รักของเสือตอนที่สอง : สมาชิกใหม่
แง๊!!
แง๊!!
ไอ้เสียงนี้นี่มันตามมาหลอกหลอนผมถึงในความฝันเลยรึไง ทำไมมันยังคงวนเวียนอยู่อย่างนี้ เอาหมอนอุดหูก็แล้ว พลิกซ้ายก็แล้ว พลิกขวาก็แล้ว แต่ก็ยังคงได้ยินอยู่ และตอนนี้ก็ยิ่งดังเข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
แม่งเอ้ย!!
ในที่สุดผมก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรำคาญ ถ้าปวดหัวหนักเหมือนเมื่อคืนนี่กูลุกไปด่าแน่ๆเพราะรำคาญ แล้วนี่ทำไมผมถึงมานอนตรงนี้ได้วะ จำได้ว่าเมื่อคืนเดินออกมาจากห้อง…
เดินออกมาจากห้อง…
เดินออกมาทำไมวะ!? เออนั่นสิแล้วผมเดินออกมาทำไมวะ?
อ่อ… เมื่อคืนได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องไห้ ก็เลยเดินออกมาดูแล้วก็… ดับวูบไปเลย สติกูเนี่ยครับดับวูบไปเลย อย่างกับกดชัตดาวน์
แล้วต่อจากนั้นล่ะวะ?
แต่ก่อนหน้านั้นที่จะเป็นลมเห็นไอ้คนนั้นมันยืนอุ้มเด็กน้อยที่ไหนไม่รู้อยู่นี่หว่า… หรือว่าผมฝันไปเพราะมันก็คลับคล้ายคลับคลาไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเปล่า เดี๋ยวนะ เด็กน้อยเหรอ?
แล้วมันเด็กน้อยที่ไหนล่ะครับ?
ทันเท่าความคิดผมรีบติดเกียร์หมาลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความไวว่อง ไม่ห่วงสภาพตัวเองเลยว่าดีขึ้นหรือยัง เพราะความสงสัยมันมีมากกว่า เปิดประตูออกมาแล้วรีบตรงดิ่งไปหาไอ้คนนั้นทันที นี่ก็ยังเช้าอยู่เลยมันคงจะยังไม่ไปไหน
แล้วก็นั่นไงครับ มันกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างอยู่ที่เก้าอี้ตรงลานหน้าบ้าน และไอ้อะไรสักอย่างที่ผมว่านั้นก็คือการป้อนข้าวเด็ก
จริงๆด้วยเมื่อคืนไม่ได้ฝันไปจริงๆด้วย นี่บ้านผมมีเด็กจริงๆเหรอ!
“เด็กที่ไหนน่ะ?” ถามขึ้นทันทีที่ดวงตาเรียวรีของอีคนมองมา เขาหยุดการกระทำในขณะนั้นลงพร้อมกับตอบว่า “ลูกกูเอง”
“อ๋อลูก…” เห้ยอะไรวะเนี่ย!?
ขอตกใจก่อนแล้วก็ขอตั้งสติแป้บนึงคือไม่รู้จะช็อคเพราะเหตุผลอะไรก่อนดี หนึ่งคือมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันแถมยังมีลูกแล้ว สองต้องอยู่ในบ้านที่มีเด็ก ลำพังอยู่กับมันก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว นี่ต้องมีเด็กมาอยู่ด้วยเหรอวะ
“แล้วดีขึ้นหรือยัง? เมื่อคืนมึงเป็นลม”
ดีกับผีน่ะสิเป็นหนักว่าเดิมอีกเนี่ย จะอะไรซะอีกล่ะ? ก็เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบเด็กน่ะสิ ถ้าเลี่ยงได้คือเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็จะเลี่ยง เพราะโคตรไม่ชอบเด็ก ไม่ชอบเอามากๆ
“นี่ลูกกูนะชื่อน้องกวาง” เสียงทุ้มเอ่ยแนะนำ และจัดการป้อนข้าวเด็กน้อยตรงหน้าต่อ
แต่ประทานโทษนะครับ…กูไม่ได้อยากรู้ กูอยากให้มึงย้ายออกจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ และเวลานี้เลย!!!
“มีอะไรหรือเปล่า?” ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าผมยังคงทำท่าทีอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ไม่พูด ไอ้เรื่องที่จะพูดก็คือเรื่องลูกมันนี่แหละ แล้วถ้าพูดออกไปแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันจะเป็นยังไงเหรอครับ ผมควรที่จะพูดดีไหม?
พูด
ไม่พูด
แล้วถ้าพูด ควรจะเริ่มที่อะไรดี? คือเด็กมันก็ไม่ได้มีความผิดอะไรเลยไง แต่มันผิดที่ผมเอง เพราะผมไม่ชอบเด็ก
ตายแน่ๆกูตายแน่ๆ
เอายังไงดีวะ!!!
“ว่าไง? มีไร? หรือยังไม่ดีขึ้น?” เจ้าของเสียงทุ้มถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“อะ เอ่อ กะ กู… ไม่มีไร” สุดท้ายคำพูดที่อยู่ในใจก็ต้องเก็บพับเข้าไว้ที่เดิม ถึงแม้ว่าเกลียดเด็กขนาดไหนแต่พอได้เห็นความไร้เดียงสาของเขาผมก็ไม่กล้าพูดเลยครับ
กูนี่แม่งดูใจร้ายมากเลยว่ะ
แต่ก็นะเรื่องนี้ไอ้ห่าฟาร์มต้องรับผิดชอบ เพราะมันก็รู้ว่าผมไม่ชอบเด็กน้อย แล้วยังจะเสือกพามันมาเช่าบ้านผมอีก
“เดี๋ยว!” อยู่ๆมันเรียกผมขึ้นมา ก่อนที่ผมจะเดินออกไป
“อะไรวะ?”
“กูชื่อ
เสือนะ เผื่อจะจำไม่ได้”
“แล้ว?” เออนั่นสิ แล้วไงวะคือกูจำได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยอยากจะจำซักเท่าไร
“ไม่มีไร กูคิดว่าเรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันจริงๆจังๆสักที”
“กูไม่อยากรู้โว้ย!”
กูไม่อยากรู้จักกับมึ๊งงงงงงง รู้เอาไว้ซะ!!
ว่าแล้วผมก็เดินหนีเพื่อที่จะได้รีบอาบน้ำแต่งตัวไปมหาลัย ต้องไปเคลียร์กับไอ้ฟาร์มมันสักหน่อย เปล่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ที่จริงลืมไปเลยว่าวันนี้มีควิซคาบแรกก็เลยต้องระเห็จมาอาบน้ำด้วยความเร่งรีบแบบนี้ไงครับ มัวแต่อึ้งเรื่องน้องกวางอยู่จนลืมว่ามีควิซ
ใช้เวลาในการจัดการร่างกายตัวเองไม่ถึงห้านาที เพราะอาบน้ำก็อาบแบบวิ่งผ่านเอา แต่งตัวก็ใช้เวลาแค่ไม่เท่าไร ผมนี่ไม่มีคำว่าเซ็ทหรอกครับ พอดีหัวเถิกเลยไม่อยากเซ็ทขึ้นเดี๋ยวเขาจะว่าพระอาทิตย์ดวงที่สองของโลก เสร็จแล้วก็รีบติดเกียร์หมาออกจากบ้านเลยเดี๋ยวไม่ทันรถเมล์คนยิ่งเยอะๆอยู่ แถมรถตอนนี้ก็โคตรติด ตายแน่จะทันไหมวะเนี่ย!?
“ไปด้วยกันไหม?” ผมที่กำลังนั่งใส่รองเท้าผ้าใบอยู่หน้าบ้านด้วยความเร่งรีบ เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงเพียงครู่หนึ่งซึ่งมันกำลังยืนอุ้มลูกอยู่ตรงหน้า แต่ผมไม่สนใจครับก้มหน้าก้มตาใส่รองเท้าเหมือนเดิม
ถ้าให้ไปกับมันผมยอมนั่งรถติดๆไปดีกว่าคือแบบ กูไม่ชอบเด็กโว้ยยยยย ไม่ชอบพ่อมันด้วย!
“ถามได้ยินหรือเปล่า? ช่วงนี้รถกำลังติดนะ แล้วรถเมล์ก็คงจะแน่น”
“ไม่ไปโว้ยยยย!!” จะเซ้าซี้ทำอะไร? ไม่ไปก็ไม่ไปสิวะ
เมื่อใส่รองเท้าได้แล้วผมก็รีบเดินหนีซะเลยไม่อยากอยู่นานเหม็นขี้หน้า(เปล่าที่จริงรีบ) ไล่มันออกจากบ้านก็ไม่ได้ด้วยเบื่อโว้ยยย
“ล็อคประตูรั้วบ้านด้วยกุญแจอยู่ใต้กระถางต้นโป๊ยเซียน!!” ผมตะโกนบอกมันก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาทันที ไม่อยากอยู่ใกล้ เพราะมันจะรู้สึกคันๆและขนลุกเวลาอยู่ใกล้เด็ก
ฟิ้ว!!
ระหว่างที่กำลังทั้งเดินทั้งวิ่งสองพ่อลูกก็ขับรถผ่านหน้าผมไปแล้ว ตอนแรกก็แอบสงสัยว่ามันจะเอาลูกมันไปยังไง เพราะเด็กยังนั่งเบาะหลังไม่ได้ แต่ก็ถึงบางอ้อเมื่อกี้แล้วล่ะ เพราะมันเอากระเป๋าเป้ที่ไว้ใช้อุ้มเด็กสะพายลูกมันไว้ข้างหน้า
ดูท่าทางมันจะรักลูกมันมากนะ นี่แหละพวกชอบไม่ป้องกัน เป็นยังไงล่ะก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองน่ะสิ ว่าแต่แม่ของลูกเขาไปไหนล่ะครับ ทำไมไม่เห็น แต่ก็ช่างมันเถอะไม่ยุ่งหรอกเพราะไม่ใช่เรื่องของผม มันไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรในชีวิตสักหน่อย มีก็แต่ค่าบ้านนี่แหละที่มันต้องเสียให้ผม
นี่ก็เกือบลืมไปเลยนะครับว่าจะมีเพื่อนบ้านอีกคนมาเช่า ไม่รู้ว่าเป็นใครรู้แค่ว่าเป็นรุ่นพี่ของไอ้ฟาร์ม ว่าไปแล้วไอ้นี่มันก็คบคนอื่นด้วยว่ะ แปลกใจฉิบหาย
แต่ผมว่าก่อนจะแปลกใจเรื่องไอ้ฟาร์มเนี่ย ผมขอแปลกใจกับตัวผมก่อนเถอะ…ก็แปลกใจว่าทำไมกูไม่ได้ขึ้นรถสักทีวะ!
ห่านนนนน!!
นี่แม่งก็คันที่สามละขึ้นไม่เคยทันสักที แล้วนี่อะไรกำลังโคฟเวอร์เป็นเทรนทูปูซานอยู่หรือยังไง วิ่งกรูกันขึ้นรถอย่างกับหนีซอมบี้ ทำอย่างกับไม่เคยขึ้นรถกันไปได้ แล้วจะเอายังไงดีล่ะเนี่ยเดี๋ยวปั๊ดเดินไปมหาลัยแม่ง ท่าทางจะถึงเร็วกว่า
ประชดครับประชด!!
อย่าอินเกินก็แค่ประชด!! หมายถึงกูเนี่ยอย่าอินเกิน
ยังไงถ้าขึ้นรถตอนนี้มันต้องไม่ทันแน่ๆเลย เอาไงดี? เมื่อกี้ก็คีพลุคจังเลยกูเนี่ย น่าจะยอมขึ้นๆไปจะได้ไม่สาย
“
จะไปด้วยกันไหม?” ขุ่นพระ!!
เชี่ย!! ตกใจหมดจนเกือบอุทานออกมาเสียงดังแล้วไหมล่ะ? หัวใจนี่แทบร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะอยู่ๆไอ้พ่อลูกอ่อนมันก็ขับรถมาจอดอยู่ตรงหน้าผมซึ่งกำลังยืนรอรถอยู่ป้ายรถเมล์อยู่น่ะสิครับ
แล้วลูกมันก็ยังอยู่ที่เดิมนั่นเหละ อยู่ในเป้สะพายเด็ก มึงนี่พาลูกตากลมตากฝนมากเดี๋ยวก็ไข้แดกหรอก แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้เรื่องอะไร ก็เล่นหลับคาอกพ่อเธออยู่อย่างนั้น
แล้วเอาไงดีวะ จะหยิ่งในศักดิ์ศรีหรือจะยอมให้มันไปส่งดี?
“แล้วกลับมาทำไมอีกวะ?” เออนั่นสิกลับมาทำไม คงไม่ใจดีขนาดย้อนรถกลับมาดูกูหรอกมั้ง
“ลืมของไว้ที่บ้านเลยกลับมาเอา” มันตอบเสียงเรียบๆ และถามผมขึ้นอีกครั้งเพราะเห็นว่ายังลีลา “สรุปจะไปไหม พอดีทางที่กูไปมันต้องผ่านทางมหาลัยมึงพอดี”
เดี๋ยวนะมันรู้ได้ยังไงว่าผมเรียนมหาลัยไหน? อ่อ…ลืมไปมันรู้นี่หว่าว่าไอ้ฟาร์มนั้นเรียนที่ไหน
สรุปเอาไงดี?…
เออๆ!!ก็ได้ ไปก็ไป
“อ อือ.. ไป” “ขอหมวกด้วย” พูดแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปยังหมวกนิรภัยซึ่งห้อยอยู่ตรงที่ห้อยของรถมอเตอร์ไซค์ ผมกระโดดขึ้นรถฮอนด้าซูโม่เอ็กซ์สีดำของมันด้วยความไวว่องพร้อมกับการสวมใส่หมวกกันน็อค จะไม่ให้ว่องได้ยังไงก็คีพลุคไปงั้นแหละที่จริงกูรีบจะตายห่าอยากให้มันบิดจนมิดคันเร่งเลยด้วยซ้ำ แต่เห็นท่าว่าจะไม่ได้มันมีลูกอยู่ด้วย
แล้วนี่ซ้อนรถกันสามคนอย่างกับพ่อแม่ลูกเลยนะครับหัวหน้า คงไม่มีใครจังไรคิดว่าเป็นครอบครัวสุขสันต์หรอกนะ
แหม… บอกเลยถ้าไม่จำเป็นนี่จะไม่นั่งนะโว้ย!!
กูรีบครับ จำไว้ให้แม่นๆว่ากูรีบ
ขับรถแซงซ้ายแซงขวาบนถนนใหญ่ได้ไม่นานก็พาผมลัดเลาะมายังตรอกซอยเล็กๆซึ่งผมไม่แม้แต่จะรู้จักหรือเคยผ่านมา
“เรากำลังจะไปไหนวะ?” ถามครับกูสงสัยเดี๋ยวแม่งหมั่นไส้แล้วแกล้งพาผมขับรถอ้อมเสียเวลา ให้เข้าเรียนสายอีก
“ไปส่งที่มหาลัยนั่นแหละ นี่มันทางลัดคงไม่เคยมา”
“แง๊!!”
โป๊ก!!
เชี่ย! อยู่ๆก็เบรกรถกะทันหันจนผมนี่ไหลลื่นไปตามแนวเบาะเลยทำให้ด้านหน้าทั้งหมดของผมชิดกับแผ่นหลังของมันพอดี ดีนะใส่หมวกกันน็อคไม่งั้นหน้าผากโนแน่ๆ แล้วนี่อะไรจะแกล้งกูไง๊!
“มีไรวะอยู่ๆก็เบรก!?”
“ชู่ว!” “ขอเวลาแปปนึง”
“แต่...”
“ไม่พาสายหรอก”
แง๊!!
นั่นไงตัวการที่ทำให้มันต้องเบรกรถกะทันหันขนาดนี้ ลูกมันยังไงล่ะครับ
“โทษทีว่ะ น้องกวางนอนละเมอร้องไห้น่ะ” มันพูดพร้อมกับกอดปลอบและโอ๋ลูกทั้งในท่าเดิม ไม่ได้อุ้มออกจากเป้
แอ๊!!!!!
“โอ๋… พ่ออยู่นี่แล้วครับ” ทั้งพูดแล้วก็โอ๋เด็กในอ้อมอกอยู่อย่างนั้น
ยิ่งเห็นยิ่งขนลุก อยากจะบอกสักล้านรอบแหละว่าเด็กมันไม่ได้ผิดอะไร มันผิดที่ผมเองที่ไม่ชอบเด็ก แล้วนี่ยิ่งเสียงร้องของเด็กผมยิ่งเกลียด มันหงุดหงิดโว้ยย!!
“น้องเป็นไรวะ?” ถามไปงั้นแหละคืออยากไปมหาลัยแล้วโว้ยยยย กูรีบ
“น้องกวางชอบนอนละเมอร้องไห้ สงสัยจะฝันร้าย” สงสัยฝันว่าตกรถหรือเปล่า เพราะนอนหลับบนรถไง แล้วก็รถมอเตอร์ไซค์ด้วย คิดได้นะกูเนี่ย
“อ่อ… ” อ่อไปงั้นแหละกูแสดง และตอนนี้อยากหนีจากจุดจุดนี้มาก แล้วนี่เสียงร้องแม่กวางน้อยก็โคตรทำให้ผมรำคาญจนเริ่มทนไม่ไหว เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วย้อนศรกลับเข้ามาเหมือนเดิม
แอ๊!!
“ชู่ว! พ่ออยู่นี่แล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำพูดเบาๆพร้อมกับมือหนาที่ทั้งกอดและลูบที่ศีรษะและหลังของน้องกวางไปมาอย่างปลอบประโลม
แต่ตอนนี้ยิ่งกว่าเสียงของเด็กที่ทำให้เริ่มหงุดหงิดก็คือสายตาของคนที่ไม่ว่าจะเดินหรือขับรถผ่านมาก็ต่างมองกันเป็นตาเดียว โอ้ยยยยกูอายโว้ย ก็เลยได้แต่ทำตัวลีบอยู่ข้างๆรถนี่แหละ
ยิ่งได้เข้าใกล้เด็กมากเท่าไรยิ่งคิดได้และขอปฏิญาณเอาไว้เลยว่า ชาตินี้ผมจะไม่ขอมีลูกผมพูดเลย!!
● ● ●
สุดท้ายก็มาถึงมหาลัยในเวลาอันรวดเร็วแล้วครับ ดีนะที่เข้าห้องทัน ไม่งั้นวันนี้ควิซไม่ทันแน่ จนตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนแถวตึกวิศวะ ยังไม่ได้กินข้าวหรอกครับ ได้แค่มาม่าคัพคนละกระป๋องมานั่งซัดกันอยู่นี่แหละ
“ไอ้ปิงทำไมเมื่อวานมึงไม่มาเรียนวะ? อย่าบอกนะว่าเมาจนแฮงค์” ไอ้เจมส์เพื่อนอีกกลุ่มในคณะผมเอง มันถามขึ้นมาหลังจากนั้นก็ยกกระป๋องมาม่าขึ้นมาซดน้ำจนเกิดเสียงดังบางคนอาจจะว่ามันน่ารังเกียจแต่ด้วยความอร่อยแล้วไอ้ปิงได้หาแคร์ไม่
อร่อยมากไหมถามใจดู…
“เออ กูปวดหัวนิดหน่อยว่ะ” ถ้าจะให้บอกว่าไม่สบายเพราะโดนอะไรๆมามันคงจะไม่ใช่เรื่องดี
“เออ ว่าแต่วันนั้นมึงกลับยังไงวะ?” ไอ้โก้ครับ เพื่อนของผมอีกคนเองมันถามผมขึ้นหลังจากที่ผมตอบคำถามของไอ้เจมส์
“กูให้ไอ้ฟาร์มมันมารับน่ะ” ฟาร์มห่าอะไร แม่งตื่นขึ้นมาก็นอนแก้ผ้าอยู่ข้างๆผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้มันมาเช่าบ้านกูอยู่นี่ไง!
“กูก็คิดว่าแต่มึงให้ไอ้พี่หล่อคนนั้นไปส่ง ก็เห็นคุยกันถูกคอดีนี่หว่า” เดี๋ยวนะ? ไอ้เจมส์มึงจำได้ด้วยเหรอวะ มันเห็นไอ้ห่าเสือด้วยเหรอวะ
ฉิบหายแล้ว แล้วมันจะสงสัยอะไรไหมวะเนี่ย! แต่ผมว่าคงไม่หรอก แล้วนี่อะไรทำไมกูต้องเป็นคนแบบนี้วะ? กินเหล้าเยอะเมาหนักๆทีไรจำอะไรก็ไม่ได้ทุกที
“ใครวะ? จำไม่เห็นได้เลย” ขอถามลองเชิงมันไปก่อน เผื่อมันจะรู้อะไรไปมากกว่านี้
“กูก็ไม่รู้ กูเห็นแต่มึงเสนอหน้าไปนั่งโต๊ะเขาว่ะ ทั้งที่คนในกลุ่มเขาก็มีตั้งเยอะมึงก็ยังหน้าด้านไปนั่ง” ไอ้เจมส์ตอบ
เออนั่นสิ แล้วผมไปรู้จักมันได้ยังไง? ถึงได้เสนอหน้าไปนั่งกับมันได้ นี่จำไม่ได้จริงๆนะเนี่ย มันแบบเหมือนจะจำได้แต่ก็ไม่
“กูว่าถ้ากูจำไม่ผิด นั่นมันชื่อพี่เสือที่เรียนอยู่มหาลัยXX” โห… ไอ้โก้มึงยังเสือกรู้จักอีกเหรอ แล้วนี่ถ้าวันไหนมันไปบ้านผมแล้วเจอไอ้เสือล่ะวะ? ไม่รู้แหละร้อนรนไว้ก่อนเดี๋ยวถ้าเกิดมันจับผิดได้ขึ้นมาคนซวยมันคือกู รู้ถึงไหนอายถึงนั่น แถมไอ้นี่มันยังมีลูกแล้วด้วย
“แล้วมึงรู้ได้ไงวะ?” เจมส์
“อ๋อ… เคยเจอเมื่อหลายปีก่อนนี้ สองปีเห็นจะได้มั้ง ตอนนั้นพี่มันมาเตะบอลที่โรงเรียนกูไง ทีเด็ดยิ่งกว่านั้นนะเว้ย!แฟนพี่เขาแม่งโคตรสวย สวยฉิบหาย!!”
“แล้วแฟนเขาไปไหนล่ะวะ?” ผมถามเองครับ คือก็อยากเสือกนิดนึงนั่นแหละ ถ้าเดาไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นแม่ของลูกมันก็ได้
“ไม่รู้ว่ะ กูก็ไม่ค่อยได้เห็นพี่เค้าด้วย เพิ่งมาเห็นล่าสุดก็คืนนั้นแหละที่มึงเสนอหน้าไปนั่งโต๊ะเขา กูก็ว่าอยู่ทำไมหน้าคุ้นๆ”
“แล้ววันนั้นพวกมึงกลับไงวะ ก็เมามากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ผมแกล้งทำเนียนเปลี่ยนเรื่อง วันนั้นแบบสุดเหวี่ยงมากขอบอก กินเหล้าอย่างกับไม่เคยกิน ไม่ใช่อะไรไอ้เจมส์มันอกหักครับ เลยพาเพื่อนมากินเหล้าย้อมใจ แต่ก็ไม่ได้ไปกันแค่สามคนนะ
ยังมีอีกสามสี่ห้าคน เมาเป็นหมาเลยวันนั้น
เพราะมึงไอ้เจมส์ถ้ามึงไม่ชวนกูไปกูก็ไม่เมา พอกูไม่เมาแล้วกูก็จะได้ไม่เสียตัว เรื่องนี้แค้นจนตายเลยครับ แค้นสุดก็ไอ้คนนั้นนั่นแหละ!
ฮึ่ยยย!
โว้ยคิดแล้วก็หงุดหงิด พอๆเลิกคิดๆ เดี๋ยวจะอดไล่มันออกจากบ้านไม่ได้ แถมยังมีลูกมาอยู่ด้วย นี่กำลังอดกลั้นอยู่นะ เดี๋ยวยังไงก็ต้องไปเคลียร์กับไอ้ฟาร์มมันให้รู้เรื่อง
“กูไม่รู้ว่ะ ตื่นมาอีกทีกูนี่นอนอยู่ในตู้โทรศัพท์ ส่วนไอ้เจมส์แม่งหลับอยู่ตรงป้ายรถเมล์ น่าอายฉิบหายตอนตื่นขึ้นมาแล้วมีแต่คนมอง”
ไอ้โก้นี่ก็พูดออกมาซะเห็นเป็นฉากๆเลย แต่ถ้าเป็นกูนะโก้กูขอเลือกแบบมึงสองคนเถอะ ตื่นขึ้นมาในตู้โทรศัพท์หรือไม่ก็เก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์ดีกว่าตื่นมาในห้องใครสักคนแบบกูล่ะไอ้เหี้ย
“พวกมึงๆ ดูแก้วเด็กนิเทศดิวะ แม่งทีเด็ดว่ะ” ไอ้เจมส์มันพูดพร้อมกับท่าทางที่โคตรจะไม่คีพลุคสักนิดเลยครับ ปากนี่อ้ากว้างจนขากรรไกรค้างแล้วมั้งนั่น นี่เพื่อนผมมันกระเหี้ยนกระหือรือขนาดนี้เลยเหรอ?
“แหม…ไอ้ห่ากูได้ข่าวว่ามึงเพิ่งอกหักมาไม่ใช่ไง…?” ถามและเบะปากใส่มันด้วยความหมั่นไส้
อาการที่จะเป็นจะตายวันนั้นอย่าบอกนะว่ามึงแสดง
“โอ้ยยย คนอย่างไอ้เจมส์มันก็ทำไปงั้นแหละมึง หาข้ออ้างแดกเหล้า!” โก้พูดขึ้นมาอย่างรู้ทาง ก็มันสองคนนั้นสนิทกันม๊ากกกมากอย่างกับเป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบปี
ไลน์!! เสียงไลน์ผมเองแหละ นี่ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นไอ้ฟาร์ม
ใช่จริงๆด้วย ไม่ถูกแต่หวย
กำลังอยากคุยด้วยพอดี ว่าแล้วก็นัดเจอมันสักหน่อยแล้วกัน ก็ไม่ใช่ที่ไหนหรอกครับ ร้านน้ำปั่นหลังมอนั่นแหละ
“พวกมึง เดี๋ยวกูไปหาไอ้ฟาร์มก่อนนะ ไว้เจอกันคาบบ่าย” ทันทีที่พูดจบแล้ว ผมก็เดินออกมาจากโต๊ะเลย ปล่อยให้พวกมันกัดกันตายอยู่สองคน วันๆไม่ทำไรหรอกนั่งส่องแต่สาวแล้วก็ตีกันเอง ตีกันว่าใครจะจีบติดก่อน แต่ก็แห้วรับประทานทั้งคู่
● ● ●
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่ร้านน้ำปั่นหลังมอแล้ว ชื่อร้านว่าไอ้เบิ้มปั่นแหลก!! เป็นร้านไม่ได้หรูอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นนะ เป็นที่สำหรับนั่งคุยนั่งทำงาน หรือจับกลุ่มเม้ากันได้สบายเลย บรรยากาศนี่ก็ดีสุดๆมีแต่ต้นไม้ ดอกไม้
ทีเด็ดนี่อยู่ที่น้ำปั่น แม่งโคตรไม่อร่อยปั่นอย่างกับเอาตีนปั่น มันเด็ดตรงที่ไม่อร่อยนี่แหละฮ่าๆ สิ่งสำคัญคนปั่นนี่ปากหมาฉิบหาย ปั่นแบบตามใจคนปั่น สั่งน้ำส้มปั่นเสือกได้น้ำส้มปั่นใส่ละมุด คิดเอาดูละกัน ไม่กินก็ไม่ได้ เดี๋ยวพ่อค้ามันด่า ก็ไม่รู้ทำไมว่าคนก็ยังเข้าร้านมันเย๊อะเยอะ แถมยังเปิดมานานแล้วด้วย เหมือนจะเจ๊งแต่ก็ไม่ แม่งเสือกขายได้เฉยเลย
“พี่เบิ้มเอาน้ำแตงโมปั่นแก้ว” ร้านนี้มีธรรมเนียมครับ เดินเข้ามาก็ต้องมาสั่งไม่สั่งก็ห้ามเข้าร้านไม่ว่าจะมีเพื่อนนั่งอยู่ก่อนแล้วก็ตามก็ต้องสั่งห้ามเข้ามาเฉยๆเพราะงี้มั้งเลยไม่เจ๊ง นั่นอาจจะไม่ใช่ประเด็นเพราะพี่มันถึงจะปากหมาแต่นิสัยดีนะ แล้วก็มาคอยดูกันครับว่าจะได้น้ำแบบไหนมาดื่ม
“วันนี้ลูกค้าเยอะรอนานนะกูบอกก่อน” นั่นแหละครับก็ไม่ได้สนิทอะไรกันนี่ยังเรียกมึงๆกูๆ นี่แค่ความปากหมาระดับเริ่มต้นนะครับ
“โอเคพี่!”
ว่าแล้วก็เดินไปที่มุมประจำร้าน เห็นไอ้ฟาร์มหัวโล้นนั่งทำหน้าไม่เข้าใจโลกอยู่ที่โต๊ะนั่นแหละครับ แต่ห้ามเรียกมันว่าหัวโล้นนะไม่งั้นมันโกรธ มันบอกให้เรียกว่าสกินเฮ้ด แต่สกินเฮดยังไงมันก็เกือบโล้นอยู่ดีไหมล่ะ เหมือนมีเส้นบางๆกันอยู่ระหว่างโล้นกับสกินเฮ้ด
“กูมานั่งคิดๆดูแล้ว มึงกับกูจำเป็นต้องมาเจอกันตอนนี้ด้วยเหรอ? ไว้เจอกันตอนเลิกเรียนก็ได้” แหม… อย่าบอกนะว่าไอ้ที่นั่งทำหน้าไม่เข้าใจโลกเพราะนั่งคิดเรื่องที่กูนัดมึงออกมาเจอ
“ช่างแม่งเถอะ กูมีเรื่องจะคุยกับมึงเนี่ย!” ตอบปัดๆไปพร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อนรัก
“เรื่องไรวะ?” มันถามตอบกลับมา โทษนะมึงช่วยทำหน้าเหมือนคนอยากรู้จริงๆได้ไหมวะ? ให้เหมือนเมื่อวานตอนซักไซ้กูหน่อยไม่ได้ไง หน้าไอ้ห่านี่โคตรไร้อารมณ์สุดๆ
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเด็ก?” ผมพูดเปิดประเด็น
“แล้วไง?” แอบเห็นมันกระตุกหัวคิ้วนิดหนึ่ง หน้ามันคงจะเริ่มมีปฏิกิริยาความสงสัยแล้วครับ
“ทำไมมึงไม่บอกกูวะ!? ว่าไอ้ห่านี่มันมีลูกแล้ว รู้งี้กูจะไม่ให้มาเช่าบ้านกูเลย”
“อ่อ…เรื่องนี้” พูดแล้วก็ยกแก้วน้ำปั่นมันขึ้นมาดูดแบบหน้าตาเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สา
“เออเรื่องนี้!” ผมย้ำคำตอบของมัน แหม…พูดมาแค่นี้กูนี่ไปต่อไม่เป็นเลยครับหัวหน้า
“ก็เรื่องนี้ไง” ฟาร์มมันตอบกลับมา จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเฉยเลย
“เรื่องนี้แล้วยังไงต่อล่ะวะ!?” เริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะครับ ก็รู้ว่ามันเป็นคนยังไงแต่มันก็อดไม่ได้ เวลาซีเรียสล่ะชอบทำเล่นน่าตบนัก
เวลาคุยกับมันนี่เหมือนคุยกันคนละเรื่องเดียวกันเลย เหมือนจะสื่อสารกันเข้าใจ แต่แม่งก็ไม่เข้าใจ
“ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า แค่พี่เสือมันมีลูก” แค่เหรอวะ? มึงใช้คำว่าแค่เหรอ! แล้วตอบกูได้แบบหน้านิ่งมาก ก็เพราะว่ามันมีลูกนี่ไงไอ้ควายกูเลยจะมาพูดกับมึง
“โว้ยยย ไอ้เหี้ยช่วยตั้งใจฟังที่กูจะพูดด้วย!!” ด้วยความรำคาญผมเลยหลุดเสียงดังใส่มันไปด้วยความหงุดหงิด เวลาแบบนี้ยังจะมากวนตีนได้อีกนะมึง!
“…” เมื่อจบประโยคที่ผมพูดมันก็ยังคงเงียบ แต่เงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามองผมเล็กน้อย
“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเด็ก แล้วทำไมมึงยังให้มันมาเช่าบ้านกูอีก!”
“แล้วยังไงวะ หรือมึงจะยอมอดตาย” “คนอย่างมึงมันจะไปทำอะไรได้อย่าเรื่องมาก” มันตอบและก็กลับไปกดโทรศัพท์เล่นต่อ
“แต่...”
“มึงไม่ต้องมาแต่!” มันเองก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังไม่แพ้กัน ใจเย็นครับตอนนี้คนในร้านเริ่มมองเราแล้ว
“ก็...”
“ไม่ต้อง ก็ แล้วก็ไม่ต้องเถียงกูด้วย” ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคมันก็พูดแทรกผมขึ้นมาทันที
“ฟังกูนะ” คนตรงหน้าผมพูดแล้วก็ทำหน้าตาจริงจัง และวางโทรศัพท์ในมือลง
-_- ส่วนผมก็ได้แต่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่
“ถ้ามึงได้รู้เรื่องของพี่เสือมึงจะรู้ว่าพี่มันกับลูกน่ะ--”
มีต่อนะคะ