ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #17
แม้จะบอกตัวเองให้เชื่อใจคุณดีน แต่หลังจากนั้นรณณ์ก็ไม่ได้รับการติดต่อใดจากคุณดีนอีกเลยนอกจากข้อความสั้น ๆ ว่าฝันดีที่ส่งเขาเข้านอนในทุกคืน เจอหน้ากันแต่ละครั้งที่บริษัท อีกฝ่ายก็มองเมินกันตลอดเหมือนกับเขาเป็นเพียงอากาศ ไม่มีตัวตน
หากแต่ตอนนี้...และเวลานี้ คงเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่คุณดีนสบตามาที่เขาโดยตรงอย่างไม่หลบเลี่ยง
ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ขาดการติดต่อกันทำให้คนที่เคยรักชีวิตสันโดษยอมรับกับตัวเองอย่างไม่อายว่าคิดถึงใครคนนั้นมากแค่ไหน
ใครคนนั้นที่กำลังตีกลองอยู่บนเวทีบริเวณลานกิจกรรมของคณะนิเทศศาสตร์
ดีนยกกล้องตัวโปรดขึ้นแนบตากับวิวไฟน์เดอร์แล้วบันทึกภาพลักษณ์แปลกตาของเด็กหนุ่มทันที
เสี้ยววินาทีที่ดีนกดชัตเตอร์เหมือนมีแฟลชแบ็คแวบเข้ามาในหัว ทุก ๆ ปีเขาจะมางานที่คณะนี้และถ่ายรูปการแสดงดนตรีสดบนเวทีเสมอ คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน เกิดคำถามชวนสงสัยขึ้นว่าตนเคยเจอรณณ์ในตำแหน่งเดียวกันนี้มาก่อนหรือเปล่า
“ดอกไม้ไหมคะ”
ดีนหันมองเจ้าของเสียงที่เข้ามาขัดจังหวะการถ่ายรูปของเขา ในมือของเธอมีดอกกุหลาบสีแดงสดแซมด้วยสีชมพูประปรายอยู่กำหนึ่ง “สำหรับ…” ชายหนุ่มจะส่งสายตาไปทางกลุ่มเด็กหนุ่มบนเวทีเพราะเข้าใจว่าเป็นดอกไม้สำหรับการให้กำลังใจวงดนตรี “...เหรอครับ”
นักศึกษาสาวหน้าแดง ตอบกลับเสียงอ้อมแอ้ม “ให้ใครก็ได้ค่ะ”
“หืม?”
“ก็วันนี้วันวาเลนไทน์นี่คะ ถ้ายังไม่มีแฟนหรือคนที่ชอบ พี่จะมอบมันให้ใครก็ได้ค่ะ”
อ่า...จริงสิ วันนี้มัน 14 กุมภา วันวาเลนไทน์นี่หว่า มิน่า…
ดีนนึกสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมบรรยากาศงานในรั้วมหาวิทยาลัยปีนี้ถึงมีร้านขายดอกไม้อยู่ทั่วทุกที่ กุหลาบสีแดงสดแซมด้วยความหวานนวลของสีชมพูอันเป็นสัญลักษณ์ของวันแห่งความรักที่ทำให้บรรยากาศในวันนี้ดูสดใสครึกครื้นกว่าทุกปี
ที่ผ่านมาเขาเคยสนใจความพิเศษของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เสียที่ไหนกัน วันวาเลนไทน์ก็แค่วันธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวันไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น...ก็เท่านั้น
“หรือจะรับเป็นช่อก็ได้นะคะ พวกหนูจัดให้ได้ค่ะ” นักศึกษาสาวยังคงทำหน้าที่ขายของได้ดี ดีนยิ้มบาง หันมองบนเวทีอีกครั้ง สายตาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มที่ควรจะได้ดอกกุหลาบจากเขาแล้วหันมาให้คำตอบกับเด็กสาว
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”
“ไง” เอกกระแทกไหล่เพื่อนสนิทที่เอาแต่ยืนเหม่อหลังเวทีหลังจากจบการแสดงในส่วนของพวกตนแล้ว เมื่อครู่อยู่บนนั้นเขาเองก็เห็นว่าบรรณาธิการที่รณณ์ทำงานอยู่ด้วยยืนอยู่แถวหลังสุดของคนดู แต่ทำไมเพื่อนเขาที่เพิ่งยอมรับว่าชอบเจ้านายตัวเองถึงยังไม่เดินไปหาเขาแล้วยังเอาแต่ยืนเหม่อทำหน้าทำตาไม่สดชื่นแบบนี้
“เลิกกันแล้ว?”
รณณ์ตีหน้ายุ่ง “ยังไม่ได้คบกันซะหน่อย”
“เฮ้ย!” เผลอร้องออกมาเสียงดังจนเพื่อนคนอื่นหันมามองด้วยความสงสัยว่าสองหนุ่มคุยอะไรกันอยู่ถึงได้มีท่าทีตกใจขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเอกมีไหวพริบไวพอที่จะเอาตัวรอดได้หรือเพื่อนคนอื่นเป็นคนไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นอยู่แล้วหรืออย่างไร รณณ์กับเอกถึงได้ถูกปล่อยให้คุยกันหลังเวทีตามลำพัง
“จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ได้คบกันเหรอ? ทำไมเขาไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนสักทีวะ” แม้จะอยู่กันสองคนแต่เอกก็พูดเสียงเบาจนแทบจะกระซิบอยู่ดี
“เขาอาจจะมองว่ามันเร็วไป เราเพิ่งรู้จักกันเองนะ เขาคงอยากศึกษากันไปก่อน เราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ ความสัมพันธ์พัฒนาไปช้าก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ” รณณ์เองก็ไม่แน่ใจนักว่าคุณดีนคิดอะไรอยู่ แม้ว่าหลายวันมานี้อีกฝ่ายจะเหินห่างและทำตัวคลุมเครือมากแค่ไหน แต่รณณ์ก็ยังปกป้องคุณดีนจากการถูกเพื่อนตนด่าทอ
“ศึกษาหรือกั๊กเอาให้แน่” แม้จะเสียงเบาแต่ความไม่พอใจฉายชัดออกมาจนรณณ์หน้าเสีย เอกมองเพื่อนแล้วก็ถอนหายใจ “อย่าหลอกตัวเองนะรณณ์ เขากั๊กก็คือเขากั๊ก มึงถอยออกมาตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอก” แม้ว่าเพื่อนเขาจะเป็นฝ่ายที่ถลำลงไปในห้วงความรู้สึกเสน่หาลึกมากแล้วก็ตาม
“ทำไมมึงมองเขาในแง่ร้ายจังวะ”
“กูมองตามความเป็นจริง เขารุกมึงแรงขนาดนั้น แสดงออกก็ชัดเจนแต่เสือกไม่ให้สถานะ นี่มึงโง่เหรอรณณ์ ชอบเขาจนตาบอดไปแล้วเหรอ!”
“ขะ เขาเคยบอกว่าขอจีบ”
“ก็จีบติดแล้วไม่ใช่เหรอ” เอกยีหัวด้วยความหงุดหงิด “จีบติดแล้วก็ต้องมีสถานะสิวะ”
“เรายังไม่ได้คุยกัน กูเองก็ยังไม่ได้ให้คำตอบเขา”
“เหอะ ไม่ได้ให้เพราะเขายังไม่ถามน่ะสิ” เอกบ่นอย่างหัวเสีย ถึงจะบ่นคนเดียวแต่ก็จงใจจะให้อีกฝ่ายได้ยินด้วยอยู่ดี
“ไป ๆ ออกไปหาเขาไป นัดเขามาไม่ใช่เหรอ แต่อย่าลืมที่นัดกับเพื่อนเย็นนี้นะเว้ย” เอกว่าแล้วเดินออกไปก่อนด้วยความหงุดหงิด ถ้าไอ้เพื่อนสนิทมันไปรักไปชอบกับสาวเหมือนที่ผ่านมาเขาก็คงไม่เข้าไปยุ่งหรือเดือดร้อนแทนแบบนี้ แต่เพราะว่าความรักครั้งนี้ของมันเกิดขึ้นกับผู้ชาย ความสัมพันธ์ที่ดูง่อนแง่นไม่มั่นคงตั้งแต่เริ่มต้น จึงเป็นธรรมดาที่เอกจะเป็นห่วงเพื่อนมากขนาดนี้
คล้อยหลังเพื่อนสนิทรณณ์ก็จมจ่ออยู่กับความคิดของตนเองอีกครั้ง เด็กหนุ่มพยายามไม่คิดถึงประเด็นที่เอกเพิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนแทน รณณ์ยังไม่คาดหวังถึงสถานะของความสัมพันธ์ เพราะสิ่งที่รบกวนจิตใจในตอนนี้คือความห่างเหินที่อีกฝ่ายมอบให้ต่างหาก
ถ้าออกไปเจอกันตอนนี้ เขาต้องทำหน้าแบบไหนหรือ คนไม่มองหน้าไม่พูดจากันมาเป็นสัปดาห์จะต้องปั้นหน้าอย่างไรให้ทุกอย่างราบรื่นเหมือนเดิม รณณ์ถอนหายใจแรง ยกมือลูบอก
ซ้ายแล้วตบเบา ๆ สองสามทีเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินออกไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
คิดถึงเหลือเกิน
ดีนตอบตัวเองได้ทันทีว่ามันคือความคิดถึงที่ล้นอกยามเมื่อได้เห็นดวงหน้าใสใกล้ ๆ รอยยิ้มกว้างแต้มใบหน้าตี๋อินเตอร์ตอบรับคำทักทายที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อน
“ไม่ยักรู้ว่าคุณตีกลองเป็น”
“มันไม่ยากหรอกครับ” รณณ์ยิ้มน้อย ๆ แม้จะยืนห่างกันหลายก้าวแต่รอยยิ้มกว้างของคุณดีนที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักก็เจิดจ้าจนกลบความมืดมิดของอารมณ์จนหมดสิ้น แต่เพราะตะกอนของความขุ่นข้องยังมีอยู่ เขาจึงยังทำตัวไม่ถูก
“คิดถึงผมบ้างรึเปล่า” นัยน์ตาใสเบิกกว้าง ไม่คิดว่าคุณดีนจะเปลี่ยนเรื่องฉับพลันแบบนี้
“ขอโทษที่หายเงียบไป”
ดีนก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเพื่อร่นระยะห่างให้แคบลง
“ขอโทษที่ถอยห่าง”
...อีกก้าว
“ขอโทษที่ส่งแค่ข้อความไปบอกฝันดี”
...และอีกก้าว
“ขอโทษที่...”
“คิดถึงครับ”“...?...”
“คิดถึงมาก” ถ้าหากว่าพวกเขาไม่ได้ยืนคุยกันกลางลานคณะ ดีนคงคว้าเอาร่างตรงหน้ามากอดปลอบประโลมให้หายคิดถึง แต่ที่ทำได้ก็แค่ยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยนเพื่อเติมเต็มความรู้สึกช่วงที่ห่างเหินกันไป
เพราะต้องวางตัวให้รณณ์ไม่ตกเป็นที่ครหาของคนทั้งบริษัทว่าเข้าหาผู้บริหารเพื่อคะแนน ดีนจึงไม่อาจทักทายอีกฝ่ายยามเจอหน้ากันในที่ทำงานได้ เงื่อนไขข้อจำกัดมากมายบีบให้เขาต้องเหินห่างจนไม่แม้แต่จะสบตาด้วยได้ แต่ที่ลับหลังผู้คนดีนก็ไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายไปมากไปกว่าการส่งข้อความก่อนนอนเพราะอยากใช้โอกาสนี้ในการไตร่ตรองความรู้สึกของตนเองด้วยเช่นกัน
จริงอย่างที่ผิงบอก พวกเขาเพิ่งรู้จักกันได้แค่เดือนเดียว และเป็นเพศสภาพเดียวกันด้วย หากคิดจะสานสัมพันธ์กันมันต้องเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนและแน่วแน่มากพอจะยอมเสี่ยงกับอะไรก็ตามที่พร้อมจะทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้จบลง
ห่าง...เพื่อให้แน่ใจว่าความรู้สึกโหยหากันและกันไม่ได้ฉาบฉวยที่พอไม่มีกันก็รู้สึกไม่ขาดหาย
ห่าง...เพื่อให้รู้ว่าการกลับมาอยู่คนเดียวในโลกใบเดิมมันไม่ได้สงบดังเดิมอีกแล้ว
เพราะความรู้สึกเหงาและอ้างว้างนั้นมีอยู่จริง
เอกที่ยืนอยู่ฝั่งกิจกรรมยืนมองเพื่อนสนิทที่เดินเคียงคู่กับหนุ่มลูกเสี้ยวร่างใหญ่ทางฝั่งร้านขายอาหารด้วยสีหน้าเป็นกังวล แม้ว่าเพื่อนสนิทจะดูสดใส ยิ้มแย้มได้มากกว่าก่อนหน้านี้แล้วแต่เขาก็ยังไม่เบาใจ ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายยิ้มได้แบบนี้ไปตลอด
“ไอ้รณณ์เดินอยู่กับใครวะ” เพื่อนในกลุ่มเดียวกันเดินมากอดคอเอกพร้อมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ สายตาก็จับจ้องไปยังตำแหน่งเดียวกับเพื่อนข้างกาย
“บอกอที่มันทำงานด้วย”
“โห นี่เขาตามมาประเมินมันถึงคณะเลยเหรอ” เอกไม่ตอบคำ ปล่อยให้เพื่อนคิดไปอย่างนั้นเพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็อยากรู้แค่ว่าผู้ชายที่รณณ์เดินด้วยเป็นใคร แต่ไม่ได้สนใจท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่เลยสักนิด
“คุณดีนทานอะไรมารึยังครับ หลังจากเดินตรงนี้แล้วเราไปโรงอาหารกันไหมครับ” เด็กหนุ่มออกความเห็น ดีนที่กำลังเพลิดเพลินกับการดูสินค้าทำมือของนักศึกษาหันไปมองคนพูดแล้วยิ้มเอ็นดู
“ยังหิวอีกหรือ” จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าในมือเจ้าตัวไม่มีก๋วยเตี๋ยวหลอดหนึ่งถ้วยโฟมแล้วเมื่อครู่ก็เพิ่งจัดการลูกชิ้นหมูไปถึงสามไม้แล้ว ขณะที่เขาแค่ชิมลูกชิ้นไปเพียงหนึ่งลูกเท่านั้น
ก็ลูกชิ้นที่อีกฝ่ายคะยั้นคะยอให้ชิมหลังโฆษณาว่าอร่อยหนักหนานั่นแหละ
ดีนยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ถ่ายรูปรณณ์กับ ‘หลักฐาน’ เก็บไว้ก่อนจะลดกล้องลงแล้วมองยิ้ม ๆ
“ผมหมายถึงคุณดีนต่างหากละครับ”
“เอาสิ แต่ขอเดินไปเยี่ยมคณะผมก่อนแล้วกันนะ”
“ครับ”
สองหนุ่มเดินดูสินค้าอาร์ตตามฉบับเด็กศิลป์กันต่อ ดีนยกล้องขึ้นมาถ่ายรูปบ้างเป็นระยะ ถ่ายทั้งบรรยากาศในงานและคนข้างกายยามเผลอ “จริงสิ คุณเล่นดนตรีงานนี้ทุกปีเลยรึเปล่า”
“ครับ ตั้งแต่ขึ้นปีสองมาก็เล่นตลอด”
“ผมว่าบางทีเราอาจจะเคยเจอกันมาก่อน”
รณณ์เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายคงเคยมาถ่ายรูปที่คณะของตนเพราะตอนเปิดดูไฟล์ภาพครั้งก่อนก็เห็นว่ามีโฟลเดอร์ของทุกปี “มีตั้งหลายวงที่เล่นในงานนะครับ”
“แต่คงไม่ใช่ทุกวงที่จะมีตำแหน่งแซกโซโฟน”
รณณ์ร้องอ๋อก่อนพยักหน้าเห็นด้วย ไม่อยากจะบอกว่านอกจากเหตุการณ์นี้ พวกเขายังพบเจอและวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กัน อีกหลายต่อหลายครั้ง
“ผมจำหน้าเพื่อนคุณที่เป่าแซกฯได้นะ”
“มันชื่อตงครับ” ไม่แปลกที่คุณดีนจะจำหน้าเพื่อนเขาคนนี้ได้ถึงแม้ว่าหน้าตาจะธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เพราะตำแหน่งแซกโซโฟนที่ต่างจากวงอื่นก็ดึงดูดสายตาผู้คนที่พบเห็นได้ดีอยู่แล้ว
“ไว้วันหลังพาผมไปแนะนำให้เขารู้จักบ้างสิ” รณณ์หยุดชะงักและดีนก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดินตามมาอีกแล้ว “ผมรู้จักแต่เพื่อนคุณที่ชื่อเอก ผมอยากรู้จักคนอื่นบ้าง”
“คุณดีน...”
“และผมก็จะพาคุณไปรู้จักเพื่อนสนิทของผมด้วยเหมือนกัน”
รณณ์ฉลาดพอที่จะรู้ว่าคำขอนั้นไม่ใช่แค่ต้องการจะรู้จักคนรอบตัวเขา แต่มันมีนัยที่ลึกซึ้งเกินกว่านั้น ซึ่งมันทำให้เขายิ้มกว้างได้ในรอบสัปดาห์นี้
“พี่รณณ์!” สองหนุ่มละสายตาออกจากกันในตอนที่มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามากอดแขนเจ้าของชื่อเสียแน่น “ช่วยอุดหนุนขนมน้องหน่อยค่ะ”
ดีนมองตามร่างสูงโปร่งที่ไม่ทันได้ปริปากพูดอะไรก็ถูกรุ่นน้องลากตัวปลิวไปแล้ว
“หยิบเพิ่มอีกสักกล่องสิ” ดีนเอ่ยบอกเมื่อเดินตามมายืนซ้อนหลัง คนที่กำลังเลือกขนมหันมองด้วยความแปลกใจเพราะขนมที่รุ่นน้องให้เขาช่วยอุดหนุนเป็นขนมไทยที่หาทานยาก ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นที่โปรดปรานสำหรับคนที่ไม่ชอบอาหารไทยอย่างคุณดีนได้
“คุณดีนทานได้เหรอครับ”
“ผมไม่ชอบอาหารไทย แต่ชอบขนมไทยนะ มัมผมก็ชอบ”
“มัม? หมายถึงคุณแม่น่ะเหรอครับ”
“ครับ...เอาลืมกลืนไปเพิ่มสิ ผมชอบ ดาราทองนั่นด้วย”
“หือ?”
“ทำไมครับ คิดว่าผมจะเรียกมันว่าจ่ามงกุฎเหรอ” ดีนพูดยิ้ม ๆ รณณ์พยักหน้ายอมรับ ใครจะคิดว่าลูกเสี้ยวอย่างคุณดีนจะรู้เรื่องขนมไทยและเรียกชื่อของมันถูกทั้งที่คนไทยแท้ ๆ หลายคนยังเรียกเจ้าขนมสีเหลืองอร่ามรูปทรงคล้ายมงกุฎนั่นผิดอยู่เลย
“มัมผมก็รู้นะ ของโปรดท่านน่ะ”
รณณ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยิบดาราทองมาเพิ่มอีกกล่อง “เราจะทานกันหมดนี่เลยเหรอครับ เบาหวานรับประทานแน่ ๆ” เด็กหนุ่มทำหน้าขยาด เขาชื่นชอบของหวานไทยก็จริง แต่จะให้ทานทั้งหมดนี่ก็เห็นจะเกินไปหน่อย
ดีนมองยิ้ม ๆ “ไม่หรอก ผมจะซื้อไปฝากมัม” ดีนโน้มตัวยื่นเงินให้แม่ค้าสาวที่นั่งอยู่ต่ำกว่าซึ่งผ่านหน้ารณณ์ที่ยังยืนขวางไว้พร้อมกับแกล้งเอนตัวเข้าหาแล้วกระซิบให้ได้ยินกันสองคน “จะบอกท่านว่าแฟนผมฝากมาให้”
ร้อน
รณณ์อยากจะโทษว่าอากาศเมืองไทยเอาแน่เอานอนไม่ได้ขนาดที่ทำให้เขารู้สึกร้อนกะทันหันได้ แต่เพราะเสียงหัวใจที่เต้นแรงจนดังออกมาประจานตนนั้นก็ทำให้ต้องยอมรับว่าตนหน้าร้อนเพราะคำพูดของคุณดีน
ดีนเหลือบมองดวงหน้าใสแดงก่ำแล้วลอบยิ้ม เอ็นดูท่าทางนั้นจนอยากจะจับฟัดให้แก้มช้ำเสียเดี๋ยวนี้ถ้าไม่ติดว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองมาและที่นี่ก็เป็นสถานศึกษา ดีนเอ่ยขอบคุณแม่ค้าวัยสาวก่อนทิ้งท้ายด้วยยิ้มบางแล้วเดินออกมา แกล้งไม่สนใจเสียงสาว ๆ ถามไถ่ถึงตัวตนของเขาจากคนเป็น ‘แฟน’
เดินทิ้งห่างได้ไม่เกินหนึ่งบล็อกร้านค้า เด็กหนุ่มก็เร่งฝีเท้าตามมาเดินข้างกันแล้ว “น้อง ๆ ผมชอบคุณ” คล้ายคำบอกเล่าทว่าน้ำเสียงและสีหน้าดูไม่ยินดีนัก
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“พวกเธอขอให้ผมช่วยจีบคุณ”
ดีนยิ้ม สองขายังคงเดินต่อไป นัยน์ตาตี๋ทว่าโตพอประมาณมองตรงไปข้างหน้าไม่ได้เหลือบมองคนข้างกายสักนิด “บอกเขาไปสิว่าจีบติดแล้ว”
“...”
ดีนหยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้ากับคนฟัง “แต่เป็นคุณนะ ไม่ใช่พวกเธอ”
รณณ์อ้ำอึ้งพูดไม่ออก กว่าจะตอบโต้กลับไปได้อีกฝ่ายก็แทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ “อะไรกันละครับ ผมยังไม่จีบคุณสักหน่อย”
พูดจบก็รีบสาวเท้าเดินนำไปก่อนอย่างไม่รีรอ ดีนยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ภาพแผ่นหลังคนที่เดินเขินจากไปพร้อมซ่อนรอยยิ้มไว้หลังเลนส์ กดถ่ายเพียงแค่ครั้งเดียวดีนก็ได้รูปที่พอใจก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าตามอีกฝ่ายไป
“ไม่ต้องจีบก็ติดไง ผมยอมติดกับโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย”
“พอเถอะครับคุณดีน ต้องให้ผมยอมรับว่าเขินก่อนรึไงคุณถึงจะหยุดแกล้ง”
ได้ยินอย่างนั้นดีนก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจจนโดนคนขี้เขินมองค้อนแล้วเดินหนีไปในทิศที่ห่างจากฝูงชน รณณ์เองก็เบื่อที่จะเดินหนี อยากเดินไปพร้อม ๆ กันมากกว่า แต่เพราะความเขินอายมีมากจนไม่กล้าสู้หน้าด้วย เลยจำต้องหนีไปตั้งหลักเสียก่อน
“รู้ตัวด้วยหรือว่าโดนแกล้ง”
“คุณดีนร้าย!”
“แต่ก็รัก”สองเท้าของคนเดินนำหน้าหยุดชะงัก คนที่เดินตามหลังเองก็เช่นกัน ดีนตกใจที่คำว่า ‘รัก’ หลุดออกจากปากตัวเองง่ายกว่าที่เคยคิดไว้ ขณะที่คนฟังเองก็เกิดความสับสนในใจอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เพราะเสียงอีกฝ่ายเบาจนคิดว่าตนหูแว่วไปเอง แต่เพราะเจตนาของการพูดต่างหากที่คาใจรณณ์
“อะไรครับ?...” รณณ์หันกลับมาเผชิญหน้า ดีนที่ยืนห่างออกไปเกือบสามก้าวมองอีกฝ่ายทำหน้าฉงน แววตาที่เคยซุกซนตามวัยจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ “คุณดีนร้ายแต่ก็รัก หรือหมายถึงผมที่ว่าคุณดีนร้าย...แต่ก็ยังรัก”
“...”
“เจตนาคุณเป็นแบบไหนกันแน่”
ดีนไม่ได้สืบเท้าเข้าไปใกล้ เขาจ้องเข้าไปในหน่วยตาของคู่สนทนา ส่งความรู้สึกผ่านแววตาไปอย่างซื่อตรง
“เรารักกัน”“...”
“แทนที่จะเป็นคุณรักผมหรือผมรักคุณ แต่เป็นเราก็รักกัน...ได้ไหม”ไม่มีคำตอบรับใด ๆ แต่ดีนก็หมายรวมเอาว่ายิ้มหวานของคนตรงหน้าคือคำตอบในทางทีดี สองหนุ่มมองตากันแล้วยิ้มขำ ต่างก็คิดว่านี่เป็นการสารภาพรักที่ไม่โรแมนติกเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังไม่คาดคิดว่าจะมีฉากบอกรักได้กะทันหันแบบนี้ด้วย นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับพวกเขาที่ชวนใจเต้นแรงได้ดีทีเดียว
(มีต่อนะคะ)