บทที่ 30 ตามหาหัวใจ
ไซเลอร์!!! มือที่กำลังจะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบชะงักทันทีเมื่อข้ารู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกของก้อนดิน ข้าละสายตาจากเพื่อนๆ และความสนใจกับบทสนทนาตรงหน้าเพื่อมองหาก้อนดินที่บอกว่าจะเดินไปตักอาหารกับก้อนหินเมื่อครู่ แต่กวาดสายตาหาจนทั่วห้องแล้วก็ไม่พบ
ข้าจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปหาก้อนดินด้วยความรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เดินหาจนทั่วห้องแล้วก็ยังไม่พบ คนที่ได้พบและคุยกับก้อนดินต่างก็บอกว่าเพิ่งจะเจอทั้งคู่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ก้อนดินหายไปไหน
ในขณะที่ข้ากำลังจะเดินออกห้องไปตามหาก้อนดินกับก้อนหินข้างนอก ก็เห็นท่านมอลทีสกับท่านลาซาเดินตรงมาหาด้วยท่าทางรีบร้อน ลางสังหรณ์ของข้าก็ยิ่งร้องเตือนลั่น
“ตามข้ามา” พูดจบท่านมอลทีสก็เดินนำออกไปทันที
เมื่อไปถึงสวนข้างๆ ห้อง ท่านมอลทีสก็พาไปหยุดตรงจุดๆ หนึ่ง ก่อนที่จะยื่นผ้าผืนหนึ่งมาให้ข้า เมื่อรับมาดูและได้เห็นชัดๆ ก็รู้สึกใจหายวูบ
“ข้าเห็นมันตกอยู่ตรงนี้”
ผ้าเช็ดหน้าของก้อนดิน!
ที่มั่นใจว่าเป็นของก้อนดินแน่ๆ เพราะบริเวณมุมของผ้าเช็ดหน้า คือรอยเท้าของก้อนหินที่ก้อนดินจับไปทาสีแล้วประทับลงไป ก่อนจะประทับรอยนิ้วหัวแม่มือของตัวเองไว้ข้างๆ รอยเท้านั้นกับผ้าเช็ดหน้าทุกผืนของเขา
ข้าจำได้แม่นเพราะตอนที่ก้อนดินกับก้อนหินช่วยกันทำสัญลักษณ์อย่างสนุกสนานนั้น ข้าก็นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วมองทั้งคู่ทำไปเล่นกันไปด้วยความเอ็นดู
ก้อนดินมักจะพกผ้าติดตัวไว้อย่างน้อยก็สองผืน เพื่อไว้สำหรับใช้เช็ดปากเช็ดมือหรือเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ก้อนหิน ข้าเงยหน้าขึ้นมองท่านมอลทีสนิ่งๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามก่อน เพราะถึงพอจะคาดเดาได้แต่ก็กลัวคำตอบที่จะได้รับ
“ข้าเห็นในนิมิตว่าก้อนดินจะมีอันตราย แต่ก็มาไม่ทัน ขอโทษนะไซเลอร์”
ข้าได้แต่หลับตาลงรับความจริงด้วยความเจ็บปวด
“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกครับ ถ้าจะมีคนผิด ก็คงเป็นข้าที่ประมาทเอง” เสียงของข้าสั่นพร่าโดยไม่รู้ตัว มือกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ข้าลืมตาขึ้นมาจ้องผ้าเช็ดหน้าในมือเหมือนว่าจ้องแล้วจะเห็นไปถึงเจ้าของมัน
“อย่ามัวแต่โทษตัวเองกันอยู่เลย ข้าว่ารีบช่วยกันตามหาก้อนดินดีกว่า ก้อนดินเพิ่งจะหายไม่นาน เราอาจจะตามทันก็ได้” เสียงของมาสทิฟฟ์ที่ตามมาเมื่อไหร่ไม่รู้พูดขึ้น ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าเพื่อนในทีมตามออกมาจนครบทุกคน
“นั่นสิ เราแยกย้ายกันออกตามหาเลยดีไหม” ชเนาเซอร์เสนอความเห็น
“ไซเลอร์”
“ครับ ท่านมอลทีส”
“เจ้าผูกจิตไว้กับก้อนดิน ลองใช้จิตค้นหาดูสิ เผื่อว่าจะพบ”
“ครับ” นั่นสิ ข้าลืมไปได้ยังไงว่าเคยผูกจิตไว้กับก้อนดินตั้งแต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว
ข้าหลับตาลง รวบรวมสมาธิ สำรวมจิต เพื่อค้นหาดวงจิตของก้อนดิน แต่เมื่อหลับตาลงก็พบเพียงความมืดมิด อาจจะเป็นเพราะจิตยังฟุ้งซ่านด้วยความเป็นห่วงทั้งคู่ ต้องใช้เวลาสักพักจิตของข้าถึงได้นิ่งและมีสมาธิมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพบเพียงความมืดมิดก่อนจะพบกำแพงหนาทึบปรากฏขึ้นมากั้นดวงจิตข้าไว้
ข้าลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปบอกท่านมอลทีส
“มีกำแพงกั้นดวงจิตของข้าไว้ครับ”
“มนต์บังตา... คนที่จับก้อนดินไปอาจจะเป็นถึงขั้นจอมเวทย์ เพราะถ้าสามารถเข้ามาในเขตพระราชวังโดยที่ทั้งคนของเราไม่รู้ แม้แต่เวทย์คุ้มกันยังทำอะไรไม่ได้ คงไม่ธรรมดาแน่ เดี๋ยวข้าจะไปรายงานคิงก่อนจะได้ส่งทีมอื่นออกไปช่วยตามหาด้วย พวกเจ้าลองออกไปตามหาก้อนดินดูก่อน ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วยังไม่พบให้กลับมาที่นี่ จะได้ช่วยกันวางแผนว่าจะทำยังต่อไป ไปเถอะ”
“ครับ!” ข้าและเพื่อนๆ รับคำ ก่อนจะรีบออกเดินทางไปหาก้อนดินด้วยความร้อนใจ
ข้าได้แต่ภาวนา ขอให้ก้อนดินกับก้อนหินปลอดภัยด้วยเถอะ!
***************************************************************************
ข้าและเพื่อนๆ ตระเวนกระจายตัวกันออกค้นหาก้อนดินโดยใช้นกหวีดเป็นสัญญาณเรียกรวมตัวเพื่อไม่ให้แยกกันไปไกลเกินขอบเขตรัศมีที่ตกลงกันไว้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นจะได้กลับมาช่วยกันได้ทัน
อันที่จริงข้าก็พอจะรู้ว่าเพื่อนๆ บังคับใช้กับข้าเป็นหลักมากกว่า เพราะกลัวข้าจะแยกตัวออกไปหาก้อนดินกับก้อนหินเพียงลำพัง ข้าไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องเป็นกังวลจึงยอมทำตามเงื่อนไขแต่โดยดี ทั้งๆ ที่ในใจนั้นร้อนรนแทบบ้า
เราค้นหากันอย่างต่อเนื่องไม่มีใครยอมพักผ่อนจนเมื่อถึงยามรุ่งสาง ข้าก็จำใจต้องกลับไปรวมตัวตามสัญญาณเรียกที่เพื่อนๆ พร้อมใจกันเรียก เพื่อย้อนกลับไปที่พระราชวังตามคำสั่งของท่านมอลทีส
เมื่อไปถึงพระราชวัง ท่านมอลทีสก็พาข้าแยกไปที่ห้อง ซึ่งมีจอมเวทย์อันดับต้นๆ ของอาณาจักรรออยู่ด้านใน เมื่อข้าหันไปมองท่านมอลทีสก็บอก
“เราต้องทำลายกำแพงเวทย์ที่กั้นไว้ก่อน จะได้ค้นหาดวงจิตของก้อนดินได้ นั่งลงสิ”
“ครับ” ข้านั่งลงกับพื้นตามที่ท่านมอลทีสชี้บอก เมื่อข้านั่งลงเรียบร้อยแล้ว จอมเวทย์ทั้งห้ารวมทั้งท่านมอลทีสก็มานั่งล้อมข้าไว้
“ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าร้อนใจเพราะเป็นห่วงก้อนดินกับก้อนหิน แต่ข้าอยากให้เจ้ารวบรวมสมาธิตั้งจิตให้มั่นแล้วค้นหาดวงจิตของก้อนดินก่อน ถ้าหากไปเจอกำแพงนั่นอีกที พวกเราจะได้ช่วยกันทำลาย ครั้งที่แล้วข้าลองใช้เวทย์ตามจิตเจ้าไป ข้าลองทำลายดูแล้วแต่ไม่สำเร็จ เพราะกำแพงนั่นมีพลังคุ้มกันมากกว่าที่คิด ครั้งนี้ข้าจึงรวมจอมเวทย์ที่ช่วงนี้ยังอยู่ในใกล้ๆ พระราชวังมาช่วยกันดู”
“ครับท่านมอลทีส” เมื่อฟังคำอธิบายของท่านมอลทีสจบ ข้าก็รับคำแล้วหลับตาลงรวบรวมสมาธิทันที ด้วยความที่จิตฟุ้งซ่านเพราะความเป็นห่วงทั้งคู่จึงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจิตของข้าจะนิ่งและเป็นสมาธิได้
เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วข้าจึงนึกถึงก้อนดินอย่างแน่วแน่ เพียงไม่นานก็ปรากฏกลุ่มเส้นใยสีทองขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ก่อนที่มันจะพุ่งทอดยาวตรงไปด้านหน้า ข้าพยายามตั้งสมาธิให้มั่นแล้วตามเส้นใยกลุ่มนั้นไปเรื่อยๆ จนไปชนกับกำแพงโปร่งใสราวกระจกที่ปรากฏขึ้นมาขวางกลางคัน
“ถอยมาก่อนไซเลอร์” เมื่อได้ยินเสียงของท่านมอลทีส ข้าก็ถอยออกห่างจากกำแพงตรงหน้า ก่อนจะปลากฎร่างโปร่งแสงของท่านมอลทีสและจอมเวทย์ทั้งสี่ขึ้นที่หน้ากำแพง อันที่จริงจิตไม่มีรูปร่าง แต่ที่เห็นเป็นภาพร่างกายของทั้งห้าท่านนั้น เป็นเพราะจิตของข้าปรุงแต่งภาพขึ้นมาเอง
“ตั้งสมาธิไว้นะ ข้ากับจอมเวทย์ท่านอื่นจะลองช่วยกันทำลายกำแพงดู” “ครับ” ข้ารับคำและพยายามควบคุมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ท่านมอลทีสจึงเริ่มร่ายเวทย์ เพียงไม่นานก็มีแสงสีทองออกมาจากมือของท่านมอลทีสพุ่งไปหากำแพงตรงหน้า แต่ยังไม่ทันได้ถึงกำแพงก็มีแสงสีดำที่ผสานกับแสงสีทองอีกเส้นพุ่งออกมาจากกำแพงสกัดไว้ซะก่อน ท่านมอลทีสจึงหยุดร่ายเวทย์
“จิตแค้น ใครกันที่มีจิตแค้นรุนแรงขนาดนี้ แถมยังมีพลังจากเกล็ดมังกรมรกตด้วย อืม... เรื่องนี้คงต้องพักไว้ก่อน ลองช่วยกันทลายกำแพงก่อนก็แล้วกันนะท่าน” ท่านมอลทีสรำพึงอยู่ลำพัง ก่อนจะหันมาบอกกับจอมเวทย์ทั้งสี่
“ครับท่านมอลทีส” เมื่อรับคำเสร็จทั้งห้าก็เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นพร้อมกัน แสงสีทองทั้งห้าสายพุ่งตรงไปกระทบกับกำแพงตรงหน้า เมื่อแสงสีดำทองจากกำแพงออกมาต้านไว้ ทั้งห้าก็เร่งพลังให้แสงจากตัวออกมามากขึ้น
เมื่อเห็นว่าน่าจะตึงมือเกินไป ท่านมอลทีสก็ละมือออกมาข้างหนึ่งแล้วหลับตาลง เพียงไม่นานก็มีเกล็ดมังกรสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ เกล็ดมังกรบนฝ่ามือของท่านมอลทีสเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ก่อนที่จะพุ่งไปหากำแพงแล้วกระจายตัวอาบไล้ไปทั่วกำแพงทั้งซ้ายขวา ก่อนที่กำแพงตรงหน้าจะเริ่มสลายและหายวับไปกับตา
“พวกท่านกลับกันก่อนเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปกับไซเลอร์เอง เผื่อจะช่วยอะไรได้ ขอบคุณพวกท่านมาก” “ด้วยความเต็มใจครับ” จอมเวทย์ทั้งสี่โค้งให้ท่านมอลทีสก่อนจะหายวับจากไป ท่านมอลทีสจึงหันมาบอกกับข้า
“เราไปกันเถอะ ” “ครับ” เราทั้งสองตามแสงสีทองต่อไปเรื่อยๆ จนแสงเริ่มมากขึ้น แสดงว่าใกล้จะถึงดวงจิตของก้อนดินแล้ว หัวใจของข้าเต้นกระหน่ำด้วยความยินดี
“ไซเลอร์รักษาสมาธิ” “ครับ” ข้ารับคำ เพราะความดีใจทำให้สมาธิของข้าแกว่ง และท่านมอลทีสคงสัมผัสได้ ข้าจึงระงับอาการเพื่อให้จิตนิ่งเหมือนเดิม จนในที่สุด เราก็มาถึงจุดที่มีดวงจิตสองดวงที่สว่างเจิดจ้าอยู่ ข้าหลับตารวบรวมสมาธิอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าร่างของก้อนดินและก้อนหินอยู่ในคุกแห่งหนึ่ง
“คุก” ข้าเผลอพูดออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะตรงไปหาร่างของก้อนดินที่นอนหลับอยู่
“ดิน ก้อนดิน” แต่ร่างนั้นก็นิ่งสนิทจนข้าร้อนใจ
“ใจเย็นๆ ไซเลอร์ ก้อนดินน่าจะถูกผงนิทรา ยาชนิดนี้ไม่มีอันตรายหรอก คนที่ได้รับยาจะยังไม่ตื่นจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์” “ก๊าส” ก้อนหินที่นอนอยู่บนร่างของก้อนดินส่งเสียงร้องแล้วหันมามองเหมือนรับรู้ได้ถึงการมาของพวกเรา
“รอก่อนนะเด็กดี เดี๋ยวข้าจะกลับมาช่วย ดูแลตัวเองด้วย” “ก๊าสสส” ก้อนหินร้องเหมือนจะรับคำ ข้าอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
ท่านมอลทีสมองไปยังแสงจันทร์ที่ส่องผ่านช่องระบายอากาศด้านบนลงมาที่พื้น แล้วหันหน้ามามองข้า
“คุกแบบนี้น่าจะมีอยู่ไม่กี่แห่ง แต่น่าจะไม่ใช่คุกใต้ดินของของบาอัลแน่ เพราะไม่มีเห็ดเรืองแสง” ข้าผงกศีรษะรับจากที่สังเกตก็น่าจะจริง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นคุกที่อื่นของบาอัลหรือเปล่า
“เรากลับกันเถอะ ถึงมีเกล็ดมังกรก็ยังพาก้อนดินกลับไม่ได้ รีบไปหาร่างของก้อนดินที่คุกของอาณาจักรเราก่อนถ้าไม่เจอจะได้วางแผนกันเพื่อไปค้นหาที่อื่นต่อ” “ครับ” ข้าหันไปมองร่างของทั้งคู่ก่อนจะหลับตาเพื่อกลับไปยังร่างของตัวเอง
รอก่อนนะก้อนดิน ก้อนหิน แล้วข้าจะรีบกลับมาช่วย!
***************************************************************************
ข้าลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนล้า เพราะการใช้จิตในแต่ละครั้งต้องใช้พลังมากกว่าใช้ร่างกายตามปกติมาก เมื่อลืมตาตื่นมาได้เต็มที่ก็เห็นร็อตกับชเนาเซอร์นั่งอยู่ข้างๆ มองมาด้วยแววตาห่วงใย
“ท่านมอลทีสล่ะ แค่กๆ” เสียงแหบๆ ของข้าทำให้ชเนาเซอร์รีบลุกไปรินน้ำมาให้ดื่ม ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงภายในห้อง ข้าขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นมานั่ง ร็อตจะเข้ามาประคองแต่ข้ายังลุกไหวเลยได้แต่โบกมือห้าม
“ไปประชุมกับคิงและพวกท่านพ่อแล้ว มาสทิฟฟ์กับพรีซาก็ไปด้วย ข้าสองคนเลยอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ร็อตเป็นคนตอบคำถามของข้าระหว่างที่ชเนาเซอร์เอาแก้วน้ำไปเก็บ
“ข้าหลับไปนานแค่ไหน” เมื่อได้ดื่มน้ำแล้วเสียงของข้าก็เริ่มดีขึ้น
“ก็นานพอควร ท่านมอลทีสตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเจ้า พอเห็นเจ้ายังไม่ตื่นก็ตรวจดูอาการ แล้วบอกว่าเจ้าแค่อ่อนเพลียจากการใช้พลังเลยยังไม่ฟื้น ให้เจ้าพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังต่อ แล้วก็ให้มาสทิฟฟ์กับพรีซาเป็นตัวแทนทีมเราเข้าประชุม ให้ข้ากับชเนาเซอร์คอยดูแลเจ้าแทน ท่านมอลทีสบอกว่าถ้ามีอะไรก็ให้ไปแจ้งท่านได้ทันที” ร็อตเล่าต่อเมื่อเห็นว่าข้ายังดูมึนๆ เบลออยู่
“อืม ก้อนดินอยู่ในคุก” ข้าพูดถึงสิ่งที่กังวล นึกถึงภาพที่เห็นก่อนที่จิตจะกลับร่าง
“ท่านมอลทีสส่งคนไปค้นหาที่คุกทุกแห่งในอาณาจักรเราแล้วแต่ยังไม่พบ ก็เลยเข้าประชุมกันก่อนจะแจ้งและขอความช่วยเหลือไปยังอีกสองอาณาจักรด้วย”
“แล้วเราล่ะ” ข้าถามต่อเพราะอยากออกไปตามหาก้อนดินเต็มทีแล้ว
“ใจเย็นๆ ไซเลอร์ ท่านมอลทีสบอกว่าถ้าเจ้าตื่นมาก็ฝากบอกให้เจ้าใจเย็นๆ รอให้ประชุมเสร็จก่อนค่อยออกไป ให้ร่างกายเจ้าได้พักผ่อนและฟื้นตัวก่อน จะได้ตามหาได้เต็มที่ไง เจ้าคงไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทีมหรอกใช่ไหม” ชเนาเซอร์หรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ข้ารู้ว่าเขาไม่เคยคิดว่าข้าเป็นตัวถ่วงหรอก หรือต่อให้ข้าจะเป็นตัวถ่วงจริง ข้าเชื่อว่าเพื่อนๆ ข้าทุกคนก็พร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ด้วยความที่รู้นิสัยกันดี จึงน่าจะพูดดักคอเพราะเป็นห่วงข้ามากกว่า ข้าได้แต่ถอนหายใจแล้วยิ้มขำคนปากแข็ง
“ยิ้มอะไร ข้าไม่ใช่น้องดินนะ ยิ้มให้แล้วจะใจอ่อนน่ะ นอนไปเลย พักไปก่อนจะได้มีแรง ประชุมเสร็จเมื่อไหร่ข้าจะเรียก เราจะได้ไปตามหาน้องดินกัน” ชเนาเซอร์โวยวายกลบเกลื่อนความเขิน เมื่อข้ายิ้มให้เหมือนรู้ทัน
“หึๆ” พอได้ยินเสียงหัวเราะของข้ากับร็อต ก็ถลึงตาใส่เราทั้งคู่ ท่าทางแบบนี้สงสัยจะติดมาจากก้อนดิน เห็นแล้วรู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูมากกว่าจะน่ากลัว ทำให้เราสองคนหัวเราะขำยิ่งกว่าเดิม คนถูกล้อเลยถลึงตาใส่เราทั้งคู่อีกรอบ
ร็อตแกล้งกระแอมแล้วหันไปหยิบยาเม็ดที่ใส่ไว้ในถ้วยที่ตั้งอยู่ข้างๆ มาส่งให้ข้า เราไม่ได้กลัวคนที่กำลังถลึงตาใส่หรอกนะ แค่เป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะตาหลุดออกมามากกว่า หึๆ
“ยาบำรุง... ท่านมอลทีสให้คนของสำนักแพทย์เอามาให้ กินแล้วนอนพักผ่อนซะ”
“อืม” ข้ารับคำก่อนจะกินยาที่ร็อตส่งมาให้แล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ดันทุรังไปก็กลัวจะมีแต่เสียมากกว่าได้ เชื่อฟังท่านมอลทีสไว้น่าจะดีกว่า ถ้าท่านยังใจเย็นอยู่ได้ แสดงว่าก้อนดินกับก้อนหินยังคงปลอดภัยอยู่ เพียงไม่นานหนังตาข้าก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ตัวยาคงมีส่วนผสมของยานอนหลับด้วยแน่ๆ ข้าครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนที่จะหลับไป
***************************************************************************
“ไซเลอร์” เพียงได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ ก็ทำให้ข้าสะดุ้งตื่นผุดลุกขึ้นมานั่งทันที เมื่อได้เห็นร็อตทำท่าจะสะกิดเรียก แต่ยกมือเก้อเพราะข้าตื่นขึ้นมาก่อนจะทันสะกิด เห็นแล้วก็อดจะยิ้มขำไม่ได้
หลังจากสำรวจตัวเองดูก็รู้สึกว่าหลังจากได้พักและได้ยาบำรุงเข้าไปแล้ว พลังก็กลับมาเต็มเปี่ยมจนดูเหมือนจะแข็งแรงมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ
“เอ่อ...” ร็อตยังคงพูดไม่ออก
“เป็นยังไงบ้าง เราออกไปตามก้อนดินกับก้อนหินได้หรือยัง” ข้าหันไปถามมาสทิฟฟ์กับพรีซาที่ยืนอยู่ข้างเตียงทันทีที่มองเห็นทั้งคู่ พรีซาส่ายศีรษะเพลียๆ กับอาการของข้า มาสทิฟฟ์จึงเป็นคนตอบแทน
“อือ ท่านมอลทีสบอกว่าถ้าเจ้าพร้อมแล้วก็ไปได้เลย คิงส่งหนังสือไปแจ้งกับราชาอีกสองอาณาจักรล่วงหน้าแล้ว”
“งั้นไปกันเถอะ” ข้ารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าดีขึ้นแล้วเหรอ” เพื่อนๆ ประสานเสียงถามขึ้นพร้อมกัน แต่ละคนกวาดสายตาสำรวจดูข้าด้วยสายตาห่วงใย ข้าจึงยิ้มขำกับความเป็นห่วงเกินเหตุของเพื่อนๆ
“ดีขึ้นมากเลย ข้ารู้สึกแข็งแรงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ยาที่ท่านมอลทีสให้คนนำมาให้ช่วยได้มากจริงๆ” ข้าย้ำเพื่อให้ทุกคนสบายใจ
“ถ้าอย่างนั้นค่อยเบาใจหน่อย งั้นเราก็รีบออกเดินทางกันเถอะ” ชเนาเซอร์พูดขึ้นมาเมื่อเห็นข้าปกติดี เจ้าตัวก็คงห่วงก้อนดินไม่แพ้กัน เพราะเจ้าตัวชอบตามดินไปไหนมาไหนมากกว่าคนอื่น
“อืม” ทุกคนรับคำ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน
“เราได้รับคำสั่งให้เดินทางไปบาอัล ทีมพี่ไซรอสไปที่รุค นอกจากคิงจะส่งหนังสือไปแจ้งให้ราชาทั้งสองอาณาทราบแล้ว ยังทรงขอไม่ให้ทางนั้นเคลื่อนไหวโจ่งแจ้ง เพราะคนร้ายอาจจะเป็นคนสำคัญในอาณาจักร ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถนำเกล็ดมังกรมาใช้ได้ แล้วให้เราลอบเข้าไปค้นหาแทน ส่วนเรื่องภายในก็ให้องค์ราชาทรงสืบเอง” พรีซาเล่าเรื่องที่เข้าประชุมมาให้ฟังก่อนที่จะออกนอกห้อง
***************************************************************************
เราทั้งห้าเดินทางด้วยมังกรคู่ใจออกจากพระราชวัง ก่อนที่จะฝากมังกรไว้แถวชายแดนของเคลเบรอส แล้วใช้ร่างแปลงในการเดินทางเข้าไปที่อาณาจักรบาอัลแทน เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต
เป้าหมายของเราคือคุกร้างที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาณาจักรบาอัลและอาณาจักรรุค ซึ่งเป็นคุกใต้ดินที่ถูกปล่อยร้างไว้ เนื่องจากทั้งสองอาณาจักรต่างก็สร้างคุกใต้ดินไว้ใกล้อาณาจักรของตัวเองแทน เพื่อความสะดวกในการดูแลและควบคุมมากกว่าคุกที่อยู่กลางป่าซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์อันตราย
ส่วนคนที่ต้องไปค้นหาที่คุกในพระราชวัง ต้องใช้คนหน้าใหม่ๆ เข้าไปในฐานะตัวแทนผู้ร่วมประชุมของทางอาณาจักร เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่ทางนั้นมีท่านมอลทีสเดินทางไปร่วมประชุมด้วย เลยไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง
ระหว่างการเดินทางเราได้เจอกับสัตว์ร้ายหลายชนิด ลางสังหรณ์บอกชัดถึงความผิดปกติ เพราะโดยปกติแล้วสัตว์พวกนี้จะไม่ค่อยออกมาจากป่าลึกง่ายๆ และไม่โจมตีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ เหมือนกับว่าพวกมันพยายามขวางทางคนที่จะผ่านเข้าไปไว้ แต่เพราะเราอยู่ในร่างแปลงจึงทำให้สามารถต่อสู้กับพวกสัตว์ร้ายได้ไม่ยาก เพราะยาชาที่เขี้ยวช่วยผ่อนแรงให้กับเราได้มาก ซ้ำยังไม่ต้องฆ่าสัตว์หายากบางชนิดอีกด้วย
“ฝูงลิฟฟ่อน” แต่เราก็ต้องชะงัก เมื่อเจอกับสัตว์ใหญ่ที่เคยปะทะกันเมื่อครั้งที่ไปหาสมุนไพรกับก้อนดินอีกครั้ง
“อีกแล้วเหรอ” เสียงบ่นเซ็งๆ จากชเนาเซอร์ ทำให้พวกเรายิ้มขำ เพราะร่างแปลงของเจ้าตัวมีขนาดเล็กกว่าคนอื่นๆ มาก ถึงจะว่องไว แต่หากปะทะกันตรงๆ ก็เสี่ยงที่จะเป็นอันตรายมากกว่า เราจึงต้องกันให้อยู่ห่างออกไปเพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัว
“เจ้าหลบไปก่อน เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง” พรีซาบอกด้วยน้ำเสียงดุๆ เมื่อเจ้าตัวยุ่งของกลุ่มทำท่าเหมือนจะดื้อ
“ก็ได้ๆ” เจ้าตัวก็รับคำเซ็งๆ ก่อนจะถอยหลังไปคุมเชิงอยู่ด้านหลัง แล้วปล่อยให้เราทั้งสี่กระโจนออกไปจัดการกับฝูงลิฟฟ่อนตรงหน้า
“ไปต่อกันเถอะ” เมื่อจัดการจนฝูงลิฟฟ่อนล้มลงไปนอนเรียบร้อยแล้ว เราก็ไล่สำรวจเพื่อป้องกันไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้อีก ก่อนจะรีบออกเดินทางต่อ เพราะดูจากสิ่งที่ได้เจอแล้วเราน่าจะมาถูกทาง ก้อนดินกับก้อนหินน่าจะถูกขังไว้ที่นี่แน่!
“เอ่อ... ข้ารู้สึกว่าเราวนมาทางเดิมเป็นรอบที่สามแล้วนะ” เสียงทักของชเนาเซอร์ทำให้เราต้องหยุด เพื่อสังเกตสองข้างทางชัดๆ
ไม่ใช่เพียงชเนาเซอร์ที่รู้สึก ทั้งข้าและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกและมองหน้ากันตั้งแต่ผ่านจุดนี้มารอบที่สองแล้ว เพียงแต่ข้าพยายามนึกในแง่ดีว่าป่ามันคงคล้ายๆ กันเลยเดินทางต่อ พอชเนาเซอร์ทนไม่ไหวทักออกมานั่นแหละ ถึงได้หยุดสังเกตกันอย่างจริงจังและต้องยอมรับว่ามันเป็นจุดเดิมที่เราผ่านมาแล้วจริงๆ
“มนตร์บังตาอย่างนั้นเหรอ” พรีซาพึมพำเบาๆ แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมของเรา ทำให้ได้ยินชัดเจน
“เอายังไงดีพรีซา” มาสทิฟฟท์ที่วิ่งนำหน้าถอยลงมาถาม
“มนตร์บังตา ถ้าเจ้าตัวไม่อยู่ก็น่าจะมีจุดกำเนิดอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าทำลายจุดกำเนิดได้ ก็เป็นการทำลายมนตร์ได้เหมือนกัน” พรีซาในฐานะที่คุ้นเคยกับเวทย์มากกว่าทุกคนเพราะอยู่ในสายตระกูลจอมเวทย์อธิบาย
“แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ” ชเนาเซอร์ถามแล้วใช้ขาหน้าเกาหัวด้วยความเคยชิน
“คงต้องช่วยกันหาแล้วละ จุดกำเนิดน่าจะอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้มาก เพราะเราวนซ้ำๆ อยู่แค่แถวๆ นี้ ข้าบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร ให้สังเกตสิ่งแปลกปลอมที่ไม่น่าจะมีในป่า หรืออะไรก็ตามที่มันดูผิดไปจากปกติ ถ้าเจอแล้วให้ส่งสัญญาณเรียกข้า เดี๋ยวข้าไปดูเอง” “ได้” เมื่อรับคำเสร็จ เราต่างก็แยกย้ายกันไปค้นหาของที่ว่าทันที
ข้าพยายามค้นหาในเขตที่รับผิดชอบแทบจะทั่วทุกจุดไล่ไปตั้งแต่พื้นดินจนถึงบนต้นไม้ สายตาก็กวาดมองด้วยความละเอียดเพื่อตรวจดูสิ่งที่ผิดสังเกต จมูกไล่สูดกลิ่นที่ผิดปกติ หูก็กางฟังความเคลื่อนไหวจากสิ่งรอบตัว ก็ยังไม่พบสิ่งที่ถือว่าผิดปกติในบริเวณนี้เลย แต่จะเรียกว่าไม่พบเบาะแสเลยก็คงไม่ใช่ เพราะจากที่สังเกตได้คือป่าบริเวณนี้เงียบมาก ตั้งแต่เดินสำรวจมา ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตเลยสักตัว นี่แหละที่ถือว่าผิดปกติ
วี้ดดดดด
ข้ายืดตัวตรงและหูกระดิกทันทีเมื่อได้ยินสัญญาณจากชเนาเซอร์ ข้าเงี่ยหูฟังเพื่อจับทิศทาง ก่อนจะรีบวิ่งไปทางสัญญาณเสียงทันที เพราะมันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวพบสิ่งปกติอะไรสักอย่าง!
“กรรร” เมื่อไปถึงก็พบว่าชเนาเซอร์ยืนขู่และใช้ขาตะปบตัวตุ่นตัวหนึ่งไว้อยู่ ส่วนขาอีกข้างหนึ่งก็ตะปบปิดที่รูของมันเอาไว้ มีร็อตยืนมองขำๆ อยู่ข้างๆ ไม่นานมาสทิฟฟ์กับพรีซาก็ตามมาถึง
“นี่เหรอสิ่งผิดปกติของเจ้า ข้าไม่เห็นจะมีอะไรแปลก ก็แค่ตุ่นตัวหนึ่ง” มาสทิฟฟ์บ่นทันทีเมื่อมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้า
“มันจะไม่ผิดปกติได้ยังไง ในเมื่อแค่ข้าเดินมาใกล้ ไอ้ตุ่นบ้านี่มันก็วิ่งออกมาจากรูแล้วไล่กัดข้า พอข้าขู่ มันก็กระโจนใส่ โดนถีบกี่ครั้งก็ไม่ยอมหนี ตุ่นบ้าอะไรวะไม่กลัวหมา ในชีวิตข้าไม่เคยเจอมาก่อน แค่นี้ก็ถือว่ามันผิดปกติแล้ว!” ชเนาเซอร์ร่ายยาวด้วยความโมโห ปิดท้ายด้วยส่งเสียงขู่ตุ่นที่ยังคงพยายามดิ้นหนีอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“อืม ที่ชเนาเซอร์พูดก็ถูกนะ ปกติสัตว์พวกนี้ขี้กลัวจะตายไป นี่กลับไม่กลัวแถมยังสู้ เอ่อ... กับหมาอีก อีกอย่างตั้งแต่ข้าออกสำรวจก็ยังไม่เจอสัตว์สักตัว ตัวตุ่นตัวนี้แหละที่ถือว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่เจอ” ร็อตมองไปที่ตัวตุ่นแล้วทำท่าครุ่นคิด
“ข้าก็คิดเหมือนกัน ป่าแถวนี้เงียบผิดปกติ ตั้งแต่แยกออกไปสำรวจก็ยังไม่พบสัตว์เลยสักตัวเหมือนกัน” ข้าเสริม แล้วหันไปมองพรีซาที่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ ก่อนที่พรีซาจะกลายร่างเป็นมนุษย์ หยิบสัญลักษณ์ประจำตระกูลออกมาแล้วเริ่มร่ายเวทย์
ตัวตุ่นตรงหน้าก็ยิ่งดิ้นใช้เท้าตะกายพื้นดิน มันแรงเยอะจนชเนาเซอร์นิ่วหน้า ร็อตจึงต้องขยับเข้าไปช่วยกดตัวไว้ พรีซาร่ายเวทย์ต่อเพียงไม่นานก็มีแสงปกคลุมร่างตัวตุ่นและรูของมัน เมื่อพรีซาร่ายเวทย์จบ ตัวตุ่นก็กลายเป็นซากแล้วสลายกลายเป็นผุยผง
“ตายแล้วหรอกเหรอ” เสียงหงอยๆ ของชเนาเซอร์ทำให้ร็อตต้องยกขาหน้าตบขาที่ยังคงเหยียบรูไว้เบาๆ เป็นการปลอบใจ
“เจ้าอย่าเศร้าไปเลย อย่างน้อยดวงจิตมันก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จะได้ไปเกิดใหม่สักที” เมื่อได้ยินคำพูดของพรีซา ชเนาเซอร์ถึงได้ถอนหายใจและยิ้มออก
“ไปกันเถอะ” มาสทิฟฟ์บอก ก่อนจะวิ่งนำไปเหมือนเดิม ข้าหันไปมองชเนาเซอร์ที่ก้มลงไปที่ซากตัวตุ่นแล้วพูดเบาๆ
“ขอให้ไปเกิดในที่ดีๆ นะ” ฟังแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้ ข้ารอให้ชเนาเซอร์วิ่งนำไปก่อน แล้วค่อยวิ่งตาม ช่วงที่เจ้าตัวอ่อนไหวแบบนี้ ข้าคงไม่กล้าให้อยู่ด้านหลัง เพราะกลัวจะเป็นอันตราย ร็อตก็คงคิดเหมือนกัน เพราะเจ้าตัวก็รอให้ข้านำไปก่อนแล้วค่อยปิดท้ายขบวน
พอมนตร์บังตาหายไป เราก็ไม่ต้องวนกลับมาที่จุดเดิมอีก เมื่อเหนื่อยก็หยุดพัก พอหายเหนื่อยก็เร่งออกเดินทางกันต่อ ไม่มีใครบ่นอะไร เพราะต่างคนต่างก็เป็นห่วงก้อนดินและก้อนหินไม่ต่างกัน ถึงจะไม่พูดออกมาแต่ข้าก็รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกและจากแววตาร้อนใจของแต่ละคน
ถึงแม้จะชอบล้อชอบแกล้งทั้งคู่ แต่ทุกคนก็ทั้งหวงทั้งห่วงและคอยปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่เมื่อก้อนดินกับก้อนหินหายไปทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งข้าและเพื่อนๆ ทุกคนยิ่งรู้สึกผิด แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องพยายามเก็บความร้อนรนกระวนกระวายเอาไว้ภายใน และพยายามช่วยกันค้นหาก้อนดินกับก้อนหินให้พบเร็วที่สุด
(มีต่อค่ะ)