ตอนที่สิบหก : เราสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเก้าคน
“ปิง…”
เสียงใครก็ไม่รู้คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักที่ดังเข้ามาในหู
แต่…กูไม่ตอบหรอกครับกูจะนอน
“ไอ้ปิง” น้ำเสียงแบบเดิมยังคงเรียกผมอีกครั้ง พร้อมกับสัมผัสที่หนาวเย็นสัมผัสเข้าที่ผิวเนื้อ
“อืออออออ” อย่ามาดึงผ้าเน่ากูนะ
“ไอ้ปิงมีคนมาหา!!” ไม่ว่าเปล่าเจ้าของเสียงนี้พูดกวนอารมณ์ยังไม่พอ หนำซ้ำยังมีหน้ามาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นมาจากที่นอน
ไอ้สัดดดดดดด!! กูจะนอนนนนนน
ได้แค่ก่นด่าอยู่แค่ในใจ เพราะครั้งนี้ยังพอให้อภัยได้เนื่องจากขี้เกียจเปิดตาเปิดปากลุกขึ้นไปด่าจริงๆ
แต่… “โว้ยยยยยย ไอ้เหี้ยหนิ! กูจะนอน!!!” ไม่ถึงหนึ่งนาที แม่งสุดท้ายก็ทนไม่ไหวเป็นอันต้องลุกขึ้นมาในที่สุดเพราะไอ้เจ้าของเสียงนี้มันยังคงส่งเสียงรบกวนการนอนของผมอยู่แล้วคนที่ปลุกนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ… ไอ้เหี้ยเสือ!
มึงมัน…
ฮึ่ยยย!!
ไอ้ฉิบหายไม่รู้หรือไงวะว่ากูไม่ชอบให้ใครมากวนเวลานอน มึงนะมึงนะ! เดี๋ยวมึงโดน
“กูจะนอนนนนนนน” ไม่ยอมครับผมไม่ยอม ดิ้นเร่าๆใส่มันด้วยความขัดใจ เอาสิกล้าปลุกกูอีกก็เอาสิไม่ด่าก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว!
“มีคนมาหา มึงลุกออกไปหาเขาก่อน” แต่ไอ้เสือมันไม่ยอม พูดอีกพร้อมกับดึงแขนผมให้ลุกขึ้นมาจากที่นอนอีกครั้ง
“โว้ยยยย” ฮืออออ กูง่วงจะตายแล้ว
สุดท้ายก็ต้องยอมลุกขึ้นมาจากที่นอนด้วยหน้าตาที่ไม่สบอารมณ์ยับยู่ยี่บูดเบี้ยวไปตามอารมณ์
ฮ้าวววว… อ้าปากหาววอดๆออกมาเพราะแม่งโคตรง่วง
ใครวะแม่งมาหาแต่เช้าวะ ถ้าพวกไอ้โก้ไอ้เจมส์คงไม่ใช่ไอ้ฟาร์มยิ่งไม่ใช่แน่นอนเพราะรายนั้นน่ะเข้ามาแบบไม่ต้องให้ใครมาเรียกแน่ๆ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาหาแล้วนี่มันเป็นใครกันล่ะหนอ
“ปิง…”
หืมเสียงคุ้นๆ
เปลือกตาผมที่แทบปิดลงนั้นกลับเปิดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเพราะเจ้าของเสียงที่เรียกผมเมื่อครู่นี้ก็คือ…
“พี่เพลง…”
ผมไม่ได้ตอบรับ แต่เพียงแค่เอ่ยชื่อเธอเบาๆในลำ ค่อนข้างจะไปทางพึมพำเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
สติที่ค่อนข้างกระเจิดกระเจิงได้กลับเข้าที่ดังเดิมเมื่อเห็นว่าไอ้เสือมันขยับตัวหนีออกไปและทำอะไรสักอย่างจนเกิดเสียงเข้ามาในโสตประสาท นั่นเลยทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์
ว่าแต่พี่จะกลับมาทำไมครับพี่เพลง…?
ผมเดินเข้าไปหาผู้หญิงที่ผมแอบชอบซึ่งเมื่อหลายเดือนมานี้เธอทำให้ผมเจ็บแทบบ้า
“พี่เพลงมีอะไรครับ?” ผมถามและนั่งลงตรงโซฟา ฝั่งตรงข้ามกับเธอ
“พี่อยากมาขอโทษ” สีหน้าของคู่สนทนาดูเศร้ากว่าที่ผมคิด พี่เพลงพูดพร้อมกับเอื้อมมาจับมือของผมไปกุมไว้ แววตาที่ฉายออกมานั้นดูจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำสีใส
“ผมไม่เป็นอะไรครับ” ผมตอบเสียงเรียบ กำลังใช้ลักษณะน้ำเสียงท่าทางและหน้าตาแบบไอ้เสือเป้ะๆ
ถ้าถามว่าโกรธไหม? โกรธครับ โกรธมากด้วย แต่…โกรธแล้วทำยังไงได้ ก็แค่ต้องปล่อยผ่านไปจนตอนนี้ความโกรธมันก็หายไปแล้วเหลือแต่ความว่างเปล่าที่ผมจะมอบให้ ก็เท่านั้น…
“พี่…เพิ่งรู้ว่าวันนั้นเปอร์เค้าไปรุมทำร้ายปิง” พี่เพลงยังคงไม่ปล่อยมือผมแถมยังบีบแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
“ครับ”
“ทำไมปิงไม่บอกพี่?”
โห…พี่ครับ ผมจะบอกพี่ได้ยังไงวันนั้นก็เห็นไปดูหนังด้วยกันอยู่เลย
“ผมไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันผ่านมาแล้วอีกอย่างผมไม่ได้เป็นอะไรแล้วด้วย” สบตาคนตรงหน้ากลับไปบ้าง
ตอนนี้ผมค่อนข้างแปลกใจ คือพี่เพลงกลับมาแบบนี้นั้นต้องการอะไร ที่จริงแค่ปล่อยให้มันผ่านไปก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ?
“อย่าโกรธพี่เลยนะปิง” ช่วงหนึ่งที่เราสบตากัน
แววตาของพี่เพลงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ส่วนของผมแววตานี้คงสับสนพอตัว… ถึงปากจะบอกว่ามีแต่ความว่างเปล่าที่มอบให้แต่ลึกๆแล้วปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าหัวใจมันยังคงรู้สึกอยู่เสมอ
แผลเป็นยังใช้เวลาตั้งนานกว่ารอยจะจางลงไปบ้าง แล้วผมที่เคยแอบชอบพี่เพลงมาตั้งหลายปีจะให้ใช้เวลาแค่ไม่เท่าไรตัดใจ …แม่งทำไม่ได้หรอก
“ผม…”
“ยกโทษให้พี่ได้ไหม?” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรพี่เพลงก็พูดแทรกขึ้นมา อย่างกับว่ากลัวคำตอบที่ผมกำลังจะตอบออกไป
และยังคงมองมาที่ผมอย่างคาดหวังในคำตอบ
“ตอนแรกผมโกรธพี่…”
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” อีกครั้งที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยคพี่เพลงก็พูดแทรกขึ้นมา
“ไม่แล้ว”
“งั้นยกโทษให้พี่ได้ใช่ไหม?” แววตาของคนตรงหน้าสั่นระริกด้วยความหวัง มือนุ่มก็ยังไม่ปล่อยจากมือผมจนมันเริ่มชื้นเหงื่อ
ไม่รู้ว่าพี่คาดหวังอะไรจากผมนักหนาชอบก็ไม่ได้ชอบแล้วมาทำแบบนี้ทำไม แววตาที่แสดงถึงความหวัง สีหน้าที่ลุ้นเต็มที่ว่าผมจะยกโทษให้หรือเปล่า
“แน่นอนว่าได้” ผมยิ้มให้น้อยๆ
ใช่แล้วผมตอบไปแบบนั้น
ไม่ใช่ว่ายังอาลัยอาวรณ์ ที่บอกว่าตัดใจยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตัดไม่ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นที่บอกไปแบบนั้นก็เพราะยังไงเราก็ยังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
ก็ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรนี่นา…
“ขอบคุณนะปิง…” คู่สนทนาฉีกยิ้มอีกครั้งก่อนจะเอามือผมแนบลงไปที่แก้มตัวเองและหลุบตาต่ำลง
เฮ้…พี่ไม่สมควรทำแบบนี้
“ผ ผมว่า พี่กลับไปก่อนเถอะ” ผมพยายามดึงมืออกมากจากตรงนั้น ยังไงมันก็ไม่เหมาะสม จนทำให้ผมอดเหลือบตาไปมอง
ใครอีกคนที่กำลังยืนดื่มอะไรสักอย่างอยู่ตรงครัวไม่ได้ มันยืนหันหลังแผ่นหลักว้างใหญ่นั้นตึงเรียบไม่แม้แต่จะขยับ
เอ๊ะ?…แล้วกูจะมองมันทำไมล่ะเนี่ย!
“ปิงไม่โกรธพี่แล้วแน่นะ?” พี่เพลงช้อนตามอง
“ไม่หรอก เราเป็นพี่น้องกันได้”
“ก็ได้” และฉีกยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะ” พร้อมกับลุกขึ้นยืน
ผมพาพี่เพลงเดินออกมาส่งที่หน้าบ้านเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรกันมากนักนอกเหนือจากนั้น เราแค่ส่งยิ้มให้กันน้อยๆก่อนจะจากลา
เหตุผลที่พี่เพลงกลับมาทำไมนั้นผมไม่รู้หรอก แต่เหตุผลที่ผมยกโทษให้ มันไม่มีอะไรมากหรอก ผมไม่ใช่คนมีความคิดซับซ้อนสักเท่าไร ไม่ใช่คนเข้าใจยาก ก็อย่างที่บอกไป อย่างน้อยก็ยังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันได้เสมอ
ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านตอนนี้เห็นไอ้เสือมันกำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่ตรงโซฟากลางบ้านที่ซึ่งก่อนหน้านี้ผมกับพี่เพลงได้นั่งคุยกัน ขจัดความคิดต่างๆนาๆออกจากความคิดก่อนจะแกล้งเดินไปนั่งข้างๆมัน
เออ…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องแกล้ง แค่ตอนนี้อยากคุยกับมันเฉยๆ ก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมต้องคุยแค่รู้ว่ามันต้องคุยดูจากท่าทางและสายตาก่อนหน้านี้แล้วก็ต้องคุยกับมันหลังจากพี่เพลงกลับไปให้ได้ ส่วนคุยอะไรนั้นก็ยังไม่รู้หรอก เออเอาเป็นบ้าเหรอวะ
กูเนี่ยเป็นบ้าเหรอ!!
“มึงไม่รับน้องกวางเหรอ?” รู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองไม่ปกติยังไงอย่างนั้น ท่าทางแม่งแปลกไปหมดหวังว่ามันจะมองไม่ออกนะ
“เดี๋ยวก็ไป” ไอ้เสือยังคงไม่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ ผมทิ้งตัวนั่งลงในขณะเดียวกับที่เจ้าตัวตอบพอดี
“ฮ้าวววว ง่วงว่ะ” อยู่ๆก็หาคำมาพูดไม่ได้ซะงั้น
“ก็นอน” แต่คนข้างๆก็ตอบกลับมาแค่เพียงสั้นๆ ปกติมันก็ไม่ใช่คนพูดยาวอยู่แล้ว แต่ทำไมครั้งนี้มันรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
ฮืออออ แม่จ๋า ปิงไม่รู้ปิงเป็นอะไร ช่วยปิงด้วยยยยย!!
“มันนอนต่อไม่ได้ มึงแหละปลุกกู!” ก็เลยแกล้งโมโหใส่มันไปตามแบบนิสัยของตัวเอง แต่กลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองซะงั้น
“ก็มีคนมาหาจะให้เขานั่งรอหรือไง?” ยังอีก แม่งยังไม่หันมามองกูอีก!
“ก็…”
“มึงจะกลับไปคืนดีกับเขาเหรอ?” ยังพูดไม่ทันจบคนข้างๆก็พูดแทรกขึ้นมา
“ไม่ เขาแค่มาขอโทษ”
“ก็เลยให้อภัย?” คราวนี้ไอ้เสือมันเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ และหันมาทางผมพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“อืม…กูก็ไม่รู้ว่าโกรธไปแล้วได้อะไร ถ้าได้เงินก็จะโกรธต่ออยู่หรอก ฮ่าๆๆ” แกล้งพูดติดตลกเข้าไว้
“อ่อ…” ส่งเสียงในลำคอตอบกลับมาแค่เพียงสั้น และประโยคต่อมาก็ถูกพูดต่อ “จะทำอะไรก็คิดดีๆ” แล้วก็ลุกขึ้นจากโซฟาเฉยเลย
“เดี๋ยวกูไปหาน้องกวางละ เจอกันตอนมึงเลิกงาน”
ทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้แล้วก็เดินออกไป
ไม่ชอบเลย ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย!!!
คืนวันนั้น… โอ้ยยยยยย
เหนื่อยยยผมเหนื่อยมากช่วยด้วยยยยยยย
เมื่อวานเหนื่อยยังไงตอนนี้ก็เหนื่อยแบบนั้น ไม่ไหวแล้วจะตายคาถนนให้ได้เลยครับหัวหน้า!
ตอนนี้ผมเพิ่งเลิกจากงานได้ประมาณห้านาทีได้ รอไอ้เสือได้สักพักก็เห็นขับรถมาแล้วจอดอยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้าม ผมก็เลยวิ่งข้ามถนนไปหาด้วยความรวดเร็ว ไม่ใช่อะไรอยากกลับบ้าน
“วันนี้ไม่พาน้องกวางมาด้วยเหรอ?” ผมกระโดดขึ้นรถทันทีพร้อมกับถามคนตัวสูงที่นั่งค่อมรถรออยู่ก่อนแล้ว
“ไม่มา” ตอบแค่เพียงสั้นๆจากนั้นก็ขับซูโม่เอ็กซ์ออกไปด้วยความเร็วที่ห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผมว่าเหตุการณ์ตอนนี้ออกจะแปลกๆ ก็มันไม่ถามผมอย่างเช่นทุกครั้งที่เคยถามว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ อะไรทำนองนี้
มันเงียบและผมก็เงียบ
ความเงียบของเราครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเท่าที่ควร ปกติที่เงียบก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้แต่ครั้งนี้ทำไมถึง…
ถึงรู้สึกเหมือนว่าเรากำลังมีเรื่องบาดหมางใจกันยังไงอย่างนั้น
สิบนาทีผ่านไป… ความฟุ้งซ่านถูกปัดเป่าออกไปเพียงแค่ส่วนหนึ่งเมื่อเจ้าของรถได้หยุดลงอยู่ตรงหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกเจ้าประจำที่ชอบพากันมากินเสมอ
“ไม่ลงมาล่ะ นั่งอยู่ได้ อย่ามาแดกหัวกูทีหลังนะ!” อาจเป็นเพราะผมกำลังมึนๆงงๆ ไม่รู้ว่าไอ้เสือมันจอดรถแล้วลงไปนานแค่ไหนรู้ตัวอีกทีก็เป็นอย่างที่เห็น รู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังกลับมาเป็นปกติ
“ก กินๆ” ตอบรับด้วยเสียงตะกุกตะกัก ก็คงมีแต่ผมมั้งที่ไม่ปกติ
วูบหนึ่งที่ความรู้สึกใหม่ได้เกิดขึ้นมาและมันบอกว่า ‘เราอาจจะคิดมากไปเอง’ อืม…คงจะคิดมากไปเองไอ้ตัวสูงตรงหน้ามันคงไม่มีอะไรหรอก อีกอย่างจะมีได้ยังไงเราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
เพราะจริงๆแล้วเรื่องที่ผมคิดสาเหตุมันก็มาจากเมื่อเช้า แต่พอคิดดูดีๆแล้วมีเหตุผลอะไรที่เราต้องแปลกไปเพียงเพราะพี่เพลง เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย
ใช่…
คิดถูกแล้ว มึงคิดถูกแล้วไอ้ปิง
กลิ่นก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ใบโหระพาหอมฉุยลอยมาแตะจมูกจนทำเอาท้องน้อยๆของไอ้ปิงคนนี้ส่งเสียงออกมาอย่างกับฟ้ากำลังผ่า
ตอนแรกก็ไม่หิวหรอกเพราะกำลังคิดมาก…แต่ตอนนี้เนี่ย ฮือออออ กูหิวว้อยยยยยยยย
“บะหมี่เนื้อน้ำตกพิเศษเส้นเล็กด้วยอย่างละหนึ่งครับ” คนตัวสูงเดินนำหน้าเข้ามาในร้านจากนั้นก็ออกปากสั่งของอย่างรู้งาน ก็ผมน่ะชอบกินบะหมี่ร้านไหนไม่มีบะหมี่ก็ไม่กินเลยเพราะเส้นอื่นไม่ชอบ ใดๆในโลกล้วนแล้วแต่มาแทนที่บะหมี่ไม่ได้!
เมื่อดูในร้านรอบๆเพื่อหาที่นั่งแล้วกลับพบว่า โต๊ะแม่งเต็มสัด!
ก็เล้ยยยก็เลยระเห็จกันมานั่งตากลมแรงๆยังโต๊ะข้างนอกร้านซึ่งยังมีที่ว่างอยู่บ้าง
“วันนี้มึงแปลกๆนะ” หลังจากที่พากันหย่อนก้นนั่งลงและเงียบได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมมันก็พูดขึ้น
“ฮะ… กูเหรอ?” ผมที่ยังคงมึนๆงงๆถามขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นถามหน้าตาตอนนี้ต้องเหรอหรามากแน่ๆ
“ก็มึงสิ จะให้เป็นป้าที่ขายก๋วยเตี๋ยวหรือไง”
ชะชะชะแหมมมม…!!
ไอ้สัดกวนตีนนนนนน
“ไม่รู้สิ แต่กูว่ากูไม่แปลกนะ” มึงต่างหากที่แปลกไอ้เสือก็หลังจากที่เจอพี่เพลงตอนเช้าแล้วท่าทีมึงก็เปลี่ยนไป จนกูรู้สึกทำตัวไม่ถูกเลยเนี่ย เหมือนเด็กที่ทำความผิดมาแล้วพ่อแม่แต่ถูกลงโทษด้วยการไม่ยอมคุยด้วยยังไงอย่างนั้น
“เหรอออออ…” มันลากเสียงยาวด้วยสีหน้านิ่งๆของตัวเอง “ทำไมมึงคิดเรื่องผู้หญิงคนนั้นเหรอ?”
“อ …เออ” ใช่ที่ไหนกูคิดเรื่องมึงตางหากเนี่ย! แต่ใครจะกล้าพูดวะ
“ทำไมยังรักอยู่เหรอ?”
“ไม่ใช่ว่ารักอยู่ แต่มันก็ยังไม่ได้เลิกรู้สึก” เอ้ะ! หรือนี่จะคือรัก?
“อ่อ…ก็” คนตรงหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง “จะทำอะไรก็คิดดีๆละกัน” ประโยคแนวเดิมๆกลับมาอีกครั้ง
“อือ”
“…”
“ว่าแต่เรื่องที่ไปทะเลนี่ว่าไงจะไปไหม?” อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าต้องไปทะเล อีกอย่างคนตรงหน้ามันยังไม่ให้คำตอบเลยว่าจะไปหรือเปล่า ส่วนพี่หมากนี่เดี๋ยวถามอีกทีเพราะไม่ค่อยได้คุยกันเลย
“ไปวันไหนนะ?”
“ยี่สิบเดือนนี้ อีกไม่กี่วันแล้วเนี่ยยังไม่ได้เตรียมตัวเลย” ก็มัวแต่ทำงานเลยยังไม่มีเวลาเตรียมตัว แต่ที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องเตรียมมาก เสื้อผ้าก็เดี๋ยวเอาตัวใส่สบายๆที่มีอยู่จากบ้านไปแล้วกันไม่ต้องเสียเวลาซื้อใหม่ เสียเวลาไม่เท่าไรเสียเงินนี่สิ แหม…ยังมีค่าเทอมรออยู่นะ ใช้เงินฟุ่มเฟือยได้ไง
“แป้บนะ” คนตรงหน้าตอบ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมานับอะไรสักอย่างของมัน น่าจะเป็นวันที่ล่ะมั้ง
“อือ ไปก็ได้” และคำตอบที่ได้มาก็ช่างง่ายดาย นอกจากการนับนิ้วมือแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรให้วุ่นวาย
เออเร็วดี
“โอเค” ว่าแล้วก็ล้วงเอาโทรศัพท์ของตัวเองมากดบ้าง กดเข้าไปในไลน์กลุ่มเพื่อจะได้บอกให้พวกสามตัวบาทมันรู้ด้วยว่าไอ้เสือจะไปด้วย ครั้งนี้ก็เป็นการเดินทางทั้งหมดหกคน ผม ไอ้เสือ น้องกวาง ไอ้เจมส์ ไอ้โก้ ไอ้ฟาร์ม ส่วนพี่หมากก็รอดูก่อนว่าจะได้ไปไหม และนอกเหนือจากนั้นจะมีใครไปเพิ่มอีกหรือเปล่า
แต่…คงไม่มีหรอก(มั้ง)
ทำไมลางสังหรณ์มันแปลกๆวะ!?
● ● ●
วันไปทะเล วันนี้วันดีวันที่เรากำลังจะไปทะเล๊ทะเล อิอิ
ก็ขอตื่นเต้นบ้างอะไรบ้างนานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยวแบบนี้ หัวใจเต้นตุ้มๆต่อมๆอย่างกับว่ากำลังจะไปออกเดทยังไงอย่างนั้น ทั้งที่จริงก็แค่ไปเที่ยวทะเล
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าร่างกายต้องการทะเล ถึงมันจะเป็นที่เที่ยวที่โคตรเบสิคที่สุด แต่ก็น่าแปลกที่ในความเบสิคของมันทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นส่ำได้เสมอ
ทะเลจ๋าปิงมาหาแล้ววววววววว
อะๆๆ ยังหรอก อย่าเพิ่งนึกถึงภาพที่ว่าผมกำลังอ้าแขนรับลมพร้อมกับวิ่งลงทะเลด้วยหน้าตาชื่นมื่น ถ้าคุณคิดแบบนั้นรบกวนตัดออกไปไดเลย ฮ่าๆๆ
เพราะตอนนี้ยังไม่แม้แต่จะได้ขับรถออกจากจังหวัดเลยน่ะสิครับ แหมมมม จะเอาน้ำทะเลจากไหนมาให้กระโดดลง
ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนที่เรากำลังช่วยกันขนของ ขนกระเป๋าและสัมภาระต่างๆขึ้นรถ ฝั่งๆไอ้สามตัวบาทมันเสร็จหมดแล้วตอนนี้ก็เหลือพวกผมทั้งสี่คนซึ่งมีผมไอ้เสือน้องกวางไอ้พี่หมาก
ใช่แล้ว!
ไอ้พี่หมากมันไปด้วยเฉยเลย ที่ถามไปก่อนหน้านี้พี่มันบอกไม่ไปหรอก จนเมื่อเช้าอยู่ๆแม่งก็เสือกเปลี่ยนใจไปเฉย ก็เลยตอบพี่มันกลับไปว่า ‘ไม่รอให้พากันขับรถออกไปก่อนเลยล่ะค่อยบอก’
รถที่พวกเราใช้ขับไปเป็นรถจากทางบ้านไอ้เจมส์นั่นแหละครับ ไอ้คนตัวตั้งตัวตีอยากไปทะเลมันยืมฟอร์จูนเนอร์ของพี่มันมาขับ ส่วนบ้านที่พักก็อย่างที่มันเคยบอกว่ามีให้อยู่แล้ว พวกผมเลยสบายไปมีแค่เงินอันน้อยนิดและรอยยิ้มไปเท่านั้นก็พอ
“เราไปกันแค่นี้ใช่ไหมวะ?” พี่หมากยกลังเบียร์ขึ้นรถเป็นอย่างสุดท้าย จากนั้นก็เดินเปิดประตูเข้ามานั่งฝั่งคนขับและเอ่ยถาม ถามใครสักคนซึ่งไม่ใช่ผมกับไอ้เสือแน่นอน
“เอ่อ…ก็”
“
รอด้วยค่า!!” ไอ้เจมส์ที่กำลังจะอ้าปากตอบก็ถูกเสียงหนึ่งพูดแทรกขึ้น ดีที่ยังขึ้นรถกันไม่หมดถ้างั้นก็คงไม่ได้ยิน
“ล แล้วก็ ย แยมแฟนผมอ่ะพี่” เจ้าของรถตอบเสียงตะกุกตะกัก ไม่เต็มเสียงนักเมื่อเห็นว่าใครสักคนที่กำลังวิ่งมาด้วยความกระหืดหระหอบ
หืม…
แยม?
เพื่อนที่คณะพี่เพลงอ่ะนะ?
ไม่แปลกที่มันจะตอบไม่เต็มเสียงแบบนี้ ไอ้ฉิบหายยยยยยย!!
“ก กูไม่ได้ตั้งใจนะเว้ยไอ้ปิง!” แล้วแม่งก็รีบตารีตาเหลือกโผล่หน้าเข้ามาในรถเพื่อแก้ตัวกับผมใหญ่เลย ไอ้เสือที่นั่งอยู่ตรงส่วนโล่งท้ายรถด้านหลังกับผมถึงกับหันมามองหน้าและเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้างด้วยความสงสัย เพราะพี่มันสองคนไม่รู้ไงว่าแยมกับพี่เพลงเป็นเพื่อนกัน
“ช่างเถอะ” ผมตอบปัดๆ
ก็เพื่อนเขามาหนิ ไม่ใช่พี่เพลงมาสักหน่อย
“โทษทีรอนานไหม?” ผมได้ยินเสียงเธอคุยกับไอ้เจมส์แต่ไม่ได้เห็นตัวเพราะนี่กำลังเล่นกับยัยเด็กอ้วนอยู่ ส่วนไอ้เสือนี่กำลังนั่งพิมพ์อะไรของมันก็ไม่รู้อยู่ในโน๊ตบุ๊ค สงสัยว่าจะทำงานนั่นแหละ แหมมม…ไอ้คนขยันมาเที่ยวก็ยังไม่แม้แต่หยุดทำงาน
“ขึ้นรถกันเถอะ” เสียงไอ้เจมส์มันคุยกับแฟนของมัน
ไวไฟกันเจร๊งงงงงงงง โสดยังไม่นานเท่าไรนี่มีแฟนละ เกลียดดดด
“เดี๋ยวแป้บนึงนะคะ” บทสนทนากับแฟนของมันดังเข้ามาในหูอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งรถตอนนี้ก็เหลือแค่ไอ้เจมส์กับแยมที่ยังไม่ได้ขึ้นมานั่ง ไอ้ฟาร์มนี่นั่งข้างพี่หมากซึ่งรับหน้าที่เป็นคนขับเรียบร้อยแล้วไอ้โก้ก็นั่งอยู่ตรงเบาะข้างหน้าผม
“อะไรครับ?”
“คือ…”
“
แยม เดินไม่รอกันเลย!”
ทำไม…นอกจากบทสนทนาของสองคนมันเหมือนมีเพิ่มมาสามแล้วเลยวะ?
“
พอดีเพลงมันของไปด้วยน่ะค่ะ” เป็นเเยมที่พูดขึ้น
หืม…?เพลง
เมื่อชื่อนี้ดังขึ้นไอ้เสือมันถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความสงสัยทันที ประมาณว่า เพลงไปด้วยเหรอ อะไรทำนองนี้ แต่มึงครับได้โปรดอย่ามองกูแบบนั้นครับกูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ไม่รอช้าผมหันไปมองยังต้นเสียงทั้งสาม ไอ้เจมส์ยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนพี่เพลงเมื่อเห็นว่าผมมองไปเธอก็ฉีกยิ้มมาให้
จ้า… กูขอถอนตัวตอนนี้ทันไหมวะ!!
ทุกคนตอนนี้ทั้งในรถและนอกรถต่างก็หันมามองหน้าผมกับพี่เพลงสลับกัน เว้นไอ้พี่หมากไว้คนหนึ่งเพราะพี่มันรู้ว่าพี่เพลงคือแฟนของไอ้คนที่มันมารุมกระทืบผม
“หวัดดีปิง” และโบกมือมาให้ผมน้อย ก่อนจะทักทายไอ้เสือพี่หมากแล้วก็ไอ้โก้
สภาพทุกคนตอนนี้คงต้องบอกว่ายิ้มแห้งกันไปตามระเบียบไอ้เสือมันก็ไปตามแนวของมัน หน้านิ่งเดาอารมณ์ไม่ถูก ส่วนพี่หมากนี่ไม่ต้องพูดฉีกยิ้มกลับจนแทบจะถึงหูอยู่แล้ว
“ขอไปด้วยนะคะ ไม่ได้ไปทะเลนานแล้วเหมือนกัน” เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่ได้ตอบอะไรพี่เพลงก็เลยพูดขึ้นพร้อมกับเข้ามานั่งในรถทันที
“แน่นอน มีแต่ผู้ชายไปมันก็ดูดิบเถื่อนไป” เป็นไอ้พี่หมากอีกนั่นแหละ
แหมมมมมมม ไอ้ห่าพี่หนิเห็นคนสวยไม่ได้เลยนะมึง
จากนั้นฟอจูนเนอร์ที่คล้ายว่าจะเริ่มเต็มไปด้วยความอึดอัดก็เคลื่อนตัวออกไปทันที โดยที่มีไอ้เจมส์พยายามชวนทุกคนคุย เอนเตอร์เทรนคนบนรถไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไป ส่วนมากกก็มีแต่มันกับพี่หมากนั่นแหละที่ดูท่าว่าจะพูดกันเป็นต่อยหอย
ไอ้ฟาร์มไอ้โก้ตัวผมเองก็มีพูดขึ้นมาบ้าง พอไม่ให้คนถามมันหน้าแตก ส่วนไอ้อีกคนน่ะเหรอ?
กริบ…
ขอใช้คำว่าเงียบกริบกริบกริบ เสียงลมหายใจก็ไม่แม้แต่จะได้ยิน ไม่ได้ว่ามันตายนะครับแค่จะเปรียบเทียบให้ฟังแล้วไอ้ผมที่นั่งข้างๆมันก็รู้สึกร้อนๆหนาวๆแปลกๆ ฮืออออสงสัยจะไม่สบายแน่ๆเลย
จะมีก็แต่ยัยเด็กอ้วนที่สบายอยู่คนเดียว ซึ่งผมกำลังจับขวดนมป้อนให้นี่แหละมีเธอนอนอยู่บนตัก สภาพนี่บ่งบอกเลยว่าง่วงมากขนาดไหนตาปรือกำลังได้ที่
อยากไปเป็นเด็กก็ตอนนี้นี่แหละครับหัวหน้า!
“เด็กที่ไหนเหรอปิง?” อยู่ๆพี่เพลงที่นั่งเบาะหน้าผมก็หันหน้ามาคุยกับผม
“อ๋อ…ลูกไอ้เสือน่ะ” พยักพเยิดหน้าไปทางคนตัวสูงที่กำลังนั่งพิมพ์งานยิกๆ ถึงแม้ว่าเรื่องที่กำลังพูดถึงอยู่จะเกี่ยวกับมัน เจ้าตัวก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองกันบ้างเลย ดูท่าว่ามันจะเงียบแสนเงียบตั้งแต่ที่พี่เพลงขึ้นรถมาแล้วนะ
“อ๋ออ…” เธอตอบรับ “น้องน่ารักจังชื่ออะไรเหรอ?”
“น้องกวาง”
“กี่ขวบแล้วนั่น” เธอยังคงถามต่อ ดูท่าบทสนทนานี้ยังต้องอีกนานแน่ๆ
“ขวบกว่าๆแล้ว”
“อ่า…” พี่เพลงพึมพำ พยักหน้ารับเล็กน้อย “กินข้าวมายัง?”
ยังอีก ยังชวนผมคุยอีกถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่จะดีใจมากแน่ๆ แต่ตอนนี้มันอึดอัดไปหมดเลย อึดอัดจนไม่สามารถเค้นคำพูดออกมาได้
“ยัง”
“เพลงมีขนมปัง เอาไหม?” เธอถาม
เอ๊ะ!? ดูเหมือนว่าสรรพนามที่เคยใช้เรียกมันจะเปลี่ยนไปนะ ดูเธอสิแทนตัวเองว่าเพลงด้วย
“ก็ดีครับ” ไม่ปฏิเสธหรอกครับ ก็คนมันหิว!
อึดอัดยังไงก็แพ้ให้ความหิวนะ แหม…เขารู้หมดเป็นคนยังไง
ว่าแล้วพี่เพลงก็ยื่นครัวซองค์ที่ซื้อจากเซเว่นมาให้ผม พร้อมกับนมจืดขวดใหญ่ ผมวางมันไว้ก่อนเพราะต้องเอาเด็กอ้วนที่หลับคาตักนั้นนอนลงบนเบาะข้างดีๆ ไอ้เสือหันมามองน้อยๆ ก่อนจะเอาโน๊ตบุ๊คลงจากตักและเป็นฝ่ายมาจัดท่าทางให้น้องกวางแทน เมื่อเสร็จแล้วมันก็กลับเข้าโลกของมันไปด้วยความเงียบงัน
โอย…ใจไม่ดีเลยครับหัวหน้า
ระหว่างทางพี่เพลงชวนผมคุยตลอดเรียกได้ว่าแทบไม่เปิดโอกาสให้เงียบกันเลยทีเดียว ที่จริงผมไม่ได้อยากคุยสักเท่าไรนะแต่มันคงเสียมารยาทถ้าหากทำปั้นปึ่งใส่กัน
แต่รู้อะไรไหมครับ…
พรึ่บ!!
ไอ้เสือที่แทบจะอยู่ในสายตาผมตลอดผมเห็นมันขยับตัวไปมาทำอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ และไม่กี่อึดใจถึงได้รู้ว่ามันเอาหูฟังในกระเป๋ามาเสียบต่อเข้าโน๊ตบุ๊คจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ฉิบหายแล้ว…
เหมือนลางสังหรณ์แปลกๆของหลายๆอย่างกำลังลอยเต็มอยู่ในรถยังไงอย่างนั้นเลย
หรือผมจะคิดไปเองเหมือนตอนนั้นวะครับ
สงสัยต้องคิดไปเองแน่ๆ ไอ้เสือมันก็ปกตินะคงจะมีแค่ผมที่ไม่ปกติ
ใช่แน่ๆผมต้องคิดไปเองแน่ๆ…
TBC...