ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #19
RONN @ronn . 1s
ผมไม่ชอบดื่มกาแฟ แต่ผมชอบกลิ่นกาแฟ และเพราะคุณมักจะดื่มมันอยู่เสมอ ผมจึงชอบเวลาที่ได้อยู่กับคุณ กลิ่นหอมของกาแฟยังอบอวลในห้องพักขนาดเล็กแม้ว่าคนที่ดื่มมันจะกลับออกไปได้สักพักแล้วก็ตาม วันนี้คุณดีนเพียงแค่แวะมาอยู่ดื่มกาแฟเป็นเพื่อนเขาทานอาหารเย็นแล้วก็กลับออกไปเพราะมีนัดกับครอบครัว รณณ์นอนมองเพดานแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว อีกหนึ่งเดือนเขาก็จะฝึกงานเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นความรักของพวกเขาก็คงไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป
“ทำอะไรอยู่ครับแม่” เสียงนุ่มทักทายบุพการีที่อยู่ปลายสายด้วยความร่าเริงสดใสเหมือนทุกครั้ง
[ทำไมวันนี้โทร.มาช้านักล่ะลูก]
“โทร.ช้าแต่ว่างคุยด้วยนานนะครับ” ปกติเขาจะโทร.ไปหาก่อนที่คุณดีนจะมาถึง เพราะถ้าโทร.หลังจากคุณดีนกลับไปแม่เขาคงรอไม่ไหว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โทร.ทุกวัน แค่สัปดาห์ละสองถึงสามครั้งหรือจะถี่กว่านั้นก็เฉพาะวันที่มีเรื่องราวอยากบอกเล่ากันเป็นพิเศษเท่านั้น
[ปากหวานจริง ๆ ลูกคนนี้ แบบนี้สาว ๆ หลงแย่เลยสิ]
ไม่มีหรอกครับ…
...ไม่มีสาว
“เอ่อ แม่ครับ”
[ครับรณณ์]
“ถ้าผมมีแฟน….แม่จะโอเคไหมครับ”
เสียงแม่หายไปจนคนเป็นลูกเผลอคิดว่าสายหลุดไปแล้วหากไม่ได้ยินเสียงลมจากปลายทางที่ดังแว่วเข้ามา [รณณ์โตแล้วนะลูก เรียนจบแล้วก็ต้องมีครอบครัว มันเป็นไปตามลำดับขั้นตอนของธรรมชาติ แล้วทำไมแม่จะไม่โอเคล่ะหื้ม]
คนฟังคลี่ยิ้มด้วยความยินดีจนลืมไปว่าคนรักของตนเองไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับความ ‘ธรรมชาติ’ ในแบบที่แม่คิดเลยสักนิด
[แม่อยากอุ้มหลานเร็ว ๆ ลูกก็รู้]
เหมือนสะดุดลมหายใจตัวเอง เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งจนปลายสายคิดว่าลูกชายกำลังกดดันตัวเอง เธอหัวเราะคิดคักแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากกดดันลูกมากนัก
หลังจากนั้นไม่ว่าแม่จะพูดอะไรก็เหมือนว่าคนทางนี้จะไม่ได้สนใจฟังอีกแล้ว ความคิดกังวลผุดขึ้นมาเต็มไปหมดจนแม้แต่เสียงอือออไปตามเรื่องราวก็ไม่มีสักนิด
“ถ้าผมไม่มีลูก...” อยู่ ๆ ลูกชายที่เงียบฟังเธออยู่นานก็พูดแทรกขึ้นมา มันทำให้เธอเข้าใจได้ในทันทีว่ารณณ์คิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดที่เงียบไป “ถ้าผมไม่มีหลานให้แม่ แม่จะโกรธผมไหมครับ”
[รณณ์ลูก...] อยากจะขับรถไปหาลูกชายที่เมืองกรุงเสียจริง ป่านนี้เจ้าลูกชายคงจะหน้าหงอยรอแม่ไปกอดปลอบแล้ว [รณณ์โตแล้วนะ แล้วคนที่โตแล้วก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ หนึ่งในนั้นคือการตัดสินใจเรื่องของตัวเอง ไม่ว่ารณณ์จะมีลูกหรือไม่มี จะแต่งงานหรือไม่แต่ง แม่ก็ไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายสิทธิในชีวิตตัวเองของรณณ์อยู่แล้ว สิ่งที่แม่อยากจะขอคงมีเพียงแค่อย่างเดียว]
“คะ ครับ?”
[ขอแค่ลูกอย่าอยู่คนเดียว]
“...”
[เพราะแม่คงทนไม่ได้ที่จะจากไปโดยที่ลูกไม่มีคนคอยดูแล]
“พูดอะไรอย่างนั้นละครับ”
[รณณ์...ชีวิตลูกเป็นของลูกนะ เมื่อโตขึ้นลูกจะรู้ว่าไม่ต้องรอให้ถึงวันที่พ่อกับแม่จากไปลูกก็ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แม่จะสบายใจถ้าในยามที่รณณ์ห่างไกลแม่แต่ยังมีคนคอยดูแลลูกยามเจ็บป่วยหรือยามทุกข์ …]
“...”
[...การที่ลูกจะมีหลานให้แม่ แม่ก็แค่หวังว่ามันจะทำให้แม่ไม่เหงาก็เท่านั้น]
“แม่...”
[พ่อกับแม่ใช้ชีวิตที่นี่มีความสุขดี....] เธอรู้ว่าสายงานของลูกชายจะมาปักหลักอยู่ในส่วนภูมิภาคอย่างบ้านเกิดไม่ได้ แต่ครั้นจะให้ตามเข้าไปอยู่กับลูกที่เมืองหลวงอย่างที่รณณ์เคยพูดไว้หลายต่อหลายครั้งก็คงจะไม่ได้เช่นกัน [กรุงเทพฯกับชลฯก็ไม่ได้ไกลกันสักหน่อย คิดถึงก็ไปมาหากันได้อยู่แล้ว]
“แม่ครับ...สิ้นเดือนหน้าผมฝึกงานเสร็จจะกลับไปหานะครับ” ...กลับไปคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนกันต่อหน้า
“แม่รอเสมอนะ” ลูกชายของเธอไม่ใช่คนซับซ้อนเข้าใจยาก ถ้ารณณ์บอกว่าจะกลับ นั่นหมายความว่าครั้งนี้เจ้าตัวจะกลับมาพูดเรื่องสำคัญด้วยตัวเอง และบางที...สิ้นเดือนหน้าเธออาจจะได้เจอว่าที่ลูกสะใภ้ก็เป็นได้
ดีนมาถึงภัตตาคารในโรงแรมดังกลางกรุงก่อนเวลานัดของคนเป็นแม่สิบนาทีแต่ก็ยังช้ากว่าคนนัดเสียอีกเพราะเธอนั่งรอเขาอยู่ตรงโต๊ะตัวในสุดของร้านที่สามารถชมวิวเมืองได้แบบส่วนตัวอีกด้วย
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้มาคนเดียว จะไม่แปลกใจสักนิดถ้าคนที่มาด้วยเป็นเตี่ยเขาหรือคนในครอบครัว แต่หญิงสาวต่างชาติหน้าตาสะสวยวัยไม่น่าจะเกินไปกว่าเขาที่ส่งยิ้มมาให้นั่นมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าเลยสักนิด
การแนะนำตัวดังขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ ดีนไม่ทันจดจำด้วยซ้ำว่าเธอชื่ออะไร และแทบไม่ต้องถามต่อว่าทำไมเธอถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ดีนก็พอจะรู้ คนเป็นลูกหันมองแม่ด้วยความไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาแม่เขาไม่เคยก้าวก่ายเรื่องคู่กับเขาเลยสักนิด แต่ทำไมวันนี้ถึงได้มีลูกของเพื่อนโผล่มาถึงกรุงเทพฯได้ นอกจากนี้ยังขอตัวกลับก่อนแล้วทิ้งให้เขาอยู่กับเธอตามลำพัง...ท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกแบบนี้น่ะหรือ
“นี่มันอะไรกันครับมัม” ดีนเลือกจะพูดเป็นภาษาไทยเพื่อเลี่ยงการเข้าใจได้หากผู้หญิงคนนั้นบังเอิญเดินออกมาในตอนที่เขาขอเดินออกมาส่งมัมกลับบ้าน
“มัมเรียกมาผิดคนรึเปล่าครับ จริง ๆ แล้วต้องเป็นคริสไม่ใช่ผม” คนที่เพิ่งเลิกกับแฟนและต้องการคนดามอกคือคริสไม่ใช่เขาเสียหน่อย มีเหตุผลอะไรให้จับเขามานัดดูตัวด้วย
“เป็นดีนน่ะถูกแล้ว เพราะดีนไม่มองใครเลย เอาแต่ทำงาน วัน ๆ ไม่เจอใคร ออกมาดินเนอร์กับเธอบ้างก็น่าจะดี”
คนเป็นแม่ตบบ่าลูกชายเบา ๆ ก่อนจากไปก็ไม่ลืมชูสองนิ้วให้กำลังใจเพราะคิดว่าลูกชายคนเล็กอ่อนประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้
“ผมมีแฟนแล้วนะครับมัม”
เธอหันมองลูกชายด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างค้างเติ่งอยู่นานกว่าที่ทรวดทรงสวยงามจะเคลื่อนกลับมายืนในระยะที่เหมาะแก่การสนทนาอีกครั้ง แต่ก็เหมือนยังหาเสียงตัวเองไม่เจอ คำถามมากมายจึงยังไม่ได้ถูกส่งออกไปจนอีกฝ่ายต้องย้ำประโยคเดิมอีกครั้งให้ชัดกว่าเดิม
“ตอนนี้ผมเจอคน ๆ นั้นแล้ว...”
“...”
“...และผมก็ไม่ต้องการใครอีก”
คนเป็นแม่พยักหน้าช้า ๆ เชื่อหมดหัวใจว่าลูกชายคนเล็กของเธอพูดความจริง แม้จะเป็นความจริงที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงน้อยมากก็ตาม แต่ถ้าดีนบอกแบบนั้น เธอก็เชื่อว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว
“โอเคลูก แม่จะไปบอกเธอให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะพูดกับเธอเอง”
“แต่ว่า...”
“สัญญาว่าจะถนอมน้ำใจเธอที่สุด” ดีนรู้ว่ามัมของเขากังวลอะไรเขาจึงต้องรีบรับปากเธอเสียก่อน คนเป็นแม่ถอนหายใจเบา พยักหน้ารับทราบ ก่อนจากไปก็ไม่ลืมบอกลูกชายให้หาโอกาสพาคนรักมารู้จักกันบ้าง
ไม่มีอะไรจริงใจไปกว่าการพูดความจริง ดีนเลือกใช้น้ำเสียงและรูปประโยคที่ถนอมน้ำใจสาวเจ้าที่สุด โชคดีที่ปฏิเสธตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันทำให้ตัดสัมพันธ์กันได้ง่ายและเธอก็ยินดีที่จะคงสถานะไว้เป็นเพื่อนอย่างที่เขาต้องการ
“ไงยะ ตั้งแต่วันนั้นก็รู้สึกว่าบอกอหน้าตาสดชื่นขึ้นนะคะ” สองฝ่ามือเล็กของแขกไม่ได้รับเชิญวางลงบนโต๊ะ ค้ำตัวถามเจ้าของห้องที่ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาสนใจงานบนหน้าจอแลปท็อปเครื่องบาง
“ไม่ต้องรู้ซักเรื่องได้ไหม”
“คนอุตส่าห์ช่วย ไม่ขอบคุณสักคำแล้วยังด่ากันอีก” เพราะช่วงที่ผ่านมางานค่อนข้างยุ่ง ผิงจึงไม่มีเวลาแวะมาแซ็วเพื่อนแบบนี้
ดีนเงยหน้ามองคนที่บึนปากใส่ ตัดสินใจพับหน้าจอลงเมื่อเห็นเค้าลางว่าตนคงไม่ได้ทำงานในเวลาห้าหรือสิบนาทีนี้แน่ “อยากได้รางวัลไหมล่ะ”
“หือ?”
“ยื่นหน้ามาสิ จะตบรางวัลให้อย่างงามเลย”
หญิงสาวยังมองด้วยท่าทีฉงนระคนไม่ไว้ใจ แต่ก็ยอมวางมือค้ำโต๊ะอีกครั้งพร้อมยื่นหน้าเข้าไปหาเมื่อเพื่อนชายกวักมือเรียกย้ำคำบอกกล่าว
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย!” เสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นแทบจะพร้อมกับเสียงที่เกิดจากฝ่ามือหนากระทบหน้าผากมนของเธอ
“ตีฉันทำไมเนี่ย”
“ก็ตบรางวัลให้ไง”
กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดพลั้งเสียทีให้เพื่อนชายคนสนิท ผิงก็ต้องเจ็บตัวและเจ็บใจจนทำได้แค่ขมุบขมิบปากบ่นด่าเท่านั้น
“ทีหลังจะไม่ช่วยแล้ว”
“ขอบคุณ”
“อะไร? ขอบคุณที่ฉันจะไม่ช่วยน่ะเหรอ ใช่สิ๊! ไอ้ผิงมันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่ เห็นเพื่อนทุกข์เลยอยากช่วย แต่ลืมไปว่าเพื่อนมันไม่ต้องการ”
“ขอบคุณที่ช่วยต่างหาก”
“หือ?”
“ก็ต้องการคำขอบคุณไม่ใช่รึไง”
หญิงสาวไม่ทันได้ต่อคำ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งของครึ่งวันเช้า สองหนุ่มสาวหันมองทิศทางนั้นกันเป็นตาเดียว สิ้นเสียงทุ้มอนุญาตของเจ้าของห้อง ร่างสูงโปร่งของใครบางคนก็โผล่พ้นกรอบประตูเข้ามา
“เอ่อ…พี่ดาวให้ผมเอางานมาส่งครับบอกอ”
ได้ยินอย่างนั้นหญิงสาวก็หันหน้ากลับไปหาดีนก่อนขยับปากไม่ออกเสียงให้อีกฝ่ายอ่านได้ว่า ‘เธอร้ายจริง ๆ’
ดีนส่ายหัวกับความแก่นเซี้ยวของเพื่อน ไม่ต้องคิดต่อก็รู้ว่าผิงหมายถึงเรื่องอะไร หากไม่ใช่การที่ดาวจงใจใช้ให้รณณ์ขึ้นมาหาเขาที่ห้องทั้งที่ปกติจะส่งอีเมลมาทุกครั้ง คงหวังจะให้อยู่กันสองคนแล้วตกเป็นขี้ปากคนทั้งบริษัท แต่หารู้ไม่ว่าเขามีตัวช่วยอยู่ด้วยทั้งคน
“เอามานี่สิ”
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปตามคำสั่ง ไม่ลืมยกมือไหว้ทักทายหญิงสาวที่ตนอยากจะเอ่ยถามถึงสาเหตุของการอยู่ในห้องนี้หากว่ามันไม่เสียมารยาทเกินไปนัก
“จะกลับเลยไหมรณณ์ จะได้ลงไปพร้อมกัน”
“เอ่อ…พี่ดาวให้รอฟังฟีดแบคจากบอกอด้วยครับ”
ซื้อหวยไม่เคยถูก!
ผิงก็ได้แต่คิดอยู่ในใจนั่นแหละ ขืนพูดออกไป คนกวนประสาทหน้านิ่งอย่างดีนคงย้อนเข้าให้ว่าเธอเคยซื้อหวยด้วยหรือ
“ไม่ต้องหรอก บอกอเขาต้องใช้เวลานาน เดี๋ยวเขาจะโน้ตคอมเม้นท์ลงบนงานเองเลย จริงไหมคะบอกอ” คิดเองเออเองแล้วยังมีหน้าออกคำสั่งกลาย ๆ ด้วยการแสร้งทำเป็นถามความเห็น ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทก็คงไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับเขา หากไม่กลัวว่าทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้ เขาก็อยากจะหักหน้าเพื่อนสาวเพื่อความสะใจดูสักครั้ง
“อืม ลงไปพร้อมคุณผิงเถอะ เสร็จแล้วผมจะเอาลงไปให้เอง”
รณณ์รับคำอย่างว่าง่าย เข้าใจว่าคงดูไม่ดีนักหากจะอยู่ด้วยกันตามลำพัง
บรรยากาศในกล่องโดยสารเงียบได้ไม่กี่อึดใจหญิงสาวก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา “รณณ์เก่งจังเลยนะ”
“ครับ?”
“ก็ทำให้คนไม่มีหัวใจอย่างหมอนั่นมีหัวใจขึ้นมาได้น่ะสิ”
“...”
“ไม่สิ…ถึงมีหัวใจขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้อยู่กับตัวอยู่ดี ก็หมอนั่นมอบให้คนอื่นไปแล้วนี่เนอะ”
“พี่ผิงหมายความว่าไงเหรอครับ”
“ทนหน่อยนะ อีกไม่นานก็จะฝึกงานจบแล้ว”
คนอ่อนวัยกว่าตั้งใจจะแย้งว่าตนไม่ได้ฝืนใจอะไรนัก แต่ก็ไม่ทันประโยคต่อมาของหญิงสาวที่ทำให้เขาเริ่มฉุกคิดว่ามันอาจจะเป็นคนละเรื่องกับที่เขากำลังเข้าใจ
“อย่าเพิ่งท้อล่ะ พี่ไม่อยากเห็นเพื่อนพี่อกหักจากรักครั้งแรก”
จังหวะเหมาะเจาะเสียจนรณณ์อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจพูดทิ้งท้ายให้เขาสงสัย เพราะไม่ทันได้เอ่ยถามให้กระจ่างแก่ใจ ประตูลิฟต์ก็เปิดออกพร้อมกับร่างระหงที่ก้าวเท้าออกไปในชั้นทำงานของตัวเอง
ช่วงสายของวันห้องบรรณาธิการหนุ่มก็ได้เปิดรับแขกไม่ได้รับเชิญอีกหนึ่งคน ดีนเหลือบตามองในตอนที่บานประตูถูกเปิดออกหลังจบคำอนุญาตของตน เมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายตัวเองเขาจึงกลับมาสนใจเอกสารตรงหน้าต่อ
“เรื่องของยูกับผิงหมายความว่าไง”
ดีนละสายตาจากแผ่นกระดาษ ทิ้งหลังพิงพนักเต็มแรง เงยหน้าขึ้นหรี่ตามองพี่ชายที่ยืนเอามือค้ำโต๊ะเขาอยู่ “อะไรกัน ยูหวงก้างเหรอ”
“ดีน” คริสเอ่ยเสียงดุ ดีนหัวเราะในลำคอ เขาคิดว่าตอนนี้ตนพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของอดีตคนรักของพี่ชายแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ซับซ้อน เพราะถ้าเขาเดาไม่ผิด การที่ดาวทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาคบกับผิงในฐานะคนรักมันทำให้เขาต้องถอยห่างกับรณณ์ซึ่งกำลังพัฒนาความสัมพันธ์กันอยู่และเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดที่พร้อมจะเกิดขึ้นทุกเมื่อ ขณะเดียวกันก็เป็นการปิดกั้นความสัมพันธ์ที่อาจจะพัฒนาได้ของคริสและผิง ดาวคงคิดมาแล้วว่าอย่างไรเสียเขาคงไม่พูดว่าเรื่องที่คบกับผิงเป็นเพียงแค่เรื่องหลอกตาเพื่อปิดบังความรักของตนกับนักศึกษาฝึกงานอยู่แล้ว เพราะว่ากันตามตรงแล้ว ความสัมพันธ์แบบสมภารกินไก่วัดไม่ใช่สิ่งที่น่ายอมรับได้สักเท่าไหร่นัก ผู้หญิงคนนั้นฉลาด ดีนรู้ เพราะนอกจากจะได้กันผิงออกจากอดีตคนรักเก่าของตัวเองแล้ว หญิงสาวยังได้แก้เผ็ดเขาอีกด้วย นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
“ตอบให้ตรงคำถาม” ลูกน้องเขาทั้งบริษัทพูดกันแต่เรื่องนี้จนเข้าหูเขาเข้าในตอนที่เดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่ชั้นหนึ่ง
“ก็อย่างที่รู้มานั่นแหละ”
“แต่พวกนายสองคนไม่ได้ชอบกัน”
“ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงกันได้...ยูน่าจะรู้ดีกว่าใครนะ”
คริสหรี่ตามองจ้องจับผิด “หรือเพราะเด็กคนนั้น” ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ทันเห็นแวววูบไหวในหน่วยตาของดีน แต่ไม่ใช่พี่ชายที่โตมาด้วยกันอย่างเขาแน่ “seriously?”
“เด็กคนไหน ยูมั่วแล้วคริส”
ไม่ใช่แค่เรื่องของผิงกับดีนที่ผู้คนซุบซิบกันจนลอยเข้าหูเขาโดยบังเอิญ แต่เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างดีนดูจะสนิทกับนักศึกษาฝึกงานแผนกคอลัมน์มากเป็นพิเศษนั่นก็เหมือนกัน
“ต้องให้ไอเรียกเขามาถามไหม”
สองพี่น้องประสานตากันนิ่ง
คริสถอนหายใจ มองน้องชายด้วยความตกใจอยู่ไม่น้อย “ยูแค่หลง” ...หลงผิดไปตามกระแส
“มันคือความรักคริส!” ดีนสวนขึ้นทันควัน
“ยูแน่ใจเหรอ” น้องชายเขาไม่เคยมีความรัก สิ่งเกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะเด็กมันพยายามเข้าหาเพื่อหวังผลประโยชน์ แต่เขาลืมคิดไปว่าดีนไม่ใช่คนโง่ที่จะโดนใครหลอกใช้ได้ง่าย ๆ
“เขาทำให้ไอได้สัมผัสกับ butterflies in my stomach เป็นครั้งแรก”
“ความรู้สึกวาบหวิวแบบนั้นมันวัดกันไม่ได้หรอกนะดีน”
“เขาแคร์และเป็นห่วงความรู้สึกไอ” อย่างน้อยรณณ์ก็ไม่ปล่อยให้ดีนจมกับความรู้สึกหดหู่ตามลำพังบนดาดฟ้าเมื่อเดือนก่อน
“นั่นเพราะเขาชอบยู แต่ไม่ได้หมายความว่ายูจะต้องชอบเขา”
“คริส ยูรู้ใช่ไหมว่าไอไม่เคยให้ความสนใจกับคนที่อยู่ด้วยได้นาน ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรกันหรือแค่นั่งพูดคุยกันไอก็พร้อมจะละเลยเขาได้ทุกเมื่อ” นั่นคือเหตุผลที่ดีนไม่ชอบอยู่กับใครแบบตามลำพังแค่สองคน ต้องมีใครอีกสักคนมาอยู่ด้วยเพื่อไม่ทำให้เขาคนนั้นรู้สึกอ้างว้างเมื่อถูกดีนละเลยแล้วสร้างไพรเวทโซนขึ้นมาในพับบลิคโซน “แต่กับเด็กคนนั้นไม่ใช่...”
“...”
“ไม่เคยเลยที่เขาจะหลุดไปจากความสนใจของไอ”
“...”
“ต่อให้นั่งอยู่ด้วยกันแล้วต่างฝ่ายต่างหยิบมือถือขึ้นมากดเล่น แต่ไอก็ยังให้ความสนใจเขา ไอยังรับรู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงหน้าและกำลังทำอะไรอยู่ ไอไม่เคยต้องพยายามคิดหาเรื่องมาชวนคุยหรือแม้แต่การนั่งเงียบ ๆ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดสักนิด”
“...”
“เราไม่ได้ชอบอะไรเหมือนกันทั้งหมด เราไม่ได้ยึดติดว่าต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แยกย้ายกันไปทำสิ่งที่ชอบบ้าง อะไรที่ชอบเหมือนกันค่อยมาทำด้วยกัน แต่เราพร้อมจะรับฟังความชอบของกันและกันด้วยความสนใจเสมอ”
“...”
“ยูยังไม่เข้าใจอีกเหรอคริส”
“...”
“เขากลายเป็นส่วนหนึ่งในโลกของไอไปแล้ว”
คริสมองน้องอย่างพิจารณาแล้วส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนเอ่ยถามย้ำในสิ่งที่ได้คำตอบชัดอยู่แล้วจากหน่วยตาคู่นั้น “จริงจังมากขนาดไหน”
ดีนเงียบ มองจ้องตอบพี่ชายอย่างไม่ลดละ
“โลกที่มีแต่ตัวเอง...มันไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว”คริสไม่อยากจะยอมรับแต่ก็คงต้องยอมรับว่าน้องของเขาได้ก้าวเข้าไปในโลกของความรักเต็มตัวแล้ว “ยูไม่มีทางสมหวัง”
“ยูจะต่อต้าน?”
“ดีน ที่ไอต่อต้านไม่ใช่ว่าอยากจะเอาคืนที่ยูเคยทำกับไอหรอกนะ แต่ยูต้องมองความเป็นจริงด้วย ฝั่งมัมอาจจะเข้าใจ แต่ฝั่งเตี่ยไม่มีทางยอมแน่ โดยเฉพาะอาม่า”
“...”
“จำได้ไหมว่าไอเคยพูดว่าไงในงานวันเกิดอาม่าที่ผ่านมา”
จำได้สิ...
“ความรักเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่คู่ชีวิตมันไม่ใช่แค่นั้น คนรอบข้างเราก็มีความสำคัญเหมือนกัน” ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดมากตอนที่น้องบอกออกมาตรง ๆ ว่าไม่ชอบดาว
“...”
“แล้วรู้ไหมทำไมคนเราถึงแต่งงาน...เพราะการแต่งงานเป็นวิธีที่ใช้รักษาความสัมพันธ์ของคนสองคนให้อยู่คงทนตลอดไป แม้บางคู่จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่มันก็แค่วิธีการหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา”
“...”
“แล้วยูคิดว่ายูกับเด็กนั่นจะแต่งงานกันได้เหรอ”
“...”
“หรือจะอยู่กันไปแบบนี้?...ไม่มีทางที่พ่อแม่เขารู้แล้วจะยอมหรอกนะ”
“...”
“เว้นแต่จะชอบเขาไม่มากพอที่จะเอามาเป็นคู่ชีวิต ถ้าแบบนั้นไอก็พอรับได้...ถ้ายูแค่เล่น ๆ”
สองพี่น้องเงียบไปพอสมควร คริสไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเว้นช่วงให้น้องได้คิดไตร่ตรอง
“ถ้าเขายอมก็แต่งได้ใช่ไหม” ดีนพึมพำแผ่วเบา
“อะไรนะ?”
“ที่ยูพูด...หมายความว่าถ้าพ่อแม่เขาและครอบครัวเรารับได้ ไอกับเขาก็แต่งกันได้ใช่ไหม”
คริสมองลึกเข้าไปในหน่วยตาสีอ่อนของน้องชาย แววตาที่จริงจังและแน่วแน่นั้นทำให้เขาเริ่มหวั่นกลัว เขารู้ว่าน้องเป็นคนไม่ล้อเล่นกับอะไรก็ตามในชีวิต แต่เขาก็อยากจะขอให้เรื่องนี้เป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น หรือการแปลผลความรู้สึกนั้นก็ตาม
TBC.
------------------------------------------------------------
ที่ตั้งใจไว้คือตอนหน้าก็คงจะจบแล้วค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ
ด้วยรักและขอบคุณ
ธัญญ์