ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #18
เสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของบรรณาธิการหนุ่มลูกเสี้ยวไม่ใช่สิ่งที่พนักงานของนิตยสารไลฟ์คุ้นชินสักเท่าไหร่ ใบหน้าที่มักจะเคร่งครึมยิ้มรับคำทักทายยามเช้าจากลูกน้องบ้างในวันนี้กลับดูสดใสผิดหูผิดตา หลายคนที่ยืนรอลิฟต์ในเช้าวันนี้ต่างก็เว้นระยะห่างจากคนเป็นนายมากกว่าตอนที่อีกฝ่ายทำหน้าดุเสียอีก ไม่เว้นแม้แต่นักศึกษาฝึกงานร่างสูงโปร่งที่ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังก็ต้องทำตามคนส่วนใหญ่ด้วย แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลเดียวกัน เขาแค่ทำตามความต้องการของคุณดีนเท่านั้น
รณณ์ไม่รู้ว่าตนควรจะขอบคุณหรือกล่าวโทษประตูลิฟต์ดีที่มันเป็นกระจกใสจนทำให้มองเห็นสีหน้าระรื่นจนน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่ายได้ ทั้งรอยยิ้มมุมปากและแววตาที่ส่งให้กันผ่านเงาบนนั้นทำให้เขารู้สึกเขินขึ้นมาทั้งที่ตั้งใจจะแกล้งทำเป็นไม่สนิทกันแล้วแท้ ๆ
“สวัสดีค่ะบอกอ”
ดีนหน้าตึงทันทีที่ได้ยินเสียงหัวหน้าคอลัมนิสต์สาวก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวมายืนข้างกัน ชายหนุ่มตอบรับคำทักทายกลับไปแค่คำว่า ‘ครับ’ ท่ามกลางการสังเกตการณ์ของพนักงานคนอื่น ๆ
ดาวยิ้มรับ หันมองเด็กหนุ่มที่ยืนห่างกันไม่กี่ก้าวแล้วแสร้งทำหน้าตาตกใจ “อ้าวรณณ์ วันก่อนบังเอิญเจอบอกอที่งานมหา’ลัย แล้ววันนี้บังเอิญเจอกันที่หน้าลิฟต์...หรือว่าบังเอิญมาด้วยกันล่ะ” แม้จะถามเด็กหนุ่ม แต่ในประโยคหลังเธอกลับหันมามองคนที่มีศักดิ์เป็นนาย
แน่นอนว่าคนบริเวณนั้นต้องได้ยินและไม่เกินครึ่งวันเช้าคงจะเอาไปซุบซิบกันจนระแคะระคายเรื่องของเขากับรณณ์กันหมดทั้งบริษัทอย่างที่เธอตั้งใจ รณณ์หน้าซีดเผือดขณะที่ดีนหันมองคนพูดตาขวางแล้วตอบเสียงเรียบ “บังเอิญก็คือบังเอิญ เหมือนอย่างที่ผมบังเอิญเจอคุณที่มหา’ลัยและบังเอิญเจอที่หน้าลิฟต์นี่ไง”
ดาวยกยิ้ม “จริงด้วย บังเอิ๊ญบังเอิญนะคะ...อุ๊ย! ผิง อันนี้ก็บังเอิญด้วยรึเปล่า”
สายตาทุกคู่ต่างหันไปมองเจ้าของชื่อที่เดินตามเข้ามาสมทบไม่เว้นแม้แต่ดีน ผิงยิ้มบางแทนคำทักทายให้กับทุกคนก่อนจะก้าวเข้าไปยืนข้างดีนอีกฝั่งที่ยังว่างจนกลายเป็นว่าตอนนี้บรรณาธิการหนุ่มถูกขนาบข้างด้วยสองหัวหน้าสาวต่างแผนก
มือเรียวเกาะเกี่ยวแขนเพื่อนชายอย่างมีจริต แม้มาไม่ทันได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านี้และเดาสถานการณ์ได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็ขอแค่เธอได้ทำอะไรที่ขัดแย้งทุกความต้องการของอีกฝ่ายก็เป็นพอ “ไม่บังเอิญหรอกค่ะ วันนี้เรามาด้วยกัน แต่พอดีผิงแวะคุยงานนิดหน่อยเลยให้ดีนเขาเดินมาก่อน กลัวเขาจะรอนาน”
หญิงสาวตั้งใจเน้นชื่อเพื่อนชายเป็นพิเศษเพราะปกติแล้วเธอมักจะเรียกตำแหน่งของอีกฝ่ายยามอยู่ต่อหน้าพนักงานคนอื่นเสียมากกว่าจะทำตัวสนิทสนมแบบนี้ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นที่สังเกตของทุกคนได้ดี เธอได้แต่หวังว่าคนทั้งบริษัทจะให้ความสนใจเรื่องของเธอมากกว่าจะสนใจประเด็นของรณณ์
ภาพเด็กหนุ่มกลืนริมฝีปากเข้าหากันและไม่ได้สบตากันดังเดิมที่สะท้อนผ่านบานประตูลิฟต์ทำให้ดีนใจเสีย จริงอยู่ที่คุยกันแล้วว่าคงทำตัวสนิทสนมกันในที่ทำงานไม่ได้เพราะรณณ์จะเป็นฝ่ายเสียหายเองแต่ก็ไม่ได้พูดถึงกรณีความสัมพันธ์เกินเพื่อนกับผิงอย่างที่อีกฝ่ายกำลังแสดงให้คนทั้งบริษัทดูแบบนี้
“และคงจะมาด้วยกัน กลับด้วยกันไปอีกนานเลยล่ะค่ะ” ดีนไม่ค้านเพราะที่เธอพูดนั่นก็เรื่องจริง รถของเธอเสียต้องเข้าอู่หลายวัน ช่วงนี้เขาจึงกลายเป็นสารถีจำเป็นไปโดยปริยายเพราะคอนโดเธอเป็นทางผ่าน เพียงแต่ไม่ได้ขยายความคำว่านานเท่านั้นเอง ผิงปล่อยให้คนที่ได้ยินคิดไปต่าง ๆ นานา ซึ่งคงหนีไม่พ้นสถานะที่ชัดเจนขึ้น
“แหม นี่เปิดตัวคบกันแล้วเหรอคะ ยินดีด้วยจริง ๆ”
สองหนุ่มสาวไม่ตอบอะไร ดีนเอาแต่มองหน้ารณณ์ผ่านเงาที่สะท้อนตรงหน้าขณะที่ผิงแค่ยิ้มบางไม่ตอบชัดในความสัมพันธ์
ลิฟต์นี่ก็ช้าเสียจนรณณ์อยากจะเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นหกเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็กลัวจะเป็นการแสดงอาการให้ยิ่งผิดสังเกต เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจคำพูดของหัวหน้าแผนกตัวเองนัก พยายามคิดในแง่ดีว่าคุณดีนไม่โกหก อย่างน้อยการที่คุณดีนบอกให้เขาเชื่อใจต่อหน้าผิงวันนั้นก็เป็นเรื่องจริง
บางที…
บางที...พี่ผิงอาจจะกำลังช่วยเขาอยู่ก็ได้
DEAN @DEANada . 2d
I found a love for me and I see my future in his eyes. #1stHappyValentineนานแค่ไหนไม่รู้ที่รณณ์มัวแต่นั่งอ่านประโยคเดิมซ้ำ ๆ ที่เจ้าของแอคเคาน์อัพไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวันวาเลนไทน์ราวกับนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจที่ปวดหน่วงจากเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้านี้ได้
จำได้ว่าคืนนั้นดีใจขนาดไหนตอนเห็นทวีตนี้ของคุณดีน ดีใจจนกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูง โดนต้อนจนสุดท้ายก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้ สบายใจไปเรื่องหนึ่งที่เพื่อนทุกคนยอมรับสิ่งที่เขาเป็นได้เหมือนกับเอก มิหนำซ้ำยังกดดันให้เขาชวน ‘แฟน’ มาพบปะเพื่อนฝูงโดยเร็วกันเสียยกใหญ่
“รณณ์!!”
“ห๊ะ! ห๊ะพี่!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งตื่นตกใจ พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเจ้าตัวก็รีบกดปิดหน้าจอเครื่องมือสื่อสารทันที โชคดีที่ตนเปิดแสงหน้าจอในระดับต่ำสุดและหน้าจอแอพฯก็เป็นโหมดกลางคืน ถ้ามองจากด้านข้างจะไม่สามารถเห็นเนื้อหาบนนั้นได้เลย
“เป็นอะไรวะ ช่วงนี้เหม่อ ๆ นะเรา”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”
“อะไรที่ไม่ใช่เรื่องงานก็อย่าไปเก็บมาคิดเยอะ เข้าใจที่พูดไหม”
“ครับ” รณณ์รับปากเสียงแผ่ว ไม่เข้าใจนักว่าทศต้องการจะสื่ออะไร รู้แต่ว่ารุ่นพี่ร่วมแผนกคนนี้มีความหวังดีให้ตนเสมอ “แล้วพี่มีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”
“จะมาบอกว่าตอนสิบโมงให้เข้าประชุมด้วย”
“หือ? วันนี้มีประชุมด่วนเหรอครับ” ถ้าเป็นการประชุมภายในแผนก เขาจะได้รับนัดหมายล่วงหน้าอย่างช้าที่สุดก็หนึ่งวันไม่ใช่หนึ่งชั่วโมงแบบนี้
“ไม่ใช่ วันนี้ประชุมใหญ่เรื่องฉบับหน้า”
“ประชุมใหญ่...หมายถึง…?”
“ประชุมกับบอกอนั่นแหละ แล้วก็ไม่ต้องถามนะว่าทำไมแกต้องเข้าด้วยเพราะพี่ก็ไม่รู้ รู้แต่คุณดาวเธอสั่งมา”
รณณ์พยักหน้าช้า ๆ ความหนักใจเกิดขึ้นอีกรอบ ถ้าเจอหน้ากันในที่ประชุมเขาคงจะวางตัวไม่ถูก บรรยากาศชวนอึดอัดอย่างเมื่อเช้าก็คงกลับมาอีกครั้ง แต่จะปฏิเสธไม่เข้าร่วมก็คงไม่ได้เพราะเป็นคำสั่งของหัวหน้างาน อีกอย่าง สถานะนักศึกษาฝึกงานก็ไม่ได้มีสิทธิเลือกมากนัก
“พรุ่งนี้พาไปหน่อยนะ”
“วอแวจัง”
“จะไม่พาไปเหรอ”
“ไป...” เสียงทุ้มขาดหายเมื่อสายตาสบกับใครบางคนที่ไม่น่าจะมานั่งร่วมอยู่ในห้องประชุมนี้ได้ ผิงมองตามแล้วก็ตกใจไม่แพ้กันเพียงแต่ไม่ได้แสดงอาการมากเกินไปกว่าแค่ขมวดคิ้ว ปล่อยให้เพื่อนชายส่งสายตาถามหัวหน้าของเด็กหนุ่มทางสายตาเอาเอง
“ขออนุญาตบอกอตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ ฉันคิดว่าเจ้าของไอเดียเล่มที่แล้วควรจะได้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย อย่างน้อยก็ให้คนอื่นได้รู้ว่าเด็กมันมี ‘ของ’...บอกอว่าดีไหมคะ” ปิดท้ายรูปประโยคนอบน้อมด้วยยิ้มหวานที่ทำเอาคนตกเป็นประเด็นยิ่งนั่งตัวลีบอยู่ข้างทศ
ดีนจ้องมองตาเขียว จะไม่ขุ่นเคืองเลยถ้าร่างโปร่งของคนรักไม่ขยับเบียดติดจนแทบสิงนายทศนั่นอยู่รอมร่อ “ไม่...”
“ได้สิคะ ต้องได้อยู่แล้ว” ผิงชิงเอ่ยตอบรับก่อนที่ดีนจะปฏิเสธออกมา ดีนมองเพื่อนสนิทด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไหนแต่ไรมากฎของบริษัทก็ชัดเจนว่านักศึกษาฝึกงานมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแค่ภายในแผนกที่ฝึก ไม่ใช่การประชุมใหญ่แบบนี้
ดาวยิ้มพอใจ “แหม คำตอบของผิงดูจะเป็นคำประกาศิตจนไม่ต้องถามความเห็นจากบอกอเพิ่มแล้วสินะคะ”
ดีนมองตาขุ่นแต่คนพูดไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน ดาวกวาดตามองทุกคนก่อนจะแนะนำรณณ์ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รู้จัก “นี่รณณ์นะคะ เป็นเด็กฝึกงานอยู่แผนกดาว เจอหน้าหล่อ ๆ แบบนี้ที่ไหนก็เรียกใช้ได้เลยค่ะ”
รณณ์ลุกขึ้นยืนกระพุ่มมือไหว้ทักทายทั่วทุกทิศโดยเริ่มจากคนใหญ่สุดตรงหัวโต๊ะด้วยท่าทีสุดแสนจะประหม่า
การทำแบบนี้คือการเอารณณ์มาเปิดตัวต่อหน้าหัวหน้าใหญ่ของแต่ละฝ่าย ซึ่งเมื่อคนรู้จักรณณ์มากขึ้น นั่นหมายความว่านับต่อจากนี้ ความสนิทสนมของดีนกับเด็กหนุ่มก็อาจเป็นที่สะดุดตาผู้คนมากขึ้นได้ ดีนตัดทุกประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจของผู้เข้าร่วมประชุมในตอนนี้ด้วยการกล่าวเข้าสู่การประชุม
ตลอดเกือบสามชั่วโมงของการประชุม เด็กหนุ่มที่มีสถานะเป็น ‘คนนอก’ คนหนึ่งนั่งนิ่งเงียบไร้การแสดงความคิดเห็นใด ๆ จนเสมือนเป็นเพียงอากาศในที่นี้ มีหน้าที่แค่ช่วยทศจดสรุปการประชุมเงียบ ๆ จะมีตัวตนขึ้นมาบ้างก็ตอนที่ดาวจงใจส่งคำถามมาให้และตอนที่ร่วมโหวตธีมหลักของฉบับประจำเดือนหน้าเท่านั้น ขณะที่ดีนเองก็ต้องใช้สมาธิอย่างมากเพื่อให้จดจ่ออยู่กับเนื้อหาของการประชุมแทนดวงหน้าใสที่หงอลงด้วยภาวะที่ทั้งกดดันและอึดอัดจากที่ดาวสร้างขึ้นมา
“ทำอะไรของเธอ รู้ทั้งรู้ว่ากฎของบริษัทเราเป็นยังไง ทำไมถึงยังพูดแบบนั้น”
ดีนระบายออกมาอย่างหัวเสียใส่เพื่อนสาวคนสนิทที่ตามเข้ามาในห้องทำงานของเขาหลังจบการประชุม
“ฉันรู้ ฉันจำกฎทุกข้อได้หน่า แต่นายหย่อนบ้างก็ได้ ลองนึกดูนะว่าถ้านายตึงเกินไป ดึงดันที่จะรักษากฎ น้องมันจะรู้สึกยังไง จะเสียความรู้สึกขนาดไหน เพราะถ้านายพูด นั่นเท่ากับว่าน้องถูกปฏิเสธต่อหน้าคนนับสิบ อย่าลืมว่าน้องไม่ใช่คนที่อยากมานั่งอยู่ตรงนั้น แต่เป็นความต้องการของคนอื่น”
ดีนถอนหายใจหนัก
“อย่าเดินตามเกมพี่ดาวสิ คีพคูลไว้ คีพคูล”
“บางทีฉันก็คิดว่านี่เราก็กำลังเดินตามเกมของเธออยู่”
“ทุกอย่างจะเป็นตามที่เธอต้องการไหมฉันไม่รู้ รู้แต่เรากำลังเซฟน้องนะ”
ดีนรู้ ทุกอย่างจะเป็นตามที่เธอต้องการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางที...ไม่ว่าเขาจะตอบสนองกับเรื่องนี้อย่างไร ก็ดูเหมือนจะตามเกมเธอไปเสียทุกอย่าง
ถ้าเขาออกปากปฏิเสธเอง รณณ์จะเสียความรู้สึกที่ถูกหักหน้าต่อหน้าคนอื่น ขณะที่ถ้าเขาตอบรับ หลายคนอาจตั้งคำถามขึ้นมาว่าทำไมถึงต้องให้สิทธินั้นกับรณณ์ทั้งที่เขาเป็นคนเคร่งเรื่องกฎระเบียบมาก แต่ถ้าหากผิงปฏิเสธหรือยอมรับให้ ทุกคนก็จะเข้าใจว่าเธอสามารถออกคำสั่งได้เหมือนเขาซึ่งเมื่อก่อนไม่ใช่
การกระทำแบบนั้นจะบ่งบอกถึงสถานะที่แนบแน่นขึ้นโดยไม่ต้องป่าวประกาศเลยสักนิด
ตลอดทั้งสัปดาห์เต็มไปด้วยข่าวลือมากมายถึงความสัมพันธ์ของสองเพื่อนสนิทต่างเพศ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีใครสนใจเรื่องของเด็กฝึกงานหน้าใส แม้จะยังไม่เคยเห็นกับตาว่าเด็กหนุ่มสนิทสนมกับบรรณาธิการตนเองขนาดไหน แต่เมื่อข่าวมันแว่วเข้าหูมาได้ก็ย่อมมีมูลของเรื่องไม่มากก็น้อย
ดีนและรณณ์วางตัวดีมาตลอด เจอกันแต่ละครั้งก็หลบเลี่ยงที่จะสบตากันตรง ๆ มีบ้างที่ทักทายสวัสดีตามรุ่นพี่คนอื่นในยามที่เลี่ยงการพบเจอไม่ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหลังเลิกงานดีนจะต้องไปนั่งรอรณณ์ที่ร้านกาแฟใกล้บริษัท แต่เพราะต้องรับผิงติดรถกลับด้วยทุกวันในช่วงนี้ เขาจึงไม่ได้แวะไปอีกเลย ครั้นจะบอกให้ผิงกลับเองก็คงจะเป็นที่ผิดสังเกตของคนอื่นจนดูไม่แนบเนียนเอาได้ เพราะฉะนั้นในช่วงสามสี่วันมานี้ดีนจึงแทบไม่ได้เจอกับรณณ์เลย
ความรักที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ของรณณ์กับดีนไม่รบกวนจิตใจของเด็กหนุ่มมากนักเพราะคอลัมน์ประจำเดือนใหม่ที่ตนต้องเร่งทำส่งทั้งในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตนเองและส่วนที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นในแผนกตามประสาเด็กฝึกงานทำให้รณณ์ยุ่งมากจนไม่ได้สนใจว่าในแต่ละค่ำคืนตนจะได้คุยเรื่องสัพเพเหระอะไรกับคนรักมากมายหรือมีเพียงแค่ข้อความสั้น ๆ จากอีกฝ่ายส่งมาบอกเข้านอนเท่านั้น
ฟากดีนเองก็พยายามไม่ใส่ใจกับความห่างเหินไปตามที่สถานการณ์บังคับ บางคืนโทร.หา นอกจากจะพูดคุยเรื่องจิปาถะแล้วก็ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานที่อีกฝ่ายกำลังทำบ้างตามโอกาส แต่ไม่ลืมที่จะให้กำลังใจและบอกฝันดีในทุกคืน
เพียงแค่นี้ดีนก็มีความสุขมากแล้ว
แต่ผิงว่าสีหน้าของคนมีความสุขไม่ได้ดูอมทุกข์ขนาดนี้…
นับวันดีนจะยิ่งหน้าตึงขึ้นทุกวัน จากที่ไม่ค่อยยิ้มให้เธอมากมายอยู่แล้ว แต่ช่วงหลายวันมานี้ดีนแทบจะหน้าบึ้งอยู่ตลอดเวลา
“วันนี้ไปดูหนังกันหน่อยไหม” ผิงเอ่ยถามในตอนที่ลงลิฟต์มาด้วยกันตามลำพัง วันนี้พวกเขากลับช้ากว่าทุกวันเพราะดีนติดประชุมกับบอร์ดบริหาร สีหน้าเหนื่อยอ่อนนั่นเธอก็อยากจะเข้าใจว่าเป็นเพราะวาระการประชุมหากไม่ติดว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแบบนี้มาตั้งแต่ต้นสัปดาห์แล้ว
“ไม่ล่ะ” ดีนปฏิเสธเสียงแผ่ว คิดถึงการพักผ่อนเพียงอย่างเดียวคือการนอน นอนหลับแล้วตื่นมาให้ถึงวันสุดท้ายของการฝึกงานของรณณ์ได้เลยยิ่งดี
ผิงถอนหายใจ มองดูด้วยความเป็นห่วงแล้ววางมือบนท่อนแขนดีนเพื่อส่งต่อความห่วงใยให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แต่เมื่อลิฟต์ส่งสัญญาณว่ากำลังจะเปิดออก มือเรียวสวยก็เปลี่ยนจากแตะเบา ๆ มาคล้องแขนแกร่งทันทีอย่างรู้งาน ทว่ามันกลับทำให้คนที่กำลังจะก้าวเข้ามาร่วมโดยสารด้วยถึงกับชะงัก
รณณ์ไล่สายตามองตามมือของเธอที่เกาะเกี่ยวคนของเขาอยู่ด้วยใจที่หวิวโหวงอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะก้าวเข้ามายืนเยื้องไปอีกมุมหนึ่งกับคนทั้งคู่
ผิงปล่อยมือออกจากแขนดีนก่อนขยับถอยออกห่างอีกนิด “เพิ่งกลับเหรอรณณ์”
“ครับ”
“กลับยังไงล่ะ กลับด้วยกันไหม ให้บอกอไปส่ง” คนถูกพาดพิงหันมองเพื่อนสาวด้วยความฉงนด้วยไม่เข้าใจว่าเธอกำลังจะทำอะไร แต่ไม่รู้เลยว่าท่าทางนั้นทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจว่าเขาไม่เต็มใจนัก
“ไม่เป็นไรครับ บอกอคงไม่ยินดีเท่าไหร่ที่ผมจะกลับด้วย”
“ผมพูดแล้วเหรอว่าไม่ยินดี”
รณณ์เม้มปากแน่น ไม่อยากทำตัวเป็นคนอ่อนแอแต่ความรู้สึกน้อยใจที่ก่อตัวขึ้นมันคือความจริงที่หนีไม่พ้น ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธต่อจากนั้น แต่เป็นที่เข้าใจว่ารณณ์จำต้องทำตามคำชวนของหัวหน้าแผนกพิสูจน์อักษรคนสวยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่เอ่ยปากชวนเด็กหนุ่มกลับด้วยกันเพราะผิงอยากให้ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันบ้างโดยไม่น่าเกลียดในสายตาคนอื่นแต่ใครจะคิดว่าพอขึ้นรถมาแล้วบรรยากาศจะชวนอึดอัดได้มากขนาดนี้ ไม่มีใครปริปากพูดอะไร และเพราะว่าดีนไม่เปิดเพลงเหมือนทุกครั้ง ภายในห้องโดยสารจึงยิ่งเงียบสงัด ผิงให้ดีนไปส่งตนที่คอนโดก่อนแล้วค่อยไปส่งรณณ์เพื่อยืดระยะเวลาให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ระหว่างทางผิงก็ชวนแวะรับประทานอาหารเย็นกันก่อน แต่ดีนปฏิเสธเสียงแข็ง
“บอกอจอดส่งผมตรงนี้แหละครับ จะได้พาพี่ผิงไปทานอาหารต่อ”
“เห้ย พี่ชวนเราด้วยนะรณณ์”
“ฉันจะไม่แวะที่ไหนทั้งนั้นแหละ”
เธอมองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนชายอย่างพิจารณา “ตามใจ” พูดออกเสียงแค่นั้น แต่สิ่งที่อยู่ในใจ เธอมั่นใจว่าเพื่อนจะรับรู้ได้
…ถือว่าไอ้ผิงช่วยแล้วนะ…
ถึงจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าตนจะไม่แวะรับประทานอาหารที่ไหนทั้งนั้นแต่เมื่อรถคันหรูจอดเทียบหน้าหอพักเด็กหนุ่มแล้วคนขับกลับงอแงร้องหาสิ่งตอบแทนเป็นอาหารสักมื้อทั้งที่ได้รับคำขอบคุณไปแล้ว
“ผมหิว ยังไม่ได้ทานอะไรเลย” รณณ์อยากจะแย้งนักว่าทำไมตอนที่พี่สาวคนสวยชวนแวะทานอาหาร ตอนนั้นถึงไม่ตอบรับ จะมางอแงบอกว่าหิวตอนนี้ได้อย่างไร แต่สิ่งที่พูดออกไปได้คือคำเชิญด้วยความยินดีเพราะไม่อาจปฏิเสธแววเว้าวอนในหน่วยตาคมได้
“ห้องรกนิดนึงนะครับ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างจัด”
ดีนกวาดตาสำรวจห้องสีเหลี่ยมที่ไม่กว้างอะไรนักแต่ก็ดูเหมาะสมกับวิถีชีวิตของนักศึกษาแล้วพบว่า ‘รกนิดนึง’ จริงอย่างที่เจ้าของออกตัวไว้ เพราะนอกจากบริเวณโต๊ะอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยกองเอกสารแล้วก็ไม่มีส่วนไหนของห้องที่เขารู้สึกว่ารกเลยสักนิด
“เอ่อ บอกอนั่งพื้นได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มบอกด้วยท่าทางเก้อเขิน ก็ห้องเขาแคบแค่นี้ เปิดประตูมาก็เจอเตียงนอนขนาดหกฟุตที่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งห้อง โต๊ะตัวใหญ่ที่หอมีให้เขาก็ใช้เป็นโต๊ะทำงานไปเสียแล้ว เวลาจะกินจะเล่นอะไรก็ต้องนั่งกับพื้นแล้วใช้โต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กเอา
บอกอ? แสลงหูชะมัด
“อยู่ด้วยกันตอนนี้ไม่ต้องเรียกว่าบอกอหรอก แล้วผมก็นั่งได้ ตรงไหนก็นั่งได้” ...ขอแค่ได้ใช้เวลาอยู่กับคุณบ้าง
ดีนว่าแล้วนั่งลงอย่างว่าง่าย มองดูแล้วไม่น่าจะมีพื้นที่ที่น่าจะเรียกว่าครัวได้ ถึงจะมีตู้เย็นขนาดห้าคิวอยู่ตรงมุมหนึ่งก็ตาม
“เอ่อ...ในห้องผมมีแต่บะหมี่คัพ คุณดีนพอจะทานได้ไหมครับ”
“คุณหิวหรือเปล่า ยังไม่ได้ทานอะไรเลยเหมือนกันนี่” ดีนไม่ตอบแต่ถามกลับไปแทน
“นิดหน่อยครับ”
“แล้วปกติทานอะไรที่ไหน”
“ใต้หอมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ครับ แต่ส่วนใหญ่จะแวะซื้อข้างนอกเข้ามา”
“อืม...แต่วันนี้เราคงออกไปทานข้างนอกไม่ได้ โทร.สั่งเอาได้ไหม” ไม่รู้ว่าดีนกังวลมากเกินไปหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้ใครมาเห็นเขาอยู่กับรณณ์ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายภาคหน้า ลำพังแค่ตัวเขาไม่มีอะไรเสียหายแต่กับรณณ์ไม่ใช่ ความสัมพันธ์แบบสมภารกินไก่วัดอาจมีปัญหาไปถึงระดับมหาวิทยาลัยได้ หากเป็นเช่นนั้น อนาคตของรณณ์คงเปราะบางเต็มที
รณณ์รับคำก่อนถามว่าอีกฝ่ายจะทานอะไร แอบเป็นห่วงว่าคุณดีนจะทานได้หรือ ป้าร้านข้าวข้างล่างทำเป็นแต่อาหารรสจัดจ้าน แม้แต่อาหารฝรั่งพื้น ๆ ที่ร้านอาหารตามสั่งร้านอื่นเขาทำได้อย่างสปาเกตตี้หรือผัดมักกะโรนีป้าแกยังทำไม่เป็นเลย
“มีอะไรไม่เผ็ดแล้วอร่อยบ้าง”
รณณ์หลุดขำเล็กน้อยก่อนเก็บอาการเมื่อถูกคนสูงวัยกว่ามองดุใส่ “อืม เห็นจะมีแต่ไข่เจียวนะครับ”
“รณณ์”
เด็กหนุ่มยิ้มทะเล้น “อ้อ มีไข่ดาวอีกอย่าง”
ดีนส่ายหน้าสองคนที่ยังไม่ทันสรุปรายการได้ก็หนีพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจออกจากห้องลงไปซื้ออาหารให้เสียแล้วเพราะที่นี่ไม่มีบริการส่งถึงห้อง ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเด็กหนุ่มกลับมาพร้อมข้าวเปล่าสองจานและกับข้าวแสนจืดชืดเอาใจแขกอีกสองสามอย่างซึ่งหนึ่งในนั้นคือไข่เจียวอย่างที่เจ้าตัวแนะนำไว้เพียงแต่อัพเกรดคุณค่าทางอาหารขึ้นมาอีกนิดเป็นไข่เจียวหมูสับ
“รับน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่าดีครับ”
“ขอกาแฟได้ไหม”
“เย็นมากแล้วนะครับ คุณไม่ควรดื่มมันอีก เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ”
“ถ้าไม่ดื่มสิจะนอนไม่หลับ”
“แต่ที่ห้องผมไม่มีกาแฟหรอกนะครับ ถ้าคุณดีนอยากดื่มผมจะลงไปซื้อให้ กาแฟกระป๋องนะครับ ไม่ใช่กาแฟสด”
“ไม่ต้องลำบากหรอก ผมดื่มน้ำเปล่าได้”
อาหารพร้อม เครื่องดื่มพร้อม สองหนุ่มนั่งประจำที่ตรงข้ามกันและกัน รณณ์ผายมือให้ดีนเริ่มทานอาหารก่อน นัยน์ตาใสจ้องมองด้วยความลุ้น ไม่หวังให้รสชาติถูกปากคุณดีน ขอแค่พอทานได้ก็พอใจแล้ว
“อืม ใช้ได้เลยนะ สงสัยคงต้องมาทานบ่อย ๆ ซะแล้ว”
หมายความว่าจะมาห้องเขาอีกน่ะเหรอ?
ให้ตายเถอะ! ถ้อยความชื่นชมอาหารแต่สายตาที่มองมาอย่างลึกซึ้งนั่นแปลตรงตัวตามสิ่งที่ได้ยินไม่ได้เลยจริง ๆ
“ปะ ป้าแกคงดีใจที่มีลูกค้าเพิ่ม”
ดีนยิ้มเอ็นดูคนที่ไม่ยอมสื่อสารกันตรง ๆ “แล้วคุณดีใจไหมที่
แฟนจะมาทานข้าวเย็นด้วยทุกวัน”
เด็กหนุ่มตาโต ถึงจะเปลี่ยนสถานะกับคุณดีนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดคำนั้นออกมาสักครั้ง ยิ่งช่วงนี้ที่ไม่ค่อยได้คุยกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินชื่อสถานะที่ชัดเจนแบบนี้
ดีนยิ้มเอ็นดู วางช้อนส้อมแล้วยื่นมือข้างหนึ่งข้ามโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กไปวางบนศีรษะอีกฝ่าย
“อึดอัดไหม”
เจ้าของห้องส่ายหน้างง ๆ “ไม่นี่ครับ”
“ผมไม่ได้หมายถึงตอนนี้” ดีนมองสบอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่จริงจังมากขึ้น “…หมายถึงตอนที่เราเจอกันที่บริษัทน่ะ อึดอัดบ้างไหม”
“คุณดีน…”
“รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ได้อยากให้ความรักของเราเป็นความลับ ไม่ได้อยากหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ได้อยากคบคนอื่นเพื่อปิดซ่อนคุณ”
รณณ์พยักหน้าเล็กน้อย ดีนลูบผมอีกฝ่ายเล่น
“ผมอยากคบคุณแบบเปิดเผย อยากบอกให้คนอื่นรู้ว่าคนที่ผมรักคือคุณ แต่เพราะสถานะในตอนนี้ ถ้าผมทำแบบนั้น คนที่จะได้รับผลเสียอีกมากมายตามมาก็คือคุณ”
“ผมเข้าใจครับ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“เด็กดี...จะฝึกงานเสร็จเมื่อไหร่ อีกนานไหม”
“สิ้นเดือนหน้าครับ”
…หกสัปดาห์โดยประมาณ…
“อดทนหน่อยได้ไหม…”
“…”
“…อดทนไปด้วยกัน”
กว่าดีนจะกลับออกไปรณณ์ก็เขียนบทความที่ค้างไว้หลายวันของตัวเองเสร็จพร้อมส่งได้ถึงสองเรื่องพร้อมผ่านการตรวจคร่าว ๆ จากคนเป็นบรรณาธิการอีกด้วย ช่วงเวลาเกือบสี่ชั่วโมงที่ได้อยู่ด้วยกัน แม้จะน้อยและเต็มไปด้วยเรื่องงานแต่กลับทำให้ใจของสองหนุ่มเต็มตื้นไม่ต่างจากการหยอดคำหวานใส่กันเลย
หลังจากวันนั้นดีนก็มาฝากท้องที่หอพักของรณณ์ทุกเย็น เมนูอาหารมีทั้งจืดชืดตามแบบที่เขาทานได้และจัดจ้านตามความชอบของรณณ์ บางวันดีนก็ซื้อมาจากข้างนอกบ้าง และสิ่งที่ไม่เคยขาดในห้องของรณณ์อีกเลยคือกาแฟสดที่ต้องชงให้แขกประจำห้องดื่มเกือบทุกเย็น
เมื่อออกไปไหนด้วยกันไม่ได้ หลาย ๆ กิจกรรมจึงต้องทำด้วยกันในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี่ อย่างเช่นการช่วยกันปั่นงานส่งตามกำหนด นั่งพื้นพิงขอบเตียงเพื่อดูหนังสักเรื่อง อ่านหนังสือสักเล่มเพื่อหาแรงบันดาลใจให้งาน หรือแม้แต่การที่ดีนเรียนรู้การเล่นเกมออนไลน์จากรณณ์ และกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายอื่น ๆ อีกมากมายที่สรรหามาทำด้วยกัน
“เบ๊บ”
“ครับ” ได้ยินคำเรียกใหม่แทนชื่อตัวเองทีไรรณณ์ก็ยังรู้สึกจั๊กจี๋เสียทุกครั้ง แม้พักหลังมานี้จะได้ยินบ่อยกว่าคำว่า ‘เด็กดี’ แล้ว แต่ก็ยังไม่ชินเสียที
“ตอนอยู่คนเดียวผมว่ามันดีมากแล้วนะ แต่พอมีคุณมาอยู่ในโลกใบเดียวกัน ผมลืมไปเลยว่าตอนอยู่คนเดียวมันดีมากแค่ไหน ลืมไปเลยว่าเคยอยู่คนเดียวได้ยังไง...ผมกลายเป็นคนอ่อนแอไปแล้วเหรอเนี่ย” คนที่เสียสละไหล่ให้อิงซบเพื่อดูหนังพูดขึ้นในตอนที่เอ็นเครดิตถูกฉายหลังจบฉากสุดท้ายของหนังเรื่องดัง รณณ์เหลือบตาขึ้นมอง กำลังจะยกศีรษะออกมาเพื่อมองหน้าคนพูดให้ชัดแต่อีกฝ่ายกลับใช้มือข้างที่โอบกันไว้หลวม ๆ กดมันลงไปที่เดิม
แม้จะขัดเขินที่ต้องอยู่ในอ้อมกอดผู้ชายด้วยกันแบบนี้แต่ก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่ามันอบอุ่นไปทั้งใจ
“การยอมรับว่ามีใครสักคนอยู่ด้วยแล้วดีกว่ามันไม่ใช่ความอ่อนแอหรอกครับ ผมว่ามันคือความกล้าหาญนะ”
ดีนก้มมองเด็กหนุ่มที่มองมาก่อนอยู่แล้ว “หืม?”
“อย่างน้อยก็กล้าที่จะลดทิฐิของตัวเองลง”
ดีนระบายยิ้มกว้าง คงจะจริงอย่างที่รณณ์ว่า การคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวได้ เก่งมากพอไม่ต้องการใคร มันคือทิฐิอย่างหนึ่ง
“ขอบคุณนะ...” จุมพิตบนหน้าผากใสช่วยเสริมคำพูดนั้นให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิต
ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าโลกใบเดิมของเขามันยังไม่สมบูรณ์
“...เด็กดีของผม”
TBC.
-------------------------------------------------------------
อากาศหนาวแต่ใจพวกเขาไม่หนาว
ตอนที่แล้วคอมเม้นท์เยอะมาก แค่เขาตกลงคบกันเองนะเนี่ย
ถ้าเลิกกันจะขนาดไหน (ล้อเล่นนนนน)
#ไม่ดิ้นรนหา
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์