‘เอ่อ...ผมว่าน้องมี่...จะจีบพี่…’
คำพูดของน้องรหัสปีสองอย่างปกฉัตรยังคงดังอยู่ในสมองของสิตางศุ์ เขาพยายามคิดว่าบางทีปกฉัตรอาจจะคิดไปเอง อย่างที่บอกว่าเขาอยู่ปีสี่แล้ว อีกไม่นานก็เรียนจบ ในขณะที่มนทิชาเพิ่งเข้าปีหนึ่ง แล้วทำไมถึงคิดจะจีบรุ่นพี่อย่างเขา?
‘พี่โซ่ ยังอยู่คณะมั้ยคะ’
ข้อความที่ปรากฏบนโทรศัพท์ทำเอาสิตางศุ์ขมวดคิ้วมุ่น นับตั้งแต่วันที่แลกเบอร์โทรศัพท์กัน อีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาหาเขาบ่อยๆ ส่วนใหญ่คุยเรื่องจิปาถะและเรื่องเรียน
...รวมถึงการถามเรื่องอยู่คณะ หรือไม่อยู่ ออกจากคอนโดหรือยัง นอนหรือยังก็อยู่ในหมวดการคุยที่ว่านั่นด้วย...
บางทีก็รู้สึกอึดอัด เหมือนถูกตามหาทุกฝีก้าว แต่ถึงอย่างนั้นสิตางศุ์ก็ยังตอบกลับไปอย่างสุภาพ
‘ออกมาแล้วครับ’
“โซ่” เสียงทุ้มทำเอาเจ้าของชื่อเงยหน้ามอง
“เก็บโทรศัพท์ แล้วแดกข้าว” เจียระไนสั่งแล้วถลึงตาเรียวๆลงมองอาหารตรงหน้า
วันนี้พวกเขามาทานข้าวที่คอนโดหรูของเจียระไน พ่อครัวไม่ใครที่ไหน เจ้าของคอนโดที่รับอาสาทำอาหารง่ายๆให้ทาน
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปผัดขี้เมารวมมิตร...รวมมิตรที่ว่าคือมีทั้งปลาหมึกชิ้นใหญ่ กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ และผักสารพัดชนิด
“เป็นไรของมึง หรือแดกไม่เป็นอีก”
“เป็นสิ ผัดขี้เมาไง แล้วทำไมเส้นถึงน้อยกว่าผักกับเนื้อล่ะ”
คนทำถึงกับกรอกตามองบนอีกหนึ่งที
...ช่วยดูด้วยว่าผักกูแต่ล่ะอย่างน่ะ ออแกนิกจนแทบจะปลูกด้วยระบบสุญญากาศอยู่แล้ว!!! แล้วไอ้ที่มึงกำลังเขี่ยไปไว้ข้างๆเพื่อจ้วงเส้นก่อนน่ะ กุ้งแม่น้ำโลละพัน! ไอ้เชี่ย!! เขี่ยอย่างกับเป็นกุ้งแห้ง!!...
“แดกเนื้อสัตว์เยอะๆจะได้ฉลาด” คำว่าฉลาดทำเอามือขาวที่กำลังพันเส้นกับส้อมถึงกับชะงัก ดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมอง
“กู...โง่มากเหรอ”
ดวงตาเรียวจับจ้องคนถาม ก่อนจะวางส้อมลงกับจาน
“ไม่โง่ แต่เซ่อ มีตาแต่ไม่มอง เรื่องไหนที่สนใจก็สนใจฉิบหาย เรื่องไหนไม่สนใจ ต่อให้มาเกิดตรงหน้าก็ไม่คิดอยากจะรู้อะไรเลย กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามึงมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ไง”
ถูกด่ากันตรงๆ ก็ทำเอาเจ้าของคำถามถึงกับอ้าปากค้าง แต่เจียระไนไม่ได้สนใจจะปลอบเท่าไร เขาหยิบส้อมขึ้นมาจิ้มปลาหมึกชิ้นใหญ่เตรียมเข้าปาก แต่นึกขึ้นได้ว่ากำลังจีบอีกฝ่ายอยู่ เพราะฉะนั้น ด่าแล้วก็...น่าจะลูบหลังสักหน่อย
“...จิตตกอะไรมาอีกล่ะ กูพาไปทะเลอีกรอบมั้ย”
“ไม่ต้องหาเรื่องพากูหนีเที่ยวเลย” ทะเลคลายเครียดคราวก่อน สิตางศุ์คิดว่าเกลือน่าจะขึ้นเบาะรถของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เพราะพวกเขากลับมาทั้งชุดที่ใส่ลงทะเลนั่นแหละ ถึงแม้ชุดจะแห้งแล้ว แต่ตามเนื้อตัวก็เหนียวไปหมด ตอนลงจากรถที่หน้าคอนโดเขา ยังมีเศษทรายติดตัวมาด้วยซ้ำ
เจียระไนยักไหล่ไม่พูดอะไรก้มหน้าม้วนเส้นเข้าปาก แต่ไม่วายชี้ไปที่กุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ที่วางอยู่ข้างจานของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แดกๆ กุ้งนั่นอร่อย”
…โฆษณาซะหน่อย เดี๋ยวแม่งมีตาแต่ไม่มอง เสียของกูอีก!...
มือขาวใช้ส้อมจิ้มเอาเนื้อกุ้งที่ถูกผ่าครึ่งซีกออกมา แต่ความกังวลใจก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวจนอดใจไม่ไหวต้องตั้งคำถามอีกหน
“โจ๊ก...เวลามีคนเข้ามาจีบมึง มึงรู้ตัวมั้ย”
“หะ? ใครจีบกู?”
“เอ่อ...กู...กูถามเฉยๆ แบบ...แบบ...คนปกติ เขารู้ตัวกันมั้ยว่าถูกจีบอยู่...” สิตางศุ์เป็นพวกโกหกไม่แนบเนียน ตั้งตัวละครสมมติก็ไม่แนบเนียน คำถามแบบนี้ชี้เป้าไปที่เจ้าตัวนั่นแหละว่ากำลังถูกจีบอยู่...และน่าจะถูกคนอื่นที่ไม่ใช่เจียระไนจีบด้วย!
“มีใครจีบมึงนอกจากกู”
“ท...ทำไม...ทำไมถามงี้ล่ะ”
คำตอบไม่ยากเลย เพราะมีคนอีกมากที่หมายตาสิตางศุ์อยู่ เพียงแต่พวกนั้นไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามาหา จะมีก็แต่ผู้ชายที่ชื่อเจียระไนนี่แหละที่ก้าวเท้าจากวงนอกสุดเข้ามานั่งกินข้าวด้วยกันมื้อที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
“บอกไอ้คนที่จะจีบมึงด้วย ว่ากูก็จีบอยู่ จีบมาพักนึงแล้ว มึงเพิ่งรู้ตัวก็ตอนกูบอกด้วยซ้ำ”
“อ้าว...ก็กูไม่รู้นี่นา ก็มึงเป็นเพื่อนอ่ะ...”
“แล้วคนอื่นที่จีบมึงล่ะ?” คนโกหกไม่เก่งปิดปากเงียบ
“รุ่นน้อง?” คำถามมาอีก ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเล็กน้อยแทนคำตอบทั้งหมด
“พวกไอ้กอล์ฟปี 3 เปล่าวะ สัด! กูอุตส่าห์บอกแล้วนะว่ากูจีบมึงอยู่ อย่าเสือก”
“กอล์ฟไหน”
“กอล์ฟปกครองไง พวกที่มันชอบทักมึงบ่อยๆ จำไม่ได้ล่ะสิ” สิตางศุ์กะพริบตาปริบๆ คิดไม่ถึงว่านอกจากเจียระไนแล้ว มนทิชาแล้ว ยังมีคนอื่นที่คิดจะจีบเขาด้วย
...คนพวกนี้จีบเขาเพราะอะไรนะ?...
“ไหน...มึงบอกว่ากูเซ่อ มีตาแต่ไม่มอง เรื่องไหนที่ไม่สนใจก็ไม่สนใจเลย กูนิสัยแบบนี้ ทำไมถึงจะจีบกูกันล่ะ”
“จีบเพราะชอบ จีบเพราะรัก ไม่ได้จีบเพราะข้อดีข้อเสียนี่หว่า” เจียระไนย้อน ตาเหลือบไปเห็นพวงพริกไทยอ่อนสีเขียวๆในจานอีกฝ่าย เลยชี้
“นั่นมึงแดกมั้ย พริกไทยอ่อน”
“มันมีกลิ่นรึเปล่า”
“กูว่ามี” ใบหน้าขาวส่ายไปมาแทนคำตอบ เจียระไนเลยตักออกมาใส่จานเขาแทน พอเริ่มทานกันต่อ คำถามจากคนไม่รู้ก็มาอีกระลอก
“โจ๊ก...กูมีข้อเสีย แล้ว...แล้วมึงก็ยังจะจีบต่อเหรอ”
“มีใครไม่มีข้อเสียบ้าง มึงเรียกมันมาให้กูดูหน้าหน่อย”
“มันก็ใช่ ทุกคนมีข้อเสีย แต่...ทุกคนก็ไม่ได้มีข้อเสียเท่าๆกัน อย่างมึงงี้ ถึงจะมีข้อเสียแต่...ก็ใจดี...” ริมฝีปากคนฟังกระตุก เจียระไนพยายามกลั้นยิ้มกับคำชม เขากระแอมเบาๆแล้วโยนคำถามกลับไป
“ข้อเสียกูมีอะไรบ้าง ไหนพูดมาซิ”
“อ่า...มึงเอาแต่ใจ ชอบบังคับ ข่มขู่นิดหน่อย เอ่อ...อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย...”
“เดี๋ยวๆ เมื่อกี้กูพูดข้อเสียมึงไม่กี่ข้อเองนะ แล้วทำไมทีข้อเสียกู มึงพูดเยอะ?” คนถูกห้ามไม่ให้พูดต่อหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวลืมเรื่องที่กังวลเมื่อครู่นี้ไปแล้ว
“ข้อดีมึงก็เยอะ...มึงใจดี มึงเอาใจใส่ เอ่อ...แล้ว...แล้วก็...” ใบหน้าขาวขึ้นสีเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยก้มต่ำมองจานอาหารของตัวเอง “...เวลาถูกมึงจีบ กู...รู้สึกดี...”
หัวใจคนฟังถูกล้วงออกมาจากอกแล้วอยู่ในมือขาวที่ถือส้อมหลวมๆนั่นเรียบร้อย ไม่ว่าสิตางศุ์จะบีบจะคลาย มันก็ไม่ดิ้นหนีไปไหนอีกแล้ว ใจของเจียระไนเป็นของคนตรงหน้าโดยสมบูรณ์!
...ถูกจีบ...รู้สึกดี...
...ถูกจีบ...รู้สึกดี...
...ถูกจีบ...รู้สึกดี...
...ไอ้เชี่ย!! กูเอาลิ้นกระทุ้งกระพุงแก้มซ้ายทีขวาทีจนแทบพรุนไปหมดแล้วแต่กูก็ยังกลั้นยิ้มไม่ได้!!!...
“ยิ้มทำไมอ่ะ โจ๊ก”
“เสือก” ด่าคนที่ตัวเองกำลังจีบอยู่ก็นับเป็นข้อเสียหนึ่งของเจียระไนคนนี้เช่นกัน
“ก็มึงยิ้มจริงๆอ่ะ” ดวงตาเรียวๆถลึงใส่อีกรอบ และคาดว่าน่าจะถูกซักเรื่องยิ้มอีกแน่ เจียระไนเลยรีบถามแทรก
“...มึงบอกว่าเวลาถูกกูจีบแล้วรู้สึกดี มึงรู้เหรอว่าเวลาไหนที่กูจีบมึง” คราวนี้สิตางศุ์กะพริบตาปริบๆกับคำถามของคนที่กำลังพยายามลดรอยยิ้มของตัวเองอย่างเร่งด่วน
“อ่า...ตอนไหนที่มึงจีบเหรอ” คนถูกจีบแต่ไม่เคยรู้ว่าถูกจีบนึกย้อนไปในช่วงเวลาที่เจียระไนเข้ามาในชีวิต ตอนไหนบ้างนะ ที่เขากำลังถูกจีบ?...
“เอ่อ...ตอน...ตอนที่มึงใจดีกับกู...” คิดว่าน่าจะใช่ เพราะเจียระไนเคยบอกว่าถ้ากำลังจีบ จะใจดีด้วย
คนรอฟังคำตอบถึงกับถอนหายใจเฮือก
...ให้ตายเถอะวะ! กูทำแทบตาย ทำทุกอย่างตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แต่แม่งเสือกนิยามการจีบของกูว่า ’ตอนที่ใจดี’ ...หมดใจจะด่าจริงๆ!...
“ฟังนะ...กูไม่เคยทำอาหารให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวกูกิน ไม่เคยเล่นกีต้าร์ให้ใครฟัง ไม่เคยอยู่ดีๆก็จองตั๋วไปเที่ยวเพราะเขาจะไป ไม่เคยบอกให้ม้าต้มเก็กฮวย ไม่เคยแวะไปหาวันละหลายๆครั้งเพราะเขาเอาแต่หมกตัวทำงานอยู่ในห้อง ไม่เคยพาใครไปทะเลเพราะเห็นว่าเขากำลังเครียด และกูก็ไม่เคยพูดกับใครยาวๆแบบนี้เพื่อให้เขารู้ว่ากูกำลังจีบเขาอยู่”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยาว 8 ที่นั่งแต่มีคนนั่งอยู่ 2 คนกลายเป็นเงียบกริบ หลังจากคำพูดยาวๆชุดใหญ่ของเจ้าของคอนโดหรู ที่สร้างความเขินแปลกๆในใจคนฟัง สิตางศุ์ก้มหน้านิ่งจนกระทั่งเสียงทุ้มๆดังขึ้นอีกหน
“อ้าว ยังมีกระเพราเหลืออยู่ในจานมึงอยู่เลย กูนึกว่าเอาออกหมดแล้วซะอีก เอามาใส่ในจานกูนี่มา” ดวงตาคู่สวยเหลือบขึ้นมอง ก่อนจะคุ้ยหาใบกระเพราที่ว่า และเจอมันซ่อนอยู่ข้างใต้ผักอื่นจริงๆ มือขาวตักไปใส่ในจานอีกฝ่าย บรรยากาศเมื่อครู่จางหายไปแล้ว เป็นอีกครั้งที่เจียระไนเปลี่ยนเรื่องเพื่อทำให้เขาสบายใจ
...โจ๊กเป็นคนใจดีและเอาใจใส่...
สิตางศุ์ยิ้มน้อยๆ เขาเองก็อยากใจดีและเอาใจใส่อีกฝ่ายบ้าง เพราะฉะนั้น...หาเรื่องหยอกเจียระไนหน่อยดีกว่า
“รู้ว่ากูไม่กินผักมีกลิ่น ก็ยังทำผัดขี้เมาอีก จะแกล้งกูเหรอ”
“เปล่า แต่กูแค่อยากให้มึงรู้ว่ากูทำอะไรอร่อย อร่อยมั้ยล่ะ”
“อื้ม”
“รู้ไว้ด้วยว่ากูชอบกิน แล้วนั่นน่ะ มึงจะแดกมั้ยกุ้ง ปล่อยเอาไว้มันเย็น เนื้อจะแข็ง รีบๆแดกสักที มา กูเลาะให้” แล้วมือใหญ่ก็เอื้อมมาตักกุ้งตัวใหญ่ไปใส่จานตัวเอง เลาะเนื้อออกจากเปลือกเสร็จสรรพแล้วถึงตักกลับมาใส่ในจานสิตางศุ์อีกหน
...โจ๊กเป็นคนเอาแต่ใจ ชอบบังคับ ข่มขู่นิดหน่อย อารมณ์ร้อน แล้วก็หงุดหงิดง่าย...
...แต่...โจ๊กก็มักจะใจดีและเอาใจใส่กันจริงๆนะ...
สิตางศุ์ยิ้มอีกหน
“บ่นกู แต่ก็จีบกู...” ริมฝีปากสีสดพึมพำให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เออ รู้ตัวซะบ้างว่าถูกกูจีบ ถ้ากูถามว่ากูจีบมึงตอนไหนบ้าง แล้วมึงยังตอบกว้างๆว่าตอนที่กูใจดีอีกล่ะก็ กูจะตบปากมึง” คนจริงพูดด้วยท่าทางจริงจังแต่ใจจริงขู่ไปอย่างนั้นเอง และดูเหมือนคนที่เริ่มสนิทกันอย่างสิตางศุ์จะรู้ไต๋แล้วว่าเรื่องตบปากอะไรนั่นเป็นแค่เรื่องขู่เล่นเท่านั้น หน้าขาวๆไม่ได้มีวี่แววสลดเลยแม้แต่น้อย คนจริงถนัดแต่ขู่อย่างเจียระไนเลยต้องเพิ่มดีกรีความเกรี้ยวกราดอีกสักหน่อย
“รีบแดกได้แล้ว! จะให้กูสอนเล่นกีต้าร์มั้ย?!!”
“สอนๆ ไปเล่นตรงระเบียงนะ กูอยากดูไฟตึกนั้นด้วยอ่ะ” ตึกคราวก่อน ที่เจ้าของคอนโดใช้เป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่นานๆนั่นล่ะ ดูเหมือนแขกจะติดใจ ทั้งๆที่เขาก็ว่าไม่เห็นมันจะต่างจากตึกอื่นเท่าไร แต่...ในเมื่อมันอยากดู ก็...
“มึงจะทำอะไรก็ทำเหอะ! แต่ตอนนี้แดกให้เสร็จ! เส้นแข็งหมดแล้วมั้ง เอาแต่พูดอยู่นั่น” สิตางศุ์ยิ้มน้อยๆ แต่ก็ไม่ชวนคุยอะไรอีก เขาม้วนเส้นกับส้อมแล้วเข้าปาก แม้จะต่างคนต่างทานจานของตัวเอง แต่สายตาจากดวงตาเรียวๆก็คอยสอดส่องมาที่จานเขาเสมอ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายลุ้นว่าเขาจะทานหมดมั้ย และจะทานได้รึเปล่า หากนี่จะนับเป็นเรื่องหนึ่งของการจีบ ก็คงเป็นการจีบที่เอาใจใส่ที่สุด อ่อนโยนที่สุดและเงียบเชียบที่สุด
...การถูกโจ๊กจีบ เป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตเลย...
.................................
เพราะการถูกเจียระไนจีบ มันเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ตัว แล้วพอรู้ตัว การกระทำเหล่านั้นก็กลายเป็นความคุ้นชินของสิตางศุ์ เจียระไนอยู่ข้างๆเหมือนเพื่อน บางครั้งก็ดุเหมือนพี่ แต่การกระทำทุกอย่างแฝงนัยของคนที่เอาใจใส่และพร้อมเรียนรู้เรื่องของกันและกัน ไม่เหมือนกับ...การถูกจีบจากอีกคน...
‘พี่โซ่ อรุณสวัสดิ์ค่ะ’
‘ตอนปีหนึ่ง พี่โซ่เรียนอะไรบ้างคะ ลงเลือกเสรีเลยมั้ย’
‘พี่โซ่เรียนภาษาอะไรเป็นภาษาที่สามเหรอคะ เขาบอกกันว่าภาษามาเลย์ อาจารย์ให้เอง่าย’
‘มี่อยากเข้าชมรม พี่โซ่ว่ามี่เข้าชมรมไหนดีคะ’
และอีกสารพัดข้อความที่มนทิชาส่งมาหาเขา นับตั้งแต่การแลกเบอร์ในร้านหมูกระทะวันนั้น สิตางศุ์ไม่รู้ว่าเพราะคำเตือนจากน้องรหัสรึเปล่า เขาถึงรู้สึกอึดอัดกับการเข้าหาของรุ่นน้องคนนี้
...แต่...แต่...น้องมี่ก็ไม่ได้ถามอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเท่าไร ยกเว้นเรื่องกลับรึยัง มาเรียนรึยังอะไรนั่น ส่วนใหญ่เน้นขอคำปรึกษามากกว่า...
...บางที...ปกอาจจะคิดมากไปเอง...น้องมี่อาจจะไม่ได้คิดจะจีบก็ได้...
“ตรงนี้ว่างมั้ยคะ” เสียงใสๆดังขึ้นข้างๆ ทำเอาสิตางศุ์ที่กำลังไล่ดูข้อความที่เขาส่งโต้ตอบกับน้องรหัสของเพื่อนสนิทถึงกับสะดุ้งเฮือก รีบคว่ำโทรศัพท์ลงกับโต๊ะแล้วเงยหน้ามอง
...น้องมี่...
เด็กสาวเจ้าของเสียงส่งยิ้มหวานๆมาให้ แล้วส่งสายตาไปที่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งไม่มีใครนั่ง
...ใช่...โรงอาหารตอนสายๆแบบนี้ แทบไม่มีคน ไม่ใช่แค่ที่โต๊ะของเขาที่นั่งเพียงลำพัง แต่ไม่ว่าจะมุมไหนๆของโรงอาหารก็ว่างแทบทั้งนั้น
แต่...น้องมี่ก็ยังขอนั่งกับเขา สิตางศุ์พยายามคิดในแง่ดีว่าน้องไม่อยากนั่งคนเดียว เลยหาคนรู้จักนั่งด้วย
“ว่างครับ”
“มี่ขอนั่งด้วยนะคะ” แล้วหล่อนก็เดินไปทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม หนุ่มรุ่นพี่ปีสี่ถึงกับขยับตัวอย่างอึดอัด สายตาที่หล่อนจ้องเขาให้ความรู้สึกแปลกๆ
“วันนี้พี่โซ่ไม่มีเรียนเหรอคะ”
“ครับ แวะมาห้องสมุดน่ะ” เจียระไนมีเรียนเช้า เขาก็เลยมานั่งเล่นห้องสมุด พอเริ่มหิวก็เลยมานั่งทานข้าวที่นี่ ส่วนเพื่อนซี้อีกสองคนมีเรียน เวลานี้สิตางศุ์ก็เลยหัวเดียวกระเทียมลีบ
“แล้ว...น้องมี่ล่ะ” ถูกถามอยู่ฝ่ายเดียวก็ดูไม่มีมารยาท ร่างโปร่งเลยตั้งคำถามกลับไป
“มีค่ะ แต่...มี่หิว...ก็เลยแวบออกมา”
“อ้อ...แล้วสั่งอะไรรึยังล่ะ”
“สั่งแล้วค่ะ...เอ่อ...พี่โซ่ทานเสร็จแล้วเหรอ”
“ครับ...” เขากำลังจะขอตัว แต่เด็กสาวรีบพูดอย่างรวดเร็ว
“นั่งเป็นเพื่อนมี่ก่อนได้มั้ยคะ”
คำพูดของหล่อนทำเอาหนุ่มรุ่นพี่ไม่กล้าลุกจากโต๊ะ นิสัยเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจกับคนอื่นกำลังแสดงปาฏิหาริย์ ยิ่งเห็นสีหน้าเหงาๆของเด็กสาวปีหนึ่ง เขาก็ยิ่งลุกไม่ขึ้น
“อ่า...ได้ครับ...” เสียงเรียกจากร้านข้าว ทำให้มนทิชาลุกจากโต๊ะไปรับอาหาร ก่อนจะกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งและนั่งฝั่งตรงข้ามกับรุ่นพี่ปีสี่อย่างสิตางศุ์
โรงอาหารยามสายนั้นค่อนข้างเงียบ แต่ที่เงียบยิ่งกว่าคือที่โต๊ะของรุ่นพี่หนุ่มและรุ่นน้องสาว มันเงียบ...เพราะสิตางศุ์ไม่ใช่คนช่างคุย ในขณะที่มนทิชาก็ไม่พูดอะไร หล่อนละเลียดข้าวช้าๆ บางทีก็เงยหน้าขึ้นมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาที่ทำเอาคนถูกมองรู้สึกหายใจไม่สะดวก
“มี่มีเรื่องอยากจะปรึกษาพี่โซ่เยอะเลย ก็เลยถามบ่อยๆ ถ้าพี่โซ่ไม่ว่างตอบ ก็...ไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะคะ มี่รอได้” หล่อนออกตัว ข้อความที่ส่งไปถามเขานั้นได้รับคำตอบทุกครั้ง แต่...ไม่ใช่การตอบอย่างรวดเร็ว บางทีทิ้งเอาไว้เป็นวัน กว่าจะตอบกลับมา มนทิชาคิดเอาว่าอีกฝ่ายปีสี่แล้ว อาจจะยุ่งทั้งเรื่องเรียนจบ เรื่องงาน เรื่องอนาคต แต่...ถึงอย่างนั้นหล่อนก็อยากคุยกับเขา
“เอ่อ...พี่...ขอโทษจริงๆที่ตอบช้า...” สิตางศุ์รู้สึกผิด ที่ดูเหมือนเขาไม่ใส่ใจรุ่นน้องคนนี้เท่าที่ควร ทั้งๆที่มนทิชามาปรึกษาเขา แม้ว่าการปรึกษาของหล่อนจะถี่ยิบก็ตามที
“ไม่เป็นไรค่ะ มี่...อยากคุยกับพี่โซ่...ไม่รบกวนเกินไปใช่มั้ยคะ” คนเป็นรุ่นพี่ถึงกับชะงักกึก สายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมานั้นคาดหวังคำตอบเดียว และมันก็ทำให้เขาพูดคำตอบอื่นไม่ได้
“ม...ไม่...”
“ถ้างั้น...มี่จะขอโทร.หาพี่บ้างนะคะ...”
“ด...ได้...”
สิตางศุ์รู้ตัวดีว่าเขาใจอ่อนเสมอ โดยเฉพาะกับเด็ก กับคนแก่ กับผู้หญิง แล้วยิ่งมาพร้อมสายตาเว้าวอน ถ้าแถมน้ำตาด้วยล่ะก็ ร้อยละร้อย ใจเป็นต้องอ่อนยวบ
“พี่โซ่ใจดีจัง งั้น...มี่...ไปเรียนก่อนนะคะ” มือเล็กรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกันทั้งๆที่ยังทานไม่ถึงครึ่ง แล้วส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้าอีกทีก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไป
สิตางศุ์รอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายพ้นโรงอาหารไปแล้ว เขาถึงได้ไถตัวลงหมอบกับโต๊ะแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม
...แย่แล้ว โซ่...แย่แล้ว...ทำไมไม่รู้จักปฏิเสธ!...
ติดตามตอนต่อไป (พฤหัสหน้าค่ะ)
อย่าโกรธโซ่นะคะ อย่าโกรธธธธธธ
โซ่อยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ก็ต้องงุนงง ไม่เข้าใจ ระบุความรู้สึกไม่ได้เป็นธรรมดา รักโซ่ต้องให้เวลาโซ่ (เข้าใจมั้ยโจ๊กกกก)
ส่วนพระเอกโจ๊ก พาร์ทนี้มาน้อยๆ เพราะไม่ใช่เวลาของมัน หวังว่าทีมโจ๊กทุกคนจะเข้าใจและคอยสนับสนุนโจ๊กต่อไป เพราะโจ๊กยังคงต้องการกำลังใจและความสงสารจากทุกๆคนค่ะ ฮ่าฮ่า (เวลามีคนหวีดโจ๊ก ออกตัวว่าเป็นทีมโจ๊ก จะรู้สึกดีใจมาก ที่ทำให้ผู้ชายสองหน้าคนหนึ่งเป็นที่รักใคร่เอ็นดู กร๊ากกกกก)
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้นท์ คนติดตามและกำลังใจเช่นเคยค่ะ
เจอกันพฤหัสหน้า อ่า...พร้อมผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืน (ผืนเล็กๆก็พอ)