่ามากินแต่เอาเข้าจริงผมไม่รู้หรอกว่าที่นี่มีร้านอะไรน่ากินบ้างนอกจากปูกับทาโกะยากิ ร้านปูคนก็ต่อแถวยาวเหยียด ถามน้องหมีว่าอยากกินมั้ยน้องมันก็บอกยังไงก็ได้ เพราะฉะนั้นร้านนี้เราเลยผ่านไปก่อน

            ทุกร้านที่เดินผ่านหน้าสนใจหมดโดยเฉพาะของฝาก ผมกับน้องหมีแวะเกือบทุกร้านทั้งที่ของมันก็เหมือนๆ กัน แล้วก็ไม่รู้จะซื้อไปทำไมเยอะแยะเพราะไม่มีคนให้ฝาก พวกขนมส่วนใหญ่ที่ผมซื้อไปคือกินเองทั้งนั้น

            ได้ขนมติดมือมากันคนละนิดคนละหน่อยเราก็แวะร้านทาโกะยากิ สั่งเซ็ตแปดชิ้นแล้วมานั่งกินด้านในที่ทางร้านจัดที่เอาไว้ให้ ทาโกะยากิหอมๆ ควันฉุยเล่นเอาน้ำลายสอ รอน้องหมีถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลาลงมือกิน

            "โอ้ย! ร้อนๆๆๆ"

            ผมเพิ่งจับตะเกียบ น้องหมีก็คีบทาโกะยากิทั้งลูกเข้าปากโดยไม่เป่าให้หายร้อนหรือรอให้มันเย็นก่อนมันก็ลวกปากเอาน่ะสิ แถมน้ำยังไม่ได้ซื้อด้วย

            "สมน้ำหน้า" อวยพรได้คำเดียวเลย ณ ตอนนี้

            ผมใช้ตะเกือบแยกแป้งลูกกลมๆ ออกเป็นสองส่วนควันก็ลอยออกมา รอให้มันเย็นสักพักแล้วค่อยคีบเข้าปาก สอนวิธีการกินให้น้องมันแบบอ้อมๆ ลูกต่อไปจะได้ไม่ลวกปากอีก

            ทาโกะยากิแปดลูกถูกจัดการในเวลาอันรวดเร็วและพร้อมแล้วสำหรับเมนูถัดไป ผมกับน้องหมีแทบจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ของคาวของหวานผสมปนเปกันไปหมด ทั้งเกี๊ยวซ่า โอเด้ง ไทยากิ หอยเชลล์ย่างเนย เมล่อนปังไอศกรีม จนท้องเริ่มอิ่มถึงได้หยุดกินกัน

            โดทงโบริมีหลายซอกหลายซอยผมก็พาน้องหมีเดินมั่วๆ มันไปทุกซอย ผ่านร้านเกมร้านหนึ่งที่มีคนมุงดูอยู่เยอะๆ ก็ไปมุงดูกับเขา ตรงหน้าเครื่องเกมมีชายรูปร่างท้วมคนหนึ่งกำลังวาดลวดลายตามจังหวะเพลง บนหน้าจอที่ฉายมีตัวการ์ตูนเป็นแบบเต้นให้ดู แต่มันไม่จำเป็นเลยสำหรับชายคนนั้น สเต็ปเขาเทพเกินเกมไปแล้ว

            "โคตรเก่งเลย" ขนาดน้องหมียังออกปากชม

            ผมกอดอกมองแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เอาจริงๆ เพลงแนวนี้ผมก็เต้นได้ สายถนัดอยู่แล้วเพลงไอดอล แขนขากระตุกอยากออกลวดลายเต็มแก่แต่ตรงนี้คงไม่เหมาะ สงสัยต้องรีบชวนน้องหมีไปที่อื่นก่อนมือจะโยกตามอย่างควบคุมไม่ได้

            "เปลี่ยนคนแล้ว"

            "ไปเหอะ" ผมคว้าแขนน้องหมีให้เดินตามมาทันทีตอนเปลี่ยนคนเล่นเกม เพราะเพลงที่คนคนนั้นเลือกเป็นเพลงโปรดของผม ให้ยืนดูต่อต้องทนไม่ไหวแน่ๆ เพราะฉะนั้นต้องรีบหนี

            "รีบไปไหนอ่ะ"

            "ไปดูอย่างอื่น"

            "พี่อินไม่ได้ชอบเพลงแนวนั้นเหรอ" นี่ก็รู้ใจผมไปอีก แต่เพราะชอบมากไงเลยต้องรีบไป

            "ก็ชอบอยู่"

            "แล้วเต้นได้ป่ะ"

            "ก็พอได้"

            "งั้นกลับโรงแรมไปเต้นให้ดูหน่อยดิ"

            "ไม่มีทาง" คนนอกวงการอย่างน้องมันไม่มีทางได้ดูผมเต้นหรอก

            "ใจร้ายจริงๆ"

            ว่าผมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ยังไงก็ไม่มีทางเต้นให้ดูเด็ดขาด

 

            ท้องอิ่มได้ของฝากครบเราก็หมดธุระที่โดทงโบริ แต่ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะถ่ายรูปกลับป้ายกูลิโกะที่ต้องแก่งแย่งกับผู้คนหลากหลายชาติเพื่อให้ได้มุมเหมาะๆ แถมรูปที่ได้มายังเป็นรูปที่ผมรู้สึกว่ามันโคตรจะ

            "เหมือนป๊ะป๋ากับหม่าม้าเลย" และนี่คือความคิดเห็นจากน้องหมีผู้น่ารักที่ติ๊ต่างว่าตัวเองเป็นป๊ะป๋าส่วนผมเป็นหม่าม้า ถามจริงนะคิดได้ไง

            "เหมือนตรงไหน"

            "ไม่รู้ ความรู้สึกมันบอก" ผมเกลียดการตอบคำถามแล้วยิ้มตาหยีของน้องมันจัง

            ขี้เกลียดเถียงด้วยเลยส่งกล้องคืนให้ หมุนตัวกลับกำลังจะก้าวขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่าขึ้นมาจนต้องก้มลงไปนวดๆ คลึงๆ เดินมาตั้งนานมาออกอาการอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้

            "พี่อิน"

            "ฮึ ว่า" ผมรีบยืดตัวตรงตอนน้องหมีเข้ามาหา แล้วนี่เป็นอะไรอีกถึงมาทำหน้าเครียดขมวดคิ้วใส่

            "เจ็บขาอยู่ใช่มั้ย"

            "ฮะ เปล่า" อย่าบอกว่าแค่เห็นผมก้มลงไปนวดหัวเข่าเมื่อกี้น้องมันก็รู้เลย

            "ก็เห็นอยู่"

            "ไม่ได้เจ็บขา แต่เจ็บเข่า"

            "มันใช่เวลามาเล่นมั้ย"

            ผมยิ้มแหยไม่เถียงต่อ น้องหมีทำหน้าจริงจังมาก จริงจังเหมือนโลกกำลังจะแตก ทั้งที่ผมแค่เจ็บเข่านิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย พักสักหน่อยก็หาย แต่พอเดินเยอะๆ มันก็เจ็บอีก แบบนี้เรียกว่าเป็นนิดหน่อยได้มั้ย

            "กลับกัน" น้องหมียื่นมือออกมาข้างหน้า จุดประสงค์ชัดเจนว่าต้องการให้ผมจับไว้แล้วเดินไปพร้อมๆ กันทั้งที่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้

            "เดินเองได้"

            "ถ้าเกิดล้มขึ้นมาจะทำไง"

            "แล้วคิดว่าแค่จับมือมันจะช่วยอะไรได้" อีกอย่างผมไม่ได้บอบบางขนาดที่ว่าเจ็บเข่าแล้วจะเดินล้มได้ง่ายๆ สักหน่อย ถ้าเจ็บมากแค่เดินกะเผลกลากขาไปก็จบ

            "งั้นพยุงเอามั้ย หรือจะให้แบร์อุ้ม" แล้วน้องหมีก็ยื่นคำขาด

            จากคำพูดอาจจะคิดว่าเราทะเลาะกันหรือโวยวายเสียงดังใส่กันใหญ่โต แต่ความจริงแล้วน้ำเสียงที่ใช้พูดทุกประโยคกลับนุ่มนวล ไม่มีใครเสียงดัง ไม่มีใครตะคอก เรียกว่าเป็นการเจรจาอย่างสงบสุขจะเหมาะกว่า และผมไม่เคยเถียงกับใครด้วยอารมณ์และน้ำเสียงแบบนี้เลยน้องจากน้องหมี

            สุดท้ายแล้วผมก็เป็นฝ่ายยอม ยอมตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร ยื่นมือไปวางบนมือที่ยกค้างรอไว้แล้วรอยยิ้มกับตาขีดก็แต่งแต้มบนใบหน้าที่แสนจะดูดีนั่นอีกครั้ง

           

            กลับมาถึงโรงแรมผมก็โดนไล่ให้ไปอาบน้ำทันที อาบน้ำเสร็จน้องหมีก็เอายาที่พกมาจากไทยมาทา บีบๆ นวดๆ ขากับหัวเข่าให้ ขอยกให้เป็นพนักงานห้าดาว บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ

            ผมนอนเหยียดยาวบนฟูก สบายจนจะผล็อยหลับอยู่หลายทีตอนน้องหมีนวดขาให้ คนนวดก็นวดไปบ่นไป ส่วนใหญ่ก็บ่นผมที่ดื้อไม่ยอมบอกว่าเจ็บเข่านั่นแหละ เลยทำให้น้องมันเป็นห่วงบลาๆๆๆ บ่นอะไรอีกบ้างผมก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้างจนน้องมันนวดเสร็จ

            "เป็นไงมั้ง ดีขึ้นหรือยัง"

            "ดีมาก จะหลับอยู่แล้ว"

            "นอนเลยก็ได้นะ" บอกแล้วเก็บยาใส่ถุงซิบล็อคก่อนลุกไปล้างมือแล้วกลับมานั่งบนฟูกตัวเอง

            บอกไปว่าจะหลับแต่ตากลับยังใส่แป๋วมองหมียักษ์ข้างๆ โหลดรูปจากกล้องลงมือถือ เมื่อกี้มันสบายจนอยากหลับจริงๆ แต่พอน้องหมีหยุดนวดความง่วงมันก็หายไป

            "ไม่นอนเหรอ ปิดไฟมั้ย"

            "ไม่ต้อง" บอกปฏิเสธก่อนนอนตะแคงข้างหันหน้าไปหา อยู่ๆ ก็มีเรื่องบางอย่างที่ผมคาใจอยากจะรู้ และหวังว่าน้องมันจะตอบ

            "ไหนบอกง่วง"

            "อยากคุยด้วยมากกว่า"

            น้องหมียิ้มตาหยี เป็นรอยยิ้มที่ผมมองทีไรก็ชอบ มันดูมีเสน่ห์มันน่าหลงใหล และถ้าน้องมันชอบยิ้มแบบนี้ให้ผมเพื่อจุดประสงค์นั้น บอกเลยว่าน้องมันอาจจะทำสำเร็จแล้วก็ได้

            "อยากเห็นหน้าแฟนแบร์อ่ะ"

            "แฟนคนไหน"

            "แสดงว่ามีเยอะ"

            "ก็เยอะนะ คนมันหล่อ"

            ฟังแล้วก็หมั่นไส้กับความเป็นจริง

            "อยากเห็นแฟนคนที่ทำให้แบร์เสียการเรียนน่ะ"

            น้องหมีนิ่งไปเลยตอนผมบอก วางกล้องในมือลงแล้วหันมามองก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แววตาน้องมันดูหม่นหมองยังไงชอบกล เป็นท่าทีทำเอาผมอยากหยิบประโยคเมื่อกี้ยัดใส่ปากเคี้ยวๆ กลืน ถือซะไม่ว่าไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกมา

            "ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"

            "ทำไมถึงอยากเห็น"

            "ก็แค่อยากเห็นคนที่แบร์รักจนยอมทิ้งการเรียนไปแบบนั้น แต่ถ้าไม่โอเคก็ไม่เป็นไร"

            "ถ้าเห็นแล้วพี่อินมากกว่าที่จะไม่โอเค"

            ผมควรตีความความหมายของประโยคเมื่อกี้ว่าไงดี แล้วทำไมผมถึงต้องไม่โอเค ผมไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์ความชอบคนอื่นอยู่แล้วไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นยังไง ผมเคารพความชอบส่วนบุคคลเสมอ อย่างที่น้องหมีเคารพความชอบของผม และถ้าน้องมันไม่อยากให้ดูผมก็ไม่ติดขัดอะไร

            "ไม่ต้องเอาให้ดูก็ได้นะ"

            พูดยังไม่ทันขาดคำน้องหมีก็ยื่นมือถือมาตรงหน้า ผมรับมันมาดูแล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น

            "ดูดีใช่มั้ยล่ะ"

            ใช่ ดูดี คนคนนี้ดูดีมาก แต่...

            "เขาเป็นผู้ชาย"

            "..."

            "แบร์ชอบผู้ชายนะพี่อิน"

            ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่ถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น มองพิจารณารูปถ่ายของชายหนุ่มที่เรียกได้เต็มปากว่าดูดีมาก เป็นภาพถ่ายหน้าตรงครึ่งตัวที่คนในรูปยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงตัวสวย ทุกส่วนประกอบของใบหน้าทำให้เขาดูหล่อ แต่รอยยิ้มนั่นทำให้เขาดูน่ารัก ดูดีอย่างกับหลุดออกมาจากในหนังสือการ์ตูน

            "ช็อคใช่มั้ย"

            "ช็อคดิ" ผมยื่นโทรศัพท์คืนให้ ไม่ใช่แค่ช็อค แต่โคตรช็อค ช็อคมากๆ

            มันทำให้ผมนึกย้อนไปช่วงสองถึงสามปีที่เราได้เจอกัน ผมไม่รู้ว่าน้องหมีเริ่มรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไร่ แต่คำพูดและการกระทำของน้องมันไม่เคยบ่งบอกถึงเรื่องรสนิยมมาก่อน หรือเพราะผมไม่เคยสังเกต

            "แต่ไม่ต้องห่วงนะ แบร์ไม่ทำอะไรพี่อินหรอก" พูดแล้วยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย

            ได้ยินแบบนี้ผมล่ะอยากลุกขึ้นไปเขกกะโหลกน้องมันให้ยุบ พูดมาได้ว่าไม่ทำอะไรพี่อินหรอก ทั้งรอยยิ้ม การกระทำ และคำพูด มันคงส่งผลตั้งแต่อยู่อนุบาลนู่นแล้วล่ะมั้ง ด้วยนิสัยน่ารักๆ ขี้อ้อนเป็นบางทียอมกันเป็นบ้างครั้ง มันสั่งสมมาเรื่อยๆ กลายเป็นความสนิทสนมแบบไม่มีชื่อเรียก เป็นความรักที่ผมก็พูดไม่ได้เต็มปากนักว่ารักแบบพี่น้องจริงๆ และแม้จะถูกตัดขาดด้วยกาลเวลาแต่มันก็กลับมาต่อกันใหม่เหมือนเดิม

            ตอนนี้ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกประหลาดที่ได้รับจากน้องหมี และคำตอบที่คาใจมาทั้งวันคืออะไร 

            "พี่อินโอเคมั้ยวะเนี่ย" เห็นผมไม่พูดอะไรอยู่นาน สีหน้าน้องหมีเลยดูกังวลจนเผลอขึ้นเสียงใส่

            "โอเคดิ ใจกว้างพอ" ผมเป็นพวกใจกว้างรับได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ขนาดตัวตนของตัวเองยังรับได้ แล้วทำไมจะรับตัวตนของน้องมันไม่ได้

            "ให้จริง" ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้อีก คิดว่าจะสะดิ้งแล้วสะบัดทิ้งหรือไง

            "ไม่ใช่ตัวเชื้อโรคไม่จำเป็นต้องรังเกียจ"

            "คนจริงว่ะ" น้องหมียิ้มตาหยีที่ดูเป็นธรรมชาติไม่ฝืนเหมือนครั้งก่อน

            แต่คนพิเรนทร์อย่างน้องหมีเดาความคิดได้ที่ไหน ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เห็นผมไม่มีท่าทีรังเกียจน้องมันก็เอาใหญ่เลย

            "งั้นเจอนี่เป็นไง" ร่างโตๆ อย่างกับหมีขั้วโลกกระโจนทับผมทั้งตัว ปลุกปล้ำกอดรัดก่อนจะกลายเป็นฟัดจิกหัวกันในเวลาต่อมา

            เล่นกันจนเหนื่อยก็นอนหงายหอบแฮ่กกันทั้งคู่ ผมหันไปมองน้องหมีที่นอนหลับตาหายใจแรงจนหน้าอมกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะถี่ๆ คุยถึงเรื่องแฟนน้องมันผมก็อยากรู้ให้ลึกกว่านี้อีก

            "งั้นถามได้มั้ยว่าทำไมถึงเลิกกัน"

            "คนมันไม่ใช่ เขาจะไปแบร์ห้ามไม่ได้หรอก"

            "ทั้งที่ยอมให้เขาขนาดนั้นน่ะนะ"

            ยอมทิ้งการเรียน ทิ้งอนาคตเพื่อคนเพียงคนเดียวแต่กลับได้ผลตอบแทนเป็นการจากลา มันไม่คุ้มเลย ไม่คุ้มสักนิด แต่หากคิดในทางกลับกัน ถ้าผมเป็นผู้ชายคนนั้น กับน้องหมีในตอนนั้น คนที่ไม่ห่วงแม้กระทั่งอนาคตของตัวเอง ทุ่มเทกับความรักโดยไม่คิด ผมว่ามันก็หาความมั่นคงจากคนคนนั้นไม่ได้เหมือนกัน

            "ยอมให้แต่เขาไม่เห็นมันก็ไร้ประโยชน์"

            "สองปีเลยนะ สองปีมันนานมากนะ"

            "สามีภรรยาอยู่กินกันมาเป็นยี่สิบปียังเลิกกันได้เลย นับประสาอะไรกับเด็กวัยรุ่นที่คบกันแค่สองปี"

            ผมเถียงอะไรไม่ออก มันจริงอย่างที่น้องหมีว่า คนรอบข้างมีให้เห็น ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ก็ออกกันโคลมๆ อย่างกับว่าเราจะหาความมั่นคงจากความรักไม่ได้เลย

            "ที่จริงเราจบกันด้วยดีนะ หลังจากเลิกกันแล้วชีวิตก็ไม่ได้แย่อะไร"

            "ก็ดีแล้ว"

            เราสองคนหันมายิ้มให้กัน ทุกคนย่อมเคยเจอช่วงเวลาที่ไม่ดีกันมาทั้งนั้น อกหักรักคุดผมก็เคย แต่ทุกอย่างย่อมผ่านไปได้ เวลามันจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ดีเอง

            "แล้วหลังจากนั้นก็คบผู้ชายมาตลอดเลยเหรอ"

            "ก็ใช่ดิ"

            "อยากเห็นหน้าแฟนอื่นบ้างอ่ะ"

            แฟนคนนั้นหน้าตาดีขนาดนั้น แสดงว่ารสนิยมของน้องหมีต้องสูงมากแน่ๆ ผมเลยอยากรู้ว่าหน้าตาแฟนคนอื่นๆ ของน้องมันจะเป็นยังไง

            "ไม่ให้ดูแล้ว"

            "อย่าหวงดิ"

            "ไม่ให้ดู"

            "ขอดูหน่อย"

            "ไม่"

            "นะๆๆ"

            "นอนไปเลยไป" พูดพร้อมกับผลักผมออกห่าง ซ้ำร้ายยังดึงผ้าห่มมาคลุมโปงกันอีก

            โอเค้ ไม่อยากดูแล้วก็ได้

            ผมส่งสายตาคาดโทษไปให้แต่น้องมันกลับหัวเราะ นอนก็นอน ได้รู้ความลับแค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว

            ไม่ว่าจะเป็นยังไง น้องหมีก็ยังเป็นน้องชายที่น่ารักสำหรับผมเสมอ





TBC.





แฟนเก่าน้องหมีเฉลยแล้ว ทุกคนตอบถูก ปรบมือ!!!

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า เจอกันตอนหน้าค่า



หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-05-2017 01:48:36
พี่อินไม่ขอดูหน้าแฟนคนต่อไปเหรอคะ เอ้า น้องหมี หยิบกระจก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-05-2017 09:10:30
ถ้ารู้แฟนน้องหมีคนต่อไป คนถามจะทำหน้ายังไงน้าาา
 :m22:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 6 [20/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 24-05-2017 12:17:10
ศึกษาข้อมูลอดีตแฟนหรอพี่อิง :ruready
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 26-05-2017 19:58:14


วันที่ 7

 

            ฝน เป็นเพียงอย่างเดียวที่ผมไม่อยากเจอที่สุด แม้เราจะเผชิญกับฝนมาแล้วถึงสองวันในทริป แต่ไม่มีวันไหนที่ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่แบบวันนี้ พยากรณ์อากาศยังบอกอีกว่าฝนจะตกทั้งวัน หนักเบาก็แล้วแต่ช่วงเวลา

            ช่างเป็นวันที่ไม่สดใสเอาเสียเลย

            ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อฟังเสียงสายฝนที่ตกกระหน่ำมาตั้งแต่ช่วงกลางดึก ภาวนาให้ฝนหยุดก่อนแปดโมงเช้าที่เราจะออกเดินทางแต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพยากรณ์อากาศบอกชัดเจนว่ามันจะตกทั้งวัน กว่าจะซาอีกทีก็ช่วงบ่ายนู่นเลย

            ทอดถอนหายใจอย่างปลงตกผมก็พลิกตัวนอนตะแคงมองน้องหมีที่ยังหลับอุตุ ผ้าห่มคลุมอยู่แค่อกนอนอ้าปากหว๋อยังดีที่น้ำลายไม่ไหล ผมแอบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้แล้วยกยิ้มกับตัวเอง ตอนตื่นอย่างเท่อย่างหล่อแต่ตอนนอนนี่ดูไม่ได้เลย แต่ว่าเขาไม่ได้หรอก ตัวผมตอนนอนก็คงดูไม่ได้เหมือนกัน

            นอนเอื่อยเฉื่อยจนใกล้หกโมงครึ่งผมก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน รู้สึกไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรเพราะอ่อนเพลียสะสมมาหลายวัน ยังดีที่หัวเข่าหายเจ็บแล้ว แต่ไม่รู้ว่าถ้าวันนี้ใช้งานหนักมันจะเจ็บขึ้นมาอีกหรือเปล่า ซึ่งผมว่าไม่น่าจะรอด

            ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็กลับมานั่งบนที่นอนทาครีมบำรุงสักหน่อย เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกเดินทางเสร็จจะหันไปปลุกน้องหมีก็เห็นน้องมันนอนมองตาแป๋วอยู่

            "จะเจ็ดโมงแล้ว" ผมบอกพลางจัดของใส่กระเป๋าเป้

            แต่แทนที่น้องหมีจะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตากลับลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าผมซะงั้น

            "อะไร"

            "ฝนยังตกอยู่เลย"

            "ก็ใช่ไง"

            "พี่อินหายดีแล้วเหรอ"

            "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" ผมแค่เหนื่อยกับเจ็บเข่านิดหน่อย มันไม่เป็นอุปสรรคอะไรกับการเที่ยวหรอก

            "หน้ายังง่วงอยู่เลย" ว่าแล้วก็ยกมือมันปัดผมหน้าม้าผมขึ้นแล้วก็ขมวดคิ้วใส่

            "ตื่นเช้าก็ง่วงดิ"

            "ตัวรุมๆ นะ วันนี้พักเถอะ แบร์ไม่ไปก็ได้"

            "ฝนตกนิดเดียวเอง ไปเถอะ มาแล้วไม่ได้เที่ยวน่าเสียดาย" อุตส่าห์มาเที่ยวทั้งทีจะมัวมานอนอุดอู้อยู่แต่ในห้องได้ยังไง พรุ่งนี้ก็ต้องกลับกันแล้ว ป่วยนิดป่วยหน่อยผมไม่เป็นอะไรหรอก

            "ถ้าพี่อินป่วยหนักกว่านี้แบร์จะไม่สบายใจยิ่งกว่าไม่ได้ไปเที่ยวอีก" น้องหมีมองผมนิ่ง สายตาแสดงความเป็นห่วงที่มักจะได้เห็นบ่อยๆ สมัยเด็ก หรือแม้แต่ช่วงเวลาหกวันที่ผ่านมา จนสุดท้ายผมก็ต้องยอม

            "งั้นยกเลิกฮิเมจินะ ตอนบ่ายค่อยออกไปปราสาทโอซาก้า"

            เช้านี้เรามีแพลนจะไปเที่ยวที่ปราสาทฮิเมจิซึ่งอยู่ในจังหวัดเฮียวโกะห่างออกไปประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะที่นี่สวยมากผมเลยตั้งใจจับยัดไว้ในแพลนด้วย ถึงจะเสียดายแต่ก็ต้องยอม ดีกว่าให้น้องหมีมาพะวงเรื่องผมตลอดทางมันจะเที่ยวไม่สนุกเอา

            "เอาแบบนั้นก็ได้ ทีนี้ก็นอนพักซะ"

            ผมโดนน้องหมีดึงให้กลับไปนอนด้วยกันแถมยังห่มผ้าให้เสร็จสรรพ อากาศเย็นสบายบวกกับอ่อนเพลียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วถึงจะล้างหน้าจนตาสว่างเชื่อเถอะอีกไม่ถึงห้านาทีผมก็หลับ

            ต้องพักให้เต็มที่ หน้าตาจะได้แจ่มใสไม่ทำให้คนแถวนี้เป็นห่วงอีก

 

            ผมถูกปลุกอีกทีตอนใกล้เที่ยง ตื่นขึ้นมาก็มีอาหารจากร้านสะดวกซื้อส่งกลิ่นหอมฉุยจนต้องรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาอีกรอบ แล้วกลับมานั่งโซ้ยด้วยความหิวโหย

            "ไม่รู้ว่าอยากกินอะไรบ้าง เลยเลือกหยิบมาจากที่เห็นว่าเคยกิน" น้องหมีบอกตอนผมกำลังตักข้าวแกงกะหรี่เข้าปาก ช่างสังเกตจริงๆ

            "แต่แกงกะหรี่นี่ไม่เคยนะ" ผมแกล้งหยอก น้องหมีรีบสั่นหน้าใหญ่

            "เคย อย่ามาโม้"

            ผมหัวเราะร่วนเลยโดนชี้หน้าคาดโทษ แต่น้องหมีไม่กล้าทำอะไรผมหรอกนอกบอกให้กินของทุกอย่างที่ซื้อมาให้หมด กินเสร็จผมก็โดนบังคับผมกินยาดักเอาไว้ ใกล้บ่ายโมงถึงได้เตรียมตัวออกจากโรงแรม

            มุ่งหน้าสู่ปราสาทโอซาก้าท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาเบาๆ

            จากสถานีรถไฟไปถึงปราสาทโอซาก้าต้องเดินผ่านสวนค่อนข้างไกล ถ้าเทียบกับวันก่อนๆ ถือว่าวันนี้พวกเราเดินช้าลงมาก ผมช้าเพราะกลัวอาการเจ็บเข่ากำเริบ ส่วนน้องหมีช้าเพราะต้องเดินรอผมอีกที

            เดินเข้ามาในสวนไม่นานฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ ก็หยุดสนิท มีต้นซากุระบานเรียงเป็นแนวยาวเป็นช่วงๆ รวมถึงรอบคูน้ำรอบปราสาท เป็นความสดใสท่ามกลางความอึมครึมที่ให้ความรู้สึกสดชื่นได้ไม่เต็มที่นัก เราเดินไปถ่ายรูปกันไป ปะปนไปกับนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ กว่าจะถึงตัวปราสาทก็เกินเวลาไปหลายนาที

            เพราะฝนเพิ่งหยุดตกบรรยากาศเลยดูขะมุกขะมัว บนพื้นมีน้ำเจิ่งนอง ท้องฟ้าเป็นสีเทาแทบไม่มีแสง ถ่ายรูปออกมาก็ไม่สวย ชื่นชมกับปราสาทด้านนอกได้แป๊บเดียวผมก็ชวนน้องหมีเข้าไปข้างใน แล้วก็ประสบกับปัญหาใหญ่จนได้ เพราะแถวรอลิฟต์ขึ้นปราสาทมันยาวจนเลยออกมาข้างนอก ถ้าไม่อยากรอต้องขึ้นบันไดอย่างเดียว

            "ไหวมั้ย"

            "ไหว"

            "แปดชั้นเลยนะ"

            "ไม่เป็นไรหรอก"

            ผมเดินนำขึ้นบันไดไปโดยไม่รอให้น้องหมีค้านอะไรอีก ตอนนี้หัวเข่าผมยังโอเค เดินขึ้นหนึ่งชั้นแล้วก็พักเพราะต้องดูของที่เขาจัดแสดงไว้ในแต่ละชั้น แค่นี้สบายมาก

            ปราสาทโอซาก้านั้นมีการจัดแสดงทั้งหมดแปดชั้น ทางที่ดีควรขึ้นลิฟต์ซึ่งจะสิ้นสุดที่ชั้นห้าจากนั้นเดินขึ้นไปชั้นแปดแล้วเดินไล่ลงมาทีละชั้น แต่เพราะแถวรอลิฟต์มันยาวเลยตัดใจ

            ภายในปราสาทจะเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของปราสาท ภาพเขียน แบบจำลอง เครื่องแต่งกายโบราณ ผมกับน้องหมีเดินแยกกันดูทางใครทางมัน ใครดูเสร็จก่อนก็มารอหน้าบันไดแล้วค่อยขึ้นไปพร้อมกันจนมาถึงชั้นแปดที่เป็นจุดชมวิว

            คนเยอะ เยอะมาก แถมยังมีตะข่ายลวดกั้นเอาไว้แทบจะหามุมถ่ายรูปสวยๆ ไม่ได้เลย ผมกับน้องหมีเดินแยกไปหามุมเหมาะๆ ถ่ายได้สองสามรูปผมก็กลับเข้ามานั่งรอข้างใน อีกย่างเพราะลมมันแรงผมหนาว

            "เข่าเป็นไงบ้าง" เดินวนเก็บภาพด้านนอกอยู่นานสองนานเดินตามเข้ามาข้างในน้องหมีก็ถามถึงแต่หัวเข่า

            ผมลูบๆ บีบๆ นวดๆ มันเบาๆ ไม่รู้สึกเจ็บอะไร แต่หลังจากนี้ที่ต้องเดินลงบันไดอีกแปดชั้นล่ะก็ไม่แน่

            "โอเคอยู่"

            น้องหมีนั่งลงข้างๆ โดยไม่ตอบอะไร เหมือนต่างคนก็ต่างเพลียเลยพากันเงียบทั้งคู่ มองผู้คนที่ผลัดเปลี่ยนกันเดินเข้าเดินออกจนใกล้จะหลับก็ชวนกันลงไปข้างล่าง

            แม้จะออกเที่ยวช่วงบ่ายแต่ทริปวันนี้ยังอีกยาวไกล

 

            จากปราสาทโอซาก้านั่งรถไฟไปลงสถานีโอซาก้าโกะ เดินต่อไปอีกนิดก็ถึงริมอ่าวโอซาก้า เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องมา เพราะที่นี่มีทั้งพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า และยังเป็นท่าเรือ จากนี้เราจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์กับร่องเรือซานต้ามาเรียรอบอ่าวกันแบบชิลๆ ความจริงผมอยากเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคังด้วย แต่เพราะเวลาที่มีอยู่อันน้อยนิดเลยต้องเลือกมาแบบตัดใจ

            ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกรอบพร้อมกับอากาศที่เย็นลง เวลาแค่สี่โมงกว่าท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มดูหม่นหมอง เหมาะแก่การนอนอยู่บ้านเฉยๆ มากกว่ามาเดินเตร็ดเตร่ตากลมแรงๆ แบบนี้

            เพราะเรือซานต้ามาเรียจะออกทุกต้นชั่วโมง ผมกับน้องหมีเลยไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ยักษ์เท็มโปซาน ที่สูงถึง 112.5 เมตรกันก่อน ที่นี่จะมีให้เลือกสองแบบคือแบบธรรมดากับแบบกระจกใสทั้งตู้สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทางที่มีตู้จำนวนน้อยกว่า ซึ่งความพิเศษของมันก็มาพร้อมแถวยาวเหยียดแม้จะเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ตลอดทั้งวัน เราเลยเลือกขึ้นแบบธรรมดาแทน

            บริการพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือพนักงานจะถ่ายรูปให้ก่อนขึ้นโดยมีชิงช้าสวรรค์ยักษ์เป็นฉากหลังแบบระยะประชิด ผมชูสองนิ้วยิ้มแบบเนือยๆ เสียงชัตเตอร์ดัง พนักงานเช็ครูปเรียบร้อยเราก็ได้เข้ามานั่งในชิงช้าสวรรค์

            เท็มโปซานลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมองเห็นอ่าวโอซาก้ากับตัวเมืองได้โดยรอบ ทุกอย่างเกือบจะโอเคแล้วถ้าไม่ติดว่ากระจกเต็มไปด้วยหยดน้ำจากฝนจนทำให้ถ่ายรูปไม่ชัด กดถ่ายไปไม่กี่รูปผมก็มานั่งมองวิวเฉยๆ รู้สึกหวิวๆ เป็นครั้งคราวตอนลมพัดแรงๆ แล้วตู้มันแกว่ง หวังว่ามันคงไม่ตกลงไปหรอกนะ

            "ง่วงแล้วเหรอ นั่งเงียบเลย" น้องหมีถามแบบรู้ทันผมอีกแล้ว แต่ผมไม่บอกหรอกว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่นั่งนิ่งแบบนี้เพราะผมกลัวตอนตู้มันแกว่งเดี๋ยวจะโดนน้องมันว่าเอา เล่นรถไฟเหาะไม่กลัวดันมากลัวตอนขึ้นชิงช้าสวรรค์

            "มันเห็นวิวไม่ค่อยชัด"

            "มาดูตรงนี้ดิ ไม่มีน้ำฝน" กวักมือเรียกไม่พอน้องหมียังย้ายมานั่งฝั่งที่ผมนั่งอยู่อีก

            เข้าใจจุดประสงค์ว่าอยากให้สลับที่กัน แต่ผมยังไม่ทันลุกเลยไง น้ำหนักถูกเทมาฝั่งเดียวบาลานซ์มันเสียตู้ก็แกว่งสิแบบนี้

            ผมคว้าราวจับเอาไว้มั่นพยายามนั่งนิ่งๆ จนตู้หยุดแกว่ง เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่คนข้างๆ จะไม่สังเกตเห็น

            "พี่อินเป็นไร"

            "เปล่า" ส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนเมื่อกี้ไม่มีความกลัวเกิดขึ้นมาในจิตใจเลยสักนิด ก่อนผมจะย้ายไปนั่งอีกฝั่งเพื่อดูวิว แต่สุดท้ายก็โดนหาเรื่องแกล้งจนได้

            น้องหมีย้ายกลับมานั่งฝั่งเดียวกัน เพราะงั้นไม่ต้องเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตู้แกว่งเบาๆ ทำเอาผมใจหายแว๊บแอบกลั้นหายใจชั่วขณะ แถมมือยังคว้าราวจับไว้อัตโนมัติ บอกเลยว่าโคตรเสียเซลฟ์

            "กลัวเหรอ"

            "กลัวอะไร"

            "ก็กลัวแบบนี้ไง" ไม่พูดเปล่ายังสาธิตโดยการขยับตัวแรงๆ จนตู้เริ่มแกว่งอีก

            ผมล่ะอยากจะเคาะกะโหลกน้องมันแรงๆ สักที ถ้าไม่ติดว่ากำลังมือไม้อ่อนอยู่ล่ะก็นะ ทั้งที่รู้ว่ากลัวก็ยังจะแกล้ง ตอนเด็กๆ ไม่เป็นแบบนี้นี่

            "อืม กลัว"

            "ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย"

            พอยอมรับน้องหมีก็หยุดแกล้ง ผมล่ะเริ่มสับสนกับน้องมันจริงๆ สรุปว่าเป็นห่วงกันจริงๆ ใช่มั้ยถึงได้แกล้งคนใกล้ป่วยแบบนี้ แล้วยังมายิ้มจนตาเป็นขีดอีก

            "แบร์อยู่ด้วยทั้งคนพี่อินไม่ต้องกลัวหรอก"

            เกือบจะซึ้งแล้วแต่ผมว่าเพราะน้องมันอยู่ด้วยนี่แหละถึงได้น่ากลัวกว่าเดิม

            สิบห้าสิบนาทีโดยประมาณเท็มโปซานก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น ตรงทางออกมีรูปที่พนักงานถ่ายไว้ก่อนขึ้นชิงช้าสวรรค์ขายอยู่ ในรูปหน้าตาผมไม่รู้จะโทรมไปไหน เห็นแล้วอยากจะไล่ตัวเองกลับไปนอน แต่น้องหมียังดูเปล่งประกายสดใส รูปนี้จึงกลายเป็นรูปแรกที่น้องมันซื้อเก็บไว้ ทั้งที่ผมคิดว่ารูปถ่ายตอนเราไปฟูจิคิวมันน่าสนใจกว่ากันเยอะ

            ลงจากชิงช้าสวรรค์ยังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยผมเลยชวนน้องเดินเล่นหาอะไรกระจุ๊กกระจิ๊กกินในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ติดกัน พอใกล้ห้าโมงเย็นก็ไปต่อแถวขึ้นเรือท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายลงมาเบาๆ

            รอบนี้คนไม่เยอะเท่าไรนัก คำนวณด้วยสายตาไม่น่าจะถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ ขึ้นเรือได้ต่างคนก็ต่างจับจองหามุมของตัวเอง และถือเป็นโชคดีด้วยที่วันนี้ฝนตกเขาเลยเปิดให้เข้าด้านในโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่งั้นได้นั่งด้านนอกดมกลิ่นน้ำมันจนเวียนหัวแน่ๆ

            ผมกับน้องหมีเลือกนั่งฝั่งขวาติดกระจก มีประชากรอีกสองกลุ่มอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่กระจายกันนั่งคนละมุม ซานต้ามาเรียใช้เวลาห้าสิบนาทีต่อหนึ่งรอบ ช่วงเวลานี้จึงเป็นเหมือนเวลาพักผ่อนของเรา นั่งมองวิวไปพลางถ่ายรูปไปพลาง นานเข้าผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ น้องหมีเองก็ทำแบบเดียวกัน

            "หลับเหรอ"

            "เปล่า" ผมตอบโดยไม่ได้หันหน้าไปมองสักพักก็รู้สึกว่าโดนสะกิดที่นิ้วก่อนฝ่ามือนั้นจะกุมมือผมเอาไว้

            ผมไม่ได้ขัดขืน ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามที่น้องหมีอยากให้เป็น ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าออกแรงบีบเบาๆ แล้วคลายออก สักพักก็เปลี่ยนเป็นใช้นิ้วลูบหลังมือ ทำแบบนี้อยู่หลายนาทีแล้วก็หยุดไป ผงกหัวขึ้นมองก็เห็นน้องมันหลับไปแล้ว

ใช้ร่างกายหนักติดต่อกันมาหลายวันแถมเจอทั้งแดดลมฝน ถึงจะเป็นหมีร่างใหญ่ผู้อึดถึกทน ก็ต้องมีเพลียกันบ้างล่ะ

            งั้นให้หมีจำศีลจนกว่าเรือจะเทียบท่าก็แล้วกัน

 

            เราแทบจะไม่ได้อะไรเลยบนเรือซานต้ามาเรียนอกจากความสดชื่นที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อยหลังจากได้นอนหลับ มือที่กุมกันไว้ร่วมชั่วโมงยังหลงเหลือความรู้สึกอบอุ่น ผมเลยซุกมันไว้มันในกระเป๋าเสื้อกันหนาวก่อนความเย็นจากอากาศจะทำให้มือชา

            หกโมงเย็นแล้ว ฟ้ามืดสนิท ออกจากที่นี่เราก็ไปต่อกันที่อุเมดะ แวะคิดดี้แลนด์ไปช็อปริลัคคุมะเพื่อซื้อตุ๊กตาให้พี่สาวของน้องหมี จากนั้นไปต่อที่อุเมดะสกาย แต่มาถึงแค่สถานีอุเมดะก็เหมือนจะไปไหนต่อไม่เป็นแล้ว

            ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกับการเปิดหาว่าคิดดี้แลนด์มันอยู่ส่วนไหนของอุเมดะ บวกกับถามทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงในที่สุด เล่นเอาหมดแรงจนไม่อยากเดินไปไหนต่อ

            ผู้ชายสองคนอยู่ในช็อปริลัคคุมะอาจจะเป็นอะไรที่แปลกตาไปสักหน่อย ผมเดินตามน้องหมีเลือกตุ๊กตาตามคอลเลคชั่นที่พี่สาวสั่งมา หยิบตัวนู้นวางตัวนี้แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร ทั้งที่โซนที่หยิบดูมันก็เหมือนๆ กัน

            "จะเลือกอะไรขนาดนั้น"

            "ต้องเลือก ตุ๊กตาหน้าไม่เหมือนกันนะ"

            "มันก็เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ" ไม่ว่าจะมองไปตัวไหนหน้าตาก็เหมือนกันหมด เขาก็เย็บมาแบบเดียวกันมันจะไม่เหมือนกันได้ยังไง

            "ไม่เหมือน ดูสองตัวนี้นะ" น้องหมีหยิบตุ๊กตาขึ้นมาให้ผมดูสองตัว แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน

            "ก็เหมือนกัน"

            "ไม่เหมือน ตัวนี้หน้าบึ้ง ส่วนตัวนี้ยิ้ม"

            "อื้มมม เหรอ"

            สงสัยผมจะมีปัญหากับการแยกหน้าตุ๊กตา ขนาดน้องหมีบอกว่าตัวไหนยิ้มตัวไหนหน้าบึ้งผมก็ยังดูไม่ออก เพราะทั้งสองตัวก็ทำหน้านิ่งเหมือนกัน

            "แล้วจะซื้อตัวไหน"

            "ตัวหน้ายิ้ม" บอกแล้ววางตุ๊กตาตัวนั้นลงในตะกร้า แล้วน้องหมีก็เดินไปเลือกตัวอื่นต่อ หยิบมาเทียบหลายตัวกว่าจะเลือกได้

            ผมก็เพิ่งรู้แหละว่าการเลือกซื้อตุ๊กตามันลึกซึ้งขนาดนี้

            ออกจากช็อปริลัคคุมะผมก็แวะเข้าช็อปจิบลิอีกที่ ว่าจะซื้อของเกี่ยวกับโตโตโร่ไปฝากน้องสาวผู้น่ารัก เลือกอยู่นานสุดท้ายได้กระเป๋าใบสะพายใบเล็กๆ มาหนึ่งใบ เป็นอันจบภารกิจที่คิดดี้แลนด์

            ตามแผนเที่ยวที่วางเอาไว้หลังจากนี้เราจะไปต่อกันที่อุเมดะสกาย แต่เพราะฝนยังตกอยู่อีกทั้งร่างกายต้องการการพักผ่อนมากกว่าเดินตากอากาศหนาวๆ ความอยากเที่ยวของผมเลยกลายเป็นศูนย์ แม้จะเสียดายแต่ผมอยากหาอะไรกินแล้วกลับไปนอนแผ่ที่โรงแรมมากกว่า

            "เอาไงต่อ"

            "หาอะไรกิน" ความคิดแรกของน้องหมีตรงกับผมแป๊ะๆ

            ว่ากันตามตรงถ้าผมหลุดปากไปว่าอยากกลับโรงแรมเชื่อเถอะว่ายังไงน้องหมีก็ต้องพาผมกลับ แม้ว่าน้องมันอาจจะยังอยากเที่ยวต่อก็ตาม เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่าจะไม่พูด ให้มันเป็นไปตามแผนเดิมที่กำหนดเอาไว้ แม้ขาจะล้า ตาจะปรือ หน้าจะโทรมหมดสภาพก็ตาม

            "กินอะไรดี"

            ที่ชั้นใต้ดินของห้างที่เราอยู่ตอนนี้เป็นส่วนของร้านอาหาร ถ้าตกลงกันว่าจะกินที่นี่คงจบที่ร้านใดร้านหนึ่งในชั้นใต้ดิน

            "พี่อินอยากกินอะไร"

            "อะไรก็ได้"

            "พูดอย่างกับกินได้ทุกอย่าง"

            ผมเหล่ตามอง ไม่โกรธหรอกก็น้องหมีมันพูดจริงๆ ผมเป็นคนกินยาก มาเที่ยวนี่ก็เลือกตลอดว่าอันนั้นกินได้อันนี้กินไม่ได้ แต่อะไรที่ผมไม่เคยกินก็พยายามลองกิน อย่างซูชิที่น้องมันอยากกินผมยังไปกินเป็นเพื่อนเลย เพราะฉะนั้นคำนี้ใช้ไม่ได้กับผมแล้ว

            "อะไรไม่กินก็ให้แบร์กินไง"

            "แบบนี้ไงถึงหยุดโต"

            "ไม่เกี่ยวเลย"

            คุยเรื่องของกินอยู่ดีๆ ยังวกมาหาเรื่องส่วนสูงได้ ผมน่ะสูงตามมาตรฐานชายไทย ส่วนน้องหมีน่ะเกินมาตรฐานที่ใครๆ ก็อยากเกิน

            "ให้แบร์เลือกใช่ป่ะ"

            "อืม เลือกเลย"

            น้องหมียิ้มบางๆ มองหน้าผมอย่างพินิจพิจารณาอย่างกับว่ามันจะช่วยสุ่มร้านอาหารอร่อยๆ ให้ได้ แต่แล้วคำตอบของน้องมันก็ทำให้ผมแปลกใจอีกครั้ง

            "งั้นไปกินราเมงแถวโรงแรมแล้วกัน"

            สรุปว่านี่อ่านใจคนได้จริงๆ ใช่มั้ย

 


TBC.

 
 

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

 

 
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 26-05-2017 21:29:26
น้องหมีเป็นทุกอย่างให้พี่อินแล้ว เมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนนนนน
หัวข้อ: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 26-05-2017 23:02:25
แบร์ขี้แกล้ง แต่ไม่โหดเท่าอินที่พาแบร์ไปขึ้นแต่เครื่องเล่นน่าหวาดเสียว ที่ถึงกับต้องไปดูคลิปว่าเครื่องเล่นที่แบร์อินไปเล่นหน้าตาเป็นยังไง 
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-05-2017 23:29:47
วันที่เจ็ดแล้วนะ
หมีแบร์ พี่อิน ยังไม่ก้าวหน้าเท่าไรเลย
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 27-05-2017 01:05:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 7 [26/05/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 28-05-2017 19:01:52
หมีแบร์เอาใจใส่มากอะ หลงเลย
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 02-06-2017 19:35:56

คืนที่ 7

 

            ราเมงร้อนๆ เป็นอาหารที่เหมาะจะกินตอนอากาศหนาวๆ นอกจากราเมงคนละชามแล้วบนโต๊ะเรายังมีข้าวผัด ไก่ทอดคาราอะเกะ แล้วก็เกี๊ยวซ่าจานใหญ่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหิวโหยกันขนาดไหน

            จบจากร้านอาหารไม่พอน้องหมียังชวนผมเข้าร้านสะดวกซื้อ เดินวนกันอยู่สองสามรอบก็ได้ของกินติดไม้ติดมือกลับมา ทั้งพุดดิ้ง ขนมขบเคี้ยว รวมถึงไอติมที่น้องมันถือกินระหว่างกำลังเดินกลับโรงแรม

            "ไม่หนาวหรอ" ผมล่ะนับถือความหนังหนาของน้องมันจริงๆ อากาศตอนนี้แค่เดินเฉยๆ ยังสั่นเลย

            "ไม่นะ อร่อยดี" ว่าแล้วก็ยื่นไอติมมาจ่อที่ปากผม

            ไอติมที่น้องหมีซื้อมาเป็นโคนลักษณะเหมือนไอติมกูลิโกะที่เอามาขายบ้านเราแต่เป็นแบรนด์ของร้านสะดวกซื้อเอง ผมงับส่วนหัวทู่ๆ ต่อจากน้องมันที่งับเนื้อไอศกรีมส่วนหัวที่เป็นปลายแหลมไปแล้ว ความเย็นกระจายไปทั่วปากบวกกับลมเย็นๆ ที่พัดมาเล่นเอาขนลุกซู่

            "อร่อยมั้ย"

            "ก็ดี"

            ไอติมแบบนี้รสชาติมันก็คล้ายๆ กัน มาถามว่าอร่อยไหมทำอย่างกับเป็นเจ้าของแบรนด์ แต่พอยื่นมาให้กินอีกผมก็กิน แล้วเราก็ผลัดกันกินจนหมด

 

            สามทุ่มนิดๆ ก็กลับมาถึงห้องพัก กำลังจะปูที่นอนเพื่อเอนกายพักร่างน้องหมีก็ไล่ผมไปอาบน้ำ อยากจะเถียงอยู่หรอกแต่ขี้เกียจฟังน้องมันบ่นเลยยอมทำตาม อาบให้มันเสร็จๆ จะได้นอนได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร

            หลังจากผลัดกันอาบน้ำแล้วเราก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการจัดกระเป๋าสำหรับเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเช้าวันพรุ่งนี้ จัดของเสร็จก็มานั่งกินขนม เล่นโทรศัพท์ อัปโหลดรูป แถมรูปผมที่น้องหมีเอาเวลาไหนไปแอบถ่ายก็ไม่รู้ยังเยอะไม่ต่างจากวันแรกๆ ทั้งที่วันนี้ฝนตกแท้ๆ

            ผมนอนดูรูปที่น้องหมีส่งมาให้ เลื่อนไปก็ยิ้มไปรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แม้บรรยากาศวันนี้จะไม่เป็นใจแต่รูปที่ถ่ายออกมาก็ยังสวย นายแบบที่ถูกถ่ายตอนเผลอก็หล่อ จะกี่รูปก็ดูดี

            เลื่อนดูมาเรื่อยๆ จนถึงรูปที่ถ่ายบนเรือซานต้ามาเรีย กับรูปมือของคนสองคนที่กุมกันไว้

            ผมหันไปมองน้องหมีที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ อยากจะถามอยู่หรอกว่าตอนนั้นไม่หลับหรือไงถึงได้ถ่ายรูปนี้ไว้ได้ แต่กลัวถามไปแล้วจะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ความรู้สึกผมมันบอกแบบนั้น

            เผลอจมอยู่กับความคิดจ้องคนข้างๆ นานไปหน่อยจนเขารู้ตัว น้องหมีเลิกคิ้วมองก่อนหันตะแคงข้างมาหา

            "แอบมองเหรอ"

            "ไม่ได้แอบ" ก็มองกันโต้งๆ เนี่ย แอบตรงไหน

            "พี่อิน ถามไรหน่อยดิ"

            ประโยคแบบนี้เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร จะบอกว่ากลัว ระแวง แนวนั้นก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าคนถามต้องการอะไร อยู่ดีๆ ก็เกริ่นขึ้นมา จะบอกไปว่าห้ามถามมันก็ไม่ใช่ ยิ่งเป็นน้องหมีด้วย จะถามอะไรประหลาดๆ ออกมาหรือเปล่าก็ไม่รู้

            "อะไร"

            "สึคิแปลว่าอะไร"

            ได้ยินคำถามใจผมก็เต้นแรงขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าน้องหมีจะอยากรู้ความหมายของภาษาญี่ปุ่นคำนี้ไปทำไม อีกอย่างความหมายของมันไม่ได้ชวนให้รู้สึกพิเศษหรือต้องใจเต้นแรงเสียหน่อย เพราะคำนี้มันแปลว่า

            "พระจันทร์"

            "พระจันทร์" น้องหมีทวนคำแล้วทำหน้างง แต่คนที่สมควรงงคือผมมากกว่า

            "ใช่ ทำไมอ่ะ ไปเอามาจากไหน"

            "กูเกิ้ล"

            "เสิชกูเกิ้ลมาก็ต้องรู้ความหมายอยู่แล้วดิ จะมาถามทำไม"

            "ก็อยากถามพี่อิน ที่จริงมันต้องไม่ใช่แบบนี้ดิ" น้องหมีทำหน้ายุ่งพึมพำกับตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ ผมเดาว่าคงเสิชกูเกิ้ลดูอีกรอบ

            ทำไม คิดว่าผมแปลให้ผิดเหรอ หรือตั้งใจให้มันเป็นคำไหน ในเมื่อ สึคิ(tsuki) มันแปลว่า พระจันทร์

            ผมปล่อยให้น้องหมีวุ่นวายอยู่กับมือถือโดยไม่เร่งเร้าหรือซักถามอะไร แถมยังรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ เชื่อได้เลยว่าคำถามของน้องหมีคงไม่จบแค่นี้หรอก หาจากในกูเกิ้ลแล้วก็มาถามผม ซึ่งที่จริงมันก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าคำที่น้องมันอยากถามคืออะไร แต่ผมอยากฟังให้มั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า

            "โอเค ได้ละ เอาใหม่นะ" เจอสิ่งที่ต้องการน้องหมีก็บอกด้วยสีหน้าจริงจังอย่างกับกำลังเล่นเกมส์ตอบคำถามชิงเงินล้านในรายการทีวี

            "ว่ามา"

            "สุคิ"

            รอบนี้พูดเสียงดังออกเสียงชัดเจน ฟังออกและรู้แน่นอนถ้าไม่แกล้งโง่เอาความหมายอื่นมาใส่ ผมเงียบไม่ตอบเพราะมันใช่อย่างที่คิดไว้จริงๆ

            ในที่สุดน้องหมีก็พูดมันออกมา

            "คำนี้แปลว่าอะไร"

            "เสิชกูเกิ้ลก็รู้อยู่แล้วดิ"

            "แบร์อยากให้พี่อินตอบ" แววตาน้องหมีไร้ความขี้เล่น มันบังคับให้ผมต้องตอบ

            "แปลว่า...ชอบ"

            "ถ้างั้น 'อะนะตะก๊ะ สุคิเดส' ล่ะ"

            "..."

            "มันแปลว่าอะไรพี่อิน"

            "แบร์รู้"

            "แบร์อยากให้พี่อินรู้ด้วย"

            ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนไล่ต้อน น้องหมีต้อนนี้คือเป็นสัตว์ป่าที่กำลังหิวและออกล่าเหยื่อ ในขณะที่เหยื่อของมันไม่สามารถหนีไปไหนได้ 

            "ความหมายของมันคืออะไรเหรอพี่อิน"

            เราสบตากันนิ่ง มันทำให้ผมลังเลที่จะตอบ แต่ถึงจะยึกยักเบี่ยงประเด็นแถไปเรื่องอื่น เชื่อเถอะว่ายังไงมันก็ต้องวกกลับมาเรื่องเดิม

            ก็แค่ตอบไปให้มันจบๆ

            "ฉันชอบเธอ"

            น้องหมียิ้มบางๆ ตอนผมตอบ เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่มั่นใจนักเหมือนกับเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่างที่สำคัญทั้งคู่  ลังเล ไขว้เขว ไม่พร้อมแต่ก็ยังตัดสินใจที่จะทำ

            "ถ้างั้น สึคิอัตเตะ คุดะไซ"

            อยู่ๆ ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันวูบๆ โหวงๆ ยิ่งกว่าตอนนั่งชิงช้าสวรรค์แล้วโดนลมพัดจนตู้แกว่งเสียอีก เพราะประโยคที่น้องหมีพูดมาเมื่อกี้มันแปลว่า...

            คบกันไหม

            ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรแสดงออกยังไงดี แม้จะพอรู้ตัว รับได้ ไม่ได้รังเกียจ มีความรู้สึกดีๆ ให้กันยังไงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเร็วขนาดนี้ มันยังมีความลังเลที่ทำให้ผมไม่กล้าตัดสินใจ สุดท้ายเลยทำเป็นเสแสร้งแกล้งถามเบี่ยงประเด็น

            "เก่งหนิ จะเอาไปบอกหนุ่มญี่ปุ่นคนไหนเหรอ"

            "เค้าเป็นคนไทย"

            "..."

            "แล้วเค้าคนนั้นก็อยู่ตรงหน้าแบร์"

            "แบร์..."

            "มันอาจจะกะทันหันเกินไปแต่แบร์อยากบอก"

            น้องหมีลุกขึ้นนั่งจนผมต้องลุกตาม เว้นจังหวะแล้วสูดลมหายใจเข้า ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะรวบรวมความกล้าเพื่อพูดมันออกมา เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขัดและรับฟัง

            "แบร์รักพี่อินนะ กลายเป็นรักแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะตั้งแต่เด็กเลยล่ะมั้ง พยายามคิดว่าไม่ใช่แต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งห่างกันความรู้สึกมันก็ยิ่งชัดเจน แบร์มีความสุขมากที่เราได้กลับมาอยู่ด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม"

            น้องหมีเว้นจังหวะอีกครั้ง ผมยังตั้งใจรอฟังทุกคำพูดทุกความรู้สึกที่น้องมันบอกออกมา ชอบที่จะฟัง อยากที่จะได้ยิน ผมชอบเวลามีคนมาบอกรัก มาบอกว่าเราสำคัญกับเขา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี

            "เปิดใจให้แบร์หน่อยได้มั้ย" คำขอสุดท้ายถูกเอ่ยออกมา

            สายตาและน้ำเสียงอ้อนวอนไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างจบง่ายขึ้นและเป็นไปในทางที่ดีเสมอ ผมรักน้องหมีนะ รักมาก แม้จะมีช่วงเวลาที่หวั่นไหวแต่นั่นมันคงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น ผมยังไม่มั่นใจกับความรักในรูปแบบอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมให้ได้ยังคงเหมือนเดิม

            "เป็นมุกสารภาพรักที่ใช้ได้เลยนะ แต่..."

            พอเว้นจังหวะน้องหมีก็แสดงสีหน้าเหมือนกับรู้คำตอบของผมแล้ว แต่ผมใจกว้างพอ ตอนนี้ให้ได้แค่พี่น้องใช่ว่าจะพัฒนาไม่ได้ แค่ให้เปิดใจมันได้อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อแม้เสมอ

            "แบร์ก็น่าจะรู้ว่าสเปคอินเป็นยังไง ตัวใหญ่เป็นหมีแบบนี้ตกรอบแรก"

            "พี่อิน จริงจังป่ะเนี่ย"

            "จริงจังดิ"

            "สรุปคืออกหักใช่มั้ย"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบ เวลาน้องหมีทำหน้าเศร้า ตัวงอหูตกแปลงร่างเป็นริลัคคุมะมันทำให้ผมรู้สึกเหนือกว่า ไม่ได้อยากจะแกล้งแต่อยากให้น้องมันพยายามอีกนิด ถึงเราจะอยู่ในจุดเริ่มต้น แต่มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์

            "ถ้ารักจริงก็ต้องพยายามดิ"

            "อย่ามาให้ความหวัง"

            "นี่เปิดใจอยู่นะ ถ้าเกลียดจริงๆ ป่านนี้หนีออกจากห้องไปแล้ว"

            ถ้าว่ากันตามเรื่องแบบแมนๆ ใจแคบ บรรยากาศในห้องนี้คงอึดอัดจนทนอยู่ไม่ได้ ผมอาจจะตะคอกใส่น้องหมีแล้วออกไปจากห้อง หรือไม่ผมก็ไล่น้องมันออกไปแทน หรือไม่ถ้ามันคนที่ใจเย็นมากๆ คงเก็บอารมณ์จนรู้สึกอึดอัด แต่นี่เรายังพูดคุยกันได้ปกติ

            "แล้วแบร์ต้องทำไงต่อ"

            "คิดเองดิ"

            "ก็พี่อินบอกไม่ชอบผู้ชายตัวใหญ่"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบอีกรอบ ผมชอบไอดอล และไอดอลส่วนใหญ่ที่ผมชอบจะตัวเล็กๆ ขาวๆ มีทั้งน่ารัก สวย เซ็กซี่ปะปนกันไป แต่นั่นมันคือดินแดนในฝัน ไอดอลคือความฝัน ผมไม่มีทางคว้าเธอเหล่านั้นมาอยู่ข้างกายได้ และมันก็ไม่ได้บ่งบอกด้วยว่าคนรักในชีวิตจริงของผมต้องเป็นยังไง บางทีในอนาคตคนคนนั้นอาจจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่เหมือนหมีก็ได้ใครจะไปรู้

            "สึคิ เอ้ย! ไม่ใช่ดิ ต้องสุคิ"

            "จะเล่นอะไรอีก"

            "อะนะตะก๊ะ สุคิเดส"

            "รู้แล้ว"

            "สึคิอัตเตะ คุดะไซ"

            ผมส่ายน้า น้องหมีก็ทำหน้างอ ถึงผมจะชอบมุกนี้แต่จะเล่นกี่รอบผลตอนนี้มันก็ออกมาเหมือนเดิม

            "ที่ผ่านมาไม่หวั่นไหวเลยเหรอ"

            "ทำไมต้องหวั่นไหว"

            "ทั้งหล่อ ใจดี สปอร์ต กทม. ด้วยนะ"

            แม้มุกจะเก่าแต่ผมก็เห็นด้วย ที่ผ่านมาผมชมน้องมันตลอด ตัวสูง เท่ หน้าตาดี นิสัยน่ารัก แถมมาเที่ยวยังเปย์ผมอยู่หลายมื้อ มีคุณสมบัติครบถ้วนพอที่จะทำให้ทั้งหญิงและชายทั่วแผ่นดินหวั่นไหวได้ และผมก็เคยหวั่นไหวกับด้านดีๆ ของน้องหมีมาแล้ว แต่ใจผมมันก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี

            "ก็ทำให้หวั่นไหวมากกว่านี้ดิ"

            "แสดงว่าที่ผ่านมาก็มีหวั่นไหวบ้างใช่มั้ย"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบอีกครั้ง ปล่อยให้คิดเอาเอง

            "งั้นขอกำลังใจหน่อยดิ"

            "ยังไง"

            "ขอจูบหน่อย"

            ผมส่ายหน้ารัวๆ คำขอนี้มันมากเกินไป ให้ไม่ได้

            "หอมแก้ม"

            ส่ายหน้ารัวๆ เป็นคำตอบอีกครั้ง อันนี้ก็เยอะไป

            "ขอกอดก็ได้"

            ผมยิ้ม ไม่ตอบ แต่น้องหมีคงรู้คำตอบแล้วถึงได้ขยับเข้ามาหาแล้วสวมกอดจนผมเกือบจะจมหายเข้าไปในตัวน้องมัน

            "ขอบคุณที่ไม่รังเกียจนะ แบร์กลัวว่าจะโดนพี่อินเกลียดตั้งแต่ที่ยอมรับว่าชอบผู้ชายแล้ว"

            "คิดมากน่า" แบบนั้นมันไร้เหตุผลเกินไป ถ้าเกิดผมเกลียดน้องหมีเพียงเพราะน้องมันชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ ผมคนนี้คงจะผิดหวังในตัวเองอย่างมาก

            "ตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่นแบร์พยายามจะจีบพี่อินตลอดเลยนะ รู้ตัวบ้างมั้ย"

            "ตั้งแต่มาถึงเลยเหรอ" ผมเงยหน้าขึ้นมอง ประหลาดใจมากกับคำสารภาพนี้เพราะผมเพิ่งจะสงสัยว่าน้องมันอาจจะคิดไม่ซื่อเมื่อสองวันก่อนหน้านี้เอง

            "ที่จริงอยากจะจีบตั้งนานแล้ว แต่ก็กลัว กลัวว่าพี่อินจะไม่ยอมมาเจอกันอีกทั้งที่ปกติก็เจอกันน้อยมากอยู่แล้ว"

            "เหรอ" ได้แค่ตอบรับแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะผมก็กลัวว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนจุดจบคงเป็นอย่างที่น้องหมีพูดมา

            "สมมตินะ ถ้าแบร์บอกรักพี่อินตั้งแต่เก้าปีก่อนจะเป็นยังไง"

            "คงไม่ได้มาเจอกันแบบนี้แล้วมั้ง"

            "นั่นไง เพราะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นไง" พูดแล้วก็กอดผมแน่นขึ้นไปอีก

            "ปล่อยก่อน แน่นไปแล้ว"

            "อยากกอดทั้งคืนเลย" บอกแล้วก็ไม่ยอมฟัง ถ้ารัดแน่นกว่านี้ตัวผมอาจจะขาดสองท่อนก็เป็นได้

            ในเมื่อไม่ยอมปล่อยดีๆ ผมเลยออกแรงดันเต็มกำลังจนในที่สุดน้องหมีก็ยอมคลายอ้อมแขนออก แต่พอเห็นทำหน้าจ๋อยเหมือนเด็กโดนทิ้งแล้วก็ไม่อยากลุกหนี ทำไมน้องมันต้องทำให้ผมเป็นพวกให้ความหวังคนอื่นด้วยก็ไม่รู้

            "นั่งแบบนี้เหมาะกว่า" ผมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งหันหลังพิงน้องมันแทน พูดง่ายๆ ก็นั่งตักนั่นแหละ

            พออยู่ในท่าทางแบบนี้ตัวผมยิ่งดูเล็กเข้าไปอีก แค่น้องหมีใช้สองแขนโอบไว้ก็แทบจะจมหายเข้าไปในอก แต่ได้อยู่ในอ้อมแขนคนตัวใหญ่กว่าแบบนี้มันอุ่นดีชะมัด

            "ไม่เหมือนตอนเด็กแล้วนะ ตอนนั้นพี่อินยังกอดปลอบแบร์ได้อยู่เลย"

            "ใครไม่รู้โคตรขี้แย"

            "ตอนโดนแม่ตีไม่เคยร้องไห้เลยเถอะ"

            "แต่โดนด่าคำเดียวร้องเลย"

            "โดนด่ามันกระทบความรู้สึกไง"

            "แบร์หนังหนาไงโดนตีเลยไม่เจ็บ"

            นึกถึงเรื่องสมัยเด็กทีไรก็มีความสุขทุกที ช่วงประถมน้องหมียังตัวเล็กกว่าผม เวลาโดนด่าโดนตีทีไรก็ชอบวิ่งมาให้ผมปลอบ ต้องกอดแล้วลูบหัวจนกว่าน้องมันจะหยุดร้อง น้ำหูน้ำตาน้ำมูกเปรอะเลอะเสื้อไปหมด แต่ตอนนี้ผมก็ยังกอดปลอบน้องมันได้นะ ยังพร้อมเป็นที่พักพิงให้เสมอ

            "พี่อิน" น้องหมีเสียงเรียกอ่อยดังใกล้ๆ หู

            ผมไม่หันไปมองหรอกเพราะน้องมันก้มหน้าลงมาคลอเคลียแถวๆ คอ เดาได้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

            "ไม่คิดดูใหม่หน่อยเหรอ"

            "คิดอะไร"

            "แฟนอย่างแบร์หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ หล่อ สูง รวย เก่ง อ้อนได้ ปกป้องพี่อินได้ด้วย รับรองไม่มีใครมารังแก"

            อะไรคือการโฆษณาตัวเองแบบนี้ มันถูกอย่างที่ว่ามาหมดนั่นแหละ ครบเครื่องแบบนี้คงหาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ แถมความกวนประสาทไปด้วยอีกข้อ แต่โตป่านนี้แล้วใครจะมารังแกผม ไม่ใช่เด็กๆ ที่ยังนัดต่อยกันหลังโรงเรียนสักหน่อย

            "อยากปกป้องคนอื่นไง ไม่ได้อยากให้ใครมาปกป้อง"

            "พี่อินปกป้องแบร์มาหลายครั้งแล้ว จากนี้ให้แบร์ปกป้องพี่อินบ้างไง"

            ฟังแล้วหุบยิ้มไม่ได้เลย ผมชอบคนขี้อ้อน เลยไม่แปลกใจว่าทำไมผมถึงชอบคนนิสัยแบบน้องหมี

            หวั่นไหวอีกแล้ว เอายังไงดีล่ะหัวใจ

            "นอนเถอะ" ขืนยังอยู่สภาพแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ๆ

            ผมจับแขนน้องหมีออกแล้วลุกออกจากตัก น่าแปลกที่น้องมันยอมปล่อยง่ายๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ล้มตัวลงนอนบนฟูก คนที่ยังนั่งนิ่งอยู่เมื่อกี้ก็ขยับเข้ามาหาจนอยู่ในระยะประชิด

            ผมนั่งชันเข่ามือยันพื้นตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อยในขณะที่น้องหมีคลานเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างขา มันไม่ปลอดภัย ผมรู้แต่กลับไม่ร้องห้ามหรือขัดขืน

            อ้อมแขนที่เพิ่งผละออกมาเข้ามาโอบกอดกันอีกครั้ง หลังผมแนบลงกับฟูกที่นอน สองแขนโอบรอบคอคนที่คร่อมอยู่ด้านบน ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้จนริมฝีปากเราสัมผัสกัน

            น้องหมีรุกเร้าแต่ไม่ได้รุนแรงนัก นอกจากปากที่ดูดดึงขบเม้มเบาๆ ฝ่ามือสากๆ ก็พยายามจะสอดเข้ามาใต้เสื้อตลอดเวลา ขัดขืนปัดป้องได้ชั่วครู่สุดท้ายก็สู้แรงไม่ได้ น้องมันคว้าหมับเข้าที่เอวสัมผัสลูบไล้จนพอใจก่อนจะค่อยๆ ไล่สูงขึ้นมา ถึงจะเคลิ้มสติที่มีก็ยังครบถ้วน ผมยอมนะในขอบเขตที่สมควร แต่ตอนนี้ชักจะเหลิงไปใหญ่แล้ว

            ผมกัดปากน้องหมีไม่แรงนักแต่ก็ทำให้น้องมันผละออกไปได้ เพราะเรื่องกำลังผมไม้สู้ เอาตรงๆ คือสู้ไม่ไหว วิธีนี้นี่แหละได้ผลชะงัด

            "ชอบความรุนแรงเหรอ"

            "ไม่ได้ชอบ"

            "ปากแตกมั้ยเนี่ย"

            "รีบลุกออกไปเลย" ผมออกแรงผลักเบาๆ นอกหมีก็ยอมพลิกตัวกลับไปนอนฟูกตัวเอง

            "กลัวห้ามใจไม่อยู่อ่ะดิ"

            "ยังไม่อยากเสียตัว"

            น้องหมีหัวเราะร่วนๆ วาดแขนขามากอดผมไว้อีกครั้ง ห้ามไปก็เท่านั้นจริงๆ

            เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใคร ลองปล่อยให้จิตใจเตลิดไปมากกว่านี้ ถึงปากจะบอกไม่ยอม แต่พนันล้านนึงเลยว่าถ้าไม่หยุดกันตรงนี้คืนนี้ผมได้เป็นเมียสมใจน้องมันแน่ๆ

            "ขอกอดทั้งคืนเลยได้มั้ย"

            ผมไม่ตอบ ก็กอดไปแล้วยังจะมาขออะไรอีก

            "แล้วพี่อินจะต้องเสียใจที่ปฏิเสธ"

            ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ผมไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วเด็ดขาด แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็เป็นคืนในญี่ปุ่นที่อบอุ่นที่สุด

 


TBC.

 

พระเอกเราต้องอกหักใช่ไหม แค่ 8 วัน 7 คืน มันคงสั้นไปจริงๆ แหละ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-06-2017 20:10:35
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-06-2017 20:45:32
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-06-2017 21:20:15
แบร์ จะอกหักมั้ย ม่ายยยย......นะ
เพราะอิน ก็หวั่นไหวหน่อยๆ ก็หมีรุกจีบ
หมีขี้อ้อน พี่อินก็ชอบคนอ้อนๆนี่นะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 02-06-2017 23:41:25
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 03-06-2017 07:03:55
สงสัยจะได้เป็นเมียน้องหมีคืนที่ 8
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-06-2017 14:15:50
พี่อินไม่เอาเราเอานะ รีบๆล่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ คืนที่ 7 [02/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 03-06-2017 17:11:33
อกหักหันมาหาพี่ได้นะน้องแบร์ :hao7:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 09-06-2017 17:54:45


วันที่ 8


            เมื่อคืนแม้จะมีคนอกหักแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอย่างกับคู่แต่งงานใหม่ พอได้พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตก็เหมือนความใสซื่อแบบเด็กๆ ถูกขุดขึ้นมา มันรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้นึกถึง ดีจนเกือบปล่อยตัวปล่อยใจให้เตลิด แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ยอมให้ทำมันก็เกินเลยความสัมพันธ์ที่บอกจะมอบให้อยู่ดี

            ปฏิเสธเขาแต่ก็ยอมให้เขากอดยันเช้าซะงั้น

            เพราะเป็นวันสุดท้ายโปรแกรมวันนี้เลยไม่แน่นมาก เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมไปเดินตลาดแล้วนั่งชินคันเซ็นกลับโตเกียว เป็นความผิดพลาดเพราะผมดันจองตั๋วไปกลับจากนาริตะแทนที่จะจองขากลับจากคันไซ

            เก้าโมงครึ่งเตรียมตัวกันเสร็จก็ลากกระเป๋าลงไปเช็คเอาท์ ขึ้นรถไฟมาอีกสถานีเดียวก็ถึงตลาดคุโรมง หาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าเรียบร้อยก็ได้เวลาไปหาของกินใส่กระเพาะ

            ตลาดคุโรมงเป็นตลาดสด มีขายตั้งแต่ของสด ผัก ผลไม้ เสื้อผ้า ร้านยา หรือแม้กระทั่งร้านร้อยเยน เหตุผลหลักที่ผมพาน้องหมีมาที่นี่เพื่อกินข้าวเช้า ฉะนั้นเมื่อมาถึงตลาดเราเลยเดินหาร้านอาหารเป็นอันดับแรก ส่วนของกินเล่นล่อตาล่อใจทั้งหลายนั้น เสร็จจากมื้อหลักเมื่อไรเดี๋ยวจะมาจัดการให้หมด

            ผมกับน้องหมีเลือกเข้าร้านหนึ่งที่คนไม่เยอะมาก จนสั่งอาหารเสร็จคนที่มาก่อนหน้าก็ลุกออกไปเหลือเราอยู่ในร้านกันตามลำพัง แถมร้านนี้ยังมีคุณยายที่อายุน่าจะเกินหกสิบแล้วดูแลร้านอยู่แค่คนเดียว

            "ยายแกอยู่ร้านคนเดียวเหรอ"

            "น่าจะใช่ ไม่เห็นมีใคร" ผมชะเง้อมองเข้าไปในครัวก็เห็นคุณยายแกวุ่นวายกับการทำอาหารอยู่คนเดียว อาจจะเป็นเพราะร้านเพิ่งเปิดล่ะมั้งพนักงานคนอื่นเลยยังไม่มา

            "ทำไมปล่อยคนแก่เฝ้าร้าน"

            "เดี๋ยวลูกหลานแกคงมามั้ง"

            เพราะผมนั่งหันหลังให้ครัวเลยไม่เห็นว่าคุณยายแก่ทำอะไรอยู่ ถึงลูกหลานจะไม่ดูแลแต่คงไม่มีอะไรน่าห่วง คุณยายยังดูแข็งแรงและแกคงอยู่เฝ้าร้านคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังมีลูกค้าจิตใจดีอีกคนคอยมองด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย

            "เหมือนจะเสร็จแล้วอย่างนึง" จ้องคุณยายอยู่นานน้องหมีก็ลุกจากโต๊ะเมื่อเห็นอาหารจานแรกถูกวางบนเคาน์เตอร์ครัว ทำตัวเป็นพ่อสุภาพบุรุษคนดีช่วยคุณยายยกอาหารเสิร์ฟทั้งที่เขาปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่สุดท้ายคุณยายก็แพ้ให้กับหมีขั้วโลกที่อยากทำงานเป็นพนักงานร้านชั่วคราว

            น้องหมียกอาหารจานแรกซึ่งเป็นข้าวหน้าเนื้อของผมมาเสิร์ฟ ยิ้มตาหยีภูมิอกภูมิใจก่อนจะเดินไปรออาหารอีกจานจากคุณยายเจ้าของร้าน เมื่อออเดอร์วางบนโต๊ะจนครบยังช่วยเทน้ำดื่มให้อีก บริการทุกระดับประทับใจจริงๆ

            "เป็นไง ได้คะแนนเพิ่มมั้ย"

            "คะแนนอะไร" ผมก็แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง แล้วก็รู้ด้วยว่าน้องหมีก็แกล้งถามเหมือนกัน

            "คะแนนความรักไง เป็นคนดีขนาดนี้"

            ผมล่ะอยากหัวเราะดังๆ แต่ก็ทำได้แค่นั่งกลั้นยิ้ม ทำดีกับคนอื่นแล้วจะมาขอเพิ่มคะแนนจากผมมันได้ด้วยเหรอ แต่เห็นแก่ความเป็นเด็กดีของชาติจะให้คะแนนเพิ่มก็ได้

            ตลอดเวลาที่ผมกับน้องหมีอยู่ในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นเข้ามาเลย มันรู้สึกเป็นส่วนตัวดี แต่กลับให้ความรู้สึกสองแบบ คือหนึ่ง ปิดร้านเพื่อเบรคฟัสกันสองคน ดูรวยและโรแมนติกไม่หยอก กับสอง พวกผมมันตัวกาลากิณีไล่ลูกค้า แอบหดหู่เบาๆ

            "ร้านนี้ดารามาเยอะนะ"

            คุยกับน้องหมีไปส่ายตาผมก็สำรวจรอบร้านไปด้วย ที่ร้านนี้บนผนังมีรูปถ่ายเจ้าของร้านกับคนดังติดอยู่หลายใบ ผมแอบส่องมาสักพักแล้วเพราะมีรูปคู่คุณยายกับไอดอลที่ผมรู้จักอยู่

            "สงสัยจะเป็นร้านดัง แต่ทำไมเงียบเป็นป่าช้าขนาดนี้" ข้อสงสัยของน้องหมีน่าจะไขกระจ่างได้ด้วยความรู้สึกข้อที่สองของผมก่อนหน้านี้ แต่ยังไงเราก็ควรคิดในทางที่ดีไว้ก่อน

            "ยังเช้าอยู่มั้ง ยังไม่สิบโมงเลย"

            "สิบโมงนี่เรียกสายแล้วนะ"

            ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ก่อนเราจบประเด็นลงเพียงเท่านี้

            กินข้าวไปนั่งมองรูปซายาเน่ ไอดอลสาวคนดังของโอซาก้าไปพลางยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียว เธอคนนี้อยู่ท็อปสิบห้าของไอดอลที่ผมชอบเลย เห็นรูปแล้วอยากหยิบกลับบ้าน ทำไมไม่โชคดีเจอแบบนี้บ้างก็ไม่รู้

            "รูปพวกนั้นมีคนที่รู้จักเหรอ"

            "คนที่น่ารักที่สุด"

            "คนนี้ใช่ป่ะ" น้องหมียิ้มแป้นแล้วชี้ตัวเอง

            ผมส่ายหน้าใส่แล้วกลับมาสนใจข้าวหน้าเนื้อของตัวเอง สำหรับน้องหมีน่ะ ทั้งหล่อ ทั้งน่ารัก ทั้งเท่ ทั้งนิสัยดีอยู่แล้ว แต่ไม่อยากชม จะเก็บเอาไว้ชมคนเดียวในใจ

            "ไม่รับมุกเลย"

            "กินข้าวไป"

            โดนสั่งนิดสั่งหน่อยมาเบะปากใส่ผมอีก คิดว่าน่ารักเหรอ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้วใช่มั้ยหมีขั้วโลก ชอบทำตัวเป็นริลัคคุมะตลอด

            เอื่อยเฉื่อยในร้านอยู่นานกินเสร็จน้องหมีก็ยังทำตัวเป็นพนักงานที่ดียกจานไปเก็บให้ คุณยายแกก็ทำท่าเกรงใจแล้วเกรงอีกก่อนจะโบกมือลากันด้วยรอยยิ้มแล้วเดินจากมา

            ภารกิจต่อไปก็ยังอยู่ที่ของกินเหมือนเดิม

            ซีฟู้ดเสียบไม้ย่าง ของทอด เนื้อย่าง ครอกเก้ น้ำสตรอเบอรี่สีขาวปั่น อะไรก็ตามที่เดินผ่านแล้วน่าอร่อยผมกับน้องหมีซื้อมาหมด เดินไปกินไปไม่ปล่อยให้มือว่าง ใส่ให้เต็มกระเพาะสำหรับเวลาอีกสามชั่วโมงที่ต้องอยู่บนชินคันเซ็นกลับโตเกียว

            กินอิ่มจนแน่นท้องก็เดินกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ในล็อคเกอร์ มุ่งหน้าสู่สถานีต่อไปชินโอซาก้า

 

            ภารกิจหลังจากนี้คือหลับยาวจนกว่าจะถึงภูเขาไฟฟูจิ

            ขึ้นมาบนชินคันเซ็นแล้วผมกับน้องหมีก็เตรียมตัวนอนหลับยาวๆ  เอาไว้ค่อยตื่นอีกทีตอนถึงชิซุโอะกะ ขากลับนี้ผมจองได้ที่นั่งฝั่งวิวฟูจิเลยอยากถ่ายรูปสวยๆ ก่อนจากลากันเสียหน่อย หวังว่าเมฆคงไม่เยอะมากจนบังฟูจิซังมิดเหมือนขามาจากโตเกียว

            รถไฟออกจากสถานีได้สักพักผมก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลง ใส่หูฟังได้ข้างหนึ่งกำลังจะใส่อีกข้าง ข้อมือผมก็โดนจับเอาไว้ มีปัญหาอะไรอีกล่ะน้องหมี

            "อะไร"

            "ฟังด้วยดิ"

            "มีแต่เพลงญี่ปุ่นนะ"

            "นั่นแหละ" อยากรู้ว่าชอบฟังเพลงแบบไหน" ไม่รอให้ผมตอบน้องหมีก็แย่งหูฟังอีกข้างของผมไปเสียบหูตัวเองหน้าตาเฉย

            เพลงในมือถือผมส่วนใหญ่เป็นเพลงญี่ปุ่น ไล่มาตั้งแต่เพลงไอดอล เพลงการ์ตูน ประกอบซีรีย์ หรือของนักร้องวงดนตรีทั่วไปก็มี แนวร็อคโผล่มาบ้างนิดหน่อย ปะปนไปกับเพลงไทย เพลงสากล แซมๆ จีนกับเกาหลีมาบ้าง จะเรียกว่านานาชาติเลยก็ได้

            ผมกดเปิดเพลงที่ฟังค้างไว้ก่อนหน้านี้ เป็นเพลงช้าความหมายเกี่ยวกับฤดูร้อนของไอดอลวงที่ผมชอบ เพลงนี้เพราะนะ เสียงใสๆ ของเด็กสาววัยสิบต้นๆ ฟังสบาย ซาวด์ดนตรีฤดูร้อนมาเต็ม ซึ่งไม่เหมาะกับอากาศหนาวๆ ตอนนี้เอาเสียเลย

            "เพราะดีนะ"

            "ฟังรู้เรื่องเหรอ"

            "จะฟังเพลงให้เพราะไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายสักหน่อย"

            ผมพยักหน้าเข้าใจเพราะบางเพลงที่ชอบฟังผมยังไม่รู้ความหมายของมันเลย แค่ได้ฟังดนตรี ฟังเสียงนักร้อง สัมผัสถึงอารมณ์ที่คนร้องต้องการถ่ายทอดออกมา แม้ไม่เข้าใจก็สามารถรับรู้และชื่นชอบมันได้

            เพลงแรกจบไปเพลงที่สองแบบไอดอลจ๋าก็ถูกสุ่มขึ้นมา ผมจวนเจียนจะหลับเต็มทนแต่เพราะคนข้างๆ โผงออกมากเลยต้องหันไปคุย

            "เพลงนี้ไม่ใช่แนวเลย"

            "ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง" ผมจะยึดหูฟังคืนแต่น้องหมีไม่ยอม

            "ไม่ได้บอกว่าจะไม่ฟัง แค่บอกว่าไม่ใช่แนวเฉยๆ"

            "ก็คือไม่ชอบไม่ใช่หรือไง"

            "ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องชอบเลย"

            เรามองหน้ากันนิ่งๆ เหมือนจะชวนทะเลาะแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ผมไม่ใช่คนโกรธง่ายด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ขี้เกียจไปบวกกับใครด้วยโดยเฉพาะน้องหมี ตอนนี้เลยอยู่ในอารมณ์เคืองนิดหน่อยที่น้องหมีดื้อดึงทั้งที่บอกว่าไม่ชอบมากกว่า

            "แบร์อยากรู้ว่าพี่อินฟังเพลงแบบไหนบ้าง ถึงไม่ได้ชอบแนวนี้แต่ไม่เห็นต้องกีดกันไม่ให้รู้เลยหนิ ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากจะรู้ แบร์เองก็อยากให้พี่อินรู้ความชอบของแบร์เหมือนกัน แค่รู้ไว้เฉยๆ ไม่ได้บังคับให้มาชอบตาม เข้าใจใช่มั้ย" ร่ายยาวจนจบแล้วมาทำขมวดคิ้วใส่เหมือนเวลาคุณครูประถมอยากได้คำตอบจากเด็กๆ

            ผมยิ้มตอบ เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง

            "บ่นซะยาว"

            "ก็อยากให้เข้าใจ"

            "ก็เข้าใจแล้วไง"

            "ดีมาก" ว่าแล้วก็ยิ้มตาหยี นั่งหลับตาซึมซับบทเพลงที่แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ยังจะฟัง

            เราไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนกัน แค่รู้ว่าอีกคนชอบหรือไม่ชอบอะไรก็พอ

 

            ใช้เวลาบนชินคันเซ็นเกือบสามชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงสถานีชินากาว่า มีเรื่องน่าเสียดายมากอยู่อย่างหนึ่งที่ตอนรถไฟวิ่งผ่านภูเขาไฟฟูจิเมฆหนาจนมองไม่เห็นทั้งที่อุตส่าห์ตั้งตารอ แต่ยังถือว่าโชคดีที่ทริปนี้ได้เห็นฟูจิใกล้ๆ มาแล้ว

            ลากกระเป๋าลงจากรถไฟมาผมก็โดนความหนาวเข้าเล่นงาน เปิดพยากรณ์อากาศดูอุณหภูมิต่ำกว่าโอซาก้าถึงสี่องศา ตอนอยู่แถบคันไซกลายเป็นอากาศอบอุ่นไปเลยถ้าไม่นับวันที่ฝนตก   

            ความจริงกลับมาถึงโตเกียวจะเรียกว่าสิ้นสุดการท่องเที่ยวของทริปนี้แล้วก็ได้ เพราะที่เหลือคือการเดินทางกลับ มาถึงสนามบินนาริตะ เช็คอินโหลดกระเป๋า ผ่าน ตม. ซื้อขนมของฝากในสนามบินแล้วมานั่งรอกันหน้าเกท อีกไม่กี่ชั่วโมงเมื่อกลับถึงสุวรรณภูมิก็ได้เวลาแยกย้ายทางใครทางมัน ผมหมายถึงในกรณีที่ความสัมพันธ์ของเรายังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม แต่หลังจากนี้เราคงได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น กลับไปเป็นความผูกพันเมือนสมัยเด็ก

             "ขี้เกียจกลับไปทำงานชะมัด" นึกถึงวันทำงานแล้วก็หมดแรง รู้สึกว่าเวลาแปดวันเจ็ดคืนมันผ่านไปเร็วมากจนอยากจะรีเซ็ทกลับไปวันแรกใหม่

            "ขี้เกียจเดี๋ยวก็ไม่มีเงินมาเที่ยวหาสาวอีกหรอก"

            "เออเนอะ"

            เรื่องไอดอลน่ะเรื่องใหญ่ คิดถึงเมื่อไรก็มีแรงฮึดขึ้นมาเสมอ

            "ว่าแต่แบร์ได้งานทำยัง"

            "ได้แล้ว"

            "งานอะไร"

            "โฟร์แมน"

            ผมพยักหน้ารับ ได้ยินจากแม่มาว่าน้องมันเรียนเทคโนโยลีการก่อสร้างอะไรทำนองนี้ แต่ผมคิดสภาพตอนน้องหมีไปอยู่ตามไซต์งานก่อสร้างไม่ออกเลย

            "ที่จริงแบร์ไม่ได้อยากได้งานนี้หรอก แต่แม่บอกให้ทำไปก่อน"

            "ไม่ชอบเหรอ"

            "แต่ก่อนก็ชอบอยู่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว"

            "ทำไมอ่ะ"

            "เพราะคงไม่มีเวลาไปตามวุ่นวายพี่อินไง" พูดแล้วก็ทำหน้าเครียด แล้วที่ว่าไม่มีเวลามาตามวุ่นวายผมนี่หมายความว่ายังไง

            "ไปอยู่ต่างจังหวัดเหรอ" ถ้าไปต่างจังหวัดก็ไม่เห็นต้องเครียด หรือว่ามันไกลมาก เหนือสุดใต้สุดอะไรแบบนั้น

            "เปล่า"

            "..."

            "โดนส่งไปอยู่สิงคโปร์หนึ่งปี"

            ผมพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่คิดว่าจากนี้คงจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ได้กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมแต่กลับต้องแยกจากกันอีก มันไม่ตลกเลย ถ้าจะมาบอกรักกันทั้งที่รู้ว่ายากที่จะได้เจอกันอีกแบบนี้ สู้อย่าพูดตั้งแต่แรกเลยดีกว่า

            "พี่อิน"

            "จะไปเมื่อไร"

            "เดือนหน้า"

            ตอนนี้อารมณ์ผมมันปั่นป่วนไปหมด แค่คิดว่าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีกความรู้สึกมันก็ดิ่งลงเหวไปแล้ว ถูกบอกรัก ถูกทำให้รู้สึก ถูกทำให้คิดให้วาดฝันถึงอนาคตว่าจะเป็นไปในทางไหนต่อไปได้ แล้วจู่ๆ กลับโดนดับฝันด้วยคนที่สร้างฝันนั้นขึ้นมาเสียเอง

            "แล้วบอกรักทำไม"

            "เพราะไม่รู้ไงว่าจะมีโอกาสได้บอกอีกมั้ย" น้องหมีหลับตาถอนหายใจ

            "ทำไมคิดแบบนั้น"

            "จบทริปนี้พี่อินก็คงจะหายเงียบเหมือนอย่างที่ทำมาตลอดหลายปีตั้งแต่เราห่างกัน ให้รออีกหนึ่งปีก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกหรือเปล่า อีกอย่าง พี่อินไม่ได้ตอบตกลงจะคบกับแบร์นะ ถ้ามีความหวังกว่านี้อีกสักนิดแบร์อาจจะยอมยกเลิกงานก็ได้ แต่นี่มัน...ไม่ใช่"

            เหมือนโดนตบหน้าอย่างจังจนพูดอะไรไม่ออก ก็ในเมื่อผมยังยืนยันว่าระหว่างเราเป็นได้แค่พี่น้องแล้วจะไปเรียกร้องอะไรได้ เวลาหนึ่งปีไม่ใช่น้อยๆ น้องมันอาจจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ได้มากกว่าผมก็ได้

            น้องหมีถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีอย่างมาก ทว่าประโยคหลังจากนั้นทำให้ความหวังเริ่มกลับคืนมา

            "แต่ไหนๆ ก็รอมาตั้งหลายปีแล้วนี่"

            "..."

            "รออีกสักปีจะเป็นไรไป"

            ผมได้แต่นั่งนิ่งเหมือนคนเป็นใบ้ มันดีใจจนเผลอถอนใจออกมาอย่างโล่งออก แล้วเพราะอะไรทำไมผมถึงดีใจ คำตอบนั้นมันเริ่มชัดเจนขึ้นมาอีกนิด

            เพราะไม่อยากให้น้องมันไป อยากให้อยู่ข้างๆ กันหลังจากนี้ อยากทำความรู้จักกันให้มากเพิ่มในความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่ใช่พี่น้อง

            "ซากุระปีหน้า แบร์จะรอพี่อินนะ" ทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้น้องหมีก็ไม่พูดอะไรอีก เป็นการเปิดโอกาสให้เก็บเอาไปคิด

            แล้วผมจำเป็นต้องรอไปอีกหนึ่งปีเลยงั้นเหรอ

 

TBC.

 


วันสุดท้ายแล้ววววววววว จบแล้วววววววว เย้ๆๆๆ ไม่ใช่ละ 5555555555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า เจอกันตอนหน้าจ้า ตอนสุดท้ายแล้ววววววว



หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-06-2017 19:25:14
พี่อิน ชัดเจน ก็บอกหมีไปเถอะ  :mew1: :mew1: :mew1:
หมี รอมาตั้งหลายปีแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 09-06-2017 21:17:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 11-06-2017 00:00:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ วันที่ 8 [09/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-06-2017 17:34:34
ไม่ถึงปีหรอกแบร์ พี่อินออกอาการขนาดนี้แล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ สิ้นสุดการเดินทาง [16/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-06-2017 20:02:59


สิ้นสุดการเดินทาง

 

            ปกติตอนนั่งเครื่องบินผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนเพื่อให้ช่วงเวลาที่ไม่ชอบผ่านไปเร็วๆ แต่ตลอดทั้งไฟท์นี้ผมกลับนอนไม่หลับ หลับไปไม่ถึงสิบนาทีก็ตื่น สมองมันหาเรื่องมาให้คิดตลอดเวลา มองคนที่นั่งข้างๆ แล้วในหัวก็ยิ่งว้าวุ่น ถึงขนาดเก็บเอาไปฝันในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ บอกเลยว่าเป็นเอามาก อาการหนักมากๆ

            ห้าทุ่มสิบนาทีพวกเราก็กลับมาถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ น้องสาวผมเป็นคนมารับ ส่วนน้องหมีนั่งรถแท็กซี่กลับเอง ถึงผมจะชวนกลับด้วยกันเแต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธหัวชนฝา พร้อมกับฝากคำทิ้งท้ายเอาไว้ที่ทำเอาผมไมเกรนขึ้น

            'ซากุระปีหน้าแบร์ไม่ไปกับพี่อินนะ แต่แบร์จะไปรอที่อิเอะยาม่า ถ้าคำตอบของเราตรงกัน เอาไว้กันเจอกันวันที่ซากุระบาน'

            พูดเป็นละครเลยนะ 'เจอกันวันที่ซากุระบาน'

            ถ้าวันนั้นผมได้คำตอบแล้วจะไปรู้เหรอว่าวันที่ไปถึงอิเอะยาม่าซากุระมันจะบานมั้ย แล้วถ้ามันร่วงไปแล้วล่ะจะทำยังไง ต้องลางานไปนอนค้างคืนเป็นอาทิตย์แบบนั้นเหรอ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด         

            "เที่ยวไม่สนุกหรือไงดูทำหน้าเข้า" น้องสาวตัวดีของผมร้องแซวตอนเราขึ้นมาถึงชั้นสามเพื่อเดินไปยังอาคารจอดรถ

            "เปล่า"

            "แล้วเป็นอะไร" ว่าแล้วก็หยุดเดินหันมาจ้องหน้า นี่ผมทำหน้าเครียดมากขนาดนั้นเลยเหรอ

            "มีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"

            "คิดอะไร วางแผนทริปต่อไปแล้วเหรอ"

            จะว่างั้นก็ได้มั้ง ทริปต่อไปคือซากุระปีหน้า มันน่าเครียดตรงที่ว่าจะไปยังไง จะลางานช่วงไหนกี่วันให้ตรงช่วงที่ซากุระบานนี่แหละ

            คิดแล้วก็เครียดอีก ในเมื่อคิดว่าปีหน้ายังไงก็จะไป แล้วผมจะปล่อยให้ตัวเองรอไปอีกหนึ่งปีแบบนี้เหรอ ทั้งที่คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว

            "แอลรอพี่ตรงนี้แป๊บนึงนะ"

            "จะไปไหนอ่ะ"

            "เดี๋ยวมา"

            "พี่อิน"

            ไม่รอให้โดนรั้งผมก็ก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดเลื่อนกลับลงไปชั้นสอง มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาคนที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปถึงไหนแล้ว

            "แบร์อยู่ไหน" สัญญาณดังอยู่นานกว่าปลายสายจะรับ ผมถามอย่างเร่งรีบ หวังว่าน้องมันคงยังไม่ไปไหนไกลนะ

            (ชั้นหนึ่ง)

            "ตรงไหนของชั้นหนึ่ง"

            (กำลังจะไปรอแท็กซี่)

            "รอตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวไปหา"

            สั่งเสร็จผมก็กดวางสายลงบันไดเลื่อนไปชั้นหนึ่ง วิ่งตามป้ายไปยังจุดรอรถแท็กซี่ แต่ลงบันไดเลื่อนเดินต่อมาได้ไม่เท่าไรก็เจอผู้ชายสูงเกินมาตรฐานชายไทยยืนทำหน้างงมองโทรศัพท์ในมืออยู่กลางทาง

            "ไม่ต้องรีบวิ่งมาขนาดนี้ก็ได้"

            น้องหมีบอกยิ้มๆ ตอนผมเดินไปหยุดหอบอยู่ตรงหน้า

            "หรือว่าลืมของ" ถามแล้วทำหน้าสงสัย มองกระเป๋าเดินทางของตัวเองประมาณว่าถ้าผมบอกว่าลืมแล้วมันอยู่ในกระเป๋าจะรีบค้นออกมาให้ทันที

            ผมลืมจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ลืมของ

            "ไม่ได้ลืมของแต่ลืมบอกอะไรบางอย่าง"

            ใจผมเริ่มเต้นแรง ในขณะที่น้องหมีทำหน้าบอกบุญไม่รับ

            ผมเพิ่งจะรู้ว่าการสารภาพความในใจมันรู้สึกไม่มั่นคงแบบนี้นี่เอง ขนาดรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่แล้วยังเกิดความกลัว แล้วคนที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงล่ะจะกลัวขนาดไหน ต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนถึงจะพูดออกไปได้

            "ปีหน้าคงไปตามที่แบร์บอกไม่ได้แล้วนะ"

            น้องหมีทำหน้าเศร้าพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าผมจะพูดอะไรกันแน่ คิดเองเออเองไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

            "เพราะปีหน้าเราจะไปด้วยกัน"

            "ไปด้วยกัน" คนฟังขมวดคิ้วใส่ หน้าเครียดชนิดที่ว่าถ้าพูดอะไรกลับกลอกไม่รู้เรื่องอาจจะโดนฉีกเนื้อกินก็เป็นได้

            เพราะการเล่นกับความรู้สึกคนมันไม่ใช่เรื่องสนุก

            "หมายความว่าไงพี่อิน พูดให้มันเคลียร์ๆ หน่อย แบร์เครียดนะ"

            "สุคิ แปลว่าอะไร"

            น้องหมีขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ต้องคิดว่าผมแกล้งอยู่แน่ๆ แต่ใครจะบ้าวิ่งร้อยเมตรจากชั้นสามมาชั้นหนึ่งเพื่อแกล้งหยอดมุกที่ชวนโดนโมโหกันล่ะ

            ผมชอบมุกนี้มากหรอก ถึงได้อยากเอามาเล่นบ้าง

            "ตอบมาเร็วๆ"

            "ชอบ"

            "อะนะตะก๊ะ สุคิเดส ล่ะ"

            "ฉันชอบเธอ"

            "สึคิอัตเตะ สุดะไซ" ผมยื่นมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าแล้วก้มหัวลง เป็นวิธีสารภาพรักเพื่อขอใครสักคนคบแบบคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้ว่าน้องหมีจะเข้าใจมันหรือเปล่า

            ยืนเคว้งคว้างท่ามกลางความเงียบอยู่นานจนผมรู้สึกใจไม่ดี แต่แล้วความอบอุ่นที่เข้ามากอบกุมมือไว้ก็ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มกับตาหยีๆ คู่นั้น กับคำตอบตกลงด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบกระท่อนกระแท่น

            "โยโรชิ..ขุ โอเนงาย...ชิมัส"

            ผมอดยิ้มไม่ได้จริงๆ กับประโยคที่แปลได้ว่า 'ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ' เป็นการตอบแบบสุภาพอ่อนน้อมสุดๆ ไม่รู้ว่าน้องหมีไปจำมาตอนไหน

            "ทำไมนาน"

            ตอนแรกเกือบคิดว่าจะโดนปฏิเสธเพราะน้องหมีเล่นไม่พูดอะไรเลย ถ้าไม่เข้าใจก็น่าจะถามสักหน่อยว่าคืออะไร แต่นี่มีแต่เงียบกับเงียบ เงียบจนคิดว่าน้องมันอาจจะเดินหนีผมไปแล้วก็ได้

            "เสิชกูเกิ้ลว่าเขาต้องทำกันยังไง" คำตอบของน้องหมีมักมาเหนือความคาดหมายเสมอ แต่มันกลับทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

            ไม่ถามเพราะอยากทำให้ถูกต้องด้วยตัวเอง ผมคิดว่าคงเป็นแบบนั้น

            "แล้วถ้าเสิชไม่เจอนี่ต้องรอจนเช้าเลยมั้ย"

            "ไม่ปล่อยให้พี่อินรอนานขนาดนั้นหรอก"

            น้องหมียิ้มตาหยีไม่ยอมปล่อยมือ และผมเองก็ไม่อยากให้น้องมันปล่อยเหมือนกัน จากนี้จะไม่ทิ้งห่างไปไหนอีกแล้ว แม้อยู่ไกลกันก็จะพยายาม จะคุยให้เยอะ จะติดต่อให้บ่อย จะไม่ทำให้เกิดช่องว่างเหมือนเก้าปีที่ผ่านมาอีก

            "กลับด้วยกันนะ"

            จะปล่อยให้รอแท็กซี่คงอีกนาน ตกลงปลงใจคบหากันแล้วนี่ ทิ้งให้น้องมันกลับบ้านเองคนเดียวก็ยังไงอยู่ ความจริงบ้านเราก็ไม่ได้อยู่ห่างกันมากเท่าไร แค่สี่สิบกิโลเอง เดี๋ยวให้น้องสาวผมขับไปส่ง

            "ต้องอ้อมไปส่งไกลเลยนะ"

            "ก็ไม่เห็นเป็นไร"

            "หรือว่าจะค้างด้วยเลยดี" แกล้งทำเป็นทำหน้าครุ่นคิด แต่ผมเห็นด้วยนะ เป็นความคิดที่ดีกว่าขับรถอ้อมกรุงเทพฯไปส่งอีก

            ผมไหวไหล่ไม่ตอบ แต่คิดว่าน้องหมีคงรู้คำตอบอยู่แล้ว

            แปดวันกับอีกเจ็ดคืน ช่วงเวลาที่ทำให้ผมได้คนสำคัญในวัยเด็กกลับคืนมา

            สัญญาเลยว่าจากนี้จะดูแลอย่างดี

 

END

 

จบแล้วววววว เย้!!!!! จบเลยกำหนดแบบมาไกลมาก ฮา

ความจริงตั้งใจว่าจะเขียนให้เสร็จช่วงซากุระบานตั้งแต่เดือนเมษา

แต่นี่ลากยาวมาจนกลางมิถุนาเลย ซากุระร่วงจนจะบานใหม่ได้อีกรอบ

ขอบคุณทุกคนที่ไปเที่ยวด้วยกันนะคะ หวังว่าจะชอบทริปซากุระบานของเราน้า

สำหรับตอนพิเศษจะตามมาเร็วๆ นี้ค่า



หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ สิ้นสุดการเดินทาง [16/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-06-2017 20:34:39
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ สิ้นสุดการเดินทาง [16/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-06-2017 22:23:29
ทำไมตอนจบสั้นจังคะะะะ  :ling1: รอตอนพิเศษค่าา ชอบน้องหมีมากกว่าเดิมอีก
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ สิ้นสุดการเดินทาง [16/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-06-2017 23:16:03
อู้ย.............จบใน 8 วัน 7 คืน จริงๆ ❀ สิ้นสุดการเดินทาง
หมีแบร์ พี่อิน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอตอนพิเศษ มุ้งมิ้ง หวานๆ เร่าร้อน ก็เยี่ยมเลย นะ
ขอบคุณไรท์ ให้ความสุขคนอ่าน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ สิ้นสุดการเดินทาง [16/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 17-06-2017 10:24:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 23-06-2017 20:24:23



คืนพิเศษ

 

            บ้านผมอยู่แถวชานเมืองไม่ไกลจากสนามบินนัก ใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย ไฟหน้าบ้านกับห้องนั่งเล่นยังเปิดไว้แต่พ่อแม่เข้านอนแล้วเรียบร้อย ขนกระเป๋าสัมภาระของฝากเข้ามาหมดแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันเข้านอน

            เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนที่ไม่มีใครอยู่หลายวันก็เจอกลิ่นอับเข้าเล่นงาน เพราะห้องผมอยู่ฝั่งหน้าบ้านทางทิศตะวันตกแดดส่องไม่ค่อยถึงแถมยังมีบ้านฝั่งตรงข้ามด้วยบังแดดให้อีก โชคดีที่มันไม่ได้รุนแรงมาก ไม่งั้นคงอายแขกที่พามาแย่

            "อับหน่อยนะ"

            "มันให้ความรู้สึกเหมือนพี่อินดี"

            "ยังไง พูดให้มันดีๆ" ห้องอับผมว่ามันไม่น่าใช่เรื่องดีนะ

            "อับๆ ชื้นๆ มืดครึ้มเหมือนป่าลึก คงประมาณนั้น"

            "จะบอกว่าเข้าใจยาก"

            "ไม่หรอก เพราะแบร์เข้าใจ" ว่าแล้วยิ้มตาหยีก่อนน้องหมีจะเดินเข้ามาสำรวจข้างใน

            ห้องนอนผมค่อนข้างบ่งบอกตัวตนของตัวเองได้ดีเลยล่ะ ตู้ฟิกเกอร์ ตู้เก็บแผ่นดีวีดี โปสเตอร์ไอดอลที่แปะตามผนัง แค่เปิดประตูเข้ามาก็เหมือนหลุดไปอีกมิติหนึ่ง มิติที่เรียกว่า 'โลกแห่งไอดอล'

            ผมนั่งลงบนเตียง มองน้องหมีไล่เดินดูของในห้อง กลายเป็นคนแรกที่ได้เข้ามาในห้องนอนผมนอกจากครอบครัวกับเพื่อนสมัยเรียนมหา'ลัย

            "จะอาบน้ำก่อนมั้ย"

            "อาบดิ เน่ามาก"

            เพราะตอนเช้าก็ไม่ได้อาบน้ำ ลองนับเวลาดูที่อาบน้ำครั้งล่าสุดก็เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ อาบน้ำให้สบายตัวแล้วหลับยาวๆ ตื่นสายๆ เป็นทางเลือกที่ดีกว่า

            "ห้องน้ำอยู่ขวามือนะ"

            "อาบด้วยกันมั้ย"

            ผมเหล่ตามอง ภายใต้รอยยิ้มกับดวงตาสุกใสนั่นน้องมันต้องมีความคิดชั่วร้ายอยู่แน่ๆ เพิ่งจะตกลงเป็นแฟนกันยังไม่ถึงชั่วโมงผมไม่มีทางยอมอยู่แล้ว

            "ไม่อาบ"

            "ตอนเด็กยังเลยอาบด้วยกันเลย"

            "ไม่เคยเหอะ" ถึงความทรงจำของผมจะไม่ดีเท่าน้องหมีแต่เรื่องนี้ผมไม่มีทางตกหลุมพรางแน่ เราไม่เคยอาบน้ำด้วยกัน ไม่ว่าจะอนุบาล ประถมหรือ ม.ต้น

            "พี่อินไม่เล่นด้วยเลย" บ่นอุบอิบอยู่คนเดียวก่อนน้องหมีจะหยิบผ้าเช็ดตัวของผมที่ให้ยืมใช้ชั่วคราวออกไปจากห้อง

            ผมใช้เวลาช่วงนี้เพื่อจัดที่นอน โชคไม่ดีที่เตียงผมกว้างแค่สามฟุตครึ่ง เพราะนอนคนเดียวและอยากให้พื้นที่ในห้องมันดูกว้างไม่ใช่วางเตียงใหญ่แล้วเหลือทางไว้เดินแค่นิดเดียว ที่นอนปิคนิคที่ไม่ได้ใช้งานมาหลายปีวางฝุ่นเขรอะอยู่บนหลังตู้จึงมีประโยชน์ก็ตอนนี้ เอาไว้ให้น้องมันเลือกว่าอยากนอนตรงไหน ส่วนผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว

 

            "นอนด้วยกันดิ"

            "ไม่เอา อึดอัด"

            "นอนด้วยกันเถอะนะ"

            "ไม่เอา"

            "นะๆๆ"

            หลังจากอาบน้ำเสร็จพอผมให้เลือกว่าจะนอนตรงไหนน้องหมีก็งอแงไม่ยอมเลือก ดึงดันจะให้นอนด้วยกันท่าเดียว ซึ่งไอ้เตียงสามฟุตครึ่งของผมเนี่ย แค่น้องหมีนอนคนเดียวก็เต็มเตียงแล้ว

            "ไปอาบน้ำแล้ว" ผมทำไม่รู้ไม่ชี้ขนผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนออกมาจากห้องเพราะขี้เกียจเถียงด้วย

            เอาเป็นว่ากลับมาถ้าน้องหมีนอนตรงไหน ผมจะไปนอนอีกที่ก็แล้วกัน แต่ถ้าน้องมันไม่ยอมนอนก็...ไม่รู้แล้ว

            เนื่องจากหมักหมมซักแห้งมาได้วันกว่าๆ ผมเลยอาบน้ำนานเป็นพิเศษ ขัดสีฉวีวรรณให้เต็มที่เพราะพรุ่งนี้หยุดอยู่บ้านก็กะจะซักแห้งอีกวัน

            อาบน้ำเสร็จกลับเข้ามาในห้องอีกทีน้องหมีก็หลับไปแล้ว จับจองที่นอนปิคนิคบนพื้นดึงผ้าห่มมากอดไว้แทนหมอนข้าง เห็นนอนเปิดพุงเสื้อถกขึ้นมาถึงหน้าอกก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าหมีขั้วโลกอย่างน้องมันชอบอากาศหนาวๆ ผมเลยเดินไปแอร์ให้ เอายี่สิบห้าองศาพอประหยัดไฟ

            จัดการปรับอุณหภูมิให้น้องหมีแล้วผมก็มานั่งเช็ดผมปลายเตียง เช็ดไปเล่นมือถือไปจนอากาศในห้องเริ่มเย็นลง เห็นน้องหมีขยับตัวยุกยิกเปลี่ยนมานอนหงายแต่ยังทับผ้าห่มเอาไว้ ในขณะที่ผมเริ่มจะหนาว

            ผมเดินมานั่งยองๆ ข้างน้องหมีหลังจากเช็ดผมจนแห้ง เวลาล่วงเลยมาตีสองแล้วถือเป็นวันที่ผมนอนดึกที่สุด ดึกกว่าตอนไปเที่ยวเสียอีก

            "จะหนาวมั้ยเนี่ย"

            เพราะผมหนาวแน่ๆ เลยไม่รู้ว่าถ้าอากาศเย็นลงกว่านี้น้องหมีจะหนาวมั้ยในเมื่อเล่นนอนทับผ้าห่มเอาไว้แบบนี้ จะดึงออกมาแล้วห่มให้ดีๆ ก็กลัวน้องมันตื่น แต่คนหนังหนาอย่างน้องมันถ้าหนาวคงดึงผ้าห่มมาห่มเองล่ะมั้ง

            "ฝันดี" กระซิบบอกเบาๆ ก่อนผมจะกระโดดขึ้นที่นอน ปิดไฟบนหัวเตียงแล้วจะได้นอนสักที

            หัวถึงหมอนปุ๊บตาผมก็ปิดทันที กริ่มๆ กำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงคนที่นอนอยู่บนพื้นพลิกตัวไปมาจนต้องลุกขึ้นไปชะเง้อดู

            ภาพที่เห็นคือน้องหมีนอนตะแคงกอดตัวเองในขณะที่ผ้าห่มยังโดนทับไว้อยู่

            หมีขั้วโลกก็หนาวเป็นเหมือนกันสินะ

            ผมมองอย่างช่างใจสักพักก่อนจะหอบหมอนกับผ้าห่มลงจากเตียง เห็นว่าน้องหมีกำลังหลับ อาจจะหลับไม่ค่อยสบายเท่าไรเพราะหนาวแต่ก็ไม่อยากปลุกให้ลุกมาห่มผ้าดีๆ เอาเป็นว่าคืนนี้จะแบ่งผ้าห่มให้ก็แล้วกัน

            โชคดีที่ผ้าห่มมันผืนใหญ่ ผู้ชายสองคนห่มด้วยกันยังเหลือที่ให้ดิ้นได้สบาย ผมนอนตะแคงข้างหนึ่งน้องหมีนอนตะแคงข้างหนึ่งโดยที่แผ่นหลังของเราชนกัน

            ผมหลับตาลงกำลังจะเคลิ้มหลับเป็นรอบที่สองคนข้างๆ ก็ขยับยุกยิกก่อนท่อนแขนหนักๆ จะพาดทับลงมาที่เอว

            มาอีหรอบนี้ แกล้งหลับชัวร์ๆ

            "แกล้งหลับเหรอ"

            ไร้เสียงตอบรับกลับมา แต่เป็นท่อนแขนที่เริ่มขยับแล้วดึงจนตัวผมเลื่อนไปชิดแผ่นอก เสียงครางงึมงัมเหมือนคนหลับดังอยู่ใกล้หู กับหัวทุยๆ ที่กำลังซุกไซ้คล้ายออดอ้อนที่หลังคอผม

            "แบร์"

            "อืมมม"

            "ไม่ต้องมาแกล้งหลับ"

            "ไม่ได้แกล้งหลับแต่เพิ่งตื่นเพราะโดนกวน"

            "เหรอ" บอกเลยว่าผมไม่เชื่อ แค่เอาผ้าห่มมาห่มให้มันไม่ทำให้ตื่นได้หรอก

            "คืนนี้ขอนอนกอดนะ"

            "ก็กอดไปแล้ว"

            อ้อมแขนที่กอดผมอยู่กระชับแน่นขึ้น แถมน้องหมียังยกขาขึ้นมาก่ายจนรู้สึกหนัก คางเกยกับหัวผม ปากยิ้มอยู่หรือเปล่าไม่รู้แต่คิดว่าคงกำลังยิ้มตาหยีอยู่แน่ๆ ได้หมอนข้างใบใหม่เป็นคนนี่นะ คงจะชอบใจล่ะสิท่า

            "ขึ้นไปนอนบนเตียงมั้ย" ในเมื่อโดนกอดก่ายจนจมอกแบบนี้สู้ขึ้นไปนอนบนเตียงเลยดีกว่า อาจจะเบียดไปหน่อยแต่มันก็ดีกว่าที่ปิคนิคบางๆ

            น้องหมีไม่ได้ตอบรับคำผมแต่ยอมผละออกแล้วลุกขึ้นนั่ง กวาดหมอนกับผ้าห่มโยนขึ้นไปก่อน ผมยันตัวลุกขึ้นตามกำลังจะปืนขึ้นเตียงแต่อยู่ดีๆ น้องมันก็มาคว้าเอวไว้ ยังไม่ทันได้ถามอะไรตัวผมก็ถูกช้อนขึ้นอุ้มในท่าเจ้าหญิง จนตะครุบปิดปากห้ามเสียงร้องตกใจของตัวเองแทบไม่ทัน

            เล่นอะไรของน้องมันเนี่ย

            นับเวลาได้ไม่ถึงห้าวินาทีน้องหมีก็วางผมลงบนเตียงก่อนน้องมันจะล้มตัวนอนลงข้างๆ ดึงผ้าห่มมาห่มให้ วาดแขนและขามากอด แล้วก็ยิ้มตาหยี ถึงมันจะมืดก็เถอะแต่ก็พอมองเห็นว่าน้องมันยิ้มจริงๆ

            "นอนบนเตียงด้วยกันตั้งแต่แรกก็จบ"

            โอเค ผมจะไม่เถียงไม่ห้ามแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ ตีสองกว่าแล้ว ง่วง ไม่มีแรงจะค้าน

            "นอนแล้วนะ"

            "อย่างเพิ่งดิ"

            "อะไรอีก"

            "มีอะไรจะบอก"

            ผมนอนหลับตารอฟัง คิดว่าน้องมันคงเล่นมุกเสี่ยวๆ ก่อนนอน แต่กลับไม่ใช่

            "เรื่องที่ไปทำงานสิงคโปร์น่ะ"

            "..."

            "แบร์ไม่ไปแล้วนะ"

            "หมายความว่าไง"

            น้องหมีขยับซุกตัวเข้ามาใกล้ ทำตัวเหมือนแมวเวลาอ้อน ผมเองจากง่วงๆ ก็เหมือนจะตื่นเต็มตา ตอนกลางวันเพิ่งบอกว่าต้องไปเดือนหน้า แล้วตอนนี้กลับมาบอกว่าไม่ไปแล้ว ถ้าไม่มีคำอธิบายดีๆ ล่ะก็มีปัญหาแน่

            "แบร์ยังไม่ได้ตอบตกลงจะไป แต่คิดว่าไว้ถ้าอกหักก็จะไปเลยบอกพี่อินไปแบบนั้น ตอนนี้ไม่ไปแล้วครับ จะอยู่ที่นี่ด้วยกันนี่แหละ" พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนไม่พอยังทำท่าออดอ้อนไม่เลิก

            ฟังประโยคแรกก็ว่าจะโกรธอยู่หรอก แต่คิดดูอีกทีเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องอยู่ไกล อยากเจอเมื่อไรก็ได้ มาหากันได้บ่อยๆ กลับกัน ถ้าน้องมันยังยืนยันจะไปทั้งที่ได้คบกันแล้วแบบนี้สิถึงน่าโมโห

            "ไม่โกรธใช่มั้ย"

            "ทำไมต้องโกรธ"

            "ที่บอกว่าจะไป"

            "ก็ตอนนี้ไม่ไปแล้วหนิ"

            น้องหมีถอนหายใจออกมา คงโล่งอกที่ผมไม่ว่าอะไร น้องมันก็คงจะเครียดมากเหมือนกัน เครียดกับการวางกับดักที่ทำให้ผมเดินมาติดกับได้สำเร็จ และต้องเครียดอีกว่าจะทำให้เหยื่อที่มาติดกับนั้นยอมเชื่อใจตนได้ยังไง น้องมันต้องขอบคุณผมนะที่เป็นเหยื่อยที่ใจกว้างมาก

            "นอนได้แล้ว" หมดปัญหาคาใจก็ได้เวลานอนสักที

            "ฝันดีครับ" ทำมาเป็นกระซิบข้างหูแล้วขโมยหอมขมับอีกหนึ่งที ผมเลยหันตะแคงข้างกอดน้องมันคืน แบบนี้คงพอใจแล้วใช่ไหม

            ความเงียบสงัดสมกับเป็นเวลากลางคืนกลับมาอีกครั้งหลังจากวุ่นวายกับที่นอนอยู่และเคลียร์ปัญหาคาใจอยู่หลายนาที จังหวะการหายใจคงที่สม่ำเสมอบอกให้ผมรู้ว่าน้องหมีคงหลับสนิทไปแล้ว และมันก็มาพร้อมคำตอบอีกอย่าง

            คำตอบที่ว่า เตียงสามฟุตครึ่งมันก็ไม่ได้เล็กเกินไปหรอกสำหรับผู้ชายสองคน ผมคิดว่างั้น

 

 

END

 

 

จบจริงๆ แล้ววววววว ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านรีวิวเที่ยวญี่ปุ่นของเรา ไม่ใช่ละ ฮ่าๆๆๆๆ

หวังว่าทุกคนจะชอบทริปของพี่อินกับน้องหมีน้า

แล้วเจอกันเรื่องหน้า (ที่จะมาเมื่อไรก็ไม่รู้) TT

 

 
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: yowyow ที่ 23-06-2017 23:48:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-06-2017 01:41:24
อบอุ่นหัวใจตั้งแต่วันแรกยันคืนที่กลับ อ่านแล้วเราอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นจริงๆค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 24-06-2017 02:32:50
น่ารักกกก พี่อินใจเย็นดีจังเลยค่ะ ส่วนน้องแบร์มีความเจ้าเล่ห์นะเนี่ย 5555

ปล.ตอนอ่านเรื่องนี้อ่านไปเสิร์ชรูปไปตลอดเลยค่ะ สวยๆทั้งนั้นเลย ไปดูคลิปสวนสนุกมาด้วย น่าหวาดเสียวมากเลยค่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-06-2017 10:44:04
 :L2: :กอด1:
น่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-06-2017 17:14:19
หมีแบร์ พี่อิน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
รอตอนพิเศษ มุ้งมิ้งๆ รักหวานฉ่ำนะไรท์  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: mintra1982 ที่ 04-07-2017 15:37:50
 :-[น่ารักทั้งคู่เลย เบาๆกำลังดี ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-07-2017 17:45:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 11-07-2017 20:48:33
น้องหมีน่ารักมากกก แต่เราชอบคนแบบพี่อินมากกว่าา
ชอบมากค่ะ ชอบความนึกจะทำอะไรก็ทำ แล้วก็ไม่ปิดกั้นโอกาส
เห็นพี่อินแล้วก็นึกถึงตัวเอง ความโอตาคุอ่อนๆ แต่เราเป็นโอตาคุการ์ตูน
5555555 กำลังจะมีแพลนไปญี่ปุ่น คงได้สถานที่เที่ยวน่าสนใจเพิ่มเยอะเลย

หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 17-07-2017 18:05:07
ขอบคุณมากค่ะ สนุกละมุนหัวใจ แต่ขอเพิ่มได้ไหมคะ อยากอ่านตอนพิเศษพาร์ทแบร์บ้างอ่ะแบบ ความรู้ที่มีให้พี่อินตั้งแต่เด็ก พี่อินย้ายบ้าน แล้วเหมือนบ้านแบร์มีปมอะไรหรือเปล่าเฉลยหน่อย(คือรู้สึกว่าที่บ้านแบร์มีปัญหาครอบครัว?) แล้วที่แบร์ติดแฟนเนี๊ยค่ะ คือยังไงคะ ตัดใจได้เร็วไม่เฮิร์ทนานเพราะรักอินอยู่แล้วเลยรู้สึกเจ็บไม่มากเวลาเลิก? ยังไงก็ขออีกหน่อยนะคะ พาร์ทแบร์ค่าาาา  :mew2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 17-07-2017 18:52:29
เป็นนิยายหรือรีวิวทริป 55555
เนื้อหา รายละเอียดเนื้อความเหมือนรีวิวทริปนิดหน่อย
แต่ก็สนุก ตามท้องเรื่องนิยาย
มีกลิ่นอายของความวายเต็มเปี่ยม
เป็นเรื่องใสๆ เรื่อยๆ น่ารักๆ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 27-07-2017 21:17:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-11-2017 23:19:29
:pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 18-11-2017 18:50:08
อ่านแล้วอยากไปเที่ยวบ้างเลยยยย พี่อินน่ารัก อยากไปทุกร้านที่ไปเลย
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 18-11-2017 19:03:22
ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 23-11-2017 02:29:00
อ่านแล้วอยากไปญี่ปุ่นบ้างเลย  ชอบมากบรรยากาศมันดูอบอุ่น หวานๆ สุคิ :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 25-05-2018 16:14:27
เป็นทริปที่สนุกมากเลย แถมยังหวานมากด้วย
ละมุนละไมอบอุ่นใจดีค่ะ ขอบคุณนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: order66 ที่ 28-05-2018 10:34:04
ชอบการดำเนินเรื่องแบบนี้ดีคล้ายหนัง เปิดเรื่องมาแบบไม่รู้อะไร แต่ค่อยๆผูกพันกับตัวละครไปเรื่อยๆ มีย้อนเหตุการณ์ของทั้งคู่
เนื้อเรื่องก็ดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงวันใกล้กลับ คิดว่าจะจบแล้วหรอ เรายังซึบซับความรู้สักของ 2 ตัวละครไม่พอเลย 555
มันดึงดูด ยังอยากเสพไปเรื่อยๆ แต่ก็นั้นละครับ ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่มีวันเลิกลา ไม่มีทริปที่เที่ยวไปตลอด วันหนึ่งยังไงเราก็ต้องกลับบ้าน ไปใช้ชีวิตตามปกติ มันทั้งสุขและหน่วงไปพร้อมกัน

ขอบคุณผู้แต่งครับ

ปล. ขออนุญาตเสริมและวิจารณ์ครับ
จุดพีคข้อเรื่องยังอ่อนไปหน่อยครับ เรื่องแนวนี้การดำเนินเรื่องที่ไปเรื่อยๆค่อยซึบซับ แล้วถึงจุดพีคของเรื่องถ้าตบให้ถูกที่ เอาให้หนักแค่บทเดียว,ตอนเดียว,เหตุกาณ์เดียว อาจทำคนอ่านให้ตายได้เลยครับ 555
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 28-08-2018 21:58:20
เป็นคู่ที่น่ารักค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 29-11-2018 08:53:45
 :L2:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: LUX-SAMA ที่ 09-12-2018 17:25:07
โหย ละมุนมาก thx สำหรับนิยายดีๆครับ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 12-12-2018 21:43:19
ชอบมากเลยค่ะ บรรยายสนุก สื่อความผูกผันของพี่อินกับน้องหมีได้ดี อ่านเพลินเลย
ตอนที่ไปสวนสนุกฟูจิคิวไฮแลนด์ถึงกับ Search หาเครื่องเล่นเลยทีเดียว เข้าใจความรู้สึกแบร์ตอนรอขึ้นรถไฟเหาะ เพราะเราก็เป็น คือ อยากไปห้องน้ำ ฮาๆๆๆ

ตอนที่เล่นเกมระลึกความทรงจำตอนเด็ก ก็น่ารักดีค่ะ ถ้าตาม Plot นิยาย อินต้องเป็นฝ่ายแพ้และใส่ชุดนางพยาบาล แต่นี่กลับเป็นแบร์ พอน้องหมีใส่ มันเลยกลายเป็นขำๆ และตอนที่แบร์โน้มตัวลงมา แล้วอินหลับตา คือ ไม่ใช่ฉากจูบ แต่กลับขยี้หัวจนยุ่งแทน เราว่ามันธรรมชาติดีค่ะ

ดีที่ทั้งคู่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ก็เลยไม่เสียเวลากันไปมาก ซึ่งมันก็เป็นไปได้ สำหรับคนที่(เคย)สนิทกันมากๆ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 10-08-2019 19:21:47
น่ารักมากๆเลยค่ะ เสียใจมาอ่านหลังผ่านทริปญี่ปุ่นไปแล้วว อ่านละอยากไปเล่นFuji q เลย  ขนาดเราเล่นของที่Disneyคือเสียวมากๆละ ที่ฟูจิคงตายไปเลยแน่  :hao6:  คราวหน้าจะไปตามรอยให้ได้เลยส  :bye2:
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Kaamnutt ที่ 11-08-2019 01:51:20
จะพลาดได้ไง น่ารักอบอุ่นแบบนี้  อ่านแล้วอยากไปญี่ปุ่นเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: akichan ที่ 12-08-2019 03:13:54
อยากอ่านต่อออออออออ สนุกอ่ะ! ^^
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 06-11-2019 13:45:44
ดีอ่าาาา


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ❀ 8 วัน 7 คืน ❀ ตอนพิเศษ - คืนพิเศษ [23/06/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 07-11-2019 11:31:41
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: