ตอนที่ยี่สิบ: เสือคะ…
เมื่อคืนมีความสุขมากจะพูดแบบนี้ได้เต็มปากก็ได้ แต่ก็อายตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่เราใกล้กัน ได้คุยกันมากขนาดนี้ จริงอยู่ที่ผมยอมรับกับตัวเองว่าชอบไอ้เสือ แต่ผมไม่ได้ยอมรับกับมันว่ารู้สึกยังไง มันคงยังไม่รู้ และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะรู้สึกได้หรือเปล่าว่าผมคิดยังไง
วันนี้เป็นวันแรกของภาคเรียนที่สอง พวกไอ้โก้ไอ้เจมส์ก็เจอกันครั้งแรกหลังกลับมาจากทะเล จะมีก็แต่ไอ้ฟาร์มที่ผมยังไม่ได้เจอ และไม่รู้ว่ามันเป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมคุยกับผม โกรธอะไรก็ไม่ยอมพูด ผมยอมง้อคนก็จริงแต่ในเมื่อเรื่องที่ผมไม่ผิดให้ตายก็ไม่ง้อ ถึงจะเหงาๆบ้างก็เถอะเวลาที่ไม่ได้คุยกับมัน
เลิกเรียนผมกลับจากมหาลัยและตรงไปยังที่ทำงาน และเลิกงานตามเวลาเดิมและคนที่มารับก็คือไอ้พี่หมาก เพราะตอนนี้ไอ้เสือมันยังขับรถเองไม่ได้ ถึงมันขับได้ก็ไม่ให้ขับ
จะขับรถแข็งขนาดไหนก็ไม่ไว้ใจ เพราะถ้าเราไม่ชนเขา เขาก็ชนเรา อันตรายทุกทาง ทางที่ดีรอให้ร่างกายหายเป็นปกติก่อนแล้วค่อยขับจะดีกว่า และคงต้องหยุดขับรถไปอีกนานเพราะกว่าจะได้เอาเฝือกออกก็คงเป็นเดือน
มันคงต้องคิดถึงน้องกวางแน่ๆ ไม่ใช่แค่มัน ผมกับพี่หมากก็คิดถึง บ้านมันเงียบมากเพราะจากที่เคยมีเด็กน้อยตอนนี้กลับไม่มี
ผมกลับมาจากที่ทำงานก็ถึงบ้านประมาณเกือบตีหนึ่ง พี่หมากเข้าห้องของมันไปแล้วหลังจากที่นั่งกินข้าวด้วยกันครู่หนึ่ง ตอนนี้เหลือไอ้เสือที่ไม่รู้ว่ามันกินอะไรไปแล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่ากำลังนั่งทำงานงกๆอยู่หรอกนะ ถึงมันจะเจ็บ ก็แอบเห็นว่าเอางานมาทำต่ออีกด้วย แม่งจะขยันไปไหนวะ!?
ก๊อกๆ!
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังจะเอาหนังสือมาอ่านนิดหน่อย เพราะสงสัยว่าพรุ่งนี้งานตั่งต่างมันจะไหลลงมาทับหัวบี้แน่ ผมไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปซะเลย
กำลังตัดใจอยู่จริงๆ แต่เพราะกลัวว่ายังไม่ได้กินข้าวเฉยๆหรอกเลยเข้ามาถาม เพราะมีข้าวมันไก่ที่ซื้อมาเกินอยู่หนึ่งห่อแล้วไม่มีใครกิน
ถึงกำลังอยู่ในโหมดตัดใจก็ใช่ว่าเราจะห่วงเขาไม่ได้ หนำซ้ำมันยังเจ็บอีก สาบานได้ว่ากูไม่ได้ออยากห่วงมึงเล้ยยยย! ไอ้เสือ
เมื่อประตูเปิดออกภาพตรงหน้าที่ปรากฏคือคนแขนหักที่พยายามใช้มือเดียวพิมพ์งาน ไอ้เสือเหลือบตาขึ้นมามองผมนิดหน่อย จากนั้นก็ก้มหน้าพิมพ์งานต่อ “มีไร?” เขาถาม
“กินข้าวกินยาหรือยัง” ผมยืนพิงกรอบประตูที่ภายในห้องเปิดแอร์เย็นจัด จนกางเกงบอลตัวเก่าของผมก็ช่วยบดบังความเย็นไม่ค่อยจะได้ คือมึงจะร้อนอะไรขนาดนี้วะ
“เอ้อ!…ลืมไปเลย” ถึงเสียงจะดูตกใจขนาดไหน แต่ก็ยังคงพิมพ์งานหน้านิ่งๆไม่ได้รู้สึกตกใจเหมือนน้ำเสียงเลย “ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
“ตีหนึ่งกว่าแล้ว!”
ห่าเอ้ย! คนบ้าอะไรลืมกินข้าวจนถึงตอนนี้ คือแบบ…มึงไม่รู้สึกว่าท้องมันว่างจนหิวบ้างเลยหรือไง
“ทำไม จะทำอะไรให้กิน”
“มีข้าวมันไก่เหลืออยู่หนึ่งห่อจะกินไหม?”
“ถ้าเอาใส่จานมาให้ก็กิน”
“เออ! ก็จะเอามาให้นี่ไงเลยถาม” ก่อนจะรู้สึกอยากตีไอ้เสือมากกว่านี้เลยหมุนตัวออกมาจากหน้าห้องมันด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้หงุดหงิดมันมากขนาดนั้นหรอก แค่แกล้งทำไปเฉยๆ คือมันต้องคีพลุคไงครับหัวหน้า ถ้าแสดงออกมาว่าเป็นห่วงเดี๋ยวมันจะได้ใจ เพราะผมบอกแล้วไงว่าจะตัดใจ!
ไม่นานข้าวมันไก่ก็ถูกแกะใส่จานเรียบร้อยพร้อมกับราดน้ำจิ้มใส่ในข้าวให้เสร็จสรรพ ผมรู้ครับมันชอบกินแบบนี้
“ข้าว” ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่มันใช้ตั้งคอม “แล้วยาอยู่ไหน”
“อยู่บนหัวเตียง”
ผมเดินไปหยิบยาตรงตำแน่งที่มันว่า จากนั้นก็ดูว่าต้องทานตัวไหนอะไรยังไงบ้าง จัดทุกอย่างให้พร้อมและตบท้ายด้วยการเอาน้ำดื่มขวดเล็กมาวางไว้ให้ข้างกาย คือทำให้ถึงขนาดนี้แล้วไอ้เสือมันก็ยังไม่แม้แต่จะหันมาสนใจข้าวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย มัวแต่พิมพ์งานจนผมเริ่มรำคาญ เข้าใจครับว่าเร่งแต่สละเวลามากกินข้าวสักห้านาทีมันจะตายไหมวะ! ยาก็ยังไม่กินแล้วชาติไหนมึงจะหาย!
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยทำก็ได้มั้ง?” ตอนแรกคิดว่าจะเดินออกไปแบบไม่สน แต่คือมันอดไม่ได้ อยากจะตบให้กะโหลกร้าวซะจริง
“เดี๋ยวใกล้เสร็จแล้ว”
โอเค…ใกล้เสร็จ
ผมยืนรอดู อยากรู้ว่าไอ้คำว่าใกล้เสร็จของมันน่ะนานแค่ไหน แต่จนแล้วจนรอดตอนนี้สิบนาทีเข้าไปแล้วมันก็ไม่ยอมมากินข้าวสักที และขณะที่ยืนดูมันก็ยังทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้สึกตัวใดๆทั้งสิ้นจนเริ่มหงุดหงิดเข้าไปทุกที ง่วงก็ง่วง ให้ตายเถอะไอ้ฝัด!
สุดท้าย…
เป็นตัวผมเองที่ทนไม่ไหว เดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆมันพร้อมกับถือจานข้าวมันไก่มาไว้ในมือ “อ้าปาก” และตักข้าวจะป้อนเข้าปากคนเจ็บ ที่มัวแต่บ้างานจนไม่ยอมกินข้าว
ช้อนที่จ่ออยู่ใกล้กับริมฝีปากของไอ้เสือมาก จนเจ้าตัวถึงกับเหลือบตามองผมนิดหน่อย เหมือนจะถามอะไรแต่ก็ไม่และก็ยอมเปิดปากทานข้าวที่ผมป้อน จากคำแรกจนคำที่สองมาเรื่อยๆระหว่างนั้นเราเงียบมาก จนมีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศและแป้นพิมพ์จากโน๊ตบุ๊คเท่านั้น ข้าวในจานตอนนี้เริ่มหมดและผมก็เริ่มง่วงรู้สึกเหมือนเปลือกตากำลังจะปิดอยู่รอมร่อ
“กินยา” แต่ยังคงมีสติอยู่ พอข้าวหมดจานเลยยื่นยาที่เตรียมไว้ให้มัน เสร็จแล้วจะได้เข้าไปนอนสักที เป็นไงหนังสือก็ยังไม่ได้อ่าน เหลือบมองดูนาฬิกาก็เกือบตีสองแล้ว
ไอ้เสือรับยาไปกินอย่างว่าง่าย “ง่วงก็นอน” สงสัยมันเห็นว่าผมอาปากหาวจนแทบจะกินหัวคนได้เลยพูดขึ้นหลังจากที่ทานยาเสร็จ
“ก็กำลังจะไปนอนนี่ไง” ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะๆไอ้เสือใช้มือข้างที่กำลังพิมพ์งานมารั้งแขนผมไว้
“นอนนี่แหละ” พูดเสียงเรียบ ก่อนจะออกแรงดึงให้ผมนั่งลงที่เดิม
“ไม่เอา”
“…” มันไม่ตอบแต่หันมามองหนาผมนิ่งๆ มือก็ยังไม่ปล่อยจากแขนผม “ถ้าไม่นอนกูก็จะจับมึงไว้อย่างนี้แหละ”
“มึงลองคิดดูนะ มึงกับกูใครได้เปรียบ” แหม…คิดจะออกคำสั่งกับกู ง่ายไปหรือเปล่า!?
“อย่าคิดว่ามีมือเดียวแล้วจะทำอะไรไม่ได้” ไอ้เสือพูดเสียงเรียบ “แต่ก็ดี ถ้าเจ็บกว่าเดิม กูจะได้มีคนดูแล”
โธ่… ไอ้ฟายยยยยย!! แค่นี้กูยังไม่ดูแลมึงหรือไง!?
“แล้วที่กูทำอยู่นี่ไม่ได้กำลังดูแลหรือไง?” อ้าวฉิบหายแล้ว มันรู้หมด แอบเห็นนะว่าครู่หนึ่งมันอมยิ้ม
ร้ายกาจ!
“หมายถึงดูและตลอดชีวิต เพราะถ้าแขนกูใช้การอีกไม่ได้มึงต้องดูแลกูตลอดชีวิต”
แค่กๆ! ไอ้ฝัด! คำพูดมึงนี่ทำกูแทบสำลักน้ำลายตัวเอง
“กูรู้มึงไม่กล้าทำหรอก มึงมันขี้สงสาร” แหม… ยังมีหน้ามารู้ใจกูอีกนะ!
“งั้นก็ปล่อย จะได้นอนสักที!”
เออ! กูมันคนขี้สงสารที่ชอบมึงไง!
ไว้เดี๋ยวรอมันหลับแล้วค่อยหนีออกไปก็ได้
มันยอมปล่อยแต่โดยดี ผมเลยกระโดดขึ้นเตียง และเลือกที่จะนอนฝั่งติดกำแพง นอนเคลิ้มไปมาได้สักสิบนาทีก็รู้สึกเหมือนมีคนขึ้นมาบนที่นอน ถึงกำลังจะเคลิ้มหลับแต่ก็พอรู้ว่ามันเป็นใคร แล้วไม่นานความมืดก็เริ่มโรยตัวเข้าครอบครองภายในห้อง ผ้าที่ใช้ห่มโดนขยับไปมาไอ้เสือคงเอาไปห่มด้วย เพราะในห้องมีผ้าแค่ผืนเดียว
ช่างมันเถอะตอนนี้ไม่ได้สนอะไรแล้ว เนื่องจากง่วงมาก… แต่ก่อนจะหลับสนิทจริงๆ รู้สึกว่าบางอย่างที่อบอุ่นกำลังคืบคลานเข้ามาเกาะกุมมือผม
“ขอจับมือได้ไหม?” ไอ้เสือถามผมหลังจากนั้น
จริงๆจับขนาดนี้แล้วไม่ต้องขอก็ได้หรอกไอ้ห่า!
ไม่สิ! จริงๆผมไม่น่ายอมนอนในห้องมันเลย!
หกอาทิตย์ต่อมา…
จากวันกลายเป็นอาทิตย์และหลายอาทิตย์ก็กลายเป็นเดือน สาบานได้ว่าชีวิตผมวนลูปอยู่กับไอ้เสือในทุกๆวันเราตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาที่เจอหน้า เว้นก็แต่ตอนไปเรียน และบางอาทิตย์ผมก็ต้องช่วยมันดูน้องกวาง เราค้างบ้านน้าเล็กบ้างในบางครั้ง
และเชื่อเถอะว่าผมกำลังตัดใจ แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วรู้สึกได้ว่ามันน่าจะใช้ความพยายามมากกว่าเดิมมาก
โธ่เว้ย!
โชคดีหน่อยที่วันนี้มันต้องไปเอาเฝือกออกแล้วเลยคิดว่าไม่ต้องดูแลอะไรอีก วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมกลับมาจากที่ทำงานด้วยสภาพที่อ่อนล้าเต็มที ในตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมต้องทั้งเรียน ทำงาน พ่วงด้วยการดูแลไอ้เสืออีก คิดว่าผมจะมีสภาพเหมือนศพขนาดไหน เดินผ่านกระจกทียังแทบไม่กล้ามอง
มีอีกเรื่องนะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผมยังไม่ได้คุยกับไอ้ฟาร์มเลย จำได้ว่าเดินสวนกับมันที่แคนทีน ไอ้ฟาร์มมันเดินมากับเพื่อน มันเห็นผมแต่เราไม่ได้ทักกัน ไอ้เชี่ยฟาร์มมันทำผมหงุดหงิดมาก อยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่ทำหรอก เพราะถ้าผมถามแสดงว่าผมแพ้ แพ้ให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ผมไม่ได้ทำผิด
และวันนี้คนที่มารับจากที่ทำงานก็คือไอ้พี่หมาก ช่วงนี้นี่ว่างรับผมเหลือเกิน มันเลยทำให้ผมมีเวลาคุยกับพี่มันมากขึ้นนะ พอเรากลับมาถึงบ้านต่างคนก็ต่างแยกย้ายและไอ้เสือผมก็ยังไม่เห็นหน้าเลยตลอดทั้งวันนี้ คงไปไหนไม่ได้ไกลหรอกนอกจากบ้านน้าเล็ก และวันนี้มันคงไม่กลับ
หลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้อยู่กับมันตลอดจนรู้สึกเหมือนหลายเดือน มันก็รู้สึกดีนะ แต่รู้สึกผิดมากกว่า จะสุขก็สุขไม่สุด ทั้งกับตัวเองและน้องกวาง หวังว่ามันจะไม่มีอะไรแบบนี้อีกนะ… แต่มันจะได้เหรอวะ อยู่บ้านเดียวกันเจอหน้ากันทุกวัน ผมจะทำได้จริงๆเหรอ…?
วันต่อมา…
วันนี้ตื่นค่อนข้างสายเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปทำงานเพราะร้านหยุดแต่วันนี้พวกไอ้โก้ ไอ้เจมส์ชวนไปร้านกาแฟไปอ่านหนังสือ คือ…มึงมาอ่านที่บ้านกูก็ได้ไหม จะเหาะไปทำไมที่ร้านกาแฟ เปลืองเงินกูไหมล่ะไอ้ฝัด! แต่ก็นั่นแหละถึงจะแอบบ่นพวกมันในใจผมก็ต้องไปอยู่ดี คือพวกมันเรียนเก่งกว่าผมนิดหน่อยเลยจะไปอาศัยให้ติวให้ด้วย ไม่งั้นอย่าหวังว่าคนขี้เกียจแบบผมจะไป
ผมอาบน้ำแต่งตัวว่าจะออกไปหาอะไรกินสักหน่อยเพราะกว่าจะไปหาเพื่อนก็ตอนเย็นๆ ตอนนี้ก็ยังไม่เที่ยงเลยหาอะไรลองท้องก่อนน่าจะดีกว่า และว่าสงสัยพี่หมากยังไม่ตื่น เห็นว่ารถมอเตอร์ไซค์ยังจอดอยู่หน้าบ้าน ส่วนไอ้เสือนี่คงยังไม่กลับเพราะไม่เห็นซูโม่เอ็กซ์จอดอยู่ที่ของมัน
แต่… อยู่ๆเสียงรถคุ้นหูก็ดังขึ้น ไม่มีคันไหนหรอกนอกจากไอ้ซูโม่เอ็กซ์ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินมานานเป็นเดือน ไม่นานเจ้าของรถก็โผล่มาพร้อมกับลูกสาวเขา “อ้าว! ไม่ได้ไปทำงานเหรอ?” คงเห็นว่าผมยังอยู่บ้านทั้งที่น่าจะไปทำงานแล้ว
“ไม่” ผมไม่ได้ตอบอะไรมาก และกำลังจะเดินออกไปข้างนอก เพื่อหาอะไรกิน
“กินข้าวยัง น้าเล็กทำจับฉ่ายมาฝาก”
และสุดท้ายเลยพับเก็บโครงการที่ว่าจะออกไปหาอะไรกิน เปลี่ยนมาเป็นการกินจับฉ่ายที่น้าเล็กเอามาฝาก
“ไอ้หมากล่ะ?” มันเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับส่งน้องกวางให้ผมอุ้ม “ฝากก่อน”
เดี๋ยวนะ…?
และมันก็หายไปในห้องพร้อมกับสัมภาระของน้องกวาง มันคงยังยกของหนักไม่ได้เท่าไร คือแค่ใช้งานแขนได้นิดหน่อยเพราะเมื่อครู่เห็นอุ้มน้องกวางด้วยแขนข้างเดียวนะ
“ว่าไงอ้วน”
“จะ จ้า…” ดูว่าเด็กอ้วนจะอารมณ์ดี เพราะพอหยอกแล้วเธอมีปฏิกิริยาตอบโต้
“ไปปลุกอาหมากกัน” ผมพาเด็กอ้วนเดินเข้ามาในห้องของพี่หมาก โชคดีที่ไม่ได้ล็อคเลยถือวิสาสะเดินเข้าไป ผมปล่อยให้น้องกวางปลุกไอ้พี่หมากด้วยการให้เธอขึ้นไปเล่นบนเตียงพี่มัน จากนั้นไม่ถึงห้านาทีคนบนเตียงก็ตื่นขึ้นมา
พวกเราใช้เวลาทานข้าวด้วยกันหลังจากนั้น เหมือนมันเป็นความเคยชินไปแล้วนะ ถ้าเราทานข้าวกันที่บ้านแล้วอยู่กันครบก็ต้องมานั่งทานด้วยกัน ขนาดตอนนั้นที่อยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างอึดอัดระหว่างผมกับไอ้เสือ เรายังต้องมานั่งทานข้าวด้วยกันเลย
เสร็จแล้วหลังจากนั้นเราก็แยกย้าย พี่หมากมันกลับไปนอนต่อ ส่วนไอ้เสือก็ไปนั่งทำงานอะไรของมันต่อก็ไม่รู้ และมันจะมีใครดูน้องกวางถ้าไม่ใช่ผม
พาน้องกวางเล่นอยู่ตรงกลางบ้าน ตรงส่วนของพื้นที่นั่งเล่น นั่งไปนั่งมาสักพักเป็นผมเองที่เริ่มง่วงทั้งที่นอนเพิ่งตื่น อาจเพราะเพิ่งกินข้าวเสร็จหนังตามันเลยเริ่มหย่อน
“จะ…จ้า” “ป ปิ ปิน” หืม… เหมือนน้องกวางจะเรียกชื่อผมเลย
น้องกวางส่งเสียงจ้อ พร้อมกับพยายามปีนขึ้นมาเล่นบนตัวผม ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนพื้น “อะไรอ้วน”
“จ้ะ จ้า” น้องกวางพยายามให้ผมเล่นกับเธอ เอาของเล่นที่เกลื่อนกลาดบนเบาะนอนมาให้ผม แต่ขอโทษนะอ้วนตอนนี้ไม่มีอารมณ์เล่นเลย ง่วงมาก…
ถึงน้องกวางจะกวนมากขนาดไหน ยังไงก็ไม่มีผลต่อฟังก์ชันเพราะมันง่วงมากจริงๆ
(บันทึกของเสือ)
งานที่ทำค้างไว้ยังไม่เสร็จหนังสือก็ต้องอ่าน เทอมหน้าก็ต้องเตรียมหาที่ฝึกงาน อ่า…แค่มองอนาคตก็เหนื่อยแล้ว ผมพักสายตาจากคอมตรงหน้าและออกจากห้องมาข้างนอก ดูน้องกวางว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง และภาพตรงหน้าที่ปรากฏคือน้องกวางกำลังนั่งเล่นข้างๆปิง ซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้แหละกินอิ่มหน่อยไม่ได้ชอบหลับตลอด ถ้าอาหารไม่ย่อยขึ้นมาจะหัวเราะให้
ผมเอาผ้าผืนบางมาคลุมตัวให้คนหลับ ผมรู้ว่ามันขี้หนาว และถ้านอนก็ต้องมีผ้าสักผืนมาห่ม ผมเอาน้องกวางไปนั่งเล่นต่อในห้อง พร้อมกับนั่งทำงานไปด้วยจนสักพักเธอก็ผล็อยหลับไป ผมอุ้มน้องกวางไปนอนบนเปลที่ตั้งอยู่ข้างเตียง
จากนั้นเลยออกไปดูคนข้างนอกว่ามันตื่นหรือยัง และก็ยังเหมือนเดิม ไอ้ปิงยังนอนอยู่ที่เดิมจนกลัวว่ามันจะปวดหลังเลยคิดว่าจะปลุกให้มันเข้าไปนอนในห้องดีๆ
“เฮ้ยย” ผมแกล้งดึงผ้าห่มผืนบางที่มันนอนกอดอยู่ออกมา ปิงส่งเสียงพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด “ไปนอนในห้องดีๆ” พร้อมกับดึงแขนยาวๆของมันให้ลุกขึ้นตาม ถึงตัวจะมาตามแรงที่ผมดึงแต่เปลือกตาก็ยังไม่เปิดขึ้น
มันจะรู้ตัวไหมครับว่าตอนนี้มันแม่งโคตรน่ารักเลย!
“ฮือ…อย่ากวนกู” ครั้งนี้เจ้าตัวพูดพร้อมกับปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปนอนดีๆ เดี๋ยวไอ้หมากมันเดินเหยียบหัวมึงหรอก” และครั้งนี้ผมดึงแขนให้มันลุกขึ้นตามได้สำเร็จ ก่อนจะล็อคคอมันไว้แล้วให้เดินตามเข้ามาในห้องผม เพราะมันขัดขืนที่จะไม่เข้าไป ก็แค่เข้าไปนอนน่า…ใครมันจะไปทำอะไร
“ทำไมมันมึงชอบกวนกูจังวะ!” ปิงเริ่มแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมาในขณะที่ผมลากคอมันตามเข้ามาในห้องได้สำเร็จ
“เบาๆเดี๋ยวน้องตื่น” ผมเตือน ไม่ได้แกล้งนะ แต่กลัวน้องกวางตื่นจริงๆ
หน้ามันเริ่มงอแล้วครับ แบบบูดเบี้ยวมาก ตลกจนอย่างถ่ายคลิปไว้ ฮ่าๆ
“อ้ะ!” ผมร้องออกมาแทบไม่ทันตอนที่มันใช้ฝ่ามือทั้งใหญ่ทั้งหนักของมันฟาดเข้าที่กลางหลังผมเต็มๆจนเกิดเสียง
โห…ธรรมดากลัวไม่เป็นที่จดจำหรือไง ฟาดลงมาได้เป็นรอยมือแล้วมั้ง จริงๆไม่อยากเล่นแรงกับมันมากเท่าไร แขนยังดามเหล็กไว้อยู่มันเสียง แต่ก็เอาคืนมันได้เล็กน้อยๆ โดยการเอาข้ออ้างตรงนี้มาเล่น
“โอ้ย! กระทบไปถึงแขนเลย” ผมแกล้งพูด ทำท่าทางให้สมจริงด้วยการปล่อยแขนจากคอมันและจับที่แขนตัวเอง ถ้ามันไม่สังเกตก็คงไม่รู้แต่ถ้าสังเกตครั้งนี้คงไม่โดนตบแต่เป็นโดนต่อยแทน
“เฮ้ย! เป็นไงบ้างวะ?” สุดท้ายก็เป็นไปตามแผน ปิงมันรีบจับแขนผมขึ้นมาสำรวจ ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะมองดูการกระทำของคนตรงหน้าแทน
มันไม่เคยบอกนะว่ารู้สึกยังไงกับผม…แต่รู้สึกว่าระหว่างเรามันมีเส้นบางๆกั้นอยู่เหมือนจะไม่ชอบแต่บางครั้งก็ไม่ใช่
วินาทีนั้นที่ปิงเงยหน้าขึ้นมาจากการสำรวจความเจ็บของผม มันดูอึ้งไปครู่หนึ่ง “ ม มองไร?” จากนั้นก็เอ่ยถามผมด้วยเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบหันหลังหนีพร้อมจะเดินออกไปจากห้อง “ก กูกลับห้องก่อน”
“เดี๋ยวดิ” แต่ก็ไม่ทันผมที่จับข้อมือเจ้าตัวไว้ได้ทัน
“อ อะไร?” ถามทั้งๆที่ยังไม่หันหลังกลับมา
“…” เหตุผลที่ผมรั้งให้มันอยู่น่ะค่อนข้างฟังยาก จนผมไม่กล้าพูดสุดท้ายเลยรู้สึกอ้ำอึ้งพูดไม่ถูก
เหตุผลก็คือ อยากให้อยู่ข้างๆ อยากเห็นในสายตาตลอดเวลา ไม่อยากให้ไปไหน
“ก กูจะไปอ่านหนังสือ”
“…”
“ปล่อยกูได้แล้ว”
“…”
และผมไม่ได้ตอบออกไป เพียงแค่จับแขนมันไวอย่างนั้นไม่ปล่อย และปิงก็ยังไม่ขยับตัวไปไหนเช่นกัน
“ไอ้เสื…”
หมับ!
ผมกอดปิงจากทางด้านหลัง จากที่กำลังเรียกชื่อผมเสียงนั้นกลับหายไปในลำคอ “เมื่อไรกูจะได้คำตอบจากมึงสักที”
ไอ้การกระทำแบบนี้บอกเลยว่าไม่เคยทำกับใคร ผมไม่เคย เอ่อ… อ อ้อน ใช่มันคือการอ้อน ผมไม่เคยอ้อนใครมาก่อนมันเลยอายกับการกระทำของตัวเองนิดหน่อย
“ก กู ขอพูดตรงๆเลยนะ” ปิงพูดพร้อมกับที่ผมซบหน้าผากลงตรงลาดไหล่ของอีกฝ่าย
“…”
“มึงทำอย่างนี้ไม่ห่วงอะไรที่มันจะตามมาในอนาคตบ้างเหรอ?” คำถามของปิงที่เอ่ยออกมาเหมือนมีดที่แทงเข้ากลางใจผมจนรู้สึกเจ็บ นี่คือความจริงที่ผมพยายามหนีมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ตัดสินใจบอกความรู้สึกกับปิง
“…” เริ่มรู้สึกตัวเองงี่เง่าก็วันนี้ ผมไม่ตอบแต่กระชับอ้อมกอดที่กอดรอบตัวของปิงไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
“มึง… ไม่สงสารน้องกวางเหรอ ถ้าวันนี้น้อง…โตขึ้นแล้วสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้”
“…”
“กู… ท ทำไม่ได้จริงๆว่ะ” ความเปียกชื้นหนึ่งหยด ไหลลงประทบแขนผม
“…”
มันกำลังร้องไห้…
“กูเองก็ชอบมึงเหมือนกันนะ ทุกวันนี้กูรู้สึกทรมานเหมือนกัน ว่าเราต่างก็รู้สึกดีเหมือนกันแต่ทำไมถึงรักกันไม่ได้”
“…”
“เพราะกูไม่อยากให้เราทำลายอนาคตเด็กคนหนึ่ง มึงก็รู้ว่าตอนนี้ที่เราอยู่มันเป็นยังไงคนที่ยอมรับก็มี แน่นอนว่าคนที่ไม่ยอมรับก็ต้องมีด้วย”
“…”
“นั่นแหละสิ่งที่กูกลัว…ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ วันที่น้องกวางเติบโตขึ้นและโดนเพื่อนล้อว่าพ่อมีแฟนเป็นผู้ชายมึงไม่สงสารลูกมึงเหรอ…”
“…”
“กูไม่อยากสร้างรอยร้าวในความทรงจำของใคร ยิ่งกับเด็กที่เป็นเหมือนผ้าขาวด้วยแล้ว…”
“…”
“กูเจ็บนะ ไม่ใช่กูไม่เจ็บ”
อย่าร้องได้โปรด…
ผมทำได้แค่เพียงพูดปลอบมันในใจ ไม่กล้าพูดออกไปเพราะปากหนักเกินไป
“ที่มึงพูดมาก็ถูก…แต่มึงรู้ไหมบางครั้งกูก็ไม่อยากสนใจอะไรเลย กูมีความสุขมากในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา มันเหมือนกูอยู่ในความฝัน ฝันว่ามีมึงอยู่ข้างๆ มีน้องกวาง กูมีความสุขมากจนไม่อยากให้ช่วงเวลาของความฝันหมดไป…แต่แล้วกูก็ต้องตื่น”
“…”
“กูอยากเห็นแก่ตัวบ้างแต่กูก็ทำไม่ได้ แค่คิดก็รู้สึกผิดกับน้องกวางจนจะตายอยู่แล้ว”
“…”
“มีใครให้ทางออกนี้กับกูได้บ้าง” “ก กูไม่อยากเสียมึงไปเลย”
“มึงไม่ได้เสียกูไปสักหน่อย ถ้าทางนี้มันไม่โอเค เราเลือกทางอื่นก็ได้ เราเลือกที่จะเป็นพี่น้อง หรือ เจ้าของบ้านกับผู้เช่าที่ดีต่อกันได้”
“…”
ไม่ กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้
“อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เกลียดกัน”
ต่อง!
หลังจากที่ผมเงียบไปพักใหญ่ เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น ผมเลยจำเป็นต้องปล่อยปิงไป ทั้งที่ไม่ได้อยากปล่อยเลย มันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเราจะไม่อยากปล่อยเขาไปขนาดไหน สุดท้ายวันหนึ่งเขาก็ต้องออกกจากพันธนาการของเราอยู่ดี
“เดี๋ยวกูไปดูก่อนใครมา” เสียงของปิงเบาจนแทบไม่ได้ยิน เจ้าตัวบอกผมก่อนที่จะเดินออกไป
ไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้นปิงก็เดินมาหาผมที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน “มีคนมาหา”
ผมไม่ได้ถามว่าเป็นใคร แต่เลือกที่จะเดินออกไปดูด้วยตาตัวเอง
รู้สึกทุกก้าวที่กำลังก้าวออกไปมันหนักอึ้งจนอยากจะหยุดเดิน อยากวางความรู้สึกแย่ๆและภาระทั้งหมดที่แบกไว้ลงข้างกาย ผม… ผมรู้สึกเหนื่อยจนไม่สามารถพาเท้าคู่นี้เดินออกไปไหน
“เสือคะ…”
แต่แล้วหัวใจผมเต้นระรัวด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน เมื่อเสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับภาพตรงหน้าที่ปรากฏในม่านตา
ผู้หญิงคนหนึ่งผมดำขลับ เธอมีรูปร่างค่อนข้างผอมบางกว่าเมื่อก่อนในความทรงจำมาก ส่วนสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบที่ครั้งหนึ่งในอดีตเวลาเดินเคียงข้างผม ส่วนสูงเราจะไล่เลี่ยกัน ผิวขาวซีดน่าถะนุถนอมนั้นผมจำได้ และแน่นอนยิ่งกว่าสิ่งไหนที่ยังคงเป็นภาพติดอยู่ในมโนของผมคือ ดวงตา
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสวย ที่สวยหวานน่ามอง จนไม่อยากละสายตาและแน่นอน น้องกวางถอดแบบดวงตานั้นมาจากเธอราวกับว่าเป็นดวงตาเดียวกัน
ผู้หญิงตรงหน้าบ้านที่ยืนอยู่ตรงรั้วนั้นคือแม่ของน้องกวาง
แก้ม…
TBC...
สวัสดีค่ะ น้องมาแล้ว เย่!
คิดถึงกันมั้ยคะ น้องคิดถึงคนอ่านมากเยยยยยย ก็ไม่มีอะไรมาก เอามาม่าชามน้อยมาเสิร์ฟจ้า
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ เวลาไม่แรงก็ลุกขึ้นมาอ่านคอมเม้น จากนั้นแรงมาเลยจ้า
รักเสมอนะคะ