...วาระซ่อนเร้น...ตอนพิเศษ บนสุดของห่วงโซ่อาหาร (31/07/2020) หน้า 53
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ...วาระซ่อนเร้น...ตอนพิเศษ บนสุดของห่วงโซ่อาหาร (31/07/2020) หน้า 53  (อ่าน 697092 ครั้ง)

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
เอาแล้วเหวยยย เดินหน้าแล้วเหวยยย

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
คืบหน้ามาก ดีขึ้นมาก อย่างน้อยโซ่ก็ยังรู้สึกแปลก รู้สึกดีที่มีโจ๊ก

โจ๊กช่างกล้า ถูกแล้ว ต้องลุยค่ะ ไม่งั้นคนซื่อก็คิดไม่ทันสักที
โจ๊กพูดแล้วหนี ก็ดีนะ ให้เวลาโซ่ตั้งตัวสักนิด 55555

ออฟไลน์ bpyt

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โจ๊กรุกแล้วต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่งั้นโซ่มันจะคิดว่าพูดเล่นแกล้งกันอีก จะพาลอดนะ 555

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ในที่สุด !! โจ๊กของเราก็รวบรวมความกล้าได้!!

ออฟไลน์ Carrot_t

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 o13 o13 o13
โจ๊กแม่งคนจริงว่ะๆ

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8
NOV: วาระซ่อนเร้น
By: Dezair
………………..
ตอนที่ 8

ทะเลหมอก ณ ภูทอก สวยสะพรึงแค่ไหนบรรยายไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เพราะสิตางศุ์ไม่มีสติรับรู้อะไรอีกแล้ว


เรื่องเกิดตั้งแต่เมื่อคืน จนเช้านี้ ก็ยังไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเจียระไน สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ในเมื่อมากันแค่สี่คน ไม่มองหน้ากันจะมองหน้าใคร แถมพวกเขายังมีสถานะเป็นเพื่อนร่วมคณะกันอีกต่างหาก ทั้งพี่และน้องของเขาก็เลยโยนให้เขาและเจียระไนดูแลกันและกันไปในตัว


ลงจากภูทอก หลังจากถ่ายรูปแบบไม่มีสติไปไม่รู้กี่รูป พวกเขาทั้งสี่คนก็กลับมาทานอาหารเช้าที่ที่พักซึ่งมีบริการโจ๊ก ไข่กระทะ ขนมปังปิ้งและเครื่องดื่มร้อนเย็น


   และเป็นอีกครั้งที่อาติยะและทัศน์ไปเตร่ที่ไลน์อาหาร ทิ้งสิตางศุ์กับเจียระไนเฝ้าโต๊ะ


   ความเงียบมาเยือนโดยไม่ต้องเชิญ หนำซ้ำร่างโปร่งยังมองไปทางอื่นด้วย


   “โซ่...” เสียงทุ้มของคนที่นั่งร่วมโต๊ะดังขึ้น แต่คนถูกเรียกไม่ยอมหันมอง เลยได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากร่างสูง


   “นั่งเกร็งขนาดนี้ไม่เมื่อยรึไง นั่งดีๆ” แล้วมือใหญ่ก็ดันหลังคนที่นั่งข้างๆให้พิงไปกับพนักเก้าอี้ สิตางศุ์สะดุ้งโหยงหันมามองคนแกล้งเขาแรงๆ


   “เป็นอะไร ทำหน้าอย่างงั้น? กูไม่ได้จะฆ่ามึง กูแค่จะจีบมึง”


คำพูดตรงๆ ทำเอาคนฟังถึงกับตาเหลือกโตอีกหน เจียระไนถอนหายใจยาว


   “มึงช่วยทำตัวเป็นปกติได้มั้ย คือกูจะจีบมึงที่เป็นคน ไม่ได้จะจีบมึงที่เป็นหุ่นยนต์ นั่งตัวแข็ง เดินตัวแข็ง กูหลอน!”


   “ก...ก็...ก็อยู่ดีๆมึงจะจีบกูทำไมล่ะ...”


   “ไม่ได้อยู่ดีๆก็จีบ โซ่ กูจีบมึงมาพักนึงแล้ว แต่มึงไม่รู้”


   “ไม่จริง” คนถูกจีบแต่ไม่รู้ตัวรีบปฏิเสธ เล่นเอาคนตามจีบแบบอีกฝ่ายไม่รู้ถึงกับกรอกตา


   ...เอ้า! ไอ้หอก!! กูเป็นคนจีบก็สารภาพแล้วว่าจีบ เสือกมาตราหน้าว่ากูไม่ได้จีบจริงอีก!!...


   “ดูปากกูนะ กูจีบมึงมาพักนึงแล้ว”


   “กูไม่เห็นรู้”


   “ก็ใช่ไง เพราะมึงไม่รู้สักทีกูเลยต้องพูดตรงๆ แต่ถ้าการที่กูพูดตรงๆแล้วทำให้มึงเป็นแบบนี้ มึงก็คิดซะว่าไม่รู้ก็แล้วกัน”


   “อ้าว…” สิตางศุ์ถึงกับร้องด้วยความงุนงง เพราะอยู่ดีๆเจียระไนก็มาบอกเขาให้รู้ แล้วต่อมาก็บอกให้เขาคิดซะว่าไม่รู้


   “อ้าวอะไรของมึง กูให้มึงเลือกไง มึงจะรู้หรือจะทำเป็นไม่รู้ก็ได้ ตามใจมึงเลย แต่กูจะจีบมึงเนี่ยแหละ” เจียระไนคนเอาแต่ใจ เรื่องทำอะไรตามใจตัวเองเป็นเรื่องถนัดที่สุดอยู่แล้ว


   ร่างโปร่งได้แต่เม้มปากแน่น รู้สึกเหมือนความร้อนผ่าววิ่งพล่านไปทั้งตัว ความรู้สึกในใจตอนนี้ตีกันยุ่งเหยิงไปหมด และที่ยุ่งที่สุดคือไม่รู้ว่าความรู้สึกที่กำลังตีกันนั้นคืออะไร


   “ท...ทำไมถึงจะ...จะจีบกูล่ะ...” คำถามเบาหวิวของคนไม่สันทัดเรื่องรักๆใคร่ๆดังขึ้น เจียระไนแทบจะกรอกตามองแปดทิศ เพราะคนที่ขึ้นชื่อว่าเรียนเก่งระดับหัวแถวคณะ ดันถามคำถามไม่ประสีประสาชนิดที่น่าเขกหัวมันสักร้อยที


   ...ไอ้ฉิบหาย! กูจีบมึงเพราะเกลียดมั้ง?!!...


   “ไปตักอาหารได้ล่ะ” อาติยะและทัศน์เดินกลับมาที่โต๊ะก่อนที่คำถามของสิตางศุ์จะถูกตอบ ร่างสูงใหญ่ของเจียระไนลุกขึ้น แต่ร่างโปร่งบางที่ยังหน้าหูแดงกลับนั่งนิ่งไปขยับ


   “โซ่ ไปตักข้าว” เจียระไนย้ำ ทำเอาดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเข้มเหลือบขึ้นมองเหมือนจะไม่ยอมลุก ร่างสูงเลยต้องย้ำอีกครั้ง


   “ไป-ตัก-ข้าว” เสียงทุ้มเข้ม ตามด้วยมือใหญ่ที่ดึงแขนขาวเบาๆ สุดท้ายคนที่ยังเขินจนไม่อยากจะลุกไปด้วยกันก็จำต้องลุกตามไป


   อาติยะเหลือบตาขึ้นจากชามข้าวต้ม แล้วมองตามแผ่นหลังของญาติผู้น้องและเพื่อน


   “กูว่าไอ้โซ่มันแปลกๆนะ” เขาเปรยกับทัศน์ แต่รายนั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าจากไข่กระทะของตนเองจนคนพูดต้องหันมามอง


   “ไอ้ทัศน์ มึงอย่าเพิ่งห่วงเรื่องแดกได้มั้ย” คราวนี้ทัศน์ยอมเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเหลือบตามองไปที่ไลน์อาหาร สิตางศุ์และเจียระไนตัวติดกันเช่นเคย


   ...ไม่สิ...ที่ติดน่ะ ‘พี่โจ๊ก’ ต่างหาก...


   “ไม่ต้องห่วงสองคนนั้นหรอกหน่า”


   “ไม่ห่วงได้ไง กูว่าไอ้โจ๊กมันแปลกๆตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” 


ไม่ใช่อาติยะไม่รู้สึก เขาจับพิรุธของเพื่อนน้องชายรายนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่สิตางศุ์หายไปจากกลุ่ม แล้วมันตาลีตาเหลือกตามหาแทบพลิกแผ่นดินเชียงคาน ยิ่งพอมันพาสิตางศุ์กลับมาได้แล้วไม่ยอมปล่อยมืออีกเลย นั่นก็ยิ่งทำให้เขาฉุกใจ


   ...แต่...ก็ต้องทำเป็นไม่ฉุกใจไปก่อน เพราะกลัวว่าไก่จะตื่นซะหมด...


   “โธ่ พี่อาร์ต ถ้าจะว่าแปลกก็แปลกตั้งแต่ญาติเรานี่ล่ะ ผมถามมาแล้ว พี่โจ๊กไม่ได้อยู่ภาคฯเดียวกับพี่โซ่ แล้วก็เพิ่งมาสนิทกัน คิดดูสิ พี่โซ่เคยพาคนที่เพิ่งสนิทมาเที่ยวกับพวกเราเหรอ ขนาดพี่แพทกับพี่กต ยังตั้งสามปีเลย กว่าเราจะได้รู้จักสองคนนั่น”


   “นี่มึงหมายความว่า...” อาติยะพึมพำเสียงเบาแบบไม่จบประโยคด้วยซ้ำเพราะรู้สึกใจหายโหวงเหวงไปหมด แต่ทัศน์ไม่ได้สนใจความใจหายของญาติที่เกี่ยวดองกันห่างๆแต่อย่างใด เพราะยังพูดเสียงเรียบเรื่อยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตนัก


   “ยิ่งถ้าพี่เห็นตอนสองคนนั่นนั่งด้วยกันที่ดอนเมือง พี่จะพูดได้คำเดียวเหมือนผม”


   “พูดไรวะ” คนพี่ถาม ทัศน์หันมามองด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะเหลือบตากลับไปมองชายหนุ่มสองคนที่ยังยืนตักอาหารอยู่ด้วยกัน 


อาหารมีไม่กี่อย่าง แต่ไอ้คนตัวใหญ่นั่นน่ะ เดี๋ยวชี้ให้ดูอันนั้น ดูอันนี้ สิตางศุ์ก็พาซื่อสนใจตามที่อีกฝ่ายชี้ไปซะหมด แล้วแบบนี้จะไม่ให้คิดได้ยังไงกัน


   “สองคนนั้นน่ะ...ผัวเมียกันแน่นอน” 


สิ้นเสียงของทัศน์ สติของอาติยะก็หลุดลอย

......................

    หลังอาหารเช้าอย่างง่ายๆ ทัศน์ก็ต้องรับหน้าที่ขับรถจากเชียงคานมาที่สนามบินเพราะพี่ชายเจ้าถิ่นอย่างอาติยะสติสตังไม่อยู่กับตัว ยิ่งตอนพวกเขาสามคนจะเข้าไปด้านในสนามบิน รายนั้นก็หันไปกอดสิตางศุ์แถมย้ำแล้วย้ำอีก


‘รักษาตัวนะ ดูแลตัวเองดีๆนะ’


ยิ่งกว่าส่งทหารไปรบในสงคราม ก็อาติยะส่งสิตางศุ์กลับกรุงเทพฯพร้อมเจียระไนนี่แหละ!


เครื่องบินลำเล็กพาทั้งสามมาถึงดอนเมืองอย่างปลอดภัย ทัศน์ก็ไปเช็คอินต่อเครื่องกลับต่างจังหวัด คราวนี้เลยถึงเวลาที่เจียระไนและสิตางศุ์ได้อยู่เพียงสองคนโดยแท้จริง


ร่างสูงพาคนข้างกายขึ้นรถที่จอดทิ้งเอาไว้ที่สนามบิน กลับมาส่งที่คอนโด สิตางศุ์นั่งเงียบมาตั้งแต่ออกจากเชียงคานแล้ว อันที่จริงมันก็เงียบไปตั้งแต่ที่เขาบอกมันตรงๆว่าจะจีบมันนั่นแหละ แต่…ก็ไม่น่าใจหายเท่าไร เพราะมันเงียบไปอย่างเดียว ไม่มีทีท่าจะตีตัวออกห่างแต่อย่างใด


“ขอบใจนะ” พอรถจอดที่หน้าตึกสูงสิบชั้น คนผิวขาวจัดก็ได้แต่พูดเบาๆขณะที่มือปลดเข็มขัดนิรภัย


“ขอบใจกูเรื่องอะไร เรื่องที่กูไปกับมึง หรือขับรถมาส่งมึง หรือเรื่องที่กูจีบมึง”


ย้ำเข้าไป ย้ำเข้าไปอีก ย้ำให้มันรู้ว่าวินาทีนี้ เขาคิดจะทำอะไร


ร่างโปร่งนิ่งชะงัก เอาแต่ก้มหน้างุดจนคางแทบชิดอก เมื่อไม่มีคำตอบ เจียระไนก็เลยเปลี่ยนเรื่องพูด


“แล้วพรุ่งนี้เข้าคณะมั้ย”


เงียบ แต่ส่ายหน้าจนผมกระจาย


“แล้วจะไปไหน” แน่นอน สารถีคนเดียวคนเดิมที่ชื่อเจียระไน ผูกขาดการรับส่งทั่วจักรวาล ต่อให้จะไปดาวอังคาร เขาก็ต้องเป็นคนพาไป!


“ไม่ไป จะทำเปเปอร์”


“เปเปอร์วิชาไหนของมึง ส่งเมื่อไร”


“ส่งไฟนอลของอ.พุธ”


...อ้อ ‘อ.พุธ’ รายนี้ขึ้นชื่อว่าโหดหินที่สุดของอาจารย์ในภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แถมเป็นมือโปรด้านการไซโคนิสิต ถ้าจิตไม่แข็งจริง ไม่เก่งจริง ไม่ควรแหยมไปลงวิชาของอาจารย์คนนี้เป็นอันขาด...


แต่...ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งแล้ว สิตางศุ์ก็นับว่าเป็นมืออันดับต้นๆของรุ่น แถมยังขยันอีกต่างหาก พ้นมิดเทอมมายังไม่ทันไร มันทำเปเปอร์สำหรับส่งไฟนอลแล้ว


“งั้นมึงขึ้นไปพักได้แล้ว เข้าห้องปิดประตูแล้วโทร.บอกกูด้วย” คนถูกสั่งพยักหน้ารับสั้นๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าเป้และถุงของฝาก ทว่าก่อนที่จะปิดประตู มือขาวกลับวางถุงพลาสติกลงบนเบาะของตัวเอง


“ก...กูเห็นมันน่ารักดี ก็เลย...ซื้อมาเผื่อ” แล้วก็หมุนตัวเดินเข้าตึกไปทันที


เจียระไนหยิบถุงมาเปิดดู ถึงได้รู้ว่าของที่ว่าซื้อมาเผื่อคือเสื้อยืดเพ้นท์คำว่าเชียงคานพร้อมกับตัวการ์ตูนหัวโตๆ ตาเฉียงๆ เห็นได้ดาษดื่นที่ถนนคนเดิน แต่...มันก็ยังอุตส่าห์เลือกตัวที่หน้าตาเหมือนเขามาให้ ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ เหลือบตามองเข้าไปในตึกแต่ไม่เห็นแผ่นหลังบางของสิตางศุ์แล้ว


...เชี่ย...น่ารักกว่าการ์ตูนบนเสื้อก็คนให้นี่แหละวะ ไอ้ฉิบหาย!…

.............................

หลังกลับจากเชียงคาน พวกเขาก็ไม่ได้พบหน้ากันอีก แลดูเหมือนจะถูกหลบหน้า แต่ในความจริงคือเจียระไนแชทไปหาแทบทุกวันเพื่อถามว่าจะมาเรียนไหม แต่คำตอบคือ


‘ไม่อ่ะ จะทำเปเปอร์’


สามวันเข้าไปแล้วที่มันไม่มาคณะเพราะจะทำรายงานอยู่ที่ห้อง


ชายหนุ่มเคาะนิ้วลงกับโต๊ะอย่างนึกหงุดหงิด ตามองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่วางอยู่ข้างๆ แต่ไม่มีการติดต่อใดๆจากสิตางศุ์ จะให้เขาเป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนก็ไม่กล้า เป็นที่รู้กันดีว่าถ้านิสิตคณะนี้กำลังทำเปเปอร์ สิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดคือเข้าไปแหยม ไม่อย่างนั้นโดนเชือดแน่นอน


...ไม่อยากถูกมันโกรธก็จริง แต่จะปล่อยให้มันเงียบเหมือนตายไปอย่างงี้ ก็ยิ่งเป็นห่วง...


“เป็นอะไรน่ะ โจ๊ก เคาะโต๊ะอยู่ได้ หม่าม้าปวดหัว” มารดาที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ใกล้ๆหันมาถาม ชายหนุ่มผู้เป็นลูกหยุดปลายนิ้วของตัวเองทันที


วันนี้เขากลับมากินข้าวที่บ้านใหญ่ ซึ่งไม่ควรเรียกว่าบ้าน เพราะเป็นตึกสูงไม่ต่างจากคอนโดย่อมๆ แต่ทั้งตึกมีแต่ตระกูลของเขาเท่านั้น สองชั้นล่างเป็นโรงจอดรถ ชั้นที่ถัดขึ้นมาเป็นส่วนกลาง ส่วนชั้นบนๆเป็นที่พักอาศัยของอาม่าและครอบครัวลูกๆของอาม่า ครอบครัวของเจียระไนก็เป็นหนึ่งในครอบครัวเหล่านั้น และอาศัยอยู่ที่ชั้น 8 เดิมทีเขาก็อยู่ที่นี่ แต่เมื่อเริ่มโต ก็ถูกส่งไปอยู่ข้างนอกเหมือนหลานคนอื่นๆในตระกูล จะกลับมาที่นี่ก็สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง


“ผมไม่รู้จะทำไงดี” เจียระไนตอบแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่


“งั้นต้องท้องอิ่มก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง โจ๊กอยากกินอะไร หม่าม้าจะไปทำให้กิน” สายใจผู้เป็นสะใภ้คนที่ 5 ของอาม่าเจ้าของตึกและเป็นหม่าม้าของเจียระไนเสนอตัวอย่างที่ทำเอาลูกชายร่างสูงใหญ่เหมือนจะนึกอะไรออก


...ใช่!! กองทัพต้องเดินด้วยท้อง!!...


“ม้า เก็กฮวยที่ม้าต้มยังเหลือมั้ย” คนเป็นแม่มองลูกชายคนกลางที่ร้อยวันพันปีไม่เคยชอบน้ำเก็กฮวย แต่ก่อนหน้านี้ก็บอกให้หล่อนต้มหม้อใหญ่ แถมแบ่งใส่กระติกไปตั้งหลายขวด แล้วมาวันนี้ก็ถามถึงอีกอย่างนั้นหรือ?


“ผมอยากเอาไปให้เพื่อน”

“เพื่อนคนไหน”

“คนไหนก็คนนั้นแหละม้า อยากได้ข้าวกล่องด้วย” ได้คืบก็จะเอาศอก สายใจหันมองลูกชายคนกลางอย่างพินิจพิเคราะห์

“ข้าวกล่องก็จะเอาให้เพื่อนคนไหนก็คนนั้นอีกรึเปล่า” ลูกชายตัวสูงใหญ่ยิ้มเผล่แทนคำตอบ คนเป็นแม่เลยชี้หน้าทำท่าจริงจัง

“บอกหม่าม้าเดี๋ยวนี้ เพื่อนที่ว่านี่เป็นใคร”

“บอกไม่ได้ ยังจีบไม่เสร็จ”

“ไม่เสร็จหรือไม่สำเร็จ?”

“ลูกชายม้ามีคำว่าไม่สำเร็จด้วยเหรอ” หญิงร่างอวบผิวขาวเหลืองผู้มีดวงตาเรียวไม่ต่างจากบุตรชายหัวเราะหึ

“ก็ไม่แน่หรอก ถ้าหม่าม้าไม่ช่วย โจ๊กต้องดูพี่จ่างกับก๋วยจั๊บเป็นตัวอย่าง สองคนนั้นมีแฟนทุกวันนี้ก็เพราะหม่าม้าช่วยทั้งนั้น”


‘บะจ่าง’ กับ ‘ก๋วยจั๊บ’ พี่ชายและน้องชายของเจียระไน สถานะไม่โสดมาจนทุกวันนี้ เพราะสปอนเซอร์อย่างเป็นทางการนามว่าคุณสายใจ รายนี้ให้ความช่วยเหลือตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จะเหลือก็แต่...ลูกชายคนกลางที่ชื่อ ‘โจ๊ก’ นี่แหละ ที่คุณสายใจยังไม่มีโอกาสได้หนุนหลังสักที!


“นี่ไง ก็เลยให้ม้าใช้เสน่ห์ปลายจวักช่วยหน่อย”


“แต่พี่จ่างกับก๋วยจั๊บเอารูปมาให้หม่าม้าดูก่อน แล้วโจ๊กล่ะ” ตะล่อมขอดูคนในใจของลูกชายอย่างตรงไปตรงมา เจียระไนหัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า

“งั้นไม่ให้ม้าช่วย ให้ซีอึ้มช่วยก็ได้”


ร่างสูงผู้มีญาติมากมายไม่แพ้สิตางศุ์พูดถึงป้าสะใภ้คนที่สี่ รายนี้แต่งงานเข้าตระกูลของเขาไม่นาน สามีก็ตาย ลูกก็ไม่มี เลยเอ็นดูหลานทุกคน แล้วไม่รู้จะด้วยบุญกรรมอะไร ป้าสะใภ้คนนี้รักเจียระไนมากกว่าหลานคนไหนๆ


“เดี๋ยวก่อนๆ” สายใจรีบดึงแขนลูกชายคนกลางเอาไว้ “ก็ได้ๆ...หม่าม้าช่วยก่อนเห็นหน้าก็ได้ นี่หม่าม้าเชื่อใจโจ๊กนะ ว่าสะใภ้คนนี้ต้องถูกใจหม่าม้าแน่นอน”


เจียระไนยิ้มกว้าง โอบเอวมารดาพาไปห้องครัว แล้วย้ำให้มั่นใจ

“ถูกใจผม จะไม่ถูกใจม้าได้ยังไง ม้าก็รู้ ผมตาถึงขนาดไหน”

..................................

บัตรผ่านประตูไปยังโถงลิฟต์ของอาคารสูงสิบชั้นอันเป็นที่พักที่อีกฝ่ายเคยให้ไว้ยังอยู่กับเขา เจียระไนอาศัยมันจนมาถึงหน้าห้องหมายเลข 504 ได้ เขาเคาะประตูอยู่อึดใจหนึ่ง บานประตูถึงได้เปิดออก


“อ้าว โจ๊ก” คนเปิดประตูคือหน้าขาวๆ หัวฟูๆ สวมแว่นสายตากรอบใส หน้าตาดูอ่อนล้า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังน่ารักอยู่ดีในสายตาคนมอง


“กูแวะมาหา เอาของกินมาให้ด้วย” เจียระไนชูถุงในมือให้ดู อาศัยตอนที่สิตางศุ์ไม่ทันคิดอะไร เขาก็พาร่างสูงใหญ่ของตัวเองเข้ามายืนในห้องได้สำเร็จ


คอนโดขนาดเล็กที่สะอาดและเป็นระเบียบ มีส่วนที่ยุ่งเหยิงที่สุดคือโต๊ะคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหนังสือหลายเล่มเปิดคาเอาไว้ ชายหนุ่มกวาดตามองมาที่โต๊ะกระจกหน้าโซฟา ก่อนจะหยิบถุงพลาสติกที่มีโลโก้ร้านสะดวกซื้อชื่อดังขึ้นมาเปิดดู ในนั้นมีอาหารแช่แข็งที่ถูกอุ่นแล้วเพราะพลาสติกที่เคลือบอยู่หน้ากล่องถูกเจาะ แต่เพราะคนซื้อมาไม่ยอมกินเสียที มันก็เลยกลับมาเย็นชืดอีก


“มึงยังไม่กินข้าวเหรอ” เขาถามคนที่เดินกลับไปที่โต๊ะคอมอีกครั้ง


“อืม” คนตอบไม่หันมามอง เพราะเริ่มเพ่งมองจอคอมอีกครั้ง สลับกับหันมองหนังสือที่เปิดอ้าอยู่


“กินครั้งล่าสุดเมื่อไร” ไม่มีคำตอบมาอีก เพราะร่างโปร่งใส่สติทั้งหมดลงกับรายงานที่กำลังพิมพ์ เจียระไนรู้สึกเหมือนตัวเองมีลูกเล็กที่กำลังจดจ่อกับของเล่นจนไม่สนใจอย่างอื่น


“ไอ้โซ่!” เขาขึ้นเสียง ต่อให้สติสมาธิจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีเสียงดุๆดังลั่นห้องแบบนี้ เจ้าของชื่อเป็นต้องหันมามองกันบ้าง

“กูถามว่ากินข้าวครั้งสุดท้ายเมื่อไร?!”

“อืมมมม…จำไม่ได้...” สีหน้าใสซื่อเหมือนจำไม่ได้จริง แถมยังดูเบลอและตาลอยอีกต่างหาก

“นี่มึงได้นอนบ้างรึยัง”

“อ่า...” ร่างโปร่งนิ่งคิด แต่ไม่ทันจะได้ตอบ เจียระไนก็หมดความอดทน เขาวางอาหารสำเร็จรูปที่อุ่นไมโครเวฟลงกับโต๊ะ แล้วสั่ง

“มึงมากินข้าวเดี๋ยวนี้!”

“แต่ว่า…”

“กูสั่งให้มากินข้าว! จะให้กูเดินไปชักปลั๊กคอมออกมั้ย?!”


ใบหน้าขาวมีแววบูดบึ้งเมื่อถูกบังคับ แต่หน้าตาและท่าทางของร่างสูงก็บอกให้รู้ว่าเอาจริงแน่ ถ้าเขายังไม่ลุกไปจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ ร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดตัวบางและกางเกงขาสั้นยอมลุกมาที่โซฟา มองถุงพลาสติกที่มีอาหารสำเร็จรูป แล้วก็ได้แต่หงุดหงิด


“ข้าวอุ่นเวฟมันไม่อร่อยนี่นา...”


ประเด็นแรกคือรายงานยังไม่เสร็จ ย่อมไม่อยากกินอะไร ประเด็นที่สองคืออาหารแช่แข็งมันไม่ค่อยถูกปาก เลยพาลเป็นไม่อยากกิน แต่ตอนที่ซื้อก็คิดแค่ว่าซื้อมาไว้ก่อน ถ้าหิวแล้วค่อยกิน แต่ก็อย่างที่บอก เพราะงานไม่เสร็จและพอปรายตามาเห็นเป็นอาหารแช่แข็ง ก็เลยไม่หิวขึ้นมาดื้อๆ


“ดูก่อนมั้ยแล้วค่อยบ่น กูไม่ได้จะให้มึงกินไอ้นี่ เอ้า!” แล้วเจียระไนก็เปิดถุงพลาสติกที่ตัวเองถือมาออก ในนั้นมีกล่องทัปเปอร์แวร์หลายกล่อง ซึ่งล้วนเป็นอาหารฝีมือมารดาของเขา


“มึงกินเป็นมั้ย โกยซีหมี่”


“หึ” ส่งเสียงแล้วส่ายหน้าเป็นสัญญานบอกว่าอาหารชื่อจีนๆแบบนี้ ไม่ใช่ของคุ้นเคย


“งั้นมาลอง มันก็เหมือนราดหน้านั่นแหละ” สิตางศุ์ยอมลุกมาส่อง ‘โกยซีหมี่’ แล้วก็พบว่ามันหน้าตาคล้ายราดหน้าจริงอย่างที่ว่า ทว่าไม่ทันได้พูดอะไร ไหล่ก็ถูกกดให้ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแล้ว


“แดกซะ มีขนมกับผลไม้ด้วย เดี๋ยวกูเอาไปแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ไว้มึงจะกินค่อยไปหยิบออกมา นี่น้ำเก็กฮวย เดี๋ยวกูเทใส่แก้วให้” เจียระไนเดินเข้าไปในครัวเพื่อเก็บผลไม้และขนมที่เขานำมาจากที่บ้าน แล้วจัดแจงเทน้ำเก็กฮวยใส่แก้ว พอเดินออกมาอีกทีก็พบว่าคนที่โดนบังคับให้กินข้าวที่เขาหิ้วมานั้น กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารฝีมือมารดาของเขา


“อร่อยรึเปล่า” ถามไปอย่างนั้นเอง เพราะภาพที่เห็นคือสิตางศุ์กำลังตักโกยซีหมี่เข้าปากไม่หยุด ดวงตาคู่สวยใต้แว่นสายตาเหลือบขึ้นมอง แต่เพราะอาหารยังเต็มปากเลยทำได้เพียงพยักหน้าแทนคำตอบ ร่างสูงอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือไปถอดแว่นออกจากดวงหน้าขาวให้


การกระทำที่แสนอ่อนโยนและสายตาจากดวงตาเรียวคมนั้น ทำเอาสิตางศุ์รู้สึกแปลกๆจนต้องก้มหน้าลงมองอาหารในทัปเปอร์แวร์ตามเดิม ระหว่างนั้นไม่มีเสียงคุยอะไรอีก เจียระไนเอาแต่นั่งที่โซฟาเฉยๆ ไม่ชวนคุยหรือหาเรื่องแกล้ง ปล่อยให้ร่างโปร่งนั่งทานโกยซีหมี่จนหมดกล่อง แล้วตามด้วยน้ำเก็กฮวยอีกหนึ่งแก้ว


“เดี๋ยวกูเอาไปล้างให้” พอเห็นว่าอาหารฝีมือมารดาของตนเองหมดเกลี้ยง เจียระไนก็รวบรวมเตรียมไปล้าง ซึ่งแน่นอนว่าสิตางศุ์รีบยื้อเอาไว้


“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูล้างเอง” ดวงตาคมตวัดมามองคนพูด ทำเอาร่างโปร่งพูดไม่ออกอีก


“มึงนั่งเฉยๆ แล้วไม่ต้องลุกไปใกล้คอมพ์เลยนะ ตาโรยขนาดนี้ ถ้าไม่ไปอาบน้ำ ก็ไปนอนซะ”


“นอนได้ไง กินมาอิ่มๆเดี๋ยวเป็นกรดไหลย้อน”


“งั้นมึงก็นั่งหลับสิ!” เจียระไนสั่งเสร็จก็ยกกล่องอาหารเข้าไปในครัว สิตางศุ์มองตามหลังร่างสูงแล้วพอเหลือบไปเห็นหมอนอิงที่วางอยู่ก็รู้สึกเหมือนถูกกวักมือเรียกขึ้นไปนอนยังไงอย่างงั้น


ร่างโปร่งขยับไปนั่งใกล้หมอนอิง เอนหลังพิงพนักแล้วเอาหมอนอิงมารองคอ หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนขึ้นมาง่ายๆ ถ้าพักสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร เพราะรายงานก็คืบหน้าไปมากแล้ว ใช่...แค่พักสักหน่อย หลับตาลงสักสิบนาทีก็...น่าจะพอ...

...........................

ออฟไลน์ Dezair

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 533
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1543/-8


ไอเย็นชื้นแนบไปตามผิวปลุกสติคนที่นั่งหลับอยู่บนโซฟาตัวยาวให้ค่อยๆปรือตาขึ้นมอง สิตางศุ์ชะงักไปเล็กน้อยที่ภาพพร่าเลือนยามตื่นคือใครบางคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกำลังลูบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดไปตามแขนของเขา ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้แล้วว่าเขารู้ตัว เสียงทุ้มจึงดังขึ้น


“จะได้สบายตัว” เสียงแบบนี้ โครงหน้าแบบนี้ สิตางศุ์รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร


“โจ๊ก...” ริมฝีปากสีจัดบนใบหน้าขาวดังแผ่ว เปลือกตาบางปิดลงอีกครั้งแต่ไม่ขยับไปไหน ยอมนั่งเอนนิ่งๆให้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดไล้ไปตามท่อนแขน

“อะไร”

“มึงใจดีจัง...” สติสัมปชัญญะยามเพิ่งตื่นนั้น ไม่ว่าจะรู้สึกนึกคิดอะไรก็พูดออกมาได้หมด

ดูเหมือนผ้าเช็ดตัวจะหยุดอยู่กับที่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ร่างสูงจะตอบกลับมา

“กูจีบมึงอยู่ กูก็ต้องใจดีสิ”


เป็นฝ่ายสิตางศุ์ที่ชะงักไป เปลือกตาบางเปิดขึ้นให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวย ภาพตรงหน้าไม่พร่าเลือนเหมือนเมื่อตอนเพิ่งตื่นอีกแล้ว มันมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกหลานคนจีนของเจียระไนอย่างชัดเจน


“ช่วงโปรโมชั่นอย่างงี้เหรอ” ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากแล้วเหลือบตาสบกับคนถาม

“รู้จักด้วยเหรอ มึงน่ะ”

“รู้จักสิ ไอ้แพทชอบพูดบ่อยๆ”


เจียระไนไม่พูดอะไร เขาตั้งหน้าตั้งตาเช็ดแขนเช็ดหน้าเช็ดคอให้เจ้าของห้องเรียบร้อยก็เตรียมจะเอาผ้าไปซักตาก แต่เสียงของสิตางศุ์ดังขึ้นเสียก่อน


“โจ๊ก...” เจ้าของชื่อหันกลับมามอง

“...ถ้ามึงจีบติด มึงจะใจดีแบบนี้อีกมั้ย”


“กูจะใจร้ายจนกว่ามึงจะร้องไห้เลย”


คำตอบนั้นสมเป็นเจียระไนคนปากร้าย ร่างสูงเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ออกมาอีกทีก็พบว่าเจ้าของห้องหลับไปอีกหนแล้ว ในสภาพที่ยังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่โซฟาตัวเดิม


ชายหนุ่มสั่นศีรษะน้อยๆก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ห้องที่เขาเคยอยากเข้ามาดูมากที่สุด แต่เพราะสภาพอิดโรยของสิตางศุ์ที่หลับคอพับคออ่อน กลับทำให้เขาลืมความตื่นเต้นที่ได้เข้าห้องนอนของมันไปเลย เจียระไนหอบเอาผ้านวมจากบนเตียงเดินออกมาคลุมร่างคนหลับ ที่พอได้ผ้าห่ม มันก็ปรือตาขึ้นมาอีกที


“มึงนอนซะ เดี๋ยวกูจะแวะมาหาตอนเย็นๆอีกรอบ”


อย่างน้อยๆ ปล่อยให้มันได้นอนเงียบๆ ส่วนเขากลับไปหาซื้อข้าวของมาทำข้าวเย็นให้ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในยามนี้ เพราะขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ ก่อนที่สิตางศุ์จะทำรายงานเสร็จ อาจได้จบชีวิตตัวเองเสียก่อน


ร่างสูงกำลังจะเดินไปที่ประตู แต่เสียงงัวเงียของคนที่นั่งเอนอยู่ที่โซฟาดังเรียกเอาไว้


“โจ๊ก...”


“กุญแจห้องอยู่ตรงนั้น มึงเอาไปด้วยสิ...” เจียระไนชะงักหันกลับมามองคนพูด


“...ฝากล็อกห้องด้วยนะ”


สั่งเสียงงัวเงียแล้วมันก็หลับต่ออย่างง่ายดาย ทิ้งเอาไว้เพียงความอึ้งของร่างสูง เจียระไนค่อยๆหันไปมองที่ตะขอแขวนกุญแจข้างประตู พวงกุญแจที่ห้อยอยู่นั้นทำเอาหัวใจเต้นตึกตักจนหนวกหู เขาค่อยๆเอื้อมไปหยิบมันมา ความเย็นชืดของโลหะที่อยู่ในมือทำเอากลืนน้ำลายเอื้อก


...กุญแจห้อง...กุญแจห้องของไอ้โซ่...


เขาสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยไม่คิดว่าของแบบนี้จะได้มาอยู่ในมือ แล้วทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมาในหัว


...ปั๊มเก็บไว้สิไอ้หอก!! รอเชี่ยอะไร!!!!...

....................................


เจียระไนกลายเป็นแขกประจำของคอนโดหมายเลข 504 ไปแล้วเรียบร้อย เขาแวะเวียนมาทุกวันในช่วงที่สิตางศุ์โดดเรียนเพื่อทำรายงาน บางวันก็เอาอาหารมาให้ บางวันก็ซื้อของสดมาทำให้ทานที่ห้อง ไม่มีวันไหนเลยที่เจ้าของห้องจะได้ทานอาหารเย็นชืดแช่แข็งที่เอามาอุ่นไมโครเวฟเหมือนแต่ก่อน


แต่...ยกเว้นวันนี้


“กูโทร.หา ทำไมไม่รับ?!!” 


ประตูห้องหมายเลข 504 ถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้องปุ๊บ แขกผู้มาเยือนก็ตั้งคำถามเสียงแข็ง เกือบจะทำหน้าเครียดด้วยแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าสังเกตเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนที่เปิดประตูให้


เจียระไนดันประตูให้เปิดออกกว้างกว่าเดิมแล้วพาตัวเองเข้ามายืนในห้อง ในขณะที่เจ้าของห้องเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์เงียบๆโดยไม่มีคำตอบให้ มือขาววางพาดอยู่บนคีย์บอร์ด แต่เจ้าตัวไม่พิมพ์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว อึดใจต่อมา สิตางศุ์ก็ถอนหายใจแล้วเอนหลังพิงพนักแรงๆ


“กูเขียนต่อไม่ออก...” ประโยคนั้นพึมพำเสียงเบา ฟังดูน่าสงสารจนคนที่หงุดหงิดเพราะโทร.หาแล้วมันไม่ยอมรับสายถึงกับทิ้งความหงุดหงิดทั้งหมดไว้กับพื้น ก่อนจะเดินเข้าไปหา


“แล้วมึงกินอะไรรึยัง”


เมื่อเช้าเขาไม่ได้แวะมาหา เพราะมีเรียน พอเลิกเรียนก็ตั้งใจจะโทร.ถามว่าอยากทานอะไร แต่อีกฝ่ายไม่รับ เป็นเหตุให้เจียระไนต้องรีบมาที่นี่เพราะกลัวใจคนเอาจริงเอาจังกับการเรียนจะโดนความเครียดเล่นงานซะก่อน แล้วก็จริงอย่างที่กลัว...สิตางศุ์ตอนนี้เครียดจนเขียนรายงานต่อไม่ได้แล้ว


“ยัง...”

“ลุกไปอาบน้ำไป เดี๋ยวกูพาไปกินข้าว” ดวงตาคู่สวยที่มีแต่แววกังวลเหลือบมามอง

“แต่เปเปอร์กู...” เจียระไนค้ำสองแขนลงกับพนักเก้าอี้และโต๊ะคอมพิวเตอร์ แล้วก้มหน้าลงหาคนที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับรายงาน

“ยิ่งมึงเครียด มึงยิ่งเขียนไม่ได้ เชื่อกู...ไปอาบน้ำ เดี๋ยวกูจะพาไปกินข้าวข้างนอก”

“แล้วถ้าไปกลับมาแล้ว แล้วยังเขียนไม่ได้ล่ะ” สิตางศุ์เป็นกังวล


รายงานวิชานี้ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยเขียนมา ยิ่งยากก็ยิ่งใช้ข้อมูลอ้างอิงเยอะ ยิ่งใช้เยอะก็ยิ่งต้องอ่านหนังสือมาก ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งต้องใช้เวลามาก เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับอย่างอื่นอีกแล้ว


“เดี๋ยวกูเขียนแทนเอง” คำตอบของเจียระไนฟังดูจริงจังทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้ ทำเอาเจ้าของเปเปอร์ตัวจริงที่มีคนออกตัวจะเขียนแทนถึงกับส่ายหน้า


“มึงเรียนปกครอง จะเขียนแทนกูได้ยังไง”


“ก็ใส่ประเด็นระหว่างประเทศลงไปเยอะๆ แม่งก็ดูเป็นไออาร์เอง” สิตางศุ์หัวเราะเบาๆ ทั้งๆที่ในใจไม่ขำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามทำให้เขาคลายกังวล แต่พอเหลือบตาไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตำแหน่งเคอเซอร์ยังคงกะพริบอยู่ที่คำสุดท้ายของประโยคเช่นเดิม ความเครียดก็กลับมาอีก


“โซ่...” เสียงทุ้มเรียกเบาๆ ก่อนที่มือใหญ่จะจับปลายคางของคนที่หันไปมองจอคอมฯให้หันกลับมามองเขา ดวงตาคู่สวยละจากตำแหน่งของเคอเซอร์ที่กะพริบมาที่ดวงตาเรียวสีดำสนิทนั่นแล้ว


ราวกับความเครียดที่สุมอยู่ในสมองจะถูกเจือจางไปในขณะที่เขาดำดิ่งเข้าไปในดวงตาคู่นี้


“เชื่อใจกูมั้ย...” คำถามจากเจ้าของดวงตาที่ชวนให้ตกอยู่ในภวังค์นั้นดังขึ้นอีก


สิตางศุ์รู้สึกว่าแว่นสายตาที่ตัวเองสวมอยู่ถูกดึงออกไปช้าๆ มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากเขาเบาๆ ก่อนที่สัมผัสบางอย่างจะแตะลงมา เขานิ่งไปเล็กน้อย รับรู้ว่ากำลังถูกริมฝีปากอุ่นๆของอีกฝ่ายบดคลึงอยู่ที่หน้าผากอย่างเชื่องช้า หากเป็นเวลาที่มีสติครบถ้วน เขาคงผลักไสอีกฝ่ายออกห่าง แต่เวลานี้...เวลาที่ความอ่อนล้าจากการไม่ได้พักผ่อน ผสานไปกับความกังวล ทำให้เขาได้แต่อยู่เฉยๆ แล้วหลับตาลง


หลับตาลง...เพื่อรับรู้ถึงสัมผัสที่จูบซับหน้าผากเขาเบาๆ หลับตาลง...เพื่อลืมเลือนความเครียดและความกังวลทั้งหมด คนตรงหน้านำพาเขาสู่ความอบอุ่น...อ่อนโยน...ราวกับปลอบประโลมจิตใจ


“ไปอาบน้ำนะ...”


ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นช้าๆ ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกดึงให้ลุกจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ ทิ้งความเครียดและความกังวลเอาไว้บนเก้าอี้ที่ว่างเปล่า

....................................

ดวงตาเรียวใต้แว่นกันแดดสีดำเหลือบมองคนข้างกายที่หลับไปแล้วหลังจากขึ้นรถมาได้แค่ 10 นาที เห็นสภาพเครียดจัดแบบนั้นเขาก็นึกเป็นห่วง ไม่รู้ว่าสิตางศุ์มีชีวิตอยู่มาจนถึงปีสี่ได้อย่างไร ทั้งๆที่เป็นคนเอาจริงเอาจังขนาดนี้


รถยนต์หรูจอดติดไฟแดง มีเวลามากพอให้เขาหันไปปรับเบาะเอนให้คนหลับได้นอนสบาย ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบรถของตัวเองที่ไม่มีอะไรเลย คิดในใจว่าอีกหน่อยคงต้องซื้อหมอน ซื้อผ้าห่มติดรถเอาไว้บ้างแล้ว   


ดวงตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่ปรือขึ้นช้าๆ ทำเอาเจียระไนชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังจัดเข็มขัดนิรภัยของคนที่เขาปรับเบาะให้ เพื่อไม่ให้มันบาดตามเนื้อตัว


“นอนไปก่อน ถึงแล้วจะปลุก” เขาพูดอย่างนั้น ก่อนจะหันกลับไปสนใจสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว ดวงตาคู่สวยที่มีแววอ่อนล้าเพราะไม่ได้พักผ่อนหนำซ้ำยังเครียดจัดทอดมองคนที่กำลังขับรถ


“ไปไหนเหรอ”


“ถึงแล้วก็รู้เอง”


“บอกกูก่อนไม่ได้เหรอ” สิตางศุ์ถามไปอย่างนั้นเอง พอเครียดมากๆแล้วมีคนอยู่ข้างๆ ก็เลยอยากหาเรื่องชวนคุยเพื่อที่ตัวเองจะได้ลืมความเครียดบ้าง


“ถ้าบอกแล้วเดี๋ยวมึงไม่ไป”


“ขึ้นรถมาด้วยแล้วนะ จะไม่ไปได้ไง”


“เกิดมึงเปิดประตูกระโดดลงไปล่ะ” ร่างโปร่งหัวเราะเบาๆไม่ตอบอะไร ช่วงที่เครียดมากๆ บางทีก็อยากหายไปจากโลก แต่จะทำอะไรก็กลัวเจ็บ กลัวคนรอบข้างเสียใจ สุดท้ายก็เลยได้แต่อยู่กับความเครียด หากว่าอีกฝ่ายไม่พาเขาออกมา สิตางศุ์ก็คิดว่าตัวเองก็คงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วเอาแต่จ้องเคอเซอร์ต่อไป


“ไม่ง่วงแล้วรึไง ชวนกูคุย” คนขับรถเหลือบตามามองเล็กน้อย สิตางศุ์ส่ายหน้าไปมาพลิกตัวตะแคงหันมองคนขับ


“ก็...อยากคุยกับมึง” หัวใจคนฟังพองฟูแทบล้นอก รอยยิ้มจางๆจุดที่มุมปากอย่างห้ามไม่อยู่ ตบไฟขวาขอเปลี่ยนเลนไปอยู่เลนขวาสุดเพื่อจะได้มีสมาธิอยู่กับการขับรถ จะได้ไม่ยิ้มง่ายๆอีก


“ก็คุยสิ”


“เปเปอร์ภาคฯมึงยากมั้ย”


“ไม่คุยเรื่องเปเปอร์” เจียระไนตัดบท ไม่ได้คิดจะแกล้ง แต่เรื่องอะไรที่เขาจะยอมให้เกิดบรรยากาศเครียดๆขึ้นมาอีก


“งั้น...วิชา...”


“ไม่คุยเรื่องเรียน”


“อ้าว” มือใหญ่ละจากพวงมาลัยมาตบเบาๆที่ศีรษะคนนอนอยู่ข้างๆ


“มึงน่ะเครียดจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ยังจะมาชวนคุยเรื่องเครียดๆอีก”


“ก็...กูไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร...” สิตางศุ์พูดแล้วเหลือบตาขึ้นมองฝ่ามือใหญ่ที่ลูบศีรษะเขาเบาๆเหมือนจะปลอบ มือใหญ่ที่หยาบและร้อน ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ความรู้สึกอ่อนโยนได้มากขนาดนี้เลย มือนั้นกลับไปจับที่พวงมาลัยตามเดิมแล้ว ดวงตาคู่สวยเลยทอดมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าของมือแทน


มองจากมุมนี้ยังรู้สึกเลยว่าเจียระไนเป็นคนหน้าตาดี ไม่แปลกใจว่าทำไมตอนเข้าปีหนึ่ง ถึงถูกเสนอชื่อให้เป็นเดือนคณะ


“โจ๊ก...กูถามได้มั้ย ทำไมตอนปีหนึ่งมึงถึงไม่ประกวดเดือนคณะ”


“แล้วทำไมกูต้องประกวด”


“ก็มึงหล่อ...” เจียระไนแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่อีกหน เมื่อกี้ที่เปลี่ยนเลนไปอยู่ขวาสุด ต้องเปลี่ยนเลนลงซ้ายอีกรอบเพื่อสร้างสมาธิดับรอยยิ้มของตัวเอง


...ไอ้ฉิบหาย!!!...อยู่ดีๆก็มาชมกูหล่อแบบไม่ให้เวลาตั้งตัวกูเลย!!...


“คนอื่นๆก็หล่อ แล้วไง สรุปตอนนั้นใครได้เป็นเดือนคณะ...” เจียระไนพยายามทำจิตใจให้เป็นปกติ


“กู” ดวงตาเรียวหันขวับมามองคนพูดแทบไม่ทัน เขาไม่รู้มาก่อนว่าวันนั้นที่เขาหนีเวทีประกวด ตำแหน่งเดือนคณะตกเป็นของสิตางศุ์


“มึงเป็นเดือนคณะเหรอ?!”


“อื้ม จริงๆตอนนั้นไออาร์ส่งคนอื่นขึ้นเวที แต่พอมึงไม่ขึ้น ก็เลยต้องหาคนขึ้นไปอีกคน”


“แล้วทำไมไม่เอาปกครอง?” เจียระไนถาม ในเมื่อเขาเป็นตัวแทนภาควิชาการปกครอง และเขาโดด ก็สมควรเอาคนภาคฯเดียวกับเขาขึ้นไปเป็นตัวแทน ไม่ใช่จับคนจากภาควิชาอื่นอย่างสิตางศุ์ไปเป็นตัวแทนเขา


“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ” ก็เพราะไอ้นิสัยงงๆ ไม่ค่อยรู้อะไรเนี่ยสิท่า ไอ้พวกเวรปกครองเลยส่งมันขึ้น


“แล้ว...ต้องไปเป็นเดือนมหา’ลัยด้วยมั้ย”


“ไปแข่ง แต่ไม่ได้หรอก กูตื่นเวทีน่ะ”


“อ้อ...” เจียระไนเห็นภาพเป็นฉากๆ


เพราะเขาหนีเวทีประกวดเดือนคณะ ไอ้เวรตัวไหนสักตัวของภาควิชาการปกครองก็เลยมัดมือชกสิตางศุ์ให้ขึ้นประกวด แล้วก็ดันได้ตำแหน่งด้วย พอมีตำแหน่งเดือนคณะรั้งท้าย เลยได้ไปขึ้นเวทีประกวดเดือนมหาวิทยาลัยอีก คราวนี้ไอ้คนเงียบๆที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเลยเป็นที่ต้องตาต้องใจของคนทุกชั้นปี ทุกคณะไปโดยปริยาย


...สรุปที่ไอ้โซ่ป๊อปปูลาร์ แถมกลายเป็นสเป็คสาธารณะมาจนทุกวันนี้ก็เพราะกูนี่เอง!!...


...กูผิดล้วนๆ! ไอ้สัด!!!...


“โจ๊ก จะไปทะเลเหรอ” คำถามดังมาจากคนที่นอนเอนแต่ตามองเห็นป้ายบอกทางสีเขียวๆที่รถขับผ่าน


“อือ”


“ไปทะเลเลยเหรอ” จากกรุงเทพฯก็ไม่ใช่ใกล้ๆซะหน่อย


“อือ” สิตางศุ์มองใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังใช้สมาธิในการขับรถ แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดไม่บอก แต่เขาก็พอเข้าใจว่าทำไมถึงพาไปถึงทะเล


...คงอยากให้หายเครียด คงอยากให้หายกังวล...พาไปเปิดหูเปิดตา พาไปเที่ยว พาไปพักสมอง...


“มึงใจดีอีกแล้ว...”


“ก็กูจีบมึงอยู่” คำว่าจีบที่ตอนแรกหวั่นใจและตกใจ มาเวลานี้สิตางศุ์กลับรู้สึกดีจนใจสั่น ริมฝีปากสีสดคลี่ยิ้มจาง เป็นรอยยิ้มแห่งความสบายใจที่ไม่มีติดหน้าเลยตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา


...แต่เพราะโจ๊ก...


ความเครียดและความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในสมองถึงได้ถูกเจือจาง


“ขอบใจนะ...” ร่างโปร่งเอ่ยเบาๆ


มือใหญ่ละมาขยี้ผมคนพูดเบาๆ สิตางศุ์หลับตาลง ปลดปล่อยความรู้สึกที่รุมเร้าทั้งหมดออกไป

..........................................

   ตอนที่พวกเขามาถึงบางแสนก็บ่ายแก่ๆเข้าไปแล้ว เจียระไนพาแวะทานข้าวที่ร้านอาหารทะเลขนาดใหญ่ ก่อนจะพามาเดินเล่นริมทะเล


ทะเลยามเย็นในวันธรรมดานั้นมีผู้คนค่อนข้างบางตา แต่ก็พอจะมีคนในพื้นที่ที่พาครอบครัวมาเล่นน้ำทะเลอยู่บ้าง กลิ่นเค็มและลมพัดโกรกช่วยให้สบายใจ ยิ่งพอทอดสายตามองไปรอบๆแล้วเห็นผู้คนกำลังสนุกกับการพักผ่อน ก็พลอยให้สบายใจไปด้วย


   ...มันดีกว่าการอุดอู้อยู่ในห้องเยอะเลย...


   “เล่นทะเลมั้ย” คนที่เดินอยู่ข้างกายตั้งคำถาม ทำเอาดวงตาคู่สวยต้องเหลือบมอง


   “ไม่ได้เอาชุดมา” จริงๆก็น่าเล่นอยู่หรอก ถึงแม้น้ำทะเลจะไม่ใสแจ๋ว แต่คลื่นที่ซัดซาดก็ชวนให้น่าลงเล่นไม่น้อย แต่...ถ้าเปียกแล้วจะกลับยังไงล่ะ


   เจียระไนไม่พูดอะไร แต่จับแขนขาวลากลงทะเลเดี๋ยวนั้น


   “โจ๊ก! เดี๋ยวเปียก!”


   “ก็เปียกไง” ไม่พูดเปล่า แต่ร่างสูงเหวี่ยงร่างโปร่งเข้าใส่คลื่นที่ซัดเข้าหาด


   ตู้ม


   เปียกทั้งตัว ร่างขาวลงไปนั่งอยู่กับพื้นทราย คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดใส่หลังเขาไม่หยุด ดวงตาคู่สวยเหลือกโตมองคนเหวี่ยงเขาลงทะเลที่ยืนหัวเราะลั่นอย่างพูดไม่ออก


   “เย็นมั้ย” เจ้าของเสียงหัวเราะยังมีหน้ามาถาม สิตางศุ์ไม่พูดอะไรแต่ลุกขึ้นจะคว้าแขนร่างสูงให้ลงทะเลด้วยกัน แต่อีกฝ่ายไวกว่าเพราะวิ่งหนีส่งเสียงหัวเราะลั่น


ชายหนุ่มสองคนกลายร่างเป็นเด็กๆวิ่งไล่กันลงทะเล บางทีก็พากันลงไปลอยคอกันที่ลึกๆ มองจากฝั่งเห็นแค่หัวลิบๆ บางทีก็ว่ายกลับขึ้นมาที่หาด แล้วก็ลากกันลงไปเล่นทะเลใหม่


   ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ทั้งสิตางศุ์และเจียระไนถึงได้กลับขึ้นมานั่งบนหาด เนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลก


   “ทีนี้จะกลับยังไงล่ะเนี่ย” ร่างโปร่งหันมาถามเจ้าของรถ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ได้สนใจเพราะหงายหลังนอนราบบนพื้นทรายไปแล้ว


   “นั่นสิ เอาไงดี” ย้อนถามแล้วยิ้มเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว จนคนถามกำทรายมาปาใส่อก


   “ยังจะมาถามกูอีก มึงน่ะ อยู่ดีๆก็ผลักกูลงทะเลเฉยเลย”


   “ก็กูพามาทะเล เสือกไม่เล่นทะเลแล้วกูจะพามาทำไม” แล้วพอได้เล่นทะเล ได้หัวเราะ ได้ยิ้ม ความเครียดที่คิดว่าเจือจางก็หายไปหมด ถึงจะเหมือนโทษคนเจ้าแผนการพามาเที่ยว แต่สิตางศุ์ก็นึกขอบคุณที่อีกฝ่ายทำเพื่อเขาขนาดนี้


   “ขอบใจนะ”


   “ขอบใจอะไรหลายรอบ ในรถก็ขอบใจกูแล้วไง”


   “นั่นขอบใจที่ใจดีกับกู...”


   “แล้วเมื่อกี้ล่ะ” ใบหน้าขาวขึ้นสีน้อยๆ ก่อนที่เจ้าของจะยกขาขึ้นชันเข่าแล้วซุกหน้าลงไป


   “...ขอบใจ...ที่จีบกู...”


   แล้วรอบกายก็เหลือเพียงเสียงคลื่นที่ซัดซาด เสียงผู้คนที่คุยกันจ้อกแจ้ก เสียงนกร้อง เสียงรถยนต์ ในขณะที่คนสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันถูกความเขินจู่โจมไปแล้ว คนหนึ่งเขินจนซุกหน้าอยู่กับหัวเข่า ในขณะที่อีกคนหันมองไปทางอื่นแล้วยิ้มกับตัวเองอย่างอดไม่อยู่


   “กูเคยบอกมึงแล้ว แต่กูจะพูดอีกครั้ง...”


   “...กูเต็มใจ...”


   นั่นคือประโยคสุดท้าย ที่เจียระไนพูดกับทะเลในวันนี้ และแน่นอน...ไม่ได้มีแต่ทะเลที่รับรู้ แต่คนที่ยังเอาแต่ซุกหน้ากับหัวเข่าย่อมได้ยิน สิตางศุ์ครางงึมงำในลำคอ


   ...ขอบใจจริงๆ...ที่จีบกูนะโจ๊ก...   


ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)

ฮั่นแน่...ยิ้มล่ะสิ ยิ้ม...

คาดว่าตอนนี้ ไม่น่าจะมีใครสงสารโจ๊กนะคะ สถานการณ์ใดๆล้วนเป็นใจกับพระเอกทั้งสิ้นค่ะ กร๊ากกกก (ส่วนความสงสารและผ้าเช็ดหน้า เก็บไว้ก่อนค่ะ พระเอกแบบนี้ยังต้องน่าสงสารอีกหลายตอน ฮา)

ส่วนตอนที่แล้ว ทิศทางของคอมเม้นท์คือทุกคนจุดพลุให้โจ๊ก เนื่องจากพระเอกเรื่องนี้ใช้เวลา 2 เดือนกับความยาว 7 ตอน กว่าจะทิ้งความกากมาสวมบทคนจริง ถ้าให้ไปจีบแข่งกับหมอภวัต อิพี่โจ๊กสู้รุ่นนั้นไม่ได้เลยค่ะ กร๊ากกกก

ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ กำลังใจ และพื้นที่บอร์ดเช่นเคย

เจอกันตอนหน้า พฤหัสหน้าค่ะ


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
โจ๊กน่ารักอ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NUTSANAN

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1031
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-3
อยากได้แบบโจ้กสักคนค่ะ

ออฟไลน์ Moose

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ในที่สุดดดด #ทีมพี่โจ้กไบโพล่าห์ค่าาา

ออฟไลน์ ชมรดา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
ขอบคุณค่ะ  อ่านแล้วยิ้มตลอด  อิอิ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ชอบค่ะ

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
น่ารักกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Eangoey

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เขินมากๆๆๆ อ่านไปม้วนไป โซ่น่ารักไปอีก โจ๊กละมุนเกิน เขินๆๆๆๆ :-[ :-[

ออฟไลน์ dyomonrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขอบคุณค่ะ เรารักคู่นี้มาก
ชอบทั้งความจริงจัง จริงใจของโจ๊ก และน่ารักใสซื่อของโซ่
และความยาวของตอนของคนเขียนด้วยค่ะ ยาวมาก ประทับใจมากค่ะ :)

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ชอบ. น่ารักจัง. จีบแบบมุ้งมิ้ง :3123:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ว้าว.....ยาวจุใจ ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

โจ๊ก สิตางศ์ุ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
โจ๊ก ย้ำคำว่าจีบหลายๆหน น่ะ ถูกต้อง
เพราะสิตางศ์ุ  เอ๋อ ซึน จะได้ซึมซับ
ขนาดบอกว่าจีบ ยังเถียงอีกว่าไม่ใช่  :katai1: :katai1: :katai1:
ผลเลย สิตางศ์ุ ตัวแข็งกลายเป็นหุ่นยนต์
โจ๊ก มีความสุขได้และ เพราะการเอาใจดูแล
ทำให้สิตางศ์ุ รับรู้ตัวตนของโจ๊ก
แม้จะบอกว่าหลังโปรโมชั่นจะจะใจร้ายใส่จนร้องไห้
แถมให้ถือกุญแจห้อง ก็เข้าทางโจ๊กที่จะปั๊มลูกกุญแจซะเลย

โจ๊ก ก้าวหน้าถึงเนื้อถึงตัวสิตางศ์ุ แบบนิ่มนวล
ช่วยสิตางศ์ุคลายเครียด พาไปทะเลผ่อนคลายความเครียด
พูดคุยกันดีขึ้น มีชมโจ๊กว่าหล่อซะด้วย
เล่นเอาโจ๊ก ยิ้มแก้มปริ ขับรถไม่ถนัดไปเลย
มีขอบคุณโจ๊ก ทีมาจีบตัวเองซะด้วย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ไม่ยิ้มได้ยังไงรอมาหลายตอนแล้ว โจ๊กทำดีมาก ให้เต็มสิบ
ส่วนอิพี่อาร์ตใจหายไปถึงไหนแล้ว แค่ญาติมีแฟนต้องออกอาการขนาดนั้นเลยเหรอ

ออฟไลน์ jingyo88

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เอาแบบละมุนๆสไตล์โจ๊ก-โซ่แบบนี้ไปเรื่อยๆนะคะจนจบเลยนะคะ...ดราม่าไม่เอานะคะ~~ได้โปรด...

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เวลาจีบเขามีแต่หยอด แต่คำหวาน มีอิโจ๊กเนี่ยแหละปากร้ายมากกกกแต่ใจดีสุดๆเลย สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เดินหน้าทำคะแนนต่อเลยโจ๊กกก สู้ๆ

ออฟไลน์ bobby_bear

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-5
หูยยยยย พี่โจ๊กอ่ะ
หูยยยย หวานเวอร์ ชอบคนแบบนี้อ่ะ ปากแข็งปากร้ายแต่ใจดีสุด ๆ
นี่อ่านอยู่นานมากกว่าจะจบตอน มัวแต่เขินแทนโซ
อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันพฤหัสเลยอ่ะ 5555

ออฟไลน์ monkey_saru

  • ทำไมหัวใจถึงเอียงซ้าย...*
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โถ่ววววว น้องโซ่ หนูจะใจง่ายให้กุญแจไปแบบนี้ไม่ได้นะลูก อิโจ๊กยิ่งคิดไม่ค่อยดีอยู่ ฮ่าๆๆ

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
มันกร๊าวใจสุดๆๆๆ เคมีมันได้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
โจ๊กมาเต็มสุดๆ อ่ะ

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
โจ๊กน่ารักอะเป็นกำลังใจให้จีบติดเร็วๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ฮามากบอกเลย
สงอิโจ๊กมาก จีบคนใสซื่อ แต่ตัวเองจะเป็นบ้า
แต่สุดท้ายมาน้ำทะเลท่าจะหวานนะ

ตัวช่วยโจ๊กต้องเป็นแพทแน่ๆๆๆ จบงานนี้คงได้ของกำนัลอย่างงาม

ออฟไลน์ wikawee

  • มีชีวิตอยู่เพื่อทำฝันให้เป็นจริง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-7
สักทีนะโจ๊ก จะจีบโซ่ต้องใจเย็นๆ  :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด